เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
การเมืองไปพร้อม ๆ กันไดใ้ นชว่ั ขณะหนง่ึ ภายใต้บทเฉพาะกาล หลังจากน้นั จะต้องเลือกอยา่ งใดอย่าง
หน่งึ พรอ้ มทั้งการลดอานาจของวฒุ สิ ภาที่มาจากการเลือกตั้งลงไป
ประการที่สอง กลุ่มผู้นาเหล่านี้จะยังคงมีบทบาทสาคัญต่อไปในทางการเมืองไทยในยุค
ประชาธิปไตยคร่ึงใบเป็นความพยายามในการแบ่งสรรอานาจและการใช้อานาจร่วมกันระหว่างฝ่าย
ข้าราชการประจากับฝา่ ยนักการเมอื ง การผสมผสานในการใชอ้ านาจทางการเมืองดังกลา่ วยงั คงดารง
ความขัดแยง้ ระหวา่ งกลุ่มขวั้ อานาจ โดยเฉพาะในฝา่ ยขา้ ราชการประจา ความขดั แยง้ ดังกล่าวได้ประทุ
ใหเ้ หน็ จากความพยายามในการทารัฐประหารหลายครั้งหลายหนแต่ไม่ประสบความสาเร็จ จนกระท่ัง
ความความขัดแย้งไดส้ ่งผลให้เกดิ เหตุการณท์ างการเมืองที่สาคญั ตามมา คือ
(3) รฐั ประหาร กมุ ภาพนั ธ์ 2534 (พฤษภาทมิฬ)
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดข้ึนในช่วงรัฐบาล พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ซ่ึงมีหลักในการบริหาร
บ้านเมืองในลักษณะท่ีเรียกว่า “ธุรกิจการเมือง” หรือ รูปแบบธนาธิปไตย มีการทุจริตคอรัปชั่น
อย่างสูง จนทาให้เกิดความหวั่นวิตกกนั ท่ัวไปว่า จะนาประเทศไปสู่ความหายนะ เพราะพนั ธะผูกพันที่
ทากับบรรษทั ต่างชาติในโครงการใหญ่ ๆ รวมทง้ั ความขัดแย้งระหวา่ งนักการเมืองกบั กองทัพก่อให้เกิด
ความตึงเครียดทางการเมอื งเป็นอย่างย่ิง โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนตาแหนง่ ในกองทัพบก ซึ่งมีผลต่อ
เสถียรภาพทางการเมืองสง่ ผลให้ทหารเข้ามาทาการแทรกแซง โดยทาการรัฐประหารของคณะท่ีเรยี ก
ตนเองว่า คณะรักษาความ สงบเรยี บรอ้ ยแห่งชาติ (รสช.) ซงึ่ มเี หตผุ ลในการรัฐประหารดงั นี้
1. มีการทุจริตคอรปั ชัน่ ในบรรดารฐั มนตรรี ่วมรฐั บาลอยา่ งกวา้ งขวาง
2. ข้าราชการการเมอื งรงั แกข้าราชการประจา
3. รัฐบาลเป็นเผด็จการทางรัฐสภา
4. มีการพยายามทาลายสถาบันทหาร
5. บดิ เบอื นคดีวนั ลอบสงั หารซงึ่ มีจุดมุ่งหมายลม้ ลา้ งสถาบนั พระมหากษตั รยิ ์
อย่างไรก็ตาม ผลจากการท่ีประชาชนได้เคยสัมผัสกับเหตุการณ์นองเลือดมาแล้ว 2 คร้ังในปี
พ.ศ.2516 และ พ.ศ. 2519 แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าชาวไทยไม่ต้องการรัฐบาลที่ได้อานาจโดยไม่
ชอบธรรมและเปน็ เผดจ็ การทหาร ส่งผลใหเ้ กิดการชมุ นมุ ประท้วงอกี ครั้งหนึ่งซ่ึงประกอบไปด้วยหลาย
ชนชั้น โดยมีข้อสังเกตคือ มีกลุ่มคนจานวนหนึ่งเป็นชนชั้นกลาง ทางานภาคเอกชน มีโทรศัพท์มือถือ
ขับรถเก๋งส่วนตัว ซึ่งเรียกกลุ่มคนเหล่านั้นว่า “ม็อบมือถือ” ผลท่ีสุด การประท้วงเรียกร้องของ
ประชาชนก็นาไปสู่การปะทะกับกาลังของเจ้าหน้าที่ ทาให้เกิดการใช้กาลังเข้าปราบปรามประชาชน
จนมีการเสียชีวิตตามตัวเลขของทางราชการกว่า 40 คน แต่ที่หายสาบสูญมีจานวนมาก เหตุการณ์
สงบลงโดยพระบารมปี กเกล้าของพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั ในคืนวันท่ี 20 พฤษภาคม 2535
ผลท่ีตามมาภายหลงั เหตกุ ารณ์พฤษภาทมิฬ คือ การปฏิรูปการเมืองและการปกครองรวมท้ัง
การจัดทารฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช 2540 ฉบับที่ 16 อนั ถือวา่ เปน็ รฐั ธรรมนูญที่
เปน็ ประชาธิปไตยมากที่สุดและเปิดโอกาสให้ประชาชนมีสว่ นรว่ มมากทีส่ ุดเท่าทเี่ คยจดั ทารัฐธรรมนญู
นายพชิ าภพ ศรที องมาศ ครวู ทิ ยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ิศ 44
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
2.3.5 ยคุ ทีห่ า้ ยคุ ประชาธิปไตยฉบบั ประชาชน (พ.ศ.2540 – ปัจจุบนั )
กล่าวไดว้ า่ ยคุ น้ีเปน็ เหตกุ ารณ์ทางการเมอื งในยุคปัจจุบนั อนั เปน็ ผลตอ่ เนอ่ื งจากเหตกุ ารณ์
พฤษภาทมิฬ ที่ได้มีการปฏิรูปการเมืองและการปกครอง จัดทารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช 2540 ฉบับท่ี 16 ซึ่งบางครั้งก็เรียกว่า “รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน” เน่ืองจากมาจาก
ความต้องการและเรียกร้องของประชาชนชาวไทย และได้มีการจัดทาประชาพิจารณ์อย่างเป็นระบบ
ส่งผลให้มีการคาดหวังว่ารัฐธรรมนูญฉบับน้ีจะส่งผลให้การเมืองการปกครองของไทยมีการพัฒนาใน
แนวทางประชาธิปไตยได้ตามท่ีควรจะเป็น จนมีผู้กล่าวว่าภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว คงจะไม่มี
เหตุการณ์ปฏิวัติ รัฐประหาร ในการเมืองไทยอีกต่อไป แต่ในความเป็นจริงกลับมิได้เป็นเช่นน้ัน
ภายหลังท่ีได้มีการนารัฐธรรมนูญฉบับที่ 16 ฉบับประชาชนมาใช้ได้เพียงประมาณ 9 ปี ก็เกิดการ
รัฐประหารข้ึนมาอีกครั้งหน่ึง ซึ่งเหตุการณ์คร้ังน้ีได้มีผลกระทบต่อสภาวะทางการเมืองและสังคมไทย
อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะนามาซ่ึงการแบ่งแยกแตกขั้วทางการเมือง และกลายเป็นความรุนแรง
และเกลียดชังกันระหว่างประชาชนไทยด้วยกันเองอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ซ่ึงในปี พ.ศ. 2553
เหตุการณ์ความขัดแย้งดังกล่าวก็ยังมิได้มีท่าทีท่ีจะลดความรุนแรงลงไป ซ่ึงเหตุการณ์ทางการเมืองที่
สาคัญในยคุ ปจั จุบนั มีดงั นี้
เหตุการณร์ ัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ. 2549
เป็นรัฐประหารครั้งที่ 10 ในประเทศไทย เกิดขึ้นในคืนวันท่ี 19 กันยายน พ.ศ. 2549 โดย
คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ซึ่งมี
พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นหัวหน้าคณะ โดยได้มีการยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินของ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี แล้วประกาศกฎอัยการศึกท่ัวราชอาณาจักร
รัฐประหารคร้ังน้ีเกิดขึ้นก่อนการเลือกต้ังทั่วไปซึ่งมีกาหนดจัดขึ้นในเดือนตุลาคม และนับเป็นจุด
เปล่ียนสาคญั ในวกิ ฤตการณท์ างการเมืองท่ีดาเนินมายาวนานนบั ต้งั แต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2548
รัฐประหารดังกล่าวไม่มีการเสียเลือดเน้ือ และไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บ ปฏิกิริยาจาก
นานาชาตินั้นมีตั้งแต่การวิพากษ์วิจารณ์โดยประเทศเชน่ ออสเตรเลยี การแสดงออกถึงความเป็นกลาง
โดยประเทศเช่นสาธารณรัฐประชาชนจีน ไปจนถึงการแสดงความผิดหวังอย่างสหรัฐอเมริกาซึ่งถือว่า
ประเทศไทยเป็นพันธมิตรนอกนาโต และกล่าวว่าการก่อรัฐประหารน้ัน “ไม่มีเหตุผลที่ยอมรับได้”
ภายหลังรัฐประหาร คปค. ได้จัดต้ังรัฐบาลช่ัวคราว โดยมี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ดารงตาแหน่ง
นายกรฐั มนตรี
เหตุการณ์ดังกล่าวมีจุดเริ่มต้นมาจากความขัดแย้งทางด้านความคิดของประชาชนชาวไทย
แบ่งออกเป็น 2 ข้ัวอย่างชัดเจน กล่าวคือ ฝ่ายหน่ึงไม่พอใจการบริหารงานของรัฐบาลนายกทักษิณ
ชนิ วัตร ในประเดน็ ต่าง ๆ โดยเฉพาะในเร่ืองการทจุ ริตคอรัปชนั การเออ้ื ผลประโยชนใ์ ห้พวกพ้อง โดย
จัดต้ังเป็นกลุ่มพันธมิตรพลังประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (People's Alliance for Democracy :
PAD) โดยมีสัญลักษณ์คือสีเหลือง และได้ทาการชุมนุมประท้วง ในขณะท่ีอีกฝ่ายหนึ่งสนับสนุนการ
ทางานของรัฐบาลและต่อต้านการรัฐประหาร คือ กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ
แห่งชาติหรือ นปช. มีสัญลักษณ์คือ เสื้อแดง ดังน้ันจึงเกิดการประทะกันระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมที่
สนับสนุนและคัดค้าน และมีแนวโน้มที่จะเกิดความรุนแรงของเหตุการณ์เพิ่มข้ึนอย่างต่อเน่ือง
นายพชิ าภพ ศรีทองมาศ ครูวทิ ยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ิศ 45
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
(เรียกว่า เป็นการต่อสู้ของกล่มุ เสือ้ เหลืองและกล่มุ เสือ้ แดง) จากสาเหตุดังกล่าวกลุ่มทหารโดยคณะ
ปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) จึงเข้ามายุติ
ความขดั แยง้ โดยอ้างเหตุผลในการรัฐประหาร ดงั น้ี
1. การบรหิ ารราชการแผ่นดนิ โดยรัฐบาลรักษาการปัจจบุ ัน ได้ก่อใหเ้ กิดปัญหาความขัดแยง้
แบง่ ฝ่าย สลายความรู้รกั สามัคคขี องชนในชาติ
2. การบริหารราชการแผ่นดินอันส่อไปในทางทุจริต ประพฤติมิชอบอย่างกว้างขวาง
หน่วยงานองคก์ รอิสระ ถกู ครอบงาทางการเมือง
3. การหมน่ิ เหม่ตอ่ การหม่ินพระบรมเดชานุภาพแห่งองค์พระมหากษัตริย์ ผูท้ รงเป็นทเี่ คารพ
เทิดทูนของปวงชนชาวไทยบอ่ ยคร้ัง
การรัฐประหารดังกล่าว นามาซง่ึ การยกเลิกรฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช
2540 และได้บัญญัติใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2549 ซ่ึงถือว่าเป็น
รัฐธรรมนูญฉบับท่ี 17 ขณะเดียวกันก็ได้ทาการยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับที่ 18
และรา่ งรัฐธรรมนูญดังกล่าวได้เปิดโอกาสใหป้ ระชาชนออกเสียงประชามติในวนั ท่ี 19 สงิ หาคม พ.ศ.
2550 ผลของการออกเสียงประชามตมิ ผี ูเ้ หน็ ชอบ 57.81 % และมีผู้ไมเ่ ห็นชอบ 42.19 %
ภายหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับท่ี 18 พุทธศักราช 2550 ก็
ได้มีการจัดให้มีการเลือกต้ังเป็นการท่ัวไปข้ึนมา ซึ่งพรรคพลังประชาชนได้เสียงข้างมากและเป็นแกน
นาใน การจัดต้ังรัฐบาล โดยมีนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชนเป็นนายกรัฐมนตรี
และนามาซึ่งการเกิดขึ้นของกลุ่มพันธมิตรพลังประชาชนเพ่ือประชาธิปไตย (People's Alliance for
Democracy : PAD) อีกคร้ัง เพื่อทาการต่อต้านโดยเห็นว่า นายสมัคร สุนทรเวช เป็น นอมินี
(ตวั แทน) ของ นายทักษิณ ชนิ วตั ร อดีตนายกรฐั มนตรี โดยกลุ่มพันธมติ รได้กลบั เข้ามาชมุ นุมประท้วง
และในวนั ที่ 26 สิงหาคม 2551 กลมุ่ พนั ธมิตร ฯ ไดบ้ กุ เขา้ ยดึ สถานีโทรทศั น์ NBT และสถานทรี่ าชการ
หลายแห่งจนสุดท้ายเข้ายึดและชุมนุมท่ีหน้าทาเนียบรัฐบาล และจัดต้ังเป็นท่ีมั่นหลักในการขับไล่
รัฐบาล
ต่อมาในวันท่ี 9 กันยายน พ.ศ. 2551 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้ออกน่ังบัลลังก์อ่านคา
วินิจฉัยในกรณีท่ีประธานวุฒิสภาส่งความเห็นของสมาชิกวุฒิสภาและคณะกรรมการการเลือกต้ัง
(กกต.) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความส้ินสุดการเป็นนายกรัฐมนตรีของ นายสมัครตาม
รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 267 ประกอบมาตรา 182 (7) เนื่องจากรับเป็นพิธีกรกิตติมศักดิ์
ของรายการ “ชิมไปบ่นไป” และ “ยกโขยง 6 โมงเช้า” ซ่ึงคณะตุลาการฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ 9 ต่อ 0
เสียง เห็นว่านายสมัครกระทาต้องห้ามขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 267 เร่ือง คุณสมบัติของ
นายกรฐั มนตรี จงึ ทาให้นายสมัครสนิ้ สดุ ความเปน็ นายกรัฐมนตรลี ง
ส่งผลให้ต้องมีการเลอื กนายกรัฐมนตรขี น้ึ มาใหมใ่ นวันที่ 17 กันยายน 2551และ นายสมชาย
วงค์สวัสดิ์ ตัวแทนหัวหน้าพรรคพลังประชาชนในขณะน้ัน ได้รับการเลือกจากสภาผู้แทนราษฎรให้
ดารงตาแหน่งนายกรัฐมนตรีคนท่ี 26 ของประเทศไทย โดยผลการลงคะแนนปรากฏว่านายสมชาย
วงศ์สวัสดิ์ ได้ 298 เสียง ส่วนนายอภิสิทธ์ิ เวชชาชีวะ ได้ 163 เสียง งดออกเสียง 5 เสียง ทาให้นาย
สมชาย ได้รับคะแนนเสียงเกินก่ึงหน่ึงตามรัฐธรรมนูญ จึงได้รับความเห็นชอบให้ดารงตาแหน่ง
นายพชิ าภพ ศรีทองมาศ ครูวิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ิศ 46
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
นายกรฐั มนตรคี นที่ 26 ของประเทศไทย ซึ่งกลมุ่ พันธมิตรพลังประชาชนเพ่อื ประชาธิปไตย (People's
Alliance for Democracy: PAD) ก็ยังคงชุมนุมประท้วงและมีทีท่าในการชุมนุมท่ียาวนานเพิ่มมาก
ขึ้น กระท่ังในที่สุด กลุ่มพันธมิตรก็ได้ทาการยึดสนามบินสุวรรณภูมิเพ่ือกดดันและบีบบังคับให้
นายกรัฐมนตรีสมชาย วงศ์สวัสด์ิ ลาออกจากตาแหน่ง จนประเมินกันว่าการบุกยึดในครั้งน้ันนามาซึ่ง
ความเสยี หายทางเศรษฐกจิ นบั หลายร้อยล้านบาท
และในวันท่ี 2 ธันวาคม 2551 ศาลรัฐธรรมนูญได้อ่านคาวินิจฉัยคดียุบพรรคพลังประชาชน
พรรคชาตไิ ทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตย อันเนอ่ื งมาจากกรณที จุ รติ การเลอื กตั้งของนายยงยทุ ธ ติ
ยะไพรัช จากพรรคพลังประชาชน นายมณเฑียร สงฆ์ประชา จากพรรคชาติไทย และนายสุนทร วิ
ลาวัลย์ จากพรรคมัชฌิมาธิปไตยส่งผลให้ นายสมชาย วงศ์สวัสด์ิ ในฐานะรักษาการหัวหน้าพรรคพลงั
ประชาชนต้องพ้นจากตาแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยปริยาย เหตุการณ์ดงั กลา่ วทาให้จาตอ้ งมีการเลือกต้ัง
นายกรัฐมนตรีอีกครั้งหน่ึง ซ่ึงในคร้ังนี้นายอภิสิทธ์ิ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือก
จากสภาผู้แทนราษฎรให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนท่ี 27 ดว้ ยการสนบั สนุนสาคัญ จาก ส.ส.จากพรรคเพ่ือ
ไทย (พรรคที่สืบทอดต่อจากพรรคพลังประชาชน) สมาชิกพรรคชาติไทยพัฒนา นาโดยนายสนัน่ ขจร
ประศาสน์ (พรรคท่ีสืบทอดต่อจากพรรคชาติไทย) และพรรคมัชฌิมาธิปไตย และกลุ่ม “เพ่ือนเนวิน”
อดีตสมาชิกพรรคพลังประชาชน ส่งผลให้กลุ่มพันธมิตรพลังประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ยุติการ
ชุมนุมและบ้านเมืองเร่ิมกลับเข้าสู่ความสงบเรียบร้อยแต่อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ ความสงบดังกล่าว
ปรากฏว่าคงอยู่ได้ไม่นานเพราะหลังจากบริหารงานของนายกอภิสิทธ์ิ กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตย
ต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. อันเป็นกลุ่มตรงกันข้ามกับรัฐบาลนายกอภิสิทธิก็ได้ทา การ
ชุมนุมประท้วงการบริหารงาน ตามจังหวัดต่าง ๆ ในขณะเดียวกันก็มีการปลุกระ ดมจากอดีต
นายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ผ่านการส่ือสารจากระบบอินเตอร์เน็ตไมว่าจะเป็นการโฟนอิน, วีดีโอ
ล้ิงค์ รวมท้ังการใช้เว็บทวิตเตอร์ (Twitter) และ เฟซบุ๊ค (Facebook) เพ่ือส่ือสารกับผู้ชุมนุมจาก
ต่างประเทศ
กระทั่งในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2553 กลุม่ เส้อื แดงไดม้ ีการระดมกลุ่มผชู้ มุ นุม (เส้ือแดง) จากทกุ
ภมู ภิ าคเขา้ มายงั กรงุ เทพฯ เพ่ือกดดันใหน้ ายกรัฐมนตรีนายอภสิ ิทธิ์ เวชชาชวี ะ ทาการยบุ สภาเพื่อเปิด
โอกาสให้มีการเลือกต้ังใหม่ตามแนวทางประชาธิปไตยที่ควรจะเป็น จนนามาซึ่งการการสลายการ
ชุมนุมท่ีแยกราชประสงค์ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างวันท่ี 13 -19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 ซ่ึง
รัฐบาลได้ส่งกาลังทหารพร้อมอาวธุ สงคราม และรถหุ้มเกราะ เขา้ ปิดล้อมพ้ืนท่ีการชุมนุมของแนวร่วม
ประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) บริเวณแยกราชประสงค์ ทาให้มีผู้เสียชีวิตและ
บาดเจ็บจานวนหลายราย ซ่ึงรวมไปถึงนักข่าวชาวต่างประเทศด้วยเช่นเดียวกัน นอกจากนี้แล้วในฝ่ัง
ผู้ชุมนุมก็ได้มีการเผาอาคารหลายแห่ง กระทั่งเช้าของวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 แกนนากลุ่มผู้ชมุ นุม
จงึ ได้มอบตัวกบั ตารวจและประกาศสลายการชุมนมุ
ภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าว แม้จะมีการสลายการชุมนุมและสามารถจับตัวแกนนากลุ่มผู้
ชมุ นุมได้ แตก่ ไ็ มไ่ ดส้ ง่ ผลให้คะแนนนิยมของรฐั บาลดีข้ึน กลบั ลดต่าลงอย่างต่อเนื่องในท้ายทส่ี ดุ จึงได้มี
การประกาศพระราชกฤษฎีกายุบสภาในวันที่ 10 พฤษภาคม 2554 อันส่งผลต่อการเลือกตั้งการ
เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ .ศ. 2554 ซ่ึงถือเป็นการเลือกต้ัง
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการท่ัวไปครั้งท่ี 26 ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
นายพิชาภพ ศรีทองมาศ ครวู ิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชูทศิ 47
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
พุทธศักราช 2550 ซ่ึงกาหนดให้มีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ในการเลือกคร้ังนี้มีผู้มี
สิทธเิ์ ลือกตง้ั ออกมาใชส้ ทิ ธิ์ทงั้ สิ้น 75.03% จากจานวนผมู้ สี ิทธิเลอื กตัง้ 46,921,682 คน พรรคที่ได้รับ
เลือกต้ัง ส.ส.แบบบัญชีรายช่ือมากที่สุดคือ พรรคเพื่อไทย 15,744,190 คะแนน และรองลงมาคือ
พรรคประชาธิปัตย์ 11,433,501 คะแนน ผลปรากฏว่าพรรคเพื่อไทยได้ท่ีนั่งผู้แทนราษฎรเกินกึ่งหนึ่ง
265 ทส่ี ง่ ผล ใหน้ างสาวย่ิงลกั ษณ์ ชนิ วัตร เปน็ นายกรฐั มนตรีคนท่ี 28 และนับเปน็ นายกรฐั มนตรีหญิง
คนแรกของประเทศไทย
ภายใต้การบริหารงานของนายกรัฐมนตรี ย่ิงลักษณ์ชินวัตร ได้มีแนวนโยบายที่สาคัญได้แก่
นโยบายจานาราคาข้าว, นโยบายการขึ้นค่าแรง 300 บาท และ 15,000 บาท สาหรับผู้สาเร็จ
การศึกษาในระดับปริญญาตรี, นโยบายจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตเพ่ือใช้ในการศึกษา รวมถึง
นโยบายรถยนต์คันแรก เป็นต้น ซึ่งนโยบายดังกล่าวได้รับท้ังการสนับสนุนและการต่อต้านจาก
ประชาชนซึ่งยังคงมีความขัดแย้งในทางการเมืองคุกรุ่นภายในอยู่เสมอ นอกจากนี้ภายใต้การ
บริหารงานของนายกย่ิงลักษณ์ ชินวัตร ก็ได้พบกับปัญหาและอุปสรรคในการบริหารงานหลากหลาย
ประการไม่ว่าจะเป็น ปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น ปัญหามหาอุทกภัยในช่วงปลายปี พ.ศ.2554 และที่
สาคญั ที่สง่ ผลกระทบตอ่ การบรหิ ารงานนั่นคือ การเสนอร่างพระราชบญั ญตั นิ ิรโทษกรรมแกผ่ ู้ซ่งึ
กระทาความผิดเน่ืองจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน ซึ่งมีกลุ่ม
คนต่อต้านและคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมดังกล่าวเป็นจานวนมาก นามาซึ่งการจัดต้ังคณะกรรมการ
ประชาชนเพื่อการเปล่ียนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยท่ีสมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็น
ประมุข หรือ (กปปส.) ซึ่งประกอบด้วย ตัวแทนกลุ่มองค์กรประชาชน ในสาขาอาชีพต่าง ๆ เช่นกลุ่ม
นักวิชาการ เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) กลุ่มประชาคมนักธุรกิจสีลม
เครือข่ายนักธุรกิจเพ่ือประชาธิปไตยกองทัพธรรม กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ (กปท.)
สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสมั พันธ์ (สรส.) เป็นต้นโดยมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นเลขาธกิ ารของ
กลุ่ม โดยมีวตั ถุประสงค์ท่ีสาคัญในการขับไล่รฐั บาล
กระทั่งในท่ีสุดได้มีการประกาศยุบสภาเพื่อเข้าสู่กระบวนการเลือกต้ังอีกครั้งในวันที่ 9
ธันวาคม พ.ศ. 2556 และได้กาหนดใหม้ ีการเลือกตง้ั ทั่วไปในวันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2557 ซง่ึ
ก็ได้ถูกคัดค้านและขัดขวางการเลือกตั้งจากกลุ่ม กปปส. และผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลรกั ษาการ และ
ไดม้ ีการย่ืนใหศ้ าลรัฐธรรมนูญวนิ ิจฉยั วา่ พระราชกฤษฎกี ายุบสภาผแู้ ทนราษฎรไม่ชอบด้วยรฐั ธรรมนูญ
ต่อมาวันที่ 21 มีนาคม 2557 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยด้วยคะแนนเสียงหกต่อสามว่า เม่ือพระราช
กฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรกาหนดให้มีการเลือกต้ังในวันท่ี 2 กุมภาพันธ์ 2557 แต่การเลือกต้ังไม่
สามารถแล้วเสร็จทั่วประเทศภายในวันดงั กล่าวได้ พระราชกฤษฎีกาจึงขัดต่อรฐั ธรรมนูญ มาตรา 108
วรรคสอง ที่กาหนดให้การเลือกตัง้ ต้องเป็นวันเดียวกันทั่วประเทศ และเมื่อพระราชกฤษฎีกาในส่วนที่
เกี่ยวกับการเลือกตง้ั ไมช่ อบดว้ ยรฐั ธรรมนญู การเลือกต้งั นจ้ี งึ ไม่ชอบด้วยรฐั ธรรมนูญไปดว้ ย
นอกจากนี้ยังได้มีการยื่นคาร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ถอดถอนนายกรัฐมนตรีจากตา แหน่ง
จากกรณีท่ีได้มีคาสั่งย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรีจากตาแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติไปเป็นที่
ปรึกษานายกรัฐมนตรี และแต่งตั้งให้พลตารวจเอก วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ที่ออกจากตาแหน่ง
ผู้บัญชาการตารวจแห่งชาติไปเป็นเลขาธิการฯ แทน โดยมองว่าการย้ายตาแหน่งดังกล่าว เป็นการใช้
อานาจแทรกแซงของรัฐบาล เพื่อเอ้ือประโยชน์ในทางการเมือง ซึ่งรัฐธรรมนูญห้ามมิให้ผู้แทนราษฎร
นายพชิ าภพ ศรที องมาศ ครวู ทิ ยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชูทศิ 48
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
สมาชิกวุฒิสภาหรือรัฐมนตรี แทรกแซงกับกิจการปกติของรัฐบาล เพ่ือประโยชน์ของตนเอง ผู้อ่ืนหรือ
พรรคการเมือง รวมทั้งการบรรจุ แต่งตั้ง โยกย้าย โอน เล่ือนตาแหน่ง ลดตาแหน่งข้าราชการ หรือให้
ข้าราชการพ้นจากตาแหน่ง ซ่ึงศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยและมีมติโดยเอกฉันท์ให้ถอดถอน
นายกรฐั มนตรีจากตาแหน่ง นอกจากนี้ศาลยังถอดถอนรฐั มนตรีอื่นอีกเก้าคนท่ีลงมตเิ ห็นชอบการย้าย
น้ี โดยคณะรัฐมนตรีรักษาการได้เลือก นายนิวัฒน์ธารง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้ปฏิบัติหน้าที่รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี และภายหลัง
จากนัน้ ในวันท่ี 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 พลเอกประยทุ ธ์ จนั ทรโ์ อชา ผ้บู ัญชาการทหารบก ประกาศ
กฎอัยการศึกในรูปของประกาศกองทัพบก ต้ังแต่เวลา 03:00 นาฬิกา ด้วยการอาศัยอานาจตามกฎ
อัยการศกึ พ.ศ. 2457 หลังประกาศกฎอยั การศกึ แลว้ พลเอกประยทุ ธ์ ส่ังยบุ ศอ.รส. ซึง่ ตัง้ โดยรฐั บาล
รกั ษาการ แล้วตั้งกองอานวยการรกั ษาความสงบเรียบร้อย (กอ.รส.) โดยเปน็ ผบู้ ังคบั บัญชาเอง กอ.รส.
