The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐานโรงเรียนบ้านบ่อดิน พ.ศ. 2563

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by nathapons2004, 2021-11-16 08:45:11

หลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐานโรงเรียนบ้านบ่อดิน พ.ศ. 2563

หลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐานโรงเรียนบ้านบ่อดิน พ.ศ. 2563

-๙๔-

และกีฬาสากล ตามชนดิ กีฬาท่เี ลํน ปฏิบตั ติ น ตามสทิ ธขิ องตนเอง ไมํละเมดิ สทิ ธิผอ๎ู ื่นและยอมรบั ในความ
แตกตํางระหวาํ งบคุ คลในการเลํนเกม และ กีฬาไทย กีฬาสากล

รหัสตัวชี้วดั ป.๕/๖
พ ๑.๑ ป.๕/๑ ป.๕/๒
พ ๒.๑ ป.๕/๑ ป.๕/๒ ป.๕/๓
พ ๓.๑ ป.๕/๑ ป.๕/๒ ป.๕/๓ ป.๕/๔ ป.๕/๕
พ ๓.๒ ป.๕/๑ ป.๕/๒ ป.๕/๓ ป.๕/๔
พ ๔.๑ ป.๕/๑ ป.๕/๒ ป.๕/๓ ป.๕/๔ ป.๕/๕
พ ๕.๑ ป.๕/๑ ป.๕/๒ ป.๕/๓ ป.๕/๔ ป.๕/๕

รวม ๒๕ ตัวช้ีวัด

-๙๕-

คาอธบิ ายรายวชิ าพื้นฐาน

พ ๑๖๑๐๑ สุขศกึ ษาและพลศกึ ษา กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศกึ ษาและพลศึกษา
ชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ ๖ เวลา ๘๐ ชั่วโมง

วิเคราะห์ พฤติกรรมเสย่ี งท่อี าจนาไปสํกู ารมีเพศสัมพันธ์ การติดเช้อื เอดส์ และการตง้ั ครรภ์กอํ นวัย
อันควร ผลกระทบจากความรนุ แรงของภยั ธรรมชาตทิ มี่ ตี ํอรํางกาย จิตใจ และสงั คม สาเหตุของการติดสารเสพ
ตดิ และชักชวนให๎ผ๎อู นื่ หลกี เลย่ี งสารเสพตดิ ผลกระทบท่ีเกิดจากการระบาดของโรคและเสนอแนวทางการ
ปูองกนั โรคติดตอํ สาคัญท่ีพบในประเทศไทย อธิบาย วิธกี ารดแู ลรกั ษาระบบสืบพันธุ์ ระบบไหลเวยี นโลหิต
และระบบหายใจให๎ทางานตามปกติ ความสาคัญของระบบสบื พันธ์ุ ระบบไหลเวยี นโลหิตและระบบหายใจ ท่ี
มีผลตอํ สขุ ภาพ การเจรญิ เติบโตและพฒั นาการ ความสาคญั ของการสร๎างและรักษาสมั พนั ธภาพกับผ๎ูอนื่
ระบุ วธิ ีปฏบิ ัตติ น เพื่อความปลอดภยั จากธรรมชาติ สรา๎ งเสรมิ และปรบั ปรงุ สมรรถภาพทางกายเพอ่ื สขุ ภาพ
อยาํ งตํอเนือ่ ง แสดง พฤตกิ รรมในการปูองกันและแก๎ไขปัญหาสิ่งแวดลอ๎ มท่ีมีผลตํอสขุ ภาพ พฤติกรรมทบ่ี ํง
บอกถึง ความรบั ผิดชอบตํอสุขภาพของสํวนรวม

เพอ่ื ให๎มีความรู๎ ความเข๎าใจ ความหมาย ความสาคญั วเิ คราะห์ พฤตกิ รรมเสี่ยงทอ่ี าจนาไปสูํการมี
เพศสมั พันธ์ การตดิ เชื้อเอดส์ และการต้ังครรภก์ ํอนวัยอันควร ผลกระทบจากความรุนแรงของภัยธรรมชาตทิ ี่
มตี ํอราํ งกาย จติ ใจ และสงั คม สาเหตุของการติดสารเสพติด และชกั ชวนใหผ๎ อ๎ู ืน่ หลกี เลย่ี งสารเสพติด ผลกระทบท่ี
เกิดจากการระบาดของโรคและเสนอแนวทางการปูองกนั โรคตดิ ตอํ สาคญั ที่พบในประเทศไทย อธิบาย วิธกี าร
ดูแลรกั ษาระบบสืบพนั ธ์ุ ระบบไหลเวยี นโลหิต และระบบหายใจใหท๎ างานตามปกติ ความสาคัญของระบบ
สบื พนั ธ์ุ ระบบไหลเวยี นโลหติ และระบบหายใจ ทมี่ ีผลตํอสุขภาพ การเจริญเตบิ โตและพฒั นาการ
ความสาคญั ของการสรา๎ งและรักษาสัมพนั ธภาพกับผู๎อื่น ระบุ วธิ ปี ฏบิ ตั ติ น เพ่อื ความปลอดภัยจากธรรมชาติ
สรา๎ งเสรมิ และปรบั ปรุง สมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภาพอยาํ งตอํ เนื่อง แสดง พฤตกิ รรมในการปูองกนั และ
แก๎ไขปัญหาส่งิ แวดล๎อมท่ีมผี ลตํอสุขภาพ พฤติกรรมท่บี ํงบอกถึง ความรับผิดชอบตํอสุขภาพของสวํ นรวม แสดง
ทกั ษะการเคล่ือนไหวรํวมกับผอู๎ นื่ ในลักษณะแบบผลัดและแบบผสมผสานได๎ตามลาดับท้ังแบบอยูํกบั ที่
เคล่ือนที่ และใชอ๎ ปุ กรณ์ประกอบ และการเคล่ือนไหวประกอบเพลง จาแนก หลกั การเคล่อื นไหวในเรอ่ื งการรับ
แรง การใชแ๎ รง และความสมดลุ ในการเคลอ่ื นไหวรํางกายในการเลนํ เกม เลนํ กีฬา และนาผลมาปรับปรุง เพ่ิมพูน
วธิ ปี ฏบิ ัตขิ องตนและผอู๎ ื่น เลํนกีฬาไทย กีฬาสากลประเภทบคุ คลและประเภททีมได๎อยํางละ ๑ ชนดิ ใช๎ทักษะ
กลไก เพ่อื ปรบั ปรุงเพม่ิ พูนความสามารถของตนและผ๎ูอื่นในการเลํนกฬี า รวํ มกจิ กรรมนันทนาการอยาํ งน๎อย ๑
กจิ กรรม แลว๎ นาความรู๎และหลกั การที่ได๎ไปใช๎เป็นฐานการศึกษาหาความร๎เู ร่ืองอ่นื ๆ อธบิ ายประโยชน์และ
หลักการออกกาลงั กายเพ่ือสขุ ภาพ สมรรถภาพทางกายและการสรา๎ งเสริมบุคลิกภาพ เลนํ เกมท่ใี ช๎ทักษะการ
วางแผน และสามารถเพม่ิ พูนทักษะการออกกาลังกายและเคลือ่ นไหวอยาํ งเป็นระบบ เลนํ กฬี าทีต่ นเองชื่น
ชอบและสามารถประเมนิ ทักษะการเลนํ ของตนเป็นประจา ปฏิบัตติ ามกฎ กตกิ า ตามชนดิ กฬี าทีเ่ ลนํ โดย
คานงึ ถงึ ความปลอดภยั ของตนเองและผูอ๎ ื่น จาแนกกลวธิ กี ารรกุ การปูองกัน และนาไปใช๎ในการเลํนกีฬา
เลนํ เกมและกีฬา ด๎วยความสามคั คีและมีน้าใจนักกฬี า

เพือ่ ใหม๎ คี วามร๎ู ความเขา๎ ใจ ความหมาย ความสาคัญ แสดง ทักษะการเคลื่อนไหวรํวมกับผู๎อน่ื ใน

ลกั ษณะแบบผลดั และแบบผสมผสานไดต๎ ามลาดับทั้งแบบอยูํกับที่ เคล่อื นท่ี และใช๎อุปกรณ์ประกอบ และ

การเคลอื่ นไหวประกอบเพลง จาแนก หลักการเคล่อื นไหวในเรอื่ งการรบั แรง การใช๎แรง และความสมดุลในการ

เคลือ่ นไหวรํางกายในการเลนํ เกม เลํนกีฬา และนาผลมาปรับปรงุ เพ่มิ พนู วธิ ีปฏิบตั ิของตนและผู๎อ่นื เลํนกีฬาไทย

กีฬาสากลประเภทบุคคลและประเภททีมได๎อยาํ งละ ๑ ชนิด ใชท๎ กั ษะกลไก เพื่อปรบั ปรุงเพม่ิ พนู ความสามารถ

ของตนและผูอ๎ ืน่ ในการเลนํ กีฬา รํวมกิจกรรมนนั ทนาการอยํางน๎อย ๑ กิจกรรม แล๎วนาความร๎แู ละหลักการ

-๙๖-

ท่ีได๎ไปใช๎เป็นฐานการศึกษาหาความร๎เู ร่ืองอ่นื ๆ อธิบายประโยชนแ์ ละหลกั การออกกาลงั กายเพ่ือสุขภาพ
สมรรถภาพทางกายและการสร๎างเสริมบคุ ลิกภาพ เลนํ เกมที่ใชท๎ ักษะการวางแผน และสามารถเพ่ิมพนู ทักษะ
การออกกาลงั กายและเคล่อื นไหวอยํางเปน็ ระบบ เลํนกีฬาที่ตนเองชน่ื ชอบและสามารถประเมนิ ทักษะการเลํน
ของตนเป็นประจา ปฏิบตั ิตามกฎ กตกิ า ตามชนิดกฬี าที่เลํน โดยคานึงถึงความปลอดภัยของตนเองและ
ผอู๎ ่ืน จาแนกกลวิธีการรุก การปูองกัน และนาไปใช๎ในการเลนํ กีฬา เลนํ เกมและกีฬา ด๎วยความสามคั คีและ
มีนา้ ใจนักกีฬา

รหัสตวั ช้ีวัด
พ ๑.๑ ป.๖/๑ ป.๖/๒
พ ๒.๑ ป.๖/๑ ป.๖/๒
พ ๓.๑ ป.๖/๑ ป.๖/๒ ป.๖/๓ ป.๖/๔ ป.๖/๕
พ ๓.๒ ป.๖/๑ ป.๖/๒ ป.๖/๓ ป.๖/๔ ป.๖/๕ ป.๖/๖
พ ๔.๑ ป.๖/๑ ป.๖/๒ ป.๖/๓ ป.๖/๔
พ ๕.๑ ป.๖/๑ ป.๖/๒ ป.๖/๓

รวม ๒๒ ตัวช้ีวดั

-๙๗-

๖. กลมุ่ สาระการเรยี นร้ศู ลิ ปะ

-๙๘-

คาอธิบายรายวชิ าพื้นฐาน

ศ ๑๑๑๐๑ ศิลปะ กลมุ่ สาระการเรียนรศู้ ิลปะ
ชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ ๑ เวลา ๔๐ ชั่วโมง

ทัศนศลิ ป์
ศึกษา วิเคราะห์ รปู ราํ ง ลักษณะ ขนาดของสงิ่ ตําง ๆ รอบตัว ในธรรมชาติและ

ส่งิ ทม่ี นุษย์สร๎างขึ้น ความร๎สู กึ ท่ีมตี ํอธรรมชาติ และส่ิงแวดล๎อมรอบตัว ฝกึ ทักษะการใช๎วสั ดุ อุปกรณ์ ดินเหนยี ว
ดนิ นามนั ดินสอสี พูํกัน กระดาษ สีเทียน สนี ้ามนั สรา๎ งงานทศั นศิลป์ ทดลองการใชส๎ ีน้าโปสเตอร์ สเี ทยี น สี
จากธรรมชาติ ท่มี ใี นท๎องถิน่ การวาดภาพระบายสีตามความรส๎ู ึกของตนเอง การระบุงานทศั นศิลปใ์ น
ชีวติ ประจาวัน

โดยใชก๎ ระบวนการคิดวเิ คราะห์ การอภิปราย กระบวนการกลุํม การสืบคน๎ ข๎อมลู และการบันทึก
ขอ๎ มลู เพ่ือใหเ๎ กดิ ความรู๎ ความเข๎าใจ และเห็นคุณคาํ ของการนาความรู๎ไปใช๎ให๎เกิดประโยชน์ในการดาเนิน
ชวี ติ ประจาวนั

ดนตรี
ศึกษา วเิ คราะห์ การกาเนิดของเสยี ง ลกั ษณะของเสียงดงั เบา และความช๎าเร็วของจังหวะ การทํอง

บทกลอน การร๎องเพลงงาํ ย ๆ การเขา๎ รํวมกจิ กรรมดนตรี การรอ๎ งเพลง การเคาะจงั หวะ
การเคลื่อนไหวประกอบเพลง การบอกเพลงท่ใี ช๎ในชีวติ ประจาวนั บทเพลงกลํอมเด็ก บทเพลงประกอบ
การละเลนํ การเลํา การระบุทีม่ าของบทเพลงในท๎องถิ่น ความนําสนใจของบทเพลงในท๎องถิ่น

โดยใช๎กระบวนการคิดวเิ คราะห์ การอภิปราย กระบวนการกลํุม การสืบคน๎ ข๎อมลู และการบนั ทึก
ข๎อมลู เพ่ือใหเ๎ กิดความรู๎ ความเขา๎ ใจ ความสามารถในการสอื่ สาร และเหน็ คณุ คาํ ของการนาความร๎ูไปใช๎ให๎
เกดิ ประโยชน์ในการดาเนินชวี ติ ประจาวัน

นาฏศลิ ป์
ศึกษา การเลยี นแบบการเคลื่อนไหว ลักษณะตํางๆ ของธรรมชาติ คน สตั ว์ ส่ิงของ

การแสดงทาํ ทางงําย ๆ โดยใช๎ภาษาทาํ การแสดงประกอบเพลงทีเ่ กี่ยวกับธรรมชาตสิ ัตว์ การเป็นผูช๎ มทด่ี ี การ
ระบุ การบอก การเลํน การละเลํนของเดก็ ไทย การแสดงนาฏศิลป์ การเหน็ คณุ คํางานทัศนศลิ ป์ ดนตรี
นาฏศลิ ปท์ ี่เป็นมรดกทางวฒั นธรรม ภมู ปิ ญั ญาท๎องถ่ิน ภูมปิ ัญญาไทย การชนื่ ชมและการนาไปประยุกตใ์ ช๎ใน
ชวี ิตประจาวัน

โดยใช๎กระบวนการคิดวิเคราะห์ การอภปิ ราย กระบวนการกลุํม การสบื คน๎ ข๎อมลู และการบันทกึ
ขอ๎ มูล เพ่ือให๎เกดิ ความร๎ู ความเขา๎ ใจ ความสามารถในการส่อื สารและเหน็ คุณคาํ ของการนาความรู๎ไปใช๎ให๎
เกิดประโยชนใ์ นการดาเนินชีวติ ประจาวนั

รหัสตัวช้ีวดั
ศ ๑.๑ ป.๑/๑ ป.๑/๒ ป.๑/๓ ป.๑/๔ ป.๑/๕
ศ ๑.๒ ป.๑/๑
ศ ๒.๑ ป.๑/๑ ป.๑/๒ ป.๑/๓ ป.๑/๔ ป.๑/๕
ศ ๒.๒ ป.๑/๑ ป.๑/๒
ศ ๓.๑ ป.๑/๑ ป.๑/๒ ป.๑/๓
ศ ๓.๒ ป.๑/๑ ป.๑/๒

รวม ๑๘ ตวั ชี้วัด

-๙๙-

ศ ๑๒๑๐๑ ศลิ ปะ คาอธบิ ายรายวิชาพน้ื ฐาน
ช้ันประถมศึกษาปที ี่ ๒ กลุม่ สาระการเรยี นรู้ศิลปะ
เวลา ๔๐ ชั่วโมง

ทศั นศลิ ป์
ศกึ ษา วเิ คราะห์ การบรรยาย รปู ราํ ง รูปทรงทพี่ บในธรรมชาติและสง่ิ แวดลอ๎ ม ทศั นธาตุและงาน

ทัศนศลิ ป์ เร่ืองเส๎น สี รูปราํ ง และรปู ทรง เร่ืองราว การเลอื ก สรา๎ งงานทัศนศิลป์ตาํ ง ๆ โดยใช๎ เสน๎ เชํน งาน
วาด งานป้ันและงานพิมพภ์ าพ รูปแบบงานโครงสร๎างเคลอื่ นไหว การฝึกทักษะการใชว๎ ัสดุ อปุ กรณ์ การสร๎าง
งานทศั นศิลป์ 3 มิติ การสรา๎ งภาพปะตดิ โดยการตัดหรอื ฉีกกระดาษ การวาดภาพ เพ่ือถํายทอดเร่ืองราว
เกี่ยวกับครอบครัวของตนเองและเพื่อนบา๎ น การบอกความสาคัญของงานทัศนศิลป์ท่ีพบเห็นในชีวิตประจาวัน
การอภิปรายเกีย่ วกบั งานทัศนศิลปป์ ระเภทตําง ๆ ในท๎องถ่ินโดยเน๎นถงึ วิธีการสรา๎ งงานและวัสดอุ ุปกรณ์ ท่ใี ช๎

ดนตรี
ศึกษาการจาแนกแหลงํ กาเนดิ ของเสียงทไ่ี ด๎ยิน คณุ สมบัติของเสยี ง สูงตา่ - ดังเบา ยาวสนั้

ของดนตรี สงิ่ ตาํ ง ๆ ทกี่ ํอกาเนิดเสยี งท่ีแตกตาํ งกัน ลักษณะของเสยี งดงั เบา และความช๎าเร็วของจงั หวะ ความ
เกยี่ วข๎องของเพลงท่ีใชใ๎ นชวี ติ ประจาวนั การเคาะจังหวะหรือการเคลอื่ นไหวรํางกายใหส๎ อดคลอ๎ งกบั เนื้อหาของ
เพลง การร๎องเพลงงําย ๆ ทีเ่ หมาะสมกบั วยั

โดยใชก๎ ระบวนการคิดวเิ คราะห์ การอภปิ ราย กระบวนการกลมุํ การสืบค๎นข๎อมลู และการบนั ทึก
ขอ๎ มูล เพื่อให๎เกิดความรู๎ ความเข๎าใจ ความสามารถในการสือ่ สาร และเหน็ คณุ คาํ ของการนาความรู๎ไปใชใ๎ ห๎
เกิดประโยชน์ในการดาเนนิ ชวี ิตประจาวนั

นาฏศลิ ป์
ศกึ ษา วเิ คราะห์การบอกความหมายและความสาคัญของเพลงปลกุ ใจ เพลงสอนใจ ความสัมพันธ์ของ

เสียงรอ๎ ง เสยี งเคร่ืองดนตรีในเพลงท๎องถน่ิ โดยใชค๎ างําย ๆ การระบุมารยาทในการชมการแสดง การเลํน
การละเลํน การเคล่ือนไหวขณะอยกํู ับท่ีและการเคล่ือนที่อยาํ งมีรปู แบบ การเคล่ือนไหวทีส่ ะท๎อนอารมณ์ของ
ตนเองอยํางอสิ ระ ทาํ ทาง เพ่ือส่ือความหมายแทนคาพดู ทําทางประกอบจงั หวะอยาํ งสร๎างสรรค์ การใช๎ภาษา
ทาํ และนาฏยศัพทป์ ระกอบจงั หวะ การแสดงและการเข๎ารํวมกจิ กรรมทางดนตรีของทอ๎ งถน่ิ ในโอกาสพิเศษ
การละเลนํ พน้ื บ๎าน การเชอื่ มโยงการละเลํนพน้ื บา๎ นกบั การดารงชีวติ ของคนไทย การระบุสิง่ ที่ชื่นชอบและ
ภาคภูมิใจในการละเลํนพน้ื บา๎ น

