The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by samsungnov, 2022-03-17 03:27:30

เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202

เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202

การปกครองของไทย ส32202

ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนปลาย

นายพิชาภพ ศรีทองมาศ ครวู ิทยฐานะชานาญการพิเศษ
โรงเรยี นเบญจมราชูทศิ

เอกสารประกอบการสอน
รายวชิ าการปกครองของไทย

รหสั วิชา ส32202

โรงเรียนเบญจมราชทู ศิ
สานักงานเขตพ้ืนทกี่ ารศึกษามธั ยมศึกษาเขต 12

คานา

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา การปกครองของไทยชุดน้ี เป็นรายวิชาเพิ่มเติมของ
โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จัดอยู่ในกลุ่มสาระสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม ซึ่งครูผู้สอนทาการ
รวบรวมองค์ความรู้ที่หลากหลายและเกี่ยวข้องกับการเมืองการปกครองของไทยไม่ว่าจะเป็น ระบบ
การเมืองการปกครอง ประวัติการเมืองการปกครองไทย สถาบันทางการเมือง การเลือกต้ัง
การบริหารราชการแผน่ ดนิ การปกครองสว่ นท้องถนิ่ ตลอดจนรูปแบบการปกครอง การมีส่วนร่วมทาง
การเมือง องค์กรตามกฎหมายรัฐธรรมนญู

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารประกอบการสอนรายวิชาการปกครองของไทย ส32202 จะเป็น
คู่มือในการศึกษาค้นคว้าให้กับนักศึกษาและผู้สนใจในการเพ่ิมพูนองค์ความรู้ทางการเมืองการ
ปกครองของไทยตอ่ ไป

สารบัญ หนา้

บทที่ 1 บททว่ั ไป 2
1.1 ความหมายของการเมืองการปกครอง 9
1.2 รปู แบบการปกครอง 12
1.3 การปกครองแบบประชาธิปไตย 15
1.4 แบบฝกึ หดั ทา้ ยบท
28
บทที่ 2 ประวตั ศิ าสตร์การเมืองการปกครองของไทย 36
2.1 การเมืองการปกครองของไทยในระบอบสมบรู ณาญาสทิ ธริ าชย์ 37
2.2 การเมอื งการปกครองไทยในระบอบประชาธิปไตย 39
2.3 การเปล่ยี นแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 58
2.4 การเมอื งการปกครองไทยภายหลงั การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
2.5 แบบฝึกหัดท้ายบท 82
83
บทที่ 3 สถาบนั ทางการเมืองและการปกครองไทย 91
3.1 สถาบนั กษตั รยิ ์ 97
3.2 รัฐธรรมนญู 102
3.3 สถาบันนติ ิบัญญตั ิ บริหารและตลุ าการ 108
3.4 พรรคการเมือง
3.5 กลุม่ ผลประโยชน์และสอื่ มวลชน 128
3.6 แบบฝึกหดั ทา้ ยบท 129
132
บทท่ี 4 การเลือกตงั้ 134
4.1 ความหมายและลักษณะของการเลือกต้ัง 136
4.2 หลักเกณฑก์ ารเลือกตัง้ แบบประชาธปิ ไตย
4.3 ประเภทและสทิ ธใิ นการเลอื กต้งั 144
4.4 เขตในการเลือกตั้ง 149
4.5 แบบฝกึ หัดท้ายบท 151
159
บทท่ี 5 การบริหารราชการแผ่นดนิ 160
5.1 ความหมายและความสาคัญของการบริหารราชการแผ่นดนิ
5.2 ระเบยี บบรหิ ารราชการส่วนกลาง
5.3 ระเบียบบริหารราชการส่วนภูมภิ าค
5.4 ระเบียบบรหิ ารราชการส่วนท้องถนิ่
5.5 แบบฝกึ หัดทา้ ยบท

สารบญั หนา้

บทท่ี 6 การปกครองส่วนท้องถนิ่ 169
6.1 ความหมายและความสาคัญของการปกครองสว่ นทอ้ งถ่นิ 170
6.2 วัตถุประสงคแ์ ละลกั ษณะสาคัญของการปกครองส่วนท้องถิ่น 172
6.3 แนวคดิ การกระจายอานาจ 174
6.4 องค์การบรหิ ารส่วนจงั หวัด 175
6.5 เทศบาล 177
6.6 องค์การบรหิ ารสว่ นตาบล 178
6.7 กรุงเทพ 179
6.8 เมืองพัทยา 180
6.9 แบบฝกึ หดั ท้ายบท
191
บทที่ 7 รูปแบบการปกครอง 196
7.1 ระบอบการเมืองการปกครองทส่ี าคัญ 197
7.2 คณุ สมบัติของรปู แบบประชาธปิ ไตยและเผด็จการ 200
7.3 เผดจ็ การ 208
7.4 ภาวะเปลี่ยนผ่านของรปู แบบการปกครอง 212
7.5 ลกั ษณะการปกครองทบ่ี ง่ ชี้ความเป็นเผดจ็ การ
7.6 แบบฝึกหัดท้ายบท 227
229
บทท่ี 8 การมีสว่ นร่วมทางการเมอื ง 233
8.1 ประเภทของการมีสว่ นร่วมทางการเมือง
8.2 กรณศี ึกษา : การมีส่วนร่วมทางการเมือง 245
8.3 แบบฝึกหดั ท้ายบท 248
249
บทท่ี 9 องค์กรตามกฎหมายรฐั ธรรมนญู 250
8.1 ความหมายและความสาคัญของรัฐธรรมนูญและองค์กรตามรัฐธรรมนญู 252
8.2 คณะกรรมการการเลือกตั้ง 253
8.3 ผูต้ รวจการแผน่ ดิน 254
8.4 คณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
8.5 คณะกรรมการตรวจเงนิ แผ่นดนิ
8.6 คณะกรรมการสทิ ธิมนษุ ยชนแห่งชาติ
8.7 แบบฝึกหัดท้ายบท

บรรณานุกรม
ภาคผนวก รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560

หลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551

วิสัยทศั น์

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคนซ่ึงเป็นกาลังของชาติให้เป็นมนุษย์ท่ีมี
ความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพลโลก ยึดม่ันในการ
ปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้ง เจตคติ
ที่จาเป็นต่อการศึกษาต่อการประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิตโดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญบนพื้นฐาน
ความเช่อื วา่ ทกุ คนสามารถเรยี นรูแ้ ละพฒั นาตนเองไดเ้ ต็มตามศกั ยภาพ

หลักการ

หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน มหี ลักการที่สาคัญ ดังนี้
1. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐานการเรียนรเู้ ป็น

เป้าหมายสาหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนใหม้ ีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมบนพ้ืนฐานของความเป็นไทย
ควบคูก่ บั ความเป็นสากล

2. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างเสมอภาค และมี
คุณภาพ

3. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอานาจ ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา
ใหส้ อดคล้องกับสภาพและความตอ้ งการของท้องถนิ่

4. เปน็ หลกั สตู รการศึกษาทมี่ ีโครงสร้างยืดหยุ่นทง้ั ดา้ นสาระการเรยี นรู้ เวลาและการจดั การเรียนรู้
5. เปน็ หลักสตู รการศกึ ษาทเี่ นน้ ผูเ้ รยี นเป็นสาคัญ
6. เป็นหลักสูตรการศึกษาสาหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัยครอบคลุมทุก
กลุ่มเปา้ หมาย สามารถเทยี บโอนผลการเรียนรู้ และประสบการณ์

จุดหมาย

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข
มีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ จึงกาหนดเป็นจุดหมายเพ่ือให้เกิดกับผู้เรียน เม่ือจบ
การศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน ดังนี้

1. มคี ุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและปฏบิ ตั ิตนตาม
หลกั ธรรมของพระพุทธศาสนา หรอื ศาสนาท่ตี นนับถอื ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง

2. มีความรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแกป้ ญั หา การใช้เทคโนโลยี และมที กั ษะชวี ิต
3. มสี ุขภาพกายและสุขภาพจิตทดี่ ี มีสุขนสิ ัย และรักการออกกาลงั กาย
4. มีความรักชาติ มจี ิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวติ และการปกครอง
ตามระบอบประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษัตรยิ ์ทรงเป็นประมขุ
5. มีจิตสานึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม
มจี ิตสาธารณะทม่ี ่งุ ทาประโยชนแ์ ละสร้างสงิ่ ท่ดี ีงามในสังคม และอย่รู ว่ มกันในสงั คมอย่างมีความสขุ



สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รยี น และคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์

ในการพัฒนาผูเ้ รยี นตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน มุ่งเนน้ พฒั นาผเู้ รยี นให้มคี ณุ ภาพ
ตามมาตรฐานท่ีกาหนด ซึ่งจะช่วยใหผ้ เู้ รียนเกดิ สมรรถนะสาคญั และคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ดงั นี้

สมรรถนะสาคัญของผเู้ รียน

หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน มงุ่ ใหผ้ เู้ รียนเกิดสมรรถนะสาคัญ 5 ประการ ดังน้ี
1. ความสามารถในการสอ่ื สาร เป็นความสามารถในการรับและสง่ สาร มวี ฒั นธรรมในการใช้ภาษา
ถ่ายทอดความคดิ ความรคู้ วามเขา้ ใจ ความรูส้ ึก และทัศนะของตนเองเพอ่ื แลกเปลยี่ นขอ้ มูลขา่ วสารและ
ประสบการณ์อันจะเปน็ ประโยชนต์ อ่ การพฒั นาตนเองและสงั คม รวมท้ังการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลด
ปญั หาความขดั แย้งตา่ ง ๆ การเลอื กรับหรอื ไมร่ ับขอ้ มลู ขา่ วสารดว้ ยหลกั เหตผุ ลและความถกู ต้อง ตลอดจนการ
เลอื กใชว้ ธิ ีการสือ่ สาร ท่ีมีประสิทธิภาพโดยคานงึ ถงึ ผลกระทบทม่ี ตี ่อตนเองและสงั คม
2. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิด อย่าง
สร้างสรรค์ การคดิ อยา่ งมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนาไปสู่การสร้างองคค์ วามร้หู รือสารสนเทศ
เพ่อื การตัดสินใจเก่ียวกบั ตนเองและสงั คมได้อย่างเหมาะสม
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ
ท่ีเผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพ้ืนฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจ
ความสมั พันธ์และการเปลยี่ นแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยกุ ต์ความรู้มาใช้ในการ
ป้องกันและแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคานึงถึงผลกระทบท่ีเกิดขึ้นต่อตนเอง สังคม
และส่งิ แวดลอ้ ม
4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เปน็ ความสามารถในการนากระบวนการต่าง ๆ ไปใชใ้ น
การดาเนินชวี ิตประจาวัน การเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง การเรียนรูอ้ ย่างต่อเนือ่ ง การทางาน และการอย่รู ว่ มกนั ใน
สังคมดว้ ยการสร้างเสริมความสัมพันธอ์ นั ดีระหว่างบคุ คลการจดั การปญั หาและความขดั แย้งต่างๆ อย่างเหมาะสม
การปรบั ตวั ใหท้ ันกับการเปลยี่ นแปลงของสังคมและสภาพแวดลอ้ ม และการรจู้ กั หลีกเลย่ี งพฤตกิ รรมไม่พงึ
ประสงคท์ ส่ี ง่ ผลกระทบต่อตนเองและผ้อู นื่
5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือก และใช้ เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ และ
มีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้ การส่ือสาร
การทางาน การแก้ปญั หาอยา่ งสรา้ งสรรค์ ถกู ต้อง เหมาะสม และมคี ุณธรรม



คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพ่ือให้
สามารถอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนในสังคมไดอ้ ย่างมีความสขุ ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ดังน้ี

1. รักชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์
2. ซ่ือสตั ย์สุจรติ
3. มวี นิ ยั
4. ใฝ่เรยี นรู้
5. อยู่อยา่ งพอเพียง
6. มุ่งม่นั ในการทางาน
7. รักความเปน็ ไทย
8. มจี ติ สาธารณะ
นอกจากนี้ สถานศึกษาสามารถกาหนดคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์เพ่ิมเติมให้สอดคลอ้ งตามบรบิ ทและ
จดุ เน้นของตนเอง



สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้
กลุ่มสาระการเรยี นรู้สงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม

สาระที่ 1 ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม
มาตรฐาน ส 1.1 รู้ และเข้าใจประวัติ ความสาคัญ ศาสดา หลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรอื ศาสนาที่

ตนนับถือและศาสนาอื่น มีศรัทธาท่ีถูกต้อง ยึดมั่น และปฏิบัติตามหลักธรรม เพ่ืออยู่
ร่วมกนั อย่างสนั ตสิ ขุ
มาตรฐาน ส 1.2 เข้าใจ ตระหนักและปฏิบัติตนเป็นศาสนิกชนท่ีดี และธารงรักษาพระพุทธศาสนา
หรือศาสนาที่ตนนบั ถอื

สาระท่ี 2 หนา้ ที่พลเมอื ง วัฒนธรรม และการดาเนินชีวิตในสงั คม
มาตรฐาน ส 2.1 เข้าใจและปฏิบัตติ นตามหนา้ ท่ีของการเป็นพลเมืองดี มคี า่ นิยมท่ดี ีงาม และ

ธารงรักษาประเพณีและวฒั นธรรมไทย ดารงชีวิตอยู่รว่ มกันในสังคมไทย และ สังคม
โลกอยา่ งสนั ติสุข
มาตรฐาน ส 2.2 เข้าใจระบบการเมืองการปกครองในสังคมปัจจุบัน ยึดมั่น ศรัทธา และธารงรักษา
ไว้ซ่ึงการปกครองระบอบประชาธปิ ไตยอนั มีพระมหากษัตริย์ทรงเปน็ ประมุข

สาระท่ี 3 เศรษฐศาสตร์
มาตรฐาน ส.3.1 เข้าใจและสามารถบริหารจัดการทรพั ยากรในการผลิตและการบริโภคการใช้

ทรพั ยากรท่มี อี ยูจ่ ากดั ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธภิ าพและคุ้มค่า รวมทง้ั เข้าใจ
หลกั การของเศรษฐกจิ พอเพยี ง เพ่ือการดารงชีวิตอยา่ งมดี ลุ ยภาพ
มาตรฐาน ส.3.2 เขา้ ใจระบบ และสถาบันทางเศรษฐกจิ ตา่ ง ๆ ความสมั พนั ธท์ างเศรษฐกจิ
และความจาเปน็ ของการร่วมมอื กนั ทางเศรษฐกจิ ในสังคมโลก

สาระที่ 4 ประวัติศาสตร์
มาตรฐาน ส 4.1 เข้าใจความหมาย ความสาคัญของเวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ สามารถใช้

วิธีการทางประวตั ิศาสตร์มาวิเคราะห์เหตุการณต์ า่ งๆ อยา่ งเปน็ ระบบ
มาตรฐาน ส 4.2 เข้าใจพัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตจนถึงปัจจุบนั ในดา้ นความสัมพันธ์และการ

เปล่ียนแปลงของเหตุการณ์อย่างต่อเนื่อง ตระหนักถึงความสาคัญและสามารถ
วิเคราะห์ผลกระทบที่เกดิ ข้ึน
มาตรฐาน ส 4.3 เข้าใจความเป็นมาของชาติไทย วัฒ นธรรม ภูมิปัญ ญ าไทย มีความรัก
ความภมู ิใจและธารงความเป็นไทย



สาระท่ี 5 ภมู ศิ าสตร์ เข้าใจลักษณะของโลกทางกายภาพ และความสัมพันธ์ของสรรพส่ิงซึ่งมีผล ต่อกัน
มาตรฐาน ส 5.1 และกันในระบบของธรรมชาติ ใช้แผนท่ีและเคร่ืองมือทางภูมิศาสตร์ ในการค้นหา
วเิ คราะห์ สรปุ และใช้ขอ้ มลู ภูมสิ ารสนเทศอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ
มาตรฐาน ส 5.2 เขา้ ใจปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งมนุษย์กบั สภาพแวดล้อมทางกายภาพที่ ก่อใหเ้ กิด การ
สรา้ งสรรคว์ ัฒนธรรม มจี ติ สานึก และมสี ่วนรว่ มในการอนุรกั ษ์ ทรัพยากรและ
สง่ิ แวดลอ้ ม เพ่ือการพฒั นาที่ยัง่ ยนื

ทาไมตอ้ งเรียนสังคมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม

สังคมโลกมกี ารเปลยี่ นแปลงอย่างรวดเรว็ ตลอดเวลา กลมุ่ สาระการเรยี นรูส้ งั คมศึกษา ศาสนา และ
วัฒนธรรม ชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นมคี วามรู้ ความเข้าใจ ว่ามนุษย์ดารงชวี ิตอยา่ งไร ทง้ั ในฐานะปัจเจกบคุ คล และการ
อยู่ร่วมกนั ในสังคม การปรับตัวตามสภาพแวดลอ้ ม การจัดการทรพั ยากรท่ีมีอยู่อย่างจากัด นอกจากน้ี ยงั ช่วย
ให้ผู้เรียนเข้าใจถึงการพฒั นา เปล่ียนแปลงตามยคุ สมยั กาลเวลา ตามเหตปุ จั จัยต่างๆ ทาให้เกิดความเข้าใจใน
ตนเอง และผู้อื่น มีความอดทน อดกลัน้ ยอมรับในความแตกตา่ ง และมีคุณธรรม สามารถนาความรู้ไปปรับใช้
ในการดาเนินชวี ิต เป็นพลเมืองดีของประเทศชาติ และสงั คมโลก

เรยี นรู้อะไรในสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม

กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมว่าด้วยการอยู่ร่วมกันในสังคม ที่มีความเช่ือม
สัมพันธ์กัน และมีความแตกต่างกันอย่างหลากหลาย เพ่ือช่วยให้สามารถปรับตนเองกับบริบทสภาพแวดล้อม
เป็นพลเมืองดี มีความรับผิดชอบ มีความรู้ ทักษะ คุณธรรม และค่านิยมท่ีเหมาะสม โดยได้กาหนดสาระ
ต่างๆไว้ ดังนี้

• ศาสนา ศีลธรรมและจริยธรรม แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม หลักธรรม
ของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาทตี่ นนับถือ การนาหลกั ธรรมคาสอนไปปฏิบตั ิในการพัฒนาตนเอง และการอยู่
รว่ มกันอย่างสันติสุข เป็นผู้กระทาความดี มีค่านิยมท่ีดีงาม พัฒนาตนเองอยู่เสมอ รวมทั้งบาเพ็ญประโยชน์ต่อ
สงั คมและส่วนรวม

• หน้าท่ีพลเมือง วัฒนธรรม และการดาเนินชีวิต ระบบการเมืองการปกครองในสังคมปัจจุบัน
การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ลักษณะและความสาคัญ การเป็น
พลเมืองดี ความแตกต่างและความหลากหลายทางวัฒนธรรม ค่านิยม ความเช่ื อ ปลูกฝังค่านิยมด้าน
ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สิทธิ หน้าท่ี เสรีภาพการดาเนินชีวิตอย่างสันติสุขใน
สงั คมไทยและสังคมโลก

• เศรษฐศาสตร์ การผลิต การแจกจ่าย และการบริโภคสินค้าและบริการ การบริหารจัดการ
ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจากัดอย่างมีประสิทธิภาพ การดารงชีวิตอย่างมีดุลยภาพ และการนาหลักเศรษฐกิจ
พอเพยี งไปใชใ้ นชวี ิตประจาวนั



• ประวัติศาสตร์ เวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ วิธีการทางประวัติศาสตร์ พัฒนาการของ
มนุษยชาติจากอดีตถึงปัจจุบัน ความสัมพันธ์และเปล่ียนแปลงของเหตุการณ์ต่างๆ ผลกระทบท่ีเกิดจาก
เหตุการณ์สาคัญในอดีต บุคคลสาคัญที่มีอิทธิพลต่อการเปล่ียนแปลงต่างๆในอดีต ความเป็นมาของชาติไทย
วฒั นธรรมและภมู ปิ ญั ญาไทย แหล่งอารยธรรมที่สาคัญของโลก

• ภมู ิศาสตร์ ลักษณะของโลกทางกายภาพ ลักษณะทางกายภาพ แหล่งทรัพยากร และภูมิอากาศ
ของประเทศไทย และภมู ิภาคต่างๆ ของโลก การใชแ้ ผนท่ีและเครอ่ื งมือทางภูมิศาสตร์ ความสัมพันธ์กนั ของส่ิง
ต่างๆ ในระบบธรรมชาติ ความสมั พันธข์ องมนุษยก์ ับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ และส่ิงท่ีมนุษยส์ ร้างข้ึน การ
นาเสนอข้อมลู ภมู สิ ารสนเทศ การอนุรกั ษส์ ิง่ แวดล้อมเพื่อการพัฒนาท่ยี ง่ั ยืน

คุณภาพผูเ้ รียน

จบชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 6
• ได้เรียนรูแ้ ละศกึ ษาความเป็นไปของโลกอย่างกวา้ งขวางและลึกซึ้งยงิ่ ขน้ึ
• ได้รับการส่งเสริมสนับสนุนให้พัฒนาตนเองเป็นพลเมืองท่ีดี มีคุณธรรม จริยธรรม ปฏิบัติตาม
หลักธรรมของศาสนาที่ตนนับถือ รวมท้ังมีค่านิยมอันพึงประสงค์ สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นและอยู่ในสังคมได้
อยา่ งมคี วามสขุ รวมทง้ั มศี กั ยภาพเพือ่ การศกึ ษาต่อในช้นั สูงตามความประสงคไ์ ด้
• ได้เรียนรู้เร่ืองภูมิปัญญาไทย ความภูมิใจในความเป็นไทย ประวัติศาสตร์ของชาติไทย
ยึดมัน่ ในวถิ ีชีวิต และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตรยิ ์ทรงเปน็ ประมุข
• ได้รบั การสง่ เสริมให้มนี ิสัยที่ดใี นการบริโภค เลือกและตัดสินใจบริโภคไดอ้ ยา่ งเหมาะสม มี
จิตสานึก และมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ ประเพณีวัฒนธรรมไทย และสิ่งแวดล้อม มีความรักท้องถิ่นและ
ประเทศชาติ มุ่งทาประโยชน์ และสรา้ งสิ่งท่ีดงี ามให้กับสังคม
• เป็นผู้มีความรู้ความสามารถในการจัดการเรียนรู้ของตนเอง ช้ีนาตนเองได้ และสามารถแสวงหา
ความรู้จากแหล่งการเรยี นรู้ตา่ ง ๆ ในสงั คมได้ตลอดชีวิต



สาระที่ 2 หน้าท่ีพลเมือง วัฒนธรรม และการดาเนินชวี ิตในสังคม
มาตรฐาน ส 2.1 เข้าใจและปฏบิ ัตติ นตามหน้าทข่ี องการเป็นพลเมืองดี มีค่านยิ มท่ดี งี าม และ

ธารงรักษาประเพณแี ละวฒั นธรรมไทย ดารงชีวติ อยู่ร่วมกันในสังคมไทย และ สังคม
โลกอยา่ งสนั ติสุข

ตัวชี้วดั สาระการเรียนร้แู กนกลาง
1. วิเคราะห์และปฏิบัติตนตามกฎหมายที่  กฎหมายเพง่ เกยี่ วกับนิติกรรมสัญญา เช่น
เกย่ี วข้องกบั ตนเอง ครอบครัว ชุมชน
ประเทศชาติ และสังคมโลก ซอื้ ขาย ขายฝาก เชา่ ทรพั ย์ เช่าซือ้ ก้ยู มื เงิน
จานา จานอง
2. วเิ คราะหค์ วามสาคัญของโครงสรา้ งทาง  กฎหมายอาญา เชน่ ความผิดเกีย่ วกับทรัพย์
สงั คม การขัดเกลาทางสังคม และ การ ความผดิ เกยี่ วกับชีวติ และร่างกาย
เปลย่ี นแปลงทางสงั คม  กฎหมายอ่ืนทสี่ าคญั เช่น รัฐธรรมนญู แหง่
ราชอาณาจักรไทยฉบบั ปจั จุบัน กฎหมายการ
3. ปฏิบตั ิตนและมีสว่ นสนบั สนุนใหผ้ ู้อ่นื รบั ราชการทหาร กฎหมายภาษอี ากร กฎหมาย
ประพฤตปิ ฏบิ ัตเิ พื่อเป็นพลเมืองดีของ คมุ้ ครองผู้บริโภค
ประเทศชาติ และสงั คมโลก  ขอ้ ตกลงระหวา่ งประเทศ เชน่ ปฏิญญา
สากลว่าดว้ ยสิทธิมนุษยชน กฎหมาย

