แนวเชื่อมซ้อนพอกเกย ( Overlap)
สแลคฝงในแนวเชื่อม ( Slag inclusion)
ั
สาเหตุมาจาก การป้ องกัน
1. ความเร็วในการเคลื่อนลวดเชื่อมไม่สม ่าเสมอ 1. เคลื่อนลวดเชื่อมให้สม ่าเสมอและถูกแบบ
2. การส่ายลวดเชื่อมกว้างเกินไป 2. การส่ายลวดเชื่อมให้อยู่ในขอบเขตที่ก าหนด
3. เคาะสแลคออกจากแนวเชื่อมไม่หมด 3. เคาะสแลคออกให้หมดก่อนเชื่อมใหม่
4. ใช้ลวดเชื่อมขนาดใหญ่เกินไป 4. ใช้ลวดเชื่อมขนาดเล็กลง
5. เทคนิคการเชื่อมไม่ถูกต้อง 5. ใช้ระยะอาร์กถูกต้องและเปลี่ยนมุมลวด
เชื่อมให้ถูกต้อง
SLAG INCLUSION
สแลคฝงในแนวเชื่อม ( Slag inclusion)
ั
สาเหตุมาจาก การป้ องกัน
1. ความเร็วในการเคลื่อนลวดเชื่อมไม่สม ่าเสมอ 1. เคลื่อนลวดเชื่อมให้สม ่าเสมอและถูกแบบ
2. การส่ายลวดเชื่อมกว้างเกินไป 2. การส่ายลวดเชื่อมให้อยู่ในขอบเขตที่ก าหนด
3. เคาะสแลคออกจากแนวเชื่อมไม่หมด 3. เคาะสแลคออกให้หมดก่อนเชื่อมใหม่
4. ใช้ลวดเชื่อมขนาดใหญ่เกินไป 4. ใช้ลวดเชื่อมขนาดเล็กลง
5. เทคนิคการเชื่อมไม่ถูกต้อง 5. ใช้ระยะอาร์กถูกต้องและเปลี่ยนมุมลวด
เชื่อมให้ถูกต้อง
SLAG INCLUSION
โพรงอากาศหรือฟองอากาศ ( Blow hole/porosity)
โพรงอากาศหรือฟองอากาศ ( Blow hole/porosity)
การซึมลึกไม่สมบูรณ์ (Incomplete penetration)
การซึมลึกไม่สมบูรณ์ (Incomplete penetration)
รอยเชื่อมไม่ประสาน (Lack of fusion)
สาเหตุมาจาก สาเหตุมาจาก
1. การเคลื่อนลวดเชื่อมเร็วเกินไป 1. ลดความเร็วในการเคลื่อนลวดเชื่อม
2. กระแสที่ใช้ต ่าไป 2. เพิ่มกระแสให้สูงขึ้น
3. การเตรียมรอยต่อไม่ดีพอ 3. เตรียมรอยต่อให้ดีและถูกต้อง
4. ใช้ลวดเชื่อมขนาดใหญ่เกินไป 4. ใช้ลวดเชื่อมให้ขนาดเล็กลงมา
5. น ้าโลหะละลายล ้าหน้าการอาร์กมากไป 5. ใช้มุมลวดเชื่อมให้ถูกต้อง
รอยเชื่อมไม่ประสาน (Lack of fusion)
สาเหตุมาจาก สาเหตุมาจาก
1. การเคลื่อนลวดเชื่อมเร็วเกินไป 1. ลดความเร็วในการเคลื่อนลวดเชื่อม
2. กระแสที่ใช้ต ่าไป 2. เพิ่มกระแสให้สูงขึ้น