โดยใชก๎ ระบวนการคิดวิเคราะห์ การอภปิ ราย กระบวนการกลุํม การสบื คน๎ ข๎อมลู และการบนั ทึก
ขอ๎ มลู เพ่ือใหเ๎ กดิ ความร๎ู ความเขา๎ ใจ ความสามารถในการสอ่ื สารและเห็นคุณคําของการนาความรู๎ไปใชใ๎ ห๎
เกดิ ประโยชน์ในการดาเนนิ ชีวิตประจาวนั

รหสั ตวั ชี้วัด
ศ ๑.๑ ป.๒/๑ ป.๒/๒ ป.๒/๓ ป.๒/๔ ป.๒/๕ ป.๒/๖ ป.๒/๗ ป.๒/๘
ศ ๑.๒ ป.๒/๑ ป.๒/๒
ศ ๒.๑ ป.๒/๑ ป.๒/๒ ป.๒/๓ ป.๒/๔ ป.๒/๕
ศ ๒.๒ ป.๒/๑ ป.๒/๒
ศ ๓.๑ ป.๒/๑ ป.๒/๒ ป.๒/๓ ป.๒/๔ ป.๒/๕
ศ ๓.๒ ป.๒/๑ ป.๒/๒ ป.๒/๓

รวม ๒๕ ตวั ช้ีวัด

-๑๐๐-

คาอธิบายรายวิชาพ้นื ฐาน

ศ ๑๓๑๐๑ ศลิ ปะ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ศลิ ปะ
ชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ ๓ เวลา ๔๐ ชัว่ โมง

ทัศนศิลป์
ศึกษา วเิ คราะห์ การบรรยาย รปู รําง รปู ทรงในธรรมชาตสิ ิ่งแวดลอ๎ ม และงานทศั นศลิ ป์ ระบุ วสั ดุ

อปุ กรณ์ที่ใชส๎ ร๎างผลงานเม่ือชมงานทัศนศลิ ป์ การบรรยายเหตผุ ลและวิธีการในการสรา๎ งงานทศั นศลิ ป์ โดยเน๎น
ถงึ เทคนิคและวสั ดุ อปุ กรณ์ การจาแนกทศั นธาตุของสงิ่ ตําง ๆในธรรมชาตสิ ง่ิ แวดล๎อมและงานทัศนศิลป์ โดย
เน๎นเรอ่ื ง เส๎น สี รปู รําง รูปทรง และพื้นผวิ มที ักษะพืน้ ฐานในการใชว๎ ัสดอุ ปุ กรณส์ รา๎ งสรรคง์ านป้ัน การวาด
ภาพ การระบายสีสงิ่ ของรอบตวั การถํายทอดความคดิ ความร๎สู ึกจากเหตุการณช์ วี ติ จรงิ โดยใช๎เสน๎ รปู ราํ ง
รูปทรง สี และพ้ืนผิว การระบสุ ิ่งที่ช่นื ชมและสิ่งท่ีควรปรบั ปรุงในงานทัศนศิลปข์ องตนเอง การระบุ และการ
จดั กลมํุ ของภาพตามทัศนธาตุทเ่ี น๎นในงานทัศนศลิ ปน์ น้ั ๆ การบรรยายลกั ษณะรปู ราํ ง รูปทรงในงานการ
ออกแบบส่ิงตาํ ง ๆ ท่มี ใี นบ๎านและโรงเรียน การเลาํ ถงึ ทม่ี าของงานทัศนศลิ ป์ในท๎องถนิ่ การอธิบายเกย่ี วกบั
วัสดอุ ุปกรณแ์ ละวธิ ีการสรา๎ งงานทศั นศิลป์ในทอ๎ งถิ่น

โดยใชก๎ ระบวนการคิดวิเคราะห์ การอภิปราย กระบวนการกลํมุ การสืบคน๎ ข๎อมูลและการบนั ทกึ
ขอ๎ มูล เพ่ือใหเ๎ กิดความรู๎ ความเขา๎ ใจ และเห็นคณุ คําของการนาความร๎ูไปใช๎ใหเ๎ กิดประโยชนใ์ นการดาเนนิ
ชีวิตประจาวัน

ดนตรี
ศกึ ษา วิเคราะห์ การระบรุ ปู รํางลักษณะของเคร่ืองดนตรี ที่เห็นและไดย๎ นิ ในชวี ติ ประจาวัน ลักษณะ

เดนํ และเอกลักษณ์ของดนตรีในทอ๎ งถ่นิ ความสาคญั และประโยชนข์ องดนตรีตํอการดาเนินชีวิตของคนใน
ทอ๎ งถนิ่ ใชร๎ ปู ภาพหรือสญั ลักษณ์แทนเสยี ง และจงั หวะเคาะ การบอกบทบาทหน๎าท่ีของเพลงที่ได๎ยิน การขบั
ร๎องและบรรเลงดนตรงี ําย ๆ การเคลื่อนไหวทําทางสอดคล๎องกบั อารมณข์ องเพลงที่ฟงั การแสดงความคิดเห็น
เกี่ยวกบั เสยี งดนตรี เสยี งขบั ร๎องของตนเองและผ๎ูอืน่ การนาดนตรีไปใชใ๎ นชวี ิตประจาวนั หรือโอกาสตําง ๆ ได๎
อยํางเหมาะสม

โดยใช๎กระบวนการคิดวเิ คราะห์ การอภิปราย กระบวนการกลมํุ การสบื คน๎ ข๎อมลู และการบนั ทกึ
ขอ๎ มลู เพื่อใหเ๎ กิดความร๎ู ความเข๎าใจ ความสามารถในการส่ือสาร และเหน็ คณุ คาํ ของการนาความร๎ูไปใชใ๎ ห๎
เกดิ ประโยชน์ในการดาเนนิ ชีวติ ประจาวัน

นาฏศิลป์
ศึกษา วิเคราะห์ การสรา๎ งสรรค์การเคลื่อนไหวในรูปแบบตําง ๆ ราวงมาตรฐาน เพลงพระราชนพิ นธ์

สถานการณ์ส้ัน ๆ สถานการณ์ทกี่ าหนด การแสดงทําทางประกอบเพลงตามรูปแบบนาฏศิลป์ การ
เปรียบเทยี บบทบาทหน๎าทข่ี องผูแ๎ สดงและผช๎ู ม การมสี วํ นรํวมในกิจกรรมการแสดงทีเ่ หมาะสมกับวยั การบอก
ประโยชน์ของการแสดงนาฏศิลป์ในชีวติ ประจาวนั การเลําการแสดงนาฏศลิ ป์ท่เี คยเห็นในทอ๎ งถิ่น การระบุสิง่
ทเี่ ป็นลกั ษณะเดนํ และเอกลักษณข์ องการแสดงนาฏศิลป์ การอธบิ ายความสาคัญของการแสดงนาฏศิลป์

โดยใชก๎ ระบวนการคิดวิเคราะห์ การอภปิ ราย กระบวนการกลมํุ การสืบคน๎ ข๎อมลู และการบนั ทึก
ขอ๎ มลู เพ่ือให๎เกดิ ความร๎ู ความเข๎าใจ ความสามารถในการสอื่ สารและเหน็ คุณคําของการนาความร๎ูไปใช๎ให๎
เกิดประโยชนใ์ นการดาเนนิ ชวี ิตประจาวนั

-๑๐๑-

รหัสตวั ชี้วดั
ศ ๑.๑ ป.๓/๑ ป.๓/๒ ป.๓/๓ ป.๓/๔ ป.๓/๕ ป.๓/๖ ป.๓/๗ ป.๓/๘ ป.๓/๙
ป.๓/๑๐
ศ ๑.๒ ป.๓/๑ ป.๓/๒
ศ ๒.๑ ป.๓/๑ ป.๓/๒ ป.๓/๓ ป.๓/๔ ป.๓/๕ ป.๓/๖ ป.๓/๗
ศ ๒.๒ ป.๓/๑ ป.๓/๒
ศ ๓.๑ ป.๓/๑ ป.๓/๒ ป.๓/๓ ป.๓/๔ ป.๓/๕
ศ ๓.๒ ป.๓/๑ ป.๓/๒ ป.๓/๓

รวม ๒๙ ตัวช้ีวดั

-๑๐๒-

คาอธบิ ายรายวชิ าพื้นฐาน

ศ ๑๔๑๐๑ ศิลปะ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศลิ ปะ
ชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ ๔ เวลา ๘๐ ชัว่ โมง

ทศั นศิลป์
ศึกษาเปรยี บเทยี บรปู ลักษณะของรูปราํ ง รปู ทรงในธรรมชาติ สงิ่ แวดลอ๎ ม และงานทัศนศิลป์ ถํายทอด

ความคดิ ความร๎ูสึก ความประทับใจผํานงานทศั นศิลป์ของตนเองและบุคคลอ่ืน การอภิปรายเกย่ี วกบั อิทธพิ ล
ของสีวรรณะอํนุ และสีวรรณะเยน็ ท่มี ตี อํ อารมณ์ของมนุษย์ เหตุการณ์ และงานเฉลิมฉลองของวัฒนธรรมใน
ทอ๎ งถิ่น จาแนกทศั นธาตขุ องสง่ิ ตาํ ง ๆในธรรมชาติสิ่งแวดลอ๎ มและงานทัศนศิลป์โดยเนน๎ เรื่องเสน๎ สี รูปรําง
รปู ทรงพ้นื ผวิ และพ้นื ท่ีวําง ฝึกทกั ษะพ้ืนฐานในการใชว๎ ัสดุ อุปกรณส์ รา๎ งสรรคง์ านพิมพภ์ าพ งานวาดภาพ
ระบายสี บรรยายลักษณะของภาพโดยเน๎น เรื่องการจดั ระยะ ความลกึ นา้ หนักแสงเงาในภาพ และงาน
ทัศนศิลปท์ ี่มาจากวฒั นธรรมตําง ๆ วาดภาพระบายสี โดยใช๎สวี รรณะอนุํ และสีวรรณะเย็น ถํายทอดความร๎ูสกึ
และจินตนาการ เลือกใช๎วรรณะสีเพื่อถํายทอดอารมณ์ ความร๎ูสึกในการสรา๎ งงานทัศนศิลป์

โดยเลอื กใช๎วัสดุ อุปกรณ์สร๎างสรรคไ์ ด๎อยาํ งเหมาะสม บอกความร๎ูสึกในการรบั รู๎ความงามและแสดง
ความคิดเห็นเก่ียวกับความงามของทัศนธาตุทางทัศนศิลป์ นาเสนอผลงานของตนเองและกลมุํ อภิปราย
เปรียบเทยี บผลงาน เพื่อนาความร๎แู ละวิธีการทางทัศนศลิ ป์ไปใชใ๎ นชีวิตประจาวนั จาแนกรวมทัง้ ระบุ อภปิ ราย
งานทัศนศลิ ป์ท่มี าจากวฒั นธรรมในทอ๎ งถิ่น สืบทอดงานเก่ยี วกับวัฒนธรรมประเพณี ทเ่ี ป็นภมู ิปัญญาท๎องถิ่น
ภมู ิปญั ญาไทยและสากล

ดนตรี
ศึกษาโครงสร๎างของบทเพลง ความหมาย จาแนกประเภทของเคร่ืองดนตรี ระบุทศิ ทางการเคลอ่ื นที่

ขึ้นลงงาํ ย ๆ ของทานอง รปู แบบจงั หวะและความเร็ว ของจังหวะในเพลงที่ฟงั เคร่อื งหมายและสญั ลกั ษณท์ าง
ดนตรี การสืบทอดงานทางดนตรที ี่เก่ยี วข๎องกับความสมั พนั ธข์ องวถิ ีชีวติ ไทยท่ีสะท๎อนในดนตรีและเพลงท๎องถน่ิ
การอนรุ ักษ์สงํ เสรมิ วฒั นธรรม ภมู ปิ ญั ญาทอ๎ งถ่นิ ภมู ิปัญญาไทยและสากล

โดยอําน เขียนโน๎ตดนตรีไทยและสากล รอ๎ งเพลงโดยใช๎ชํวงเสียงทเ่ี หมาะสมกับตนเอง บอก
ความหมายและสัญลักษณ์ทางดนตรี โครงสรา๎ งโนต๎ เพลงไทย ใช๎และเกบ็ เคร่ืองดนตรอี ยํางถูกต๎องและปลอดภยั
ระบวุ าํ ดนตรสี ามารถใช๎ในการสอื่ เร่ืองราว บอกแหลงํ ที่มาและความสัมพันธ์ของวิถชี วี ติ ไทย ความสาคญั ในการ
อนุรกั ษส์ งํ เสริมวฒั นธรรมทางดนตรี ท่สี ะท๎อนในดนตรี เพลงท๎องถ่นิ และโอกาสในการบรรเลงดนตรี เพอ่ื นา
ความร๎ูและหลกั การทางดนตรีไปใชก๎ บั กลํมุ สาระการเรยี นรู๎อนื่ ๆ และประยุกต์ใชใ๎ นชวี ิตประจาวัน

นาฏศลิ ป์
ศึกษาทักษะพื้นฐานทางนาฏศิลป์และการละครท่ใี ช๎สอ่ื ความหมาย อารมณ์ หลกั และวิธีการปฏิบัติ

การเคลือ่ นไหวในจงั หวะตําง ๆ ตามความคิดของตน การแสดงนาฏศลิ ปเ์ ปน็ คูํและหมูํ ราวงมาตรฐาน ระบา
เลาํ ส่งิ ทช่ี ื่นชอบในการแสดงโดยเนน๎ จดุ สาคัญของเรื่องและลกั ษณะเดนํ ของตัวละคร อธิบายประวตั ิความ
เปน็ มาของนาฏศิลป์ หรือชดุ การแสดงอยาํ งงําย ๆ ใชภ๎ าษาทําและนาฏยศพั ท์ถํายทอดเรื่องราว อธบิ ายประวตั ิ
ความเปน็ มาของนาฏศิลป์

โดยใช๎ภาษาทาํ และนาฏยศัพทห์ รอื ศัพทท์ างการละครงําย ๆ ในการถาํ ยทอดเร่ืองราว ประดิษฐ์ทําทาง
หรอื ทาํ ราประกอบจังหวะพ้นื เมอื ง ชดุ การแสดงอยํางงําย ๆ เปรยี บเทยี บการแสดงนาฏศิลปก์ บั การแสดงทมี่ า
จากวฒั นธรรมอื่น เพ่ือสืบทอดการแสดง นาฏศิลป์และตระหนกั ในคณุ คําของการจัดกจิ กรรมนาฏศิลป์ บํงบอก
ถึงคาํ นิยม วฒั นธรรมประเพณี ภมู ปิ ญั ญาท๎องถิ่น ภูมิปัญญาไทยและสากล

-๑๐๓-

รหัสตัวช้ีวดั
ศ ๑.๑ ป.๔/๑ ป.๔/๒ ป.๔/๓ ป.๔/๔ ป.๔/๕ ป.๔/๖ ป.๔/๗ ป.๔/๘ ป.๔/๙
ศ ๑.๒ ป.๔/๑ ป.๔/๒
ศ ๒.๑ ป.๔/๑ ป.๔/๒ ป.๔/๓ ป.๔/๔ ป.๔/๕ ป.๔/๖ ป.๔/๗
ศ ๒.๒ ป.๔/๑ ป.๔/๒
ศ ๓.๑ ป.๔/๑ ป.๔/๒ ป.๔/๓ ป.๔/๔ ป.๔/๕
ศ ๓.๒ ป.๔/๑ ป.๔/๒ ป.๔/๓ ป.๔/๔

รวม ๒๙ ตัวชี้วัด

-๑๐๔-

คาอธิบายรายวิชาพ้ืนฐาน

ศ ๑๕๑๐๑ ศลิ ปะ กลมุ่ สาระการเรียนรูศ้ ลิ ปะ
ชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ ๕ เวลา ๘๐ ช่วั โมง

ทศั นศลิ ป์
ศึกษา เก่ียวกับจังหวะ ตาแหนํงของส่ิงตาํ ง ๆ ท่ีปรากฏในส่ิงแวดล๎อม และสร๎างสรรคง์ านทศั นศิลป์

สือ่ ความคดิ จนิ ตนาการ เปรียบเทียบความแตกตาํ งระหวาํ งงานทศั นศลิ ปท์ สี่ ร๎างสรรคด์ ๎วยวสั ดอุ ุปกรณแ์ ละ
วธิ กี ารทตี่ าํ งกัน ใชค๎ วามรู๎ เทคนคิ วธิ ีการ และวสั ดอุ ุปกรณ์ประเภทตําง ๆ จากแหลงํ การเรียนร๎ูหรอื
นิทรรศการ แสดงออกถึงความร๎สู กึ ความคดิ เหน็ ประโยชนแ์ ละคณุ คําของงานทศั นศิลป์ทีม่ ผี ลตํอชวี ิตของคน
ในสังคม สร๎างสรรค์งานปนั้ จาก ดนิ นา้ มนั หรอื ดินเหนียว งานพิมพ์ภาพ โดยเนน๎ การถํายทอดจินตนาการ
ศิลปะ และการจดั วางตาแหนงํ ของส่งิ ตําง ๆ ในภาพ

โดยเลือกเทคนิค วิธีการ วัสดุอุปกรณ์ในการสรา๎ งสรรค์อยาํ งเหมาะสม ใช๎กระบวนการคดิ วเิ คราะห์
การอภปิ ราย เพ่ือแสดงออกถึงความงาม ความประณีต สะทอ๎ นวัฒนธรรม ประเพณี ภูมิปญั ญาท๎องถ่ิน ภมู ิ
ปญั ญาไทยและสากลและเหน็ คุณคําของการนาความรูไ๎ ปใช๎ใหเ๎ กดิ ประโยชนใ์ นการดาเนินชวี ิตประจาวนั

ดนตรี
ศึกษาจังหวะ ทานอง องค์ประกอบดนตรีในเพลงที่ใช๎ในการส่อื อารมณ์ จาแนกลักษณะของเสียงขบั

รอ๎ งและเครื่องดนตรี ที่อยํูในวงดนตรีประเภทตาํ ง ๆ การอําน เขียนโน๎ตดนตรีไทย ดนตรีสากล 5 ระดับเสียง
ร๎องเพลงไทยหรือเพลงสากลหรือเพลงไทยสากลท่ีเหมาะสมกับวยั ดน๎ สดงําย ๆ โดยใช๎ประโยคเพลงแบบถาม
ตอบ ใช๎เครื่องดนตรีบรรเลงจังหวะและทานอง รวํ มกับกจิ กรรมในการแสดงออกตามจินตนาการ

โดยการฝกึ ปฏบิ ตั ิ การแสดงออกตามจนิ ตนาการเพ่ือสือ่ ความคิด จินตนาการ ความรส๎ู กึ ประทบั ใจและ
เหน็ คณุ คาํ อธิบายความสัมพันธร์ ะหวาํ งดนตรีกบั ประเพณีในวัฒนธรรมตําง ๆ ใหส๎ ัมพนั ธก์ นั เพื่อนาไป
สร๎างสรรค์ระหวาํ งดนตรกี ับประเพณใี นวัฒนธรรมทอ๎ งถน่ิ เห็นคณุ คาํ ของดนตรที ่ีมาจากวัฒนธรรมทต่ี ํางกัน

นาฏศลิ ป์
ศกึ ษาความรู๎พืน้ ฐานทางนาฏศิลป์ การบรรยายองคป์ ระกอบของนาฏศลิ ป์ การประดิษฐ์ทําทาง

ประกอบเพลงหรือเร่ืองราวตามความคดิ องค์ประกอบของละคร บอกทมี่ าของการแสดงนาฏศิลป์ ประโยชน์ท่ี
ได๎รบั จากการชมการแสดง

โดยแสดงนาฏศลิ ป์ ละครสร๎างสรรค์ การแสดงออก การถํายทอดความร๎สู ึก เพื่อนาความร๎ูและ
หลักการทางด๎านนาฏศิลป์มาใช๎บรู ณาการกับกลมุํ สาระการเรียนรอู๎ ่ืน ๆ และชีวิตประจาวันสัมพันธ์กับการ
แสดงนาฏศิลป์พน้ื บ๎านทส่ี ะท๎อนถงึ วฒั นธรรมและประเพณี ภูมปิ ัญญาท๎องถ่นิ ภูมิปัญญาไทยและสากล

