-๔๔-
๓. กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
-๔๕-
คาอธบิ ายรายวชิ าพ้นื ฐาน
ว ๑๑๑๐๑ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ช้ันประถมศึกษาปีที่ ๑ เวลา ๖๐ ชั่วโมง
ผูเ๎ รยี นไดศ๎ กึ ษาวเิ คราะห์ และแก๎ไขปัญหาดังนี้
วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ : ศกึ ษาวเิ คราะห์บรเิ วณตําง ๆ ในทอ๎ งถิ่น เชํน สนามหญ๎า ใต๎ต๎นไม๎ สวนหยํอม
แหลํงนา้ อาจพบพชื และสตั ว์หลายชนิด อาศัยอยํู บริเวณท่แี ตกตํางกันอาจพบพชื และสัตวแ์ ตกตาํ งกนั
เพราะสภาพแวดล๎อมของแตํละบริเวณจะมี ความเหมาะสมตอํ การดารงชวี ิตของพชื และสตั ว์ ทีอ่ าศัยอยูํในแตํ
ละบรเิ วณ เชํน สระนา้ มนี า้ เปน็ ท่ีอยูํอาศัยของหอย ปลา สาหรําย เป็นทหี่ ลบภยั และมีแหลงํ อาหารของหอย
และปลาบริเวณตน๎ มะมวํ งมีต๎นมะมวํ งเปน็ แหลงํ ทอี่ ยํู และมีอาหาร สาหรับกระรอกและมดถา๎ สภาพแวดลอ๎ มใน
บริเวณทีพ่ ชื และสตั ว์อาศัยอยูํ มกี ารเปล่ียนแปลง จะมผี ลตํอการดารงชวี ิตของ พืชและสัตว์
มนษุ ย์มีสวํ นตําง ๆ ทีม่ ีลกั ษณะและหนา๎ ที่ แตกตํางกัน เพ่ือใหเ๎ หมาะสมในการ ดารงชวี ิต เชํน ตามี
หน๎าทไ่ี วม๎ องดู โดยมหี นังตาและขนตา เพอ่ื ปูองกันอนั ตรายให๎กับตา หมู ีหน๎าท่ีรับฟงั เสียง โดยมใี บหู และรหู ู
เพอื่ เป็นทางผํานของ เสยี งปากมี หน๎าที่พูด กินอาหาร มีชอํ งปากและมรี มี ฝีปากบนลาํ ง แขนและมือมีหน๎าท่ี
หยิบ จบั มีทํอนแขนและนิ้วมือทขี่ ยบั ได๎ สมอง มี หน๎าที่ ควบคมุ การทางานของ สํวน ตาํ ง ๆ ของราํ งกาย อยํู
ในกะโหลก ศีรษะโดยสวํ นตําง ๆของรํางกาย จะทาหน๎าทรี วํ มกนั ในการทา กจิ กรรมในชีวิตประจาวนั สตั วม์ ี
หลายชนิด แตํละชนิดมสี ํวนตาํ ง ๆ ทีม่ ี ลักษณะและหน๎าที่ แตกตาํ งกนั เพื่อให๎เหมาะสม ในการดารงชีวิต เชนํ
ปลามคี รบี เปน็ แผนํ สํวนกบ เตาํ แมว มีขา ๔ ขา และมเี ทา๎ สาหรบั ใชใ๎ นการ เคลื่อนท่ี
พืชมีสํวนตําง ๆ ทมี่ ลี ักษณะและหน๎าทีแ่ ตกตํางกนั เพื่อใหเ๎ หมาะสมในการดารงชีวติ โดยทั่วไปรากมี ลักษณะ
เรยี วยาว และแตกแขนงเป็น รากเลก็ ๆ ทาหน๎าที่ดดู นา้ ลาตน๎ มีลกั ษณะเป็นทรงกระบอก ต้ังตรงและมีก่งิ
ก๎าน ทาหนา๎ ทชี่ กู ิ่งกา๎ น ใบและดอก ใบมลี ักษณะเป็นแผนํ แบน ทาหนา๎ ท่ี สรา๎ งอาหาร นอกจากนพี้ ชื หลายชนดิ
อาจมีดอก ท่ีมสี ี รปู รํางตําง ๆ ทาหนา๎ ทีส่ ืบพันธุ์รวมทง้ั มีผลที่มีเปลอื ก มเี นื้อหํอหุม๎ เมล็ด และมเี มล็ดซ่ึง
สามารถงอกเปน็ ต๎น ใหมํได๎ มนษุ ย์ใช๎สวํ นตําง ๆ ของราํ งกายในการทา กจิ กรรมตําง ๆ เพอื่ การดารงชีวิต
มนษุ ย์จงึ ควรใช๎สํวนตาํ ง ๆ ของรํางกายอยาํ งถูกต๎อง ปลอดภัย และรักษาความสะอาดอยเูํ สมอ เชนํ ใชต๎ ามอง
ตัวหนังสอื ในพืน้ ท่ีมีแสงสวาํ งเพียงพอ ดแู ลตาให๎ปลอดภยั จากอันตราย และรกั ษาความสะอาดตา
อยํเู สมอ
วิทยาศาสตรก์ ายภาพ : วสั ดทุ ่ีใช๎ทาวัตถทุ ี่เป็นของเลนํ ของใช๎ มีหลาย ชนิด เชํน ผา๎ แกว๎
พลาสตกิ ยาง ไม๎ อิฐ หนิ กระดาษ โลหะ วัสดุแตํละชนิดมีสมบตั ิทสี่ ังเกตได๎ตําง ๆ เชํน สี นุํม แขง็ ขรุขระ
เรียบ ใส ขนุํ
ยืดหดได๎ บิดงอได๎ สมบติ ิทีส่ ังเกตได๎ของวัสดแุ ตลํ ะชนดิ อาจ เหมอื นกนั ซง่ึ สามารถนามาใช๎เป็นเกณฑ์
ในการจัดกลํมุ วัสดไุ ดว๎ สั ดุบางอยาํ งสามารถนามาประกอบกัน เพื่อทา เปน็ วตั ถตุ าํ ง ๆ เชนํ ผา๎ และกระดมุ ใช๎
ทาเสอื้ ไม๎และโลหะ ใชท๎ ากระทะ
เสยี งเกดิ จากการสนั่ ของวตั ถุ วตั ถุท่ีทาใหเ๎ กิดเสียง เปน็ แหลํงกาเนิดเสยี ง ซง่ึ มีทง้ั แหลํงกาเนดิ
เสยี ง ตามธรรมชาติและแหลํงกาเนดิ เสียงที่มนษุ ย์สร๎างขนึ้ เสียงเคลื่อนท่ีออกจากแหลงํ กาเนดิ เสียง
ทกุ ทิศทาง
วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ : บนทอ๎ งฟูามดี วงอาทิตย์ ดวงจนั ทร์ และดาว ซ่ึงในเวลากลางวัน
จะมองเหน็ ดวงอาทติ ย์ และอาจมองเห็นดวง จนั ทรบ์ างเวลาในบางวัน แตไํ มํสามารถมองเห็นดาวในเวลา
กลางวนั มองไมํเหน็ ดาวสวํ นใหญํ เนือ่ งจากแสงอาทิตย์สวาํ งกวาํ จงึ กลบแสงของดาว สํวนใน เวลากลางคืนจะ
มองเหน็ ดาวและมองเห็นดวงจนั ทร์ เกอื บทุกคืนหนิ ท่ีอยูํในธรรมชาตมิ ีลักษณะภายนอกเฉพาะตวั
-๔๖-
ที่สังเกต เชนํ สีลวดลาย นา้ หนกั ความแข็งและเน้ือหิน
เทคโนโลยี : การแก๎ปัญหาใหป๎ ระสบความสาเรจ็ ทาได๎โดยใช๎ขน้ั ตอนการแกป๎ ัญหา
ปญั หาอยาํ งงําย เชํน เกมเขาวงกต เกมหาจดุ แตกตําง ของภาพ การจดั หนังสือใสํกระเป๋า การแสดง
ข้นั ตอนการแก๎ปญั หา ทาได๎โดยการ เขียน บอกเลํา วาดภาพ หรือใชส๎ ญั ลกั ษณ์ ปัญหาอยาํ งงาํ ย เชนํ เกมเขา
วงกต เกมหาจุดแตกตํางของภาพ การจัดหนงั สอื ใสํกระเป๋า การเขยี นโปรแกรมเป็นการสร๎างลาดบั ของคาสั่ง
ใหค๎ อมพิวเตอรท์ างานตวั อยาํ งโปรแกรม เชํน เขียนโปรแกรมส่งั ให๎ ตัวละครยา๎ ยตาแหนงํ ยอํ ขยายขนาด
เปลีย่ น รปู รํางซอฟต์แวรห์ รอื สือ่ ที่ใชใ๎ นการเขยี นโปรแกรม เชํน ใช๎บตั รคาสัง่ แสดงการเขียนโปรแกรม,
Code.org การใช๎งานอปุ กรณเ์ ทคโนโลยเี บื้องต๎น เชนํ การใช๎ ตามวตั ถุประสงค์เมาส์ คียบ์ อรด์ จอสัมผสั การ
เปิด-ปดิ อปุ กรณ์เทคโนโลยกี ารใช๎งานซอฟตแ์ วรเ์ บื้องด๎น เชํน การเขา๎ และออกจาก โปรแกรม การสรา๎ งไฟล์
การจดั เกบ็ การเรยี กใช๎ไฟล์ ทาไดโ๎ นโปรแกรม เชนํ โปรแกรม ประมวลคา โปรแกรมกราฟกิ โปรแกรมนาเสนอ
การสร๎างและจัดเก็บไฟล์อยาํ งเปน็ ระบบจะทาให๎ เรียก ใช๎ ค๎นหาข๎อมลู ไดง๎ ํายและรวดเรว็ การใช๎เทคโนโลยี
สารสนเทศอยาํ งปลอดภัย เชํน ร๎จู กั ข๎อมูลสํวนตวั อนั ตรายจากการเผยแพรรํ ักษาอปุ กรณ์เบอื้ งตน๎ ใชง๎ านอยําง
เหมาะสมข๎อมลู สํวนตวั และไมบํ อกข๎อมลู สวํ นตัวกับบุคคลอื่นยกเวน๎ ผ๎ปู กครองหรือครู แจ๎งผู๎ เกีย่ วช๎อง เมอ่ื
ตอ๎ งการความชํวยเหลือเกีย่ วกับการ ใช๎งานข๎อปฏิบัติการใชง๎ านและการดูแลรักษาอปุ กรณ์ เชนํ ไมํขดี เขยี นบน
อุปกรณ์ ทาความสะอาดใช๎ อปุ กรณ์อยํางถูกวธิ กี ารใชง๎ านอยาํ งเหมาะสม เชนํ จดั ทําน่ังให๎ ถูกต๎อง การพัก
สายตาเม่อื ใช๎อุปกรณเ์ ปน็ เวลานานระมัดระวงั อุบัตเิ หตุจากการใชง๎ าน
โดยใชก๎ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การสบื เสาะหาความร๎ู การสารวจตรวจสอบ การสบื ค๎นข๎อมลู
การทดลองและการอภปิ รายเพอ่ื ใหเ๎ กดิ ความรู๎ ความคิดความเข๎าใจสามารถสือ่ สารส่งิ ที่เรียนรูม๎ คี วามสามารถ
ในการตัดสนิ ใจ นาความรไ๎ู ปใชป๎ ระโยชน์ในชวี ิตประจาวนั
มจี ิตวิทยาศาสตร์ จริยธรรม คณุ ธรรมและคํานยิ มท่เี หมาะสม
รหัสตวั ช้ีวดั
ว ๑.๑ ป.๑/๑ ป.๑/๒
ว ๑.๒ ป.๑/๑ ป.๑/๒
ว ๑.๓ -
ว ๒.๑ ป.๑/๑ ป.๑/๒
ว ๒.๒ -
ว ๒.๓ ป.๑/๑
ว ๓.๑ ป.๑/๑ ป.๑/๒
ว ๓.๒ ป.๑/๑
ว ๔.๑ -
ว ๔.๒ ป.๑/๑ ป.๑/๒ ป.๑/๓ ป.๑/๔ ป.๑/๕
รวมทั้งหมด ๑๕ ตัวช้ีวดั
-๔๗-
คาอธบิ ายรายวิชาพ้ืนฐาน
ว ๑๒๑๐๑ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ ๒ เวลา ๖๐ ชั่วโมง
ผ๎ูเรยี นได๎ศกึ ษาวเิ คราะห์ และแก๎ไขปัญหาดงั นี้
วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ : ศึกษาวิเคราะห์ พชื ต๎องการนา้ แสง เพอ่ื การเจริญเตบิ โต พชื ดอกเม่ือ
เจรญิ เตบิ โตและมดี อก ดอก จะมีการสืบพันธุเปลยี่ นแปลงไปเปน็ ผลภายในผลมีเมลด็ เม่ือเมลด็ งอก ตน๎ อํอนท่ี
อยูํภายในเมลด็ จะเจริญ เติบโตเปน็ พชื ตน๎ ใหมํ พชื ตน๎ ใหมํจะเจรญิ เตบิ โตออกดอก เพ่ือสืบพันธ์ุมีผลตํอไปได๎อีก
หมนุ เวียนตํอเนอื่ งเปน็ วัฏจกั รชีวติ ของพชื ดอก
สงิ่ ท่ีอยรูํ อบตัวเรามีทัง้ สิ่งที่มชี ีวิตและสง่ิ ไมํมีชวี ติ สิ่งมีชีวิตตอ๎ งการอาหารมีการหายใจ เจริญเติบโต
ขับถําย เคลื่อนไหว ตอบสนองตํอสงิ่ เร๎า และสืบพันธ์ุได๎ลูกที่มีลักษณะคล๎ายคลึงกบั พํอแมํ สวํ นสิง่ ไมํมชี ีวิต จะ
ไมํมีลกั ษณะดงั กลาํ ว
วิทยาศาสตร์กายภาพ : วสั ดแุ ตลํ ะชนิดมีสมบตั กิ ารดดู ซบั นา้ แตกตํางกัน จงึ นาไปทาวัตถเุ พื่อใช๎
ประโยชนไ์ ดแ๎ ตกตาํ งกนั เชํน ใชผ๎ ๎าท่ี ดดู ซบั นา้ ได๎มากทาผ๎าเช็ดตัว ใชพ๎ ลาสติกซึง่ ไมํดดู ซับนา้ ทารมํ วสั ดุ
บางอยาํ งสามารถนามาผสมกันซ่ึง ทาใหไ๎ ด๎ สมบัติ ทีเ่ หมาะสม เพอ่ื นาไปใช๎ ประโยชนต์ ามตอ๎ งการ เชนํ แปูง
ผสมน้าตาลและกะทิ ใชท๎ า ขนมไทย ปนู ปลาสเตอรผ์ สมเยอ่ื กระดาบใช๎ทากระปุกออมสนิ ปนู ผสมหนิ ทราย
และน้าใช๎ทาคอนกรีต การนาวสั ดมุ าทาเป็นวัตถุในการใช๎งานตาม วัตถุประสงค์ ขน้ึ อยูํกับสมบัตขิ องวัสดุ วสั ดุ
ที่ใช๎ แล๎วอาจนากลับมาใช๎ ใหมํได๎ เชํน กระดาษใชแ๎ ล๎ว อาจนามาทาเป็นจรวดกระดาษ ดอกไมป๎ ระดิษฐ์ ถุงใสํ
ของ
แสงเคลือ่ นทจี่ ากแหลงํ กาเนดิ แสงทุกทิศทาง เปน็ แนวตรง เมือ่ มีแสงจากวัตถุมาเขา๎ ตาจะทาให๎มอง
เหน็ วัตถุ นน้ั การมองเหน็ วตั ถุทเ่ี ปน็ แหลงํ กาเนดิ แสง แสงจาก วตั ถนุ ั้นจะเขา๎ สํตู าโดยตรง สํวนการมองเห็น
วัตถุทไ่ี มํใชํ แหลํงกาเนดิ แสง ต๎องมี แสงจากแหลงํ กาเนดิ แสง ไปกระทบวตั ถุแลว๎ สะท๎อนเขา๎ ตา ถา๎ มีแสงท่ี
สวาํ งมาก ๆ เขา๎ สูตํ า อาจเกิดอนั ตรายตํอตาได๎ จงึ ตอ๎ งหลีกเล่ยี ง การมองหรือใช๎แผํนกรองแสงท่ีมคี ุณภาพ
เมื่อจาเป็น และ ตอ๎ งจัดความสวาํ งให๎ เหมาะสม กับการทากิจกรรม ตําง ๆ เชํน การอํานหนงั สอื การดู
จอโทรทศั น์ การใช๎ไทรศพั ท์ เคลอื่ นที่ และแทบ็ เล็ต
วิทยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ : ดนิ ประกอบด๎วยเศษหิน ซากพชื ซากสัตว์ผสมอยูํ ในเนือ้ ดนิ
มอี ากาศและน้าแทรกอยํตู ามชอํ งวํางในเนอ้ื ดินดินจาแนกเปน็ ดินรํวน ดนิ เหนยี ว และดนิ ทราย ตาม ลักษณะ
เนอ้ื ดนิ และการจับตวั ของดินซ่ึงมผี ลตอํ การอ๎ุมนา้ ท่ีแตกตาํ งกันดนิ แตลํ ะชนดิ นาไปใชป๎ ระโยชนไ์ ดแ๎ ตกตํางกัน
ตามลกั ษณะและสมบตั ิของดิน
เทคโนโลยี : การแสดงข้ันตอนการแก๎ปัญหา ทาได๎โดยการ เขยี นอยํางงํายโดยใช๎ภาพ สญั ลักษณ์ หรอื
ขอ๎ ความบอกเลาํ วาดภาพ หรอื ใชส๎ ัญลักษณ์ ปญั หาอยํางงําย เชํน เกมตัวตอํ ๖-๑๒ ชิ้น การแตงํ ตวั มาโรงเรียน
ตัวอยาํ งโปรแกรม เชนํ เขยี นโปรแกรมสงั่ ใหห๎ รือสือ่ และตรวจหาข๎อผดิ พลาดของโปรแกรมตัวละครทางาน
ตามทต่ี ๎องการ และตรวจสอบขอ๎ ผิดพลาด ปรับแก๎ไขให๎ไดผ๎ ลลัพธต์ ามทก่ี าหนดการตรวจหาขอ๎ ผดิ พลาด ทาได๎
โดยตรวจสอบคาส่งั ทแ่ี จ๎งข๎อผิดพลาด หรอื หากผลลพั ธ์ไมเํ ป็นไปตามทตี่ อ๎ งการใหต๎ รวจสอบการทางานทีละ
คาส่ัง ซอฟตแ์ วร์หรอื สอื่ ทีใ่ ชใ๎ นการเขยี นโปรแกรม เชนํ ใชบ๎ ัตรคาสั่งแสดงการเขียนโปรแกรม, Code.org การ
ใชง๎ านซอฟต์แวรเ์ บอื้ งตน๎ เชนํ การเข๎า จัดเกบ็ เรยี กใช๎ข๎อมูลตามวัตถุประสงคแ์ ละออกจากโปรแกรมการสร๎าง
ไฟล์ การจดั เก็บการเรียกใชไ๎ ฟลก์ ารแก๎ไขตกแตํงเอกสารทาได๎ ในโปรแกรม เชํน โปรแกรมประมวลคา
โปรแกรมกราฟิก โปรแกรมนาเสนอการสรา๎ ง ตดั ลอก ยา๎ ย ลบ เปลีย่ นช่อื จัดหมวดหมูไํ ฟล์ และโฟลเดอรอ์ ยําง
เป็นระบบจะทาให๎ เรียกใช๎ ค๎นหาข๎อมลู ได๎งํายและรวดเรว็ การใช๎เทคโนโลยสี ารสนเทศอยํางปลอดภยั เชนํ รูจ๎ กั
ขอ๎ มูลสวํ นตวั อนั ตรายจากการเผยแพรํ ข๎อมูลสํวนตัว และไมํบอกข๎อมูลสวํ นตวั กับบคุ คลอืน่ ยกเว๎นผป๎ู กครอง
-๔๘-
หรอื ครู แจง๎ ผ๎เู กี่ยวข๎อง เมื่อต๎องการความชวํ ยเหลอื เกย่ี วกับการใช๎งานข๎อปฏิบัติในการใช๎งานและการดูแล
รักษาอปุ กรณ์ เชํน ไมขํ ีดเขยี นบนอุปกรณ์ ทาความสะอาดใช๎อปุ กรณ์อยํางถูกวิธกี ารใช๎งานอยํางเหมาะสม
เชํน จดั ทาํ น่งั ให๎ถกู ต๎องการพักสายตาเมื่อใช๎อปุ กรณเ์ ป็นเวลานานระมัดระวังอุบตั ิเหตจุ ากการใชง๎ าน
โดยใชก๎ ระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความร๎ู การสารวจตรวจสอบ การสบื ค๎นขอ๎ มลู
การทดลองและการอภปิ รายเพื่อให๎เกิดความร๎ู ความคดิ ความเขา๎ ใจสามารถส่ือสารสง่ิ ที่เรียนร๎ูมคี วามสามารถ
ในการตดั สินใจ นาความรูไ๎ ปใช๎ประโยชน์ในชวี ิตประจาวัน
มจี ิตวิทยาศาสตร์ จริยธรรม คณุ ธรรมและคาํ นิยมทีเ่ หมาะสม
รหัสตัวช้ีวัด
ว ๑.๑ -
ว ๑.๒ ป.๒/๑ ป.๒/๒ ป.๒/๓
ว ๑.๓ ป.๒/๑
ว ๒.๑ ป.๒/๑ ป.๒/๒ ป.๒/๓ ป.๒/๔
ว ๒.๒ -
ว ๒.๓ ป.๒/๑ ป.๒/๒
ว ๓.๑ -
ว ๓.๒ ป.๒/๑ ป.๒/๒
ว ๔.๑ -
ว ๔.๒ ป.๒/๑ ป.๒/๒ ป.๒/๓ ป.๒/๔
รวมท้ังหมด ๑๖ ตัวช้ีวดั
-๔๙-
คาอธิบายรายวิชาพนื้ ฐาน
ว ๑๓๑๐๑ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ ๓ เวลา ๖๐ ชั่วโมง
ผเ๎ู รยี นได๎ศกึ ษาวเิ คราะห์ และแก๎ไขปัญหาดงั นี้
วทิ ยาศาสตรช์ ีวภาพ : ศึกษาวิเคราะห์ มนษุ ย์และสัตว์ต๎องการอาหาร น้า และอากาศ เพ่อื การ
ดารงชีวติ และการเจริญเติบโตอาหารชวํ ยใหร๎ ํางกายแขง็ แรงและ เจรญิ เติบโตน้าชํวยให๎รํางกายทางานได๎อยําง
ปกติ อากาศใช๎ในการหายใจสัตว์เมือ่ เป็นตัวเต็มวยั จะสบื พนั ธุมีลกู เมื่อลกู เจริญเติบโตเป็นตวั เต็มวัยกส็ ืบพนั ธ์มุ ี
ลูกตอํ ไปได๎อกี หมนุ เวียนตํอเน่ืองเป็นวัฏจกั รชีวิตของสัตว์ ซึ่งสัตว์แตลํ ะชนิด เชนํ ผีเสอ้ื กบ ไกํ มนุษย์ จะมีวัฏ
จกั รชีวิตทเ่ี ฉพาะ และแตกตํางกัน
วทิ ยาศาสตร์กายภาพ : วัตถุอาจทาจากชิน้ สํวนยอํ ย ๆ ซ่งึ แตํละชิ้นมีลักษณะเหมือนกนั มา
ประกอบเขา๎ ดว๎ ยกัน เมอื่ แยกชิน้ สวํ นยอํ ย ๆ แตํละชิน้ ของวตั ถอุ อกจากกันสามารถ นาช้นิ สํวน เหลาํ น้ันมา
ประกอบเปน็ วตั ถุชิน้ ใหมํได๎ เชนํ กาแพงบ๎านมกี ๎อนอิฐหลาย ๆ ก๎อนประกอบเขา๎ ด๎วยกนั และสามารถนาก๎อน
อฐิ จากกาแพงบา๎ นมาประกอบเป็น ทางเดนิ ได๎ เมอ่ื ให๎ความรอ๎ นหรือทาให๎วัสดรุ อ๎ นข้ึน และเม่ือลดความร๎อน
หรือทาให๎วัสดุ เยน็ ลง วสั ดจุ ะเกิดการเปลีย่ นแปลงได๎ เชํน สเี ปล่ียน รปู ราํ งเปล่ยี น
การดึงหรือการผลกั เป็นการออกแรงกระทา ตอํ วัตถุ แรงมีผลตํอการเคลือ่ นที่ของวตั ถุ แรงอาจ
ทาให๎วัตถุเกิด การเคล่ือนท่ีโดยเปลีย่ น ตาแหนงํ จากที่หน่ึงไปยังอีกทีห่ นึง่ การเปล่ยี นแปลงการเคล่ือนที่ของ
วตั ถุ ได๎แกํ วัตถุที่อยนูํ ่ิงเปล่ียนเปน็ เคลือ่ นท่ี วตั ถุที่กาลงั เคลื่อนท่ีเปล่ียนเปน็ เคลื่อนท่เี ร็วข้ึนหรอื ช๎าลงหรอื
หยดุ นง่ิ หรือเปลีย่ นทศิ ทางการเคล่ือนที่ การดงึ หรือการผลกั เปน็ การออกแรงทเ่ี กดิ จากวตั ถุหนึง่ กระทากับอีก
วัตถุหนง่ึ โดยวตั ถทุ ้ังสองอาจสัมผสั หรือไมตํ ๎องสัมผสั กนั เชํน การออกแรงโดยใชม๎ ือดงึ หรือการผลกั โต๏ะให๎
เคลื่อนท่ี เป็นการออกแรงทว่ี ัตถุตอ๎ ง สมั ผัสกัน แรงน้จี งึ เปน็ แรงสัมผสั กัน สํวนการที่ แมํเหล็กดงึ ดดู หรือผลัก
ระหวํางแมเํ หลก็ เปน็ แรงที่ เกิดขน้ึ โดยแมเํ หลก็ ไมจํ าเปน็ ต๎องสัมผสั กัน แรง แมํเหล็กนจี้ ึงเป็นแรงไมสํ ัมผสั กัน
แมํเหลก็ สามารถดึงดูดสารแมํเหลก็ ได๎ แรงแมเํ หลก็ เป็นแรงท่ีเกิดขึ้นระหวาํ งแมเํ หลก็ กบั สาร แมํเหล็กหรือ
แมํเหลก็ กบั แมเํ หลก็ แมเํ หลก็ มี ๒ ข้วั คือ ข้วั เหนือและข้ัวใตข๎ วั้ แมเํ หลก็ ชนดิ เดียวกนั จะผลกั กนั ตาํ งชนดิ กนั จะ
ดงึ ดดู กนั
พลงั งานเป็นปริมาณทแ่ี สดงถึงความสามารถ ในการทางาน พลังงานมหี ลายแบบ เชํน พลังงานกล
พลังงาน ไฟฟูา พลงั งานแสง พลังงานเสียง และพลงั งานความ ร๎อน โดยพลงั งานสามารถ จากพลงั งานหนึ่ง
ไปเปน็ อีกพลงั งานหนึง่ ได๎ เชํน การถอื มือจนรสู๎ ึกร๎อนเป็นการ เปล่ยี นพลงั งานกลเป็นพลังงานความร๎อนแผง
เซลลส์ รุ ิยะเปลีย่ นพลังงานแสงเป็นพลงั งานไฟฟาู หรือ เคร่อื งใช๎ไฟฟาู เปล่ยี นพลงั งานไฟฟูาเปน็ พลงั งานอ่นื
ไฟฟูาผลิตจากเครอ่ื งกาเนิดไฟฟูาซึ่งใช๎พลงั งาน จาก แหลํงพลังงานธรรมชาตหิ ลายแหลงํ
เชํน พลงั งานจากลม พลงั งานจากน้า พลังงานจาก แก๏สธรรมชาติ พลงั งานไฟฟูามีความสาคญั ตอํ
ชวี ติ ประจาวนั การใช๎ ไฟฟาู นอกจากต๎องใช๎อยํางถูกวิธี ประหยัด และค๎ุมคาํ แลว๎ ยังตํอคานึงถึงความ
ปลอดภัยด๎วย
วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ : คนบนโลกมองเห็นดวงอาทติ ยป์ รากฏขึน้ ทางดา๎ นหน่ึงและตก
ทางอีกดา๎ นหนึ่งทุกวัน หมุนเวยี นเปน็ แบบ รปู ซ้า ๆ โลกกลมและหมนุ รอบตัวเองขณะโคจรรอบดวงอาทติ ย์ทา
ให๎บรเิ วณของโลกไดร๎ ับแสงอาทติ ย์ไมํพร๎อมกนั โลกด๎านท่ไี ด๎รับแสงจากดวงอาทติ ย์จะเป็นกลางวนั สวํ นด๎าน
ตรงขา๎ มที่ไมํได๎รบั แสงจะเป็นกลางคืน นอกจากน้ีคนบนโลกจะ มองเหน็ ดวงอาทติ ย์ปรากฏข้นึ ทางดา๎ นหนึ่ง
ซ่ึงกาหนดให๎ เป็นทิศตะวันออก และมองเห็นดวงอาทติ ย์ตกทางอีกดา๎ นหน่งึ ซ่ึงกาหนดให๎ เป็นทศิ ตะวนั ตก
และเม่ือใหด๎ ๎านขวามอี อยูทํ าง ทศิ ตะวันออก ด๎านซ๎ายมีออยํทู างทิศตะวันตก ด๎านหน๎าจะ เปน็ ทศิ เหนือ
-๕๐-
และดา๎ นหลงั จะเป็นทิศใต๎ ในเวลากลางวันโลกจะได๎รบั พลังงานแสงและพลงั งานความรอ๎ นจากดวงอาทิตย์
ทาให๎สิ่งมชี วี ติ ดารงชวี ติ อยํูได๎
อากาศโดยทั่วไปไมํมสี ี ไมํมีกลิ่น ประกอบด๎วย แกส๏ ไนโตรเจนแก๏สออกซิเจน แก๏ส
คาร์บอนไดออกไซด์ แกส๏ อนื่ ๆ รวมท้ังไอน้า และฝนุ ละออง อากาศ มคี วามสาคัญตํอสงิ่ มีชีวิตหาก
สวํ นประกอบของอากาศไมเํ หมาะสมเน่ืองจากมีแก๏สบางชนิดหรอื ฝุนละอองในปรมิ าณมาก อาจเป็นอนั ตราย
ตอํ สง่ิ มีชีวิต ชนิดตาํ ง ๆ จัดเป็นมลพษิ ทางอากาศ แนวทางการปฏบิ ัติตนเพ่ือลดการปลํอยมลพิษทาง
อากาศ เชนํ ใชพ๎ าหนะรํวมกัน หรือเลอื ก ใช๎ เทคโนโลยี ทล่ี ดมลพิษทางอากาศ ลม คือ อากาศท่ีเคลอ่ื นที่ เกดิ