3. การเตรียมรอยต่อไม่ดีพอ 3. เตรียมรอยต่อให้ดีและถูกต้อง
4. ใช้ลวดเชื่อมขนาดใหญ่เกินไป 4. ใช้ลวดเชื่อมให้ขนาดเล็กลงมา
5. น ้าโลหะละลายล ้าหน้าการอาร์กมากไป 5. ใช้มุมลวดเชื่อมให้ถูกต้อง
รอยแตกร้าว
(Crack)
รอยแตกร้าว
(Crack)
การตรวจสอบด้วยผงแม่เหล็ก (Magnetic Particle Inpection)
การตรวจสอบด้วยผงแม่เหล็ก เป็นกระบวนการตรวจสอบหาจุดบกพร่อง ที่
อยู่บนผิวใต้ผิวตื้นๆ ของชิ้นงานที่เป็นสารแม่เหล็ก (Ferro-Magnetic) โดย
ท าชิ้นงานให้แม่เหล็กแล้วโรยผงเหล็กลงในชิ้นงาน และผงเหล็กจะรวมตัวอยู่บนพื้นผิว
ของจุดบกพร่องซึ่งจะบอกถึงขนาด รูปร่าง และขอบเขตของจุดบกพร่องนั้นๆ ได้แก่
เหล็ก นิเกิล โคบอลท์ผสม
1.1 ลักษณะของสนามแม่เหล็ก (Characteristics of Magnetic Fields)
การตรวจสอบต้องให้ชิ้นงานเกิดสนามแม่เหล็ก ซึ่งการตรวจหาจุดบกพร่องที่
ได้ผลดีที่สุดนั้นต าแหน่งของจุดบกพร่องต้องตัดขวางกับส้นแม่เหล็กเป็นมุม 90 ใน
การปฏิบัตินั้นใช้ได้ถึง 45
1.1.1 สนามแม่เหล็กตามแนวยาว (Longitudinal)
การตรวจสอบด้วยผงแม่เหล็ก (Magnetic Particle Inpection)
การตรวจสอบด้วยผงแม่เหล็ก เป็นกระบวนการตรวจสอบหาจุดบกพร่อง ที่
อยู่บนผิวใต้ผิวตื้นๆ ของชิ้นงานที่เป็นสารแม่เหล็ก (Ferro-Magnetic) โดย
ท าชิ้นงานให้แม่เหล็กแล้วโรยผงเหล็กลงในชิ้นงาน และผงเหล็กจะรวมตัวอยู่บนพื้นผิว
ของจุดบกพร่องซึ่งจะบอกถึงขนาด รูปร่าง และขอบเขตของจุดบกพร่องนั้นๆ ได้แก่
เหล็ก นิเกิล โคบอลท์ผสม
1.1 ลักษณะของสนามแม่เหล็ก (Characteristics of Magnetic Fields)
การตรวจสอบต้องให้ชิ้นงานเกิดสนามแม่เหล็ก ซึ่งการตรวจหาจุดบกพร่องที่
ได้ผลดีที่สุดนั้นต าแหน่งของจุดบกพร่องต้องตัดขวางกับส้นแม่เหล็กเป็นมุม 90 ใน
การปฏิบัตินั้นใช้ได้ถึง 45
1.1.1 สนามแม่เหล็กตามแนวยาว (Longitudinal)
ท าให้เส้นแม่เหล็กเกิดการบิดเบี้ยวออกมาภายนอก.
รูปที่ 1.1 การเกิดสนามแม่เหล็กตามแนวยาว
รูปที่ 1.2 แท่งแม่เหล็กที่เกิดจากการแตกหัก
ท าให้เส้นแม่เหล็กเกิดการบิดเบี้ยวออกมาภายนอก.