รหสั ตัวช้ีวัด
ศ ๑.๑ ป.๕/๑ ป.๕/๒ ป.๕/๓ ป.๕/๔ ป.๕/๕ ป.๕/๖ ป.๕/๗
ศ ๑.๒ ป.๕/๑ ป.๕/๒
ศ ๒.๑ ป.๕/๑ ป.๕/๒ ป.๕/๓ ป.๕/๔ ป.๕/๕ ป.๕/๖ ป.๕/๗
ศ ๒.๒ ป.๕/๑ ป.๕/๒
ศ ๓.๑ ป.๕/๑ ป.๕/๒ ป.๕/๓ ป.๕/๔ ป.๕/๕ ป.๕/๖
ศ ๓.๒ ป.๕/๑ ป.๕/๒

รวม ๒๖ ตวั ชี้วดั

-๑๐๕-

คาอธิบายรายวิชาพื้นฐาน

ศ ๑๖๑๐๑ ศิลปะ กลุ่มสาระการเรยี นรู้ศลิ ปะ
ชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี ๖ เวลา ๘๐ ช่วั โมง

ทัศนศิลป์
ศกึ ษา สร๎างสรรค์งานทศั นศิลป์ สอื่ ความคิด ถํายทอดจินตนาการ ใชส๎ คี ตํู รงขา๎ ม แสงเงา นา้ หนกั งาน

ป้นั รูปแบบ เทคนิค และวิธีการตําง ๆ แสดงเปน็ แผนภาพ แผนผัง ภาพประกอบ อธบิ ายหลักการจดั ขนาด
สดั สวํ น ความสมดลุ ในการสรา๎ งงานทัศนศิลป์ จากรปู แบบ 2 มติ ิ เปน็ 3 มติ ิ บทบาทของงานทัศนศลิ ป์ที่
สะท๎อนชีวติ และสงั คม อภปิ รายเกย่ี วกบั อิทธพิ ลของความเช่อื ความศรัทธาในศาสนาที่มีผลตอํ งานทัศนศลิ ปใ์ น
ท๎องถิ่นอันเป็นมรดกทางวฒั นธรรม ภมู ิปญั ญาทอ๎ งถ่ิน ภูมปิ ัญญาไทยและสากล

โดยใชก๎ ระบวนการคิดวเิ คราะห์ การสร๎างสรรคง์ าน กระบวนการกลมํุ และรายบุคคล เพ่ือถํายทอด
ความคดิ หรือเรอ่ื งราวเกยี่ วกบั เหตุการณ์ตําง ๆ ใหเ๎ กดิ ความร๎ู ความเขา๎ ใจ และเห็นคุณคาํ ของการนาความรู๎ไป
ใช๎ให๎เกดิ ประโยชน์ในการดาเนนิ ชวี ิตประจาวัน

ดนตรี
ศกึ ษาวิเคราะห์องค์ประกอบดนตรี เพลงทฟี่ ังและศัพท์สงั คีต จาแนกประเภทเครอ่ื งดนตรี ใช๎เครอ่ื ง

ดนตรีและเครื่องดนตรีทม่ี าจากวัฒนธรรมตาํ ง ๆ อําน เขยี นโน๎ตไทยและโน๎ตสากล ร๎องเพลง ด๎นสด สร๎างสรรค์
รูปแบบจงั หวะและทานองด๎วยเครื่องดนตรีไทยหรือเครื่องดนตรีทมี่ าจากวฒั นธรรมตาํ ง ๆ สืบทอดดนตรไี ทย
จาแนกดนตรีที่มาจากยุคสมัยทต่ี ํางกนั อิทธิพลของวฒั นธรรมตํอดนตรใี นท๎องถนิ่ บรรยายความรู๎สกึ และแสดง
ความคิดเห็นที่มตี ํอบทเพลง ความไพเราะของเสยี งดนตรี

โดยใชก๎ ระบวนการคิดวเิ คราะห์ กระบวนการกลุํม เพื่อให๎เกิดความร๎ู ความเข๎าใจ ตลอดจนนาความร๎ู
และหลกั การทางดนตรีมาประยกุ ต์ใช๎ให๎เกดิ ประโยชนและเห็นคุณคาํ ในการสรา๎ งสรรค์
นาความรไ๎ู ปใช๎ในชีวิตประจาวนั

นาฏศิลป์
ศกึ ษาพนื้ ฐานความรู๎ ความเข๎าใจ นาฏศลิ ปเ์ บอ้ื งตน๎ แสดงออกอยาํ งอิสระในการประดษิ ฐ์ทําทาง

ประกอบเพลงปลุกใจหรอื เพลงพื้นเมืองหรอื ทอ๎ งถิ่น การแสดงนาฏศลิ ปแ์ ละละครสร๎างสรรค์
การใช๎เรอ่ื งแตงํ จินตนาการ ประสบการณ์ ละครสรา๎ งสรรค์ ระบา ฟูอน ราวงมาตรฐาน การอธิบาย
ความสัมพนั ธร์ ะหวาํ งนาฏศลิ ป์และการละครกับส่ิงท่ีประสบในชวี ติ ประจาวนั ใช๎หลักสุนทรที างนาฏศลิ ป์ การ
บอกความหมาย ความเปน็ มา ความสาคญั พร๎อมทั้งระบปุ ระโยชนท์ ีไ่ ดร๎ ับจากการแสดงหรอื การชมการแสดง
นาฏศลิ ป์ สรา๎ งสรรค์การเคล่ือนไหวและการถํายทอดลลี า อารมณ์ สง่ิ ท่ีมคี วามสาคญั ตํอการแสดงนาฏศิลป์และ
ละคร ระบุประโยชน์ทีไ่ ด๎รับจากการแสดงหรือการชมการแสดงนาฏศลิ ปแ์ ละละคร

โดยใช๎กระบวนการคิดวิเคราะห์ การอภปิ ราย กระบวนการกลมํุ เพ่ือใหเ๎ กิดความร๎ู ความเขา๎ ใจ และ
เห็นคุณคาํ ของการนาความรู๎ไปใชใ๎ ห๎เกดิ ประโยชน์ในการดาเนนิ ชีวิตประจาวัน

-๑๐๖-

รหัสตวั ชี้วดั
ศ ๑.๑ ป.๖/๑ ป.๖/๒ ป.๖/๓ ป.๖/๔ ป.๖/๕ ป.๖/๖ ป.๖/๗
ศ ๑.๒ ป.๖/๑ ป.๖/๒ ป.๖/๓
ศ ๒.๑ ป.๖/๑ ป.๖/๒ ป.๖/๓ ป.๖/๔ ป.๖/๕ ป.๖/๖
ศ ๒.๒ ป.๖/๑ ป.๖/๒ ป.๖/๓
ศ ๓.๑ ป.๖/๑ ป.๖/๒ ป.๖/๓ ป.๖/๔ ป.๖/๕ ป.๖/๖
ศ ๓.๒ ป.๖/๑ ป.๖/๒

รวม ๒๗ ตัวช้ีวัด

-๑๐๗-

๗. กลมุ่ สาระการเรยี นร้กู ารงานอาชพี

-๑๐๘-

คาอธบิ ายรายวชิ าพ้ืนฐาน

ง ๑๑๑๐๑ การงานอาชีพ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชพี
ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ ๑ เวลา ๒๐ ชวั่ โมง

ศกึ ษา ฝกึ ฝนการทางานชํวยเหลอื ตนเอง เกย่ี วกบั การแตงํ กาย การเก็บของใช๎ การหยบิ จับ และ
ใช๎ของใชส๎ วํ นตัว การจัดโตะ๏ ตู๎ ชั้น การใชว๎ ัสดุ อปุ กรณ์ และเครอื่ งมืองําย ๆ ในการบารุงรักษาตน๎ ไม๎ การพบั
กระดาษเป็นของเลนํ ความสาคญั ของข๎อมูลท่สี นใจรวมทง้ั แหลงํ ขอ๎ มูลท่อี ยูํใกล๎ตวั ภูมิปัญญาท๎องถ่นิ ผ๎ูรู๎ สอ่ื
สิ่งพิมพ์ และสื่อเทคโนโลยี ประโยชน์ของอุปกรณเ์ ทคโนโลยีสารสนเทศท่ใี ชใ๎ นการเรียน การวาดภาพ และ
การตดิ ตํอส่อื สาร

โดยใช๎กระบวนการทางาน การสงั เกต การฝึกปฏบิ ัติ และการแสวงหาความร๎ู เพื่อใหเ๎ กดิ ความรู๎
ความเข๎าใจ มีความคิดสรา๎ งสรรค์ สื่อสารสง่ิ ทเี่ รยี นรไู๎ ด๎ดี มที ักษะในการใช๎มือ เคร่ืองมอื เคร่ืองใช๎ในการ
ทางานอยํางปลอดภยั สามารถทางานตามข้นั ตอนกระบวนการทางาน เหน็ คุณคําของการนาความรู๎ไปใช๎
ประโยชนใ์ นชีวติ ประจาวนั รกั การทางาน ทางานด๎วยความกระตือรือร๎น และตรงเวลา มีเจตคติทีด่ ตี ํอการ
ทางาน มีลกั ษณะนสิ ัยการทางานท่ีเหมาะสม

รหสั ตัวช้ีวัด
ง ๑.๑ ป.๑/๑ ป.๑/๒ ป.๑/๓
ง ๒.๑ -

รวม ๓ ตัวช้ีวัด

-๑๐๙-

คาอธบิ ายรายวชิ าพน้ื ฐาน

ง ๑๒๑๐๑ การงานอาชีพ กลุ่มสาระการเรยี นรกู้ ารงานอาชีพ
ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ ๒ เวลา ๒๐ ช่วั โมง

ศึกษา ฝกึ ฝนการทางานชวํ ยเหลอื ตนเองและครอบครวั ตามบทบาทและหน๎าท่ขี องสมาชกิ ในบา๎ น
ดว๎ ยการจัดวางส่งิ ของ การเก็บเสื้อผา๎ และรองเท๎า การชวํ ยครอบครัวเตรียมประกอบอาหารการกวาดบ๎าน
การลา๎ งจาน การใช๎วสั ดุ อปุ กรณ์ และเครื่องมอื ในการทางาน การเพาะเมลด็ การดูแลแปลงเพาะกล๎า การ
ทาของเลํน และการประดิษฐข์ องใชส๎ วํ นตัว ลักษณะและประโยชนข์ องสิง่ ของเคร่อื งใช๎ในชวี ติ ประจาวนั การ
ออกแบบสร๎างของเลํนของใชง๎ ําย ๆ การถาํ ยทอดความคิดเปน็ ภาพรําง 2 มติ ิ การสรา๎ งช้นิ งาน และ
ประเมนิ ผลงาน ความสาคัญและประโยชนข์ องข๎อมลู การรวบรวมขอ๎ มูลที่สนใจจากแหลํงขอ๎ มลู ทีเ่ ชื่อถือได๎
และแหลํงข๎อมลู ในท๎องถ่ิน ประโยชน์ของแหลํงข๎อมลู และการรักษาแหลํงข๎อมลู หนา๎ ที่ของอุปกรณพ์ ้นื ฐานท่ี
เปน็ สํวนประกอบหลักของคอมพิวเตอร์

โดยใช๎กระบวนการทางาน กระบวนการเทคโนโลยี กระบวนการแก๎ปญั หา การสงั เกต การฝึก
ปฏิบตั ิ การอภิปราย และการแสวงหาความรู๎ เพ่อื ให๎เกิดความร๎ู ความคิด ความเขา๎ ใจ สามารถถาํ ยทอด
ความคดิ และสื่อสารสิ่งท่เี รยี นรไู๎ ดด๎ ี มีทกั ษะในการใชม๎ ือ เครื่องมือ เคร่ืองใช๎
ในการทางานอยาํ งเหมาะสมกับงานและประหยัด เหน็ คุณคาํ ของการทางาน และเทคโนโลยีสารสนเทศ มี
ลักษณะความคดิ สร๎างสรรค์ ทางานเปน็ ขั้นตอน ถูกวธิ ี และปลอดภัย ปฏิบัติงาน
ตามบทบาทหน๎าท่ี ทางานรวํ มกับสมาชิกในครอบครัวได๎ มกี ารปรับปรงุ การทางาน สามารถ
นาความร๎ไู ปประยุกต์ใช๎ในการทางาน ในชีวติ ประจาวัน รกั การทางาน มีเจตคติท่ดี ีตํอการทางาน และมี
ลักษณะนสิ ยั การทางานทีเ่ หมาะสม

รหัสตวั ช้ีวดั
ง ๑.๑ ป.๒/๑ ป.๒/๒ ป.๒/๓
ง ๒.๑ -

รวม ๓ ตัวช้ีวัด

-๑๑๐-

คาอธิบายรายวชิ าพืน้ ฐาน

ง ๑๓๑๐๑ การงานอาชพี กลุ่มสาระการเรยี นรกู้ ารงานอาชพี
ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ ๓ เวลา ๒๐ ชัว่ โมง

ศกึ ษา ฝึกฝนการทางานชํวยเหลือตนเอง ครอบครวั และสวํ นรวม ในการเลอื กใช๎เสอ้ื ผ๎า และการ
ดแู ลรกั ษาเสื้อผา๎ การทาความสะอาดบา๎ น การทาความสะอาดและตกแตํงห๎องเรียน การใชว๎ สั ดุ อุปกรณ์
และเครื่องมือในการทางานตาํ ง ๆ การปลกู พชื ผกั สวนครวั การบารุงรักษาของเลํน การซํอมแซมของใช๎
สวํ นตัว การประดิษฐ์ของใชใ๎ นโอกาสตําง ๆโดยใชว๎ ัสดุ และวัสดุเหลือใช๎
ในท๎องถิน่ การสร๎างของเลนํ หรอื ของใชอ๎ ยาํ งงําย ด๎วยการกาหนดปญั หา หรอื ความต๎องการ รวบรวมข๎อมูล
ออกแบบ การถํายทอดความคิดเปน็ ภาพราํ ง 2 มิติ หรอื ภาพ 2 มิติ สร๎างชิ้นงาน และประเมินผลงาน การใช๎
เทคโนโลยีทเ่ี ปน็ ภมู ิปญั ญาท๎องถนิ่ ในการสรา๎ งงานตําง ๆ การเลือกใชส๎ ง่ิ ของเครื่องใชใ๎ นชีวติ ประจาวนั การ
สารวจ ค๎นหา และรวบรวมข๎อมลู จากแหลงํ ข๎อมลู ในท๎องถิ่นและแหลํงข๎อมูลที่เชื่อถือได๎ การพจิ ารณาและ
สรปุ ผล การนาเสนอข๎อมลู วิธดี แู ลและรกั ษาอุปกรณเ์ ทคโนโลยีสารสนเทศ

โดยใช๎กระบวนการทางาน การจดั การ การทางานรํวมกัน กระบวนการแกป๎ ัญหา กระบวนการ
เทคโนโลยี กระบวนการเทคโนโลยสี ารสนเทศ การฝึกปฏบิ ตั ิ และการแสวงหาความรู๎ เพ่ือใหเ๎ กดิ ความร๎ู
ความคิด ความเขา๎ ใจ สามารถทางานตามข้ันตอนกระบวนการทางาน มีทักษะในการเลอื กใช๎วสั ดุ อปุ กรณ์
และเครื่องมือ ตรงกับลักษณะงาน สามารถออกแบบและสร๎างชนิ้ งานตามความคิดสร๎างสรรคแ์ ละกระบวนการ
เทคโนโลยี มีความสามารถในการจัดการสง่ิ ของเคร่อื งใชด๎ ๎วยการนากลบั มาใชซ๎ า้ ถํายทอดความคดิ และ
ส่ือสารส่งิ ทีเ่ รียนร๎ูได๎ สามารถค๎นหาข๎อมลู ที่ตอ๎ งการอยํางมีขั้นตอนและนาเสนอข๎อมลู ได๎อยาํ งหลากหลาย ใช๎
งาน ดแู ลและรกั ษาอปุ กรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศไดถ๎ กู วธิ ี เห็นคุณคาํ และประโยชน์ของการทางาน ของ
แหลํงขอ๎ มูลใกล๎ตวั มีความคิดสร๎างสรรค์ ทางานรํวมกับผ๎ูอ่นื อยาํ งรห๎ู นา๎ ท่ี มกี ารปรบั ปรุงการทางานอยเูํ สมอ
สามารถนาความรู๎ไปประยุกต์ใช๎ในการทางาน ในชีวติ ประจาวัน มจี ิตสานึกในการอนรุ ักษส์ ง่ิ แวดล๎อม มี
คุณธรรมจริยธรรม และลักษณะนิสยั ในการทางานทีเ่ หมาะสม รกั การทางาน มเี จตคติท่ดี ีตํอการทางาน

รหสั ตวั ชี้วดั
ง ๑.๑ ป.๓/๑ ป.๓/๒ ป.๓/๓
ง ๒.๑ -

รวม ๓ ตัวช้ีวัด

-๑๑๑-

คาอธิบายรายวชิ าพื้นฐาน

ง ๑๔๑๐๑ การงานอาชพี กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชพี
ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี ๔ เวลา ๔๐ ช่วั โมง

ศกึ ษา สังเกต ฝกึ ปฏิบตั ิ และอภิปรายสรุปเกย่ี วกับการทางาน การดแู ลรักษาของใชส๎ วํ นตวั การ
จัดตเ๎ู สอ้ื ผ๎า โตะ๏ เขยี นหนังสือ และกระเป๋านักเรยี น การปลกู ไมด๎ อก หรือไมป๎ ระดับ การซอํ มแซมวัสดุ
อุปกรณ์ และเครื่องมือ การประดษิ ฐ์ของใช๎ ของตกแตงํ จากใบตอง และกระดาษ การจัดเกบ็ เอกสารสวํ นตัว
มารยาทในการต๎อนรับบดิ ามารดา หรือผู๎ปกครอง ในโอกาสตาํ ง ๆ มารยาทในการรบั ประทานอาหาร การใช๎
ห๎องเรยี น หอ๎ งนา้ และห๎องส๎วม ความหมาย และความสาคัญของอาชพี ในท๎องถิ่น

โดยใช๎กระบวนการทางาน การจดั การ การทางานรํวมกนั กระบวนการแกป๎ ญั หา
การฝกึ ปฏบิ ตั ิ การอภปิ ราย และการแสวงหาความร๎ู เพ่ือให๎เกดิ ความร๎ู ความคิด ความเข๎าใจ สามารถ
ทางานได๎ตามข้ันตอนกระบวนการทางานจนบรรลเุ ปาู หมายทีว่ างไว๎ สามารถอธิบายเหตุผลในการทางานให๎
บรรลเุ ปูาหมาย อธิบายความหมายและความสาคัญของอาชีพในทอ๎ งถน่ิ ถํายทอดความคดิ และสื่อสารส่งิ ท่ี
เรยี นรู๎ไดด๎ ี เหน็ คุณคาํ ของการทางาน และทางานรํวมกับผูอ๎ ืน่ อยํางร๎ูหนา๎ ที่ มมี ารยาทในการทางาน ปรบั ปรุง
การทางานอยํูเสมอสามารถนาความรคู๎ วามเข๎าใจไปประยุกต์ใช๎ ในการทางาน และในชีวติ ประจาวัน ใช๎
พลงั งานและทรัพยากรอยาํ งประหยัดและค๎ุมคํา มคี ุณธรรมจริยธรรม และลักษณะนิสัยการทางานทีเ่ หมาะสม
รกั การทางาน มีเจตคติทด่ี ีตํอการทางานและอาชีพสจุ รติ

รหสั ตวั ชี้วัด
ง ๑.๑ ป.๔/๑ ป.๔/๒ ป.๔/๓ ป.๔/๔
ง ๒.๑ ป.๔/๑

รวม ๕ ตัวช้ีวดั

-๑๑๒-

คาอธบิ ายรายวิชาพื้นฐาน

ง ๑๕๑๐๑ การงานอาชพี กลุ่มสาระการเรียนรูก้ ารงานอาชีพ
ช้นั ประถมศึกษาปที ่ี ๕ เวลา ๔๐ ชวั่ โมง

