The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รวมเล่มรายงาน ETP510 วิชาปรัชญาการศึกษา คุณธรรมจริยธรรมและจรรยาบรรณความเป็นครู

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by parnwad.kaew, 2022-11-19 00:54:45

รวมเล่มรายงาน ETP 510

รวมเล่มรายงาน ETP510 วิชาปรัชญาการศึกษา คุณธรรมจริยธรรมและจรรยาบรรณความเป็นครู

รายงาน
ปรัชญการศึกษา คณุ ธรรมจรยิ ธรรม และจรรยาบรรณความเป็นครู

จดั ทำโดย
นักศึกษา ป.บัณฑิต รนุ่ 64B446406

เสนอ
รองศาสตราจารย์ ดร.ฐติ ิพร พิชญกุล

ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศกึ ษา 2565
หลักสตู รประกาศนยี บตั รบณั ฑติ สาขาวิชาชีพครู

คณะครศุ าสตร์
มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถมั ภ์

1

คำนำ

รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึง่ ของวิชา ปรัชญการศึกษา คุณธรรมจริยธรรม และจรรยาบรรณความเป็นครู
(ETP510) โดยมีจุดประสงค์ เพื่อให้ทราบถึงการเรียนรู้เกี่ยวกับความเปน็ ครู วิชาชีพครูและครุ สุ ภา ปรัชญาแนวคิด
ทฤษฎที างการศึกษา และปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง กฎหมายทเ่ี กยี่ วข้องกบั ครแู ละวิชาชีพครู มาตรฐานวิชาชีพ
ครู และการศกึ ษากับการเปลย่ี นแปลงบรบิ ทโลก ซงึ่ รายงานฉบับนไี้ ด้แบ่งเน้อื หาด้วยกัน 5 บท ประกอบด้วยบทท่ี 1
ความเปน็ ครู วชิ าชพี ครูและคุรุสภาบทท่ี 2 ปรชั ญาแนวคิด ทฤษฎีทางการศึกษา และปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
บทที่ 3 กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับครูและวิชาชีพครู บทที่ 4 มาตรฐานวิชาชีพครู และบทที่ 5 การศึกษากับกาi
เปลยี่ นแปลงบรบิ ทโลก

ทางผู้จดั ทำหวงั เปน็ อย่างยิ่งว่ารายงานฉบบั นี้จะเปน็ ประโยชน์ต่อการจดั การเรียนรเู้ พอื่ ประยุกต์ใช้ พัฒนาการ
เรยี นรู้ได้อย่างเหมาะสม รายงานฉบบั น้ีมีเน้ือหาเข้าใจงา่ ย และมีเนื้อหาสาระคอ่ นข้างมาก ทางผูจ้ ดั ทำหวังเป็นอย่าง
ย่งิ วา่ ผศู้ กึ ษาทุกทา่ นจะได้รับประโยชน์ และความรจู้ ากการศึกษาจากรายงานฉบบั นี้ ไม่มากก็นอ้ ยหากมีข้อบกพร่อง
ประการใด คณะผู้จัดทำขออภยั มา ณ ที่นี้ด้วย

คณะผ้จู ัดทำ
ตลุ าคม 2565



สารบัญ หนา้

คำนำ 1
บทที่ 1 ความเป็นครู วชิ ชาชพี ครแู ละครุ สุ ภา 1
5
การศกึ ษาไทยในอดีต 9
คุรสุ ภา 11
ความเป็นครู 17
วิชาชพี ครู 20
ครใู นต่างประเทศ 23
สรปุ ความเปน็ ครู วิชชาชพี ครูและครุ ุสภา 25
อ้างองิ 25
บทท่ี 2 ปรัชญา แนวคิด ทฤษฎที างการศกึ ษา และปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง 32
ความเปน็ มาและความหมายของปรชั ญาการศกึ ษา 36
ปรชั ญาทางการศกึ ษา 42
ทฤษฎที างการศกึ ษา 52
แนวคดิ ทางการศึกษา 56
ปรัชญของเศรษฐกิจพอเพยี ง 60
สรปุ ปรัชญา แนวคิด ทฤษฎที างการศึกษา และปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง 61
อ้างองิ 61
บทท่ี 3 กฎหมายที่เก่ยี วขอ้ งกบั ครแู ละวชิ าชพี ครู 66
กฎหมายการศึกษา 75
การปฏริ ปู การศึกษา 85
กฎหมายที่ควรรู้ 91
บทลงโทษทีค่ วรรู้ 103
กฎหมายการศึกษาในต่างประเทศ 105
สรปุ กฎหมายทเี่ กีย่ วข้องกบั ครแู ละวชิ าชีพครู
อ้างองิ



สารบัญ (ต่อ) หนา้
107
บทที่ 4 มาตรฐานวชิ าชพี ครู 107
บุคลากรทางการศกึ ษา 115
มาตรฐานบคุ ลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 2556 และ 2562 134
มาตรฐานบคุ ลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2562 141
ใบประกอบวิชาชพี ทางการศกึ ษา 148
มาตรฐานวชิ าชีพในตา่ งประเทศ 151
สรปุ มาตรฐานวิชาชีพครู 153
อา้ งอิง 155
155
บทที่ 5 การศึกษากับการเปลยี่ นแปลงบรบิ ทโลก 159
การศกึ ษาไทยในพ.ศ.1781 - พ.ศ.2411 168
การศึกษาไทยก่อนกอ่ นปี พ.ศ. 2543 172
การศึกษาไทยในปี พ.ศ. 2543 ถึงยคุ โควดิ -19 175
รูปแบบการเรียนการสอนในยคุ โควดิ -19 ถงึ ปจั จบุ ัน 183
การศกึ ษาในอนาคต 184
สรปุ การศึกษากบั การเปลีย่ นแปลงบริบทโลก 185
อา้ งอิง
190
บรรณานุกรม 191
ภาคผนวก

ภาคผนวก ก
ภาคผนวก ข



บทที่ 1
ความเป็นครู วชิ าชีพครแู ละคุรสุ ภา

ความเปน็ ครู วชิ าชพี ครูและครุ สุ ภา น้ันได้ศกึ ษาโดยแบง่ ออกเปน็ เนือ้ หาและแต่ละเรือ่ งนั้นจะมเี นื้อหาท่ี
เก่ยี วข้องกบั เรื่องของความเป็นครู วิชาชีพครแู ละคุรุสภาทศ่ี กึ ษามานั้นแบง่ ออก 5 เร่อื ง คือ

1. การศกึ ษาในอดตี
2. คุรสุ ภา
3. ความเปน็ ครู
4. วชิ าชพี ครู
5. ครใู นต่างประเทศ
โดยจะมเี นื้อหาเกี่ยวกบั ความเปน็ ครู วิชาชพี ครูและคุรสุ ภาโดยศกึ ษา ดงั ตอ่ ไปนี้

1. การศกึ ษาไทยในอดตี

ประวัติและความเป็นมาของการศึกษาไทย
การศกึ ษาของไทยสมัยโบราณการศกึ ษาสมยั นเ้ี ป็นการศึกษาแบบสบื ทอดวัฒนธรรม ประเพณที ่ีมีมากแตเ่ ดิม
จำเป็นที่คนไทยในสมัยนั้นต้องขวนขวายหาความรู้จากผู้รู้ในชุมชนต่างๆซึ่งการศึกษาในสมัยนี้มีบ้านและวัดเป็น
ศูนย์กลางของการศกึ ษา วังเปน็ สถานทร่ี วมเอานกั ปราชญ์ สาขาตา่ ง ๆ มาเปน็ ขนุ นางรับใชเ้ บ้อื งพระยคุ ลบาท สว่ นวัด
เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา พระจะทำหน้าที่ในการอบรมสั่งสอนธรรมะแก่พุทธศาสนิกชน พ่อขุน
รามคำแหงมหาราชและพระมหาธรรมราชาที่ 1 ( พระเจ้าลิไท) ซึ่งมีพระราชกรณียกิจที่สำคัญ เช่น การประดิษฐ์
อักษรไทยขึ้นครั้งแรก โดยทรงดัดแปลงมาจากตวั หนงั สือขอมและมอญ อันเป็นรากฐานด้านอักษรศาสตร์จนนำมาสู่
การพฒั นาปรบั ปรงุ เปนอักษรไทยในปจั จบุ นั (กลุ่มกฎหมายและคดี สำนักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศกึ ษาประถมศึกษาพะเยา
เขต 2, 2560)

การศกึ ษาในสมยั สโุ ขทัย ( พ.ศ. 1781 - พ.ศ. 1921 )
อาณาจักรแบง่ ออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่หนึ่งเป็นการจัดการศกึ ษาสำหรบั ผู้ชายที่เป็นทหาร เช่น มวย
กระบี่ กระบองและอาวุธต่างๆ ตลอดจนวิธีการบงั คับม้า ช้าง ตำราพิชัยยุทธซึง่ เป็นวชิ าชั้นสูงของผู้ทีจ่ ะเปน็ แม่ทัพ
นายกอง และสว่ นทส่ี อง พลเรอื น เป็นการจัดการศกึ ษาใหแ้ กพ่ ลเรอื นผชู้ ายเรียนคมั ภีร์ไตรเวทโหราศาสตร์ เวชกรรม
ฯลฯ ส่วนพลเรือนผู้หญิงให้เรียนวิชาช่างสตรี การปก การย้อม การเย็บ การถักทอฝ่ายศาสนาจักร เป็นการศึกษา
เกี่ยวกับพระพทุ ธศาสนาการจัดการศกึ ษาในสมัยสุโขทยั และหลังจากทีท่ รงคิดประดิษฐอ์ กั ษรไทยแลว้ งานด้านอักษร
ศาสตรเ์ จรญิ ขน้ึ (กลุ่มกฎหมายและคดี สำนกั งานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 2,2560)

1

การศึกษาในสมัยกรงุ ศรอี ยุธยา (พ.ศ. 1893 - พ.ศ. 2310)
รูปแบบการจดั การศึกษา มดี ังนี้

1.การศกึ ษาวชิ าสามัญ เนน้ การอ่าน เขยี นเรียนเลข พระโหราธบิ ดไี ด้แตง่ แบบเรยี นภาษาไทย ชอื่
จนิ ดามณี ถวายสมเด็จพระนารายณม์ หาราชซึง่ ใชเ้ ป็นแบบเรยี นสบื มาเปน็ เวลานาน

2.การศึกษาทางด้านศาสนา พระองค์ทรงส่งเสริมพุทธศาสนาโดยทรงวางกฎเกณฑ์ไว้ว่าประชาชน
คนใดไมเ่ คยบวชเรียนเขียนอ่านมาก่อน จะไมท่ รงแตง่ ตง้ั ใหเ้ ปน็ ขา้ ราชการและในสมยั สมเด็จพระนารายณ์มหาราชมี
นักสอนศาสนาหรือมิชชันนารีไดจ้ ัดตั้งโรงเรียนสอนหนังสือและวิชาอื่น ๆ ขึ้นเรียกโรงเรียนมิชชันนารีน้ีว่า โรงเรียน
สามเณร

3.การศึกษาทางด้านภาษาศาสตร์และวรรณคดี ปรากฏว่ามีการสอนทั้งภาษาไทยบาลี สันสกฤต
ฝรั่งเศส เขมร พม่า มอญ และภาษาจนี

4.การศึกษาของผหู้ ญงิ มีการเรยี นวิชาชีพ การเรอื นการครวั ทอผ้า ตลอดจนกรยิ ามารยาท
5.การศึกษาวิชาการด้านทหาร มกี ารจัดระเบยี บการปกครองในแผน่ ดินสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ
ทรงแยกราชการฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือนออกจากกนั หวั หน้าฝ่ายทหารเรยี กว่า สมุหกลาโหม ฝ่ายพลเรอื นเรียกว่า
สมุหนา (กลมุ่ กฎหมายและคดี สำนักงานเขตพื้นท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาพะเยา เขต 2, 2560)

การศึกษาในสมยั ธนบุรีและรตั นโกสินทรต์ อนต้น (พ.ศ. 2311 - พ.ศ. 2411)
สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีเป็นระยะเก็บรวบรวมสรรพตำราจากแหล่งตา่ งๆที่รอดพ้นจากการทำลายของพม่า
เน้นการทำนุบำรุงตำราทางศาสนาศิลปะและวรรณคดี(กลุ่มกฎหมายและคดีสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ประถมศึกษาพะเยา เขต 2, 2560)สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงฟื้นฟูการศึกษาด้าน
อักษรศาสตร์ วรรณคดี มีการแต่งรามเกียรติได้เค้าโครงเรื่องมาจากอินเดียเรื่อง รามายณะ ศิลปะกฎหมาย เช่น
กฎหมายตรา 3 ดวง และหลักธรรมทางศาสนา มีการสังคายนาพระไตรปิฎก (กลุ่มกฎหมายและคดี สำนักงานเขต
พ้นื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศึกษาพะเยา เขต 2, 2560)
สมยั พระบาทสมเด็จพระพุทธเลศิ หล้านภาลยั เร่มิ มชี าวยุโรป และชาตอิ ืน่ ๆ เขา้ มาอีกมากมาย
เน่ืองจากยุโรปมกี ารปฏวิ ัตอิ ตุ สาหกรรมทำใหเ้ ปลี่ยนระบบการผลติ จากการใช้มือมาใชเ้ คร่อื งจักรในสมัยนี้ได้ส่งเสริม
การศกึ ษาทั้ง วชิ าสามญั โหราศาสตร์ ดาราศาสตร์ จรยิ ศาสตรมีการตั้งโรงทานหลวงขึน้ ในพระบรมมหาราชวังเปนที่
ให้การศกึ ษา (กลมุ่ กฎหมายและคดี สำนักงานเขตพื้นท่กี ารศกึ ษาประถมศึกษาพะเยา เขต 2, 2560)
สมัยพระบาทสมเด็จพระนง่ั เกล้าเจ้าอยู่หวั ทรงส่งเสริมการศกึ ษาด้านศาสนาเปน็ พเิ ศษ มี
การจารึกวิชาความรู้สามัญและวิชาชีพลงในแผ่นศิลาประดับไว้ตามระเบี่ยงวัดพระเชตุพนมีการใช้หนังสือไทยชอื่
ประถม กกา และประถมมาลา นบั เป็นแบบเรียนเลม่ ที่ 2 และ 3 ตอ่ จากจนิ ดามณีของพระโหราธบิ ดี ตอ่ มานายแพทย์
ดีบีบรัดเลย์ได้นำกิจการแพทย์ (กลุ่มกฎหมายและคดสี ำนักงานเขตพ้ืนทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาพะเยาเขต2,2560)
สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ ัวพระองค์ทรงเห็นความสำคัญของการศึกษาจึงทรงจ้าง นางแอนนาเอช

2

เลียวโนเวนส์ มาสอนสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเมื่อ พ.ศ.2405 จนรอบรู้ภาษาอังกฤษเป็นอย่างดีลักษณะการจัด
การศึกษาเป็นแบบเดิมท้งั วัดและบ้านในสว่ นวิชาชีพและวิชาสามัญ มอี กั ษรศาสตร์ ธรรมชาตวิ ทิ ยา หรือวทิ ยาศาสตร์
(กลุ่มกฎหมายและคดี สำนกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาพะเยาเขต 2, 2560)

การศึกษาในสมัยพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจ้าอย่หู ัวรชั กาลท่ี 5
หลังจากทพ่ี ระองค์ไดค้ รองราชย์แล้วดา้ นการศกึ ษาน้นั พระองค์ไดท้ รงตระหนกั เพ่ือปรับปรงุ คนในประเทศให้
มีความรู้ความสามารถจะช่วยให้ประเทศชาตมิ ีความเจริญก้าวหน้าในทุก ๆ ด้าน ดังพระราชดำรสั ที่วา่ “วิชาหนังสอื
เป็นวิชาที่น่านบั ถือและเปนที่นา่ สรรเสริญมาแตโ่ บราณว่าเป็นวิชาอยา่ งประเสริฐซ่ึงผู้ยิ่งใหญน่ บั แต่พระมหากษตั ริย์
เป็นต้นมาตลอดจนราษฎรพลเมืองสมควรและจำเป็นจะต้องรเู้ พราะเปนวชิ าทอี่ าจทำให้การท้ังปวงสำเรจ็ ในทุกสงิ่ ทุก
อย่าง” (ประไพ เอกอ่นุ . 2542 : 83 - 84) การท่ีพระองคท์ รงเห็นความสำคัญของการศกึ ษา จึงได้มีการจัดการศึกษา
อยา่ งมรี ะเบียบแบบแผน (Formal education) มีโครงการศึกษาชาติมโรงเรียนเกิดข้ึนในวงั และในวัด มีการกำหนด
วิชาที่เรียน มีการเรียนการสอบไล่ และมีทุนเล่าเรียนหลวงให้ไปศึกษาวิชา ณ ต่างประเทศ (กลุ่มกฎหมายและคดี
สำนกั งานเขตพ้ืนทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาพะเยาเขต 2, 2560)
ในสมัยโบราณเรามักจะเรียกครูวา่ อาจารย์ เพราะสมัยก่อนยังไม่มโี รงเรียน คำว่าโรงเรยี น เป็นคำใหม่ เพิง่
เกิดมาในรชั สมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หัว แตเ่ ดิมรียกวา่ โรงสกลู ต่อมา เปลยี่ นเรยี กว่าโรงสอน
การจะศึกษาหาความรู้ทางหนังสอื สำหรับประชาชนคนสามัญทั่วไป หรือแม้แตพ่ วกขุนนางชั้นสูง ตลอดจนเจ้านาย
จะต้องสมคั รไปเป็นศษิ ย์ ขอเรยี นกบั พระภิกษุสงฆ์ตามวัดแทบท้ังนั้น เพราะพระสงฆ์ต้องศกึ ษาพระธรรมวินัย ย่อม
จะต้องรู้หนังสือไทยหนังสือขอม บางองค์รู้ลึกซึ้งไปถึงภาษาบาลี และสันสกฤต ด้วยหรือแม้วิชาความรู้วิชาช่าง
บางอยา่ ง เช่น ชา้ งเขยี นช้างแกะสลกั พระสงฆ์ที่เคยมฝี มือในทางนม้ี าก่อนก็ย่อมสอนได้ (พงศ์อินทร ศุขจร,2528)