มีหน้าท่ี "เพ่ือให้การ รักษาความสงบเรียบร้อยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และนาความสงบสุข
กลับคืนสู่ประชาชนทุกกลุ่มทุกฝ่ายโดยเร็ว" และได้รับอานาจให้ "ป้องกันระงับ ยับยั้ง และแก้ไข
สถานการณ์ท่ีส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและความม่ันคงของประเทศ ในทุกท้องท่ีของ
ประเทศ" และสามารถเชิญตัวบุคคลมารายงานตัวได้ พลเอกประยุทธ์ยังส่ังให้กาลังพลตารวจ
กองทัพเรือ กองทพั อากาศและกระทรวงกลาโหมอย่ใู นบังคับของ กอ.รส
จนกระท่ังวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เวลา 16:30 น. จึงได้มีการรัฐประหารในประเทศไทย
พ.ศ. 2557 โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อันมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้า
คณะหลังรัฐประหาร มีการประกาศใหร้ ัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช 2550 สิ้นสดุ ลง
ยกเว้นหมวด 2 โดยอานาจในการบริหารงานท้ังหมดนั้นอยู่ภายใต้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ
(คสช.)
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 เป็นรัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจักรไทย ฉบับที่ 19 จัดร่างโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คณะผู้ยึดอานาจการ
ปกครองหลังรัฐประหารเมอื่ วันท่ี 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ซ่ึงพระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภูมิ
พลอดุลยเดชพระราชทานพระบรมราชานุญาตและลงพระปรมาภิไธยเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ.
2557 โดยมพี ลเอก ประยทุ ธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหวั หนา้ คณะรักษาความสงบแห่งชาตเิ ป็นผ้รู ับสนอง
พระบรมราชโองการ รัฐธรรมนูญฉบับน้ีเปิดทางให้สถาปนาสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อใช้อานาจนิติ
บัญญัติ คณะรัฐมนตรีช่ัวคราวเพ่ือรับผิดชอบการบริหารราชการแผ่นดิน สภาปฏิรูปแห่งชาติ (และ
ต่อมาสภาขับเคล่ือนการปฏิรปู ประเทศ) เพื่อดาเนินการปฏิรูปประเทศอย่างกว้างขวางและอนุมัติรา่ ง
รฐั ธรรมนญู ฉบบั ใหม่ และกรรมาธิการร่างรฐั ธรรมนญู เพ่อื รา่ งรฐั ธรรมนญู ฉบบั ใหม่
รัฐธรรมนูญฉบับน้ีถูกวิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าไม่เป็นประชาธิปไตยและยิ่งเสริมอานาจของ
ทหาร โดยมาตรา 48 ซึ่งนิรโทษกรรมความผิดของทหารท้ังในอดีตและอนาคต และใหส้ ิทธคิ ณะรักษา
ความสงบแห่งชาติในการออกคาส่ังใดๆ เพื่อการปฏิรูปหรือความมั่นคง และคาสั่งเหล่านั้นถือว่าชอบ
ด้วยกฎหมาย มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับน้ีที่ให้อานาจแก่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
เหนืออานาจของฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการซ่ึงคล้ายคลึงกับธรรมนูญการปกครอง
ราชอาณาจักร พทุ ธศักราช 2502 มาตรา 17 ทจี่ อมพล สฤษด์ิ ธนะรัชต์ เป็นผรู้ า่ ง ทาใหผ้ เู้ ผดจ็ การสั่ง
นายพิชาภพ ศรีทองมาศ ครวู ิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ศิ 49
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
การฆ่าคนนอกกระบวนการยุติธรรมได้ โดยจอมพลสฤษดิ์ ส่ังประหารชีวิตบุคคลจานวนมากที่ถูก
กล่าวหาความผิดอาญาโดยไมม่ ีการไต่สวนในศาลอยา่ งเหมาะสม
รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช 2560 เป็นรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย
ฉบับท่ี 20 ซึ่งจัดร่างโดยคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ โดยนายมีชัย ฤชุพันธ์ุ (ประธาน) ในระหว่าง
พ.ศ. 2557–2560 ภายหลังการรัฐประหารในประเทศโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เม่ือวันที่ 22
พฤษภาคม พ.ศ. 2557 โดยรัฐธรรมนูญฉบับนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพ-
ยวรางกูร ทรงลงพระปรมาภิไธยเมอื่ วนั ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2560
รฐั บาลในระบอบประชาธปิ ไตย
นับแต่ต้ังประเทศไทยได้เปล่ียนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็น
ประชาธปิ ไตย เมอ่ื 24 มถิ นุ ายน 2475 ประเทศไทยเราได้มรี ฐั บาลมาแลว้ จนถงึ ปจั จบุ ัน 61 ชุด คอื
คณะรัฐมนตรีชุดที่ 1 (28 มิถุนายน – 9 ธันวาคม 2475)
พระยามโนปกรณน์ ติ ิธาดา (กอ้ น หุตะสิงห์) เป็นประธานกรรมการราษฎร หรอื นายกรัฐมนตรี
ส้ินสุดวาระเนื่องจากการประกาศและบังคับใช้“รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช
2475” เม่อื วันที่ 10 ธนั วาคม 2475
คณะรัฐมนตรชี ดุ ท่ี 2 (10 ธนั วาคม 2475 – 1 เมษายน 2476)
พระยามโนปกรณ์นิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) เป็นนายกรัฐมนตรี ส้ินสุดวาระเน่ืองจากมี
พระราชกฤษฎีกาใหป้ ิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรและต้ังคณะรฐั มนตรีชุดใหม่
คณะรัฐมนตรีชดุ ท่ี 3 (1 เมษายน – 20 มถิ ุนายน 2476)
พระยามโนปกรณ์นิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) เป็นนายกรัฐมนตรี ส้ินสุดวาระเนื่องจากการ
รัฐประหาร เม่ือวันที่ 20 มิถุนายน 2476 ของ “คณะทหารบก ทหารเรือ” อันมีนายพันเอกพระยา
พหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธนิ ) เป็นหัวหนา้ มนี ายพนั โทหลวงพิบูลสงคราม (แปลก ขีตตะสังคะ)
เป็นเลขานุการฝ่ายทหารบก นายนาวาโทหลวงศุภชลาศัย (บุค ศุภชลาศัย) เป็นเลขานุการฝ่าย
ทหารเรือ
คณะรัฐมนตรีชดุ ที่ 4 (24 มถิ ุนายน – 25 ธนั วาคม 2476)
นายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) เป็นนายกรัฐมนตรี ส้ินสุดวาระตาม
“รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475” เพราะการเลือกตั้งท่ัวไป เม่ือวันที่
15 พฤศจกิ ายน 2476
คณะรฐั มนตรชี ุดที่ 5 (16 ธันวาคม 2476 – 21 กันยายน 2477)
นายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) เป็นนายกรัฐมนตรี สิ้นสุดวาระ
เน่ืองจากสภาผู้แทนราษฎรไม่เห็นด้วยกับการเซ็นสัญญาตกลงระหว่างประเทศเร่ืองการควบคุม
จากัดยาง
คณะรฐั มนตรชี ุดที่ 6 (22 กนั ยายน 2477 – 9 สงิ หาคม 2480)
นายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) เป็นนายกรัฐมนตรี ส้ินสุดวาระ
เน่ืองจากกระทู้ถามเรื่องเก่ียวกับการขายท่ีดินของพระคลังข้างท่ีของนายเลียง ไชยกาล สมาชิกสภา
นายพชิ าภพ ศรที องมาศ ครวู ทิ ยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชูทิศ 50
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
ผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี และญัตติเปิดอภิปรายท่ัวไป เพ่ือลงมติไม่ไว้วางใจของนายไต๊
ปาณิกบุตร สมาชิกสภาจังหวัดพระนคร นายกรัฐมนตรีจึงได้ลาออกเพื่อเปิดโอกาสให้ทุกฝ่าย
ดาเนินการสอบสวน
คณะรฐั มนตรีชดุ ที่ 7 (9 สิงหาคม – 20 ธันวาคม 2480)
นายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) เป็นนายกรัฐมนตรี ส้ินสุดวาระตาม
“รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475” เพราะการเลือกตั้งท่ัวไปเมื่อวันท่ี 7
พฤศจกิ ายน 2480
คณะรฐั มนตรชี ุดที่ 8 (21 ธนั วาคม 2480 – 11 กันยายน 2481)
นายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) เป็นนายกรัฐมนตรี สิ้นสุดวาระตาม
“รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475” เพราะการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 12
พฤศจิกายน 2481 ทั้งนี้เน่ืองจากรัฐบาลแพ้มติสภาผแู้ ทนราษฎร ในญัตติขอให้แกไ้ ขข้อบังคบั ของสภา
ผ้แู ทนราษฎร เกย่ี วกบั วิธีการเสนอรา่ งงบประมาณของนายถวิล อุดล สมาชกิ สภาจังหวัดร้อยเอ็ดและ
พวก เม่อื วันที่ 10 กันยายน 2481 จึงไดป้ ระกาศยบุ สภาเม่อื วนั ท่ี 11 กนั ยายน 2481
คณะรัฐมนตรีชดุ ที่ 9 (16 ธันวาคม 2481 – 6 มนี าคม 2485)
นายพันเอกหลวงพิบูลสงคราม (แปลก ขีตตะสังคะ) เป็นนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดวาระเพราะ
รัฐบาลลาออก เพ่ือเปิดโอกาสให้มีการเปลี่ยนแปลงคณะรัฐมนตรีเสยี ใหม่ให้เหมาะสมกับสถานการณ์
เน่ืองจากเม่ือวันที่ 8 ธันวาคม 2484 ญี่ปุ่นขอเดินทัพผ่านไทย และเมื่อวันท่ี 25 มกราคม 2485
ประเทศไทยได้ประกาศสงครามกบั บริเตนใหญ่และสหรฐั
คณะรัฐมนตรีชุดท่ี 10 (7 มีนาคม 2485 – 24 กรกฎาคม 2487)
จอมพลแปลก พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี สิ้นสุดวาระเน่ืองจากสภาผู้แทนราษฎรไม่
อนุมัตพิ ระราชกาหนดระเบียบราชการบรหิ ารนครบาลเพชรบรู ณ์ เม่ือวนั ท่ี 20 กรกฎาคม 2487 และ
ไม่อนุมัติพระราชกาหนดจัดสร้างพุทธบุรีมณฑล เม่ือวันท่ี 22 กรกฎาคม 2487 นายกรัฐมนตรีจึงได้
ลาออก
คณะรฐั มนตรชี ุดท่ี 11 (1สิงหาคม 2487 – 17 กรกฎาคม 2488)
นายพันตรีควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี สิ้นสุดวาระเน่อื งจากสงครามยุติ นายกรัฐมนตรี
จึงได้ลาออก “เพ่ือเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความเหมาะสมในอันที่จะยังมิตรภาพและดาเนินการเจรจาเพ่ือ
ความวัฒนาถาวรของชาติ เขา้ ดารงตาแหน่งนายกรัฐมนตรีสืบไป”
คณะรัฐมนตรีชุดที่ 12 (31 สงิ หาคม – 17 กันยายน 2488)
นายทวี บุญเกตุ เป็นนายกรัฐมนตรี สิ้นสุดวาระเนื่องจากนายกรัฐมนตรีลาออกด้วยเหตุผล
เพราะ “ภารกจิ เรง่ ท่ีรัฐบาลน้พี งึ ปฏิบตั ิได้สาเร็จลุลว่ งไปแล้ว ตอ่ ไปกเ็ ปน็ ปญั หาการเมือง การทาความ
เข้าใจอนั ดขี องฝา่ ยสหประชาชาติ จงึ เปิดโอกาสใหผ้ ้ทู ่ีเหมาะสมได้เขา้ บรหิ ารประเทศสืบแทนต่อไป”
คณะรฐั มนตรีชุดท่ี 13 (17 กันยายน 2488 – 24 มกราคม 2489)
ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี ส้ินสุดวาระตาม “รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร
ไทย แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2482 แก้ไขเพิ่มเติมพุทธศักราช 2483 และแก้ไขเพิ่มเติมพุทธศกั ราช
2485” เพราะการเลอื กต้ังเมอื่ วนั ที่ 6 มกราคม 2489 หลังจากยบุ สภาเมื่อวันที่ 15 ตลุ าคม 2488
นายพิชาภพ ศรที องมาศ ครวู ทิ ยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชูทิศ 51
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
คณะรัฐมนตรชี ดุ ที่ 14 (13 มกราคม – 18 มีนาคม 2489)
นายพันตรีควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี สิ้นสุดวาระเนื่องจากแพ้มติสภาผู้แทนราษฎร
เร่ืองพระราชบัญญัติคุ้มครองค่าใช้จ่ายของประชาชนในภาวะคับขัน ของนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์
สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร จงั หวดั อบุ ลราชธานี และพวก นายกรฐั มนตรจี งึ ได้ลาออก
คณะรฐั มนตรีชุดท่ี 15 (24 มนี าคม – 8 มถิ ุนายน 2489)
นายปรีดี พนมยงค์ เป็นนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดวาระตามรัฐธรรมนูญภายหลังการประกาศและ
บังคับใช้ “รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489” เม่ือวันท่ี 10 พฤษภาคม 2489
และ เลอื กตงั้ สมาชิกวุฒิสภา เม่อื วันท่ี 24 พฤษภาคม 2489
คณะรัฐมนตรชี ดุ ที่ 16 (11 มิถนุ ายน – 21 สงิ หาคม 2489)
นายปรีดี พนมยงค์ เป็นนายกรัฐมนตรีส้ินสุดวาระเน่ืองจากพระบาทสมเด็จพระ
เจ้าอยู่หัวอนันทมหิดล รัชกาลท่ี 8 เสด็จสวรรคต นายกรัฐมนตรีจึงได้ลาออกโดยที่ยังไม่ทันได้ตั้ง
คณะรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีชดุ ท่ี 17 (23 สิงหาคม 2489 – 30พฤษภาคม 2490)
นายพลเรือตรีถวัลย์ ธารงนาวาสวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดวาระเนื่องจาก
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์ได้เสนอญัตติเปิดอภิปราย ทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ
ระหว่างวนั ท่ี 19 – 27 พฤษภาคม 2490 แมร้ ัฐบาลจะไดร้ ับความไวว้ างใจดว้ ยคะแนน 86 ตอ่ 55 งด
ออกเสียง 16 แตน่ ายกรฐั มนตรีกย็ ืน่ ใบลาออกเพ่ือใหโ้ อกาสได้มีการปรับปรุงคณะรฐั มนตรีใหม่
คณะรฐั มนตรีชุดที่ 18 (30 พฤษภาคม – 8 พฤศจกิ ายน 2490)
นายพลเรือตรีถวลั ย์ ธารงนาวาสวสั ดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ส้ินสดุ วาระเนือ่ งจากการรฐั ประหาร
ของ “คณะทหารของชาติ” เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 โดยพลโทผิน ชุณหะวัณ นายทหาร
กองหนนุ เปน็ หัวหนา้
คณะรัฐมนตรีชดุ ที่ 19 (10 พฤศจิกายน 2490 – 6 กุมภาพันธ์ 2491)
นายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ส้ินสุดวาระตาม “รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
(ฉบบั ชัว่ คราว) พทุ ธศักราช 2490” เพราะการเลือกตั้งท่ัวไปเมื่อวนั ท่ี 29 มกราคม 2491
คณะรฐั มนตรชี ดุ ท่ี 20 (21 กุมภาพนั ธ์ – 8 เมษายน 2491)
นายควง อภยั วงศ์ เปน็ นายกรฐั มนตรี สิ้นสดุ วาระเน่อื งจาก “คณะรัฐประหาร 8 พฤศจกิ ายน
2490” ทารฐั ประหารเงยี บ บบี บงั คบั ให้ลาออก
คณะรัฐมนตรีชุดท่ี 21 (8 เมษายน 2491 – 24 มิถุนายน 2493)
จอมพลแปลก พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี สิ้นสุดวาระตามรัฐธรรมนูญภายหลังการ
ประกาศและบังคับใช้ “รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492” เม่ือวันท่ี 23 มีนาคม
2492 และการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพ่ิมตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ เม่ือวันท่ี
5 มิถนุ ายน 2492
คณะรัฐมนตรีชดุ ท่ี 22 (25 มิถุนายน 2492 – 28 พฤศจิกายน 2494)
จอมพลแปลก พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี สิ้นสุดวาระเนื่องจากการรัฐประหารของ
“คณะรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490” ซึ่งตั้งช่ือใหม่ว่า “คณะทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ
นายพิชาภพ ศรที องมาศ ครูวทิ ยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชูทศิ 52
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
ตารวจ ผู้ก่อการเปล่ียนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 คณะรัฐประหาร พ.ศ. 2490” มีพลเอกผิน
ชณุ หะวณั ผ้บู ัญชาการทหารบกเป็นหวั หน้า
คณะรัฐมนตรีชดุ ท่ี 23 (29 พฤศจกิ ายน – 5 ธันวาคม 2494)
จอมพลแปลก พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ส้ินสุดวาระภายหลังจากการ “คณะบริหาร
ประเทศชั่วคราว” ของ “คณะทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตารวจ ผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการ
ปกครอง พ.ศ. 2475 คณะรัฐประหาร พ.ศ. 2490” รับสนองพระบรมราชโองการประกาศให้สภา
ผ้แู ทนราษฎรประกอบด้วยสมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎรประเภทที่ 2
คณะรัฐมนตรชี ดุ ท่ี 24 (16 ธนั วาคม 2494 – 24 มนี าคม 2495)
จอมพลแปลก พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี สิ้นสุดวาระตาม “รัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495” และการเลือกตั้งเม่ือวันที่
26 กมุ ภาพนั ธ์ 2495
คณะรฐั มนตรชี ุดที่ 25 (24 มนี าคม 2495 – 25 กมุ ภาพนั ธ์ 2500)
จอมพลแปลก พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ส้ินสุดวาระตาม “รัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช 2475 แกไ้ ขเพิ่มเตมิ พุทธศักราช 2495” เพราะการเลอื กตั้งทัว่ ไปเม่ือ
วันที่ 26 กุมภาพนั ธ์ 2500
คณะรัฐมนตรีชุดท่ี 26 (21 มีนาคม – 16 กนั ยายน 2500)
จอมพลแปลก พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ส้ินสุดวาระเน่ืองจากการ รัฐประหาร เม่ือ
วันท่ี 16 กันยายน 2500 ของกลุ่มบุคคลที่เรียกตนเองว่า “คณะทหาร” อันมีจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
ผบู้ ญั ชาการทหารบก เป็นหวั หนา้
คณะรัฐมนตรีชุดท่ี 27 (21 กนั ยายน – 26 ธนั วาคม 2500)
นายพจน์ สารสิน เป็นนายกรัฐมนตรี สิ้นสุดวาระตาม “รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพ่ิมเติม พุทธศักราช 2495” เพราะการเลือกต้ังท่ัวไปเม่ือวันที่ 15 ธันวาคม
2500
คณะรฐั มนตรีชุดที่ 28 (1 มกราคม – 20 ตุลาคม 2501)
พลโทถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี ส้ินสุดวาระเน่ืองจากนายกรัฐมนตรีเห็นว่า “การ
บริหารราชการแผน่ ดินไม่อาจดาเนินไปใหบ้ รรลุผลตามความปรารถนาได้” จึงได้ลาออก และเข้าร่วม
ทารัฐประหารกับ “คณะปฏิวัติ” อันมีจอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดทหารบก เป็น
หวั หน้า ในคา่ วนั ท่ี 20 ตลุ าคม 2501
คณะรัฐมนตรชี ดุ ท่ี 29 (9 กุมภาพันธ์ 2502 – 8 ธนั วาคม 2506)
จอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี สิ้นสุดวาระเน่ืองจากการอสัญกรรมของ
จอมพลสฤษ ธนะรชั ด์ิ นายกรฐั มนตรี
คณะรัฐมนตรีชุดท่ี 30 (9 ธันวาคม 2506 – 7 มนี าคม 2512)
พลเอกถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี สิ้นสุดวาระตาม ”รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั ร
ไทย พุทธศกั ราช 2511” เพราะการเลือกตั้งทว่ั ไป เมอ่ื วันท่ี 10 กมุ ภาพนั ธ์ 2512
นายพชิ าภพ ศรีทองมาศ ครวู ทิ ยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชูทศิ 53
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
คณะรัฐมนตรีชดุ ที่ 31 (7 มนี าคม 2512 – 26 พฤศจกิ ายน 2514)
จอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี สิ้นสุดวาระเน่ืองจากการรัฐประหารเม่ือวันท่ี 17
พฤศจิกายน 2514 ของ “คณะปฏิวัติ” อันมรจอมพลถนอม กิตติขจร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็น
หัวหนา้
คณะรัฐมนตรชี ุดที่ 32 (18 ธันวาคม 2515 – 14 ตลุ าคม 2516)
จอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี สิ้นสุดวาระเพราะพลังนักศึกษา ประชาชน
ชุมนุมกันขับไล่ เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 กระทั่งไม่สามารถอยู่ในตาแหน่งได้ จึงจาใจต้องลาออก
และเดินทางออกนอกประเทศ
คณะรัฐมนตรชี ุดท่ี 33 (16 ตุลาคม 2516 – 22 พฤษภาคม 2517)
นายสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี สิ้นสุดวาระเน่ืองจากนายกรัฐมนตรีลาออกด้วย
เหตุผลว่า “สถานการณ์ไม่เอื้ออานวยให้ข้าพเจ้าและรัฐบาลน้ีคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีการ
ประกาศใช้รฐั ธรรมนญู ”
คณะรฐั มนตรชี ุดท่ี 34 (30 พฤษภาคม 2517 – 14 กมุ ภาพนั ธ์ 2518)
นายสัญญา ธรรมศักด์ิ เป็นนายกรัฐมนตรี สิ้นสุดวาระตาม “รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร
ไทย พทุ ธศักราช 2517” เพราะการเลอื กตัง้ ทั่วไป เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2518
คณะรฐั มนตรชี ุดที่ 35 (21 กุมภาพันธ์ – 14 มีนาคม 2518)
ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี สิ้นสุดวาระตาม “รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร
ไทย พทุ ธศกั ราช 2517” เนื่องจากไม่ได้รับความไวว้ างใจจากสภาผ้แู ทนราษฎร
คณะรฐั มนตรชี ุดท่ี 36 (17 มนี าคม 2518 – 12 มกราคม 2519)
ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี ส้นิ สุดวาระตาม “รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร
ไทย พุทธศักราช 2517” เพราะการเลือกต้ังท่ัวไปเมื่อวันท่ี 4 เมษายน 2519 ภายหลังการยุบสภา
ผูแ้ ทนราษฎรเม่ือวนั ที่ 12 มกราคม 2519
คณะรฐั มนตรชี ุที่ 37 (21 เมษายน – 23 กันยายน 2519)
ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นนายกรฐั มนตรี ส้นิ สดุ วาระเพราะนายกรฐั มนตรลี าออก
คณะรฐั มนตรชี ุดที่ 38 (25 กนั ยายน – 5 ตุลาคม 2519)
ม.ร.ว. เสนยี ์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี สนิ้ สุดวาระเนอ่ื งจากรัฐประหารเม่ือวนั ท่ี 6 ตลุ าคม
2519 ของ “คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน” อนั มี พลเรอื เอกสงดั ชลออยู่ เป็นหัวหนา้
คณะรฐั มนตรีชดุ ที่ 39 (22 ตุลาคม 2519 – 19 ตุลาคม 2520)
นายธานินทร์ กรยั วเิ ชยี ร เป็นนายกรฐั มนตรี สิ้นสดุ วาระเน่ืองจากการทารัฐประหาร เม่อื 20
ตุลาคม 2520 ของ “คณะปฏิวัติ” อนั มพี ลเรือเอกสงดั ชลออยู่ เป็นหวั หนา้
คณะรฐั มนตรีชุดท่ี 40 (11 พฤศจกิ ายน 2520 – 12 พฤษภาคม 2522)
พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เป็นนายกรัฐมนตรี ส้ินสุดวาระตาม “รัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2521” เพราะการเลือกตง้ั ทวั่ ไปเมอ่ื วันท่ี 22 เมษายน 2522
คณะรฐั มนตรีชุดที่ 41 (12 พฤษภาคม 2522 – 3 มีนาคม 2523)
พลเอกเกรยี งศกั ด์ิ ชมะนนั ทน์ เป็นนายกรฐั มนตรี สิน้ สดุ วาระเนอ่ื งจากนายกรัฐมนตรลี าออก
นายพิชาภพ ศรที องมาศ ครวู ิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชูทิศ 54
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
คณะรฐั มนตรชี ดุ ที่ 42 (3 มนี าคม 2523 – 30เมษายน 2526)
สืบเน่ืองมาจากการท่ี พลเอกเกรียงศักด์ิ ชมะนันทน์ ได้ประกาศลาออกจากตาแหน่ง
นายกรัฐมนตรี เม่ือวันท่ี 29 กุมภาพันธ์ 2523 ต่อมาได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งต้ัง
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ผบู้ ญั ชาการทหารบก ดารงตาแหนง่ นายกรฐั มนตรสี ืบแทน สนิ้ สดุ ตามวาระ
“รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช 2521” โดยการยบุ สภาใหม้ ีการเลือกต้ังใหม่
คณะรัฐมนตรชี ุดที่ 43 (30 เมษายน 2526 – 5 สิงหาคม 2529)
กรณีเกิดการขัดแย้งระหว่างพรรคการเมืองรว่ มรฐั บาล คือ พรรคกิจสังคมและพรรคชาติไทย
เกี่ยวกับการจัดซื้อน้ามันจากประเทศซาอุดิอาระเบีย ต่อมาได้มีรัฐมนตรีจานวนมากลาออกจาก
ตาแหน่ง เพื่อเปิดโอกาสให้นายกรัฐมนตรีปรับปรุงคณะรัฐมนตรีเสียใหม่เม่ือ 11 มีนาคม 2524
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งต้ังพลเอกเปรม ติณสูลานนท์
เป็นนายกรฐั มนตรี อีกครัง้ หนงึ่ (เปรม 2)
คณะรฐั มนตรีคณะนี้สิ้นสุดลงจากการปรับปรงุ คณะรฐั มนตรีของพลเอกเปรมอีกคร้งั หนงึ่
เมื่อ 19 ธันวาคม 2524 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งต้ัง พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็น
นายกรัฐมนตรอี กี ครง้ั หน่ึง (เปรม 3) คณะรัฐมนตรีชุดน้ีสน้ิ สดุ ลงโดยการปรับปรงุ คณะรัฐมนตรีของพล
เอกเปรม
พลเอกเปรม ตณิ สูลานนท์ ได้รับพระมหากรุณาธคิ ุณโปรดเกล้าฯ แต่งต้งั ใหเ้ ป็นนายกรัฐมนตรี
(เปรม 4) ท่ีเป็นผลมาจากการปรับปรุงคณะรัฐมนตรี และรัฐมนตรีคณะน้ีได้สิ้นสุดลง โดยการมีพระ
ราชกฤษฎกี ายุบสภา เพ่อื ใหม้ ีการไดเ้ ลือกตงั้ ใหม่ในวันที่ 27 กรกฎาคม 2529
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ หลังจากมีการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อ 27 กรกฎาคม 2529 ก็ได้ดารง
ตาแหน่งนายกรัฐมนตรี (เปรม 5) เม่ือวันท่ี 5 สิงหาคม 2529 และคณะรัฐมนตรีชุดน้ีสิ้นสุดลง เพราะ
การยุบสภาอีกครั้ง
คณะรัฐมนตรีชดุ ท่ี 44 (5สงิ หาคม 2529-4 สิงหาคม 2531)
ภายหลังการเลือกต้ังทั่วไปเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2531 ผลจาการดาเนินการทางการเมือง
รวมพรรคการเมืองจานวนหน่ึงเพ่ือทาหน้าที่รัฐบาล พรรคชาติไทยซ่ึงมีที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรมาก
ที่สุดทาหน้าท่ีเป็นแกนนาในการจัดตั้งรัฐบาล เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2531 พลตรีชาติชาย ชุณหะวัน
ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งต้ังเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 17 และต่อมาเม่ือวันที่ 9
สงิ หาคม 2531 จึงมพี ระบรมราชโองการแตง่ ต้ังรัฐมนตรี
คณะรฐั มนตรีชุดที่ 45 (4 สิงหาคม2531- 9 ธนั วาคม 2533)
พลตรชี าตชิ าย ชุณหะวัณ เป็นนายกรฐั มนตรี
คณะรฐั มนตรชี ดุ ท่ี 46 (9 ธนั วาคม 2533 – 23 กุมภาพันธ์ 2534)
พลตรชี าตชิ าย ชุณหะวัณ เปน็ นายกรัฐมนตรี
คณะรฐั มนตรีชุดท่ี 47 (2 มีนาคม 2534 – 7 เมษายน 2535)
นายอานนั ท์ ปันยารชนุ เป็นนายกรฐั มนตรี ประกาศพระบรมราชโองการ เม่อื วันท่ี 2 มีนาคม