จากความแตกตาํ งกัน ของ อุณหภูมอิ ากาศบรเิ วณที่อยํใู กล๎กัน โดยอากาศ บรเิ วณท่ี มีอุณหภูมิสูงจะลอยตัว
สงู ขึ้นและอากาศ บริเวณทีม่ ี อุณหภูมติ ่ากวาํ จะเคลื่อน เข๎าไปแทนทล่ี มสามารถนามาใช๎เปน็ แหลํงพลังงาน
ทดแทนในการ ผลิตไฟฟาู และนาไปใชป๎ ระโยชนใ์ นการ ทากิจกรรม ตาํ ง ๆ ของมนษุ ย์ หากลมเคล่ือนที่ ดว๎ ย
ความเรว็ สงู อาจทาใหเ๎ กดิ อันตรายและ ความ เสียหายตํอชวี ิตและทรัพย์สินได๎
เทคโนโลยี : อัลกอริทมึ เปน็ ขัน้ ตอนทใ่ี ชใ๎ นการแกป๎ ัญหา การแสดงอัลกอริทมึ ทาได๎โดยการ
เขยี น บอกเลํา วาดภาพ หรือใชส๎ ญั ลกั ษณ์ ตวั อยํางปัญหา เชนํ เกมเศรษฐี เกมบันไดงู เกม Tetris เกม 0X
การเดนิ ไปโรงอาหาร การทาความสะอาดหอ๎ งเรยี นการเขียนโปรแกรมเป็นการสรา๎ งลาดับของคาส่งั ให๎
คอมพิวเตอร์ทางาน ตวั อยํางโปรแกรม เชนํ เขยี นโปรแกรมทส่ี งั่ ให๎ ตวั ละครทางานซ้าไมํสิน้ สดุ การตรวจหา
ขอ๎ ผิดพลาด ทาได๎โดยตรวจสอบคาสง่ั ที่แจ๎งข๎อผิดพลาด หรือหากผลลัพธไ์ มํ เป็นไปตามทีต่ ๎องการใหต๎ รวจสอบ
การทางานทีละคาส่ังซอฟต์แวรห์ รือสอ่ื ท่ีใชใ๎ นการเขียนโปรแกรม เชํน ใชบ๎ ตั รคาส่ังแสดงการเขยี นโปรแกรม,
Code.org อินเทอรเ์ น็ตเปน็ เครือขํายขนาดใหญชํ ํวยให๎ การติดตํอส่อื สารทาไต๎สะดวกและรวดเรว็ และเป็น
แหลงํ ข๎อมูลความร๎ทู ่ีชวํ ยในการเรียน และการดาเนินชวี ิต เว็บบราวเซอร์เป็นโปรแกรมสาหรับอํานเอกสาร
บนเวบ็ เพจ การสบื ค๎นข๎อมูลบนอนิ เทอรเ์ น็ต ทาไดโ๎ ดยใช๎ เว็บไซต์ลาหรบั สืบค๎น และต๎องกาหนดคาค๎นท่ี
เหมาะสมจงึ จะไตข๎ ๎อมลู ตามต๎องการ ขอ๎ มูลความร๎ู เชํน วธิ ที าอาหาร วิธพี ับกระดาษเปน็ รูปตาํ ง ๆ ข๎อมูล
ประวตั ศิ าสตร์ชาตไิ ทย (อาจเป็นความร๎ใู นวิชาอืน่ ๆ หรือเร่ืองท่เี ปน็ ประเด็นที่สนใจในชํวงเวลาน้นั )
การใช๎อนิ เทอรเ์ น็ตอยํางปลอดภัยควรอยํู ในการ ดูแลของครู หรอื ผ๎ปู กครอง การรวบรวมขอ๎ มลู ทาไดโ๎ ดย
กาหนดหัวขอ๎ ซอฟต์แวร์ตามวตั ถุประสงค์ทต่ี อ๎ งการ เตรียม อปุ กรณ์โนการจดบนั ทึก การประมวลผลอยํางงําย
เชนํ เปรยี บเทยี บ จัดกลมุํ เรยี งลาดับการนาเสนอข๎อมูลทาได๎หลายลักษณะตาม ความเหมาะสม เชนํ การบอก
เลาํ การทาเอกสารรายงาน การจัดทาปาู ยประกาศการใช๎ซอฟต์แวร์ทางานตามวัตถปุ ระสงค์ เชํน ใชซ๎ อฟต์แวร์
นาเสนอ หรือซอฟต์แวรก์ ราฟิก สรา๎ งแผนภูมริ ูปภาพ ใชซ๎ อฟต์แวร์ประมวลคา ทาปูายประกาศหรือ
เอกสารรายงานใช๎ ซอฟตแ์ วรต์ ารางทางานในการประมวลผลขอ๎ มูล การใช๎เทคโนโลยสี ารสนเทศอยําง
ปลอดภยั เชนํ ปกปอู งข๎อมลู สวํ นตวั ขอความชวํ ยเหลือจากครูหรอื ผูป๎ กครอง เมื่อเกดิ ปัญหาจากการใช๎งาน
เม่อื พบข๎อมูลหรือ บคุ คลทท่ี าให๎ไมสํ บายใจการปฏิบัติตามขอ๎ ตกลงในการใช๎อนิ เทอร์เน็ต จะทาให๎ไมํเกดิ ความ
เสยี หายตอํ ตนเองและผู๎อน่ื เชํน ไมใํ ช๎คาหยาบ ล๎อเลียน ดําทอ ทาให๎ผ๎อู ื่น เสยี หายหรอื เสยี ใจ ขอ๎ ดีและ
ข๎อเสยี ในการใช๎เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
โดยใช๎กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสบื เสาะหาความรู๎ การสารวจตรวจสอบ การสบื ค๎นข๎อมูล
การทดลองและการอภปิ รายเพ่ือใหเ๎ กิดความรู๎ ความคดิ ความเขา๎ ใจสามารถสอื่ สารส่ิงท่ีเรียนรม๎ู ีความสามารถ
ในการตดั สนิ ใจ นาความรู๎ไปใช๎ประโยชนใ์ นชวี ติ ประจาวัน
มีจิตวทิ ยาศาสตร์ จรยิ ธรรม คุณธรรมและคํานิยมทเ่ี หมาะสม
-๕๑-
รหัสตวั ช้ีวัด
ว ๑.๑ -
ว ๑.๒ ป.๓/๑ ป.๓/๒ ป.๓/๓ ป.๓/๔
ว ๑.๓ -
ว ๒.๑ ป.๓/๑ ป.๓/๒
ว ๒.๒ ป.๓/๑ ป.๓/๒ ป.๓/๓ ป.๓/๔
ว ๒.๓ ป.๓/๑ ป.๓/๒ ป.๓/๓
ว ๓.๑ ป.๓/๑ ป.๓/๒ ป.๓/๓
ว ๓.๒ ป.๓/๑ ป.๓/๒ ป.๓/๓ ป.๓/๔
ว ๔.๑ -
ว ๔.๒ ป.๓/๑ ป.๓/๒ ป.๓/๓ ป.๓/๔ ป.๓/๕
รวมท้ังหมด ๒๕ ตัวช้ีวดั
-๕๒-
คาอธิบายรายวชิ าพืน้ ฐาน
ว ๑๔๑๐๑ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ ๔ เวลา ๑๒๐ ชวั่ โมง
ผ๎ูเรยี นได๎ศึกษาวเิ คราะห์ และแก๎ไขปัญหาดงั นี้
วิทยาศาสตร์ชีวภาพ : สวํ นตําง ๆ ของพืชดอกทาหน๎าท่แี ตกตํางกัน รากทาหน๎าทดี่ ดู น้าและธาตุ
อาหารขนึ้ ไปยงั ลาต๎น ลาตน๎ ทาหนา๎ ทลี่ าเลยี งน้าตํอไปยังสํวนตําง ๆ ของพืช ใบทาหน๎าทีส่ ร๎างอาหาร
อาหารที่พืชสร๎างขึน้ คือนา้ ตาลซึง่ จะเปลยี่ นเปน็ แปงู ดอกทาหน๎าทีส่ บื พันธุ์ ประกอบดว๎ ยสวํ นประกอบตาํ ง ๆ
ไดแ๎ กํ กลบี เล้ยี งกลีบดอกเกสรเพศผู๎ และเกสรเพศเมยี ซึ่งสํวนประกอบ แตํละสวํ นของดอกทาหน๎าทแ่ี ตกตําง
กนั
สิ่งมีชวี ิตมหี ลายชนดิ สามารถจัดกลุมํ ไดโ๎ ดยใชค๎ วาม เหมือนและความแตกตํางของลกั ษณะตําง ๆ
เชํน กลมุํ พืชสรา๎ งอาหาร เองได๎ และเคลื่อนท่ดี ๎วย ตนเองไมํได๎ กลํุม สตั ว์กนิ ส่งิ มีชีวิตอืน่ เป็นอาหาร และ
เคลื่อนที่ได๎ กลุมํ ที่ไมใชํพืชและสัตว์ เชนํ เห็ด รา จุลินทรยี ์ การจาแนกพืช สามารถใช๎การมดี อกเปน็ เกณฑ์
ในการ จาแนก ได๎พชื ดอกและพืชไมมํ ีดอก การจาแนกสตั ว์ สามารถใชก๎ ารมีกระดูกสันหลงั เปน็ เกณฑ์ในการ
จาแนก ไดเ๎ ปน็ สัตว์มีกระดูกสันหลัง และ สัตว์ไมํมกี ระดูกสันหลงั สัตวม์ กี ระดกู ลันหลังมหี ลายกลํมุ ได๎แกํ
กลํุมปลา กลํุมสตั วส์ ะเทนิ น้าสะเทินบกกลมํุ สตั ว์เลอื้ ยคลานกลุมํ นก และกลุํมสตั ว์เลี้ยงลูกด๎วยนา้ นม ซ่งึ แตลํ ะ
กลุมํ จะมลี ักษณะเฉพาะท่ีสังเกตได๎
วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ : วสั ดุแตํละชนดิ มสี มบตั ิทางกายภาพ แตกตาํ งกัน วัสดุ ท่ีมคี วามแข็งจะทน
ตํอ แรงขดู ขีด วสั ดุทีม่ ีสภาพยืดหยํุน จะ เปลี่ยนแปลงรปู ราํ งเมือ่ มแี รง มากระทาและกลับสภาพเดมิ ได๎ วัสดุที่
นาความรอ๎ นจะร๎อนได๎เรว็ เมื่อได๎รบั ความร๎อน และวสั ดทุ ี่นาไฟฟาู ได๎ จะให๎กระแสไฟฟาู ผาํ น ได๎ ดังนั้นจังอาจ
นาสมบัติตําง ๆ มาพิจารณาเพอื่ ใช๎ใน กระบวนการออกแบบชน้ิ งานเพ่อื ใช๎ประโยชน์ในชีวติ ประจาวัน
วสั ดุเปน็ สสารเพราะมมี วลและต๎องการท่ีอยํู สสารมีสถานะเป็นของแขง็ ของเหลว หรอื แกส๏ ของแข็ง มี
ปริมาตรและรูปรําง คงท่ีเหลวปรมิ าตรคงที่ แตมํ ีรูปราํ งเปล่ียนไปตามภาชนะ เฉพาะสํวนทบี่ รรจุ ของเหลว
สํวน แก๏สมีปรมิ าตร และรปู รําง เปลี่ยนไปตามภาชนะท่ีบรรจุ
แรงโน๎มถวํ งของโลกเป็นแรงดงึ ดูดทีโ่ ลกกระทาตํอวตั ถุ มที ศิ ทางเขา๎ สูํศูนย์กลางโลก และเป็นแรง
ไมํสมั ผสั แรงดงึ ดูดท่ีโลกกระทากบั วัตถุหน่งึ ๆ ทาใหว๎ ัตถุตกลงสพูํ นื้ โลก และทาใหว๎ ัตถมุ ีนา้ หนัก วดั นา้ หนัก
ของวัตถุได๎ จากเครอ่ื งชงั่ สปรงิ น้าหนกั ของวัตถขุ นึ้ กับมวลของวัตถุ โดยวัตถุทีม่ มี วลมาก จะมนี ้าหนกั มาก
วตั ถทุ มี่ ีมวลน๎อย จะมีนา้ หนักน๎อย มวล คือ ปรมิ าณเน้อื ของสสารทั้งหมดท่ีประกอบกนั เปน็ วตั ถุ ซ่ึงมผี ลตํอ
ความยากงาํ ยในการ เปล่ยี นแปลงการเคล่อื นทีข่ องวตั ถุ วัตถทุ ม่ี ี มวลมากจะเปล่ยี นแปลงการเคลอ่ื นที่ไดย๎ าก
กวาํ วัตถทุ ี่มีมวลนอ๎ ย ดังนนั้ มวลของวัตถุนอกจาก จะหมายถงึ เนอ้ื ทง้ั หมดของวัตถนุ ้ันแลว๎ ยังหมายถึงการ
ตา๎ นการเปล่ียนแปลง การเคล่ือนที่ของวัตถุนนั้ ดว๎ ย
เมอ่ื มองสง่ิ ตาํ ง ๆ โดยมวี ตั ถุตํางชนิดกันมากนั้ แสงจะทาให๎ลกั ษณะการมองเห็นสิ่งนนั้ ๆ ชัดเจน
ตํางกัน จึงจาแนกวตั ถุที่มาก้นั ออกเป็นตัวกลาง โปรงํ ใส ซงึ่ ทาให๎มองเห็นสงิ่ ตําง ๆ ไดช๎ ัดเจนตวั กลางโปรงํ แสง
ทาให๎มองเหน็ สิ่งตาํ ง ๆ ไดไ๎ มํชัดเจน และวตั ถทุ บึ แสงทาให๎มองไมเํ ห็นส่ิงตาํ ง ๆ นั้น
วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ : ดวงจันทรเ์ ป็นบริวารของโลก โดยดวงจนั ทร์หมุนรอบตวั เอง
ขณะโคจรรอบโลก ขณะที่โลกก็หมนุ รอบตวั เองดว๎ ยเชํนกนั การหมุนรอบตัวเองของโลกจากทศิ ตะวนั ตกไปทิศ
ตะวนั ออกใน ทิศทางทวนเข็มนาฬิกา เม่ือมองจากข้วั โลกเหนอื ทาใหม๎ องเห็นดวงจนั ทร์ ปรากฏขน้ึ ทางด๎าน
ทศิ ตะวันออกและตกทางดา๎ นทิศ ตะวนั ตก หมุนเวียนเป็นแบบรปู ซา้ ๆ ดวงจนั ทรเ์ ปน็ วตั ถทุ ี่เป็นทรงกลม แตํ
รปู รํางของ ดวงจันทร์ทีม่ องเห็นหรอื รูปรํางปรากฏของ ดวงจันทร์บนท๎องฟูาแตกตํางกันไปในแตํละวนั โดยใน
แตลํ ะวันดวงจนั ทร์จะมรี ูปรํางปรากฏเปน็ เสี้ยวที่มขี นาด เพม่ิ ข้นึ อยํางตํอเนื่องจนเตม็ ดวงจากนน้ั รปู ราํ ง
-๕๓-
ปรากฏ ของดวงจันทร์จะแหวงํ และมขี นาดลดลงอยํางตํอเนือ่ ง จนมองไมํเหน็ ดวงจันทร์ จากนน้ั รปู ราํ ง
ปรากฏของ ดวงจันทรจ์ ะเป็นเสยี้ วใหญขํ น้ึ จนเตม็ ดวงอีกครง้ั การ เปลี่ยนแปลงเชํนนี้เปน็ แบบรูปชา้ กนั ทุกเดอื น
ระบบสรุ ยิ ะเป็นระบบท่ีมดี วงอาทติ ย์เป็น ศนู ย์กลางและมีบริวารประกอบดว๎ ยดาวเคราะห์
แปดดวง และบรวิ ารซ่งึ ดาวเคราะห์แตลํ ะดวงมีขนาดและระยะหํางจากดวงอาทิตย์แตกตาํ งกนั และ ยัง
ประกอบด๎วย ดาว เคราะห์แคระ ดาว เคราะหน์ ๎อย ดาวหาง และวัตถขุ นาด เล็กอ่ืน ๆ โคจรอยูรํ อบดวงอาทติ ย์
วตั ถขุ นาดเลก็ อ่นื ๆ เม่ือเขา๎ มา ในชัน้ บรรยากาศเน่ืองจากแรงโน๎มถํวงของโลก ทาใหเ๎ กิดเป็นดาวตกหรือ
ผีพุํงไต๎และอุกกาบาต
เทคโนโลยี : การใชเ๎ หตุผลเชิงตรรกะเปน็ การนากฎเกณฑห์ รอื เง่ือนไขทค่ี รอบคลุมทกุ กรณมี าใช๎
พิจารณาในการ แก๎ปัญหา การอธบิ ายการทางาน หรอื การคาดการณผ์ ลลัพธ์สถานะเร่ิมตน๎ ของการทางานท่ี
แตกตํางกนั จะใหผ๎ ลลพั ธ์ทแ่ี ตกตาํ งลันตัวอยํางปัญหา เชนํ เกม 0X โปรแกรมท่ีมิ การคานวณ โปรแกรมท่มี ีตัว
ละครหลายตัว และมีการสงั่ งานที่แตกตํางหรือมกี ารสื่อสาร ระหวาํ งกัน การเดนิ ทางไปโรงเรยี น โดยวธิ กี ารตาํ ง
ๆ การออกแบบโปรแกรมอยํางงาํ ย เชนํ การออกแบบ ซอฟต์แวรห์ รอื สอื่ และตรวจหาข๎อผดิ พลาดโดยใช๎
storyboard หรอื การออกแบบอัลกอรทิ มึ การเขียนโปรแกรมเปน็ การสรา๎ งลาดับของคาสั่ง
ใหค๎ อมพิวเตอรท์ างาน เพ่อื ให๎ไดผ๎ ลลพั ธ์ตาม ความต๎องการ หากมีข๎อผดิ พลาดใหต๎ รวจสอบการทางานทลี ะ
คาส่งั เมอื่ พบจุดท่ีทาให๎ผลลัพธไ์ มถํ กู ต๎อง ให๎ทาการแก๎ไขจนกวาํ จะไดผ๎ ลลัพธ์ท่ีถูกต๎องตัวอยาํ งโปรแกรมทม่ี ี
เรอ่ื งราว เชํน นิทานทีม่ ีการโตต๎ อบกบั ผู๎ใช๎ การต์ ูนสนั้ เลํากิจวตั รประจาวัน ภาพเคล่ือนไหวการฝึกตรวจหา
ข๎อผดิ พลาดจากโปรแกรมของ ผู๎อ่นื จะชํวยพฒั นาทักษะการหาสาเหตขุ องปัญหาไดด๎ ยี ่ิงขึ้นซอฟต์แวร์ท่ีใชใ๎ น
การเขยี นโปรแกรม เชํน Scratch, logo การใช๎คาค๎นท่ีตรงประเดน็ กระชับ จะทาให๎ไตผ๎ ลลัพธ์ท่รี วดเรว็ และ
ตรงตามความต๎องการการประเมนิ ความนาํ เชือ่ ถือของขอ๎ มูล เชํนพิจารณาประเภทของเว็บไซต์ (หนวํ ยงาน
ราชการสานกั ขําว องคก์ ร) ผ๎เู ขียน วันที่เผยแพรํข๎อมลู การอ๎างองิ เมื่อไดข๎ ๎อมลู ท่ีต๎องการจากเวบ็ ไซต์ตาํ ง ๆ
จะตอ๎ ง นาเน้ือหามาพจิ ารณา เปรยี บเทยี บ แลว๎ เลอื กข๎อมูลท่ีมีความสอดคล๎องและสัมพันธ์กัน
การทารายงานหรือการนาเสนอข๎อมลู จะต๎อง นาขอ๎ มลู มาเรียบเรยี ง สรุป เป็นภาษาของตนเอง
ท่ีเหมาะสมกับกลมุํ เปูาหมายและวิธีการนาเสนอ (บรู ณาการกบั วิชาภาษาไทย) การรวบรวมขอ๎ มลู ทาไดโ๎ ดย
กาหนดหวั ข๎อที่ต๎องการ เตรียมอปุ กรณโ์ นการจดบันทึกการประมวลผลอยํางงําย เชนํ เปรยี บเทยี บจดั กลมํุ
เรยี งลาดบั การหาผลรวมวิเคราะห์ผลและสร๎างทางเลือกทเ่ี ปน็ ไปไดป๎ ระเมินทางเลือก (เปรียบเทียบ ตัดสนิ )
การนาเสนอข๎อมูลทาได๎หลายลกั ษณะตามความ เหมาะสม เชํน การบอกเลาํ เอกสารรายงานโปสเตอร์
โปรแกรมนาเสนอการใชซ๎ อฟตแ์ วร์เพื่อแก๎ปัญหาในชวี ติ ประจาวนั เชนํ การสารวจเมนอู าหารกลางวนั โดยใช๎
ซอฟต์แวรส์ ร๎างแบบสอบถามและเกบ็ ข๎อมลู ใช๎ ซอฟตแ์ วร์ตารางทางานเพื่อประมวลผลขอ๎ มูลรวบรวมข๎อมลู
เกี่ยวลับคุณคําทางโภชนาการและสร๎างรายการอาหารสาหรบั ๕ วัน ใช๎ซอฟตแ์ วร์ นาเสนอผลการสารวจ
รายการอาหารทเ่ี ปน็ ทางเลือกและขอ๎ มูลด๎านโภชนาการ การใช๎เทคโนโลยีสารสนเทศอยํางปลอดภยั เขา๎ ใจ
สิทธแิ ละหนา๎ ท่ขี องตน เคารพในสิทธขิ องผ๎ูอื่น เชํน ไมํสร๎างขอ๎ ความเท็จและสงํ ให๎ผ๎อู น่ื ไมํสรา๎ ง ความเดือดร๎อน
ตํอผอ๎ู ืน่ โดยการสงํ สแปม ข๎อความลูกโซํ สงํ ตอํ โพสต์ท่ีมขี ๎อมูลสํวนตัวของผอ๎ู นื่ สํงคาเชิญเลํนเกม ไมํเขา๎ ถึง
ขอ๎ มลู สวํ นตัวหรือ การบ๎านของบคุ คลอืน่ โดยไมไํ ด๎รับอนุญาต ไมํใช๎ เครื่องคอมพิวเตอร/์ ช่ือบญั ชีของผู๎อืน่ การ
สื่อสารอยํางมมิ ารยาทและรู๎กาลเทศะ การปกปูองขอ๎ มลู สํวนตวั เชนํ การออกจาก ระบบ เม่ือเลิกใช๎งาน ไมํ
บอกรหสั ผําน ไมํบอก เลขประจาตวั ประชาชน
โดยใชก๎ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความร๎ู การสารวจตรวจสอบ การสืบค๎นขอ๎ มูล
การทดลองและการอภิปรายเพือ่ ใหเ๎ กดิ ความรู๎ ความคดิ ความเข๎าใจสามารถสือ่ สารสง่ิ ที่เรียนรมู๎ คี วามสามารถ
ในการตดั สนิ ใจ นาความรู๎ไปใช๎ประโยชน์ในชวี ิตประจาวนั
มจี ติ วิทยาศาสตร์ จริยธรรม คุณธรรมและคาํ นิยมทเ่ี หมาะสม
-๕๔-
รหสั ตวั ช้ีวดั
ว ๑.๑ -
ว ๑.๒ ป. ๔/๑
ว ๑.๓ ป.๔/๑ ป. ๔/๒ ป.๔/๓ ป.๔/๔
ว ๒.๑ ป.๔/๑ ป. ๔/๒ ป.๔/๓ ป.๔/๔
ว ๒.๒ ป.๔/๑ ป. ๔/๒ ป.๔/๓
ว ๒.๓ ป.๔/๑
ว ๓.๑ ป.๔/๑ ป. ๔/๒ ป.๔/๓
ว ๓.๒ -
ว ๔.๑ -
ว ๔.๒ ป.๔/๑ ป. ๔/๒ ป.๔/๓ ป.๔/๔ ป.๔/๕
รวมท้ังหมด ๒๑ ตัวช้ีวัด
-๕๕-
คาอธิบายรายวชิ าพน้ื ฐาน
ว ๑๕๑๐๑ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี ๕ เวลา ๑๒๐ ช่วั โมง
ผ๎ูเรยี นได๎ศกึ ษาวิเคราะห์ และแก๎ไขปัญหาดังน้ี
วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ : ส่ิงมชี ีวิตท้งั พชื และสตั ว์มีโครงสร๎างและลักษณะท่เี หมาะสมในแตลํ ะแหลํง
ท่อี ยูํ ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับตัวของสิง่ มีชีวิต เพื่อให๎ดารงชีวิตและอยํรู อดได๎ในแตลํ ะแหลงํ ทอี่ ยูํ เชํน
ผกั ตบชวามชี อํ งอากาศในกา๎ นใบ ชวํ ยให๎ลอยน้าได๎ต๎นโกงกาง ทขี่ นึ้ อยํูในปุาชายเลนมีรากคา้ จุนทาให๎ลาต๎น ไมํ
ลม๎ ปลามีครบี ชวํ ยในการเคล่ือนทใี่ นนา้ ในแหลํงท่ีอยํหู น่ึง ๆ ส่ิงมีชีวติ จะมีความสัมพันธ์ ซึ่งกันและกนั และ
สัมพนั ธก์ ับส่งิ ไมมํ ชี วี ิต เพ่ือ ประโยชนต์ ํอการดารงชวี ิต เชนํ ความสมั พันธก์ นั ดา๎ นการกนิ กนั เป็นอาหาร เป็น
แหลํงท่อี ยํูอาศยั หลบภัยและเลยี้ งดูลูกอํอนใชอ๎ ากาศในการหายใจสิ่งมชี วี ติ มกี ารกินกันเป็นอาหาร โดยกินตํอ
กันป็นทอด ๆ ในรูปแบบของโซํอาหารทาให๎สามารถ ระบุบทบาทหน๎าที่ของส่งิ มีชวี ิตเปน็ ผู๎ผลิตและ ผบ๎ู รโิ ภค
สงิ่ มชี ีวติ ทั้งพชื สตั ว์ และมนุษย์ เมื่อโตเต็มทจ่ี ะมีการสบื พันธเุ์ พื่อเพ่ิมจานวนและ ดารงพนั ธ์ุ โดยลูกที่
เกิดมา จะไดร๎ บั การ ถํายทอดลักษณะทางพันธุกรรม จากพํอแมํ ทาใหม๎ ลี กั ษณะทางพันธุกรรมที่เฉพาะ
แตกตาํ งจาก ส่ิงมชี ีวิตชนิดอืน่ พืชมีการถํายทอดลักษณะทางพนั ธุกรรม เชํน ลักษณะ ของใบ สีดอก
สตั ว์มีการถาํ ยทอดลกั ษณะทางพันธุกรรม เชนํ สีขน ลักษณะของขน ลักษณะของหูมนุษย์มกี ารถาํ ยทอด
ลกั ษณะทาง พันธกุ รรมเชนํ เชิงผมที่หนา๎ ผาก ลกั ย้มิ ลกั ษณะหนงั ตา การหอํ ล้นิ ลักษณะของติง่ หู
วทิ ยาศาสตร์กายภาพ : การเปลี่ยนสถานะของสสารเปน็ การเปล่ยี นแปลงทางกายภาพ เมื่อเพ่ิม
ความ รอ๎ นให๎กบั สสารถงึ ระดับหนึ่ง จะทาให๎สสารที่เปน็ ของแข็งเปลีย่ นสถานะเป็นของเหลว เรยี กวํา การ
หลอมเหลว และเมื่อ เพม่ิ ความ ร๎อนตํอไปจนถึงอีกระดับหนึง่ ของเหลวจะเปลยี่ นเปน็ แก๏ส เรียกวาํ การ
กลายเปน็ ไอ แตเํ ม่ือลดความร๎อน ลงถึงระดบั หน่ึง แก๏สจะเปล่ยี นสถานะเปน็ ของเหลว เรยี กวาํ การควบแนนํ
และถ๎าลด ความรอ๎ นตํอไปอีก จนถงึ ระดับหนึ่ง ของเหลวจะเปล่ียนสถานะเป็นของแข็ง เรียกวํา การแข็งตัว
สสารบางชนดิ สามารถ เปลยี่ นสถานะจากของแข็งเป็นแก๏สโดยไมํผาํ น การ เปน็ ของเหลว เรียกวาํ การ
ระเหดิ สํวนแกส๏ บางชนิด สามารถเปลีย่ นสถานะเป็นของแข็ง โดยไมํผาํ นการ เปน็ ของเหลว เรยี กวํา การ
ระเหิดกลับ เมอื่ ใสสํ ารลงในน้าแลว๎ สารนั้นรวมเปน็ เน้อื เดยี วกนั กบั นา้ ทุกสํวน แสดงวําสารละลาย เรียกสาร
ผสมท่ีไดว๎ าํ สารละลาย เมอื่ ผสมสาร ๒ ชนิดข้นึ ไปแล๎วมีสารใหมํ เกดิ ขนึ้ ซ่ึงมสี มบตั ิตํางจากสารเดิม หรือเมอ่ื
สารชนดิ เดียวเกดิ การเปล่ยี นแปลงแลว๎ มีสารใหมเํ กิดขนึ้ การเปลยี่ นแปลง นเี้ รียกวาํ การ เปลี่ยนแปลง ทางเคมี
ซ่งึ สังเกตไดจ๎ าก มสี ีหรือกล่นิ ตาํ งจาก สารเดมิ หรือมีฟอง แกส๏ หรอื มตี ะกอนเกิดขนึ้ หรือมกี ารเพมิ่ ข้ึน หรอื
ลดลงของอณุ หภมู เิ ม่อื สารเกิดการเปล่ียนแปลงแล๎ว สารสามารถ เปล่ียนกลบั เปน็ สารเดมิ ได๎ เป็นการ
เปล่ียนแปลง ท่ผี ันกลบั ได๎ เชํน การหลอมเหลว การกลายเป็นไอการละลาย แตํ สารบางอยาํ งเกิดการ
เปลีย่ นแปลง แล๎วไมํสามารถเปล่ยี น กลับ เป็นสารเดิมไดเ๎ ป็นการเปลย่ี นแปลงทผ่ี นั กลับ ไมไํ ด๎ เชํนการเผา
ไหม๎ การเกิดสนมิ
แรงลพั ธ์เปน็ ผลรวมของแรงทีก่ ระทาตอํ วัตถโุ ดย แรงลพั ธข์ องแรง ๒ แรงท่ีกระทาตํอวตั ถุ เดียวกัน จะ
มีขนาดเทํากับผลรวมของแรงท้งั สองเมอ่ื แรง ทัง้ สองอยํู ในแนวเดียวกันและมีทิศทางเดยี วกนั แตจํ ะมีขนาด
เทํากบั ผลตาํ งของแรงทงั้ สอง เมือ่ แรงท้ังสองอยูในแนว เดยี วกนั แตมํ ีทิศทาง ตรงข๎ามกัน สาหรับวตั ถุท่ีอยูํน่งิ