ศึกษา สงั เกต ฝึกฝน และอภปิ รายสรุปเกี่ยวกับขน้ั ตอนการทางาน การทาความสะอาด จัดเก็บ
และดูแลรกั ษา เส้ือผา๎ การปลกู พชื การทาบญั ชีครัวเรือน การจดั การในการจัดโต๏ะอาหาร
ต๎ูอาหาร ตู๎เย็น และห๎องครัว การทาความสะอาดห๎องน้าและห๎องส๎วม การซํอมแซมอุปกรณ์ของใช๎ในบา๎ น
การประดิษฐข์ องใช๎ ของตกแตงํ จากวสั ดเุ หลือใช๎ท่ีมีอยูํในท๎องถ่นิ การจดั เกบ็ เอกสารสาคัญ การดูแลรักษา
และใช๎สมบัติสวํ นตัว สมาชกิ ในครอบครวั และสวํ นรวม มารยาทในการทางานกบั สมาชกิ ในครอบครัว
ความหมายและววิ ฒั นาการของเทคโนโลยี การสร๎างส่ิงของเคร่อื งใช๎ ตามความสนใจ โดยกาหนดปัญหา
หรือความต๎องการ รวบรวมขอ๎ มลู เลือกวิธีการออกแบบเป็นภาพรําง 3 มิติ สรา๎ งชน้ิ งาน และประเมินผลงาน
การใชเ๎ ทคโนโลยีทเ่ี ป็นภูมปิ ญั ญาท๎องถ่ินในการสร๎างงาน การใช๎อุปกรณ์ เคร่ืองมือทเ่ี กย่ี วข๎องกบั กลไกและการ
ควบคมุ ไฟฟาู - อิเล็กทรอนกิ ส์ การเลือกใช๎เทคโนโลยอี ยํางสร๎างสรรค์ การแปรรปู สง่ิ ของเคร่ืองใช๎ การ
สารวจขอ๎ มูลเกี่ยวกับอาชีพตาํ ง ๆ ในชุมชน และความแตกตาํ งของแตลํ ะอาชีพ

โดยใชก๎ ระบวนการทางาน การจดั การ การทางานรํวมกัน กระบวนการแกป๎ ญั หา
กระบวนการเทคโนโลยี การฝกึ ปฏิบัติ การอภปิ ราย และการแสวงหาความร๎ู เพอ่ื ใหเ๎ กิดความร๎ู
ความคิด ความเข๎าใจ สามารถทางานตามข้ันตอนกระบวนการทางาน อธิบายเหตผุ ลการทางาน
แตลํ ะขั้นตอนได๎ มีทักษะการจดั การการทางานอยํางเปน็ ระบบ ใชแ๎ ละประยกุ ตใ์ ช๎อุปกรณ์ และเคร่ืองมือได๎
อยํางคลํองแคลวํ รวดเร็ว และถกู ต๎อง สามารถออกแบบและสร๎างชิน้ งานตามความคดิ สร๎างสรรค์ และ
กระบวนการเทคโนโลยี สามารถคน๎ หาข๎อมูลที่ตอ๎ งการอยํางมขี ้ันตอนและนาเสนอข๎อมูลได๎ ถํายทอดความคิด
และสื่อสารส่ิงทีเ่ รียนรู๎ได๎ดี เห็นคณุ คําของการทางาน ทางานรํวมกับผูอ๎ ่นื อยาํ งรูห๎ น๎าท่ี มีมารยาทในการทางาน
นาความรู๎ความเขา๎ ใจไปประยุกต์ใช๎ในการทางาน
ในชีวติ ประจาวันได๎ ใช๎พลังงานและทรัพยากรอยาํ งประหยัดและค๎ุมคํา มีคุณธรรมจรยิ ธรรม และลกั ษณะ
นสิ ยั การทางานทเ่ี หมาะสม รักการทางาน มเี จตคติท่ดี ตี ํอการทางานและอาชีพสุจริต

รหสั ตัวชวี้ ัด
ง ๑.๑ ป.๕/๑ ป.๕/๒ ป.๕/๓ ป.๕/๔
ง ๒.๑ ป.๕/๑ ป.๕/๒

รวม ๖ ตัวช้ีวดั

-๑๑๓-

คาอธิบายรายวิชาพื้นฐาน

ง ๑๖๑๐๑ การงานอาชีพ กลมุ่ สาระการเรียนรู้การงานอาชีพ
ชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี ๖ เวลา ๔๐ ชัว่ โมง

ศึกษา สังเกต ฝึกฝน และอภิปรายแนวทางในการทางานดูแลรักษาสมบัติภายในบา๎ น
การปลกู ไมด๎ อก หรือไมป๎ ระดับ หรือปลกู ผัก หรอื เล้ยี งปลาสวยงาม การบันทึกรายรับ - รายจาํ ย
ของห๎องเรยี น การจัดเกบ็ เอกสารการเงนิ การจัดการในการทางานเกย่ี วกบั การเตรียม ประกอบ
จดั อาหารให๎สมาชกิ ในครอบครวั การตดิ ตงั้ ประกอบของใชใ๎ นบา๎ น การประดิษฐ์ของใช๎ ของตกแตํงจากวสั ดุ
ในทอ๎ งถ่ินใหส๎ มาชกิ ในครอบครัว หรือเพื่อน ในโอกาสตําง ๆ การปฏิบัติตนอยํางมีมารยาทในการทางานกบั
สมาชกิ ในครอบครัวและผ๎ูอนื่ สวํ นประกอบของระบบเทคโนโลยี ประกอบดว๎ ย ตัวปูอน (Input) กระบวนการ
(Process) และผลลพั ธ์ (Output) การสรา๎ งส่ิงของเครื่องใช๎ตามความสนใจ กาหนดปัญหา หรอื ความต๎องการ
รวบรวมขอ๎ มูล เลือกวิธกี ารออกแบบเป็นภาพราํ ง 3 มติ ิ หรือแผนทีค่ วามคดิ สร๎างช้ินงาน และประเมนิ ผล
งาน การใช๎เทคโนโลยีที่เปน็ ภมู ิปัญญาท๎องถ่ินในการสร๎างงานตาํ ง ๆ การนาความร๎ูและทักษะการสรา๎ ง
ชน้ิ งานไปประยุกต์ใช๎ ในการสิ่งของเคร่อื งใชท๎ ี่เก่ยี วขอ๎ งกบั ชิ้นงานอ่ืนอีก เชํน กลไกและการควบคุมไฟฟาู -
อเิ ลก็ ทรอนิกส์ การสารวจตนเองเกี่ยวกับความสนใจ ความสามารถ และทกั ษะ คุณธรรมในการประกอบ
อาชีพ

โดยใชก๎ ระบวนการทางาน การจัดการ การทางานรํวมกัน กระบวนการแก๎ปญั หา
กระบวนการเทคโนโลยี การฝึกปฏบิ ตั ิ การอภิปราย และการแสวงหาความร๎ู เพื่อใหเ๎ กิดความรู๎
ความคิด ความเข๎าใจและมีความสามารถทางานตามขน้ั ตอนกระบวนการทางาน มที ักษะการจัดการในงาน
ตาํ ง ๆ เปน็ ระบบ ใช๎ความร๎แู ละทักษะการสรา๎ งช้นิ งานไปประยุกต์ใช๎ในงานอน่ื ใช๎อปุ กรณ์ และเครื่องมือได๎
อยาํ งคลํองแคลวํ รวดเร็ว ปลอดภัย สามารถออกแบบและสร๎างชนิ้ งานตามความคิดสร๎างสรรค์และ
กระบวนการเทคโนโลยี ร๎ูวิธที ีจ่ ะได๎ข๎อมูลเป็นขนั้ ตอนถํายทอดความคิดและสื่อสารสง่ิ ท่ีเรียนรไู๎ ด๎ดี เหน็ คุณคํา
ของการทางาน ทางานรวํ มกับผู๎อ่นื อยํางร๎หู นา๎ ท่ี มีมารยาทในการทางาน นาความร๎ู ความคดิ ความเข๎าใจไป
ประยกุ ตใ์ ชใ๎ นการทางานในชีวติ ประจาวัน มีจติ สานึกในการใช๎พลงั งานและทรัพยากรอยํางประหยัดและคม๎ุ คํา
ลักษณะนสิ ัยการทางานเหมาะสม รักการทางาน มีเจตคติทด่ี ตี ํอการทางาน มคี ุณธรรมท่ีสัมพนั ธ์กับอาชีพ

รหสั ตัวชี้วดั
ง ๑.๑ ป.๖/๑ ป.๖/๒ ป.๖/๓
ง ๒.๑ ป.๖/๑ ป.๖/๒

รวม ๕ ตัวช้ีวัด

-๑๑๔-

๘. กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาต่างประเทศ (ภาษาองั กฤษ)

-๑๑๕-

คาอธิบายรายวิชาพ้ืนฐาน

อ ๑๑๑๐๑ ภาษาอังกฤษ กลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาตา่ งประเทศ
ช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี ๑ เวลา ๒๐๐ ช่ัวโมง

ปฏิบัติตามคาสัง่ งาํ ย ๆ ทฟี่ ัง ระบุตวั อักษรและเสยี ง อํานออกเสียงและสะกดคางําย ๆ ถูกต๎องตาม
หลกั การอําน เลือกภาพตรงตามความหมายของคาและกลํมุ คาท่ีฟัง ตอบคาถามถามจากการฟงั เร่ืองใกลต๎ วั
พดู โตต๎ อบดว๎ ยคาสัน้ ๆ งาํ ย ๆ ในการสื่อสารระหวํางบคุ คล โดย ใช๎คาสัง่ งําย ๆ บอกความต๎องการ ของตนเอง
พดู ขอและใหข๎ ๎อมูลงาํ ย ๆ เก่ียวกับตนเองตามแบบท่ฟี งั พูดให๎ข๎อมลู เกี่ยวกับตนเองและเรอื่ งใกลต๎ วั ทเ่ี ก่ยี วกับ
ท๎องถิ่น พูดและทาทําทางประกอบตามวฒั นธรรมของเจ๎าของภาษา บอกช่อื หรือคาศพั ทเ์ กี่ยวกับเทศกาล
สาคญั ของเจ๎าของภาษา เขา๎ รํวมกิจกรรมทางภาษาและวฒั นธรรมท่ีเหมาะสมกับวัย ระบุตัวอักษรและเสียง
ตัวอักษรของภาษาตํางประเทศและภาษาไทย บอกคาศัพท์ทีเ่ กี่ยวข๎องกบั กลมํุ สาระการเรียนร๎ูอน่ื ฟัง พดู ใน
สถานการณง์ ําย ๆ ทเี่ กดิ ขึ้นในห๎องเรียน ใชภ๎ าษาตาํ งประเทศเพื่อรวบรวมคาศพั ทท์ เี่ กย่ี วข๎องใกล๎ตัวและ
ท๎องถน่ิ

รหัสตัวชี้วดั ป.๑/๑ ป.๑/๒ ป.๑/๓ ป.๑/๔
มฐ. ๑.๑ ป.๑/๑ ป.๑/๒ ป.๑/๓ ป.๑/๔
มฐ. ๑.๒ ป.๑/๑
มฐ. ๑.๓ ป.๑/๑ ป.๑/๒ ป.๑/๓
มฐ. ๒.๑ ป.๑/๑
มฐ. ๒.๒ ป.๑/๑
มฐ. ๓.๑ ป.๑/๑
มฐ. ๔.๑ ป.๑/๑
มฐ. ๔.๒

รวม ๑๖ ตัวชี้วดั

-๑๑๖-

คาอธิบายรายวิชาพ้ืนฐาน

อ ๑๒๑๐๑ ภาษาองั กฤษ กล่มุ สาระการเรยี นรภู้ าษาต่างประเทศ
ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี ๒ เวลา ๒๐๐ ชั่วโมง

ปฏิบัติตามคาสงั่ และคาขอร๎องงาํ ย ๆ ระบุตัวอกั ษรและเสยี ง ทฟ่ี ังอาํ นออกเสียงและอาํ นประโยคงาํ ย
ๆ ถูกต๎องตามหลักการอาํ นเลือกภาพตรงตามความหมายของคา กลุํมคาและประโยคที่ฟัง ตอบคาถามจาก
การฟงั ประโยค บทสนทนา หรือนทิ านงาํ ย ๆ ที่มีภาพประกอบ คาพูดโต๎ตอบด๎วยคาส้ันๆ งาํ ย ๆ ในการ
ส่ือสารระหวาํ งบคุ คลตามแบบทฟ่ี ัง ใช๎คาสง่ั และคาขอร๎องงาํ ย ๆ บอกความต๎องการ ของตนเอง พูดโตต๎ อบ
ดว๎ ยคาสั้นๆ งํายๆ ในการส่ือสารระหวาํ งบคุ คลใช๎คาส่งั งาํ ย ๆ บอกความต๎องการ ของตนเอง พูดขอและให๎
ขอ๎ มลู งาํ ย ๆ เกย่ี วกับตนเอง ตามแบบท่ีฟงั พดู ให๎ขอ๎ มลู เกี่ยวกบั ตนเองและเร่ืองใกลต๎ วั พูดและทาทาํ ประกอบ
ตามวัฒนธรรมของเจ๎าของภาษา บอกชือ่ หรือคาศพั ท์เกย่ี วกับเทศกาลสาคัญของเจ๎าของภาษา เข๎ารํวม
กิจกรรมทางภาษาและวัฒนธรรมทีเ่ หมาะสมกบั วยั ระบุตัวอักษรและเสยี งตัวอกั ษรของภาษาตาํ งประเทศและ
ภาษาไทย บอกคาสัง่ ทเี่ ก่ียวข๎องกับกลมุํ สาระการเรยี นร๎ูอนื่ ฟัง พดู ในสถานการณ์งาํ ย ๆ ที่เกิดขึ้นใน
ห๎องเรียนใช๎ภาษาตํางประเทศเพื่อรวบรวมคาศัพท์ที่เกี่ยวข๎องใกล๎ตวั

รหัสตัวช้ีวัด ป.๒/๑ ป.๒/๒ ป.๒/๓ ป.๒/๔
มฐ. ๑.๑ ป.๒/๑ ป.๒/๒ ป.๒/๓ ป.๒/๔
มฐ. ๑.๒ ป.๒/๑
มฐ. ๑.๓ ป.๒/๑ ป.๒/๒ ป.๒/๓
มฐ. ๒.๑ ป.๒/๑
มฐ. ๒.๒ ป.๒/๑
มฐ. ๓.๑ ป.๒/๑
มฐ. ๔.๑ ป.๒/๑
มฐ. ๔.๒

รวม ๑๖ ตัวชี้วัด

-๑๑๗-

คาอธบิ ายรายวชิ าพืน้ ฐาน

อ ๑๓๑๐๑ ภาษาองั กฤษ กลุ่มสาระการเรียนร้ภู าษาต่างประเทศ
ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี ๓ เวลา ๒๐๐ ชัว่ โมง

ปฏบิ ตั ติ ามคาสง่ั งาํ ย ๆ และคาขอร๎องท่ีฟังหรอื อาํ น อํานออกเสียง สะกดคา อาํ นกลุมํ คาประโยค
ประโยค และบทพูดเข๎าจงั หวะ (chant) งาํ ย ๆ ถกู ต๎องตามหลกั การอําน เลือก ระบุภาพ สัญลักษณต์ าม
ความหมายของกลํุมคาและประโยคที่ฟังตอบคาถามจากการฟังหรืออํานประโยค บทสนทนา หรอื นทิ านงําย
ๆ พดู โต๎ตอบดว๎ ยคาส้นั ๆ งํายๆ ในการสอ่ื สารระหวาํ งบุคคลใชค๎ าส่งั งําย ๆ บอกความต๎องการ ของตนเอง พดู
ขอและใหข๎ ๎อมูลงาํ ย ๆ เกย่ี วกับตนเอง บอกความรู๎สึกของตนเองเกี่ยวกบั ส่ิงตาํ ง ๆ ใกล๎ตวั หรอื กิจกรรมตํางๆ
ตามแบบท่ีฟงั พูดให๎ข๎อมลู เกี่ยวกับตนเองและเร่ืองใกล๎ตัว จดั หมวดหมํูคาตามประเภทของบคุ คล สัตว์ และ
สง่ิ ของ ตามที่ฟัง หรอื อาํ น พูดและทาทําประกอบตามมารยาทของสังคม วฒั นธรรมของเจ๎าของภาษา บอกช่อื
และคาศัพท์งาํ ย ๆ เกยี่ วกบั เทศกาลสาคญั /วนั สาคัญ/งานฉลอง และชีวติ ความเป็นอยํูของเจา๎ ของภาษา เข๎า
รวํ มกจิ กรรมทางภาษาและวัฒนธรรมทีเ่ หมาะกับวัย บอกความแตกตํางของเสียงตวั อกั ษร คา กลุํมคา และ
ประโยคงําย ๆ ของภาษาตํางประเทศและภาษาไทย บอกคาศัพทท์ ี่เก่ียวขอ๎ งกบั กลุมํ สาระการเรยี นรู๎อืน่ ฟัง
พูดในสถานการณ์งาํ ยๆ ทเ่ี กิดข้นึ ในหอ๎ งเรียนใช๎ภาษาตาํ งประเทศเพ่ือรวบรวมคาศัพทท์ ี่เกย่ี วข๎องใกล๎ตวั

รหสั ตัวชี้วัด ป.๓/๑ ป.๓/๒ ป.๓/๓ ป.๓/๔
มฐ. ๑.๑ ป.๓/๑ ป.๓/๒ ป.๓/๓ ป.๓/๔ ป.๓/๕
มฐ. ๑.๒ ป.๓/๑ ป.๓/๒
มฐ. ๑.๓ ป.๓/๑ ป.๓/๒ ป.๓/๓
มฐ. ๒.๑ ป.๓/๑
มฐ. ๒.๒ ป.๓/๑
มฐ. ๓.๑ ป.๓/๑
มฐ. ๔.๑ ป.๓/๑
มฐ. ๔.๒

รวม ๑๘ ตัวช้ีวดั

-๑๑๘-

คาอธิบายรายวิชาพ้ืนฐาน

อ ๑๔๑๐๑ ภาษาอังกฤษ กล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาองั กฤษ
ช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ ๔ เวลา ๘๐ ชัว่ โมง

ปฏบิ ตั ิตามคาส่ังและคาขอร๎องและคาแนะนา (Instructions) งําย ๆ ท่ฟี ังหรือ อํานออกเสยี ง สะกด
คา อํานกลํุมคาประโยค ประโยค ขอ๎ ความงาํ ย ๆ และบทพูดเขา๎ จังหวะ ถูกตอ๎ งตามหลักการอําน เลอื ก ระบุ
ภาพ หรอื สัญลกั ษณ์หรอื เคร่อื งหมาย ตามความหมายของประโยคและข๎อความสั้น ๆ ตอบคาถามจากการ
ฟังและอาํ นประโยค บทสนทนา หรอื นิทานงาํ ย ๆ พูด เขียนโตต๎ อบในการส่ือสารระหวํางบุคคล ใชค๎ าสัง่ คา
ขอร๎อง และคาขออนุญาตงําย ๆ พดู เขียนเพื่อขอและใหข๎ ๎อมลู เกยี่ วกับตนเองและครอบครัว พดู แสดง
ความร๎สู กึ ของตนเองเกย่ี วกบั ส่ิงตําง ๆ ใกลต๎ วั หรือกิจกรรมตาํ ง ๆ ตามแบบที่ฟัง พดู เขียนใหข๎ ๎อมลู เกยี่ วกับ
ตนเองและเร่ืองใกล๎ตวั พูด วาดภาพแสดงความสัมพนั ธข์ องสงิ่ ตาํ งใกล๎ตวั ตามทฟ่ี ังหรืออําน พดู แสดงความ
คิดเห็นงําย ๆเก่ยี วกับเรอื่ งตาํ ง ๆ ใกลต๎ ัว พดู และทาทาํ ประกอบอยาํ งสภุ าพตามมารยาทของสงั คม วัฒนธรรม
ของเจา๎ ของภาษา ตอบคาถามเกย่ี วกับเทศกาลสาคัญ/วันสาคัญ/งานฉลอง และชวี ิตความเปน็ อยูขํ องเจ๎าของ
ภาษา เขา๎ รวํ มกจิ กรรมทางภาษาและวัฒนธรรมท่ีเหมาะกับวยั บอกความแตกตํางของเสียงตวั อักษร คา
กลํมุ คา ประโยคงาํ ย ๆ และขอ๎ ความของภาษาตาํ งประเทศและภาษาไทย บอกความเหมอื น/ความแตกตําง ๆ
ระหวาํ งเทศกาลและงานฉลองของเจ๎าของภาษากบั ภาษาไทย ค๎นคว๎าและรวบรวมคาศัพทท์ เี่ กี่ยวข๎องกบั กลุํม
สาระการเรยี นรู๎อืน่ และนาเสนอดว๎ ยการพดู /การเขยี น ฟงั พูด อํานในสถานการณ์ ทเ่ี กดิ ข้นึ ในหอ๎ งเรียน
และสถานศึกษาใช๎ภาษาตํางประเทศในการสืบค๎นเพื่อรวบรวมข๎อมลู ตําง ๆ

