-๑๔๓-
โครงสร้างการจัดกจิ กรรมแนะแนว
ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี ๔ เวลาเรียน ๔๐ ชั่วโมง
ลาดบั ที่ พฒั นากายตามชวํ งวัย เน้อื หา/กิจกรรม เวลา/ชว่ั โมง
๑ รเู๎ ขา รเ๎ู รา รวมเวลาเรยี นทงั้ หมด ๑
๒ รบั ได๎ ใจเปน็ สุข ๓
๓ คําของคน ๓
๔ ความแตกตําง ๓
๕ โตขนึ้ จะเป็นอะไร ๓
แกไ๎ ขได๎
๖ ฝันให๎ไกลไปใหถ๎ ึง ๓
๗ ผํอนคลาย ๔
ชน่ื ชมยนิ ดี
๘ ๔
มติ รไมตรี
๙ สมั พันธภาพ ๔
๑๐ ๔
๑๑ ๔
๑๒ ๔
๔๐ ชวั่ โมง/ปี
-๑๔๔-
คาอธิบายกจิ กรรมแนะแนว
ชนั้ ประถมศึกษาปที ี่ ๕ เวลา ๔๐ ชัว่ โมง
ศกึ ษารวบรวมขอ๎ มูล เกยี่ วกับการรบั ร๎คู วามต๎องการและความร๎ูสึกของตนเอง อธิบาย จดุ เดนํ
จดุ ด๎อยของตนเอง วเิ คราะห์ความสนใจ ความถนดั และความสามารถดา๎ นการเรยี นการทางานของ ตนเอง มี
ความภูมใิ จในตนเองและและร๎จู ักช่ืนซมผ๎อู น่ื รู๎และเขา๎ ใจความตอ๎ งการและปัญหาของตนเอง ความสามารถใน
การสือ่ สาร สอ่ื ความร๎ูสกึ ใหผ๎ ๎ูอ่ืนได๎รับรู๎ การแสดงออกของอารมณ์ท่เี หมาะสมกับวยั เขา๎ ใจการเป็นผู๎ให๎ และ
ผ๎รู ับท่ีดี สามารถทางานและอยรํู ํวมกบั ผู๎อนื่ ไดอ๎ ยาํ งมคี วามสุข ตัดสนิ ใจและแกป๎ ัญหา งํายๆดว๎ ยตนเอง ดน๎ หา
ข๎อมูลจากแหลงํ ที่อยใํู กลต๎ ัว เลอื กใช๎ข๎อมูลที่เปน็ ประโยชน์ในชีวิตประจาวนั มเี จตคติที่ ดีตอํ อาชีพสจุ รติ มดี ํา
นิยมท่ีดี มคี ุณธรรม จรยิ ธรรม มจี ติ สานกึ มคี วามรับผดิ ขอบตอํ ตนเองและครอบครัว
จุดประสงค์
๑. ใหน๎ กั เรยี นรู๎จักตนเอง ควบคุมตนเอง พ่ึงตนเอง และสามารถปรับตวั ได๎
๒. นักเรียนสามารถเลอื กและตดั สินใจการวางแผนการจัดการชวี ติ การเรียน การงานและอาชพี
อยํางมคี ุณคาํ
๓. สามารถด๎นหาข๎อมูลจากแหลํางตาํ งๆดว๎ ยวธิ ที ่ีหลากหลายและทนั สมยั
-๑๔๕-
โครงสรา้ งการจัดกจิ กรรมแนะแนว
ชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี ๕ เวลาเรยี น ๔๐ ชัว่ โมง
ลาดับที่ เนือ้ หา/กจิ กรรม เวลา/ชว่ั โมง
๑ ตวั ฉนั ๒
๒ บคุ ลิกภาพ ๔
๓ แสดงออกอยาํ งมน่ั ใจ ๓
๔ แสดงออกอยํางเหมาะสม ๓
๕ คณุ คาํ ด๎านการเรียน ๔
๖ อาชีพในฝนั ๔
๗ เธอทฉี่ ันรจู๎ ัก ๒
๘ เรียนอยาํ งไรได๎เกรดดี ๔
๙ วพิ ากษ์อยาํ งมีข๎อมลู ๒
๑๐ สนั ตวิ ธิ ี ๓
๑๑ จติ อาสานาพาสังคม ๒
๑๒ ภัยทไี่ มํคาดคิด ๓
๑๓ พฤติกรรมทางสงั คม ๔
รวมเวลาเรยี นท้งั หมด ๔๐ ช่ัวโมง/ปี
-๑๔๖-
คาอธบิ ายกิจกรรมแนะแนว
ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี ๖ เวลา ๔๐ ช่ัวโมง
ศกึ ษารวบรวมขอ๎ มลู เกีย่ วกับการรับรค๎ู วามตอ๎ งการและความรสู๎ ึกของตนเอง การรจ๎ู กั จดุ เดนํ จุด
ดอ๎ ย ของตนเอง ร๎ูความสนใจ ความถนดั และความสามารถดา๎ นการเรียนการทางาน มีความภาคภูมใิ จใน
ตนเอง และชน่ื ซมผูอ๎ น่ื การร๎แู ละเขา๎ ใจความตอ๎ งการและปัญหาของตนเอง ความสามารถในการส่ือความร๎สู ึก
ใหผ๎ ูอ๎ ่ืน ได๎รับรู๎การแสดงออกของอารมณท์ ่เี หมาะสมกบั วยั การเปน็ ผูใ๎ หแ๎ ละผ๎ูรับท่ดี ี ความสามารถในการ
ทางานและ อยรํู ํวมกบั ผู๎อนื่ ได๎อยํางมีความสุขมีความสามรถในการตดั สนิ ใจ และแก๎ปัญหางํายๆของตนเอง มี
ความสามารถ ในการดน๎ หาข๎อมลู จากแหลํงท่ีอยํูใกลต๎ วั ความสามารถในการใช๎ข๎อมูลใหเ๎ ปน็ ประโยชน์ใน
ชีวติ ประจาวันมีเจคติ ที่ดตี ํออาชีพสรุ จติ มีดาํ นยิ มท่ีดมี ีคุณธรรม จรยิ ธรรมมีจติ สานึก มคี วามรับผดิ ขอบตํอ
ตนเองและครอบครัว สงั คม และประเทศไทย ดว๎ ยการสงั เกต สัมภาษณ์ ซักถาม ทดสอบความรู๎พ้ืนฐาน
จดุ ประสงค์
๑. ให๎นกั เรียนร๎จู ักตนเอง ควบคุมตนเอง พ่งึ ตนเอง และสามารถปรับตวั ได๎
๒. นักเรยี นสามารถเลือกและตดั สนิ ใจการวางแผนการจดั การชีวติ การเรียน การงานและอาชีพ
อยํางมีคณุ คาํ
๓. สามารถดน๎ หาขอ๎ มูลจากแหลํางตํางๆด๎วยวิธีที่หลากหลายและทนั สมยั
-๑๔๗-
โครงสร้างการจัดกจิ กรรมแนะแนว
ชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี ๖ เวลาเรียน ๔๐ ชั่วโมง
ลาดับที่ เนอ้ื หา/กิจกรรม เวลา/ชว่ั โมง
๑ Who are you ? ๓
๒ ความมั่นใจ ๓
๓ ความเช่ือมั่นในบุคลกิ ภาพ ๓
๔ โลกกวา๎ งทางการศึกษา ๓
๕ อาชพี ทสี่ นใจ ๓
๖ วเิ คราะห์ผลการเรียน ๔
๗ สมาชิกทด่ี ขี องสังคม ๔
๘ อารมณ์ ๔
๙ คุณธรรมนาชีวติ ๔
๑๐ คิดให๎ดีไมํมีปญั หา ๓
๑๑ ไมํมใี ครเดือดร๎อน ๓
๑๒ ความรํวมมอื ๓
รวมเวลาเรยี นทั้งหมด ๔๐ ชั่วโมง/ปี
-๑๔๘-
๒. กิจกรรมนักเรียน
กจิ กรรมนักเรียน เป็นกิจกรรมทส่ี ํงเสริมและพัฒนานักเรียนใหผ๎ เ๎ู รียนได๎เข๎ารวํ มกิจกรรมตามความ
ถนดั และความสนใจ โดยเน๎นเร่อื งคุณธรรมจริยธรรม ความมีระเบยี บวินัย การไมเํ ห็นแกํตัว ความเป็นผ๎นู า
ผู๎ตามทดี่ ี ความรบั ผิดชอบ การทางานรํวมกนั การรู๎จักแก๎ปัญหาการตัดสินใจ ความมีเหตุผล การชํวยเหลือ
แบงํ ปัน ความเอ้ืออาทรและสมานฉนั ท์
กิจกรรมนักเรยี นประกอบไปด๎วย
๒.๑ กจิ กรรมลกู เสือ เนตรนารี
นกั เรยี นทกุ คนตอ๎ งเข๎ารํวมกิจกรรมลูกเสอื เนตรนารี ๔๐ ชว่ั โมงตํอปกี ารศึกษา (ระดับประถมศึกษา)
แนวทางการจดั กิจกรรมลกู เสอื เนตรนารีการจดั กจิ กรรมลกู เสอื เนตรนารี มแี นวทางการจัดกจิ กรรมตาม
วธิ กี ารลกู เสอื (Scout Method)
ซงึ่ มอี งคป์ ระกอบ ๗ ประการ คอื
๑. คาปฏญิ าณและกฎ ถอื เป็นหลักเกณฑ์ทล่ี กู เสือทุกคนใหค๎ าม่ันสญั ญาวําจะปฏบิ ตั ิตามกฎ
ของลกู เสอื กฎของลกู เสือมีไวใ๎ ห๎ลูกเสอื เป็นหลกั ในการปฏิบตั ิ ไมไํ ด๎ “หา๎ ม” ทาหรือ “บงั คับ” ใหท๎ า แตถํ า๎
“ทา” ก็จะเกดิ ผลดีแกํตวั เอง เปน็ คนดี ไดร๎ บั การยกยอํ งวาํ เปน็ ผมู๎ เี กยี รติเชอื่ ถือได๎ ฯลฯ
๒. เรียนร้จู ากการกระทา เปน็ การพฒั นาสวํ นบุคคล ความสาเรจ็ หรือไมสํ าเร็จของผลงานอยทูํ ี่
การกระทาของตนเอง ทาให๎มคี วามรท๎ู ่ชี ัดเจน และสามารถแก๎ปัญหาตําง ๆ ดว๎ ยตัวเองได๎ และ
ทา๎ ทายความสามารถของตนเอง
๓. ระบบหมู่ เป็นรากฐานอันแทจ๎ ริงของการลูกเสอื เปน็ พ้ืนฐานในการอยรูํ ํวมกัน
การยอมรบั ซึ่งกนั และกัน การแบงํ หน๎าทคี่ วามรบั ผิดชอบ การชํวยเหลือซึ่งกันและกันเป็นการเรยี นร๎ู
การใช๎ประชาธปิ ไตยเบื้องต๎น
๔. การใช้สญั ลกั ษณ์ร่วมกัน ฝกึ ใหม๎ คี วามเป็นหน่งึ เดียวในการเป็นสมาชิกลูกเสือ เนตรนารี
ด๎วยการใช๎สญั ลักษณร์ วํ มกัน ไดแ๎ กํ เคร่ืองแบบ เคร่อื งหมาย การทาความเคารพ รหัส กฎ
คาปฏิญาณ คติพจน์ คาขวัญ ธง เป็นตน๎ วิธีน้ีจะชวํ ยใหผ๎ ๎ูเรียนตระหนกั และภาคภูมใิ จในการเป็นสมาชิกของ
องค์การลูกเสือแหํงโลก ซึง่ มีสมาชกิ อยูํทั่วโลกและเป็นองค์กรทม่ี จี านวนสมาชกิ มากทสี่ ุดในโลก
๕. การศึกษาธรรมชาติ คือสิ่งสาคญั อันดับหน่ึงในกิจกรรมลกู เสอื ธรรมชาตอิ ันโปรํงใสตาม
ชนบท ปุาเขา ปุาละเมาะ และพํุมไม๎ เป็นที่ปรารถนาอยํางยิ่งในการไปทากจิ กรรมกบั ธรรมชาติ
การปีนเขา ต้งั คํายพักแรมในสุดสัปดาหห์ รอื ตามวาระของการอยํูคํายพักแรม ตามกฎระเบยี บ เปน็ ท่ีเสนหํ า
แกํเดก็ ทกุ คน ถา๎ ขาดสง่ิ นี้แล๎ว ก็ไมํเรียกวําใช๎ชีวิตแบบลูกเสือ