แรงลพั ธท์ ่ี กระทาตํอวตั ถุมีคําเปน็ ศูนย์ การเขียนแผนภาพของแรงทีก่ ระทาตํอวัตถุสามารถ เขียนได๎โดยใช๎
ลูกศรโดยหัวลูกศร แสดง ทิศทางของ แรง และความยาวของลกู ศรแสดง ขนาดของแรงที่กระทาตํอวตั ถุ แรง
เสยี ดทานเปน็ แรงทเ่ี กดิ ขนึ้ ระหวํางผิวสัมผัส ของวตั ถุ เพอ่ื ตา๎ นการเคล่ือนทขี่ องวตั ถุนั้น โดยถ๎าออกแรงกระทา
-๕๖-
ตํอวตั ถุที่อยนูํ ่ิงบนพนื้ ผวิ หนึง่ ใหเ๎ คลือ่ นที่ แรงเสียดทานจากพืน้ ผวิ น้ัน กจ็ ะต๎าน การเคล่ือนทีข่ อง วัตถุ แตํถา๎
วตั ถกุ าลงั เคลือ่ นท่ี แรงเสียดทานกจ็ ะทาให๎วัตถุนั้น เคลอ่ื นท่ชี ๎าลง หรอื หยุดนง่ิ
การได๎ยินเสยี งต๎องอาศยั ตัวกลาง โดยอาจเปน็ ของแขง็ ของเหลว หรืออากาศ เสยี งจะสงํ ผําน
ตวั กลางมายังหเู สยี งท่ีได๎ยินมีระดบั สงู ตา่ ของเสียงตํางกนั ขึ้นกับ ความถี่ของการสัน่ ของแหลงํ กาเนดิ เสียง
โดยเมื่อแหลํงกาเนดิ เสยี งส่ันด๎วยความถีต่ ่าจะ เกิดเสียงต่า แตํถา๎ สัน่ ด๎วยความถีส่ ูงจะเกิดเสียงสงู สวํ นเสยี งดัง
คอํ ยท่ีได๎ ยนิ ขึน้ กบั พลังงานการส่ันของแหลํงกาเนดิ เสียง โดยเมือ่ แหลํงกาเนดิ เสยี งส่นั ด๎วย พลังงานมากจะ
เกิด เสยี งดัง แตถํ ๎า แหลงํ กาเนดิ เสียง ส่นั ด๎วยพลงั งานนอ๎ ย จะเกิด เสยี งคํอยเสยี งดังมาก ๆ เป็นอันตรายตํอ
การไดย๎ ินและเสียงที่กํอใหเ๎ กิดความราคาญเป็นมลพิษทางเสียง เดซิเบล เปน็ หนวํ ยท่บี อกถึงความดงั ของ
เสียง
วทิ ยาศาสตร์โลก และอวกาศ : ดาวท่ีมองเห็นบนท๎องฟาู อยูใํ นอวกาศซึ่งเป็นบรเิ วณท่อี ยํูนอก
บรรยากาศของโลก มีทั้งดาวฤกษ์ และดาวเคราะหด์ าวฤกษเ์ ป็นแหลงํ กาเนิดแสง จึงสามารถมองเหน็ ได๎ สํวน
ดาวเคราะห์ไมํใชํ แหลงํ กาเนิดแสง แตสํ ามารถมองเหน็ ได๎ เนื่องจากแสงจากดวงอาทติ ย์ตกกระทบดาว
เคราะหแ์ ลว๎ สะท๎อนเขา๎ สูํตา การมองเหน็ กลมุํ ดาวฤกษม์ ีรูปราํ งตําง ๆ เกดิ จากจินตนาการของผส๎ู งั เกต
กลํมุ ดาวฤกษต์ าํ ง ๆ ทีป่ รากฏในทอ๎ งฟาู แตํละกลมํุ มีดาวฤกษแ์ ตลํ ะดวงเรียงกนั ทีต่ าแหนงํ คงท่ี และมีเสน๎ ทาง
การขน้ึ และตกตามเส๎นทางเดิม ทุกคนื ซึง่ จะปรากฏ ตาแหนํงเดิม การสงั เกตตาแหนงํ และการขึ้น และตก
ของดาวฤกษ์ และกลมํุ ดาวฤกษ์ สามารถทาได๎โดยใชแ๎ ผนทีด่ าว ซ่งึ ระบมุ ุมทิศ และ มมุ เงยท่กี ลํุมดาวนนั้
ปรากฏ ผ๎ูสังเกต สามารถใช๎มอื ในการประมาณคําของมุมเงยเม่ือสงั เกตดาวในท๎องฟูา
โลกมที งั้ นา้ จดื และน้าเคม็ ซ่งึ อยํใู นแหลงํ นา้ ตาํ ง ๆ ทม่ี ีท้งั แหลํงนา้ ผิวดนิ เชนํ ทะเล มหาสมทุ ร
บึงแมํนา้ และแหลงํ นา้ ใตด๎ ิน เชนํ นา้ ในดนิ และนา้ บาดาล น้า ทั้งหมดของโลกแบํงเป็นน้าเคม็ ประมาณร๎อยละ
๙๗.๕ ซึ่งอยํใู นมหาสมทุ ร และ แหลงํ น้าอ่นื ๆ และ ทเี่ หลืออีกประมาณ ร๎อยละ ๒.๕ เปน็ นา้ จดื ถ๎าเรียงลาดบั
ปรมิ าณ นา้ จืดจาก มากไปน๎อยจะอยทํู ี่ ธารน้าแข็ง และ พืดน้าแข็ง นา้ ใตด๎ นิ ชั้นดินเยือกแข็งคงตวั และ
นา้ แขง็ ใต๎ดิน ทะเลสาบ ความชนื้ ในดนิ ความช้ืนในบรรยากาศ บงึ แมนํ ้า และนา้ ในส่ิงมีชีวติ น้าจดื ท่ีมนษุ ย์
นามาใช๎ได๎มปี ริมาณน๎อยมาก จึงควรใช๎นา้ อยาํ งประหยัดและรวํ มกันอนรุ ักษ์นา้ วฏั จักรน้าเป็นการหมนุ เวียน
ของนา้ ท่มี ีแบบรปู ซ้าเดิม และตอํ เน่ืองระหวาํ งนา้ ในบรรยากาศ น้าผวิ ดิน และนา้ ใต๎ดิน โดยพฤตกิ รรมการ
ดารงชีวิต ของพชื และสตั ว์สงํ ผลตอํ วัฏจกั รน้าไอนา้ ในอากาศจะควบแนํนเป็นละอองน้าเลก็ ๆ และ นา้ ค๎างแข็ง
จากแบบจาลองโดยมลี ะอองลอย เชํน เกลือ ฝุนละออง ละอองเรณขู องดอกไม๎ เปน็ อนภุ าค แกนกลาง เมื่อ
ละอองน้าจานวนมากเกาะกลํุมรวมกัน ลอยอยสํู ูงจากพนื้ ดินมาก เรยี กวํา เมฆ แตลํ ะอองน้าทเี่ กาะกลุํมรวมกัน
อยใํู กล๎พ้ืนดิน เรียกวาํ หมอก สํวน ไอน้าทีค่ วบแนํนเป็นละอองน้าเกาะอยูํ บนพน้ื ผวิ วตั ถุ ใกล๎พื้นดนิ เรยี กวํา
น้าคา๎ ง ถ๎าอุณหภูมิใกลพ๎ น้ื ดนิ ตา่ กวาํ จุดเยอื กแข็ง น้าคา๎ งก็จะกลายเป็นน้าค๎างแขง็ ฝน หิมะ ลกู เห็บ เป็น
หยาดนา้ ฟูาซึง่ เป็นนา้ ท่มี สี ถานะตําง ๆ ทีต่ กจากฟาู ถงึ พน้ื ดิน ฝนเกดิ จากละอองนา้ ในเมฆทีร่ วมตัวกนั จนอากาศ
ไมํสามารถ พยุงไวไ๎ ด๎จึง ตก ลงมา หิมะเกิดจากไอ น้าในอากาศ ระเหิดกลบั เปน็ ผลกึ นา้ แข็ง รวมตวั กนั จนมี
นา้ หนกั มากขึ้นจนเกินกวาํ อากาศจะพยุงไวจ๎ ึงตกลงมา ลกู เห็บเกิดจากหยดน้า ท่เี ปลี่ยนสถานะเป็นนา้ แขง็
แลว๎ ถูกพายุพดั วนซ้าไปซ้ามา ในเมฆฝนฟูาคะนอง ทีม่ ขี นาดใหญแํ ละอยํใู น ระดับสงู จนเป็นกอ๎ นน้าแขง็ ขนาด
ใหญํขึ้นแลว๎ ตกลงมา
เทคโนโลยี : การใชเ๎ หตุผลเซิงตรรกะเป็นการนากฎเกณฑ์ หรอื เงื่อนไขท่ีครอบคลมุ ทุกกรณีมาใช๎
พิจารณา ในการ แก๎ปัญหา การอธิบายการทางาน หรือการคาดการณผ์ ลลัพธ์ สถานะเร่ิมต๎นนของการทางานท่ี
แตกตํางกนั จะให๎ ผลลัพธ์ที่แตกตาํ งกนั ตัวอยาํ งปญั หา เชํน เกม Sudoku โปรแกรม ทานายตัวเลข โปรแกรม
สร๎างรูปเรขาคณิต ตาม คาํ ข๎อมลู เขา๎ การจัดสาดับการทางานบา๎ นในชวํ งวันหยุด จัดวางของในครวั การ
ออกแบบโปรแกรมสามารถทาได๎โดยเขยี น เป็นข๎อความหรือผงั งานการออกแบบและเขียนโปรแกรมท่ีมีการ
ตรวจสอบ เงอ่ื นไขที่ครอบคลมุ ทุกกรณีเพอื่ ให๎ไดผ๎ ลลัพธ์ท่ีถูกต๎องตรงตามความต๎องการ หากมีข๎อผดิ พลาดให๎
-๕๗-
ตรวจสอบการทางานทีละคาสั่ง เมอ่ื พบจดุ ทท่ี าใหผ๎ ลลัพธ์ไมํถกู ต๎อง ใหท๎ าการแก๎ไขจนกวําจะไต๎ผลลพั ธ์ท่ี
ถกู ต๎อง การผักตรวจหาขอ๎ ผิดพลาดจากโปรแกรมของผอ๎ู ่ืน จะชวํ ยพัฒนาทกั ษะการหาสาเหตุของ ปัญหาไดด๎ ี
ย่งิ ขน้ึ ตัวอยาํ งโปรแกรม เชํน โปรแกรมตรวจสอบเลขคูํ เลขค่ี โปรแกรมรบั ข๎อมูลนา้ หนักหรอื สํวนสูง แล๎ว
แสดงผลความสมสํวนของรํางกายโปรแกรม สัง่ ใหต๎ วั ละครทาตามเง่ือนไขท่ี
กาหนด ซอฟตแ์ วร์ทีใ่ ชใ๎ นการเขยี นโปรแกรม เชนํ Scratch, logo การคน๎ หาขอ๎ มูลในอินเทอรเ์ น็ต และการ
พิจารณาผลการคน๎ หา การติดตํอสอื่ สารผาํ นอนิ เทอร์เน็ต เชนํ อเี มลบลอ็ ก โปรแกรมสนทนา การเขียน
จดหมาย (บูรณาการกบั วชิ าภาษาไทย) การใช๎อินเทอรเ์ น็ตในการตดิ ตํอส่อื สารและทางาน รํวมกนั เชํน ใชน๎ ัด
หมายในการประชุม กลุํมประชาสัมพนั ธก์ ิจกรรมในห๎องเรียน การแลกเปลยี่ น ความร๎ู ความคดิ เหน็ ในการ
เรียนภายใตก๎ ารดูแลของครกู ารประเมินความนําเชือ่ ถือของข๎อมูล เชนํ เปรียบเทยี บความสอดคล๎อง สมบรู ณ์
ของข๎อมูล จากหลายแหลํง แหลงํ ต๎นตอของข๎อมลู ผเ๎ู ขยี นวันที่เผยแพรํข๎อมลู ข๎อมูลท่ีดีต๎องมีรายละเอียดครบ
ทุกด๎าน เชํน ข๎อดี และข๎อเสีย ประโยชนแ์ ละโทษ การรวบรวมขอ๎ มูล ประมวลผล สรา๎ งทางเลือก
ประเมนิ ผลจะทาให๎ได๎สารสนเทศเพ่ือใชใ๎ นการ แกป๎ ัญหาหรอื การตัดสนิ ใจได๎อยํางมปี ระสิทธภิ าพ
การใช๎ซอฟตแ์ วร์หรอื บริการบนอินเทอร์เน็ต ที่หลากหลายในการรวบรวม ประมวลผล
สร๎างทางเลอื ก ประเมินผล นาเสนอ จะชํวยให๎ การแกป๎ ัญหาทาได๎อยาํ งรวดเร็ว ถกู ต๎อง และ
แมนํ ยา ตวั อยํางปญั หาเชํนถํายภาพ เชนํ ถํายภาพ และสารวจแผนท่ี ในท๎องถิ่นเพ่ือนาเสนอแนวทาง
ในการจดั การพน้ื ทวี่ ํางให๎เกดิ ประโยชน์ ทาแบบ สารวจความคิดเห็นออนไลน์ และวิเคราะหข์ ๎อมลู นาเสนอ
ขอ๎ มลู โยการใช๎ blog หรอื web page อันตรายจากการใช๎งานและอาชญากรรมทาง อินเทอร์เน็ต มารยาท
ในการตดิ ตํอส่อื สารผาํ นอนิ เทอรเ์ นต็ (บูรณาการกับวิชาทเี่ ก่ียวข๎อง)
โดยใช๎กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การสบื เสาะหาความร๎ู การสารวจตรวจสอบ การสืบค๎นขอ๎ มลู
การทดลองและการอภปิ รายเพ่ือใหเ๎ กิดความรู๎ ความคดิ ความเขา๎ ใจสามารถสื่อสารส่งิ ทเ่ี รยี นรม๎ู ีความสามารถ
ในการตดั สนิ ใจ นาความรไ๎ู ปใช๎ประโยชนใ์ นชวี ิตประจาวนั
มจี ิตวิทยาศาสตร์ จริยธรรม คุณธรรมและคาํ นยิ มที่เหมาะสม
รหัสตวั ชี้วัด
ว ๑.๑ ป.๕/๑ ป.๕/๒ ป.๕/๓ ป.๕/๔
ว ๑.๒ -
ว ๑.๓ ป.๕/๑ ป.๕/๒
ว ๒.๑ ป.๕/๑ ป.๕/๒ ป.๕/๓ ป.๕/๔
ว ๒.๒ ป.๕/๑ ป.๕/๒ ป.๕/๓ ป.๕/๔ ป.๕/๕
ว ๒.๓ ป.๕/๑ ป.๕/๒ ป.๕/๓ ป.๕/๔ ป.๕/๕
ว ๓.๑ ป.๕/๑ ป.๕/๒
ว ๓.๒ ป.๕/๑ ป.๕/๒ ป.๕/๓ ป.๕/๔ ป.๕/๕
ว ๔.๑ -
ว ๔.๒ ป.๕/๑ ป.๕/๒ ป.๕/๓ ป.๕/๔ ป.๕/๕
รวมท้ังหมด ๓๒ ตัวชี้วัด
-๕๘-
คาอธิบายรายวชิ าพน้ื ฐาน
ว ๑๖๑๐๑ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ช้ันประถมศึกษาปีที่ ๖ เวลา ๑๒๐ ช่ัวโมง
ผูเ๎ รยี นได๎ศึกษาวเิ คราะห์ และแก๎ไขปัญหาดงั น้ี
วิทยาศาสตรช์ วี ภาพ : สารอาหารที่อยูํในอาหารมี ๖ ประเภทได๎แกํ คาร์โบไฮเดรต โปรตนี ไขมนั
เกลือ แรํ วิตามนิ และน้า อาหารแตลํ ะชนดิ ประกอบดว๎ ยสารอาหารท่ี แตกตํางกนั อาหารบางอยาํ งประกอบ
ดว๎ ยสารอาหาร ประเภทเดียว อาหารบางอยํางระกอบด๎วย สารอาหารมากกวาํ หนงึ่ ประเภทสารอาหารแตลํ ะ
ประเภทมีประโยชน์ตอํ ราํ งกาย แตกตาํ งกนั โดยคาร์โบไฮเดรตโปรตนี และไขมัน เปน็ สารอาหารทีใ่ ห๎พลังงาน
แกํราํ งกาย สํวนเกลือแรํ วิตามนิ และนา้ เปน็ สารอาหารท่ีไมํให๎พลงั งาน แกรํ าํ งกาย แตํชํวยให๎รํางกายทางาน
ไดเ๎ ปน็ ปกติ การรบั ประทานอาหาร เพ่ือใหร๎ ํางกาย เจริญเตบิ โต มกี ารเปลย่ี นแปลงของราํ งกายตามเพศและวยั
และมี สุขภาพดี จาเป็นตอ๎ งรบั ประทานให๎ได๎พลังงาน เพยี งพอกับความตอ๎ งการ ของรํางกาย และใหไ๎ ด๎
สารอาหารครบถว๎ นในสัดสํวนท่ี เหมาะสมกับเพศและวยั รวมทงั้ ต๎องคานึงถึงชนดิ และปริมาณของวตั ถุเจือปน
ในอาหารเพอื่ ความปลอดภัยตอํ สุขภาพ ระบบยํอยอาหารประกอบด๎วยอวยั วะตําง ๆ
ไดแ๎ กํ ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหารลาไสเ๎ ลก็ ลาไสใ๎ หญํ ทวารหนกั ตับ และตับอํอน ซ่งึ ทา หนา๎ ทรี่ ํวมกัน
ในการยํอย และดดู ซึมสารอาหาร ปากมีฟนั ชํวยบดเค้ยี วอาหารให๎มีขนาด เล็กลง และมีลิ้นชํวยคลกุ เคล๎า
อาหารกับน้าลายใน นา้ ลายมีเอนไซมย์ อํ ยแปูงใหเ๎ ป็นน้าตาลหลอดอาหารทาหนา๎ ท่ลี าเลียงอาหาร
จากปากไปยงั กระเพาะอาหาร ภายในกระเพาะอาหาร มีการยอํ ยโปรตนี โดยกรดและเอนไซมท์ ่ีสรา๎ ง จาก
กระเพาะอาหารลาไสเ๎ ลก็ มีเอนไซม์ท่สี รา๎ งจากผนังลาไส๎ เลก็ เอง และจากตับอํอนทีช่ ํวยยํอยโปรตนี
คาร์โบไฮเดรต และไขมัน โดยโปรตนี คาร์โบไฮเดรต และไขมนั ที่ผํานการยํอยจนเป็นสารอาหารขนาดเล็กพอ ท่ี
จะดดู ซมึ ได๎ รวมถงึ น้า เกลือแรํ และวิตามนิ จะถูกดูดซึมทีผ่ นงั ลาไส๎เลก็ เขา๎ สูํกระแสเลอื ด เพอื่ ลาเลยี งไปยังสํวน
ตําง ๆ ของราํ งกายซ่ึงโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมนั จะถกู นาไปใช๎ เปน็ แหลงํ พลังงาน
สาหรับใช๎ในกจิ กรรมตาํ ง ๆ สวํ นน้า เกลอื แรํ และวิตามนิ จะชวํ ยใหร๎ าํ งกายทางานได๎เป็นปกติ ตบั สรา๎ งนา้ ดี
แล๎วสงํ มายงั ลาไสเ๎ ลก็ ชํวย ให๎ไขมัน แตกตัว ลาไส๎ใหญทํ าหน๎าทีด่ ดู น้าและเกลือแรํ เปน็ บริเวณที่มีอาหารทยี่ อํ ย
ไมไํ ดห๎ รือยํอย ไมหํ มด เปน็ กากอาหาร ซง่ึ จะถูกกาจัดออกทางทวารหนัก อวัยวะตําง ๆ ในระบบยํอยอาหารมี
ความสาคัญ จงึ ควรปฏิบตั ิตน ดแู ลรกั ษาอวัยวะ ให๎ทางาน เปน็ ปกติ
วทิ ยาศาสตร์กายภาพ : สารผสมประกอบด๎วยสารต้งั แตํ ๒ ชนิดขนึ้ ไปผสมกัน เชนํ น้ามันผสมนา้
ข๎าวสารปนกรวดทรายวธิ ีการ ทเี่ หมาะสมในการแยกสารผสมขน้ึ อยูํกบั ลักษณะและสมบัตขิ องสารท่ผี สมกนั
ถ๎าองค์ประกอบของ สารผสมเป็นของแข็งกับของแขง็ ท่ีมขี นาด แตกตาํ งกนั อยาํ งชัดเจน อาจใช๎วธิ กี ารหยิบออก
หรือการรํอนผํานวสั ดุ ทีม่ รี ู ถ๎ามสี ารใดสารหนึ่ง เปน็ สารแมํเหล็กอาจใชว๎ ธิ ีการใชแ๎ มํเหล็กดิงดดู ถ๎า
องคป์ ระกอบเป็นของแขง็ ทีไ่ มํละลายใน ของเหลว อาจใชว๎ ิธีการรินออก การ กรอง หรอื การตกตะกอน ซ่ึง
วธิ ีการแยกสารสามารถ นาไปใชป๎ ระโยชนใ์ นชีวติ ประจาวนั ได๎ วตั ถุ ๒ ชนิดท่ีผํานการขัดถูแลว๎ เมือ่ นาเขา๎ ใกล๎
กันอาจดึงดดู หรอื ผลกั กัน แรงทเี่ กดิ ข้ึนนเี้ ปน็ แรงไฟฟาู ซ่ึงเปน็ แรงไมํสัมผัส เกิดขึน้ ระหวํางวัตถุ ทีม่ ปี ระจุ
ไฟฟูา ซ่ึงประจไุ ฟฟูามี ๒ ชนดิ คอื ประจุไฟฟาู บวก และประจุไฟฟูาลบ วัตถุที่มี ประจุไฟฟาู ชนดิ เดยี วกันผลัก
กนั ชนดิ ตรง ขา๎ มกนั ดึงดดู วงจรไฟฟาู อยํางงาํ ยประกอบด๎วย แหลํงกาเนิด ไฟฟาู สายไฟฟาู และ
เครอ่ื งใช๎ไฟฟูาหรืออปุ กรณ์ไฟฟูา แหลํงกาเนิดไฟฟาู เชํน ถาํ ยไฟฉาย หรอื แบตเตอร่ี ทาหน๎าทใ่ี ห๎พลงั งาน
ไฟฟาู สายไฟฟาู เป็นตวั นาไฟฟาู ทาหนา๎ ท่ีเช่ือมตัวระหวาํ งแหลงํ กาเนดิ ไฟฟูา และเคร่อื ง ใช๎ไฟฟาู เขา๎ ดว๎ ยกนั
เครือ่ งใช๎ไฟฟูามหี นา๎ ทเ่ี ปลยี่ นพลังงานไฟฟาู เป็นพลังงานอื่น เมื่อนาเซลล์ไฟฟูาหลายเซลลม์ าตอํ เรียงกันโดยให๎
ขัว้ บวกของเซลล์ไฟฟูาเซลลห์ นึง่ ตํอกบั ข้วั ลบของอีก เซลล์หน่ึงเปน็ การตํอแบบอนกุ รมทาใหม๎ พี ลงั งานไฟฟูา
เหมาะสมกบั เคร่ืองใชไ๎ ฟฟาู ซ่ึงการตอํ เซลลแ์ บบอนุกรม สามารถนาไปใช๎ประโยชนใ์ นชีวติ ประจาวัน
-๕๙-
เชนํ การตอํ เซลล์ไฟฟาู ในไฟฉาย การตํอหลอดไฟฟูาแบบอนกุ รมเมือ่ ถอด หลอดไฟฟูา ดวงใดดวงหน่ึงออกทา
ใหห๎ ลอดไฟฟูา ทเ่ี หลอื ดับทั้งหมด สํวนการตํอหลอดไฟฟูา แบบขนาน เมื่อถอดหลอดไฟฟูาดวงใดดวงหน่งึ
ออก หลอดไฟฟาู ทีเ่ หลือก็ยัง สวํางได๎ การตํอ หลอดไฟฟูาแตลํ ะแบบสามารถนาไปใช๎ ประโยชนไ์ ด๎ เชํน การตอํ
หลอดไฟฟูาหลายดวงในบ๎านจงึ ตอ๎ ง ตํอหลอดไฟฟาู แบบขนาน เพอื่ เลือกใช๎ หลอดไฟฟูาดวงใดดวงหน่งึ ได๎ตาม
ต๎องการ เม่ือนาวตั ถุทบึ แสงมากัน้ แสงจะเกิดเงาบนฉาก รบั แสงทีอ่ ยํูต๎านหลังวัตถุ โดยเงามีรปู รํางคล๎าย วัตถุท่ี
ทาให๎เกดิ เงา เงามัวเป็นบริเวณทม่ี แี สง บางสวํ นตกลงบนฉาก สวํ นเงามดื เป็นบรเิ วณ
ท่ไี มํมีแสงตกลงบนฉากเลย
วทิ ยาศาสตร์โลก และอวกาศ : เมื่อโลกและดวงจันทร์ โคจรมาอยํูในแนว เส๎นตรง เดยี วกันกับ
ดวงอาทติ ย์ในระยะทางท่ี เหมาะสม ทาใหด๎ วงจนั ทรบ์ งั ดวงอาทติ ย์ เงาของดวงจนั ทร์ ทอดมายงั โลก ผ๎ูสังเกตที่
อยูํบรเิ วณเงา จะมองเห็น ดวงอาทติ ย์มืดไปเกดิ ปรากฏการณ์ สรุ ยิ ุปราคา ซึง่ มีท้ังสรุ ิยปุ ราคาเตม็ ดวงสุริยปุ ราคา
บางสวํ น และสรุ ิยุปราคาวงแหวหากดวงจันทร์และโลกโคจรมาอยใํู นแนวเส๎นตรง เดียวกันกับดวงอาทติ ย์ แล๎ว
ดวงจันทร์ เคลอ่ื นท่ี ผาํ นเงา ของโลก จะมองเหน็ ดวงจันทร์ มืดไป เกิดปรากฏการณ์ จันทรุปราคา ซ่ึงมีทง้ั
จันทรปุ ราคาเตม็ ดวง และ จนั ทรุปราคาบางสวํ น เทคโนโลยอี วกาศเริ่มจากความต๎องการของ มนุษย์ ในการ
สารวจวตั ถทุ ๎องฟูาโดยใช๎ตาเปลาํ กล๎องโทรทรรศน์ และไดพ๎ ัฒนาไปสูํการขนสงํ เพื่อสารวจอวกาศดว๎ ยจรวด
และยานขนสํงอวกาศ และยังคงพฒั นาอยาํ งตอํ เน่ืองปจั จุบันมกี ารนา เทคโนโลยอี วกาศบางประเภทมา
ประยุกต์ใชใ๎ นชีวติ ประจาวัน เชนํ การใชด๎ าวเทียมเพ่ือการสื่อสารการพยากรณ์อากาศ หรอื การสารวจ
ทรัพยากรธรรมชาติ การอปุ กรณว์ ัดชีพจร และการเตน๎ ของหวั ใจ หมวกนริ ภัย ชุดกฬี าหนิ เป็นวสั ดุแข็ง
เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ประกอบด๎วย แรํต้งั แตหํ นึง่ ชนิดข้นึ ไป สามารถจาแนกหินตาม กระบวนการเกิดได๎
เป็น ๓ ประเภท ไดแ๎ กํ หนิ อัคนี หินตะกอน และหินแปร หนิ อัคนีเกิดจากการเย็นตัวของแมกมา เน้ือหิน
มีลักษณะ เป็นผลกึ ทัง้ ผลึกขนาดใหญแํ ละ ขนาดเลก็ บางชนิดอาจ เปน็ เนื้อแก๎วหรือมีรูพรุน หนิ ตะกอน เกิด
จากการทับถมของตะกอนเมื่อถูก แรงกดทบั และมีสารเชื่อมประสานจงึ เกิดเป็นหนิ เนือ้ หินกลํุมนีส้ ํวนใหญมํ ี
ลักษณะ เป็นเม็ดตะกอน มีท้ังเน้อื หยาบและเน้ือละเอียด บางชนดิ เป็น เนอ้ื ผลึกทยี่ ดึ เกาะ กันเกิดจากการตก
ผลึกหรือ ตกตะกอนจากนา้ โดยเฉพาะน้าทะเล บางชนิดมี ลักษณะเปน็ ชัน้ ๆ จึงเรียกอีกชือ่ วาํ หนิ ชน้ั หนิ แปร
เกดิ จากการแปรสภาพของหนิ เดมิ ซ่ึง อาจเป็น หินอคั นี หินตะกอน หรอื หินแปร โดยการกระทาของ ความ
ร๎อน ความตัน และปฏกิ ริ ิยาเคมี เน้อื หินของหนิ แปรบางชนดิ ผลึก ของแรเํ รยี งตัว ขนานกนั เปน็ แถบ บางชนดิ
แซะ ออกเปน็ แผนํ ได๎ บางชนิดเป็นเน้ือ ผลึก ท่มี ีความ แข็งมาก หินในธรรมชาติทัง้ ๓ ประเภท มีการ
เปลยี่ นแปลง จากประเภทหนึง่ ไปเป็นอกี ประเภทหนึง่ หรือ ประเภท เดิมไดโ๎ ดยมีแบบ รปู การเปลีย่ นแปลง
คงที่และตํอเนื่อง เป็นวฏั จักรหินและแรแํ ตลํ ะชนดิ มลี ักษณะและสมบัติ แตกตํางกันมนษุ ยใ์ ช๎ประโยชนจ์ ากแรํ
ในชวี ิตประจาวนั ในลกั ษณะตําง ๆ เชนํ นาแรํมาทา เคร่ืองสาอาง ยาสฟี นั เครื่องประดับ อปุ กรณ์ ทาง
การแพทย์และนาหินมาใชใ๎ นงานกอํ สร๎างตําง ๆ เปน็ ตน๎ ซากดึกดาบรรพเ์ กิดจากการทับถมหรอื การประทบั
รอย ของสิง่ มีชีวติ ในอดีต จนเกดิ เปน็ โครงสรา๎ งของซากหรอื รอํ งรอยของสงิ่ มีชีวิต ทีป่ รากฏอยูใํ นหิน ใน
ประเทศไทยพบ ซากดกึ ดา บรรพ์ ทห่ี ลากหลาย เชนํ พชื ปะการงั หอย ปลา เตาํ ไดโนเสาร์ และรอย ตีนสตั ว์
ซากดกึ ดาบรรพ์สามารถใชเ๎ ป็นหลักฐานหนงึ่ ทชี่ ํวยอธบิ าย สภาพแวดล๎อมของพนื้ ทใี่ นอดีตขณะเกิดสง่ิ มชี วี ติ
นัน้ เชนํ หากพบซากดึกดา บรรพ์ ของหอย น้าจดื สภาพแวดล๎อมบริเวณน้นั อาจเคย เป็นแหลงํ นา้ จืดมากํอน
และหากพบ ซากดึกดาบรรพ์ของพืชสภาพแวดล๎อมบรเิ วณนัน้ อาจเคยเป็นปาุ มากํอน นอกจากนซ้ี าก ดึกดา
