The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการจัดการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by piyaboot253, 2020-09-16 01:55:14

แผนสังคมฯ563

แผนการจัดการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม

48

ข้อเสนอแนะ

1.การจัดการเรียนรู้ตาม กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม และแนวคิด NPU Teaching and
Learning Paradigm ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นผู้สอนควรจะต้องศึกษาข้อมูลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ใหส้ อดคลอ้ งตามขนั้ ตอน และจัดสิง่ แวดล้อมการเรียนรู้ที่สง่ เสริมใหผ้ ู้เรียนได้เรียนรู้ บรรยากาศการเรียนรู้
ที่อิสระ และบรรยากาศความมีวินัยแห่งตนเอง ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ตามทฤษฎีการสานสร้าง
ความรู้จากสังคม (Social Constructivism) ซึ่งมีความสำคัญสอดคล้องกับยุคการศึกษา 4.0 (The Age
Of Education 4.0)

2. การการจัดการเรียนรู้ตาม กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม และแนวคิด NPU Teaching
and Learning Paradigm เป็นการเปลย่ี นแปลงกระบวนทัศน์ใหม่ทางการศึกษา ยงั คงต้องวจิ ยั เพื่อค้นหา
ทิศทางที่นำไปสู่ปัญญาและสอดคล้องกับสังคมไทย ควรมีการวิจัยเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ภายหลังการจัดการเรียนรู้การจัดการเรียนรู้ตาม กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม และแนวคิด NPU
Teaching and Learning Paradigm สำหรบั นกั ศกึ ษาในกลุ่มวิทยาศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์

ประโยชน์ทไี่ ดร้ ับ
การศึกษาในครง้ั นี้ ผวู้ จิ ยั คาดว่าประโยชนท์ จ่ี ะได้รับ ดงั น้ี
1. ได้แผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมและ แนวคิด NPU

Teaching and Learning Paradigm ที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอนวิชาศึกษาทั่วไป รายวิชา
วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีในชีวติ ประจำวัน เพอื่ นำไปใชใ้ นการจัดการเรยี นรู้ ทจ่ี ะฝึกให้นักศกึ ษามีทักษะ
กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม และเป็นแนวทางให้แก่ผู้สอน เพื่อนำไปพัฒนาความสามารถในการ
ส่งเสริมความสามารถทางวิทยาศาสตร์ที่เหมาะสมต่อไป

2. เป็นแนวทางในการวางแผนจดั การเรียนรทู้ ี่เน้นผเู้ รยี นเป็นศูนยก์ ลาง ที่ตอบสนองแนวนโยบาย
การจัดการศกึ ษาในศตวรรษท่ี 21 ยคุ การศึกษา 4.0

49

References
Bel E. and Mallet M.(2006). Constructionist Teaching in The Digital Age- A Case Study.

IADIS International Conference on Cognition and Exploratory Learning in Digital Age
(CELDA 2006) :371-375.
Best, J. W. (1977). Research in Education. 3rd ed. Englewood Cliffs, New Jersey :
Prentice Hall
Campbell, Donald T and Stanley, Julian C.(1963) Experimental and Quasi-Experimental
Designs for Research Boston : Houghton Mifflin Company
Edward L. Pizzini, Daniel P. Shepardson and Sandra K. Abell. (1989). “A Rationale for and
the Development of a Problem Solving Model of Instruction in Science
Education”.ScienceEducation73(5) :523-534
Glickman, Gordon and Ross – Gordon. (2014).Supervision and Instructional

Leadership : A Developmental Approach. 9th ed. Boston : Allyn and
Bacon, Inc.
Grubbs M.and Strimel G (2015) Engineering design : the great integrator Jornal of STEM
teacher Education 50(1) 77-90
http://www.moe.gov.sg:online
Johnson, David W., Johnson Roger T., and Johnson Edythe, H. (1994).The New Circles
of Learning Cooperation in the Classroom and School. Alexandria Virginia :
ASCD.
Mangold J. and Robinson S. (2013) The engineering design process as a problem
solving and learning tools in K-12 Classroom. Retrieve December 2019 from
https://escholarship.org/content/qt8390918m/qt8390918m.pdf?t=n8r6vh
Murphy, E.(1997). Characteristics of constructivist teaching and
learning.constructivism: From philosophy to practice. Intelligence Organizes the
World by Organizing Itself.
NGSS Lead State (2013) Next generation science standard : For state, by state. Washington,
D.C. : National Academics Press
Office of the education Council (2016) A report of progress in learning management at
basic education level in year 2008-2009 Bangkok :OEC
Osborne And Wittrock. (1983 ).“Osborne, R. and Wittrock, M. (1983). Learning Science: A
Generative Process”.Science Education.67(4) : 489-508.

50

ธรี ะรุญเจริญ(Runcharoen.2016) ธีระ รุญเจริญ (2560) ทิศทางการจดั การศึกษาเรยี นรู้สกู่ ารศึกษา 4.0
ในยุคดิจทิ ลั . นครราชสีมา : วิทยาลยั นครราชสมี า

น้ำมนต์ เรืองฤทธิ์ (2558) สภาพและความต้องการแหลง่ ทรัพยากรการเรยี นร้อู อนไลน์ในระบบเปิด
สำหรับมหาชน “ดา้ นครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์” Veridian E-Journal, Silpakorn University
ฉบับภาษาไทย สาขามนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และศิลปะปที ี่ 8 ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคม –
สิงหาคม 2558 หนา้ 124 – 140

พจิ ิตรา ธงพานชิ (2562) การพฒั นากระบวนทศั น์การสอนและการเรียนรเู้ พอื่ สง่ เสรมิ ทกั ษะการคดิ ขั้น
สงู ในยุคการศึกษา 4.0 ของนักศึกษาวิชาชพี ครู คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั นครพนม

สุเทพ อ่วมเจริญ, จนั ทรตั น์ ภคมาศ และปรชั ญา ธงพานิช (2562) วิจัยเรอื่ ง กระบวนทศั นก์ ารเรยี นรู้
BTU เพอื่ ส่งเสริม Metacognition ของนกั ศึกษาบัณฑิตศึกษา สาขาวิชาชีพครู คณะ
ศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบรุ ี

อบุ ลวรรณ ส่งเสรมิ . (2555) การศึกษาผลการเรียนรู้เรื่อง การจดั ทําหลกั สตู รสถานศกึ ษาให้สอดคล้อง
กับความต้องการของทอ้ งถ่นิ ของนักศกึ ษาชน้ั ปี ที่ 3รายวิชาพัฒนาหลักสูตร ด้วยวิธสี อนแบบ
ร่วมมอื เทคนคิ ทีมเกมแขง่ ขัน คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร

51

แนวคดิ การพฒั นา HOTS ของนักเรยี นระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน

บทนำ

คณะกรรมาธิการนานาชาติว่าด้วยการศึกษาในศตวรรษที่ 21 แห่งยูเนสโก ได้จัดทำรายงานแนว
ทางการจัดการศึกษาในศตวรรษที่ 21 (Learning : The Treasure Within : การเรียนรู้ : ขุมทรัพย์ใน
ตน)” มีสาระสำคัญตอนหนึ่งที่กล่าวถึง “สี่เสาหลักทางการศึกษา” ซึ่งเป็นหลักในการจัดการศึกษาใน
ศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วยการเรียนรู้ 4 แบบ ได้แก่ 1) การเรียนรู้เพื่อรู้ (learning to know) 2) การ
เรียนรู้เพื่อปฏิบัติได้ (learning to do) 3) การเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน (learning to live together) และ
4) การเรียนรู้เพื่อชีวิต (learning to be) (คณะกรรมาธิการนานาชาติว่าด้วยการศึกษาในศตวรรษที่ 21,
2540) พระราชบัญญตั ิ การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แกไ้ ขเพิ่มเติม (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2545 และ (ฉบบั ท่ี
3) พ.ศ. 2553 มาตรา 15 กล่าวว่า การจัดการศึกษามีสามรูปแบบ คอื การศกึ ษาในระบบ การศึกษานอก
ระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย (1) การศึกษาในระบบ เป็นการศึกษาที่กำหนดจุดมุ่งหมาย วิธี
การศึกษา หลักสูตร ระยะเวลาของการศึกษา การวัดและประเมินผล ซึ่งเป็นเงื่อนไขของการสำเร็จ
การศึกษาที่แน่นอน (2) การศึกษานอกระบบ เป็นการศึกษาที่มีความยืดหยุ่นในการกำหนดจุดมุ่งหมาย
รูปแบบ วิธีการจัดการศึกษา ระยะเวลาของการศึกษา การวัดและประเมินผล ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญของ
การสำเร็จ การศึกษา โดยเนื้อหาและหลักสูตรจะต้องมีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพปัญหาและ
ความต้องการของ บุคคลแต่ละกลุ่ม (3) การศึกษาตามอัธยาศัย เป็นการศึกษาที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วย
ตนเองตามความสนใจ ศักยภาพ ความพร้อม และโอกาส โดยศึกษาจากบุคคล ประสบการณ์ สังคม
สภาพแวดล้อม สอ่ื หรอื แหล่ง ความรู้อน่ื ๆ สถานศึกษาอาจจดั การศกึ ษาในรปู แบบใดรปู แบบหนึ่งหรือท้ัง
สามรูปแบบก็ได้ ให้มีการเทียบโอนผลการเรียนที่ผู้เรียนสะสมไว้ในระหว่างรูปแบบเดียวกันหรือต่าง
รปู แบบได้ ไม่วา่ จะเป็นผลการเรียนจากสถานศึกษาเดียวกันหรือไมก่ ต็ าม รวมทัง้ จากการเรียนร้นู อกระบบ
ตามอัธยาศัย การฝึกอาชีพ หรือจากประสบการณก์ ารทำงาน โดยที่สำนกั งานสง่ เสรมิ การศกึ ษานอกระบบ
และการศกึ ษาตามอัธยาศัย เปน็ หนว่ ยงานในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศกึ ษาธกิ าร มีหนา้ ท่ีหน้าที่ดูแล
รบั ผดิ ชอบเกย่ี วกบั การจดั การศกึ ษานอกระบบ และการศกึ ษาตามอัธยาศัยในประเทศไทย

การจดั กระบวนการเรียนรู้ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศกั ราช 2542 และที่แก้ไข
เพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2545 หมวด 4 มาตรา 24 ซึ่งกล่าวว่า การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้
สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจ
และความถนัดของนักเรียนโดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การ
จัดการ การเผชิญสถานการณ์จริง การจัดเรียนการสอนในศตวรรษที่ 21 รูปแบบและวิธีการในการเรียน
การสอนจะมีความแตกต่างกับการจัดเรียนการสอนในอดีตที่เป็นผลมาจากสภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมท่ี

52

เปลี่ยนแปลงไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งแวดลอ้ มการเรียนรูท้ ี่ตอบสนองการแสวงหาความรู้จากสื่อดจิ ิทัล ใน
ยุคการศึกษา 4.0 การพัฒนาของเทคโนโลยีสารสนเทศที่เอื้อให้นักศึกษาในปัจจุบันเข้าถึงแหล่งข้อมูลได้
อย่างรวดเรว็ และหลากหลาย

ในการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ บทบาทของผู้สอนจะต้องนำดิจิตอล-เทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วน
หนึ่งของส่ิงแวดล้อมทางการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น (Active-learning) ดังที่ BEL
and Mallet, (2006 ) สรุปไวว้ ่า การพฒั นากจิ กรรมการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น (active-learning) ต้อง
มีการออกแบบการสอนโดยผสมผสานการสอนและเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนร่วมตามแนวคิดสร้างองค์
ความรู้ดว้ ยตนเอง (Constructivism) ซ่งึ เป็นการเปล่ียนกระบวนทัศน์เดิมทมี่ ุ่งเนน้ ที่การสอนจากอาจารย์
ผู้สอนเป็นหลัก( Instruction Paradigm) กระบวนทัศน์ใหม่ก็คือ สถาบันการศึกษาจะเปลี่ยนจาก
"สถานที่สอน" เป็น "สถานที่ผลิตการเรียนรู้" พันธกิจของสถาบันการศึกษาจะถูกปรับเปลี่ยนเป็น การทำ
ให้เกิดการเรียนรู้ของผู้เรียน ด้วยวิถีทางที่ได้ผลดีที่สุด ในกระบวนทัศน์ที่มุ่งเน้นการเรียนรู้ การบรรยาย
ของอาจารย์จะลดลง เป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งในการเรียนรู้ กระบวนทัศน์การเรียนรู้นี้จะทำให้
สถาบันการศึกษาเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ ผู้เรียนจะเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และจากการศึกษาแนวคิด
ทฤษฎี และงานวิจัยเกย่ี วกบั การจัดการเรียนรใู้ นศตวรรษท่ี 21 ท่ีให้ความสำคัญกับสง่ิ แวดลอ้ มการเรียนรู้
ทตี่ อบสนองการแสวงหาความร้จู ากสือ่ ดจิ ิทลั ในยุคการศึกษา 4.0

จากการประกาศใช้พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ.
2553 ไดก้ ล่าวถึงแนวทางการจัดการศึกษาไว้วา่ ตอ้ งยดึ หลกั วา่ ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนา
ตนเองได้และถือวา่ ผู้เรียนเปน็ ผู้ทม่ี ีความสำคัญทีส่ ุด กระบวนการจดั การศึกษาต้องส่งเสริมใหผ้ ู้เรียนพัฒนาตาม
ธรรมชาติ และเต็มตามศักยภาพ สอดคล้องกับแนวทางการจัดการศึกษาในยุคศตวรรษที่ 21 ที่จะต้องเชื่อมโยง
กับความต้องการของสังคม ระบบเศรษฐกิจ สอดคล้องกับความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี โดยมกี ารเตรยี มแผนพัฒนาในทกุ ด้านท่ีเกดิ ขน้ึ อย่างรวดเร็วต่อเนื่อง เนอื่ งจากระบบการศึกษา
เดิมที่เน้นการให้ความรู้เป็นหลักไม่อาจพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพโดยรอบด้านได้ ซึ่งสาเหตุ
ประการหนึ่งมาจากกระบวนการจัดการเรียนการสอนที่ส่งเสริมทักษะการคิด ดังที่สำนักงานรับรอง
มาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(องค์การมหาชน) ได้รายงานผลการประเมินคุณภาพภายนอก
ตั้งแต่รอบแรกถึงรอบ 3 สรุปว่า ครูจัดการเรียนการสอนยงั ไม่เน้นใหผ้ ู้เรียนได้รับการพัฒนาทักษะการคิด
เท่าทค่ี วร ประการสำคญั ครูผูส้ อนเองขาดความรคู้ วามเขา้ ใจการคดิ อภปิ ัญญา (Metcognition) ร้จู ักเพียง
จุดมุ่งหมายทางการศึกษาตามแนวคิด Bloom Taxonomy (Bloom : 1956) ที่จำแนกเป็น 3 ด้าน คือ
ด้านจติ พิสยั (Affective Domain) และด้านทกั ษะพสิ ยั (Psychomotor Domain) ถึงแม้แต่ในช่วงที่เป็น

53

นักศึกษาวิชาชีพครูก็ยังไม่ไดร้ บั การศึกษาการคิดอภิปัญญา เนื่องจากแนวคิดอภิปัญญาเร่ิมแพร่หลายเม่อื

Anderson, L. W. and Krathwohl, D. R., et al (Eds..) (2001) ได้ปรับปรุงจุดมุ่งหมายทางการศึกษา

ให้สอดคล้องกับทักษะในศตวรรษที่ 21 ในการปรับปรุง ปี 2001 ได้จัดความรู้เป็น 4 ประเภท ได้แก่

ข้อเทจ็ จรงิ (Factual) มโนทศั น์ (Concept) กระบวนการ (Procedural) และอภปิ ญั ญา (Metacognition)