2535 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงลงพระปรมาภิไธย ใน
ประกาศ พลเอกสุนทร คงสมพงษ์ ประธานคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติเป็นผู้ลงนามรับ
นายพชิ าภพ ศรีทองมาศ ครวู ทิ ยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ศิ 55
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
สนองพระบรมราชโองการ และในวันที่ 6 มีนาคม 2535 ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกลา้ ฯแต่งต่ัง
คณะรฐั มนตรี
คณะรฐั มนตรีชุดท่ี 48 (7 เมษายน 2535 – 23 กนั ยายน 2535)
พลเอกสุจินดาครา ประยูรเป็นนายกรฐั มนตรี ได้รบั พระบรมราชโองการโปรดเกลา้ ฯ ใหด้ ารง
ตาแหน่งนายกรัฐมนตรีคนท่ี 19 ของประเทศไทย เมื่อวันท่ี 7 เมษายน 2535 เมื่อเข้าดารงตาแหน่ง
พลเอก สุจินดา ได้ถูกคัดค้านจากกลุ่มเคล่ือนไหวทางการเมืองหลายกลุ่ม จนกระท่ังเกิดเหตุการณ์ไม่
สงบภายในประเทศขึ้น พลเอก สุจินดา จึงลาออกจากตาแหน่งเม่ือวันท่ี 24 พฤษภาคม 2535 เพื่อให้
การแก้ไขรัฐธรรมนญู เป็นไปโดยอสิ ระและเพือ่ แสดงความรับผิดชอบทางการเมือง
อย่างไรก็ตาม นายมีชัย ฤชุพันธ์ รองนายกรัฐมนตรีได้ทาหน้าท่ีรักษาการนายกรัฐมนตรีไทย
เป็นการชัว่ คราว จนกระทงั่ มีการแต่งตงั้ นายกรฐั มนตรีคนใหม่ในวนั ที่ 10 มิถนุ ายน 2535
คณะรัฐมนตรี คณะที่ 48 ของรฐั บาลพลเอก สจุ ินดา คราประยรู จงึ พน้ จากตาแหนง่ ไปตามวาระ
คณะรัฐมนตรีชุดที่ 49 (10 มิถุนายน 2535 – 23 กนั ยายน 2535)
นายอานนั ท์ ปันยารชนุ เปน็ นายกรัฐมนตรี รัฐบาลยบุ สภาเลอื กตั้งทั่วไป
คณะรฐั มนตรี คณะที่ 50 (23 กนั ยายน พ.ศ. 2535 - 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2538)
นายชวน หลีกภัย เปน็ นายกรฐั มนตรี รฐั บาลยบุ สภาเลือกต้ังทั่วไป
คณะรัฐมนตรี คณะท่ี 51 (13 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 - 25 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2539)
นายบรรหาร ศลิ ปอาชาเป็นนายกรฐั มนตรีรฐั บาลยุบสภาเลือกตง้ั ท่ัวไป
คณะรฐั มนตรี คณะที่ 52 (25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 - 9 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2540)
พลเอก ชวลติ ยงใจยุทธ เปน็ นายกรฐั มนตรี ลาออก เพราะวิกฤตการณเ์ ศรษฐกิจ
คณะรฐั มนตรี คณะท่ี 53 (9 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2540 - 9 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2544)
นายชวน หลกี ภัย เปน็ นายกรัฐมนตรี รฐั บาลยุบสภาเลือกต้งั ทว่ั ไป
คณะรฐั มนตรี คณะที่ 54 (9 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2544 – 3 สงิ หาคม 2548)
พนั ตารวจโท ทักษิณ ชินวตั ร เป็นนายกรฐั มนตรี อายุสภาฯสิน้ สุดครบวาระ 4 ปี
คณะรัฐมนตรี คณะท่ี 55 ( 3 สงิ หาคม 2548 – 24 กมุ ภาพนั ธ์ 2549)
พนั ตารวจโท ทกั ษณิ ชนิ วัตร ยบุ สภาเนือ่ งจากมปี ัญหาการประท้วงจากกลุ่มพนั ธมติ ร
คณะรฐั มนตรี คณะที่ 56 ( 19 กนั ยายน พ.ศ. 2549- 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550)
พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็น นายกรัฐมนตรี เม่ือวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2549 โดยมีพลเอก
สนธิ บญุ ยรตั กลนิ ประธานคณะมนตรคี วามมั่นคงแหง่ ชาติ เปน็ ผู้รบั สนองพระบรมราชโองการ
รัฐบาลพลเรือน ที่ตั้งข้ึนภายหลังเหตุการณ์รัฐประหาร เม่ือวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549
อาศัยอานาจตามความใน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 ถึง
วนั ที่ 23 ธนั วาคม พ.ศ. 2550 ได้รับฉายาจากสอ่ื มวลชน คอื "รัฐบาลขิงแก่" และ "เกียร์วา่ ง"
คณะรฐั มนตรีไทย คณะท่ี 57 (6 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2551 - 18 กันยายน พ.ศ. 2551)
นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรฐั มนตรี ประกาศพระบรมราชโองการ เมอ่ื วันท่ี 29 มกราคม
2551 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภมู ิพลอดุลยเดช ทรงลงพระปรมาภิไธยในประกาศ โดยมนี าย
ยงยุทธ ตยิ ะไพรชั ประธานสภาผูแ้ ทนราษฎรเปน็ ผู้ลงนามรบั สนองพระบรมราชโองการ
นายพชิ าภพ ศรที องมาศ ครูวทิ ยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ศิ 56
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
คณะรัฐมนตรีคณะน้ีสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2551 เน่ืองจากศาลรัฐธรรมนูญ
ตัดสินว่า นายสมัคร สนุ ทรเวช นายกรัฐมนตรี กระทาการท่ีขดั ต่อรัฐธรรมนญู มาตรา 267 และมาตรา
182 วรรค 1 (7) เนอ่ื งจากการทีน่ ายสมคั รได้จัดรายการโทรทศั น์ ชิมไปบน่ ไป และ ยกโขยง 6 โมงเช้า
ทาให้นายสมัครต้องพ้นจากตาแหน่งนายกรัฐมนตรี และเป็นผลให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจาก
ตาแหนง่ ดว้ ยตามมาตรา 180 วรรค 1
คณะรัฐมนตรคี ณะท่ี 58 ( 24 กันยายน พ.ศ. 2551 - 19 ธนั วาคม พ.ศ. 2551)
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ตามประกาศพระบรมราชโองการ เม่ือวันที่ 18
กันยายน พ.ศ. 2551 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงลงพระปรมาภิไธยใน
ประกาศ โดยมีนายชยั ชิดชอบ ประธานสภาผแู้ ทนราษฎร เปน็ ผลู้ งนามรบั สนองพระบรมราชโองการ
ศาลรัฐธรรมนูญได้อ่านคาวินิจฉัยคดียุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรค
มัชฌิมาธิปไตย อันเน่ืองมาจากกรณีทุจริตการเลือกตั้งของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ทาให้คณะรัฐมนตรี
คณะนีส้ น้ิ สุดลง
คณะรัฐมนตรีไทย คณะท่ี 59 (20 ธันวาคม พ.ศ. 2551 - 9 สิงหาคม พ.ศ. 2554)
นายอภิสิทธ์ิ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ตามประกาศพระบรมราชโองการ เมื่อวันที่ 17
ธันวาคม พ.ศ. 2551 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงลงพระปรมาภิไธยใน
ประกาศ โดยมนี ายชยั ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เปน็ ผู้ลงนามรบั สนองพระบรมราชโองการ
คณะรัฐมนตรีคณะนี้ส้ินสุดลงเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 เมื่อนายกรัฐมนตรีได้
ทลู เกลา้ ฯพระราชกฤษฎีกายุบสภา
คณะรัฐมนตรีคณะท่ี 60 (9 สงิ หาคม พ.ศ. 2554 — 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557)
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ตาม ประกาศแต่งต้ังนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 5
สงิ หาคม 2554
คณะรัฐมนตรีคณะนี้สิ้นสุดลง เม่ือนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประกาศยุบสภา
ผแู้ ทนราษฎร เมื่อวันที่ 9 ธนั วาคม พ.ศ. 2556 แต่ยังคงสถานะรกั ษาการอยู่ จนกว่าจะมคี ณะรัฐมนตรี
ชุดใหม่ เข้าปฏิบัติหน้าท่ีตามรัฐธรรมนูญ วันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้
นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ และรัฐมนตรี 9 คนพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี จากการลงมติโยกย้ายถวิล
เปลี่ยนศรี ออกจากตาแหน่งเลขาธิการสภาความม่ันคงแห่งชาติ คณะรัฐมนตรีที่เหลือจึงมีมติให้
นายนิวฒั น์ธารง บุญทรงไพศาล เปน็ ผปู้ ฏบิ ัตหิ น้าท่แี ทนนายกรฐั มนตรี จนกระท่ังวันท่ี 22 พฤษภาคม
พ.ศ. 2557 เวลา 16:30 น. คณะรัฐมนตรีชุดน้ีส้ินสุดสถานะรักษาการ เนื่องจากคณะรักษาความสงบ
แห่งชาติทาการรัฐประหาร
คณะรัฐมนตรีคณะที่ 61 (30 สิงหาคม พ.ศ. 2557 — ปจั จบุ ัน)
ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีตาม พระบรมราชโองการประกาศแต่งตั้ง
นายกรัฐมนตรี ลงวันท่ี 24 สิงหาคม 2557 โดยลาดับ เป็นคณะรัฐมนตรีไทย คณะแรกท่ี ประกาศใช้
กฎอัยการศึก ท้ังประเทศ ยาวนานท่ีสุดในบรรดาคณะรัฐมนตรีไทย โดยใช้ระหว่าง 20 พฤษภาคม
พ.ศ. 2557 ถึง 1 เมษายน พ.ศ. 2558
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี ได้แถลงนโยบายต่อ
สภานติ บิ ญั ญัตแิ หง่ ชาติ เม่อื วนั ท่ี 12 กนั ยายน พ.ศ. 2557 และปฏิบัติราชการจนถึงปัจจบุ นั
นายพชิ าภพ ศรที องมาศ ครูวิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชูทศิ 57
บทที่ 3 สถาบนั ทางการเมอื งและการปกครองไทย
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
บทที่ 3
สถาบนั ทางการเมอื งและการปกครองไทย
สถาบันทางการเมือง (Political Institution) มาจากคา ว่า “สถาบัน” และ“การเมือง” คา
ว่า สถาบัน หมายถึงบรรทัดฐานของพฤตกิ รรมที่สร้างขึ้นมา และมีการปฏิบัติสืบทอดกันมาจนกระท่งั
เป็นที่ยอมรับในสังคม โดยที่พฤติกรรมดังกล่าวมีลักษณะของพฤติกรรมที่มีโครงสร้างแน่นอนและ
สามารถศึกษาได้
สถาบันทางการเมือง เป็นสถาบันที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองและสมาชิกของ
สังคม และระหว่างสมาชิกของสังคมด้วยกันเอง มีหน้าท่ีในการปฏิบัติกิจกรรมทางการเมืองอย่าง
ต่อเนื่อง ดังเราจะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญ พรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ กลุ่มราชการ
และสื่อมวลชนต่างก็เข้ามามีบทบาทในทางการเมืองอย่างสม่าเสมอและต่อเนื่อง หากการมีบทบาท
ทางการเมืองนั้นเป็นลักษณะช่ัวคร้ังชัว่ คราว เช่นการเรยี กร้องของกลมุ่ พัฒนาเอกชนตอ่ การแทรกแซง
ของธนาคารพฒั นาแหง่ เอเชีย (ADB) เป็นเรื่องทีเ่ กิดขึ้นเป็นคร้ัง ๆ เราไม่อาจจะนับวา่ เป็นสถาบันทาง
การเมืองได้ นอกจากน้ีสถาบันทางการเมืองยังต้องเป็นแบบแผนของสังคมในเรื่องเกี่ยวกับพฤติกรรม
ทางการเมอื งซงึ่ ประชาชนทวั่ ไปให้ความยอมรับในแบบแผนนนั้ ๆ
การศึกษาสถาบันทางการเมืองจึงเป็นเน้ือหาท่ีสาคัญในการศึกษาวิชารัฐศาสตร์เพื่อท่ีจะทา
ความเข้าใจว่า สถาบันการเมืองแต่ละสถาบันมีบทบาทอย่างไรต่อการเมือง ในช้ันน้ีเราจะเรียนเร่ือง
สถาบันทางการเมืองซ่ึงประกอบไปดว้ ยหวั ขอ้ ตา่ ง ๆ ดงั น้ี
1. สถาบนั กษัตริย์
สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันเก่าแก่ที่สดุ ท่ีคู่มากับชาติไทยต้ังแตเ่ ร่ิมสร้างชาติและเปน็
สถาบันท่ีประชาชนคนไทยเคารพเทิดทูนตลอดมาเป็นเวลาหลายร้อยปี บทบาทของกษัตริย์
เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ได้แก่ สมัยสุโขทัยกษัตริย์ทรงเป็นเสมือน “บิดา” จึงเรียกกษัตริย์ว่า
“พ่อขุน”, สมัยกรุงศรีอยุธยาและกรุงรัตนโกสินทร์ กษัตริย์ทรงมีบทบาทในฐานะ “เจ้าชีวิต” ซ่ึงเป็น
ท่ีมาของคาว่า “พระเจ้าแผ่นดิน” และภายหลังเปล่ียนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 บทบาทของ
กษัตริย์ลดลงไปโดยเปน็ ประมขุ แต่อย่ภู ายใต้รัฐธรรมนญู
อย่างไรก็ตาม พระบรมเดชานุภาพมิไดล้ ดน้อยลงไป ประชาชนคนไทยยงั คงให้ความรักความ
ศรัทธาและความจงรักภกั ดีเหมือนสมัยท่ผี า่ นมา โดยรฐั ธรรมนญู ทกุ ฉบบั จะระบฐุ านะของกษตั รยิ ไ์ วว้ า่
“พระมหากษตั ริยท์ รงดารงอย่ใู นฐานะอนั เป็นท่เี คารพสักการะผใู้ ดจะละเมดิ มไิ ด้”
บทบาทอานาจหนา้ ท่ขี องพระมหากษตั รยิ ์ (ภายใต้รฐั ธรรมนญู )
1.1 ทรงเป็นพระประมุขของประเทศ หมายถึง ผู้นาหรือหัวหน้าของประเทศน้ัน ๆ ใน
ประเทศไทยไดก้ าหนดให้มีพระมหากษตั รยิ ์เปน็ ประมุขของประเทศ ตามรฐั ธรรมนูญ พ.ศ. 2560
1.2 ดารงตาแหน่งต่าง ๆ ตามท่ีรัฐธรรมนูญได้กาหนดไว้ในหมวดท่ี 2 มาตรา 6 องค์
พระมหากษัตริย์ทรงดารงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือ
นายพิชาภพ ศรีทองมาศ ครวู ทิ ยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชูทิศ 82
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
ฟ้องรอ้ งพระมหากษตั ริยใ์ นทางใด ๆ มิได้ มาตรา 7 พระมหากษตั ริย์ทรงเปน็ พุทธมามกะและทรงเป็น
อัครศาสนูปถัมภก มาตรา 8 พระมหากษัตริย์ทรงดารงตาแหน่งจอมทัพไทย มาตรา 9
พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอานาจที่จะสถาปนาฐานันดรศักดิ์และพระราชทานเคร่ืองราช
อิสรยิ าภรณ์
1.3 อานาจในทางบริหารตามรัฐธรรมนูญ พระมหากษัตริย์ทรงแต่งต้ังนายกรัฐมนตรีและ
รฐั มนตรอี ีกไมเ่ กิน 35 คน ประกอบเปน็ คณะรัฐมนตรี มหี น้าท่ีบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ พระมหากษัตริย์
ทรงไว้ซ่ึงพระราชอานาจในการให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีตามที่นายกรัฐมนตรีถวาย
คาแนะนา พระมหากษตั ริย์ทรงไว้ซ่ึงพระราชอานาจในการตราพระราชกฤษฎีกา พระมหากษตั ริย์ทรง
ไว้ซ่ึงพระราชอานาจในการประกาศใช้และยกเลิกใช้กฎอัยการศึก 2 ใน 3 ของรัฐสภา ท้ังสองสภา)
พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซ่งึ พระราชอานาจในการทาหนังสือสญั ญาสันตภิ าพ สัญญาสงบศึก และสญั ญา
อ่นื กบั นานาประเทศหรือกับองคก์ ารระหว่างประเทศ พระมหากษตั ริยท์ รงไว้ซึ่งพระราชอานาจในการ
พระราชทานอภยั โทษ
1.4 อานาจหน้าท่ีอื่น ๆ อันก่อประโยชน์แก่ประชาชนในประเทศ เช่น ทรงเป็น องค์
ประธานในงานรัฐพิธีต่าง ๆ เช่น การเปิด-ปิดสมัยประชุมรัฐสภา พิธีแรกนาขวัญ การต้อนรับประมุข
ตา่ งประเทศ การพระราชทานปริญญาบัตร เปน็ ตน้ งานด้านพัฒนาชนบท ดังจะเหน็ ได้จากมีโครงการ
พัฒนาอันเน่ืองมาจากพระราชดาริมากมาย งานด้านสังคมสงเคราะห์ ทรงเสด็จเยี่ยมราษฎรท่ัว
ประเทศ ทรงพระราชทานสง่ิ ของเคร่ืองใชแ้ กค่ นพิการ คนชรา รวมถงึ ผู้ประสบภยั ธรรมชาติ ทรงเยย่ี ม
และมอบของขวัญแก่ทหารทบี่ าดเจ็บจากการสู้รบ ทรงต้ังโรงเรียนสงเคราะหเ์ ด็กยากจน ทรงต้งั มลู นิธิ
เพือ่ ชว่ ยเหลอื ประชาชน ทรงจัดใหม้ โี ครงการแพทยห์ ลวงออกตรวจสขุ ภาพให้ประชาชน ฯลฯ
2. รฐั ธรรมนญู
รัฐธรรมนูญ คือ กฎหมายสูงสุดของรัฐ เป็นกฎหมายแม่บทของกฎหมายทั้งหลายในรัฐ
กฎหมายใดที่ ขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญต้องถือเป็นโมฆะ กฎหมายท้ังหมดในรัฐจาเป็นต้องเป็นไปตาม
แนวทางของกฎหมาย รัฐธรรมนูญ โดยทั่วไปกฎหมายรัฐธรรมนูญจะบัญญัติว่าด้วย รูปของรัฐ การ
แบ่งแยกอานาจอธิปไตย สิทธิและ หน้าท่ีของประชาชน รูปของรัฐบาลระเบียบแบบแผนของการ
ปกครอง ซ่งึ อาจแสดงลกั ษณะสาคัญของ รัฐธรรมนูญดงั นี้
1. รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เนื่องจากเป็นกฎหมายพ้ืนฐานหรือหลักของ
กฎหมาย ท้งั หมดของรัฐ โดยท่กี ฎหมายใดจะขดั หรอื แยง้ กบั รฐั ธรรมนูญไมไ่ ด้ (ถอื เป็นโมฆะ)
2. รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายที่กาหนดหลักการเก่ียวกับการจัดระเบียบการปกครอง โดยจะ
วาง รูปแบบและโครงสร้างของรัฐบาล การใช้อานาจการปกครอง การแบ่งแยกอานาจ และกาหนด
ความสัมพันธ์ ระหว่างองคก์ รผู้ใชอ้ านาจ ของ องค์กรต่าง ๆ เช่น รัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล
3. รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายท่ีประกันสิทธิและเสรีภาพของประชาชน จะกาหนดเนื้อหาและ
การ คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพข้ันมูลฐานของบุคคลและเอกชน และกาหนดขอบเขตของรัฐเพื่อ
ป้องกนั การละเมิด ต่อสทิ ธิเสรภี าพ หมวด 3 สิทธิและเสรภี าพ เชน่ มาตรา 27 บุคคลย่อมเสมอกันใน
กฎหมาย มีสิทธแิ ละเสรภี าพและได้รับความคมุ้ ครองตามกฎหมายเท่าเทยี มกัน
นายพชิ าภพ ศรีทองมาศ ครูวิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ิศ 83
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
2.1 ลกั ษณะทั่วไปของรฐั ธรรมนญู สามารถจาแนกไดเ้ ป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
2.1.1 รัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร (Written Constitution) คือ กฎหมายสูงสุด
ของรัฐซึง่ ได้ เขยี นไว้เปน็ ลายลักษณ์อักษรและรวบรวมไวใ้ นฉบบั เดียว
2.1.2 รัฐธรรมนูญจารีตประเพณี (Unwritten Constitution) คือ รัฐธรรมนูญที่
ไม่ได้บัญญัติไว้ เป็นลายลักษณ์อักษร โดยอาศัยขนบธรรมเนยี มประเพณีและวิธีการท่ีปฏบิ ัติสืบตอ่ กัน
มาเป็นเวลานาน รวมกัน เข้าเป็นกฎหมายสูงสุด กาหนดเป็นรูปแบบการปกครองรัฐ นอกจากนี้การ
แก้ไขเปล่ียนแปลงได้ง่ายกว่า รัฐธรรมนูญประเภทลายลักษณ์อักษร เพราะฝ่ายนิติบัญญัติออก
กฎหมายแก้ไขให้เหมาะสมตามกาลเวลาโดยไม่ ต้องผ่านการอออกเสียงประชามติ ดังเช่นรัฐธรรมนญู
ประเภทลายลกั ษณ์อกั ษรสว่ นใหญก่ าหนดไว้ (ประเทศอังกฤษ)
2.1.3 รัฐธรรมนูญเด่ียว และรัฐธรรมนูญรัฐรวม (Unitary Constitution and
Federal Constitution) รัฐเดี่ยว คือ รัฐท่ีมีระบบรัฐบาลเด่ียว กล่าวคือ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ
และฝ่ายตุลาการนั้นอยู่ท่ีรัฐบาลกลาง โดยแบ่งแยกอานาจสาขาออกไปตามส่วนภูมิภาคและส่วน
ท้องถ่ิน รัฐรวม คือรัฐที่มีระบบรัฐบาลซ้อนกันสองระบบ กล่าวคือมี ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และ
ฝ่ายตุลาการทง้ั รัฐบาลกลางและรัฐในส่วนท้องถิ่นโดยมอี ิสระไม่ข้นึ ต่อกัน
รฐั ธรรมนญู ของรฐั จะซ้อนกนั 2 ฉบับ คอื รัฐธรรมนูญของรัฐบาลกลางและรฐั ธรรมนญู ของรัฐ
ท้องถนิ่ (มลรฐั ) ซึ่งทัง้ 2 รัฐต่างมีอานาจในการออกกฎหมายและบังคับในเขตการปกครองของตนแต่
มีประเด็น สาคัญคือ รัฐธรรมนูญของชาติจะเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐ ซึ่งรัฐธรรมนูญของรัฐท้องถิ่น
จะขดั หรอื แย้งไม่ได้
2.2 การกาเนดิ ของรัฐธรรมนูญ โดยทว่ั ไปรัฐธรรมนูญเกดิ ได้ตามแนวทางดงั ต่อไปนี้
2.2.1. โดยการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป (Gradual Evolution) คือ การ
พัฒนาในการเกิดขึ้นของรัฐธรรมนูญเป็นไปตามลาดับ ตัวอย่างเช่น รัฐธรรมนูญของประเทศอังกฤษ
โดยเร่ิมจากการปกครองในระบอบกษัตริย์ ต่อมา อานาจถูกเปล่ียนมือจากกษัตริย์ไปยังกลุ่มผู้แทน
ของประชาชนทีละเล็กทีละน้อย โดยเริ่มจากบทบัญญัติ แมกนา คาร์ตา (Magna Carta) ซึ่งบรรดา
เจ้าขุนมูลนายของอังกฤษรว่ มกันทาเพื่อบังคบั พระเจ้าจอห์น ให้ยอมรับสิทธิ์บางอยา่ งของขุนนางและ
เอกชนในปี ค.ศ.1215 ซึง่ ถือวา่ เปน็ จุดเร่มิ ตน้ แหง่ รฐั ธรรมนูญ
2.2.2 โดยการปฏิ วัติ (Revolution) หรื อรัฐประหาร (Coup d’Etat) ท้ังสอง
แนวทางอาจเกิดความไม่พอใจในอานาจเดิม รวมไปทั้งไม่พอใจในรัฐธรรมนูญท่ีมีบทบญั ญัติท่เี ป็นการ
สกัดกั้นอานาจของตน
2.2.3 โดยการยกร่าง (Deliberate Creation) มักจะอยู่ในกลุ่มประเทศท่ีเกิดขึ้น
ใหม่ จากการเป็นอาณานิคม หรอื ประเทศท่ีกาลังพฒั นาเข้าสู่ความเปน็ ประชาธิปไตย ซง่ึ เป็นการสลับ
สับเปล่ียนระหว่างประชาธิปไตยและเผด็จการ ในบางครั้งรัฐธรรมนูญอาจเกิดข้ึนจากการใช้อานาจ
ปฏวิ ตั หิ รือรฐั ประหาร (การไม่พอใจในเน้ือหาหรือเพื่อสร้างอานาจให้แกต่ นเอง) แต่ในบางคร้ังที่สังคม
หรือระบบการเมืองมีความเป็นประชาธิปไตยสูง การเกิดขึ้นของรัฐธรรมนูญก็มาจากการยกร่าง, การ
จดั ทาประชาพจิ ารณ์ ประชามติ ดังเช่นประเทศไทย เป็นตน้
นายพิชาภพ ศรที องมาศ ครวู ิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ิศ 84
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
2.2.4 โดยกษัตริ ย์พระราชทานให้ (Grant) รัฐในทวีปเอเชียและยุโรปตาม
ประวัติศาสตร์ ต่างมีการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ต่อมาไม่ว่าด้วยการใช้กาลังบังคับหรือ
การยนิ ยอมก็จะนามาซึ่งการเกดิ ขึ้นของรฐั ธรรมนูญ (โดยทั่วไปแล้วมักจะเป็นการใช้กาลังบงั คับ)
2.3 ลักษณะท่ดี ีของรัฐธรรมนูญ
2.3.1 ควรมีข้อความที่ชดั เจนแน่นอน เข้าใจได้ง่าย ไม่ใช้คาท่ีกากวม ซ่ึงล่อแหลม
ต่อการตีความผดิ ๆ ดงั นนั้ ต้องใชถ้ ้อยคาท่ีเลือกสรรมาแลว้ วา่ มีความหมายท่ีแน่นอนท่สี ุด
2.3.2 ควรมีการบญั ญตั ิสิทธิและเสรีภาพของประชาชนไว้อย่างชดั เจน เพ่ือที่จะ
เปน็ หลักประกันสทิ ธิและเสรีภาพของประชาชน ปอ้ งกันมิใหร้ ัฐหรอื เอกชนมากดขี่บังคบั ได้
2.3.3 ต้องครอบคลุมบทบัญญัติเกี่ยวกับการปกครองของรัฐไว้อย่างครบถ้วน
ควรจะมีบทบัญญัติถึงการใช้อานาจอธิปไตย การแบ่งอานาจอธิปไตย ความสัมพันธ์ขององค์การที่ใช้
อานาจอธปิ ไตยและสถาบันทางการเมืองของรฐั การกาหนดวิธกี ารเปลี่ยนแปลงรฐั บาลตามวิถที างของ
รฐั ธรรมนญู
2.3.4 ไม่ควรยาวเกินไป เพราะรัฐธรรมนูญท่ีดีควรมีบทบัญญัติหลักการจัดรูปการ
ปกครองของรัฐที่สาคัญและจาเป็นเท่านั้น หากมีบทบัญญัติที่ยาวและมีรายละเอียดมากเกินไปจะทา
ให้การตีความยากมากขึ้น สาหรับรายละเอียดปลีกย่อยของการปกครองประเทศนั้น ควรเป็นหน้าที่
ขององคก์ รฝ่ายนิตบิ ญั ญัตจิ ะออกกฎหมายธรรมดาออกมา มใิ ชเ่ ร่อื งท่คี วรบญั ญตั ิไว้ในรัฐธรรมนูญ
2.3.5 ควรกาหนดวิธีการแก้ไขเพ่ิมเติมรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญท่ีดีต้องมี
ความยืดหยุ่นเหมาะสมกับกาลสมัย การมีวิธีการแก้ไขเพ่ิมเติมรัฐธรรมนูญตามกฎหมายน้ัน เพื่อให้
เหมาะสมกับเนื้อหาและสภาพสังคมท่ีมีการพัฒนาและเพ่ือป้องกันการล้มล้างหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญ
โดยการใชก้ าลงั
สาหรับหลักการในการแก้ไขเพ่ิมเติมรัฐธรรมนูญน้ัน ต้องไม่ง่ายและไม่ยากจนจนเกินไป
เพราะจะทาให้รัฐธรรมนูญไม่ได้รบั ความเคารพจากประชาชนเท่าทค่ี วร และต้องสามารถจัดทาไดโ้ ดย
ความตอ้ งการของประชาชน
2.4 สาเหตุของการล้มเลิกรัฐธรรมนูญในประเทศไทย
ปัจจบุ ันเรามีรฐั ธรรมนูญ 20 ฉบับ โดยเฉล่ียแล้วรฐั ธรรมนูญฉบับหนงึ่ มีอายุเพียง 4 ปีเศษ ซ่งึ
ปญั หาการลม้ เลกิ รฐั ธรรมนญู มหี ลากหลายประการดังนี้
2.4.1 การไม่ยอมรับเจตนารมณ์และหลกั การของรัฐธรรมนูญ อันได้แก่อานาจใน
การบังคบั ใช้อนั ได้แก่ รฐั ธรรมนญู 2494, 2475 อาจมีหลากหลายประเดน็ แต่ถ้าหากสังเกตจะเห็นว่า
ส่วนใหญเ่ กี่ยวข้องกับการคงอยู่ของอานาจของตนเองและพวกพ้อง (เช่น การกาหนดให้ต้องมีวุฒิสภา
มาจากการแต่งตั้งแทนการเลือกตั้งเพื่อให้อานาจของกลุ่มตนเอง เป็นต้น) ดังน้ันจากสาเหตุดังกล่าวก็
นามาสู่การล้มล้างรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกัน (รัฐธรรมนูญ 2560 ก็เช่นเดียวกันท่ีต้องการเปลี่ยนแปลง
เนือ้ หาบางสว่ นออกไป เช่น จานวนและที่มาของวฒุ สิ ภา, ทมี่ าของ ส.ส. เป็นตน้ )
นายพชิ าภพ ศรีทองมาศ ครูวิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชูทศิ 85
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
2.4.2 การขาด “รัฐธรรมนูญนิยม” เคยชินกบั การใช้อานาจเด็ดขาด จุดเริ่มต้นของ
รัฐธรรมนูญคือ กลุ่มนายทหาร ซึ่งสามารถท่ีจะบริหารและจัดการบ้านเมืองได้อย่างสะดวก (การให้
อสิ ระ เสรภี าพ แก่ประชาชน นามาซ่งึ ความหลากหลายและแตกต่างจนยากทจ่ี ะควบคุม) ดังน้นั การใช้
อานาจเบ็ดเสร็จย่อมง่ายต่อการบริหารงาน ซ่ึงบางครั้งลักษณะดังกล่าวก็เหมาะสมในบางเหตุการณ์
เช่น เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 หรืออาจจะเป็น 19 กันยายน 2549 แต่อย่างไรก็ตาม หากมอง
ประเด็นเหล่านี้แล้วเห็นด้วย รัฐธรรมนูญก็จะไม่มีพัฒนาการไปในทางท่ีควรจะเป็น และส่งผลให้ขาด
ความศรัทธาและเชื่อมั่นในรัฐธรรมนญู ดงั ทเ่ี ปน็ อยู่
จะเหน็ ได้วา่ รฐั ธรรมนูญตามหลกั การแล้ว ถือได้ว่าเป็นสงิ่ ทสี่ าคัญท่ีสดุ ของรัฐในระบอบ
ประชาธิปไตย เพราะได้กาหนดถึงสิทธหิ น้าท่ี โครงสรา้ ง รูปแบบการปกครอง แต่ในความเปน็ จรงิ แล้ว
รัฐธรรมนูญในประเทศไทยมิได้มีความสาคัญดังท่ีได้ต้ังไว้ แต่ได้มีการเปล่ียนแปลง ยกเลิกบ่อยคร้ัง
จนทาให้รัฐธรรมนูญของประเทศไทยเป็นเพียงหลักการ แต่ไม่มีอานาจในการบังคับใช้จริงในทาง
ปฏิบัติ
2.5 ความเปน็ มาและสาระสาคญั ของธรรมนญู การปกครองและรฐั ธรรมนูญไทย
พ.ศ. 2475-2560
1. พระราชบัญญตั ธิ รรมนญู การปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475
เหตุการณท์ ี่นามาซ่ึงการร่างรฐั ธรรมนญู
คณะราษฎ รได้เปลี่ยนแปลง การปกครองประเทศสยามจากระบอบ
สมบูรณาญาสทิ ธริ าชยม์ าเป็นระบอบรัฐธรรมนูญ จึงตอ้ งรา่ งรัฐธรรมนญู เพ่อื ปกครองประเทศและแบ่ง
สว่ นบริหารราชการแผ่นดนิ
คณะราษฎรได้จัดทาร่าง พ.ร.บ. ธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม พ.ศ. 2475
ทูลเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและทรงลงพระปรมาภิไธยพระราชทานลงมา ณ
วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 พระองค์ทรงเติมคาว่า “ชั่วคราว” กากับต่อท้ายพระราชบัญญัติ
ธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม โดยมีพระราชกระแสรับสั่งแก่คณะราษฎรว่าให้ใช้ พ.ร.บ.