๖. ความกา้ วหน้าในการเข้าร่วมกิจกรรม กจิ กรรมตําง ๆ ท่ีจัดให๎เดก็ ทาต๎องใหม๎ ี
ความก๎าวหนา๎ และดงึ ดดู ใจ สร๎างใหเ๎ กดิ ความกระตอื รือร๎น อยากท่จี ะทาและวตั ถุในการจัดแตํละอยาํ งให๎
สัมพันธก์ ับความหลากหลายในการพัฒนาตนเอง เกมการเลํนทสี่ นกุ สนาน การแขงํ ขันกันก็เป็นสิ่งดึงดดู ใจ
และเป็นแรงจูงใจที่ดี
๗. การสนับสนุนโดยผู้ใหญ่ ผู๎ใหญํเป็นผชู๎ ี้แนะหนทางท่ถี ูกต๎องใหแ๎ กเํ ด็ก เพื่อใหเ๎ ขาเกดิ ความ
มัน่ ใจในการที่จะตัดสินใจกระทาสง่ิ ใดลงไป เด็กกต็ ๎องการให๎ผูใ๎ หญํไดช๎ ี้นา ผ๎ใู หญํเองก็ต๎องนาพาให๎ไปสํหู นทาง
ท่ดี ี ให๎ไดร๎ บั การพฒั นาอยํางถูกต๎องและดีท่ีสดุ จึงเป็นการรํวมมือกันทง้ั สองฝุาย
-๑๔๙-
คาอธิบาย
กจิ กรรมลกู เสือ เนตรนารสี ารอง ดาวดวงที่ ๑ ชั้นประถมศึกษาปที ่ี ๑
เวลา ๔๐ ชั่วโมง
มคี วามร๎ูความเข๎าใจและสามารถปฏิบัติในเร่ืองของประวัติการเริ่มกิจการลูกเสือสารอง ประโยชน์
การ เปน็ ลกู เสือสารอง เคร่ืองแบบและเครื่องหมายลูกเสือสารอง นิทานเรื่องเมาคลี ระเบียบแถวทําพัก รูป
แถวตําง ๆ การทาความเคารพรายบุคคลและเป็นหมํู ประวัติการจับมือซ๎าย คาปฏิญาณ กฎ คติพจน์ ของ
ลูกเสือสารอง การรักษาความสะอาดฟัน มือ เท๎า และเล็บ การหายใจอยํางลูกวิธี การปฐมพยาบาลแผล
ขนาดเล็ก การขว๎าง และรับลูกบอล การม๎วนหน๎า การกระโดดกบ การปีนต๎นไม๎ การไตํเชือก การสารวจ
และการเยอื นสถานที่ ใกลเ๎ คยี ง การขอความชวํ ยเหลือการเรียนร๎ูธรรมชาติของชีวิตสัตว์ สาเหตุของการเกิด
อบุ ตั ิเหตุ อนั ตรายทีเ่ กิด จากไฟ และวธิ ีบีองกนั ความปลอดภัยในการเดินถนน และข๎ามถนน การเก็บรักษา
เส้ือผ๎า รองเท๎า การจัดและ เก็บที่นอน การต๎มน้าร๎อน การทาความสะอาดเครื่องใช๎พระราชประวัติ
พระบาทสมเด็จพระเจา๎ อยํหู ัว พระราช กรณยี กจิ พระราชกรณยี กจิ ท่ีเกี่ยวกบั กิจการลูกเสือ เพลงชาติ เพลง
สรรเสริญพระบารมี ธงชาติไทย ธงลกู เสอื โลก ธงชาติองั กฤษ ธงชาติฟิลปิ ปินส์ การประดิษฐ์สิ่งชองจากเศษ
วัสดุ การเดินสะกดรอย การแสดงเงียบ การ ผูกเงื่อนพิรอด เงื่อนชัดสมาธิและประโยชน์ชองเง่ือน การเก็บ
เชือก การปฏบิ ตั ติ นตามคาปฏิญาณและกฎชอง ลูกเสือสารอง
มีทักษะในการสังเกต จดจา การใช๎มือ เคร่อื งมือการแก๎ปญั หาและทักษะในการทางานรํวมกับผ๎ูอื่น
มี ความซ่ือสัตย์ สุจริต มีระเบียบวินัย มีความสามัคคี เห็นอกเห็นใจผ๎ูอื่น มีความเสียสละ บาเพ็ญตนเพื่อ
สาธารณประโยชน์มีการพฒั นาตนเองอยเํู สมอ สรา๎ งสรรค์งานปมี อื สนใจและพฒั นาเร่อื งชองธรรมชาติ
เพื่อให๎ผ๎ูเรียนมีพัฒนาทางกาย สติปัญญา จิตใจและศีลธรรมให๎เป็นพลเมืองดี มีความรับผิดชอบ
ชวํ ยสร๎างสรรคส์ ังคม ให๎มคี วามเจรญิ กา๎ วหนา๎ ความสงบสขุ และความม่ันคงของประเทศชาติ จึงต๎องปลูกผิง
ให๎มีคุณลกั ษณะดงั ท่ีกลําวมาแล๎ว
จดุ ประสงค์
ภาคเรยี นที่ ๑
๑. เลําประวัติการเรมิ่ กจิ การลกู เสอื สารองและบอกประโยชน์ชองการเป็นลกู เสอื สารองได๎
๒. แตํงเครื่องแบบลกู เสือสารองได๎ลกู ต๎องดว๎ ยตนเอง
๓. สรุปเนอื้ หาชองนิยายเรอ่ื งเมาคลีอยาํ งลูกต๎องได๎
๔. บอกและแสดงวิธีปฏิบัติตนในการเขา๎ แถวรปู แบบตําง ๆ ได๎ลูกตอ๎ ง
๕. บอกช้ันตอนและแสดงวิธกี ารทาความเคารพเปน็ รายบคุ คลและเป็นหมํูไดอ๎ ยาํ งถูกต๎อง
๖. บอกประวัตแิ ละแสดงวิธีการจบั มือแบบลกู เสอื ไดอ๎ ยาํ งถูกต๎อง
๗. บอกคาปฏิญาณกฎและคตพิ จนช์ องลกู เสือสารองไดอ๎ ยํางถูกตอ๎ ง
๘. บอกและแสดงวธิ ีการรักษาความสะอาดรํางกายเกย่ี วกบั ฟันมอื เทา๎ และเล็บอยาํ งถูกต๎องได๎
๙. บอกและแสดงวิธีปฏิบตั กิ ารปฐมพยาบาลบาดแผลขนาดเล็กและการหายใจท่ีถูกวธิ ีได๎
-๑๕๐-
ภาคเรียนที่ ๒
๑๐. บอกประโยชนแ์ ละแสดงวธิ กี ารออกกาลงั กายแบบตาํ ง ๆ ได๎
๑๑. บอกวิธีการปฏิบตั ิในการสารวจและเยือนสถานทใี่ กล๎เคียงได๎ถูกต๎อง
๑๒. บอกประโยชนแ์ ละวิธกี ารปฏบิ ตั ิตนในการด๎นหาธรรมชาติไดถ๎ ูกตอ๎ ง
๑๓. บอกวิธปี ฏิบตั แิ ละปอู งกันตนจากอบุ ัติเหตุในบา๎ น อันตรายที่เกดิ จากไฟไหม๎และความปลอดภัย
ในการเดนิ ถนนและขา๎ มถนนได๎
๑๔. แสดงวธิ กี ารเกบ็ รกั ษาเส้ือผ๎ารองเทา๎ ทน่ี อนและวิธีการต๎มนา้ ร๎อน การทาความสะอาดเครอื่ งใช๎
ไดถ๎ ูกต๎อง
๑๔. เลําพระราชประวัติและพระราชกรณยี กิจของพระบาทสมเดจ็ พระเจ๎าอยํูหวั ในรชั กาลปัจจบุ นั ได๎
๑๖. รอ๎ งและปฏบิ ตั ิตนได๎ถูกต๎องเกย่ี วกับเพลงชาตแิ ละเพลงสรรเสริญพระบารมี
๑๗. บอกลกั ษณะและความหมายชองธงชาตไิ ทย ธงคณะลูกเสอื โลก ธงชาตอิ งั กฤษและธงชาติ ฟิลิปปนิ สได๎
๑๘. นาเศษวสั ดมุ าประดิษฐ์ส่ิงชองอยาํ งงําย ๆ ได๎
๑๙. บอกเครื่องหมายและปฏบิ ัตติ นได๎ถูกต๎องในการเดินสะกดรอย
๒๐. เขา๎ รํวมการแสดงเงยี บกับเพื่อนได๎
๒๑. บอกประโยชน์และแสดงวธิ ีผูกเงอื่ นพริ อด เงอื่ นชัดสมาธิ และการเกบ็ เชือกได๎
-๑๕๑-
โครงสร้างการจดั กจิ กรรมลกู เสอื เนตรนารี
ชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี ๑ ดาวดวงที่ ๑ เวลาเรยี น ๔๐ ชวั่ โมง/ปี
ภาคเรยี นท่ี ๑
สปั ดาห์ที่ เน้ือหา / กจิ กรรม เวลา/ช่ัวโมง
๑-๒ ๑-๒
๑.ปฐมนเิ ทศ
๓ ๑.๑ การจัดหมูํ ๑
๑.๒ การแตํงกาย
๔ ประวัตคิ วามเปน็ มาของลกู เสือสารอง ๑
๕ ๒.๑ ประวตั กิ ารลูกเสือไทย ๑
๖ ๒.๒ วิธดี าเนนิ การของขบวนการลกู เสอื ๑
๗-๑๒ การทาความเคารพเปน็ รายบุคคล ๖
๑๓ ระเบียบแถวทําตรงและทาพัก ๑
๑๔ สัญญาณมือและรปู แถว ๑
๑๕-๑๗ เรื่องของเมาคลี ๑
๑๘-๑๙ การทาความเคารพเป็นหมูํ ๓
๒๐ พธิ เี ปิดประชุมกองของลกู เสอื สารอง ๒
ดาปฏิญาณของลูกเสือสารอง
กฎของลูกเสอื สารอง
คติพจนข์ องลูกเสอื สารอง
-๑๕๒-
ภาคเรยี นที่ ๒
สปั ดาหท์ ่ี หน่วยการเรียนรู้/หนว่ ยย่อยกจิ กรรม เวลา/ชว่ั โมง
๒๑
๒๒ พธิ ีเข๎าประจากองลูกเสือสารอง ๑
คาปฏญิ าณและกฎของลกู เสือสารอง ๑
๒๓-๒๔ ความสามารถเซงิ ทักษะ
๑
๒๔ - การขวา๎ งและรบั ลูกบอล ๑
- การปีนตน๎ ไม๎-การไตํเชือก
๒๖-๒๘ การผูกเงื่อน ๑
- การเกบ็ เชือก / เง่อื นพริ อด / เงือ่ นขดั สมาธิ
๒๙ ธงและประเทศตํางๆ ๑
๓๐ - พระราชประวตั ขิ องพระบาทสมเด็จพระเจ๎าอยหํู ัว รชั กาลปจั จบุ นั ๑
๓๑ - เพลงชาติและเพลงสรรเสริญพระบารมี ๑
๓๒ - ธงคณะลูกเสือโลก ๑
๓๓ การรักษาความสะอาด ฟืน มือ เท๎าและเลบ็ ๑
๓๔ การปฐมพยาบาลบาดแผลขนาดเลก็ ๑
๓๔ การสารวจ ๑
๓๖ การขอความชํวยเหลือเมื่อเกิดเหตุฉกุ เฉิน ๑
๓๗ การรายงานการสารวจ ๑
๓๘ ความปลอดภัยในบา๎ น และบนทอ๎ งถนน ๑
๓๙ การเกบ็ รักษาเสื่อผ๎าและรองเท๎า ๑
๔๐ การเดนิ สะกดรอย ๑
การแสดงเงียบ ๑
การประดิษฐ์ส่ิงของจากเศษวัสดุ ๑
การศึกษาเรืองราวเก่ียวกับพืชและสัตว์ ๑
พธิ ปี ระดบั ดาวดวงท่ี 1 ๔๐ ชว่ั โมง/ปี
รวมเวลาเรียนทัง้ หมด
-๑๕๓-
คาอธบิ าย
กจิ กรรมลูกเสือ เนตรนารีสารอง ดาวดวงท่ี ๒ ช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี ๒
เวลา ๔๐ ช่ัวโมง
ศึกษา วิเคราะห์ สังเคราะห์ สืบค๎น และฝึกปฏิบัติเก่ียวกับความสาคัญชองการนอนหลับ การปฐม