การศกึ ษาในรัชสมัยพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รัชกาลท่ี 6
ปี พ.ศ. 2453 ประกาศต้งั โรงเรียนขา้ ราชการพลเรอื นเพอื่ ฝกคนเข้ารบั ราชการตามกระทรวง
ทบวงกรมต่างๆและต่อมาปีพ.ศ.2459ได้ประกาศยกฐานะโรงเรียนข้าราชการพลเรือนนี้ขึ้นเป็ นจุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลยั นับเปน็ มหาวิทยาลยั แหง่ แรกของประเทศไทยปี พ.ศ. 2454 ตงั้ กองลกู เสือหรือเสือปา่ ข้ึนเป็นคร้ังแรก
โครงการศึกษา พ.ศ. 2456 และฉบับแกไ้ ขพ.ศ.2458 โดยมงุ่ ใหป้ ระชาชนมีความรทู้ างดา้ นการทำมาหาเลี้ยงชีพตาม
อัตภาพของตนพยายามที่จะเปลีย่ นคา่ นิยมของประชาชนไม่ใหม่งท่ีจะเข้ารับราชการอย่างเดียว ปี พ.ศ.2459 จัดต้ัง
กองลกู เสอื หญงิ และอนกุ าชาดโรงเรยี นกลุ สตรวี งั หลังและได้จัดตงั้ กองลกู เสือหญงิ ขึ้น เรยี กวา่ เนตรนารี ปี พ.ศ. 2461
มีการปรับปรุงและขยายฝึกหัดครูขึ้นโดยโอนกลับมาขึ้นกับกระทรวงศึกษาธิการปี พ.ศ. 2461 ประกาศ ใช้
พระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์ และ ปี พ.ศ. 2464 ปรับปรุงโครงการศึกษาชาติโดยวางโครงการศกึ ษาข้นึ ใหม่เพ่ือ
สง่ เสรมิ ให้ทำมาหาเล้ียงชพี นอกเหนอื จากทำราชการปี พ.ศ. 2464 ใชพ้ ระราชบัญญตั ิประถมศึกษาบังคับให้เด็กทุก
คนที่มีอายุ 7 ปบี รบิ ูรณ์หรืออยา่ งเขา้ ปที ี่ 8 ให้เรียนอยใู่ นโรงเรียนจนถึงอายุ 14 ปบี รบิ ูรณห์ รอื ย่างเข้าปีท่ี 15 โดยไม่

3

ต้องเสียค่าเล่าเรียน และมีการเรียกเก็บเงินศึกษาพลีจากประชาชนคนละ 1- 3 บาท เพื่อนำไปใช้จ่ายในการจัด
ดำเนินการประถมศกึ ษา(RATTANAKOSINBLOG, 2559)

การศึกษาในสมยั พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยู่หัวรชั กาลท่ี 7
ทรงประกอบพระราชกรณียกจิ อนั เปน็ ประโยชนต์ ่อประเทศชาตินานับประการอาทิโปรดเกล้าฯ อุปถัมภบ์ ำรงุ
กจิ การหอสมดุ จัดต้ัง พพิ ิธภณั ฑสถาน สำหรับพระนคร และสรา้ งสะพานปฐมบรมราชานุสรณพ์ ระนคร (สะพานพระ
พุทธ ยอดฟา้ ฯ) เพื่อเช่ือมฝัง่ พระนคร และธนบุรี และทรงสง่ เสริมการศกึ ษาของ ชาตหิ ลายประการคอื ให้ยกเลิกการ
เกบ็ เงนิ ศึกษาพลเี ร่งรดั การประกาศ พระราชบัญญตั ปิ ระถมศึกษา ทรงเปน็ พระมหากษัตรยิ ไ์ ทยพระองคแ์ รก ท่ีเสด็จ
พระราชดำเนนิ ไป พระราชทานปรญิ ญาบัตรแก่ผูส้ ำเรจ็ การศกึ ษา ในระดบั อดุ มศกึ ษา ในคร้งั แรกเมอื่ วันที่ 25 ตลุ าคม
พทุ ธศักราช 2473 ท่ีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (สถาบันพระปกเกลา้ , 2557)

การศกึ ษาในสมัยพระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8
ด้านการศึกษา พระองค์ได้มพี ระราชปรารภใหม้ ีการผลิตแพทย์เพิ่มมากขึน้ เพื่อให้เพียงพอที่จะช่วยเหลือ
ประชาชน โรงเรียนแพทย์แห่งที่ 2 ( แห่งแรก คือศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลยั แพทยศาสตร์ ) จึงได้ถือกำเนิดขึ้นที่
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ซ่งึ ในปัจจบุ ัน คอื คณะแพทยศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย (ทรปู ลูกปญญา, 2559)

การศึกษาในสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช รชั กาลที่ 9
ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหจ้ ดั ตั้งโรงเรียนจิตรลดาขนึ้ สำหรบั พระราชโอรสและพระราชธดิ า รวมถงึ บตั รข้า
ราชบรพิ ารในพระราชวงั ทง้ั เปดิ โอกาสใหน้ กั เรยี นที่วงั ไปไดเ้ ข้ารว่ มเรยี นด้วย ถอื เป็นโรงเรียนตวั อย่างในการทดลอง
การเรียนการสอน โดยได้ทรงเอาพระทัยใสต่ ดิ ตามผลการเรียนการสอนด้วยพระองค์เองทรงรบั โรงเรยี นทงั้ ของรัฐและ
เอกชนไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ อันหมายถึงทรงให้การช่วยเหลืออุปถัมภ์ พระราชทานพระราชทรัพย์ ทรงให้
คำแนะนำ และเสด็จพระราชดำเนินเยย่ี มเพ่อื พระราชทานกำลังใจแก่ครแู ละนักเรียนอกี หลายโรงเรยี นไดแ้ ก่ โรงเรยี น
ราชวินิต โรงเรียน จ.ป.ร. ราชวิทยาลยั เปน็ ต้น (ทรปู ลกู ปญญา, 2559)

การศกึ ษาในสมยั สมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัวมหาวาชริ าลงกรณบ์ ดนิ ทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10
ในด้านการศกึ ษา สมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าชฯ สยามมกุฎราชกุ มาร ทรงทราบดีว่าเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร
ยังดอ้ ยโอกาสในการศกึ ษา กระทรวงศกึ ษาธกิ ารก่อตง้ั โรงเรียนมัธยมศึกษาในถ่ินทุรกนั ดาร 6 โรงเรียน ไดแ้ ก่โรงเรียน
มัธยมพชั รกติ ยิ าภา จงั หวดั นครพนม กำแพงเพชร สุราษฎร์ธานี โรงเรียนมธั ยมสริ ิวณั วรี จังหวัดอุดรธานี สงขลา และ
ฉะเชงิ เทรา ไดเ้ สด็จพระราชดำเนินไปทรงวางศิลาฤกษ์เอง ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ รับโรงเรียนไว้ในพระราชปู ถมั ภ์
พระราชทานวสั ดอุ ุปกรณก์ ารศกึ ษาอนั ทนั สมัยสว่ นในดา้ นอดุ มศึกษา พระองคไ์ ด้เสดจ็ พระราชดำเนินแทนพระองค์ไป
พระราชทานปรญิ ญาบัตรแกบ่ ณั ฑิตของมหาวทิ ยาลัยต่าง ๆ ปลี ะเปน็ จำนวนมากทกุ ปี (ไทยพบี ีเอส, 2559)

4

สรุปการศกึ ษาในอดตี
สมยั สุโขทัยจนถงึ ตน้ กรงุ รัตนโกสินทร์
ลักษณะของระบบการศกึ ษาในช่วงนี้ยงั ไม่เป็นแบบแผนชัดเจน ส่วนใหญ่เป็นการศึกษาสำหรับเด็กชาย ซึ่ง
เป็นการศึกษาหาความรู้ด้านวิชาการและศิลปะ สถานที่การศึกษามักเป็นที่วัด ราชสำนัก และบ้านเจ้านายชั้นสูง
การศึกษาดา้ นวชิ าชีพจะมสี อนและถ่ายทอดภายในวงศต์ ระกูล และในหมูเ่ ครือญาติ ส่วนเด็กหญงิ จะมกี ารฝกึ งานบ้าน
ในครอบครวั ราชสำนกั และบา้ นเจ้านายชัน้ สงู ประชาชนนยิ มนำบตุ รหลานไปไวก้ บั เจา้ นายและผู้มีศกั ดินาสูงเพ่ือให้
ใชส้ อย และฝกึ งานเพ่ือคาดหมายวา่ จะได้มโี อกาสเข้ารับราชการ ได้ยศถาบรรดาศกั ดิต์ อ่ ไป

สมยั รชั กาลท5ี่ จนถึงการเปลีย่ นแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
ลักษณะการศึกษาในช่วงนี้เริ่มเป็นระบบแบบแผน แต่ยังไม่เป็นมาตรฐานนัก นับเป็นช่วงที่การศึกษา
เจริญรุ่งเรืองมาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเล็งเห็นความสำคัญของการศึกษาในฐานะท่เี ป็น
รากฐานของความสำเร็จในทุกด้าน ผู้ได้รับการศึกษาในวิชาการสมัยใหม่จะสามารถนำความรู้เหล่านั้นมาพัฒนา
บ้านเมือง ดังนั้น จึงทรงส่งเสริมให้จัดการศึกษาแบบตะวันตก คณะสอนศาสนาชาวอเมริกันมีบทบาทในการ
เปลย่ี นแปลงระบบการศกึ ษาของไทยเปน็ อย่างมาก เรมิ่ มกี ารตั้งโรงเรยี นเพื่อฝกึ คนเขา้ รบั ราชการ มีการจัดตง้ั โรงเรยี น
สำหรบั ราษฎรท่ัวไป สถาปนามหาวิทยาลัยแหง่ แรกข้ึน คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

สมัยหลังการเปล่ียนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จนถึง พ.ศ. 2534
ในช่วงนี้การศึกษาของไทยมีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด มีแผนการศึกษาชาติและแผนการศึกษาแห่งชาติ
เกิดขน้ึ หลายฉบบั จนถงึ แผนการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2520 ในแตล่ ะแผนมีความสำคัญต่อการพฒั นาการศึกษาในแต่
ละยุคแต่ละสมยั โดยทุกแผนระบจุ ดุ มุ่งหมายของการศกึ ษาเปน็ ลายลกั ษณ์อักษรไว้ชัดเจน และเปล่ียนแปลงไปตามการ
เปลย่ี นแปลงด้านเศรษฐกจิ สงั คม และการเมอื ง ลกั ษณะของการศึกษาค่อนข้างเอนเอียงไปตามแนวคดิ ด้านการศึกษา
ของอเมริกา โดยปรากฏชดั เจนในแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2503 เหตกุ ารณใ์ นเดือนตลุ าคม พ.ศ. 2516 ก่อใหเ้ กิด
การเปลีย่ นแปลงทางความคดิ ดา้ นการศกึ ษามาก โดยมุ่งเนน้ การใชก้ ารศึกษาเป็นเครื่องมอื พฒั นาคนในการออกไปรับ
ใช้สังคม และประเทศชาติ ซงึ่ นำไปสูก่ ารปฏริ ปู การศึกษา พ.ศ. 2517 ซึ่งเนน้ การศกึ ษาเพ่อื ชีวติ และสังคม ข้อสังเกต
ของระบบการศกึ ษาในชว่ งนี้ก็คือ สว่ นใหญ่เนน้ การศกึ ษาในระบบโรงเรียน

2. คุรุสภา

ประวัติความเป็นมาของคุรุสภา
การจัดการศึกษาแบบเน้นอักขรวิธีของไทยในตอนต้นกรุงรัตนโกสินทรก์ ล่าวไดว้ ่ายังไม่มีความแตกต่างจาก
สมัยกรุงศรีอยธุ ยามากนกั กล่าวคอื การศกึ ษายงั เป็นหน้าท่ีของพระราชบัญญัติท้ังยงั เป็นภาระของวัดและบ้านช่วยค้ำ
จนุ กันสว่ นในราชสำนักเป็นการจัดการศกึ ษาสำหรับเจ้านายและบุตรหลานข้าราชการตอ่ มาในสมยั รชั กาลที่ 5 เรม่ิ จัด

5

ใหม้ โี รงเรอื นขน้ึ ในพระบรมมหาราชวังแล้วค่อยขยายสู่ระดับประชาชนทั่วไปตัง้ แต่ พ.ศ. 2428 เป็นต้นมาและที่ต่าง
ไปคอื เรมิ่ มีฆราวาสเป็นครโู ดยมีสถาบนั ศึกษาวชิ าชีพเพิ่งโดยตรง (นนั ทวัฒน์ กีติสิทธิ์,2535)

วิทยาทานสถาน เมื่อได้มีการจัดตงั้ กรมศึกษาธกิ ารข้นึ ใน พ.ศ. 2430 น้ันไดเ้ รมิ่ มเี จ้าหน้าท่จี ากการศึกษาซ่ึง
สว่ นมากเป็นครูที่จบวิชาสามญั ช้ันประถมศกึ ษาครูวิท่จี บมธั ยมมนี อ้ ยจงึ ขาดความรใู้ นดา้ นการสอนและการจดั โรงเรยี น
ตลอดจนเนื้อหาวิชาที่จะนำไปสอนการอบรมครูเพื่อให้มีความรู้ทาง วิชาการศึกษาและวธิ ีการสอนจึงมีความจำเป็น
ดงั น้นั การฝกึ หดั ครจู ึงได้เริ่มขึ้นเม่อื ปี พ.ศ.2435 ส่วนการอบรมครูประจำการได้เรมิ่ ต้นที่ระยะทางกล่าวคอื ในสมัยน้ัน
มีครทู ีไ่ ปเรยี นวชิ าการศกึ ษาจากต่างประเทศเพียงไมก่ ี่คนครูเหล่าน้ีเองไดร้ ่วมกบั เจา้ พระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค)
นำวชิ าการศึกษามาเผยแพร่ให้แกค่ รใู นประเทศไทยขึ้นครง้ั แรกทวี่ ิทยาทานสถานในปี พ.ศ. 2438 ขึ้นทสี่ ี่กก๊ั พระยาศรี
ต่อมาได้ย้ายไปตามที่โรงเรียนสายสวลีสัณฐาคารผู้ที่มาแสดงปาฐกถาเพื่ออบรมครูครั้ง แรกที่วิทยาทานสถาน คือ
เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี ครั้งเมื่อเป็นนายสนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยารับราชการเป็นผู้ช่วยอาจารยใ์ หญ่โรงเรยี น
ฝกึ หดั อาจารยแ์ ละได้มกี ารเชญิ ผมู้ ีความรู้มาแสดงปาฐกถาเร่ืองต่างๆ อีกหลายคน หัวขอ้ ท่ีแสดงปาฐกถาในระยะแรก
ๆ เชน่ ครั้งท่ีหน่ึงเร่อื ง วชิ าครเู ปน็ แก้วของครแู ละประโยชนข์ องวธิ ีสอน
(นนั ทวัฒน์ กีตสิ ทิ ธ์ิ,2535)

สภาไทยาจารย์
ต่อมาในวันท่ี 1 มกราคม พ.ศ. 2443 นายตรวจแขวงศกึ ษา แขวงบางกอกน้อย จงั หวัดชลบรุ ีได้รับอนุญาต
ให้ตั้งสภาสำหรับอบรมและประชุมครูข้นึ ทีว่ ัดใหม่วิชัยชำนาญในแขวงบางกอกนอ้ ยจงั หวดั ชลบุรี โดยใช้ช่ือว่าสภาไท
ยาจารย์เปิดทำการสอนครูทุกวันพระซ่ึงเปนวันหยุดราชการโดยนายตรวจแขวงเป็นผู้สอนเอง(นันทวัฒน์ กีติสิทธิ์ ,
2535)
สามคั ยาจารย์สโมสรสถาน
การก่อตั้งสามัคยาจารย์สโมสรสถานเป็นความคดิ ริเริ่มของพระยาวิสุทธสิ ุริยศักดิ์ อธิบดีกรมศึกษาธิการใน
สมยั นัน้ ต่อมาเปนเจ้าพระยาพระเสดจ็ สเุ รนทราธบิ ดี เสนาบดีกระทรวงธรรมการ (พ.ศ. 2454 ถึง 2458) โดยมเี หตผุ ล
วา่ เนอื่ งจากโรงเรียนมเี ปน็ จำนวนมากการพบปะกับครูเพอื่ แนะนำวชิ าการสงิ่ ใดเป็นไปด้วยความยากลำบากควรทีจ่ ะมี
การนัดพบกนั ท่ใี ดทห่ี นึ่ง จึงได้กำหนดใหม้ ีการประชมุ เดอื นละสองครง้ั ครงั้ แรกในวนั ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2445 ณ
โรงเรียนวดั ใหญ่วัดอรุณราชวราราม เรียกวา่ การประชุมสามัคยาจารย์ เม่อื วนั ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2416 และวันท่ี 1
มกราคม พ.ศ. 2446 อีกหนึ่งปีต่อมาคือวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2447 กรมศึกษาธิการจึงได้ตั้งสถานที่อบรมและ
ประชุมครแู ห่งนขี้ ้นึ เปน็ สมาคมคอื สามัคยาจารยส์ มาคมและการกอ่ ตง้ั รูปเป็นสมาคมอันแท้จรงิ ภายใต้การดำเนินงาน
ของคณะกรรมการชดุ แรกเม่ือวนั ท่ี 6 เมษายน พ.ศ. 2477 (นันทวัฒน์ กตี ิสทิ ธ์ิ,2535)
การกอ่ ตง้ั ครุ สุ ภา
ในปี พ.ศ. 2488 เมื่อภาวะสงครามโลกครั้งที่สองใกล้จะยุตลิ งและรัฐบาลขณะนั้นได้ประกาศใช้ พ.ร.บ.ครู
พ.ศ. 2488 โดยได้ประกาศในราชกิจจานเุ บกษาเม่ือวนั ที่ 16 มกราคม พ.ศ2488 กระทรวงศกึ ษาธิการจึงได้ตกลงให้