มนุษยธรรมระหว่างประเทศ
 โครงสร้างทางสงั คม

- การจัดระเบยี บทางสงั คม

- สถาบนั ทางสงั คม
 การขัดเกลาทางสังคม
 การเปลีย่ นแปลงทางสังคม
 การแก้ปญั หาและแนวทางการพัฒนาทาง

สังคม

 คุณลักษณะพลเมืองดขี องประเทศชาติ และ

สงั คมโลก เชน่

- เคารพกฎหมาย และกตกิ าสังคม
- เคารพสทิ ธิ เสรีภาพของตนเองและบคุ คล

อื่น

- มเี หตุผล รบั ฟังความคดิ เห็นของผอู้ ่ืน
- มคี วามรบั ผิดชอบตอ่ ตนเอง สงั คม ชุมชน

ประเทศชาติและสงั คม



ตวั ช้ีวดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

4. ประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนใน - เข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองการปกครอง
ประเทศไทย และเสนอแนวทางพัฒนา - มสี ว่ นรว่ มในการป้องกัน แกไ้ ขปัญหา

5. วิเคราะหค์ วามจาเปน็ ทีต่ อ้ งมีการปรับปรุง เศรษฐกิจ สงั คม การเมืองการปกครอง
เปล่ยี นแปลงและอนรุ ักษว์ ัฒนธรรมไทยและ
เลอื กรับวฒั นธรรมสากล สง่ิ แวดล้อม
- มคี ุณธรรมจรยิ ธรรม ใชเ้ ปน็ ตวั กาหนด

ความคดิ

 ความหมาย ความสาคญั แนวคิดและหลกั การ

ของสิทธิมนุษยชน
 บทบาทขององค์กรระหวา่ งประเทศในเวทโี ลกท่ี

มีผลต่อประทศไทย
 สาระสาคัญของปฏญิ ญาสากลวา่ ดว้ ยสิทธิ

มนษุ ยชน
 บทบญั ญตั ิของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร

ไทย ฉบบั ปัจจุบันเก่ยี วกับสิทธิมนุษยชน
 ปญั หาสิทธมิ นุษยชนในประเทศและแนวทาง

แกป้ ัญหาและพัฒนา

 ความหมายและความสาคัญของวัฒนธรรม
 ลักษณะและ ความสาคญั ของวฒั นธรรมไทยที่

สาคัญ
 การปรบั ปรงุ เปลีย่ นแปลงและอนรุ กั ษ์วฒั นธรรม

ไทย
 ความแตกตา่ งระหว่างวฒั นธรรมไทยกบั วัฒนธรรม

สากล
 แนวทางการอนรุ ักษว์ ฒั นธรรมไทยทดี่ งี าม
 วธิ กี ารเลอื กรบั วัฒนธรรมสากล



สาระที่2 หนา้ ที่พลเมอื ง วฒั นธรรม และการดาเนินชวี ิตในสังคม

มาตรฐาน ส 2.2 เข้าใจระบบการเมืองการปกครองในสงั คมปจั จบุ นั ยึดมน่ั ศรัทธาและธารงรกั ษาไวซ้ ง่ึ การ
ปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริยท์ รงเป็นประมขุ

ตวั ชีว้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

1. วเิ คราะห์ปัญหาการเมืองที่สาคัญในประเทศ  ปญั หาการเมืองสาคัญทเ่ี กิดข้ึนภายในประเทศ

จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ พร้อมท้งั เสนอแนว  สถานการณ์การเมืองการปกครองของสังคมไทย

ทางแก้ไข และสังคมโลก และการประสานประโยชน์

ร่วมกัน

 อิทธพิ ลของระบบการเมอื งการปกครองที่มผี ล

ต่อการดาเนนิ ชีวิตและความสัมพันธ์ระหว่าง

ประเทศ

2. เสนอแนวทาง ทางการเมืองการปกครองที่  การประสานประโยชนร์ ่วมกันระหว่างประเทศ

นาไปสู่ความเข้าใจ และ เชน่ การสร้างความสมั พันธร์ ะหวา่ งไทยกับ

การประสานประโยชน์รว่ มกันระหวา่ งประเทศ ประเทศต่าง ๆ

 การแลกเปล่ยี นเพือ่ ชว่ ยเหลอื และส่งเสรมิ ด้าน

วฒั นธรรม การศกึ ษา เศรษฐกิจ สังคม

3. วเิ คราะห์ความสาคัญและ ความจาเปน็ ทตี่ ้อง  การปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมี

ธารงรกั ษาไวซ้ ึง่ การปกครองตามระบอบประชาธปิ ไตย พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมขุ

อันมีพระมหากษัตรยิ ท์ รงเป็นประมุข - รปู แบบของรฐั

- ฐานะและพระราชอานาจของ

พระมหากษัตริย์

4. เสนอแนวทางและมีสว่ นร่วมในการตรวจสอบ  การตรวจสอบการใช้อานาจรัฐ ตามรฐั ธรรมนูญ
การใช้อานาจรฐั
แห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปัจจบุ ัน ทม่ี ผี ลต่อ

การเปล่ยี นแปลงทางสงั คม เช่น การตรวจสอบ

โดยองคก์ รอสิ ระ การตรวจสอบโดยประชาชน



โครงสรา้ งรายวิชากลุ่มสาระสงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
ระดบั 3 ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4- 6

ชั้น รหัสวิชา ชือ่ วิชา คาบ/ จานวน หมายเหตุ
สป. หนว่ ยกติ
ม. 2 1 พืน้ ฐาน
21
ส31101 สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม 1 0.5
1 0.5
4 ส31102 สงั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม 2 1 สาระเพิ่ม
21
ส31103 ประวัตศิ าสตร์ 1 1 0.5
1 0.5
ส31104 ประวตั ิศาสตร์ 2 2 1 พ้นื ฐาน
21
ส31201 การปกครองท้องถิ่นของไทย 1 0.5
1 0.5
ส31202 ประชากรกับคณุ ภาพชีวิต 2 1 สาระเพ่ิม
21
ส30203 หนา้ ทีพ่ ลเมือง 1 1 0.5 สาระเพิ่ม
1 0.5 สาระเพมิ่
ส30204 หนา้ ทพี่ ลเมือง 2 1 0.5
2 1 พน้ื ฐาน
ส32101 สงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม 21
2 1 สาระเพม่ิ
5 ส32102 สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม 21
1 0.5
ส32103 ประวัติศาสตร์ 3 30 17

ส32104 ประวัติศาสตร์ 4

ส32201 กฎหมายท่ปี ระชาชนควรรู้

ส32202 การปกครองของไทย

ส32252 อาเซียนศึกษา

ส32252 อาเซียนศึกษา

ส30205 หน้าท่ีพลเมือง 3

ส33101 สังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม

6 ส33102 สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม

ส33201 เหตกุ ารณ์ปัจจบุ นั 1

ส33202 เหตกุ ารณ์ปัจจบุ นั 2

ส30206 หน้าทีพ่ ลเมือง 4

รวม



คาอธบิ ายรายวิชา

กลมุ่ สาระการเรียนรู้ สงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม

รายวิชา การปกครองของไทย รหัสวิชา ส32202 ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 5

เวลา 40 คาบ / ภาคเรียน จานวน 1 หน่วยกิต ภาคเรียนที่ 2

ศึกษาเก่ียวกับ บทบาทและการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง การปกครองที่มีผลกระทบต่อสังคมไทย
ปัจจุบัน และมีความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับพัฒนาการทางการเมืองการปกครองรัฐธรรมนูญของประเทศไทย
ความสาคัญท่ีมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมท้ังผลกระทบต่อการดารง
ชีวติ ประจาวันของประชาชน

โดยใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์ กระบวนการสืบค้น กระบวนการกลุ่ม กระบวนการประชาธิปไตย
กระบวนการฝึกปฏิบตั ิ กระบวนการคิดรวบยอด

เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับปัญหาอุปสรรคและพัฒนาการทางการเมืองของไทยในระบอบ
ประชาธิปไตย การปกครองของไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและ
ตระหนักถึงบทบาทหน้าท่ีของตนเองในการมีส่วนร่วมที่จะพัฒนาการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตย
ใหม้ นั่ คงตอ่ ไป

ผลการเรียนรู้
1. มีความร้พู น้ื ฐานเกยี่ วกับการเมืองการปกครอง
2. มีความรู้ความเข้าใจเก่ยี วกับพัฒนาการทางการเมอื งการปกครองของไทยตงั้ แตร่ ะบบ
สมบรู ณาญาสิทธริ าชจนถงึ ระบอบประชาธปิ ไตยในปัจจุบัน
3. อธิบายถึงความสัมพันธร์ ะหว่างการเปลยี่ นแปลงทางการเมืองการปกครอง กับสงั คม เศรษฐกจิ
ของไทยตัง้ แต่อดตี จนถึงปัจจุบัน
4. รแู้ ละเข้าใจเกี่ยวกับการเมือง พรรคการเมอื ง การเลอื กตง้ั สทิ ธิ หน้าท่ี เสรภี าพ ในระบอบ
ประชาธปิ ไตย
5. วิเคราะหเ์ กยี่ วกับเหตุผลในการเปลยี่ นแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
6. อธบิ ายถงึ ความหมาย ความสาคญั และโครงสร้างของระบบการเมืองการปกครองของไทย



กาหนดการสอนและการประเมนิ ผล

รายวิชา การปกครองของไทย ส32202 สาระเพ่ิมเตมิ กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม

ระดับช้นั มัธยมศึกษาตอนปลาย ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 5 ภาคเรยี นท่ี 2

ครผู ้สู อน นายพิชาภพ ศรีทองมาศ

สปั ดาห์ เนื้อหา/รายละเอยี ด จานวน กจิ กรรมการเรียนการ ภาระงาน/ช้นิ งาน คะแนน
ที่ ชั่วโมง สอนและสอื่ ทใ่ี ช้ คาอธบิ ายรายวชิ า /
แนะนารายวิชาและอธิบายถึง 1 สอบกอ่ นเรยี น 2
1 ความสาคญั ของการปกครองไทย บรรยาย แบบทดสอบ 5
ขอ้ ตกลงรว่ มกัน 1 วัดผลสัมฤทธ์กิ ่อนเรยี น การทางานกลมุ่ 2
1 บทที่ 1 ความหมายของการเมืองการ และใชส้ ื่อประสม และผลงาน
2 ปกครอง 1 บรรยาย อภิปราย การนาเสนอรายงาน
2-3 รปู แบบการปกครอง 2 และใช้สื่อประสม
3 1 แบบฝกึ หัดทบทวน
4 การปกครองแบบประชาธปิ ไตย 1 บรรยาย อภิปราย
และใช้สื่อประสม การทางานกลมุ่
บทท่ี 2 การเมอื งการปกครองของ บรรยาย อภิปราย
ไทยในระบอบสมบรู ณาญาสทิ ธริ าชย์ และใชส้ ือ่ ประสม การทางานกลมุ่
การเมอื งการปกครองไทยในระบอบ บรรยาย อภิปราย และผลงาน
ประชาธิปไตย และใช้สอ่ื ประสม
บรรยาย อภปิ ราย
และใช้สอ่ื ประสม

การเปลย่ี นแปลงการปกครอง 1 บรรยาย อภิปราย การนาเสนอรายงาน
และใช้สื่อประสม และผลงาน
พ.ศ. 2475 บรรยาย อภิปราย
และใชส้ อ่ื ประสม แบบฝกึ หดั ทบทวน 5
5 การเมอื งการปกครองไทยภายหลงั 1
บรรยาย อภิปราย
การเปลย่ี นแปลงการปกครอง และใช้สื่อประสม

พ.ศ. 2475 บรรยาย อภิปราย
และใช้สื่อประสม
5-6 บทท่ี 3 สถาบนั กษตั รยิ ์และ 3 การนาเสนอรายงาน 5
บรรยาย อภปิ ราย การทางานกลมุ่ 5
รัฐธรรมนูญ และใช้สื่อประสม และผลงาน 2

7-8 สถาบนั นติ บิ ญั ญตั ิ บริหารและ ตลุ า 3 บรรยาย อภิปราย การนาเสนอรายงาน
การ, พรรคการเมือง, และใชส้ ื่อประสม การทางานกลุ่ม
กลมุ่ ผลประโยชน์และส่ือมวลชน แบบฝกึ หดั ทบทวน

8 บทที่ 4 ความหมายและลักษณะของ 1 การทางานกลุ่ม
การเลอื กตงั้ ,หลกั เกณฑก์ ารเลอื กต้ัง และผลงาน
แบบประชาธิปไตย
การนาเสนอรายงาน 5
9-10 ประเภทและสทิ ธใิ นการเลือกต้ัง,เขต 3 การทางานกลมุ่
ในการเลือกตัง้ แบบฝกึ หดั ทบทวน

10 สอบกลางภาค 1 ข้อสอบกลางภาค -ข้อสอบปรนยั 15
45 ข้อ



สัปดาห์ เน้อื หา/รายละเอยี ด จานวน กิจกรรมการเรียนการ ภาระงาน/ช้นิ งาน คะแนน
ที่ ชวั่ โมง สอนและสื่อท่ใี ช้ การทางานกลมุ่ 2
บทที่ 5 ความหมายและความสาคญั 1 5
11 ของการบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ 1 บรรยาย อภิปราย การนาเสนอรายงาน
ระเบียบบรหิ ารราชการสว่ นกลาง 1 และใช้สื่อประสม 2
12 1 บรรยาย และใชส้ ่ือ การทางานกลมุ่
ระเบียบบรหิ ารราชการส่วนภมู ิภาค 1 ประสม และผลงาน 5
13 1 บรรยาย และใช้สือ่ แบบฝกึ หัดทบทวน 2
ระเบียบบริหารราชการสว่ นท้องถน่ิ 1 ประสม 5
14 1 บรรยาย และใชส้ ือ่ การทางานกลุ่ม
บทที่ 6 ความหมายและความสาคญั 2 ประสม 6
15 ของการปกครองสว่ นทอ้ งถิน่ 2 บรรยาย อภปิ ราย การนาเสนอรายงาน
16 แนวคดิ การกระจายอานาจ และใช้ส่ือประสม และผลงาน 2
17 1 บรรยาย อภิปราย การทางานกลมุ่ 5
17-18 องค์การบรหิ ารสว่ นจงั หวัด ,เทศบาล, 2 และใชส้ ื่อประสม และผลงาน 20
18 องค์การบริหารส่วนตาบล บรรยาย อภิปราย แบบฝกึ หัดทบทวน 100
19-20 กรุงเทพ , เมอื งพัทยา 1 และใช้สอ่ื ประสม
บรรยาย อภปิ ราย การนาเสนอรายงาน
20 บทที่ 7 ระบอบการปกครองที่สาคัญ 3 และใช้สื่อประสม และผลงาน
รปู แบบประชาธิปไตยและเผดจ็ การ , บรรยาย อภิปราย แบบฝกึ หัดทบทวน
เผด็จการ, ภาวะเปลีย่ นผา่ นของ 1 และใชส้ ่ือประสม
รูปแบบการปกครอง , ลกั ษณะการ 40 บรรยาย อภิปราย การทางานกลมุ่
ปกครองทบี่ ่งชคี้ วามเปน็ เผดจ็ การ และใช้สื่อประสม
บทท่ี 8 ประเภทของการมสี ว่ นรว่ ม การนาเสนอรายงาน
ทางการเมือง , บรรยาย อภิปราย และผลงาน
กรณีศึกษา : การมสี ่วนร่วมทางการ และใชส้ ่อื ประสม แบบฝกึ หัดทบทวน
เมอื ง บรรยาย อภปิ ราย การทางานกลมุ่
และใช้สอ่ื ประสม
บทท่ี 9 ความหมายและความสาคญั การนาเสนอรายงาน
ของรฐั ธรรมนูญและองค์กรตาม บรรยาย อภปิ ราย และผลงาน
รัฐธรรมนูญ และใช้สอ่ื ประสม แบบฝกึ หดั ทบทวน
คณะกรรมการการเลือกตง้ั ,
ผตู้ รวจการแผน่ ดนิ ,คณะกรรมการ บรรยาย อภิปราย ข้อสอบปรนัย
ป้องกันและปราบปรามการทุจรติ และใช้สื่อประสม 40 ข้อ
แหง่ ชาติ,คณะกรรมการตรวจเงนิ
แผ่นดิน,คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ขอ้ สอบปลายภาค
แห่งชาติ
สอบปลายภาค



บทท่ี 1 บทท่วั ไป

เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202

บทที่ 1

บททว่ั ไป

“การเมือง” (politic) มาจากคาภาษากรีก “polis” แปลว่า “รัฐ” หรือ“ชุมชนทาง
การเมือง”มีนักวิชาการหลายท่านให้ความหมายไวห้ ลากหลายตา่ งกันข้ึนอยู่กับทัศนะและความเข้าใจ
ของนักวชิ าการแต่ละคน

เพลโต (Plato) นักปราชญ์กรีกให้ความหมายของการเมืองวา่ “เป็นกิจกรรมท่ีแสวงหาความ
ยุติธรรม และเพือ่ การดารงชีวิตท่ีดีของสังคม” เพลโต ได้รับการยกยอ่ ง เป็นบิดาดา้ นปรชั ญาการเมือง
เพลโต เป็นลูกศิษย์ โซเครตีส (บิดาของวิชาปรัชญา) เพลโต เขียนหนังสือเร่ืองแรก คือ (อุตมรัฐ )
(The Republic ) ** เป็นบ่อเกิดของลัทธิคาร์ล มาร์กซ์ ต้ังสานักการศึกษาช่ือ สานักอะคาเดมี
( Academy ) วรรณกรรมเล่มสองชื่อ “รัฐบุรุษ (Statesman) ” ถ้าไม่อาจหาราชาแห่งปราชญ์มา
จัดการปกครองแบบบราชาธิปไตยได้ ก็ไม่อาจปกครองอุตมรัฐได้ ,วรรณกรรมเร่ืองสุดท้ายคือ
กฎหมาย The Law กฎหมายตา่ งกบั เหตุผล แต่เมือ่ กฎหมายเกิดจากเหตผุ ล กฎหมายจงึ เป็นส่วนหน่ึง
ของเหตผุ ล

อรสิ โตเติล (Aristotle) บิดาแห่งวิชารฐั ศาสตร์ ใหค้ วามหมายไว้ว่า “การเมือง” หมายถึงการ
ใช้อานาจหน้าที่เพื่อสาธารณประโยชน์” เป็นลูกศิษย์ของเพลโต เปิดสานักศึกษาไลเซียม (Lyceum)
แสดงทัศนะเกี่ยวกับความหมายของรัฐกาเนิดรัฐ รูปแบบของรัฐ วรรณกรรม เรื่อง “การเมือง”
(Politics) ได้ชื่อว่าเป็นคัมภีร์ทางรัฐศาสตร์ ( มนุษย์เป็นสัตว์สังคม, รัฐเป็นอาณาจักรการเมืองสูงสุด,
การปกครองท่ีดีที่สุดคือการปกครองด้วยกฎหมาย , รัฐที่ดีคือรัฐที่ปกครองด้วยชนช้ันกลาง ( Polity)
และ “จริยธรรม” (Ethics) เป็นวรรณกรรมเร่ืองสอง วา่ ดว้ ยความยุตธิ รรมและคุณธรรม

David Easton ได้ให้ความหมายของการเมือง ว่า การเมืองคือ การที่มนุษย์ตอบโต้กันอัน
เก่ียวข้องกบั อานาจและการแจกแจงสงิ่ ที่มีคุณค่าสาหรับสงั คมเก่ียวข้องกับการตัดสนิ ใจของประชาชน

ฮาโรลด์ ลาสเวลล์ (Harold Lasswell) (อ้างใน ดร.อินสอน บัวเขียว:2544 ) ได้กล่าวว่า
การเมืองเป็นเรอื่ งของใคร ไดอ้ ะไร ใหผ้ ลประโยชนเ์ มือ่ ไรและไดป้ ระโยชนอ์ ย่างไร

Aristotle (384 - 322 ปีก่อน ค.ศ.) กล่าวว่า “มนุษย์นั้นโดยธรรมชาตเิ ป็นสตั วส์ ังคม ที่ต้อง
อาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นหมู่คณะ” หรือหลายครั้งเราได้ยินว่า “มนุษย์เป็นสัตว์การเมือง”
(Political animal) ดังนั้นเม่ือมนุษย์มาอยู่รวมกนั หากมิได้กาหนดกติกาอะไรสักอย่างข้ึนมากากับการ
อยู่รวมกัน ของมนุษย์แล้วน้ัน มนุษย์ด้วยกันเองยังเช่ือว่าน่าจะก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายข้ึนใน
สังคมและการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ เน่ืองจากโดยธรรมชาติของมนุษย์น้ัน ป่าเถ่ือน ขลาดกลัวและไม่
เป็นระเบียบดังท่ี โธมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes ค.ศ.1588-1679) ได้เคยกล่าวไว้ว่า เม่ือมนุษย์
จาต้องอาศัยอยู่ร่วมกันในสังคมภายใต้กติกาแล้วก็จาเป็นอยู่ในตัวเองท่ีจะต้องกาหนดตัวผู้นามาทา
หน้าที่ควบคุมดูแลให้สังคมหรือการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ดาเนินไปได้ด้วยความเรียบร้อย และโดยท่ี

นายพชิ าภพ ศรีทองมาศ ครวู ิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ศิ 1

เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202

มนุษย์จาต้องปกครองกันน้ัน หากเกิดปัญหาขึ้นในระหว่างมนุษย์ด้วยกัน หรือการจะทาให้สังคมมี
ความเจริญก้าวหน้าขึ้นไป หลีกเล่ียงมิได้เสียท่ีจะต้องเก่ียวข้องกับการใช้อานาจทางการเมือง อันมี
ความหมายและบริบททส่ี ะท้อนออกมาในเร่ืองของการใช้อานาจเพ่ือการปกครองประชาชน

การเมืองการปกครองซ่ึงเป็นสภาพการณ์และผลที่เกิดจากการกระทาของมนุษย์ จึงเป็นส่ิงท่ี
เก่ียวข้องสัมพันธ์ กับชีวิตของมนุษย์อย่างมิอาจปฏิเสธได้ ซ่ึงก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่ผู้ใดก็ตาม
จาเป็นต้องให้ความสนใจกับเรื่องการเมืองการปกครองไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เน่ืองจากส่ิงใดที่ออกมา
จากสถาบันทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายนิติบัญญัติที่ทาหน้าที่ในการตรากฎหมายต่าง ๆ เพื่อบังคับ
ใช้ มาจากรัฐบาลในรูปของนโยบายสาธารณะ (Public Policies) โครงการพัฒนา และงานต่าง ๆ ท่ี
ประกอบข้ึนหรือดาเนินไปโดยภาคราชการ รวมไปถึงการตัดสินคดีความหรือข้อพิพาทที่เกิดขึ้น
ระหว่างบุคคลต่อบุคคล และบุคคลกับรัฐ เหล่าน้ีล้วนแต่เป็นเร่ืองที่การเมืองส่งผลกระทบต่อทุกคน
อย่างที่ไม่อาจมองข้ามไปได้ ดังนั้นเราจึงจาเป็นอย่างย่ิงต้องเข้าใจทางการเมืองและการปกครองไป
ควบคู่กนั