รหัสตวั ชี้วัด ป.๔/๑ ป.๔/๒ ป.๔/๓ ป.๔/๔
มฐ. ๑.๑ ป.๔/๑ ป.๔/๒ ป.๔/๓ ป.๔/๔ ป.๔/๕
มฐ. ๑.๒ ป.๔/๑ ป.๔/๒ ป.๔/๓
มฐ. ๑.๓ ป.๔/๑ ป.๔/๒ ป.๔/๓
มฐ. ๒.๑ ป.๔/๑ ป.๔/๒
มฐ. ๒.๒ ป.๔/๑
มฐ. ๓.๑ ป.๔/๑
มฐ. ๔.๑ ป.๔/๑
มฐ. ๔.๒

รวม ๒๐ ตัวช้ีวัด

-๑๑๙-

คาอธิบายรายวชิ าพ้ืนฐาน

อ ๑๕๑๐๑ ภาษาอังกฤษ กลมุ่ สาระการเรยี นรูภ้ าษาองั กฤษ
ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ ๕ เวลา ๘๐ ชว่ั โมง

ปฏบิ ัติตามคาส่งั คาขอร๎องและคาแนะนา งําย ๆ ที่ฟังและอําน อาํ นออกเสยี ง ข๎อความและบทกลอน
สน้ั ๆ ระบุ/วาดภาพ สญั ลกั ษณห์ รอื เครือ่ งหมายตรงตามความหมายประโยคหรือข๎อความสัน้ ๆ ทฟ่ี ังหรืออาํ น
บอกใจความสาคญั และตอบคาถามจากการฟังหรอื อํานประโยค บทสนทนา หรอื นิทานงําย ๆ หรอื เรื่องสน้ั ๆ
พูด/เขยี นโต๎ตอบในการส่อื สารระหวาํ งบคุ คล ใชค๎ าสง่ั คาขอรอ๎ ง และคาขออนญุ าตและคาแนะนางําย ๆ พดู /
เขียนแสดงความตอ๎ งการ ขอความชํวยเหลือ ตอบรบั และปฏเิ สธ การใหค๎ วามชํวยเหลอื ในสถานการณ์งําย ๆ
พดู /เขียนและให๎ข๎อมูล เกี่ยวกบั ตนเอง เพ่ือน ครอบครัว และเรื่องใกล๎ตวั พดู /เขยี นแสดงความร๎ูสึกของ
ตนเองเกี่ยวกับเรื่องตําง ๆ ใกลต๎ วั และกิจกรรมตาํ ง ๆ พร๎อมทง้ั ให๎เหตุผลส้นั ๆ ประกอบ พูด/เขยี นและให๎
ขอ๎ มลู เก่ยี วกบั เร่ืองใกลต๎ วั เขียนภาพ แผนผัง และแผนภูมิแสดงข๎อมูลตาํ ง ๆ ตามท่ฟี ังหรืออาํ น พูดแสดงความ
คิดเห็นเกีย่ วกับเร่ืองตาํ ง ๆ ใกลต๎ วั ใช๎ถ๎อยคา น้าเสียง และกริ ยิ าทาํ ทางอยาํ งสุภาพตามมารยาทสังคมของ
เจา๎ ของภาษา เข๎ารํวมกิจกรรมทางภาษาและวฒั นธรรมทเ่ี หมาะสมกับวัย บอกความเหมือน/ความแตกตาํ ง
ระหวํางการออกเสียงประโยคชนิดตําง ๆ การใชเ๎ ครือ่ งหมายวรรคตอน และการลาดบั คา (order)ตาม
โครงสรา๎ งประโยคของภาษาตํางประเทศและภาษาไทย บอกความเหมือน/ความแตกตํางของเทศกาล/วัน
สาคญั /งานฉลองของเจ๎าของภาษากบั ของไทย ค๎นคว๎าและรวบรวมคาศัพทท์ ี่เกย่ี วข๎องกับกลุํมสาระการเรยี นร๎ู
อื่น และนาเสนอดว๎ ยการพูด/การเขียน ฟงั /พูดในสถานการณง์ าํ ย ๆ ท่ีเกิดข้นึ ในห๎องเรยี นและสถานศึกษา ใช๎
ภาษาตาํ งประเทศในการสืบค๎นและรวบรวมข๎อมูลตาํ ง ๆ

รหสั ตัวช้ีวัด ป.๕/๑ ป.๕/๒ ป.๕/๓ ป.๕/๔
มฐ. ๑.๑ ป.๕/๑ ป.๕/๒ ป.๕/๓ ป.๕/๔ ป.๕/๕
มฐ. ๑.๒ ป.๕/๑ ป.๕/๒ ป.๕/๓
มฐ. ๑.๓ ป.๕/๑ ป.๕/๒ ป.๕/๓
มฐ. ๒.๑ ป.๕/๑ ป.๕/๒
มฐ. ๒.๒ ป.๕/๑
มฐ. ๓.๑ ป.๕/๑
มฐ. ๔.๑ ป.๕/๑
มฐ. ๔.๒

รวม ๒๐ ตัวช้ีวัต

-๑๒๐-

คาอธบิ ายรายวิชาพื้นฐาน

อ ๑๖๑๐๑ ภาษาอังกฤษ กลุม่ สาระการเรยี นร้ภู าษาองั กฤษ
ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ ๖ เวลา ๘๐ ชว่ั โมง

ปฏบิ ตั ิตามคาส่ัง คาขอร๎องและคาแนะนาที่ฟังและอําน อํานออกเสียงข๎อความ นิทานและบท
กลอนส้ัน ๆ ถูกต๎องตามหลักการอําน เลือก/ระบุประโยคหรือข๎อความส้ัน ๆ ตรงตามภาพ สัญลักษณ์หรือ
เคร่ืองหมายท่ีอํานบอกใจความสาคัญและตอบคาถามจากการฟังและอําน บทสนทนา หรอื นทิ านงาํ ย ๆ
และเรอ่ื งเลาํ พดู เขียนโต๎ตอบในการส่อื สารระหวาํ งบคุ คล ใชค๎ าส่ัง คาขอร๎องในการขออนญุ าตและให๎
คาแนะนา พดู เขยี นแสดงความต๎องการ ขอความชวํ ยเหลือ ตอบรับและปฏเิ สธการให๎ความชวํ ยเหลอื ใน
สถานการณ์งําย ๆ พดู และเขียนเพอื่ ขอและให๎ขอ๎ มลู เก่ยี วกับตนเอง เพือ่ นครอบครัว และเร่ืองใกล๎ตวั พูด/
เขยี นแสดงความร๎สู ึกเก่ียวกบั เรื่องตําง ๆ ใกล๎ตวั กิจกรรมตําง ๆ พร๎อมท้ังให๎เหตุผลสนั้ ๆ ประกอบ พูด/เขียน
ให๎ข๎อมูลเกย่ี วกบั ตนเองและส่ิงแวดลอ๎ มใกลต๎ ัว เขียนภาพ แผนผัง แผนภูมิ และตารางแสดงขอ๎ มลู ที่ฟงั หรือ
อําน พูด/เขียนแสดงความคดิ เห็นเก่ยี วกบั เรอื่ งตาํ งใกล๎ตวั ใช๎ถ๎อยคา นา้ เสยี ง และกิริยาทาํ ทางอยํางสภุ าพ
ตามมารยาทสังคม และวฒั นธรรมของเจ๎าของภาษา ใหข๎ ๎อมูลเกี่ยวกับเทศกาล/วนั สาคญั /งานฉลอง/ชีวติ ความ
เปน็ อยํูของเจ๎าของภาษา เข๎ารํวมกจิ กรรมทางภาษาและวัฒนธรรมตามความสนใจ บอกความเหมือน/ความ
แตกตาํ งระหวํางการออกเสียงประโยคชนดิ ตําง ๆ การใชเ๎ ครื่องหมายวรรคตอน และการลาดบั คาตาม
โครงสร๎างประโยคของภาษาตํางประเทศและภาษาไทย เปรียบเทยี บความเหมือนและความแตกตาํ งระหวาํ ง
เทศกาลงานฉลองของเจา๎ ของภาษากับของไทย คน๎ ควา๎ รวบรวมคาศัพท์ที่เก่ียวขอ๎ งกับกลํุมสาระการเรียนรู๎อน่ื
จากแหลงํ เรยี นรู๎ และนาเสนอดว๎ ยการพดู /การเขยี น ใชภ๎ าษาสื่อสารในสถานการณต์ าํ ง ๆ ท่เี กิดข้ึนในหอ๎ งเรียน
และสถานศึกษา ใช๎ภาษาตํางประเทศในการสบื ค๎นและรวบรวมข๎อมูลตําง ๆ

รหัสตัวช้ีวดั ป.๖/๑ ป.๖/๒ ป.๖/๓ ป.๖/๔
มฐ. ๑.๑ ป.๖/๑ ป.๖/๒ ป.๖/๓ ป.๖/๔ ป.๖/๕
มฐ. ๑.๒ ป.๖/๑ ป.๖/๒ ป.๖/๓
มฐ. ๑.๓ ป.๖/๑ ป.๖/๒ ป.๖/๓
มฐ. ๒.๑ ป.๖/๑ ป.๖/๒
มฐ. ๒.๒ ป.๖/๑
มฐ. ๓.๑ ป.๖/๑
มฐ. ๔.๑ ป.๖/๑
มฐ. ๔.๒

รวม ๒๐ ตัวชี้วดั



-๑๒๑-

กิจกรรมพฒั นาผ้เู รยี น

ความสาคญั
กิจกรรมพัฒนาผ๎ูเรียน เป็นสํวนหน่ึงของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช

๒๕๕๑ ที่ชวํ ยผูเ๎ รยี นไดน๎ าองค์ความรู๎ ทักษะจากการเรียนร๎ู และประสบการณ์ของผู๎เรียนมาปฏิบัติกิจกรรม
พัฒนา ตนเอง เพ่ือเป็นคนดีมีคุณธรรม จริยธรรม มีวินัย และมีจิตสาธารณะที่ดีงาม เป็นคนดีมีปัญญาใน
การใช๎ ทักษะชีวิต การคิด การสื่อสาร การแก๎ปัญญา และการใช๎เทคโนโลยี และเป็นคนมีความสุขในการ
ดาเนิน ชีวติ อยํางพอเพียงโดยอยรํู ํวมกบั ผอู๎ ่นื ในสงั คมได๎อยาํ งสรา๎ งสรรค์

หลักการ
กิจกรรมพัฒนาผ๎เู รยี นมีหลกั การสาคัญ ในการจัดกจิ กรรมดังนี้
๑. มเี ปาู หมายของการจัดกิจกรรมที่ซัดเจน เปน็ รปู ธรรม และครอบคลมุ ผู๎เรียนทุกคน
๒. เปน็ กจิ กรรมทผ่ี ๎เู รียนได๎พัฒนาตนเองอยาํ งรอบด๎านเต็มตามศักยภาพ ตามความสนใจ ความ ถนัด

ความตอ๎ งการ เหมาะสมกับวัยวฒุ แิ ละวฒุ ภิ าวะ
๓. เป็นกิจกรรมที่ปลูกฝังและสํงเสริมจิตสานึกในการบาเพ็ญตนให๎เป็นประโยชน์ตํอสังคมใน

ลักษณะ ตาํ งๆ ที่สอดคลอ๎ งกบั วถิ ชี วี ติ ประเพณี และวฒั นธรรมอยํางตํอเนื่องและสมา่ เสมอ
๔. เปน็ กจิ กรรมทย่ี ึดหลักการมีสํวนรวํ ม โดยเปิดโอกาสใหค๎ รู พํอแมํ ผ๎ปู กครอง ผนู๎ าชุมชน

ปราชญซ์ าวบา๎ น องค์กร และหนวํ ยงานอน่ื มีสวํ นรวํ มในการจดั กิจกรรม

แนวทางจัดกจิ กรรมพัฒนาผู้เรียน
สถานศึกษาจัดใหผ๎ ๎เู รยี นทุกคนเชา๎ รวํ มกจิ กรรมโดยมแี นวทางการจดั กจิ กรรมดังน้ี

๑. ให๎ผเ๎ู รยี นปฏิบัติกจิ กรรมตามความสนใจ
๒. ให๎ผเู๎ รยี นได๎ปฏบิ ตั ิกิจกรรมผํานประสบการณ์ท่ีหลากหลาย ‘ฝึกการทางานที่สอดคล๎องกับชีวิต
จรงิ ตลอดจนสะทอ๎ นความร๎ู ทักษะ และประสบการณข์ องผเ๎ู รยี น
๓. จัดกิจกรรมอยํางสมดุลทั้ง ๓ ลักษณะ คือ กิจกรรมแนะแนว กิจกรรมนักเรียน และกิจกรรม
เพือ่ สังคมและสาธารณประโยชน์ โดยจัดกิจกรรมรายบุคคล กิจกรรมกลุํม ทั้งในและนอกสถานศึกษาอยําง
สม่าเสมอและตอํ เนื่อง
๔. จัดกิจกรรมให๎ผ๎ูเรียนเป็นผู๎ดาเนินการ โดยการศึกษาและใช๎ข๎อมูลประกอบการวางแผนอยําง
เปน็ ระบบ เนนิ การคิดวิเคราะหแ์ ละใช๎ความคดิ สรา๎ งสรรค์ในการดาเนินกจิ กรรม
๕. ใชก๎ ระบวนการมีสํวนรํวมและการเรยี นเปน็ ผดู๎ าเนินการโดยการศกึ ษาและใช๎ขอ๎ มลู ประกอบการ
วางแผนอยาํ งเปน็ ระบบ เนน๎ การคิดวเิ คราะห์และใชค๎ วามคดิ สรา๎ งสรรคใ์ นการกาเนนิ กิจกรรม ๖. จัดใหม๎ ีการ
แลกเปล่ียนเรียนร๎แู ละเผยแพรํกิจกรรม

-๑๒๒-

ขอบขา่ ยการจัดกิจกรรมพัฒนาผเู้ รยี น
โรงเรียนบ๎านบอํ ดิน มแี นวทางการจดั กจิ กรรมพฒั นาผเ๎ู รยี นตามชอบขําย ทหี่ ลกั สูตรแกนกลาง

การศกึ ษาชนั้ พื้นฐานพุทธศักราช ๒๕๕๑ กาหนดไว๎

๑. การจัดกิจกรรมแนะแนว
หลักการ

การจดั กิจกรรมแนะแนวต๎องสํงเสริมและสนับสนุนเพื่อพัฒนาผู๎เรียนใหเ๎ กิดการเรียนรู๎อันจะ
นาไปสูํ สมรรถนะทีส่ าคญั ๕ ประการและคุณลักษณะอันพิงประสงค์ ๘ ประการ โดยนาไปบรู ณาการ
ในการจัด กจิ กรรมตามลักษณะชองกจิ กรรมแนะแนวที่ระบุไว๎ในหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาชนั้ พนื้ ฐาน
พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ อกี ท้ังยงั ตอ๎ งสํงเสรมิ และพฒั นาผ๎เู รยี นใหม๎ ที ักษะชีวิตโดยมุงํ จัดกิจกรรมใหส๎ อดคลอง
กบั สภาพปัญหา ความต๎องการ ความสนใจ ธรรมชาตชิ องผเ๎ู รยี นและวสิ ยั ทศั นช์ องสถานศึกษา ที่
ตอบสนองจดุ มํงุ หมาย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาช้ันพน้ื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ให๎ครอบคลมุ ท้ังดา๎ น
การศกึ ษา ดา๎ นอาชพี รวมทั้งด๎านสํวนตัวและสังคมเน๎นผูเ๎ รียนเปน็ สาคญั โดยผ๎ูเรยี นมอี สิ ระในการคดิ และ
ตดั สนิ ใจด๎วยตนเอง เรียนรู๎ ด๎วยตนเองด๎วยการปฏบิ ตั จิ นกระทง้ั เกิดทักษะชีวติ ตลอดจนครทู ุกคนตอ๎ งมี
สวํ นรํวมในการจดั กจิ กรรมโดยมี ครแู นะแนวเปน็ พเ่ี ล้ยี งและประสานงาน

วัตถุประสงค์
๑. เพ่ีอใหผ๎ เู๎ รียนเกิดการเรียนรู๎ รจู๎ กั เขา๎ ใจ รกั และเหน็ คณุ คําในตนเองและผู๎อ่นื
๒. เพี่อให๎ผ๎ูเรียนเกดิ การเรียน สามารถวางแผนการเรียน อาชีพ รวมทั้งการดาเนนิ ชวี ติ และสังคม เกิด

การเรยี นรู๎ สามารถปรบั ตวั ได๎อยํางเหมาะสมและอยูรํ วํ มกับผู๎อนื่ ได๎อยํางมีความสขุ
๓. เพ่ีอให๎ผูเ๎ รียนรจู๎ ักเผชิญกบั ส่ิงแวดลอ๎ มใหมํๆ และสามารถแกป๎ ญั หาตาํ งๆ ได๎อยํางมีเหตผุ ล
๔. เพ่อี ชวํ ยให๎ผู๎เรียนร๎ูจักตนเองและพฒั นาศักยภาพตนเองไปสูํเปูาหมายที่พึงประสงค์

ขอบข่าย
การจดั กิจกรรมแนะแนวมีองค์ประกอบ ๓ ดา๎ น ดงั น้ี
๑. ด๎านการศึกษา ให๎นักเรียนได๎พัฒนาตนเองในด๎านการเรียนอยํางเต็มตามศักยภาพ ร๎ูจักแสวงหา

และใช๎ข๎อมูลประกอบการวางแผนการเรียนหรือการศึกษาตํอได๎อยํางมีประสิทธิภาพ มีนิสัยใฝุร๎ูใฝุเรียน มี
วธิ กี ารเรยี นรู๎ และสามารถวางแผนการเรยี นหรอื การศึกษาตอํ ได๎อยาํ งเหมาะสม

๒. ดา๎ นอาชพี ใหน๎ กั เรยี นไดร๎ ๎ูจดั ตนเองในทกุ ดา๎ น รแู๎ ละเขา๎ ใจโลกของงานอาชีพอยํางหลากหลาย มี
เจตคติทด่ี ตี ํออาชพี สุจรติ มีการเตรียมตัวสํอู าชพี สามารถวางแผนเพ่ีอประกอบอาชีพตามที่ตนเองมีความ ถนัด
และสนใจ

๓. ด๎านสวํ นตัวและสงั คม ให๎นักเรียนรูจ๎ ักและเข๎าใจตนเอง รกั และเหน็ คุณคาํ ของตนเองและผอู๎ ่นื
รกั ษส์ ่งิ แวดล๎อม มวี ฒุ ิภาวะทางอารมณ์ มเี จตคติทด่ี ีตํอการมีชีวิตทด่ี ีมีคุณภาพ มที ักษะชีวติ และสามารถ
ปรับตัว ดารงชวี ิตอยูใํ นสงั คมได๎อยํางมีความสุข