การจัดการศึกษาในศตวรรษที่ 21 จะต้องใช้ทักษะการเรียนรู้ (Learning Skills) ที่เน้น 3R
ประกอบด้วย Reading (อ่านออก) (W)Riting (เขียนได้) (A)Rithmetics (คิดเลขเป็น) และ 7Cs ประกอบด้วย
Critical Thinking & Problem Solving (ทักษะการคิดวิเคราะห์ และการคิดแก้ปัญหา) Creativity &
Innovation (ทักษะการสร้างสรรค์ได้ และสร้างนวัตกรรมใหม่) Cross - Cultural Understanding (ทักษะ
ความเข้าใจในกลุ่มคนในหลากหลายชาติพันธ์) Collaboration Teamwork & Leadership (ทักษะการ
ทำงานเป็นทีม และความเป็นผู้นำ) Communication Information and Media Literacy (ทักษะในการ
สื่อสาร และการเข้าใจสื่อ) ICT Literacy (ทักษะการใช้เทคโนโลยี) และ Career and Life Skill (ทักษะ
การประกอบอาชีพ และทักษะการใช้ชีวิต) (James and Ron, 2011 : 3 - 7) ทักษะต่าง ๆ ดังกล่าวนี้จัดเป็น
ทักษะการคิดขั้นสูง (higher order thinking skills : HOTS) : ซึ่งเป็นความสามารถและความชำนาญใน
การดำเนินการคิดที่ซับซ้อน เพื่อให้ได้คำตอบหรือบรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการ ทักษะการคิดเป็นทักษะ
ทางปัญญาท่ีใช้กระบวนการทางสมองในการประมวลผลข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ ท่ีรบั เขา้ มาผ่านประสาท
สัมผัสทั้ง ๕ ทักษะการคิดขั้นสูงเป็นทักษะที่มีความซับซ้อน จำเป็นที่ผู้เรียนต้องได้รับการสอนและฝึก
เพื่อให้สามารถนำไปใช้ในการแสวงหาคำตอบ การตัดสินใจ และการแก้ปัญหาต่าง ๆ ตัวอย่างทักษะการ
คิดขั้นสูงที่สำคัญ เช่น ทักษะการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ การประเมิน การคิดริเริ่มสร้างสรรค์ การคิด
แก้ปญั หา การคิดอย่างมวี จิ ารณญาณเป็นต้น

การพัฒนาทักษะการคดิ ขน้ั สูงโดยตรงเป็นการสอนคดิ ท่ีเป็นอิสระจากการสอนเน้ือหาสาระตามที่
หลักสูตรกำหนด ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นโปรแกรมที่ออกแบบให้ผู้เรียนฝึกทักษะการคิดทักษะใดทักษะ
หนึ่งหรือหลายทกั ษะตามทีต่ ้องการเนือ่ งจากความสามารถในการคิดเป็นตัวบ่งชี้สำคัญที่แสดงถึงคุณภาพ
ของผูเ้ รยี น ทกั ษะการคดิ จึงได้รับความสำคญั ให้เปน็ ทกั ษะแห่งคริสตศ์ ตวรรษท่ี ๒๑ (21st century skills)
ที่ผู้เรียนทุกคนควรได้รับการสอนและฝึกฝนอย่างจงใจและจริงจัง เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถใช้ทักษะ
ดงั กล่าวในการดำรงชวี ิต

ดังนั้น จากเหตุผลและความสำคัญดังกล่าวนี้จึงจำเป็นที่จะต้องพัฒนาครูให้มีความรู้ความเข้าใจ
ในการพัฒนากระบวนทัศน์การเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดขั้นสูง และมีบทบาทเป็นนักวิจัยพัฒนา
กระบวนการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดขั้นสูงในศตวรรษที่ 21 ของนักเรียนระดับการศึกษาข้ัน
พื้นฐาน นักเรียนพึงได้รับการศกึ ษาท่ีมคี ุณภาพตามมาตรฐานสากลมีทักษะที่จำเปน็ ของโลกศตวรรษที่ 21
และไดร้ บั การพฒั นาเต็มตามศกั ยภาพตามความถนัดและความสามารถของพหปุ ัญญา

54

งานวิจัยท่เี กี่ยวขอ้ ง

จากการศึกษางานวิจัยเกี่ยวกับการส่งเสริมความคิดขั้นสูง ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาครูผู้สอน
พบว่า การพัฒนาให้นักศึกษาวิชาชีพครูมีความรู้อภิปัญญา (Metacognitive Knowledge) ได้แก่
ตระหนักรู้ในตนเอง (Meta Awareness) การไตร่ตรอง ย้อนคิดในตนเอง (Self-reflect) และการกำกับ
ดูแลตนเอง (Self-regulation) เป็นต้น เพื่อเป็นแนวทางในการนำแนวคิดนี้ไปปฏิบัติจึงได้หาคำตอบจาก
การวิจัยดังที่ สุเทพ อ่วมเจริญ จันทรัตน์ ภคมาศ และปรัชญา ธงพานิช (2563) ได้พัฒนากระบวนทัศน์
การเรียนรู้ BTU เพ่อื สง่ เสรมิ Meta-cognition ของนกั ศึกษาบัณฑิตศึกษา สาขาวิชาชพี ครู ประกอบด้วย
3 ขั้นตอนดังนี้ 1) B (Begin with the end) การเริ่มต้นดว้ ยการตั้งเป้าหมาย 2) T (Teaching to learn,
Learning to Teach) การเรียนการสอนเพ่ือเรยี นรู้ เรียนรู้เพื่อจดั การเรียนการสอน นำแผนการเรียนรู้ไป
ปฏิบัติและ 3) U (Understanding Became Even Deeping) การทำความเข้าใจยิ่งลึกซึ้งยิ่งขึ้นการ
ประเมนิ และกำกบั ติดตามมีความถกู ต้องแม่นยำ ต่อมา ปรชั ญา ธงพานชิ ได้นำมาปรบั ใช้ในการเรียนการ
สอนและวิจัยเรื่อง ผลของการจัดการเรียนการสอนตามแนวคดิ กระบวนการออกแบบเชิงวศิ วกรรมทีมีตอ่
ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวิชา วทิ ยาศาสตร์ในชวี ติ ประจำวัน คณะวทิ ยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม จาก
การจัดการเรียนรู้ตาม กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม และแนวคิด NPU Teaching and Learning
Paradigm มีขั้นตอนการสอน 4 ขั้นตอน ดังนี้ 1) การระบุปัญหา หรือความต้องการ รวมทั้งการระบุ
เงอื่ นไขหรอื ข้อจำกดั ที่มี การรวบรวมแนวทางแก้ปัญหาทเี่ ปน็ ไปได้ การวิเคราะห์ความต้องการในการการ
เรียนรู้ ในรูปแบบของภาระงาน(task) ชิ้นงาน(Job) หรือโครงการ(Project) 2) การออกแบบหรือการ
วางแผนแกป้ ัญหา ได้แก่ การออกแบบการเรียนรู้หรือเลือกกลยทุ ธใ์ นการแก้ปัญหา ระบุแนวคิด/แนวทาง
ท่จี ะช่วยแก้ปัญหา ตรวจสอบวัสดอุ ปุ กรณ์ท่ีมีอยู่และทีจ่ ะต้องจัดหาเพิ่มเติม พร้อมระบุวัสดุอุปกรณ์แต่ละ
ชนิดมีลักษณะและคุณสมบุติอย่างไร 3) การสร้างต้นแบบ ชิ้นงาน(Job) หรือโครงการ(Project) ระบุ
ขั้นตอน/เริ่มทำอย่างไร และจะทำอะไรตอไป และ 4) การประเมินและปรบั ปรุงตน้ แบบ การประเมินการ
เรียนรู้ ได้แก่ สรุปแนวทางแก้ปัญหา ทบทวนแนวทางแก้ปัญหา ระบุแนวทางแก้ปัญหาที่ได้ผลดี ระบุ
วิธกี ารสร้าง และผลผลิตทไ่ี ดเ้ ป็นอยา่ งไร

แนวทางการจดั กิจกรรมการเรียนรู้

เมื่อนำแนวคิดจากการศึกษาวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องมาปรับใช้กับการศึกษาขั้นพื้นฐาน สรุป
แนวทางการดำเนนิ งานตามข้ันตอน 5 ขัน้ ตอน ดังรายละเอียดตอ่ ไปนี้

1) การระบุปัญหา หรือความต้องการ รวมทั้งการระบุเงื่อนไขหรือข้อจำกัดที่มี การรวบรวม
แนวทางแก้ปัญหาที่เป็นไปได้ การวิเคราะห์ความต้องการในการการเรียนรู้ ในรูปแบบของภาระงาน

55

(task) ช้นิ งาน(Job) หรือโครงการ(Project) ผเู้ รยี นต้องกำหนดปัญหาท่ชี ัดเจนเพื่อให้ไดร้ ับการตอบสนอง
ในการศกึ ษาเรียนร้ทู ่ีชัดเจน ตามท่ี Osborne and Wittrock (1983: 489 – 508) อธิบายไว้วา่ ผสู้ อนและ
ผเู้ รียนจะต้องวเิ คราะหค์ วามต้องการในการเรียนรู้ เพอ่ื กำหนดจุดหมายการเรยี นรู้ของบทเรยี น ในทำนอง
เดียวกนั Murphy (1997: 6-8) ไดร้ วบรวบแนวคดิ ของนักการศึกษาเก่ียวกับการจดั การเรียนการสอนตาม
แนวคอนสตัคติวิสท์ไว้ว่า ผู้เรียนเป็นผู้กำหนดเป้าหมายและจุดหมายการเรียนของตนเอง หรือผู้เรียนกับ
ผู้สอนร่วมกันกำหนดจุดมุ่งหมายของการเรียนการสอน โดยที่ผู้เรียนจะต้องมีความชัดเจนว่า เมื่อสิ้นสุด
การ เรียนรตู้ ามบทเรยี นแลว้ ผเู้ รียนจะตอ้ งบรรลจุ ุดมงุ่ หมายคือมีความรอู้ ะไร และหรือมที ักษะอะไร

2) การออกแบบหรือการวางแผนแก้ปัญหา ได้แก่ การออกแบบการเรียนรู้หรือเลือกกลยุทธ์ใน
การแก้ปัญหา ระบุแนวคิด/แนวทางที่จะช่วยแก้ปญั หา ตรวจสอบวัสดุอุปกรณ์ที่มีอยู่และที่จะต้องจัดหา
เพิ่มเติม พร้อมระบุวัสดุอุปกรณ์แต่ละชนิดมีลักษณะและคุณสมบัติอย่างไร ในการออกแบบ วางแผน
แก้ปัญหาเป็นกิจกรรมการเรียนรู้รายบุคคลและกลุ่มย่อย การเรียนรู้รายบุคคลจะใหค้ วามสำคัญกับความ
ตอ้ งการ(needs) และ ความสามารถ(abilities) ของผ้เู รยี นซึ่งเปน็ ฐานของการเรยี นรู้ ท่ีสอดคล้องแนวคิด
Subject-Based Banding (http://www.moe.gov.sg:online) ในการออกแบบ วางแผนแก้ปัญหา
ผู้เรียนจะตองสืบเสาะหาความรู้จากสื่อดิจิทลั ในยุคการศึกษา 4.0 ดังท่ี BEL and Mallet, (2006 ) สรุป
ไว้วา่ การพัฒนากจิ กรรมการเรยี นรู้แบบกระตือรือร้น (active-learning) ต้องมกี ารออกแบบการสอนโดย
ผสมผสานการสอนและเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนร่วมตามแนวคิดสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
(Constructivism) ซึ่งเป็นการเปล่ียนกระบวนทัศน์เดิมที่มุ่งเน้นที่การสอนจากอาจารย์ผู้สอนเป็นหลัก(
Instruction Paradigm) กระบวนทัศน์ใหม่ก็คือ สถาบันการศึกษาจะเปลี่ยนจาก "สถานที่สอน" เป็น
"สถานท่ผี ลิตการเรียนรู้" พนั ธกจิ ของสถาบนั การศึกษาจะถูกปรับเปลย่ี นเป็น การทำให้เกิดการเรียนรู้ของ
ผู้เรียน ด้วยวิถีทางที่ได้ผลดีท่ีสุด ในกระบวนทัศน์ที่มุ่งเน้นการเรียนรู้ การบรรยายของอาจารย์จะลดลง
เป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งในการเรียนรู้ กระบวนทัศน์การเรียนรู้นี้จะทำให้สถาบันการศึกษาเป็นองค์กร
แห่งการเรียนรู้ ผู้เรยี นจะเรยี นรอู้ ย่างต่อเน่ือง ในการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ บทบาทของผู้สอนจะต้องนำ
ดิจิตอล-เทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้แบบ
กระตือรอื รน้ (Active-learning)

3) การสร้างต้นแบบ ช้นิ งาน(Job) หรือโครงการ(Project) ระบุข้นั ตอน/เริ่มทำอยา่ งไร และจะทำ
อะไรต่อไป การสร้างสรรค์ชิ้นงาน โครงการนี้มุง่ ให้ผู้เรียนได้คิดสร้างสรรค์ผลผลิตได้ดว้ ยตนเอง ดังที่ ธีระ
รุญเจริญ (Runcharoen, 2017) ให้ข้อเสนอแนะไว้ว่า การจัดการศึกษาต้อง เน้นการเรียนรู้ด้วยตนเอง
เรียนรู้โดยใช้สื่อเทคโนโลยีตลอดเวลา อาศัยความเร็วในการสื่อสาร ต้องเรียนรู้ได้มากในเวลาอันรวดเร็ว
เน้นทางออกหรือแก้ปัญหาแปลกใหม่โดยการคิดเชิงนวัตกรรม ใช้กระบวนการคิดหลากหลาย ใช้แหล่ง

56

เรียนรู้หลากหลาย ใช้หลักบูรณาการศาสตร์ที่อุบัติขึ้นใหม่ ๆ ใช้อินเตอร์เน็ตเป็นส่วนสำคัญ และอาศัย
ทกั ษะดจิ ิทลั หลายอยา่ ง ทง้ั นยี้ งั เปน็ การตอบสนองความต้องการของผูเ้ รียน มุ่งให้ผู้เรียนการแสวงหาและ
ใช้แหล่งการเรียนรู้ การพัฒนาทักษะการเรียนรู้แบบนำตนเอง ให้ผู้เรียนแต่ละคนเลือกทำกิจกรรมเสริม
การเรียนรู้ตามความต้องการ (Needs) และความสามารถ (Ability) สอดคล้องกับการจัดการเรียนรู้ตาม
แนวคิด Subject Based Banding (http://www.moe.gov.sg) และการบูรณาการความรู้อาศัยความ
ร่วมมือกันในรูปแบบการเรียนรู้แบบทีมเป็นฐาน (Team Based Learning) สอดคล้องกับ Darling-
Hammond & McLaughlin, 1995; Hord, 2009; Louis, Marks, & Kruse,1995) ได้ศกึ ษาวิจัยพบว่า การเรียนรู้
แบบร่วมมือและการทำงานเป็นทีมช่วยให้เกิดการพัฒนาชุมชนแห่งการฝึกฝน (communities of
practice) ทสี่ ง่ เสริมการเปลี่ยนแปลงของสถานศึกษาทั้งในระดับชน้ั เรยี นและโดยภาพรวมซง่ึ สภาพแวดล้อม
ดงั กล่าวทำให้เกดิ กระแสการเปล่ยี นแปลงและการขยายเครือข่ายความรรู้ ะหว่างกลุ่มครภู ายในสถานศึกษา
ได้เป็นอย่างดี ในทำนองเดียวกัน Charles Kivunja (2014 : 81-91) ศึกษาสรุปได้ว่า ในศตวรรษที่ 21
ต้องปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะที่จำเป็น ได้แก่ ทักษะการคิด การแก้ปัญหา การ
ทำงานเป็นทีม และความรับผิดชอบต่อผลงานในสังคมยุคเศรษฐกิจฐานความรู้ Johnson & Johnson
(1994) ได้กล่าวไว้ว่า การเรียนรู้แบบร่วมมือในชั้นเรียนบทเรียนในระดับใด ๆ ก็ตามอาจจัดโครงสร้างให้
เปน็ แบบรว่ มมือได้ ในหน่ึงคาบเรยี นจะประกอบด้วยการให้ผู้เรยี นจบั กลมุ่ กันในกลุ่มพืน้ ฐาน การบรรยาย
ส้ัน ๆ หรือโครงการกลุ่ม และการพบปะของกลุ่มพ้ืนฐานเป็นลำดับสดุ ท้าย ในชว่ งทา้ ยของบทเรียนผู้เรียน
รวมกันในกลุ่มพื้นฐานเพื่อสรุปและสังเคราะห์สิ่งที่ได้เรียนไป โครงสร้างนี้จะทำให้ผู้เรียนตื่นตัวและใช้
สติปญั ญาจดจอ่ กับงานที่ปฏบิ ตั ิ และจดจ่อกบั การเรยี นโดยปกติในชั้นเรียน