รูปที่ 1.1 การเกิดสนามแม่เหล็กตามแนวยาว
รูปที่ 1.2 แท่งแม่เหล็กที่เกิดจากการแตกหัก
รูปที่ 1.3 แสดงต าแหน่งที่ผงเหล็กรวมตัวกันบนจุดบกพร่อง
รูปที่ 1.4 ลักษณะรอยแตกที่สามารถตรวจสอบได้ด้วยสนามแม่เหล็กตามแนวยาว
รูปที่ 1.3 แสดงต าแหน่งที่ผงเหล็กรวมตัวกันบนจุดบกพร่อง
รูปที่ 1.4 ลักษณะรอยแตกที่สามารถตรวจสอบได้ด้วยสนามแม่เหล็กตามแนวยาว
(Circular)
เมื่อน าเสนอแม่เหล็กมาโค้งงอให้เป็นวงกลม โดยให้ปลายห่างกัน จะเห็นว่า
ระหว่างปลายทั้งสองนั้น สามารถดึงดูดวัสดุแม่เหล็ก แต่ถ้าให้ปลายทั้งสอง
เชื่อมติดกันก็จะได้แม่เหล็กวงแหวน ซึ่งจะไม่แสดงออกมา ทั้งนี้เพราะไม่มี
ขั้วเหนือและขั้วใต้ แต่โมเลกุลภายมีการเรียงตัวกันอย่างมีระเบียบ เส้นแรง
แม่เหล็กจะมีทิศทางเป็นวงกลม(Circular Field) แต่ในกรณีที่
แม่เหล็กวงแหวนเกิดช่องอากาศหรือรอยแตกร้าว จะเกิดขั้วเหนือและขั้วใต้
และแสดงอ านาจแม่เหล็กที่บริเวณที่ทราบว่าเกิดความผิดปกติดังแสดงในรูป
1.6
รูปที่ 1.5 สนามแม่เหล็กวงกลม
(Circular)
เมื่อน าเสนอแม่เหล็กมาโค้งงอให้เป็นวงกลม โดยให้ปลายห่างกัน จะเห็นว่า
ระหว่างปลายทั้งสองนั้น สามารถดึงดูดวัสดุแม่เหล็ก แต่ถ้าให้ปลายทั้งสอง
เชื่อมติดกันก็จะได้แม่เหล็กวงแหวน ซึ่งจะไม่แสดงออกมา ทั้งนี้เพราะไม่มี
ขั้วเหนือและขั้วใต้ แต่โมเลกุลภายมีการเรียงตัวกันอย่างมีระเบียบ เส้นแรง
แม่เหล็กจะมีทิศทางเป็นวงกลม(Circular Field) แต่ในกรณีที่
แม่เหล็กวงแหวนเกิดช่องอากาศหรือรอยแตกร้าว จะเกิดขั้วเหนือและขั้วใต้
และแสดงอ านาจแม่เหล็กที่บริเวณที่ทราบว่าเกิดความผิดปกติดังแสดงในรูป
1.6
รูปที่ 1.5 สนามแม่เหล็กวงกลม
รูปที่ 1.6 แท่งแม่เหล็ก
รูปที่ 1.7 ลักษณะรอยแตกที่สามารถตรวจสอบได้ด้วยสนามแม่เหล็กวงกลม
รูปที่ 1.6 แท่งแม่เหล็ก
รูปที่ 1.7 ลักษณะรอยแตกที่สามารถตรวจสอบได้ด้วยสนามแม่เหล็กวงกลม
1.2 การท าชิ้นงานให้เป็นแม่เหล็ก
การท าชิ้นงานให้เป็นแม่เหล็กมีหลายวิธีด้วยกัน แต่การตรวจสอบด้วย
ผงเหล็กจะใช้วิธการเหนี่ยวน าจากแม่เหล็กถาวร หรือใช้แม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่ง
มีรายละเอียดดังนี้
1.2.1 MANETIC YOKE
รูปที่ 1.8 Manetic Yoke
1.2 การท าชิ้นงานให้เป็นแม่เหล็ก
การท าชิ้นงานให้เป็นแม่เหล็กมีหลายวิธีด้วยกัน แต่การตรวจสอบด้วย
ผงเหล็กจะใช้วิธการเหนี่ยวน าจากแม่เหล็กถาวร หรือใช้แม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่ง
มีรายละเอียดดังนี้