1. ความหมายของการเมืองการปกครอง
การเมือง (Politics) คือ กระบวนการจัดสรรผลประโยชน์และสิ่งท่ีมีค่าทางสังคม หรือการ

ใช้ การแข่งขันเพ่ือแสวงหาอานาจ อันส่งผลกระทบต่อสังคมส่วนใหญ่ นอกจากนี้ยังหมายถึง เร่ืองใน
การแขง่ ขันหรือแสวงหาอานาจ ซงึ่ สง่ ผลกระทบต่อสังคมโดยสว่ นใหญ่ และทาหน้าท่ีสร้างสรรค์ชีวิตที
มีคุณธรรมให้เกิดข้ึนโดยการใช้อานาจรัฐ เพ่ือจัดสรรแบ่งปันส่ิงท่ีมีคุณค่าให้ท่ัวถึงและเป็นธรรมใน
สังคม

การปกครอง (Government) คือ เรื่องเก่ียวกับการบริหาร การวางระเบียบกฎเกณฑ์
สาหรับสังคม เพ่ือให้เกิดความสงบสุขหรือทาการบาบัดทุกข์บารุงสุข โดยอยู่ในลักษณะการใช้อานาจ
ของรัฐเขา้ จดั ระเบยี บและควบคุมสงั คม

โดยสรุป การเมืองและการปกครองจึงเป็นการศึกษาเรื่องเก่ียวกับการวางระเบียบกฎเกณฑ์
ในการบริหารบา้ นเมืองของรฐั โดยใชอ้ านาจทางการเมืองเปน็ เคร่ืองมือ เพ่ือใหม้ นุษย์มีทง้ั ความสุขท้ัง
ในความหมายของวัตถุธรรมและนามธรรม คือ สุขทั้งร่างกายและจิตใจ การเมืองการปกครอง (การ
บริหาร) มคี วามเก่ียวข้องสัมพนั ธ์กัน คือ การจะบริหารหรือปกครองบา้ นเมืองใหส้ งบสุขและพฒั นาได้
นั้นจาเปน็ ต้องอาศยั อานาจ (คอื การเมอื ง ) จึงจะดาเนินการได้สาเร็จ

ในขณะที่ทรัพยากรหรือสงิ่ ที่มีคุณค่าในสังคมมีอยู่อยา่ งจากัด แต่ความต้องการมีมากเกินการ
แก่งแย่งแข่งขัน ซึ่งใครจะเป็นผู้ช้ีขาด ตัดสิน หรือมีอานาจบังคับเพ่ือให้เกิดความยุติธรรมและเป็น
ธรรมโดยใช้กฎ กติกาข้อบังคับ หรือกฎหมายใด ๆ เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของมนุษย์ของทุกคน
ในรัฐ ซ่ึงในทางรัฐศาสตร์เรียกผู้ท่ีมีอานาจนี้ว่า รัฏฐาธิปัตย์ หรือ องค์อธิปัตย์ (Sovereign) หรือ
ผู้ปกครอง (ในประเทศไทย รัฏฐาธปิ ัตย์แบ่งออกเป็น 3 ฝ่าย ได้แก่ฝ่ายนติ บิ ญั ญัติ ฝ่ายบรหิ ารและฝ่าย
ตุลาการ) ส่วนอานาจสูงสุดที่ใช้ในการปกครองของรัฐหรือประเทศนั้น คือ อานาจอธิปไตย
(Sovereignty) อันเป็นอานาจเด็ดขาดในการปกครองของประเทศ แสดงถึงอานาจสูงสุดภายในรัฐ
และความเปน็ อิสระทไี่ มต่ ้องขน้ึ กบั รัฐอน่ื แบง่ ออกเป็น 3 สว่ น คอื

นายพชิ าภพ ศรีทองมาศ ครูวทิ ยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ิศ 2

เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202

1. อานาจนติ บิ ญั ญัติ คือ อานาจในการออกกฎหมาย
2. อานาจบริหาร คือ อานาจในการบรหิ ารประเทศตามกฎหมาย โดยผูป้ กครองหรือรัฐบาล
3. อานาจตุลาการ คือ อานาจในการพิจารณาตัดสนิ คดคี วามตามกฎหมาย

หลักเกณฑใ์ นการพจิ ารณาว่ากจิ กรรมทีเ่ รยี กว่าการเมืองเกี่ยวข้องกับเร่อื งตา่ ง ๆ ดังน้ี คือ
1) เก่ยี วข้องกบั มหาชน มีผลกระทบกบั คนจานวนมาก
2) เกย่ี วข้องกบั รฐั
3) เก่ียวข้องกับนโยบายสาธารณะ

ความสาคัญของการเมือง ความสาคัญของการเมืองมี 3 ประการ คอื
1) การเมืองเป็นวิถีชีวติ แบบหน่งึ ของมนุษยใ์ นรัฐ
2) มนุษย์ภายในรฐั ไมอ่ าจหลีกหนีใหพ้ ้นจากผลกระทบทางการเมืองได้
3) กิจกรรมทางการเมือง จะนาไปสู่การใช้อานาจทางการเมือง การปกครองเพ่ือออก

กฎหมายพฒั นาประเทศ รวมท้งั การแก้ปัญหาของประเทศ

1.1 ปรชั ญาการเมือง

• นักปรชั ญาสมยั โรมนั

1. ซิเซโร(Cicero) หรือดีเคโร เป็นนักกฎหมาย นักการเมือง และรัฐบุรุษของโรม งานเขียน
ที่สาคัญคือ“สาธารณรัฐ” (Republic) และ “กฎหมาย” (Law) “รัฐเป็นชุมชนทางกฎหมาย” ซ่ึง
ซิเซโรเขียนในรูปแบบการสนทนาตามแบบของเพลโต รูปแบบของรัฐที่ถูกใจคือ รูปแบบของรัฐผสม
(ราชาธปิ ไตย+อภิชนาธปิ ไตย+ประชาธิปไตย )

2. นักบุญออกัสติน ( Saint Augustine of Hippo) เป็นชาวแอฟริกัน เรียบเรียงเรื่อง
ดินแดนของพระเจ้า “ The City of God ” เป็นต้นกาเนิดของทฤษฎีเทวสิทธิ แบ่งสังคมเป็น 4 ชน
ช้ัน คือ บา้ น ,เมือง,โลก และ จกั รวาล

3. สันตะประปา เจลาสิอุสท่ี 1 ให้กาเนิดทฤษฎี ดาบสองเล่ม “ Theory of the Two
Swords ” ( อานาจในการปกครองโลกประกอบด้วย อานาจฝ่ายโลก , อานาจฝ่ายวิญญาณ อานาจ
ทง้ั สองแยกกันอยู่ )

• นักปรัชญาสมัยกลาง

1. จอห์น แห่ง ซอสเบอรี่ (John of Salisbury) ชาวอังกฤษงานเขียน คือ“โปลิเครติคุส”
( Policraticus) “ ขอ้ แตกตา่ งระหว่างทรราชยก์ บั ราชา มีอยู่ข้อเดียวคือ ราชานั้นตอ้ งเคารพกฎหมาย
และปกครองด้วยบญั ชาแหง่ กฎหมาย โดยถือวา่ ตนเปน็ ผ้รู บั ใชป้ ระชาชน” , “ ความช่ัวนั้นย่อมถกู พระ
ผู้เป็นเจา้ ลงโทษเสมอ ... ”

นายพชิ าภพ ศรีทองมาศ ครูวทิ ยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ิศ 3

เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202

2. นักบุญโธมัส อไควนัส ( Saint Thomas Aquinas ) ชาวอิตาลี การปกครองรัฐและการ
ใชช้ วี ติ ิตอ้ งอาศัยระเบยี บท่ีตราในรัฐ คือ กฎหมายของมนุษย์ และ กฎหมายศักด์สิ ทิ ธิ์แบ่งสังคมเป็น 4
ชนช้ัน คอื บา้ น ,เมอื ง,โลก และ จกั รวาล มกี ารแบ่งกฎหมายออกเปน็ ลาดบั ช้ัน กฎนริ นั ดร์, กฎ
ธรรมชาติ,กฎศักด์ิสิทธ์ิ,กฎหมายของมนุษย์ (ถูกนาไปกล่าวอ้างว่า รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด ซ่ึง
กฎหมายอนื่ จะขดั หรือแยง้ ไมไ่ ด้ ) “กฎหมายคอื เจตจานงของพระผเู้ ป็นเจา้ ”

• นักปรชั ญาสมัยฟื้นฟูศลิ ปวิทยา

1. ฌอง โบแดง ( Jean Bodin ) ชาวฝรั่งเศส มีแนวความคิดวา่ “อานาจอธปิ ไตยเป็นของ
กษัตริย์ กษัตริย์ทาหน้าท่ีปกครองรัฐ ประชาชนต้องปฎิบัติตามคาส่ังรัฐ ” เขียนหนังสือช่ือ “ ตารา
6 เล่มว่าด้วยสาธารณรัฐ ” (Six Livres de la Republique ) และหนังสือวิธีทาความเข้าใจเกี่ยวกับ
ประวตั ศิ าสตร์ ( Method for The Easy Comprehension of History )

2. โธมัส ฮอบ ( Thomas Hobbes ) ชาวอังกฤษ เขียนหนังสือเรื่อง “รัฎฐาธิปัตย์”
Liviathan การปกครองแบบอานาจเด็ดขาด เป็นการปกครองที่มีประสิทธิภาพท่ีสุด , ฮอบส์ปฎิเสธ
ทฤษฎีเทวสทิ ธิ หากแตเ่ ช่ือในทฤษฎีสญั ญาประชาคม “Social Contract ” ฮอบส์ ถอื วา่ มนุษย์ทุกคน
สิทธิธรรมชาติอยู่ในตัว สิทธิน้ีเกิดข้ึนเองพร้อมกับความเป็นมนุษย์ ไม่มีใครสร้าง ไม่มีใครประสิทธิ
ประสาทให้ แต่มนุษย์อยู่โดยเดียวดายมิได้ หากต้องอยู่ร่วมกับผู้อ่ืน การอยู่ร่วมกันอย่างสันติก็ต้อง
ยอมกนั โดยยกให้ใครเปน็ ใหญ่ และเม่ือยกให้ใครเป็นใหญ่แล้ว มนษุ ยค์ นอ่ืนๆ กต็ อ้ งเช่ือฟังและยอมรับ
นับถือกัน เพ่อื ชุมชนจะอย่ไู ด้อยา่ งสันติ “ องคอ์ ธปิ ตั ยถ์ อดถอนมิได้”

• นกั ปรชั ญาสมัยหลงั ฟื้นฟูศิลปวทิ ยา

3. จอห์น ล็อค ( John Locke ) ชาวอังกฤษ เขียนหนังสือ “ สองเล่มว่าด้วยการปกครอง”
( Two Treatises of Coverment ) แนวคิด “มนุษย์ทุกรูปทุกนามมีสิทธิอยู่ในตัวนับแต่เกิดมา แต่
สิทธเิ หล่านั้นไม่เป็นระเบียบและลักลั่นกันอยู่ตามวัยและความนกึ คิดสติปัญญาของแตล่ ะบุคคล ฉะนั้น
จึงต้องมีหัวหน้ามาคอยจัดให้สิทธิเหล่านั้น เป็นระเบียบเข้ารูปเข้ารอยดีข้ึน ถ้ารัฐบาลล่วงละเมิดสิทธิ
ดังกล่าวแล้ว ประชาชน ย่อมมีสิทธิล้มล้างรัฐบาลได้ เพราะแท้จริงแล้วรัฐบาลคือผู้ถูกสมมุติหรือยก
ยอ่ งใหป้ กครองเท่านั้นมิใชผ่ ปู้ กครองอนั มอี ยู่แต่เดมิ ”

4. ฟรังชัว มารี อารัวท์ หรือ วอลแตร์ (Voltaire ) ชาวฝร่ังเศส แนวคิดคือ “ประชาชนทุก
คน มเี สรีภาพในการพดู และการนบั ถือศาสนา ”

5. มองเตสกิเออ (Montesquteu ) ชาวฝร่ังเศส เขียนหนังสือเรื่อง “เจตนารมณ์แห่ง
กฎหมาย ” Spirit of Law แนวคิดคือ ทฤษฎีการแบ่งแยกอานาจ เพื่อให้เกิดการ Check &
Balance “ เม่ือใดท่ีอานาจนิติบัญญัติ และอานาจบริหารรวมอยู่ท่ีคน ๆ เดียวหรือองค์กร หรือ
เจ้าหน้าท่ีเดียว อิสรภาพย่อมไม่อาจมีได้เพราะจะเกิดความหวาดกลัวเนื่องจากกษัตริย์หรือสภาเดียว
น้ันอาจออกกฎหมายมากดขขี่ ่มเหงราษฎรได้ ในทานองเดยี วกนั อสิ รภาพจะไมห่ ลงเหลืออยู่ถ้าอานาจ

นายพชิ าภพ ศรที องมาศ ครวู ิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ศิ 4

เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202

ตุลาการไม่แยกออกจากอานาจนิติบัญญัติและอานาจบริหาร ถ้าหากให้อานาจตุลาการรวมอยู่กับ
อานาจนิติบัญญัติ ชีวิตและอิสรภาพ คนในบังคับจะถูกควบคุมโดยพลการ เพราะตุลาการอาจ
ประพฤตพิ าลและกดขขี่ ม่ เหงราษฎรได้ ”

6. ฌอง ฌาคส์ รุสโซ ( Jean Jacques Rousseau ) ชาวสวิส เขียนหนังสือเรื่อง “ สัญญา
ประชาคม ” Social Contract แนวคิดคือ อานาจอธิปไตย เป็นของประชาชน ได้รับการยกย่อง
ว่า เป็นบิดาของทฤษฎีประชาธิปไตยโลก แนวคดิ คือ “ รฐั เกิดขึ้นจาการทห่ี ลายคนมารวมอยูด่ ้วยกัน
และสละประโยชน์ส่วนน้อยเพ่ือประโยชน์ส่วนใหญ่ประโยชน์ส่วนน้อยท่ีว่าน้ัน คือ สิทธิและเสรีภาพ
นั่นเอง

7. โทมัส มอร์ ( Thomas More ) ชาวอังกฤษ เขียนหนังสือเร่ือง “ ยูโทเปีย ” Utopia
เป็นเร่ืองราวของสังคมอุดมคติ ท่ีมีลักษณะของสังคมนิยมอยู่มาก แต่ไม่อาจเรียกว่าเป็นสังคม
คอมมิวนิสต์

8. คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ชาวเยอรมมัน วรรณกรรมสาคัญ“คาประกาศป่าวร้องของ
คอมมิวนิสต์ ” Communist Manifesto เป็นเร่ืองราวของการล้มล้างระบอบทุนนิยมซึ่งคนกลุ่ม
น้อยเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตภายใต้ระบบกรรมสิทธิส่วนตัว มนุษย์ทั่วไปถูกลดค่าความเป็นมนุษย์
และในหลายกรณีการใช้กาลังปฎวิ ัติเปน็ ส่ิงหลกี เลี่ยงไม่ได้

9. เลนนิ (V.I.Lanin ) เกดิ ท่ีไซบเี ลยี ตอนเหนอื ของโซเวียต เลนิน นาทฤษฎีของมาร์ก มาใช้
ในการปฏบิ ัติ เพื่อประยุกต์ใช้ในรสั เชยี เรียกว่า ลัทธมิ ารก์ ซิสม์-เลนินนิสม์

10. มุสโสลินี ( Benito Mussolini ) ชาวอิตาลี การปกครองของเขาเป็นแบบเผด็จการ
อย่างหนึ่งท่ีมาจากความคิดทางการเมือง อันเป็นแบบฉบับเฉพาะตน เรียกว่า ฟาสซิสต์ ( สัญลักษณ์
ของผู้ปกครองโรมันโบราณ คือรูปไม้กาหน่ึงกับขวาน ) เช่ือว่าชาติพันธ์ของตน วิเศษว่าชนชาติอื่นทา
ให้เกิดความคดิ ท่ีจะรุกรานชาตทิ ดี่ อ้ ยกวา่ (ลทั ธชิ าตนิ ยิ ม)

1.2 รฐั ชาติ และประเทศ

“รัฐ” หมายถึง ชุมชนทางการเมืองของมนุษย์ อันประกอบด้วยดินแดนที่มีขอบเขตแน่นอน
มปี ระชากรอาศยั อยู่ในจานวนที่เหมาะสม โดยมรี ฐั บาลปกครองและมีอานาจอธิปไตยของตัวเอง

“ชาติ” หมายถงึ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในทางวฒั นธรรม และมีความผูกพนั กนั ในทาง
สายโลหิต เผ่าพันธุ์ ภาษาศาสนา วัฒนธรรม ตลอดจนมปี ระสบการณ์ทางประวตั ิศาสตรร์ ่วมกัน หรอื มี
วิวฒั นาการทางการเมอื งการปกครองรว่ มกัน เชน่ คาว่า “ชาติไทย”

นายพชิ าภพ ศรที องมาศ ครวู ิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ิศ 5

เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202

“ประเทศ” ความหมายกว้าง หมายรวมถึงดินแดนท่ีมีฐานะเป็นรัฐหรือไม่มีฐานะเป็นรัฐ แต่
โดยสรปุ แลว้ คาวา่ “ประเทศ” ตามกฎหมายระหว่างประเทศ หมายถงึ ดินแดน อาณาเขต และสภาพ
ภูมิศาสตร์ เป็นต้นว่า ความอุดมสมบูรณ์ ดินฟ้าอากาศ แม่น้าภูเขา ทะเล ป่าไม้ ฯลฯ เช่น ประเทศ
ไทย

1.3 องค์ประกอบของรัฐ

1.ประชากร (Population) หมายถงึ มนุษยท์ ุกคนทอี่ ยใู่ นอาณาเขตของรฐั ถือว่ามฐี านะเป็น
ส่วนของรฐั โดยอัตโนมัติ

- จานวนประชากรแตล่ ะรัฐมีประชากรจานวนเท่าใด ไมม่ ีการกาหนดที่แนน่ อน
- ลักษณะของประชากร ไม่จาเปน็ ต้องเหมือนกนั
- คุณภาพของประชากร ข้ึนอยู่กับการศึกษา สุขภาพ อนามัย ทัศนคติ และความก้าวหน้า
ทางเทคโนโลยี
2.ดนิ แดน (Territory) มีขอ้ สงั เกตดงั น้ีคอื

1) ดินแดน คือ อาณาเขตพ้ืนดนิ น่านนา้ อาณาเขตในทอ้ งทะเล น่านฟา้ บริเวณใตพ้ ืน้ ดนิ พน้ื
น้าและพ้นื ทะเล

2) ขนาดของดินแดนไม่มีหลักเกณฑ์ไวแ้ นน่ อนวา่ เท่าใดจึงจะเป็นรัฐ แต่ควรมีความเหมาะสม
กบั จานวนประชากรด้วย

3.รฐั บาล (Government) คอื องคก์ รหรอื หน่วยงานท่ีทาหน้าที่ปกครองและบรหิ ารภายใน
โดยเป็นผกู้ าหนดนโยบายและนานโยบายไปปฏบิ ัติ เพ่ือจดั ระเบยี บทางสังคม และดาเนนิ ทกุ อย่างเพ่ือ
รักษาผลประโยชนข์ องรัฐ รฐั บาลจึงเป็นผใู้ ช้อานาจปกครองรฐั

4.อานาจอธิปไตย (Sovereignty) เป็นองคป์ ระกอบประการสุดท้ายท่ีสาคัญของรัฐ อานาจ
อธิปไตย คือ อานาจสูงสุดในการปกครองประเทศ อานาจอธิปไตย มีอยู่ 2 ลักษณะ คือ อานาจ
อธิปไตยภายใน และ อานาจอธิปไตยภายนอก

1.4 รูปแบบของรัฐ

แบง่ ตามเกณฑ์อานาจแห่งรัฐ มี 2 รูปแบบ

1. รัฐเด่ียว (Unitary State) คือ รัฐที่มีรัฐบาลกลางเป็นผู้มีอานาจปกครอง และอานาจ
บริหารสูงสุดเพียงองค์กรเดียวรัฐบาลกลางเป็นผู้ที่ใช้อานาจอธิปไตยท้ัง 3 อานาจคือ นิติบัญญัติ
บริหาร และตุลาการรัฐบาลเป็นองค์กรกลางองค์กรเดียวของรัฐที่ปกครองประชาชนได้โดยตลอด
รวมถงึ การติดต่อสมั พันธก์ ับต่างประเทศดว้ ย ตวั อย่างรัฐเดี่ยว ไดแ้ ก่ องั กฤษ ญี่ป่นุ สิงค์โปร์ เกาหลีใต้
ฝร่ังเศส ฟลิ ิปปินส์ นอร์เวย์ สวเี ดน ซาอดุ ิอาระเบีย บรูไน โมนาโก และไทย เป็นตน้

นายพชิ าภพ ศรีทองมาศ ครูวิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ิศ 6

เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202

2. รฐั รวม (Composite State) ได้แก่ การรวมตวั กนั ของรฐั ต้ังแต่ 2 รฐั ขนึ้ ไป โดยมีรฐั บาล
เดียวกนั ซง่ึ แต่ละรฐั ยังคงมีสภาพเปน็ รัฐอยเู่ ช่นเดมิ แต่การใชอ้ านาจอธปิ ไตยของรฐั ท่ีมารวมกัน อาจถูก
จากัดลงไปตามข้อตกลงทท่ี าขึ้นรฐั รวมมอี ยู่ 2 ประเภทด้วยกนั คือ

1) สหพันธรัฐ ( Federal State ) สหพันธรัฐ คือ รัฐท่ีเกิดข้ึนจากการรวมตัวกัน
ระหว่างรัฐต่าง ๆ ต้ังแต่ 2 รัฐข้ึนไปโดยใช้รัฐธรรมนูญ ฉบับเดียวกันร่วมกันและความสัมพันธ์ระหวา่ ง
รัฐเหล่านั้นเป็นไปตามบทบัญญัตขิ องรฐั ธรรมนญู น้ัน ๆ รูปแบบการปกครองแบ่งออกเป็น 2 ระดับคอื
มีรฐั บาลกลางของสหพันธรฐั และรัฐบาลท้องถิ่นเปน็ ของแตล่ ะรัฐซ่ึงเรียกกันวา่ “มลรฐั ” ตัวอย่างเช่น
สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐอินเดีย สหพันธรัฐมาเลเซีย สหพันธสาธารณรัฐเยอรมัน ออสเตรเลีย
สมาพันธรัฐสวติ เซอรแ์ ลนด์ จีน รสั เชยี แคนาดา และพม่า

2) สมาพนั ธรัฐ ( Confederation State) สมาพันธรัฐเป็นการรวมตัวกัน ระหว่าง
2 รฐั ขน้ึ ไป โดยไมม่ รี ัฐธรรมนญู หรือรัฐบาลร่วมกัน แตเ่ ป็นการรวมตวั กันอย่างหลวมๆเพื่อจดุ มงุ่ หมาย
อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นการ ชั่วคราวและเป็นบางกรณีเท่านั้น เช่นการเป็นพันธมิตรกันเพ่ือทาสงคราม
รว่ มกัน เป็นต้น ในปัจจุบันนี้รปู แบบของรัฐแบบ

สมาพันธรฐั ไม่มีอีกแล้ว แต่จะกลายเป็นลักษณะของการรวมตวั กันในรูปขององค์กรระหว่าง
ประเทศ เช่น องค์การนาโต้ องค์การอาเซยี น เปน็ ต้น

1.5 ประเภทของรัฐ

รฐั เอกราชที่เปน็ สมาชกิ ขององคก์ ารสหประชาชาติปัจจุบนั มที ั้งส้ิน 191 รัฐ

1. การจาแนกประเภทของรัฐตามลักษณะการปกครอง 2 ลักษณะ คอื

1.1 รัฐประชาธิปไตย เป็นระบอบการปกครองที่ให้โอกาสประชาชนได้มีส่วนร่วมในการ
ปกครองตนเอง เชน่ สหรฐั อเมรกิ า ญี่ป่นุ ฝร่ังเศส อินเดีย ไทย เปน็ ต้น