บรรพ์ ยังสามารถใชร๎ ะบอุ ายุ ของหิน และเป็นข๎อมูล ในการศกึ ษาววิ ัฒนาการของสงิ่ มีชีวิต ลมบก ลมทะเล
และมรสุม เกิดจากพน้ื ดิน รวมท้ังอธิบายผลที่มีตอํ ส่งิ มีชวี ติ และส่งิ แวดล๎อมและพนื้ น้า ร๎อนและเยน็ ไม1เทําลนั
ทาใหอ๎ ุณหภูมิ จากแบบจาลอง อากาศเหนอื พืน้ ดนิ และพืน้ นา้ แตกตํางกนั จึงเกิด การเคลือ่ นท่ขี องอากาศจาก
บรเิ วณท่มี อี ุณหภมู ติ ่าไปยงั บริเวณที่มอี ุณหภมู สิ งู ลมบกและลมทะเลเปน็ ลมประจาถนิ่ ท่ีพบบริเวณ ชาย ฝัง
โดยลมบกเกิดในเวลากลางดิน ทาใหม๎ ี ลมพัดจาก ชายฝังไปสํูทะเล สํวนลมทะเลเกิดใน เวลากลางวนั ทาให๎มลี ม
-๖๐-
พดั จากทะเลเขา๎ สํชู ายฝงั มรสมุ เป็นลมประจาฤดเู กิดบรเิ วณเขตรอ๎ นของโลก ซง่ึ เปน็ บรเิ วณกวา๎ งระดับภมู ิภาค
ประเทศไทยไดร๎ บั ผล จากมรสุมตะวันออกเฉยี งเหนือ ในชํวงประมาณ กลางเดือนตุลาคมจนถงึ เดือน
กุมภาพันธ์ทาให๎เกดิ ฤดู หนาว และได๎รบั ผลจาก มรสมุ ตะวนั ตกเฉยี งใตใ๎ นชํวงประมาณ กลางเดือนพฤษภาคม
เปน็ ชวํ งเปล่ียนมรสุม และประเทศไทยอยใู กลเ๎ ส๎นศูนยส์ ูตร แสงอาทิตย์ เกอื บตั้งตรงและตง้ั ตรงประเทศไทยใน
เวลา เท่ียงวันทาใหไ๎ ดร๎ บั ความร๎อนจากดวงอาทิตย์ อยาํ งเต็มที่ อากาศจึงร๎อนอบอา๎ วทาใหเ๎ กิดฤดูร๎อน น้าทํวม
การกดั เซาะชายฝง่ั ดนิ ถลมํ แผนํ ดนิ ไหวและ สึนามิ มีผลกระทบชวี ติ และส่งิ แวดล๎อม แตกตํางกันมนษุ ย์ควร
เรยี นรู๎วธิ ปี ฏบิ ตั ิตนให๎ปลอดภยั เชนํ ติดตามขาํ วสารอยาํ งสม่าเสมอ เตรยี มถงุ ยังชีพ
ใหพ๎ รอ๎ มใช๎ตลอดเวลา และปฏิบัติตามคาส่ังของ ผป๎ู กครองและเจ๎าหน๎าที่อยาํ งเครํงครดั เม่อื เกิดภยั ธรรมชาติ
และธรณพี บิ ตั ภิ ยั ปรากฏการณเ์ รือนกระจกเกิดจากแก๏สเรือนกระจก ในชัน้ บรรยากาศของโลกกักเก็บความรอ๎ น
แลว๎ คายความรอ๎ นบางสวํ นกลับสูผํ วิ โลก ทาใหอ๎ ากาศ บนโลกมิอณุ หภมู เิ หมาะสมตอํ การดารงชวี ิตหาก
ปรากฏการณเ์ รือนกระจกรุนแรงมากขนึ้ จะมผี ลตํอการเปลีย่ นแปลงภมู อิ ากาศโลก มนุษย์
จงึ ควรรํวมกัน ลดกิจกรรมทก่ี ํอให๎เกิด แกส๏ เรือนกระจก
เทคโนโลยี : การแก๎ปัญหาอยํางเป็นขนั้ ตอนจะชวํ ยให๎ แก๎ปญั หา ไดอ๎ ยํางมีประสทิ ธิภาพ
การใชเ๎ หตผุ ลเชงิ ตรรกะเป็นการนาเกณฑ์ หรอื เงอ่ื นไขทค่ี รอบคลมุ ทุกกรณมี าใช๎พิจารณาในการ แกป๎ ญั หา
แนวคดิ ในการทางานแบบวนซา้ การพิจารณากระบวนการทางานทีม่ ีการทางาน แบบวนซา้ หรือเง่ือนไขเป็น
วธิ กี ารทีจ่ ะชวํ ยให๎ การออกแบบวธิ กี ารแกป๎ ัญหาเปน็ ไปอยํางมปี ระสิทธิภาพตวั อยาํ งปัญหา เชํน การค๎นหา
เลขหน๎าที่ต๎องการให๎เร็วทส่ี ุด การทายเลข ๑-๑,๐๐๐,๐๐๐โดยตอบให๎ถูกภายใน ๒๐ คาถาม การคานวณ
เวลาในการเดนิ ทาง โดยคานึงถึงระยะทางเวลาหยุดพกั การออกแบบโปรแกรมสามารถทาไดโ๎ ดยเขียน เป็น
ขอ๎ ความหรือผงั งานการออกแบบและเขียนโปรแกรมท่ีมีการใชต๎ วั แปรการวนซา้ การตรวจสอบเงือ่ นไขหากมี
ขอ๎ ผดิ พลาดใหต๎ รวจสอบการทางานทลี ะคาส่ัง เมื่อพบจดุ ที่ทาใหผ๎ ลลัพธไ์ มํถกู ต๎องให๎ทาการแก๎ใจจนกวําจะไต๎
ผลลัพธ์ท่ีถูกต๎อง การฝกึ ตรวจหาขอ๎ ผดิ พลาดจากโปรแกรมของผ๎ูอื่นจะชํวยพฒั นาทักษะการหาสาเหตุของ
ปัญหาไดด๎ ยี งิ่ ขึน้ ตวั อยํางโปรแกรม เชํน โปรแกรมเกมโปรแกรมหาคํา ค.ร.น.เกมฝึกพิมพ์ซอฟต์แวรท์ ีใ่ ช๎ในการ
เขยี นโปรแกรม เชํน Scratch, logo การคน๎ หาอยํางมีประสทิ ธภิ าพ เป็นการคน๎ หาขอ๎ มูลทไ่ี ตต๎ รงตามความ
ตอ๎ งการในเวลาท่รี วดเร็ว จากแหลงํ ข๎อมูลทนี่ าํ เช่ือถือหลายแหลํง และข๎อมูล มคี วามสอดคล๎องกัน การใช๎
เทคนคิ การค๎นหาข้นั สงู เชนํ การใช๎ตัวดาเนนิ การ การระบุรปู แบบของข๎อมลู หรอื ชนดิ ของไฟล์การจดั ลาดับ
ผลลพั ธจ์ ากการคน๎ หาของโปรแกรมค๎นหา การเรียบเรยี ง สรปุ สาระสาคญั (บูรณาการกบั วชิ าภาษาไทย)
อันตรายจากการใชง๎ านและอาชญากรรม ทางอนิ เทอรเ์ น็ต แนวทางในการปูองกนั วธิ ีกาหนดรหสั ผาํ นการ
กาหนดสิทธิ์การใชง๎ าน (สิทธิใ์ นการเขา๎ ถงึ ) แนวทางการตรวจสอบและปูองกนั มลั แวรอ์ นั ตรายจากการติดต้ัง
ซอฟตแ์ วร์ท่ีอยูํบนอนิ เทอรเ์ น็ต
โดยใช๎กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความร๎ู การสารวจตรวจสอบ การสบื คน๎ ข๎อมูล
การทดลองและการอภิปรายเพ่ือใหเ๎ กดิ ความร๎ู ความคิดความเข๎าใจสามารถสอ่ื สารส่ิงท่เี รยี นร๎ูมคี วามสามารถ
ในการตดั สนิ ใจ นาความร๎ูไปใช๎ประโยชนใ์ นชีวิตประจาวนั
มจี ติ วิทยาศาสตร์ จริยธรรม คณุ ธรรมและคํานยิ มที่เหมาะสม
-๖๑-
รหสั ตัวชี้วัด
ว ๑.๑ -
ว ๑.๒ ป.๖/๑ ป.๖/๒ ป.๖/๓ ป.๖/๔ ป.๖/๕
ว ๑.๓ -
ว ๒.๑ ป.๖/๑
ว ๒.๒ ป.๖/๑
ว ๒.๓ ป.๖/๑ ป.๖/๒ ป.๖/๓ ป.๖/๔ ป.๖/๕ ป.๖/๖ ป.๖/๗ ป.๖/๘
ว ๓.๑ ป.๖/๑ ป.๖/๒
ว ๓.๒ ป.๖/๑ ป.๖/๒ ป.๖/๓ ป.๖/๔ ป.๖/๕ ป.๖/๖ ป.๖/๗ ป.๖/๘ ป.๖/๙
ว ๔.๑ -
ว ๔.๒ ป.๖/๑ ป.๖/๒ ป.๖/๓ ป.๖/๔
รวมทง้ั หมด ๓๐ ตวั ชวี้ ดั
-๖๒-
๔. กลมุ่ สาระการเรยี นรู้สงั คมศกึ ษา ศาสนา
และวัฒนธรรม
-๖๓-
คาอธบิ ายรายวิชาพ้นื ฐาน
ส ๑๑๑๐๒ ประวัติศาสตร์ กลุม่ สาระการเรยี นรู้สงั คมศกึ ษาฯ
ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ ๑ เวลา ๔๐ ชัว่ โมง
ศึกษาและใช๎ปฏิทินในการบอกวัน เดือน ปีและการนับชํวงเวลาตามปฏิทินท่ีใช๎ในชีวิตประจาวันซึ่งมี
ทงั้ ระบบสรุ ยิ คติ และจนั ทรคติ การใชช๎ วํ งเวลาเพื่อใช๎เลําเหตุการณ์ปัจจุบันเชํน วันน้ี เดือนน้ี ตอนเช๎า ตอน
กลางวัน ตอนเย็น ตอนค่า และเรียงลาดับเหตุการณ์ในชีวิตประจาวันที่เกิดข้ึน เชํน ตื่นนอน เข๎านอน
เรียนหนังสือ เลํนกีฬา รับประทานอาหาร โดยใช๎ทักษะการสังเกต การบอกเลํา การเช่ือมโยง การตอบ
คาถามเพอ่ื ให๎สามารถใช๎เวลาปฏิทินแสดงเหตกุ ารณ์ในปัจจุบัน และใช๎คาแสดงชํวงเวลาเรียงลาดับเหตุการณ์ที่
เกิดข้ึนได๎
ร๎ูวิธีสืบค๎นประวัติศาสตร์ความเป็นมาของตนเองและครอบครัวอยํางงํายๆ โดยสอบถามผ๎ูเกี่ยวข๎อง
และบอกเลําเร่ืองราวที่สืบค๎นได๎ โดยใช๎ทักษะการสอบถาม การรวบรวมข๎อมูล การสรุปความ การเลําเรื่อง
เพ่อื ฝึกทกั ษะพนื้ ฐานของวิธีการทางประวตั ิศาสตรใ์ นการสืบคน๎ เรอ่ื งราว จากแหลํงขอ๎ มลู (เชํนบุคคล) และบอก
เลําข๎อเท็จจรงิ ท่คี ๎นพบได๎อยํางนาํ สนใจ
ศึกษาการเปล่ียนแปลงของสภาพแวดล๎อม สิ่งของเคร่ืองใช๎หรือการดาเนินชีวิตของตนเองในสมัย
ปัจจบุ นั กับสมัยของพํอแมํ ปุูยํา ตายายท่ีเป็นรูปธรรมและใกล๎ตัวผ๎ูเรียน เชํน เตารีด (การรีดผ๎าด๎วยเตาถําน
กับเตาไฟฟูา) หม๎อหุงข๎าว (การหุงข๎าวที่เช็ดน้าด๎วยฟืนหรือถํานกับหม๎อหุงข๎าวไฟฟูา) เกวียนกับรถยนต์ (การ
เดินทาง) ถนน บา๎ นเรือน การใชค๎ วายไถนากับรถไถนา รวมท้ังเหตุการณ์สาคัญของครอบครัวท่ีเกิดขึ้นในอดีต
ท่ีมผี ลกระทบตํอตนเองในปจั จบุ ัน เชํน การย๎ายบ๎าน การย๎ายโรงเรียน การเล่ือนช้ันเรียน การได๎รับรางวัล
การสูญเสยี บคุ คลสาคญั ในครอบครัว โดยใช๎ทักษะการสังเกต การใช๎เหตุผล การเปรียบเทียบ การแยกแยะ
การยกตัวอยําง และการบอกเลํา เพ่ือให๎เข๎าใจการเปล่ียนแปลงๆ ที่เกิดข้ึนตามกาลเวลาและตระหนักใน
ความสาคัญของอดีตท่ีมีตํอปัจจุบันและอนาคต สามารถปรับตัวให๎เข๎ากับวิถีชีวิตปัจจุบันได๎อยํางมี
ประสิทธิภาพ
ศึกษาความหมายและความสาคัญของสัญลักษณ์ของชาติไทย ได๎แกํ ธงชาติ เพลงชาติ เพลง
สรรเสรญิ พระบารมี ภาษาไทย อกั ษรไทย รวมท้ังเอกลักษณ์ไทยอื่นๆ เชํน มารยาทไทย อาหารไทย การ
แตํงกายแบบไทย วัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีไทย และการปฏิบัติตนได๎ถูกต๎องตามกาลเทศะ
ร๎ูจักสถานท่ีสาคัญซ่ึงเป็นแหลํงวัฒนธรรมในชุมชน เชํน ศาสนสถาน ตลาด พิพิธภัณฑ์ และส่ิงท่ีเป็นความ
ภาคภมู ใิ จในท๎องถิน่ ท่ใี กล๎ตวั ผ๎ูเรียนและเปน็ รูปธรรมทชี่ ดั เจน เชนํ ภาษาถ่นิ ส่ิงของท่ีเป็นภูมิปัญญาท๎องถิ่น
โดยใช๎ทักษะการสังเกต การใช๎เหตุผล การอธิบาย การปฏิบัติตนอยํางถูกต๎อง เพื่อกํอให๎เกิดความรักและ
ความภาคภูมิใจในความเป็นไทย ท๎องถิ่น และประเทศชาติ ภู มิใจในสถาบันชาติ ศาสนา และ
พระมหากษัตริย์ ตระหนกั และเห็นคณุ คาํ ทีจ่ ะธารงรักษาและสบื ทอดตํอไป
รหสั ตวั ชี้วดั ป.๑/๓
ส ๔.๑ ป.๑/๑ ป.๑/๒
ส ๔.๒ ป.๑/๑ ป.๑/๒
ส ๔.๓ ป.๑/๑ ป.๑/๒ ป.๑/๓
รวม ๘ ตัวชี้วดั
-๖๔-
คาอธิบายรายวชิ าพน้ื ฐาน
ส ๑๒๑๐๒ ประวตั ิศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาฯ
ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี ๒ เวลา ๔๐ ชัว่ โมง
ร๎จู ักวันเวลาตามระบบสุรยิ คติและจันทรคตทิ ป่ี รากฏในปฏิทนิ ที่แสดงเหตุการณ์ในอดีตและปัจจบุ นั
รวมทง้ั การใช๎คาทแี่ สดงเวลาในอดตี ปจั จบุ นั และอนาคต เชนํ วนั น้ี เมือ่ วานน้ี พรงํุ น้ี, เดือนน้ี เดือนกํอน
เดือนหน๎า,ปีน้ี ปกี ํอน ปีหนา๎ ในการอธิบายเหตุการณ์ทเี่ กดิ ขน้ึ ในครอบครัวหรือในชวี ิตตนเอง โดยใชท๎ ักษะการ
สังเกต การสอบถาม การเช่ือมโยง การเรยี งลาดับ การเลําเรือ่ ง การรวบรวมข๎อมลู การอธบิ าย เพื่อให๎
สามารถใชเ๎ วลาเรยี งลาดับเหตูการณส์ าคัญได๎ถกู ต๎องวาํ เหตกุ ารณ์ใดเกดิ กํอน เหตุการณ์ใดเกดิ หลัง ชวํ งเวลา
ใดเกิดเหตุการณส์ าคัญใด
รูว๎ ธิ สี บื ค๎นเหตกุ ารณ์ทเ่ี กดิ ขึ้นในครอบครัวโดยใชห๎ ลักฐานที่เกย่ี วขอ๎ ง ไดแ๎ กํ ภาพถําย สูติบัตร
ทะเบียนบา๎ น เครอื่ งมอื เคร่อื งใช๎ มาอธบิ ายเรื่องราวตาํ งๆ สามารถเรียงลาดับเหตุการณ์ทีเ่ กดิ ขึ้นในครอบครัว
หรือชวี ิตของตนเองโดยใชเ๎ สน๎ เวลา(Timeline) โดยใชท๎ ักษะการสอบถาม การรวบรวมข๎อมูล การสรุปความ
การเลําเรอ่ื ง เพอ่ื ฝึกทักษะพ้ืนฐานของวิธกี ารทางประวตั ิศาสตรใ์ นการสบื คน๎ เร่ืองราวในครอบครัวโดยใช๎
หลักฐานทางประวัติศาสตรท์ ่เี ก่ียวข๎องและบอกเลําขอ๎ เทจ็ จริงทค่ี น๎ พบได๎อยํางนาํ สนใจ
ศกึ ษาและสืบคน๎ ข๎อมลู ในชมุ ชนอยาํ งงํายๆ ในเร่ืองเก่ียวกบั การเปลี่ยนแปลงในวถิ ชี วี ิตของคนใน
ชมุ ชนของตนจากอดตี ถงึ ปัจจุบนั ในดา๎ นตาํ งๆ เชนํ การประกอบอาชีพ การแตํงกาย การส่ือสาร
ขนบธรรมเนียมประเพณีในชมุ ชน เข๎าใจสาเหตุแลผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงทีม่ ตี ํอวิถีชีวติ ของคนใน
ชมุ ชน โดยใชท๎ ักษะการสอบถาม การสงั เกต การวเิ คราะห์ การอธิบายอยาํ งมเี หตผุ ล การสรา๎ งผงั ความคิด
การจัดนิทรรศการ เพื่อเขา๎ ใจการเปล่ยี นแปลงทเ่ี กิดขน้ึ ตามกาลเวลาอยาํ งตํอเนื่องมีความเข๎าใจชุมชนที่มีความ
แตกตําง ความหลากหลายและความสามารถปรับตวั อยํูในชีวติ ประจาวนั ไดอ๎ ยาํ งมปี ระสิทธิภาพ
ศกึ ษา สืบค๎นประวตั ิและผลงานของบุคคลท่ีทาประโยชนต์ ํอท๎องถิ่นหรือประเทศชาติ ในดา๎ นการ
สร๎างสรรคว์ ัฒนธรรม/การสรา๎ งความเจริญรงํุ เรืองและความมั่นคงทีค่ วรนาเปน็ แบบอยาํ ง รวมท้งั วัฒนธรรม
ไทยประเพณไี ทย และภูมิปญั ญาไทยท่ภี าคภูมใิ จและควรอนุรกั ษไ์ ว๎ เชนํ การทาความเคารพแบบไทย
ภาษาไทย ประเพณีไทย ศลิ ปะไทย ดนตรไี ทย ดนตรีไทยโดยใชท๎ ักษะการสบื คน๎ การสงั เกต การอําน การ
รวบรวมขอ๎ มลู การวเิ คราะห์ การใช๎เหตผุ ล การอธิบาย และการนาเสนอ เพื่อให๎เห็นคุณคําและแบบอยาํ ง
การกระทาความดีของบรรพบุรษุ ทไี่ ดส๎ ร๎างประโยชนใ์ ห๎ท๎องถนิ่ และประเทศ เกิดความรัก และภาคภูมใิ จใน
ความเปน็ ไทยวัฒนธรรมไทย ภมู ปิ ญั ญาไทย และธารงความเป็นไทย
รหัสตวั ช้ีวัด
ส ๔.๑ ป.๒/๑ ป.๒/๒
ส ๔.๒ ป.๒/๑ ป.๒/๒
ส ๔.๓ ป.๒/๑ ป.๒/๒
รวม ๖ ตัวชีว้ ดั
-๖๕-
คาอธบิ ายรายวชิ าพืน้ ฐาน
ส ๑๓๑๐๒ ประวัติศาสตร์ กลุม่ สาระการเรยี นรสู้ ังคมศึกษาฯ
ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ ๓ เวลา ๔๐ ชวั่ โมง
ศึกษาความหมายและที่มาของศักราชท่ีปรากฏในปฏิทิน ได๎แกํพุทธศักราช คริสต์ศักราช(ถ๎าเป็น
ชาวมุสลิม ให๎ศึกษาฮิจเราะห์ศักราชด๎วย) วิธีการเทียบคริสต์ศักราชกับพุทธศักราช และใช๎ศักราชในการ
บันทึกเหตุการณ์สาคัญที่เกี่ยวข๎องกับตนเองและครอบครัว เชํน ปีเกิดของผู๎เรียน เหตุการณ์สาคัญของ
ตนเอง และครอบครัว โดยใช๎ทักษะการเปรียบเทียบ การคานวณ การเช่ือมโยง การอธิบาย เพ่ือให๎มี
พื้นฐานในการศึกษาเอกสารที่แสดงเหตุการณ์ตามกาลเวลา สามารถเรียงลาดับเหตุการณ์ได๎ถูกต๎อง วํา
เหตุการณ์ใดเกิดกํอน เหตุการณ์ใดเกิดหลังอันเป็นทักษะที่จาเป็นในการศึกษาประวัติศาสตร์
รู๎วิธีสืบค๎นเหตุการณ์สาคัญของโรงเรียนและชุมชนโดยใช๎หลักฐานและแหลํงข๎อมูลท่ีเกี่ยวข๎องเชํน
รูปภาพ แผนผัง โรงเรียน แผนที่ชุมชน ห๎องสมุดโรงเรียน แหลํงโบราณคติ-ประวัติศาสตร์ในท๎องถ่ิน
สามารถใช๎เส๎นเวลา(Timeline) แสดงลาดับเหตุการณส์ าคัญทเี่ กดิ ขนึ้ ในโรงเรียนและชุมชน โดยใช๎ทกั ษะการ
สารวจ การสังเกต การสอบถาม การอําน การฟัง การเลาํ เรือ่ ง การสรุปความ เพือ่ ฝึกทักษะพืน้ ฐานของ
วิธกี ารทางประวัติศาสตรใ์ นการสืบคน๎ เรอ่ื งราวรอบตวั อยาํ งงาํ ยๆ โดยใชห๎ ลกั ฐานแหลงํ ข๎อมูลท่เี ก่ียวขอ๎ ง
สามารถนาเสนอเรื่องราวท่ีค๎นพบไดต๎ ามลาดับเวลา
ศกึ ษาปัจจัยที่มีอทิ ธพิ ลตํอการต้งั ถ่นิ ฐานและพฒั นาการของชมุ ชน รวมท้งั ปจั จัยท่ที าให๎เกิดวัฒนธรรม
และประเพณีในชมุ ชน ซ่งึ ประกอบดว๎ ย ปจั จยั ทางภมู ศิ าสตร์(ภมู ปิ ระเทศ ภูมิอากาศ ทรัพยากร)และปัจจัย
ทางสังคม(ความเจริญทางเทคโนโลยี เชอื้ ชาติ ศาสนา ความเชอ่ื การคมนาคม ความปลอดภัย)ศึกษาและ
เปรียบเทียบความเหมือนและความแตกตําง ของลกั ษณะที่สาคญั ของขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม
ของชมุ ชน ตนเอง และชุมชนใกลเ๎ คยี ง เชํน ในเรอื่ งความเชือ่ และการนบั ถือศาสนา อาหาร ภาษาถ่ิน การ
แตํงกาย โดยใชท๎ กั ษะการอําน การสอบถาม การสงั เกต การสารวจ การฟัง การสรุปความ เพือ่ ใหเ๎ กิด
ความเข๎าใจและภูมิใจในชมุ ชนของตนเอง ยอมรับความแตกตาํ งทางวฒั นธรรม เขา๎ ใจพฒั นาการของชมุ ชน
สามารถดาเนินชีวิตอยํูรํวมกนั ในสังคมไดอ๎ ยํางสนั ตสิ ุข รํวมอนุรกั ษ์สืบสานขนบธรรมเนยี มประเพณแี ละ
วัฒนธรรมไทย
ศึกษาพระราชประวัติและพระราชกรณยี กจิ โดยสังเขปของพระมหากษัตริย์ผู๎สถาปนาอาณาจักรไทย
ประกอบด๎วย สโุ ขทยั อยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ ตามลาดับ ได๎แกํ พอํ ขุนศรีอนิ ทราทติ ย์ สมเดจ็
พระรามาธิบดที ่ี 1 (พระเจา๎ อํูทอง) สมเด็จพระเจ๎าตากสินมหาราช และพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟาู จุฬา
โลกมหาราช ศกึ ษาพระราชประวตั ิ และพระราชกรณยี กิจของพระบาทสมเด็จพระเจา๎ อยูหํ วั ภมู ิพลอดุลยเดช
และสมเด็จพระนางเจา๎ สิริกติ ิ์ พระบรมราชนิ ีนาถ โดยสังเขป ศึกษา และเลาํ วรี กรรมของบรรพบุรุษไทยทม่ี ี
สวํ นปกปูองประเทศชาติได๎อยํางนาํ สนใจ เชํน สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเจ๎าตากสินมหาราช
ท๎าวเทพกระษัตรี-ท๎าวศรสี นุ ทร ชาวบา๎ นบางระจนั พระยาพชิ ยั ดาบหกั ทา๎ วสรุ นารี
โดยใชท๎ กั ษะการอาํ น และสอบถาม การฟงั การสรุปความ การเขียน การเลําเรือง เพ่ือให๎เข๎า
ใจความเปน็ มาของชาติไทย เกิดความรัก ความภมู ิใจและเห็นแบบอยํางการเสียสละเพื่อชาติ และธารงความ
เปน็ ไทย
รหัสตวั ชว้ี ัด
ส ๔.๑ ป.๓/๑ ป.๓/๒
ส ๔.๒ ป.๓/๑ ป.๓/๒ ป.๓/๓
ส ๔.๓ ป.๓/๑ ป.๓/๒ ป.๓/๓
รวม ๘ ตัวช้ีวัด
-๖๖-
คาอธิบายรายวชิ าพื้นฐาน
ส ๑๔๑๐๒ ประวตั ิศาสตร์ กลุม่ สาระการเรยี นรูส้ งั คมศกึ ษาฯ
ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี ๔ เวลา ๔๐ ชวั่ โมง
ศึกษาความหมาย วธิ กี ารนบั และการใช๎ชวํ งเวลาเปน็ ทศวรรษ ศตวรรษ และสหสั วรรษ เกณฑ์
การแบํงยุคสมัยในการศึกษาประวัตศิ าสตร์ของมนุษยชาติทแี่ บํงเปน็ สมัยกอํ นประวัติศาสตร์ รวมทัง้ ชวํ งสมยั ใน
การศึกษาประวตั ิศาสตร์ไทย สมยั กํอนสโุ ขทัย สมยั สโุ ขทัย สมัยอยธุ ยา และสมัยรัตนโกสินทร์ ตวั อยาํ งการ
ใชช๎ ํวงเวลาในเอกสารตํางๆ โดยใชท๎ กั ษะการอําน การสารวจ การวเิ คราะห์ การคานวณ เพอ่ื ให๎ใชช๎ ํวงเวลา
ในการบอกเลาํ เรอื่ งราวท่ีมีความเปล่ียนแปลงตามชวํ งเวลาและยคุ สมัยได๎ถูกต๎อง และเข๎าใจเหตุการณ์ที่
เกดิ ขน้ึ ตามชํวงเวลาท่ีปรากฏในเอกสารทางประวัตศิ าสตร์
ศึกษาลักษณะสาคัญและเกณฑก์ ารจาแนกแยกแยะประเภทหลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์ทใี่ ช๎ใน
การศกึ ษาความเปน็ มาของท๎องถ่นิ เป็นหลกั ฐานชน้ั ตน๎ กบั หลักฐานชนั้ รองอยํางงํายๆ รวมทง้ั รูจ๎ ักตวั อยาํ งของ
หลกั ฐานท่ีพบในทอ๎ งถิน่ ท่ีใชใ๎ นการศกึ ษาความเป็นมาของท๎องถ่ินของตน โดยใชท๎ กั ษะการสารวจ การ
วิเคราะห์ การตรวจสอบข๎อมูล การจาแนก การตคี วาม เพื่อฝึกทกั ษะการสืบคน๎ ขอ๎ มลู ด๎วยวิธีการทาง
ประวัตศิ าสตร์โดยใช๎หลกั ฐานและแหลงํ ข๎อมูลท่ีเก่ยี วข๎อง
ใชห๎ ลักฐานทางประวัตศิ าสตรใ์ นการศึกษา การต้งั หลกั แหลงํ และพฒั นาการของมนุษยชาตใิ น
สมัยกอํ นประวตั ศิ าสตรแ์ ละสมัยประวัติศาสตรใ์ นดนิ แดนไทยโดยสงั เขป รจ๎ู กั อาณาจักรโบราณในดินแดนไทย
เชํน ทวารวดี ศรีวชิ ยั ละโว๎ ตามพรลงิ ค์ เปน็ ตน๎ ศึกษาตวั อยาํ งหลกั ฐานทางประวัตศิ าสตร์ที่พบในทอ๎ งถิ่นที่