4) การประเมินและปรับปรุงต้นแบบ การประเมินการเรียนรู้ ได้แก่ สรุปแนวทางแก้ปัญหา
ทบทวนแนวทางแก้ปัญหา ระบุแนวทางแก้ปัญหาที่ได้ผลดี ระบุวิธีการสร้าง และผลผลิตที่ได้เป็นอย่างไร
ขั้นตอนนี้กล่าวได้ว่าเป็นการประเมินคุณภาพผลผลิตชิ้นงาน โครงการ ซ่ึงการเรียนรู้จะเป็นการเชื่อมโยง
ความคิดระหว่างจุดหมายในการเรียนรู้กับระดับคุณภาพของการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ในรูปของภาระ งาน
ชิ้นงาน โครงการ เป็นการประเมินแบบสรุปรวม ที่สะท้อนด้านความรู้และทักษะปฏิบัติ หรือกล่าวได้ว่า
การประเมินอิงมาตรฐานทผ่ี ้เู รียนสามารถตรวจสอบทบทวนได้ดว้ ยตนเองว่าผู้เรียนบรรลุส่ิงที่ผู้เรียนต้องรู้
และปฏิบัติได้ด้วยตัวเอง ในขั้นการการประเมินนี้มุ่งให้นักศึกษาประเมินการสร้างสรรค์ชิ้นงาน โครงการ
โดยกำหนดระดับคุณภาพความสร้างสรรค์จากการวิเคราะห์การประเมินการเรียนรู้ด้านความรู้
(Cognitive Domain) ในขั้นการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ การวิเคราะห์ (Analyzing) การประเมิน
(Evaluating) และการสร้างสรรค์ (Creating) ทั้งนี้อาศัยกลวิธีการสอนที่ Marzano & Pickering, (1997)
ได้สรปุ ไว้ 3 ส่วน คอื 1) การสรา้ งสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ (Creating the Environment for Learning)
ซึ่งกลวิธีในส่วนที่ 1 น้ีจะเป็นพื้นฐานสำคัญให้กับการเรียนในทุกบทเรียน เมื่อครูสร้างสภาพแวดล้อมการ

57

เรียนรู้ ย่อมจูงใจและทำให้ผู้เรียนเกิดความคาดหวังและเรียนรู้อย่างมีความหมาย โดยการดูแลให้ข้อมูล
ย้อนกลับ (Feedback) เพื่อการพัฒนาเปิดโอกาสให้ผู้เรียน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ พัฒนาทักษะการเรียนรู้
ร่วมกับผู้อื่น ตลอดจนเรียนรู้การติดตามและพัฒนาความรู้ของตนเอง 2) การช่วยพัฒนาความรู้ความ
เข้าใจให้กับผู้เรียน (Helping students Develop Understanding)กลวิธีในส่วนที่ 2 นี้เป็นการช่วย
ผู้เรียนในการพัฒนาความรู้ความเข้าใจ จัดลำดับองค์ความรู้และเชื่อมโยงความรู้เก่ากับองค์ความรู้ใหม่
จัดการกับความรู้ ตรวจสอบความรู้ สร้างมโนทัศน์ (Concept) ที่ถูกต้อง ซึ่งกระบวนการบูรณาการและ
เรียนรู้กระบวนการในแต่ละประเภทของความรู้จะเกี่ยวข้องกับ (1) การสร้างขั้นตอนที่จำเป็นในแต่ละ
กระบวนการหรือทักษะ (2) พัฒนามโนทัศน์และความเข้าใจในกระบวนการและการปฏิบัติอย่าง
หลากหลาย (3) ปฏิบัติตามทักษะที่พัฒนาขึ้นอย่างเป็นประจำ และ 3) ช่วยผู้เรียนในการขยายและ
ประยุกต์ใช้ความรู้ (Helping students Extend and Apply Knowledge) ซึ่งนำไปสู่แนวคิดการถอด
บทเรยี น

5. การถอดบทเรียน เป็นการตอบคำถามว่า ผลลัพธ์ตามจุดหมาย (Goals) ที่กำหนดไว้
หรือไม่ ได้ทั้งความรู้ และทักษะการปฏิบัติ มีปัจจัยหรอื เหตุผลที่บรรลตุ ามจุดหมายหรือไม่บรรลุจดุ หมาย
อย่างไร มีการเรียนรู้ (ความรู้ที่ได้) บทเรียนที่ได้ และแนวคิดการพัฒนางานในอนาคต อาจกล่าวได้ว่า
ผู้เรยี นไดร้ ับความรู้ ทกั ษะที่จะนำมาปรับใช้ในการทำงานในชีวิตจริง หรอื การสอ่ื สารกับคนอื่น ๆ และหรือ
ทำให้สามารถทำงานได้ดีขึ้น อาจเป็นการทำงานได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น ได้ผลมากขึ้น เป็นต้น ซึ่งแนวคิด
ดังกลา่ วขา้ งตน้ นส้ี อดคล้องกบั กลวิธกี ารสอนที่ Marzano & Pickering, (1997) กลวธิ ีในสว่ นที่ 3 คือ ช่วย
ขยายและประยุกต์ใช้ความรู้ คอื เปน็ การชว่ ยให้ผ้เู รียนมคี วามร้มู ากกว่าคำตอบท่ีถกู ตอ้ ง (right answer)
โดยให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ ขยายองค์ความรู้โดยนำความรู้กับไปใช้ในโลกแห่งความเป็นจริง ( Real-
world Contexts) โดยใช้กระบวนการของเหตแุ ละผล และถึงเป็นการเรียนร้อู ยา่ งมีความหมาย

58

โครงสร้าง – พฒั นาสมรรถนะ(ทักษะ)ตามหลกั สตู ร

แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ ....... ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 3
เวลาเรียน ......... ช่ัวโมง
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้……………………………… เวลาเรยี น .......... ชว่ั โมง
หนว่ ยการเรียนรู้ที่ ....... เรื่อง ................................................ รหสั วิชา ................
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี ....... เรอื่ ง...........................................
รายวิชา..................................

สาระสำคัญ
เพอ่ื พัฒนาสมรรถนะ(ทักษะ)ตามหลกั สตู รการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พ.ศ. 2551 ปรบั ปรุง 2560

ได้แก่
สมรรถนะที่ 1 ความสามารถในการสื่อสาร
สมรรถนะท่ี 2 ความสามารถในการคิด
สมรรถนะท่ี 3 ความสามารถในการแกป้ ัญหา
สมรรถนะท่ี 4 ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ิต
สมรรถนะท่ี 5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

กระบวนการพัฒนา HOTS
เพื่อพัฒนาให้นักศึกษามีความรู้และทกั ษะในการจดั การเรียนรู้ตามแนวคิดกระบวนการออกแบบ

เชิงวศิ วกรรมและ แนวคดิ NPU Teaching and Learning Paradigm ดังต่อไปนี้
1) การระบุปัญหา หรือความต้องการ รวมทั้งการระบุเงื่อนไขหรือข้อจำกัดที่มี การรวบรวม

แนวทางแก้ปัญหาที่เป็นไปได้ การวิเคราะห์ความต้องการในการการเรียนรู้ ในรูปแบบของภาระงาน
(task) ชิ้นงาน(Job) หรือโครงการ(Project)

2) การออกแบบหรือการวางแผนแก้ปัญหา ได้แก่ การออกแบบการเรียนรู้หรือเลือกกลยุทธ์ใน
การแก้ปัญหา ระบุแนวคิด/แนวทางที่จะช่วยแก้ปัญหา ตรวจสอบวัสดุอุปกรณ์ท่ีมีอยู่และที่จะต้องจดั หา
เพมิ่ เตมิ พร้อมระบุวสั ดอุ ุปกรณ์แตล่ ะชนิดมลี ักษณะและคณุ สมบุตอิ ย่างไร

3) การสร้างตน้ แบบ ชิ้นงาน(Job) หรือโครงการ(Project) ระบขุ ้นั ตอน/เริ่มทำอย่างไร และจะทำ
อะไรตอไป และ

59

4) การประเมินและปรับปรุงต้นแบบ การประเมินการเรียนรู้ ได้แก่ สรุปแนวทางแก้ปัญหา
ทบทวนแนวทางแก้ปัญหา ระบุแนวทางแกป้ ัญหาทีไ่ ดผ้ ลดี ระบุวิธีการสร้าง และผลผลติ ทีไ่ ด้เป็นอยา่ งไร

5) การถอดบทเรียน เป็นการตอบคำถามว่า ผลลัพธ์ตามจุดหมาย(Goals)ที่กำหนดไว้หรือไม่
ได้ทั้งความรู้ และทักษะการปฏิบัติ มีปัจจัยหรือเหตุผลท่ีบรรลุตามจุดหมายหรือไม่บรรลุจุดหมายอยา่ งไร
มีการเรียนรู้ (ความรทู้ ีไ่ ด)้ บทเรยี นท่ไี ด้ และแนวคดิ การพฒั นางานในอนาคต

เนอ้ื หา
สาระความรู้ ตามหลักสตู รการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 ปรบั ปรงุ 2560

การฝึกปฏิบตั ิ
ข้นั การนำ
1. ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันทำความเข้าใจในการปฏิบัติ ตามแนวคิดกระบวนการออกแบบเชิง

วิศวกรรมและ แนวคิด NPU Teaching and Learning Paradigm เริ่มจากทบทวนประสบการณ์เดิม
เก่ียวกับเร่อื งทจ่ี ะเรยี น การเรียนการสอนแบบปกติ และการเรียนการสอนแบบสร้างความรู้

กิจกรรมดังกล่าวน้ีสามารถใช้กระบวนการกลุ่มร่วมมือกันเรียนรู้ การเรียนรู้เป็นทีม(Team Based
Learning) กำหนดบทบาทหนา้ ท่ีเปน็ ประธาน เลขานกุ าร และสมาชกิ

ข้นั ปฏบิ ตั ิ
ผู้เรียนร่วมกันวางแผนจัดการเรียนรู้ โดยนำสาระ มาตรฐานและตัวชี้วัด สมรรถนะ และ
คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ เพื่อปฏบิ ตั กิ จิ กรรมตามลำดับต่อไปน้ี
1. การระบปุ ัญหา หรือ สมรรถนะที่ต้องการพัฒนา

1.1 บทบาทผู้สอน : ใชค้ ำถามสร้างความคิดเกีย่ วกบั การกำหนดจุดหมายการเรียนรู้(Learning
Goals) ความรู้และทักษะ(การปฏบิ ตั )ิ อะไรทผ่ี ูเ้ รียนจะได้รับหลงั จากไดเ้ รียนรู้โดยทจ่ี ดุ มุ่งหมายการเรียนรู้
จะถูกระบวุ ่า ผเู้ รียนจะต้องเรียนรู้อะไร และหรือสามารถท่ีจะทำอะไรได้ การกำหนดจุดหมายการเรยี นรู้
อาศยั แนวคิดจดุ มงุ่ หมายการศึกษาของบลมู (Bloom. 1956) และจดุ มุ่งหมายการศึกษาของมารซ์ าโน
(Marzano. 2000)

1.2 บทบาทผู้เรียน : เขียนเกี่ยวกับการกำหนดจุดหมายการเรียนรู้ของตนเอง จุดมุ่งหมาย
การศึกษาตามหลักสูตรอิงสมรรถนะ โดยระบุความรู้ในรูปของสารสนเทศ(declarative knowledge)
และระบุทักษะหรือกระบวนการ (procedural knowledge) สรปุ ใหไ้ ด้ว่าต้องการพฒั นาสมรรถนะอะไร

2. การออกแบบหรือการวางแผนแกป้ ัญหา
2.1 บทบาทผู้สอน : ใช้คำถามเพื่อช่วยให้ผู้เรยี นมีความชัดเจนทั้งในเรื่องของจุดมุ่งหมายการ

เรียนรู้และวิธีการเรียนรู้(learning style) สรุปสองขั้นแรก ผู้สอนจะต้องทบทวนจุดมุ่งหมายและ

60

กิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อการบรรลุจุดหมายการเรียนรู้ - สมรรถนะที่สำคัญ คำถามเกี่ยวกับความรู้ที่ได้
เรียนรู้ในส่วนที่เป็นสาระความรู้ Declarative knowledge หรือ What student will understand
และสว่ นที่เป็นทกั ษะ Procedural knowledge หรือ What student will be able to do ข้อเสนอแนะ
กิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือกัน ตามแนวคิด Elizabeth Cohen รูปแบบ Complex Instruction
คล้ายคลึงกับรูปแบบ G.I (Group Investigation) ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนช่วยกันสืบค้นข้อมูลมาใช้ในการ
เรียนรู้ร่วมกัน เพียงแต่รูปแบบคอมเพล็กจะเน้นการสืบเสาะหาความรู้เป็นกลุ่มมากกว่าการทำเป็น
รายบคุ คล

2.2 บทบาทผู้เรยี น : ศกึ ษาความรู้เก่ียวกบั ทรัพยากรและส่ิงแวดล้อมในการเรียนรู้ท่ีส่งเสริม
สนับสนุนให้บรรรลุจุดมุ่งหมายในการเรียนรู้ แนวคิดการออกแบบการเรียนรู้ที่เป็นสากล (Universal
Design for Learning : UDL) กำหนดผลิตภัณฑ์ที่ผู้เรียนจะนำใช้ในการเรยี นรู้ (เอกสาร หนังสือ หรือสื่อ
การเรียนรู้อื่น ๆ )ที่เป็นสาระการเรียนรู้และเสนอแนะ/การจัดสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้การนำเสนอความรู้
เกีย่ วกับหลกั การในการออกแบบการเรยี นรู้ท่ีเปน็ สากล (Scott,, Shaw and McGuire. 2001)

3. การสร้างต้นแบบ ชนิ้ งาน(Job) หรือโครงการ(Project)
ผู้เรียนร่วมกันเรียนรู้แบบทีม(Team Based Learning)ตรวจสอบความเข้าใจในมโนทัศน์การ
เรียนรู้ ในประเด็นตา่ ง ๆ ดงั น้ี

3.1 จัดเตรียมบทสรุปความรทู้ ่ีได้ศึกษาคน้ คว้าจากส่ือเอกสาร หนงั สือ หรอื สื่อการเรียนรู้อ่ืน
ๆ รวมถึงสง่ิ แวดล้อมการเรียนรู้ (ห้องสมุด หอ้ งคอมพวิ เตอร์ เปน็ ตน้ )

3.1.1 บทบาทผู้สอน : ใช้คำถามสร้างความคิดเกี่ยวกับการเลือกกลยุทธการเรียนรู้
เกี่ยวกับการผลิตและหรือจัดหาจัดทำหรือชี้แนะผลิตภัณฑ์การศึกษา (Educational Product :
Textbooks Website lab equipment Computers software เป็นต้น) และสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้
(Learning Environment : Student Union Building, Libraries, Classroom เป็นต้น) ที่จะช่วยให้
ผู้เรียนประสบความสำเร็จในการเรียนรู้ ทั้งในรูปแบบการเรียนรู้แบบนำตนเอง (Self-direct Learning)
การเรียนรู้แบบร่วมมือกัน (Cooperative Learning) และหรือการเรียนรูแ้ บบทมี เป็นฐาน(Team Based
Learning) เป็นต้น