ธรรมนูญฯเป็นการชั่วคราว แล้วให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรเพื่อต้ังคณะอนุกรรมการเพื่อร่าง
รัฐธรรมนูญฉบับถาวร พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 มีผล
บังคบั ใช้ตามคากราบบงั คมทลู ของคณะราษฎรเม่อื วนั ที่ 27 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2475
ได้ระบุไว้ในคาปรารภของ พ.ร.บ. ธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ.
2475 ว่า “โดยที่คณะราษฎรได้ขอร้องให้อย่ใู ตธ้ รรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามเพ่ือบ้านเมืองจะได้
เจริญขึ้น โดยท่ีได้ทรงยอมรับตามคาขอร้องของคณะราษฎร จึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ตรา
พระราชบญั ญตั ขิ ึ้นไว้...”
นายพิชาภพ ศรีทองมาศ ครูวิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชูทิศ 86
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
2. รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รสยาม พ.ศ. 2475
เหตกุ ารณ์นามาซงึ่ การรา่ งรฐั ธรรมนูญ
โดยที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชกระแสรับส่ังแก่
คณะราษฎรว่าให้ใช้ พ.ร.บ. ธรรมนูญการปกครองแผน่ ดนิ สยามช่ัวคราว พ.ศ. 2475 เป็นการชวั่ คราว
แลว้ ใหเ้ สนอสภาผู้แทนราษฎรเพือ่ ตั้งคณะอนุกรรมการเพอื่ ร่างรัฐธรรมนูญฉบบั ถาวรต่อไป
รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 มีผลบงั คบั ใชเ้ มื่อวันท่ี 10 ธนั วาคม
พ.ศ. 2475 การร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้กระทาโดยคณะอนุกรรมการร่างธรรมนูญการปกครองที่ถูก
แตง่ ตั้งจากสภาผู้แทนราษฎร ในกระบวนการรา่ งรฐั ธรรมนูญมกี ารประนปี ระนอมระหว่างคณะราษฎร
ขา้ ราชการชน้ั ผใู้ หญ่ และพระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจา้ อยู่หวั ตลอดเวลา ซงึ่ รวมถึงการพจิ ารณาร่าง
รัฐธรรมนูญในสภาผู้แทนราษฎร สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญโดยใช้วิธีพิจารณาแบบ
อนุกรรมการเต็มสภา และพิจารณาแบบเรียงมาตรา เพ่ือเร่งพิจารณาให้เสร็จทันกาหนดฤกษ์
พระราชทานรัฐธรรมนูญในวันท่ี 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 เพ่ือให้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับถาวรของ
ประเทศสยาม
3. รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2489
เหตกุ ารณ์ท่ีนามาซึ่งการรา่ งรฐั ธรรมนญู
รัฐธรรมนูญฉบับน้ีเกิดจากความริเร่ิมของ นายปรีดี พนมยงค์ (หลวงประดิษฐ-
มนูธรรม) ผู้สาเร็จราชการแผ่นดินและรัฐบุรุษอาวุโสได้หารือกับนายควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรีว่า
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2475 ใช้มาถึง 14 ปีแล้ว โดยที่สถานการณ์บ้านเมืองได้
เปล่ียนแปลงไปมาก จึงควรท่ีจะยกเลิกบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญ ตลอดจนปรับปรุงแก้ไขเพ่ิมเติม
รฐั ธรรมนูญใหเ้ หมาะสมกับสภาพการณ์
4. รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย(ฉบับชว่ั คราว) พ.ศ. 2490
เหตุการณ์ที่นามาซ่ึงการร่างรัฐธรรมนูญรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับ
ชั่วคราว) พ.ศ. 2490 เปน็ รฐั ธรรมนูญฉบับที่ 4 ของประเทศไทย ประกาศใชโ้ ดยการรัฐประหาร
ในวันท่ี 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ซ่ึงในแถลงการณ์ของคณะรัฐประหารฉบับท่ี 1-3 เรียกตัวเองว่า
“คณะทหาร” จนในฉบับท่ี 4 จึงได้ลงนาม พล.ท. ผิน ชุณหะวัณ ในตาแหน่งรองผู้บัญชาการทหาร
แห่งประเทศไทยและระบุว่า มีจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นผู้บัญชาการทหารแห่งประเทศไทย คณะ
รฐั ประหารไดจ้ ดั ตงั้ “กองบัญชาการทหารแห่งประเทศไทย” เม่ือวันที่ 9 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2490คณะ
รัฐประหารยังได้ตราพระราชกาหนดคุ้มครองความสงบสุขเพ่ือให้การดาเนินไปตามรัฐธรรมนูญ (ฉบับ
ชั่วคราว) ลงวันท่ี 9พฤศจิกายน พ.ศ.2490 โดยให้อานาจฝา่ ยทหารสามารถจับกุมคุมขังบุคคลท่ีมเี หตุ
อันควรสงสัยว่าจะขัดขวางการดาเนินการตามรัฐธรรมนูญใหม่ (ความในมาตรา 4) พระราชกาหนดน้ี
ยกเลกิ เมือ่ วนั ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2490
นายพชิ าภพ ศรีทองมาศ ครูวิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชูทศิ 87
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
5. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทยพุทธศกั ราช 2492
เหตุการณ์ท่ีนามาซ่ึงการร่างรัฐธรรมนูญในการรัฐประหารเมื่อวันท่ี 8 พฤศจิกายน
พ.ศ. 2490 คณะรัฐประหารได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว)
พุทธศกั ราช 2490 ซ่งึ กาหนดให้มีสภารา่ งรฐั ธรรมนญู ฉบับถาวร
6. รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2475แก้ไขเพม่ิ เติม พ.ศ. 2495
เหตุการณ์ที่นามาซ่ึงการร่างรัฐธรรมนูญคณะรัฐประหารในนาม “คณะบริหาร
ประเทศช่ัวคราว” นาโดยจอมพลผิน ชุณหะวัณ ได้ยึดอานาจการปกครองจากรัฐบาล ต่อมามีการต้ัง
ฉายาวา่ เป็นการรฐั ประหารเงียบ เนือ่ งจากเปน็ การยึดอานาจโดยแถลงผา่ นวทิ ยกุ ระจายเสียง จงึ ตอ้ งมี
การรา่ งรฐั ธรรมนูญขึน้ มาใชใ้ หม่
7. ธรรมนูญการปกครองอาณาจักร พ.ศ. 2502
เหตุการณ์ท่ีนามาซ่ึงการร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 จอม
พลสฤษด์ิ ธนะรัชต์ ได้ก่อรัฐประหารยึดอานาจจากรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม โดยประกาศ
พระบรมราชโองการต้ังผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารระบุว่า รัฐบาล ของจอมพล ป. ได้บริหารราชการ
แผน่ ดนิ ไมเ่ ป็นทีไ่ ว้วางใจของประชาชน ทงั้ ไม่สามารถรักษาความสงบเรยี บร้อยของบ้านเมืองได้
แต่ต่อมาเกิดการเปลี่ยนแปลงจึงได้ปฏิวัติตนเอง การยึดอานาจครั้งนี้คณะ
รัฐประหารเรียกตัวเองว่า คณะปฏิวัติเพื่อสร้างความแตกต่างระหว่างการยึดอานาจคร้ังใหม่กับการ
รัฐประหารครั้งท่ีผ่านมา โดยเฉพาะการอ้างเหตุผลในการปฏิวัติว่า เพื่อเป็นการสร้างความสามัคคีแก่
คนในชาติและต่อสกู้ บั ภยั คอมมวิ นสิ ต์
8. รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทยพทุ ธศักราช 2511
เหตกุ ารณ์ที่นามาซ่งึ การรา่ งรัฐธรรมนญู การรัฐประหาร 16 กันยายน 2500 และการ
ประกาศใชธ้ รรมนูญการปกครองราชอาณาจกั ร พ.ศ. 2502 ทไ่ี ดก้ าหนดใหร้ า่ งรัฐธรรมนูญฉบับถาวร
9. ธรรมนญู การปกครองราชอาณาจกั ร พ.ศ. 2515
เหตุการณ์ที่นามาซ่ึงการร่างรัฐธรรมนูญการรัฐประหาร วันท่ี 14 พฤศจิกายน พ.ศ.
2514 โดยคณะปฏิวัติประกอบด้วยจอมพล ถนอม กิตติขจร หัวหน้าคณะปฏิวตั ิ,พลเอกประภาส จารุ
เสถียร รองหัวหน้าคณะปฎิวตั ิ และผชู้ ่วยคณะปฏิวัติไดแ้ ก่ นายพจน์ สารสนิ , พลอากาศเอกทวี จุลละ
ทรัพย์ และพลตารวจเอกประเสริฐ รุจิรวงศ์
ในระหว่างที่ยังไม่มีธรรมนูญการปกครอง คณะปฏิวัติปกครองประเทศด้วยการใช้
ประกาศคณะปฏิวัติ มีศักดิ์ทางกฎหมายเทียบเท่าพระราชบัญญัติถึง 364 ฉบับ และมีคาส่ังของ
หัวหน้าคณะปฏิวัติอีก 79 ฉบับ (เสน่ห์ จามริก 2529 : 366) นอกจากนี้คณะปฏิวัติยังสามารถใช้
อานาจพิเศษทางการบริหารผ่านประกาศคณะปฏิวัติที่ 216, 217, 218 และ 324 เพื่อปรับปรุง
กระทรวง ทบวง กรม และจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การต้ังหน่วยงาน
บังคับบัญชาราชการใหม่ คือ “สานักงานคณะกรรมการตรวจและติดตามผลการปฏิบัติราชการ”
นายพิชาภพ ศรที องมาศ ครูวิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ศิ 88
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
(ก.ต.ป.) ซ่ึงกลายเป็นเครื่องมือท่ีใช้ดึงอานาจจากส่วนราชการอ่ืนๆ โดยเฉพาะหน่วยงานที่มีอานาจ
หน้าทีด่ ้านเศรษฐกิจ
ประเด็นสาคัญท่ีสุดประเด็นหน่ึงก็คือ ประกาศคณะปฏิวัติฉบับท่ี 299 ลงวันท่ี 12
ธันวาคม พ.ศ. 2515 ซ่ึงถูกต่อต้านอย่างรุนแรงเนื่องจากประกาศฉบับนี้ฝ่ายบริหารสามารถเข้ามา
กากับฝา่ ยตลุ าการได้ซ่งึ ฝ่ายตลุ าการเหน็ ว่าฝ่ายบรหิ ารเข้ามาแทรกแซงการปฏิบัติงานของฝ่ายตุลาการ
โดยตรง จึงมีความเคลื่อนไหวคัดค้าน ท้ังจากฝ่ายตุลาการและฝ่ายประชาชน ซึ่งในท่ีสุดรัฐบาลต้อง
ออกประกาศใหม้ ผี ลยอ้ นหลงั ไปยกเลิกภายหลังจากท่ีประกาศใช้เพียง 1 วนั เทา่ นัน้
10. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2517
เหตกุ ารณ์ท่นี ามาซึ่งการรา่ งรัฐธรรมนญู กรณี 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ที่เกิดจากการ
เรียกร้องรัฐธรรมนูญ แต่ถูกรัฐบาลจับกุมข้อหากบฏภายในราชอาณาจักร เหตุการณ์ลุกลามไปจนถึง
ข้ันประชาชนลุกฮือล้มล้างรัฐบาลของจอมพลถนอมกิตติขจรและคณะ จึงเป็นที่มาของการร่าง
รฐั ธรรมนูญฉบับใหม่
11. รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2519
เหตุท่ีมาซึ่งการร่างรัฐธรรมนูญคณะรัฐประหารซึ่งเรียกตัวเองว่าคณะปฏิรูปการ
ปกครองแผน่ ดินนาโดย พลเรอื เอกสงัด ชลออยู่ ไดย้ ดึ อานาจการปกครองแผน่ ดนิ เมอื่ วันที่
6 ตลุ าคม พ.ศ. 2519 จึงต้องมรี ฐั ธรรมนญู ปกครองประเทศ
12. ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจกั ร พ.ศ. 2520
เหตุการณ์ที่นามาซ่ึงการร่างรัฐธรรมนูญคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินนาโดย
พล.ร.อ. สงดั ชะลออยู่ ได้กระทาการปฏิวตั ิ ยดึ อานาจการปกครองจากรัฐบาล นายธานินทร์ กรยั
วเิ ชียร เหตผุ ลในการยึดอานาจอีกประการหนึ่งก็คือ เพ่อื เรง่ รัดให้มีการพัฒนาประชาธิปไตย โดยคณะ
ปฏิวัติเห็นว่าระยะเวลาการพัฒนาประชาธิปไตย 12 ปีตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.
2519 ใช้เวลานานเกินไป ไม่ทันต่อความต้องการของประชาชน และการบริหารประเทศของรัฐบาล
นายธานินทร์ก็สร้างความวิตก หว่ันไหวในหมู่ประชาชนและข้าราชการ ภาวการณ์ลงทุนไม่ก้าวหน้า
และมแี นวโน้มลดลง จงึ ไดย้ ดึ อานาจและจัดให้มีธรรมนูญการปกครองฉบบั น้ี
13. รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2521
เหตุการณ์ที่นามาซ่ึงการร่างรัฐธรรมนูญการก่อรัฐประหาร 20 ตุลาคม พ.ศ. 2520
นั้นเกิดข้ึนโดยมุ่งหวังจะแก้ไขความผิดพลาดของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินภายใต้การนาของ
พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ และการบริหารงานและปราบปรามคอมมิวนิสต์อย่างเข้มงวดของรัฐบาลนาย
ธานินทร์ กรัยวิเชียร ดังนั้นบริบททางการเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับ พ.ศ. 2520 จึงเป็น
ความพยายามของฝ่ายเสรนี ยิ มประชาธปิ ไตยที่จะผ่อนคลายบรรยากาศทางการเมือง โดยเฉพาะอย่าง
ยงิ่ การลดความตึงเครียดทางสงั คมภายหลังเหตกุ ารณ์ 6 ตลุ าคม พ.ศ. 2519
นายพชิ าภพ ศรที องมาศ ครวู ิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ิศ 89
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
14. ธรรมนูญปกครองราชอาณาจกั ร พ.ศ. 2534
เหตุการณ์ท่ีนามาซึ่งการร่างรัฐธรรมนูญคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ
(รสช.) นาโดย พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์, พล.อ. สุจินดา คราประยูร, พล.อ.อ. เกษตร โรจนนิล,
พล.ร.อ.ประพัฒน์ กฤษณจันทร์, พล.ต.อ. สวัสด์ิ อมรวิวัฒน์, และ พล. อ.อิสรพงษ์ หนุนภักดี ได้ก่อ
รัฐประหารวันท่ี 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534ล้มรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณนามาซ่ึงการใช้
ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจกั ร
15. รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2534
เหตุการณ์ท่ีนามาซึ่งการร่างรัฐธรรมนูญเจตนารมณ์แห่งธรรมนูญการปกครอง
ราชอาณาจักร พ.ศ. 2534มาตรา 6 กาหนดใหม้ กี ารรา่ งรฐั ธรรมนญู ให้แลว้ เสรจ็ เพ่อื จดั การเลอื กตั้ง ใน
ปี พ.ศ. 2534
16. รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2540
เหตุการณ์ท่ีนามาซึ่งการร่างรัฐธรรมนูญความขัดแย้งทางการเมืองหลังกรณี
พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ยังไม่เป็นท่ียุติและเกิดความต้องการมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างแข็งขัน
ตลอดจนการตื่นตัวท่ีจะต้องการให้มีการปฏิรูปการเมืองจึงเกิดการผลักดันให้แก้ไขรัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2534 เพื่อเปิดทางให้มีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากหลายสาขาอาชพี
และผ้ทู รงคุณวฒุ เิ พ่ือทาหนา้ ทรี่ ่างรฐั ธรรมนญู ฉบบั ใหม่ท้งั ฉบับได้
17. รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย(ฉบับชว่ั คราว) พ.ศ. 2549
เหตุการณ์ท่ีนามาซ่ึงการร่างรัฐธรรมนูญการรัฐประหารโดยคณะปฏิรูปการปกครอง
ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549
มีผลให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 และใช้ธรรมนูญการปกครอง
ราชอาณาจักรฉบับนี้แทน ต่อมาคณะรัฐประหารเรียกตัวเองใหม่ว่าคณะมนตรีความม่ันคง แห่งชาติ
(คมช.) ตามที่บัญญัติไว้ในธรรมนูญการปกครองฯ
18. รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2550
เหตุการณ์ที่นามาซ่ึงการร่างรัฐธรรมนูญการรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549
ทาให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 สิ้นสุดลง จึงต้องมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ขนึ้ ใช้
19. รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย (ฉบับช่ัวคราว) พุทธศักราช 2557
เ ห ตุ กา ร ณ์ท่ีน า มา ซึ่ ง กา ร ร่ า ง รั ฐ ธ ร ร มนู ญ เ ป็ น กา ร ร่ า ง โ ด ย ค ณ ะรั ก ษา คว า ม ส ง บ
แห่งชาติ (คสช.) คณะผูย้ ดึ อานาจการปกครองหลังรัฐประหารเม่ือวันท่ี 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ซง่ึ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชพระราชทานพระบรมราชานุญาตและลงพระ
ปรมาภิไธยเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 โดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้า
นายพิชาภพ ศรที องมาศ ครวู ิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ิศ 90
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
คณะรักษาความสงบแห่งชาติเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับ
กฤษฎีกา เล่ม 131 ตอนท่ี 55 ก และมีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายทันที แทนท่ีรัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช 2550
รัฐธรรมนูญฉบับน้ีเปิดทางให้สถาปนาสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพ่ือใช้อานาจนิติบัญญัติ
คณะรัฐมนตรีชั่วคราวเพื่อรับผิดชอบการบริหารราชการแผ่นดิน สภาปฏิรูปแห่งชาติ (และต่อมาสภา
ขบั เคล่ือนการปฏริ ปู ประเทศ) เพ่ือดาเนนิ การปฏริ ปู ประเทศอยา่ งกว้างขวางและอนุมตั ริ า่ งรัฐธรรมนูญ
ฉบับใหม่ และกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญเพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ปัจจุบันรัฐธรรมนูญฉบับน้ี
สิ้นสุดลงแล้วเมอ่ื มกี ารประกาศใช้ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช 2560
20. รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560
เหตุการณ์ที่นามาซ่ึงการร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560
เป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับท่ี 20 ซ่ึงจัดร่างโดยคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ใน
ระหวา่ ง พ.ศ. 2557–2560 ภายหลงั การรฐั ประหารในประเทศโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เมื่อ
วันท่ี 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 โดยรัฐธรรมนูญฉบับน้ี สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ
บดินทรเทพยวรางกูร ทรงลงพระปรมาภิไธยเม่ือวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2560 ณ พระท่ีนั่ง
อนันตสมาคม พระราชวังดุสิต กรุงเทพมหานคร และมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
เปน็ ผรู้ บั สนองพระราชโองการ
สืบเน่ืองจากรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 และการยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช 2550 ทาให้มกี ารร่างรัฐธรรมนญู ฉบบั ใหม่ โดยเมือ่ วนั ท่ี 4
พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 ได้มีการตั้งคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญชุดแรก จานวน 36 คน ซึ่ง
สมาชิกมาจากการแต่งตั้งทั้งหมด มี นายบวรศักด์ิ อุวรรณโณ เป็นประธาน แต่ในวันที่ 6 กันยายน
พ.ศ. 2558 สภาปฏิรูปแห่งชาติ มีมติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญของคณะกรรมาธิการฯ ทาให้มีการต้ัง
คณะกรรมการร่างรฐั ธรรมนญู ขนึ้ ใหม่ จานวน 21 คน เมือ่ วันท่ี 5 ตุลาคม พ.ศ. 2558 และมี นาย
มชี ัย ฤชพุ นั ธ์ุ เปน็ ประธาน
3. สถาบันนติ ิบญั ญตั ิ บรหิ าร และตลุ าการ
อานาจอธิปไตย อันเป็นอานาจสูงสุดในการปกครองประเทศ ตามระบอบประชาธิปไตย
สามารถแบ่งแยกองคก์ รหรอื ฝา่ ยในการใช้อานาจได้ดังน้ี
ฝ่ายนิติบัญญัติ คือ องค์กรที่ทาหน้าท่ีหลักในการออกกฎหมายและมีอานาจในการควบคุม
ฝ่ายบรหิ าร ไดแ้ ก่ “รัฐสภา”
ฝ่ายบริหาร คือ องค์กรที่ทาหน้าท่ีในการบริหารประเทศให้เป็นไปตามแนวทางและความ
ต้องการของประชาชนโดยภาพรวม ได้แก่ “รัฐบาล”
ฝ่ายตุลาการ คือ องค์กรท่ีทาหน้าที่ในการพิจารณาและพิพากษา รวมท้ังเป็นองค์กรท่ีทา
หนา้ ที่แก้ไขปัญหาความขดั แยง้ โดยทัว่ ไป “ศาล”
นายพิชาภพ ศรีทองมาศ ครูวทิ ยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชูทิศ 91
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
สภานิติบัญญัติหรือรัฐสภา เป็นหน่ึงในอานาจอธิปไตย 3 ฝ่าย ในแต่ละประเทศมีช่ือเรียกท่ี
แตกต่างกัน เช่น อังกฤษ, ไทย เรียกว่า “Parliament” สหรัฐอเมริกาเรียกว่า “Congress” ญ่ีปุ่น
เรยี กว่า “Diet” โดยมลี ักษณะสาคัญดงั น้ี
3.1 สถาบนั นติ บิ ญั ญตั ิ
ความหมายและความสาคัญของสถาบันนิติบัญญัติ
สถาบนั นิติบญั ญัติ มีหนา้ ที่หลักก็คอื การออกกฎหมาย ซึง่ เป็นกลไกทีส่ าคญั ในการบริหารและ
ปกครองประเทศ ส่วนหน้าที่รองได้แก่ หน้าท่ีเป็นตัวแทนของประชาชน ได้แก่การคุ้มครองสิทธิ
เสรภี าพของประชาชน การแสดงเจตนารมยข์ องประชาชน และเจตนารมยข์ องตวั เอง ส่วนในประเทศ
เผดจ็ การรฐั สภาทา หนา้ ทเี่ ป็นสญั ลักษณ์แหง่ การยอมรบั ของประชาชน
หน้าท่ีต่อมาของสถาบันนิตบิ ัญญัติก็คือ ควบคุมการทา งานของรัฐบาล ในระบบรัฐสภา ฝ่าย
นิติบัญญัติหรือรัฐสภาจะทา หน้าท่ีควบคุมการทางานของฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลด้วย กล่าวคือให้
ความเหน็ ชอบในนโยบาย งบประมาณประจา ปี และควบคมุ การใช้จา่ ยเงนิ และเก็บภาษีอากร โดยใช้
เครื่องมือโดยการต้ังกระทู้ถามรัฐบาล ซ่ึงหากรัฐสภาไม่ไว้วางใจรัฐบาล ก็จะทาให้รัฐบาลต้องลาออก
ไป ส่วนในระบบประธานาธิบดี รัฐสภามีหน้าท่ีตรวจสอบถ่วงดุลการทางานของคณะรัฐมนตรี โดย
รัฐมนตรีต้องช้ีแจงตอบกระทู้ต่อรัฐสภาและรัฐสภามีอา นาจท่ีจะลงคะแนนเสียงไม่สนับสนุนนโยบาย
หรือร่างงบประมาณที่ออกโดยประธานาธิบดีได้ นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือ Impeachment ในการขับ
ไลป่ ระธานาธิบดีอีกด้วย
สภานิตบิ ัญญัตเิ กดิ ขนึ้ คร้ังแรกในประเทศองั กฤษมากว่า 700 ปี ในสมยั พระเจ้าวิลเล่ยี ม (ค.ศ.