แสดงพฒั นาการของมนุษยชาตใิ นดินแดนไทยโดยใช๎ทกั ษะการสารวจ การวเิ คราะห์ การตีความ การสรุป
ความเพ่ือให๎เข๎าใจพัฒนาการของมนษุ ยชาตทิ ่ีมีการเปล่ียนแปลงอยาํ งตํอเน่ืองจากอดีตจนถึงปัจจบุ นั โดยใช๎
หลักฐานทางประวตั ิศาสตรใ์ นทอ๎ งถ่นิ
ศึกษาพัฒนาการของอาณาจกั รสโุ ขทยั โดยสังเขป ในเรอ่ื งเก่ยี วกบั การสถาปนาอาณาจักร
พัฒนาการทางการเมืองการปกครองและเศรษฐกจิ ประวัติและผลงานของบคุ คลสาคัญสมัยสโุ ขทยั เชนํ พอํ ขนุ
ศรอี นิ ทราทติ ย์ พํอขนุ รามคาแหงมหาราช พระมหาธรรมราชาท่ี 1 (พระยาลิไทย) และภูมิปญั ญาไทยใน
สมยั สโุ ขทยั ทน่ี าํ ภาคภมู ิใจและควรคาํ กาการอนุรกั ษ์ ซ่งึ เป็นผลให๎อุทยานประวัตศิ าสตร์ในสุโขทยั และศรีสัชนา
ลัยไดร๎ ับยกยํองเปน็ มรดกโลก โดยใช๎ทักษะการอําน การสารวจ การสืบค๎น การวเิ คราะห์ การตคี วาม เพือ่
เข๎าใจความเป็นมาของชาติไทยในสมัยสุโขทยั รวมท้ังวัฒนธรรมไทย ภมู ิปัญญาไทยและบคุ คลในสมยั สุโขทัย
เกดิ ความรัก และความภาคภูมใิ จในความเปน็ ไทย ตระหนักถึงความพากเพียรพยายามของบรรพบุรุษไทยได๎
ปกปอู งและสรา๎ งสรรค์ความเจรญิ ใหบ๎ า๎ นเมอื ง ตกทอดเป็นมรดกทางวัฒนธรรมสบื ตอํ ถึงปจั จุบัน
รหสั ตัวช้ีวดั
ส ๔.๑ ป.๔/๑ ป.๔/๒ ป.๔/๓
ส ๔.๒ ป.๔/๑ ป.๔/๒
ส ๔.๓ ป.๔/๑ ป.๔/๒ ป.๔/๓
รวม ๘ ตัวชี้วดั
-๖๗-
คาอธบิ ายรายวชิ าพ้นื ฐาน
ส ๑๕๑๐๒ ประวัติศาสตร์ กลุ่มสาระการเรยี นรูส้ ังคมศกึ ษาฯ
ชั้นประถมศึกษาปที ่ี ๕ เวลา ๔๐ ช่วั โมง
รู๎วธิ ีสบื คน๎ ความเป็นมาของท๎องถน่ิ โดยใช๎หลกั ฐานท่ีหลากหลายเรมิ่ ด๎วยการเขา๎ ใจตง้ั ประเด็นคาถาม
ทางประวตั ศิ าสตร์ทเ่ี กย่ี วข๎องกบั ท๎องถิน่ ได๎อยํางเหมาะสมกับตนเอง เชํนความเปน็ มาของชือ่ หมูํบา๎ น ช่อื ตาบล
ช่ือถนน ความเปน็ มาของสถานทส่ี าคญั ความเปน็ มาของขนบธรรมเนียมประเพณีในท๎องถิ่น รู๎จกั
แหลํงขอ๎ มูลหลักฐานทางประวัตศิ าสตรท์ อี่ ยูํในท๎องถ่ินท่เี กิดขึน้ ตามชวํ งเวลาตาํ งๆ สามารถรวบรวมข๎อมูลจาก
หลักฐานทีเ่ กย่ี วข๎องที่อยตูํ ามแหลงํ ตํางๆ เพื่อตอบคาถามทางประวตั ศิ าสตร์อยํางมีเหตผุ ล รจู๎ กั วเิ คราะห์
ตรวจสอบขอ๎ มลู อยํางงํายๆ เข๎าใจความแตกตํางระหวาํ งความจรงิ กับข๎อเท็จจรงิ เก่ยี วกับเรื่องราวในท๎องถิ่นที่
ปรากฏในข๎อมลู จากหลกั ฐานตาํ งๆ โดยศึกษาตวั อยํางขอ๎ มูลจากหลักฐานตาํ งๆ เชํนบทความ หนงั สอื พิมพ์
หรอื เอกสารอื่นๆที่แสดงนยั ความคิดเหน็ ที่มีอยูํในขอ๎ มลู เพอ่ื ฝึกฝนการแยกแยะความคิดเหน็
กบั ข๎อเทจ็ จริงท่ีอยใํู นข๎อมูล รวมทัง้ แยกแยะความจรงิ กบั ข๎อเท็จจรงิ ได๎ โดยใช๎ทกั ษะการสังเกต การสอบถาม
การสารวจ การเปรียบเทยี บ การวิเคราะห์ การเช่ือมโยง และการสงั เคราะห์อยํางงํายๆ เพอ่ื ฝกึ ฝนการใช๎
ทกั ษะวิธกี ารทางประวัติศาสตร์ วิเคราะหค์ วามเป็นมา และเหตกุ ารณ์ที่เกดิ ขึ้นในท๎องถน่ิ โดยใชข๎ อ๎ มูลขําวสาร
และหลักฐานทางประวัติศาสตรไ์ ดอ๎ ยํางมีประสทิ ธิภาพ
ศึกษาการเขา๎ มาและอิทธิพลของอารยธรรมอนิ เดยี และจีนในดินแดนไทยและภูมิภาคเอเชยี
ตะวนั ออกเฉียงใต๎โดยสงั เขป เชํนการปกครอง การนับถือศาสนา ความเชือ่ วฒั นธรรม ประเพณี ภาษา
อาหาร การแตํงกาย ศึกษาการเข๎ามาสาเหตุและผลกระทบของอิทธพิ ลทางวฒั นธรรมตาํ งชาติ ทั้งตะวันตก
และตะวนั ออกท่มี ีตอํ สังคมไทยในปจั จบุ ันโดยสังเขป เชํน อาหาร ภาษา การแตงํ กาย ดนตรี โดยใช๎ทักษะ
การอาํ น การสบื ค๎นข๎อมูล การสงั เกต การเปรียบเทียบ การวเิ คราะห์ การเช่ือมโยง เพ่ือให๎เข๎าใจ
วัฒนธรรมไทยในสังคมปัจจบุ ันและวฒั นธรรมของประเทศเพื่อบ๎านในภูมภิ าคเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต๎ทมี่ ีทั้ง
ความคลา๎ ยคลึงและความแตกตาํ งเข๎าใจความสัมพนั ธ์ ยอมรับในความแตกตาํ งทางวัฒนธรรม และอยูรํ วํ มกัน
ได๎อยาํ งสนั ตสิ ุข
ศกึ ษาพัฒนาการของอาณาจกั รอยุธยา และธนบุรใี นเรื่องเก่ยี วกับการสถาปนาอาณาจักร ปัจจัยที่
สํงเสริมความเจริญรงํุ เรืองทางเศรษฐกจิ และการปกครอง พฒั นาการทางการเมืองการปกครอง และเศรษฐกจิ
โดยสังเขปประวัตแิ ละผลงานบุคคลสาคญั ในสมยั อยธุ ยาและธนบรุ เี ชนํ สมเดจ็ พระรามาธิบดีท่ี ๑ สมเด็จพระ
บรมไตรโลกนาถ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระนารายณม์ หาราช ชาวบา๎ นบางระจัน สมเด็จพระ
เจ๎าตากสนิ มหาราช ภูมิปญั ญาไทยในสมยั อยุธยา ซง่ึ เปน็ ผลใหพ๎ ระนครศรอี ยุธยาได๎รบั การยกยอํ งเปน็ มรดก
โลก และภูมปิ ัญญาในสมัยธนบุรี ท่ีนาํ ภาคภมู ิใจ ควรคําแกํการอนุรักษ์ไว๎ เชนํ ทางศิลปกรรม วรรณกรรม
และการคา๎ โดยใชท๎ ักษะการอาํ น การสบื ค๎นขอ๎ มูล การเชื่อมโยง การวเิ คราะห์ การอธบิ าย การสรปุ ความ
การเรยี งความ เพื่อให๎เกิดความรกั และภาคภูมิใจในความเปน็ ชาติไทย เห็น
ความเพียรพยายามของบรรพบุรษุ ทีป่ กปูองชาติ ตระหนักและเห็นความสาคัญทีจ่ ะธารงรกั ษาความเปน็ ไทย
สบื ตํอไป
รหัสตวั ช้ีวดั
ส ๔.๑ ป.๕/๑ ป.๕/๒ ป.๕/๓
ส ๔.๒ ป.๕/๑ ป.๕/๒
ส ๔.๓ ป.๕/๑ ป.๕/๒ ป.๕/๓ ป.๕/๔
รวม ๙ ตัวชี้วดั
-๖๘-
คาอธบิ ายรายวิชาพ้ืนฐาน
ส ๑๖๑๐๒ ประวตั ิศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาฯ
ชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี ๖ เวลา ๔๐ ช่ัวโมง
ศึกษาความหมาย และความสาคัญของวิธีการทางประวตั ิศาสตร์อยาํ งงาํ ย และใช๎วธิ ีการทาง
ประวัตศิ าสตร์ในการศึกษาเรื่องราวทางประวตั ศิ าสตร์ หรือเหตกุ ารณ์สาคัญตามลาดับข้ันตอน อยํางเป็นระบบ
ได๎แกํ การต้ังประเดน็ ศึกษาเรื่องราวทีต่ นสนใจ การสารวจแหลงํ ข๎อมูลที่เกย่ี วข๎อง การรวบรวมข๎อมลู จาก
หลักฐานทห่ี ลากหลาย การวเิ คราะห์ความนําเช่ือถือของข๎อมูล การตีความ การเรียบเรียงและการนาเสนอความรู๎
ทคี่ ๎นพบได๎อยํางนําสนใจ นาวิธกี ารทางประวตั ิศาสตร์ไปใช๎ศึกษาเร่ืองราวในท๎องถิน่ เชนํ ความเป็นมาของ
ภูมิลาเนา ของสถานท่ใี นท๎องถิ่น เหตุการณ์สาคัญในท๎องถนิ่ ประวัตแิ ละผลงานสาคญั ของบคุ คลในท๎องถนิ่ โดย
ใชท๎ กั ษะการสารวจ การอําน การสอบถาม การเปรียบเทยี บ การตีความ การวิเคราะห์ การสงั เคราะห์ การ
อธบิ าย เพื่อใหเ๎ กิดความรแ๎ู ละความเขา๎ ใจวิธกี ารทางประวตั ิศาสตร์และสามารถใชว๎ ธิ ีการทางประวัตศิ าสตร์สบื ค๎น
เรื่องราวตํางๆ ได๎อยํางเป็นระบบ
ศึกษาตวั อยํางหลักฐานทางประวัติศาสตร์ท่เี หมาะสมที่จะนามาใชใ๎ นการศึกษาเหตุการณ์สาคญั ใน
ประวตั ศิ าสตร์ไทย ในสมัยรัตนโกสนิ ทร์ เชนํ พระราชหัตถเลขาของรัชกาลท่ี ๔ หรือ รัชกาลท่ี ๕ กฎหมาย
ตราสามดวง เป็นตน๎ เพื่อให๎สามารถสรปุ ข๎อมลู ท่ีได๎จากหลักฐานท้ังความจรงิ และข๎อเทจ็ จรงิ และนาเสนอข๎อมูล
จากหลักฐานท่ีหลากหลายในการทาความเข๎าใจในเรื่องราวสาคัญในอดีตได๎ด๎วยวธิ ีการตํางๆ ได๎อยาํ งนําสนใจ โดย
ใชท๎ ักษะการสารวจ การอําน การเปรียบเทียบ การตคี วาม การสังเคราะห์ การอธบิ าย การสรุปความ การ
เรยี งความ การจดั ทาโครงงานและการจัดนิทรรศการ เพื่อฝึกทักษะการสืบคน๎ ข๎อมลู จากหลกั ฐานทาง
ประวตั ศิ าสตร์ได๎อยํางมีประสิทธภิ าพ
ศึกษาสภาพสงั คม เศรษฐกิจ และการเมืองของประเทศเพ่ือนบ๎านในปจั จบุ ันโดยสังเขป เชื่อมโยง
และเปรียบเทยี บกับประเทศไทย ศึกษาความเปน็ มา สมาชิกอาเซียน และความสัมพันธ์ของกลุํมอาเซยี นทาง
เศรษฐกิจและสงั คมในปัจจบุ นั โดยสังเขป โดยใชท๎ ักษะการอําน การเรยี นรจู๎ ากแผนท่ี การสารวจ การตอบ
คาถาม การเปรียบเทยี บ การวเิ คราะห์ เพ่ือให๎เขา๎ ใจพฒั นาการของประเทศเพื่อนบา๎ นที่มีความสมั พันธ์กับ
ประเทศไทย ความสัมพนั ธข์ องกลุํมอาเซียน เกดิ ความเข๎าใจอันดรี ะหวาํ งประเทศ ยอมรบั ความแตกตาํ งทาง
วัฒนธรรมและอยรูํ ํวมกันไดอ๎ ยํางสันสุข
ศึกษาพัฒนาการของไทยสมยั รัตนโกสินทร์ ในเรื่องเก่ียวกับการสถาปนาอาณาจักร ปัจจยั ที่
สงํ เสรมิ ความเจริญรุํงเรืองทางเศรษฐกิจและการปกครอง พัฒนาการทางด๎านตํางๆ โดยสังเขป ประวัติและ
ผลงานของบุคคลสาคัญด๎านตํางๆ ในสมัยรัตนโกสินทรเ์ ชํน พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟูาจุฬาโลกมหาราช
สมเด็จพระบวรราชเจา๎ มหาสรุ สงิ หนาท พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล๎าเจ๎าอยูหํ ัว และภูมิปญั ญาไทยที่สาคญั
สมยั รตั นโกสนิ ทรท์ นี่ ําภาคภูมิใจ และควรคาํ แกํการอนุรักษ์ไว๎ โดยใชท๎ ักษะการอําน การสบื ค๎นข๎อมลู การ
เช่อื มโยง การวเิ คราะห์ เพ่ือใหเ๎ กิดความรักและภาคภูมิใจในความเป็นชาติไทย ตระหนักถึงความพากเพยี ร
พยายามของบรรพบรุ ุษที่ได๎ปกปูอง และสรา๎ งสรรค์ความเจริญใหบ๎ ๎านเมืองตกทอดเปน็ มรดกทางวัฒนธรรมสบื ตํอ
ถึงปจั จบุ ัน
รหัสตวั ชีว้ ัด
ส ๔.๑ ป.๖/๑ป.๖/๒
ส ๔.๒ ป.๖/๑ป.๖/๒
ส ๔.๓ ป.๖/๑ ป.๖/๒ ป.๖/๓ ป.๖/๔
รวม ๘ ตัวช้ีวดั
-๖๙-
คาอธิบายรายวิชาพ้นื ฐาน
ส ๑๑๑๐๑ สังคมศึกษา ฯ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาฯ
ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ ๑ เวลา ๔๐ ชัว่ โมง/ปี
ศึกษาความรพู๎ ื้นฐานศาสนาพุทธ ความหมาย ความสาคัญประโยชน์ของศาสนา ประวตั ิ ศาสดา สาวก
ชาดก เร่ืองเลาํ หลักธรรม เห็นคณุ คําและสวดมนต์ แผเํ มตตา มสี ติท่ีเปน็ พน้ื ฐานของสมาธิ การพัฒนาจิตตาม
ศาสนาทีต่ นนบั ถือในการบาเพ็ญประโยชน์ตอํ สงั คม ปฏิบตั ิตนในศาสนพิธี และวันสาคัญทางศาสนา เพ่อื การอยํู
รํวมกนั ได๎อยาํ งสันตสิ ุข
ศึกษาวธิ ปี ระชาธปิ ไตยในครอบครัว โครงสร๎าง บทบาท สิทธแิ ละหน๎าที่ มสี ํวนรวํ มใน การตัดสนิ ใจ
และทากิจกรรมในครอบครวั และโรงเรยี น ตามกระบวนการประชาธิปไตย ปฏิบตั ิเปน็ สมาชกิ ทด่ี ีในครอบครัว
และโรงเรยี น เพื่อให๎มีความร๎ู ความเขา๎ ใจการอยรูํ วํ มกันในครอบครัว สงั คมอยํางมีความสุข
ศกึ ษาการผลิตสินคา๎ และบรกิ าร ความหมาย ประเภท ความสาคญั ของการทางานตอํ ครอบครวั และ
สังคม การใช๎จํายเงนิ และเหน็ ประโยชนข์ องการออม การใชท๎ รพั ยากรอยาํ งประหยดั ความจาเปน็ ท่ีต๎องการ
ทางานอยํางสจุ รติ ทาให๎สังคมสงบสุข
ศึกษาองค์ประกอบทสี่ าคญั ๓ ประการ คอื ความสามารถทางภมู ิศาสตร์ กระบวนการทาง
ภมู ิศาสตร์ และทักษะทางภมู ิศาสตร์ การบอกตาแหนํง ทิศหลกั และทตี่ ั้ง การเขียนแผนผัง แสดงตาแหนํงส่ิง
ตําง ๆ บอกการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศในรอบวัน สิ่งแวดล๎อมทางธรรมชาติ สังเกตและเปรียบเทียบ
สภาพแวดล๎อมที่อยูํรอบตวั และปรบั ตัวเขา๎ กบั สิ่งแวดล๎อม เพอื่ ใหม๎ คี วามรู๎ ความเข๎าใจการสังเกตส่งิ ตาํ ง ๆ
รอบตัว
เหน็ คุณคาํ ของการนาความร๎ไู ปใชป๎ ระโยชนใ์ นชีวติ ประจาวนั รกั ความเป็นไทย มีคณุ ธรรม
จรยิ ธรรม และคํานยิ มท่เี หมาะสม
รหัสตัวชีว้ ัด
ส ๑.๑ ป.๑/๑ ป.๑/๒ ป.๑/๓ ป.๑/๔
ส ๑.๒ ป.๑/๑ ป.๑/๒ ป.๑/๓
ส ๒.๑ ป.๑/๑ ป.๑/๒
ส ๒.๒ ป.๑/๑ ป.๑/๒ ป.๑/๓
ส ๓.๑ ป.๑/๑ ป.๑/๒ ป.๑/๓
ส ๓.๒ ป.๑/๑
ส ๕.๑ ป.๑/๑ ป.๑/๒ ป.๑/๓ ป.๑/๔
ส ๕.๒ ป.๑/๑ ป.๑/๒ ป.๑/๓
รวมท้งั หมด ๒๓ ตัวช้ีวัด
-๗๐-
คาอธบิ ายรายวิชาพ้นื ฐาน
ส ๑๒๑๐๑ สังคมศึกษา ฯ กลุ่มสาระการเรยี นรสู้ งั คมศึกษา ศาสนาฯ
ชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ ๒ เวลา ๔๐ ชว่ั โมง/ปี
ศึกษา บอกความหมาย วิเคราะห์ความสาคัญของพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือ พุทธประวัติ
ต้ังแตํประสูติจนถึงการออกผนวชหรือประวัติศาสดาท่ีตนนับถือ บอกแบบอยํางการดาเนินชีวิตและข๎อคิดจาก
ประวัติสาวก ชาดก เร่ืองเลําและศาสนิกชนตัวอยําง ความสาคัญและเคารพพระรัตนตรัย ปฏิบัติตาม
หลกั ธรรมโอวาท ๓ ในพระพทุ ธศาสนา หรือหลักธรรมของศาสนาท่ีตนนับถือ การทาความดีของตนเอง บุคคล
ในครอบครัวและในโรงเรยี น ตามหลกั ศาสนา เหน็ คุณคาํ และสวดมนต์ แผเํ มตตา มีสติที่เป็นพื้นฐานของสมาธิ
ในพระพุทธ-ศาสนา หรือการพัฒนาจิตตามแนวทางของศาสนาที่ตนนับถือ
ช่ือศาสนา ศาสดา และความสาคัญของคัมภีร์ของศาสนาที่ตนนับถือและศาสนาอ่ืนๆ ปฏิบัติตนอยําง
เหมาะสมตํอสาวกของศาสนา ในศาสนพิธี พธิ ีกรรม และวันสาคัญทางศาสนา
ศึกษาการปฏิบัติตนตามข๎อตกลง กติกา กฎ ระเบียบและหน๎าที่ที่ต๎องปฏิบัติในชีวิตประจาวัน
ตามมารยาทไทย แสดงพฤตกิ รรมในการยอมรบั ความคดิ ความเชื่อและการปฏิบัติของบุคคลอ่ืนที่แตกตํางกัน
โดยปราศจากอคติ เคารพในสิทธิ เสรีภาพของผู๎อ่ืน บอกความสัมพันธ์ของตนเอง และสมาชิกในครอบครัว
มบี ทบาท อานาจในการตัดสินใจในโรง เรียน และชมุ ชน
ศึกษาทรัพยากรที่นามาผลิตสินค๎าและบริการที่ใช๎ในชีวิตประจาวัน ท่ีมาของรายได๎และรายจํายของ
ตนเองและครอบครัว บันทึกรายรับรายจํายของตนเอง สรุปผลดีของการใช๎จํายที่เหมาะสมกับรายได๎และการออม
การแลกเปล่ียนสินค๎าและบริการโดยวิธีตําง ๆ ความสัมพนั ธ์ระหวํางผู๎ซ้ือและผู๎ขาย
ศึกษาองค์ประกอบที่สาคัญ ๓ ประการ คือ ความสามารถทางภูมศิ าสตร์ กระบวนการทาง
ภูมิศาสตร์ และทักษะทางภมู ิศาสตร์ เข๎าใจลักษณะส่ิงตาํ งๆ รอบตัวทเี่ กิดข้ึนเองตามธรรมชาติและท่ีมนุษย์
สร๎างขึ้น ความสัมพนั ธ์ของตาแหนงํ ระยะ ทิศของสง่ิ ตํางๆ รอบตวั ทศิ หลักและท่ตี ้งั ของสิ่งตาํ งๆ แผนผัง
งาํ ย ๆ ในการแสดงตาแหนํงของส่ิงตาํ งๆในหอ๎ งเรยี น การเปล่ียนแปลงของสภาพอากาศในรอบวนั ลกั ษณะภมู ิประเทศ
ภูมิอากาศมผี ลตอํ ความเปน็ อยํูของมนษุ ย์ การเปล่ยี นแปลงของสภาพแวดลอ๎ มทอี่ ยูรํ อบตัว มีสวํ นรํวมในการจัด
ระเบียบส่ิงแวดลอ๎ มทีบ่ า๎ นและชนั้ เรียน
เห็นคุณคําของการนาความร๎ไู ปใช๎ประโยชน์ในชวี ติ ประจาวนั ควรอนรุ กั ษ์วฒั นธรรม ประเพณี และ
ภมู ปิ ัญญาไทย มคี ุณธรรม จริยธรรมและคาํ นยิ มท่เี หมาะสม
รหัสตัวชีว้ ัด
ส ๑.๑ ป.๒/๑ ป.๒/๒ ป.๒/๓ ป.๒/๔ ป.๒/๕ ป.๒/๖ ป.๒/๗
ส ๑.๒ ป.๑/๑ ป.๑/๒
ส ๒.๑ ป.๒/๑ ป.๒/๒ ป.๒/๓ ป.๒/๔
ส ๒.๒ ป.๒/๑ ป.๒/๒
ส ๓.๑ ป.๒/๑ ป.๒/๒ ป.๒/๓ ป.๒/๔
ส ๓.๒ ป.๒/๑ ป.๒/๒
ส ๕.๑ ป.๒/๑ ป.๒/๒ ป.๒/๓
ส ๕.๒ ป.๒/๑ ป.๒/๒ ป.๒/๓ ป.๒/๔
รวมทั้งหมด ๒๘ ตัวช้ีวดั
-๗๑-
คาอธบิ ายรายวิชาพืน้ ฐาน
ส ๑๓๑๐๑ สังคมศกึ ษา ฯ กลมุ่ สาระการเรียนรู้สังคมศกึ ษา ศาสนาฯ
ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ ๓ เวลา ๔๐ ช่ัวโมง/ปี
ศึกษาความสาคัญของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาท่ีตนนับถือ ในฐานะท่ีเป็นรากฐานสาคัญของ
วัฒนธรรมไทย พุทธประวัติต้ังแตํการบาเพ็ญเพียรจนถึงปรินิพพาน หรือประวัติของศาสดาที่ตนนับถือตามที่
กาหนด แบบอยํางการดาเนินชีวิตและข๎อคิดจากประวัติสาวก ชาดก/เร่ืองเลําและศาสนิกชนตัวอยําง ความหมาย
ความสาคัญของพระไตรปิฎก หรือคัมภีร์ของศาสนาที่ตนนับถือ การแสดงความเคารพพระรัตนตรัย และ
ปฏิบัติตามหลักธรรมโอวาท ๓ ในพระพุทธศาสนา หรือหลักธรรมของศาสนาที่ตนนับถือตามที่กาหนดเห็น
คุณคําและสวดมนต์แผํเมตตามีสติท่ีเป็นพื้นฐานของสมาธิในพระพุทธศาสนา หรือการพัฒนาจิตตามแนวทาง
ของศาสนาที่ตนนับถือตามท่ีกาหนด ความสาคัญและปฏิบัติตนได๎อยํางเหมาะสมตํอศาสนวัตถุ ศาสนสถาน
และศาสนบุคคลของศาสนาอ่ืนๆ ปฏิบัติตนอยํางเหมาะสมตํอสาวก ศาสนสถาน ศาสนวัตถุของศาสนาท่ีตนนับถือ
ตามทก่ี าหนดไดถ๎ กู ตอ๎ ง เห็นคณุ คาํ และปฏบิ ตั ติ นในศาสนพธิ ีพิธีกรรม และวนั สาคัญทางศาสนา ตามท่ีกาหนด
ได๎ถูกตอ๎ ง แสดงตนเป็นพทุ ธมามกะ หรือแสดงตนเป็นศาสนิกชนของศาสนาทตี่ นนับถือ
ศึกษาประโยชน์และปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัวและโรงเรียน ความสามารถและความดี
ของตนเอง ผู๎อื่นและบอกผลจากการกระทานั้น บทบาทหน๎าท่ีของสมาชิกของชุมชนในการมีสํวนรํวมใน
กิจกรรมตําง ๆ ตามกระบวนการประชาธิปไตย วิเคราะห์ความแตกตํางของกระบวนการการตัดสินใจในชั้น
เรยี น/โรงเรียนและชมุ ชน โดยวิธีการออกเสียงโดยตรงและการเลอื กตัวแทนออกเสียง
การเปลย่ี นแปลงในชน้ั เรียน/โรงเรียนและชมุ ชนทเี่ ปน็ ผลจากการตดั สนิ ใจของบุคคลและกลมํุ
ศึกษาสินค๎าและบริการท่ีใช๎ประโยชน์ในชีวิตประจาวัน การใช๎จํายเงินในชีวิต ประจาวันท่ีไมํเกินตัว
และเห็นประโยชน์ของการออม การใชท๎ รัพยากรในชีวิตประจาวันอยํางประหยัด สินค๎าและบริการที่รัฐจัดหา
และให๎บริการแกํประชาชน ความสาคัญของภาษีและบทบาทของประชาชนในการเสียภาษี เหตุผลการ
แขงํ ขันทางการค๎า ที่มีผลทาใหร๎ าคาสินค๎าลดลง
ศกึ ษาองค์ประกอบที่สาคัญ ๓ ประการ คอื ความสามารถทางภูมิศาสตร์ กระบวนการทาง
ภมู ิศาสตร์ และทักษะทางภูมิศาสตร์ สิง่ ตําง ๆ รอบตัวทเ่ี กิดข้ึนเองตามธรรมชาตแิ ละที่มนุษย์สร๎างข้ึน
ความสมั พนั ธ์ของตาแหนํง ระยะ ทิศของสิ่งตาํ ง ๆ รอบตัว ทศิ หลักและท่ีตัง้ ของสิ่งตํางๆ แผนผงั งาํ ย ๆ ใน
การแสดงตาแหนํงของสิ่งตํางๆในหอ๎ งเรยี น การเปลยี่ นแปลงของสภาพอากาศในรอบวนั การเปล่ยี นแปลง
สภาพแวดลอ๎ มในชุมชนจากอดีตถึงปัจจุบันการพ่ึงพาสิ่งแวดล๎อมและทรัพยากรธรรมชาติในการสนอง
ความต๎องการพ้นื ฐานของมนุษย์ และการประกอบอาชีพ มลพษิ และการกํอให๎เกิดมลพิษโดยมนุษย์ ความ
แตกตํางของเมืองและชนบท การเปลีย่ นแปลงของส่งิ แวดล๎อมในชมุ ชน