3.1.2 บทบาทผู้เรียน : ร่วมคิดและปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้(Learning Activity) โดย
เริ่มจากกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้เรียนเข้าใจง่ายซึ่งจะช่วยกระตุน้ การเรียนรูไ้ ด้ดยี ิ่งขึ้น ผู้เรียนมีอิสระในการ
เลือกกิจกรรมการเรียนรู้ของตนเองและต้องเป็นผู้ปฏิบัติด้วยตนเองเสมอ จุดเน้นอยู่ที่"ผู้เรียนได้เรียนรู้
อะไร มากกว่าท่จี ะตอบคำถามว่าผ้สู อนสอนอะไรหรือทำอะไร ผ้เู รียนจะต้องออกแบบการเรียนของตนเอง
โดยอาศัยการกระทำใด ๆ ของผู้สอนทชี่ ว่ ยสง่ เสรมิ สนบั สนุนการเรียนรขู้ องผเู้ รยี นใหบ้ รรลจุ ดุ มุ่งหมายการ
เรยี นรู้

3.2 สืบค้นความรู้เพิ่มเติมจากสื่อดิจิทัล(D: Digital learning)ที่เรียนรู้ได้ทั้งแบบ Online
และ On Mobile จาก Mobile learning

61

3.2.1 บทบาทผู้สอน : สร้างความคิดที่ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ที่ใช้เทคโนโลยีเป็น
ฐาน การให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และหาคำตอบจากสื่อสังคมออนไลน์ การเรียนรู้ออนไลน์ สภาพแวดล้อมการ
เรียนรู้ที่มีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้น เทคโนโลยีที่โดดเด่นที่กำลังทำให้สิ่งของทุกสรรพสิ่งสามารถ
เช่ือมตอ่ กนั ได้ นั่นคือ Internet of Everything (IoE) ในข้ันตอนน้เี สนอแนะให้นำการเรียนรู้แบบร่วมมือ
กัน (Cooperative Learning) ในการเรียนจากสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial
Intelligence : AI)

3.2.1 บทบาทผเู้ รยี น :ปรบั เปล่ียนกระบวนการการเรียนรู้ การเรยี นรู้ คอื กระบวนการ
ทางสังคม ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และหาคำตอบได้จากสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ใหม่โดยใช้อินเตอร์เน็ต
เว็บไซต์ สื่อดจิ ทิ ัลทำใหเ้ กิดโอกาสใหผ้ ู้เรยี นเขา้ ถงึ และมปี ฏสิ มั พนั ธก์ บั แหล่งสารสนเทศ และกลุ่มผู้เรียนรู้
ดว้ ยกัน ผเู้ รยี นร่วมกนั เรียนรจู้ ากสิ่งแวดลอ้ มการเรยี นร้ปู ญั ญาประดษิ ฐ์ (Artificial Intelligence : AI)

3.3 การบรู ณาการความรู้ ในรูปแบบภาระงาน ชิ้นงานและโครงงาน
3.3.1 บทบาทผู้สอน : จัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ ที่มีลักษณะการบูรณาการแบบ

สอดแทรก(Infusion) แบบคู่ขนาน (parallel) แบบพหุวิทยาการ (multidisciplinary) แบบข้ามวิชา
(trans-disciplinary) การจัดการเรียนรู้จะบูรณาการเข้ากับชีวิตจริง โดยการเรียนรู้จากสิ่งที่ใกล้ตัวแล้ว
ขยายวงกวา้ งออกไป ปฏิบตั ิการเขยี นแผนจดั การเรยี นรู้ดว้ ยการสรา้ งและพฒั นารปู แบบการเรยี นการสอน
หรือกระบวนเรียนการสอน ด้วยการประยุกต์จากทฤษฎีและหลักการจัดการเรียนรู้แบบสรรค์นิยม
(Constructivist)

3.3.2 บทบาทผู้เรียน : ร่วมกันเรียนรู้อย่างมีความหมาย เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ใช้
ความรู้ความคิด และทักษะที่หลากหลาย พัฒนาความสามารถของผู้เรียนในการเผชิญสถานการณ์
การตัดสินใจ และการแกป้ ัญหา การพฒั นาทางด้านการคิด การปฏิสัมพันธ์และการทำงานเป็นทีม (Team
Based Learning) เป็นตน้

4. การประเมินและปรับปรุงต้นแบบ ตรวจสอบความเข้าใจในมโนทัศน์การเรียนรู้ ในประเด็น
ผู้เรียนการประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยกำหนดคา่ คะแนนจากการวิเคราะห์การประเมินตามแนวคิด
ของบลูม (Bloom's Taxonomy) ดา้ นความรู้ (Cognitive Domain)

4.1 บทบาทผู้สอน : เสนอแนะแนวคิดของ Biggs and Collis (1982) ที่นำเสนอระบบท่ี
นำมาช่วยอธบิ ายว่า ผู้เรียนมีพัฒนาการท่ีการปฏิบัติท่ีซบั ซ้อนอยา่ งไร โดยนิยามจดุ ประสงค์ของหลกั สตู ร
ในสภาพที่พึงประสงค์ของการปฏิบัติ เพื่อประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนแต่ละคนที่ปฏบิ ัติไดจ้ ริง ซึ่งจะ
ช่วยให้ทง้ั ผ้สู อนและผูเ้ รยี นตระหนกั ถงึ องคป์ ระกอบท่ีหลากหลายจากหลักสูตรได้อย่างแจ่มชดั ขึน้ แนวคิด
นี้เรียกว่า โครงสร้างการสังเกตผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Structure of Observed Learning Outcome
: SOLO Taxonomy) ส่วนจัดกิจกรรมเพื่อช่วยให้มีความรู้ความเข้าใจและทักษะในการทบทวนตนเอง
หลงั สอน ซ่ึงอาจเกดิ ขนึ้ ไดท้ ้งั ก่อนการเรยี นการสอน ระหวา่ งการสอน และหลงั จากสอนจบบทเรยี นแล้ว

62

4.2 .บทบาทผเู้ รียน : การทบทวนตนเองเป็นกระบวนการของการปฏิบตั งิ านอาชีพ เปน็
ความจำเป็นพื้นฐานสำหรับมนษุ ย์ ในทีน่ เ้ี สนอแนะการทบทวนตนเอง ตามแนวคดิ ของ Anthony Ghaye
and Kay Ghaye (1998)

ภาพประกอบที่ 4 การทำความเขา้ ใจ การทบทวนตนเองหลังการสอน ผลลัพธ์ท่มี ีคณุ ค่า
ปรับจาก Anthony Ghaye and Kay Ghaye (1998) Teaching and learning through
critical reflective practice อุสมุ า ชนื่ ชมพู ผู้แปล 2546 : 22)
การทบทวนตนเองเป็นกระบวนการที่ควรปฏิบัติ เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ กระบวนการนี้
เป็นความจำเป็นพ้นื ฐานสำหรับมนุษย์ด้วย บอเมสเตอร์Baumeister,R(1991) กล่าววา่ ชีวิตมีความหมาย
เมื่อเราสนองความต้องการ 4 ประการเหล่านี้ได้แก่ 1. ด้านวัตถุประสงค์ 2. ด้านค่านิยม 3. ด้าน
ประสิทธิผล และ 4. ด้านความพงึ พอใจในตนเอง การทบทวนตนเองชว่ ยให้เราเข้าใจการเรียนการสอนคำ
ว่า“การทำความเข้าใจ” Weick,K (1995) กล่าวว่า การทำความเข้าใจเป็นความคิดและกระบวนการที่
ซบั ซอ้ น
“ความเข้าใจ” ยังหมายถึง การเพิ่มความระมัดระวังในการมีปฏิสัมพันธ์ในกลุ่มและในสภาวะ
แวดล้อมที่เราสอน ชั้นเรียนของเราเป็นสภาวะแวดล้อมของการเรียนการสอนท่ีพิเศษ เพราะเราสร้าง
สภาวะแวดล้อมขึ้นมาและเราก็สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ แต่อย่างไรก็ตามสภาวะแวดล้อมก็มีผลกับ
วิธีการสอนของเราด้วย เช่น ในห้องเรียนขนาดเล็กและแออัดกิจกรรมที่ทำได้ก็จะเป็นเพียงประเภทที่ไม่
ต้องใชโ้ ต๊ะ
“ความเข้าใจ” มิได้เป็นเพียงกระบวนการสนทนากับตัวเองเกี่ยวกับเรื่องการสอนเท่านั้นแต่
เกี่ยวข้องกับการได้ความรู้จากการสนทนากับเพื่อนครูด้วยกัน และเปลี่ยนประสบการณ์กันและกัน
กระบวนการนี้เปน็ กระบวนการต่อเนื่องที่ต้องการความเปน็ คนช่างสงั เกต ต้องสงั เกตความเป็นไปในอาชีพ
ถา้ เหน็ ว่ามอี ะไรเกิดขึน้ ต้องหาเหตุผลมาอธิบายเร่ืองที่เกิดขึ้นได้ เชน่ ตอ้ งสังเกตเห็นว่าเด็กคนไหนพูดคุย

63

กนั อยตู่ ลอดเวลา เดก็ คนไหนจบั ดินสอไม่ถูกวิธี คนไหนรักการอ่าน คนไหนเก่งทดลองวิทยาศาสตร์และคน
ไหนใช้เครอ่ื งบันทึกเทปไดเ้ กง่

รูปแบบการสะท้อนความคิดนี้ มีลักษณะเด่น 4 ประการ คือ เป็นวงจรมีความยืดหยุ่น มีประเด็นท่ี

เนน้ และมลี ักษณะเปน็ องค์รวม

1. มีลักษณะเป็นวงจร การทบทวนตนเองและการปฏิบัติเป็นกระบวนการที่ดำเนิน
ต่อเนอื่ งกันเป็นวงจร เม่ือกระบวนการเรมิ่ แลว้ จะไม่มีการถอยหลังกลบั ไปส่จู ุดเริ่มตน้ พดู ใหช้ ดั เจนย่ิงข้ึนก็
คือ การทบทวนตนเองหลงั การสอน จะนำเราไปสูว่ งจรใหม่ทปี่ รับปรงุ แล้วต่อไป

2. มคี วามยดื หยนุ่ รปู แบบทจี่ ะนำมาใช้จำเป็นจะต้องมีความยืดหยุ่น จะต้องไม่เป็นแบบ
ทม่ี ลี กั ษณะเป็นขั้นตอน เหตุผลที่เปน็ เชน่ นี้มีอยู่ 2 ประการ คือ
ประการแรก การทบทวนตนเองหลงั การสอนมีจุดเริม่ ตน้ ที่แตกต่างกัน เชน่
ครูคนหนึ่งอาจจะเริ่มต้นเมื่อเกิดความรู้สึกคับข้องใจที่ไม่สามารถใช้วิธีการที่ตนเองต้องการเพื่อยกระดับ
คุณภาพการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนได้ เนื่องจากเพื่อนร่วมงานมีความเห็นที่แตกต่างกันออกไป
พวกเขาไมเ่ ขา้ ใจวา่ วธิ กี ารนีจ้ ะใชใ้ ห้สมั ฤทธ์ผิ ลได้อย่างไร

ครูอีกคนหนึ่งอาจคิดทบทวนสิ่งซึ่งเขาได้ทดลองใช้กับนักเรียนของเขา (งานเขียนซึ่งครู
และนักเรยี นทำรว่ มกัน) และคดิ ว่าเหตุใดจงึ ไมไ่ ดผ้ ล ครูอีกคนหน่งึ อาจเรมิ่ จากส่ิงที่เขาเชื่อว่าจำเป็นต้องใช้
(เขาต้องการเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์เพิ่มเพื่อพัฒนาคุณภาพการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียน) แต่ดู
เหมอื นวา่ จะไมส่ ามารถหามาได้

ครูอีกคนหนึ่งที่สอนอยู่ในโรงเรียนเล็ก ๆ ในชนบทอาจต้องการสร้างความสัมพันธ์กับ
โรงเรยี นอน่ื ๆ ในละแวกเดียวกัน ตลอดจนกับธรุ กจิ ตา่ ง ๆ หรอื บริษัทหา้ งรา้ นในท้องถิ่นเพม่ิ ขึ้น จุดเริ่มตน้
ที่แตกต่างกันมาจากค่านยิ มของครูและวิธีการทำงานของครู ในการที่จะผลักดันสิ่งต่าง ๆ ให้เกิดขึ้น และ
ปรับปรุงส่งิ ตา่ ง ๆ ใหด้ ขี ้ึน หรอื คา่ นิยมเกยี่ วกบั โรงเรียนในชุมชนท่ีกว้างขน้ึ

ประการทส่ี อง รปู แบบการทบทวนตนเองต้องมีความยืดหยุ่นเพ่ือให้สอดคล้องกับวิธีการ
เรียนรู้ การปรับปรุงการเรียนการสอนไม่จำเป็นต้องดำเนินไปในรูปแบบที่คงที่ และมีขั้นตอนเป็นลำดับ
เชน่
ครูคนหนึ่งอาจเลือกทีจ่ ะทบทวนวธิ กี ารสอนของเขาก่อน สิง่ หน่งึ ทเ่ี ขาอาจจะเรยี นรู้จากการทบทวนตนเอง
ก็คือ เขาเปิดโอกาสให้เด็กไดค้ ิดเองทำเองน้อยเกินไป เขามักจะคอยชี้แนะควบคุม และสอนหรือบอกเด็ก
ตรง ๆ เมื่อรู้เช่นนี้เขาอาจลองทบทวนค่านิยมหรือความเชื่อของตนเอง (หากต้องการเปลี่ยนแปลงวิธี
สอน) แล้วหลังจากนน้ั อาจจะทบทวนต่อไปว่าจะปรับปรงุ การสอนและการเรยี นรู้ของเด็กอยา่ งไร
ครูคนอื่นอาจจะเริ่มที่การทบทวนถึงสภาวะแวดล้อมซึ่งก็คือโรงเรียนที่เขาสอน โรงเรียนอาจจะตั้งอยู่ใน
ย่านยากจนชานเมือง ความสัมพันธ์ระหว่างครูและผู้ปกครองอาจจะไม่ค่อยมี ในกรณีเช่นนี้ควรจะต้องมี
การพัฒนาความสัมพันธ์กับชุมชน และโรงเรียนจะต้องเพิ่มบทบาทของตนเอง ต้องหาเงินเพิ่มขึ้นเพ่ือ
พัฒนาบุคลากร เป็นต้น จากการทบทวนสภาวะแวดล้อมอาจจะตามมาด้วยการพิจารณาว่าสภาวะ

64

แวดล้อมมีผลกระทบต่อการสอนได้อย่างไรบ้าง ซึ่งอาจจะย้อนไปสู่เรื่องค่านิยมของครูและโรงเรียนใน
ภาพรวม ดังนั้นค่านิยม การปฏิบัติ การปรับปรุงและสภาวะแวดล้อม จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องทบทวน
สว่ นลำดับขัน้ ตอนในการคิดนนั้ แตกตา่ งกนั ออกไปในแต่ละบุคคล

3. มีประเด็นที่เน้น การมีความยืดหยุ่น มิได้หมายความว่าจะคิดวกวนอยู่กับปัญหา
เกี่ยวกบั การสอนหรือวติ กกงั วลในเรือ่ งดังกล่าวโดยหวังวา่ ครจู ะพบทางออกเอง การคดิ จะต้องมีประเด็นท่ี
เน้นและมีทิศทางเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่มีความหมาย ในการนี้ควรใช้ภาพประกอบที่ 7 เป็นแผนที่เพื่อ
ช่วยชี้ทศิ ทางและจำกัดความสนใจ รูปแบบดงั กลา่ วจะช่วยให้เห็นทิศทางโดยรอบ และเห็นแนวทางต่าง ๆ
ที่อยู่เบื้องหน้าช่วยให้เข้าใจจุดสำคัญทางการศึกษาที่จำเป็นจะต้องสำรวจ รูปแบบนี้มีส่วนที่ควรจะ
พิจารณา 4 จุด คือ ค่านิยม การปฏิบัติ การปรับปรุงและสภาวะแวดล้อม โดยครูจะเลอื กพิจารณาจุดใดก็
ได้ ขน้ึ อยู่กบั ความสนใจ แผนการพฒั นาอาชีพของตนเอง และปัญหาต่าง ๆ