พยาบาลเม่ือมีเลือดกาเดาออก การวํายน้า การกระโดดเชือก การเดินทรงตัว การม๎วนตัว การขึ้นบันได การ
เลีย้ งลูกบอล การสารวจและการเยือนสถานทกี่ ารเพาะเมล็ดพันธุพืช การเรียนร๎พู ืชท่ีเปน็ อาหารของสัตว์
สาเหตทุ ีท่ าให๎เกิดอุบตั เิ หตุ ทางน้า การปฏิบัติตนในการเดินทางทางน้า การบริการเก่ียวกับเหตุฉุกเฉิน การซัก
ธงชาติ การเก็บรักษาธงชาติ ธงคณะลูกเสือโลก ธงซาติญ่ีปุน มาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย การทาวําว
การพับกระดาษ การทาไม๎สูงสาหรับเดิน การทานาฬิกาแดด การทาเข็มทิศจาลอง การกํอไฟ การปรุงอาหาร
การคับไฟและการทาความสะอาดสถานที่ การแสดงกล การเลํานิทาน การร๎องเพลง การเลํนดนตรี การม๎วน
ตวั ทาํ ตาํ ง ๆ การผูกเง่อื นบํวงสายธนูและเงื่อนกระหวัดไม๎และประโยชน์ชองเงื่อน การเก็บเชือก การปฏิบัติตน
ตามคาปฏญิ าณและกฎชองลกู เสือสารอง
มีทักษะในการสังเกต จดจา การใชม๎ ือ เคร่ืองมอื การแกป๎ ัญหา และทักษะในการทางานรํวมกับผ๎ูอ่ืนมี
ความซ่ือสัตย์ สุจริต มีระเบียบ วินัย มีความสามัคคี เห็นอกเห็นใจผู๎อื่น มีความเสียสละ บาเพ็ญตนเพ่ือ สา
ธารณบํระโยชนม์ ีการพฒั นาตนเองอยํเู สมอ สรา๎ งสรรคง์ านฝีมอื สนใจและพฒั นาเรือ่ งชองธรรมชาติ
เพื่อพัฒนาลูกเสอื ทัง้ ทางกาย สติปัญญา จติ ใจและศลี ธรรมใหเ๎ ปน็ พลเมืองดี มีความ รับผดิ ชอบ
ชวํ ยสรา๎ งสรรคส์ งั คมใหม๎ ีความเจรญิ กา๎ วหน๎า เพ่ือความสงบสุขและความม่ันคงชองบํระเทศชาติ จึงต๎องบํลูกฝัง
ใหม๎ คี ุณลกั ษณะดงั ที่กลําวมาแลว๎
จุดประสงค์
ภาคเรยี นท่ี ๑
๑. บอกความสาคญั ชองการนอนหลับได๎
๒. ปฐมพยาบาลเม่ือมเี ลือดกาเดาไหล
๓. กระโดดเชอื กและเดินทรงตัวได๎
๔. ม๎วนตวั และเล้ียงลูกบอลได๎
๕. สารวจและเยือนสถานท่ีได๎
๖. เพาะเมล็ดพันธ์พชื ได๎
๗. บอกพืชท่เี ป็นอาหารชองสัตว์ได๎
๘. เลมํ เกมงํายๆ ได๎
๙. ทาส่งิ ประดษิ ฐจ์ ากวัสดุธรรมชาติได๎
๑๐. กอํ ไฟและคับไฟได๎
๑๑. ปรุงอาหารและทาความสะอาดสถานที่ได๎
-๑๕๔-
ภาคเรยี นท่ี ๒
๑๒. เลํานทิ านได๎,
๑๓. ร๎องเพลงได๎
๑๔. ผกู เงือ่ นบํวงสายธนูและเงื่อนกระหวดั ไมไ๎ ด๎
๑๔. บอกคาปฏิญาณและกฎของลกู เสอื สารองไดถ๎ กู ต๎อง
๑๖. บอกการปฏบิ ตั ิตนตามคาปฏญิ าณและกฎของลูกเสือสารองได๎ถกู ต๎อง
๑๗. บอกสาเหตุทีทาใหเ๎ กิดอุบตั เิ หตทุ างน้าได๎
๑๘. บอกการปฏบิ ตั ิตนในการเดนิ ทางทางนา้ ได๎
๑๙. ซกั ธงชาติและการเก็บรกั ษาธงชาตไิ ด๎ถูกวธิ ี
๒๑. บอกลกั ษณะของธงคณะลูกเสือโลก ธงซาติญี่ปุน มาเลเซยี สิงคโปร์ และอินโดนเี ซียไดล๎ ูกต๎อง
๒๑. ทาวําวได๎
๒๒. พับกระดาษเป็นรปู ตาํ งๆ ได
-๑๕๕-
โครงสรา้ งการจดั กจิ กรรมลูกเสือ เนตรนารี
ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี ๒ ดาวดวงที่ ๒ เวลาเรยี น ๔๐ ชว่ั โมง/ปี
ภาคเรยี นท่ี ๑
สปั ดาห์ท่ี หน่วยการเรียนรู/หน่วยย่อยกิจกรรม เวลา(ชั่วโมง)
๑ ปฐมนเิ ทศ(การจดั หมูํการแตํงกาย) ๑
๒-๓ คาปฏิญาณและกฎของลกู เสือสารอง ๒
๔- ๕ กฎของลูกเสือสารอง ๒
๖ การกระโดดเชือกเทา๎ ชดิ กัน ๑
๗ การเดินทรงตัวบนราวไม๎ ๑
๘ การม๎วนตวั ข๎ามราวไม๎ ๑
๙ การข๎นบนั ไดทยี่ กเคลอนท่ีได๎ ๑
๑๐ การเล้ยี งลกู บอลด๎วยเทา๎ อ๎อมเครอื่ งกีดขวาง ๑
๑๑ การเก็บเชือก ๑
๑๒ เงือ่ นบํวงสายธนู ๑
๑๓ เงอ่ื นกระหวัดไม๎ ๑
๑๔ การผกู เงื่อนและการเก็บเชอื ก ๑
๑๔ ธงชาติไทย ๑
๑๖ ธงคณะลูกเสือโลก ๑
๑๗ ธงชาตปิ ระเทศตาํ งๆ ๑
๑๘ การนอนหลบั พกั ผํอน ๑
๑๙ การปฐมพยาบาลเมือมเี ลอื ดกาเดาออก ๑
๒๐ การขอความชํวยเหลือเม่ือเกิดอบุ ัติเหตุ ๑
-๑๕๖-
ภาคเรยี นที่ ๒
สปั ดาหท์ ่ี หนว่ ยการเรียนรู้/หน่วยย่อยกิจกรรม เวลา(ช่ัวโมง)
๒๑ การสารวจและการเยือนสถานท่ี ๑
๒๒ การรายงานการเดนิ ทางสารวจ ๑
๒๓ ความปลอดภยั ทางนา ๑
๒๔-๒๔ การกํอไฟ ดับไฟ และทาความสะอาดสถานที่ ๒
๒๖-๒๗ การปรงุ อาหาร ๒
๒๘ การสํงขําว ๑
๒๙ การขอความชวํ ยเหลอื เม่ือเกิดเหตฉุ กุ เฉิน ๑
๓๐ การเพาะเมล็ดพนั ธุพชื ๑
๓๑ พืชที่เปน็ อาหารสตั วเ์ ล้ยี ง ๑
๓๒ การทาวาํ ว ๑
๓๓ การพบั ผ๎าหรือกระดาษเป็นรูปตํางๆ ๑
๓๔ การทานาฬกิ าแดด ๑
๓๔ การทาเข็มทิศจาลอง ๑
๓๖ การแสดงกลหรือการแสดงทาํ ขบขนั ๑
๓๗ การเลนํ นิทานหรอื อาํ นคากลอน ๑
๓๘ การร๎องเพลง ๑
๓๙ การเลํนดนตรี ๑
๔๐ พิธปี ระดับดาวดวงท่ี 2 ๑
๔๐ ชว่ั /ต่อปี
รวมเวลาเรียนทั้งหมด
-๑๕๗-
คาอธิบาย
กจิ กรรมลกู เสอื เนตรนารีสารอง ดาวดวงที่ ๓ ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ ๓
เวลา ๔๐ ช่วั โมง
มีความร๎ู ความเขา๎ ใจและสามารถปฏิบัติในเร่ืองของ การจัดทาถุงหรือที่เก็บอุปกรณ์ปัจจุบันพยาบาล
การขอความชํวยเหลอื เมอ่ื มอี บุ ตั เิ หตุ การปฐมพยาบาลเม่อื ถกู แมลงกัดตอํ ย เม่ือถกู ไฟไหมห๎ รือน้าร๎อนลวก การ
ว่ิง การกระโดดเชือก การขว๎างลูกบอล การกระโดดข๎ามเคร่ืองกีดขวาง การนับเวลาตามเข็มนาฬิกา การ วาง
แผนการเดินทาง การเรยี นรสู๎ ภาพดนิ ฟาู อากาศ การจดั ทาสมุดภาพ หรือสะสมเกี่ยวกับแมลง หรือส่ิงมีชีวิต ใน
สระน้า การปฏิบัติตามกฎจราจร การเรียนรู๎ความปลอดภัยในบ๎าน การวางแผนและดาเนินการให๎บริการแกํ
ผอู๎ ่นื ธงลกู เสือประจาจังหวดั ธงคณะลูกเสอื แหงํ ชาติ ธงประเทศตําง ๆ การประดิษฐ์สิ่งของจากเศษวัสดุ วิธีใช๎
และเก็บรกั ษาเครือ่ งมือ ทศิ เข็มทศิ การหาระยะทาง การแสดงละคร การร๎องเพลงหรือฟูอนรา การทาหํุนและ
เชิดหํุน การผูกเงื่อนบํวงสายธนู และเง่ือนกระหวัดไม๎ ๒ ช้ัน การขดเชือกหรือสายยาง การทํองการบอก
ความหมายและการปฏบิ ัตติ ามดาปฏิญาณและกฎของลูกเสอื สารอง
มีทักษะในการสังเกต จดจาการใช๎มือ เคร่ืองมือการแก๎ปัญหาและทักษะในการทางานรํวมกับผ๎ูอื่นมี
ความซ่ือสัตย์ สุจริต มีระเบียบ วินัย มีความสามัคคี เห็นอกเห็นใจผ๎ูอ่ืน มีความเสียสละ บาเพ็ญตนเพื่อ
สาธารณประโยชนม์ ีการพัฒนาตนเองอยูเํ สมอ สร๎างสรรค์งานผเี มอื สนใจและพฒั นาเรอื่ งของธรรมชาติ
เพ่ือให๎ผ๎ูเรียนมีพัฒนาทางกาย สติปัญญา จิตใจและศีลธรรมให๎เป็นพลเมืองดี มีความรับผิดชอบ ชํวย
สร๎างสรรค์สังคม ให๎มีความเจริญก๎าวหน๎า ความสงบสุขและความมั่นคงของประเทศชาติ จึงต๎องปลูกผิง,ให๎มี
คุณลกั ษณะดังท่ีกลําวมาแล๎ว
จุดประสงค์
ภาคเรียนท่ี ๑
๑. สามารถบอกดาปฏญิ าณและกฎของลูกเสอื สารองได๎
๒. ความสามารถเชงิ ทักษะทางด๎านการว่ิงได๎
๓. ลกู เสอื มีทกั ษะการผูกเงอื นประเภทตํางๆ ได๎
๔. ลูกเสือมคี วามรเ๎ู กี่ยวกบั ธงและประเทศตาํ งๆ ได๎
๕. ลูกเสอื สามารถดูแลตนเองเมื่อเกดิ อบุ ัติเหตไุ ด๎
๖. ลูกเสือรจู๎ ักการการสารวจและสังเกตในส่งิ ตาํ งๆ ได๎
๗. ลูกเสือสามารถปฏบิ ัตกิ ิจกรรมกลางแจ๎งได๎
-๑๕๘-
ภาคเรียนที่ ๒
๘. ลูกเสอื สามารถปฏิบัติเรอ่ื งเขม็ ทิศได๎,
๙. ลูกเสือสามารถเข๎าใจเกี่ยวความปลอดภยั ในดา๎ นตํางๆ ได๎
๑๐. ลกู เสอื สามารถประดิษฐ์ส่ิงของจาก!]มือตนเองได๎
๑๑. ลูกเสือสามารถศึกษาเก่ียวกบั ธรรมชาติในด๎านตํางๆ ได๎
๑๒. ลูกเสือสามารถปฏิบตั ิดา๎ นการบนั เทงิ ได๎