เห็นคุณคําของการนาความรู๎ไปใช๎ประโยชน์ในชีวิตประจาวัน มีสํวนรํวมกิจกรรมประชาธิปไตย
มีคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และคํานยิ ม ที่เหมาะสม
-๗๒-
รหสั ตัวช้ีวัด
ส ๑.๑ ป.๓/๑ ป.๓/๒ ป.๓/๓ ป.๓/๔ ป.๓/๕ ป.๓/๖ ป.๓/๗
ส ๑.๒ ป.๓/๑ ป.๓/๒ ป.๓/๓
ส ๒.๑ ป.๓/๑ ป.๓/๒ ป.๓/๓ ป.๓/๔
ส ๒.๒ ป.๓/๑ ป.๓/๒ ป.๓/๓
ส ๓.๑ ป.๓/๑ ป.๓/๒ ป.๓/๓
ส ๓.๒ ป.๓/๑ ป.๓/๒ ป.๓/๓
ส ๕.๑ ป.๓/๑ ป.๓/๒
ส ๕.๒ ป.๓/๑ ป.๓/๒ ป.๓/๓ ป.๓/๔ ป.๓/๕ ป.๓/๖
รวมทงั้ หมด ๓๑ ตัวชี้วดั
-๗๓-
คาอธิบายรายวิชาพื้นฐาน
ส ๑๔๑๐๑ สังคมศึกษา ฯ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศกึ ษา ศาสนาฯ
ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี ๔ เวลา ๘๐ ชวั่ โมง/ปี
ศึกษาความสาคัญของพระพุทธศาสนา หรอื ศาสนาท่ตี นนบั ถอื ในฐานะเป็นศนู ย์รวมจติ ใจของ
ศาสนิกชน พุทธประวัติตั้งแตํบรรลุธรรมจนถึงประกาศธรรม หรือประวัติศาสดาท่ีตนนับถือตามท่ีกาหนด
เหน็ คุณคาํ และปฏบิ ัติตนตามแบบอยาํ งการดาเนนิ ชวี ติ และข๎อคดิ จากประวัตสิ าวก ชาดก /
เร่ืองเลําและ ศาสนิกชนตัวอยําง ตามท่ีกาหนด แสดงความเคารพ พระรัตนตรัย ปฏิบัติตามไตรสิกขาและ
หลักธรรมโอวาท ๓ ในพระพุทธศาสนา หรือหลักธรรมของศาสนาที่ตนนับถือตามที่กาหนด การทาความดี
ของตนเอง บุคคลในครอบครัว โรงเรียนและชมุ ชนตามหลักศาสนา พร๎อมทั้งบอกแนวปฏิบัติในการดาเนินชีวิต
เห็นคุณคําและสวดมนต์ แผํเมตตา มีสติที่เป็นพ้ืนฐานของสมาธิในพระพุทธศาสนา หรือการพัฒนาจิต ตาม
แนวทางของศาสนาที่ตนนับถือตามที่กาหนด ปฏิบัติตนตามหลักธรรมของศาสนาท่ีตนนับถือ เพ่ือการอยํู
รวํ มกันเป็นชาติได๎อยํางสมานฉันท์ ประวัติศาสดาของศาสนาอ่ืนๆ โดยสังเขป ความสาคัญ และมีสํวนรํวมใน
การบารุงรกั ษาศาสนสถานของศาสนาที่ตนนับถือ มรรยาทของความเป็นศาสนิกชนท่ีดี ตามที่กาหนด ปฏิบัติ
ตนในศาสนพธิ ี พธิ กี รรมและวนั สาคญั ทางศาสนา ตามทกี่ าหนดได๎ถูกตอ๎ ง
ศกึ ษาการปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดีตามวิถีประชาธิปไตยในฐานะสมาชิกท่ีดีของชุมชน ปฏิบัติตนในการ
เป็นผู๎นาและผู๎ตามที่ดี วิเคราะห์สิทธิพื้นฐานท่ีเด็กทุกคน พึงได๎รับตามกฎหมาย ความแตกตํางทางวัฒนธรรม
ของกลุํมคนในท๎องถิ่น วิธีการท่ีจะอยูํรํวมกันอยําง สันติสุขในชีวิตประจาวัน อานาจอธิปไตยและความสาคัญ
ของระบอบประชาธิปไตย บทบาทหน๎าที่ของพลเมืองในกระบวนการเลือกตั้ง ความสาคัญของสถาบัน
พระมหากษัตริย์ตามระบอบประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมขุ
ศึกษาปจั จัยทีม่ ผี ลตํอการเลือกซื้อสินค๎าและบริการ สทิ ธพิ น้ื ฐานและรักษาผลประโยชนข์ องตนเอง
ในฐานะผู๎บริโภค หลักการของเศรษฐกิจพอเพียงและนาไปใช๎ในชีวิตประจาวันของตนเอง
ความสมั พนั ธท์ างเศรษฐกจิ ของคนในชุมชน หน๎าทีเ่ บื้องต๎นของเงนิ
ศกึ ษาองค์ประกอบท่ีสาคญั ๓ ประการ คอื ความสามารถทางภูมิศาสตร์ กระบวนการทาง
ภมู ิศาสตร์ และทักษะทางภมู ิศาสตร์ แผนท่ี ภาพถําย ระบลุ ักษณะสาคญั ทางกายภาพของจังหวดั ตนเอง
แหลํงทรพั ยากรและสิ่งตําง ๆ ในจังหวัดของตนเองดว๎ ยแผนท่ี แผนทอ่ี ธบิ ายความสัมพันธข์ องสิ่งตาํ งๆ ที่มีอยํู
ในจงั หวดั สภาพ แวดล๎อมทางกายภาพของชุมชนทสี่ งํ ผลตํอการดาเนนิ ชีวติ ของคนในจงั หวัด การเปลยี่ นแปลง
สภาพ แวดล๎อมในจังหวดั และผลท่ีเกดิ จากการเปล่ียนแปลงนั้น การมสี วํ นรวํ มในการอนุรกั ษ์สิง่ แวดล๎อมใน
จังหวัด
เห็นคุณคําของเป็นผู๎นาและผู๎ตามท่ีดี บทบาทหน๎าที่ของพลเมืองดี อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น
ประมขุ มีคณุ ธรรม จริยธรรม และคาํ นิยม ทเี่ หมาะสม
-๗๔-
รหสั ตัวชว้ี ดั
ส ๑.๑ ป.๔/๑ ป.๔/๒ ป.๔/๓ ป.๔/๔ ป.๔/๕ ป.๔/๖ ป.๔/๗ ป.๔/๘
ส ๑.๒ ป.๔/๑ ป.๔/๒ ป.๔/๓
ส ๒.๑ ป.๔/๑ ป.๔/๒ ป.๔/๓ ป.๔/๔ ป.๔/๕
ส ๒.๒ ป.๔/๑ ป.๔/๒ ป.๔/๓
ส ๓.๑ ป.๔/๑ ป.๔/๒ ป.๔/๓
ส ๓.๒ ป.๔/๑ ป.๔/๒
ส ๕.๑ ป.๔/๑ ป.๔/๒ ป.๔/๓
ส ๕.๒ ป.๔/๑ ป.๔/๒ ป.๔/๓
รวมทัง้ หมด ๓๐ ตวั ช้ีวัด
-๗๕-
คาอธบิ ายรายวชิ าพน้ื ฐาน
ส ๑๕๑๐๑ สงั คมศึกษาฯ กลุ่มสาระการเรียนร้สู ังคมศึกษา ศาสนาฯ
ช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ ๕ เวลา ๘๐ ชว่ั โมง/ปี
ศกึ ษาวิเคราะห์ความสาคัญของพระพทุ ธศาสนาหรือศาสนาท่ีตนนับถือ ในฐานะทเ่ี ปน็ มรดกทาง
วัฒนธรรมและหลกั ในการพฒั นาชาตไิ ทย พุทธประวัติต้งั แตํเสด็จกรงุ กบลิ พัสดจ์ุ นถึงพุทธกิจสาคญั หรือ
ประวัติศาสดาท่ีตนนบั ถือตามท่กี าหนด เหน็ คุณคํา และประพฤตติ นตามแบบอยาํ งการดาเนนิ ชวี ิตและข๎อคดิ
จากประวัตสิ าวก ชาดก/เร่ืองเลาํ และศาสนกิ ชนตัวอยาํ ง ตามทีก่ าหนด องค์ประกอบ และความสาคัญของ
พระไตรปฎิ ก หรือคัมภีรข์ องศาสนาทต่ี นนับถือ ความเคารพพระรัตนตรัย และปฏบิ ัติตามไตรสิกขาและ
หลักธรรม โอวาท ๓ ในพระพทุ ธศาสนาหรือหลักธรรมของศาสนาทตี่ นนบั ถอื ตามที่กาหนด เห็นคุณคําและ
สวดมนต์แผเํ มตตา มสี ตทิ เ่ี ปน็ พนื้ ฐานของสมาธใิ นพระพทุ ธศาสนา หรอื การพฒั นาจติ ตามแนวทางของศาสนา
ที่ตนนบั ถือตามท่กี าหนด ปฏบิ ัติตนตามหลักธรรมของศาสนาที่ตนนับถือ เพ่ือการพฒั นาตนเองและ
สิง่ แวดลอ๎ ม การจดั พิธีกรรมตามศาสนาท่ีตนนับถืออยํางเรียบงาํ ย มีประโยชน์ และปฏิบตั ิตนถูกตอ๎ ง ปฏบิ ตั ิ
ตนในศาสนพธิ ี พธิ ีกรรม และวันสาคัญทางศาสนา ตามท่ีกาหนด และอภิปรายประโยชนท์ ีไ่ ดร๎ บั จากการเข๎า
รวํ มกิจกรรม มีมรรยาทของความเป็นศาสนิกชนทดี่ ี ตามท่กี าหนด
ศึกษาการปฏิบัติตนตามสถานภาพ บทบาท สิทธิเสรีภาพ และหน๎าที่ในฐานะพลเมืองดี
วิธีการปกปูองคุ๎มครองตนเองหรือผู๎อื่นจากการละเมิดสิทธิเด็ก เห็นคุณคําวัฒนธรรมไทยท่ีมีผลตํอการดาเนิน
ชีวติ ในสังคมไทย มสี วํ นรํวมในการอนุรักษ์และเผยแพรํภูมิปัญญาท๎องถิ่นของชุมชน โครงสร๎าง อานาจ หน๎าที่
และความสาคัญของการปกครองสวํ นท๎องถน่ิ บทบาทหนา๎ ที่ และวิธีการเข๎าดารงตาแหนํงของผู๎บริหารท๎องถิ่น
ประโยชน์ทชี่ มุ ชน จะไดร๎ บั จากองคก์ รปกครองสวํ นท๎องถิ่น
ศึกษาปจั จัยการผลติ สินค๎าและบริการ ประยุกตใ์ ชแ๎ นวคิดของปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการทา
กิจกรรมตําง ๆ ในครอบครัว โรงเรียนและชุมชน หลักการสาคัญและประโยชน์ของสหกรณ์ บทบาทหน๎าที่
เบอ้ื งตน๎ ของธนาคาร ผลดแี ละผลเสียของการก๎ูยืม
ศึกษาองคป์ ระกอบทส่ี าคัญ ๓ ประการ คือ ความสามารถทางภูมิศาสตร์ กระบวนการทาง
ภมู ศิ าสตร์ และทักษะทางภมู ิศาสตร์ ตาแหนํง (พิกัดภูมศิ าสตร์ ละตจิ ดู ลองจจิ ูด) ระยะ ทิศทางของภมู ภิ าค
ของตนเอง ลักษณะภมู ลิ ักษณท์ ่สี าคัญในภูมิภาคของตนเองในแผนท่ี ความสัมพันธ์ของลักษณะทางกายภาพ
กับลกั ษณะทางสงั คมในภูมิภาคของตนเอง สภาพแวดลอ๎ มทางกายภาพทม่ี ีอิทธิพลตอํ ลกั ษณะการตั้งถิน่ ฐาน
และการยา๎ ยถ่ินของประชากร ในภมู ิภาค อิทธิพลของสง่ิ แวดลอ๎ มทางธรรมชาติท่ีกอํ ใหเ๎ กิดวิถชี วี ิตและการ
สร๎างสรรคว์ ฒั นธรรมในภูมภิ าค ตวั อยาํ งท่ีสะท๎อนใหเ๎ ห็นผลจากการรักษาและการทาลายสภาพแวดลอ๎ ม และ
เสนอแนวคดิ ในการรักษาสภาพแวดลอ๎ มในภมู ิภาค
เห็นคุณคําของการนาเอาปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งมาใชใ๎ นครอบครวั โรงเรยี นและชุมชน
มคี ุณธรรม จรยิ ธรรม และคํานิยม ทเ่ี หมาะสม
-๗๖-
รหัสตัวชวี้ ัด
ส ๑.๑ ป.๕/๑ ป.๕/๒ ป.๕/๓ ป.๕/๔ ป.๕/๕ ป.๕/๖ ป.๕/๗
ส ๑.๒ ป.๕/๑ ป.๕/๒ ป.๕/๓
ส ๒.๑ ป.๕/๑ ป.๕/๒ ป.๕/๓ ป.๕/๔
ส ๒.๒ ป.๕/๑ ป.๕/๒ ป.๕/๓
ส ๓.๑ ป.๕/๑ ป.๕/๒ ป.๕/๓
ส ๓.๒ ป.๕/๑ ป.๕/๒
ส ๕.๑ ป.๕/๑ ป.๕/๒
ส ๕.๒ ป.๕/๑ ป.๕/๒ ป.๕/๓
รวมทั้งหมด ๒๗ ตัวชี้วดั
ส ๑๖๑๐๑ สังคมศึกษา ฯ -๗๗-
ช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี ๖
คาอธบิ ายรายวชิ าพืน้ ฐาน
กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศกึ ษา ศาสนาฯ
เวลา ๘๐ ชั่วโมง/ปี
ศึกษาวิเคราะห์ความสาคัญของพระพุทธ- ศาสนาในฐานะเป็นศาสนาประจาชาติ หรือความสาคัญของ
ศาสนาทตี่ นนบั ถอื พุทธประวัตติ ั้งแตปํ ลงอายุสงั ขารจนถงึ สงั เวชนียสถาน หรือประวัติศาสดาท่ีตนนับถือตามที่
กาหนด เห็นคุณคําและประพฤติตนตามแบบอยํางการดาเนินชีวิตและข๎อคิดจากประวัติสาวก ชาดก/เรื่องเลํา
และ ศาสนิกชนตัวอยํางตามท่ีกาหนด วิเคราะห์ความสาคัญและเคารพ พระรัตนตรัย ปฏิบัติตามไตรสิกขาและ
หลกั ธรรมโอวาท ๓ ในพระพทุ ธศาสนา หรอื หลกั ธรรมของศาสนาทีต่ นนบั ถอื ตามท่ีกาหนด การทาความดีของ
บุคคลในประเทศตามหลักศาสนา พร๎อมท้ังบอกแนวปฏิบัติในการดาเนินชีวิต เห็นคุณคําและสวดมนต์แผํ
เมตตา และบริหารจิตเจริญปัญญา มีสติท่ีเป็นพ้ืนฐานของสมาธิในพระพุทธศาสนา หรือการพัฒนาจิตตาม
แนวทางของศาสนา ท่ีตนนับถือ ตามท่ีกาหนด ปฏิบัติตนตามหลักธรรมของศาสนา ท่ีตนนับถือ เพ่ือ
แก๎ปัญหาอบายมุขและ สิ่งเสพติด หลักธรรมสาคัญของศาสนาอ่ืนๆ โดยสังเขป ลักษณะสาคัญของศาสนพิธี
พิธีกรรมของศาสนาอื่นๆ และปฏิบัติตนได๎อยํางเหมาะสมเมื่อต๎องเข๎ารํวมพิธี ความรู๎เก่ียวกับสถานที่ตํางๆ
ในศาสนสถาน และปฏิบัติตนได๎อยํางเหมาะสม มีมรรยาทของความเป็นศาสนิกชนที่ดี ตามท่ีกา หนด
ประโยชน์ของการเข๎ารํวมใน ศาสนพิธี พิธีกรรม และกิจกรรมในวันสาคัญทางศาสนา ตามท่ีกาหนด และ
ปฏบิ ตั ิตนไดถ๎ ูกต๎อง แสดงตนเปน็ พทุ ธมามกะ หรอื แสดงตนเปน็ ศาสนิกชนของศาสนาที่ตนนับถือ
ศึกษากฎหมายที่เก่ียวข๎องกับชีวิตประจาวันของครอบครัวและชุมชน วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลง
วฒั นธรรมตามกาลเวลาและธารงรกั ษาวัฒนธรรม อันดีงาม มารยาทไทยได๎เหมาะสมถูกกาลเทศะ คุณคําทาง
วัฒนธรรมท่ีแตกตํางกันระหวํางกลุํมคนในสังคมไทย ติดตามข๎อมูล ขําวสาร เหตุการณ์ตําง ๆ ในชีวิตประจาวัน
เลือกรับและใช๎ข๎อมูล ขําวสารในการเรียนรู๎ได๎เหมาะสม บทบาท หน๎าที่ขององค์กรปกครองสํวนท๎องถิ่นและ
รัฐบาล กจิ กรรมตาํ งๆ ท่สี ํงเสรมิ ประชาธปิ ไตยในท๎องถ่ินและประเทศ บทบาท ความสาคัญในการใช๎สิทธิออก
เสยี งเลอื กต้งั ตามระบอบประชาธปิ ไตย
ศึกษาบทบาทของผ๎ูผลิตที่มีความรับผิดชอบ บทบาทของผ๎ูบริโภคท่ีร๎ูเทําทัน ประโยชน์ของการใช๎
ทรัพยากรอยาํ งยงั่ ยืน ความสัมพันธ์ระหวํางผู๎ผลิต ผู๎บริโภค ธนาคาร และรัฐบาล การรวมกลุํมทางเศรษฐกิจ
ภายในท๎องถิ่น
ศึกษาองค์ประกอบที่สาคัญ ๓ ประการ คอื ความสามารถทางภมู ิศาสตร์ กระบวนการทาง
ภูมศิ าสตร์ และทักษะทางภมู ิศาสตร์ เครื่องมอื ทางภูมิศาสตร์ (แผนที่ ภาพถํายชนิดตําง ๆ) ระบุลักษณะ
สาคญั ทางกายภาพและสงั คมของประเทศ ความสมั พันธ์ระหวํางลักษณะทางกายภาพ กบั ปรากฏการณท์ าง
ธรรมชาติของประเทศ ความสมั พนั ธ์ระหวํางส่ิงแวดลอ๎ มทางธรรมชาติ กบั สิ่งแวดล๎อมทางสงั คมในประเทศ
การแปลงสภาพธรรมชาตใิ นประเทศไทยจากอดีตถงึ ปจั จบุ นั และผลทเี่ กดิ ขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงนน้ั แผนการ
ใช๎ทรัพยากรในชมุ ชน
เห็นคุณคําของวัฒนธรรม อันดงี าม มารยาทไทยไดเ๎ หมาะสมถูกกาลเทศะ การปกครองระบอบ
ประชาธิปไตยในท๎องถน่ิ และในประเทศ มคี ุณธรรม จริยธรรม และคาํ นิยม ท่ีเหมาะสม
-๗๘-
รหัสตัวชว้ี ดั
ส ๑.๑ ป.๖/๑ ป.๖/๒ ป.๖/๓ ป.๖/๔ ป.๖/๕ ป.๖/๖ ป.๖/๗ ป.๖/๘ ป.๖/๙
ส ๑.๒ ป.๖/๑ ป.๖/๒ ป.๖/๓ ป.๖/๔
ส ๒.๑ ป.๖/๑ ป.๖/๒ ป.๖/๓ ป.๖/๔ ป.๖/๕
ส ๒.๒ ป.๖/๑ ป.๖/๒ ป.๖/๓
ส ๓.๑ ป.๖/๑ ป.๖/๒ ป.๖/๓
ส ๓.๒ ป.๖/๑ ป.๖/๒
ส ๕.๑ ป.๖/๑ ป.๖/๒
ส ๕.๒ ป.๖/๑ ป.๖/๒ ป.๖/๓
รวมทั้งหมด ๓๑ ตวั ชี้วดั
-๗๙-
คาอธบิ ายรายวิชาเพิ่มเตมิ หน้าทพี่ ลเมอื ง
ส ๑๑๒๓๑ หนา้ ท่ีพลเมอื ง ๑ กลุ่มสาระการเรยี นรูส้ ังคมศกึ ษา ศาสนาฯ
ช้นั ประถมศึกษาปีที่ ๑ เวลา ๔๐ ชัว่ โมงต่อปี
ปฏบิ ัตติ นเปน็ ผูม๎ มี ารยาทไทย ในเร่ืองการแสดงความเคารพ การรบั ประทานอาหาร การทกั ทายดว๎ ย
วาจาและย้ิม แสดงออกถงึ ความกตัญญกู ตเวทีตํอพํอแมํและญาติผ๎ใู หญํ เหน็ ความสาคญั ของภาษาไทย ปฏิบตั ิ
ตนเป็นผม๎ู วี นิ ยั ในตนเอง ในเรือ่ งความซอ่ื สตั ย์สจุ ริต ขยนั หมน่ั เพียร อดทน ใฝุหาความร๎ู ตั้งใจปฏิบัติหน๎าที่ และ
ยอมรบั ผลที่เกิดจากการกระทาของตนเอง
เขา๎ รวํ มกิจกรรมเกย่ี วกับชาติ ศาสนา และสถาบนั พระมหากษัตรยิ ์ ปฏบิ ตั ิตนตามพระบรมราโชวาท
ในเร่อื งการออมและการประหยัด หลกั การทรงงาน ในเรอ่ื งการประหยัด ความเรียบงาํ ย ไดป๎ ระโยชนส์ งู สุด
ความซอ่ื สัตยส์ ุจรติ และจริงใจตํอกนั และหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง ปฏบิ ัตติ นเปน็ ผู๎มีวนิ ยั ในตนเอง ใน
เรื่องความซอื่ สตั ยส์ จุ ริต ขยันหม่ันเพยี ร อดทน ใฝุหาความรู๎ ตงั้ ใจปฏบิ ตั ิหนา๎ ที่ และยอมรับผลทีเ่ กดิ จากการ
กระทาของตนเอง
ปฏบิ ตั ติ นตามข๎อตกลง กตกิ า และหนา๎ ท่ีท่ตี ๎องปฏบิ ตั ใิ นหอ๎ งเรยี น ในเร่ืองการรักษาความสะอาด
การรกั ษาของใชร๎ วํ มกัน และการสํงงาน ปฏิบตั ิตนตามบทบาทหน๎าที่ในฐานะสมาชกิ ที่ดีของครอบครัวและ
หอ๎ งเรยี นในเรื่องการเช่ือฟังคาสั่งสอนของพํอแมํ ญาติผูใ๎ หญํและครู ปฏิบตั ิตนเปน็ ผูม๎ วี นิ ัยในตนเอง ในเร่ือง
ความซอื่ สัตย์สจุ รติ ขยันหม่นั เพียร อดทน ใฝหุ าความรู๎ ตงั้ ใจปฏบิ ัตหิ น๎าท่ี และยอมรับผลทเี่ กิดจากการกระทา
ของตนเอง
ยอมรับความเหมือนและความแตกตํางของตนเองและผ๎ูอ่ืน ในเรื่องเชื้อชาติ ภาษา เพศ สุขภาพความ
พกิ าร ความสามารถ ถ่ินกาเนิด ฯลฯ ยกตัวอยาํ งความขัดแยง๎ ในหอ๎ งเรยี น ในกรณีความคดิ เหน็ ไมํตรงกนั การ
ละเมดิ สทิ ธขิ องผอู๎ นื่ และเสนอวธิ ีการแกป๎ ัญหาโดยสันตวิ ิธี ปฏบิ ัติตนเปน็ ผู๎มีวินยั ในตนเอง ในเรอื่ งความซ่อื สัตย์
สจุ รติ อดทน และยอมรบั ผลท่เี กิดจากการกระทาของตนเอง
โดยใช๎กระบวนการคดิ กระบวนการกลมุํ กระบวนการปฏิบตั ิ กระบวนการเผชญิ สถานการณ์ และ
กระบวนการแก๎ปญั หา
เพอ่ื ให๎ผเู๎ รียนมลี กั ษณะท่ดี ีของคนไทย ภาคภมู ิใจและรักษาไว๎ซึง่ ความเป็นไทย แสดงออกถึงความ
รกั ชาตยิ ึดมนั่ ในศาสนา เทดิ ทูนสถาบนั พระมหากษตั ริย์ ดาเนินชวี ิตตามวถิ ีประชาธปิ ไตย อยรูํ ํวมกบั ผ๎อู นื่ อยาํ ง
สนั ตสิ ามารถจัดการความขัดแยง๎ ด๎วยสนั ตวิ ิธี และมวี ินัยในตนเอง
ผลการเรยี นรู้
๑. ปฏิบตั ิตนเปน็ ผ๎ูมีมารยาทไทย
๒. แสดงออกถึงความกตญั ญกู ตเวทีตํอบุคคลในครอบครวั
๓. เห็นความสาคัญของภาษาไทย
๔. เข๎ารํวมกจิ กรรมเกย่ี วกับชาติ ศาสนา และสถาบนั พระมหากษตั ริย์
๕. ปฏิบัตติ นตามพระบรมราโชวาท หลกั การทรงงาน และหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง
๖. ปฏิบตั ติ นตามข๎อตกลง กติกา และหน๎าทีท่ ่ีต๎องปฏบิ ัตใิ นห๎องเรยี น
๗. ปฏบิ ัตติ นตามบทบาทหนา๎ ที่ในฐานะสมาชิกท่ีดีของครอบครัวและห๎องเรียน
๘. ยอมรบั ความเหมอื นและความแตกตาํ งของตนเองและผอ๎ู ื่น
๙. ยกตัวอยํางความขัดแยง๎ ในห๎องเรียนและเสนอวธิ ีการแก๎ปญั หาโดยสันตวิ ิธี
๑๐. ปฏบิ ตั ิตนเปน็ ผ๎มู วี นิ ัยในตนเอง
รวมทั้งหมด ๑๐ ผลการเรียนรู้
-๘๐-
คาอธบิ ายรายวิชาเพิ่มเตมิ หนา้ ทพ่ี ลเมือง
ส ๑๒๒๓๒ หน้าทพี่ ลเมอื ง ๒ กลุ่มสาระการเรียนร้สู ังคมศกึ ษา ศาสนาฯ
ช้ันประถมศึกษาปที ี่ ๒ เวลา ๔๐ ชัว่ โมงตอ่ ปี
ปฏบิ ัติตนเปน็ ผู๎มีมารยาทไทย ในเรื่องการพูดด๎วยถ๎อยคาไพเราะและการมีกริ ิยาสภุ าพอํอนน๎อม
แสดงออกถึงความกตญั ญูกตเวทตี ํอบุคคลในโรงเรยี น เห็นประโยชน์ของการแตงํ กายด๎วยผา๎ ไทย ปฏิบัติตนเป็น
ผม๎ู ีวินัยในตนเอง ในเร่ืองความซือ่ สัตย์สจุ ริต ขยันหม่ันเพียร อดทน ใฝหุ าความรู๎ ตงั้ ใจปฏิบตั ิหนา๎ ท่ี และ
ยอมรับผลท่เี กิดจากการกระทาของตนเอง
เข๎ารวํ มกิจกรรมเก่ยี วกับชาติ ศาสนา และสถาบนั พระมหากษัตรยิ ์ ปฏบิ ตั ิตนตามพระบรมราโชวาท
ในเรือ่ งความขยันและความอดทน หลกั การทรงงาน ในเรื่องการพึ่งตนเองและร๎ู รกั สามัคคี และหลักปรัชญา
ของเศรษฐกิจพอเพยี ง ปฏบิ ตั ิตนเปน็ ผมู๎ ีวินัยในตนเอง ในเรื่องความซ่ือสัตย์สุจรติ ขยันหมั่นเพยี ร อดทน ใฝหุ า
ความร๎ู ต้งั ใจปฏบิ ตั ิหนา๎ ที่ และยอมรบั ผลทีเ่ กิดจากการกระทาของตนเอง
ปฏบิ ตั ติ นตามกฎ ระเบียบ และหน๎าทท่ี ่ีตอ๎ งปฏบิ ตั ิในโรงเรยี น ในเร่ืองการแตงํ กาย การเขา๎ แถว การ
ดูแลพนื้ ท่ที ่ีไดร๎ ับมอบหมาย ปฏิบตั ติ นตามบทบาทหน๎าทใ่ี นฐานะสมาชกิ ท่ดี ีของหอ๎ งเรยี นและโรงเรียน ในเร่อื ง
การเปน็ ผน๎ู าและการเปน็ สมาชกิ ทีด่ ี หนา๎ ท่ีและความรับผิดชอบ ปฏบิ ตั ติ นเปน็ ผู๎มวี นิ ัยในตนเอง ในเร่ืองความ
ซื่อสตั ย์สจุ รติ ขยันหมนั่ เพียร อดทน ใฝหุ าความรู๎ ต้ังใจปฏิบตั ิหนา๎ ที่ และยอมรบั ผลที่เกิดจากการกระทาของ
ตนเอง
ยอมรับความเหมอื นและความแตกตาํ งของตนเองและผ๎อู น่ื ในเร่ืองเช้ือชาติ ภาษา เพศ สขุ ภาพ
ความพิการ ความสามารถ ถ่ินกาเนดิ ฯลฯ ยกตัวอยํางความขดั แย๎งในโรงเรียน ในกรณีหน๎าทีแ่ ละความ
รับผดิ ชอบและการใช๎ของสวํ นรวม และเสนอวธิ กี ารแก๎ปญั หาโดยสนั ตวิ ิธี ปฏบิ ัตติ นเปน็ ผมู๎ วี ินยั ในตนเอง ใน
เรอ่ื งความซอื่ สตั ย์สจุ ริต อดทน และยอมรับผลท่เี กิดจากการกระทาของตนเอง
โดยใชก๎ ระบวนการคิด กระบวนการกลมํุ กระบวนการปฏบิ ตั ิ กระบวนการเผชิญสถานการณ์ และ