1.2.1 MANETIC YOKE
รูปที่ 1.8 Manetic Yoke
1.2.1.1 Permanent-magnet yoke
เป็นเครื่องตรวจสอบที่น าไปใช้งาน ในสถานที่ที่ไม่สามารถหาไฟฟ้า
ใช้ได้หรือสถานที่ที่ไม่ยอมให้มีการอาร์คเกิดขึ้น
1.2.1.2 Electromagnetic yoke
เป็นเครื่องตรวจสอบชนิดแม่เหล็กไฟฟ้า มีขดลวดพันรอบแกนเหล็ก
ส่วนขาของแม่เหล็กรูปตัวยูมีทั้งชนิดตายตัว และชนิดปรับได้
1.2.1.1 Permanent-magnet yoke
เป็นเครื่องตรวจสอบที่น าไปใช้งาน ในสถานที่ที่ไม่สามารถหาไฟฟ้า
ใช้ได้หรือสถานที่ที่ไม่ยอมให้มีการอาร์คเกิดขึ้น
1.2.1.2 Electromagnetic yoke
เป็นเครื่องตรวจสอบชนิดแม่เหล็กไฟฟ้า มีขดลวดพันรอบแกนเหล็ก
ส่วนขาของแม่เหล็กรูปตัวยูมีทั้งชนิดตายตัว และชนิดปรับได้
1.2.2 ขดลวดตัวน า (Coils)
สนามแม่เหล็กที่เกิดจากขดลวดตัวน า จะเป็น
สนามแม่เหล็กตามแนวยาว คือถ้าปล่อยกระแสไฟฟ้ าให้ไหลผ่าน
ขดลวดตัวน า กระแสไฟฟ้ าจะเหนี่ยวน าให้เกิดสนามแม่เหล็กซึ่งมี
ทิศทางที่เกิดขึ้นจะเป็นไปตามกฎของมือขวา คือ ให้หัวแม่มือชี้ไปใน
ทางการไหลของกระแสในขดลวดตัวน า และนิ้วทั้งสี่ชี้ไปในทิศทาง
ของสนามแม่เหล็ก
1.2.2 ขดลวดตัวน า (Coils)
สนามแม่เหล็กที่เกิดจากขดลวดตัวน า จะเป็น
สนามแม่เหล็กตามแนวยาว คือถ้าปล่อยกระแสไฟฟ้ าให้ไหลผ่าน
ขดลวดตัวน า กระแสไฟฟ้ าจะเหนี่ยวน าให้เกิดสนามแม่เหล็กซึ่งมี
ทิศทางที่เกิดขึ้นจะเป็นไปตามกฎของมือขวา คือ ให้หัวแม่มือชี้ไปใน
ทางการไหลของกระแสในขดลวดตัวน า และนิ้วทั้งสี่ชี้ไปในทิศทาง
ของสนามแม่เหล็ก
รูปที่ 1.9 ทิศทางของสนามแม่เหล็กเมื่อผ่านกระแสไฟฟ้าเข้าไปในขดลวดตัวน า
รูปที่ 1.9 ทิศทางของสนามแม่เหล็กเมื่อผ่านกระแสไฟฟ้าเข้าไปในขดลวดตัวน า
1.2.3 กระแสไหลผ่านชิ้นงาน (Current Flow)
รูปที่ 1.10 วิธีการให้กระแสไหลผ่านชิ้นงาน
1.2.3 กระแสไหลผ่านชิ้นงาน (Current Flow)
รูปที่ 1.10 วิธีการให้กระแสไหลผ่านชิ้นงาน
1.2.4 Central Conductor
รูปที่ 1.11 การทดสอบแบบ Central Conductor
1.2.4 Central Conductor
รูปที่ 1.11 การทดสอบแบบ Central Conductor
Central Conductor
การตรวจสอบแบบ Central Conductor เหมาะส าหรับการ
ตรวจสอบงานท่อหรืองานวงแหวนการท าชิ้นงานให้เป็นแม่เหล็กก็โดย
เอาแกนตัวน า(Conductor) ใส่ไปในรู หรือช่องว่างของงาน โดย
ปกติกนตัวน าจะท าด้วยวัสดุแม่เหล็กก็ได้ ซึ่งมีทั้งแบบแท่งตัน และ
กลวง แต่ต้องเป็นตัวน าไฟฟ้ าได้ดีได้แก่ ทองเหลือง ทองแดง เป็น
ต้น
Central Conductor