4. มีลักษณะเป็นองค์รวม จากรูปนี้ เราจะมองเห็นการเรียนการสอนภาพรวม เห็นการ
เชือ่ มโยงค่านยิ มในวชิ าชพี เขา้ กับการปฏิบตั ิ การเช่ือมโยงการสอนเข้ากบั ความต้ังใจของครทู ่จี ะพัฒนาการ
เรียนรู้และพัฒนาอาชีพ ทำให้ครูเห็นว่าไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดของรูปแบบนี้ทำงานอยู่ในสภาพหยุดการ
เปลี่ยนแปลง แต่เป็นการทำงานอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงและมักจะมีความไม่แน่นอน
รวมอยดู่ ว้ ย

5. การถอดบทเรียน เป็นการตอบคำถามว่า ผลลพั ธต์ ามจุดหมาย(Goals)ที่กำหนดไว้
หรือไม่ ไดท้ ้ังความรู้ และทักษะการปฏบิ ัติ โดยเฉพาะสมรรถนะท่ีกำหนดเปน็ จดุ หมายการพัฒนาผู้เรยี น
การบรรลสุ มรรถนะตามมาตรฐานมีความสำคญั อย่างยง่ิ สมรรถตามมาตรฐานเปน็ ตวั กระตนุ้ การสอนที่
ประสบผลดที ่สี ุด

5.1 บทบาทผู้สอน : จดั กิจกรรมการเรยี นรู้ ให้ผ้เู รียนได้ความรู้ และทักษะไปใช้ ชว่ ย
ขยายและประยกุ ต์ใชค้ วามรู้ คอื เปน็ การช่วยใหผ้ ู้เรยี นมีความรู้มากกวา่ คำตอบที่ถกู ต้อง (right answer)
โดยใหผ้ ู้เรยี นได้เกิดการเรียนรู้ ขยายองคค์ วามร้โู ดยนำความรู้กบั ไปใช้ในโลกแห่งความเป็นจรงิ (Real-
world Contexts) โดยใชก้ ระบวนการของเหตุและผล และถึงเปน็ การเรียนรอู้ ย่างมีความหมาย

5.2 บทบาทผเู้ รยี น : ฝกึ ปฏบิ ัติการตอบคำถามว่า การเรยี นรู้ของผู้เรียนได้ผลลพั ธ์
ตามจุดหมาย(Goals)ทก่ี ำหนดไว้หรอื ไม่ การได้รบั ท้ังความรู้ และทกั ษะการปฏิบตั ิ มปี จั จยั หรือเหตุผลที่
บรรลุตามจุดหมายหรอื ไมบ่ รรลุจุดหมายอยา่ งไร มกี ารเรยี นรู้ (ความรทู้ ีไ่ ด้) บทเรียนที่ได้ และแนวคิดการ
พัฒนางานในอนาคต อาจกล่าวไดว้ า่ ผู้เรยี นได้รับความรู้ ทักษะท่ีจะนำมาปรบั ใชใ้ นการทำงานในชวี ิตจรงิ
หรือการส่อื สารกบั คนอืน่ ๆ และหรอื ทำใหส้ ามารถทำงานได้ดขี ึ้น อาจเป็นการทำงานได้ง่ายข้ึน เรว็ ขึน้
ไดผ้ ลมากขึ้น เปน็ ต้น

65

คณะทำงาน

หัวหน้าโครงการ
1. อาจารย์ปรชั ญา ธงพานิช โทรศพั ท์ 095-5399941
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นครพนม

ผูร้ ่วมโครงการ
2. รองศาสตราจารย์ ดร.นิราศ จันทรจิตร
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั นครพนม
3. ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.พจิ ติ รา ธงพานชิ
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม
4. ดร.สฤษด์ิ ศรีขาว
คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม
5. ดร.จรรยารตั น์ พฤกษานันท์
คณะวิทยาการจัดการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยนครพนม

คณะบรรณาธิการ
ดร.ปาน กิมปี
ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.พรเทพ เมอื งแมน
รองศาสตราจารย์ ดร.สเุ ทพ อ่วมเจรญิ

66

แผนการจัดการเรยี นรูท้ ี่ 1

กลมุ่ สาระการเรียนรูส้ งั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม ช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 3

หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 1 เรอื่ ง การเผยแผพ่ ระพุทธศาสนา และความสำคัญของพระพทุ ธศาสนา จำนวน 3 ชั่วโมง

รายวชิ า สังคมศกึ ษา รหัสวชิ า ส23101

1. มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชว้ี ัด
มาตรฐาน ส 1.1 รแู้ ละเข้าใจประวัติ ความสำคญั ศาสดา หลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนาหรอื ศาสนา
ทตี่ นนับถือและศาสนาอน่ื มีศรทั ธาที่ถูกต้อง ยึดมัน่ และปฏบิ ัตติ ามหลักธรรมเพื่อ
อยรู่ ่วมกนั อย่างสันตสิ ขุ
ตวั ชี้วัด ม.3/1 อธบิ ายการเผยแพร่พระพทุ ธศาสนาหรือศาสนาท่ีตนนบั ถือสูป่ ระเทศตา่ ง ๆ ทั่วโลก
ตัวชวี้ ดั ม.3/2 วิเคราะหค์ วามสำคญั ของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนบั ถือในฐานะท่ีช่วยสร้างสรรค์
อารยธรรมและความสงบสขุ แก่โลก

2. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
2.1 นกั เรียนบอกวธิ ีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในทวีปตา่ ง ๆ ได้
2.2 นกั เรียนอธิบายการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาในทวีปต่าง ๆ ได้
2.3 นกั เรยี นวิเคราะห์ความสำคัญของพระพุทธศาสนาในฐานะท่ชี ่วยสรา้ งสรรค์อารยธรรมได้
2.4 นกั เรียนวิเคราะหค์ วามสำคัญของพระพทุ ธศาสนาในฐานะที่ช่วยความสงบสขุ แกโ่ ลกได้

3. สาระการเรยี นรู้
3.1 การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในทวีปเอเชยี
3.2 การเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาในทวีปยโุ รป
3.3 การเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาในทวปี ออสเตรเลยี
3.4 การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาในทวีปอเมริกา
3.5 ความสำคัญของพระพุทธศาสนาในฐานะทชี่ ว่ ยสร้างสรรค์อารยธรรม และชว่ ยความสงบสุขแก่

ชาวโลก

67

4. ผเู้ รยี นเกิดคุณลกั ษณะอย่างไร
4.1 ความรู้ (K) ทักษะ (P) และเจตคติ (A)

วัตถปุ ระสงค์ ดา้ นความรู้ ดา้ นทกั ษะ ดา้ นเจตคติ
(K) (P) (A)
1. นักเรยี นบอกวธิ ีการเผยแผ่ บอก
พระพทุ ธศาสนาในทวปี ตา่ ง ๆ ได้ อธบิ าย นักเรยี นให้ความร่วมมอื นกั เรยี นมคี วาม-
2. นกั เรยี นอธบิ ายการเผยแผ่ ในการปฏบิ ตั กิ ิจกรรม รบั ผิดชอบในการ
พระพทุ ธศาสนาในทวปี ตา่ ง ๆ ได้ วิเคราะห์ (สมรรถนะสำคัญของ ปฏบิ ัติกจิ กรรม
3. นกั เรยี นวเิ คราะหค์ วามสำคัญของ ผู้เรียน) (คณุ ลกั ษณะ
พระพุทธศาสนาในฐานะที่ช่วยสร้างสรรค์ วิเคราะห์ อนั พงึ ประสงค์/
อารยธรรมได้ ค่านิยม 12 ประการ)
4. นกั เรยี นวิเคราะห์ความสำคัญของ
พระพุทธศาสนาในฐานะทีช่ ่วยความสงบ
สุขแกโ่ ลกได้

4.2 ทกั ษะ/กระบวนการ
4.2.1 ทักษะเฉพาะวชิ า
- ความยืดหยุน่ และการปรับตัว
4.2.2 ทกั ษะคร่อมวชิ า
4.2.2.1 การทำงานกลุม่
4.2.2.4 การคดิ วเิ คราะห์
4.2.2.3 การนำเสนอ

5. สมรรถนะสำคัญของผเู้ รียน
5.1 ความสามารถในการสื่อสาร
5.2 ความสามารถในการคดิ
5.3 ความสามารถในการแกป้ ญั หา
5.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต
5.5 ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี

68

6. คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์
6.1 ซ่อื สตั ย์ สจุ รติ
6.2 มวี นิ ัย
6.3 ใฝ่เรยี นรู้
6.4 มงุ่ มนั่ ในการทำงาน

7. คา่ นิยม 12 ประการ
7.1 ซอ่ื สัตย์ เสียสละ อดทน มอี ดุ มการณ์ในส่ิงที่ดีงามเพือ่ ส่วนรวม (สอดคลอ้ งคุณลักษณะ 6.1)
7.2 ใฝ่หาความรู้ หม่นั ศึกษาเล่าเรยี นท้ังทางตรง และทางอ้อม (สอดคล้องคุณลกั ษณะข้อ 6.3)
7.3 มศี ลี ธรรม รักษาความสตั ย์ หวังดีต่อผู้อืน่ เผื่อแผ่และแบ่งปนั (สอดคล้องคุณลักษณะข้อ 6.1)
7.4 เขา้ ใจเรียนรู้การเปน็ ประชาธปิ ไตย อนั มีพระมหากษัตรยิ ท์ รงเป็นประมขุ ที่ถูกต้อง (สอดคล้อง

คณุ ลกั ษณะข้อ 6.3)
7.5 มีระเบยี บวนิ ยั เคารพกฎหมาย ผ้นู ้อยรู้จักการเคารพผู้ใหญ่ (สอดคลอ้ งคุณลักษณะข้อ 6.2)

8. กระบวนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้
ช่ัวโมงที่ 1
1. ขัน้ ระบปุ ญั หาหรอื ความต้องการ (ความสามารถในการคิด)
1.1 นักเรียนดูรูปภาพพระสงฆ์ในประเทศลาว ประเทศเมียนมา แล้วถามนักเรียนว่า ต้นกำเนิด

ของพุทธศาสนาอยู่ท่ี 2 ประเทศนี้หรือไม่ (ไม่อย)ู่ ถา้ ไมอ่ ยู่ใน 2 ประเทศนี้ พระพทุ ธศาสนามีแหล่งกำเนิด
ที่ใด (อินเดีย) พระพุทธศาสนาเผยแผ่เข้ามาในประเทศอย่างไร (พระเจ้าอโศกมหาราช ได้ส่งสมณทูตจาก
อินเดีย คือ พระโสณะกับพระอุตตระ เดินทางจากชมพูทวีป มาเผยแผ่พุทธศาสนายังดินแดนสุวรรณภูมิ
ซึ่งสันนิษฐานว่า ศูนย์กลางอยู่ที่นครปฐม เนื่องจากได้พบโบราณวัตถุที่สำคัญ เช่นพระปฐมเจดีย์
และรปู ธรรมจกั รกวางหมอบเป็นหลกั ฐานสำคัญ)

1.2 นักเรียนแบง่ กลุ่มออกเป็น 5 กลุม่ โดยคละนกั เรียนที่เรียนเก่ง ปานกลาง อ่อน หรือแบ่งกลุ่ม
ตามอธั ยาศัย และให้แต่ละกลุม่ เลอื กประธาน รองประธาน และเลขานุการกลุม่

1.3 นักเรียนแต่ละกลุ่มระบุปัญหาหรือความต้องการที่นักเรียนอยากเรียนรู้เกี่ยวกับการเผยแผ่
พระพุทธศาสนา และความสำคัญของพระพุทธศาสนาลงในกระดาษเปล่าที่ครูแจกให้ (เช่น การเผยแผ่
พระพุทธศาสนาในทวีปเอเชีย ทวีปยุโรป ทวีปออสเตรเลีย ทวีปอเมริกา ความสำคัญของพระพุทธศาสนาใน
ฐานะที่ช่วยสรา้ งสรรค์อารยธรรม และชว่ ยความสงบสขุ แกช่ าวโลก เปน็ ตน้ )

69

2. ข้นั การออกแบบหรอื วางแผนแกป้ ญั หา (ความสามารถในการแกป้ ัญหา)
2.1 ตัวแทนแต่ละกลุ่มมารับใบงานที่ 1 เรื่อง การเผยแผ่พระพุทธศาสนา และความสำคัญของ

พระพุทธศาสนา
2.2 ประธานกลุ่มกำหนดการทำงาน ได้แก่ กำหนดเวลาทำงาน ให้เพื่อนจับคู่และจับสลาก

มอบหมายงานให้ทำตามใบงานที่ 1 เรื่อง การเผยแผ่พระพุทธศาสนา และความสำคัญของ
พระพทุ ธศาสนา เชน่

2.2.1 คู่ท่ี 1 ทำข้อท่ี 1 การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในทวปี เอเชีย
2.2.2 คทู่ ี่ 2 ทำข้อท่ี 2 การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในทวปี ยุโรป
2.2.3 คทู่ ี่ 3 ทำขอ้ ที่ 3 การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในทวีปออสเตรเลีย
2.2.4 คทู่ ี่ 4 ทำขอ้ ท่ี 4 การเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาในทวปี อเมริกา
2.2.5 ค่ทู ี่ 5 ทำข้อท่ี 5 ความสำคญั ของพระพุทธศาสนาในฐานะทีช่ ่วยสรา้ งสรรค์
อารยธรรม และชว่ ยความสงบสุขแก่ชาวโลก
2.3 นักเรียนแตล่ ะกลมุ่ วางแผนร่วมกนั ในการทำงานท่ไี ดร้ ับมอบหมาย เช่น วิธกี ารศึกษา คน้ ควา้
หนังสือ/เอกสาร/เว็บไซดท์ น่ี ำมาอ้างอิง ลำดับความยากง่ายของงานทีไ่ ด้รับมอบหมาย เป็นตน้
3. ขนั้ การสร้างตน้ แบบ ชนิ้ งาน/โครงการ (ความสามารถในการส่ือสาร)
3.1 นักเรียนแต่ละคู่ชว่ ยกันศึกษาค้นคว้างานที่ได้รบั มอบหมายตามใบงานที่ 1 เรื่อง การเผยแผ่
พระพทุ ธศาสนา และความสำคญั ของพระพทุ ธศาสนา
3.2 นักเรียนแต่ละคู่ช่วยกันทบทวนความถูกต้องของการทำใบงานที่คู่ของตนรับผิดชอบ และ
สร้างความเขา้ ใจใหต้ รงกัน เพ่ือเตรียมการถ่ายทอดความร้ใู หแ้ ก่ค่อู ่นื ในกลมุ่
3.3 นักเรียนแต่ละคู่ถ่ายทอดความรู้ที่ตัวเองรับผิดชอบจากใบงานที่ 1 เรื่อง การเผยแผ่
พระพุทธศาสนา และความสำคัญของพระพุทธศาสนา ให้กับสมาชิกคนอื่นๆ ในกลุ่ม (แต่ละคู่สลับกัน
ถา่ ยทอดความร)ู้
ชว่ั โมงที่ 2
4. ข้ันการประเมนิ และปรับปรุงตน้ แบบ การประเมนิ การเรยี นรู้ (ความสามารถในการใช้เทคโนโลย)ี
4.1 นกั เรยี นแต่ละกล่มุ ออกมานำเสนองานตามสลากหมายเลข 1 – 5 ทจ่ี ับได้ ดงั น้ี
4.1.1 หมายเลข 1 การเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาในทวปี เอเชีย
4.1.2 หมายเลข 2 การเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาในทวปี ยุโรป
4.1.3 หมายเลข 3 การเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาในทวปี ออสเตรเลีย
4.1.4 หมายเลข 4 การเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาในทวีปอเมริกา
4.1.5 หมายเลข 5 ความสำคัญของพระพุทธศาสนาในฐานะท่ีชว่ ยสรา้ งสรรค์อารยธรรม และชว่ ย
ความสงบสุขแกช่ าวโลก
4.2 เพอื่ นนักเรยี นแสดงความคิดเหน็ เพิ่มเติม