1.2 รัฐเผด็จการ เป็นระบอบการปกครองท่ีประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการปกครองน้อย
มากหรอื ไม่มี เลยอานาจในการปกครองมาจากคนหรือคณะบุคคล เชน่ เกาหลเี หนือ เป็นตน้

2. การจาแนกประเภทของรัฐตามลกั ษณะเศรษฐกจิ 2 ลักษณะ คือ

2.1 รัฐทุนนิยม เป็นระบบเศรษฐกิจที่ให้ โอกาสประชาชนในการดาเนินการผลิต การ
จาหนา่ ย และให้กลไกตลาดเป็นผู้กาหนดราคาสนิ ค้า รฐั ไม่เขา้ ไปแทรกแซงหรือแขง่ ขนั ยกเว้น กจิ การ
บางอย่างที่เป็นสาธารณะเพื่อประชาชนส่วนใหญ่ รัฐอาจเข้าไปดาเนินการเพื่อให้ประชาชนได้
ประโยชน์มากขึ้น เช่น การคมนาคมขนส่งและการสื่อสาร การบริการน้าสะอาด ไฟฟ้า และ
สาธารณูปโภคอื่น ๆ เป็นต้น ประเทศท่ีมีลักษณะเศรษฐกิจแบบนี้ เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย

นายพิชาภพ ศรีทองมาศ ครูวทิ ยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชูทศิ 7

เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202

สหราชอาณาจักร สิงคโปร์ ญี่ปุน่ อินเดีย รัสเชยี แคนาดา ไทย มาเลเชีย ฝร่ังเศส ซาอุดอิ าระเบยี บูร
ไน โมนาโค เปน็ ตน้

2.2 รัฐสังคมนิยม เปน็ ระบบเศรษฐกิจที่รัฐเป็นผปู้ ระกอบการทั้งหมด คือ การดาเนนิ การผลิต
การจาหน่าย การกาหนดราคา ประชาชนมีสว่ นรว่ มในฐานะเปน็ ลูกจ้างของรฐั และเป็นผบู้ รโิ ภคเท่าน้ัน
ประเทศทมี่ ลี กั ษณะเศรษฐกิจแบบนี้ เช่น สาธารณรฐั ประชาชนจีน เกาหลีเหนือ คิวบา ลิเบยี เป็นตน้

3. การจาแนกประเภทของรัฐตามลักษณะของฐานอานาจ ลกั ษณะของฐานอานาจ
3 ลกั ษณะดังนี้

3.1 รฐั มีอานาจน้อย เป็นรัฐท่ีมเี นอื้ ท่ีขนาดเลก็ ประชากรน้อย มีทรัพยากรจากดั เชน่
สงิ คโปร์ กมั พชู า เปน็ ตน้

3.2 รฐั มีอานาจปานกลาง เป็นรฐั ขนาดกลาง เช่น ไทย สเปน เดนมาร์ก ฟิลิปปินส์ เปน็ ตน้
3.3 รฐั มอี านาจมาก มเี นื้อทมี่ าก มปี ระชากรมาก มีทรัพยากรหลากหลาย มศี ักยภาพทาง
เศรษฐกิจสูง มีความเข้มแข็งทางยุทธศาสตรก์ ารทหาร เชน่ อเมรกิ า รสั เซีย จนี อาณาจักร และ
ฝรง่ั เศส เปน็ ต้น

4) เกณฑ์ประมุขของรัฐ รัฐจะแบ่งเป็น 2 รูปแบบ คือ

(1) รัฐราชอาณาจกั ร คอื รัฐซึ่งมพี ระมหากษตั ริย์เปน็ ประมขุ โดยการสบื สนั ตวิ งศ์ซึ่งแบ่ง

ออกเป็น 2 ประเภท คอื
1. แบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ คือ พระมหากษัตริยท์ รงเป็นประมุขทั้งฝา่ ยบริหารและพิธีการ
2. แบบปริมิตาญาสทิ ธริ าชย์ (limited monarchy) คือ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขทาง

พิธีการอย่างเดียว หรือ ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ( constitutional monarchy) ปัจจุบัน รัฐ
แบบราชาธิปไตยภายใตร้ ฐั ธรรมนญู สว่ นใหญม่ ักปกครองด้วยระบบรัฐสภา อาทิ ออสเตรเลยี เบลเยยี ม
กัมพูชา แคนาดา เดนมาร์ก ญี่ปุ่น มาเลเซีย เนเธอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ นอร์เวย์ สเปน สวีเดน ไทย
สหราชอาณาจักร และภูฏาน โดยภูฏานเป็นประเทศล่าสุดที่เปลี่ยนแปลงจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์
มาเป็นราชาธปิ ไตยภายใต้รัฐธรรมนญู

(2) สาธารณรัฐ คือ รฐั ทป่ี ระมุขเปน็ สามญั ชน เขา้ สตู่ าแหน่งโดยการเลอื กต้ังเปน็ ส่วนใหญ่

ประมุขมักเป็นประธานาธบิ ดี ซึ่งมี 2 ประเภท คือ
1. แบบประมขุ ทางพธิ กี ารอย่างเดยี วโดยไมม่ ีอานาจบรหิ าร เชน่ ประธานาธิบดสี ิงคโปร์ ฯลฯ
2. แบบประมุขทัง้ พธิ ีการและบรหิ าร เชน่ ประธานาธิบดขี องสหรัฐอเมริกา ฝรง่ั เศส ฯลฯ

5) เกณฑ์ ขนาดของดนิ แดน รัฐจะแบ่งเป็น 3 รปู แบบ คอื

(1) รัฐนคร คือ รัฐมีอาณาเขตจากดั เพยี งเมืองเดียว เช่น นครวาตกิ นั สิงคโปร์ ซานมารโิ น
อันดอรร์ า โมนาโก เปน็ ต้น

นายพชิ าภพ ศรที องมาศ ครูวิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ิศ 8

เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202

(2) รฐั ประชาชาติ คือ รฐั ท่ีมีเมืองหลายเมือง แต่มเี มืองหลวงเดียว ซง่ึ มอี านาจเหนอื
ประชาชนของตน สว่ นใหญ่คือประเทศต่างๆ ทวั่ โลกในปจั จบุ ัน

(3) รัฐจักรวรรดินิยม คือ รัฐซง่ึ ใช้อานาจบีบบังคับรฐั อ่นื ๆ ให้มาอยู่ใต้การปกครองเป็นอาณา
นคิ มของตน เชน่ จกั รวรรดินยิ มองั กฤษ ฝรั่งเศส จนี ญี่ปนุ่ ในอดีต ปจั จบุ ันไมม่ ีรัฐแบบนแ้ี ลว้

2. รปู แบบการปกครอง
2.1 รูปแบบการปกครอง
การแบ่งรูปแบบการปกครอง สามารถแบ่งออกได้ตาม 2 นักคดิ ทางรฐั ศาสตร์ที่สาคัญได้แก่

เพลโตและ อริสโตเตลิ โดยได้แบ่งรูปแบบการปกครองออกเปน็ 6 ประเภท โดยในเกณฑ์ 2 ประการ
คือ

1) เกณฑ์เก่ียวกับจานวนผู้มอี านาจในการปกครองว่าเปน็ บุคคลเดยี ว หมู่คณะ หรือ
ประชาชนท้ังหมด และ

2) เกณฑเ์ ชิงคุณค่าโดยพิจารณาว่ารูปแบบการปกครองน้ันดีหรือไม่ โดยดวู า่ ทาเพ่ือ
ประชาชนหรอื เพื่อตนเองหรอื พวกพ้อง โดยแบง่ ได้ดงั นี้

จานวนผูม้ อี านาจ รูปแบบท่ดี ี รปู แบบทไี่ ม่ดี

คนเดียว ราชาธิปไตย ทชุ นาธิปไตย
(Tyranny)
(Monarchy)
คณาธิปไตย
กลุ่มคน อภชิ นาธปิ ไตย (Oligarchy)

(Aristocracy) ฝงู ชน
(Mob-rule)
คนจานวนมาก ประชาธิปไตย

หรือประชาชนทัง้ หมด (Democracy)

ตาราง ลักษณะของรปู แบบการปกครอง

2.1.1 การปกครองโดยคนเพียง 1 คน
หมายถึง อานาจอธิปไตยอยู่กับบุคคลเพียงคนเดียว โดยมีอานาจในการบริการและออก
กฎเกณฑ์สูงสุดได้เพียงคนเดียว (อาจมอบให้องค์กรทาหน้าท่ีแทน แต่อานาจเด็ดขาดอยู่ท่ีตัวบุคคล
นัน้ ) โดยแบง่ เปน็
ราชาธปิ ไตย คอื การปกครองทีม่ ีจุดมุ่งหมายเพือ่ ประชาชนสว่ นรวม
ทชุ นาธปิ ไตย คือ การปกครองทีม่ ีจดุ มุ่งหมายทีต่ นเองหรือพวกพ้อง
ในอดีตเราเข้าใจหลักการดังกล่าว คือ การปกครองในระบบกษัตริย์ หรือ (Absolute
Monarchy) “สมบรู ณาญาสิทธิราชย์” ภายหลงั ระบบกษัตริยเ์ ราเรียกว่า (Dictatorship) “เผดจ็
การ” ซึ่งในช่วงแรกมักจะอยู่ในลักษณะการปกครองเพ่ือประชาชน แต่ภายหลังเม่ืออยู่กับอานาจแล้ว
มกั จะกลายเปน็ ทรราชย์ หรอื ทุชนาธิปไตย

นายพชิ าภพ ศรีทองมาศ ครวู ิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ศิ 9

เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202

2.1.2 การปกครองโดยกลุ่มคน
หมายถงึ อานาจอธิปไตยอยู่ในมอื ของคณะบุคคลหรือกลุ่มคน ในการวางกฎเกณฑห์ รอื
ปกครองและการบริหาร โดยแบง่ เป็น
อภิชนาธปิ ไตย คอื การปกครองที่มีจุดมุง่ หมายเพ่ือประชาชนสว่ นรวม
คณาธิปไตย คือ การปกครองที่มีจุดมุ่งหมายที่ตนเองหรือพวกพ้อง หรือที่เรียกว่าเผด็จการ
โดยคณะบุคคล ในบางครั้งใช้เรียกการปกครองโดยกลุ่มคนผู้เข้าถึงอานาจ เช่น กลุ่มขุนนาง กลุ่ม
ราชวงศ์ กลมุ่ ปญั ญาชน หรอื ในปัจจุบันคอื กล่มุ ทนุ

2.1.3 การปกครองโดยคนส่วนใหญ่
หมายถงึ อานาจอธปิ ไตยอยูใ่ นมือของกล่มุ คนส่วนใหญ่หรือประชาชน (ประชาชนเปน็ เจ้าของ
อานาจอธปิ ไตย) และมอบใหแ้ ก่กล่มุ บุคคลที่เหน็ ชอบจากประชาชนในการบรหิ ารประเทศ แบ่งเป็น
ประชาธปิ ไตย คือ การปกครองโดยประชาชน และมจี ุดมุ่งหมายเพื่อประชาชนสว่ นรวม
ฝูงชน คือ การปกครองโดยประชาชนแต่ต่างคนต่างเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว อันส่งผลให้
ไม่สามารถหากฎเกณฑ์หรือระเบียบข้อบังคับในการควบคุมการดาเนินไปของสังคม สุดท้ายนามาซ่ึง
ความวุน่ วายและการปะทะกันของกลุ่มคน สง่ ผลใหเ้ กดิ สภาพแหง่ การไม่มรี ฐั หรอื กฎหมาย
ประเทศไทยช่วงต้น คือ รูปแบบ “ราชาธิปไตย” ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475
พยายามเปล่ียนให้อยู่ในรูปแบบ “ประชาธิปไตย” แต่กลับติดอยู่กับรูปแบบ “อภิชนาธิปไตย” หรือ
“คณาธิปไตย”สลับกันไปมา จนถึงปัจจุบัน ดังนั้น สามารถกล่าวเบ้ืองต้นได้ว่า จนถึงปัจจุบัน รูปแบบ
การปกครองของประเทศไทยยังไม่อยู่ในลกั ษณะ “ประชาธิปไตย” ได้อยา่ งสมบรู ณ์แบบ

(1) หลักประชาธิปไตย
ประชาธิปไตย (Democracy) คือ หลักการท่ยี ึดว่า อานาจอธิปไตยเป็นของประชาชน โดยมี
จุดเริ่มต้นในนครรัฐกรีก โดยช่วงแรกอยู่ในลักษณะเป็นประชาธิปไตยโดยตรง (Direct Democracy)
คือ การยอมให้พลเมืองชายทุกคน (ท่ีบรรลุนิติภาวะ หรือจับอาวุธได้) เข้าร่วมเป็นสมาชิกสภา
ประชาชน อันเป็นสถาบันสูงสุดของนครรัฐแต่ในปัจจุบันระบบประชาธิปไตยได้เปลี่ยนมาอยู่ใน
รูปแบบประชาธิปไตยแบบตัวแทน (Representative Democracy) หรือ ประชาธิปไตยทางอ้อม
(Indirect Democracy) โดยการเลอื กตัวแทนขนึ้ มาใช้อานาจแทนตน อันเนื่องมาจากจานวนพลเมือง
ท่ีมากขึ้นและอาณาเขตท่ีเพิ่มข้ึนด้วยเช่นกัน แต่ในบางรัฐยังคงให้อานาจแก่ประชาชนโดยตรงในบาง
ประการ เช่น การเสนอรา่ งกฎหมาย, การแสดงประชามติ (Referendum) ดังเชน่ ในประเทศไทย เปน็
ตน้

(2) อดุ มการณ์ประชาธิปไตย
สิทธิ คอื อานาจอันชอบธรรมทส่ี ามารถกระทาได้ได้รับการยอมรับจากกฎหมาย
เสรภี าพ คือ อสิ ระในการกระทาใด ๆ ตามความต้องการ แต่จะตอ้ งไมล่ ะเมิดกฎหมายหรือ
สิทธขิ องบคุ คลอ่ืน

นายพิชาภพ ศรที องมาศ ครูวทิ ยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชูทิศ 10

เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202

สิทธแิ ละเสรภี าพในระบอบประชาธิปไตย จาแนกไดด้ ังน้ี
ก) เสรีภาพในการพดู การพมิ พ์ และการโฆษณา โดยรัฐประชาธปิ ไตยจะอนุญาตให้มีเสรีภาพ
ในการแสดงความคิดเห็น แต่ต้องไม่หยาบคายลามก หมิ่นประมาท หรือละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น
เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นน้ีมีค่าสูงมาก เพราะเชื่อว่าหากยอมให้ทุกฝ่ายได้แสดงความคิดเห็น
อย่างเสรแี ลว้ การขดั แย้งกันอยา่ งรนุ แรงจะไม่เกดิ ข้ึน
ข) เสรีภาพในการนับถือศาสนา คนทุกคนย่อมมีสทิ ธิโดยสมบูรณ์ท่จี ะเลือกนับถือหรือศรัทธา
ในศาสนาใดศาสนาหน่ึง เพราะศาสนาเป็นเรื่องของความเชื่อถือ แต่บุคคลก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธ
กฎหมายของรัฐซึ่งขัดแย้งกับหลักการทางศาสนาของเขา แต่ในบางประเทศที่เคารพเสรีภาพสูงมาก
เช่น สหรัฐอเมริกาการหลีกเล่ียงกฎหมาย ของประเทศเพราะขัดกับหลักการทางศาสนา ได้รับการ
ยอมรบั วา่ เปน็ การกระทาท่ีไมผ่ ดิ กฎหมาย จงึ ไม่ต้องรับโทษ
ค) เสรภี าพในการสมาคมหรอื รวมกล่มุ โดยตอ้ งอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์แหง่ กฎหมาย และไมเ่ ป็น
อันตรายหรือไม่เป็นอุปสรรคต่อผลประโยชน์ของสังคมโดยส่วนรวม ตราบเท่าที่การกระทานั้นเป็นไป
อยา่ งสนั ตแิ ละไมเ่ กินเลยขอบเขตแห่งกฎหมาย
ง) สิทธิในทรพั ยส์ นิ คนทุกคนมีสิทธทิ จี่ ะมที รพั ย์สมบัติเป็นของตนเอง รฐั จะตอ้ งทาหน้าที่
ปอ้ งกนั ภัยอนั อาจจะเกิดต่อทรัพยส์ ินของประชาชนภายในรัฐ
จ) สิทธิท่ีจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย บคุ คลจะต้องไม่ถกู ลงโทษถึงแกช่ ีวติ เสยี อิสรภาพ
หรือเสียทรัพย์สินโดยปราศจากการพิจารณาตามกระบวนการแหง่ กฎหมาย
ฉ) สทิ ธิส่วนบคุ คล สิทธมิ ูลฐานทถ่ี อื เปน็ สทิ ธสิ ่วนบุคคล เชน่ เสรภี าพในชีวิตและรา่ งกาย การ
เลอื กประกอบอาชีพ การสมรส การหยา่ รา้ ง ฯลฯ โดยบุคคลทุกคนย่อมมเี สรีภาพตราบเท่าที่ไม่ขัดต่อ
กฎหมาย
(3) ความเสมอภาค
ความเสมอภาคในระบอบประชาธิปไตยจาแนกออกได้ 5 ประการ คือ
ก) ความเสมอภาคทางการเมือง หมายถึง การทีบ่ คุ คลทกุ คนมสี ทิ ธิทีจ่ ะเข้าร่วมในกจิ กรรม
การเมือง เช่น สทิ ธเิ ลอื กต้ังเม่อื อายุถงึ เกณฑ์ สทิ ธิสมัครรบั เลือกต้งั เมื่อมีคณุ สมบัตคิ รบถ้วน เปน็ ต้น
ข) ความเสมอภาคต่อการปฏิบัติของกฎหมาย หมายถึง บุคคลจะได้รับการคุ้มครองจาก
กฎหมายโดยเท่าเทียมกัน เมื่อกระทาความผิด การลงโทษและการได้รับเหตุอันควรปรานีจะต้องใช้
กฎหมายเดยี วกัน
ค) ความเสมอภาคในโอกาส หมายถงึ คนทุกคนจะต้องได้รบั โอกาสทีจ่ ะใช้ความสามารถของ
เขาในการศึกษา การประกอบธุรกิจการงาน และการแสวงหาความเจริญก้าวหน้าหรือเลื่อนสถานะ
ทางเศรษฐกจิ และสังคมโดยทัดเทียมกัน เช่น การมมี หาวทิ ยาลยั รามคาแหง เปน็ ต้น

ง) ความสามารถภาคทางเศรษฐกิจ หมายถึง สภาพความใกล้เคียงกันในฐานะทางเศรษฐกิจ
แต่มไิ ด้หมายถึงการทคี่ นทุกคนจะต้องมีรายได้เทา่ เทียมกนั โดยจะต้อง

1. มกี ารกระจายรายได้ทเ่ี ปน็ ธรรม เพื่อมิไดเ้ กิดชอ่ งวา่ งระหว่างชนช้ันมากนกั เชน่ การเก็บ
ภาษีในอัตราก้าวหน้า เป็นต้น

นายพิชาภพ ศรีทองมาศ ครูวทิ ยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ิศ 11

เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202

2.บุคคลควรมีความม่ันคงทางเศรษฐกิจพอสมควรคือมีรายได้เพียงพอในการดารงชีพ เช่น
การกาหนดอัตราค่าจ้างข้ันต่า การใช้สิทธิคนยากจนรับการรักษาพยาบาลฟรีหรือนโยบาย 30 บาท
รกั ษาทุกโรคและสวัสดกิ ารตา่ ง ๆ เป็นต้น

จ) ความเสมอภาคทางสังคม คนทุกคนจะต้องได้รับการเคารพว่า ความเป็นคนนั้นมีศักด์ิศรี
เทา่ เทยี มกัน ในฐานะของความเป็นมนษุ ย์เหมือนกนั

3. การปกครองแบบประชาธปิ ไตย
ระบอบประชาธิปไตย (Democracy) หมายถึง ระบบการปกครองท่ีประชาชนเป็นใหญ่

ดังนั้นการปกครองที่เป็นประชาธิปไตยก็คือ รูปการปกครองที่ยึดถืออานาจอธิปไตยเป็นของปวงชน
ประเทศทีเ่ ป็นประชาธปิ ไตยนน้ั จาเป็นต้องมรี ฐั ธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนญู เป็นกฎหมายหลักหรือเป็น
กติกาทีก่ าหนดแนวทางสาหรับการทีร่ ัฐจะใชอ้ านาจปกครองประชาชน และมหี ลักการจัดระเบยี บการ
ปกครองแต่รัฐธรรมนูญก็ไม่ใช่เครื่องหมายแสดงความเป็นประชาธิปไตย เพราะประเทศที่ปกครอง
ด้วยระบอบเผด็จการก็มีรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกัน การท่ีจะพิจารณาว่าประเทศใดเป็นประชาธิปไตย
หรือไม่ จึงต้องดูว่ารัฐธรรมนูญของประเทศนั้นให้ประชาชนเป็นเจ้าของอานาจอธิปไตยหรือไม่
ลักษณะสาคัญของการปกครองแบบประชาธิปไตยสามารถพิจารณาได้จาก รัฐบาล การเลือกตั้งและ
การปกครองโดยเสียงข้างมาก

3.1 รัฐบาล
ลักษณะของรัฐบาลท่ีเป็นประชาธิปไตย คือ“รัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน และ
เพ่ือประชาชน” ซ่ึงเป็นวาทะของอับราฮัม ลินคอลน์ (Abraham Lincoln) อดีตประธานาธิบดีของ
สหรัฐฯ การที่รัฐบาลใดจะได้รับการยอมรับว่าเป็นประชาธิปไตยจะต้องมีลักษณะครบทั้ง 3 ประการ
คือ

3.1.1 รัฐบาลของประชาชน หมายถึง รัฐบาลจะต้องมาจากการเลือกตั้งของ
ประชาชน และประชาชนสามารถเปลี่ยนแปลงผ้ปู กครองได้ดว้ ยการไปลงคะแนนเสียงเลือกต้งั น่ันคือ
ประชาชนอย่ใู นฐานะเป็นเจา้ ของรัฐบาลซ่ึงบ่งชี้ถึงมิติของการปกครองในดา้ นความเป็นเจ้าของอานาจ
อธปิ ไตย

3.1.2 รัฐบาลโดยประชาชน หมายถึง ประชาชนหรือพลเมืองทุกคนมีสิทธิที่จะเป็น
ผปู้ กครองได้ถ้าหากไดร้ ับเสยี งสนบั สนุนจากประชาชนส่วนใหญข่ องประเทศ

3.1.3 รัฐบาลเพื่อประชาชน หมายถึง รัฐบาลจะต้องมีจุดประสงค์เพื่อความผาสุก
ของประชาชนและจะต้องมีการกาหนดวาระในการดารงตาแหน่ง เช่น ทุก 4 ปี ฯลฯ เพ่ือจะได้เป็น
หลักประกันว่าผู้ปกครองจะต้องปกครองเพ่ือประชาชน หากผันแปรจากจุดหมายนี้ ประชาชนจะได้มี
โอกาสเปลีย่ นผู้ปกครองผ่านทางการเลอื กตง้ั

3.2 การเลือกต้ัง ประเทศประชาธิปไตยจาเป็นต้องมีการเลือกตั้ง เพ่ือเปิดโอกาสให้บุคคล
สามารถเสนอตวั เข้ารับใช้สว่ นรวมโดยการสมัครรับเลือกต้ัง และเปดิ โอกาสให้พลเมืองใชส้ ิทธิในการท่ี
จะเลอื กบคุ คลทต่ี นตอ้ งการให้เป็นผู้ปกครอง หรอื เปน็ ผู้ใช้สิทธเิ ปน็ ปากเสยี งแทนตนในสภา ในระบอบ
ประชาธิปไตยนนั้ การมีสทิ ธิเลือกต้งั เพยี งอย่างเดยี วยังไมเ่ ปน็ การเพียงพอ ตอ้ งมหี ลักประกันในการใช้