-๑๒๓-

แนวทางการจดั กจิ กรรม
๑. ศกึ ษาวเิ คราะห์สภาพปญั หา ความต๎องการ ความสนใจ ธรรมชาตขิ องผเู๎ รยี น
๒. วิเคราะห์สมรรถนะสาคัญของผูเ๎ รยี น คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ วสิ ัยทัศน์ของสถานศึกษาและ

วิเคราะห์ข๎อมลู ของผู๎เรียนเป็นรายบคุ คล
๓. กาหนดสดั สวํ นของกิจกรรมแนะแนวให๎ครอบคลมุ ดา๎ นการศกึ ษา อาชพี ด๎านสวํ นตัวและสงั คม

โดยยดึ สภาพปัญหา ความต๎องการ ความสนใจ ตลอดจนธรรมชาตขิ องผู๎เรยี นและเปูาหมายของสถานศึกษา
โดยครู ผปู๎ กครองและผ๎ูเรยี นมีสวํ นรวํ ม

๔. กาหนดวัตถุประสงค์การจัดกจิ กรรมแนะแนวของสถานศึกษาเป็นระดับการศึกษาและซนปี
๕. ออกแบบการจัดกิจกรรมแนะแนวประกอบดว๎ ย วัตถปุ ระสงค์ การจัดกิจกรรม เวลาจดั กิจกรรม
หลกั ฐานการทากิจกรรม และการประเมินผล
๖. จัดทาแผนการจัดกจิ กรรมแนะแนวรายช่ัวโมง ประกอบด๎วย ซ่อื กจิ กรรม จุดประสงค์ เวลา
เนอื้ หา/สาระ วธิ กี ารดาเนินกิจกรรม สื่อ/อปุ กรณ์ และการประเมนิ ผล
๗. จัดกจิ กรรมแนะแนวตามแผนการจดั กจิ กรรมแนะแนวและประเมนิ ผลการจัดกจิ กรรม
๘. ประเมินเพ่ือตัดสินผล และสรุปรายงาน

๒. การจดั กิจกรรมนกั เรียน
หลักการ

การจดั กจิ กรรมนกั เรียน เป็นกจิ กรรมทสี่ งํ เสริมให๎ผูเ๎ รียนได๎เข๎ารํวมกจิ กรรมตามความถนัดและความ
สนใจ โดยเนน๎ เรอ่ื งคุณธรรม จริยธรรม ความมีระเบยี บวนิ ัย การไมเํ ห็นแกตํ วั ความเป็นผู๎นาํ ผต๎ู ามท่ีดี ความ
รบั ผิดชอบ การทางานรํวมกนั การร๎จู ักแก๎ปัญหา การตัดสินใจ ความมเี หตผุ ล การชํวยเหลอื แบํงปัน ความเอื้อ
อาทรและสมานฉันท์ การจดั กิจกรรมนักเรยี นควรดาเนนิ การ ดงั นี้

๑. จัดใหส๎ อดคลอ๎ งกับความสามารถและความสนในของผูเ๎ รยี น
๒. เนน๎ ใหผ๎ ูเ๎ รียนได๎ปฏิบตั ิด๎วยตนเองทุกข้ันตอน
๓. เนน๎ การทางานรวํ มกนั เปน็ กลํมุ ตามความเหมาะสมและสอดคลอ๎ งกบั วุฒิภาวะของผ๎ูเรยี นตลอดจน
บริบทของสถานศึกษาและห๎องถิ่น

วัตถุประสงค์
๑. เพอ่ื พัฒนาผู๎เรียนให๎มรี ะเบียบวินัย มีความเป็นผูน๎ าํ ผูต๎ ามทีด่ ี และมีความรับผิดชอบ
๒. เพือ่ พัฒนาผเ๎ู รยี นให๎มีทกั ษะการทางานรวํ มกัน รู๎จักการแก๎ปัญหา มีเหตผุ ล มีการตัดสินใจที่

เหมาะสม ชํวยเหลือแบงํ ปัน เออื้ อาทรและสมานฉันท์
๓. สงํ เสรมิ และสนับสนนุ ใหผ๎ ๎ูเรียนมีคุณธรรม จริยธรรม และคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์
๔. สงํ เสรมิ และสนบั สนุนใหผ๎ ๎เู รียนได๎ปฏิบตั ิกิจกรรมตามความถนัดและความสนใจ

-๑๒๔-

ขอบข่าย
กิจกรรมนักเรยี นประกอบด๎วย

๑. กิจกรรมลูกเสอื เนตนารี
๒. กจิ กรรมชมุ นมุ สถานศึกษาสํงเสรมิ ใหผ๎ เู๎ รียนจดั กิจกรรมอยํางหลากหลาย และเข๎ารวํ มกิจกรรม
ตามความถนดั และความสนใจ
๓. การจัดกิจกรรมเพือ่ สังคมและสาธารณประโยชน์

หลกั การ
การจัดกจิ กรรมเพ่ือสงั คมและสาธารณประโยชน์เปน็ กจิ กรรมท่ีต๎องสํงเสริมใหผ๎ เ๎ู รียนสามารถพัฒนา

ตนเองตามธรรมชาตแิ ละเต็มตามศกั ยภาพโดยคานงึ ถึงความแตกตํางระหวาํ งบุคคลและพฒั นาการทางสมอง
เน๎นใหค๎ วามสาคัญท้ังความร๎ู และคุณธรรมจรยิ ธรรม จัดกิจกรรมโดยให๎ผเ๎ู รียนคิดสร๎างสรรค์ออกแบบ กิจกรรม
เพอื่ สาธารณประโยชนอ์ ยาํ งหลากหลายรูปแบบ เพ่ือแสดงถงึ ความรบั ผิดชอบตํอสงั คมในลักษณะจิต อาสา

วัตถุประสงค์
๑. เพ่ือปลูกผิงและสร๎างจิตสานึกให๎แกํผู๎เรียนในการบาเพ็ญตนให๎เป็นประโยชน์ตํอครอบครัว

โรงเรยี น ชุมชน สังคม และประเทศชาติ
๒. เพ่ือให๎ผ๎ูเรียนมีความคิดริเร่ิมสร๎างสรรค์ในการจัดกิจกรรมเพ่ือสังคมและสาธารณประโยชน์ตาม

ความถนัดและความสนใจในลกั ษณะอาสาสมคั ร
๓. เพื่อให๎ผ๎เู รียนมคี วามร๎ู คุณธรรม จริยธรรมตามคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์
๔. เพอ่ื ให๎ผเ๎ู รยี นมจี ิตสาธารณะและใชเ๎ วลาวาํ งให๎เป็นประโยชน์

ขอบขา่ ย
เป็นกระบวนการจัดกิจกรรมในลักษณะกิจกรรมบาเพ็ญประโยชน์ กิจกรรมอาสาพัฒนาหรือกิจกรรม

สร๎างสรรค์สังคม โดยผู๎เรียนดาเนินการด๎วยตนเองในลักษณะอาสาสมัครเพ่ือแสดงถึงความรับผิดชอบ ความดี
งาม ความเสยี สละตอํ สังคม และมจี ิตสาธารณะ

-๑๒๕-

แนวทางการจัดกจิ กรรม
การจัดกจิ กรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ เนน๎ ให๎ผูเ๎ รียนรํวมกันสารวจและวิเคราะหส์ ภาพ

ปัญหา รวํ มกนั ออกแบบการจัดกจิ กรรม วางแผนการจัดกิจกรรม ปฏบิ ตั ิกจิ กรรมตามแผน รํวมสรุป และ
ประเมนิ ผลการจัดกจิ กรรม รํวมรายงานผล พรอ๎ มทง้ั ประซาสัมพนั ธ์และเผยแพรผํ ลการจัดกจิ กรรม

การจดั กจิ กรรมเพ่ือสังคมและสาธารณประโยชน์ ผู๎เรียนสามารถเสอื กจดั กจิ กรรมหรอื เช๎ารวํ ม
กิจกรรมได๎ ดังน้ี

๑. จดั กจิ กรรมภายในโรงเรยี น (กจิ กรรมในวิถีชีวติ โรงเรยี นเพ่อื ปลูกผิงจติ อาสา) เป็นกจิ กรรมที่
ผูเ๎ รียนและครทู ่ีปรึกษากิจกรรม รํวมกนั วางแผนปฏบิ ัตกิ จิ กรรมจติ อาสาในวิถีชวี ติ ชองชัน้ เรยี นและโรงเรียนจน
เกิดเปน็ นสิ ัยในการสมัครใจทางานตํางๆ เพ่ือประโยชน์ชองสวํ นรวมซึ่งงานเหลําน้จี ะขยายชอบเขตจากใกล๎ตัว
ไปสูสํ งั คมที่อยํูภายนอกได๎

๒. จดั กจิ กรรมลักษณะโครงการ/โครงงาน/กจิ กรรม หมายถึง กจิ กรรมทผ่ี เ๎ู รียนนาเสนอการจัด
กจิ กรรมตํอโรงเรียนเพ่ือขอความเห็นชอบในการจัดทาโครงการหรอื โครงงานหรือกจิ กรรม ซ่ึงมรี ะยะเวลา
เริม่ ต๎นและสนิ้ สดุ ทซ่ี ัดเจน

๓. จัดกจิ กรรมรํวมกบั องค์กรอนื่ หมายถึง กจิ กรรมที่ผเู๎ รยี นอาสาสมคั รเชา๎ รวํ มกจิ กรรมกับ
หนวํ ยงานหรือองค์กรอืน่ ๆ ท่ีจดั กิจกรรมในลักษณะเพอ่ื สังคมและสาธารณะประโยชนโ์ ดยผู๎เรยี นสามารถเสือก
เชา๎ รํวมกิจกรรมได๎ ดังนี้

๓.๑ รวํ มกบั หนวํ ยงานอื่นทเี่ ข๎ามาจดั กิจกรรมในโรงเรยี น
๓.๒ รวํ มกับหนวํ ยงานอ่นื ที่จดั กจิ กรรมนอกโรงเรียน

การประเมนิ ผลกิจกรรมพัฒนาผู้เรยี น
การประเมินผลการจัดกิจกรรมพัฒนาผ๎เู รยี นตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช

๒๕๕๑ เปน็ การประเมนิ โดยผ๎ูเรียนต๎องมเี วลาเข๎ารํวมกิจกรรม ปฏบิ ัตกิ จิ กรรม ร๎อยละ ๘๐ ของเวลาเรยี นใน
แตํละกจิ กรรมและมผี ลงาน/ขั้นงาน/คุณลักษณะผาํ นการประเมนิ ทุกจดุ ประสงค์แตํละจัดประสงคม์ ผี ลการ
ประเมินผาํ นไมตํ า่ กวาํ รอ๎ ยละ ๕๐

หลกั การ
การประเมินกจิ กรรมพัฒนาผ๎ูเรียนตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

เปน็ การประเมินการปฏบิ ัติกจิ กรรม/ผลงาน/ขน้ั งาน/คณุ ลักษณะชองผูเ๎ รยี นเป็นระยะ อยํางตํอเนื่อง มํงุ เนน๎ ให๎
ผเู๎ รียนค๎นหาศกั ยภาพชองตนเอง สะท๎อนแนวคิดจากการปฏิบัติกิจกรรม การทางานกลมุํ และการมีจติ
สาธารณะโดยใหท๎ ุกฝาุ ยทีเ่ กีย่ วขอ๎ งมีสํวนรํวมในการประเมิน

-๑๒๖-

แนวทางการประเมิน
การประเมนิ กจิ กรรมพัฒนาผเ๎ู รียน มีแนวทางในการประเมินตามแผนภาพ ดงั น้ี

-๑๒๗-

๑. การประเมินกจิ กรรมพฒั นาผ๎เู รยี นรายกิจกรรม มีแนวปฏิบัตดิ งั น้ี
๑.๑ ตรวจสอบเวลาเข๎ารํวมกจิ กรรมของผเ๎ู รียนให๎เปน็ ไปตามเกณฑท์ ส่ี ถานศกึ ษากาหนด
๑.๒ ประเมนิ กจิ กรรมพัฒนาผูเ๎ รียนจากการปฏิบตั ิกิจกรรม และผลงาน / ช้ินงาน / คณุ ลักษณะของ

ผูเ๎ รยี นตามเกณฑท์ ่สี ถานศึกษากาหนดด๎วยวิธีการท่ีหลากหลาย เนน๎ การมสี วํ นรํวมของผ๎ูมสี ํวนเกี่ยวข๎องในการ
ปฏบิ ัติกิจกรรม

๑.๓ ผ๎ูเรียนมีเวลาเข๎ารํวมกิจกรรม มีการปฏิบัติกิจกรรม และมีผลงาน / ช้ินงาน / คุณลักษณะ
ตาม เกณฑ์ทสี่ ถานศกึ ษากาหนด เปน็ ผ๎ูผํานเกณฑก์ ารประเมินกจิ กรรมพัฒนาผ๎เู รียนรายกิจกรรม และนาผล
การ ประเมนิ ไปบันทกึ ในแบบแสดงผลการเรยี น

๑.๔ ผ๎ูเรียนท่ีมีผลการประเมินไมํผํานเกณฑ์ในเวลาการเข๎ารํวมกิจกรรม การปฏิบัติกิจกรรม และ
ผลงาน / ชิ้นงาน / คณุ ลักษณะตามท่ีสถานศึกษากาหนด ครูหรือผู๎รับผิดชอบต๎องดาเนินการซํอมเสริมและ
ประเมนิ จนผําน ทั้งนี้ควรดาเนินการให๎เสร็จส้ินในปีการศึกษานั้นๆ ยกเว๎นมีเหตุสุดวิสัยให๎อยํูในดุลพินิจของ
สถานศึกษา

๒. การประเมนิ กจิ กรรมพฒั นาผ๎เู รียนเพือ่ การตดั สิน
การประเมินกจิ กรรมพัฒนาผ๎เู รียนเพือ่ ตดั สินเลื่อนช้ินและจบระดับการศึกษา เปน็ การประเมินการ

ผํานกจิ กรรมพัฒนาผ๎ูเรียนเป็นรายปี / รายภาค เพื่อสรปุ ผลการผํานในแตลํ ะกิจกรรม สรุปผลรวมเพื่อเลอื่ น
ช้นิ และประมวลผลรวมในปสี ดุ ทา๎ ยเพ่ือการจบแตลํ ะระดบั การศกึ ษา โดยการดาเนนิ การดังกลาํ วมีแนว
ปฏบิ ัติ ดังนี้

๒.๑ กาหนดให๎ผ๎ูรับผิดชอบในการรวบรวมข๎อมูลเกี่ยวกับการรํวมกิจกรรมพัฒนาผู๎เรียนทุกคน
ตลอด ระดบั การศึกษา

๒.๒ ผู๎รับผิดชอบสรุปและตัดสินผลการรํวมกิจกรรมพัฒนาผู๎เรียนของผู๎เรียนเป็นรายบุคคลตาม
เกณฑ์ท่ีสถานศึกษากาหนด เกณฑก์ ารจบแตํละระดับการศึกษาที่สถานศึกษากาหนดน้ีน ผู๎เรียนจะต๎องผําน
กจิ กรรม ๓ กิจกรรมสาคญั ดังน้ี

๒.๒.๑ กิจกรรมแนะแนว
๒.๒.๒ กจิ กรรมนักเรียน ได๎แกํ

๑) กจิ กรรมลกู เสอื เนตรนารี
๒) กิจกรรมชุมนมุ
๒.๒.๓ กจิ กรรมเพื่อสงั คมและสาธารณประโยชน์
๒.๓ ผู๎รับผิดชอบเสนอผลการประเมินตํอคณะอนุกรรมการกลุํมสาระการเรียนร๎ูและกิจกรรม
พัฒนา ผ๎ูเรยี นเพือ่ ให๎ความเหน็ ชอบ
๒.๔ ผ๎ูรับผิดชอบเสนอผู๎บริหารสถานศึกษาพิจารณาเพ่ืออนุมัติผลการประเมินกิจกรรมพัฒนา
ผู๎เรยี น ผาํ นเกณฑก์ ารจบแตลํ ะระดบั การศึกษา

-๑๒๘-

เกณฑก์ ารตดั สนิ
ผ๎ูเรียนจะต๎องได๎รับการประเมินกิจกรรมพัฒนาผู๎เรียนและผํานเกณฑ์ตามที่สถานศึกษากาหนด

โดย กาหนดเกณฑใ์ นการประเมินอยาํ งเหมาะสม ดังน้ี
๑. กาหนดคุณภาพหรือเกณฑ์ในการประเมินตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐานกาหนด

ไว๎ ๒ ระดบั คือ ผําน และไมํผาํ น
๒. กาหนดประเดน็ การประเมินให๎สอดคล๎องตามวัตถุประสงค์ในแตํละกิจกรรมและกาหนดเกณฑ์

การ ผาํ นการประเมิน ดงั นี้
๒.๑ เกณฑ์การตัดสนิ ผลการประเมนิ รายกิจกรรม
“ผาํ น” หมายถงึ ผเู๎ รียนมีเวลาเขา๎ รํวมกิจกรรมครบตามเกณฑ์ ปฏบิ ัติกจิ กรรม และ
มีผลงาน / ขั้นงาน / คณุ ลักษณะตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากาหนด
“ไมผํ าํ น” หมายถึง ผ๎เู รยี นมีเวลาเขา๎ รวํ มกจิ กรรมไมํครบตามเกณฑ์ ไมํผาํ นการปฏิบัติ
กิจกรรมหรอื มผี ลงาน / ข้นั งาน / คุณลักษณะไมเํ ปน็ ไปตามเกณฑ์
ท่สี ถานศกึ ษากาหนด
๒.๒ เกณฑ์การตัดสนิ ผลการประเมินกิจกรรมพฒั นาผเ๎ู รียนรายปี /รายภาค
“ผาํ น” หมายถึง ผ๎เู รยี นมีผลการประเมนิ ระดบั “ผาํ น” ใน กจิ กรรมสาคัญทัง้ ๓
กิจกรรม คือ กิจกรรม แนะแนว กจิ กรรมนกั เรยี น และกิจกรรม
เพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์
“ไมํผาํ น”หมายถึง ผ๎เู รยี นมีผลการประเมินระดบั “ไมํผําน” ใน กิจกรรมสาคญั
กจิ กรรมใดกิจกรรมหนง่ึ จาก ๓ กจิ กรรม คอื กิจกรรมแนะแนว
กิจกรรมนักเรียน กจิ กรรมเพอ่ื สังคมและสาธารณประโยชน์
๒.๓ เกณฑก์ ารตดั สินผลการประเมินกิจกรรมพฒั นาผเู๎ รียนเพือ่ จบระดับการศึกษา
“ผาํ น” หมายถงึ ผเ๎ู รียนมีผลการประเมินระดบั “ผําน” ทุกช้ันปีการศึกษานน้ั
“ไมํผําน”หมายถึง ผเ๎ู รียนมีผลการประเมินระดบั “ไมผํ าํ น” บางช้ันปี
ในระดับการศึกษาน้ัน

การแกไ้ ขกรณีนักเรยี นไม,ผ่านเกณฑ์
กรณีท่ีผ๎ูเรียนไมผํ าํ นกิจกรรมให๎เป็นหน๎าที่ชองครูหรือผู๎รับผิดชอบกิจกรรมน้ัน ๆ ท่ีจะต๎องซํอมเสริม โดย

ให๎ผเู๎ รยี นดาเนนิ กิจกรรมจนครบตามเวลาที่ชาดหรือปฏิบัติกิจกรรมให๎บรรลุตามวัตถุประสงค์ชองกิจกรรม นั้น
แล๎วจึงประเมินให๎ผํานกิจกรรมเพอื่ บนั ทกึ ในระเบียนแสดงผลการเรียน ยกเว๎นมเี หตุสุดวิสัยให๎รายงาน ผู๎บริหาร
เพ่ือดาเนินการชํวยเหลอื ผเ๎ู รยี นอยาํ งเหมาะสมเป็นรายกรณไี ป