70

ช่ัวโมงที่ 3
4.3 นักเรียนทำแบบฝึกหัดที่ 1 เรื่อง การเผยแผ่พระพุทธศาสนา และความสำคัญของ
พระพุทธศาสนา
4.4 นักเรียนเขียน Mind Mapping การเผยแผ่พระพุทธศาสนา และความสำคัญของ
พระพุทธศาสนา ลงในสมดุ (นำกลบั ไปทำท่บี า้ น/นอกเวลาเรียน)
4.5 นกั เรียนแตล่ ะกลมุ่ นำผลงานไปเผยแพร่ เช่น จดั ป้ายนิเทศ ลงในเฟสบคุ๊ เปน็ ตน้
5. ขน้ั ถอดบทเรียน (ความสามารถในการคิด)
5.1 นักเรียนและครูร่วมกันถอดบทเรียนเกี่ยวกับการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และความสำคัญ
ของพระพุทธศาสนา
5.2 ครูกล่าวชมเชยนักเรียนทใี่ ห้ความรว่ มมอื ในการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมจนประสบผลสำเร็จ

9. กจิ กรรมต่อเนื่อง (ความสามารถในการใชท้ กั ษะชวี ิต)
นักเรียนไปสัมภาษณ์บุคคลในชุมชน 1 คน ในหัวข้อ “ท่านนับถือพุทธศาสนาหรือศาสนาใด และนำ

หลักธรรมอะไรมาใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน” แล้วนำมาเล่าให้เพ่ือนฟัง/จัดป้ายนิเทศ/ลงเฟสบุ๊ค
เปน็ ตน้

10. สื่อการเรียนรู้
10.1 รูปภาพพระสงฆ์
10.2 กระดาษเปลา่
10.2 สลากหมายเลข 1 - 5
10.3 ใบงานท่ี 1 เรื่อง วนั สำคัญทางพระพุทธศาสนาและหลกั การปฏิบตั ติ น
10.4 แบบฝกึ หดั ท่ี 1 เรื่อง วนั สำคญั ทางพระพุทธศาสนาและหลักการปฏิบตั ติ น
10.5 แบบประเมนิ สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน
10.6 แบบประเมนิ คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์

71

11. การวัดผลและประเมนิ ผล

วิธกี ารวดั เครื่องมอื เกณฑ์การวดั และประเมินผล
และประเมนิ ผล (ขอ้ 10.3) (ข้อ 10.4)
(ขอ้ 10.1-10.2)
คะแนนเต็ม 10 คะแนน (ผ่านร้อยละ 50)
1. การประเมนิ ผลตามเกณฑ์ที่กำหนด คะแนน 9 - 10 คะแนน หมายถึง ดีมาก
คะแนน 7 - 8 คะแนน หมายถึง ดี
1.1 ประเมนิ ความรู้ แบบฝึกหดั คะแนน 5 - 6 คะแนน หมายถึง ปานกลาง
คะแนนต่ำกวา่ 5 คะแนน หมายถงึ ตอ้ งปรับปรุง
1.2 ประเมนิ แบบประเมิน คะแนนเต็ม 15 คะแนน (ผ่านร้อยละ 50)
คะแนน 13 - 15 คะแนน หมายถึง ดีมาก
สมรรถนะสำคัญของ สมรรถนะสำคัญของ คะแนน 10 - 12 คะแนน หมายถงึ ดี
คะแนน 7 - 9 คะแนน หมายถงึ ปานกลาง
ผเู้ รยี น ผเู้ รยี น คะแนนต่ำกวา่ 7 คะแนน หมายถึง ต้องปรับปรุง
คะแนนเต็ม 12 คะแนน (ผ่านร้อยละ 50)
1.3 ประเมนิ แบบประเมนิ คะแนน 0 - 12 คะแนน หมายถงึ ดมี าก
คุณลกั ษณะ คณุ ลักษณะ คะแนน 7 - 9 คะแนน หมายถงึ ดี
อนั พึงประสงค์ อนั พงึ ประสงค์ คะแนน 6 คะแนน หมายถงึ ปานกลาง
คา่ นยิ ม 12 ประการ ค่านยิ ม 12 ประการ คะแนนต่ำกว่า 6 คะแนน หมายถงึ ตอ้ งปรบั ปรงุ

2. ตรวจผลงาน ใบงาน คะแนนเตม็ 10 คะแนน (ผ่านร้อยละ 50)
ตรวจใบงาน คะแนน 9 - 10 คะแนน หมายถงึ ดมี าก
คะแนน 7 - 8 คะแนน หมายถงึ ดี
คะแนน 5 - 6 คะแนน หมายถึง ปานกลาง
คะแนนต่ำกวา่ 5 คะแนน หมายถงึ ตอ้ งปรับปรุง

72

12. ชิ้นงาน/ภาระงาน

ช้นิ งาน ภาระงาน
ในช่ัวโมง
1. ใบงานท่ี 1 เร่ือง การเผยแผ่พระพุทธศาสนา 1. จัดทำใบงานท่ี 1 เรื่อง การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา
และความสำคญั ของพระพุทธศาสนา และความสำคญั ของพระพุทธศาสนา
นอกชั่วโมง
2. ใหน้ กั เรยี นเขยี น Mind Mapping 2. เขยี น Mind Mapping การเผยแผ่พระพุทธศาสนา
การเผยแผพ่ ระพุทธศาสนา และความสำคัญ และความสำคัญของพระพุทธศาสนา
ของพระพทุ ธศาสนา

13. แหล่งเรียนรู้
13.1 หอ้ งสมดุ โรงเรยี น...........................
13.2 ห้องสมดุ อำเภอ/จังหวัด...................................
1.3.3 เวบ็ ไซต์ https://www.baanjomyut.com/library_
https://sites.google.com/site/wichasangkhmnaru/kar- เป็นตน้

14. บนั ทึกผลหลังการจดั กิจกรรมการเรียนรู้
14.1 ผลการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้
14.1.1 กจิ กรรม

......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................... ...........................
......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................

14.2 ปญั หาและอปุ สรรค
......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................... ............................

73

14.3 ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ไข
......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................... ...........................

ลงชื่อ …................………………………………… ผูส้ อน
(...........................................................)

วนั ที่ .... เดอื น .................. พ.ศ. .........

15. บนั ทึกความคิดเห็น/ ข้อเสนอแนะของหัวหนา้ กลุ่มสาระการเรยี นรู้
............................................................................................................................. .........................................
.................................................................................................................................................. ....................

ลงชื่อ .....................................................
(.........................................................)

16. รองผู้อำนวยการกลุ่มบรหิ ารวิชาการ
.............................................................................................................................................................. ........
........................................................................................................................... ...........................................

ลงชอื่ .....................................................
(.........................................................)

17. ผู้อำนวยการสถานศึกษา
............................................................................................................................. .........................................
.......................................................................................... ............................................................................

ลงช่อื .....................................................
(.........................................................)

74

ใบงานท่ี 1
เร่ือง การเผยแผพ่ ระพุทธศาสนา และความสำคัญของพระพทุ ธศาสนา

คำชี้แจง ใหน้ ักเรยี นศกึ ษาหัวขอ้ ดังน้ี
1. การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในทวีปเอเชีย
2. การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาในทวีปยุโรป
3. การเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาในทวปี ออสเตรเลยี
4. การเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาในทวปี อเมริกา
5. ความสำคญั ของพระพุทธศาสนาในฐานะที่ชว่ ยสรา้ งสรรค์อารยธรรม และชว่ ยความสงบสุขแก่ชาวโลก

............................................................................................................................. .........................................
......................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .........................................
............................................................................................................................. .........................................
......................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .........................................
............................................................................................................................. .........................................
......................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .........................................
........................................................................................................................................ ..............................
..................................................................................................... .................................................................
............................................................................................................................. .........................................
..................................................................................................................................................... .................
.................................................................................................................. ....................................................
............................................................................................................................. .........................................
.................................................................................................................................................................. ....
............................................................................................................................. .........................................
............................................................................................................................. .........................................
......................................................................................................................................................................

75

แบบฝกึ หัดท่ี 1
เร่ือง การเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา และความสำคัญของพระพุทธศาสนา

1. ข้อใดคือ วัดไทยแหง่ แรกในทวีปยโุ รป
1. วัดพทุ ธรงั สี
2. วัดพุทธปทปี
3. วัดพุทธวิหาร
4. วดั ไทยลอสแองเจลิส

2. ขอ้ ใดคือพระมหากษัตรยิ ์ที่รเิ รม่ิ การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาไปสู่ดินแดนนอกชมพทู วีป
1. พระเจา้ เม่งต้ี
2. พระเจ้าปเสนทิโกศล
3. พระเจา้ อโศกมหาราช
4. พระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ

3. ขอ้ ใดเป็นลกั ษณะการนบั ถือศาสนาของชาวทเิ บตก่อนการเผยแผ่พระพุทธศาสนาสู่ประเทศทิเบต
1. นับถือพระเจ้า
2. นับถือบรรพบุรุษ
3. นบั ถอื หวั หน้าเผา่
4. นับถือผีสางเทวดา

4. ขอ้ ใดเป็นหลกั ธรรมท่ีบุคคลในครอบครวั พึงปฏิบัตติ ่อกันเพอ่ื การอยรู่ ่วมกนั อย่างเป็นสุข
1. ทศิ 6
2. พรหมวหิ าร 4
3. มรรคมีองค์ 8
4. อปริหานยิ ธรรม

5. ข้อใดเป็นหลักคำสอนในพระพุทธศาสนาถือเปน็ รากฐานของการปกครอง
1. อิทธิบาท 4
2. ทศพิธราชธรรม
3. ฆราวาสธรรม 4
4. อปรหิ านิยธรรม

76

6. ข้อใดเปน็ บคุ คลทีม่ บี ทบาทในการเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาใหเ้ จริญรุง่ เรืองในสมยั โบราณมากทส่ี ุด
1. พระภกิ ษุ
2. ฆราวาส
3. พระมหากษัตริย์
4. อุบาสก อบุ าสกิ า

7. ขอ้ ใดมีความสมั พนั ธท์ ถี่ กู ตอ้ งเกยี่ วกบั การเผยแผแ่ ละการนับถอื พระพทุ ธศาสนาในประเทศจนี
1. พระเจา้ ฮ่ันม่งิ ต่ี - ราชวงศ์ฮัน่
2. พระเจ้าซง่ ไทจ่ ู่ - ราชวงศ์ซ่ง
3. พระเจา้ เอวี่ – ราชวงศ์เซีย่
4. พระเจา้ จิน๋ ซีฮ่องเต้ – ราชวงศ์จิน๋

8. ข้อใดมีความสัมพนั ธ์ไมถ่ ูกต้อง
1. เยอรมนี – พระพุทธวจนะ
2. อังกฤษ – ประทีปแห่งเอเชยี
3. เนเธอรแ์ ลนด์ – แก่นพุทธศาสน์
4. อเมรกิ า – วิสัชนาทางพระพุทธศาสนา

9. ขอ้ ใดเป็นลกั ษณะการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาเกิดขึ้นในทวีปออสเตรเลีย
1. จากการตดิ ต่อคา้ ขาย
2. จากความสมั พนั ธ์ทางการทูต
3. จากหนังสือประทีปแหง่ เอเชีย
4. จากการอพยพของชาวเอเชยี และนำหลักคำสอนทางพระพทุ ธศาสนาไปปฏิบตั ิ

10. ข้อใดเปน็ เหตุผลที่พระพุทธศาสนามคี วามสำคญั ต่อสงั คมไทยมากทีส่ ดุ
1. พระพทุ ธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
2. พระพทุ ธศาสนาสอนใหท้ กุ คนเปน็ คนดี
3. พระพทุ ธศาสนาเป็นศนู ยร์ วมของคนไทย
4. พระพทุ ธศาสนาเป็นหลกั ในการดำเนินชีวิต

77

เฉลยแบบฝึกหัดท่ี 1
เร่อื ง การเผยแผ่พระพุทธศาสนา และความสำคัญของพระพุทธศาสนา

ข้อ เฉลย
12
23
34
41
52
63
71
83
94
10 4

78

แบบประเมนิ สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี น

เนื้อหาเรื่อง ………………………………………………………..…………นักเรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ………………..
คำชแ้ี จง 1. ใหค้ ะแนนในแบบบันทกึ ข้างลา่ งตามพฤติกรรมทปี่ รากฏ

2. เกณฑ์การวดั และประเมินผล
คะแนนเตม็ 15 คะแนน
คะแนน 13 - 15 คะแนน หมายถึง ดีมาก
คะแนน 10 - 12 คะแนน หมายถงึ ดี
คะแนน 7 - 9 คะแนน หมายถึง ปานกลาง
คะแนนต่ำกวา่ 7 คะแนน หมายถึง ต้องปรับปรงุ

พฤติกรรม ความสามารถ ความสามารถ ความสามารถ ความสามารถ ความสามารถ รวมคะแนน ระดบั
ในการสือ่ สาร ในการคิด ในการ ในการใช้ ในการใช้ (15) คุณภาพ
เลขที่ (3) แกป้ ัญหา ทักษะชวี ิต เทคโนโลยี
(3) (3) (3) (3)
1
2
3

40

บนั ทึกเพิ่มเติม
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………….…………………………………………………………………………………………………………

(ลงชื่อ) …………………..............……….. ผูป้ ระเมิน
(………….…………...........…………)

วันที่ ……เดอื น…….....……….พ.ศ………

79

เกณฑ์การประเมนิ สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รียน

ข้อ รายการ ระดับการให้คะแนน 1
ท่ี 32

1 ความสามารถ ถ่ายทอดความรู้ได้ ถา่ ยทอดความรู้ได้อย่าง สามารถถา่ ยทอด

ในการสอ่ื สาร อยา่ งเปน็ ระบบใช้ เปน็ ระบบ ใช้ภาษาอย่าง ความรู้ได้ไมเ่ หมาะสม

ภาษาอย่างถกู ต้อง ถกู ต้องเหมาะสม แต่ไม่ และไม่ชดั เจน

เหมาะสม และชัดเจน ชดั เจน

2 ความสามารถ ตอบคำถามได้อย่าง ตอบคำถามไดอ้ ย่าง ตอบคำถามได้ แต่

ในการคดิ ถกู ต้อง และมเี หตผุ ล ถกู ต้อง มเี หตุผล ไม่สามารถอธิบาย

ประกอบชัดเจน ประกอบแต่ไม่ชดั เจน เหตผุ ลได้

3 ความสามารถ แก้ปญั หาได้อย่าง แกป้ ัญหาได้ถูกตอ้ ง แกป้ ัญหาได้บาง

ในการแก้ปัญหา ถกู ต้องทุกรายการ/ ทุกรายการ/หัวข้อ รายการ/หัวข้อ

หวั ข้อ (100 %) (90 - 60 %) (นอ้ ยกว่า 50 %)

4 ความสามารถใน เรียนรูด้ ้วยตนเองอยา่ ง เรยี นรู้ดว้ ยตนเองอย่าง เรียนรูด้ ้วยตนเอง

การใช้ทักษะชีวติ ตอ่ เนอ่ื ง ทำงานและอยู่ ตอ่ เนือ่ ง ทำงานและอยู่ อย่างต่อเนือ่ ง ทำงาน

รว่ มกับบุคคลอนื่ ได้ รว่ มกับบุคคลอนื่ ได้อยา่ ง และอยรู่ ว่ มกบั บุคคล

อย่างมีความสุข มคี วามสขุ จัดการปญั หา อนื่ ได้อยา่ งมีความสุข

จดั การปัญหาไดอ้ ยา่ ง ได้อยา่ งเหมาะสม จดั การปัญหาได้

เหมาะสม (100 %) (90 – 60 %) อยา่ งเหมาะสม

(นอ้ ยกว่า 50 %)

5 ความสามารถ สามารถสบื ค้นข้อมูล สามารถสืบค้นข้อมูลจาก สามารถสืบค้น

ในการใช้ จากแหล่งข้อมูลได้ แหลง่ ข้อมลู ได้อยา่ ง ขอ้ มูลจากแหลง่

เทคโนโลยี อย่างหลากหลาย หลากหลาย ถกู ต้อง ข้อมูลได้ 1 รายการ

ถกู ต้อง และตรง บางสว่ นและตรง

ประเด็น มากกว่า 3 ประเดน็ 2 - 3 รายการ

รายการ

80

แบบประเมนิ คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์

เนอื้ หาเรื่อง ………………………………………………………..…………นักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ ………………..