กระบวนการแกป๎ ญั หา
เพอ่ื ใหผ๎ เู๎ รียนมลี กั ษณะทีด่ ีของคนไทย ภาคภมู ิใจและรกั ษาไวซ๎ ่งึ ความเปน็ ไทย แสดงออกถึงความรัก
ชาตยิ ึดมั่นในศาสนา เทิดทูนสถาบันพระมหากษตั ริย์ ดาเนินชีวิตตามวถิ ีประชาธปิ ไตย อยํรู ํวมกับผ๎ูอ่ืนอยําง
สันติสามารถจดั การความขดั แยง๎ ดว๎ ยสนั ตวิ ธิ ี และมีวินัยในตนเอง
ผลการเรยี นรู้
๑. ปฏบิ ัตติ นเปน็ ผูม๎ มี ารยาทไทย
๒. แสดงออกถงึ ความกตญั ญูกตเวทตี ํอบคุ คลในโรงเรยี น
๓. เห็นประโยชน์ของการแตํงกายดว๎ ยผ๎าไทย
๔. เข๎ารํวมกจิ กรรมเกยี่ วกับชาติ ศาสนา และสถาบนั พระมหากษัตริย์
๕. ปฏิบัตติ นตามพระบรมราโชวาท หลักการทรงงาน และหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง
๖. ปฏบิ ัติตนตามกฎ ระเบยี บ และหนา๎ ที่ที่ต๎องปฏบิ ัตใิ นโรงเรียน
๗. ปฏบิ ตั ิตนตามบทบาทหน๎าทใ่ี นฐานะสมาชิกที่ดีของห๎องเรยี นและโรงเรยี น
๘. ยอมรับความเหมือนและความแตกตาํ งของตนเองและผู๎อ่นื
๙. ยกตัวอยํางความขดั แยง๎ ในโรงเรยี นและเสนอวิธกี ารแก๎ปญั หาโดยสันตวิ ิธี
๑๐. ปฏิบตั ิตนเป็นผ๎ูมีวินัยในตนเอง
รวมทั้งหมด ๑๐ ผลการเรยี นรู้
-๘๑-
คาอธิบายรายวิชาเพ่ิมเติมหน้าท่ีพลเมือง
ส ๑๓๒๓๓ หน้าที่พลเมอื ง ๓ กลุ่มสาระการเรียนรสู้ ังคมศกึ ษา ศาสนาฯ
ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ ๓ เวลา ๔๐ ชั่วโมงต่อปี
ปฏบิ ตั ติ นเป็นผู๎มมี ารยาทไทย ในเรื่องการต๎อนรับผม๎ู าเยือน และการปฏิบัตติ นตามกาลเทศะ
แสดงออกถึงความกตัญญูกตเวทตี อํ บคุ คลในชมุ ชน เห็นคณุ คําของภมู ปิ ญั ญาทอ๎ งถนิ่ ในเร่ืองตาํ ง ๆ ปฏบิ ตั ติ น
เป็นผมู๎ ีวนิ ยั ในตนเอง ในเร่ืองความซอื่ สัตยส์ ุจรติ ขยันหมั่นเพียร อดทน และยอมรับผลทีเ่ กดิ จากการกระทา
ของตนเอง
เข๎ารํวมกจิ กรรมเกยี่ วกบั ชาติ ศาสนา และสถาบนั พระมหากษัตรยิ ์ ปฏิบัติตนตามพระบรมราโชวาท
ในเรื่องความซอ่ื สัตย์และความเสยี สละ หลกั การทรงงาน ในเรอื่ งการมสี ํวนรํวมและความเพียร และหลัก
ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง ปฏิบัตติ นเปน็ ผ๎มู วี นิ ัยในตนเอง ในเร่อื งความซ่ือสตั ย์สจุ ริต ขยันหมน่ั เพียร
อดทน ใฝหุ าความร๎ูตัง้ ใจปฏบิ ัตหิ นา๎ ท่ี และยอมรบั ผลที่เกิดจากการกระทาของตนเอง
ปฏบิ ตั ิตนตามข๎อตกลง กตกิ า กฎ ระเบียบ และหน๎าที่ท่ตี ๎องปฏบิ ตั ใิ นห๎องเรยี นและโรงเรียน ในเร่ือง
การใช๎และการดแู ลรักษาสิ่งของ เครื่องใช๎และสถานท่ีของสํวนรวม ปฏิบัตติ นตามบทบาทหนา๎ ทีใ่ นฐานะสมาชิก
ที่ดขี องห๎องเรียนและโรงเรียน ในเรื่องการใช๎สทิ ธแิ ละหนา๎ ที่ และการใช๎เสรภี าพอยาํ งรับผิดชอบ มสี วํ นรํวมใน
กจิ กรรมตําง ๆ ของหอ๎ งเรยี นและโรงเรียน ปฏิบัติตนเปน็ ผูม๎ ีวนิ ัยในตนเอง ในเร่ืองความซื่อสัตยส์ จุ รติ
ขยนั หมนั่ เพยี ร อดทนใฝหุ าความรู๎ ตัง้ ใจปฏบิ ัติหนา๎ ที่ และยอมรับผลทเี่ กิดจากการกระทาของตนเอง
ยอมรับความเหมือนและความแตกตํางระหวํางบุคคล ในเร่ืองเชอื้ ชาติ ภาษา เพศ สขุ ภาพ ความ
พกิ าร
ความสามารถ ถิ่นกาเนดิ สถานะของบคุ คล ฯลฯ อยํรู วํ มกับผ๎ูอน่ื อยาํ งสนั ติและพึ่งพาซ่งึ กันและกัน ดว๎ ยการไมํ
รงั แกไมทํ ารา๎ ย ไมลํ อ๎ เลยี น ชํวยเหลือซ่ึงกนั และกัน และแบํงปนั ยกตวั อยาํ งความขัดแยง๎ ในชุมชน ในกรณีการ
ใช๎สาธารณสมบัติและการรักษาส่ิงแวดล๎อม และเสนอวิธีการปัญหาโดยสันตวิ ิธี ปฏบิ ตั ติ นเป็นผม๎ู วี นิ ยั ในตนเอง
ในเรือ่ งความซอ่ื สัตยส์ จุ ริต อดทน และยอมรับผลทีเ่ กิดจากการกระทาของตนเอง
โดยใชก๎ ระบวนการคิด กระบวนการกลมํุ กระบวนการปฏบิ ตั ิ กระบวนการเผชิญสถานการณ์ และ
กระบวนการแกป๎ ญั หา
เพื่อใหผ๎ ูเ๎ รยี นมีลกั ษณะทีด่ ีของคนไทย ภาคภูมิใจและรักษาไวซ๎ ึ่งความเป็นไทย แสดงออกถึงความรัก
ชาตยิ ดึ มน่ั ในศาสนา เทิดทนู สถาบันพระมหากษัตริย์ ดาเนินชีวิตตามวถิ ปี ระชาธิปไตย อยํูรวํ มกับผู๎อ่ืนอยาํ ง
สนั ติสามารถจดั การความขัดแยง๎ ด๎วยสันติวธิ ี และมีวนิ ัยในตนเอง
ผลการเรยี นรู้
๑. ปฏบิ ตั ติ นเปน็ ผู๎มีมารยาทไทย
๒. แสดงออกถึงความกตญั ญูกตเวทตี ํอบุคคลในชุมชน
๓. เหน็ คณุ คําของภูมปิ ัญญาท๎องถิ่น
๔. เข๎ารํวมกิจกรรมเกี่ยวกับชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตรยิ ์
๕. ปฏิบตั ิตนตามพระบรมราโชวาท หลกั การทรงงาน และหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
๖. ปฏิบตั ิตนตามข๎อตกลง กติกา กฎ ระเบียบ และหนา๎ ท่ที ่ีต๎องปฏบิ ัติในหอ๎ งเรียนและโรงเรยี น
๗. ปฏิบตั ติ นตามบทบาทหน๎าทีแ่ ละมสี ํวนรํวมในกิจกรรมตาํ ง ๆ ของห๎องเรยี นและโรงเรียน
๘. ยอมรับและอยรูํ วํ มกับผูอ๎ ่นื อยาํ งสนั ติ
๙. ยกตวั อยํางความขดั แยง๎ ในชมุ ชนและเสนอวธิ กี ารแกป๎ ัญหาโดยสนั ติวธิ ี
๑๐. ปฏิบตั ิตนเป็นผม๎ู ีวินัยในตนเอง
รวมท้ังหมด ๑๐ ผลการเรยี นรู้
-๘๒-
คาอธิบายรายวิชาเพิ่มเตมิ หนา้ ท่ีพลเมือง
ส ๑๔๒๓๔ หน้าทพี่ ลเมอื ง ๔ กลุ่มสาระการเรียนรสู้ ังคมศึกษา ศาสนาฯ
ช้ันประถมศึกษาปีท่ี ๔ เวลา ๔๐ ชั่วโมงต่อปี
เหน็ คณุ คําและปฏบิ ัตติ นเป็นผมู๎ มี ารยาทไทยในพิธีการตาํ ง ๆ ในเรอ่ื งการกลําวคาต๎อนรับ การแนะนา
ตวั เองและแนะนาสถานที่ แสดงออกถึงความกตัญญูกตเวทีตํอผท๎ู าประโยชน์ในสงั คม มสี ํวนรํวมใน
ขนบธรรมเนยี มประเพณีไทยในทอ๎ งถน่ิ ปฏบิ ตั ติ นเปน็ ผม๎ู วี นิ ยั ในตนเอง ในเร่ืองความซื่อสตั ย์สุจริต อดทน และ
ยอมรบั ผลทีเ่ กิดจากการกระทาของตนเอง
เห็นความสาคัญและแสดงออกถึงความรักชาติ ยดึ มนั่ ในศาสนา และเทดิ ทนู สถาบนั พระมหากษัตรยิ ์
ในเรอื่ งการใชส๎ นิ คา๎ ไทย ดูแลรกั ษาโบราณสถาน โบราณวัตถุและสาธารณสมบัติ ปฏบิ ัติตนเปน็ ศาสนกิ ชนที่ดี
ปฏบิ ัติตนตามพระราชจรยิ วตั รและพระจริยวัตร ปฏิบตั ิตนตามพระบรมราโชวาท ในเร่อื งการมีวนิ ัยและการขํม
ใจ หลกั การทรงงาน ในเร่ืองประโยชนส์ ํวนรวมและพออยูพํ อกนิ และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ปฏบิ ตั ิ
ตนเป็นผ๎ูมวี นิ ยั ในตนเอง ในเรื่องความซ่อื สัตย์สุจริต ขยันหมนั่ เพยี ร อดทน ใฝุหาความรู๎ ตัง้ ใจปฏบิ ตั หิ นา๎ ที่ และ
ยอมรบั ผลท่เี กิดจากการกระทาของตนเอง
มสี วํ นรวํ มในการสร๎างและปฏิบัตติ ามขอ๎ ตกลง กติกาของหอ๎ งเรียน ในเรือ่ งการรักษาความสะอาด
การรักษาของใชร๎ วํ มกนั และการสํงงาน โดยใชก๎ ระบวนการมีสวํ นรํวมในการสรา๎ งข๎อตกลง กตกิ าดว๎ ยหลัก
เหตผุ ลและยดึ ถือประโยชน์สํวนรวม ปฏิบัติตนตามบทบาทหนา๎ ทขี่ องการเปน็ สมาชิกท่ีดีของครอบครัวและ
หอ๎ งเรียน ในเรื่องการเปน็ ผ๎ูนาและการเป็นสมาชิกทดี่ ี การมีเหตุผล ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู๎อนื่ และการ
ปฏิบัติตามเสยี งข๎างมากและยอมรับเสียงข๎างนอ๎ ย มีสวํ นรํวมและรบั ผดิ ชอบในการตดั สินใจในกิจกรรมของ
ครอบครวั และหอ๎ งเรยี น ปฏิบตั ิตนเปน็ ผมู๎ ีวินัยในตนเอง ในเร่ืองความซื่อสัตย์สุจรติ ขยันหม่ันเพยี ร อดทน
ใฝหุ าความรู๎ ต้ังใจปฏบิ ัตหิ นา๎ ท่ี และยอมรบั ผลทเ่ี กิดจากการกระทาของตนเอง
ยอมรับความเหมือนและความแตกตํางระหวาํ งบุคคล ในเรอ่ื งเช้อื ชาติ ภาษา เพศ สขุ ภาพ ความ
พิการ
ความสามารถ ถิ่นกาเนิด สถานะของบุคคล ฯลฯ อยํูรํวมกับผู๎อื่นอยํางสนั ติและพึง่ พาซงึ่ กันและกัน ในเร่ือง
การไมํรังแก ไมทํ าร๎าย ไมํล๎อเลยี น ชํวยเหลือซ่งึ กนั และกันและแบํงปัน วเิ คราะห์ปัญหาความขัดแย๎งในท๎องถ่นิ
ในกรณีการใชส๎ าธารณสมบัติและการรักษาสิ่งแวดล๎อม และเสนอแนวทางการแก๎ปญั หาโดยสนั ติวธิ ี ปฏิบตั ิตน
เป็นผู๎มีวินยั ในตนเอง ในเรื่องความซอ่ื สตั ย์สุจรติ อดทน และยอมรบั ผลท่ีเกดิ จากการกระทาของตนเอง
โดยใชก๎ ระบวนการคิด กระบวนการกลุํม กระบวนการปฏบิ ัติ กระบวนการเผชญิ สถานการณ์ และ
กระบวนการแกป๎ ัญหา
เพ่อื ใหผ๎ เ๎ู รียนมีลกั ษณะทีด่ ีของคนไทย ภาคภูมิใจและรกั ษาไวซ๎ ึ่งความเป็นไทย แสดงออกถึงความรัก
ชาติยดึ ม่นั ในศาสนา เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตรยิ ์ ดาเนินชวี ติ ตามวถิ ปี ระชาธิปไตย อยรํู ํวมกับผอ๎ู น่ื อยาํ ง
สันติ สามารถจัดการความขดั แยง๎ ด๎วยสนั ตวิ ิธี และมีวนิ ัยในตนเอง
ผลการเรยี นรู้
๑. เห็นคุณคําและปฏบิ ัตติ นเปน็ ผูม๎ ีมารยาทไทย
๒. แสดงออกถึงความกตัญญูกตเวทีตํอผทู๎ าประโยชน์ในสงั คม
๓. มีสวํ นรวํ มในขนบธรรมเนยี มประเพณีไทย
๔. เหน็ ความสาคญั และแสดงออกถงึ ความรักชาติ ยดึ มั่นในศาสนา และเทิดทูนสถาบนั
พระมหากษัตรยิ ์
๕. ปฏิบัติตนตามพระบรมราโชวาท หลักการทรงงาน และหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
๖. มีสํวนรํวมในการสร๎างและปฏิบตั ติ ามข๎อตกลง กตกิ าของห๎องเรยี น
-๘๓-
๗. ปฏบิ ัตติ นตามบทบาทหน๎าที่ มีสวํ นรํวมและรับผิดชอบในการตัดสนิ ใจในกิจกรรมของครอบครวั
และห๎องเรยี น
๘. ยอมรบั และอยรํู ํวมกบั ผ๎ูอน่ื อยาํ งสนั ติ และพ่งึ พาซึ่งกันและกัน
๙. วิเคราะห์ปญั หาความขดั แยง๎ ในท๎องถน่ิ และเสนอแนวทางการแก๎ปัญหาโดยสันติวธิ ี
๑๐. ปฏบิ ตั ิตนเป็นผ๎ูมีวนิ ยั ในตนเอง
รวมทั้งหมด ๑๐ ผลการเรียนรู้
-๘๔-
คาอธบิ ายรายวชิ าเพ่ิมเตมิ หนา้ ท่พี ลเมือง
ส ๑๕๒๓๕ หน้าทพ่ี ลเมอื ง ๕ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศกึ ษา ศาสนาฯ
ชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ ๕ เวลา ๔๐ ช่วั โมงต่อปี
เหน็ คุณคําและปฏิบตั ติ นเป็นผ๎ูมมี ารยาทไทยในการสนทนา การปฏบิ ตั ิตนตามกาลเทศะ และการ
ต๎อนรับผม๎ู าเยือนรูค๎ ุณคาํ ใช๎อยาํ งประหยดั ค๎ุมคําและบารุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล๎อม มสี ํวน
รวํ มในศลิ ปวัฒนธรรมไทยปฏิบตั ิตนเปน็ ผ๎ูมีวินยั ในตนเอง ในเรอื่ งความซื่อสตั ยส์ ุจริต ต้ังใจปฏิบัติหนา๎ ที่ และ
ยอมรบั ผลทเ่ี กิดจากการกระทาของตนเอง
เหน็ คุณคาํ และแสดงออกถงึ ความรักชาติ ยดึ ม่นั ในศาสนา และเทิดทนู สถาบนั พระมหากษัตริย์ ดว๎ ย
การใช๎สนิ คา๎ ไทย ดูแลรักษาโบราณสถาน โบราณวัตถุและสาธารณสมบตั ิ ปฏิบตั ิตนเปน็ ศาสนกิ ชนที่ดี ปฏบิ ัติ
ตนตามพระราชจริยวตั รและพระจรยิ วัตร ปฏบิ ตั ิตนตามพระบรมราโชวาท ในเรือ่ งความเอ้ือเฟ้ือเผื่อแผํและ
ความสามคั คีหลกั การทรงงาน ในเรอ่ื งการทาตามลาดบั ขนั้ และทางานอยํางมคี วามสขุ และหลกั ปรชั ญาของ
เศรษฐกจิ พอเพยี งปฏบิ ัตติ นเปน็ ผมู๎ วี ินัยในตนเอง ในเร่ืองความซือ่ สัตยส์ ุจริต ขยนั หม่นั เพียร อดทน ใฝหุ า
ความรู๎ ต้ังใจปฏิบัตหิ น๎าท่ีและยอมรบั ผลทเ่ี กิดจากการกระทาของตนเอง
มสี ํวนรวํ มในการสรา๎ งและปฏบิ ัตติ นตามกฎ ระเบียบของโรงเรยี น ในการรักษาความสะอาด การ
รักษาของใช๎รํวมกันและการดูแลพ้ืนทีท่ ่ีไดร๎ ับมอบหมาย โดยใชก๎ ระบวนการมีสวํ นรํวมในการสร๎างกฎ ระเบียบ
ดว๎ ยหลกั เหตุผลและยดึ ถือประโยชน์สวํ นรวม ปฏบิ ตั ิตนตามบทบาทหนา๎ ที่ของการเปน็ สมาชิกที่ดีของห๎องเรียน
และโรงเรยี น ในเรื่องการยึดถือหลกั ความจรงิ ความดีงาม ความถกู ต๎องและหลกั เหตุผล การยดึ ถือประโยชน์
ของสํวนรวมเปน็ สาคญั การยึดหลกั ความเสมอภาคและความยุตธิ รรม มีสวํ นรวํ มและรับผดิ ชอบในการตัดสินใจ
ในกจิ กรรมของหอ๎ งเรยี นและโรงเรยี น ปฏบิ ัตติ นเป็นผ๎ูมีวนิ ยั ในตนเอง ในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต
ขยันหมน่ั เพียรอดทน ใฝุหาความรู๎ ต้งั ใจปฏบิ ตั ิหนา๎ ที่ และยอมรบั ผลทเี่ กิดจากการกระทาของตนเอง
ยอมรบั ความหลากหลายทางสังคมวฒั นธรรมในท๎องถนิ่ ในเร่ืองวถิ ีชวี ิต วัฒนธรรม ศาสนาและ
สง่ิ แวดลอ๎ มอยรูํ ํวมกบั ผอู๎ นื่ อยํางสันตแิ ละพ่ึงพากัน ดว๎ ยการเคารพซ่ึงกันและกัน ไมํแสดงกริ ยิ า วาจาดูหมนิ่ ผู๎อนื่
ชํวยเหลือซึ่งกนั และกัน และแบงํ ปนั วิเคราะห์ปัญหาความขัดแย๎งในภูมิภาคของตนเอง ในเรอื่ งการจัดการ
ทรพั ยากร และการขดั แยง๎ ทางความคดิ และเสนอแนวทางการแก๎ปัญหาโดยสนั ติวิธี ปฏบิ ตั ติ นเป็นผู๎มวี นิ ยั ใน
ตนเอง ในเร่ืองความซอื่ สัตยส์ ุจริต ความอดทน และยอมรับผลทเ่ี กิดจากการกระทาของตนเอง
โดยใชก๎ ระบวนการคิด กระบวนการกลมุํ กระบวนการปฏิบตั ิ กระบวนการเผชญิ สถานการณ์ และ
กระบวนการแก๎ปัญหา
เพื่อใหผ๎ ู๎เรยี นมลี ักษณะท่ดี ีของคนไทย ภาคภมู ิใจและรักษาไว๎ซง่ึ ความเป็นไทย แสดงออกถึงความรัก
ชาตยิ ึดม่ันในศาสนา เทิดทูนสถาบนั พระมหากษัตรยิ ์ ดาเนินชีวิตตามวถิ ีประชาธิปไตย อยรูํ ํวมกับผ๎ูอ่นื อยําง
สนั ติ สามารถจัดการความขัดแย๎งด๎วยสนั ตวิ ธิ ี และมวี นิ ัยในตนเอง
ผลการเรียนรู้
๑. เหน็ คณุ คําและปฏิบัตติ นเปน็ ผม๎ู มี ารยาทไทย
๒. รค๎ู ณุ คาํ และบารุงรกั ษาทรัพยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดลอ๎ ม
๓. มีสํวนรวํ มในศิลปวัฒนธรรมไทย
๔. เหน็ คุณคาํ และแสดงออกถงึ ความรักชาติ ยึดม่ันในศาสนา และเทิดทนู สถาบันพระมหากษัตริย์
๕. ปฏบิ ัตติ นตามพระบรมราโชวาท หลักการทรงงาน และหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
๖. มีสวํ นรวํ มในการสรา๎ งและปฏบิ ัตติ ามกฎ ระเบยี บของโรงเรยี น
-๘๕-
๗. ปฏบิ ัตติ นตามบทบาทหน๎าท่ี มีสวํ นรํวมและรับผดิ ชอบในการตัดสินใจในกจิ กรรมของห๎องเรยี น
และโรงเรยี น
๘. ยอมรับความหลากหลายทางสังคม วัฒนธรรมในทอ๎ งถิ่น และอยํูรวํ มกับผ๎ูอื่นอยํางสนั ติ และพ่งึ พา
ซ่ึงกันและกนั
๙. วิเคราะห์ปัญหาความขดั แย๎งในภมู ิภาคของตนเองและเสนอแนวทางการแกป๎ ัญหาโดยสนั ตวิ ธิ ี
๑๐. ปฏิบตั ิตนเป็นผม๎ู วี นิ ยั ในตนเอง
รวมท้ังหมด ๑๐ ผลการเรยี นรู้
-๘๖-
คาอธิบายรายวชิ าเพ่ิมเตมิ หน้าที่พลเมอื ง
ส ๑๖๒๓๖ หนา้ ทพ่ี ลเมือง ๖ กลุ่มสาระการเรียนรูส้ ังคมศึกษา ศาสนาฯ
ช้ันประถมศึกษาปที ่ี ๖ เวลา ๔๐ ชวั่ โมงต่อปี
ปฏบิ ัตติ นและชกั ชวนผู๎อ่ืนใหม๎ มี ารยาทไทย ในเรือ่ งการแสดงความเคารพ การสนทนา การปฏิบัติตน
ตามกาลเทศะ และการต๎อนรับผู๎มาเยือน มสี วํ นรํวมและชักชวนผ๎ูอน่ื ใหอ๎ นรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละ
สงิ่ แวดล๎อมมสี ํวนรํวมในขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปวฒั นธรรม และภมู ปิ ัญญาไทย ปฏิบัติตนเปน็ ผู๎มวี ินัยใน
ตนเอง ในเร่ืองความซื่อสตั ยส์ ุจรติ ต้ังใจปฏิบัตหิ น๎าที่ และยอมรับผลทเี่ กิดจากการกระทาของตนเอง
เหน็ คณุ คาํ และแนะนาผ๎ูอน่ื ใหแ๎ สดงออกถงึ ความรักชาติ ยึดมน่ั ในศาสนา และเทดิ ทนู สถาบนั
พระมหากษัตริย์ดว๎ ยการใช๎สินค๎าไทย ดูแลรกั ษาโบราณสถาน โบราณวตั ถุและสาธารณสมบตั ิ ปฏิบัตติ นเป็นศา
สนิกชนท่ีดี ปฏบิ ตั ิตนตามพระราชจรยิ วัตรและพระจริยวัตร ปฏบิ ัตติ นตามพระบรมราโชวาท ในเร่อื งความใฝรุ ู๎
ความกตญั ญู หลกั การทรงงานในเร่อื งองค์รวมและทาใหง๎ ําย และหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง ปฏบิ ัตติ น
เป็นผู๎มีวนิ ัยในตนเอง ในเร่ืองความซ่อื สัตยส์ ุจรติ ขยันหมน่ั เพียร อดทน ใฝุหาความร๎ู ต้งั ใจปฏิบตั หิ นา๎ ท่ี และ
ยอมรับผลที่เกิดจากการกระทาของตนเอง
ปฏบิ ตั ิตนและแนะนาผอู๎ น่ื ให๎ปฏิบตั ิตามขอ๎ ตกลง กตกิ า กฎ ระเบียบของหอ๎ งเรียนและโรงเรยี น ใน
การใชแ๎ ละดูแลรกั ษาส่ิงของ เครือ่ งใช๎ วสั ดุอุปกรณ์ และสถานที่ของสวํ นรวม เห็นคณุ คาํ และปฏิบตั ิตนตาม
บทบาทหน๎าท่ีของการเป็นสมาชกิ ทด่ี ีของหอ๎ งเรียนและโรงเรยี น ดว๎ ยการเปน็ ผ๎ูนาและการเป็นสมาชิกท่ดี ี การ
ยดึ ถอื ประโยชน์ของสํวนรวมเป็นสาคญั การใช๎สิทธแิ ละหน๎าที่ การใช๎เสรีภาพอยํางรับผดิ ชอบ มีสวํ นรํวมและ
รบั ผดิ ชอบในการตัดสินใจในกิจกรรมของหอ๎ งเรยี นและโรงเรยี น ปฏบิ ตั ิตนเปน็ ผูม๎ ีวนิ ยั ในตนเอง ในเรื่องความ
ซือ่ สัตยส์ จุ รติ ขยันหมั่นเพียร อดทน ใฝหุ าความร๎ู ตั้งใจปฏิบัตหิ นา๎ ท่ี และยอมรับผลท่เี กิดจากการกระทาของ
ตนเอง
ยอมรับความหลากหลายทางสงั คมวัฒนธรรมในประเทศไทย ในเร่ืองวถิ ชี วี ิต วัฒนธรรม ศาสนาและ
สง่ิ แวดลอ๎ ม อยํูรวํ มกบั ผู๎อ่นื อยาํ งสนั ตแิ ละพง่ึ พากัน ในเรื่องการเคารพซึง่ กนั และกัน ไมแํ สดงกิรยิ า วาจาดหู ม่นิ
ผอ๎ู ืน่ ชวํ ยเหลือซึ่งกันและกนั และแบงํ ปนั วิเคราะห์ปญั หาความขดั แย๎งในประเทศไทย ในเรือ่ งการการละเมิด
สิทธิการรักษาส่งิ แวดลอ๎ ม และเสนอแนวทางการแก๎ปัญหาโดยสันตวิ ธิ ี ปฏิบัติตนเปน็ ผู๎มวี นิ ัยในตนเอง ในเร่ือง
ความซ่อื สตั ย์สุจรติ อดทน และยอมรับผลที่เกดิ จากการกระทาของตนเอง
โดยใชก๎ ระบวนการคิด กระบวนการกลมํุ กระบวนการปฏิบัติ กระบวนการเผชิญสถานการณ์ และ
กระบวนการแก๎ปัญหา
เพ่อื ให๎ผเู๎ รียนมีลักษณะท่ดี ีของคนไทย ภาคภมู ิใจและรักษาไวซ๎ ่ึงความเปน็ ไทย แสดงออกถึงความรัก
ชาตยิ ึดมนั่ ในศาสนา เทิดทนู สถาบันพระมหากษตั ริย์ ดาเนินชวี ิตตามวิถปี ระชาธิปไตย อยรํู ํวมกับผอ๎ู ืน่ อยําง
สันตสิ ามารถจดั การความขดั แยง๎ ดว๎ ยสนั ติวิธี และมีวินัยในตนเอง
ผลการเรยี นรู้
๑. ปฏบิ ตั ติ นและชักชวนผูอ๎ ื่นให๎มีมารยาทไทย