การตรวจสอบแบบ Central Conductor เหมาะส าหรับการ
ตรวจสอบงานท่อหรืองานวงแหวนการท าชิ้นงานให้เป็นแม่เหล็กก็โดย
เอาแกนตัวน า(Conductor) ใส่ไปในรู หรือช่องว่างของงาน โดย
ปกติกนตัวน าจะท าด้วยวัสดุแม่เหล็กก็ได้ ซึ่งมีทั้งแบบแท่งตัน และ
กลวง แต่ต้องเป็นตัวน าไฟฟ้ าได้ดีได้แก่ ทองเหลือง ทองแดง เป็น
ต้น
1.2.5 โดยใช้ตัวน า (Prod contacts)
รูปที่ 1.12 การทดสอบโดยใช้ตัวน า
ข้อดีของการตรวจสอบด้วยหัวตัวน า มีดังนี้คือ
1. สามารถเคลื่อนย้ายได้
2. ให้ผลดีส าหรับการตรวจสอบหาจุดบกพร่องที่อยู่ภายใต้ผิว
งานได้ดีกว่าการตรวจสอบด้วยผงแม่เหล็กวิธีอื่น
1.2.5 โดยใช้ตัวน า (Prod contacts)
รูปที่ 1.12 การทดสอบโดยใช้ตัวน า
ข้อดีของการตรวจสอบด้วยหัวตัวน า มีดังนี้คือ
1. สามารถเคลื่อนย้ายได้
2. ให้ผลดีส าหรับการตรวจสอบหาจุดบกพร่องที่อยู่ภายใต้ผิว
งานได้ดีกว่าการตรวจสอบด้วยผงแม่เหล็กวิธีอื่น
ข้อเสีย ของการตรวจสอบด้วยหัวตัวน า ได้แก่ การอาร์คมักที่จะเกิดขึ้นที่จุด
สัมผัสระหว่างชิ้นงานกับปลายของหัวตัวน า อันเนื่องมาจากการใช้กระแส
ตรวจสอบสูงเกินไป หรือแรงกดที่หัวตัวน าไม่เพียงพอซึ่งจุอาร์คดังกล่าว จะ
เป็นจุดที่ท าให้เกิดความเสียหายแก่งานได้
ชนิดของกระแสไฟ
กระแสที่ใช้กับการตรวจสอบด้วยผงเหล็กมีหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดให้
ความสามารถในการตรวจสอบหาจุบกพร่องมีความแตกต่างกัน ซึ่งข้อดี และ
ข้อเสียของแต่ละชนิดมีดังนี้
ข้อเสีย ของการตรวจสอบด้วยหัวตัวน า ได้แก่ การอาร์คมักที่จะเกิดขึ้นที่จุด
สัมผัสระหว่างชิ้นงานกับปลายของหัวตัวน า อันเนื่องมาจากการใช้กระแส
ตรวจสอบสูงเกินไป หรือแรงกดที่หัวตัวน าไม่เพียงพอซึ่งจุอาร์คดังกล่าว จะ
เป็นจุดที่ท าให้เกิดความเสียหายแก่งานได้
ชนิดของกระแสไฟ
กระแสที่ใช้กับการตรวจสอบด้วยผงเหล็กมีหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดให้
ความสามารถในการตรวจสอบหาจุบกพร่องมีความแตกต่างกัน ซึ่งข้อดี และ
ข้อเสียของแต่ละชนิดมีดังนี้
1. กระแสไฟตรง
2. กระแสไฟสลับ (AC) เป็นกระแสที่มีคลื่น – ลง มีค่าของกระแสบวก และ
ลบ ให้ผลดีในการตรวจหาจุบกพร่องเฉพาะผิวเท่านั้น
3. Full Wave Rectifier Current (FWRC) เป็นกระแสไฟฟ้ าที่ได้
ผ่านการเรียงกระแส ด้วยเครื่องเรียงกระแส(Rectifier) โดยมีค่าของกระแส
ต ่าสุด คือ ศูนย์
1. กระแสไฟตรง
2. กระแสไฟสลับ (AC) เป็นกระแสที่มีคลื่น – ลง มีค่าของกระแสบวก และ