6

รวมกจิ การและทรพั ย์สินของสามัคยาจารยส์ มาคมเข้ารว่ มกับครุ สุ ภา ดังนน้ั สามคั ยาจารย์สมาคมจึงไดส้ ิ้นสดุ สภาพลง
นบั แตบ่ ดั นั้นมีาจึงมสี ภาในกระทรวงศกึ ษาธิการเรยี กวา่ ครุ สุ ภา เปน็ นิติบุคคล

เหตุผลที่ตั้งคุรุสภาขึ้น นายทวี บุณยเกตุ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในสมัยนั้นได้ให้เหตุผลไว้ว่า
เพื่อให้ช่วยเหลอื ในการกำหนดนโยบายการศึกษาของชาติในรปู ของคณะกรรมการเพื่อช่วยเหลอื ฐานะความเปน็ อยู่
ของครูให้ดีขึ้นและให้ครูได้ปกครองกันเองเพราะอาชพี ครไู ม่เหมือนกบั ข้าราชการอื่น ๆซึ่งสังคมโดยสว่ นร่วมก็ไดใ้ ห้
การเคารพนบั ถอื และยกยอ่ งครเู ปน็ อย่างดอี ย่แู ล้ว แต่อยา่ งไรก็ตามการก่อตงั้ คุรสุ ภาขึ้นกเ็ ปน็ ความตอ้ งการของรฐั บาล
ที่จะชว่ ยเหลือเพ่อื ยกฐานะและวิทยฐานะของครทู ง้ั เพ่อื ชว่ ยเหลอื รฐั บาลในการกำหนดนโยบายการศกึ ษาของชาติ ซ่ึง
ขณะนนั้ ยงั ไม่มหี น่วยงานใดรับผิดชอบในด้านน้ีและไปทน่ี า่ สงั เกตวา่ ครูประชาบาลซึง่ เปน็ ครทู ่ีมีจำนวนมากที่สุดไม่ได้
เปน็ สมาชกิ ครุ ุสภาดว้ ยเพราะขณะนน้ั ครปู ระชาบาลยงั ไม่มีฐานะเป็นข้าราชการกฎหมายจงึ ครอบคลุมไปไม่ถึงและที่
สำคญั อกี ประการหนงั ก็คอื รฐั บาลตอ้ งการรวมีองคก์ รอสิ ระต่าง ๆใหม้ าอยูภ่ ายใต้กฎหมายทร่ี ฐั บาลกำหนดเพ่ืองา่ ยต่อ
การควบคมุ ่ันนเองฉะนัน้ จงึ เป็นไปไดว้ ่าครูประชาบาลเทยี่ วตามตา่ งจงั หวัดหา่ งไกลไม่มสี ว่ นทีจ่ ะมีผลกระทบต่อความ
ม่ันคงของรัฐรฐั กจ็ ึงไมจ่ ำเป็นที่ตอ้ งควบคมุ ดูแลในลักษณะของคุรุสภาจนกระทง่ั ครูประชาบาลได้รับการยกฐานะให้
เปน็ ข้าราชการพลเรอื นเมื่อ ปพี .ศ. 2491 จึงมีสทิ ธิ์เปน็ สมาชกิ คุรสุ ภา

ประวัติความเป็นมาของสภาการศกึ ษา
ยุคท่ี 1 กอ่ ต้ังสภามหาวิทยาลยั แหง่ ชาติจดุ เรม่ิ ต้นของ “สภาการศึกษาแห่งชาิ” เมือ่ 11 มกราคม 2499 มี
การจัดตั้งสภามหาวทิ ยาลยั แห่งชาติข้ึน ดว้ ย เจตนารมณเ์ พอื่ พัฒนามหาวิทยาลัยให้เข้มแขง็ มีเสถียรภาพสูง สามารถ
แขง่ ขันกนั ได้
ยคุ ที่ 2 กำเนิดสภาการศกึ ษาแห่งชาติ
เสนาธิการดา้ นการศึกษาของชาติต่อมาป 2502 สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เปน็ นายกรฐั มนตรี ได้จัดต้ัง
“สภา การศึกษาแห่งชาิ” ขึ้นเปนส่วนราชการในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ตามพระราชบญั ญัติจัดระเบียบราชการ
สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. 2502 ด้วยเจตนารมณ์ที่จะให้ทำหน้าท่ี“กำหนดทิศทางของการจัดการศึกษาให้มี
ประสทิ ธิภาพสูงสุด เพอ่ื ให้ประชาชนไดร้ ับการศกึ ษาอยา่ งทวั่ ถึง และเป็นกำลังในการพฒั นาประเทศให้เจริญกา้ วหน้า
ทัดเทียมนานา อารยประเทศ” โดยให้โอนกิจการและอำนาจหน้าที่ของสภามหาวิทยาลัยแห่งชาตมิ าร่วมไว้ในสภา
การศกึ ษาแห่งชาิท่ตี งั้ ขึ้นใหม่ พรอ้ มทงั้ ตราพระราชบญั ญัตสิ ภาการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2502 ซ่งึ ประกาศในพระราช
กจิ จานุเบกษา วันที่ 14 กมุ ภาพันธ์ 2502
ยคุ ท่ี 3 ปรบั เปลยี่ นนี้เป็น “คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ”
เมื่อ 17 พฤศจิกายน 2515 คณะปฏิวัติได้จัดตั้งทบวงมหาวิทยาลัยของรัฐ และสำนักงานคณะกรรมการ
การศึกษาเอกชนขึ้น จึงมีการกำหนดหน้าที่และแบ่งส่วนราชการที่เกี่ยวข้องใหม่และได้เปลี่ยนชื่อสำนักงานสภา
การศึกษาแห่งชาตเิ ปน็ “สำนักงานคณะ กรรมการการศกึ ษาแห่งชาติ” มีหนา้ ท่สี ำคัญคือดำเนินงานด้านนโยบายและ
แผนการศกึ ษา ทกุ ระดับ

7

ยุคที่ 4 ก้าวสู่ “สภาการศึกษา”
ปี 2540 สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติมบี ทบาทสำคัญในการรวม พลงั หนว่ ยงานทเี่ กีย่ วข้องทั้ง
ภาครัฐและเอกชน ตลอดจนประชาชนทั่วไปผลักดันให้มี “กฎหมายวาด้วยการศึกษาแห่งชาติ” ในรัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 จนกระทงั่ ประกาศใชเ้ ป็นกฎหมายการศึกษาแห่งชาฉิ บบั แรก เมื่อ 20 สิงหาคม
2542 7 กรกฎาคม 2546สนาธิการด้านการศึกษาของชาติ ได้มาถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญ อีกครั้ง นั่นคือ “สำนักงาน
คณะกรรมการการศึกษาแหง่ ชาติ” ได้เปล่ียนไปเป็น “สำนกั งาน เลขาธกิ ารสภาการศกึ ษาแห่งชาติ” โดยเป็น 1 ใน 5
องค์กรหลักภายใต้โครงสร้างใหม่ของกระทรวงศึกษาธิการตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และ
พระราชบญั ญตั ิระเบยี บบริหารราชการกระทรวงศกึ ษาธกิ าร พ.ศ. 2546
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 มาตรา 32
กำหนดให้จัดระเบียบบริหารราชการในกระทรวงให้มีองค์กรหลัก ที่เป็นคณะบุคคลในรูปสภาหรือคณะกรรรมการ
จำนวนสี่องค์กร ได้แก่ สภาการศึกษา คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน คณะกรรมการการอาชีวศึกษา และ
คณะกรรมการการอดุ มศกึ ษา เพ่อื พิจารณาให้ความเหน็ หรอื ให้คำแนะนำแก่รัฐมนตรีหรอื คณะรฐั มนตรี

อำนาจหนา้ ที่สภาการศึกษา มีอำนาจหนา้ ท่ีตามมาตรา 14 ของพระราชบญั ญตั ิระเบียบบริหาร ราชการ
กระทรวงศึกษาธกิ าร พ.ศ.2546 ดงั น้ี

1. พจิ ารณาเสนอแผนการศกึ ษาแห่งชาิทบ่ี รู ณาการศาสนา ศลิ ปะ วฒั นธรรม และกฬี ากบั การศึกษาทกุ ระดบั
2. พิจารณาเสนอนโยบาย แผน และมาตรฐานการศึกษา เพ่อื ดำเนินการให้เปน็ ไป ตามแผน
3. พิจารณาเสนอนโยบายและแผนในการสนบั สนนุ ทรัพยากรเพอื่ การศึกษา
4. ดำเนนิ การประเมินผลการจดั การศกึ ษาตามขอ้ 1.)
5. ให้ความเห็น หรือคำแนะนำในเรื่องกฎหมายและกฎกระทรวงทเ่ี กีย่ วกับการศกึ ษา
(อ้างอิงจาก สำนกั งานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา: การบรู ณาการสแู่ ผนการศึกษาแห่งชาติ, 2559)

สรปุ ครุ สุ ภา
ในปีพ.ศ.2488เมื่อภาวะสงครามโลกครั้งที่สองใกล้จะยุติลงและรัฐบาลขณะนั้นได้ประกาศใช้
พระราชบัญญัติครู พ.ศ.2488 โดยได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2488
กระทรวงศึกษาธิการจึงได้ตกลงใหร้ วมกจิ การและทรัพย์สนิ ของสามัคยาจารย์ สมาคมเขา้ รว่ มกบั คุรสุ ภา ดงั น้ันสามัค
ยาจารย์สมาคมจงึ ไดส้ ้ินสดุ สภาพลงนบั แตบ่ ัดนน้ั มีาจงึ มสี ภาในกระทรวงศกึ ษาธกิ ารเรียกว่า ครุ ุสภา เปน็ นติ ิบุคคล
สภาการศกึ ษา มจี ดุ กำเนดิ มาจากสภามหาวทิ ยาลัยแห่งชาติ ซง่ึ จัดตง้ั ข้ึนในสมัยรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูล
สงคราม เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2499เนื่องจากขณะนั้นมีมหาวิทยาลัยอยู่ต่างสังกัดกัน 5 แห่ง ต่อมาในสมัยจอม
พลสฤษด์ิ ธนะรชั ต์ เปนนายกรฐั มนตรี พลเอกเนตร เขมะโยธิน ซง่ึ เป็นนายทหารเสนาธิการมอื หนงึ่ ของประเทศไทย

8

และเปนปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีขณะนั้นเสนอแน่ะว่าจะต้องมีฝ่ายเสนาธิการของประเทศไทยฝ่ายพลเรือน จอม
พลสฤษด์ิ ธนะรัชต์ จงึ ได้จดั ตง้ั “สภาการศกึ ษาแหง่ ชาิ” ข้นึ เพือ่ พจิ ารณาเสนอแผนนโยบาย

3. ความเป็นครู

ครู หมายความวา่ บุคลากรวชิ าชีพ ซงึ่ ที่มหี น้าทหี่ ลกั ทางด้านการเรยี นการสอน และการส่งเสริมการเรยี นรู้
ของผ้เู รียน ในสถานศกึ ษา ท้งั รฐั และเอกชน ตอ้ งมีคณุ สมบตั แิ ละไมม่ ลี กั ษณะต้องห้ามดงั ตอ่ ไปนี้

คุณสมบัติ
(1) มอี ายไุ มต่ ่ำกวา่ ยี่สบิ ปบรบิ รู ณ์
(2) มีวฒุ ิปรญิ ญาทางการศึกษาหรอื เทยี บเท่าหรอื มีคุณวฒุ อิ น่ื ท่คี รุ สุ ภารบั รอง
(3) ผ่านการปฏบิ ัตกิ ารสอนในสถานศึกษาตามหลักสตู รปรญิ ญาทางการศกึ ษาเปน็ เวลาไม่นอ้ ยกวา่ หนึง่

ปี และผ่านเกณฑก์ ารประเมนิ ปฏบิ ัติการสอนตามหลกั เกณฑ์วิธกี ารและเงือ่ นไขที่คณะกรรมการกำหนด
หนา้ ท่ี
- สรา้ งประโยชน์ให้แกส่ ังคม
- ค่อยช้แี นะให้แก่เด็ก
- เป็นผู้สร้างเยาวชนให้เป็นพลเมอื งทดี่ ีของชาติ
- แนะแนวการศึกษาและอาชพี แกศ่ ษิ ย์
- ปกครองดูแลศิษย์
- เปน็ ผทู้ ่ีทำให้การจัดการศึกษาของชาติบรรลุเปา้ หมาย
(จาก ความหมายและความสำคัญของครู: (2559). สืบค้นhttp://auttapontme35851n.blogspot.com)
คา่ นิยมความเปน็ ครู คณะอนุกรรมการสง่ เสรมิ วชิ าชพี คร(ู คุรสุ ภา. 2532)
ครคู วรมีคุณลักษณะพนื้ ฐานอยา่ งนอ้ ย 4 ประการคือ
1) รอบรู้
2) สอนดี
3) มคี ุณธรรม จรรยาบรรณ
4) มงุ่ มน่ั พฒั นา
อดุ มการณค์ วามเป็นครู
ครจู ะตอ้ งปฏบิ ตั หิ นา้ ทีข่ องตนอย่างเตม็ ทีค่ รจู ำ เป็นต้องยึดหลักเพอ่ื นำตนไปสสู่ ง่ิ ทสี่ ูงสุด อดุ มการณ์ของครมู ี

ด้วยกัน 5 ประการ
1) เตมิ รู้ = มีความร้เู พอ่ื ถา่ ยทอดให้แกล่ กู ศษิ ย์
2) เตมิ ใจ = รกั ในอาชีพ รกั ศษิ ย์

9

3) เติมเวลา = ทำงานสอนอย่างเตม็ ที่
4) เตมิ คน = การพฒั นาตนเองในด้านตา่ ง ๆ
5) เตมิ พลัง = ทุ่มเทความสามารถทกุ อย่างอยา่ งเตม็ ที่
จิตวิญญาณความเปน็ ครู
หมายถึง คุณลักษณะของ บุคคลที่แสดงออกถึงการเป็นครูที่ดีตามกรอบคณุ ธรรมจริยธรรม จารีตประเพณี
และวัฒนธรรมอันประกอบด้วยการมคี วามรับผิดชอบในหนา้ ที่ความรักและศรัทธาในอาชพี การปฏิบัติต่อศิษย์ด้วย
ความปรารถนาดี ใหค้ วามความรกั และเมตตา ช่วยเหลอื เสียสละ อดทน อดกลน้ั อตุ สาหะพากเพียร เป็นแบบอย่างท่ี
ดี รวมทัง้ การรูจ้ กั พัฒนาตนเองอยเู่ สมอ
จิตอาสา จิตสาธารณะของความเป็นครู
ครูไมไ่ ดท้ ำหน้าที่แคส่ อน หนังสอื เท่านั้น แตย่ ังทำหน้าทเี่ สมอื นญาติผใู้ หญ่และเป็นพีเ่ ลยี้ งใหก้ ับ ศษิ ย์อีกดว้ ย
ต้องมีหวั ใจของการบริการอยู่ตลอดเวลา คนทมี่ จี ติ วญิ ญาณเป็นครจู ะทำ ไปโดยไม่คิดหวงั ผลตอบแทนใด
รางวัลเจา้ ฟา้ มหาจกั รรู้ ะดบั อาเซียน
เป็นรางวัลระดับนานาชาติเพื่อเชิดชูเกียรติครูดเี ดน่ ในอาเซียนและติมอร์ -เลสเต 11 ประเทศ ซึ่งจะมีการ
คัดเลือกในทุก 2 ปีครั้งคุณสมบัติที่สำคัญคือเปืนครูผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงในชีวิตลูกศิษย์ เพื่อให้ลูกศิษย์
เจริญก้าวหน้าสคู่ วามสำเร็จในชวี ิต ทุม่ เทกบั การสอน หรือการจัดการเรียนรู้ เปน็ ครผู ้สู อนระดับการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน
ทัง้ ในสถานศกึ ษาหรือครนู อกสถานศึกษาและมปี ระสบการณ์การสอนอย่างตอ่ เนอ่ื งไมน่ อ้ ยกว่า 15 ปี ครูรางวัลสมเดจ็
เจา้ ฟ้ามหาจกั รี คนแรกของไทย นายเฉลิมพร พงศ์ธรี ะวรรณ ครูเชี่ยวชาญกลมสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์

ครอู าชีพกบั ครูมอื อาชีพ
ครูมืออาชพี ครูทไี่ ดร้ บั การพฒั นาอย่างต่อเนื่อง จนมคี วามรทู้ ักษะความสามารถในการจัดกิจกรรมให้แก่
ผูเ้ รียนและไดร้ ับการยกย่อง
อาชพี ครู หมายถึง ครทู ีใ่ ชว้ ิชาท่รี ่ำ เรียนมาเปน็ เคร่ืองมือในการหาเลย้ี งชีพ ไม่ไดเ้ ป็นครดู ว้ ยความรกั
สมัครใจ ครูประเภทนไ้ี มจ่ ำ เป็นตอ้ งเรียนรู้วชิ าครู
ความแตกตา่ งระหว่างครมู ืออาชพี กบั อาชีพครู
ครูมืออาชพี เป็นครีทู ่ีทำ ดว้ ยใจรัก มคี วามพร้อมในทุก ๆ พรอ้ มทจ่ี ะพฒั นาทง้ั ผเู้ รยี นและผสู้ อนไปพรอ้ ม ๆ
กนั แตค่ รูอาชีพเปน็ ครทู ี่ใช้อาชีพในการหารายได้ แต่ไม่มใี จรกั ในความเปน็ ครู

สรุป ความเปน็ ครู
หน้าที่และความรับผดิ ชอบของครูมีมากมายหลายด้าน แตอ่ าจกำหนดภารกจิ เปน็ ลักษณะงานได้ 8 ดา้ น คือ
งานสั่งสอนและฝึกฝนวิทยาการ งานอบรมคุณธรรมและจริยธรรม งานวิจัยและการศึกษาค้นคว้า งานถ่ายทอด
วัฒนธรรม งานมนุษย์สัมพันธ์ งานหน้าที่พิเศษต่างๆ งานรายงานผลนักเรียนและการแนะแนว และงานกิจกรรม