นายพชิ าภพ ศรีทองมาศ ครวู ทิ ยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชูทิศ 12

เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202

สิทธิในการใช้สิทธิน้ันด้วยว่าสามารถใช้ได้อย่างเสรีเต็มที่และมีโอกาสเลือกสรรตัวบุคคลท่ีต้องการ
จริง ๆ คอื ตอ้ งมกี ารลงคะแนนแบบลบั

3.3 การปกครองโดยเสียงข้างมาก การปกครองโดยเสียงข้างมาก หมายถึง บุคคลท่ี
ประกอบกันข้ึนเปน็ รัฐบาลน้ัน ถา้ หากไม่ได้รับเลือกต้ังจากราษฎรโดยตรงแลว้ กต็ อ้ งเป็นคณะบุคคลท่ี
ได้รับการยอมรับจากเสียงข้างมากของผู้แทนท่ีได้รับการเลือกต้ังเข้ามาโดยการออกกฎหมาย การ
วินิจฉยั ปญั หา หรอื การตัดสนิ ใจในนโยบายต่าง ๆ ต้องเป็นไปตามความเหน็ ชอบของเสียงข้างมากของ
ผู้แทนในสภา ในระบอบประชาธปิ ไตยมิได้หมายความเพยี งการยดึ หลักเสยี งขา้ งมากเทา่ นนั้ แต่จะต้อง
มีหลักประกันสาหรับเสียงข้างน้อยด้วย นั่นคือสิทธิขั้นพ้ืนฐานของเสียงข้างน้อยจะต้องได้รับการ
เคารพ เป็นเสียงข้างมากจะละเมดิ หรอื กา้ วกา่ ยสทิ ธขิ องเสยี งข้างน้อยจงึ ถือเป็นการใช้ “กฎหมู่”

3.3.1 นอกจากนี้ความเห็นหรือทัศนะของเสียงข้างน้อยจะต้องได้รับการรับฟัง
เพราะในระบอบประชาธิปไตยนั้นต้องเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายหรือผู้ท่ีมีความคิดเห็นแตกต่างได้เผยแพร่
ทัศนะหรือแนวความคิดของเขา

3.3.2 ทัศนะหรือความคิดเห็นที่ปราชัยต่อเสยี งข้างมากหรือตกเปน็ เสียงข้างน้อยนนั้
ไม่ได้หมายความว่าจะต้องสูญหายไปโดยสิ้นเชิง แต่อาจจะกลับมาเป็นทัศนะท่ีได้รับการยอมรับหรือ
เป็นเสียงขา้ งมากในโอกาสตอ่ ไปได้

3.4 วิถีชวี ติ ประชาธปิ ไตย
ลักษณะสาคญั ของวิถชี วี ิตแบบประชาธิปไตย อาจจาแนกไดด้ ังนี้

3.4.1 เคารพเหตุผลมากกว่าบุคคล โดยไม่ศรัทธาบุคคลใดถึงช้ันปูชนียบุคคล (แต่ก็
ต้องกตัญญูต่อญาติผู้ใหญ่และผู้มีพระคุณ) จะต้องไม่เคร่งครัดเรื่องระบบอาวุโส (แต่ก็ต้องให้ความ
เคารพผู้อาวุโส) ประชาธิปไตยจะดาเนินไปได้ด้วยดีก็ต่อเม่ือมีการรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่าย เพื่อ
ค้นหาเหตผุ ลและความถูกต้องท่ีแท้จริง เพราะเหตผุ ลเท่านั้นท่ีจะจรรโลงใหป้ ระชาธปิ ไตยดาเนินไปได้
และประชาธปิ ไตยเช่ือวา่ มนษุ ยเ์ ป็นสัตวท์ ี่มเี หตุผล

3.4.2 รู้จักการประนีประนอม คือ ยอมรับการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี
ไม่นิยมความรุนแรง ต้องรู้จักยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น ไม่ยึดมั่นหรือดึงดันแต่ความคิดเห็นของ
ตนเองโดยไม่ยอมผ่อนปรนแก้ไข และต้องยอมเปลี่ยนแปลงแก้ไขความคิดเห็นของตนเองเมื่อผู้อื่นมี
ความคิดเห็นที่ดีกว่า ปรัชญาประชาธิปไตยโดยพื้นฐานไม่ปรารถนาให้มีการใช้กาลังและการล้มล้าง
ด้วยวิธีการรุนแรง เพราะถ้ามีการใช้กาลังและความรุนแรงแล้ว แสดงให้เห็นว่ามนุษย์ไม่มีหรือไม่ใช้
เหตผุ ล ซึง่ ก็ขดั กับหลกั ความเชอ่ื ขน้ั มูลฐานของประชาธิปไตยที่ถอื วา่ มนุษย์มเี หตผุ ล

3.4.3. มีระเบียบวินยั คอื ตอ้ งปฏิบตั ติ ามกฎหมายของบ้านเมอื งอย่างสม่าเสมอ และ
ช่วยทาให้กฎหมายของบ้านเมืองมีความศักด์ิสิทธิ์โดยไม่ยอมให้ผู้ใดมาละเมิดตามอาเภอใจ แต่ถ้ามี
ความรูส้ ึกว่ากฎหมายทใ่ี ช้อยู่ไม่เป็นธรรม ก็ต้องหาทางเรยี กรอ้ งให้มีการแกไ้ ขกฎหมายนั้น มใิ ช่ฝ่ายฝืน
หรือไม่ยอมรับ การใช้เสรีภาพเกินขอบเขตจนละเมิดหรือก้าวก่ายในสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น ย่อมทาให้
เกิดความไม่สงบขึ้นในสังคม เพราะสังคมท่ีไม่มีการจากัดในเร่ืองสิทธิเสรีภาพเลยนั้นหาใช่สังคม

นายพชิ าภพ ศรที องมาศ ครูวทิ ยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ิศ 13

เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202

ประชาธปิ ไตยไม่แต่เปน็ สงั คมอนาธิปไตยท่ีเปรียบเสมือนไม่มรี ฐั บาล ไมม่ กี ฎหมาย ไรร้ ะเบยี บวนิ ยั ทาง
สังคมโดยสน้ิ เชิง

3.4.4 มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม ซ่ึงเกิดข้ึนจากความรู้สึกของคนในสังคมว่า ตน
เป็นเจ้าของประเทศ และประเทศเป็นของคนทุกคน โดยสานึกว่า การที่ตนได้รับการศึกษา สามารถ
ทามาหาเล้ียงชีพและดารงชวี ติ อยู่ได้ก็เพราะสังคมอันเป็นส่วนรวมของทกุ คน ดังนั้นจึงต้องมีหน้าท่ที า
ประโยชนใ์ หเ้ ปน็ การตอบแทนนอกจากน้ีลกั ษณะวิถชี วี ติ ประชาธิปไตยยงั มีอีกหลายประเด็น เช่น ตอ้ ง
เป็นคนหนกั แน่นไมห่ เู บา, ต้องไม่เชือ่ อะไรง่าย ๆ , มีทัศนะท่ดี ตี ่อคนอน่ื ,ยอมรบั ความคดิ เหน็ ของผู้อื่น,
เคารพในศกั ดิ์ศรคี วามเปน็ มนษุ ย์, มนี า้ ใจเป็นนักกีฬาคือรแู้ พ้รู้ชนะ เปน็ ตน้

นายพชิ าภพ ศรีทองมาศ ครูวิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ิศ 14

บทท่ี 2 ประวัตศิ าสตรก์ ารเมอื งการปกครองของไทย

เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202

บทท่ี 2
ประวัตศิ าสตรก์ ารเมอื งการปกครองของไทย

ประเทศไทยก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นการปกครองในระบอบ
ประชาธิปไตยเม่ือ 24 มิถุนายน 2475 น้ัน คนไทยสมัยกรุงสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา และกรุง
รัตนโกสินทร์ ได้มีการปกครองโดยกษัตริย์มีอานาจเด็ดขาด (Absolute Monarchy) หรือระบอบ
สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ถึงแม้ว่าการจัดการปกครองของไทยในอดีตจะปกครอง โดยกษัตริย์มีอานาจ
เดด็ ขาดหรือมีอานาจอยา่ งลน้ พ้นก็ตาม แต่พระมหากษัตรยิ ์ของไทยทุก ๆ พระองคม์ ไิ ดท้ รงใช้พระราช
อานาจตามน้ัน พระองค์ทรงปกครองไพรฟ้าประชาราษฎร์ด้วยคุณธรรม จริยธรรม เมตตาธรรมและ
ทศพิธราชธรรมมาโดยตลอด แม้หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว พระมหากษัตริย์ของไทย
ทกุ ๆ พระองค์ก็เป็นทพี่ ึ่งและเปน็ ศนู ย์รวมจิตใจของปวงชนชาวไทยมาจนถงึ ปจั จุบนั นี้

ประเทศไทยนับแต่อดีตจนกระท่ังถึงปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนแปลงในระบบการเมืองการ
ปกครองอย่างต่อเน่ืองซ่ึงมีบางช่วงเวลาที่มีการพัฒนาได้ใกล้เคียงกับคาว่าประชาธิปไตย แต่ก็มีบาง
ช่วงเวลาท่ีหยุดอยู่กับที่หรืออาจย้อนหลัง ดังนั้นเป็นเรื่องสาคัญอย่างยิ่งที่ต้องเข้าใจวิวัฒนาการ
การเมืองการปกครองของไทย เพื่อท่ีจะทาให้เข้าใจสภาพการเมืองการปกครองของไทยในปัจจุบันได้
อยา่ งถ่องแท้

1. การเมืองการปกครองไทยในระบอบสมบูรณาญาสิทธริ าชย์
1.1 สมัยก่อนสุโขทัย ชนชาติไทยมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นที่รู้จักกันของชาวโลกคร้ังแรกใน

นาม “ไทยเมือง“ คนจนี เรยี กว่า “ใต้มุง“ สว่ นฝรง่ั เรียกตามคนจนี วา่ “Greet Mung” แตค่ นไทยเรยี ก
ตนเองว่า “อ้ายลาว“ ชนชาติอ้ายลาวมีอาชีพหลักคือการเพาะปลูก ซ่ึงได้อพยพมาจากใจกลางของ
ทวีปเอเชีย มาตั้งถ่ินฐานท่ีมั่นในแถบลุ่มแม่น้าเหลืองและลุ่มแม่น้ายังจือหรือแยงซีเกียง (กระมล
ทองธรรมชาติ และคณะ 2531 : 3) จากการรกุ รานของคนจีนหลายครั้งหลายหนจนทาให้คนไทยต้อง
อพยพมารวมกลุ่มเป็นปึกแผ่นอยู่ในดินแดนแหลมทองหรือดินแดนสยามท่ีเป็นประเทศไทยปัจจุบันน้ี
เป็นเร่ืองธรรมดาคนไทยเป็นคนกลุ่มน้อยการรบการทาสงครามย่อมจะแพ้กาลังมากซ่ึงเข้ากับคา
พังเพยท่ีวา่ “น้าน้อยย่อมแพไ้ ฟ“ และอกี อยา่ งคนชาติไทยเปน็ ชนชาติทร่ี กั สงบ การรบการทาสงคราม
น้ันเป็นสิ่งท่ีคนไทยไม่ปรารถนา ไม่ว่าในอดีตหรือปัจจุบัน ถ้าไม่จาเป็นที่สุดคือจาเป็นที่จะปกป้องเอก
ราชบูรณภาพแห่งดินแดนของตนเท่าน้ันจึงจะทาการรบหรือทาสงคราม เพราะถือว่าการทาสงคราม
คือการสูญเสีย เสียท้ังเลือดเน้ือ เศรษฐกิจ ทรัพย์สินเงินทองและทรัพยากรอ่ืน ๆ มากมาย เมื่อเป็น
เชน่ น้ันจงึ ทาใหค้ นไทยอพยพถอยร่นจากการรุกรานของจนี มาอยู่ดินแดนแหลมทอง

ในปัจจุบันก็มีข้อสงสัยและถกเถียงรวมท้ังหลักฐานโต้แย้งกันโดยตลอดว่าคนไทยมี
แหล่งกาเนิดที่แท้จริงจากท่ีใด จากจากเทือกเขาอัลไตในเอเชียเหนือแล้วจึงอพยพมายังประเทศจีน ก็
มหี ลักฐานว่าคนไทยอาศัยอยู่ ณ ที่ปัจจุบนั ซึ่งเราเรียกว่าสุวรรณภูมิ ซ่งึ กระจายตัวเปน็ อาณาจักร และ
บ้านเมืองเล็ก ๆ ซ่งึ มีลกั ษณะสาคญั คือ

นายพิชาภพ ศรีทองมาศ ครวู ทิ ยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชูทิศ 28

เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202

1.1.1 กลุ่มการเมืองต่าง ๆ ท่ีมีการตั้งบ้านเรือนและชุมชนกระจายตัวท่ัวไปท้ัง
คาบสมทุ รและเกาะตา่ ง ๆ

1.1.2 กลุม่ ใดมปี ระชากรมาก และผปู้ กครองสนใจในการทาสงครามก็พยายามขยาย
อาณาเขตออกไปครอบครองดินแดนรอบ ๆ จนกลายเป็นอาณาจกั ร แวน่ แคว้นขนาดใหญ่

1.1.3 เมืองและแคว้นต่าง ๆ ย่อมมีการเกิดขึ้น, ขยายตัว, หดตัว และเสื่อมสลายไป
ตามกาลเวลาโดยมีการผูกมติ รและศตั รกู ันเปน็ คราว ๆ

1.1.4 ลกั ษณะทางการปกครองโดยทว่ั ไปน่าจะอยู่ในลักษณะท่ีเปน็ นครรฐั โดยทตี่ ่าง
คนต่างบริหารบ้านเมืองอย่างเป็นอิสระแก่กัน โดยใช้หลักบิดาปกครองบุตร หรือปิตาธิปไตย
(Paternalism Family หรอื Paternal Government) เนือ่ งจากมีพลเมืองไม่มากและมีความสัมพันธ์
ในลกั ษณะเครือญาติ

1.1.5 ลักษณะของความเชื่อ ยังคงนับถือผี บรรพบุรุษ เทวดา หรือความเชื่อใน
ลักษณะท่ีคล้ายกัน กระทั่งการเข้ามาของพระพุทธศาสนาได้แพร่หลายทั้งมหายานและหินยาน
ตลอดจนความเชือ่ แบบพราหมณ์แบบอินเดียเขา้ มาผสมปนเปกันไป

1.2 สมัยสุโขทยั (พ.ศ. 1792 - พ.ศ. 1981) ในเชิงประวตั ิศาสตร์การเมืองการปกครองของ
ไทย เรากล่าวว่าอาณาจักรสุโขทัยเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ ของประเทศไทยในปัจจุบัน โดย
อาณาจักรสุโขทัยสถาปนาโดยมีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ต้นราชวงศ์พระร่วง ประกาศตนเป็นอิสระจาก
การยดึ ครองของขอม

อาณาจักรสุโขทัยมีการปกครองในรูปแบบ “สมบูรณาญาสิทธิราชย์” (Absolute
Monarchy) ในช่ือท่ีเรียกว่า “ Paternalism Family หรือ Paternal Government) โดยมีลักษณะ
ที่สาคัญ คือ กษัตริย์มีอานาจสูงสุดในการปกครองอาณาจักร โดยมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันระหว่าง
ผูป้ กครอง (กษตั ริย)์ กบั ประชาชน อนั สงั เกตได้จากในสมัยพอ่ ขนุ รามคาแหงข้นึ ครองราชยแ์ ละปรากฏ
หลักศิลาจารึกหลกั ท่ี 1 ซึ่งอธิบายถึงลักษณะทางการปกครองในสมัยนัน้ ตัวอย่างเช่น เสรีภาพในทาง
เศรษฐกจิ (ใครจ่ ักใครค่ า้ ช้าง ใครจกั ใครค่ า้ มา้ ค้า)

ประชาชนเดือดร้อนให้มาสั่นกระดิ่ง แล้วพ่อขุนรามคาแหงจะพิจารณาคดีด้วยความยุติธรรม
(ไพร่ฟ้าหน้าปก มีถ้อยมีความเจ็บท้องข้องใจบ่ไร้ไปสั่นกระดิ่งอันท่านแขวนไว้ พ่อขุนรามคาแหงเจ้า
เมอื งไดย้ ินเรียกเมื่อถาม สวนความแก่มนั ดว้ ยซื่อ) นอกจากนี้ยังได้นาหลักพระพุทธศาสนาเข้ามาใช้ใน
การปกครองบ้านเมือง โดยมีหลักธรรมสาคัญที่เก่ียวกับการใช้อานาจของพระมหากษัตริย์ อันได้แก่
“ทศพธิ ราชธรรม 10 ประการ” และ “จักรวรรดวิ ตั ร 12 ประการ” ซึง่ อาจเรียกไดว้ า่ เป็นการปกครอง
แบบธรรมราชาธปิ ไตย

ก่อนท่ีจะสถาปนากรุงสุโขทัยข้ึนและได้ปราบดาภิเษกพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ข้ึนเป็นปฐมบรม
กษตั รยิ น์ ัน้ คนไทยในแถบนีไ้ ด้ตกอยภู่ ายใต้การปกครองของพวกขอม ซ่งึ ขอมได้ใช้วิธกี ารปกครองโดย
ถอื อาญาสทิ ธ์ิของพระเจ้าแผ่นดนิ เปน็ หลักในการปกครองบ้านเมือง การปกครองของขอมแบบนี้ได้รับ
อิทธิพลมาจากการปกครองของคนอินเดียท่ีปกครองโดยเอาอาญาสิทธ์ิของพระเจ้าแผ่นดินเป็นหลัก
สาคัญ เพราะคนอินเดียมีความเชื่อว่าพระเจ้าแผ่นดินเป็นพระโพธิสัตว์ซึ่งก็คือพระพรหมปางใดปาง
หนึง่ ตามความเชอื่ ของศาสนาพราหมณ์ท่อี วตาลมาเกดิ เพื่อดแู ลเล้ียงดชู าวโลกใหอ้ ยู่เย็นเป็นสขุ ในคติ

นายพิชาภพ ศรีทองมาศ ครูวิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ศิ 29

เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202

น้ีจึงทาให้ผู้ปกครองและผู้ถูกปกครองมีฐานะต่างกัน คือผู้ปกครองเป็นตัวแทนของพระพรหม ส่วน
ประชาชนก็คือมนุษย์ธรรมดาท่ีจะต้องอยู่ภายใต้การปกครองเท่าน้ัน ฉะนั้นพวกขอมจึงได้นาเอา
ลักษณะการปกครองที่ได้รับอิทธิพลจากคนอินเดียมาใช้ในการปกครองพวกกันเองและคนไทยที่อยู่
ภายใต้อานาจการปกครองด้วย

ส่วนคนไทยหลังจากได้สถาปนากรุงสุโขทัยเป็นราชธานีแล้วก็ได้รับอิทธิพล คติบางอย่าง
เกี่ยวกับผู้ปกครองจากพวกขอมคือยังเช่ือว่า การปกครองบ้านเมืองนั้นจะต้องมีกษัตริย์หรือพระเจ้า
แผน่ ดินเปน็ ผปู้ กครองเป็นศนู ย์รวมอานาจการปกครอง ฉะนน้ั การปกครองของคนไทยจงึ ถือเอาอาญา
สทิ ธข์ิ องพระเจ้าแผ่นดิน แต่พระเจ้าแผน่ ดินของคนไทยไม่อยู่ในลักษณะเหมือนคติของชาวอนิ เดยี คือ
คติของคนไทยถือว่าพระเจ้าแผ่นดินเสมือนหนึ่งพ่อหรือบิดาของปวงประชา ซึ่งคอยดูแลขจัดปัดเป่า
ความทุกขร์ ้อนของลูก ๆ คือประชาราษฎรให้อยู่ดีมีสุข มคี วามรกั ใครเ่ มตตาต่อบุตรธิดาอยู่ตลอดเวลา
จึงถือได้ว่า การปกครองของกรุงสุโขทัย แม้ว่าจะเป็นการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็
ตาม แต่ลักษณะของการปกครองของกษัตริย์ต่อไพร่ฟ้าประชาชนที่แท้จริงนั้นเป็นแบบบิดาปกครอง
บุตรหรอื พอ่ ปกครอง

กระมล ทองธรรมชาติ และคณะ ได้กล่าวถึงลักษณะท่ีสาคัญของการปกครองแบบบิดา
ปกครองบตุ รไว้ดังนี้

1. พอ่ ขุน ซึ่งมฐี านะเปน็ ผู้ปกครอง มอี านาจสูงสดุ
2. พ่อขุน ใช้อานาจเด็ดขาด-สงู สุดปกครองไพร่ฟ้าประชาราษฎร แต่อยู่บนพื้นฐานของความ
รัก ความเมตตา ความอาทรท่ีบิดามีต่อบุตร ประกอบกับใช้อานาจของพ่อขุนอยู่ภายใต้กรอบของ
ทศพิธราชธรรมและธรรมอันดีงามทง้ั ปวงอีกดว้ ย
3.ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับไพร่ฟ้าประชาชนท่ีอยู่ภายใต้การปกครองต้ังอยู่บน
พื้นฐานของความเท่าเทียมกัน ผู้ปกครองและผู้อยู่ใต้การปกครองต่างก็มีฐานะเป็นมนุษย์เหมือนกัน
แต่มีหน้าที่แตกต่างกัน กล่าวคือ ผู้ปกครองมีหน้าที่ปกป้องคุ้มครองภัยผู้อยู่ใต้ปกครองให้สามารถ
ดารงชีวิตอยู่ได้โดยความผาสุก ผู้อยู่ใต้ปกครองมีหน้าที่ต้องเคารพเช่ือฟัง และปฏิบัติตามคาส่ังของ
ผู้ปกครองอย่างสงบ แต่มีความสัมพันธ์กันฉันท์ครัวเรือนคือพ่อแม่เล้ียงดูเป็นห่วงลูก มีความรักความ
เมตตา ลูก ๆ คอยชว่ ยเหลอื พ่อแมป่ ฏิบตั ติ ามคาสง่ั สอนของพ่อแม่ดว้ ยความเคารพ
4. ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับผู้อยู่ภายใต้การปกครองเป็นไปอย่างใกล้ชิดเปรียบ
ประดุจสมาชิกในครัวเรือนเดียวกัน เพราะอาณาเขตการปกครองไม่ใหญ่โตนักพอท่ีจะดูแลได้ทั่วถึง
ประชาชนต่างมีความรักใคร่สามัคคีกันฉันท์พี่น้อง ด้านความต้องการของประชาชนท่ีจะได้รับบริการ
จากรัฐก็เป็นไปในลักษณะที่ไม่ยุ่งยากสลับซับซ้อนจึงง่ายต่อการปกครอง ภารกิจของผู้ปกครองจึงไม่
มาก ดังนั้นผู้ปกครองจึงสามารถที่จะเอาใจใส่ดูแลความทุกข์ร้อนของประชาชนได้อย่างทั่วถึงมากข้ึน
และเปน็ โอกาสใหป้ ระชาชนที่มคี วามทุกขร์ ้อนสามารถเขา้ ร้องทุกข์เพือ่ ให้พ่อขุนขจัดปัดเป่าความทุกข์
รอ้ นนนั้ ดว้ ยตวั เองให้หมดสน้ิ ไปได้

นายพชิ าภพ ศรีทองมาศ ครวู ิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ิศ 30

เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202

พอ่ ขุนรามคาแหงปรับปรงุ การปกครอง
การปกครองกรุงสุโขทัยล่วงมาถึงรัชกาลที่ 3 คือ รัชสมัยของพ่อขุนรามคาแหงพระองค์เป็น