ลบ ให้ผลดีในการตรวจหาจุบกพร่องเฉพาะผิวเท่านั้น
3. Full Wave Rectifier Current (FWRC) เป็นกระแสไฟฟ้ าที่ได้
ผ่านการเรียงกระแส ด้วยเครื่องเรียงกระแส(Rectifier) โดยมีค่าของกระแส
ต ่าสุด คือ ศูนย์
4. Half Wave Rectifier Current (HWRC) เป็นกระแสไฟที่ตัดเอา
กระแสลบออกโดยให้เหลือแต่กระแสไฟบวกเท่านั้น
ข้อดี
ก. อุปกรณ์ราคาถูก และไม่ยุ่งยาก
ข. ตรวจสอบหาจุบกพร่องภายใต้ผิวงาน
ค. ผงเหล็กมีการสั่นสะเทือน เพื่อให้รวมตัวที่จุดบกพร่อง
รูปที่ 1.13 รูปแบบของกระแสไฟชนิดต่างๆ
4. Half Wave Rectifier Current (HWRC) เป็นกระแสไฟที่ตัดเอา
กระแสลบออกโดยให้เหลือแต่กระแสไฟบวกเท่านั้น
ข้อดี
ก. อุปกรณ์ราคาถูก และไม่ยุ่งยาก
ข. ตรวจสอบหาจุบกพร่องภายใต้ผิวงาน
ค. ผงเหล็กมีการสั่นสะเทือน เพื่อให้รวมตัวที่จุดบกพร่อง
รูปที่ 1.13 รูปแบบของกระแสไฟชนิดต่างๆ
1.3 ผงเหล็ก (Magnatic Perticles)
ผงเหล็กแบ่งตามลักษณะการใช้งาน (vehicle) ได้ 2 ชนิด ได้แก่
- การน าพาโดยอากาศ เรียกว่าผงเหล็กชนิดแห้ง (Dry - Paticle)
- การน าพาโดยของเหลวเรียกว่าผลงเหล็กชนิดเปียก (Wet - Paticle)
ผงเหล็กท าด้วยวัสดุแม่เหล็กต่างๆ ที่มีความคงตัวต่อการเป็นแม่เหล็กต ่า
(Low - Retentivity) และยังมีคุณสมบัติต่างๆอีกเช่นคือ
Permeability สูง, Low coercive force, สามารถมองเห็นได้ชัด
ขนาดและรูปร่างรูปทรงเหมาะสมกับงาน เป็นต้น
1.3 ผงเหล็ก (Magnatic Perticles)
ผงเหล็กแบ่งตามลักษณะการใช้งาน (vehicle) ได้ 2 ชนิด ได้แก่
- การน าพาโดยอากาศ เรียกว่าผงเหล็กชนิดแห้ง (Dry - Paticle)
- การน าพาโดยของเหลวเรียกว่าผลงเหล็กชนิดเปียก (Wet - Paticle)
ผงเหล็กท าด้วยวัสดุแม่เหล็กต่างๆ ที่มีความคงตัวต่อการเป็นแม่เหล็กต ่า
(Low - Retentivity) และยังมีคุณสมบัติต่างๆอีกเช่นคือ
Permeability สูง, Low coercive force, สามารถมองเห็นได้ชัด
ขนาดและรูปร่างรูปทรงเหมาะสมกับงาน เป็นต้น
1.3.2 ผงเหล็กชนิดเปียก
ผงเหล็กชนิดเปียกเหมาะกับการตรวจสอบจุดบกพร่องขนาดเล็กได้แก่ รอย
แตกเนื่องจากความล้า ฯลฯ ผงเหล็กชนิดเปียกใช้กับอุปกรณ์แบบตั้งพื้น จะ
ประกอบด้วยถังใสผงเหล็กที่ผสมกับของเหลว ส่วนการตรวจสอบงาน
สนามจะต้องใช้อุปกรณ์กับชนิดเคลื่อนที่ จะประกอบด้วยผงเหล็กที่บรรจุไว้
ในกระป๋ องสเปร์ ซึ่งสะดวกต่อการใช้งาน
วัสดุน าพาผงเหล็กเปียกมีอยู่ 2 ชนิดได้แก่ น ้ามัน และ น ้า หน้าที่
ของวัสดุน าพาไดแก่ เป็นตัวพยุงผงเหล็กให้รอยตัวอยู่เหนือพื้นผิวงาน