1066 – 1087) โดยพระองค์ได้จัดต้ังสภาหนึ่ง ที่เรียกว่า Great Council โดยมีสมาชิกของ Great
Council น้ที ่ีประกอบดว้ ยขนุ นางฝ่ายพระ ขุนนางฝ่ายคนธรรมดา และผคู้ รอบครองท่ดี ิน รฐั สภาแบบ
นี้สืบต่อกันมาจนกระทั่งในสมัยพระเจ้าเฮนรี่ที่ 3 ได้เกิดความขัดแย้งกับขุนนางคนหนึ่ง ขุนนางคนนน้ั
ได้รับชัยชนะจึงเปล่ียนช่ือจาก Great Council ไปเป็น Parliament ซ่ึงรัฐสภาในระยะแรกนั้น เป็น
เร่ืองท่ีเกี่ยวกับการที่สภาเข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดเก็บภาษีอากร และการใช้จ่ายเงินของ
พระมหากษัตรยิ ์
3.1.1 โครงสร้างของสภานิติบญั ญตั ิ สามารถแบง่ ออกได้ดงั นี้
(1) ระบบสภาเดีย่ ว ประกอบไปด้วยสภาเดียวทาหน้าทใี่ นการผ่านร่างกฎหมายหรอื
งบประมาณ ดงั นนั้ ขอ้ ดคี ือ มีความรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ แตม่ ีข้อเสียคือ อาจทาไดต้ ามอาเภอใจ จน
ขาดความรอบคอบ จนอาจเกิดปัญหาได้ ประเทศท่ีมีเพียงสภาเดียวมักจะเป็นประเทศท่ีปกครองใน
ระบบสังคมนยิ ม
(2) ระบบสองสภา ประกอบไปด้วย 2 สภา คือ สภาสูง และสภาล่าง ทาหน้าท่ีใน
การพจิ ารณารา่ งกฎหมายและงบประมาณ มลี กั ษณะสาคญั ดงั น้ี
ก. สภาล่าง โดยท่ัวไปจะมาจากราษฎรโดยทั่วไป โดยให้ประชาชนเป็นผู้เลอื กต้ังเขา้
มา ดังนั้นโดยหลักการอานาจหน้าท่ีสาคัญ ๆ จึงอยู่ที่สภาล่าง (เพราะมาจากประชาชน) เช่น การ
พิจารณากฎหมายและงบประมาณ ประเทศไทยเรยี กสภาล่างว่า “สภาผ้แู ทนราษฎร”
นายพชิ าภพ ศรที องมาศ ครูวิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ศิ 92
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
ข. สภาสูง โดยท่ัวไปจะมาจากการแต่งตั้งหรือในบางคร้ังก็อาจมาจากการเลือกตั้ง
ทาหนา้ ท่ีในการพจิ ารณากฎหมายที่ผา่ นจากสภาล่าง ดงั นน้ั สมาชกิ สภาสูงโดยสว่ นใหญ่จึงเปน็ บุคคลผู้
มคี วามรคู้ วามสามารถและไดย้ อมรับจากประชาชนในภาพรวมและควรเป็นตวั แทนจากกล่มุ ต่าง ๆ ใน
สังคม (ส่วนใหญ่มาจากการแต่งตั้ง) ในประเทศไทยเป็นระบบ 2 สภา แบ่งได้ดังน้ีสภาผู้แทนราษฎร
(ส.ส.) เปรียบได้กับสภาล่าง มาจากการเลือกตั้งจากประชาชนผมู้ ีสิทธิเลือกตัง้ ตามรัฐธรรมนูญ 2560
กาหนดให้มี 500 คน (แบบแบ่งเขต 350 คนและแบบบัญชีรายช่ือของพรรค จานวน 150 คน)
วุฒิสภา (ส.ว.) เปรียบได้กับสภาสูง มาจากการแต่งตั้งและการเลือกต้ังรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร
ไทย 2560 ได้กาหนดให้มสี มาชิกวุฒิสภา จานวน 200 คน
3.1.2 อานาจหน้าทีข่ องสภานิติบญั ญตั ิหรือรัฐสภา
(1) หนา้ ทีใ่ นการบญั ญตั ิกฎหมาย ถอื เป็นหน้าทหี่ ลักที่สาคัญของรัฐสภา โดยทว่ั ไป
สภาล่าง (สภาผู้แทนราษฎร) จะเป็นผู้เสนอกฎหมาย และพิจารณากฎหมายข้ันต้น ส่วนสภาสูง
(วุฒิสภา) จะทาหน้าที่ในการกลั่นกรองตรวจสอบ เพื่อให้รอบคอบก่อนนาไปปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบ
ควบคุม ถ่วงดุลฝ่ายบริหารนอกจากจะมีหน้าท่ีในการบัญญัติกฎหมายแล้ว รัฐสภาจะต้องมีหน้าที่ใน
การตรวจสอบถ่วงดุลการทางานของฝ่ายบริหาร (รัฐบาล) เพ่ือตรวจสอบว่าฝ่ายบริหารทาหน้าที่
ตอบสนองต่อประชาชนมากน้อยเพียงใด มีความโปร่งและปราศจากการทุจริตในตาแหน่งหน้าท่ี
ตามที่ได้สัญญากับประชาชนหรือไม่ โดยรัฐสภาอาจตรวจสอบได้หลายแบบ เช่นการต้ังกระทู้ถาม,
การยนื่ ญัตติ, หรอื การเปดิ อภิปรายไมไ่ ว้วางใจคณะรฐั มนตรีหรอื รัฐมนตรเี ปน็ รายบุคคล
(2) ทาหน้าที่เป็นตวั แทนของประชาชน สมาชิกรัฐสภามีหน้าที่ในการรับฟังความ
คิดเห็นความเดือดร้อน รวมทั้งรวบรวมข้อมูล ความต้องการของประชาชนเพ่ือนาเสนอให้รัฐบาล
ทราบต่อไป ดังนั้นหน้าท่ีดังกล่าวจึงเป็นหน้าที่ในฐานะเป็นตัวแทนของประชาชนในเขตพื้นที่ท่ีได้รับ
การเลือกตัง้ โดยตาแหนง่ ที่สาคญั ของรปู แบบรฐั สภา คือ
ก. สภาผู้แทนราษฎรคอื ประธานสภาผ้แู ทนราษฎร
ข. วุฒิสภา มีตาแหนง่ สาคัญ คือ ประธานวุฒสิ ภา
ค. ประธานรฐั สภา คอื ประธานสภาผแู้ ทนราษฎรและ มรี องประธานรัฐสภา คอื
ประธานวุฒสิ ภา
3.2 ฝา่ ยบรหิ าร (รัฐบาล)
ความหมายและความสาคัญของสถาบันฝา่ ยบรหิ าร
ในระบบรัฐสภาและระบบประธานาธิบดี ฝ่ายบริหารมีอา นาจหน้าท่ีแตกต่างกันเราจะแบ่ง
ศกึ ษาไดด้ ังนี้
สถาบันบริหารในระบบรัฐสภา
1. ฝ่ายบริหารมีอานาจในการบริหารปกครองประเทศ มีหน้าท่ีในการนาเอากฎหมายไป
บังคับใช้ นอกจากน้ียังมีหน้าท่ีในการนิติบัญญัติบางส่วน โดยเฉพาะในตัวกฎหมายที่ต้องอาศัยการ
ตัดสินใจอย่างเร่งด่วน คือพระราชกาหนด หรือออกกฎหมายที่พระราชบัญญัติได้กาหนดให้ฝ่าย
บรหิ ารเป็นผู้ออก ซ่ึงส่วนมากเปน็ กฎหมายชนั้ รอง หรือกฎหมายลกู
นายพิชาภพ ศรที องมาศ ครวู ิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ิศ 93
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
2. ฝ่ายบรหิ ารอาจจะประกอบด้วยบคุ คลจานวนมากหรอื นอ้ ยไม่สาคญั ประเทศเผดจ็ การบาง
ประเทศมีฝ่ายบรหิ ารอยทู่ ่คี น ๆ เดียว ส่วนประเทศทเี่ ป็นประชาธปิ ไตยนน้ั ฝ่ายบรหิ ารมีอา นาจจา กดั
ในระบบรัฐสภา รัฐบาลต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐสภานอกจากนั้นหัวหน้ารัฐบาลคือ
นายกรัฐมนตรียังต้องฟังเสียงของคณะรัฐมนตรี โดยเปิดโอกาสให้คณะรัฐมนตรมี ีสิทธใิ นการอภิปราย
อยา่ งเตม็ ท่ี เม่อื มีการลงมตจิ ะตอ้ งปฏบิ ัติตามเสยี งข้างมากดว้ ย
3. นายกรฐั มนตรแี ละคณะรฐั มนตรถี ือเปน็ คณะทางานเดยี วกนั ดังนัน้ หากนายกรัฐมนตรีต้อง
หลดุ พ้นจากตาแหน่งด้วยความไม่ไว้วางใจจากรัฐสภา รฐั ประหาร หรือถงึ แก่อสัญกรรม คณะรฐั มนตรี
จะต้องออกจากตาแหนง่ ดว้ ย
4. สาเหตุที่รัฐบาลมีความเข้มแข็งและมั่นคง เพื่อให้การบริหารประเทศมีความมั่นคงมากข้ึน
ระบบรัฐสภาได้วิวัฒนาการให้ฝ่ายบริหารมีอานาจในรัฐสภามาก ซ่ึงการที่รัฐบาลมีอานาจมากน้ันสืบ
เนื่องมาจากการที่พรรคการเมืองมีความเข้มแข็ง ซ่ึงในปัจจุบันนี้สมาชิกสภาที่อยู่ใต้สังกัดพรรค
การเมืองพรรคหนึ่งพรรคใด จะต้องปฏิบัติตามมติของพรรคหรือมิฉะนั้นแล้วมีโอกาสในการถูกขับไล่
ออกจากพรรคการเมอื ง
3.2.1 ฝ่ ายบริหาร หมายถึง รัฐบาล ซ่ึงมีหน้าท่ีสาคัญในการบังคับใช้กฎหมายและ
ทาหน้าท่ีบรหิ ารประเทศ โดยมาจากความตอ้ งการของประชาชนผา่ นการเลอื กต้ัง (พรรคการเมอื ง) ใน
ประเทศไทยฝ่ายบริหารได้แก่ “รัฐบาล” หรือคณะรัฐมนตรี อันประกอบไปด้วยนายกรัฐมนตรีและ
รฐั มนตรี รวมกนั ไมเ่ กนิ 35 คน โดยมตี าแหน่งสาคญั ดงั น้ี
(1) นายกรัฐมนตรี ทาหน้าที่เป็นหัวหน้าของรัฐบาลรวมท้ังเป็นผู้นาของประเทศ ใน
รฐั ธรรมนญู ปี พ.ศ. 2560 ไดก้ าหนดให้นายกรัฐมนตรีนายกรัฐมนตรีจากบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มี
ลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160 และเป็นผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชอื่ ที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา
88 เฉพาะจากบัญชีรายช่ือของพรรคการเมืองที่มีสมาชิกได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่
น้อยกว่าร้อยละห้าของจานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร ต้องเป็น
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) นายกรัฐมนตรีจะดารงตาแหน่งรวมกันแล้วเกินแปดปีมิได้ แต่
รัฐมนตรอี าจไม่เป็นสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรก็ได้ อันเป็นอิสระของฝา่ ยรฐั บาลในการคดั สรรผู้มคี วามรู้
ความสามารถเข้ามาบริหารประเทศในแตล่ ะด้าน
(2) รัฐมนตรี ทาหน้าที่บริหารประเทศ โดยแยกไปตามกระทรวง โดยมาจากการ
แต่งตั้งจากนายกรัฐมนตรี โดยท่ัวไปแล้วจะต้องเป็นบุคคลท่ีมีความรู้ ความสามารถในด้านท่ีตัวเอง
ทางานอยู่ เพ่ือบริหารตามแนวนโยบายท่ีรัฐบาลได้วางไว้ ซึ่งอาจเป็นได้ท้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
หรือเป็นบุคคลภายนอกกไ็ ด้
(3) การท่ีรัฐมนตรีมาจากการแต่งตั้งของนายกรัฐมนตรี (นายกรัฐมนตรีเป็นผู้เลือก
ท้ังจาก ส.ส.หรือภายนอก) เพื่อเป็นไปตามแนวทางในการให้อิสระในการบริหารประเทศ แต่ในความ
เป็นจริงพบว่ารัฐมนตรีโดยส่วนใหญ่ไม่ได้มีความรู้ความสามารถในด้านที่ตนเองบริหารและรัฐมนตรี
โดยส่วนใหญ่แต่งต้ังตาม “โควตา” ของพรรคร่วมรัฐบาล ลักษณะดังกล่าวนามาซึ่งปัญหาในการ
บรหิ ารประเทศ และเสถียรภาพในการ บริหารงานของรัฐบาล
นายพิชาภพ ศรที องมาศ ครูวทิ ยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชูทศิ 94
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
3.2.2 อานาจหนา้ ทีข่ องสถาบนั บริหาร
(1) อานาจหน้าที่ในการกาหนดและดาเนินนโยบายบริหารราชการแผ่นดิน เป็น
อานาจหน้าที่หลักในการบริหารประเทศ โดยเป็นไปตามนโยบายที่รัฐบาลได้กาหนดไว้ เพื่อบริหาร
ประเทศให้มีการพัฒนาหรือแก้ไขปัญหา (นโยบายดังกล่าว มาจากการหาเสียงของพรรคการเมือง)
อาจกล่าวอีกประการ คือ รัฐบาลคือผู้ที่นานโยบายที่ตนเองได้กาหนดไว้ในการหาเสียง มาปฏิบัติให้
เกดิ ผลจริง
(2) อานาจหน้าทีใ่ นการควบคุมและส่ังการระบบราชการ ฝ่ายบรหิ ารมีอานาจหน้าที่
ในการควบคุม และส่ังให้ระบบราชการดาเนินนโยบายที่รัฐบาลได้กาหนดไว้ให้สาเร็จลุล่วงไปด้วยดี
เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน รวมท้ังส่งเสริมให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น โดยมี
นายกรัฐมนตรี (ระบบรัฐสภา) หรือประธานาธิบดี (ระบบประธานาธิบดี) ถือเป็นผู้นาสูงสุดของระบบ
ราชการ เป็นผู้มอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้มีอานาจสูงสุดในกระทรวงของฝ่ายการเมือง โดยมี
ปลดั กระทรวงเปน็ หัวหนา้ ของข้าราชการประจา
(3) อานาจหน้าท่ีในการเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจาปี และ
กฎหมายอื่น ๆ เข้าสู่สภา ฝ่ายบริหารจาเป็นต้องนาเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย
ประจาปีเข้าสู่การพิจารณาของสภา เพ่ือให้สภาเห็นชอบก่อนท่ีจะนางบประมาณดังกล่าวไปใช้จ่าย
ตามแนวนโยบายที่ได้วางไว้นอกจากนี้ฝา่ ยบรหิ ารยังมีอานาจในการเสนอกฎหมายอ่ืน ๆ ได้ เช่น พระ
ราชกาหนด, พระราชกฤษฎีกา เพ่ือใช้ในการบรหิ ารประเทศ เปน็ ตน้
(4) อานาจอ่นื ๆ นอกจากนี้ฝา่ ยบริหารยงั มีอานาจในดา้ นอ่นื ๆ หลายประการ เชน่
ทาหน้าท่ีเป็นตัวแทนของรัฐในการติดต่อประสานงานระหว่างรัฐกับรัฐ ทาหน้าท่ีบริหารเก่ียวข้องกับ
ความมน่ั คงของประเทศ เป็นตน้
3.3 ฝา่ ยตุลาการ (ศาล)
ความหมายและความสาคัญของสถาบันตุลาการ
สถาบันตุลาการมีหน้าท่ีโดยตรงในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพตามหลักกฎหมายของ
ประชาชน ดังนน้ั ผู้พิพากษาซ่ึงเปน็ ตวั จักรสาคัญในกระบวนการยุตธิ รรมจึงมีความจาเปน็ อย่างย่ิงที่จะ
ผดุงไว้ซ่ึงหลักการดังกล่าว ผู้พิพากษาจะต้องมีหลักการที่จะปฏิบัติหน้าท่ีด้วยความซ่ือสัตย์ เป็นกลาง
และปราศจากอคติใด ๆ รวมท้ังต้องมีความรู้และประสบการณ์ทางด้านกฎหมายเป็นอย่าง ดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้พิพากษาต้องไม่เป็นผู้ที่ผูกพัน หรือถูกกดดันต่อสถาบันอ่ืนใดสถาบันน้ีเป็นท่ีพึ่ง
ของประชาชนในกรณีท่ีเกิดความขัดแย้งหรือความผิดข้ึน ตุลาการจึงต้องใช้อานาจอย่างบริสุทธิ์
ยุติธรรมและเสมอภาคต่อคนทุก ๆ ชนช้ันและสาขาอาชีพ และท่ัวทุกแห่งภายในอาณาเขตของรัฐนั้น
การที่สถาบันตุลาการจะปฏิบัติหน้าที่ทั้งสองประการข้างต้นได้น้ัน ตุลาการจะต้องเป็นอิสระต่อฝ่าย
บริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ เชื่อกันว่าสถาบันตุลาการจะต้องมีความเป็นอิสระปราศจากความ
แทรกแซง ทง้ั น้เี พือ่ ให้สถาบันน้ีได้ทา งานอยา่ งบรสิ ุทธ์ิ ยุตธิ รรมปราศจากการแทรกแซงของการเมือง
แต่ความหมายของคา ว่าเป็นอิสระน้ีไม่ได้หมายความวา่ สถาบันตุลาการจะไม่มคี วามสัมพันธ์ใด ๆ กับ
สองสถาบันดังกล่าว แต่เป็นความสัมพันธ์แบบคานอานาจ (Check and Balance) คือเป็น
ความสมั พนั ธ์ท่ไี มม่ ีฝา่ ยใดอยู่ภายใตฝ้ า่ ยใด
นายพิชาภพ ศรีทองมาศ ครวู ิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชูทศิ 95
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
โดยปกติ ผู้พิพากษาหรือผู้ใช้อานาจตุลาการ มีอานาจเพียงผู้เดียวในการพิพากษาหรือใช้
กฎหมาย ดังนั้นศาลย่อมมีส่วนในการวางนโยบาย โดยเฉพาะในส่วนที่เก่ียวกับการใช้กฎหมาย
นอกจากน้ีสถาบันสถาบันตุลาการยังมีบทบาทในการตรากฎหมาย โดยจากการท่ีสถาบันนี้มีอานาจ
หน้าทใ่ี นการพิพากษาคดีตา่ ง ๆ โดยที่งานพิพากษาคดีของสถาบันตุลาการน้ัน ในอกี ทางหน่ึงก็คือการ
บัญญัติกฎหมายรวมอยู่ด้วย ดังนั้น แม้ตุลาการจะตีความกฎหมาย แต่ผลพลอยได้ของมันจะเป็น
เสมือนหนึ่งการออกกฎหมายไปด้วย ในขณะท่ีในระบบศาลอังกฤษคาตัดสินของศาลถือว่าเป็นท่ีมา
ของกฎหมายโดยตรงถึงแม้วา่ ฝ่ายตุลาการนั้นไม่มีอา นาจโดยตรงในการวางนโยบายของชาติ แต่ด้วย
อานาจหน้าท่ีของสภาบันตุลาการแล้วกล่าวได้ว่า ฝ่ายตุลาการนั้นมีส่วนเป็นอย่างมากที่เข้ามามีส่วน
รว่ มกับการวางนโยบายของประเทศ ทง้ั นี้เพราะการตคี วามกฎหมายซ่ึงเป็นหนา้ ที่ของฝ่ายตุลาการนั้น
ในบางคร้ังทา ให้เป็นการกา หนดนโยบายเพิ่มเติมด้วย ซ่ึงจะทาให้มีผลกระทบต่อประชาชน
ท่วั ประเทศ
การแต่งตั้งและเลือกต้ังผู้พิพากษา
1. แต่งต้ัง บางระบบการเมือง มีระบบการเข้าสู่ตาแหน่งของผู้พิพากษาเป็นแบบการแต่งตั้ง
ในประเทศไทยมีคณะกรรมการตุลาการ (ก.ต.) เป็นผู้พิจารณาคัดเลือกและแต่งตั้งผู้พิพากษา ใน
สหรัฐอเมริกา ผู้ที่แตง่ ตงั้ ผู้พิพากษาศาลสหพันธ์คอื ประธานาธิบดที ั้งนโ้ี ดยผ่านการรบั รองจากวุฒิสภา
ท้งั นท้ี ง้ั คณะกรรมการตุลาการและวฒุ ิสภาคอื ผทู้ ี่มีความสาคัญในการกลน่ั กรองผู้พิพากษา
2. เลอื กตั้ง สาหรับบางประเทศให้ประชาชนเป็นผเู้ ลือกต้ังผู้พิพากษาเองในบางระดับ เชน่ ใน
ประเทศสหรัฐอเมริกาให้ประชาชนในมลรัฐเปน็ ผู้เลือกตั้งผู้พิพากษาของศาลบางประเภทในมลรัฐ ซ่ึง
ทาให้ผ้พู ิพากษาไดร้ ับความภาคภมู ิใจว่าเปน็ ตวั แทนของประชาชน
บทบาทอน่ื ๆ ของฝ่ายตุลาการ
1. การตีความรัฐธรรมนูญ หน้าท่ีสาคัญประการหนึ่งของศาลคือการตีความรัฐธรรมนูญ ซ่ึงมี
ผลสาคัญคือศาลสามารถท่ีจะบังคับใช้ให้รัฐธรรมนูญใช้ไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งโดยเฉพาะ
เพราะว่ารัฐธรรมนูญจะมีความหมายแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับการตีความ การตีความน้ันหากทา
โดยศาลจะมผี ลคอื ทา ให้ทกุ คนตอ้ งยอมรบั ต้องปฏบิ ัตติ ามเหมอื นเป็นกฎหมายประเภทหนง่ึ น้นั เอง
2. การตีความกฎหมาย กฎหมายนั้น ถึงแม้ว่าจะมาจากสถาบันนิติบัญญัติก็ตามแต่กฎหมาย
ที่ผ่านสภานิติบัญญัติน้ัน บางคร้ังมีข้อความที่ไม่ชัดเจน ในทางกฎหมายจึงอาจจะทาให้เกิดปัญหาข้ึน
ในการท่ีจะเลือกดาเนินการไปอย่างใดอย่างหน่ึง เพราะไม่มีใครเข้าใจได้ว่าความมุ่งหมายท่ีแท้จริงใน
การเขียนกฎหมายคืออะไร จึงเป็นหน้าท่ีของศาลในการตีความกฎหมายให้เข้ากับเจตนารมณ์ของ
รัฐสภาผอู้ อกกฎหมาย แตห่ ากการตีความกฎหมายของศาลนน้ั หากศาลตดั สินไปคนละทางกับสภา ก็
ยากที่สภาจะแก้ไขอะไรได้เพราะสภาต้องเคารพการตัดสนิ ใจของศาล ยกเว้นจะออกกฎหมายกันใหม่
ดังนน้ั จงึ เหน็ ไดว้ า่ คาส่ังของศาลน้ันมีผลเสมือนกาหนดนโยบายใหม่ขึ้นมาอย่างชดั เจน
3. กาหนดกฎเกณฑ์ในกระบวนการยุติธรรม การกาหนดวิธีการต่าง ๆ ในกระบวนการ
ยตุ ธิ รรมเปน็ หน้าที่ของศาล กระบวนการยตุ ิธรรมถือเป็นกระบวนการท่สี าคญั ของทกุ ๆ ประเทศ ซึ่งมี
บทบาทสาคัญในการดารงความยุติธรรมในสังคม โดยศาลเป็นหน่วยงานท่ีตีความและใช้กฎหมาย จึง
นายพิชาภพ ศรที องมาศ ครูวิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ศิ 96
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
จะต้องมบี ทบาทสาคัญในการกาหนดกระบวนการในการให้ความยุติธรรมนน้ั เช่น กาหนดวิธพี จิ ารณา
กฎหมาย กาหนดวธิ พี จิ ารณาพพิ ากษาคดี กาหนดวิธีการฟอ้ งรอ้ ง เป็นต้น
4. สร้างขนบประเพณี โดยท่ัวไปการกาหนดวิธีของศาล หรือการที่ศาลยอมรับหลักการใด ๆ
มักจะกลายเป็นหลักที่มั่นคงถาวร หรือเรียกว่าขนบประเพณีแห่งศาล ซึ่งมีผลเสมือนนโยบายหรือ
กฎหมาย และจะเป็นแบบแผนการตัดสินคดีความต่อ ๆ ไป ซ่ึงถือว่าเป็นลักษณะที่เก่ียวข้องในการ
กาหนดนโยบายของฝ่ายตุลาการไดอ้ กี ทางหน่งึ
5. ให้คาแนะนาของศาล คือในกรณีท่ีเกิดปัญหาบางอย่างในแง่กฎหมาย และไม่สามารถหา
บทสรปุ ได้ จาเปน็ ตอ้ งขอคาแนะนา หรอื การตีความจากศาล เพราะเชือ่ กนั วา่ ศาลเปน็ ผทู้ างานคลุกคลี
ในกฎหมายน่าจะมีความเข้าใจและมีประสบการณ์ด้านน้ีมากกว่าหน่วยงานอื่น ศาลจึงมีโอกาสในการ
แนะนา ได้ คาแนะนา น้ีเรียกว่า Advisory Opinion ซ่ึงเป็นการวางนโยบายอย่างหน่ึงของศาล จะได้
ถอื เป็นหลักในการพิพากษาคดีอน่ื ๆ และเป็นหลกั ในการร่างกฎหมายในอนาคตดว้ ย
6. เป็นกระบวนการสุดท้ายในการสร้างความม่ันคงและผดุงไวซ้ ่ึงความยุติธรรมหากสถาบนั นี้
ไม่สามารถปฏิบัติหน้าท่ีได้อย่างเป็นอิสระและเที่ยงธรรมแล้ว สังคมก็เหมือนกับไม่มีหลัก และจะ
ประสบกับความวุ่นวาย ส่วนในประเทศเผด็จการ ศาลยุติธรรมเป็นเพียงเครื่องมือของรัฐในการสร้าง
ความชอบธรรมของตัวเองเท่านนั้
ศาลมอี านาจพจิ ารณาพิพากษาคดีทงั้ ปวง เปน็ องค์กรที่ทาหน้าทีป่ อ้ งกนั สิทธแิ ละเสรีภาพของ
ประชาชน รวมท้ังเป็นองค์กรท่ีทาหน้าที่ในการจัดการในเรื่องความขัดแย้งระหว่างองค์กรต่าง ๆ ของ
รัฐด้วยเช่นกันตามหลักการแบบประชาธิปไตย องค์กรฝ่ายตุลาการจะต้องทาการแยกตัวออกมาเป็น
อิสระจากฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ ตามหลักการคานอานาจ โดยองค์กรสาคัญคือ ศาล ซ่ึงอาจ
แบง่ ไดเ้ ปน็
(1) ศาลชนั้ ต้น คือ ศาลในระดบั ลา่ งทม่ี ีอานาจในการพจิ ารณาพิพากษาคดีท้ังทาง
แพง่ และอาญา กระจายตามจังหวัดต่าง ๆ (ศาลจงั หวดั ) ในกรงุ เทพฯ อาจแบ่งเปน็ ศาลแพง่ อาญา
(2) ศาลอทุ ธรณ์ เปน็ ศาลชั้นกลางเพือ่ เปดิ โอกาสใหค้ ่คู วามทีไ่ ม่พอใจในคาพิพากษา
หรือคาสงั่ ของศาลชน้ั ต้นเข้าสู่การพจิ ารณา
(3) ศาลฎกี า หรือศาลสงู สุดซ่ึงเปน็ ศาลสดุ ท้ายในการพิจารณาพิพากษา (นอกจากนี้
ยังมีศาลชานัญพิเศษ)
4. พรรคการเมือง
พรรคการเมือง (Political Party) มีรากศัพท์มาจากภาษาลาตินว่า Par ซึ่งแปลว่า
“ส่วน” พรรคการเมืองจึงหมายถึงส่วนของประชากรภายในประเทศ หมายถึงการท่ีแยกประชากร
ออกเปน็ ส่วน ๆ ตามความคดิ เห็นและประโยชน์ได้เสยี ทางการเมือง พรรคการเมือง ถือว่าเป็นสถาบัน
ทางการเมืองที่มีบทบาทสาคัญในระบบการเมือง เพราะพรรคการเมืองเป็นองค์กรขนาดใหญ่ท่ี
ประกอบด้วยบุคคลจานวนมาก ที่มีภาระกิจที่จะไปสู่จุดมุ่งหมายเดียวกัน พรรคการเมืองเป็นสอ่ื กลาง
ท่ีจะเช่ือมโยงระหว่างประชาชนกับรัฐบาล ถือว่าเป็นแบบแผนใหม่และเป็นเครื่องมือท่ีสาคัญที่จะชัก
นา ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองพรรคการเมืองเป็นผู้รวบรวมผลประโยชน์ของ
นายพิชาภพ ศรที องมาศ ครวู ิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ศิ 97
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
ประชาชนมาเขียนไว้ในนโยบายของพรรคตน ประชาชนคนใดเห็นพ้องกบั นโยบายของพรรคการเมือง