กษัตรยิ ผ์ ้ยู ง่ิ ใหญ่ มีความเฉลียวฉลาดสุขุมรอบคอบในกิจการทั้งปวง กอปรทั้งพระองค์ทรงเป็นนักรบที่
มีความสามารถ จนพระองค์ได้ขนานนามว่า “มหาราช“ เพราะความปรีชาสามารถของนักรบพ่อขุน
รามคาแหงมหาราชทาให้อาณาจักรสุโขทัยมีความมั่นคงและขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างใหญ่
ไพศาลยิ่งข้ึน วิธกี ารจัดการปกครองแบบพ่อปกครองลูกหรือบดิ าปกครองบตุ รในรัชสมยั ของพ่อขุนศรี
อินทราทิตย์และพ่อขุนบาลเมืองน้ันขาดความเหมาะสมในสภาพบ้านเมืองท่ีกว้างใหญ่ไพศาลอย่างนี้
แต่ลักษณะการปกครองแบบบิดาปกครองบุตรนั้นก็ยังมีความจาเป็นสาหรับการปกครองของกรุง
สุโขทัย แต่ก็ได้จัดการปรับปรุงบางส่วนเพิ่มเติม เพื่อความเหมาะสมกับสภาพบ้านเมือง พ่อขุน
รามคาแหงจึงได้จัดการปกครองบ้านเมือง โดยการแบ่งลักษณะเมืองออกเป็นขั้น ๆ โดยราชธานีเป็น
ศนู ย์กลาง คือ

1. ราชธานี
2. เมอื งอุปราช เมอื งลูกหลวง หรือเมอื งหน้าดา่ น
3. เมืองพระยามหานคร
4. เมอื งประเทศราช
อย่างไรก็ตาม อาณาจักรสุโขทัยมีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุดในสมัยพ่อขุนรามคาแหงมหาราช
ต่อมาก็ค่อย ๆ เสื่อมอานาจ โดยบรรดาหัวเมืองประเทศราชต่าง ๆ เริ่มแยกตัวเป็นอิสระ ไม่ข้ึนต่อ
สุโขทัย โดยเฉพาะอย่างย่ิงหัวเมืองไทยทางใต้ คือ กรุงศรีอยุธยา ได้แผ่อานาจเข้ามามีอิทธิพลเหนือ
กรุงสุโขทัย ในท่ีสุด อาณาจักรสุโขทัยก็ต้องอยู่ภายใต้อิทธิพลของกรุงศรีอยุธยา โดยอาจกล่าวได้ว่า
สาเหตุสาคัญที่นามาซ่ึงการลม่ สลายของอาณาจักรสโุ ขทัย

1.3 สมยั อยธุ ยา (พ.ศ. 1893 - พ.ศ. 2310)
อาณาจักรอยุธยาถือว่าเป็นอาณาจักรท่ีสาคัญต่อประวัติศาสตร์ของประเทศไทยเน่ืองจากมี
ระยะเวลาทย่ี าวนานกว่า 400 ปี รวมทงั้ เป็นต้นแบบของรปู แบบการปกครองของอาณาจกั รทส่ี บื เนื่อง
ต่อมาไม่วา่ จะเปน็ ยุคธนบรุ แี ละรตั นโกสนิ ทร์
ในยุคอยุธยามีลักษณะการเมืองการปกครองเบื้องต้นเช่นเดียวกับสมัยสุโขทัย คือ อยู่ใน
รูปแบบสมบูรณาญาสิทธิราช์ (Absolute Monarchy) อานาจในการปกครองจะอยูท่ ่ีพระมหากษัตริย์
เพียงพระองค์เดียว เช่นเดียวกับในสมัยสุโขทัย แต่ต่อมาแนวคิดในการปกครองน้ีได้เปลี่ยนแปลงไป
ภายหลังที่อาณาจักรอยุธยาได้ขยายอาณาเขตพ้ืนท่ีและสามารถตีนครธมของขอมได้ในปี พ.ศ.1974
(สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 และ 2) และได้ทาการกวาดต้อนขุนนางและประชาชนชาวขอมที่เคย
อยู่ภายใตอ้ านาจของอนิ เดยี เขา้ มาในอยุธยาเป็นจานวนมาก ซง่ึ นอกจากจะกวาดต้อนผูค้ นยังคงรับเอา
แนวความคดิ และอิทธิพลของลัทธิพราหมณเ์ ข้ามาปรบั ใช้ โดยเฉพาะในเร่อื งการเมอื งและการปกครอง
และไดพ้ ัฒนาเขา้ สวู่ ิถีชีวิตของคนโดยทั่วไป
การเข้ามาของแนวความคิดลัทธิพราหมณ์ส่งผลให้รูปแบบการปกครองในสมัยอยุธยาได้ ทา
การเปล่ียนแปลงไปจาก “บิดาปกครองบุตร” มาเป็นรูปแบบ “เทวสิทธ์ิ”, เทวราชา การปกครองใน
ลักษณะดังกล่าวถือว่า พระมหากษัตริย์เป็นเสมือนเจ้าชีวิต เป็นผู้มีอานาจเด็ดขาด สามารถกาหนด

นายพิชาภพ ศรีทองมาศ ครวู ิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ศิ 31

เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202

ชะตาชีวิตของผู้อยู่ใต้การปกครองได้และถือว่าอานาจในการปกครองน้ันพระมหากษัตริย์ทรงได้รับ
จากสวรรค์ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นเสมือนเทพเจ้าองค์หนึ่ง หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็น “สมมุติเทพ”

รูปแบบการปกครองแบบเทวสิทธ์ิ ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์และประชาชน
เปล่ียนแปลงไปจากเดิมที่มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด ก็เปล่ียนเป็นห่างไกล จากการเคารพนับถือด้วย
ความรักและเคารพ ก็เปลี่ยนเป็นความเกรงกลัว อานาจ อาจกล่าวได้ว่ามีความสัมพันธ์ในรูปแบบ
“นาย กับ บา่ ว” นอกจากรปู แบบเทวสทิ ธ์ิจะนามาส่คู วามสมั พนั ธ์ระหวา่ งมหากษตั ริย์กบั ประชาชนได้
เปลี่ยนแปลงไป ยงั ส่งผลต่อความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งขุนนางกับประชาชนโดยไดน้ ารูปแบบจตุสดมภ์มาใช้
ในการบริหารบ้านเมือง โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้อานวยการปกครองสูงสุด และมีเสนาบดี 4
คน คอื

กระมล ทองธรรมชาติ และคณะ ได้กลา่ วถึงอานาจหนา้ ที่ของจตุสดมภ์ไวด้ งั นี้
1. เวยี ง หรือเมือง เสนาบดีผู้บงั คบั บญั ชารบั ผดิ ชอบเป็นท่ี “ขนุ เมือง“ เปน็ พนักงานปกครอง
ทอ้ งท่ีและบังคับบญั ชาขนุ แขวง อาเภอ กานนั ในเขตกรุงรักษาความสงบเรยี บรอ้ ย ปราบปรามโจร
ผ้รู า้ ย บงั คับบัญชาศาลพจิ ารณาความฉกรรจ์มหนั ตโทษ ซ่ึงเป็นแผนกความนครบาล ตลอดจนการ
ปกครองเรอื นจา
2.วัง เสนาบดีผบู้ งั คับบญั ชารบั ผิดชอบเป็นที่ “ขนุ วัง“ รับผิดชอบเกีย่ วกับราชการใน
พระราชสานกั รกั ษาพระราชมณเฑียร พระราชวงั ชนั้ นอกชน้ั ใน จดั การพระราชพธิ ี บงั คับบัญชา
ขา้ ราชการฝา่ ยในทั้งปวง และมหี น้าทีต่ ุลาการพิจารณาตัดสินอรรถคดีทง้ั หลาย
3. คลัง เสนาบดผี ู้บงั คับบญั ชารับผิดชอบเปน็ ท่ี “ขุนคลงั “ มหี น้าทีร่ ับผิดชอบเกยี่ วกับการ
รักษาพระราชทรัพยท์ ี่เปน็ รายไดเ้ ขา้ สู่พระคลงั และเปน็ ทจี่ า่ ยเงนิ ราชการ จดั การเกี่ยวกบั ภาษีอากร
ตา่ ง ๆ รวมทง้ั บังคับบัญชาศาลซึ่งชาระความเกย่ี วกบั พระราชทรพั ย์
4. นา เสนาบดผี ้บู งั คบั บญั ชารับผิดชอบเป็นท่ี “ขุนนา“ มีหนา้ ทดี่ แู ลรกั ษานาหลวงเกบ็ หาง
ขา้ วค่านาจากราษฎร จัดหาและรกั ษาเสบียงอาหารสาหรบั พระนครและพระราชวงั จัดซื้อข้าวขนึ้ ฉาง
หลวง และจ่ายข้าวในราชการท้งั ปวง มอี านาจบงั คับบัญชาศาลที่มีหนา้ ท่ีพจิ ารณาพิพากษาคดซี ึง่
เกี่ยวข้องด้วยที่นา โค กระบือ เพ่ือระงับข้อพิพาทของชาวนา

การจดั การปกครองสว่ นกลางของสมเดจ็ พระรามาธบิ ดที ่ี 1
พระองค์ไดจ้ ัดให้กรงุ ศรีอยุธยาเปน็ เมืองราชธานี พระองค์มีอานาจสูงสดุ ในการปกครอง และ

มีเมืองหน้าด่านเหมือนกรุงสุโขทัยอีก 4 ด้าน โดยแต่งตัง้ เสนาบดี 4 คน รับผิดชอบหรือที่เรยี กวา่
ระบบการปกครองแบบ “จตุสดมภ์“ อนั ได้แก่ เวียง วงั คลัง และนา เป็นผชู้ ่วยโดยได้กาหนดอานาจ
หนา้ ท่ขี องจตสุ ดมภไ์ วเ้ ป็นแนวในการปฏบิ ัติ

สาหรบั การจัดระเบียบการปกครองสว่ นภูมิภาคในยุคตน้ ของกรงุ ศรีอยธุ ยายงั คงใช้รปู แบบ
การจัดการปกครองในสมยั กรุงสโุ ขทยั คือการแบง่ การปกครองหัวเมอื งออกเป็นเมอื งหน้าดา่ น หรอื
เมอื งลกู หลวง เมืองพระยามหานคร และเมืองประเทศราช โดยมกี รุงศรีอยธุ ยาเปน็ เมืองราชธานี
การจัดการปกครองสมัยพระบรมไตรโลกนาถ

เม่ือการปกครองกรงุ ศรีอยธุ ยาเข้ามาสูส่ มยั ของพระบาทสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถพระองค์
เหน็ วา่ การปกครองแบบเดมิ นั้นล้าสมยั ดว้ ยเหตุนพี้ ระองคจ์ ึงได้ปรบั ปรุงเปล่ยี นแปลงการปกครอง คือ

นายพชิ าภพ ศรีทองมาศ ครวู ิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ิศ 32

เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202

พระองค์ไดท้ รงแตง่ ตงั้ สมุหกลาโหมปกครองหัวเมอื งภาคใต้ท้งั กิจการด้านพลเรือนและการทหาร และ
แต่งตั้งสมหุ นายกให้ควบคุมรับผดิ ชอบดา้ นหัวเมอื งทางภาคเหนือทั้งหมด

การปฏิรปู การปกครองหวั เมืองให้มีลักษณะรวมอานาจไวท้ ่ีศูนยก์ ลางคือเมืองหลวงมากข้ึน
โดยการยกเลิกเมืองหน้าด่าน แล้วขยายอาณาเขตหัวเมืองช้ันในให้กวา้ งขวางออกไปกวา่ เดิม หวั เมอื ง
ช้นั นอกก็เปน็ หัวเมืองชั้นเอก โท ตรี โดยลาดบั ตามขนาดและความสาคญั ของแต่ละหัวเมอื ง พระองค์
ได้ส่งขนุ นางหรือพระราชวงศ์ไปทาการปกครอง แต่เมืองประเทศราชยังปล่อยใหม้ ีอสิ ระในการ
ปกครองเชน่ เดมิ

กระมล ทองธรรมชาติ และคณะ ได้กล่าวถึงการจัดระเบยี บการปกครองส่วนย่อยของเมือง
ออกไปอกี นอกจากที่กลา่ วมาแล้วน้นั คือ มกี ารแบง่ เขตการปกครองท้องท่ีภายในเมอื ง ๆ หนง่ึ
เหมอื นกันหมด ท้ังเมืองภายในราชธานีและเมืองพระยามหานครไวด้ งั น้ี

1. เมอื ง คือจังหวัดในปัจจบุ ัน ถา้ เปน็ เมืองในวงราชธานี ผปู้ กครองเรียกวา่ “ผู้รัง้ “ ถ้าเปน็
เมอื งชั้นนอก เรียกวา่ “เจ้าเมือง“ เมืองหนึง่ แบง่ เขตการปกครองเป็นแขวง

2.แขวง คอื อาเภอหรือเขตในปัจจุบนั ผปู้ กครองแขวงเรียกวา่ “หมืน่ แขวง“ คลา้ ย ๆ กับ
นายอาเภอหรือหัวหนา้ เขตในปัจจุบัน แขวงหนึง่ แบ่งเขตออกเป็นตาบล

3.ตาบลหนง่ึ แบ่งออกเป็นบา้ น ตรงกับปัจจบุ ันเรียกวา่ “หมู่บา้ น“ พนักงานปกครองตาบล
เรียกว่า “กานัน“ มักได้รับบรรดาศักด์ิเปน็ “พนั “

4.บ้านหรือหมู่บ้าน รวมหลายหมบู่ า้ นแต่ไมก่ าหนดจานวนคนหรือจานวนบา้ นไวม้ ีผ้ใู หญบ่ ้าน
ซ่ึงผู้ปกครองเมืองแตง่ ตงั้ เป็นหัวหนา้

นอกจากน้ี ยงั ไดน้ ารูปแบบการควบคุมทางสังคมมาปรบั ใช้ ไดแ้ ก่
“ระบบศักดินา” หมายถึง หลักการแบ่งฐานะของคนตามระดับชนช้ันทางสังคมหรือการ
กาหนดสิทธิในการครอบครองท่ีนา ซ่ึงจะเป็นตัวกาหนดความแตกต่างระหว่างคน โดยชนชั้นที่สาคัญ
ในสมยั อยธุ ยา ได้แก่
ชนชน้ั ปกครอง ไดแ้ ก่ พระมหากษตั รยิ ์ ขุนนางและพระสงฆ์ชัน้ ผใู้ หญ่
ชนชนั้ สามญั ได้แก่ ไพร่
ชนชั้นผูถ้ ูกปกครองตา่ สุด คือ ทาส
ระบบศักดินามีความสาคัญต่อการปกครอง คือ เป็นการแบง่ ระดับของคนรวมทั้งกาหนดสิทธิ
ทางสงั คม ตวั อย่างเช่น ข้าราชการที่ถือศกั ดินา 400 ขน้ึ ไป ถือเป็นขุนนาง, ขนุ นางทม่ี ีศักดินา 800 ขึน้
ไปมีสิทธิเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์, ในกรณีท่ีมีคดีความ จะถูกปรับตามระดับศักดินา และศักดินาเป็น
ระบบท่ีกาหนดการควบคมุ ไพร่ เป็นตน้
“ระบบไพร่” คอื ระบบการจัดการทางสงั คมโดยการเกณฑ์กาลังคน ซึง่ อาจแบง่ เปน็ 2
ลักษณะ คอื ในยามศกึ สงครามและเมื่อสังคมสงบสุข ในยามศกึ สงครามไพร่ คือ ผทู้ ถ่ี ูกเกณฑ์แรงงาน
เพื่อเป็นกาลังในการรบและเมื่อยามสงบสขุ ไพรจ่ ะเปน็ แรงงานในการพฒั นาประเทศ โดยทั่วไปไพร่
สามารถแบง่ ได้ออกเปน็ 3 รูปแบบกว้าง ๆ ได้แก่
ไพร่หลวง คอื ไพร่ทีส่ ังกดั ต่อกรม กอง หรือสงั กัดตอ่ แผ่นดิน โดยทางานในลักษณะเข้าเดือน
ออกเดอื น

นายพิชาภพ ศรีทองมาศ ครูวิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชูทศิ 33

เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202

ไพร่สม หมายถึง ไพร่ที่พระมหากษัตริย์พระราชทานให้แก่เจ้านายและขุนนางที่มีตาแหน่ง
ทางราชการเพอื่ เป็นผลประโยชน์ตอบแทน

ไพร่ส่วย คอื ไพรท่ ี่สังกัดต่อราชวงศ์ หรอื ขนุ นาง และเปน็ ไพร่ที่ไม่ต้องเกณฑ์แรงงานและไม่มี
สงั กดั แต่ตอ้ งนาสิง่ ของที่ มีคา่ เชน่ เงนิ หรือของป่า เพอ่ื แทนการใช้แรงงาน

ระบบไพร่มีประโยชน์หลายประการไม่ว่าเป็นเพื่อใช้เกณฑ์แรงงานเม่ือยามเกิดศึกสงคราม
(การเกณฑ์ทหาร) เพ่ือเก็บภาษี (รายได้ของรัฐ) เพ่ือเป็นกลไกในการควบคุมกาลังคนในการฟ้ืนฟู
บ้านเมือง และเพื่อต่อรองอานาจทางการเมืองระหว่างกษัตริย์และขุนนาง ดังน้ันอาจกล่าวได้ว่าใน
สมยั อยธุ ยาระบบไพร่จงึ เปน็ ตวั จกั รทีส่ าคญั ต่อการพัฒนาของอาณาจกั ร

อย่างไรก็ตาม ในช่วงสมัยอยุธยาตอนปลาย อยุธยามีสงครามกับพม่ายืดเย้ือจนไม่มีเวลา
ปรับปรุงระบบการปกครอง ในขณะท่ีสถาบันพระมหากษัตริย์ขาดเสถียรภาพเพราะเกิดการแย่งชิง
อานาจบ่อยครั้งขุนนางแตกความสามัคคี จะไม่สามารถที่จะรักษาอาณาจักรไว้ได้จนต้องเสียเอกราช
ใหแ้ กพ่ มา่ ในปี พ.ศ. 2310

1.4 สมัยกรุงธนบรุ แี ละรัตนโกสนิ ทร์ตอนตน้ (พ.ศ. 2310 - พ.ศ. 2325)
การปกครองในสมัยธนบุรี ไม่ได้มีการปรับปรุงเปล่ียนแปลงไปจากรูปแบบเดิมท่ีใช้อยู่ในสมัย
อยุธยาเน่ือง จากขณะนั้นเป็นระยะท่ีไทยกาลังรวบรวมอาณาจักรข้ึนใหม่ พระเจ้ากรุงธนบุรี (ตากสิน)
ทรงมีพระราชภาระในการปราบปรามบรรดาชมุ นุมอิสระต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึนหลังกรุงศรีอยุธยาแตก สมัย
กรุงธนบุรีจึงมีอายุเพียง 15 ปี ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นยังคงนาระบบและรูปแบบการปกครองใน
สมัยอยุธยามาปรับใช้เหมือนเดิม กระทั่งสมัยรัชกาลท่ี 3 เร่ิมมีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากการเข้ามา
ของตะวันตก (ลัทธิจักรวรรดินิยม หรือ ลัทธิการล่าอาณานิคม Colonialism) โดยต่างชาติได้อ้าง
ความล้าหลังของไทยเข้ามาคุกคามเอกราชโดยใช้หลักการ “ภาระของคนผิวขาว” (The white
man’s Burden) ซ่ึงได้ใช้คุกคามดินแดนต่าง ๆ เป็นอาณานิคม ซึ่งการเข้ามาของต่างชาติในลักษณะ
ดังกล่าวได้เข้ามาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 เป็นต้นมา ไม่ว่าจะเป็นการทาสนธิสัญญาเบอร์นี ในสมัย
รชั กาลท่ี 3, สนธสิ ัญญาเบาว์รง่ิ ในสมัยรชั กาลท่ี 4 ซงึ่ สง่ ผลกระทบสาคัญในเรื่องสทิ ธสิ ภาพนอกอาณา
เขตของไทย
จะเห็นได้ว่า ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์บทบาทของชาติตะวันตกต่อการเข้ามารุกรานอธิปไตย
ของไทยถือเป็นปัญหาที่สาคัญ ดังน้ันเม่ือเข้าสู่สมัยรัชกาลท่ี 5 จึงได้ทาการปฏิรูปการเมืองการ
ปกครองโดยมีเหตผุ ลสาคัญเพื่อใหป้ ระเทศมีการพัฒนาดังเชน่ ตะวนั ตกและสามารถรกั ษาเอกราชของ
ไทยไว้ให้พ้นจากการคุกคามของลัทธิจักรวรรดินิยม ซึ่งการปฏิรูปการเมืองการปกครองมีรายละเอียด
สาคญั ดังน้ี
รัชกาลท่ี 5 ได้ทาการยกเลิกตาแหน่งอัครมหาเสนาบดี 2 ตาแหน่ง คือ สมุหนายกและ
สมุหกลาโหม รวมทงั้ จตุสดมภ์ และทาการแบ่งการบรหิ ารราชการออกเป็นกระทรวง ทบวง กรม เชน่
กระทรวงมหาดไทย, กระทรวงกลาโหม และกระทรวงเกษตราธกิ าร เป็นตน้
ในส่วนหัวเมือง จากเดิมที่แบ่งเป็นหัวเมืองช้ันใน หัวเมืองช้ันนอก หัวเมืองประเทศราชก็ทา
การแบ่งเป็นมณฑล เมือง อาเภอและหมู่บ้าน และจัดการปกครองส่วนท้องถ่ิน ได้แก่ สุขาภิบาล
กรงุ เทพและสุขาภิบาลหวั เมือง จัดต้ัง “เสนาบดีสภา” (Council of State) ทาหนา้ ที่ปรกึ ษาและช่วย

นายพชิ าภพ ศรีทองมาศ ครวู ทิ ยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ิศ 34

เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202

บริหารราชการแผ่นดินตามที่กษัตริย์มอบหมาย รวมท้ังจัดต้ัง “สภาที่ปรึกษาในพระองค์” (Privy
Council) ซึ่งต่อมากลายเป็นรัฐมนตรีสภา ทาหน้าที่รวมวินิจฉัยในการบริหารประเทศร่วมกับรัชกาล
ที่ 5 ส่งนักเรียนไทยไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ ได้แก่ ยุโรป รวมทง้ั เสด็จไปเยือนประเทศต่าง ๆ ทั้งใน
ยุโรปและเอเชีย เพ่ือทาแนวคิดและวิธีการต่าง ๆ มาปรับปรุงการปกครองให้ทันสมัย รวมทั้งเป็นการ
ปูพื้นทางการปกครองแบบประชาธิปไตยทางด้านสังคมได้ทาการปฏิรูปสังคม โดยการเลิกระบบทาส
ออกเป็นพระราชบัญญตั ิเลิกทาสรตั นโกสนิ ทร์ ศก 124 เปน็ ตน้

ผลท่ีได้ตามมาของการปฏิรูปการเมืองการปกครอง คือ รัชกาลที่ 5 ทรงรวบอานาจการ
ปกครองให้มาอยู่ท่ีตัวเองได้มากขึ้น ส่งผลให้ดินแดนที่อยู่ไกลและเส่ียงต่อการถูกรุกรานสามารถ
ควบคุมได้ดีขึ้นกว่า เดิมขณะเดียวกัน ก็ส่งผลต่อการพัฒนาทางด้านโครงสร้างการบริหารงานของ
ประเทศอนั ทาใหป้ ระเทศไทยพัฒนาความเจริญข้นึ อย่างต่อเน่ือง ตอ่ มาในสมยั รชั กาลที่ 6 สมเดจ็ พระ
มงกุฎเกลา้ เจา้ อยู่หวั ไดม้ กี ารพฒั นาประเทศเฉกเช่นเดียวกับในสมัยรชั กาลท่ี 5 ไมว่ า่ จะเปน็ การจัดตั้ง
เมืองสมมุติดุสิตธานี คือ เมืองจาลองที่รัชกาลท่ี 6 สร้างขึ้นมา โดยมีวัตถุประสงค์ที่สาคัญ คือ เพ่ือ
ทดลองรูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยมีการเลือกต้ัง มีการประชุม การเก็บภาษี
อย่างไรก็ดีก็มีผู้วิจารณ์ว่า ดุสิตธานีเป็นเพียงการละเล่นอย่างหน่ึงในรัชกาลที่ 6 หาได้มีความตั้งใจจะ
ก่อตั้งรูปแบบการปกครองในแบบประชาธิปไตยไม่