๑๓. ลกู เสือสามารถให๎การบริการในดา๎ นตํางๆ ได๎
๑๔. ลกู เสือสามารถปฏบิ ตั ริ ะเบยี บแถวได๎
-๑๕๙-
โครงสร้างการจดั กจิ กรรมลูกเสอื เนตรนารี
ช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ ๓ ดาวดวงที่ ๓ เวลาเรยี น ๔๐ ช่ัวโมง/ปี
ภาคเรยี นที่ ๑
สัปดาห์ที่ หน่วยการเรียนรู้/หนว่ ยย่อยกิจกรรม เวลา(ชั่วโมง)
๑
๑ ปฐมนเิ ทศ(การจัดหมํู การแตํงกาย) ๒
๒
๒-๓ คาปฏิญาณและกฎของลกู เสือสารอง ๑
๑
๔- ๕ กฎของลูกเสือสารอง ๑
๑
๖ การว่ิงระยะสนั้ -การว่งิ หรือยนื กระโดดไกล ๑
๑
๗ การขว๎างและรับลกู บอล ๑
๑
๘ การเก็บเชอื กหรอื สายยาง ๑
๑
๙ เงือนบํวงสายธนู ๑
๑
๑๐ เงือนกระหวัด'ไม๎ 2 ช้ัน ๑
๑
๑๑ ธงลกู เสอื ประจาจังหวดั ๑
๑๒ ธงคณะลูกเสือแหงํ ชาติ
๑๓ ธงประเทศตํางๆ
๑๔ การจดั ทาถุงเกบ็ อุปกรณ์ปัจจุบนั พยาบาล
๑๕ การปฐมพยาบาลเมอื่ ลูกแมลงมพี ษิ กดั หรือตอํ ย
๑๖ การปฐมพยาบาลเม่อื ลูกไฟไหม๎น้าร๎อนลวก
๑๗ การรจ๎ู ักของความชํวยเหลือเมอื่ เกิดอุบัตเิ หตุ
๑๘ การนบั เวลา
๑๙ การวางแผนการเดินทางสารวจ
๒๐ ทิศ
-๑๖๐-
ภาคเรยี นท่ี ๒
สปั ดาหท์ ่ี หน่วยการเรียนร/ู้ หนว่ ยย่อยกิจกรรม เวลา(ชว่ั โมง)
๒๑ เข็มทศิ ๑
๒๒ กฎและเครอื่ งหมายจราจร ๑
๒๓ การเดนิ ถนนและขา๎ มถนน ๑
๒๔ ความปลอดภยั ในบา๎ น ๑
๒๔ การประดิษฐ์สงิ่ ของจากเศษวัสดุ ๑
๒๖ การประดิษฐ์ของเลนํ จากเศษวัสดุ ๑
๒๗ การประดษิ ฐ์ของใชจ๎ ากเศษวัสดุ ๑
๒๘ สภาพดินฟาู อากาศ ๑
๒๙ แมลงชนดิ ตํางๆ ๑
๓๐ สงิ่ มีชีวิตในแหลงํ นา้ ธรรมชาติ ๑
๓๑ การแสดงละคร ๑
๓๒ การร๎องเพลง ๑
๓๓ ๑
๓๔-๓๔ การทาทุํนมอื และเชิดทนุํ ๒
๓๖-๓๗ การบริการ ๒
๓๘-๓๙ การให๎บริการ ๒
๔๐ ๑
ระเบยี บแถว ๔๐ ชั่วโมง/ปี
พิธปี ระดับดวงดวงที่ 3
รวมเวลาเรยี นท้งั หมด
-๑๖๑- ชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ ๔
คาอธบิ าย เวลา ๔๐ ชัว่ โมง
กิจกรรมลกู เสอื เนตรนารีสามญั ลูกเสือตรี
เปิดประชุมกอง ดาเนินการตามกระบวนการลูกเสอื และจดั กิจกรรมโดยใหศ๎ ึกษาวเิ คราะห์วางแผน
ปฏิบัติกิจกรรมเป็นฐานการเรียนร๎ูและใช๎กระบวนการเรียนรู๎ที่หลากหลาย โดยเน๎นระบบหมูํ สรุปผลการปฏิบัติ
กจิ กรรม ปดประชุมกองในเรือ่ ง
หลักสูตรลูกเสือตรี (ความร๎ูเกี่ยวกับขบวนการลูกเสือ ระเบียบแถว ดาปฏิญาณและกฎของลูกเสือ
กจิ กรรมกลางแจง๎ วิชาพิเศษและสอบเคร่อื งหมายวิชาพิเศษ)
เพือ่ ให๎มคี วามร๎ู ความเชา๎ ใจในกิจกรรมลูกเสือสามญั สามารถปฏิบตั ติ ามดาปฏิญาณ กฎและคติพจน์ ของ
ลูกเสือสามัญ มนี ิสยั ในการสังเกต จดจา มคี วามรําเริงแจํมใส มีระเบยี บวินัย ประหยัด ซ่ือสตั ย์สจุ รติ อดทน
เสยี สละ ชวํ ยเหลือตนเองและผ๎อู ่นื เปน็ ผน๎ู าํ และผตู๎ ามทด่ี ี สามารถทางานและอยูํรวํ มกับผ๎อู ่นื ได๎
จดุ ประสงค์
ภาคเรยี นท่ี ๑
๑. ลกู เสอื สามารถประกอบพธิ ีสงํ ลกู เสือสารองไปเปน็ ลูกเสอื สามัญ
๒. ลกู เสือสามารถศกึ ษาประวตั ขิ องลอรด์ เบเดน โพเอลล์ ได๎
๓. ลกู เสอื สามารถศึกษาประวัติของพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล๎าเจา๎ อยูหํ วั ได๎
๔. ลกู เสอื สามารถศกึ ษาเกยี่ วกบั พระราชทานกาเนดิ ลูกเสือไทย
๕. ลูกเสือสามารถศกึ ษาเก่ยี วกับวิวฒั นาการลูกเสอื โลกและลกู เสือไทย
๖. ลูกเสอื สามารถทาความเคารพ การแสดงรหสั การจับมือและคตพิ จนข์ องลูกเสือได๎
๗. ลูกเสือสามารถปฏิบตั ิระเบยี บแถวได๎
ภาคเรียนที่ ๒
๘. ลกู เสอื สามารถปฏิบัติระเบียบแถวโดยใช๎สัญญาณตาํ งๆ ได๎
๙. ลกู เสือสามารถทํองดาปฏิญาณของลกู เสือสามญั ได๎
๑๐. ลูกเสือสามารถทํองกฎของลกู เสือสามญั ได๎
๑๑. ลูกเสือสามารถให๎บริการในดา๎ นตํางๆ ได๎
๑๒. ลกู เสือสามารถศึกษาวิชาพเิ ศษได๎
-๑๖๒-
โครงสร้างการจัดกจิ กรรมลูกเสือ เนตรนารี
ช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ ๔ ลูกเสือตรี เวลาเรยี น ๔๐ ช่ัวโมง/ปี
ภาคเรียนท่ี ๑
สัปดาหท์ ่ี หนว่ ยการเรยี นรู/หนว่ ยย่อยกจิ กรรม เวลา(ช่ัวโมง)
๑
๑ พธิ ีสงํ ลกู เสอื สารองไปเปน็ ลูกเสือสามญั
๒
๒-๓ ประวตั ขิ องลอรด์ เบเดน โพเอลล์ ๒
๒
๔- ๔ ประวัติของพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา๎ เจา๎ อยหูํ วั ๒
๒
๖-๗ พระราชกรณียกิจ ๒
๓
๘-๙ การพระราชทานกาเนิดลูกเสือไทย ๔
๑๐-๑๑ ววิ ัฒนาการลูกเสือโลกและลูกเสือไทย
๑๒-๑๓ การทาความเคารพ การแสดงรหสั การจับมอื และคติพจน์ของลกู เสือ
๑๔-๑๖ ทํามอื เปลํา (ระเบยี บแถว)
๑๗-๑๘ ทําไม๎พลอง
ภาคเรยี นที่ ๒
สัปดาหท์ ่ี หน่วยการเรียนร/ู้ หนว่ ยย่อยกิจกรรม เวลา(ช่ัวโมง)
๑๙ ทําไม๎พลอง ๑
๒๐-๒๓ ระเบยี บแถว(การใช๎สัญญาณมอื , สัญญาณนกหวดี ) ๔
๒๔-๒๔ การต้งั แถวและการเรียงแถว ๒
๒๖-๒๘ คาปฏญิ าณของลูกเสอื สามัญ ๓
๒๙-๓๑ กฎของลูกเสอื สามัญ ๓
การเกบ็ ขยะมูลฝอยรมิ ถนนในหมูํบ๎าน ๑
๓๒ การทาํ ความสะอาดบริเวณวดั ๑
๓๓ นกั จกั สาน ๑
๓๔ นกั ธรรมชาตศิ ึกษา ๑
๓๔ พิธีประจากองลูกเสือสามัญ ๓
๓๖ ๔๐ ชว่ั โมง/ปี
รวมเวลาเรยี นท้ังหมด
-๑๖๓-
คาอธิบาย
กจิ กรรมลกู เสอื เนตรนารีสามญั ลูกเสือโท ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ ๕
เวลา ๔๐ ชว่ั โมง
พธิ ีเปิด ปิดประชุมกอง ดาเนินตามกระบวนการลกู เสือ การจ๎ู กั ดูแลตนเอง การชํวยเหลือผอู๎ ืน่ การ
เดนิ ทางไปยังสถานท่ีตาํ งๆ ทักษะในทางวิชาลกู เสือ งานอดเิ รกและเรื่องท่ีนําสนใจ ดาปฏิญาณและกฎ
ของลูกเสือสามัญ ระเบยี บแถว นกั เลีย้ งสตั วเ์ ล็ก นกั 'วํายนา้ นักสังเกตและจา นักธรรมชาติ โดยจดั กจิ กรรม ให๎
ศึกษา วิเคราะห์ วางแผน ปฏบิ ัติกิจกรรมตามฐาน เนน๎ ระบบหมํู สรุปการจัดการปฏบิ ตั ิกิจกรรมเปิดประชุมกอง
เพ่อื ใหม๎ คี วามร๎ูความเข๎าใจในกิจกรรมลุกเสือสามารถปฏิบัติตามคาปฏิญาณกฎและคติพจนข์ องลูกเสือสารอง
มี นิสยั ในการสังเกต จดจา มีความราํ เรงิ แจํมใส มีระเบยี บวินัย ขยัน ประหยัด ซื่อสัตยส์ ุจริต อดทน เสยี สละ
ชํวยเหลือตนเองและ ผ๎ูอ่ืน เป็นผู๎ตามทด่ี ที างานและอยํูรวํ มกับผอ๎ู นื่ ได๎ มคี วามสนใจในการอนุรักษธ์ รรมชาติและ
สง่ิ แวดล๎อม
จดุ ประสงค์
ภาคเรียนที่ ๑
๑. ลกู เสอื ได๎รับการปฐมนิเทศ
๒. ลูกเสือศึกษาเกย่ี วกับการบรรจเุ ครื่องหลงั ชองตนเอง
๓. ลูกเสือสามารถการชวํ ยเหลอื ตนเองได๎
๔. ลูกเสือร๎จู ักการปรุงอาหาร - เครือ่ งด่ืมได๎
๕. ลูกเสือสามารถทจ่ี ะการกางเต๎นทไ์ ด๎
๖. ลูกเสือรจ๎ู กั การชํวยเหลอื ผอ๎ู ืน่
๗. ลูกเสอื รูจ๎ ักทิศและการใช๎เข็มทศิ ได๎
๘. ลูกเสอื รูจ๎ ักการเดนิ ทางไปยังสถานท่ีตาํ งๆ
ภาคเรียนท่ี ๒
๙. ลกู เสือรู๎จักการใช๎ การรักษามดี และขวาน
๑๐. ลูกเสอื สามารถผกู เงื่อนในรปู แบบตํางๆ ได๎
๑๑. ลูกเสอื รู๎จกั การผกู แนํนได๎
๑๒. ลกู เสือสามารถศกึ ษาการเรียนรู๎ฤดูกาล ลม ลกั ษณะอากาศ
๑๓. ลูกเสือสามารถเสือกทางานอดิเรกได๎
๑๔. ลกู เสือสามารถบอกและปฏิบตั ิตามดาปฏิญาณและกฎชองลูกเสอื สามัญได๎
๑๕. ลกู เสอื สามารถปฏบิ ัติระเบียบแถวได๎
๑๖. ลูกเสอื สามารถให๎สญั ญาณตํางๆ ได๎