10

นกั เรยี น ซ่งึ หากวา่ ผปู้ ระกอบวชิ าชพี ครูสามารถปฏบิ ัตไิ ดค้ รบถว้ น ใหเ้ สรจ็ ส้ินสมบรู ณ์ไดท้ ุกงานดังกล่าวก็ไดช้ อื่ ว่าเปน็
ครูผ้มู คี วามรบั ผิดชอบ และหากว่าผู้ประกอบวิชาชีพครูปฏิบัตดิ ้วยใจ มงุ่ มั่น และมสี ำนกึ ก็ย่อมได้ช่ือว่าเป็นผู้มีความ
เป็นครูท่ีประสบความสำเร็จในอาชีพครู อย่างไรก็ตามสำหรับครใู นยุคโลกาภิวัตน์นี้ ได้มีกรอบหรือกฎเกณฑ์สำหรับ
กำหนดมาตรฐานวิชาชีพครู เป็นวิธีการตรวจสอบที่เป็นรูปธรรมโดยคุรุสภาซึ่งเป็นองค์วิชาชีพครู เกณฑ์มาตรฐาน
วชิ าชพี ครูดังกล่าวมี 11 มาตรฐาน ซงึ่ ส่วนใหญ่จะเน้นทก่ี ารจักกระบวนการในการเรยี นการสอนใหก้ ับศษิ ย์เปน็ สำคัญ
ทงั้ นเี้ พราะหนา้ ทหี่ ลกั ของครนู ั้นยอ่ มอยูท่ ี่ศิษย์ ความรับผดิ ชอบทสี่ ำคญั ทส่ี ุดของครูก็เปน็ ความรับผิดชอบที่มีต่อศิษย์
นัน่ เอง

4. วชิ าชีพครู

พระราชบัญญัตสิ ภาครูและบุคคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 ให้ความหมายวา่ เป็นบคุ ลากรทาง วิชาชีพ
ซึง่ ทำหน้าท่ีหลกั ทางด้านการเรยี นการสอนและสง่ เสรมิ การเรียนรู้ของผูใ้ หค้ เรียนด้วยวธิ กี ารตา่ ง ๆในสถานศกึ ษาทง้ั
ของรัฐและเอกชน

วชิ าชพี ครถู ือว่าเปน็ วิชาชพี ชนั้ สงู โดยมีคณุ ลกั ษณะวชิ าชพี เพือ่ เป็นเกณฑพ์ ิจารณาวิชาชพี ครไู ว้ 6
ประการ

1) วชิ าชีพช้ันสูงจะตอ้ งมกี ารบรกิ ารทใ่ี ห้แกส่ งั คมทม่ี ีลกั ษณะเฉพาะเจาะจงและจำเปน็
2) สมาชิกของ วชิ าชีพชน้ั สูงจะตอ้ งใชว้ ธิ ีการแห่งปัญญาในการให้บรกิ าร
3) สมาชิกของ วชิ าชพี ชนั้ สงู จะตอ้ งไดร้ บั การอบรมใหม้ ีความรกู้ วา้ งขวาง
4) สมาชิกของ วิชาชพี ชัน้ สูงจะตอ้ งมเี สรีภาพในการใชว้ ชิ าชีพตามมาตรฐานของ วิชาชีพ
5) วิชาชพี ช้ันสงู จะตอ้ งมจี รรยาบรรณ
6) วิชาชพี ชนั้ สูงจะต้องมสี ถาบันวิชาชีพเปน็ แหลง่ กลางในการสร้างสรรค์
การผลิตครู
รูปแบบการผลติ ครูแบง่ เป็น 2 ระบบ คือ
1) ระบบเปิด เป็นการผลิตครปู กติ เพอ่ื สนองความตอ้ งการของสถานศกึ ษาทั้งภาครฐั และเอกชน แต่
ต้องเป็นไปตามแผนและเป้าหมายการผลติ ครขู องประเทศ
2) ระบบปิด เปน็ การจำกัดจำนวนรบั ตามความตอ้ งการใช้งานจริงของหน่วยงานผใู้ ช้ครูเน้นความเป็น
เลิศด้านคุณภาพครู
การพฒั นาครู
การพัฒนาครูหมายถึง พฒั นากระบวนการสอนของครูและสง่ เสริมพฒั นาการเปลยี่ นแปลงความคดิ ความรู้
ความสามารถประสบการณเ์ พอ่ื นไปใช้ในการท่านอย่างมรี ะบบและใหเ้ กิดประสิทธภิ าพสงู ข้ึน

11

สภาพงานครู
1) เตรยี มการสอนและทำบันทึกการสอน
2) หมั่นวัดผลและตดิ ตามผลการเรยี น
3) รบั ผิดชอบในหนา้ ท่ที ไ่ี ดร้ บั มอบหมาย
4) ดูแลบำรงุ รกั ษาหองเรยี นและอาคารสถานที่
5) ค้นควา้ เพิ่มเตมิ และหาความรใู้ หม่ ๆ
6) หมนั่ หาความร้แู ละวธิ ิการหาความรู้
7) เปน็ ครปู ระจำช้นั
8) รว่ มกิจกรรมชมุ ชน
9) การสง่ั สอนและการฝกึ ฝนอบรม
10) หมน่ั อบรมเดก็ อยเู่ สมอ

กลวิธกี ารจดั การศกึ ษา
การจัดการศึกษาเป็นกระบวนการอย่างเป็นระบบ โดยมเปา้ หมายชดั เจน คอื การพฒั นาคณุ ภาพมนษุ ย์ทกุ
ดา้ น ไม่วา่ จะเปน็ ด้านร่างกาย จติ ใจ สติปัญญา คณุ ธรรม ค่านิยม ความคดิ การประพฤติปฏบิ ตั ิ

- ให้บรกิ ารทางการศึกษาทสี่ อดคลอ้ งกับความตอ้ งการในการดำรงชีวติ และการประกอบอาชีพ
- เตรยี มเด็กกอ่ นวัยเรยี นให้มีความพร้อมในการเรียนรู้
- ให้โอกาสทางการศึกษา
- พฒั นาศักยภาพของแตล่ ะบุคคลให้เตม็ ตามความสามารถ

แนวทางและวิธีการพัฒนาครู การพฒั นาครูแบ่งออกเป็น 2 ลกั ษณะ คอื
1. การพัฒนาที่ยึดเอาวิทยากรและเนื้อหาวิชาเป็นศูนย์กลางการพัฒนาลักษณะนี้เน้นความสำคัญของ
เนื้อหาวิชาหรือสาระของความรู้ขา่ วสารและข้อมูลเก่ียวกับวิชาชีพและงานของครู (เช่นงานราชการ) โดยมีวิทยากร
เปนผู้ถ่ายทอดความรู้ข่าวสารและข้อมูลเหล่านั้นไปสู่ครูผู้รับการพัฒนาจุดหมายการพฒั นามุ่งเน้นให้ครูรับรู้ข้อมูล
ข่าวสารและเข้าใจเนือ้ หาสาระเหลา่ นน้ั
2. การพฒั นาที่ยึดเอาครูเป็นศนู ยก์ ลาง การพฒั นาลักษณะน้เี น้นความสำคญั ของครู
ผู้ร่วมกิจกรรมการพัฒนาการตัดสินใจและทำก ิจกร รมทุกอย ่างมุ ่งประโย ชน์ก ารพัฒน าครู ให้ความสำคั ญ ท้ั ง
กระบวนการและเนื้อหาความรู้ครูและวิทยากรปฏิบัติกิจกรรมตามจังหวะและโอกาสต่างคนต่างเรียนรู้ไปพร้อมกนั
ความรู้ ข่าวสารและข้อมลู มาจากหลายแหล่งเลือกสรรเฉพาะที่จะนำไปใช้ประโยชน์ วิธีการและกิจกรรมท่ปี ฏิบัติมี
หลากหลาย มที ง้ั การส่อื สารทางเดียว สองทางการฝึกหัดทดลอง ปฏบิ ัตจิ ริง สงั เกต วิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมนิ คา่
สรา้ งองค์ความร้ดู ว้ ยตนเอง

12

เปรียบเทียบวิธกี ารสอนครสู มัยใหมก่ บั ครูสมยั เกา่

ครูสมัยใหม่ ครสู มยั เกา่

1. สอนนกั เรยี นโดยวิธบี รู ณาการเนอื้ หาวชิ า 1. สอนแยกเนอื้ หาวิชา

2. ใชเ้ ทคนิคการคน้ พบดว้ ยตนเองของนักเรียนเี้ ป็นกจิ กรรมหลกั 2. ใชเ้ ทคนคิ การเรยี นโดยใช้การจำ เปน็ หลกั

3. มีเสรมิ แรงหรอื ใหร้ างวลั มากกวา่ การลงโทษมกี ารใชแ้ รงจงู ใจ 3. มุ่งเนน้ การใหร้ างวลั ภายนอก เชน่ เกรด

ภายใน แรงจงู ใจภายนอก

4. มีการทดสอบเลก็ น้อย 4. มีการทดสอบสม่ำเสมอเปืนระยะ ๆ

5. มงุ่ เนน้ การทำงานแบบรว่ มใจ 5. มงุ่ เน้นการแข่งขัน

6. ใช้เทคนิคการคน้ พบดว้ ยตนเองของนักเรยี นเ้ี ปน็ กจิ กรรมหลกั 6. ใช้เทคนคิ การเรียนโดยใช้การจำ เป็นหลัก

7. ไม่เครง่ ครดั กบั มาตราฐานทาง วชิ าการจนเกินไป 7. เครง่ ครัดกบั มาตราฐานทาง วชิ าการมาก

8. มีการทดสอบเลก็ นอ้ ย 8. มีการทดสอบสมำ่ เสมอเปนื ระยะ ๆ

9. มุ่งเน้นการทำงานแบบร่วมใจ 9. มงุ่ เน้นการแข่งขนั

10. สอนโดยไม่ยดึ ตดิ กับหอ้ งเรยี น 10. สอนในขอบเขตของหอ้ งเรยี น

11. มงุ่ สรา้ งสรรคป์ ระสบการณ์ใหม่ให้นกั เรียน 11. เน้นย้ำประสบการณ์ใหมเ่ พยี งเลก็ น้อย

12. มงุ่ เน้นความรู้ทาง วิชาการและทักษะด้านจิตพิสยั เทา่ เทียมกนั 12. มงุ่ เนน้ ความรูท้ าง วชิ าการเป็นสำคญั

ละเลยความรสู้ ึก หรอื ทกั ษะทางดา้ นจิตพสิ ยั

13. ม่งุ เนน้ การประเมินกระบวนการเปน็ สำคญั 13. ประเมนิ กระบวนการเลก็ นอ้ ย

ความหมายและความสำคัญของ PLC
PLC หมายถึง การรวมตัว ร่วมใจร่วมมพี ลัง ร่วมทำ และรว่ มเรยี นรรู้ ว่ มกนั ของครูผู้บรหิ าร และนักการศกึ ษา
บนพื้นฐานวัฒนธรรมความสัมพันธ์แบบกัลยาณมิตร มีวิสัยทัศน์ คุณค่า เป้าหมาย และภารกิจร่วมกัน โดยทำงาน
ร่วมกันแบบทีม เรียนรู้ที่ครูเป็นผู้นำร่วมกัน และผู้บริหารแบบผู้ดูแลสนับสนุน สู่การเรียนรู้และพัฒนาวิชาชีพ
เปลี่ยนแปลงคุณภาพตนเอง สคู่ ณุ ภาพการจดั การเรียนรู้ทีเ่ นน้ ความสำเรจ็ หรอื ประสิทธิผลของผเู้ รียน้ีเป็นสำคัญและ
ความสุขของการทำงานรว่ มกนั ของสมาชกิ ในชมุ ชนการเรียนรู้
ความสำคัญของ PLC จากผลการวิจัยโดยตรงของที่ยืนยันว่าการดำเนินการในรูปแบบ PLC นำไปสู่การ
เปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพทั้งด้านวิชาชีพและผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนจากการสังเคราะห์รายงานการวิจัยเกี่ยวกับ
โรงเรียนทีม่ กี ารจดั ต้ัง PLC โดยใชค้ ำถามว่า โรงเรียนดังกลา่ วมผี ลลพั ธอ์ ะไรบ้าง ทีแตกตา่ งไปจากโรงเรียนทว่ี ไปทไ่ี ม่มี
ชุมชนแหง่ วิชาชีพ และถ้าแตกตา่ งแลว้ จะมผี ลดีต่อครผู ู้สอนและตอ่ นักเรยี น

13

ใบอนญุ าตประกอบวชิ าชพี ทางการศกึ ษา
ใบอนญุ าตประกอบวชิ าชพี ทางการศกึ ษา เป็นหลกั ฐานการอนญุ าตใหผ้ ้ปู ระกอบวชิ าชพี
ควบคุมตามมาตรา 43 แห่งพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 เป็นผู้มีสิทธิ์ในก าร
ประกอบวิชาชพี ซึ่งมีอยู่ 4 ประเภทได้แกค่ รูผู้บรหิ ารสถานศึกษา ผู้บรหิ ารการศกึ ษาและบคุ ลากรทางการศกึ ษาอน่ื
(ศึกษานเิ ทศก์ ) ซงึ่ หนว่ ยงานท่ีมีหน้าที่ในการออกใบอนุญาตฯคือคุรุสภา (พระราชบัญญัติสภาครแู ละบุคลากรทางการ
ศึกษา พ.ศ. 2546 ) ทงั้ น้ี เปนไปตามมาตรา 53 แห่งพระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาแหง่ ชาตพิ .ศ.2546 ที่กำหนดให้
ครูผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาอื่น ทั้งของรัฐและเอกชนต้องมีใบอนุญาต
ประกอบวิชาชีพยกเว้นผู้มิได้ประกอบวิชาชีพผลักด้านการเรียนการสอนบุคลากรทางการศกึ ษาที่จัดการศึกษาตาม
อัธยาศัย การจัดการศึกษาในศูนย์การเรียน ผู้บริหารการศึกษาในระดับอุดมศึกษาระดับปริญญา ผู้ใดประกอบ
วิชาชีพควบคุมดังกล่าวโดยไม่ได้รับใบอนญุ าต หรือแสดงด้วยวิธีการใด ๆ ให้ผู้อืน่ เข้าใจว่าตนมีสทิ ธิหรือพร้อมท่จี ะ
ประกอบวิชาชพี รวมทั้งสถานศึกษาท่ีรับผู้มิได้รับใบอนญุ าตเข้าประกอบวิชาชีพควบคุมในสถานศึกษา จะต้องได้รับ
โทษตามท่กี ำหนดไวใ้ นมาตรา 78 และ79 แห่งพระราชบัญญตั สิ ภาครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษาพ.ศ.2546 ผทู้ ต่ี ้องมี
ใบอนญุ าตประกอบวชิ าชีพทางการศกึ ษาผู้ทตี่ อ้ งมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการศกึ ษา ไดแ้ ก่ ผปู้ ระกอบวิชาชีพ
ครูผูบ้ รหิ ารสถานศึกษา ผบู้ รหิ ารการศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาอ่ืนตามทก่ี ำหนดในกฎกระทรวง ทั้งของรฐั และ
เอกชนทจี่ ัดการศกึ ษาปฐมวยั การศกึ ษาขั้นพื้นฐาน การศกึ ษาระดับอดุ มศกึ ษาที่ตำ่ กว่าปรญิ ญา โดยจัดการศึกษา ใน
สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย โรงเรียนวิทยาลัยสถาบันมหาวิทยาลัย หนว่ ยงานการศึกษาหรือหน่วยงานอ่ืนของรัฐ หรือ
เอกชนท่ีมอำนาจหน้าทหี่ รือมวี ัตถปุ ระสงคใ์ นการจดั การศึกษารวมท้ังหน่วยการศกึ ษา (นายเดชพงษ์ อุน่ ชาติ, 2562)

ใบอนญุ าตประกอบวิชาชพี ครู
หมายถึง หลักฐานซึ่งออกให้ผู้มีคุณสมบัติตามมาตรฐานความรู้และมาตรฐานประสบการณ์วิชาชีพตาม
ขอ้ บังคบั คุรุสภา มีสิทธปิ ระกอบวิชาชีพครูซ่ึงเป็นวชิ าชพี ควบคมุ ตามกฎหมาย ใบอนญุ าตใหม้ ีอายุใช้ไดเ้ ปน็ เวลา 5 ปี
นับแต่วันที่ออกใบอนุญาตการขอต่ออายุใบอนุญาต ต้องมีคุณสมบัติตามที่คณะกรรมการกำหนด และประพฤติตน
ตามจรรยาบรรณของ วชิ าชพี ผูไ้ ด้รบั ใบอนญุ าต ทีป่ ระสงค์จะขอต่ออายุใบอนุญาต ตอ้ งย่ืนคำขอต่อเลขาธิการคุรุสภา
ภายใน 180 วันก่อนวันที่ใบอนุญาตจะหมดอายุผู้ยื่นคำขอต่ออายใุ บอนุญาตหลังจากวันทีใ่ บอนุญาตหมดอายุแล้ว
และมีคุณสมบัติตามทีค่ ณะกรรมการกำหนด และประพฤติตน ตามจรรยาบรรณของ วิชาชีพ ให้ชี้แจงเหตผุ ลกรณีท่ี
ยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตหลงั จากวนั ทใี่ บอนญุ าตหมดอายุพรอ้ มเอกสารหลักฐาน และให้ชำระค่าดำเนินการกรณขี อ
ต่ออายุใบอนญุ าตล่าช้าเป็นเงินเดือนละ 200 บาท โดยระยะเวลาที่ล่าชา้ นับได้ไม่ถึงหนึ่งเดือนใหน้ ับเปน็ หนึ่งเดือน
(นายเดชพงษ์ อุ่นชาติ, 2562)