๒. มีสํวนรวํ มและชกั ชวนผอ๎ู ืน่ ให๎อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล๎อม
๓. มีสวํ นรํวมในขนบธรรมเนยี มประเพณี ศิลปวัฒนธรรม และภูมปิ ัญญาไทย
๔. เห็นคุณคาํ และแนะนาผอู๎ ื่นให๎แสดงออกถึงความรักชาติ ยึดมน่ั ในศาสนา และเทดิ ทนู สถาบนั
พระมหากษัตรยิ ์
๕. ปฏบิ ตั ิตนตามพระบรมราโชวาท หลกั การทรงงาน และหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
๖. ปฏิบตั ติ นและแนะนาผอ๎ู ืน่ ให๎ปฏบิ ตั ิตามข๎อตกลง กตกิ า กฎ ระเบยี บของหอ๎ งเรียนและโรงเรียน
-๘๗-
๗. เห็นคณุ คําและปฏิบตั ิตนตามบทบาทหนา๎ ท่ี มีสํวนรวํ มและรับผดิ ชอบในการตดั สนิ ใจในกิจกรรม
ของห๎องเรียนและโรงเรียน
๘. ยอมรบั ความหลากหลายทางสังคมวัฒนธรรมในประเทศไทย และอยูรํ วํ มกับผู๎อน่ื อยาํ งสันติ และ
พึง่ พาซึ่งกันและกัน
๙. วเิ คราะหป์ ญั หาความขัดแย๎งในประเทศไทยและเสนอแนวทางการแกป๎ ญั หาโดยสนั ติวธิ ี
๑๐. ปฏิบตั ติ นเปน็ ผู๎มวี นิ ัยในตนเอง
รวมทั้งหมด ๑๐ ผลการเรียนรู้
-๘๘-
๕. กลมุ่ สาระการเรยี นร้สู ุขศกึ ษา และพลศกึ ษา
-๘๙-
คาอธิบายรายวิชาพื้นฐาน
พ ๑๑๑๐๑ สุขศกึ ษาและพลศกึ ษา กลมุ่ สาระการเรียนรสู้ ขุ ศึกษาและพลศึกษา
ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี ๑ เวลา ๔๐ ช่วั โมง
อธบิ าย ลักษณะและหนา๎ ท่ี วธิ ีดแู ลรกั ษาอวยั วะภายนอก ระบุ สมาชกิ ในครอบครัวและความรัก
ผูกพนั การปอู งกันส่ิงที่ทาให๎เกดิ อนั ตรายที่บ๎านและโรงเรยี น บอก ส่งิ ที่ชื่นชอบและภมู ิใจ ลกั ษณะความ
แตกตํางระหวาํ งเพศชายหญงิ อาการเจบ็ ปุวยที่เกดิ ขึ้นกับตนเอง สาเหตุและการปูองกันอันตรายทเี่ กิดจาก
การเลนํ ปฏบิ ตั ิตนตามหลักสุขบัญญัติแหํงชาติ และตามคาแนะนาเมอื่ มีอาการเจ็บปวุ ย แสดง คาพดู หรือ
ทําทางขอความชวํ ยเหลอื จากผ๎อู ื่นเมื่อเกอดเหตุรา๎ ยท่บี า๎ นและโรงเรียน
เพอ่ื ให๎มีความรู๎ ความเขา๎ ใจ ความหมาย ความสาคญั ลักษณะและหนา๎ ที่ วิธดี แู ลรกั ษาอวัยวะ
ภายนอก สมาชิกในครอบครัวและความรักผูกพัน การปูองกนั สิ่งทที่ าใหเ๎ กดิ อนั ตรายที่บ๎านและโรงเรียน สิ่ง
ทช่ี ่ืนชอบและภมู ใิ จ ลักษณะความแตกตํางระหวํางเพศชายหญงิ อาการเจ็บปุวยท่ีเกดิ ขน้ึ กบั ตนเอง สาเหตุ
และการปูองกนั อนั ตรายท่เี กิดจากการเลนํ หลักสุขบัญญัติแหํงชาติ และตามคาแนะนาเมอื่ มีอาการเจ็บปวุ ย
พูดหรอื แสดงทาํ ทางขอความชวํ ยเหลือจากผอู๎ ืน่ เม่ือเกอดเหตุรา๎ ยท่บี า๎ นและโรงเรยี น
เคลื่อนไหวร่างกายขณะอยูํกับท่ี เคล่ือนท่แี ละใช๎อุปกรณ์ประกอบ เล่นเกมเบ็ดเตล็ดและเข้าร่วม
กิจกรรมทางกายท่ใี ชก๎ ารเคลื่อนไหวตามธรรมชาติ ออกกาลังกาย และเล่นเกม ตามคาแนะนา อยาํ ง
สนุกสนาน ปฏบิ ตั ติ นตามกฎ กตกิ า ขอ๎ ตกลงในการเลํนเกมตามคาแนะนา
เพือ่ ใหม้ คี วามรู้ ความเข้าใจ ความหมาย ความสาคัญ เคลือ่ นไหวร่างกายขณะอยูํกับท่ี
เคลอ่ื นท่ีและใช๎อุปกรณ์ประกอบ เลน่ เกมเบ็ดเตลด็ และเขา้ ร่วมกิจกรรมทางกายท่ีใช๎การเคลือ่ นไหวตาม
ธรรมชาติ ออกกาลังกาย และเลน่ เกม ตามคาแนะนา อยํางสนุกสนาน ปฏิบัตติ นตามกฎ กตกิ า
ข๎อตกลงในการเลนํ เกมตามคาแนะนา
รหสั ตวั ช้ีวดั
พ ๑.๑ ป.๑/๑ ป.๑/๒
พ ๒.๑ ป.๑/๑ ป.๑/๒ ป.๑/๓
พ ๓.๑ ป.๑/๑ ป.๑/๒
พ ๓.๒ ป.๑/๑ ป.๑/๒
พ ๔.๑ ป.๑/๑ ป.๑/๒ ป.๑/๓
พ ๕.๑ ป.๑/๑ ป.๑/๒ ป.๑/๓
รวม ๑๕ ตัวช้ีวดั
-๙๐-
คาอธิบายรายวชิ าพืน้ ฐาน
พ ๑๒๑๐๑ สุขศกึ ษาและพลศกึ ษา กล่มุ สาระการเรยี นร้สู ุขศึกษาและพลศกึ ษา
ช้ันประถมศกึ ษาปีที่ ๒ เวลา ๔๐ ชัว่ โมง
อธบิ าย ลักษณะ หน๎าที่และวิธดี แู ลรกั ษาอวยั วะภายใน ธรรมชาติของชวี ิตมนุษย์ ความภาคภมู ิใจ
ในความเปน็ เพศหญงิ ชาย อาการเจ็บปวุ ย สาเหตอุ ันตราย วิธปี อู งกนั อคั คภี ัยและแสดงการหนไี ฟ ระบุ
บทบาทหน๎าที่ของตนเองและสมาชกิ ในครอบครัว พฤติกรรมที่เหมาะสมกับเพศ ของใช๎ของเลนํ ทีผ่ ลตํอ
สขุ ภาพ โทษของสารเสพติด สารอนั ตรายใกลต๎ วั และวิธีปอู งกนั บอก ความสาคัญของเพ่อื น ลักษณะการมี
สขุ ภาพดี ชื่อยาสามญั ประจาบา๎ นและใชย๎ าตามคาแนะนา เลือกกนิ อาหารท่มี ีประโยชน์ ปฏบิ ัติตาม
คาแนะนาเมื่อมีอาการเจบ็ ปวุ ยและบาดเจ็บ การปูองกันอุบตั ิที่อาจเกิดข้นึ ทางน้าและทางบก
เพือ่ ให้มคี วามรู้ ความเขา้ ใจ ความหมาย ความสาคญั อธิบาย ลักษณะ หนา๎ ที่และวิธีดูแล
รักษาอวัยวะภายใน ธรรมชาตขิ องชีวติ มนุษย์ ความภาคภูมใิ จในความเปน็ เพศหญงิ ชาย อาการเจ็บปุวย
สาเหตุอนั ตราย วิธีปูองกันอัคคีภยั และแสดงการหนีไฟ ระบุ บทบาทหน๎าทขี่ องตนเองและสมาชกิ ใน
ครอบครวั พฤติกรรมท่เี หมาะสมกับเพศ ของใช๎ของเลํนที่ผลตอํ สุขภาพ โทษของสารเสพตดิ สารอันตราย
ใกล๎ตัวและวธิ ปี ูองกัน บอก ความสาคัญของเพื่อน ลกั ษณะการมสี ุขภาพดี ชอื่ ยาสามัญประจาบา๎ นและใชย๎ า
ตามคาแนะนา เลอื กกนิ อาหารท่ีมีประโยชน์ ปฏบิ ตั ิตามคาแนะนาเม่อื มีอาการเจ็บปวุ ยและบาดเจ็บ การ
ปอู งกันอบุ ัติที่อาจเกดิ ข้ึนทางน้าและทางบก
ควบคมุ การเคลอื่ นไหวรา่ งกาย ขณะอยํกู บั ที่ เคลอื่ นที่ และใชอ๎ ปุ กรณ์ประกอบ เลํมเกมเบด็ เตล็ด
และเขา๎ รวํ มกจิ กรรมทางกายท่วี ิธีเลนํ อาศัยการเคลื่อนไหวเบื้องต๎นท้ังแบบอยํกู บั ที่ เคลือ่ นที่และใชอ๎ ปุ กรณ์
ประกอบ ออกกาลังกาย และเลน่ เกม ได๎ดว๎ ยตนเองอยํางสนุกสนาน ปฏบิ ัตติ ามกฎ กตกิ าและข้อตก ลง
ในการเลนํ เกมเป็นกลุํม
เพื่อใหม้ ีความรู้ ความเข้าใจ ความหมาย ความสาคัญ ควบคมุ การเคลื่อนไหวรา่ งกาย ขณะอยํู
กบั ท่ี เคลอื่ นที่ และใช๎อปุ กรณป์ ระกอบ เลํมเกมเบด็ เตลด็ และเข๎ารวํ มกจิ กรรมทางกายทวี่ ธิ ีเลํน อาศยั การ
เคลอ่ื นไหวเบื้องตน๎ ท้ังแบบอยูํกับที่ เคล่ือนท่แี ละใช๎อุปกรณป์ ระกอบ ออกกาลังกาย และเล่นเกม ไดด๎ ๎วย
ตนเองอยาํ งสนกุ สนาน ปฏบิ ัติตามกฎ กตกิ าและข้อตก ลงในการเลนํ เกมเป็นกลมุํ
รหัสตวั ช้ีวัด
พ ๑.๑ ป.๒/๑ ป.๒/๒ ป.๒/๓
พ ๒.๑ ป.๒/๑ ป.๒/๒ ป.๒/๓ ป.๒/๔
พ ๓.๑ ป.๒/๑ ป.๒/๒
พ ๓.๒ ป.๒/๑ ป.๒/๒
พ ๔.๑ ป.๒/๑ ป.๒/๒ ป.๒/๓ ป.๒/๔ ป.๒/๕
พ ๕.๑ ป.๒/๑ ป.๒/๒ ป.๒/๓ ป.๒/๔ ป.๒/๕
รวม ๒๑ ตัวช้ีวัด
-๙๑-
คาอธบิ ายรายวชิ าพ้นื ฐาน
พ ๑๓๑๐๑ สขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา กลุ่มสาระการเรยี นรสู้ ขุ ศึกษาและพลศกึ ษา
ช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ ๓ เวลา ๔๐ ชว่ั โมง/ปีการศึกษา
อธบิ าย ลกั ษณะการเจรญิ เติบโตของรํางกายมนุษย์ ความสาคญั และความแตกตํางของครอบครวั ท่ีมี
ตอํ ตนเอง วิธสี รา๎ งสมั พันธภ์ าพในครอบครวั และกลมุํ เพื่อน การตดิ ตํอและวิธีการปูองกันการแพรํกระจํายของ
โรค เปรียบเทยี บความเจริญเตบิ โตของตนเองกบั เกณฑ์มาตรฐาน ระบปุ ัจจัยท่ีมีผลตอํ การเจรญิ เติบโต
บอก วิธหี ลีกเล่ียงพฤติกรรมท่ีนาไปสกูํ ารถูกลวํ งละเมิดทางเพศ จาแนกอาหาร ๕ หมูํ เลอื กกนิ อาหารที่
หลากหลายครบ ๕ หมใูํ นสดั สํวนท่ีเหมาะสม แสดง การแปรงฟนั ให๎สะอาดอยาํ งถกู วิธี วิธีขอความชวํ ยเหลอื
จากบคุ คล และแหลงํ ตําง เมอ่ื เกิดเหตุรา๎ ยหรอื อุบัตเิ หตุ วิธกี ารปฐมพยาบาลเมื่อบาดเจ็บจากการเลํน สรา๎ ง
เสรมิ สมรถภาพทางกายไดต๎ ามคาแนะนา ปฏิบตั ติ นเพ่ือความปลอดภัยจาอุบตั เิ หตุในบ๎าน โรงเรียนและการ
เดินทาง
เพ่อื ใหม๎ ีความรู๎ ความเขา๎ ใจ ความหมาย ความสาคัญ อธิบาย ลกั ษณะการเจรญิ เติบโตของ
ราํ งกายมนุษย์ ความสาคญั และความแตกตาํ งของครอบครัวที่มตี ํอตนเอง วธิ สี รา๎ งสมั พันธ์ภาพในครอบครวั
และกลํมุ เพ่ือน การตดิ ตํอและวธิ กี ารปอู งกันการแพรํกระจํายของโรค เปรยี บเทยี บความเจรญิ เติบโตของ
ตนเองกับเกณฑ์มาตรฐาน ระบปุ จั จยั ท่ีมีผลตํอการเจริญเตบิ โต บอก วธิ หี ลกี เล่ียงพฤติกรรมที่นาไปสํกู ารถูก
ลํวงละเมิดทางเพศ จาแนกอาหาร ๕ หมูํ เลือกกินอาหารท่ีหลากหลายครบ ๕ หมํูในสดั สวํ นท่ีเหมาะสม
แสดง การแปรงฟนั ใหส๎ ะอาดอยาํ งถูกวิธี วธิ ขี อความชวํ ยเหลอื จากบุคคล และแหลงํ ตําง เมือ่ เกิดเหตรุ ๎าย
หรอื อุบตั ิเหตุ วิธีการปฐมพยาบาลเม่ือบาดเจ็บจากการเลํน สร๎างเสริม สมรถภาพทางกายได๎ตามคาแนะนา
ปฏบิ ตั ิตนเพ่อื ความปลอดภยั จาอุบัตเิ หตุในบ๎าน โรงเรยี นและการเดนิ ทางควบคุมการเคลื่อนไหวรํางกาย
ขณะอยํูกับท่ี เคลื่อนท่แี ละใชอ๎ ุปกรณ์ประกอบอยํางมที ศิ ทาง เคลือ่ น ไหวรํางกาย ทใี่ ชท๎ ักษะการ
เคลื่อนไหวแบบบงั คับทศิ ทาง ในการเลนํ เกมเบ็ดเตลด็ เลอื ก ออกกาลังกาย การละเลํนพนื้ เมือง และเลนํ
เกม ทเี่ หมาะสมกับจดุ เดนํ จุดด๎อย และข๎อจากดั ของตนเอง ปฏบิ ัตติ ามกฎ กตกิ าและขอ๎ ตกลงของการออก
กาลงั กาย การเลํนเกม การละเลํนพื้นเมืองไดด๎ ๎วยตนเอง
เพ่ือใหม๎ ีความร๎ู ความเขา๎ ใจ ความหมาย ความสาคัญ ควบคมุ การเคล่ือนไหวรํางกาย ขณะอยํูกับท่ี
เคลื่อนทีแ่ ละใช๎อุปกรณป์ ระกอบอยาํ งมที ิศทาง เคล่ือนไหวราํ งกาย ทใ่ี ช๎ทักษะการเคลือ่ นไหวแบบบงั คับทิศทาง
ในการเลนํ เกมเบด็ เตลด็ เลอื ก ออกกาลังกาย การละเลํนพ้นื เมือง และเลํนเกม ทเี่ หมาะสมกบั จดุ เดนํ จุด
ด๎อย และขอ๎ จากัดของตนเอง ปฏบิ ตั ติ ามกฎ กติกาและข๎อตกลงของการออกกาลังกาย การเลํนเกม
การละเลนํ พ้นื เมอื งได๎ด๎วยตนเอง
รหัสตวั ช้ีวัด
พ ๑.๑ ป.๓/๑ ป.๓/๒ ป.๓/๓
พ ๒.๑ ป.๓/๑ ป.๓/๒ ป.๓/๓
พ ๓.๑ ป.๓/๑ ป.๓/๒
พ ๓.๒ ป.๓/๑ ป.๓/๒
พ ๔.๑ ป.๓/๑ ป.๓/๒ ป.๓/๓ ป.๓/๔ ป.๓/๕
พ ๕.๑ ป.๓/๑ ป.๓/๒ ป.๓/๓
รวม ๑๘ ตัวช้ีวดั
-๙๒-
คาอธิบายรายวิชาพ้นื ฐาน
พ ๑๔๑๐๑ สขุ ศึกษาและพลศกึ ษา กลุ่มสาระการเรียนรสู้ ุขศกึ ษาและพลศกึ ษา
ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี ๔ เวลา ๘๐ ชั่วโมงโมง
อธิบาย การเจริญเตบิ โตและการพฒั นาการของราํ งกาย จิตใจตามวัย ความสาคญั ของกล๎ามเน้ือ
กระดูกและขอ๎ ที่มีผลตอํ สุขภาพ วธิ ดี ูแลกลา๎ มเน้อื กระดูกและข๎อใหท๎ างานอยาํ งมีประสิทธิภาพ คณุ ลักษณะ
ของความเป็นเพอ่ื นและสมาชิกทด่ี ขี องครอบครวั ความสัมพันธร์ ะหวาํ งสงิ่ แวดลอ๎ มกับสุขภาพ สภาวะอารมณ์
ความรส๎ู ึกทีม่ ผี ลตํอสุขภาพ ความสาคญั ของการใช๎ยาและการใชย๎ าอยาํ งถูกวิธี แสดง พฤตกิ รรมท่เี หมาะสม
กับเพศของตนตามวฒั นธรรมไทย วธิ ปี ฐมพยาบาลเมื่อได๎รับอนั ตรายจากการใชย๎ าผดิ สารเคมีแมลงสัตว์กดั
ตอํ ยและบาดเจบ็ จากการเลนํ กีฬา ยกตัวอยา่ งวิธกี ารปฏเิ สธการกระทาที่เป็นอนั ตรายและไมํเหมาะสมในเรือ่ ง
เพศ วิเคราะห์ ผลเสียของการสบู บหุ ร่ีและการด่ืมสุราทีม่ ีผลตํอสุขภาพ
เพือ่ ใหม๎ ีความร๎ู ความเข๎าใจ ความหมาย ความสาคัญ อธบิ าย การเจรญิ เตบิ โตและการพัฒนาการ
ของรํางกาย จิตใจตามวัย ความสาคญั ของกลา๎ มเนื้อกระดูกและขอ๎ ท่ีมผี ลตํอสุขภาพ วิธดี ูแลกล๎ามเน้ือ
กระดูกและข๎อให๎ทางานอยํางมปี ระสทิ ธภิ าพ คุณลักษณะของความเป็นเพ่ือนและสมาชกิ ทดี่ ขี องครอบครัว
ความสมั พันธ์ระหวํางสิ่งแวดลอ๎ มกับสุขภาพ สภาวะอารมณ์ ความรู๎สึกท่ีมผี ลตอํ สขุ ภาพ ความสาคัญของการ
ใชย๎ าและการใช๎ยาอยํางถูกวธิ ี แสดง พฤติกรรมทเ่ี หมาะสมกับเพศของตนตามวฒั นธรรมไทย วธิ ปี ฐม
พยาบาลเม่ือไดร๎ ับอนั ตรายจากการใชย๎ าผิด สารเคมีแมลงสัตวก์ ดั ตํอยและบาดเจบ็ จากการเลํนกฬี า
ยกตัวอยาํ งวิธีการปฏิเสธการกระทาทีเ่ ปน็ อนั ตรายและไมํเหมาะสมในเร่ืองเพศ วเิ คราะห์ ผลเสียของการสูบ
บุหรี่และการด่ืมสุราทม่ี ผี ลตํอสขุ ภาพ
ควบคมุ ตนเอง เมื่อใช๎ทกั ษะการเคลอ่ื นไหวในลกั ษณะผสมผสานไดท๎ ง้ั แบบอยํูกบั ท่ี เคล่ือนท่ี และใช๎
อปุ กรณ์ประกอบ ฝึกกายบริหารทาํ มือเปลาํ ประกอบจงั หวะ เลนํ เกม เลยี นแบบและกจิ กรรมแบบผลัด เลํน
กีฬาพ้นื ฐานได๎อยาํ งน๎อย ๑ ชนดิ ออกกาลงั กาย เลนํ เกม และกฬี าท่ตี นเองชอบและมีความ สามารถในการ
วิเคราะห์ผลพฒั นาการของตนเองตามตวั อยาํ งและแบบปฏิบตั ขิ องผูอ๎ ื่น ปฏบิ ัติตามกฎ กติกาการเลนํ กฬี า
พื้นฐาน ตามชนดิ กีฬาทีเ่ ลนํ
เพื่อใหม๎ ีความร๎ู ความเข๎าใจ ความหมาย ความสาคัญ ควบคุมตนเอง เม่ือใชท๎ ักษะการเคล่ือนไหวใน
ลักษณะผสมผสานไดท๎ ั้งแบบอยูํกบั ท่ี เคลื่อนท่ี และใชอ๎ ปุ กรณป์ ระกอบ ฝึกกายบรหิ ารทํามอื เปลาํ ประกอบ
จงั หวะ เลนํ เกม เลียนแบบและกิจกรรมแบบผลดั เลํนกฬี าพ้นื ฐานได๎อยํางน๎อย ๑ ชนดิ ออกกาลังกาย เลนํ
เกม และกฬี าที่ตนเองชอบและมคี วาม สามารถในการวเิ คราะหผ์ ลพัฒนาการของตนเองตามตวั อยํางและแบบ
ปฏบิ ตั ิของผ๎ูอนื่ ปฏิบัติตามกฎ กติกาการเลนํ กีฬาพื้นฐาน ตามชนดิ กฬี าที่เลํน
รหัสตัวชี้วดั
พ ๑.๑ ป.๔/๑ ป.๔/๒ ป.๔/๓
พ ๒.๑ ป.๔/๑ ป.๔/๒ ป.๔/๓
พ ๓.๑ ป.๔/๑ ป.๔/๒ ป.๔/๓ ป.๔/๔
พ ๓.๒ ป.๔/๑ ป.๔/๒
พ ๔.๑ ป.๔/๑ ป.๔/๒ ป.๔/๓ ป.๔/๔
พ ๕.๑ ป.๔/๑ ป.๔/๒ ป.๔/๓
รวม ๑๙ ตัวช้ีวัด
-๙๓-
คาอธิบายรายวิชาพื้นฐาน
พ ๑๕๑๐๑ สุขศกึ ษาและพลศกึ ษา กลุ่มสาระการเรยี นรู้สขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา
ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ ๕ เวลา ๘๐ ชว่ั โมง
อธิบาย ความสาคญั วธิ ีดแู ลของระบบยํอยอาหารและระบบขับถํายท่ีมีผลตอํ สขุ ภาพ การ
เจรญิ เติบโตและพัฒนาการ ให๎ทางานตามปกติ การเปลี่ยนทางเพศทางเพศและปฏิบตั ิตนได๎เหมาะสม
ความสาคัญของการมีครอบครวั ทีอ่ บอุํนตามวัฒนธรรมไทย ระบุ พฤติกรรมที่พึงประสงค์และไมํพงึ ประสงคใ์ น
การแก๎ไขปัญหาความขดั แข๎งในครอบครวั และกลํมุ เพื่อน แสดง พฤติกรรมท่เี ห็นความสาคัญของการปฏิบตั ิตน
ตามหลักสุขบญั ญตั แิ หํงชาติ คน๎ หาข๎อมลู ขําวสารเพ่ือใชส๎ ร๎างเสริมสุขภาพ วิเคราะห์ สอ่ื โฆษณาในการ
ตดั สินใจเลือกซ้ืออาหาร และผลติ ภณั ฑ์สขุ ภาพอยาํ งมีเหตุผล ปจั จยั ทมี่ อี ิทธิพลตํอการใชส๎ ารเสพติด
ผลกระทบของการใชย๎ า และสารเสพตดิ ท่มี ผี ลตอํ รํางกาย จิตใจ อารมณ์ สงั คม และสติปญั ญา อทิ ธพิ ล
ของสื่อที่มตี ํอพฤติกรรมสขุ ภาพ ปฏบิ ัตติ นในการปูองกันโรคท่ีพบบํอยในชวี ติ ประจาวัน ความปลอดภยั จาก
การใช๎ยา และหลกี เล่ียงสารเสพตดิ และปูองกนั อันตรายจากการเลํนกีฬา ทดสอบและปรบั ปรุง สมรรถภาพ
ทางกายตามผลการทดสอบสมรรถภาพทางกาย
เพอื่ ให๎มคี วามร๎ู ความเข๎าใจ ความหมาย ความสาคัญ อธบิ าย ความสาคญั วธิ ดี ูแลของระบบยํอย
อาหารและระบบขบั ถาํ ยท่ีมผี ลตอํ สขุ ภาพ การเจรญิ เตบิ โตและพฒั นาการ ให๎ทางานตามปกติ การเปลยี่ น
ทางเพศทางเพศและปฏบิ ตั ติ นไดเ๎ หมาะสม ความสาคัญของการมีครอบครวั ท่ีอบอุํนตามวฒั นธรรมไทย ระบุ
พฤติกรรมท่ีพงึ ประสงคแ์ ละไมํพึงประสงค์ในการแก๎ไขปัญหาความขัดแขง๎ ในครอบครัวและกลุํมเพ่ือน แสดง
พฤติกรรมทเี่ ห็นความสาคญั ของการปฏิบัตติ นตามหลักสุขบญั ญตั ิแหงํ ชาติ ค๎นหาข๎อมลู ขาํ วสารเพ่อื ใช๎สร๎าง
เสริมสขุ ภาพ วิเคราะห์ ส่ือโฆษณาในการตัดสินใจเลอื กซ้ืออาหาร และผลิตภัณฑ์สขุ ภาพอยาํ งมเี หตุผล
ปัจจยั ท่ีมอี ิทธพิ ลตอํ การใชส๎ ารเสพติด ผลกระทบของการใช๎ยา และสารเสพติด ทม่ี ผี ลตํอราํ งกาย จิตใจ
อารมณ์ สังคม และสตปิ ัญญา อิทธิพลของสอื่ ท่มี ตี ํอพฤติกรรมสขุ ภาพ ปฏิบัตติ นในการปอู งกนั โรคทพี่ บ
บํอยในชีวติ ประจาวนั ความปลอดภยั จากการใช๎ยา และหลีกเล่ียงสารเสพติด และปอู งกนั อนั ตรายจากการ
เลนํ กฬี า ทดสอบและปรับปรุง สมรรถภาพทางกายตามผลการทดสอบสมรรถภาพทางกาย
จดั รูปแบบการเคลื่อนไหว แบบผสมผสาน และควบคมุ ตนเองเมื่อใชท๎ ักษะการเคลอื่ นไหวตามแบบท่ี
กาหนด เลํมเกมนาไปสํูกีฬาท่ีเลอื กและกจิ กรรมการเคลอ่ื นไหวแบบผลัด ควบคมุ การเคลื่อนไหวในเร่ืองการ
รบั แรง การใช๎แรงและความสมดลุ แสดงทกั ษะกลไกในการปฏบิ ตั ิกจิ กรรมทางกายและเลนํ กีฬา เลนํ กฬี าไทย
และกีฬาสากลประเภทบุคคลและประเภททมี ได๎อยํางละ ๑ ชนดิ อธิบายหลกั การ และเข๎ารวํ มกิจกรรม
นนั ทนาการ อยาํ งนอ๎ ย ๑ กิจกรรม ออกกาลงั กายอยาํ งมีรูปแบบ เลํนเกมทใี่ ชท๎ ักษะการคดิ และตัดสินใจ
เลนํ กีฬาท่ตี นเองชอบอยํางสม่าเสมอ โดยสร๎างทางเลือกในวธิ ีปฏิบตั ขิ องตนเองอยาํ งหลากหลาย และมนี า้ ใจ
นักกฬี า ปฏบิ ัตติ ามกฎกติกา การเลนํ เกม กฬี าไทย และกีฬาสากล ตามชนิดกฬี าท่ีเลํน ปฏบิ ัตติ น
ตามสิทธิของตนเอง ไมํละเมิดสิทธผิ อ๎ู ื่นและยอมรบั ในความแตกตํางระหวํางบุคคลในการเลนํ เกม และ กีฬา
ไทย กฬี าสากล
เพ่อื ใหม๎ ีความรู๎ ความเขา๎ ใจ ความหมาย ความสาคัญ จัดรูปแบบการเคลื่อนไหว แบบผสมผสาน และ
ควบคุมตนเองเมื่อใชท๎ ักษะการเคลื่อนไหวตามแบบท่ีกาหนด เลํมเกมนาไปสูกํ ีฬาที่เลือกและกิจกรรมการ
เคลื่อนไหวแบบผลัด ควบคุมการเคลือ่ นไหวในเรอ่ื งการรบั แรง การใช๎แรงและความสมดุล แสดงทกั ษะกลไกใน
การปฏบิ ัตกิ ิจกรรมทางกายและเลํนกฬี า เลํนกฬี าไทย และกีฬาสากลประเภทบคุ คลและประเภททมี ได๎อยํางละ
๑ ชนิด อธบิ ายหลักการ และเขา๎ รํวมกิจกรรมนนั ทนาการ อยาํ งน๎อย ๑ กจิ กรรม ออกกาลงั กายอยํางมี
รปู แบบ เลนํ เกมท่ีใชท๎ ักษะการคดิ และตัดสนิ ใจ เลํนกีฬาทีต่ นเองชอบอยาํ งสมา่ เสมอ โดยสรา๎ งทางเลอื กใน
วิธีปฏิบัตขิ องตนเองอยาํ งหลากหลาย และมนี า้ ใจนักกีฬา ปฏิบัติตามกฎกติกา การเลนํ เกม กฬี าไทย