๑๗. ลูกเสือสามารถฝึกการตั้งแถวในรูปแบบตํางๆ ได๎
-๑๖๔-
โครงสรา้ งการจดั กจิ กรรมลกู เสือ เนตรนารี
ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี ๕ ลกู เสือโท เวลาเรยี น ๔๐ ชั่วโมง/ปี
ภาคเรยี นท่ี ๑
สปั ดาห์ที่ หนว่ ยการเรยี นร/ู หน่วยย่อยกจิ กรรม เวลา(ชั่วโมง)
๑
๑ การปฐมนเิ ทศ ๒
๑
๒-๓ การบรรจุเครื่องหลัง ๑
๑
๔ การเตรียมเครื่องพยาบาล ๑
๑
๔ การกํอไฟ ๑
๒
๖ การเตรียมเครื่องปัจจบุ ันพยาบาล ๑
๑
๗ การกํอกองไฟ ๒
๑
๘ การปรุงอาหาร - เคร่อื งด่ืม ๑
๓
๙ การปรงุ อาหารอยํางงาํ ย ๆ
เวลา(ช่ัวโมง)
๑๐-๑๑ การกางเต๎นทส์ าหรับพักแรม
๒
๑๒ การปฐมพยาบาลเม่ือถกู แมลงหรือสตั วม์ ีพิษกัดตํอย ๒
๑
๑๓ การปฐมพยาบาลเมือ่ ถกู แดดเผา ไฟไหม๎ ๒
๒
๑๔-๑๕ สถานทส่ี าคัญในท๎องถน่ิ ๒
๒
๑๖ ทศิ และการใชเ๎ ข็มทิศ ๒
๒
๑๗ การเดินทางไปตามแผนท่ี โดยใช๎เขม็ ทิศนําทาง ๓
๑๘ การเดินทางไกล ๔๐ ชว่ั โมง/ปี
ภาคเรียนท่ี ๒
สปั ดาห์ที่ หนว่ ยการเรียนร/ู้ หนว่ ยย่อยกจิ กรรม
๑๙-๒๐ การใช๎ การรกั ษามีดและขวาน
๒๑-๒๒ การผูกเงื่อน
๒๓ การผูกแนํน
๒๔-๒๔ การเรยี นร๎ฤู ดกู าล ลม ลกั ษณะอากาศ
๒๖-๒๗ การเลอื กทางานอดิเรกทีส่ นใจ
๒๘-๒๙ บอกและปฏบิ ตั ิตามคาปฏญิ าณและกฎของลูกเสอื สามัญ
๓๐-๓๑ ปฏิบตั ติ นตามระเบียบแถว ทามือเปลาํ
๓๒-๓๓ ปฏิบตั ติ นตามระเบียบแถว ทาลือไม๎พลอง
๓๔-๓๔ การให๎สัญญาณมอื และนกหวีด
๓๖-๓๘ การฝึกการตั้งแถว และเรียงแถว
รวมเวลาเรยี นทัง้ หมด
-๑๖๕-
คาอธิบาย
กิจกรรมลกู เสอื เนตรนารสี ามญั ลกู เสือเอก ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ ๖
เวลา ๔๐ ช่ัวโมง
เปิดประชมุ กองดาเนินการกระบวนการของลูกเสอื และกจิ กรรม โดยให๎ศึกษา วเิ คราะห์วางแผน ปฏบิ ตั ิ
กจิ กรรมตามฐาน โดยเนน๎ ระบบหมูํ สรปุ ผลการปฏบิ ตั ิกิจกรรม ปิดประชมุ กองในเร่ืองลูกเสือเอก การ พ่ึงตนเอง
การบรกิ าร การผจญภัย วชิ าการของลกู เสือ ระเบยี บแถวดาปฏญิ าณและกฎของลกู เสือ
เพ่อื ใหเ๎ กิดความรูค๎ วามเขา๎ ใจในกระบวนการของลกู เสอื สามารถนําไปใช๎ให๎เกิดประโยชนต์ อํ ตนเอง
ครอบครัว สังคม โดยใช๎ทกั ษะกระบวนการคดิ วิเคราะห์ คิดสงั เคราะห์ คิดอยาํ งมวี จิ ารณญาณและคดิ อยาํ ง
สร๎างสรรค์ ส่อื สารซัดเจน มีสุขภาพแข็งแรง มีความสงาํ งามในการเปน็ ผน๎ู าํ ผ๎ูตามท่ีดีมีเหตุผล มีสุขนสิ ยั ใน การ
สงั เกตจดจา เชือ่ พังและพงึ่ ตนเอง มคี วามรบั ผดิ ชอบในหน๎าที่ การงาน รจู๎ กั การทาผีเมือ ผีเกฝนการทา กิจกรรม
ตํางๆ มีนา้ ใจกบั บิดามารดาและบคุ คลในครอบครัว ในการพฒั นาตนเองและชวํ ยเหลอื ผู๎อ่ืน ช่ือสตั ย์ สุจริต มี
ระเบยี บวินัย มีความสานึกในความเป็นไทยและภมู ิใจในชาติ ศาสนา พระมหากษตั รยิ ์ รกั ษาจารตี ประเพณี
วัฒนธรรมและความมน่ั คงของประเทศชาติ
จดุ ประสงค์
ภาคเรยี นที่ ๑
๑. ลกู เสือไดร๎ บั การปฐมนิเทศ
๒. ลกู เสอื สามารถทอํ งดาปฏิญาณของลูกเสือสามญั ได๎
๓. ลูกเสอื สามารถปฏิบัตริ ะเบียบแถวได๎
๔. ลูกเสือสามารถปฏิบัตติ ามสญั ญาณมือได๎
๕. ลกู เสอื สามารถปฏบิ ัตติ ามสัญญาณนกหวดี ได๎
๖. ลกู เสือสามารถผกู เงื่อนแบบตํางๆ ได๎
๗. ลกู เสือสามารถพ่งึ ตนเองได๎
๘. ลกู เสอื สามารถปฐมพยาบาลได๎
ภาคเรียนท่ี ๒
๙. ลูกเสอื สามารถใชแ๎ ผนทแี่ ละเข็มทิศได๎
๑๐. ลูกเสือสามารถปฏิบตั วิ ชิ าการลกู เสือ
๑๑. ลกู เสอื สามารถศกึ ษาวชิ าการบุกเบิก
๑๒. ลูกเสอื สามารถสรา๎ งคาํ ยพักแรมได๎
๑๓. ลูกเสอื สามารถศกึ ษาวชิ าการพึ่งตนเอง
๑๔. ลูกเสอื สามารถศกึ ษาวชิ าการศึกษาธรรมชาติ
๑๔. ลกู เสอื สามารถศกึ ษาการเดินสวนสนามได๎
-๑๖๖-
โครงสรา้ งการจัดกิจกรรมลกู เสอื เนตรนารี
ชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี ๖ ลูกเสือเอก เวลาเรยี น ๔๐ ช่ัวโมง/ปี
ภาคเรยี นที่ ๑
สปั ดาหท์ ี่ หนว่ ยการเรยี นรู/หนว่ ยย่อยกจิ กรรม เวลา(ช่ัวโมง)
๑
การปฐมนเิ ทศ -๑๕๙- ๑
ภาคเรียน๒ท-๓ี่ ๒ ๒
๔ คาปฏิญาณของลูกเสอื สามัญ ๑
๕ ๑
๖ ระเบียบแถวทําตรงและทาํ พัก ๑
๗ ๑
๘ ระเบียบแถวทําหนั อยํูกับท่ี ๑
๙ ๑
๑๐ สญั ญาณมือและรูปแถวหน๎ากระดานแถวเดียว ๑
๑๑ ๑
๑๒ สัญญาณมือและรูปแถวตอนหมูํ ๑
๑๓ ๑
๑๔ สัญญาณมือและรปู แถวหน๎ากระดาษหมํูปิดระยะ/เปิดระยะ ๑
๑๕ ๑
๑๖ สัญญาณมือและรปู แถวคร่ึงวงกลม ๑
๑๗ ๑
๑๘ สญั ญาณมือและรูปแถววงกลม ๑
๑๙ ๑
๒๐ สัญญาณมือและรปู แถวส่ีเหลยี มเปิดด๎านหนึ่ง/แถวรูปรศั มี ๑
สัญญาณนกหวดี
การผกู เงื่อนบวํ งสายธนู
การใช๎เงอ่ื นผูกแนํนทาเสาธงลอย
การใชเ๎ งื่อนผูกแนนํ ผกู ตอมือสะพาน
การใชต๎ ะเกยี ง เตา เครื่องใช๎ไฟฟาู ตํางๆ
การกํอไฟ
การปฐมพยาบาลผูป๎ ุวยทมี่ เี ลือดออกภายนอก
การปฐมพยาบาลผปู๎ ุวยท่ีมอี าการช๏อค
การเคลือ่ นย๎ายผู๎ปวุ ย
-๑๖๗-
ภาคเรยี นท่ี ๒
สปั ดาห์ท่ี หนว่ ยการเรยี นร/ู หน่วยย่อยกจิ กรรม เวลา(ช่ัวโมง)
๒๑-๒๒ การใชแ๎ ผนทีแ่ ละเข็มทศิ ๒
๒๓ การเดนิ ทางไกล ๑
๒๔ การเยอื นสถานที่ ๑
๒๔ การไตเํ ชือกท่ผี ูกพนั หลัก ๑
๒๖ การปรงุ อาหารแบบซาวปุา ๑
๒๗ การใช๎ขวานและเลื่อย ๑
โครงการบุกเบิก ๒
๒๘-๒๙ การอยํูคํายพักแรม ๓
๓๐ การสรา๎ งคํายพกั แรมช่วั คราว ๒
การสารวจ ๑
๓๑-๓๒ การจดั ทาอนุทนิ ธรรมชาติ ๑
๓๓ กาลอากาศ ๑
งานอดิเรกและเรื่องท่ีสนใจ ๑
๓๔ การอนุรักษธ์ รรมชาติ ๑
๓๔ การเดินสวนสนาม ๑
๓๖
๓๗ ๔๐ ชว่ั โมง/ปี
๓๘-๔๐
รวมเวลาเรยี นท้ังหมด
-๑๖๘-
๒.๒ กจิ กรรมชมุ นุม
กิจกรรมชมุ นมุ หมายถงึ การจัดกจิ กรรมเพ่ือพฒั นาความถนัด ความสนใจ ตามความตอ๎ งการของ ผู๎เรียน
เป็นกิจกรรมท่มี งุํ เนน๎ การเตมิ เตม็ ความรู๎ ความชานาญและประสบการณ์ของผ๎ูเรียนให๎กว๎างขวางยิ่งข้นึ เพื่อ
การค๎นพบความถนดั ความสนใจของตนเอง และพฒั นาตนเองใหเ๎ ต็มศกั ยภาพ ตลอดจนการพัฒนาทักษะ ของ
สงั คม และปลูกฝังจติ สานึกของการทาประโยชน์เพ่ือสังคม
หลักการ
การจดั กจิ กรรมชมุ นุม มหี ลักการที่สาคญั คือ
๑. เปน็ กิจกรรมทเ่ี กดิ จากความสมคั รใจของผ๎เู รยี น โดยมีครเู ปน็ ที่ปรึกษา
๒. เปน็ กจิ กรรมทผ่ี ๎เู รยี นชํวยกนั คิด ชํวยกนั ทา และชวํ ยกนั แก๎ปญั หา
๓. เป็นกจิ กรรมที่พฒั นาผเ๎ู รยี นตามสาระที่กาหนดนอกเหนือจากการเรียนการสอน
๔. เปน็ กจิ กรรมท่ีสงํ เสริม และพฒั นาศักยภาพของผูเ๎ รยี น
๕. เปน็ กิจกรรมทเี่ หมาะสมกับสภาพของสถานศึกษา หรือห๎องถิน่
วตั ถปุ ระสงค์
การจดั กจิ กรรมชมุ นมุ มวี ัตถุประสงค์ ดงั ตํอไปนี้
๑. พฒั นาความรู๎ ความสามารถ คา๎ นการคดิ วเิ คราะห์ สงั เคราะห์ เพ่อื ใหเ๎ กดิ ทักษะประสบการณ์
ทง้ั วิชาการและวชิ าชีพตามศักยภาพ
๒. มีคณุ ธรรม จริยธรรมและคาํ นิยมท่พี ึงประสงค์
๓. มีสุขภาพและบุคลกิ ภาพทางคา๎ นรํางกายและจิตใจท่ีดี
๔. ใช๎เวลาวํางให๎เกดิ ประโยชน์ตอํ ตนเอง ชมุ ชน สงั คม และประเทศชาติ
๕. มีมนษุ ยสมั พนั ธ์ในการทางานรํวมกบั ผ๎ูอ่ืนในระบอบประชาธปิ ไตย
ขอบขา่ ย
๑. เปน็ กจิ กรรมท่เี กดิ จากการสร๎างสรรค์ และออกแบบกิจกรรมของผูเ๎ รยี นตามความสมัครใจ