14

วิธีการไดใ้ บอนุญาตประกอบวชิ าชพี ครมู ดี ังนี้
1. เรยี นหลักสตู รทางการศึกษา 4 ปี ทไี่ ด้รบั การรบั รองจากครุ สุ ภาเริม่ ใชต้ ง้ั แต่ปีการศึกษา 2562 เมื่อเรียน
จบแล้วให้เขา้ รบั การสอบรบั ใบอนญุ าตประกอบวชิ าชีพครู
2. เรยี นหลกั สูตรทางการศกึ ษา 5 ปี ทไี่ ด้รบั การรับรองจากคุรสุ ภา (หลักสตู รนีม้ ีใชเ้ ฉพาะปกี ารศกึ ษา 2557 -
2561) หลกั สูตรทางการศกึ ษา คอื หลกั สูตรที่มวี ัตถุประสงค์ในการผลติ บัณฑิตเพือ่ จบออกไปเป็นครอู าทิศึกษาศาสตร์
ครุศาสตร์ การศึกษาบัณฑิต ครุศาสตร์อุตสาหกรรม ฯข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพ พ.ศ. 2556
ประกาศใช้ ณ 4 ตลุ าคม 2556 มผี ลให้หลักสูตรทางการศึกษาใหมเ่ ปลีย่ นเปน็ 11 มาตรฐานและเมือ่ จบการศึกษาจะ
ทำการสอบรับใบอนุญาตประกอบวชิ าชพี ครู (ณภคั ธิรากลู , 2563)
3. หลักสตู ร ป.โทวชิ าชีพครูท่ีได้รบั การรบั รองจากครุ ุสภา หลักสูตรนี้ ผ้เู รียนควรมีวชิ าเอกในระดับปริญญา
ตรที ่สี ามารถสอบบรรจุได้ เพราะในการสอบบรรจใุ ชว้ ิชาเอกในระดบั ป.ตรเี ปนส่วนใหญแ่ ละสว่ นใหญแ่ ล้ว หลกั สูตรนี้
รับผู้ทีเ่ ป็นครูอยู่แล้วเข้าเรียน โดยยึดหนังสืออนุญาตให้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาโดยไม่มีใบอนุญาตประกอบ
วชิ าชีพเปนส่วนใหญ่ เมือ่ จบแลว้ สอบรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเชน่ กนั (ณภัค ธิรากูล, 2563)
บุคคลทีไ่ ม่ใช้ครแู ตต่ อ้ งการจะประกอบอาชพี ครจู ะต้องมใี บอนุญาตปฏบิ ัติการสอน
ใบอนุญาตปฏิบัติการสอนหมายถึง หลักฐานที่แสดงคุณสมบัติของผู้ถือว่ามีเฉพาะมาตรฐานความรู้วิชาชีพครูตาม
ข้อบังคับคุรุสภามีสิทธิประกอบวิชาชีพครูโดยอยู่ในความควบคุมของผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา และเมื่อได้
ปฏิบัติการสอนเป็นเวลาต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 1 ปี ให้นำหลักฐานการผ่านการรับรองประสบการณ์การสอนจาก
สถานศึกษา ประกอบกับใบอนุญาตปฏิบัติการสอน มาขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูได้ การขอใบอนุญาต
ปฏิบัติการสอนสถานศึกษาต้องทำหนังสือขออนุญาตให้บุคคลประกอบวิชาชีพทางการศึกษาโดยไม่มีใบอนุญาต
ประกอบวิชาชีพเปนการชั่วคราว เป็นเฉพาะราย โดยผู้ได้รับอนุญาตจะต้องปฏิบัติการสอน ในสถานศึกษาภายใต้
เงื่อนไขท่ีกำหนด และภายใตก้ ารควบคุมของผ้บู รหิ ารสถานศึกษา ใบอนุญาตปฏิบตั ิการสอนั้นมอี ายุใชไ้ ดเ้ ป็นเวลา 2
ปีนบั แตว่ ันทีไ่ ดร้ บั อนุญาตจากคุรุสภา การต่อใบอนุญาตปฏิบตั กิ ารสอน เม่ือหมดอายุแล้ว สามารถตอ่ อายุได้อีกเพียง
1 ครง้ั (สะสินทพิ ยช์ ยั , 2563)
เม่ือใบอนญุ าตหมดอายุแล้วต้องการจะประกอบอาชพี ครูตอ้ งไปเรยี นหลกั สูตรประกาศนียบัตรวชิ าชีพครู (ป.
บณั ฑิต) โดยผูท้ ่สี ามารถเข้าศกึ ษาหลักสตู รน้ไี ด้ตอ้ งเป็นผู้ท่ีประกอบวิชาชีพทางการศึกษาในสถานศึกษาและมีสัญญา
จ้างงานจากสถานศึกษาเท่านัน้ จึงสามารถมสี ิทธิเข้าศึกษาหลักสูตรน้ีได้ระยะเวลาเรียน 1 ปีในระบบการศึกษาแบบ
ทวิภาค มุ่งเน้นให้นักศึกษามีความรูแ้ ละทักษะระดับสูงซึ่งจำเป็นตอ่ การประกอบอาชีพและนำไปสู่การปฏิบัติตาม
มาตรฐานวิชาชีพ และเม่อื เรยี นจบแล้วจงึ จะมีสิทธสิ อบใบประกอบวชิ าชพี ครูได้
4. ประกาศนยี บัตรบณั ฑติ วิชาชีพครู(ป.บณั ฑิตวิชาชพี ครู) ทไี่ ดร้ บั การรบั รองและมีการจัดการเรียนการสอน
ตามที่ได้ขอรับรอง (หลกั สตู รประกาศนียบัตรบณั ฑติ วชิ าชพี ครู, 2557)

15

คณุ สมบัตขิ องผขู้ อรับใบประกอบวชิ าชีพครู
ผขู้ อรบั ใบอนญุ าตประกอบวชิ าชพี ครูต้องมีคุณสมบัติและไมม่ ีลกั ษณะตอ้ งห้าม ดงั ตอ่ ไปนี้

คณุ สมบัติ
1) มีอายไุ มต่ ่ำกว่ายีส่ บิ ปีบรบิ รู ณ์
2) มีวฒุ ปิ ริญญาทางการศึกษาหรอื เทยี บเท่าหรือมีคณุ วฒุ อิ น่ื ทค่ี รุ ุสภารบั รอง
3) ผา่ นการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาตามหลักสูตรปรญิ ญาทางการศกึ ษา เปน็ เวลาไม่นอ้ ยกว่าหนง่ึ

ปี และผา่ นเกณฑ์การประเมนิ ปฏบิ ัติการสอนตามหลกั เกณฑ์ วธิ กี ารและเง่ือนไข ทค่ี ณะกรรมการกำหนด
ลกั ษณะต้องห้าม
1) ไมเ่ ป็นผู้มคี วามประพฤตเิ สื่อมเสีย หรอื บกพร่องในศีลธรรมอันดี
2) ไม่เป็นคนไร้ความสามารถหรอื ค้นเสมอื นไรค้ วามสามารถ
3) ไม่เคยตอ้ งโทษจำคกุ ในคดีท่คี ุรสุ ภาเห็นว่าอาจนำมาซงึ่ ความเส่ือมเสีย เกียรติศักดแ์ิ ห่ง

วชิ าชพี (ณฏั ฐพล ทีปสวุ รรณ, 2562)

ผู้มสี ิทธิขอขนึ้ ทะเบียนรับใบอนญุ าตประกอบวชิ าชพี ครู

ครูซึ่งเป็นสมาชิกคุรุสภา ตามพระราชบัญญัติครูพุทธศักราช 2488 อยู่แล้วก่อนวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ.

2546 ได้แก่ ข้าราชการครูตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครู พ.ศ. 2523 พนักงานครูเทศบาล ข้าราชการ

กรงุ เทพมหานคร ซึง่ ดำรงตำแหนง่ ประจำในสถานศกึ ษาของกรงุ เทพฯ

ผทู้ ำการสอนในสถานศึกษาทีอ่ ยใู่ นความควบคุมของกระทรวงศกึ ษาธิการและได้รบั เงินเดอื นประจำครซู ่ึงเป็นสมาชิก

คุรุสภา ตามพระราชบญั ญัติครพู ทุ ธศกั ราช 2488 อยแู่ ล้วก่อนวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2546 ซงึ่ ต่อมาลาออก

หรือเกษียณอายรุ าชการหรอื พ้นจากหน้าท่คี รูผทู้ ปี่ ระกอบวิชาชพี ครูซง่ึ บรรจุและแตง่ ต้งั ต้ังแตว่ นั ทีพ่ ระราชบัญญัติสภา

ครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 ใช้บังคับุหรือวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2546 และมีวุฒิปริญญาทาง

การศึกษาหรือปริญญาอื่นที่ก.ค. กำหนดให้เปนคุณวุฒิที่ใช้ในการบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการครูก่อนวันท่ี

พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 ใช้บังคับครูอัตราจ้าง ตามสัญญาจ้างที่มีวุฒิทาง

การศึกษาหรือปริญญาอื่นท่ี ก.ค.ศ.กำหนดให้เป็นคุณวุฒิที่ใช้ในการบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการครูก่อนวันท่ี

พระราชบญั ญตั ิสภาครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา พ.ศ. 2546 ใชบ้ งั คบั ผู้ประสงคจ์ ะประกอบวิชาชีพครไู ด้แก่ ผู้ที่ยัง

ไมไ่ ด้ประกอบวิชาชีพครทู ม่ี คี วามประสงค์จะประกอบวชิ าชีพครูและมวี ุฒิปรญิ ญาทางการศึกษาหรือปรญิ ญาอ่นื ทก่ี .ค.

ศ. กำหนดให้เปน็ คุณวุฒทิ ่ีใชใ้ นการบรรจแุ ละแตง่ ตง้ั เป็นขา้ ราชการครูก่อนวันที่พระราชบญั ญัติสภาครูและบุคลากร

ทางการศกึ ษา พ.ศ. 2546 ใชบ้ ังคับ(พระราชบัญญัตสิ ภาครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา พ.ศ.2546)

16

สรปุ วชิ าชีพครู
ใบอนญุ าตประกอบวิชาชพี ทีจ่ ะออกใหผ้ ู้ประกอบวชิ าชพี ทางการศึกษา มี 4 ประเภท คือ
ใบอนุญาตประกอบวชิ าชีพครู ใบอนุญาตประกอบวชิ าชีพผู้บรหิ ารสถานศึกษา ใบอนุญาตประกอบวิชาชพี ผู้บริหาร
การศึกษา และใบอนุญาตประกอบวิชาชีพบุคลากรทางการศึกษาอื่น ผู้ประกอบวิชาชีพควบคุมทุกตำแหน่งต้องมี
ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูเมื่อจะประกอบวิชาชีพผูบ้ ริหารสถานศึกษาหรือผู้บริหารการศึกษาหรือบุคลากรทาง
การศึกษาอืน่ ก็จะต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพประเภทนั้น ๆ อีก การประกอบวชิ าชีพครผู ู้บริหารสถานศึกษา
ผู้บริหารการศึกษา และศึกษานิเทศ ซึ่งเปนวิชาชีพควบคุมทางการศึกษา ผู้จะประกอบวิชาชีพตอ้ งขอรับใบอนญุ าต
เพื่อแสดงตนวา่ พร้อมจะประกอบวิชาชีพทางการศึกษา และจะต้องประกอบวิชาชีพภายใตบ้ ังคับแห่งข้อจำกัดและ
เงื่อนไขตามข้อบังคับของคุรุสภา โดยุครุสภากำหนดข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณของ
วิชาชพี พ.ศ. 2548 ประกอบดว้ ย
1. มาตรฐานความรแู้ ละประสบการณว์ ิชาชพี
2. มาตรฐานการปฏิบตั ิงาน
3. มาตรฐานการปฏบิ ัติตน หรอื จรรยาบรรณของ วชิ าชีพ
ผูไ้ ด้รับใบอนญุ าตจะต้องตอ่ ใบอนญุ าตประกอบวชิ าชพี ทุก 5 ปโี ดยมีคณุ สมบัตติ ามมาตรฐานวชิ าชีพที่คุรสุ ภากำหนด
(ธัชชาวรรณ ทองเกริน, 2553,ณฏั ฐพลทปี สวุ รรณ, 2562)

5. ครูในตา่ งประเทศ

ใบประกอบวชิ าชพี ของครตู า่ งชาติ
ใบอนุญาตทำงาน หรอื WORK PERMIT คือใบอนุญาตทำงานในประเทศไทยสำหรบั ชาวตา่ งชาติ ขั้นตอน
การขอใบอนญุ าตทำงานให้ครูตา่ งชาติ ดงั น้ี

1) เตรยี มเอกสาร
2) ตรวจสอบวุฒิการศกึ ษาและตรวจสอบประวตั ิอาชญากรรม
3) ยน่ื เรอ่ื งกับทางสช./สพป./สช.จังหวัด
4) ยื่นเรื่องขอเปลืย่ นประเภทวีซ่าเปน็ ประเภท NON-IMMIGRANT (รหัส B)
5) ทางโรงเรียนจดั ทำหนงั สือแตง่ ต้งั ครูชาวตา่ งประเทศ
6) ครูชาวตา่ งชาติยื่นขอใบอนญุ าตทำงานทก่ี รมจัดหางาน กระทรวงแรงงาน
7) รายงานการแต่งตั้งครูชาวต่างประเทศไปยงั สำนักงานคณะกรรมการสง่ เสริมการศกึ ษาเอกชน /
สำนักงานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศกึ ษา
ระยะเวลาในการดำเนินการ30 วนั ทำการ ค่าธรรมเนียมคนละ 500 บาท อายใุ บอนุญาต : 5 ปี

17

ครใู นตา่ งประเทศครแู ถบตะวันออก ประเทศฟนิ แลนด์
ระบบการศึกษาฟนิ แลนด์จะยึดหลักที่ว่า “CHILD - CENTERED” หรือศูนยก์ ลางของการเรียนจะอยูท่ ่เี ด็ก
เปน็ หลกั พวกเขาจะใหเ้ ด็ก ๆ ได้รสู้ ึกว่า “การเรียนคอื การเลน่ ” มีความมุง่ หวังสำคญั ในการให้เด็กนักเรียนได้เรยี นรใู้ น
เนื้อหาต่าง ๆ อย่างเข้าใจด้วยตนเองมากกว่าการเรียนเพื่อไปใช้สอบครูในฟินแลนู้ด จะมีอิสระอย่างมากในการ
ออกแบบหลักสูตร วิธีการประเมิน และรูปแบบการสอน การศึกษาของฟินแลนด์จะเป็นรูปแบบนักเรียน >ครู>
กระทรวง มากกวา่ กระทรวง > ครู> นกั เรียน
ระบบการศกึ ษาของฟนิ แลนดแ์ บ่งออกเปน็ 4 ระดบั
1. EARLY CHILDHOOD ช่วงกอ่ นเขา้ เรียนเด็กในฟนิ แลนดจ์ ะใชช้ วงเวลาน้ีกว่า 6 ปขี องชวี ิต เรยี นรผู้ ่านการ
“เลน่ ” โดยจดุ ประสงคห์ ลกั คอื ไม่ใชก้ ารเตรยี มเดก็ เขา้ สูก่ ารเรียนทาง วิชาการ
2. BASIC EDUCATION ซง่ึ เป็นภาคบังคับ สำหรบั เดก็ อายุ 7-16 ปี
3. UPPER EDUCATION เดก็ สามารถเลอื กไดว้ ่าอยากเรยี นภาคทัว่ ไป หรืออาชีวศกึ ษา
4. HIGHER EDUCATION ถา้ เทียบกับบ้านเราคือระดบั มหาวทิ ยาลยั

ครูแถบตะวนั ออกประเทศสิงคโปร์
ระบบการศึกษาของสิงคโปร์ เป็นการศกึ ษาภาคบังคับของสิงคโปร์กำหนดใหน้ กั เรยี นเรยี นรู้ 2 ภาษาควบคู่
กันไปตง้ั แต่ช้ันอนบุ าล คอื ภาษาองั กฤษ(ภาษาหลัก) และเลือกเรยี นภาษาแม่อีกหนึ่งภาษา ได้แก่ จีน (จีนกลาง) มลายู
หรอื ทมฬิ ระบบการศกึ ษาของสิงคโปรน์ ั้นแบง่ เป็นภาคการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน10 ปคี ือชัน้ ประถม 6 ปี และช้ันมัธยม 4
ปี จากน้นั นกั ศกึ ษาอาจจะเรียนอาชีวศกึ ษา เทคนิค เตรียมอุดมศกึ ษาหรือหลกั สูตรเสริมจากมธั ยมศึกษาเพมิ่ เติม
ระบบการศกึ ษาของสงิ คโปรแ์ บง่ เปน็ 5 ระดบั คือ
-ระดับก่อนวยั เรยี น (PRE-SCHOOL EDUCATION) หรอื ระดับอนุบาล หลกั สูตร 3 ปี รบั เดก็ อายุ 3-6 ปี
-ระดับประถมศึกษา (PRIMARY SCHOOL) แบง่ เป็นประถมศึกษาตอนต้น 4 ปี และประถมตอนปลาย 2 ปี
-ระดับมัธยมศึกษา (SECONDARY SCHOOL) มที ั้งหลักสตู รพิเศษ 4 ปี และหลกั สูตรปกติ 5 นักเรยี นทงั้ 2
หลกั สูตรจะตอ้ งผา่ นการสอบ O LEVEL(หลกั สตู รพเิ ศษ) และN LEVEL (หลักสูตรปกติ) เพอื่ สมัครเข้าศกึ ษาตอ่ ใน
ระดับตอ้ ไป
-ระดบั เตรียมอุดมศึกษา (JUNIOR COLLEGE) หลกั สตู รเตรยี มเขา้ มหาวทิ ยาลัย มีทง้ั หลกั สูตร 2 ปีและ3 ปี
-ระดบั อุดมศึกษา (UNIVERSITY) มหี ลกั สตู รใหเ้ ลอื กมากมายทั้งสายวิชาชพี และวชิ าการระยะ เวลา
การศึกษาข้นึ อยกู่ ับหลกั สตู รทเี่ ลอื กเรยี น