ใดก็จะเลือกพรรคการเมืองนั้นเข้าไปทา หน้าที่เป็นตัวแทนของตนในรัฐสภาบทบาทของพรรค
การเมืองในส่วนนี้ในประเทศไทยก็เป็นที่รบั รู้กันว่าเปน็ ไปได้เฉพาะในเรื่องทางทฤษฎี แตใ่ นทางปฏิบัติ
พรรคการเมืองไม่ได้ทา หน้าท่ีรวบรวมผลประโยชน์จากประชาชน แต่พรรคการเมืองหลาย ๆ พรรค
เป็นการรวมกลุ่มของผู้มีอานาจเช่นพรรคสามัคคีธรรม เป็นพรรคของพวกนายทหารหลังการยึด
อานาจของ รสช. พรรคชาติไทยเคยเป็นพรรคของเหล่าทหารและข้าราชการสายราชครู ปัจจุบันเป็น
พรรคนายทนุ ต่างจังหวัดท่ตี ้องการเขา้ มาเลน่ การเมืองในระดบั ชาติ ซึ่งผู้มอี า นาจทางการเมืองเหล่าน้ี
ต้องการหาอานาจเพิ่มเติมเท่านั้น อย่างไรก็ดีการศึกษาบทบาท หน้าที่ ของพรรคการเมืองจะเป็น
แนวทางใหเ้ ราเขา้ ใจระบบการเมืองในประเทศใดประเทศหนึง่ ไดด้ ีข้นึ
กาเนิดของพรรคการเมอื ง
มผี ู้ให้ความคดิ เหน็ มากมายเกยี่ วกับการกาเนิดของพรรคการเมือง แต่ทน่ี ่าสงั เกตประการหน่ึง
ก็คือ ทฤษฎีเรื่องการกาเนิดของพรรคการเมืองต่าง ๆ ล้วนแต่เป็นทฤษฎีที่เกิดขึ้นในบริบทของสังคม
ตะวันตกเท่าน้ัน ส่วนในสังคมตะวันออก พรรคการเมืองเป็นประสบการณ์นาเข้า ไม่ใช่ส่ิงท่ีเกิดจาก
วิวัฒนาการในสังคม ซึ่งการนา ทฤษฎีการกาเนิดของพรรคการเมืองไปใช้อย่างไรน้ัน จะต้องมีการ
วิเคราะห์และศึกษากนั ให้ดี ตัวอย่างของทฤษฎีตา่ ง ๆ จะขอยกมาดังนี้
1. ทฤษฎีทางจิตวิทยา ทฤษฎีน้ีเชื่อว่าคนเราแบ่งแยกตามความคิดความเชื่อได้เป็นสองพวก
ใหญ่ คอื พวก อนุรกั ษน์ ิยม และพวกเสรนี ยิ ม นอกจากนี้พวกอนรุ ักษน์ ยิ มและพวกเสรีนยิ มยังแบ่งเป็น
พวกมองโลกในแง่ดี และพวกมองโลกในแง่ร้ายอีกด้วย ด้วยเหตุนี้จึงเป็นบ่อเกิดของพรรคการเมือง
แบบสมัยใหม่ (Liberals) และพรรคการเมืองแบบอนุรักษ์นิยม (Conservativism) พวกหัวปฏิวัติ
(Revolutionaries) และพวกถอยหลังเข้าคลอง (Reactionaries)
2. ทฤษฎีทางเศรษฐกิจและสังคม ทฤษฎีน้ีมองว่า การเกิดข้ึนของพรรคการเมืองมี
ความสัมพันธ์กับสภาพทางเศรษฐกิจและสังคม กับการแบ่งชนชั้น เช่นในอดีตประเทศอังกฤษมีสอง
พรรคการเมืองหลัก ได้แก่พรรควิก (Whig) และพรรคทอรี่ (Tory) พรรควิก ได้รับการสนับสนนุ จากผู้
ประกอบอาชีพเป็นพ่อค้า มัง่ มี เปน็ เศรษฐี ในขณะท่ีพรรคทอรี นั้นเป็นพวกผ้ดู เี ก่า ขุนนาง และศาสน
จักร เป็นต้น ส่วนในประเทศสหรัฐอเมริกานั้น ผู้ที่เลือกพรรคเดโมแครต ก็มักจะเป็นคนด้อยโอกาส
คนยากจน และคนผิวสี สว่ นพรรครีพบั บลิกันเปน็ ท่นี ิยมในหมู่ชนช้ันกลาง ผูม้ งั่ มี และพวกนายทนุ
3. ทฤษฎีทางอุดมการณ์หรือหลักการ ทฤษฎีนี้เช่ือว่าพรรคการเมืองเกิดมาจากอุดมการณ์
กล่าวคือคนท่ีมีแนวความคิดคล้ายคลึงกัน รวมตัวกันเพ่ือทา การตามอุดมการณ์ที่ได้วางไว้ ซ่ึงอาจจะ
เป็นไปในทางทดี่ หี รือร้าย เกดิ ผลแก่ประชาชนหรือสว่ นตวั ก็ได้เชน่ พรรคนาซีของเยอรมันช่วงก่อนและ
ระหว่างสงครามโลกครงั้ ที่ 2 หรือพรรคอัมโนของมาเลเซียในปัจจุบัน ที่มอี ดุ มการณ์ชาตินยิ มเป็นแกน
หลัก
4. ทฤษฎีการจัดองค์การ ทฤษฎีน้ีเช่ือว่าผู้นา เป็นผู้มีอิทธิพลท่ีจะช่วยส่งเสริมให้พรรค
การเมืองก่อตั้งและย่ังยืนต่อไปได้ พรรคการเมืองที่มีผู้นา ท่ีเป็นท่ีน่าเชื่อถือเช่นพรรคพลังธรรม ซึ่งใน
สมยั หนง่ึ มชี ื่อเสยี งข้ึนมาในเขตเมืองได้เพราะแบบแผนการดา รงชวี ิตของพลตารวจตรีจาลอง ศรีเมือง
เม่ือท่านข้ึนมาเป็นผู้ว่ากทม. ได้ปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้รับการยอมรับจากประชาชน
นายพชิ าภพ ศรีทองมาศ ครวู ิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชูทศิ 98
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
ตรงกันข้ามเมื่อเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ท่านได้รับการโจมตีมากกับบทบาททางการเมืองใน
ขณะนั้น ความนยิ มในตัวท่านลดลงอย่างรวดเรว็ จนในท่ีสุด ปจั จบุ ันพรรคนี้เกือบทจ่ี ะไม่มีบทบาททาง
การเมอื งอีกต่อไป
4.1 ความหมายของพรรคการเมือง คือ คณะบุคคลที่รวมกันเป็นองค์การตามแนวความคิด
เห็นหรือหลักการบางอย่างที่เห็นพ้องต้องกัน เพื่อกาหนดประเด็นปัญหาและคัดเลือกบุคคลเข้ารับ
สมัครรับเลือกตั้งโดยมีจุดมุ่งหมายที่จะเข้าไปควบคุมดาเนินงานและวางนโยบายของรัฐบาล (สุพจน์
บญุ วเิ ศษ,2549)
พรรคการเมือง (Political Party) ถือเป็นสถาบันทางการเมืองที่มีบทบาทสาคัญใน
ระบบการเมืองเพราะพรรคการเมืองเป็นองคก์ รขนาดใหญท่ ี่ประกอบดว้ ยบุคคลจานวนมากที่มีภารกิจ
ทจ่ี ะไปส่จู ดุ ม่งุ หมายเดยี วกนั พรรคการเมอื งจึงเป็นสื่อกลางท่จี ะเช่ือมโยงระหว่างประชาชนกับรัฐบาล
โดยถอื วา่ เป็นแบบแผนใหม่และเป็นเครื่องมือทส่ี าคัญท่ีจะชักนาใหป้ ระชาชนเข้ามามีสว่ นรว่ มทางการ
เมือง หน้าท่ีในการสร้างความเช่ือมโยงของพรรคการเมือง เป็นปัจจัยสาคญั ทก่ี ่อให้เกดิ เสถียรภาพทาง
การเมอื งซงึ่ ยงั คงมีตัวแปรอ่ืน ๆ อีกเปน็ อันมาก แตส่ ่งิ ท่ีพรรคการเมืองซง่ึ แสวงหาอานาจทางการเมือง
จะต้องกระทาก็คือ การก่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยข้นึ มา พรรคการเมืองต้องพยายามขยาย
ผลประโยชนท์ ีพ่ รรคเปน็ ตัวแทนอยูใ่ ห้กว้างขวางออกไปและทาให้ผลประโยชนเ์ หล่าน้ีกลมกลืนกัน
พรรคการเมืองทาให้รัฐบาลและประชาชนมีความเช่ือมโยงกัน พรรคการเมืองจะเป็นผู้ให้
การศึกษาคาแนะนา และกระตุ้นผู้ออกเสียงเลือกตั้ง จะทาการติดต่อกับผู้ไม่สู้สนใจการเมืองอย่าง
สมา่ เสมอ ชน้ี าบคุ คลเหล่านใ้ี ห้มีความตระหนักและยอมรับนโยบายต่าง ๆ โดยผ่านทางสอื่ มวลชนและ
องค์กรพรรคในท้องถิ่นจะทาการปลุกระดมพลเมือง โดยเฉพาะอย่างย่ิงในช่วงระยะเวลาของการ
เลอื กตัง้ ดว้ ยวิธีการต่าง ๆ เพ่ือให้พรรคได้รบั คะแนนเสยี งมากขึน้
4.2 องคป์ ระกอบของพรรคการเมือง
พรรคการเมืองเปน็ องค์การทางการเมืองท่ีมีการจดั รปู แบบและการจัดรูปแบบนเี้ ป็น
เคร่ืองมือท่ีแสดงให้เห็นว่าพรรคการเมืองมีความเข้มแข็งหรืออ่อนแอ ซึ่งส่วนประกอบของพรรค
การเมืองประกอบดว้ ย
4.2.1 การจดั องค์การของพรรค การรวมตัวของพรรคเป็นไปด้วยความสมัครใจ มี
ลักษณะเป็นองค์การอย่างหน่ึง มีสานักงานเป็นศูนย์กลางการติดต่อและประสานงาน มีระเบียบและ
ข้อบังคับในการดาเนินกิจการของพรรค มีการแบ่งงานเป็นสาขาต่างๆและกาหนดการบังคับบัญชา
เป็นสาย ตั้งแต่ส่วนกลางไปยังส่วนท้องถ่ิน เช่น หัวหน้าพรรค รองหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค
โฆษกพรรค เป็นตน้
4.2.2 มีอดุ มการณ์ พรรคการเมืองต้องมีหลักการทางด้านการเมือง เศรษฐกิจและ
สังคมที่เห็นพอ้ งต้องกนั เปน็ แกนกลางยดึ เหนี่ยวสมาชิกในพรรค โดยอุดมการณ์นี้จะต้องเป็นประโยชน์
แกส่ ว่ นรวม ความแตกตา่ งของอดุ มการณ์จะเปน็ ลกั ษณะเฉพาะของพรรคการเมืองแตล่ ะพรรค
นายพิชาภพ ศรีทองมาศ ครูวทิ ยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ศิ 99
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
4.2.3 นโยบายของพรรค พรรคการเมืองต้องมีการศึกษาสภาวะของประเทศ เสนอ
วิธีแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น โดยพรรคจะรวบรวมเป็นโครงการหรือนโยบายทั้งระยะสั้นและระยะยาว เสนอ
ให้ประชาชนพจิ ารณาในฐานะเปน็ นโยบายพรรค
4.2.4 ระบบการเงินของพรรค เป็นปัจจัยสาคัญในการบริหารพรรค กระบวนการ
ได้มาซึ่งเงินสนับสนุนทั้งจากภายนอก จากการอุดหนุนจากสมาชิกหรือการหารายได้จากทางอ่ืนของ
พรรคนัน้ ตอ้ งเป็นไปอยา่ งเปิดเผย
4.2.5 จุดประสงค์หลกั ในการจัดต้งั รัฐบาล โดยพรรคการเมืองทุกพรรคย่อมมี
จุดมุ่งหมายสูงสุดท่ีจะได้รับเสียงสนับสนุนมากพอท่ีจะจัดตั้งรัฐบาล การเป็นรัฐบาลจึงเป็นเป้าหมาย
สูงสุดของพรรคการเมืองเพราะรัฐบาลจะมีอานาจในการบริหารประเทศตามนโยบายและแนวทาง
อดุ มการณข์ องพรรคให้เป็นผลสาเรจ็
4.3 หน้าทีข่ องพรรคการเมือง
โดยทั่วไปพรรคการเมอื งมหี นา้ ทท่ี ่ีสาคญั ดังนี้
4.3.1 ให้การศึกษาทางการเมืองแก่ประชาชน เมื่อใช้ประชาชนได้มองเห็น
ความสาคัญของตนเองในฐานะเป็นเจ้าของประเทศและเจ้าของอานาจอธิปไตย และมีส่วนร่วมในทาง
การเมอื ง
4.3.2 สรรหาบคุ คลที่มีความรู้ความสามารถในการเป็นผู้แทนราษฎรในระบอบ
ประชาธิปไตย
4.3.3 ประสานประโยชน์ของกล่มุ อิทธิพล และกล่มุ ผลประโยชน์ต่าง ๆ
4.3.4 การระดมสรรพกาลงั ทางการเมือง พรรคการเมืองจะทาหน้าท่ีเป็นศูนย์พลัง
ทางการเมืองเพราะเป็นท่ีรวมของกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ และประชาชนท่ีมีความคิดสร้างสรรค์
ทางด้านการเมือง เศรษฐกิจและสงั คมในแนวทางกวา้ ง ๆ ทีค่ ลา้ ยคลงึ กนั เพื่อหาโอกาสเป็นรฐั บาล
4.3.5 หน้าที่ในฐานะเป็ นฝ่ ายค้าน ในระบอบประชาธิปไตย พรรคการเมืองที่มี
สมาชกิ ไดร้ บั เลอื กตั้งน้อย และไมส่ ามารถจดั ตั้งรัฐบาลได้ ก็จะทาหน้าทเ่ี ป็นฝ่ายค้านฝ่ายค้านนน้ั ถือว่า
สาคัญในระบอบประชาธปิ ไตย
4.4 ระบบพรรคการเมือง แบง่ เปน็ 3 ระบบใหญ่ ๆ ได้ดังนี้
4.4.1 ระบบพรรคเดีย่ ว (One Party System) หมายถึง พรรคการเมืองท่ีมีอานาจ
อย่างแท้จริงพรรคเดียวภายในประเทศ หรือเป็นพรรคท่ีผูกขาดในทางการเมืองแต่เพียงพรรคเดียว
อาจแบง่ ได้ดงั นี้
(1) มพี รรคการเมอื งพรรคเดียวในรฐั และรฐั ธรรมนูญกาหนดไว้หา้ มมิใหม้ พี รรคอื่น
(2) มีพรรคการเมืองท่ีได้รับเลือกเป็นรัฐบาลเพียงพรรคเดียว และได้รับความนิยม
จากประชาชนมาโดยตลอดโดยอาจมีพรรคการเมืองอื่นอยู่บ้างแต่ไม่มีความเข้มแข็งทางการเมืองและ
ไม่มบี ทบาทมากนกั
นายพิชาภพ ศรที องมาศ ครวู ทิ ยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชูทิศ 100
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
4.4.2 ระบบสองพรรค (Two Party System) หมายถึง การที่ประเทศหรือรัฐมี
พรรคการเมืองใหญ่ ๆ เพียงสองพรรคที่มีโอกาสเป็นรัฐบาลโดยเสียงของประชาชนในการเลือกต้ัง จะ
ทาใหม้ ีการผลัดกันเป็นรฐั บาลแล้วแตว่ า่ พรรคใดจะได้คะแนนเสียงมากกว่า ระบบสองพรรคมลี ักษณะ
ดงั นี้
(1) จะเกดิ ในประเทศท่ีมเี สรีภาพในทางการเมือง
(2) ประชาชนสามารถที่จะทางานร่วมกัน มีระเบียบวินัยพอที่จะทาความตกลง
ประนปี ระนอมในสิ่งท่แี ตกตา่ งกนั เล็กนอ้ ย หลายประการให้มารวมกนั ได้
(3) ทาใหเ้ กิดทางเลอื กทแี่ นช่ ดั
(4) ทาให้ประชาชนรู้ว่าพรรคใดเป็นผู้รับผิดชอบในการดาเนินนโยบายในการ
ปกครองประเทศในขณะ ใดขณะหนงึ่
(5) มติมหาชนสามารถแสดงออกได้อย่างมีประสทิ ธิภาพคือประชาชนสามารถแสดง
ความคดิ เห็นดว้ ยเสียงขา้ งมากได้อย่างแทจ้ รงิ
4.4.3 ระบบหลายพรรค (Multi-Party System) ระบบหลายพรรคน้ีอาจจะเกิด
ขึ้นกับประเทศซึ่งประชาชนมีเสรีภาพมากหรือกับประเทศที่ประชาชนไม่มีความรู้ความเข้าใจเร่ือง
พรรคการเมือง ไมม่ ีพรรคใดมีเสยี งข้างมากในสภาอย่างแท้จรงิ ซง่ึ จะเป็นผลเสยี ต่อประเทศดงั นี้
(1) ไมม่ พี รรคใดทจี่ ะเป็นตวั แทนของเสียงข้างมากในประเทศ
(2) ไมอ่ าจที่จะเอาอะไรมาเป็นหลักเกณฑใ์ นการวางนโยบาย
(3) ผวู้ างนโยบายกป็ ระกอบด้วยบุคคลหลายกลุ่ม จงึ ทาให้รัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ
(4) รัฐบาลจะต้องเสียเวลาไปกับการประนีประนอมระหว่างกลุ่มจนไม่สามารถท่ีจะ
วางนโยบาย และปฏิบตั ิตามนโยบายได้อย่างเต็มท่ี
(5) รัฐบาลไม่มีความเป็นปึกแผ่นม่ันคง มีโอกาสสลายตัวได้ง่ายในเมื่อเกิดขัดแย้ง
ภายในอยา่ งรุนแรง
4.5 ลกั ษณะสาคญั ของพรรคการเมืองไทย
4.5.1 ระบบ การทไี่ มม่ ีพรรคการเมืองใดได้เสยี งจานวนมากหรืออย่างเพยี งพอส่งผล
ให้จะต้องอาศัยจานวนเสียงของพรรคการเมืองขนาดเล็กและกลางทั้งหลาย เพ่ือฟอร์มทีมข้ึนเป็น
รัฐบาลลักษณะดังกล่าวนามาสู่การต่อรองตาแหน่งรัฐมนตรีของพรรคการเมืองขนาดเล็กต่าง ๆ ส่ิงท่ี
ตามมาคือการเมืองไทยจึงสนใจแต่ผลประโยชน์ท่ีตนเองหรือพวกพ้องที่จะได้รับเพียงเท่านั้น
โดยเฉพาะในทางการเมืองพรรคการเมืองขนาดเล็กดังกลา่ วอาจย้ายข้างไปสู่ฝ่ายค้านหรือการไม่ลงมติ
ไวว้ างใจรฐั บาล สง่ ผลใหข้ าดเสถยี รภาพในการทางานเพราะจะตอ้ งเกิดการเลอื กตัง้ บ่อยครัง้
4.5.2 โครงสร้าง พรรคการเมืองไทยขาดโครงสร้างหรือฐานรองรับจากประชาชน
โดยส่วนใหญ่โครงสร้างจะอยู่ท่ีตัวเมืองหลวงเป็นสาคัญ แต่ท่ีอยู่ในเขตชนบทหรือภูมิภาคมีน้อยมาก
ดังน้ันอาจกล่าวว่าขาดการสนบั สนนุ จากประชาชนในเขตพื้นที่ตา่ ง ๆ อยา่ งแทจ้ ริง
นายพิชาภพ ศรที องมาศ ครูวทิ ยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชูทิศ 101
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
4.5.3 อุดมการณ์ พรรคการเมืองในประเทศไทยเป็นพรรคการเมืองท่ีขาด
อุดมการณ์ทางการเมืองเป็นหลัก แต่จะเกิดจากการรวมตัวกันของสมาชิกเพื่อทาการเลือกตั้งเป็น
สาคัญ
4.5.4 จานวน พรรคการเมืองในประเทศไทยมีจานวนมาก อาจมีได้ถึง 30 – 50
พรรคในการเลือกต้ังคร้ังหนึ่ง ๆ โดยมีสาเหตุมาจากคนไทยขาดการประนีประนอม และมักยึดถือ
ความขดั แยง้ ในเรอ่ื นโยบายเปน็ เรื่องส่วนตัวและมีลักษณะของอานาจนยิ ม
5. กล่มุ ผลประโยชน์และสอื่ มวลชน
กลมุ่ ผลประโยชน์ หมายความถงึ การรวมตวั กันของผู้มผี ลประโยชน์รว่ มกัน เนอื่ งจากในสังคม
ปัจจุบัน มีความซับซ้อนหลากหลายมากกว่าสังคมด้ังเดิมมาก เกิดอาชีพหลายอาชีพ เกิดตาแหน่ง
หน้าท่ี ความรบั ผดิ ชอบ บทบาท สถานภาพทีแ่ ตกตา่ งกัน คนที่อยใู่ นสงั คมที่มีความหลากหลายเหล่าน้ี
จึงเข้ามารวมตัวกัน ซ่ึงอาจจะเป็นการรวมตัวขึ้นเพื่อสร้างความม่ันคงในอาชพี การงาน เพ่ือรักษาและ
เสาะหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจหรือการเมืองก็ได้ การรวมตัวกันของผู้ที่เหน็ ประโยชนร์ ว่ มกนั น้ีเป็น
ท่ีมาของการเกิดกลุ่มผลประโยชน์การรวมตวั กันเปน็ กลุ่มผลประโยชน์ดงั กล่าวจึงเป็นช่องทางในการมี
ส่วนร่วมทางการเมืองในประเทศตะวนั ตกทีเ่ ป็นประชาธปิ ไตย กล่มุ ผลประโยชนต์ า่ ง ๆ มีความสาคัญ
ต่อการเมืองของประเทศคือ สามารถเข้าไปมีอิทธิพลทางการเมืองต่อรัฐ และช่วยปิดช่องว่างระหว่าง
เอกชนกับรัฐบาล หมายความว่า กลุ่มผลประโยชน์เป็นสะพานเชื่อมความต้องการของบุคคลในการ
เรียกร้องความสนใจจากรัฐบาล ในประเทศไทยเรากลุ่มผลประโยชน์ไม่เข้มแข็ง การเรียกร้องความ
ต้องการของปัจเจกบุคคลต่อรัฐบาลบางคร้ังจึงต้องใช้วิธีการท่ีแปลกประหลาด หรือไม่เป็นไปตาม
ระบบ เช่นราดอุจจาระใส่ตัวเองเพ่ือเรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาควบคุมการออกพันธบัตรของธนาคาร
ออมสินด้วยเหตุนี้กลุ่มผลประโยชน์มักจะพยายามมีบทบาทหรอื มีกิจกรรมทางการเมืองทั้งน้เี พ่ือสร้าง
อิทธพิ ลในการกา หนดนโยบายของชาติ เชน่ ในสหรัฐอเมริกา กลมุ่ ผู้บรโิ ภคมากดดันใหร้ ฐั บาลควบคุม
อตุ สาหกรรมบหุ ร่ี ไม่ให้ขยายไปยังกลมุ่ เดก็ และสตรี เปน็ ต้น
5.1 ความหมายของกลุ่มผลประโยชน์ คือ การรวมตัวกันของผู้มีผลประโยชน์ร่วมกัน
เน่ืองจากในสังคมปัจจุบันมีความซับซ้อนหลากหลายมากกว่าสังคมด้ังเดิมมาก เกิดอาชีพหลายอาชีพ
เกิดตาแหน่ง หน้าท่ีความรับผิดชอบ บทบาท สถานภาพท่ีแตกต่างกัน คนท่ีมีความหลากหลายใน
สังคมเหลา่ นจ้ี ึงเข้ามารวมตวั กันโดยอาจจะรวมตวั กนั เพ่ือสรา้ งความมั่นคงในอาชีพการงาน เพื่อรักษา
และเสาะหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจหรือการเมืองก็ได้ การรวมตัวกันของผู้ท่ีเห็นผลประโยชน์
ร่วมกันนี้ เป็นท่ีมาของการเกิดกลุ่มทางสังคมนอกจากน้ี David B. Truman ได้กล่าวว่า กลุ่ม
ผลประโยชน์มีลักษณะแตกต่างไปจากกลุ่มโดยทั่วไปตรงที่การเข้ารวมกันของสมาชกิ ภายในกลุ่มไม่ได้
เปน็ ไปเพ่ือให้ได้มาซึ่งส่งิ ทีเ่ ป็นจุดหมายหรือผลประโยชน์ของกลุ่มเท่านนั้ แต่ตอ้ งมที ัศนคติรว่ มกันด้วย
ประกอบดว้ ย
5.1.1 ต้องมีทัศนคติร่วมกัน ผลประโยชน์ร่วมกัน จากการประนีประนอมต่อรอง
ภายใตก้ ตกิ าทีย่ อมรบั ของกลุ่ม
นายพิชาภพ ศรีทองมาศ ครูวิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชูทิศ 102
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
5.1.2 ต้องมีการจัดต้ังองค์การอย่างถาวร เชน่ มีกรรมการบริหาร ระเบยี บ กฎเกณฑ์
ในการคัดเลือกผนู้ า สมาชิก เปน็ ตน้
5.1.3 ต้องมปี ฏสิ ัมพันธร์ ะหว่างสมาชิกในกลมุ่ และระหวา่ งกลุม่
5.1.4 ตอ้ งมกี จิ กรรมรว่ มกนั อย่างตอ่ เน่อื ง
ดร. สุขุม นวลสกุล ได้ให้ความหมายว่า คือ กลุ่มบุคคลที่รวมกันเพราะมีอาชีพ หรือ
จุดประสงค์อย่างเดียวกัน และต้องการที่จะให้นโยบายของรัฐสนองความต้องการของกลุ่มคน การ
รวมกันของกลุ่มผลประโยชน์คล้ายคลึงกับการรวมกันเป็นพรรคการเมือง แต่แตกต่างกันที่พรรค
การเมืองต้องการเป็นรัฐบาลเพ่ือกาหนดนโยบายเอง ส่วนกลุ่มผลประโยชน์ไม่ต้องการเป็นรฐั บาล แต่
ต้องการใหร้ ัฐบาลมีนโยบายสอดคลอ้ งกบั ความต้องการของกลุ่ม
โดยสรุปแล้วกลุ่มผลประโยชน์ คือ กลุ่มบุคคลที่มีความสนใจหรือมีผลประโยชน์ร่วมกัน มี
ปฏิสัมพันธ์กันโดยความสมัครใจ และพยายามกระทาการเพ่ือให้ผู้มีอานาจในการตัดสินใจทาง
การเมือง กระทาหรือไม่กระทาการอันใด ให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของกลุ่มตน แต่ใน
ขณะเดียวกนั กป็ ฏเิ สธที่จะรบั ผดิ ชอบโดยตรงทจ่ี ะปกครองประเทศ
5.2 บทบาทของกลุ่มผลประโยชน์ ที่เกิดขึ้นในกระบวนการทางการเมืองการปกครองมี
ลกั ษณะดังน้ี
5.2.1 ทาใหน้ โยบายของชาติเป็นของประชาชนอย่างแทจ้ ริง การเรยี กรอ้ งของกลุ่ม
ผลประโยชน์และการประนีประนอมของกลุ่มผลประโยชน์ระหวา่ งกัน เพ่ือให้นโยบายของรัฐเป็นส่งิ ที่
เกิดข้ึนจากการเจรจาต่อรองระหว่างกลุ่มต่าง ๆ เหล่านี้ ในการส่ือสารกับสมาชิกในกลุ่มทาให้ชาติ
ไดผ้ ลประโยชนใ์ หม่ซงึ่ เปน็ ของทกุ คนร่วมกัน
5.2.2 กล่มุ ผลประโยชน์พยายามมีอิทธิพลในทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าท่ี
รัฐ สมาชิกสภารัฐบาล และฝ่ายตุลาการโดยผ่านการเลือกต้ังและผ่านพรรคการเมืองท่ีมีอิทธิพลใน
สภา
5.2.3 พยายามเข้าถึงองค์กรที่กาหนดนโยบายของชาติ โดยใช้โอกาสท่ีรัฐบาล
อาจจะเอ้ือให้ในช่วงเวลาใดเวลาหน่ึง และสร้างอิทธิพลต่อการกาหนดนโยบายของรัฐ เช่น การยื่นข้อ
เรียกร้อง การชุมนุมประท้วง เป็นต้น เพราะการกาหนดนโยบายของรัฐในระบอบประชาธิปไตย
จะต้องพิจารณาถึงผลประโยชน์ของประชาชนด้วย เพราะฉะน้ันกลุ่มผลประโยชน์จึงมีอิทธิพลต่อการ
กาหนดนโยบายของรฐั มากกวา่ ปัจเจกบคุ คล
5.2.4 ติดตามและประเมินผลงานบทบาทของรฐั บาล โดยมีเป้าหมายเพื่อต้องการ
จากดั อานาจรัฐบาลและใหร้ ัฐบาลสนบั สนนุ วตั ถุประสงค์ของกลมุ่
5.2.5 สร้างอิทธิพลต่อสมาชิกสภานิติบัญญัติให้ดาเนินตามกฎหมาย ไปใน
ทิศทางตามท่ีกลุ่มของตนต้องการ ซึ่งอาจเป็นไปเพ่ือให้ออกกฎหมายหรือระงับกฎหมายก็ได้ วิธีสร้าง
อทิ ธพิ ลตอ่ สมาชกิ รัฐสภาท่ีนิยมคอื การ Lobby
นายพชิ าภพ ศรีทองมาศ ครวู ิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชูทศิ 103
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
5.3 ประเภทของกลุ่มผลประโยชน์
5.3.1 แบ่งตามลกั ษณะของกล่มุ
(1) กลุ่มทางการเมือง ได้แก่ สมาคมทางการเมือง, ชมรมทางการเมอื ง
(2) กลุ่มทางเศรษฐกิจ ได้แก่ สหกรณ์, ห้างหุ้นส่วนจากัด, บริษัท, สมาพันธ์หรือ
สมาคมสหภาพแรงงาน เปน็ ต้น
(3) กลุม่ ทางสงั คม ไดแ้ ก่ มลู นธิ ิ องคก์ ารทางศาสนา สมาคมหรอื สโมสร เป็นตน้