๒. เป็นกิจกรรมทจี่ ัดเสริมหลกั สูตรสถานศกึ ษาในค๎านความร๎ูและทักษะปฏบิ ัตขิ องผูเ๎ รียน
ผู๎เรยี น รํวมกันทางานเปน็ ทมี ชวํ ยกันคดิ ชํวยกนั ทา และชวํ ยกนั แก๎ปญั หา
๓. เป็นกิจกรรมที่สงํ เสริมและพฒั นาศักยภาพของผู๎เรยี น
๔. เป็นกิจกรรมท่ีเหมาะสมกับวยั และวฒุ ิภาวะของผ๎เู รียน รวมทั้งบรบิ ทของสถานศึกษาและหอ๎ งถน่ิ
๕. สามารถจัดไค๎ทง้ั ในและนอกสถานศึกษา และท้งั ในเวลาและนอกเวลาเรยี น
-๑๖๙-
แนวการจัดกจิ กรรม
๑. โรงเรยี นควรจัดการใหผ๎ ู๎เรยี นดาเนนิ กจิ กรรมได๎,อยํางหลากหลาย ท้ังรปู แบบภายในหรือภายนอก
หอ๎ งเรยี น และนอกสถานศึกษา
๒. โรงเรียนควรกาหนดระยะเวลาของการจดั กจิ กรรม เซนํ ระยะเวลา ๑ ภาคเรียน หรือ ระยะเวลา ๑ ปี
การศกึ ษา
๓. โรงเรียนควรสารวจความสนใจของผูเ๎ รยี นในการเลือกเขา๎ ชุมนมุ
๔. โรงเรยี นควรให๎ผเู๎ รียนรวํ มกนั จัดตั้งชุมนุม ดว๎ ยความสมัครใจหรือครผู ๎จู ดั กจิ กรรมจัดขึ้นเพ่ือ ตอบสนอง
วัตถปุ ระสงค์ของสถานศึกษาและเชญิ ครทู ี่ปรึกษาตามกลํุมของตนตกลงกัน
๕. ครทู ีป่ รึกษาควรกระตน๎ุ และสงํ เสรมิ ให๎ผ๎ูเรียนถอดประสบการณ์แลกเปล่ยี นเรียนร๎ูและเผยแพรํ กิจกรรม
ตํอชมุ ชน
ขั้นตอนการจัดต้งั ชุมนุม
โรงเรียนบา๎ นบอํ ดิน ได๎จัดกิจกรรมชมุ นมุ ในทุกระดับข้นั โดยจัดอยําง หลากหลาย เพ่ือสนองความสนใจ
ความถนัด เหมาะสมกับวัยและวุฒภิ าวะของนักเรียน ในระดับขน้ั ประถมศึกษาปีที่ ๑- ๓ นกั เรียนยังมีความ
พรอ๎ มในการเลือกน๎อย เพ่ือความเหมาะสมของวยั จึงจดั ให๎นกั เรียน เวียนเขา๎ กจิ กรรมชมุ นุม เป็นฐานกิจกรรม
โรงเรียนไดเ๎ ปดิ โอกาสให๎นักเรียนในระดบั ข้ันประถมศึกษาปีท่ี ๔- ๖ ไดเ๎ ลอื กกจิ กรรมตามความถนัดและความ
สนใจ โดยเลือกกิจกรรมตามท่ีโรงเรียนไดจ๎ ดั ไวใ๎ ห๎ หรือหากนักเรียนมี ความสนใจตรงกันรวมกลุํมกนั สามารถ
เสนอจัดตัง้ ชมุ นมุ ตามระเบยี บการจัดต้ังชมุ นมุ ของโรงเรยี น โดยมี หลกั เกณฑ์ดงั น้ี
๑. ครู หรอื นกั เรียน ที่มีความประสงคจ์ ัดต้งั ชมุ นุม เขียนโครงการเสนอตํอหัวหน๎า กลุํมกจิ กรรม พัฒนา
ผเ๎ู รียนเพ่อื พิจารณา
๒. กจิ กรรมชุมนุมที่ขออนุญาตจัดตัง้ ขน้ึ ต๎องมีครทู ่ีปรึกษาชุมนุมอยํางนอ๎ ย ๑ คนแตไํ มเํ กิน ๒ คน
๓. ขนาดของชมุ นุม ประกอบดว๎ ยสมาชิกในอตั ราสํวนนกั เรยี นตํอครูท่ีปรกึ ษา ๑๐ : ๑
(ยดื หยุํนได๎ ท่ีอตั รา ๕ – ๑๐ : ๑)
การประเมนิ ผล
การประเมนิ ผลการจดั กิจกรรมชุมนุม เป็นเงื่อนไขสาคญั ประการหนึ่ง สาหรบั การผํานระดับข้นั หรอื จบ
หลกั สูตร นักเรียนตอ๎ งเข๎ารํวมและปฏิบัตกิ จิ กรรมชมุ นมุ ตลอดจนผํานการประเมนิ ตามเกณฑ์ ทโ่ี รงเรยี น
กาหนดตามแนวประเมินดังน้ี
๑. ประเมนิ การรํวมกจิ กรรมชุมนมุ ตามวัตถุประสงค์ของชมุ นมุ ด๎วยวธิ กี ารทีห่ ลากหลายตามสภาพ จรงิ ให๎
ได๎ผลการประเมินท่ีถกู ต๎อง ครบถ๎วน
๒. ครทู ป่ี รกึ ษากิจกรรมชุมนมุ และนักเรยี นจะมบี ทบาทในการประเมิน ดงั นี้
-๑๗๐-
๒.๑ ครูที่ปรึกษากจิ กรรมชุมนมุ
๑. ต๎องดแู ลและพัฒนานกั เรียนใหเ๎ กดิ คุณลักษณะตามวตั ถุประสงคข์ องกิจกรรม
๒. ตอ๎ งรายงานเวลา และพฤติกรรมการเข๎ารํวมกิจกรรมของนักเรียน
๓. ตอ๎ งศกึ ษาตดิ ตาม และพัฒนานักเรียนในทก่ี รณนี กั เรยี นไมเํ ข๎ารวํ มกจิ กรรม
๒.๒ นักเรียน
๑. ปฏบิ ตั กิ ิจกรรมให๎บรรลุผลตามวตั ถุประสงค์
๒. มหี ลกั ฐานแสดงการเข๎ารํวมกิจกรรมไมํน๎อยกวํา รอ๎ ยละ ๘๐ ของเวลาเรยี นท้ังหมด พร๎อมทง้ั
แสดงผลการปฏบิ ตั ิกิจกรรม และพัฒนาการด๎านตําง ๆ
๓. ถา๎ ไมํเกิดคุณลักษณะตามวัตถุประสงค์ ต๎องปฏบิ ตั ิกิจกรรมเพมิ่ เติมตามที่ครู
ท่ปี รกึ ษา กจิ กรรมมอบหมาย
๓. เกณฑ์การผาํ นกจิ กรรมชุมนมุ
๓.๑ นักเรยี นเขา๎ รํวมกจิ กรรมชมุ นุมไมํน๎อยกวําร๎อยละ ๘๐ ของเวลาเรยี นทั้งหมด
๓.๒ นักเรยี นผาํ นจุดประสงคท์ ่ีสาคญั ของแตลํ ะกิจกรรม
๓.๓ นกั เรียนตอ๎ งผํานเกณฑ์ประเมนิ ตามข๎อ ๓.๑ และ๓.๒ จึงได๎ผลการเรียน “ผาํ น”
ในกจิ กรรมชุมนุม
-๑๗๑-
ชมุ นุมนทิ านพาเพลิน ชั้นประถมศึกษาปีท่ี ๑
คาอธบิ าย
ร๎ูจักใช๎เวลาวาํ งใหเ๎ กิดประโยชน์ มีมารยาทในการอําน การเขียนและการฟูง ในการเชา๎ ใชห๎ ๎องสมดุ
รูจ๎ ัก เลือกหนงั สือท่ีอาํ นและนาข๎อคดิ มาใช๎ในชีวติ ประจาวัน รจู๎ กั การทางานเป็นทีม กล๎า คดิ กล๎าแสดงออกรกั
และ เหน็ ความสาคัญของการอาํ น
จดุ ประสงค์
๑. รู๎จักใช๎เวลาวาํ งใหเ๎ กิดประโยชน์
๒. รจ๎ู กั มารยาทในการอาํ น การเขียน การฟูง และการใชห๎ ๎องสมดุ
๓. รู๎จกั เลือกหนงั ลือท่ีอําน
๔. รจ๎ู กั นาขอ๎ คิดจากนทิ านมาปรบั ใช๎ในชีวติ ประจาวนั
๕. รูจ๎ ักกล๎าคดิ กลา๎ แสดงออกในทางที่ถกู ต๎อง
๖. รู๎จกั ทางานเป็นทีม
๗. รกั และเหน็ ความสาคญั ชองการอาํ น
-๑๗๒-
ชมุ นมุ การละเล่นของเดก็ ช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี ๑
คาอธบิ าย
ศกึ ษาและฝึกปฏิบตั เิ กย่ี วกับวิธกี ารเลนํ กฎ กติกา ของการละเลํนกลางแจง๎ และในรํม การเลนํ เปน็
รายบุคคล และการเลนํ เปน็ หมูํ
โดยใช๎ทกั ษะกระบวนการปฏิบัติ กระบวนการคิด กระบวนการกลํมุ การแก๎ปัญหา และการอภปิ ราย
เพื่อให๎นักเรียนเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลนิ สามารถเคลือ่ นไหวรํางกายได๎ถกู ต๎อง มีทกั ษะเบื้องตน๎ ของการ
เลนํ กีฬา และมีนา้ ใจเป็นนักกีฬา
จดุ ประสงค์
๑. นกั เรยี นเกดิ ความสนกุ สนานเพลดิ เพลนิ
๒. นกั เรยี นสามารถเคลื่อนไหวรํางกายไดถ๎ ูกต๎อง
๓. นักเรียนมที กั ษะเบือ้ งตน๎ ของการเลํนกีฬา
๔. นักเรยี นมีน้าใจเป็นนกั กีฬา
-๑๗๓-
ชุมนุม English is fun. ช้ันประถมศกึ ษาปีที่ ๑
คาอธิบาย
การจัดกิจกรรมพัฒนาผ๎ูเรียนน้ีเปน็ การทักทกั ษะภาษาอังกฤษเพ่ือใหน๎ ักเรียนเกดิ เจตคติทีด่ ีตอํ วิชา
ภาษาตํางประเทศ สามารถใช๎ภาษาตาํ งประเทศเพื่อสื่อสารในสถานการณต์ ํางๆ ได๎ การเรยี นร๎ูศพั ทเ์ ก่ยี วกับ
สิง่ แวดล๎อมใกลต๎ วั ซ่ึงเปน็ คาศัพท์พน้ื ฐานและสามารถนาไปใชช๎ ีวติ ประจาวัน นักเรยี นเกิดเจตคติที่ดีและ
สนกุ สนานกบั การเรียนภาษาตาํ งประเทศ โดยผํานการจัดกิจกรรมทีห่ ลากหลาย
เพ่อื ใหน๎ กั เรยี นเกิดทักษะทางภาษาองั กฤษทั้ง ทัง พูด อาํ นและเขียน เปน็ ไปตามลาดับ มีความ
เพลิดเพลนิ จากภาษาอังกฤษ ภาษาอังกฤษเพื่อรวบรวมคาศัพทท์ เ่ี ก่ียวช๎องกบั สิ่งใกลต๎ วั มีเจตคตทิ ่ีดแี ละเห็น
ประโยชนแ์ ละคณุ คําในการเรียนรู๎ภาษาอังกฤษ
จดุ ประสงค์
๑. เพือ่ พฒั นาทักษะการทัง พูด อํานและเขียนภาษาอังกฤษ
๒. เพอื่ เสรมิ สรา๎ งความมัน่ ในใจการใชภ๎ าษาองั กฤษในการสื่อสาร
๓. เพอื่ ใหน๎ ักเรียนเกิดเจตคติท่ีดีและสนกุ สนานกับการเรียนวิชาภาษาองั กฤษ
-๑๗๔-
โครงสร้างการจดั กจิ กรรมชมุ นมุ
ช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ ๑ เวลาเรียน ๓๐ ช่วั โมง
ลาดับท่ี เนอ้ื หา/กจิ กรรม เวลา/ชวั่ โมง
๑ ๑๐
๒ ชุมนมุ นิทานพาเพลนิ ๑๐
๓ ชมุ นุมการละเลํนของเด็ก ๑๐
ชุมนุม English is fun.