รัชกาลที่ 6 ได้พัฒนาเปลี่ยนแปลงทางด้านกฎหมายหลายอย่างไม่วา่ จะเป็นการออกประกาศ
พระราชบัญญัตินามสกุล, การตราพระราชบัญญัติประถมศึกษา ในขณะเดียวกันแม้จะมีการพัฒนา
ประเทศท้ังในรูปแบบการเมืองการปกครอง หรือการพัฒนาอย่างต่อเน่ือง แต่ก็ได้มีแนวโน้มของความ
ต้องการในการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชเพ่ิมมากข้ึน
(ผลจากการศึกษาในต่างประเทศ) หากดูตามประวัติศาสตร์แล้วความต้องการในการเปลี่ยนแปลง
ระบบการปกครองเริ่มชัดเจนขึ้นมาต้ังแต่ในสมัยรัชกาลท่ี 5 ใน พ.ศ.2427 (ร.ศ. 103) ซึ่งรัชกาลที 5
ครองราชย์มาได้ 18 ปี ก็มีเจ้านายและขุนนาง ซึ่งต่างก็เคยออกไปศึกษาหรือมีประสบการณ์ใน
ประเทศยุโรปรวม 11 คน ได้ร่วมกันยน่ื บันทึกถวายความเหน็ เป็นลายลักษณ์อักษรอันมีสาระสาคัญว่า
การปกครองประเทศแบบเดิมมีความล้าสมัย และภัยจากลัทธิจักรวรรดินิยม ดังนั้นเพื่อให้ประเทศมี
ความปลอดภัย ควรมีการเปลี่ยนแปลงวิธีการปกครองประเทศเสียใหม่ให้มีความทันสมัยคล้ายกับ
ประเทศท่ีเจริญแล้ว โดยให้มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด ซึง่ รัชกาลท่ี 5 กม็ ไิ ดล้ งโทษผู้ถวายบันทึก
แต่ประการใด และได้ทาการอธิบายว่าในขณะเวลานั้นสภาพแวดล้อมท้ังปวงยังไม่เหมาะสมต่อการ
เปลี่ยนรูปแบบการปกครองของประเทศ เหตุการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าแนวความคิดในการ
เปลย่ี นแปลงรปู แบบการปกครองไดเ้ พิม่ มากขนึ้

จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2454 ได้มีการจับกุมผู้คิดกบฏในสมัยรัชกาลที่ 6 ซ่ึงเรียกว่า
“กบฏ ร.ศ. 130“ โดยมีหัวหน้าคือ ร.อ. ขุนทวยหาญพิทักษ์ (เหล็ง ศรีจันทร์), ร.ท.จรูญ ณ บางช้าง,
ร.ต.เจือ ศิลาอาสน์ และทหารหนุ่ม ๆ แห่งกองทัพบก โดยมีจุดประสงค์สาคัญ คือ ต้องการ
เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบประชาธิปไตย และในท้ายท่ีสุดรัชกาลท่ี 6 ทรงอภัยโทษ ในช่วง
รัชกาลที่ 6 ตอนปลายได้เกิดสงครามโลกคร้ังท่ี 1 ซ่ึงไทยได้เข้าร่วมกับฝ่ายพันธมิตร แต่ก็ได้รับ
ผลกระทบจากสงคราม โดยเกดิ ภาวะข้าวยากหมากแพง ระบบเศรษฐกจิ ฝืดเคือง เม่ือพระบาทสมเด็จ
พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 7 ได้ทาการขึ้นครองราชย์จึงอยู่ในสภาวะแห่งปัญหา รัชกาลท่ี 7 ได้

นายพชิ าภพ ศรีทองมาศ ครวู ทิ ยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชูทิศ 35

เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202

ทรงแก้ปญั หาการคลังโดยการจดั ระเบียบการใชเ้ งินภายในพระราชสานัก ตดั ทอนรายจ่ายของแผ่นดิน
ตัดงบประมาณส่วนพระองค์ ลดจานวนข้าราชการ (ดุลภาพราชการ) และเก็บภาษีเพ่ิมมากขึ้น ทาให้
เกิดความไม่พอใจและเกิดปัญหาคนว่างงานเพิ่มมากขึ้น ทางด้านการเมืองการปกครองผลจากปัญหา
เศรษฐกิจตกต่าพร้อมทั้งกระแสความต้องการประชาธิปไตยเพ่ิมมากขึ้น รัชกาลที่ 7 ทรงได้ตระหนัก
ถึงปัญหาดังกล่าวและมีพระราชดาริท่ีจะพระราชทานรัฐธรรมนูญแก่ประชาชน โดยมอบหมายให้
พระยาศรีวิสารวาจา (ปลัดทูลฉลองกระทรวงการต่างประเทศ) และนาย เรมอนด์ บี.สตีเวนส์
(Raymond B. Stevens) ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศชาวอเมริกัน จัดการร่างหลักเกณฑ์ของ
รัฐธรรมนูญ หรือ “เคา้ โครงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง” (An Outline of Change in the
Form of Government) ซ่ึงมหี ลักการสาคญั คอื กาหนดใหม้ ี 2 สภา คอื สภาสงู ประกอบดว้ ย ขนุ
นางชัน้ สูงและขุนนางทมี่ คี วามสามารถ และสภาชัน้ ตา่ คอื สภาประชาราษฎร์ แต่ในชว่ งแรกใหม้ ีเพียง
สภาสูงแต่เพียงสภาเดียว แต่ยังไม่ทันที่จะได้พระราชทานรัฐธรรมนูญ ก็เกิดเหตุการณ์ปฏิวัติ 24
มิ ถุ น า ย น พ . ศ . 2475 ส่ ง ผ ล ใ ห้ ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ยเ ปล่ี ยน รู ปแ บ บก า ร ปก ค ร อ ง จา ก ร ะ บอบ
สมบูรณาญาสทิ ธริ าชยเ์ ขา้ ส่รู ะบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษตั รยิ ์ทรงเป็นพระประมุข

2. การเมืองการปกครองไทยในระบอบประชาธิปไตย
ผลจากการเข้ามาของลัทธิล่าอาณานิคม จักรวรรดินิยมต้ังแต่ช่วงต้นสมัยรตั นโกสินทร์ ส่งผล

ให้ประเทศไทยถูกคุกคามเอกราชจากกลุ่มประเทศตะวันตกที่ต้องการวัตถุดิบและตลาดในการขยาย
การค้า ส่งผลให้พระมหากษัตริย์ไทยในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ต้องปรับตัวอย่างต่อเน่ืองเพ่ือป้องกัน
ปัญหาดังกล่าว ท่ีจะเห็นได้อย่างเด่นชัดก็คือในสมัย รัชกาลท่ี 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว ได้ทาการปฏิรูปการเมืองการปกครองในหลากหลายด้านไม่ว่าจะเป็นการรวมอานาจเข้าสู่
ศูนย์กลาง, การยกเลิกจตุสดมภ์และจัดต้ังกระทรวง ทบวง กรม รวมทั้งการส่งผู้ท่ีมีความรู้
ความสามารถไปศึกษาต่อยังต่างประเทศซ่ึงก็เปิดโอกาสให้เหล่าขุนนาง คหบดี ผู้ท่ีมีฐานะได้ไปเรียน
วทิ ยาการไดด้ ว้ ยเช่นเดียวกัน แม้วา่ กระบวนการปฏิรูปการเมืองและการปกครองจะนามาสู่การพัฒนา
ประเทศและป้องกันประเทศจากการตกเป็นอาณานิคมของตะวันตก แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการ
ส่งเสริมแนวความคิดทางการเมืองแบบใหม่ ๆ เข้ามาด้วยเช่นเดียวกัน เนื่องจากกลุ่มผู้ท่ีได้ศึกษายัง
ต่างประเทศหรือมีประสบการณ์ทางดา้ นการเมืองการ ปกครองในต่างประเทศในสมัยนัน้ ต่างก็เหน็ ว่า
แม้จะทาการปฏิรูปประเทศในรูปลักษณะต่าง ๆ แต่หากไม่ทาการปรับเปลี่ยนระบอบในการปกครอง
ประเทศก็ยอ่ มท่จี ะไมส่ ามารถพฒั นาไดเ้ ทา่ เทียมกับนานาอารยประเทศดงั นัน้ วธิ ีเดยี วทีจ่ ะนามาซ่ึงการ
พัฒนาประเทศได้อย่างแท้จรงิ คือการเปลี่ยนรปู แบบการปกครองจากระบอบสมบรู ณาญาสทิ ธิราชย์มา
เปน็ ระบอบประชาธิปไตยโดยมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด แนวความคิดดงั กล่าวได้สั่งสมมาต้ังแต่
ในสมัยรัชกาลท่ี 5 จากเหตุการณ์ ร.ศ. 103, เหตุการณ์กบฏ ร.ศ 130 ในสมัยรัชกาลท่ี 6 และในสมัย
รัชกาลท่ี 7 จากการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบ
ประชาธปิ ไตยในวันที่ 24 มิถนุ ายน พ.ศ. 2475 โดยกลมุ่ ท่ีเรยี กตนเองว่า “คณะราษฎร”

นายพชิ าภพ ศรีทองมาศ ครวู ิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ิศ 36

เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202

2.1 การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
2.1.1 สาเหตุของการปฏวิ ัตเิ ปลยี่ นแปลงการปกครอง 24 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2475 หาก

ทาการหาสาเหตุในการปฏวิ ตั ิเปลยี่ นแปลงการปกครอง สามารถอธิบายได้ 4 ดา้ น ดงั น้ี
(1) ด้านการเมือง ผลจากระบบกษัตริย์ไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นไม่ว่า

จะเป็นเศรษฐกิจ สังคม รวมทั้งความไม่เป็นธรรมของชนช้ันในสังคม ส่งผลให้ความศรัทธาในระบบ
กษัตรยิ ล์ ดลง

(2) ด้านเศรษฐกิจ ภายหลังสงครามโลกคร้ังท่ี 1 ในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้เกิดภาวะ
เศรษฐกิจตกต่าข้ึนทั่วโลก ซ่ึงประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบดังกล่าวด้วยเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังมี
ปญั หาภายในอันไดแ้ ก่ภาวะผลผลิตตกต่ารวมถึงภยั ธรรมชาติ ในขณะทน่ี โยบายทางเศรษฐกิจท่ีรัชกาล
ที่ 7 นามาใช้ในการแก้ไขปัญหา เช่น การปลดข้าราชการออก การเพิ่มของภาษีอากร การตัดทอน
รายจา่ ยของรฐั บาล กลับนามาซง่ึ ปัญหามากย่งิ ขน้ึ

(3) ด้านสังคม ปรากฏว่ามีกลุ่มบุคคลที่ได้รับอภิสิทธ์ิเหนือบุคคลทั่วไป โดยเฉพาะ
อยา่ งยงิ่ กลุ่มพระบรมวงศานวุ งศแ์ ละอภิรัฐมนตรสี ภาทาให้ข้าราชการและประชาชนเกดิ ความไม่พอใจ
และทาให้มีการแบง่ ชนชน้ั ทางสังคมอยา่ งชดั เจนมากยิ่งข้ึน ระหวา่ งผู้ถกู ปกครองและผปู้ กครอง

(4) ด้านสถานการณ์โลกในขณะน้ัน ผลจากอุดมการณ์ทางการเมืองแบบ
ประชาธปิ ไตยแบบตะวันตกท่ีแพรห่ ลายไปท่ัวโลก กลุม่ บุคคลทไ่ี ด้ไปศึกษาในประเทศเหลา่ นต้ี ่างได้รับ
ความรู้ ประสบการณ์และตอ้ งการนาความคดิ ดังกลา่ วมาใช้กบั ประเทศของตน

“คณะราษฎร” คอื กล่มุ บุคคล ท่ดี าเนินการปฏิวตั ยิ ึดอานาจจากพระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้
เจ้าอยู่หัวและเปลี่ยนแปลงการปกครองของสยามประเทศ (เป็นชื่อของประเทศไทยในสมัยน้ัน) จาก
ระบอบสมบูรณาญาสทิ ธิราชย์มา เป็นระบอบประชาธปิ ไตย เมอื่ วนั ที่ 24 มิถุนายน พทุ ธศกั ราช 2475
โดยกลุ่มบุคคลดังกล่าวท่ีต้องการเห็นบ้านเมืองมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งส่วนใหญ่เป็น
นกั เรียน และนักเรยี นทหารทศ่ี กึ ษาและทางานอย่ใู นทวปี ยุโรปโดยไดท้ าการประชุมครัง้ แรก ณ หอพัก
Rue du summered ในกรุงปารีสประเทศฝรั่งเศส ได้ทาการตกลงกันที่จะทาการเปลี่ยนแปลงการ
ปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ท่ีกษัตริย์อยู่เหนือกฎหมายมาเป็นการปกครองในระบอบ
ประชาธิปไตยท่ีมีกษัตริย์ อยู่ใต้กฎหมาย โดยมีการตกลงท่ีใชว้ ธิ ีการ “ยึดอานาจโดยฉับพลัน” รวมทั้ง
พยายามหลีกเลี่ยงการนองเลือด ทั้งนี้เพ่ือป้องกันการถือโอกาสเข้ามาแทรกแซง ยกกาลังทหารมายึด
ครองดินแดนเอาไปเป็นเมืองขึ้น จากประเทศมหาอานาจที่มีอาณานิคมอยู่ล้อมรอบสยามประเทศ
หลังจากการประชุมกลุ่มผู้ต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองได้กับมายังประเทศไทยและได้ติดต่อกับ
ข้าราชการฝ่ายทหารบก ทหารเรือ พลเรือน และราษฎรโดยใช้นามว่า “คณะราษฎร” ได้ร่วมทาการ
ยึดอานาจการปกครองประเทศเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยมี
รัฐธรรมนญู ใช้เป็นหลักในการปกครองประเทศ ซง่ึ บคุ คลคณะนม้ี ีจานวน 99 นาย โดยไดด้ าเนินการใน
วนั ท่ี 24 มิถนุ ายน พ.ศ. 2475

ครัน้ เมื่อถงึ เวลาย่ารุ่งของวันที่ 24 มถิ ุนายน พ.ศ. 2475 ในรชั สมัยของพระปกเกล้าเจา้ อยู่หัว
ซ่ึงเป็นวันที่คณะราษฎรได้วางแผนและนัดหมายท่ีลานพระบรมรูปทรงม้าหน้าพระที่น่ังอนันตสมาคม
ได้มีกาลังทหารบก ทหารเรือ และหน่วยรถถังพร้อมด้วยอาวุธต้ังแถวเพ่ือรอฟังคาส่ังผู้บังคับบัญชา
ท้ังน้ีควบคุมโดยกรมยุทธศึกษาทหารบก มีคาสั่งให้ทหารทุกหน่วยไปพร้อมกันที่ ลานพระบรมรูป

นายพชิ าภพ ศรที องมาศ ครวู ทิ ยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ศิ 37

เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202

ทรงม้าก่อนเวลา 6 นาฬิกา คร้ันถึงเวลา 6 นาฬิกาตรงตามนัดหมาย นายพันเอกพระยาพหลพล
พยุหเสนา ได้อ่านประกาศคาแถลงการณ์ของคณะราษฎรฉบับแรก ต่อหน้าราษฎร ความในประกาศ
ฉบบั นนั้ มวี ่า

“...ราษฎรทง้ั หลาย เมื่อกษัตริย์องค์นี้ได้ครองราชย์สมบตั ิสืบต่อจากพระเชษฐานนั้ ใน

ขน้ั ตน้ ราษฎรบางคนได้หวงั กนั ว่ากษัตริย์องค์ใหม่นีค้ งจะปกครองใหร้ าษฎรได้ ร่มเย็น แต่การก็หา

ไดเ้ ป็นไปตามทีค่ ิดหวงั กนั ไม่กษตั ริย์คงทรงอานาจเหนือกฎหมายตามเดิม...เหตุ

ฉะนนั้ ราษฎร ขา้ ราชการ ทหาร และพลเมืองทีไ่ ดร้ ู้เท่าถึงการกระทาอนั ชว่ั ร้ายของรัฐบาล

ดังกล่าวแล้ว จึงรวมกาลังกันต้ังเป็ นคณะราษฎรขึ้น และได้ยึดอานาจของกษัตริ ย์ไว้แล้ว

คณะราษฎรเห็นว่าการทีจ่ ะแก้ความชวั่ ร้ายนีไ้ ด้ ก็โดยทีจ่ ะตอ้ งจดั การปกครองโดยมีสภาไดช้ ่วยกนั

ปรึกษาหารือหลาย ๆ ความคิดดีกว่าความคิดเดียว ส่วนผู้เป็นประมขุ ของประเทศนน้ั คณะราษฎร

ไม่ประสงค์ทาการแย่งชิงราชสมบตั ิ ฉะนนั้ จึงได้ขออญั เชิญใหก้ ษัตริย์องค์นี้ดารงตาแหน่งกษัตริย์

ต่อไป แต่จะตอ้ งอยู่ใตก้ ฎหมายธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน จะทาอะไรโดยลาพงั ไม่ได.้ ..”

2.1.2 เปา้ หมายของคณะราษฎร

(1) จะต้องรักษาความเป็นเอกราชท้งั หลาย เชน่ เอกราชในทางการเมอื ง ในทางศาล
ในทางเศรษฐกจิ ฯลฯ ของประเทศไวใ้ หม้ ั่นคง

(2) จะต้องรักษาความปลอดภัยในประเทศให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้
มาก

(3) จะต้องบารุงความสุขสมบรู ณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกจิ โดยรฐั บาลใหม่จะหา
งานใหร้ าษฎรทกุ ๆ คนทา และจะวางโครงการเศรษฐกจิ แห่งชาติ ไมป่ ลอ่ ยใหร้ าษฎรอดอยาก

(4) จะต้องให้ราษฎรได้สิทธิเสมอภาคกนั (ไมใ่ ชใ่ หพ้ วกเจ้ามีสิทธยิ ิ่งกว่าราษฎรเช่นที่
เป็นอยู)่

(5) จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ เม่ือเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลัก 4
ประการดงั กลา่ วขา้ งต้น

(6) จะต้องใหก้ ารศกึ ษาอย่างเตม็ ท่แี กร่ าษฎร
เมื่อนายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา อ่านแถลงการณ์จบลง ทหารทุกเหล่าตลอดจน
ประชาชนที่อยู่ ณ ท่ีนั้นก็เปล่งเสียงไชโยโห่ร้องให้การสนับสนุนคณะราษฎร ต้ังแต่บัดนั้นส่งผลให้
ประเทศไทยได้เปลี่ยนรูปแบบการปกครองเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย เป็นการยุติการปกครองใน
รปู แบบสมบูรณาญาสทิ ธริ าชยอ์ ยา่ งสมบูรณ์
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง คณะราษฎรได้กราบทูลเชิญรัชกาลท่ี 7 ทรงเป็น
กษัตริย์เช่นเดิมแต่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยคณะราษฎรได้ขอพระราชทานรัฐธรรมนูญชั่วคราวเม่ือ
วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 และได้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร โดยประกาศเม่ือวันท่ี 10 ธันวาคม
พ.ศ. 2475 มี 68 มาตรา โดยมีหลักการสาคัญ คือ มีสภาเดียว ได้แก่สภาผู้แทนราษฎร ประกอบด้วย
สมาชิก 2 ประเภท (ผู้ท่ีราษฎรเลือกและผ้ทู ี่พระมหากษัตริยเ์ ลือก) มีจานวนเท่ากันและมีวาระในการ

นายพชิ าภพ ศรที องมาศ ครวู ิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชูทศิ 38

เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202

ดารงตาแหน่งคราวละ 4 ปี ผลจากการประกาศรัฐธรรมนูญทาให้มีการเลือกตั้งท่ัวประเทศครั้งแรก
เม่ือวนั ท่ี 15 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2476 ซ่งึ โดยสว่ นใหญ่เปน็ สมาชกิ ของคณะราษฎร

จากนนั้ ไดท้ าการจัดตงั้ รัฐบาลโดยมพี ระยามโนปกรณน์ ิติธาดาเปน็ นายกรัฐมนตรีคนแรกของ
ประเทศไทย ซึ่งกลุ่มคณะราษฎรได้มอบหมายให้นายปรีดี พนมยงค์ (หลวงประดิษฐ์มนูธรรม) จัดทา
เค้าโครงเศรษฐกิจเพ่ือดาเนินการทางเศรษฐกิจตามท่ีได้กาหนดไว้ (เรียกว่าสมุดปกเหลือง) แต่กลับ
เกดิ ปัญหาความแตกแยกในกลุ่มคณะราษฎร เนอ่ื งจากมีบางกลุ่มเหน็ ว่ามีลักษณะเป็นคอมมวิ นสิ ต์ ซึง่
มหี ลักการสาคัญดงั น้ี

(1) ให้สิทธิประชาชนมโี อกาสเปน็ ขา้ ราชการทุกคน บคุ คลท่ีมีอายรุ ะหว่าง 18 – 55 ปี ให้รับ
ราชการตามประเภทของงานและได้รบั เงินเดอื นจากราชการ

(2) รัฐทาการปฏิรูปท่ีดิน โดยบังคับซ้ือที่ดินดังกล่าวท่ีมีกรรมสิทธ์ิมาเป็นของรัฐ หรือให้
สหกรณห์ รือรฐั ดาเนินการเอง อนั จะสามารถควบคุมราคาได้เพราะตดั พ่อคา้ คนกลาง

(3) รัฐดาเนินการในเร่ืองธนาคาร การขนส่งคมนาคม รวมทั้งการอุตสาหกรรมเพ่ือตัดคน
กลางหรอื นายทุนที่แสวงหากาไร

จากหลักการดังกลา่ วเกิดความแตกแยกในกล่มุ คณะราษฎรไม่ว่าจะเป็นพระยามโนปกรณ์นิติ
ธาดานายกรัฐมนตี เช่นเดยี วกบั รัชกาลท่ี 7 ทท่ี รงเหน็ ว่ามลี กั ษณะแนวคิดแบบคอมมวิ นสิ ต์ จากปัญหา
ดังกล่าวส่งผลให้พระยามโนปกรณ์นิติธาดาออกพระราชกฤษฎีกาปิดประชมุ สภาผแู้ ทนราษฎรและงด
ใช้รัฐธรรมนูญในบางมาตรา จากน้ันส่งหลวงประดิษฐ์มนูญธรรม (ปรีดี พนมยงค์) ออกนอกประเทศ
ส่งผลให้เกิดความไม่พอใจของคณะราษฎรสายทหารเป็นอย่างมาก จนส่งผลให้พระยา พหลพล
พยุหเสนา ทาการรัฐประหารยึดอานาจจากรฐั บาล ในวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 และเข้ามาดารง
ตาแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี จนอาจกล่าวได้ว่าอุดมการณ์ของกลุ่มคณะราษฎรท่ีต้องการให้มีการ
เปล่ียนรูปแบบการปกครองเพ่ือให้ประเทศไทยมีการพัฒนาและตอบสนองความต้องการของ
ประชาชนอย่างแท้จริงสามารถทาได้เพียง 1 ปีก็เกิดการรัฐประหารเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
การเมอื งการปกครองไทย