คำชแ้ี จง 1. ใหค้ ะแนนในแบบบันทึกข้างล่างตามพฤติกรรมท่ีปรากฏ

2. เกณฑ์การวัดและประเมินผล

คะแนนเต็ม 12 คะแนน

คะแนน 10 - 12 คะแนน หมายถงึ ดมี าก

คะแนน 7 - 9 คะแนน หมายถึง ดี

คะแนน 6 คะแนน หมายถึง ปานกลาง

คะแนนต่ำกวา่ 6 คะแนน หมายถงึ ตอ้ งปรับปรงุ

พฤตกิ รรม ซ่ือสัตย์ มีวินยั มงุ่ มน่ั ใน ระดับ
สจุ ริต (3) ใฝ่เรยี นรู้ การทำงาน รวมคะแนน คุณภาพ

เลขที่ (3) (3) (3) (12)

1

2

3

40

บนั ทกึ เพิ่มเติม
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………….………………………………………………………………....................

(ลงชอื่ ) ……………………...................…….. ผปู้ ระเมนิ
(…………..................……………………)
วันที่……เดอื น……........……….พ.ศ………

81

เกณฑก์ ารประเมินคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์

ข้อ รายการ ระดบั การให้คะแนน

ที่ ประเมิน 3 21

1 ซือ่ สตั ย์ ไม่คดั ลอกงานของคนอ่นื มกี ารคดั ลอกงานของคน มกี ารคดั ลอกงานของ

สุจริต หรอื คดั ลอกงานคนอืน่ อื่นมีการอา้ งองิ บาง คนอ่นื มีการอ้างอิง

แตม่ กี ารอา้ งอิงทุก รายการ (90 – 60 %) (น้อยกวา่ 50 %)

รายการ (100 %)

2 มีวนิ ัย ปฏบิ ัตติ ามข้อตกลงของ ปฏบิ ตั ติ ามข้อตกลงของ ปฏบิ ตั ิตามข้อตกลง

กลุ่มทุกกจิ กรรม กลุ่มเปน็ บางกิจกรรม ของกลุม่ บาง

(100 %) (90 – 60 %) กิจกรรม (น้อยกวา่

50 %)

3 ใฝเ่ รียนรู้ แสวงหาขอ้ มลู อา้ งอิงได้ แสวงหาขอ้ มูลอา้ งอิงได้ แสวงหาข้อมูลอ้างองิ

มากกวา่ 3 รายการ 2 - 3 รายการ ได้ 1 รายการ

4 มุ่งม่ัน ทำงาน/ปฏิบตั กิ ิจกรรม มคี วามรบั ผดิ ชอบใน มีความรับผดิ ชอบ /

ในการทำงาน ตามทไ่ี ดร้ บั มอบหมายให้ การปฏิบตั ิกิจกรรม ปฏิบัตกิ ิจกรรมไดบ้ าง

สำเร็จตรงต่อเวลา ตามทไ่ี ดร้ บั มอบหมาย กจิ กรรม (น้อยกวา่

(100 %) บางกิจกรรม 50 %)

(90 – 60 %)

82

รปู ภาพนำเข้าส่บู ทเรยี น

ทมี่ า: https://pixabay.com/th/images/search/%

ท่มี า: https://pixabay.com/th/images/search/%

แผนการจดั การเรียนร้ทู ี่ 2 83

กลมุ่ สาระการเรียนรู้สังคมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 3
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 1 เรอื่ ง พุทธประวตั ิ จำนวน 3 ช่ัวโมง
รายวิชา สังคมศึกษา รหัสวชิ า ส23101

1. มาตรฐานการเรยี นรู้ ตัวช้วี ดั
มาตรฐาน ส 1.1 รู้และเข้าใจประวตั ิ ความสำคญั ศาสดา หลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรอื
ศาสนาที่ตนนบั ถือและศาสนาอื่น มศี รัทธาท่ถี กู ตอ้ ง ยดึ มน่ั และปฏบิ ตั ติ าม
หลกั ธรรม เพ่ืออยรู่ ว่ มกนั อยา่ งสันตสิ ุข
ตัวช้ีวดั ม.3/4 วเิ คราะห์พุทธประวัติจากพระพุทธรูปปางตา่ ง ๆ หรือประวัติศาสดาท่ตี นนับถือ
ตามทีก่ ำหนด

2. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
2.1 นกั เรยี นบอกความเป็นมาพระพุทธรปู ปางต่างๆ ได้
2.2 นักเรียนวิเคราะหล์ กั ษณะเฉพาะของพระพทุ ธรูปปางต่างๆ ได้
2.3 นักเรยี นวิเคราะห์พุทธประวัติ (ปฐมเทศนา และโอวาทปาติโมกข)์ ได้

3. สาระการเรยี นรู้
3.1 พทุ ธประวัติจากพระพทุ ธรูปปางต่าง ๆ เช่น
3.1.1 ปางมารวชิ ยั
3.1.2 ปางปฐมเทศนา
3.1.3 ปางลีลา
3.1.4 ปางประจำวนั เกดิ
3.2 สรุปและวเิ คราะห์พุทธประวตั ิ
3.2.1 ปฐมเทศนา
3.2.2 โอวาทปาติโมกข์

84

4. ผเู้ รยี นเกิดคณุ ลกั ษณะอย่างไร
4.1 ความรู้ (K) ทักษะ (P) และเจตคติ (A)

วัตถุประสงค์ ด้านความรู้ ด้านทักษะ ดา้ นเจตคติ
(K) (P) (A)
1. นกั เรียนบอกความเปน็ มาพระพุทธรูป บอก
ปางต่างๆ ได้ นกั เรยี นให้ความ นกั เรียนมีความ
2. นักเรียนวเิ คราะหล์ กั ษณะเฉพาะของ วิเคราะห์ รว่ มมือใน รบั ผิดชอบในการ
พระพทุ ธรูปปางตา่ งๆ ได้ การปฏิบตั ิกิจกรรม ปฏบิ ตั ิกจิ กรรม
3. นกั เรยี นวเิ คราะหพ์ ุทธประวัติ วิเคราะห์ (สมรรถนะสำคัญ (คุณลักษณะ
(ปฐมเทศนา และโอวาทปาติโมกข์) ได้ ของผู้เรียน) อนั พงึ ประสงค์/
ค่านยิ ม 12
ประการ)

4.2 ทกั ษะ/กระบวนการ
4.2.1 ทกั ษะเฉพาะวชิ า
- ความยืดหยุ่นและการปรบั ตัว
4.2.2 ทกั ษะครอ่ มวิชา
4.2.2.1 การทำงานกลมุ่
4.2.2.4 การคิดวเิ คราะห์
4.2.2.3 การนำเสนอ

5. สมรรถนะสำคัญของผเู้ รียน
5.1 ความสามารถในการสือ่ สาร
5.2 ความสามารถในการคดิ
6.3 ความสามารถในการแกป้ ญั หา
6.4 ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ิต
6.5 ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี

6. คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์
6.1 ซื่อสตั ย์ สุจริต
6.2 มวี ินยั
6.3 ใฝ่เรียนรู้
6.4 มุ่งมนั่ ในการทำงาน

85

7. ค่านิยม 12 ประการ
7.1 ซื่อสตั ย์ เสียสละ อดทน มีอดุ มการณ์ในสิ่งทดี่ ีงามเพื่อส่วนรวม (สอดคลอ้ งคุณลักษณะ 6.1)
7.2 ใฝ่หาความรู้ หมน่ั ศึกษาเลา่ เรยี นทั้งทางตรง และทางอ้อม (สอดคล้องคุณลักษณะข้อ 6.3)
7.3 มศี ีลธรรม รักษาความสตั ย์ หวังดตี ่อผอู้ ืน่ เผื่อแผ่และแบ่งปัน (สอดคล้องคุณลักษณะข้อ 6.1)
7.4 เข้าใจเรียนรู้การเป็นประชาธปิ ไตย อันมพี ระมหากษัตริยท์ รงเป็นประมุขท่ีถูกตอ้ ง (สอดคล้อง

คุณลักษณะข้อ 6.3)
7.5 มรี ะเบยี บวินัย เคารพกฎหมาย ผู้น้อยรจู้ ักการเคารพผใู้ หญ่ (สอดคล้องคณุ ลกั ษณะขอ้ 6.2)

8. กระบวนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้
ชัว่ โมงที่ 1
1. ขั้นระบุปญั หาหรอื ความต้องการ (ความสามารถในการคดิ )
1.1 นักเรยี นดรู ูปภาพพระพทุ ธรูปปางถวายเนตร และปางโปรดอสรุ ินทราหู และให้นักเรยี น

บอกว่าเปน็ พระพทุ ธรปู ปางอะไร (ปางถวายเนตร ปางโปรดอสุรินทราหู หรอื ปางไสยาสน์ หรอื ปาง
ปรนิ ิพพาน เปน็ ต้น)

1.2 นักเรียนเลขที่ 4 หรือเลขที่อื่นๆ ยกตัวอย่างพระประจำวันเกิด (วันจันทร์ ปางห้าม
ญาติ หรือห้ามสมุทร วันอังคาร ปางโปรดอสุรินทราหู (ลืมพระเนตร) หรือปางไสยาสน์หรือ
ปางปรินพิ พาน (หลบั พระเนตร) วนั พธุ กลางวนั ปางอุ้มบาตร เปน็ ต้น)

1.3 นักเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็น 5 กลุ่ม โดยคละนักเรียนที่เรียนเก่ง ปานกลาง อ่อน หรือ
แบง่ กลมุ่ ตามอธั ยาศยั และให้แต่ละกลุ่มเลือกประธาน รองประธาน และเลขานกุ ารกลมุ่

1.4 นักเรียนแต่ละกลุ่มระบุปัญหาหรือความต้องการที่นักเรียนอยากเรียนรู้เกี่ยวกับพุทธ
ประวตั จิ ากพระพุทธรปู ปางต่างๆ ลงในกระดาษเปล่าท่คี รแู จกให้ (เชน่ ความเปน็ มาของพระพุทธรูปปาง
ตา่ งๆ การแสดงปฐมเทศนา โอวาทปาตโิ มกข์ เป็นต้น)

2. ขั้นการออกแบบหรอื วางแผนแกป้ ญั หา (ความสามารถในการแกป้ ัญหา)
2.1 ตัวแทนแต่ละกลุ่มมารบั ใบงานท่ี 2 เรื่อง พทุ ธประวตั ิ
2.2 ประธานกลุ่มนำทำงานตามใบงานที่ 2 เรือ่ ง พทุ ธประวัติ ไดแ้ ก่ กำหนดเวลาทำงาน

ใหเ้ พ่อื นจับคู่ทำงานตามใบงานที่ 2 เรอื่ ง พุทธประวัติ เช่น
2.2.1 คู่ที่ 1 ทำข้อที่ 1 พระพุทธรูปปางปฐมเทศนา พระพุทธรูปปางมารวิชัย

พระพุทธรปู ปางลีลา และพระพุทธรปู ประจำวันอาทติ ย์
2.2.2 คู่ที่ 2 ทำข้อที่ 2 พระพุทธรูปประจำวันจันทร์ พระพุทธรูปประจำวันอังคาร

พระพุทธรูปประจำวันพุธ (กลางวัน) และพระพุทธรูปประจำวนั พธุ (กลางคืน)
2.2.3 คู่ที่ 3 ทำข้อที่ 3 พระพุทธรูปประจำวันพฤหัสบดี พระพุทธรูปประจำวันศุกร์

และพระพทุ ธรปู ประจำวนั เสาร์

86

2.3 นักเรียนแต่ละกลุ่มวางแผนร่วมกันในการทำงานทไ่ี ด้รับมอบหมาย เช่น วธิ ีการศึกษา
ค้นควา้ หนงั สอื /เอกสาร/เว็บไซด์ท่ีนำมาอ้างอิง ลำดับความยากงา่ ยของงานท่ีไดร้ บั มอบหมาย เปน็ ตน้

3. ข้ันการสร้างต้นแบบ ชนิ้ งาน/โครงการ (ความสามารถในการส่อื สาร)
3.1 นักเรียนแตล่ ะค่ชู ว่ ยศกึ ษาคน้ คว้างานทไี่ ดร้ บั มอบหมายตามใบงานท่ี 2 เร่อื ง พทุ ธประวตั ิ
3.2 นักเรียนแต่ละคู่ช่วยกันทบทวนความถูกต้องของการทำใบงานที่คู่ของตนรับผิดชอบ

และสรา้ งความเขา้ ใจให้ตรงกัน เพ่อื เตรียมการถา่ ยทอดความร้ใู ห้แก่คู่อน่ื ในกลมุ่
3.3 นักเรียนแต่ละคู่ถ่ายทอดความรู้ท่ีคู่ตัวเองรับผิดชอบจากใบงานที่ 2 เร่ือง พุทธประวัติ

ถา่ ยทอดความรู้ใหก้ ับคอู่ ่ืนๆ ในกลุม่ (แต่ละคสู่ ลบั กนั ถา่ ยทอดความรู้)
ชว่ั โมงท่ี 2
4. ขนั้ การประเมินและปรบั ปรุงต้นแบบ การประเมินการเรยี นรู้ (ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี)
4.1 ให้แตล่ ะกล่มุ ออกมานำเสนองานตามสลากหมายเลข 1 – 5 ทจ่ี บั ได้ ดังนี้
4.1.1 หมายเลข 1 พระพุทธรูปปางปฐมเทศนา และพระพทุ ธรูปปางมารวิชัย
4.1.2 หมายเลข 2 พระพุทธรปู ปางลีลา และพระพุทธรปู ประจำวันอาทิตย์
4.1.3 หมายเลข 3 พระพุทธรูปประจำวนั จนั ทร์ และพระพุทธรูปประจำวนั อังคาร
4.1.4 หมายเลข 4 พระพุทธรปู ประจำวันพธุ (กลางวัน) พระพุทธรปู ประจำวนั พุธ

(กลางคืน)
4.1.5 หมายเลข 5 พระพุทธรูปประจำวันพฤหัสบดี และพระพทุ ธรูปประจำวันศุกร์

และพระพุทธรูปประจำวนั เสาร์
4.2 เพือ่ นนักเรียนแสดงความคดิ เห็นเพ่ิมเตมิ

ชั่วโมงท่ี 3
4.3 นักเรียนทำแบบฝึกหดั ที่ 2 เรอ่ื ง พุทธประวตั ิ
4.4 นักเรยี นเขยี น Mind Mapping พทุ ธประวัติ (นำกลบั ไปทำท่บี า้ น/นอกเวลาเรียน)
4.5 นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มนำผลงานไปเผยแพร่ เชน่ จดั ปา้ ยนิเทศ ลงในเฟสบุค๊ เป็นตน้

5. ข้นั ถอดบทเรียน (ความสามารถในการคิด)
5.1 นกั เรียนและครูรว่ มกันถอดบทเรียนเกี่ยวกบั พุทธประวัติจากพระพุทธรูปปางตา่ งๆ และ

พทุ ธประวตั ิ (ปฐมเทศนา โอวาทปาตโิ มกข์)
5.2 ครกู ลา่ วชมเชยนักเรียนทใ่ี หค้ วามรว่ มมอื ในการปฏบิ ัตกิ ิจกรรมจนประสบผลสำเร็จ

87

9. กจิ กรรมต่อเนื่อง (ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ิต)
นักเรียนไปชม/ถา่ ยรปู พระพุทธรปู ประจำโรงเรยี นหรอื วดั ประจำหม่บู า้ นว่ามีพระพทุ ธรูปปาง

อะไร แลว้ นำมาเลา่ ให้เพอื่ นฟัง/จัดป้ายนิเทศ/ลงเฟสบคุ๊ เป็นต้น

10. สื่อการเรยี นรู้
10.1 รปู ภาพพระพุทธรปู ปางถวายเนตร และปางโปรดอสุรนิ ทราหู
10.2 กระดาษเปล่า
10.3 สลากหมายเลข 1 - 5
10.4 ใบงานที่ 2 เรื่อง พทุ ธประวัติ
10.5 แบบฝึกหดั ท่ี 2 เร่ือง พุทธประวัติ
10.6 แบบประเมนิ สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน
10.7 แบบประเมนิ คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์