รวมเวลาเรียนทัง้ หมด ๓๐ ช่วั โมง/ปี
-๑๗๕-
ชุมนุมเกมและการเล่น ช้ันประถมศึกษาปีท่ี ๒
คาอธบิ าย
ศึกษาความหมายและความสาคัญของเกมและการเลนํ ความเป็นมาพอสังเขป วธิ ีเลํน กฎ กตกิ า
แสดงบทบาทสมมติหรอื ปฏบิ ัตจิ ริงในการเลํนเกมและการเลํนแตลํ ะอยาํ งของเดก็ ร๎จู ักและสามารถประดษิ ฐ์
อุปกรณ์ที่ใชใ๎ นการเลํน เปรียบเทียบเกมและการเลนํ ของเด็ก บอกแนวคดิ หรอื ขอ๎ คดิ ท่ีได๎จากการปฏบิ ตั ิ และ
ความสามารถในการส่ือสาร
เพ่ือให๎เกิดความรู๎ความเข๎าใจ มีความสามารถในการปรับตัวเข๎ากับสังคมและพัฒนาตนเองให๎อยูํ
รวํ มกับผอู๎ น่ื ไดอ๎ ยํางมีความสขุ
จุดประสงค์
๑. สร๎างเสรมิ ทักษะการเคลือ่ นไหวสํวนตาํ ง ๆ ของรํางกาย
๒. เพือ่ ความสมั พนั ธท์ ี่ดีในหมํเู พือ่ น
๓. เพ่ือปฏบิ ตั ติ ามกฎ กตกิ า การเลํนได๎ถกู ต๎อง
-๑๗๖-
ชมุ นุมคณติ คิดสนกุ ชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี ๒
คาอธบิ าย
ศึกษาวิธีคดิ วิเคราะหห์ าคาตอบ จากเกมคณิตศาสตรท์ ่หี ลากหลาย ความหมายและความสาคัญ
ของเกมคณิตศาสตรแ์ บบตํางๆ ฝึกวธิ ีการเลํนเกมให๎ถูกกฎ กตกิ า มารยาท มีนทใจ โดยใช๎เกมรวมผลจานวน
ทายจานวน การบวกลบ การดตู วั เลขจากภาพ ๆลๆ
เพอื่ ให๎เกดิ ความร๎ูความเช๎าใจ มีความสามารถในการเลํนเกมคณิตศาสตร์ตํางๆ และนําความรู๎ที่'ใต๎
จากการเลํนเกมคณติ ศาสตรม์ าปรบั ใช๎ในการเรียนคณติ ศาสตร์ใหม๎ ปี ระสทิ ธิภาพเพิม่ ขน้ึ
จดุ ประสงค์
๑. เพื่อใหน๎ กั เรียนเกดิ เจตคตทิ ีด่ ีตํอคณติ ศาสตร์
๒. เพื่อฝกึ เสริมทักษะคดิ คานวณเพอ่ื ไปใชใ๎ นชวี ติ ประจาวัน
๓. เพอ่ื ใหน๎ ักเรียนมคี วามสนุกสนาน และมีความคดิ ริเริ่มสร๎างสรรคก์ ับตวั เลขท่เี หมาะสมกับวัย
-๑๗๗-
ชุมนมุ เกมรกั ษ์ภาษา ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี ๒
คาอธิบาย
การอํานออกเสียงบทร๎อยแก๎งและร๎อยกรอง ฝึกพัง พดู อําน เขียน แตํงเรื่อง จากภาพ เขียนยํอความ
เรียงความ ฝึกวาดภาพประกอบสานวน ปริศนาคาทาย นทิ าน พร๎อมท้งั พัฒนางานเขยี นให๎ดีข้ึน
โดยใชท๎ ักษะ ทางภาษาไทย การอําน การฟงู การพูด และการเขยี น เพ่ือใหเ๎ กดิ ความรู๎ ความเช๎าใจ
สามารถนาไปใชใ๎ ห๎ เกดิ ประโยชน์ในชวี ติ ประจาวัน และ รักความเป็นไทย
จดุ ประสงค์
๑. มีทักษะในการพัง การพดู การอําน การเขียน
๒. นาความรูไ๎ ปประยุกตใ์ ช๎ในชีวติ ปะจาวันได๎
๓. มีเจตคตทิ ีด่ ีตอํ ภาษาไทย
-๑๗๘-
ชมุ นมุ นักประดษิ ฐน์ ้อย ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ ๒
คาอธิบาย
ศึกษา หลกั การออกแบบงานประดิษฐจ์ ากเศษวสั ดุ ฝึกการออกแบบงานประดษิ ฐเ์ ศษวัสดุ ตกแตํง ชิ้นงาน
สร๎างชิ้นงานจากเศษวัสดุเหลือใช๎ สามารถพัฒนางานและนาเสนอผลงานได๎ โดยใช๎กระบวนการทาง ศิลปะ และ
ฝึกปฏิบตั ิ
เพ่อื ให๎เกิดความร๎คู วามเชา๎ ใจ มีทกั ษะในการประดษิ ฐ์สิง่ ของจากเศษวัสดุ เกิดความรักและ ภาคภูมใิ จใน
ผลงานของตนและชื่นซมผลงานของผ๎ูอ่นื สามารถนาความร๎มู าใช๎ในชวี ติ ประจาวนั และทางาน รํวมกบั ผู๎อน่ื ได๎
อยํางมีความสขุ
จดุ ประสงค์
๑. เพื่อให๎นักเรียนมีความคิดสรา๎ งสรรค์แลจินตนาการ
๒. เพ่อื ฝึกทกั ษะการทางานรํวมกนั ผ๎ูอืน่
๓. เพอ่ื ให๎นกั เรียนมีความภาคภูมใิ จในผลงานของตนเอง และเรยี นรท๎ู ่ีจะชน่ื ซมผลงานของผอู๎ นื่
๔. เพอ่ื ให๎นักเรียนเกิดความสุข และสนกุ กับการเรยี น
-๑๗๙-
โครงสร้างการจัดกิจกรรมชุมนุม
ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ ๒ เวลาเรยี น ๓๐ ช่วั โมง
ลาดบั ท่ี เน้ือหา/กิจกรรม เวลา/ชว่ั โมง
๑ ๕
๒ ชุมนมุ เกมและการเลนํ ๑๐
๓ ชุมนุมคณติ คดิ สนุก ๑๐
๔ ชมุ นุมเกมรักษ์ภาษา ๕
ชุมนุมนกั ประดษิ ฐน์ ๎อย
รวมเวลาเรียนทงั้ หมด ๓๐ ชั่วโมง/ปี
-๑๘๐-
ชมุ นมุ ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปที ี่ ๓
คาอธิบาย
ศึกษาความรู๎ ความเข๎าใจเร่ืองความเปน็ ไทย ร๎องเพลง การละเลนํ อาํ นนทิ าน วาดภาพตาม จนิ ตนาการ
แตงํ เรอ่ื งจากภาพ และการเลําเรอื่ งโดยใช๎กระบวนการปฏิบัตกิ ารพัฒนาแนวคิด และ
ทกั ษะกระบวนการตาํ งๆเพ่ือใหเ๎ กิดความคิดสรา๎ งสรรค์ กลา๎ แสดงออก สามารถทางานรํวมกับผอู๎ น่ื ได๎ และ
เหน็ คณุ คําของการใชภ๎ าษาไทยอยาํ งถูกต๎อง
จดุ ประสงค์
๑. เหน็ คณุ คําของภาษาไทย
๒. สํงเสริมความคดิ สรา๎ งสรรค์
๓. กล๎าแสดงออก
๔. มคี วามสุขในการรวํ มกิจกรรม
-๑๘๑-
ชมุ นุมรกั ษค์ วามเป็นไทย ช้ันประถมศกึ ษาปีที่ ๓
คาอธิบาย
นกั เรียนสามารถขับร๎องเพลงงํายๆ ได๎ และแสดงทําทางประกอบเพลงให๎เข๎ากบั จังหวะใหเ๎ ขา๎ กบั จังหวะ
ปฏบิ ตั ิการละเลนํ เด็กไทยงูกนิ หางและมอญซํอนผา๎ ได๎อยํางถกู ต๎องและมีความสนุกสนานปฏิบตั ทิ าํ รา เพลงงาม
แสงเดอื นได๎ เพ่ือใหน๎ ักเรยี นฝึกความกลา๎ แสดงออก รักความเป็นไทย มีความสามัคคแี ละมคี วาม สนุกสนาน
จดุ ประสงค์
๑. นักเรียนสามารถรอ๎ งเพลงไทยแบบงํายๆได๎
๒. นกั เรียนสามารถแสดงทาํ ราประกอบเพลงได๎
๓. นักเรยี นสามารถเคลอื่ นไหวรํางกายได๎ถูกต๎อง
๔. นกั เรยี นสามารถเลํนการละเลํนเด็กไทยได๎อยํางถกู ต๎อง
-๑๘๒-
ชุมนมุ วิทยาศาสตร์ ชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ ๓
คาอธิบาย
ศกึ ษา วิธกี ารทาจรวดขวดน้า และการใช๎กลอ๎ งสํองทางไกล ฝึกการประดิษฐ์และออกแบบจรวดขวด นา้
โดยใชก๎ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ สาธติ ฝกึ ปฏบิ ัตเิ พือ่ ให๎เกิดความรู๎ความเช๎าใจ มที ักษะในการทา จรวดขวดนา
เหน็ คณุ คาํ ของวิทยาศาสตรแ์ ละนาความรู๎ไปใช๎ใหเ๎ กดิ ประโยชนอ์ ยํางสร๎างสรรค์ในชวี ิตประจาวัน
จุดประสงค์
๑. มีความรค๎ู วามเชา๎ ใจเกี่ยวกับการทาจรวดขวดนา้
๒. สามารถใช๎กล๎องสอํ งทางไกลได๎อยาํ งถูกต๎อง
๓. มีความคิดสร๎างสรรคใ์ นการออกแบบจรวดขวดนา้
๔. รู๎จักใชเ๎ วลาวํางใหเ๎ กิดประโยชน์
-๑๘๓-
โครงสร้างการจดั กจิ กรรมชุมนุม
ชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ ๓ เวลาเรียน ๓๐ ชว่ั โมง
ลาดับที่ เนือ้ หา/กจิ กรรม เวลา/ชั่วโมง
๑ ๑๐
๒ ชุมนุมภาษาไทย ๑๐
๓ ชุมนุมรักษ์ความเป็นไทย ๑๐
ชุมนมุ วิทยาศาสตร์
รวมเวลาเรียนทั้งหมด ๓๐ ชว่ั โมง/ปี
-๑๘๔-
ชุมนมุ สนกุ กับภาษา ช้ันประถมศกึ ษาปีที่ ๔
คาอธบิ าย
ใช๎และปฏบิ ตั ติ ามคาส่งั งํายๆ ระบุตวั อกั ษร การอํานออกเสียง คา ประโยค ถูกตอ๎ งตามหลกั การอําน ฟัง
กลุํมคาตามส่งิ แวดลอ๎ มใกล๎ตัวพดู โตต๎ อบดว๎ ยคางาํ ยๆ ในการส่อื สาร ระหวาํ งบคุ คลและพูดแสดงทาํ ทาง ประกอบ
กับวฒั นธรรมของเจ๎าของภาษา โดยการใช๎ทักษะกระบวนการทางภาษาด๎านฟูง พูด อาํ น เขียน การ ส่อื สารและ
ทกั ษะกระบวนการการทางานเปน็ กลํุม เพื่อให๎เกิดความร๎ู ความเชา๎ ใจ มีสมรรถนะในการสือ่ สาร มี ความคดิ
สร๎างสรรคแ์ กป๎ ัญหานามาประยุกต์ใช๎ในชวี ิตประจาวัน
จดุ ประสงค์
๑. เพอื่ ใช๎ทักษะกระบวนการทางภาษาการฟูง พดู อําน และเขยี น
๒. เพอื่ ให๎มคี วามคิดสรา๎ งสรรค์และแกป๎ ญั หา
๓. เพ่ือใหใ๎ ช๎ทักษะกระบวนการทางานเป็นกลุํม
๔. เพ่ือนาไปประยุกต์ใชใ๎ นชวี ติ ประจาวนั ในการส่ือสาร