ครแู ถบตะวนั ตกประเทศเอสโตเนยี
ตั้งแต่สิ้นสุดสงครามเยน็ เอสโตเนียได้ทำการปฏิรูปประบบการศึกษาเอสโตเนียสะท้อนถึงความสำเร็จในปี
2012 เมื่อคะแนนการสอบPISA ของเอสโตเนียอยทู่ ีอ่ ันดับต้น ๆ ของยุโรป และเป็นอันดับที่ 11, 11 และ6 ในด้านการ

18

อา่ น คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ตามลำดับจากทุกประเทศทัว่ โลกการเรยี นรตู้ ลอดชีพ คือการเรียนร้ทู ีไ่ มจ่ ำกัดช่วง
วยั แนวคดิ สำคัญคอื การมองวา่ การเรียนรู้นั้นสามารถเกดิ ขนึ้ ไดอ้ ยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ๆ ถงึ แมว้ า่ จะพ้นวยั
ของการเปน็ นักเรยี น นักศึกษาไปแลว้

เอสโตเนียใชเ้ วลาพัฒนาระบบการศกึ ษาเพียง 21 ปี หลังจากในรบั เอกราช เอสสโตเนียได้กำหนดยทุ ธศาสตร์
การศึกษาใหม่ขึ้นมา คือ‘ยุทธศาสตร์การเรียนรู้ตลอดชีพ 2020’ (THE ESTONIAN LIELONG LEARNING
STRATEGY 2020) เพื่อเป็นแนวทางในการปรับรูปแบบการศึกษาของระดับชั้นอนุบาล ประถมศึกษา มัธยมศึกษา
อุดมศกึ ษา และการเรียนรสู้ ำหรบั ผใู้ หญ่

ครูแถบตะวนั ตกประเทศนิวซีแลนด์
- ระบบการศึกษา ของประเทศนิวซแี ลนด์ ขนึ้ กับกระทรวงศึกษาธิการ
- การศึกษาภาคบังคบั สำหรบั ผเู้ รียนแตล่ ะคนเรมิท่อี ายรุ ะหวา่ ง 6 - 15 ปีโดยนกั เรียนเร่ิมเขา้ เรยี นเมือ่ อายุ
ครบ 5 ปี
- การจัดการศกึ ษาในนวิ ซีแลนดเ์ นน้ ที่การเรียนรู้ตลอดชีวติ (LIE-LONG LEARNING) ของผ้เู รียน โดยผเู้ รียน
แต่ละคนสามารถพัฒนาศกั ยภาพของตนเองตามวถิ ีการเรียนร้ขู องตนเอง ท้งั การศึกษาในระบบและการศึกษานอก
ระบบ
- การจัดการศึกษาของประเทศนิวซแี ลนดแ์ บ่งเป็น 3 ระดบั คือ

1) การศกึ ษาปฐมวัย (EARLY CHILDHOOD EDUCATION)
2) การศึกษาในระบบโรงเรยี น (SCHOONLING)
3) การอดุ มศกึ ษา (TERTIARY EDUCATION)
- การศึกษาภาคบังคับของนิวซีแลนด์ยดึ อายเุ ปน็ เกณฑก์ ารเลือ่ นช้ันใช้วธิ กี ารเลอื่ นตามอายุไม่มกี ารสอบ
- การศกึ ษาในประเทศนวิ ซีแลนดเ์ นน้ ใหผ้ เู้ รยี นอ่านออกก เขยี นได้ ทำ กิจกรรมมากกวา่ การเรยี นในห้องเรียน
การเรียนรดู้ ว้ ยตัวเองเปน็ ส่วนใหญ่

สรปุ การศึกษาในตา่ งประเทศ
รูปแบบการเรียนการศึกษา – ความแตกต่างระหว่างการศึกษาไทยกับต่างประเทศ เรื่องการศึกษา ใน
ประเทศไทย สว่ นใหญ่ จะเน้นใหเ้ รียนไปในด้านวิชาการให้แน่น แต่จะมชี ่ัวโมงว่าง หรือ ทำกิจกรรมอ่ืน ๆ ได้เล็กน้อย
เน้นการเรยี นในหอ้ งมากกวา่ นอกหอ้ ง แต่ ในการศกึ ษาต่างประเทศน้ัน เนน้ การเรยี นนอกห้อง มากกวา่ ในห้องเรียน
มักจะให้การบ้านหรือหัวข้อให้นักเรียนไปค้นคว้านอกห้อง และ มาแชร์ความรู้กันภายในห้อง เน้นการทำกิจกรรม
ร่วมกนั มากกว่า วิชาการในห้อง

19

สรปุ
ความเป็นครู วชิ าชีพครแู ละคุรสุ ภา

สมยั สุโขทยั จนถึงต้นกรงุ รัตนโกสินทร์
ลกั ษณะของระบบการศกึ ษาในช่วงน้ียังไม่เปน็ แบบแผนชัดเจน ส่วนใหญเ่ ป็นการศกึ ษาสำหรับเดก็ ชาย ซึ่ง
เป็นการศึกษาหาความรู้ด้านวิชาการและศิลปะ สถานที่การศึกษามักเป็นที่วัด ราชสำนัก และบ้านเจ้านายชั้นสูง
การศกึ ษาด้านวชิ าชพี จะมสี อนและถ่ายทอดภายในวงศต์ ระกลู และในหมเู่ ครือญาติ สว่ นเดก็ หญงิ จะมีการฝึกงานบ้าน
ในครอบครวั ราชสำนกั และบ้านเจา้ นายชน้ั สูง ประชาชนนยิ มนำบุตรหลานไปไวก้ บั เจา้ นายและผ้มู ศี กั ดินาสูงเพ่ือให้
ใช้สอย และฝึกงานเพือ่ คาดหมายวา่ จะไดม้ ีโอกาสเขา้ รับราชการ ไดย้ ศถาบรรดาศกั ด์ติ อ่ ไป

สมัยรัชกาลที5่ จนถึงการเปล่ียนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
ลักษณะการศึกษาในช่วงนี้เริ่มเป็นระบบแบบแผน แต่ยังไม่เป็นมาตรฐานนัก นับเป็นช่วงที่การศึกษา
เจริญรุ่งเรืองมาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเล็งเห็นความสำคัญของการศึกษาในฐานะท่เี ปน็
รากฐานของความสำเร็จในทุกด้าน ผู้ได้รับการศึกษาในวิชาการสมัยใหม่จะสามารถนำความรู้เหล่านั้นมาพัฒนา
บ้านเมือง ดังนั้น จึงทรงส่งเสริมให้จัดการศึกษาแบบตะวันตก คณะสอนศาสนาชาวอเมริกันมีบทบาทในการ
เปลีย่ นแปลงระบบการศึกษาของไทยเปน็ อย่างมาก เริ่มมกี ารตั้งโรงเรยี นเพอื่ ฝกึ คนเขา้ รบั ราชการ มกี ารจดั ต้งั โรงเรยี น
สำหรับราษฎรท่วั ไป สถาปนามหาวิทยาลัยแหง่ แรกขน้ึ คอื จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย

สมัยหลังการเปลยี่ นแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จนถึง พ.ศ. 2534
ในช่วงน้กี ารศกึ ษาของไทยมกี ารเปลย่ี นแปลงมากท่สี ุด มีแผนการศกึ ษาชาตแิ ละแผนการศึกษาแห่งชาติเกิดข้ึน
หลายฉบับจนถงึ แผนการศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2520 ในแตล่ ะแผนมีความสำคัญต่อการพฒั นาการศกึ ษาในแตล่ ะยคุ แต่
ละสมัยโดยทุกแผนระบุจุดมุ่งหมายของการศึกษาเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ชัดเจน และเปลี่ยนแปลงไปตามการ
เปล่ยี นแปลงด้านเศรษฐกิจ สงั คม และการเมือง ลกั ษณะของการศกึ ษาคอ่ นขา้ งเอนเอยี งไปตามแนวคิดดา้ นการศึกษา
ของอเมรกิ า โดยปรากฏชัดเจนในแผนการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2503 เหตกุ ารณ์ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2516 กอ่ ใหเ้ กดิ
การเปล่ยี นแปลงทางความคิดด้านการศกึ ษามาก โดยมุ่งเนน้ การใช้การศึกษาเป็นเคร่อื งมอื พัฒนาคนในการออกไปรับ
ใช้สงั คม และประเทศชาติ ซึ่งนำไปส่กู ารปฏิรูปการศกึ ษา พ.ศ. 2517 ซึง่ เนน้ การศกึ ษาเพ่ือชีวิตและสงั คม ข้อสังเกต
ของระบบการศกึ ษาในช่วงนกี้ ็คือ สว่ นใหญเ่ นน้ การศกึ ษาในระบบโรงเรียน

ในปีพ.ศ.2488เมอื่ ภาวะสงครามโลกครง้ั ท่ีสองใกลจ้ ะยุติลงและรฐั บาลขณะนั้นได้ประกาศใช้ พระราชบัญญตั ิ
ครู พ.ศ.2488 โดยไดป้ ระกาศในราชกจิ จานุเบกษาเม่อื วันท่ี 16 มกราคม พ.ศ. 2488 กระทรวงศกึ ษาธกิ ารจงึ ไดต้ กลง
ให้รวมกจิ การและทรพั ย์สนิ ของสามัคยาจารย์ สมาคมเขา้ ร่วมกบั ครุ ุสภา ดังนนั้ สามัคยาจารยส์ มาคมจึงได้สนิ้ สุดสภาพ
ลงนับแต่บัดนนั้ มาี จึงมีสภาในกระทรวงศึกษาธิการเรียกว่า ครุ สุ ภา เป็นนติ บิ คุ คล

20

สภาการศกึ ษา มีจุดกำเนิดมาจากสภามหาวิทยาลยั แหง่ ชาติ ซึง่ จัดตั้งขนึ้ ในสมยั รฐั บาลของจอมพล ป. พิบูล
สงคราม เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2499เนื่องจากขณะนั้นมีมหาวิทยาลัยอยู่ต่างสังกัดกัน 5 แห่ง ต่อมาในสมัยจอม
พลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เปนนายกรฐั มนตรี พลเอกเนตร เขมะโยธนิ ซึ่งเปน็ นายทหารเสนาธิการมือหนง่ึ ของประเทศไทย
และเปนปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีขณะนั้นเสนอแน่ะว่าจะต้องมีฝ่ายเสนาธิการของประเทศไทยฝ่ายพลเรือน จอม
พลสฤษดิ์ ธนะรชั ต์ จงึ ไดจ้ ดั ตัง้ “สภาการศึกษาแห่งชาิ” ขึ้น เพอื่ พิจารณาเสนอแผนนโยบาย

หน้าท่ีและความรบั ผิดชอบของครมู มี ากมายหลายด้าน แตอ่ าจกำหนดภารกจิ เป็นลกั ษณะงานได้ 8 ด้าน คือ
งานสั่งสอนและฝึกฝนวิทยาการ งานอบรมคุณธรรมและจริยธรรม งานวิจัยและการศึกษาค้นคว้า งานถ่ายทอด
วัฒนธรรม งานมนุษย์สัมพันธ์ งานหน้าที่พิเศษต่างๆ งานรายงานผลนักเรียนและการแนะแนว และงานกิจกรรม
นกั เรียน ซ่ึงหากวา่ ผ้ปู ระกอบวชิ าชพี ครสู ามารถปฏิบตั ิได้ครบถ้วน ใหเ้ สรจ็ สน้ิ สมบรู ณไ์ ด้ทุกงานดงั กลา่ วกไ็ ด้ช่อื ว่าเป็น
ครผู ูม้ คี วามรบั ผดิ ชอบ และหากวา่ ผปู้ ระกอบวชิ าชีพครูปฏิบัติด้วยใจ มุง่ มนั่ และมสี ำนึกก็ย่อมได้ช่ือว่าเป็นผู้มีความ
เป็นครูท่ีประสบความสำเร็จในอาชีพครู อย่างไรก็ตามสำหรับครูในยคุ โลกาภิวตั น์นี้ ได้มีกรอบหรือกฎเกณฑ์สำหรับ
กำหนดมาตรฐานวิชาชีพครู เปน็ วิธีการตรวจสอบที่เป็นรูปธรรมโดยคุรสุ ภาซึ่งเป็นองค์วิชาชีพครู เกณฑ์มาตรฐาน
วิชาชพี ครดู งั กล่าวมี 11 มาตรฐาน ซ่งึ ส่วนใหญ่จะเน้นที่การจกั กระบวนการในการเรยี นการสอนให้กับศิษยเ์ ป็นสำคัญ
ท้ังนเี้ พราะหนา้ ทห่ี ลกั ของครูนัน้ ย่อมอยทู่ ศ่ี ษิ ย์ ความรับผิดชอบท่ีสำคัญทีส่ ดุ ของครกู เ็ ปน็ ความรับผิดชอบที่มีต่อศิษย์
นนั่ เอง

ใบอนญุ าตประกอบวชิ าชพี ท่จี ะออกใหผ้ ู้ประกอบวชิ าชีพทางการศึกษา มี 4 ประเภท คือ ใบอนุญาตประกอบ
วิชาชพี ครใู บอนญุ าตประกอบวชิ าชีพผบู้ รหิ ารสถานศึกษา ใบอนญุ าตประกอบวชิ าชีพผ้บู รหิ ารการศกึ ษา และ
ใบอนญุ าตประกอบวชิ าชพี บุคลากรทางการศึกษาอ่ืน ผปู้ ระกอบวิชาชีพควบคมุ ทกุ ตำแหน่งตอ้ งมีใบอนุญาตประกอบ
วิชาชพี ครเู ม่อื จะประกอบวิชาชพี ผบู้ รหิ ารสถานศึกษาหรอื ผบู้ รหิ ารการศึกษาหรือบุคลากรทางการศึกษาอืน่ กจ็ ะตอ้ ง
มใี บอนญุ าตประกอบวิชาชพี ประเภทนัน้ ๆ อีก การประกอบวิชาชีพครูผ้บู รหิ ารสถานศกึ ษา ผู้บรหิ ารการศกึ ษา และ
ศึกษานิเทศ ซึง่ เปนวิชาชพี ควบคุมทางการศกึ ษา ผจู้ ะประกอบวิชาชีพต้องขอรบั ใบอนญุ าตเพอื่ แสดงตนวา่ พรอ้ มจะ
ประกอบวชิ าชีพทางการศกึ ษา และจะต้องประกอบวชิ าชพี ภายใตบ้ ังคบั แห่งข้อจำกัดและเงอ่ื นไขตามขอ้ บงั คบั ของครุ ุ
สภา โดยคุ รุสภากำหนดขอ้ บงั คับครุ ุสภาว่าดว้ ยมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณของวชิ าชีพ พ.ศ. 2548
ประกอบดว้ ย

1) มาตรฐานความรแู้ ละประสบการณ์วิชาชีพ
2) มาตรฐานการปฏบิ ตั งิ าน
3) มาตรฐานการปฏบิ ตั ิตน หรอื จรรยาบรรณของ วิชาชพี
ผู้ไดร้ ับใบอนญุ าตจะต้องตอ่ ใบอนญุ าตประกอบวชิ าชพี ทกุ 5 ปีโดยมคี ุณสมบัติตามมาตรฐานวิชาชพี ทคี่ รุ ุสภากำหนด
(ธชั ชาวรรณ ทองเกริน, 2553,ณัฏฐพลทีปสวุ รรณ, 2562)
รูปแบบการเรยี นการศกึ ษา ความแตกต่างระหว่างการศกึ ษาไทยกบั ต่างประเทศ เรอื่ งการศึกษา ในประเทศ
ไทย สว่ นใหญ่ จะเนน้ ให้เรยี นไปในดา้ นวิชาการใหแ้ นน่ แตจ่ ะมชี ่ัวโมงวา่ ง หรอื ทำกจิ กรรมอนื่ ๆ ได้เลก็ นอ้ ย เนน้ การ

21

เรยี นในหอ้ งมากกวา่ นอกหอ้ ง แต่ ในการศกึ ษาต่างประเทศนัน้ เนน้ การเรยี นนอกหอ้ ง มากกว่าในห้องเรยี น มักจะให้
การบ้านหรือหัวข้อให้นักเรียนไปค้นคว้านอกห้อง และ มาแชร์ความรู้กันภายในห้อง เน้นการทำกิจกรรมร่วมกัน
มากกว่า วิชาการในหอ้ ง

22

อา้ งองิ

ประวติ ร เอราวรรณ , Prof. Vicharn Panich และKristina Heikkila 10 ตุลาคม 2560
https ://www.educathai.com/knowledge/articles/472

กลุ่มครูเทคโน.2551 : Online การศึกษาของไทยสมยั โบราณ (พ.ศ. 1781 - พ.ศ. 2411
การศึกษาชาติตะวันตก ฟินแลนด์ สบื ค้นเมอื 24 กันยายน 2565
การศึกษาชาติตะวนั ออก สงิ คโปร์ สืบค้นเมอื 24 กันยายน 2565

เกรียงศักด์ิ เจรญิ วงศ์ศักดิ์ (พ.ศ. 2550 ) แนวโนม้ การจดั การศึกษาไทยในอนาคต
คณะทำงานปฏริ ปู การศึกษาไทย (พ.ศ.2558) กระบวนทศั น์ใหม่ทางการศึกษา
คณะอาจารย์ภาควชิ าพน้ื ฐานการศกึ ษา. 2532 : 7 การศึกษาของไทยสมยั ปฏิรปู การศกึ ษา