2.2 การเมืองการปกครองไทยภายหลงั การเปล่ียนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ประเทศไทยได้เข้าสู่แนวทางประชาธิปไตย ตามความ
ต้องการของ “คณะราษฎร” แต่ในความเป็นจริง ภายหลังการการเปล่ียนแปลงการปกครอง
ประชาธิปไตยของไทยมิได้ราบรื่นดังท่ีตั้งไว้ แต่กลับประสบกับปัญหาและล้มลุกคลุกคลานมาโดย
ตลอด (จนถึงปัจจุบัน) ประวตั ศิ าสตร์การเมืองไทย ประกอบไปด้วยการปฏิวัติ รัฐประหารและการก่อ
กบฏ ซ่ึงมคี วามหมายและความสาคัญ ดงั น้ี

การปฏวิ ตั ิ 1 ครั้ง
การรัฐประหาร 14 ครั้ง
กบฏ 6 คร้ัง

นายพิชาภพ ศรที องมาศ ครูวิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ศิ 39

เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202

การปฏิวตั ิ (Revolution) หมายถึง การเปล่ียนรูปแบบการปกครอง จากรูปแบบเดิมเข้าสู่

รปู แบบใหม่ อันกระทบกระเทือนถึงโครงสร้างอานาจของรัฐ ในประเทศไทยเกิดขน้ึ เพยี งคร้ังเดียว คือ
ในวันที่ 24 มิถนุ ายน 2475 โดยกล่มุ ทีเ่ รียกตนเองว่า “คณะราษฎร” โดยเปล่ยี นรปู แบบการปกครอง
จากระบอบสมบรู ณาญาสิทธิราชย์ (กษัตริย์ทรงมอี านาจแต่เพียงผ้เู ดยี ว) มาเปน็ รปู แบบประชาธิปไตย
แบบรฐั สภา โดยทม่ี ีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข (อยภู่ ายใต้รัฐธรรมนญู )

การรฐั ประหาร (Coup d’ Etat) หมายถึง การเขา้ แย่งชงิ อานาจจากผู้ที่มีอานาจสงู สดุ ใน

ขณะนน้ั และสามารถทาได้สาเร็จ
การกบฏ (Rebellion) หมายถงึ การเข้าแย่งชงิ อานาจจากผูท้ ี่มอี านาจสงู สดุ ในขณะนัน้ แต่

ไมส่ ามารถกระทาได้สาเรจ็ ตามทไ่ี ดต้ ้ังไว้
ซ่ึงเราพอทีจ่ ะสามารถแบง่ เหตกุ ารณ์ทางการเมืองการปกครองภายหลังการเปลีย่ นแปลงการ

ปกครองออกเปน็ 5 ยุค ดังน้ี

2.2.1 ยคุ ทีห่ นึ่ง ยคุ เปลีย่ นแปลงการปกครอง (พ.ศ.2475 – พ.ศ.2490)

เป็นยุคของความขัดแย้งระหว่างคณะราษฎรกับกลุ่มผู้ปกครองเดิมประกอบไปด้วยกลุ่มเจ้า
และพวกขุนนาง และความขัดแย้งระหว่างสมาชิกในคณะราษฎรด้วยกันเอง รวมท้ังสถานการณ์ของ
สงครามโลกคร้ังท่ี 2 ในระยะห้าปีแรกของการปกครองระบอบรัฐธรรมนูญ ปรากฏว่ามีเหตุการณ์
เกิดขึ้นหลายเหตุการณ์ อันมีผลนาไปสู่ความคลอนแคลนของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นกรณีการนาเสนอ
เค้าโครงเศรษฐกิจของ นายปรีดี พนมยงค์ ท่ีมีแนวทางแบบคอมมิวนิสต์ นอกจากนี้การเกิดการกบฏ
ของกลุ่มนายทหารและข้าราชการในต่างจังหวัดภายใต้การนาของพระองค์เจ้าบวรเดช อดีต
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยหวังทาการช่วงชิงอานาจจากรัฐบาล ในช่วงวันที่ 11 – 17
ตุลาคม พ.ศ. 2476 นาโดยพระองค์เจ้าบวรเดช โดยมเี หตผุ ลในการกระทามแี นวโน้มท่จี ะนาระบบการ
ปกครองแบบเดิมกลับมาใช้อีกครั้งหน่ึง แต่สุดท้ายก็ถูกปราบปรามจากรัฐบาลซึ่งเรยี กกระทาครงั้ น้วี ่า
“กบฏบวรเดช” เหตกุ ารณค์ รงั้ นี้ส่งผลให้รัฐบาลโดยเฉพาะกลุ่มคณะราษฎรเกดิ ความไม่ไวว้ างใจในเชื้อ

พระวงศ์รวมท้ังรัชกาลที่ 7 ด้วยเช่นเดียวกัน นามาซ่ึงการท่ีเจ้านายหลายพระองค์ต้องเสด็จนิราศไป
ประทบั ยังต่างประเทศ มหี ลายคนในคณะกบฏต้องรับโทษจาคุก และภายหลงั จากเหตุการณก์ บฏบวร
เดชไม่ถึงสองปี พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จไปประทับอยู่ในประเทศอังกฤษ และ
“ทรงสละราชสมบัติ” ซึ่งมีเหตุผลสาคัญ คือ รัชกาลท่ี 7 ทรงเห็นว่าคณะราษฎรมิได้ปฏิบัติตาม

หลักการทไี่ ด้วางไวต้ ามที่ไดท้ าการเปลีย่ นแปลงการปกครอง พระองคจ์ ึงขอสละสมบัติโดยที่ไม่ได้เสนอ
ว่าใครจะขึ้นครองราชย์ต่อไป คณะราษฎรจึงได้ถวายราชบัลลังก์แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
อานันทมหิดลในเวลาตอ่ มา

ในเดือนธันวาคม พ.ศ.2481 จอมพลป.พิบูลสงคราม (หนึ่งในสมาชิกของคณะราษฎร) ได้เข้า
ดารงตาแหน่งนายกรัฐมนตรี ส่งผลให้ทหารเร่ิมมีบทบาทและอานาจในทางการเมืองการปกครองเพม่ิ
มากขน้ึ เร่อื ย ๆ จอมพล ป. มบี ทบาทอย่างมากในการสร้างประวัติศาสตร์ของเมืองไทย โดยมนี โยบาย
ท่ีสาคัญท่ีสุดคือ“รัฐนิยม” ซึ่งเป็นนโยบายรักชาติ ความเป็นชาตินิยมและปรับปรุงวัฒนธรรมให้
เหมือนอารยประเทศ แสดงออกโดยการรณรงค์ต่อต้านคนจีน, การแต่งกาย, ชื่อ – สกุล ฯลฯ ซ่ึงใน

นายพิชาภพ ศรีทองมาศ ครูวิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชูทิศ 40

เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202

ขณะน้ันก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งรัฐบาลของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็มีนโยบายที่เป็นมิตรกับ
ญี่ปุ่นพร้อมกับประกาศสงครามกับประเทศอังกฤษและสหรัฐอเมริกา (ฝ่ายสัมพันธมิตร) ซึ่งท้ายที่สุด
ไทยเกือบทีจ่ ะตกเปน็ ประเทศผูแ้ พ้สงครามหากไม่ไดข้ บวนการเสรีไทยท่ีได้พยายามแสดงให้ต่างชาติได้
เข้าใจว่าไทยน้ันไม่ได้มีแนวโน้มในการเป็นศัตรูกับกลุ่มประเทศสัมพันธมิตรในที่สุดก็ได้รับการยอมรับ
สง่ ผลใหไ้ ทยไมต่ อ้ งฝา่ ยผู้แพส้ งคราม

2.2.2 ยคุ ทีส่ อง ยคุ เผด็จการอานาจนิยม (พ.ศ.2490 – พ.ศ.2516)

การเมืองการปกครองของไทยภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง มคี วามเขม้ ขน้ และความรุนแรง
สูงอาจกล่าวว่าเป็นยุคที่คณะทหารและกองทัพได้เข้ามามีบทบาททางการเมืองการปกครองประเทศ
โดยการยึดอานาจทารัฐประหารเกิดข้ึนอย่างบ่อยครั้ง จนกระทงั่ มกี ารให้สมญาการปกครองในยุคน้ีว่า
เป็น “ยุคอามาตยาธิปไตย” โดยมกี ารรฐั ประหารเปน็ เครื่องมอื หลักในการขบั เคลื่อน โดยในชว่ ง 25 ปี
ระหว่าง พ.ศ. 2475 – 2500 ได้มีรัฐธรรมนญู 6 ฉบับ มีการเลือกต้ัง 9 คร้ัง มีการรัฐประหารและการ
กบฏ 10 คร้งั ดังน้นั หากคิดเฉล่ยี อาจกล่าวไดว้ ่า มรี ฐั ธรรมนญู 1 ฉบบั ตอ่ 4.1 ปี มกี ารเลือกต้ัง 1 คร้ัง
ต่อ 2.7 ปี และมีการขัดแย้งทางการเมืองในรูปแบบของรัฐประหารหรือการกบฏทุก ๆ 2.5 ปี และใน
ขณะเดียวกัน หากพิจารณาจะเห็นว่า ทหารได้กุมอานาจในฐานะตาแหน่งนายกรัฐมนตรีประมาณ
21 ปี เหตุการณ์สาคญั ทางการเมอื งมตี วั อยา่ ง คือ

(1) กบฏเสนาธิการ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2491 เป็นการต่อต้านท่ีเกิดจากกลุ่มนาย

ทหารบกเช่น พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ, พ.อ.กาจ กาจสงคราม, พ.อ.เผ่า ศรียานนท์, พ.อ.สฤษดิ์ ธนะรัชต์
โดยท่ีจอมพล ป.พิบูลสงคราม มิได้มีส่วนร่วมด้วยในตอนแรกสาเหตุของการรัฐประหาร มีหลาย
ประการ เชน่ ภาวะเศรษฐกิจตกต่า, ปญั หาความเดอื ดร้อนของประชาชน (การสง่ ข้าวถูกควบคมุ ) และ
ปัญหาการสวรรคตของรชั กาลที่ 8

(2) กบฏวงั หลวง 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2492 ภายใต้การนาของนายปรีดี พนมยงค์

และการสนับสนุนจากกลุ่มทหารเรือ และกลุ่มเสรีไทยโดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือทาการล้มล้างรัฐบาล
จอมพล ป. และยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2492 นารัฐธรรมนูญ 2475 กลับมาใช้ โดยหลักแล้วใช้แม่น้า
เจา้ พระยาในการขนอาวุธ และการเข้ายึดท่ีมั่นทางยุทธศาสตรส์ าคัญโดยเรว็ แผนการเบื้องต้นสามารถ
ทาได้โดยลุล่วง แต่กาลังทหารเรือที่เข้ามาสนับสนุนไม่สามารถมาได้ทันเวลา เน่ืองจากติดเวลาน้าลด
ทาให้เรือไม่สามารถข้ามฝ่ังมาได้ ส่งผลให้ฝ่ายรัฐบาลสามารถตั้งหลักได้ และพ่ายแพ้ในท่ีสุด จากการ
พ่ายแพ้ ทาให้นายปรีดี ต้องยุติบทบาททางการเมือง ได้หลบหนีไปยังประเทศฝร่ังเศส ตราบจนถึงแก่
อสญั กรรม

(3) กบฏแมนฮตั ตนั 29 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2494 เปน็ ปฏิบัตกิ ารของกลุม่ ทหารเรือ โดย

ทาการจับกุมตัวจอมพล ป. ในพิธีมอบเรือขุดสันดอนแมนฮัตตันและนาจอมพล ป. ขึ้นสู่เรือรบหลวง
ศรีอยุธยา อันเป็นเรือรบท่ีสาคัญท่ีสุดของกองทัพเรือ เพื่อเป็นตัวประกัน จากนั้นจึงได้ยึดสถานที่
สาคัญทางทหาร แต่จากการตัดสินใจของรัฐบาล (จอมพลสฤษด์ิ) ให้โจมตีโดยไม่สนใจว่าจอมพล ป.
จะเป็นเช่นไร จึงเกิดปะทะกันอย่างรุนแรง เช่น การท้ิงระเบิด โดยเรือรบหลวงศรีอยุธยาก็ถูกทาลาย

นายพิชาภพ ศรที องมาศ ครวู ิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชูทศิ 41

เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202

และสามารถยึดตัวจอมพล ป. กลับคืนมาได้และกองทัพเรือก็ถูกลดอานาจ บทบาท และงบประมาณ
ลงไปจนถงึ ปจั จุบนั (ประชาชนเสียชีวติ 118 คน, กบฏถกู จบั ประมาณ 100 คน)

(4) รัฐประหาร 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 เป็นรัฐประหารคร้ังแรกที่เรียกได้ว่า

เป็นการรัฐประหารตัวเอง เน่ืองจากจอมพล ป. อ้างว่าไม่ได้รับความสะดวกในการบริหารราชการ
แผ่นดิน เหตุจากรัฐธรรมนูญท่ีใช้อยู่ขณะน้ัน ไม่เอ้ือให้เกิดอานาจ จึงจาเป็นต้องยึดอานาจ มูลเหตุที่
แท้จริง คือ ต้องการลดอานาจของสภาลงไป จากน้ันนารัฐธรรมนูญที่เอ้ือต่อการใช้อานาจของตนมา
บริหารไดด้ ียิ่งขนึ้ (ต้นแบบของการรฐั ประหารตนเอง)

(5) รฐั ประหาร 16 กนั ยายน พ.ศ. 2500 นบั แตจ่ อมพล ป. ได้ขึ้นมามอี านาจในช่วง

หลัง (ภายใต้การรัฐประหาร 8 พฤศจิกายนเป็นต้นมา) ประสบปัญหาความยากลาบากในการบริหาร
มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นปัญหาของ กบฏ (3 ครั้ง) รวมทั้งขาดอานาจในการบริหาร ส่งผลให้จาต้อง
ต้ังพรรคการเมืองของตนเอง แตใ่ นขณะเดียวกันบทบาทของทหารคนสนิทท่ีตนเองได้เลีย้ งดู กลับเพิ่ม
มากข้ึน (จอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชต์) เกิดการท้าทายอานาจ โดยมีสาเหตุจากการเลือกต้ังทั่วไปในวันที่
26 กุมภาพันธ์ 2500 ถือเป็นการเลือกต้ังที่นับได้ว่ามีการโกงกันมากท่ีสุด เช่น ข่มขู่ ประชาชน ให้
เลือกแต่ผู้สมัครของพรรคเสรีมนังคศิลาของรัฐบาล หรือ การเวียนเทียนมาลงคะแนน การสลับหีบ
บัตร การแอบหย่อนบัตรคะแนนเถ่ือนเข้าไปในหีบ และต้องใช้เวลานับคะแนนกันนานถึง 7 วัน
(จุดเร่ิมต้นของการโกงการเลือกต้ัง, การซื้อเสียง) จากเหตุดังกล่าวส่งผลให้เกิดการเดินขบวนประท้วง
การเลือกตั้ง จอมพล ป. นายกรัฐมนตรี สั่งประกาศภาวะฉุกเฉิน และแต่งต้ังให้ พล.อ.สฤษดิ์ เป็นผู้
ปราบปรามการชุมนุม แต่ พล.อ.สฤษดิ์ กลับเข้าร่วมเดินขบวนกับประชาชน และได้พูดขอให้ผู้ชุมนุม
สลายตัวไปอย่างสงบนับแต่นน้ั มา จอมพลสฤษด์ิ จึงกลายเป็นขวัญใจของนักศึกษาและประชาชนเป็น
การส่งเสริมบารมีและนามาสู่การรัฐประหารในที่สุด จอมพลสฤษด์ิ จึงทาการรัฐประหาร จอมพล ป.
โดยได้รับการสนับสนุนจากประชาชน จอมพล ป. ต้องหนีไปกัมพูชา และสุดท้ายต้องล้ีภัยไปยัง
ประเทศญป่ี นุ่ จนถึงแกอ่ สญั กรรม

2.2.3 ยคุ ทีส่ าม ยคุ ประชาธิปไตยเบ่งบาน (พ.ศ.2516 – พ.ศ.2519)

เป็นช่วงท่ีการเมืองการปกครองของไทยได้เข้าสู่ความเป็นประชาธิปไตยอย่าที่ควรจะเป็น
อันได้แก่การที่ประชาชนมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการเมืองการปกครองไม่ว่าจะเป็นการผลักดันใน
การจัดทารัฐธรรมนูญ การเลือกต้ัง รวมท้ังเป็นการรวมตัวของประชาชนทาการต่อต้านรัฐบาลอานาจ
นยิ มและเป็นผลสาเรจ็ ผลจากการทบ่ี ทบาทอานาจทางการเมืองการปกครองเป็นของกลุ่มบุคคลเพียง
ไม่กี่กลุ่ม และโดยส่วนใหญ่ก็คือ กลุ่มข้าราชการทหาร นับแต่มีการเปล่ียนแปลงการปกครองเป็นต้น
มา อาจกล่าวได้ว่ายังไม่มีแนวทางแบบประชาธิปไตยตามที่คณะราษฎรได้ตั้งไว้ ผลจากการท่ีกลุ่ม
ทหารกุมอานาจทางการเมืองไว้เป็นระยะเวลานาน ผ่านเครื่องมือที่ใช้ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกต้ัง หรือ
การร่างรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้ประชาชนไม่สามารถที่จะทนได้ จึงได้มีการแสดงออกถึงความต้องการ
ประชาธิปไตยทีแ่ ท้จรงิ โดยมเี หตกุ ารณ์ท่สี าคัญ คือเหตกุ ารณ์ 14 ตลุ าคม 2516 แตอ่ ย่างไรก็ตามความ
เบ่งบานของประชาธิปไตยกลับมีระยะเวลาที่สั้นมากเพียงแค่ 3 ปี ซึ่งสุดท้ายก็กลับเข้าสู่ภาวะทาง
การเมืองแบบเดิม ซ่งึ เหตุการณ์ทางการเมืองที่สาคัญมดี ังนี้

นายพิชาภพ ศรที องมาศ ครูวทิ ยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ิศ 42

เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202

(1) เหตกุ ารณ์ 14 ตุลาคม 2516
เป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองยุคใหม่ของไทยท่ีมีนัยสาคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็น
การลุกฮือของประชาชนเป็นจานวนแสน ๆ คน เพื่อต่อต้านรัฐบาลเผด็จการทหาร ถือได้ว่าการลุกฮือ
ดังกล่าวเป็นการเปิดประวัติศาสตร์บทใหม่ทางการเมืองไทยในยุคหลังการเปลี่ยนแปลง 24 มิถุนายน
2475 โดยมีชื่อเรียกหลายช่ือ เช่น วันมหาวิปโยค, วันมหาปิติ, การปฏิวัติ 14 ตุลาคม,การปฏิวัติของ
นักศึกษา โดยมีสาเหตุสาคัญหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการเรียกร้องของนักศึกษาและประชาชนใน
ประเดน็ เร่ืองรัฐธรรมนูญ, ปัญหาทางเศรษฐกิจรวมทั้งปญั หาการลุแก่อานาจของกลุ่มบุคคลผู้มีอานาจ
นามาซึ่งการรวมกลุ่มกันของนักศึกษาและประชาชนที่ไม่พอใจ จนผลสุดท้ายกลายเป็นการประท้วงท่ี
ประกอบด้วยคนจานวนไม่ต่ากว่าห้าแสนคนเหตุการณ์ท้ังหมดเร่ิมต้ังแต่วันท่ี 6 ตุลาคม 2516 และ
สิ้นสุดลงวันที่ 16 ตุลาคม 2516 แต่เหตุการณ์ที่เกิดนองเลือดคือ วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม 2516
จงึ ไดข้ นานนามเหตกุ ารณ์ทางการเมืองครั้งนั้นว่าเหตุการณ์ 14 ตุลาคม2516 โดยมผี ้เู สียชีวิตประมาณ
80 คน และทรัพย์สิน มีการเผาอาคารราชการ การทาลายสัญลักษณ์จราจร ฯลฯ ผลสุดท้าย
พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู ัวได้ทรงออกโทรทศั นร์ ับสัง่ ว่า “วนั นเ้ี ปน็ วันมหาวปิ โยค” และไดร้ บั สัง่ ให้
ทุกฝา่ ยกลับไปสคู่ วามสงบ หยุดยง้ั การรบราฆ่าฟันกันเอง
(2) เหตุการณ์ 6 ตลุ าคม 2519
เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เป็นเหตุการณ์ที่ต่อเน่ืองจากกรณี 14 ตุลาคม 2516
ภายหลังท่ีได้มีการจัดทารัฐธรรมนูญตามความต้องการของประชาชน ได้เกิดอิสระและเสรีภาพทั้ง
ทางด้านความคิดและในทางการเมืองและการปกครองอย่างสูง นามาสู่การเรียกร้องและการชุมนุม
ประท้วงอย่างต่อเนื่องจนเกินขอบเขต ในขณะเดียวกันกลุ่มนักศึกษาซ่ึงเป็นกลุ่มท่ีมีบทบาทอย่างมาก
ในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ก็มีอิสรเสรีภาพอย่างมากจนเกินขอบเขตเช่นกัน โดยเฉพาะประเด็น
ความสนใจในงานวรรณกรรมของพวกหัวก้าวหน้าและพวกซ้ายจัดเช่นงานของเหมาเจ๋อตุง หรือ
แนวคิดทางด้านสังคมนิยมประเด็นดังกล่าวได้สร้างโอกาสให้แก่กลุ่มท่ีเสียผลประโยชน์ในเหตุการณ์
14 ตุลาคม กลบั เขา้ มาอกี ครง้ั หน่ึง โดยการกลา่ วหาวา่ กลุม่ นกั ศกึ ษาทสี่ นใจแนวคิดด้านสงั คมนิยมเป็น
คอมมิวนิสต์และต้องการท่ีจะล้มล้างระบอบประชาธิปไตยและราชวงศ์ นามาซ่ึงการล้อม
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีการใช้กาลังอาวุธจนเสียชีวิตไปไม่น้อย แต่ที่น่าตระหนกและสังเวชใจคือ
วิธีการอันทารุณที่กระทาต่อนิสิตนักศึกษา การแขวนคอการเผาโดยใช้ยางรถยนต์เป็นเช้ือการรุมฆ่า
ฯลฯ ทั้งหมดน้ีเปน็ จดุ ด่างดาในประวตั ศิ าสตรก์ ารเมืองไทยจนถงึ ปจั จบุ นั

2.3.4 ยคุ ทีส่ ี่ ยคุ กึ่งประชาธิปไตยหรือยคุ ประชาธิปไตยคร่ึงใบ (พ.ศ.2520 – พ.ศ.2535)

ประชาธปิ ไตยคร่ึงใบ คือ การประนีประนอมระหว่างเผด็จการกับประชาธปิ ไตย สบื เนื่องจาก
ยุคสมัยการเบ่งบานของประชาธิปไตยเป็นต้นมาทาให้ประชาธิปไตยอย่างสุดกู่ไม่เป็นที่ยอมรับของ
สังคมในขณะเดียวกันสังคมก็ไม่สามารถยอมรับการปกครองในระบอบเผด็จการได้อีก ระบอบการ
ปกครองจงึ มีท้ังกลุ่มอานาจเผด็จการและกล่มุ ประชาธิปไตยอยดู่ ้วยกนั มเี หตผุ ลจาก

ประการแรก เป็นอุบายของรฐั บาลท่ีประสงคจ์ ะครองอานาจใหย้ าวนานทสี่ ดุ โดยกาหนดใน

รัฐธรรมนูญในประเด็นสาคัญท่ีสุด 2 ประเด็น คือ (1) นายกรัฐมนตรีไม่ต้องผ่านการรับเลือกตั้งเป็น
ส.ส. (2) ข้าราชการประจาและทหารจะดารงตาแหน่งข้าราชการประจา และดารงตาแหน่งทาง

นายพชิ าภพ ศรีทองมาศ ครูวิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ิศ 43


Click to View FlipBook Version