-๑๘๕-
ชมุ นมุ บรรณารักษน์ อ้ ย ชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ ๔
คาอธบิ าย
ศึกษาหลักการทางานของบรรณารกั ษ์ เกิดความร๎ูความเข๎าใจในเร่ืองเทคนคิ วิธกี ารปฏบิ ัติหน๎าที่ เพ่อื ให๎
ปฏบิ ัตหิ นา๎ ทีบ่ รรณารกั ษ์ได๎ และสามารถประดษิ ฐ์ส่งิ ของท่ีสํงเสริมการอํานได๎หลากหลายรูปแบบ อาทิ ท่ีคน่ั
หนงั สอื แบบตาํ งๆ การด์ ความร๎ู หนังสือเลํมเลก็ โดยใช๎ความคิดสร๎างสรรค์ เพือ่ สํงเสริมให๎มนี ิสัยรกั การ อําน รกั
การเรยี นร๎ู
จุดประสงค์
๑. ปฏบิ ัติหน๎าที่บรรณารกั ษ์ได๎
๒. มนี ิสยั รกั การอําน รกั การเรยี นร๎ู
๓. ประดษิ ฐท์ ่คี น่ั หนังสือ การ์ดความร๎ู หนงั สอื เลํมเล็กได๎
-๑๘๖-
ชมุ นุมนักวิทยาศาสตรน์ อ้ ย ชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี ๔
คาอธิบาย
ศึกษา ค๎นควา๎ อปุ กรณ์วิทยาศาสตรเ์ กยี่ วกับซ่ือ ลักษณะ คุณสมบตั ิ วัสดทุ ีใ่ ชท๎ ารวมทั้งวิธีการใชแ๎ ละ การ
เก็บรกั ษาอุปกรณว์ ทิ ยาศาสตร์ทใ่ี ชใ๎ นห๎องวิทยาศาสตรแ์ ละการออกแบบอุปกรณ์วิทยาศาสตรอ์ ยํางงํายโดย ใช๎
วสั ดเุ หลอื ใชใ๎ นห๎องถน่ิ โดยใช๎ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการออกแบบและการฝกึ ปฏิบตั ิ
เพื่อให๎เกิดความรคู๎ วามเชา๎ ใจ มีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เหน็ คณุ คําของวิทยาศาสตรแ์ ละ นํา
ความร๎ไู ปใช๎ใหเ๎ กดิ ประโยชน์อยาํ งสร๎างสรรค์
จุดประสงค์
๑. มคี วามร๎ูความเชา๎ ใจเก่ียวกับอุปกรณว์ ทิ ยาศาสตร์
๒. เลอื กใช๎อปุ กรณว์ ทิ ยาศาสตรแ์ ละบอกเหตุผลในการเลอื กไค๎
๓. ทาความสะอาด และเก็บรักษาอปุ กรณ์วิทยาศาสตร์ไค๎
๔. มที ักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และร๎ูจักใชเ๎ วลาวาํ งให๎เปน็ ประโยชน์
-๑๘๗-
ชุมนมุ ศิลปะสร้างสรรค์ ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ ๔
คาอธบิ าย
ศึกษากลวิธตี ํางๆในการสรา๎ งงานศิลปะ สร๎างผลงานด๎วยกลวิธีทหี่ ลากหลายตามความสนใจในเรอ่ื ง การ
วาดภาพ ระบายสี ปนั พิมพ์ และประดิษฐ์โดยเนน๎ การเพ่มิ มูลคาํ แกวํ สั ดเุ หลือใช๎ เลอื กใช๎วัสดไุ ดต๎ รงตาม ความ
ตอ๎ งการ มีทักษะในการใชอ๎ ปุ กรณอ์ ยํางถูกตอ๎ งเหมาะสมในการทางาน ปฏิบัตงิ านด๎วยความเพลิดเพลนิ มี ความ
ริเร่มิ สร๎างสรรค์ ทางานดว๎ ยความรับผดิ ชอบ ซื่อสัตย์ ประหยดั ร๎ูจกั ใชเ๎ วลาวํางใหเ๎ ป็นประโยชน์
จุดประสงค์
๑. เพื่อพัฒนาความสามารถดา๎ นศิลปะ
๒. เพอื่ ให๎นักเรยี นสามารถสรา๎ งสรรคผ์ ลงานตามความสนใจ
๓. เพือ่ ให๎เหน็ ถึงประโยชนแ์ ละคณุ คําชองงานศลิ ปะ
๔. เพ่ือสํงเสรมิ การใชเ๎ วลาวาํ งให๎เปน็ ประโยชน์
-๑๘๘-
โครงสรา้ งการจัดกิจกรรมชุมนมุ
ช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ ๔ เวลาเรียน ๓๐ ชั่วโมง
ลาดบั ที่ เนอื้ หา/กิจกรรม เวลา/ชว่ั โมง
๑ ชมุ นุมสนกุ กบั ภาษา ๕
๒ ชมุ นุมบรรณารกั ษน์ อ๎ ย ๕
๓ ชุมนมุ นกั วทิ ยาศาสตรน์ อ๎ ย ๑๐
๔ ชมุ นุมศลิ ปะสรา๎ งสรรค์ ๑๐
รวมเวลาเรียนทง้ั หมด ๓๐ ชั่วโมง/ปี
-๑๘๙-
ชมุ นุมคอมพิวเตอร์ ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ ๕
คาอธิบาย
ผู๎เรยี นมีความใฝรุ ๎ู ใฝเุ รยี นการคน๎ หาข๎อมูลบนเครอื ขํายอนิ เทอร์เน็ต สามารถบอกวธิ ีการค๎นหาขอ๎ มลู
บนเครือขํายอินเทอร์เน็ตไค๎ สามารถนาข๎อมูล ที่สืบค๎นนาไปฝึกทักษะการนาเสนอผลงานด๎วยโปรแกรม
Microsoft PowerPoint การเรยี กใช๎โปรแกรม สร๎างงานนาเสนอผลงาน การเรียกดูงานนาเสนอในมุมมอง ตํางๆ
การใสํและตกแตํงข๎อความในภาพน่ิง การตกแตํงภาพ แทรกเสียงและใสํภาพเคล่ือนไหว การเช่ือมโยง ผู๎เรียนมี
ความใฝุร๎ูมีความรับผิดชอบทางานรํวมกับผ๎ูอ่ืนไค๎อยํางมีความสุข มีสมาธิในการทางานจนสามารถ นาไป
ประยุกตใ์ ชใ๎ นชวี ิตประจาวันไค๎
จุดประสงค์
๑. นกั เรียนสามารถบอกวธิ ีการค๎นหาข๎อมูลบนเครือขาํ ยอินเทอร์เน็ตไค๎
๒. นกั เรยี นมคี วามใฝุรู๎ ใฝเุ รียนการค๎นหาข๎อมูลบนเครือขาํ ยอินเทอร์เน็ต
๓. นกั เรยี นมคี วามรคู๎ วามเข๎าใจในการใช๎งานโปรแกรมนาเสนอ Microsoft PowerPoint
๔. นักเรยี นสามารถใสภํ าพและตกแตํงข๎อความในภาพน่งิ การสรา๎ งเกม และแทรกเสียงไค๎
๕. นกั เรียนสร๎างชน้ิ งานอยาํ งมีจิตสานกึ และมคี วามรับผิดชอบ
-๑๙๐-
ชมุ นุมวทิ ยาศาสตร์ ช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ ๕
คาอธบิ าย
ศกึ ษา สนใจเกย่ี วกับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โดยใช๎กระบวนการทางวทิ ยาศาสตรใ์ นการสืบ
เสาะหาแสวงหาความรู๎ และวธิ ีการใหมํๆ เพื่อให๎เกิดทักษะและกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
จุดประสงค์
๑. มีความสนใจเรยี นวิทยาศาสตร์
๒. มคี วามร๎เู กี่ยวกบั วิทยาศาสตร์
๓. มที ักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
-๑๙๑-
ชุมนุมฉลาดคิดฉลาดทา ช้ันประถมศึกษาปที ่ี ๕
คาอธิบาย
ศกึ ษา วิเคราะห์ สังเคราะห์ สืบค๎นเกย่ี วกบั ความรแ๎ู ละเขา๎ ใจในทักษะกระบวนการคดิ การมไี หวพรบิ
และไอคิวของตนเอง จากการเลํนเกม ๒๔ และแบบฝึกทกั ษะตํางๆรวมทั้งการฝกึ ปฏิบัติจริงในเรือ่ ง การ ซํอมแซม
เสอื้ ผ๎าการทาอาหาร ขนม เย็บกระทง พบั กระดาษ ร๎อยลูกปดั เปน็ เครื่องประดับ หํอขนมดว๎ ยใบตอง โดยใชท๎ กั ษะ
กระบวนการคดิ วิเคราะห์ สบื ค๎น กระบวนการกลมุํ และฝกึ ปฏิบัติ เพ่ือให๎เกิดความรู๎ความ เข๎าใจใฝเุ รยี น มํงุ ม่นั ใน
การทางานและมีทักษะชวี ิต
จุดประสงค์
๑. เพอ่ื ให๎นกั เรียนเข๎าใจในทักษะกระบวนการคดิ ไหวพริบและไอควิ ของตนเอง
๒. เพ่อื ให๎นักเรยี นเกิดทักษะในการทางานกลํมุ และการใช๎เวลาวาํ งให๎เกิดประโยชน์
๓. เพื่อใหน๎ กั เรยี นไค๎ฝึกปฏิบัตงิ ามจริง ตามความถนดั และความสนใจของตนเอง
-๑๙๒-
ชุมนุมตามรอยประวตั ิศาสตร์ ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ ๕
คาอธิบาย
ศกึ ษาแหลํงโบราณสถานโบราณวตั ถทุ ี่อยใูํ นท๎องถ่นิ เพ่ือเราจะไดช๎ วํ ยหนั รกั ษาไวใ๎ หค๎ งอยํตู ลอดไป
รวมถงึ เรอื่ งราวของประวตั ศิ าสตร์ไทยท่ีอยูํในท๎องถิ่นของเราและเหตกุ ารณส์ าคัญของชาตไิ ทย ตามแตลํ ะยุค แตํ
ละสมัน รบั ทราบเร่อื งราวของบคุ คลสาคัญที่มีความสามารถโดดเดนํ เป็นเอกลักษณ์ของบุคคลน้ันๆ ที่
ความสามารถ และปกปูองประเทศชาติไว๎ได๎ รวมถึงสถานท่ีสาคัญและแหลํงวัฒนธรรมของทอ๎ งถ่ินเรา จาก
แหลํงข๎อมูลที่เป็นคาบอกเลาํ รวํ มถงึ การถํายทอดประเพณีและวฒั นธรรมของท๎องถ่ินที่เราอยํูอาศยั อยูํ
โดยการศกึ ษาหาความรู๎ เพือ่ ชํวยกันอนรุ กั ษ์ และรักษาไว๎ใหค๎ งอยูํตลอดไป เพ่ือให๎เกดิ ความรู๎ ความเข๎าใจ และมี
ความภูมิใจในบรรพบรุ ษุ และคณุ ดําของความเป็นชาติไทย
จดุ ประสงค์
๑. บอกแหลงํ เรียนรู๎ท่เี ป็นโบราณสถาน โบราณวัตถุในท๎องถนิ่ ได๎
๒. วเิ คราะหเ์ ร่ืองราว และเหตกุ ารณ์สาคัญทางประวตั ิศาสตร์ท่อี ยูํในท๎องถิ่นได๎
๓. บอกเรื่องราวความสามารถของบุคคลสาคัญได๎
๔. บอกแหลงํ วฒั นธรรมของทอ้ งถ่ินท่ีตนอาศยั อยไู่ ด้
๕. บอกประเพณีและวัฒนธรรมในทอ๎ งถ่ินของตนเองได๎