คน้ หาเมอ่ื 10 ก.ย. 2565 จาก http ://www.thainame.net/weblampang/sutat
ค้นหาเม่ือ 12 ก.ย. 2565 จาก https ://pisan2012.wordpress.com
ค้นหาเมอ่ื 13 ก.ย. 2565 จาก https ://www.kroobannok.com/3345
คน้ หาเมอ่ื 10 ก.ย. 2565 จาก https ://www.gotoknow.org
คลอเดยี วอลลิน 3 ตลุ าคม 2018 ความแตกต่างทางการศึกษา สบื คน้ เมอื 13 ก.ย. 2565
จาก https ://pisan2012.wordpress.com https ://www.gotoknow.org
จาก https ://sites.google.com/site/khrukhonmai/k8
จาก https ://sites.google.com/site/krukook25
จาก https ://www.bbc.com/thai/features-45698818
จาก https ://www.bbc.com/thai/features-45698818
จาก https ://www.eef.or.th/education-abroad-covid
จาก https ://www.gotoknow.org/posts/368219
จาก shorturl.asia/0STmz
เฉลมิ ลาภ ทองอาจ เขียนเมือ 31 สิงหาคม 2013 การพฒั นานกั ศึกษาครูตาม พ.ร.บ. การศึกษาแหง่ ชาติ.
ถวิล เกื้อกูลวงศ. (2530). การบริหารการศกึ ษาสมัยใหม่ ทฤษฎี วิจยั และปฏิบตั .ิ กรุงเทพ ฯ :
ทางด้านเทคโนโลยีในการเรยี นการสอนบทบาทของเทคโนโลยีกับการจดั การศกึ ษา
ธีรณัฐ มะลกิ ัน 22 พฤศจกิ ายน 2553 ครูในยคุ โลกภวิ ตั นส์ ืบคน้ เมอื 19 ก.ย. 2565
ธีระ รุญเจริญ 2544 “สภาพและปญหาการบริหารและการจัดการศกึ ษาข้นั พ้ืนฐานของ
นรรัชต์ ฝนเชียร 22 เมษายน 2562 ครใู นยุค 4.0 ค้นหาเมอ่ื 10 ก.ย. 2565
นอ้ ย อาจาริยางกรู 7 สงิ หาคม 2554 การศึกษาในสมยั ธนบรุ ีและรัตนโกสินทรต์ อนต้น

23

เฉลิมลาภ ทองอาจ เขยี นเมือ 31 สงิ หาคม 2013 พระราชบญั ญตั ิระเบียบข้าราชการครแู ละ
บคุ ลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 การพัฒนาบริหารจดั การสืบคน้ เมอื 10 ก.ย. 2565

ประเทศไทย,รายงานการวจิ ยั สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาแหง่ ชาิ พ.ศ. 2553
ประไพ เอกอุน่ . 2542 : 75 ความรอบรู้ และทันสมัย ของการศึกษาไทย
ประวติ ร เอราวรรณ , Prof. Vicharn Panich และKristina Heikkila 10 กันยายน 2565
พร บุนนาค การศึกษาสมยั การปกครองระบอบรฐั ธรรมนญู ( พ.ศ. 2475 ปจั จุบนั )
พระราชบัญญัตริ ะเบยี บข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 การพฒั นาของ

วฒั นาพานิช. สมเดช สแี สง. (2548). คมู่ อื บริหารโรงเรยี น สถานศึกษาขน้ั พื้นฐาน
สถานศกึ ษาใน สืบคน้ เมือ 9 ก.ค. 2564 จาก https ://www.shopback.co.th
สบื ค้นเมือ 11 ก.ย. 2565 จาก http ://www.kriengsak.com/node/1040
สืบค้นเมือ 13 ก.ย. 2565 จาก https ://www.kroobannok.com/3345
สบื คน้ เมือ 9 ก.ย. 2565 จาก shorturl.asia/08nB9
อมั พร มนตป์ ระสทิ ธิ์ 9 มนี าคม 2556 ครใู นยุคศตวรรษท่ี 21 ค้นหาเม่ือ 11 ก.ค. 2565

24

บทที่ 2
ปรัชญา ทฤษฎีแนวความคิดทางการศึกษา และปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง

ปรัชญา ทฤษฎแี นวความคดิ ทางการศึกษา และปรัชญาของเศรษฐกจิ พเพียง สามารถแบ่งออกไป 5 หวั ข้อ
ในการศกึ ษาโดยมี

1. ความเป็นมาและความหมายของปรัชญาการศกึ ษา
2. ปรชั ญาทางการศึกษา
3. ทฤษฎที างการศึกษา
4 .แนวความคิดทางการศึกษา
5. ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
การศกึ ษาแตล่ ะหัวขอ้ นัน้ สามารถศึกษาแบง่ ออกได้ ดังน้ี

1. ความเป็นมาและความหมายของปรชั ญา

1.1 ความเป็นมาของปรัชญา
1.1.1 ปรัชญาตะวันตก ถอื กำเนดิ โดยเธลสี แหง่ มเิ ลทสั เมือ่ 585 ปีกอ่ นครสิ ต์ศกั ราช วิธกี ารของเธลสี
แตกต่างกบั ปรชั ญาตะวนั ออกอยา่ งมาก คือ ปรับคำถามท่ีสลับซบั ซอ้ นใหเ้ ป็นคำถามง่าย ๆ เปน็ คำถามทมี่ รี ากฐาน เธ
ลสี เปน็ บุคคลทรี่ กั การขบคิดอย่างมาก ปจั จบุ ันมขี ้อมลู ทเ่ี กี่ยวข้องกับเธลสี หลงเหลอื อยูไ่ ม่มาก
เธลสี แหง่ มิเลทัส (Thales of Miletus) ประมาณ 626/623–548/545 ปกี ่อน
คริสต์ศกั ราช เปน็ นกั ปรัชญาของชาวกรกี โบราณ ไดร้ ับการยกย่องจากอรสิ โตเตลิ ว่า เธลีส
เปน็ นกั ปรชั ญาคนแรกทบี่ ันทกึ ความคดิ ไวเ้ ป็นหลักฐาน และไดร้ บั เกียรตใิ หเ้ ป็นบดิ าของวชิ า
ปรชั ญาตะวันตก เบอรท์ รนั ด์ รสั เซลล์กล่าววา่ "วชิ าปรชั ญาเรมิ่ ตน้ จากเธลสิ "
เพลโต ( Plato) (427 – 347 ปีก่อน ค.ศ.) เป็นนกั ปรัชญาชาวกรีกโบราณท่ีมีอทิ ธิพล
อย่างสงู ตอ่ แนวคดิ ตะวนั ตก เขาเปน็ ลกู ศิษยข์ องโสกราตสี เปน็ อาจารยข์ องอรสิ โตเตลิ เป็น
นักเขยี น และเป็นผกู้ ่อต้งั อาคาเดมีซงึ่ เปน็ สำนักวิชาในกรงุ เอเธนส์
แอรสิ ตอเตลิ (กรีก: Αριστοτέλης; องั กฤษ: Aristotle, 384–322 ปีกอ่ น
ครสิ ตกาล) เป็นนกั ปรชั ญาและผรู้ ้รู อบด้านชาวกรกี ระหวา่ งสมัยคลาสสิกในกรซี โบราณ เป็น
ศษิ ยข์ องเพลโต ผ้กู ่อตง้ั ไลเซียม, สำนกั ปรชั ญาเพริทพาเททกิ และขนบแอรสิ ตอเตลิ งานนพิ นธ์
ของเขาครอบคลุมหลายสาขาวิชารวมทง้ั ฟิสกิ ส์ ชีววทิ ยา สัตววิทยา อภิปรชั ญา ตรรกศาสตร์
จรยิ ศาสตร์ สุนทรยี ศาสตร์ บทกวี การละคร ดนตรี วาทศาสตร์ จิตวทิ ยา ภาษาศาสตร์
เศรษฐศาสตร์ การเมืองและการปกครอง แอรสิ ตอเตลิ เป็นผสู้ งั เคราะหอ์ ยา่ งซบั ซอ้ นซงึ่ ปรัชญา

25

ต่าง ๆ ท่มี อี ย่กู ่อนหน้าเขา เหนืออ่นื ใดโลกตะวนั ตกได้รบั เอาศพั ท์พจนานกุ รมทางปญั ญาจากคำสอน ตลอดจนปัญหา
และวธิ ีการสอบสวนของเขา ผลทำใหป้ รชั ญาของเขาสง่ อทิ ธิพลเปน็ เอกลกั ษณต์ ่อความรูแ้ ทบทุกแบบในโลกตะวันตก
และยงั เปน็ หวั ขอ้ การอภิปรายทางปรัชญารว่ มสมัย

นกั บญุ ออกัสตนิ แหง่ ฮิปโป (องั กฤษ: Augustine of Hippo) เกิดเมอื่ วันท่ี 13 พฤศจกิ ายน ค.ศ. 354 ทเี่ มือง
ทากาส ประเทศแอลจีเรีย มีนามเดิมว่า เอาเรลิอุส เอากุสนุส (ละติน: Aurelius Augustinus) เป็นนักเทววิทยา

ศาสนาครสิ ตย์ คุ แรก งานเขียนของทา่ นมอี ทิ ธพิ ลอย่างมากต่อศาสนาครสิ ต์ตะวนั ตกและปรัชญา
ตะวันตก ได้รับแตง่ ตงั้ เป็นบชิ อปแหง่ ฮิปโปในปี ค.ศ. 396 ซึ่งขณะน้ันยงั เปน็
ส่วนหนึ่งของมณฑลแอฟริกาของจักรวรโรมัน ออกัสตินถือเป็นปิตาจารย์ที่สำคัญที่สุดของ
ครสิ ตจักร ผลงานทสี่ ำคญั 2 เร่ืองคอื เทวนครและคำสารภาพบาป ซง่ึ เปน็ ทน่ี ิยมศึกษาอยู่แม้จน
ทกุ วนั นี้ กอ่ นจะมานบั ถอื ศาสนาครสิ ต์เขา้ พธิ ีบพั ตศิ มาในปี ค.ศ. 387 ออกัสตนิ เคยนบั ถือศาสนามาณกี ี และยงั ได้รบั
อิทธิพลทางความคดิ จากลทั ธเิ พลโตใหม่ของพลอไทนสั ออกัสตนิ จงึ ไดพ้ ฒั นาเทววิทยาและปรชั ญาในแบบของตนเอง
เม่อื จักรวรรดิโรมนั ตะวันตกใกลจ้ ะแตก ทา่ นเลง็ เหน็ ว่าครสิ ตจักรโรมันคาทอลิกจะเป็นเทวนครฝ่ายจิตวิญญาณให้กับ
ประชาชนต่อไป แนวคิดของออกัสตนิ ยังส่งผลมาตลอดสมยั กลาง
ฟรานซิส เบคอน เกดิ วนั ที่ 22 มกราคม ค.ศ.1561 ท่ยี อร์ค เฮาร์ กรุงลอนดอน ประเทศองั กฤษ เกิดในตระกูล
ผู้ดีมตี ำแหนง่ ทางการเมอื ง เข้าศึกษาท่ี Trinity College แห่งมหาวิทยาลัยเคมบรดิ จ์ เมอื่ อายุ 12 ปี เรียนอยไู่ ด้ 3 ปี
แล้วออกไปเพราไมช่ อบวิธีการเรยี นและหนังสอื เรยี น ไดแ้ สดงความคิดทีเ่ ป็นปฏปิ ักษต์ ่ออรสิ เตลิ
และปรัชญาอสั มาจารย์ เขาได้รับแต่งตงั้ ใหเ้ ป็นหนง่ึ ในคณะทูตองั กฤษประจำประเทศฝรงั่ เศสเม่ือ
อายุได้ 16 ปี ปี ค.ศ.1583 ขณะนัน้ อายไุ ด้ 23 ปี เขาก็ได้รบั เลือกต้ังเข้าสรู่ ฐั สภาและไดร้ บั เลอื กอกี
หลายสมยั เบคอนเปน็ นักการเมอื งท่ีฉลาดหลักแหลมและมคี วามคมคาทางการพูดมาก ค.ศ.1617
ได้รับตำแหนง่ ผู้เก็บรักษาดวงตราสืบแทนบิดา และในปี ค.ศ.1618 ไดร้ ับแต่งตง้ั เปน็ อัครมหาเสนาบดี ปี ค.ศ.1621 เขา
ถูกกลา้ วหาว่ารบั สนิ บนจากค่คู วาม เขาแก้วา่ เป็นของกำนลั จำคุกและปลดออกจากตำแหนง่ เสยี ชีวติ ลงขณะทำการ
ทดลอง ในปี ค.ศ.1626 เมื่ออายุได้ 65 ปี

1.1.2 ปรชั ญาตะวนั ตก
ปรัชญาอนิ เดยี (ปรชั ญาอนิ เดยี โบราณ) ปรชั ญาอินเดยี มลี ักษณะทง้ั ทฤษฎี อภปิ รชั ญา ญาณวทิ ยาและ
ภาคปฏบิ ัติ (จริยศาสตร์) ซง่ึ ควบคู่ไปด้วยกนั โดยมพี ้นื ฐานจากศาสนา (ยกเวน้ ลทั ธจิ ารวาก) ปรัชญาอนิ เดียจงึ มี
ลักษณะขยายความคำสอนของศาสนา โดยให้หลกั เหตผุ ลเปน็ เครอื่ งมอื จงึ มีลกั ษณะเป็นปรชั ญาศาสนา ในแบบ
ปรัชญาชีวติ เพื่อง่ายต่อการทำความเข้าใจ จึงขอยกแนวคดิ ของ ศ. สุนทร ณ รังสี (2521) ทเ่ี สนอลกั ษณะเด่นของ
ปรชั ญาอินเดยี (ไมร่ วมจารวาก ซงึ่ ถือว่าเปน็ แนวคิดพิเศษของปรชั ญาอนิ เดีย) ดังนี้
ก. ปรัชญาอนิ เดยี มลี กั ษณะเปน็ ปรัชญาชวี ติ เน้นความคดิ ในแบบทส่ี ามารถนำไปใชใ้ นชวี ิตประจำวันได้ จงึ
ไม่ใชร่ ูเ้ พอื่ รู้ แต่รู้เพื่อเอาไปใช้เกิดประโยชน์แก่ชีวิต

26

ข. ปรัชญาอนิ เดยี มองชีวิตวา่ เปน็ ทกุ ข์ แต่มวี ถิ ีดบั ทกุ ข์ กลา่ วคอื มองชีวติ วา่ มีแต่ทกุ ข์ จึงพยายามนำเสนอ
วิถดี ับทกุ ข์ มองว่าทกุ ข์น้มี ีวิธแี กไ้ ขหรอื พน้ ทกุ ขไ์ ด้ (ชีวิตเต็มด้วยทุกข์ แตเ่ ราสามารถหลุดพ้นทุกข์ได)้

ค. ปรชั ญาอินเดยี เช่ือในกฎแห่งกรรม ถือเปน็ กฎสากลหรือกฎแหง่ เหตุและผล ทำดไี ดด้ ี ทำช่วั ไดช้ ั่ว โดย
ตา่ งกันบา้ งในเรอ่ื งเกี่ยวกับการกระทำวา่ สงิ่ ไหนดี สงิ่ ไหนไมด่ ี

ง. ปรัชญาอินเดยี สอนว่า “อวิชชา” หรือการรผู้ ดิ หลงผดิ เปน็ บอ่ เกิดแห่งปญั หาชวี ติ
ปรัชญาอินเดยี จงึ เสนอวิถีม่งุ ส่กู ารบรรลโุ มกษะหรอื การหลดุ พน้ จากทกุ ข์ท้ังปวง อนั ถือเป็นเป้าหมายชวี ิต (แตก่ ระน้นั
ความคดิ เรื่องอวิชชา มแี ตกตา่ งกันบ้าง เช่น อวชิ ชาของปรชั ญาลทั ธหิ นง่ึ อาจเปน็ วิชชาของอีกสำนักหนงึ่ เปน็ ต้น)

จ. ปรัชญาอนิ เดยี เน้นการบำเพญ็ พรต อันเป็นวถิ สี ่กู ารหลุดพ้น ปรชั ญาอินเดยี สอนวา่ การบำเพญ็ สมาธแิ ละ
วปิ สั สนา โดยมองสง่ิ ต่าง ๆ ตามทเี่ ป็นจรงิ เป็นวถิ สี กู่ ารหลดุ พน้ ทกุ ข์ (โดยอาจตา่ งกันบา้ งในแตล่ ะแนวคิด)

ฉ. ปรัชญาอินเดยี สอนใหค้ วบคุมตนเอง เห็นว่าการควบคุมตนเองหรือควบคุมจิตใจไมป่ ลอ่ ยตามกเิ ลส
ตณั หา เป็นวถิ ีแห่งขจดั กเิ ลส เพอื่ บรรลุโมกษะ (ภาวะแห่งการหมดทกุ ข์อย่างสิน้ เชงิ )

ช. ปรชั ญาอนิ เดียมองวา่ มนุษย์สามารถไปสกู่ ารหลุดพน้ ได้
การหลุดพน้ หรอื การบรรลุถึงโมกษะ เปน็ สงิ่ ทสี่ ามารถทำได้ อาศยั การบำเพ็ญเพยี ร โดยแตล่ ะระบบมีแนวของตนเอง

ปรัชญาไทย ประมาณตน้ เดือนพฤศจกิ ายน 2551 ท่ผี า่ นมาน้ี นกั ศึกษาคนหนงึ่ ถามผมว่า ปรัชญาการศึกษา
ไทยมีไหม เพราะได้ศึกษาเฉพาะปรัชญาทางการศกึ ษาตะวนั ตกเป็น สว่ นใหญ่ ไม่ว่าตำราเลม่ ไหนกจ็ ะกลา่ วถงึ ปรชั ญา
การศึกษาฝรั่ง เช่น สารัตถนิยม (Essentialism) ปฏิรูปนิยม (Reconstructionism) เป็นต้น ส่วนปรัชญาการศึกษา
ไทยแทบไม่กล่าวถึงอย่างเป็นกิจลักษณะ อาจมีบ้างเป็นการแถมหรือเสริมเข้ามา โดยอาจเรียกว่า แนวคิดทางการ
ศึกษาของนักการศึกษาไทย ทั้งที่จริงๆ ไม่ว่าปรัชญา หรือ แนวคิดโดยเนื้อแท้ก็ไม่ต่างกัน ปรัชญาก็คือแนวคิดหรือ
ความคดิ แนวคดิ กค็ ือปรัชญา น่ันเอง ตา่ งกันโดยตัวหนงั สือ แตเ่ นอ่ื งจากนกั วิชาการไทยเรยี น/ลอกตำรามาจากฝร่ัง
ปรัชญาจงึ มแี ตข่ อง ฝร่งั และเรากม็ กั จะเช่อื ตามนนั้ (ไม่เชื่อก็สอบไม่ได้) นกั การศึกษาไทยทีเ่ ด่นๆ มมี ากมาย ซ่ึงได้ให้
แนวคิด (ปรัชญา) ทางการศึกษาไว้มากมาย หาดูได้จากตำราการศึกษาต่างๆ แต่อย่าติดรูปแบบของคำว่า ปรัชญา
ตอ้ งขยายกรอบความคิดของคำวา่ “ปรัชญา” ใหค้ รอบคลุมขอบเขตเน้อื หากวา้ งขวางอนั สะท้อน ความเชอ่ื ,ความคิด,
วิถปี ฏบิ ตั ิ ต่างๆ สามารถระบนุ ามของนกั การศกึ ษาไทยดังกล่าวได้ เช่น ดร.สาโรช บัวศรี,น.พ.ประเวศ วะสี,ดร.โกวิท
วรพิพฒั น์,พระธรรมปฎิ ก(ประยุทธ์ ปยุตโต) เปน็ ตน้