ข้อเสนอแนะ
การประเมนิ การเข๎ารํวมกจิ กรรมพัฒนาผ๎เู รยี นนน้ั จะตอ๎ งคานึงถึงสิง่ ตํอไปนี้
๑. ผเ๎ู รียนมเี วลาเข๎ารํวมกิจกรรมของผเ๎ู รยี นตามเกณฑท์ สี่ ถานศกึ ษากาหนดโดยสถานศึกษาควร

กาหนดเวลาไมํน๎อยกวาํ ร๎อยละ ๘๐ ของเวลาเรยี นแตํละกิจกรรม สาหรับกิจกรรมเพื่อสงั คมและ
สาธารณประโยชน์ผเ๎ู รยี นตอ๎ งปฏิบัติกจิ กรรมครบตามโครงสร๎างเวลาเรยี น

๒. ผ๎ูเรยี นมีผลการปฏิบตั ิกจิ กรรม และมผี ลงาน / ช้นิ งาน / คุณลกั ษณะตามเกณฑ์ทสี่ ถานศกึ ษา
กาหนด โดยอาจจัดใหผ๎ ู๎เรียนแสดงผลงาน แฟมู สะสมงาน หรอื จดั นทิ รรศการ

-๑๒๙-

๓. การจัดกจิ กรรมพฒั นาผู๎เรยี น หากสถานศึกษามีบคุ ลากรไมํเพยี งพอหรือไมํสามารถจัด
กิจกรรมได๎อยาํ งหลากหลาย สถานศึกษาอาจจัดกจิ กรรมในลักษณะบูรณาการในกจิ กรรมหรือโครงการตาํ ง ๆ
เซนํ กิจกรรมโฮมรมู กจิ กรรมวนั สาคญั กจิ กรรมบาเพญ็ ประโยชน์ เป็นตน๎ ซ่ึงสถานศึกษาสามารถประเมนิ ผล
การเขา๎ รํวมกจิ กรรมดังกลําวและนาํ มาเป็นสวํ นหนึ่งในการประเมนิ กจิ กรรมพัฒนาผูเ๎ รียนได๎

๔. การจดั กิจกรรมพฒั นาผูเ๎ รียนควรมีองค์ประกอบในการดาเนนิ การ ดังนี้
๔.๑ มีครูท่ปี รึกษากิจกรรม และมแี ผนการดาเนนิ กิจกรรม
๔.๒ มหี ลักฐาน ช้ินงาน หรอื แฟูมสะสมงาน
๔.๓ มผี รู๎ บั รองผลการเขา๎ รวํ มกจิ กรรม
๔.๔ มีรายงานแสดงการเข๎ารํวมกจิ กรรม

บทบาทของบคุ ลากรที่เก่ยี วขอ้ ง
การดาเนินกิจกรรมพัฒนาผ๎ูเรียนให๎มีประสิทธิภาพ จาเป็นอยํางยิ่งที่ต๎องกาหนดบทบาทหน๎าที่ของ

บคุ ลากรท่ีเกยี่ วขอ๎ ง ซึ่งสถานศึกษาสามารถนําไปเป็นแนวทางในการปฏิบตั ิได๎ตามความเหมาะสม

บทบาทของผบู้ ริหารสถานศกึ ษา
๑. กาหนดแผนการจดั กิจกรรมพัฒนาผเ๎ู รยี นไว๎ในหลักสูตรสถานศึกษาและโดยการมีสวํ นรวํ มของทุกฝาุ ย
๒. ผ๎ูบริหารช้ีแจง ทาความเข๎าใจ และสร๎างความตระหนักให๎บุคลากรและผู๎มีสํวนเก่ียวข๎องทุกคนเห็น

คณุ คาํ และรํวมมอื ในการจดั กิจกรรมพัฒนาผเ๎ู รียน
๓. พฒั นาและสงํ เสรมิ สนบั สนุนให๎ครูมคี วามร๎ู ความสามารถ ความเช่ยี วชาญ และมีความทนั สมยั ใน

การจัดกจิ กรรมพัฒนาผ๎ูเรยี นที่หลากหลายสอดคล๎องกบั ความต๎องการของผู๎เรียนและสถานการณป์ ัจจบุ นั อยําง
ตํอเนอื่ งและมีประสทิ ธิภาพ

๔. สร๎างเครอื ขาํ ยและประสานความรวํ มมือและความเขา๎ ใจอนั ตรี ะหวาํ งสถานศึกษากบั ผเ๎ู รยี น
ผูป๎ กครอง ชุมชน องคก์ รภาครัฐ และภาคเอกซนเพื่อสนบั สนนุ การจัดกิจกรรม

๕. นเิ ทศ ตดิ ตาม ให๎ดาปรึกษา ประเมินผล และสร๎างขวญั และกาลังใจแกํผป๎ู ฏบิ ัติงานในการจดั
กจิ กรรมพฒั นาผเู๎ รยี น

๖. แลกเปลย่ี นเรียนรูแ๎ ละเผยแพรํผลงานทีป่ ระสบผลสาเร็จกับหนวํ ยงานและบคุ ลากรที่เก่ียวขอ๎ ง

บทบาทของครผู ูร้ บั ผิดชอบกิจกรรม
๑. ศกึ ษาหลักการ วตั ถุประสงค์ ขอบขาํ ย แนวการจัดกิจกรรม การประเมนิ ผลพัฒนาผเ๎ู รยี น และจัด

กจิ กรรมพัฒนาผู๎เรยี นใหบ๎ รรลุตามเปาู หมาย
๒. ชี้แจงและทาความเขา๎ ใจกับผเู๎ รยี นและผปู๎ กครองเก่ียวกับการจดั กิจกรรมพฒั นาผ๎ูเรียน ๓. รํวมกับ

ผู๎เรยี นออกแบบกิจกรรมใหส๎ อดคล๎องกบั ความสามารถ ความถนัด ความสนใจของผเู๎ รียน และเปน็ ไปตาม
หลักการ ปรัชญา และแนวการจัดกิจกรรมพฒั นานักเรยี น

๔. สงํ เสริม กระตุ๎น และอานวยความสะดวกใหผ๎ ๎ูเรียนแสดงความคิดเห็นอยาํ งอสิ ระในการจัดทา
แผนงาน โครงการ รํวมปฏบิ ัติกิจกรรม และการประเมนิ ผล

-๑๓๐-

๕. ให๎คาปรกึ ษา ดแู ล ติดตาม ประสานงาน และอานวยความสะดวกใหแ๎ กํผ๎ูเรยี นในการรวํ มกิจกรรม
ใหเ๎ ป็นไปตามแผน

๖. ประเมนิ ผลการเขา๎ รํวมกจิ กรรมของผ๎เู รียน และซํอมเสรมิ กรณีทผี่ ูเ๎ รียนไมํผาํ นเกณฑ์ พรอ๎ มจัดทา
เอกสารหลักฐานการประเมนิ

๗. รายงานผลการดาเนินกิจกรรมให๎ผู๎เก่ียวข๎องทราบ แลว๎ นาผลการจัดกจิ กรรมมาพัฒนาและ ปรับปรุง
แกไํ ข

๘. แลกเปลีย่ นเรียนรแ๎ู ละเผยแพรํผลงานที่ประสบผลสาเร็จกับหนํวยงานและบุคลากรทีเ่ ก่ียวข๎อง

บทบาทของนักเรียน
๑. ศึกษาข๎อมูล วิเคราะหต์ นเอง และเข๎ารวํ มกจิ กรรมตามความสนใจ ความถนดั และความสามารถ

หรือตามข๎อเสนอแนะของสถานศึกษา
๒. เข๎ารับการปฐมนเิ ทศจากครผู ๎ูรับผดิ ชอบกจิ กรรม
๓. รํวมประชมุ เลือกตั้งคณะกรรมการฝาุ ยตําง ๆ ตามลักษณะของกจิ กรรม
๔. รํวมประชมุ จัดทาแผนงานโครงการปฏิทนิ งานและปฏิบัตกิ จิ กรรมด๎วยความเอาใจใสํอยํางสมา่ เสมอ
๕. รํวมประเมินการปฏบิ ัติกจิ กรรมและนาผลมาพัฒนาตนเองและนาเสนอผลการปฏิบัติกจิ กรรมตํอ ครู

ผร๎ู ับผดิ ชอบ
๖. แลกเปลี่ยนเรยี นร๎ู ถอดประสบการณ์ ทบทวน และสะท๎อนความรูส๎ ึกภายหลงั การปฏิบัติกจิ กรรม

(After Action Review : AAR) รวมต้ังสรา๎ งเครอื ขํายจติ อาสาและขยายผลตํอยอดสํูความยั่งยนื

บทบาทของคณะกรรมการสถานศกึ ษา
๑. ใหค๎ วามเหน็ ชอบและมีสวํ นรํวมในการกาหนดวางแผนดาเนินกิจกรรมพฒั นาผ๎ูเรยี นตามหลกั สตู ร

แกนกลางการศึกษาขึน้ พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๔๔๑
๒. สํงเสรมิ สนับสนุนการดาเนนิ การจดั กิจกรรมพัฒนาผูเ๎ รยี นตามความเหมาะสม

บทบาทของผู้ปกครองและชุมชน
๑. มสี วํ นรํวมในการวางแผนการจดั กิจกรรม และอาสารํวมกจิ กรรมตาํ ง ๆ ของสถานศึกษาและ

ชมุ ชน
๒. ยอมรบั ในศักยภาพของผเู๎ รยี น ให๎โอกาสใหผ๎ เู๎ รยี นได๎สารวจตนเองเพือ่ ประกอบการตัดสินใจในการ

เลือกแผนการเรยี น การศึกษาตอํ และการประกอบอาชีพ
๓. ดูแล เอาใจใสผํ ูเ๎ รียน และให๎ข๎อมลู ทีเ่ ปน็ ประโยชน์ตํอการพฒั นา ปูองกัน และแก๎ไขปญั หาของ

ผูเ๎ รียน
๔. เปน็ ที่ปรึกษาหรอื แนะแนวทางการดาเนนิ ชวี ติ ท่ดี ีงามใหแ๎ กผํ ๎เู รยี น
๕. รวํ มมือกับสถานศึกษาเพื่อติดตามประเมินผลพัฒนาและการปฏบิ ตั ิกิจกรรมของผเ๎ู รยี น

-๑๓๑-

โครงสร้างกิจกรรมพฒั นาผ้เู รยี นและเวลาเรยี น

กจิ กรรมพฒั นาผู๎เรียนโรงเรยี นบา๎ นบอํ ดิน จัดกิจกรรมพฒั นาผู๎เรยี นโดยมํุง ใหผ๎ เู๎ รียนเกิดการเรยี นรู๎
จากประสบการณ์ตรง ได๎ฝกึ ปฏิบัตจิ รงิ และด๎นพบความถนัดของตนเอง สามารถ ดน๎ คว๎าหาความรเ๎ู พ่ิมเติมตาม
ความสนใจจากแหลํงเรียนรู๎ท่ีหลากหลาย บาเพญ็ ประโยชน์เพื่อสังคม มีทักษะใน การดาเนินงาน สํงเสริมให๎มี
วุฒิภาวะทางอารมณ์ สงั คม ศีลธรรม จริยธรรม ใหผ๎ ู๎เรยี นรจู๎ กั และเขา๎ ใจตนเอง สามารถวางแผนชีวติ และอาชพี
ได๎อยาํ งเหมาะสม

กิจกรรมพฒั นาผ๎ูเรียนเป็นกิจกรรมทม่ี ุํงใหผ๎ ูเ๎ รยี นพัฒนาตนเองตามศักยภาพ พัฒนาการเรียนร๎ู
อยําง รอบด๎านเพื่อความเป็นมนุษยท์ ีส่ มบรู ณท์ ง้ั ราํ งกาย สติปัญญา อารมณ์ และสงั คม เสรมิ สรา๎ งใหเ๎ ปน็ ผม๎ู ี
ศีลธรรม จริยธรรม มีระเบียบวนิ ยั ปลกู ผงิ ให๎สรา๎ งจิตสานึกของการทาประโยชนเ์ พ่อื สังคม สามารถจัดการ
ตนเองได๎และ อยํูรวํ มกับผ๎ูอื่นอยาํ งมีความสุข โรงเรยี นบ๎านบํอดินได๎จัดกจิ กรรมพัฒนาผเู๎ รียน โดยแบํง
ออกเป็น ๓ ลักษณะ ดงั น้ี

๑. กจิ กรรมแนะแนว เปน็ กิจกรรมที่ลงํ เสริมและพัฒนาผเ๎ู รียนใหร๎ ูจ๎ ักตนเอง ร๎ูรักษ์สิง่ แวดล๎อม สามารถ
ตดั สินใจ คิดแกป๎ ัญหา กาหนดเปูาหมาย วางแผนชีวิตทั้งด๎านการเรียน และอาชีพ สามารถปรับตนได๎ อยาํ ง
เหมาะสม นอกจากนย้ี ังชวํ ยให๎ครรู ูจ๎ กั และเขา๎ ใจผ๎เู รยี น ท้ังยังเป็นกิจกรรมท่ชี ํวยเหลอื และให๎คาปรึกษาแกํ
ผ๎ูปกครองในการมีสวํ นรวํ มพัฒนาผ๎ูเรียน ลํงเสรมิ พัฒนาและสรา๎ งภูมิคม๎ุ กนั ที่มัน่ คง เนน๎ ผู๎เรยี นเป็นสาคัญตาม
ความแตกตํางระหวาํ งบุคคล ให๎สามารถดน๎ พบและพัฒนาศักยภาพของตนเอง ประกอบด๎วย

๑.๑ การแนะแนวด๎านบริการและให๎ดาปรึกษา
๑.๒ การแนะแนวการศกึ ษา
๑.๓ การแนะแนวอาชพี
๑.๔ การแนะแนวเพ่อื พฒั นาบุคลกิ ภาพ
๑.๕ รจู๎ ักเข๎าใจและเห็นคุณคาํ ในตนเองและผอู๎ ่ืน
๑.๖ การปรับตวั และการดารงชวี ิต
๑.๗ การแสวงหาและการใชข๎ อ๎ มูลสารสนเทศ
๑.๘ การตัดสนิ ใจและแก๎ปัญหา
๒. กจิ กรรมนักเรยี น เปน็ กจิ กรรมท่มี ํุงพฒั นาระเบียบวินยั ความเปน็ ผูน๎ า ผ๎ตู ามที่ดี ความรบั ผิดชอบ
การทางานรวํ มกัน รู๎จกั แกป๎ ญั หา การตดั สินใจท่ีเหมาะสม ความมเี หตผุ ล การชวํ ยเหลือแบงํ ปนั เอ้ืออาทรและ
สมานฉนั ท์โดยจดั ใหส๎ อดคลอ๎ งกบั ความสามารถ ความถนัด และความสนใจของผเ๎ู รียน ใหไ๎ ด๎ปฏิบัติดว๎ ยตนเอง
ในทกุ ข้ันตอน ได๎แกํ การศึกษาวิเคราะห์ วางแผน ปฏิบัตติ ามแผนประเมนิ และปรบั ปรุงการทางานเนน๎ การ
ทางานรวํ มกนั เป็นกลํุมตามความเหมาะสม และสอดคล๎องกับวฒุ ภิ าวะของผเู๎ รียนและบรบิ ทของสถานศึกษา
และห๎องถิน่ กิจกรรมนักเรยี น ประกอบด๎วย กจิ กรรมลูกเสือ เนตรนารี ผูบ๎ าเพญ็ ประโยชน์ นกั เรยี นทกุ คนต๎อง
เขา๎ รวํ ม กิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี
๓. กจิ กรรมเพ่ือสงั คมและสาธารณประโยชน์ เปน็ กิจกรรมท่สี ํงเสริมให๎ผเ๎ู รยี นบาเพ็ญตนใหเ๎ ป็น
ประโยชน์ตอํ สังคม ชุมชนและห๎องถิ่นตามความสนใจในลักษณะอาสาสมัคร เพ่ือแสดงถึงความรบั ผดิ ชอบ
ความดงี าม ความเสยี สละ การมจี ิตสาธารณะ เซํน กจิ กรรมอาสาพฒั นาตํางๆ กจิ กรรมสร๎างสรรค์สงั คม
(กระทรวงศกึ ษาธิการ, ๒๕๕๑)

-๑๓๒-

โรงเรยี นบ๎านบอํ ดนิ ไดก๎ าหนดโครงสร๎างเวลาการจัดกิจกรรมพัฒนา ผ๎ูเรียนในแตลํ ะระดบั ช้ัน ตามหลกั สตู ร
แกนกลางการศึกษาชน้ั พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ ดงั นี้ โครงสร๎างเวลาการจดั กิจกรรมพัฒนาผเ๎ู รียน

โครงสรา้ งเวลาเรยี นกจิ กรรมพฒั นาผ้เู รยี น

กจิ กรรม ประถมศกึ ษา
ป.๑ ป.๒ ป.๓ ป.๔ ป.๕ ป.๖
กจิ กรรมแนะแนว ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐
กิจกรรมนกั เรียน ๗๐ ๗๐ ๗๐ ๗๐ ๗๐ ๗๐
- กจิ กรรมลูกเสือ เนตรนารี ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐
- กจิ กรรมชมุ นุม ๓๐ ๓๐ ๓๐ ๓๐ ๓๐ ๓๐
กจิ กรรมเพือ่ สงั คม
และสาธารณประโยชน์ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐

รวมเวลาเรยี นทัง้ ส้นิ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐

หมายเหตุ
โรงเรยี นบ๎านบอํ ดนิ ได๎กาหนดโครงสรา๎ งเวลาในการจัดกิจกรรมพัฒนา ผ๎เู รียนช้ันประถม

ศกึ ษาปีท่ี ๑ ถึงช้ันประถมศึกษาปีท่ี ๖ ปีละ ๑๒๐ ชว้ั โมง โดยจดั เป็นกิจกรรมแนะแนว กิจกรรม
นกั เรยี น และกิจกรรมเพ่ือสังคมและสาธารณประโยชน์ โรงเรียนจัดเวลาปฏิบัติกจิ กรรมดงั นี้
ระดับประถมศกึ ษา (ป.๑-ป.๖) รวม ๖ ปี จานวน ๖๐ ชั้วโมง (จดั ปลี ะ ๑๐ ชัว้ โมง)

-๑๓๓-

๑. กจิ กรรมแนะแนว

หลักการ
การจดั กิจกรรมแนะแนวเป็นกจิ กรรมทจ่ี ดั ใหส๎ อดคลอ๎ งกบั สภาพปัญหา ความต๎องการ ความสนใจ

ธรรมชาตขิ องผ๎เู รยี นและวสิ ัยทศั นข์ องสถานศกึ ษาท่ตี อบสนองจุดมุงํ หมายหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั
พนื้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ใหค๎ รอบคลุมทงั้ ดา๎ นการศึกษา การงานอาชีพ รวมท้ังชวี ิตและสงั คม เนน๎
ผูเ๎ รียนเป็นสาคญั โดยผ๎ูเรียนมีอสิ ระในการคิดและตัดสินใจด๎วยตนเอง เรียนรด๎ู ว๎ ยตนเองด๎วยการปฏิบัติ จน
กระท้ังเกิดทกั ษะชวี ติ หรือการเรียนร๎ู ครูทกุ คนมีสํวนรวํ มในการจดั กิจกรรมโดยมีครแู นะแนวเป็น
ประสานงาน

วตั ถุประสงค์
๑. เพอ่ื ใหผ๎ ู๎เรียนเกดิ การเรียนร๎ู รู๎จัก เข๎าใจ รักและเหน็ คณุ คําในตนเองและผ๎ูอนื่
๒. เพ่ือให๎ผเ๎ู รยี นเกดิ การเรียน สามารถวางแผนการเรียน อาชีพ รวมทัง้ การดาเนินชวี ติ และสงั คม