เพื่อให้เคลื่อนตัวไปรวมตัวอยู่ที่บริเวณจุดบกพร่องได้ง่าย
1.3.2 ผงเหล็กชนิดเปียก
ผงเหล็กชนิดเปียกเหมาะกับการตรวจสอบจุดบกพร่องขนาดเล็กได้แก่ รอย
แตกเนื่องจากความล้า ฯลฯ ผงเหล็กชนิดเปียกใช้กับอุปกรณ์แบบตั้งพื้น จะ
ประกอบด้วยถังใสผงเหล็กที่ผสมกับของเหลว ส่วนการตรวจสอบงาน
สนามจะต้องใช้อุปกรณ์กับชนิดเคลื่อนที่ จะประกอบด้วยผงเหล็กที่บรรจุไว้
ในกระป๋ องสเปร์ ซึ่งสะดวกต่อการใช้งาน
วัสดุน าพาผงเหล็กเปียกมีอยู่ 2 ชนิดได้แก่ น ้ามัน และ น ้า หน้าที่
ของวัสดุน าพาไดแก่ เป็นตัวพยุงผงเหล็กให้รอยตัวอยู่เหนือพื้นผิวงาน
เพื่อให้เคลื่อนตัวไปรวมตัวอยู่ที่บริเวณจุดบกพร่องได้ง่าย
วัสดุน าพาผงเหล็กเปียกมีอยู่ 2 ชนิดได้แก่ น ้ามัน และ น ้า หน้าที่
ของวัสดุน าพาไดแก่ เป็นตัวพยุงผงเหล็กให้รอยตัวอยู่เหนือพื้นผิวงาน
เพื่อให้เคลื่อนตัวไปรวมตัวอยู่ที่บริเวณจุดบกพร่องได้ง่าย
สารนะพาชนิดน ้ามัน ควรมีคุณสมบัติดังนี้ เป็นน ้ามันปิโตรเลียมที่
กลั่นแล้วมีความหนืดต ่า ไม่มีกลิ่น มีก ามะถันผสมอยู่มาก และมีจุดวาบ
ไฟสูง เป็นต้น
สารน าพาชนิดน ้า การที่ใช้น ้าเป็นสารน าแทนน ้ามันนั้น เพราะน ้ามี
ราคาถูกและเกิดปัญหาการติดไฟอีกด้วย น ้าที่ใช้จะต้องเติมสารอื่นๆลงไป
อีก ได้แก่ Wetting agents และน ้ายาป้ องกันน ้าเกิดฟอง
วัสดุน าพาผงเหล็กเปียกมีอยู่ 2 ชนิดได้แก่ น ้ามัน และ น ้า หน้าที่
ของวัสดุน าพาไดแก่ เป็นตัวพยุงผงเหล็กให้รอยตัวอยู่เหนือพื้นผิวงาน
เพื่อให้เคลื่อนตัวไปรวมตัวอยู่ที่บริเวณจุดบกพร่องได้ง่าย
สารนะพาชนิดน ้ามัน ควรมีคุณสมบัติดังนี้ เป็นน ้ามันปิโตรเลียมที่
กลั่นแล้วมีความหนืดต ่า ไม่มีกลิ่น มีก ามะถันผสมอยู่มาก และมีจุดวาบ
ไฟสูง เป็นต้น
สารน าพาชนิดน ้า การที่ใช้น ้าเป็นสารน าแทนน ้ามันนั้น เพราะน ้ามี
ราคาถูกและเกิดปัญหาการติดไฟอีกด้วย น ้าที่ใช้จะต้องเติมสารอื่นๆลงไป
อีก ได้แก่ Wetting agents และน ้ายาป้ องกันน ้าเกิดฟอง
1.4 วิธีการตรวจสอบด้วยผงแม่เหล็ก
การตรวจสอบด้วยผงแม่เหล็ก จะประกอบด้วยขั้นตอนต่อไปนี้
1. การเตรียมชิ้นงานทดสอบ (Perparation of specimens)
2. การเลือกขบวนการตรวจสอบ (Selection of Method)
3. การท าชิ้นงานให้เป็นแม่เหล็ก (Magnetisation)
4. การตรวจหาจุดบกพร่อง (Detection)
5. การแปลความหมายจุดบกพร่อง (Interpretation of
indications)
6. การท าความสะอาดชิ้นงานขั้นสุดท้าย (Final Cleaning)
7. การคลายอ านาจแม่เหล็กตกค้าง (Demagnetisation)