5.3.2 แบ่งตามการรองรับของกฎหมาย
(1) กลุ่มที่เป็นทางการ ได้แก่ การทีม่ กี ฎหมายรฐั รับรองฐานะของกลุ่ม เชน่ สหกรณ์
บริษัท สมาคม หรอื สโมสร
(2) กลุ่มที่ไม่เป็นทางการ ได้แก่ กลุ่มท่ีรวมตัวกันขึ้นโดยไม่มีกฎหมายของรัฐยอม
รับรองฐานะของกลุ่ม เชน่ การรวมตวั กันของบคุ คลทั่วไป การพกั ผอ่ นหยอ่ นใจ
นอกจากน้ี Almond and Powell แบง่ ประเภทกลุ่มผลประโยชนอ์ อกเปน็ 4 ประเภท คือ
(1) กลมุ่ ผลประโยชน์ท่เี ป็นสถาบนั เชน่ บริษทั กลุ่มธุรกจิ กองทัพ ข้าราชการ
(2) กลุ่มผลประโยชน์ท่ีมีการจัดต้ัง เชน่ สหภาพแรงงาน สมาคมพอ่ ค้า หอการค้า
(3) กลุ่มผลประโยชน์ท่ีไม่มีการจัดตั้ง ไม่มีการรวมตัวกันในรูปแบบเป็นทางการ เช่น
กล่มุ ชนชั้น กลมุ่ เครือญาติ
(4) กลมุ่ ผลประโยชน์ท่ีไร้บรรทัดฐาน รวมตัวกนั เม่อื เกิดวิกฤตริ ้ายแรง เช่น กลุ่มผกู้ ่อความไม่
สงบ กลุม่ ผปู้ ระท้วงเป็นต้น
5.4 ลักษณะกลุ่มประโยชน์ในประเทศไทย โดยท่ัวไปจะอยู่ในรปู แบบของกลุ่ม สมาคม โดย
ไมย่ ่งุ เกย่ี วหรอื แสดงบทบาททางการเมือง เนอื่ งจากสาเหตุทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจ สังคมทไ่ี มส่ ง่ เสริม
ให้คนไทยรวมกลุ่มกัน ประกอบกับมีกฎหมายมักจะมีข้อห้ามในการรวมกลุ่ม สมาคม ที่มีกิจกรรม
เก่ียวข้องกับทางการเมืองจึงทาให้กลุ่มผลประโยชน์ไม่มีการพัฒนาไปสู่สถาบันท่ีเข้มแข็ง ลักษณะ
สาคญั ของกลมุ่ ผลประโยชนข์ องไทย คอื
(1) ยกย่องผู้มีอานาจบารมี ผู้มีชื่อเสียงเข้ามาเป็นผู้นากลุ่ม อันมาจากระบบอุปถัมภ์ใน
สังคมไทย
(2) ขาดเอกภาพ เน่อื งจากความขดั แยง้ ภายในกล่มุ ทาให้กลุ่มไมม่ ศี ักยภาพเพียงพอในการ
แสดงอิทธิพลของกลุ่ม
(3) อานาจเด็ดขาดในการตดั สินใจหรือการกาหนดนโยบายอยู่ที่ผมู้ ีอานาจเพยี งกลุ่มเดียว
โดยสรุปแล้ว กลุ่มผลประโยชน์ในประเทศไทยนั้น สมาชิกส่วนใหญ่ไม่มีบทบาทแต่อย่างใด
ดังน้ันกลุ่มผลประโยชน์จึงเป็นของกลุ่มคนเพียงไม่ก่ีคน กลุ่มผลประโยชน์ของไทยมักจะเป็นกลุ่มที่ถกู
จัดตั้งขึ้นมาโดยกลุ่มคนเล็กๆ และแสวงหาสมาชิกเพื่อรองรับความชอบธรรม ให้ดูเป็นกลุ่ม
ผลประโยชน์ท่ีมีสมาชิกมาก ทั้งที่ความจริงแล้วสมาชิกไม่มีความเข้าใจหรือสานึกในความเป็นกลุ่มแต่
อย่างใดและสมาชิกไม่มีบทบาทรวมท้ังผลประโยชน์ที่แท้จริงของกลุ่มนั้นเป็นเพียงผลประโยชน์ของ
สมาชิกระดับผู้นาเพียงไม่ก่ีคน ดังน้ันกลุ่มผลประโยชน์ของไทยจึงยังไม่มีความเป็นสถาบันท่ีเข้มแข็ง
เพียงพอ
นายพชิ าภพ ศรที องมาศ ครวู ทิ ยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชูทศิ 104
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
สื่อมวลชน (Mass Media)
ความหมายและความสาคญั
สอ่ื มวลชน อันไดแ้ ก่ หนังสือพิมพ์ วทิ ยุ โทรทศั น์ ภาพยนตร์ ต่างมีบทบาทสาคัญในการเข้าถึง
และเปลี่ยนแปลงความคิดของประชาชนได้อย่างรวดเรว็ และมีประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะในประเทศ
ท่ีมีการปกครองแบบระบอบประชาธิปไตย สื่อมวลชนเป็นสิ่งท่ีสาคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสรีภาพใน
การเข้าถงึ สื่อมวลชนเป็นส่ิงท่สี าคญั ย่งิ กว่า เพราะหากประชาชนไมม่ ีเสรีภาพในการแสดงออกและโดย
การเข้าถึงส่ือมวลชนแล้วประชาธิปไตยก็เป็นไปได้ยากย่ิงบทบาทท่ีสาคัญของสื่อมวลชนมีสองทาง
ทางแรกคอื สะท้อนความเห็นของมวลชนและทางทส่ี องคือ เปน็ กระบอกเสยี งให้กับรฐั บาล ในประการ
แรกความคดิ เหน็ ของสอื่ มวลชน อาจจะสะท้อนเสียงของประชาชน เพราะสื่อมวลชนกเ็ ป็นผลผลติ ของ
สังคม หากสื่อมวลชนพูดอะไรท่ีไม่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน ส่ือน้ันก็จะไม่ได้รับการ
เชื่อถือ เช่นในปัจจุบันหากสื่อจะมาพูดเรื่องคอมมิวนิสต์คงเป็นเร่ืองพ้นสมัยเป็นการโฆษณาชวนเช่ือ
จากรัฐบาล สื่อมวลชนอาจจะรับใช้รัฐบาลก็ได้ โดยการโฆษณาชวนเชื่อ หรือเป็นกระบอกเสียงให้กับ
การทา งานของรัฐบาล จะเห็นได้ชัดเจนในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการ เช่นประเทศจีน
พม่า หรือประเทศทุนนิยมเผด็จการเช่นประเทศสิงคโปร์ เป็นต้น ส่วนประเทศท่ีอ้างว่าเป็น
ประชาธิปไตยเชน่ สหรฐั อเมริกาก็เช่นเดยี วกนั มกี ารใชป้ ระโยชนจ์ ากส่อื มวลชน ในการอา้ งความชอบ
ธรรมของการต่างประเทศของสหรัฐไปท่ัวโลกในปัจจุบัน สื่อมวลชนมีอิทธิพลต่อประชาชนอย่างมาก
วิทยุ โทรทัศน์ และภาพยนตร์ เป็นสื่อที่ทา ให้ผู้บริโภคท้ังได้เห็นและได้ยิน จึงมีบทบาทสาคัญในการ
เปล่ียนแปลงมติมหาชน และสร้างความคิดเห็นของมวลชนได้ดี เช่นการท่ีส่ือมวลชนโดยเฉพาะวงการ
ภาพยนตร์ พยายามสร้างหนังกระแสชาตินิยม เพื่อสร้างกระแสรักชาติให้เกิดในสังคมไทยแต่ในอีกแง่
หนึ่งก็น่าสนใจท่ีจะศึกษาว่าการสร้างหนังกระแสชาตินิยมเร่ืองที่ 2, 3 และเรื่องต่อ ๆ ไปนั้น เพ่ือ
ประโยชนใ์ นการค้ามากกว่าจะม่งุ สร้างกระแสหรอื ไม่
ปัจจัยทีท่ าใหส้ ือ่ มวลชนมีความสาคัญในทางการเมือง
1. การขยายตัวอย่างรวดเร็วของส่ือมวลชน ต้ังแต่ในช่วงศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมาส่ือมวลชน
ทุกแขนงมีพัฒนาการอย่างแพร่หลายและรวดเร็ว เนื่องจากศตวรรษน้ีเป็นศตวรรษที่ วิทยุ โทรทัศน์
หนังสือพิมพ์ สิ่งพิมพ์อื่น ๆ รวมถึงอินเตอร์เน็ต เป็นที่แพร่หลายอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะสื่อ
โทรทศั น์ ซง่ึ แพรห่ ลายไปในสังคมอยา่ งกวา้ งขวางและรวดเร็วมากกว่าสอื่ อืน่ ๆ
2. ลัทธิทุนนิยมแพร่หลายไปทั่วโลก การขยายตัวอย่างรวดเร็วของส่ือมวลชนคงเกิดขึ้นไม่ได้
ถา้ ลทั ธิทนุ นยิ มและวัฒนธรรมวตั ถนุ ิยมแพร่ขยายไปทัว่ โลก ส่อื มวลชนเปน็ ทัง้ ผสู้ ง่ เสริมและผู้ได้รับการ
ส่งเสริมจากลัทธิทุนนิยม เพราะสื่อมวลชนได้เงินสนับสนุนจากสินค้าต่าง ๆ และสินค้าต่าง ๆ มี
ชือ่ เสียงท่ัวไปเพราะอทิ ธพิ ลของสื่อมวลชน
3. การขยายตัวของอุดมการณ์ประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพ บทบาทของส่ือมวลชน
จาเป็นต้องอยู่บนพื้นฐานของสิทธเิ สรีภาพในการเสนอข่าวสาร ท้ังน้ีเพื่อให้ปัจเจกบุคคลได้รับข่าวสาร
ท่ตี รงไปตรงมาที่สุด นามาเพอื่ ประโยชน์ในกระบวนการตัดสินใจทางการเมืองของประชาชน ดว้ ยเหตุ
นส้ี ่อื มวลชนท่มี ีพลงั จากอานาจเงินของลทั ธทิ นุ นยิ ม จึงเข้ามามีอานาจทางการเมืองขึ้นเร่ือย ๆ
นายพิชาภพ ศรีทองมาศ ครวู ิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ศิ 105
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
บทบาทของส่อื มวลชนในทางการเมือง
1. เผยแพร่ข้อมูลตามหลักความจริง ทัศนคติ และความคิดเห็น หนังสือพิมพ์ท่ีดีจะรายงาน
สภาพการณ์ทางการเมืองตรงตามข้อเทจ็ จริงทเ่ี กดิ ขนึ้ นอกจากนีย้ งั อาจจะเพ่ิมความคดิ เห็น ซึ่งอาจจะ
มาจากบรรณาธิการผู้อยู่ในวงการการเมืองมายาวนาน เช่น คุณสนธิ ล้ิมทองกุล, เปลว ศรีเงิน หรือ
อาจจะเป็นนักคิดนักเขียนผู้มีประสบการณ์ เช่น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมท, อาจารย์ นิธิ เอียวศรีวงศ์
เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อจะเป็นการเผยแพร่ข้อมูลเหล่าน้ีให้กับประชาชนโดยท่ัวไปได้ทราบความจริงและ
ความเห็นท่เี กิดข้นึ ในการเมือง
2. เปิดโปงเร่ืองราวความจรงิ ที่อาจเป็นประโยชน์ต่อสังคม สอื่ มวลชนอาจจะเสนอความจริงท่ี
เป็นไปตามธรรมชาติ และอาจจะไปขุดคุ้ยเร่ืองราวอันเป็นปริศนาของสังคม เช่นกรณีเรื่องส่วยทาง
หลวงของสถานี ITV เป็นต้น
3. ตรวจสอบการทางานของรัฐบาล ส่ือมวลชนอาจจะช่วยตรวจสอบการทางานของรัฐบาล
แทนประชาชน และนา ผลการทา งานของรัฐบาลมาบอกกับประชาชนได้ แต่การตรวจสอบการ
ทางานของรัฐบาลโดยส่ือน้ัน จะต้องเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของชาติด้วยเช่นในกรณีที่เป็นเรื่องลับ
เรื่องความม่ันคงของชาติ สื่อมวลชนควรจะรู้ข้อจา กัดของตัวเองว่าจะเผยแพร่ข่าวของส่ือมวลชนได้
แค่ไหน ตัวอย่างเช่นในกรณีติดตามผู้ร้ายแหกคุกครั้งหน่ึง ส่ือมวลชนให้ความสนใจอย่างเนืองแน่น
รายงานข่าวเกาะติดทุกนาที แต่การกลับกลายเป็นว่าผู้ร้ายกลับได้ข้อมูลของราชการไป ว่าจะติดตาม
พวกเขาดว้ ยวธิ กี ารอย่างไร
4. สร้างอุดมการณ์ ค่านิยม ส่ือมวลชนผลิตส่ือเป็นจานวนมากสู่มวลชนของประเทศ ดังนั้น
ข่าวหรือความคิดเห็นที่ออกไปจากส่ือมวลชนจึงสามารถทา ให้คนจานวนมากในประเทศเช่ือถือ และ
ยึดมั่นเป็นอุดมการณ์ได้ เช่นอุดมการณ์เที่ยวเมืองไทย ซึ่งเป็นสิ่งท่ีรัฐบาลพยายามท่ีจะขายให้
ประชาชน ผา่ นทางสอ่ื มวลชนหลายแขนง
5. เป็นตัวกลางในการแสดงความคิดเห็นร่วมของประชาชน เช่นกรณีปกปิดทรัพย์สินฯ ของ
นายก ฯ ทักษิณ หนังสือพิมพ์ได้มีบทบาทถ่ายทอดความคิดของประชาชนและผู้นา แนวความคิดของ
สงั คม เปน็ การรวมใหป้ ระชาชน
6. เป็นตัวกลางในการร้องเรียนความผิดพลาดต่าง ๆ ส่ือมวลชนเป็นตัวกลางในการส่งต่อ
ข้อบกพร่องและความผิดพลาดของเจ้าหน้าท่ีรัฐ ข้าราชการ และอาจจะรวมไปถึงเอกชนผู้เอารัดเอา
เปรียบประชาชนด้วย หรือพยายามนา ประเด็นปัญหาท่ีเคยเป็นประเด็นชุมชนเข้ามาเป็นประเด็น
ระดบั ชาติ เชน่ เร่อื งกองทนุ ปิดของธนาคารออมสินเป็นต้น
7. ส่งต่อความคิดเห็นไปยังรัฐบาล เมื่อสื่อมวลชนได้ความคิดเห็นท่ีเป็นเจตนารมย์ร่วมของ
ประชาชนแล้ว ส่ือมวลชนจะเป็นตัวกลางท่ีดีในการส่งความคิดเห็นนั้นเข้าสู่รัฐบาลแต่เป็นไปได้ว่า
อาจจะมีสื่อมวลชนที่ไม่มีจรรยาบรรณ ส่งความคิดเห็นทไี่ ม่ตรงกับหลกั ความจริง หรือส่งความคิดเห็น
ท่ีอาจจะเอือ้ ประโยชน์แกค่ นบางกล่มุ จงึ เปน็ หนา้ ที่ของประชาชนอกี ดว้ ยที่จะช่วยกันตรวจสอบส่ือ
8. ช่วยประชาสัมพันธ์การทางานของรัฐบาล สื่อมวลชนสามารถช่วยประชาสัมพันธ์การ
ทางานของรฐั บาล ซ่งึ อาจจะเปน็ ประโยชน์อย่างยงิ่ ต่อการทางานของรัฐบาลเพราะประชาชนจะได้รับ
ทราบจากสื่อว่ารัฐบาลทาอะไรบ้าง และส่ือมวลชนก็จะได้สะท้อนเสียงความเห็นของประชาชนนั้นสู่
รัฐบาลอกี ทหี น่งี
นายพิชาภพ ศรีทองมาศ ครูวิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชูทิศ 106
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
สือ่ มวลชนในประเทศไทย
เม่ือเปรียบเทียบกับอินโดนีเซีย มาเลเซีย พม่า ลาว เวียดนาม จีน และสิงคโปร์แล้วเราถือได้
ว่าส่ือมวลชนของไทยมีอิสรภาพท่ีจะส่ือสารกับมวลชนมาก อย่างไรก็ตามอิสรภาพของส่ือมวลชนนี้ก็
ไม่ได้หมายความว่าสื่อมวลชนไทยจะไม่ถูกแทรกแซงเลย ในสมัยของรัฐบาลทหารมีการแทรกแซงส่ือ
อย่างมาก หนังสือพิมพ์หลายฉบับถูกข่มขู่ อุ้มไปฆ่าและปิดหนังสือพิมพ์สื่อมวลชนไทยค่อย ๆ มี
อิทธิพลในประเทศไทยมากขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงเศรษฐกิจรุ่งเรือง ยุคปลายพลเอกเปรม ติณสูลานนท์
และยุคพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เพราะเศรษฐกิจดีมาก เงินและทุนไหลไปอยู่ที่ธุรกิจการโฆษณา
ประชาสัมพันธ์สินค้าซึ่งต้องอาศัยสื่อมวลชนเป็นส่ือกลาง อาชีพสื่อมวลชนจึงเป็นอาชีพท่ีค่อนข้างมี
เกียรติในสังคมถึงแม้ว่าสื่อมวลชนในสมัยเศรษฐกิจรุ่งเรืองจะสามารถเสนอข่าวใน เชิงการเมืองได้
กว้างขวางและลกึ กวา่ เดมิ อนั เนอ่ื งมาจากเกียรติยศในอาชีพส่ือทีเ่ พิ่มมากขึน้ แต่ก็ต้องยกใหก้ ับรัฐบาล
ในอกี ทางหนงึ่ ด้วยทีเ่ ปิดเสรที างดา้ นส่ือมวลชนมากข้ึน แตค่ วามรุง่ เรอื งของส่ือก็ต้องถูกต้ังคา ถามจาก
สังคมในช่วงท่ีเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมฬิ กล่าวคือนอกจากหนังสือพิมพ์ผ้จู ัดการแล้ว ไม่มีสื่ออื่นใดใน
ประเทศเลยท่ีนา เสนอข่าวเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เราต้องติดตามข่าวนี้จาก CNN และรอยเตอร์ใน
ปัจจุบันเราได้ยินข่าวการแทรกแซงสื่อของรัฐเกิดข้ึนเสมอ แต่ก็กล่าวได้ว่าส่ือไทยมีความเข้มแข็งหาก
นามาเทียบกับประเทศอื่น ๆ เราจะเห็นพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์บางฉบับด้วยข้อความรุนแรง มี
เน้ือความเชิงวิพากษ์วิจารณ์การทา งานของรัฐบาล และเราเห็นบทบาทของส่ือมวลชนในการปลุก
กระแส เรียกร้อง และขยายประเด็นทางการเมืองอยู่บ่อยคร้ังเม่ือเปรียบเทียบกับประเทศในกลุ่ม
เดยี วกันสือ่ มวลชนในประเทศไทยค่อนข้างท่จี ะมีเสรีภาพในการเสนอข่าวสารมากพอสมควร
นายพชิ าภพ ศรีทองมาศ ครูวิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ิศ 107
บทที่ 4 การเลอื กต้งั
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
บทท่ี 4
การเลอื กต้งั
1. ความหมายของการเลือกต้ัง
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายคาว่าการเลือกต้ัง หมายถึง
การเลือกบุคคลเพ่ือเป็นตัวแทนตนในกรณีต่าง ๆ ตามที่กฎหมายกาหนด เช่น การเลือกตั้ง
สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร การเลอื กตั้งสมาชิกสภาเทศบาล เป็นตน้
พรศักดิ์ ผ่องแผ้ว ให้ความหมาย การเลือกตั้ง ว่าเป็นกิจกรรมท่ีสาคัญยิ่งในกระบวนการทาง
การเมืองและการปกครอง เพราะการเลือกตั้งเป็นการแสดงออกซ่ึงเจตจานงของประชาชนในการ
ปกครองประเทศ เจตจานงดังกล่าวปรากฏอยู่ในลักษณะของการเรยี กร้อง (Demand) หรอื สนบั สนุน
(support) ตอ่ การตัดสินใจทงั้ หลายในระบบการเมือง
วิสุทธ์ิ โพธิแท่น ให้ความหมาย การเลือกต้ัง ว่าการที่บุคคลได้เลือกบุคคลหนึ่งหรือบุคคล
จานวนหนึ่งจากหลาย ๆ คน หรือเลือกจากบัญชีรายช่ือผู้เข้าสมัครรับเลือกต้ังบัญชีหน่ึง หรือบัญชี
จานวนหนง่ึ จากบัญชรี ายชอ่ื หลาย ๆ บญั ชเี พือ่ ใหไ้ ปกระทาการอนั หน่งึ อนั ใดแทนตน
ในที่นี้ การเลือกต้ัง ว่าเป็นกิจกรรมทางการเมืองท่ีประชาชนผู้เป็นเจ้าของอานาจอธิปไตย
และผู้มีส่วนร่วมทางการเมืองอันเป็นกลไกท่ีแสดงออกซ่ึงเจตจานงของประชาชนท่ีเรียกร้องหรือ
สนับสนุนให้มีการกระทาหรือละเว้นการกระทาอย่างใดอย่างหนึ่งในทางการเมืองหรือการตัดสินใจใน
โยบายสาธารณะทีจ่ ะมีผลกระทบต่อประชาชน โดยประชาชนท่ัวไปเลอื กผแู้ ทนหรือพรรคการเมืองที่มี
อุดมการณ์นโยบาย และวิสยั ทศั นท์ ่ีสอดคล้องกบั ตน ด้วยความคาดหวังว่าผแู้ ทนหรือพรรคการเมืองท่ี
ตนเลือกให้ไปใช้อานาจอธิปไตยแทนตนน้ัน จะนาอุดมการณ์และนโยบายในการบรหิ ารประเทศ และ
ทาหนา้ ที่พทิ กั ษผ์ ลประโยชนข์ องตนเอง
การเลือกตั้งจึงเป็นกระบวนการแสวงหาทางเลือกในการเมืองปกครองของประชาชนน่ันเอง
กล่าวโดยภาพรวม การเลือกตั้งเป็นกระบวนการทางการเมืองอย่างหน่ึงซึ่งหมายถึงกิจกรรมทาง
การเมืองท่ีแสดงออกถึงการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอานาจอธิปไตย ด้วย
การไปออกเสียงเลือกต้ังผู้แทนของตนเพื่อทาหน้าที่ในรัฐบาลเป็นกลไกแสดงออกซึ่งเจตจานงของ
ประชาชนที่เรียกร้อง และสนับสนุนให้มีการปฏิบัติจัดทา หรือละเว้นการกระทาอย่างใดอย่างหนึ่ง
ในทางการเมือง และการตัดสินใจในนโยบายสาธารณะท่ีจะมีผลกระทบต่อประชาชน การที่ประชาชน
เลือกผู้แทน หรือกลุ่มทางการเมืองหรือพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์ และนโยบายท่ีสอดคล้องกับ
ความต้องการของตน ก็เพราะประชาชนเช่ือว่าผู้แทนท่ีตนเลือกไปใช้อานาจอธิปไตยนั้นจะใช้
อุดมการณ์ทป่ี ระกาศเปน็ แนวทางในการนานโยบายไปปฏิบัติ และบรหิ ารรฐั กิจในทานองเดยี วกันเพ่ือ
เป็นการพิทักษ์ผลประโยชน์ของตนเอง ประชาชนไม่เลือกผู้แทนท่ีมีอุดมการณ์ และนโยบายที่เป็น
กิจกรรมท่ีประชาชนแสวงหาทางเลือกในการปกครองและบาบัดความต้องการของตนเองเช่นการ
เลือกรัฐบาลท่ีมีอุดมการณ์และนโยบายอนุรักษ์นิยมหรือรัฐบาลที่มีอุดมการณ์และนโยบายก้าวหน้า
ตามแนวทางสังคมประชาธิปไตย หรือเสรปี ระชาธปิ ไตย หรอื เสรีนยิ ม เป็นตน้
นายพชิ าภพ ศรที องมาศ ครวู ทิ ยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ิศ 128
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
ดังน้ันการตัดสินใจเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งท่ีสังกัดในกลุ่มอุดมการณ์หรือพรรคการเมืองหนึ่ง
นั้นเท่ากับว่าประชาชนได้มอบอานาจอธิปไตยของตนใหผ้ ู้ท่ีตนเลือก และให้ความชอบธรรมแก่ผู้ท่ีตน
เลือกในอนั ทจ่ี ะใช้อานาจการปกครองให้หว้ งเวลาที่กาหนดไว้การเลือกต้ังมีความเก่ียวพันอย่างใกล้ชิด
กับสิทธิ สิทธิน้ันเป็นแนวความคิดที่สาคัญในทางรัฐศาสตร์กล่าวคือ เมื่อมนุษย์เกิดมาย่อมมีสิทธิตาม
ธรรมชาติติดตัวมาด้วย สิทธิตามธรรมชาติที่สาคัญประการหนึ่งคือสิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยใน
ชีวิตและทรัพย์สิน สิทธิที่จะแสวงหาความสะดวกสบายหรอื สิทธทิ ี่จะดารงชีวิตตามธรรมชาติบางสว่ น
คือสิทธิท่ีจะกระทาการใด ๆ ได้ตามอาเภอใจและยอมตนอยู่ภายใต้รัฐบาลหรือการปกครองท่ีตนได้
ตัดสินใจเลือกแล้ว ดังน้ันสิทธิในการเลือกรัฐบาลผู้ปกครองจึงเป็นสทิ ธิตามธรรมชาติท่ีติดตัวบุคคลใน
ฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของรัฐในอารยประเทศได้ให้การรับรองว่าการใช้สิทธิเลือกต้ังเป็นเจตจานงของ
ประชาชนที่ให้ได้มาซ่ึงรัฐบาลที่ชอบธรรม ดังปรากฏใน ปฎิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษย์ชน 21 (1)
ว่า “เจตจานงของประชาชนย่อมเป็นมลู ฐานแห่งอานาจ รัฐบาลของผู้ปกครอง เจตจานงดังกล่าวตอ้ ง
แสดงออกโดยการเลือกตั้งอันสุจริต ” การเลือกต้ังจะมีความหมายและถือว่าเป็นฐานที่มาความชอบ
ธรรมในอานาจของ รัฐบาลและผู้ปกครองนั้นจะต้องมีลักษณะตามหลักเกณฑ์ท่ีได้รับการยอมรับเป็น
สากล ดงั ตอ่ ไปน้ี
2. หลักเกณฑ์การเลือกตงั้ ท่เี ปน็ ประชาธปิ ไตย
กระบวนการเลือกต้ังทถี่ ือวา่ เปน็ การเลือกตง้ั ในแนวทางแบบประชาธิปไตยน้ัน จาเปน็ ต้องมี
ลักษณะสาคญั 5 ประการดังตอ่ ไปน้ี
1. การเลอื กตงั้ ทีเ่ ปน็ อิสระเสรี (Free Election)
หมายถึง การแสดงเจตนารมณ์ในการเลือกตั้งจะต้องเป็นไปอย่างอิสรเสรีปราศจาการบีบ
บังคับข่มขู่ด้วยประการใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้อามิสสินจ้างหรือการให้อิทธิพลบีบบังคับ โดยมี
รากฐานมาจากความเช่อื ท่ีว่า สิทธิในการมีส่วนรว่ มใชอ้ านาจอธิปไตยนั้นเป็นของประชาชนทุกคน ซ่ึง
การได้มาซ่ึงสิทธิดังกล่าวเป็นผลของการต่อสู้และวิวัฒนาการทางประวัติศาสตร์การเมืองอันยาวนาน
ในเมื่อประชาชนเป็นผู้ทรงสิทธิก็ย่อมข้ึนอยู่กับการวินิจฉัยของประชาชนเอง ว่าตนเองต้องการจะใช้
สิทธขิ องตนมากนอ้ ยเพียงใด
การใชส้ ทิ ธอิ อกเสียงเลือกต้ังของประชาชน ตอ้ งเปน็ ไปด้วยความบริสุทธ์ิและสมัครใจ ผู้ใดจะ
มาชักจูง กดข่ี บังคับหรือใช้อิทธิพลกดดันให้ ผู้หน่ึงผู้ใดเลอื กหรือไม่เลอื กผู้ใดจะกระทามิได้ ท้ังน้ันผู้มี
สิทธเิ ลือกตัง้ ยอ่ มสามารถใชด้ ลุ ยพินจิ ของตนเพื่อท่ีจะเลือกหรือไม่เลือกผู้หน่ึงผู้ใดก็ย่อมทาได้ องคก์ าร
ของรัฐจึงไม่ควรแทรกแซงหรือส่ังการให้ประชาชนต้องทาการอย่างหน่ึงอย่างใด ความเป็นอิสระแห่ง
การเลือกต้ังน้ียังรวมความไปถึงการท่ีประชาชนมีโอกาสท่ีจะเลือกบุคคลหรือพรรคการเมืองตามใจ
ชอบอกี ดว้ ยแนวคิดการไปใชส้ ทิ ธเิ ลือกตงั้ สามารถแบ่งออกเปน็ 2 แนวทาง ได้แก่
1) การเลอื กตั้งควรเป็นสิทธิ โดยถอื หลกั ว่าบคุ คลควรจะมีอิสระอย่างเต็มท่ีในการที่จะใช้สิทธิ
หรอื ไม่ใชส่ ทิ ธิในการเลอื กตง้ั และมีอสิ ระที่จะเลือกหรอื ไมเ่ ลือกใครก็ได้ หมายความว่าผู้ใดจะไปใช้สิทธิ