เกิดการเรียนรู๎ สามารถปรบั ตัวไดอ๎ ยาํ งเหมาะสมและอยํรู วํ มกบั ผอู๎ ืน่ ได๎อยาํ งมีความสขุ
๓. เพื่อให๎ผ๎ูเรยี นรูจ๎ ักเผชิญกบั สง่ิ แวดล๎อมใหมๆํ และสามารถแก๎ปญั หาตาํ งๆ ได๎อยํางมีเหตุผล
๔. เพื่อชํวยให๎ผูเ๎ รียนร๎ูจักตนเองและพัฒนาศักยภาพตนเองไปสํูเปูาหมายท่ีพึงประสงค์

ขอบข่าย
การจดั กิจกรรมแนะแนวมีองคป์ ระกอบ ๓ ประการดังน้ี
๑. ด๎านการศึกษา ใหผ๎ ู๎เรียนไดพ๎ ัฒนาตนเองในด๎านการเรยี นอยํางเต็มตามศักยภาพ รู๎จักแสวงหา

และใชข๎ ๎อมูลประกอบการวางแผนการเรียนหรือการศึกษาตํอได๎อยํางมปี ระสทิ ธิภาพ มนี สิ ัยใฝรุ ใ๎ู ฝเุ รยี น มี
วธิ กี ารเรียนรู๎ และสามารถวางแผนการเรียนหรือการศึกษาตอํ ได๎อยาํ งเหมาะสม

๒. ดา๎ นอาชพี ให๎ผ๎ูเรียนไดร๎ จู๎ ัดตนเองในทุกดา๎ น รูแ๎ ละเข๎าใจโลกของงานอาชีพอยาํ งหลากหลาย มี
เจตคตทิ ดี่ ีตํออาชพี สุจรติ มกี ารเตรียมตัวสอูํ าชพี สามารถวางแผนเพ่ือประกอบอาชพี ตามทตี่ นเองมีความ
ถนดั และสนใจ

๓. ด๎านสวํ นตัวและสังคม ให๎ผู๎เรยี นรูจ๎ ักและเข๎าใจตนเอง รักและเหน็ คุณคําของตนเองและผ๎อู ่ืน
รกั ษส์ ง่ิ แวดลอ๎ ม มวี ฒุ ภิ าวะทางอารมณ์ มีเจตคติทีด่ ตี ํอการมชี ีวิตท่ดี ีมคี ุณภาพ มีทักษะชวี ติ และสามารถ
ปรบั ตวั ดารงชวี ติ อยํใู นสงั คมได๎อยาํ งมีความสุข

กิจกรรมแนะแนว ประกอบด๎วย
๑. กลุํมกจิ กรรมรจู๎ ักเขา๎ ใจและเห็นคุณคาํ ในตนเองและผอ๎ู ื่น
๒. กลุมํ กิจกรรมการปรับตัวและดารงชวี ิต
๓. กลํุมกจิ กรรมการตดั สนิ ใจและแก๎ปัญหา
๔. กลมํุ กจิ กรรมการแสวงหาและใช๎ข๎อมลู สารสนเทศ

-๑๓๔-

การจัดเวลาเรียนกิจรรมแนะแนว

กจิ กรรม ระดบั ช้นั ประถมศกึ ษา
ป.๑ ป.๒ ป.๓ ป.๔ ป.๕ ป.๖
๑. กจิ กรรมแนะแนว ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐
+ กลุมํ กิจกรรมรจู๎ ักเขา๎ ใจและเห็นคณุ คําในตนเองและผ๎ูอ่นื ๑๔ ๑๔ ๑๔ ๑๐ ๑๐ ๑๐
๑๔ ๑๔ ๑๔ ๑๐ ๑๐ ๑๐
+ กลมํุ กจิ กรรมการปรบั ตวั และดารงชีวติ ๖ ๖ ๖ ๑๐ ๑๐ ๑๐
+ กลํมุ กิจกรรมการตดั สนิ ใจและแก๎ปญั หา ๖ ๖ ๖ ๑๐ ๑๐ ๑๐
+ กลมุํ กิจกรรมการแสวงหาและใช๎ข๎อมลู สารสนเทศ

แนวทางการจัดกิจกรรมแนะแนว

ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี ๑ – ๖
ตัวชี้วัด
กลุํมกิจกรรมรูจ๎ ักเขา๎ ใจและเหน็ คุณคาํ ในตนเองและผ๎ูอื่น

- รับรค๎ู วามต๎องการและความร๎ูสึกของตนเอง
- รูจ๎ ดุ เดํน จุดด๎อยของตนเอง
- ร๎ูและเขา๎ ใจความสนใจ ความถนัด ความสามารถด๎านการเรียนและการงาน
- ภูมิใจตนเองและชนื่ ซมผ๎ูอน่ื
- รู๎และเขา๎ ใจปัญหาของตนเอง กลุํมกจิ กรรมการปรับตัวและดารงชวี ิต
- รบั รู๎ความต๎องการและความร๎ูสกึ ของผู๎อื่น
- มคี วามสามารถในการสอ่ื ความร๎สู ึกและความต๎องการของตนเองใหผ๎ อ๎ู ่นื รบั รู๎
- แสดงออกทางอารมณ์เหมาะสมกบั วัย
- เป็นผใู๎ หแ๎ ละผ๎รู ับท่ีดี
- มีความสามารถในการทางานและยูรํ ํวมกนั กับผอ๎ู นื่ ไดอ๎ ยํางมีความสุข กลุํมกิจกรรมการตัดสนิ ใจและ
แกป๎ ญั หา
- มคี วามสามารถในการตดั สินใจและแกป๎ ัญหางาํ ยๆ ของตนเอง กลํุมกิจกรรมการแสวงหาและใช๎
ขอ๎ มลู สารสนเทศ
- มีความสามารถในการด๎นหาข๎อมลู จากแหลงํ ทอ่ี ยํูใกล๎ตัว
- มคี วามสามารถเลอื กและใช๎ข๎อมลู ใหเ๎ ป็นประโยชน์ในชีวิตประจาวัน

-๑๓๕-

โครงสร้างการจดั กิจกรรมแนะแนว
ช้ันประถมศึกษาปีท่ี ๑ – ๖

หน่วยที่ มาตรฐานการเรยี นรู้ สาระสาคญั เวลา
(ชัว่ โมง)

๑ มฐ.๑ รจู๎ ักเขา๎ ใจและ - การร๎จู ักตนเองในดา๎ นความตอ๎ งการ ความร๎ูสึก จดุ เดนํ ๑๔
เห็นคณุ คาํ ในตนเอง จดุ ดอ๎ ย ความสนใจ ความถนัด ความสามารดา๎ นการเรยี นและ
และผ๎ูอน่ื การงาน เข๎าใจความต๎องการและปัญหาของตนเอง มีความ

ภูมใิ จในตนเองและชืน่ ซมผ๎ูอ่ืนจะทาให๎เราสามารถปรับตัวอยํู

ในสังคมไดอ๎ ยํางมคี วามสขุ

๒ มฐ.๒ มคี วามสามารถ - การมีทักษะวิธีการในการแสวงหาขอ๎ มูลจากแหลงํ ตาํ งๆ ๖
แสวงหาและใชข๎ อ๎ มลู รวบรวมและจัดระเบยี บข๎อมลู สามารถจัดระบบ กล่ันกรอง
สารสนเทศ
เลอื กใช๎ข๎อมูลอยํางฉลาด เหมาะสม เหน็ คุณคาํ ในการใช๎ ข๎อมลู

สารสนเทศ ความสามารถในการแสวงหาและการใช๎ ข๎อมูลให๎

เป็นประโยชน์ในการดาเนินชีวติ ประจาวัน

๓ มฐ.๓ มคี วามสามารถ - ความสามารถในการกาหนดเปูาหมาย วางแผน และ ๖
ในการตัดสนิ ใจและ
แกป๎ ญั หาได๎อยําง ประเมินผล ตลอดจนปรับปรุงแผนการดาเนินงาน โดยใช๎
เหมาะสม ข๎อมลู คุณธรรมและจรยิ ธรรมเปน็ พ้นื ฐานในการตัดสนิ ใจเป็น
ความสามารถในการตดั สนิ ใจและแกป๎ ัญหาได๎อยาํ ง เหมาะสม

ในชวี ติ ประจาวัน

๔ มฐ.๔ มคี วามสามารถ - การเข๎าใจยอมรบั ตนเองและผู้อน่ื มวี ุฒภิ าวะทางอารมณ์ ๑๔

ในการปรับตัวและ แสดงออกอยาํ งเหมาะสม มมี นษุ ยสมั พนั ธเ์ ป็นปจั จัยสาคัญ

การดารงชีวิตอยาํ งมี ในการปรับตัว สามารถทางานรวํ มกับผู้อนื่ และดารงชวี ิตอยํู

ความสขุ ในสังคมไดอ๎ ยํางมีความสขุ

รวม ๔๐

-๑๓๖-
คาอธบิ ายกิจกรรมแนะแนว

ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ เวลา ๔๐ ชวั่ โมง

ศึกษา เก่ยี วกบั การรักและเห็นคุณคําในตนเองและผ๎ูอน่ื ร๎จู กั แสวงหาใช๎ขอ๎ มลู สารสนเทศงํายๆ พฒั นา
บคุ ลกิ และปรับตวั อยใํู นสงั คมได๎ดี มเี จตคติท่ดี ีตํออาชีพสจุ ริต มคี ํานิยมท่ีดี มีวนิ ัย คุณธรรมจริยธรรม จิตสานกึ
ในการรบั ผิดชอบตนเอง ครอบครวั สงั คม และประเทศชาติ

โดยใช๎ทักษะกระบวนการกลมํุ ฝึกปฏิบตั ิ เกม และบทบาทสมมติ เพื่อให๎เกิดความรู๎ ความเชา๎ ใจมี
ทกั ษะในการดาเนินชีวติ อยูใํ นสังคมได๎อยาํ งมคี วามสุข

จดุ ประสงค์
๑. ใหน๎ ักเรยี นรูจ๎ ักตนเองและเหน็ คุณคําชองตนเอง
๒. นักเรียนสามารถเลือกงานและอาชีพท่ีสุจรติ
๓. สามารถด๎นหาขอ๎ มลู จากแหลํงตาํ ง ๆ

-๑๓๗-

โครงสร้างการจัดกจิ กรรมแนะแนว
ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี ๑ เวลาเรยี น ๔๐ ชวั่ โมง

ลาดบั ท่ี เน้ือหา/กจิ กรรม เวลา/ชว่ั โมง
๑ ตัวหนู ๒
๒ ชอบไหม ชอบไหม ๒
๓ ปลอดภยั ไวก๎ ํอน ๓
๔ บอกนิดคิดอะไรอยํู ๕
๕ เราตาํ งกัน ๒
๖ หนชู อบแบบนี้ เพ่ือนชอบแบบนัน้ ๕
๗ พํอแมหํ นทู าอะไร ๕
๘ หนเู กงํ ไหม ๒
๙ สุขภาพดีชวี เี ป็นสขุ ๕
๑๐ อะไรเอํย ๓
๑๑ อารมณ์หนู : อารมณ์ไหน ๓
๑๒ ฟงั อยํางไรใหร๎ ๎ูเร่ือง ๓

รวมเวลาเรยี นทั้งหมด ๔๐ ชวั่ โมง/ปี

-๑๓๘-

คาอธิบายกจิ กรรมแนะแนว

ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ เวลา ๔๐ ชวั่ โมง

ศึกษาข๎อมลู เก่ียวกบั การรบั รค๎ู วามต๎องการและความรส๎ู กึ ของตนเอง การร๎จู กั จุดเดํน จดุ ด๎อย ของตนเอง
รค๎ู วามสนใจ ความถนดั และความสามารถด๎านการเรยี นการทางาน มีความภาคภมู ใิ จในตนเอง และช่ืนซม
ผ๎ูอ่ืน รค๎ู วามต๎องการและปญั หาของตนเอง ความสามารถในการสอ่ื ความรู๎สึกให๎ผู๎อื่นไดร๎ ับร๎ู การ แสดงออกของ
อารมณ์ทเี่ หมาะสมกับวยั การเปน็ ผ๎ใู หแ๎ ละผรู๎ บั ที่ดี ความสามารถในการทางานและอยรูํ วํ มกบั ผ๎ูอน่ื ได๎อยํางมี
ความสุข มีความสามารถในการตัดสินใจ และแกป๎ ัญหางาํ ย ๆ ของตนเอง มีความสามารถใน การค๎นหาข๎อมลู
จากแหลงํ ท่ีอยูใํ กลต๎ ัว ความสามารถในการเลือกใช๎ข๎อมลู ให๎เปน็ ประโยชน์ มเี จตคติที่ดตี ํอ อาชพี สจุ รติ มีดาํ
นยิ มทีด่ ี มีคุณธรรม จรยิ ธรรม มจี ติ สานึก มีความรับผดิ ขอบตอํ ตนเองและครอบครัว

จุดประสงค์
๑. ร๎จู ักตนเองเหน็ คุณดาํ ของตนเอง และผู้อนื่
๒. สามารถเลือกงานและอาชีพที่สจุ ริต
๓. สามารถพัฒนาบุคลิกภาพและปรับตวั ให๎อยรํู วํ มกับผูอ๎ ื่นได๎
๔. ด๎นหาขอ๎ มูลสารสนเทศจากแหลงํ ตําง ๆ ได๎

-๑๓๙-

โครงสร้างการจัดกิจกรรมแนะแนว
ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี ๒ เวลาเรยี น ๔๐ ชั่วโมง

ลาดบั ท่ี สํวนตาํ งๆ ของรํางกาย เนอ้ื หา/กจิ กรรม เวลา/ชว่ั โมง
๑ กายดี ชีวีมีสุข รวมเวลาเรยี นทง้ั หมด ๔
๒ รเ๎ู ขา รู๎เรา ๕
๓ ตาํ งจติ ตํางใจ ๔
๔ อาชีพดี มีสขุ ๔
๕ เรยี นดี มอี นาคต ๓
๖ นา้ ใจไมตรี ๔
๗ รทู๎ ันเหตกุ ารณ์ ๔
๘ อารมณ์ของฉัน ๔
๙ สื่อสารดี มสี ัมพนั ธ์ ๔
๑๐ ๔

๔๐ ชว่ั โมง/ปี

-๑๔๐-

คาอธบิ ายกจิ กรรมแนะแนว

ชั้นประถมศึกษาปที ี่ ๓ เวลา ๔๐ ช่วั โมง

ศึกษารวบรวมข๎อมูล เก่ียวกับการรับรู๎ความต๎องการและความร๎ูสึกของตนเองการ ร๎ูจักจุดเดํน จุด ด๎อย
ของตนเอง การร๎ูความสนใจ ความถนัด และความสามารถด๎านการเรียนการทางาน มีความภาคภูมิใจใน
ตนเอง และช่นื ซมผ๎ูอนื่ การรู๎และเข๎าใจความตอ๎ งการและปญั หาของตนเอง ความสามารถในการสื่อสาร
ส่อื ความร๎ูสึก ใหผ๎ อ๎ู ืน่ ได๎รับรู๎การแสดงออกของอารมณ์ที่เหมาะสมกบั วยั ร๎จู กั การเป็นผ๎ูใหแ๎ ละผ๎รู ับทีด่ ี สามารถ
ทางานและอยรูํ วํ มกับผอ๎ู ่ืนได๎อยํางมีความสขุ ตดั สนิ ใจ และแกป๎ ัญหางํายๆ ด๎วยตนเอง ดน๎ หาข๎อมลู จากแหลงํ
ทอ่ี ยใูํ กลต๎ วั เลอื กใชข๎ ๎อมูลท่ีเป็นประโยชน์ในชีวิตประจาวัน มีเจตคติทด่ี ีตํออาชพี สจุ รติ มดี าํ นยิ มทีด่ ี
มีคณุ ธรรม จรยิ ธรรม มีจติ สานกึ มีความรับผิดขอบตํอตนเองและครอบครัว

จุดประสงค์
๑. เพ่ือผ๎เู รียนดน๎ พบความถนดั ความสามารถความสนใจของตนเองรักและเห็นคณุ ดาํ ในตนเองและผ๎ูอ่ืน
๒. เพ่อื ใหผ๎ เ๎ู รยี นแสวงหาความรู๎จากข๎อมลู ขาํ วสาร แหลงํ เรียนร๎ู ท้ังดา๎ นการศึกษา สังคม สอดคล๎องกับ
ศักยภาพของตนเอง
๓. เพอื่ ใหผ๎ ู๎เรยี นมดี ํานยิ มท่ีดงี ามในการดาเนนิ ชวี ิต สร๎างเสรมิ วินัย คุณธรรมและจริยธรรมแกนํ ักเรยี น
๔. เพ่อื ใหผ๎ ู๎เรยี นมีจติ สานกึ ในการรับผดิ ขอบตํอตนเอง ครอบครวั สังคม และประเทศซาติ

-๑๔๑-

โครงสร้างการจดั กิจกรรมแนะแนว
ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ ๓ เวลาเรยี น ๔๐ ชว่ั โมง

ลาดับที่ เนื้อหา/กิจกรรม เวลา/ชว่ั โมง
๑ บอกหนํอยได๎ไหม ๒
๒ อะไรทเ่ี ปลยี่ นแปลง ๒
๓ ร๎ูแล๎วยอมรบั ๒
๔ ทาไม? ทาไม? ๒
๕ เพราะวาํ …..แตกตําง ๓
๖ ใจเขา ใจเรา ๓
๗ เปน็ เชํนน้นี ่ีเอง ๒
๘ สื่อสารดีมีเพื่อน ๔
๙ กระจกหกด๎าน ๒
๑๐ หลากหลายมิติ ๓
๑๑ รบั ร๎ูสูมํ ิตรภาพ ๓
๑๒ หลากหลายอาชพี ๓
๑๓ เตรียมพร๎อมสํเู ปาู หมาย ๓
๑๔ เรียนดมี ีวิธอี ยํางไร ๓
๑๕ ทาอยํางไรดหี นอ ๓

รวมเวลาเรยี นทง้ั หมด ๔๐ ชว่ั โมง/ปี

-๑๔๒-

คาอธบิ ายกิจกรรมแนะแนว

ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ ๔ เวลา ๔๐ ชวั่ โมง

ศกึ ษารวบรวมขอ๎ มูลเกี่ยวกับการรบั รค๎ู วามต๎องการและความร๎สู กึ ของตนเอง การรจ๎ู ัก จุดเดํน
จุดด๎อย ของตนเอง การร๎ูความสนใจ ความถนดั และความสามารถดา๎ นการเรียนการทางาน มีความ ภูมใิ จใน
ตนเองและช่ืนซมผอ๎ู น่ื การรแู๎ ละเข๎าใจความตอ๎ งการและปัญหาของตนเอง ความสามารถในการ ส่ือสาร สื่อ
ความร๎ูสกึ ใหผ๎ ู๎อื่นได๎รบั ร๎กู ารแสดงออกของอารมณ์ท่ีเหมาะสมกบั วัย รูจ๎ ักการเป็นผใู๎ หแ๎ ละผ๎รู บั ที่ ดี สามารถ
ทางานและอยรูํ วํ มกับผู๎อนื่ ได๎อยํางมีความสขุ ตัดสนิ ใจและแกป๎ ัญหางํายๆด๎วยตนเอง ดน๎ หาข๎อมูล จากแหลงํ ท่ี
อยใํู กลต๎ วั เลอื กใชข๎ ๎อมลู ที่เป็นประโยชน์ในชวี ิตประจาวัน มีเจตคติทดี่ ีตํออาชพี สุจรติ มีดาํ นิยมที่ ดี มีคุณธรรม
จรยิ ธรรม มีจติ สานึก มคี วามรับผิดขอบตํอตนเองและครอบครัว

จดุ ประสงค์
๑. ให๎นักเรียนรู๎จกั ตนเอง ควบคุมตนเอง พง่ึ ตนเอง และสามารถปรับตวั ได๎
๒. นกั เรยี นสามารถเลอื กและตัดสนิ ใจการวางแผนการจัดการชีวติ การเรยี น การงานและอาชพี อยาํ ง
มีคณุ คาํ
๓. สามารถดน๎ หาข๎อมลู จากแหลํางตาํ งๆ ด๎วยวธิ ีทีห่ ลากหลายและทันสมยั


Click to View FlipBook Version