88

11. การวัดผลและประเมนิ ผล

วิธกี ารวดั เครื่องมอื เกณฑ์การวดั และประเมินผล
และประเมนิ ผล (ขอ้ 10.3) (ข้อ 10.4)
(ขอ้ 10.1-10.2)
คะแนนเต็ม 10 คะแนน (ผ่านร้อยละ 50)
1. การประเมนิ ผลตามเกณฑ์ที่กำหนด คะแนน 9 - 10 คะแนน หมายถึง ดีมาก
คะแนน 7 - 8 คะแนน หมายถึง ดี
1.1 ประเมนิ ความรู้ แบบฝึกหดั คะแนน 5 - 6 คะแนน หมายถึง ปานกลาง
คะแนนต่ำกวา่ 5 คะแนน หมายถงึ ตอ้ งปรับปรุง
1.2 ประเมนิ แบบประเมิน คะแนนเต็ม 15 คะแนน (ผ่านรอ้ ยละ 50)
คะแนน 13 - 15 คะแนน หมายถึง ดีมาก
สมรรถนะสำคัญของ สมรรถนะสำคัญของ คะแนน 10 - 12 คะแนน หมายถงึ ดี
คะแนน 7 - 9 คะแนน หมายถงึ ปานกลาง
ผ้เู รียน ผเู้ รยี น คะแนนต่ำกวา่ 7 คะแนน หมายถึง ต้องปรับปรุง
คะแนนเต็ม 12 คะแนน (ผ่านรอ้ ยละ 50)
1.3 ประเมนิ แบบประเมนิ คะแนน 0 - 12 คะแนน หมายถงึ ดมี าก
คณุ ลกั ษณะ คณุ ลักษณะ คะแนน 7 - 9 คะแนน หมายถงึ ดี
อนั พงึ ประสงค์ อนั พงึ ประสงค์ คะแนน 6 คะแนน หมายถงึ ปานกลาง
ค่านยิ ม 12 ประการ ค่านยิ ม 12 ประการ คะแนนต่ำกว่า 6 คะแนน หมายถงึ ตอ้ งปรบั ปรงุ

2. ตรวจผลงาน ใบงาน คะแนนเตม็ 10 คะแนน (ผ่านร้อยละ 50)
ตรวจใบงาน คะแนน 9 - 10 คะแนน หมายถงึ ดมี าก
คะแนน 7 - 8 คะแนน หมายถึง ดี
คะแนน 5 - 6 คะแนน หมายถึง ปานกลาง
คะแนนต่ำกวา่ 5 คะแนน หมายถงึ ตอ้ งปรับปรุง

89

12. ชิน้ งาน/ภาระงาน

ช้นิ งาน ภาระงาน
ในชว่ั โมง 1. จัดทำใบงานท่ี 2 เรื่อง พุทธประวตั ิ
1. ใบงานที่ 2 เร่ือง พทุ ธประวตั ิ 2. เขยี น Mind Mapping พุทธประวัติ
นอกชั่วโมง
2. ใหน้ ักเรยี นเขียน Mind Mapping พทุ ธประวัติ

13. แหล่งเรียนรู้
1. ห้องสมดุ โรงเรียน...........................
2. ห้องสมดุ อำเภอ/จงั หวัด...................................
3. เวบ็ ไซต์ http://www.watpamahachai.net/Document6.htm
https://www.google.com/search?q=%E0%B8%9E%E เป็นตน้

14. บันทึกผลหลงั การจัดกิจกรรมการเรียนรู้
14.1 ผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้
14.1.1 กิจกรรม

......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................... ...........................
......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................ ..............
......................................................................................................................................................................

14.2 ปัญหาและอปุ สรรค
......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................... ............................
......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................

90

14.3 ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแก้ไข
......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................
................................................................................................................................. .....................................

ลงช่อื …................………………………………… ผู้สอน
(...........................................................)

วนั ที่ .... เดือน .................. พ.ศ. .........

15. บันทึกความคิดเหน็ / ข้อเสนอแนะของหัวหน้ากลุ่มสาระการเรยี นรู้
............................................................................................................................. .........................................
.......................................................................................... ............................................................................

ลงชื่อ .....................................................
(.........................................................)

16. รองผู้อำนวยการกลุ่มบริหารวิชาการ
............................................................................................................................. .........................................
......................................................................................................................................................................

ลงช่ือ .....................................................
(.........................................................)

17. ผู้อำนวยการสถานศกึ ษา
......................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .........................................

ลงช่อื .....................................................
(.........................................................)

91

ใบงานท่ี 2
เร่อื ง พุทธประวตั ิ

คำช้ีแจง ใหน้ กั เรียนศึกษาความเปน็ มาของพระพทุ ธรูปปางต่างๆ ดงั นี้
1. พระพุทธรูปปางปฐมเทศนา พระพุทธรูปปางมารวชิ ัย พระพุทธรูปปางลลี า และพระพทุ ธรูป

ประจำวนั อาทติ ย์
2. พระพุทธรูปประจำวันจันทร์ พระพุทธรูปประจำวันอังคาร พระพุทธรูปประจำวันพุธ

(กลางวัน) และพระพทุ ธรูปประจำวันพุธ (กลางคนื )
3. พระพุทธรปู ประจำวนั พฤหสั บดี พระพทุ ธรปู ประจำวนั ศุกร์ และพระพุทธรูปประจำวนั เสาร์

............................................................................................................................. .........................................
.......................................................................................... ............................................................................
............................................................................................................................. .........................................
........................................................................................................................................... ...........................
....................................................................................................... ...............................................................
............................................................................................................................. .........................................
........................................................................................................................................................ ..............
..................................................................................................................... .................................................
............................................................................................................................. .........................................
..................................................................................................................................................................... .
............................................................................................................................. .........................................
............................................................................................................................. .........................................
......................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .........................................
............................................................................................................................. .........................................
......................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .........................................
............................................................................................................................. .........................................
......................................................................................................................................................................

92

แบบฝึกหัดท่ี 2
เรอ่ื ง พุทธประวัติ

1. ขอ้ ใดเกี่ยวข้องกบั พระพุทธรปู ปางประทานอภัยในพุทธประวตั ิ
1. ตรสั รู้
2. พระภิกษุแตกความสามัคคี
3. ทรงแสดงธรรมจักกัปปวตั นสูตร
4. เสดจ็ ไปห้ามพระประยรู ญาตทิ จ่ี ะทำสงครามกนั

2. ขอ้ ใดเป็นชือ่ พญานาคทเี่ ก่ียวข้องกับตำนานพระพุทธรูปปางนาคปรก
1. ศรสี ัตตนาคราช
2. ศรีสุทโธนาคราช
3. มจุ รินทรน์ าคราช
4. ศรีมกุ ดามหามนุ ีนีลปาลนาคราช

3. ขอ้ ใดเป็นผลจากการท่ีพระพุทธเจ้าแสดงโอวาทปาติโมกข์
1. พระพุทธเจ้าทรงได้พระสาวกเพิ่มข้นึ 1,250 องค์
2. พระสงฆ์มหี ลักธรรมเป็นแนวปฏบิ ตั อิ ยา่ งเดียวกัน
3. มีผ้เู ลอื่ มใสศรัทธาและขอนบั ถอื พระพุทธศาสนาจำนวนมาก
4. พระภิกษสุ งฆท์ ุกองคท์ ่ีมาประชมุ ในครง้ั นีล้ ว้ นบรรลุพระอรหันต์

4. ข้อใดมีความสัมพันธก์ บั การแสดงปฐมเทศนาของพระพุทธเจ้า
1. โอวาทปาตโิ มกข์ - โกณฑัญญะ
2. ธมั มจกั กปั ปวัตนสตู ร - ปญั จวัคคยี ์
3. มัชฌมิ าปฏิปทา – พระนางพิมพา
4. อนัตตลักขณสตู ร – พระนาคเสนและพระมิลินท์

5. ขอ้ ใดเปน็ พระพุทธรูปที่มีลักษณะน่งั ขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายวางท่พี ระเพลา พระหตั ถข์ วายกขึ้นจบี นวิ้
พระหัตถเ์ ปน็ รปู วงกลม

1. ปางสมาธิ
2. ปางมารวิชัย
3. ปางนาคปรก
4. ปางปฐมเทศนา

93

6. ข้อใดเป็นลักษณะเฉพาะของพระปางห้ามสมทุ ร
1. พระอริ ยิ าบถยนื พระหัตถท์ ้ังสองประคองบาตร
2. พระอริ ยิ าบถยนื พระหัตถท์ ั้งสองประสานกนั ยกขึ้นทาบพระอุระ
3. พระอริ ิยาบถยนื ยืน่ พระหตั ถท์ ั้งสองไปขา้ งหน้าแบพระหัตถ์ต้ังข้างหนา้ เสมอพระอรุ ะ
4. พระอริ ยิ าบถยืน ลืมพระเนตรทงั้ สองข้างเพ่งไปขา้ งหน้า พระหตั ถท์ ั้งสองหอ้ ยลงมาประสานกนั

..............อยู่ข้างหน้า
7. ข้อใดไม่สัมพันธ์กนั

1. วนั อาทติ ย์ - ปางห้ามญาติ
2. วันอังคาร- ปางไสยาสน์
3. วนั ศุกร์ - ปางรำพงึ
4. วนั เสาร์- ปางนาคปรก
8. ข้อใดไมส่ มั พันธ์กนั
1. ทางสายกลาง – มัชฌมิ าปฏปิ ทา
2. อริยสจั 4 – ความจรงิ อันประเสริฐ
3. โอวาทปาตโิ มกข์ – การแสดงปฐมเทศนา
4. มรรคมีองค์ 8 – ขอ้ ปฏบิ ัติให้ถึงความดับทกุ ข์
9. ข้อใดมีความสัมพันธก์ ับการแสดงปฐมเทศนาของพระพุทธเจา้
1. โกณฑัญญะ - โอวาทปาติโมกข์
2. เบญจวัคคีย์ - ธมั มจกั กัปปวัตนสตู ร
3. ชฎลิ 3 พี่นอ้ ง - อาทิตตาปริยายสูตร
4. พระเจา้ พมิ พสิ าร - อนตั ตลกั ขณสตู ร
10. ข้อใดมีความสัมพนั ธ์กบั การสรา้ งพระพุทธรูปครั้งแรก
1. แบบกรกี – สมัยพระเจา้ กนษิ กะ
2. แบบอินเดีย – สมยั พระเจ้าพิมพิสาร
3. แบบปากีสถาน – สมัยพระเจ้าสุทโธทนะ
4. แบบโรมัน – สมยั พระเจา้ อโศกมหาราช

94

เฉลยแบบฝึกหดั ท่ี 2 เฉลย
เรอ่ื ง พุทธประวัติ 4
3
ขอ้ 4
1 2
2 4
3 3
4 1
5 3
6 2
7 1
8
9
10

95

แบบประเมนิ สมรรถนะสำคญั ของผูเ้ รยี น

เนือ้ หาเร่ือง ………………………………………………………..…………นักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี …….
คำช้แี จง 1. ใหค้ ะแนนในแบบบนั ทึกข้างล่างตามพฤติกรรมท่ปี รากฏ

2. เกณฑก์ ารวัดและประเมินผล
คะแนนเต็ม 15 คะแนน
คะแนน 13 - 15 คะแนน หมายถงึ ดมี าก
คะแนน 10 - 12 คะแนน หมายถงึ ดี
คะแนน 7 - 9 คะแนน หมายถึง ปานกลาง
คะแนนต่ำกว่า 7 คะแนน หมายถึง ต้องปรบั ปรุง

พฤติกรรม ความสามารถ ความสามารถ ความสามารถ ความสามารถ ความสามารถ รวมคะแนน ระดับ
ในการสือ่ สาร ในการคิด ในการ ในการใช้ ในการใช้ (15) คณุ ภาพ
เลขท่ี (3) แก้ปญั หา ทกั ษะชวี ิต เทคโนโลยี
(3) (3) (3) (3)
1
2
3

40

บันทึกเพมิ่ เติม
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………….…………………………………………………………………………………………………………

(ลงชอ่ื ) …………………..............……….. ผู้ประเมิน
(………….…………...........…………)

วนั ที่ ……เดือน…….....……….พ.ศ………

96

เกณฑ์การประเมินสมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี น

ข้อ รายการ ระดับการใหค้ ะแนน
ท่ี
3 21
ถา่ ยทอดความรู้ได้
1 ความสามารถ อยา่ งเป็นระบบใช้ ถ่ายทอดความรู้ได้อย่าง สามารถถา่ ยทอด
ภาษาอยา่ งถูกต้อง
ในการส่ือสาร เหมาะสม และชัดเจน เปน็ ระบบ ใช้ภาษาอยา่ ง ความรู้ได้ไม่
ตอบคำถามไดอ้ ย่าง
ถูกต้อง และมีเหตผุ ล ถกู ต้องเหมาะสม แต่ เหมาะสม และ
ประกอบชัดเจน
แกป้ ญั หาได้อยา่ ง ไม่ชดั เจน ไมช่ ัดเจน
ถกู ต้องทุกรายการ/
2 ความสามารถ หัวข้อ (100 %) ตอบคำถามไดอ้ ยา่ ง ตอบคำถามได้ แต่
ในการคดิ เรยี นรูด้ ว้ ยตนเอง
อย่างต่อเนื่อง ทำงาน ถกู ต้อง มีเหตผุ ล ไมส่ ามารถอธบิ าย
3 ความสามารถ และอยรู่ ่วมกบั บุคคล
ในการแกป้ ญั หา อื่นได้อยา่ งมีความสุข ประกอบแต่ไม่ชดั เจน เหตผุ ลได้
จดั การปัญหาได้อยา่ ง
4 ความสามารถใน เหมาะสม (100 %) แกป้ ัญหาไดถ้ ูกต้อง แกป้ ัญหาไดบ้ าง
การใชท้ ักษะชวี ิต
สามารถสบื คน้ ข้อมลู ทุกรายการ/หวั ข้อ รายการ/หัวข้อ
จากแหล่งข้อมลู ได้
อย่างหลากหลาย (90 - 60 %) (น้อยกว่า 50 %)
ถูกต้องและตรง
ประเด็น มากกว่า 3 เรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง อย่าง เรียนรู้ดว้ ยตนเอง
รายการ
ต่อเน่อื ง ทำงานและอยู่ อยา่ งต่อเนื่อง

รว่ มกบั บคุ คลอนื่ ได้อย่าง ทำงานและอยู่

มคี วามสุข จดั การ รว่ มกบั บคุ คลอ่นื ได้

ปญั หาได้อย่างเหมาะสม อย่างมีความสุข

(90 - 60 %) จัดการปัญหาได้

อย่างเหมาะสม

(นอ้ ยกว่า 50 %)

5 ความสามารถ สามารถสืบคน้ ข้อมูลจาก สามารถสืบค้น
ในการใช้
เทคโนโลยี แหลง่ ขอ้ มลู ได้อยา่ ง ขอ้ มูลจากแหล่ง

หลากหลาย ถกู ต้อง ข้อมูลได้ 1 รายการ

บางส่วนและตรง

ประเดน็ 2 - 3 รายการ

97

แบบประเมนิ คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์

เน้อื หาเรอื่ ง ………………………………………………………..…………นักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ …….

คำชีแ้ จง 1. ให้คะแนนในแบบบันทึกข้างล่างตามพฤติกรรมท่ีปรากฏ

2. เกณฑก์ ารวดั และประเมินผล

คะแนนเต็ม 12 คะแนน

คะแนน 10 - 12 คะแนน หมายถงึ ดีมาก

คะแนน 7 - 9 คะแนน หมายถงึ ดี

คะแนน 6 คะแนน หมายถงึ ปานกลาง

คะแนนต่ำกว่า 6 คะแนน หมายถึง ตอ้ งปรับปรุง

พฤติกรรม ซื่อสัตย์ มีวินัย ใฝเ่ รียนรู้ มุง่ ม่ันใน รวมคะแนน ระดบั
สุจรติ (3) (3) การทำงาน (12) คุณภาพ

เลขที่ (3) (3)

1

2

3

40

บนั ทึกเพม่ิ เติม
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………….………………………………………………………………....................

(ลงชอื่ ) ……………………...................…….. ผปู้ ระเมิน
(…………..................……………………)
วันที่……เดอื น……........……….พ.ศ………


Click to View FlipBook Version