เลือกต้ังหรือไม่ไปก็เป็นสิทธิเฉพาะบุคคล มักจะพบเห็นในกลุ่มประเทศท่ีมีการพัฒนาทางด้าน
ประชาธิปไตยสงู
นายพิชาภพ ศรีทองมาศ ครวู ิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชูทศิ 129
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
2) การเลือกต้ังเป็นหน้าท่ี โดยถือหลักว่าประชาชนทุกคนมีหน้าท่ีในการไปออกเสียงเลือกต้งั
ฉะน้ันประชาชนจึงถูกบังคับให้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง หากผู้ใดจะละเมิดหน้าที่นั้นจะถือว่ามีความผิด
ประเทศท่ีถือหลักน้ีเชื่อว่าการบังคับคนไปใช้สิทธิย่อมไม่ขัดกับหลักอิสระในการเลือกตั้ง เนื่องจาก
บังคับให้ไปใช้สิทธิเท่านั้น แต่มิได้บังคับว่าจะต้องเลือกผู้หน่ึงผู้ใดโดยเฉพาะ ประเทศท่ีบังคับให้
ประชาชนมีหน้าที่ในการออกเสียงเลือกต้ังเช่นออสเตรเลีย อาร์เจนตินา ออสเตรีย เบลเยียม
ลักเซมเบอร์ เม็กซิโก อิตาลี และประเทศไทย เป็นต้น ซ่ึงจุดประสงค์ของการกาหนดให้การออกเสียง
เลือกต้งั เป็นหนา้ ทีข่ องประชาชน มีดงั นี้
1.1 เพ่ือให้การศึกษาทางการเมืองแก่ประชาชนการบังคับให้ประชาชนไปเลือกตั้ง ก็เพ่ือเป็น
การฝึกฝนให้เข้าใจในการปกครองระบอบประชาธิปไตย ในทางปฏิบัติและทาให้ประชาชนมีความ
รบั ผดิ ชอบทางการเมอื งมากขน้ึ
1.2 ให้ประชาชนมคี วามสนใจเร่ืองการเลือกตง้ั กรณีประเทศไทยถอื การเลือกตง้ั เป็น สทิ ธิ มา
ตง้ั แตก่ ารเลือกต้ังคร้ังแรก (พ.ศ. 2476) ผลการเลอื กตั้งปรากฏวา่ ประชาชนไปใช้สทิ ธิเลือกตั้งกันน้อย
มาก ไม่มีความตื่นตัวทางการเมืองกลายเป็นปัญหาของระบอบประชาธิปไตยท่ียาวนานและต่อเน่ือง
ผแู้ ทนราษฎรที่ไดร้ บั เลอื กต้งั จงึ มลี กั ษณะเปน็ ผแู้ ทนของคนส่วนนอ้ ย
1.3 เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น การปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็น
การปกครองที่ถือหลักการปกครองด้วยเสียงขา้ งมาก (Majority Rule, Minority Right) ฉะนัน้ เพื่อให้
เกิดหลักการปกครองด้วยเสียงข้างมากจึงต้องบังคับให้ประชาชนไปใช้สิทธิเลือกต้ัง โดยเฉพาะใน
ประเทศทป่ี ระชาชนไม่คอ่ ยมจี ิตสานกึ ทางการเมือง
1.4 เป็นหน้าที่ของประชาชน (Civil Duty) ตามหลักการเลือกตั้งที่ถือหลักหน้าที่นั้นมีความ
เชื่อว่าเป็นหน้าที่ของพลเมืองดี ทุกคนท่ีจะต้องไปเลือกตั้ง การเลือกต้ังเปรียบเสมือนเป็นหน้าที่ของ
ประชาชนเช่นเดียวกับหน้าท่ีอ่ืน ๆ เช่น หน้าที่การรับราชการทหาร การเสียภาษี การศึกษา ฯลฯ
นั่นเอง การบังคับให้ประชาชนไปใช้สิทธิเลือกต้ังต้องมีกฎหมายกาหนดโทษไว้สาหรับผู้ท่ีไม่ไปใช้สิทธิ
เลือกต้ัง การกาหนดโทษมีตั้งแต่การว่ากล่าวตักเตือน การประกาศรายชื่อผู้ที่ไม่ไปใช้สิทธิให้
สาธารณชนไดร้ บั ทราบ การเพกิ ถอนสทิ ธเิ ลือกตัง้ ตามระยะเวลาที่กาหนดและการปรบั เปน็ ตน้
2. การเลอื กตัง้ ตามกาหนดเวลา (Periodic Election)
หมายถึง การจัดให้มีการเลือกตั้งตามกาหนดระยะเวลา เช่น 3 ปี 4 ปี 5 ปี ท้ังนี้เพ่ือให้
ประชาชนมีโอกาสตรวจสอบการปฏิบตั ิ หน้าท่ขี องผูป้ กครองว่าไดห้ รือไม่ได้ ปฏบิ ัตไิ ปตามเจตนารมณ์
ของประชาชนซง่ึ เป็นเงื่อนไขสาคัญในการพิจารณาความชอบธรรมในการใช้อานาจของผู้ปกครองและ
เป็นเงื่อนไขเพ่ือให้ประชาชนมีโอกาสสามารถเปล่ียนแปลงตัวผู้ปกครองได้โดยสันติวิธี ผู้ปกครองที่ใช้
อานาจโดยชอบธรรมในระหว่างท่ีอยู่ในอานาจเมื่อครบวาระแล้วก็มีโอกาสท่ีจะได้รับความไว้วางใจ
จากประชาชนและไดร้ บั เลือกเขา้ มาใหม่ โดยมีลักษณะทสี่ าคญั คือ
1.1 ต้องมีการกาหนดระยะเวลาท่ีแน่นอน ของการดารงตาแหน่งของสมาชิกสภาผู้แทนฯ
เพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจสอบผ้แู ทนได้
1.2 เมื่อการดารงตาแหนง่ ครบตามกาหนดระยะเวลาก็ตอ้ งจดั ให้มกี ารเลือกตงั้ ใหม่
1.3 การกาหนดระยะเวลาไม่ควรจะสัน้ หรือนานเกินไป
นายพิชาภพ ศรที องมาศ ครวู ทิ ยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ศิ 130
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
3. การเลอื กตั้งอยา่ งแท้จรงิ และยุติธรรม (Genuine Election)
หมายถึง การเลือกตั้งที่บริสุทธิ์เป็นไปตามตัวบทกฎหมายและเจตนารมณ์ของกฎหมาย
ปราศจากการครอบงาและเล่ห์ทางการเมือง ปราศจากการใช้อิทธพิ ลทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ และ
สถานภาพทางสังคมเช่น นกั การเมอื งหรือขา้ ราชการที่อยู่ในตาแหน่งจะใช้อานาจหน้าท่ีของตนเพื่อให้
ได้มาซ่ึงคะแนนสนับสนุนหรือใช้อุปกรณ์เครื่องใช้ของราชการในการหาเสียงไม่ได้ หรือผู้ที่มีกาลังทาง
เศรษฐกิจเข้มแข็งกว่าใช้เงินทองทุ่มเทหาเสียง หรือซื้อคะแนนเสียงเพ่ือตนเองหรือสนับสนุนผู้สมัครที่
ตนสนับสนุน นอนจากน้ีการต่อสู้แข่งขันระหว่างผู้สมคั รรบั เลือกต้งั หรือพรรคการจะตอ้ งเป็นไปอยา่ ง
อิสรเสรีภายในขอบเขตของกฎหมาย และเจตนารมณ์ของกฎหมายที่มีพื้นฐานอยู่บนความยุติธรรม
และความเสมอภาค โดยมลี ักษณะสาคัญ คือ
1.1 ในการเลือกต้ัง ต้องมผี ู้สมคั รใหเ้ ลือกหลายคน
1.2 รฐั ตอ้ งยอมใหบ้ ุคคลที่มีความคดิ เหน็ ตา่ งกนั ลงสมคั รแข่งขนั กนั ได้ (การเปดิ โอกาสกว้าง)
4. การเลือกต้ังอยา่ งทัว่ ถงึ (Universal Election)
หมายถึงให้สิทธิเลือกตงั้ แก่ประชาชนทว่ั ไปโดยไมม่ ีการกดี กันหรือจากดั สิทธิบุคคลหนึง่ บุคคล
ใดเปน็ พเิ ศษเนือ่ งมาจากเพศ ผวิ สถานภาพทางเศรษฐกจิ สงั คม เงือ่ นไขข้อน้ีกเ็ นอ่ื งมาจากเหตุผลท่ีว่า
เมื่ออานาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ประชาชนย่อมทรงไว้ซ่ึงสิทธิในการเลือกตั้งตัวแทน มีลักษณะ
สาคัญดังน้ี
1.1 รัฐต้องให้สิทธิเลือกต้ังแก่ประชาชนอย่างทั่วถึง โดยไม่กีดกันให้เลือก เพศ ผิวพรรณช้ัน
วรรณะหรอื ฐานะทางเศรษฐกิจสังคม ของคนท่ีแตกต่างกนั ชาย หญิงยอ่ มมีสทิ ธเิ ท่าเทยี มกนั
1.2 รัฐต้องอานวยความสะดวกให้แก่ประชาชน ให้สามารถไปใช้สิทธิ์เลือกต้ังได้อย่าง ทั่วถึง
จัดให้มีหน่วยเลือกตั้งมากมีการประชาสัมพันธ์ บางประเทศได้ให้ความสะดวกแก่ผู้เลือกต้ังหลายวิธี
เช่น การลงคะแนนเสยี งทางไปรษณยี ,์ การออกเสียงล่วงหน้า, การจัดหน่วยเลอื กตัง้ พิเศษ
5. การเลอื กต้งั อย่างเสมอภาค (Equal Suffrage)
หมายถึงการมีสิทธิในการเลือกต้ังของประชาชนมีความสาคัญและได้รับความยอมรับโดยเทา่
เทียมกันไมว่ า่ ผเู้ ลือกต้ังนนั้ จะมีสถานภาพทางสังคม เศรษฐกิจและการเมืองอย่างใด หลกั การทใี่ ช้เป็น
มาตรการในการใหค้ วามเสมอภาคก็คือ การให้ผู้มีสิทธิออกเสยี งเลอื กตง้ั คนหน่งึ ๆ มีคะแนนเสยี งเพียง
หน่ึงคะแนน (One man,one vote) และคะแนนเสียงทุกคะแนนมีความสาคัญเท่าเทียมกัน โดยมี
ลักษณะสาคัญ คอื
1.1 ทุกคนต้องมีคะแนนเสียงเท่ากัน ไม่ว่าบุคคลจะมีชาติ ชนชั้น กาเนิดหรือฐานันดรศักด์ิ
แตกต่างกนั
1.2 นา้ หนกั ของคะแนนเสียงของแต่ละบุคคลย่อมเทา่ กัน การนับคะแนนเสียงของทุกคนย่อม
เท่ากนั เสมอ
นายพชิ าภพ ศรีทองมาศ ครวู ทิ ยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ิศ 131
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
เพ่ือให้ทุกคนมีความเสมอภาคอย่างแท้จริง บางประเทศยึดหลัก One man one vote แต่
ในทางปฏบิ ัติ บางประเทศอาจมีการแบ่งเขตเลือกตั้งทีแ่ ตล่ ะเขตมี ส.ส. ไดห้ ลายคน เขตการเลือกต้ังท่ี
เลก็ มี ส.ส.นอ้ ยย่อมทาให้ประชาชนในเขตน้ัน มสี ิทธิเลอื กตัง้ น้อยกวา่ เขตใหญ่ แต่กถ็ อื ว่าประชาชนใน
แต่ละเขตต้องมีสทิ ธิเสมอภาคกัน
3. ประเภทและสิทธิของการเลือกตัง้
การพิจารณาแบ่งประเภทของการเลือกต้ังนั้นอาจใช้หลักเกณฑ์ต่าง ๆ ได้หลายวิธี เช่น
ลักษณะท่ีมาของการจัดการเลือกตั้ง การกาหนดเขตการเลือกตั้ง วิธีการคิดคะแนน เป็นต้น แต่ในท่ีนี้
จะแบ่งประเภทของการเลือกต้ังโดยถือหลักเกณฑ์ตามลักษณะท่ีมาของการจัดการการแบ่งประเภท
ของการเลอื กต้งั ตามทมี่ าของการเลือกต้ังนั้นในท่ีนข้ี อแบ่งเปน็ 3 ประเภท
1. การเลอื กตง้ั ทว่ั ไป (General – Election)
การเลือกตั้งท่ัวไป หมายถึง การเลือกต้ังท่ีมีสิทธิออกเสียงเลือกต้ังทั่วประเทศมาลงคะแนน
เสียงพร้อมๆ กัน การเลือกต้ังทั่วไปมี 2 กรณี คือ ครบวาระท่ีจะต้องมีการเลือกต้ัง และยุบสภา
ผู้แทนราษฎร ซึ่งการเลือกต้ังทั่วไปนี้จะเป็นเคร่ืองช้ีวัดกระแสความคิดทางการเมืองของประชาชนได้
เป็นอยา่ งดี ซึง่ จะมากน้อยเพียงใดขึน้ อยู่กับระบบพรรคการเมืองของประเทศน้นั ๆ อาทเิ ชน่ ประเทศ
ในระบบสองพรรคการเมือง การเลือกตั้งทั่วไปจะเป็นกิจกรรมทางการเมืองที่เป็นเครื่องชี้วัดว่า
ประชาชนยังคงสนับสนุนรัฐบาลเดิมอีกหรือไม่สาหรับประเทศท่ีเป็นระบบหลายพรรคการเมือง
ลักษณะการจัดต้ังรัฐบาลเป็นรัฐบาลผสม ผลการเลือกตั้งทั่วไปไม่อาจช้ีวัดได้ชัดเจนว่า ประชาชน
ต้องการรัฐบาลเดิมหรือรัฐบาลใหม่ได้ เพราะการจัดต้ังรัฐบาลขึ้นอยู่กับการรวบรวมเสียงข้างมากของ
พรรคการเมืองต่าง ๆ หลังจากการเลือกตั้งได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งท่ัวไปก็ยังเป็นภาพ
สะท้อนความคิดเห็นวัฒนธรรมทางการเมือง และแนวโน้มของกระแสความคิดทางการเมืองของ
ประชาชนในประเทศหรือในเขตเลือกต้ังน้ัน ๆ ได้เป็นอย่างดี เช่น ความแตกต่างของจานวน ผู้ไปใช้
สิทธิเลือกต้ังในเขตเมืองกับชนบทปริมาณและลักษณะการซ้ือสิทธิ ขายเสียงในเขตเลือกตั้งต่าง ๆ
ความนิยมพรรคการเมอื งใดพรรคการเมอื งหนึ่งในเขตกรงุ เทพมหานครกบั สว่ นภมู ิภาคอืน่ ๆ เปน็ ตน้
2. การเลือกตั้งซอ่ ม (By – election)
ในกรณีท่ีผู้แทนขาดจากสมาชิกภาพ เช่น ตาย ลาออก หรือเพราะเหตุอ่ืน ๆ ก็จะมีการ
เลือกต้ังซ่อมให้ได้ผู้แทนราษฎร การเลือกต้ังซ่อมนี้อาจจะมีความสาคัญไม่เท่ากับการเลือกตั้งท่ัวไป
อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งซ่อมในเขตการเลือกต้ังที่ประชาชนมีความสนใจทางการเมืองอยู่บ้างแล้ว
การเลือกต้ังซ่อมก็จะเป็นเครื่องมือในการวัดความนิยมพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งหรือ
รฐั บาลได้
นายพชิ าภพ ศรที องมาศ ครวู ทิ ยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชูทิศ 132
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
3. การเลอื กตั้งซ้า (Re Election)
หมายถึงการเลือกตง้ั ทจี่ ัดให้มีขึน้ ในเขตเลือกตั้งใดเลือกตั้ง หนึง่ โดยเฉพาะ ซงึ่ อาจจะเกิดจาก
การฟ้องร้องต่อศาลว่ามีการเลือกต้ังโดยมิชอบ เพื่อขอให้ศาลส่ังให้มีการเลือกตั้งใหม่ถ้าศาลมีคา
พิพากษาว่าเขตการเลือกตั้งใดมีการเลือกตั้งท่ีมิชอบด้วยกฎหมาย ศาลจะมีคาสั่งให้การเลือกต้ังครั้ง
นั้นเป็นโมฆะ และให้มีการจัดการเลือกต้ังใหม่ในระยะเวลาท่ีศาลกาหนด ผู้แทนคนใดได้รับเลือกต้ัง
ก่อนศาลจะสั่งให้มีการเลือกต้ังน้ันเป็นโมฆะ จะพ้นจากตาแหน่งต้ังแต่วันที่ศาลสั่งให้การเลือกตั้งเป็น
โมฆะ แต่ท้ังน้ีย่อมไม่กระทบกระเทือนต่อกิจการต่าง ๆ ที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้นั้นได้ ปฏิบัติ
ตามอานาจหน้าที่ของสมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎร
สทิ ธิในการเลือกตง้ั
ความสาคัญของการใช้สิทธิเลือกต้ังมีเพียงใดและมีความหมายแค่ไหนต่อระบอบการ
ปกครองประเด็นที่ต้องนามาพิจารณาก็คือ หากเสรีภาพในการออกเสียงลงคะแนนเลือกต้ังเป็นเครอ่ื ง
กาหนดท่ีมาของขอบเขตและองค์กรของอานาจทางการเมืองได้อย่างแท้แลว้ สิทธิในการเลอื กตั้งนน้ั ก็
มีความสาคัญทางการเมืองแต่ถ้าการเลือกต้ังเป็นไปในทางหลอกลวง เอารัดเอาเปรียบ ผูกขาดหรือ
ยตุ ธิ รรมแล้ว ความสาคัญของสทิ ธิในการเลอื กตง้ั ก็หมดไป
ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยจะให้สิทธิในการเลือกตั้งแก่ประชาชนอย่างกว้างขวางในสังคม
เปิด (Open Society) ดังเช่นประเทศท่ีปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย ก็มิใช่ว่าประชาชนทุกคน
จะมีสิทธิออกเสียงเลือกต้ังได้ ผู้มีสิทธิเลือกต้ังต้องเป็นประชาชนท่ีมีคุณสมบัติตามท่ีกฎหมายกาหนด
ซึ่งจะมีเสียงได้หนึ่งเสียงแต่ละเสียงมีความสาคัญเท่ากัน ความเท่าเทียมกันของสิทธิในการออกเสียง
เลือกต้ังเป็นส่งิ สาคญั อย่างยง่ิ ในระบอบประชาธปิ ไตย
ตรงกันข้ามในสังคมปิด (Closed Society) ท่ีมีอานาจทางการเมืองให้สิทธิในการเลือกต้ังก็
จริงอยแู่ ต่ไดม้ ีการนาเอาวิธกี ารหลายอย่างมาใชเ้ พ่ือจากดั สิทธใิ นการออกเสียงเลือกตง้ั จนทาใหร้ ะบบ
การเลือกต้ังไม่มีความหมาย โดยการให้พรรคการเมืองทม่ี ีอานาจในประเทศเข้าควบคุมหรือใช้อิทธิพล
เหนือการเลือกต้ัง ดังเช่นสหภาพโซเวียตเป็นชาติที่มีระบบการเลอื กต้ังที่มีหลักเกณฑ์ มากมาย และผู้
ที่จะมีอานาจบันดาลให้การเลือกต้ังเป็นไปในทางใดทางหนึ่งนั้นก็คือ พรรคคอมมิวนิสต์ และตาแหน่ง
ต่าง ๆ ในพรรคนั้น ประชาชนหรือมวลชนไม่มีโอกาสจะเข้าควบคุมโดยการเลือกตั้งได้ การเลือกต้ังใน
สังคมปิดจงึ คงอยู่เพยี งรูปแบบหามีความหมายท่ีแทจ้ รงิ แต่อยา่ งใดไม่
สิทธิในการเลือกต้ังแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ สิทธิในการสมัครรับเลือกตั้งและสิทธิในการออก
เสียงเลอื กตงั้
1. สิทธิในการสมัครรับเลือกตัง้
ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องมีคุณสมบัติตามที่กาหนด เช่น เก่ียวกับอายุ สัญชาติ ความรู้ ถ้าเป็น
ตาแหน่งสาคญั เช่น ตาแหนง่ ประธานาธิบดหี รอื ตาแหนง่ ตุลาการ กม็ ักจะกาหนดคณุ สมบตั ิดังกล่าวไว้
เป็นพิเศษในอดีตได้กาหนดคุณสมบัติในทางทรพั ย์สินเงินทองไว้ด้วย แต่ในปัจจุบันได้ยกเลิกไปเพราะ
เหตวุ า่ ขัดกับหลักประชาธิปไตย
นายพชิ าภพ ศรีทองมาศ ครวู ทิ ยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชูทิศ 133
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
2. สทิ ธใิ นการออกเสียงเลือกต้ัง
การให้สิทธิในการออกเสียงเลือกตั้ง ในแนวปฏิบัติแล้วแม้ในประเทศที่ประชาธิปไตยมี
รากฐานมั่นคงก็ยังไม่อาจให้ประชาชนทุกคนในประเทศใช้สิทธิน้ีได้ บุคคลหลายประเภทอาจจะต้อง
ถูกจากัดสิทธิในการออกเสียงเลือกต้ัง เช่น เยาวชน คนต่างด้าว ผู้ที่ต้องโทษจาคุก ผู้วิกลจริต เป็นต้น
ผู้ท่ีใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งต้องมีคุณสมบัติเป็นพิเศษ เช่น สัญชาติ อายุ ภูมิลาเนา ช่ือในทะเบียน
เป็นต้น ส่วนที่ผู้ท่ีจะใชส้ ิทธิออกเสียงเลอื กต้ังต้องมีสัญชาติของประเทศน้ัน นับเป็นส่ิงจาเป็น เพราะผู้
มีสัญชาติย่อมมีความผูกพันเป็นพิเศษต่อประเทศของตน คือ มีความรักและความภักดี ตลอดจนมี
ภาระหน้าท่ีทจี่ ะรับใชป้ ระเทศชาติ เพราะฉะน้ันจงึ ควรไดร้ บั สทิ ธิพเิ ศษทจ่ี ะออกเสยี งเลอื กตง้ั เพื่อจะมี
ส่วนในการกาหนดแนวนโยบายในการปกครองประเทศของตนประเดน็ ทเ่ี ปน็ ปัญหาสาหรบั สทิ ธใิ นการ
ออกเสียงเลือกต้ัง คือ อายุ บางประเทศถือว่าอายุ 18 ปี เป็นอายุท่ีเหมาะสมที่บุคคลมีความสามารถ
บริบูรณ์ แต่บางประเทศกาหนดอายุ ข้ันต่าไว้ถึง 25 ปี วิธีการดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความเชื่อถือ
เก่ียวกับอายุข้อหน่ึงว่า ถ้าอายุสูงก็อาจจะมีความคิดท่ีมีความคิดเป็นผู้ใหญ่ตามอายุการมีอายุน้อยก็
อาจจะมีความเฉลียวฉลาดและมีสติปัญญาพอควรแก่การตัดสินใจในทางก ารเมืองได้ส่วนเรื่อง
ภูมิลาเนาอยู่ในเขตเลือกต้ังตามระยะเวลาท่ีกาหนดก็ดี หรือการที่จะต้องมีชื่อในทะเบียนผู้มีสิทธิออก
เสียงเลือกต้ังก็ดี ก็เพ่ือความเป็นระเบียบเรียบร้อย และเพ่ือให้บุคคลดังกล่าวอยู่ในฐานะที่ควรจะ
ทราบความเป็นไปในการเลือกตั้ง ผู้สมัครรับเลือกตั้งนโยบายพรรคการเมือง ทั้งน้ีเพราะเชื่อกันว่าผู้ท่ี
ใช้สิทธิเลือกต้ังได้ถูกต้อง ส่วนการใช้สิทธิในการออกเสียงเลือกต้ัง ผู้ทาการเลือกต้ังจะต้องใช้สทิ ธขิ อง
ตนไดอ้ ยา่ งอสิ รเสรี ปราศจากการบีบบังคบั ใด ๆ ทั้งสิ้น
การใช้สิทธิในการเลือกตั้งถือเป็นการมีส่วนร่วมในการปกครองหรือการบริหารประเทศที่
สาคัญที่สุดการเลือกต้ังเป็นกระบวนการสรรหาผู้ปกครองหรอื รัฐบาลโดยสันติวิธแี ละกาหนดขอบเขต
ของอานาจบริหารซ่ึงถือเป็นสื่อกลางเชื่อมโยงความพอใจของประชาชนกับพฤติกรรมของรัฐบาล
นอกจากนั้นการไปใช้สิทธิเลอื กตั้งทาใหบ้ ุคคลเกิดความร้สู ึกวา่ ตนเปน็ สว่ นหน่งึ ของสังคมของประเทศ
มีความเชื่อม่ัน และศรัทธาในความสามารถของตนเองและเพื่อนมนุษย์ว่าสามารถตัดสินใจเลือก
รัฐบาลเลือกรูปแบบการปกครองวิธีดาเนินการปกครองระบบเศรษฐกิจเพื่อประโยชน์ของตนเองได้
การเลือกต้ังจะนาไปสู่ความพยายามของประชาชนที่จะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจและการกระทาของ
รฐั บาล ปัจจยั ต่าง ๆ เหลา่ นี้ จะชว่ ยให้มีบรู ณาการภายในระบบการเมืองของชาติ และระดมประชาชน
เข้าร่วมในระบบการเมืองระบอบประชาธิปไตยมากขึ้นประเทศที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย
ไมว่ า่ จะเป็นรฐั เดีย่ ว หรือสหพนั ธรัฐ ได้เปิดโอกาสใหป้ ระชาชนเขา้ ไปมีสว่ นรว่ ม
4. เขตเลอื กต้ัง
เขตเลอื กตงั้ คือ เขตพนื้ ท่ีในประเทศซ่งึ แบง่ ขึ้นเพ่ือความสะดวกในการเลือกต้ังผู้ แทนราษฎร
การแบ่งเขตเลือกตั้งจัดโดยพิจารณาลักษณะกายภาพของภูมิศาสตร์ และประชากรของประเทศเป็น
เกณฑ์ในการจัดการเลือกตั้ง เพ่ือให้ผู้แทนท่ีได้รับเลือกน้ันมีความเป็นตัวแทนของประชาชนอย่าง
ยุติธรรมท้ังด้านจานวนประชากรและเขตพ้ืนท่ี การแบ่งเขตพื้นท่ีและประชากรในการเลือกต้ังน้ันเปน็
ความจาเป็นในการบริหารการเลือกตั้งให้เกิดความยุติธรรมต่อประชาชนกล่าวคือ สัดส่วนของ
ประชากรเหมาะสมกับจานวนผู้แทนที่พึงจะมี ยุติธรรมต่อพรรคการเมืองและผู้สมัครรับเลือกต้ัง
นายพิชาภพ ศรที องมาศ ครวู ิทยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชทู ิศ 134
เอกสารประกอบการสอน การปกครองของไทย ส32202
เขตเลอื กต้งั อาจมีการกาหนดแบง่ ออกไดเ้ ป็น 2 รปู แบบคอื
แบบรวมเขต (Multimember Constituency)
หมายถึง การกาหนดเขตการปกครองเป็นเขตเลือกต้ัง ผู้มีสิทธิเลือกต้ังในแต่ละเขตมีสิทธิ
ออกเสียงลงคะแนนเลือกผู้แทนราษฎรได้ตามจานวนท่กี าหนดใหม้ ไี ด้ในเขตนั้น ๆ
แบบแบ่งเขต (Single-member Constituency)
หมายถึง การแบ่งเขตเลือกตั้งให้มีผู้แทนราษฎรได้เพียงคนเดียว ประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียง
เลือกตั้งแต่ละคนมีสิทธิเลือกผู้สมัครรับเลือกต้ังได้เพียงคนเดียว จากผู้สมัครรับเลือกจานวนหลายคน
การแบง่ เขตพ้นื ท่ีคานงึ ถึงจานวนประชากรท่ีใช้เป็นเกณฑส์ าหรับการใหม้ ีผ้แู ทนราษฎรได้ 1 คน ตามท่ี
กาหนดไวใ้ นรัฐธรรมนญู
ข้อดีของเขตเลือกต้งั แบบน้ีคือเอ้ืออานวยต่อการสร้างความสัมพันธ์ใกลช้ ดิ ระหว่างผู้ไดร้ ับการ
เลือกตั้งและประชาชนท่ีอยู่ในเขตเลือกต้ังเพราะเขตเลือกต้ังมีขนาดเล็กกว่า ส่วนข้อเสียคือ
อ า จ ก่ อ ใ ห้ เ กิ ด ปั ญ ห า ขึ้ น เ พ ร า ะ ถ้ า ถู ก น า ไ ป ใ ช้ เ ป็ น ก ล วิ ธี ใ น ก า ร เ อ า ช น ะ คู่ แ ข่ ง ใ น ก า ร เ ลื อ ก ต้ั ง
โดยพยายามกาหนดเขตเลือกตั้งให้ครอบคลุมพื้นท่ีที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้หน่ึงมีคะแนนนิยมมากท่ีสุด
โดยตดั สว่ นที่เป็นพ้นื ทซ่ี ่ึงเป็นเขตคะแนนเสียงของผู้อ่นื ออกไปจากเขตเลือกต้ัง
นายพชิ าภพ ศรที องมาศ ครูวทิ ยฐานะชานาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบญจมราชูทศิ 135