ประวตั กิ ารศกึ ษาไทยตั้งแตส่ มยั สุโขทัยเปน็ ต้นมาแสดงวา่ การศกึ ษาไทย มปี รชั ญาการศกึ ษาเป็นของตนเอง
โดยมีพื้นฐานมาจากพระพุทธศาสนา อาจกล่าวได้ว่าปรัชญาการศึกษาไทย ยึดตามแนวพุทธปรัชญานั่นเองไม่ว่า
หลกั สูตร,ครู, วิธีการจดั การเรียนการสอนหรอื การบรหิ ารลว้ นอยู่ภายใตอ้ ทิ ธพิ ลของพระพุทธ ศาสนา โดยเฉพาะอย่าง
ยิ่ง สมัยสุโขทัย อยุธยาหรือรัตนโกสินทร์ตอนต้น ล้วนใช้หลักสูตรที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนาทั้งสิ้น ครูก็คือ
พระสงฆห์ รอื ผทู้ ี่ผ่านการศกึ ษาอบรมมาจากพระ โรงเรยี นกค็ ือวัดหรอื วัง ซึง่ สนทิ แนบแนน่ กบั วดั แมค้ รอบครัวจะเป็น
สถานที่บ่มเพาะบุคคล(โรงเรียน) ครอบครัวไทยก็ไม่ห่างไกลพุทธศาสนา ดังนั้นรวมความว่า โดยประวัติศาสตร์

27

การศึกษาไทยยึดแนวพุทธปรัชญาโดยประการทั้งปวง ดังนั้นคำถามของนักศึกษาข้างต้น น่าจะกระจ่างขึ้นถ้าตอบ
ว่า ปรัชญาการศึกษาไทยกค็ ือพทุ ธปรัชญานั่นเอง แตเ่ ปน็ พทุ ธปรัชญาท่ปี ระยุกต์มาใช้ในสว่ นท่เี กีย่ วกับการศึกษา ตาม
ความเหมาะสมกับกาละ (กาลเวลา) เทศะ (ประเทศ,ภูมิประเทศ) และบุคคลประชาชน,กลุ่มชนที่มีวิถีชีวิต
ขนบประเพณวี ฒั นธรรมของกล่มุ ตน)แม้กาลเวลาจะผา่ นมาพุทธปรัชญาการศึกษา ยังมอี ทิ ธิพลอยู่ในปรชั ญาการศกึ ษา
ไทยซง่ึ เดนิ ตามแนวปรชั ญาการศึกษาตะวนั ตก (ฝรง่ั ) ผ้ตู อ้ งการทราบรายละเอยี ดเกี่ยวกบั ปรชั ญาการศกึ ษาไทยในยุค
ร่วมสมยั น่าจะหาอา่ นได้จากหนงั สอื ของพระธรรมปิฎก(ประยกุ ตป์ ยตุ โต) ซึ่งมอี ยแู่ พรห่ ลายแตใ่ นท่ีน้ีผมจะนำปรัชญา
การศึกษาไทยทด่ี ร.สาโรช บวั ศรี เสนอไว้มากล่าวเพียงบางประเด็นสั้นๆ พอให้เหน็ วา่ ปรชั ญาการศึกษาไทยไม่วา่ โดย
นักการศึกษาไทยท่านใดมักจะหนีไม่พ้นพุทธปรัชญาได้ ดร.สาโรช บัวศรี กล่าวว่า การศึกษา คือ การพัฒนาขันธ์หา้
เพื่อให้อกุศลมูล ลดน้อยลง หรือ หมดไป (ผมอาจจำได้ไม่ครบทุกคำ) เนื่องจากมีคำวัดอยู่มาก จึงขอขยายความ
ดังนี้ “การพฒั นา” เชอื่ ว่า ทุกคนเข้าใจ ไม่ตอ้ งอธิบาย “ขันธ์หา้ ” ได้แก่ ร่างกาย และจติ ใจ ขยายความโดยรักษาคำ
วดั ภาษาบาล)ี ไดด้ งั น้ี ขันธ์ 5 – ชีวิต (คน) รูป(รา่ งกาย) นาม (จิตใจ) , เวทนา (ความรู้สึก) สุข ทุกข์ เฉยๆ , สัญญา
(ความจำ,สังขารเคร่ืองปรุงแต่ง หมายถึง สิง่ หรอื คณุ สมบัตทิ มี่ าปรุงแตง่ หรอื ทำให้ จติ ใจเปน็ ไปในทางใดทางหน่ึง
เชน่ คิดดี คดิ ชว่ั ,เหมือนสีทใี่ ชย้ ้อมผา้ ใหเ้ ปน็ สีตา่ งๆ ตามชนิดของสีน้นั ๆ) , วญิ ญาณ (การรแู้ จ้ง,รู้ชัด เช่น เห็น(ใช้ตา)
ภเู ขา รู้ว่า(วิญญาณ) เป็นภเู ขา เป็นตน้ ) ทเี่ รยี กวา่ “ขนั ธ์” เพราะขนั ธแ์ ปลวา่ กอง หรอื กลุ่ม หรอื องคป์ ระกอบต่างๆ
(เชน่ ผม,ขน,เล็บ...)เขา้ ดว้ ยกนั เปน็ คน ฉะน้นั ขันธห์ ้า ดงั กลา่ วจะเปน็ ไปอย่างไร (สขุ หรอื ทกุ ข)์ ย่อมขึน้ อยู่กับการศึกษา
หรือ การพัฒนา ซึ่งตามปรชั ญาท่ี ดร.สาโรช บวั ศรี เสนอไวน้ ้ี การศึกษา/พัฒนา ขันธ์ห้า (ชวี ิต) มเี ป้าหมายอยู่ท่ีการ
ลด หรือ ทำใหห้ มดไปซึง่ อกศุ ลมลู อนั ได้แก่ ความโลภ (โลภะ) ความโกรธ (โทสะ) และความหลง (โมหะ)

ปรชั ญาการศึกษา ของดร.สาโรช บวั ศรี ทย่ี กมาสั้นๆ ไดก้ ล่าวถึง
1. ความหมายของการศึกษาคืออะไร (คือการพฒั นาขนั ธห์ ้า-ชวี ิต)
2. วตั ถปุ ระสงค์ของการศึกษาคอื อะไร (คอื การลดหรอื ทำใหห้ มดไปซง่ึ โลภะ,โทสะ,โมหะ)อาจจะขัด หรอื ฝืน
ความรสู้ กึ ของเราอยู่บา้ ง ในแง่ที่ว่า ถ้าศกึ ษาเพอื่ ลด/ทำให้หมด,โลภะ โทสะ โมหะ มนั จะเป็นไปได้หรอื จะอยูใ่ นสงั คม
ทเ่ี ต็มไปด้วยการแขง่ ขนั ชว่ งชิงโอกาสต่างๆ ผแู้ ขง็ แรง ผชู้ นะ เท่าน้นั จะอยูใ่ นสังคมได้ทจ่ี รงิ การมีชีวติ อยดู่ ว้ ยโลภะ
โทสะ โมหะ เป็นการมชี วี ติ อย่ดู ้วยสญั ชาตญาณ สตั วท์ กุ ประเภทมีเหมอื นกนั หมดโดยไม่ตอ้ งสอนกนั แตก่ ารมีชีวติ โดย
ลด /ทำใหห้ มดซึง่ โลภะ โทสะ โมหะน้นั เปน็ การมีชีวติ ทฝ่ี ืนสัญชาตญาณซง่ึ จะมีไดก้ ็ดว้ ยการศึกษา หรอื พฒั นาเทา่ นั้น
การศึกษาสำหรบั สามัญชน(ปถุ ุชน) เอาแคป่ รบั ระดบั ความพอเหมาะ พอควรของความโลภเปน็ ต้นนัน้ กม็ คี ุณค่า
เหลือหลายทงั้ ต่อตนเองและสงั คม ไม่ถงึ กับตอ้ งทำใหโ้ ลภะเป็นต้นนนั้ หมดไปเหมอื นพระอรหันต์ความพอเหมาะ
พอควรของโลภะเป็นตน้ นนั้ ผลระยะยาวจะเกดิ แกส่ ังคมในแงท่ ี่จะลดปญั หาสังคมลง ไม่ว่าการลักขโมย ปล้นจ้ี
ฉอ้ โกง หรอื อาชญากรรมอ่ืนๆ ซง่ึ เกดิ จากแรงขับของอกุศลมลู ท้งั สิน้ พูดไปทำไมมคี วามวนุ่ วายต่างๆ ในสังคมไทย
ปัจจบุ ันโดยเฉพาะความวุ่นวายทางการเมอื ง พจิ ารณาใหด้ แี ล้ว จะเหน็ วา่ เพราะอกุศลมลู เหลา่ น้ีน่ันเอง จงึ ไม่มีความ
สงบสขุ ไม่มสี นั ตเิ กดิ การแก่งแยง่ ชิงดีชงิ เดน่ ประท้วงต่อตา้ นกนั ทกุ รปู แบบแบง่ กันเปน็ ฝา่ ย ดังทเ่ี ปน็ ที่ประจักษแ์ ก่

28

สายตาของคนไทยและชาวโลกมาเป็นเวลานาน และยงั ไมม่ สี ัญญาณว่าจะยุตเิ มอื่ ไร และอย่างไรถ้าอิทธพิ ลของปรชั ญา
การศึกษาไทยของดร.สาโรช บวั ศรดี งั กลา่ ว มีเหนือจติ ใจของคนท่ีสำเรจ็ การศกึ ษาไทย เชือ่ ว่าความวนุ่ วายดงั กลา่ วคง
ไมร่ ้ายแรงขนาดน้ี ถึงเวลาแลว้ ทจ่ี ะทบทวนปรัชญาการศกึ ษาอกี ที ควบค่ไู ปกับการปฏริ ปู การศกึ ษา

ปรชั ญาจีน
ปรชั ญาปัจเจกชน : ขงจ๊ือสอนว่า ความเจริญหรอื ความเส่อื มของโลก ของสงั คมเกดิ มาจากปจั เจกชนหรือแต่
ละบุคคลเป็นรากฐาน เพราะฉะนั้นรัฐจะต้องพัฒนาคนให้ดเี สียก่อน แล้วสังคม ประเทศ ตลอดถึงโลกกจ็ ะดขี ึ้นตาม
โดยอัตโนมัติ ขงจื๊อเชื่อว่า การที่จะเป็นคนดีได้นั้น ประการแรก จะต้องได้รับการศึกษา การได้รับการศึกษาจาก
สถาบนั การศกึ ษาหรือจะศกึ ษาค้นคว้าด้วยตัวเองก็ได้ การศกึ ษากจ็ ะทำใหค้ นฉลาดขึน้ สามารถแยกแยะระหว่างส่ิงดี
และสง่ิ ช่ัวรา้ ย ว่าส่งิ ไหนควรทำและไม่ควรทำ อะไรเปน็ ไปเพ่อื ความเจรญิ อะไรเปน็ ไปเพอ่ื ความเสื่อม เม่ือรู้แล้วก็จะ
หาทางหลีกเลยี่ งความเส่ือมแลว้ ดำเนนิ ไปสคู่ วามเจริญ ขงจือ๊ เชือ่ ว่าทกุ คนมีอธั ยาศัยใกล้เคียงกนั แต่ที่มาแตกต่างกัน
เปน็ คนดี คนชวั่ คนฉลาด คนโง่ ก็เพราะการศึกษาอบรม อย่างเช่น คนที่มีการศกึ ษาอบรม ก็ยอ่ มจะรูจ้ กั ปรับปรุงตน
ให้ดีขึ้น สละความไม่ดีทิ้งออกไป เหล่านีเ้ ปน็ ต้น ก็จะเป็นผลให้เป็นคนดี แต่ถ้าไม่เป็นตามนี้ ก็เป็นคนชั่ว ดังที่ขงจื๊อ
กล่าวว่า
“การไม่อบรมตนใหม้ คี ณุ ธรรมหนึง่ การไมเ่ สาะแสวงหาความรหู้ นงึ่ ประสบความชอบธรรมแล้วไม่อนุวัตรตาม
ความชอบธรรมนั้นหนึง่ การไม่สละความผดิ ดว้ ยการปรบั ปรงุ ตนใหมห่ นงึ่ ทง้ั หมดนเี้ ป็นความทกุ ข์ของฉนั ”

ขงจื๊อ
ขงจื๊อ ภาษาไทยมีเรียกกันหลายช่ือ เช่น ขงฟู่จื่อ ขงบรมครูจื่อ ข่งชิว) (ตามธรรมเนียม, 8 กันยายน 551 –
479 ปีก่อน ค.ศ.) 8 ปีก่อนพุทธศักราช หรือ วันที่ 27 เดือน 8 (八月廿七日) ตามปฏิทินทางจนั ทรคติของจีน ชื่อ
รอง จ้งหนี เป็นนักคิดและนักปรัชญาสังคมที่มีช่ือเสียงของจีน คำสอนของขงจื๊อนั้น ฝังรากอิทธิพลลึกลงไปในสังคม
เอเชียตะวันออกมาเป็นเวลาถึง 20 ศตวรรษ หลักปรัชญาของขงจื๊อน้ันเนน้ เกีย่ วกบั ศีลธรรมสว่ นตัว และศีลธรรมใน
การปกครอง ความถูกตอ้ งเหมาะสมของความสัมพนั ธใ์ นสงั คม และ ความยตุ ธิ รรมและบริสทุ ธ์ิใจ
บรรพชนของขงจ๊ือสืบเชอ้ื สายจากเจา้ ผคู้ รองแคว้นซง่ (宋国)ซงึ่ เปน็ หน่งึ ในสายราชนกิ ุลแห่งราชวงศ์ซาง
(商朝)บรรพชนรนุ่ ต่อมาไดร้ ับราชการเป็นขนุ นางชั้นสงู ของแควน้ ซง่ มาหลายช่ัวคน แตด่ ้วยเหตคุ วามวุ่นวายทาง
การเมอื งจึงลภ้ี ยั มาอย่ทู แี่ คว้นหลู่(鲁国)บิดาของขงจ๊อื มนี ามว่า ข่งเหอ(孔纥)หรือเรยี กอกี ชอ่ื หน่ึงว่า ซู
เหลยี งเหอ(叔梁纥)เปน็ ผู้มกี ารศกึ ษาและชำนาญยุทธร์ ูปรา่ งสูงใหญก่ ำยำ รับราชการในแคว้นหลู่ และเคยเข้า
รว่ มกบั กองทัพปกปอ้ งบ้านเมืองจาการรุกรานของตา่ งแว่นแคว้นถึง 2 ครัง้ เขามีภรรยา 3 คน ภรรยาคนแรกให้กำเนดิ
บุตรสาว 9 คน สว่ นภรรยาคนทสี่ อง ถึงแม้จะใหก้ ำเนิดบตุ รชายคนแรก แตก่ ็พกิ ารทางขาตั้งแต่ยังเดก็ ซูเหลียงเหอใน

29

วัย 66 ปีจึงตอ้ งแตง่ เหยียนเจงิ ไจ้(颜征在 บางตำราเขียนว่า 颜征) เป็นภรรยาคนที่สาม เพื่อมีทายาทสบื
สกุลอย่างสมบูรณ์

เมง่ จอื๊ หรอื ในทางตะวันตกรู้จกั ในช่ือ เมนเชียส (Mencius) ปเี กดิ ท่ไี ด้รับการยอมรับท่สี ุดคอื ประมาณ 372 -
289 กอ่ นครสิ ตกาล หรืออาจราว 385 - 303/302 ก่อนคริสตกาล) เป็นนกั ปรชั ญาชาวจีน เปน็ คนเมอื งจูทางตอนใต้

ของมณฑลชานตง เมง่ จ๊อื ได้รบั ถ่ายทอดแนวความคดิ ของขงจื๊อมาจากหลานชายของขงจ๊ือ
เอง จึงถือว่าเป็นลูกศิษย์ของขงจื๊อคนหนึ่งเม่งจื๊อชอบเดินทางออกสั่งสอนหลักความคิด
ของเขาและก่อนทเี่ ขาจะลาออกจากราชการ เขาแต่งหนังสือขึน้ รวม 7 เล่ม เปน็ บันทึกคำ
สนทนาโต้ตอบเกี่ยวกับหลักปรัชญาของเขา มีการรวมรวบเข้าเป็น 4 เล่มใหญ่ และได้
กลายเปน็ รากฐานการศกึ ษาหลักปรชั ญาของเมง่ จอ๊ื ในเวลาต่อมาแนวคิดของเมง่ จ๊อื กล่าว
ว่า "โดยธรรมชาตแิ ล้ว มนษุ ยท์ ุกคนมพี ื้นฐานเปน็ คนดมี าแต่กำเนิด
ส่งิ แวดล้อมที่ไมด่ ตี ่าง ๆ ทำให้คนเราเปล่ยี นแปลงไป" เมง่ จือ๊ เช่ือว่า ความดที ง้ั หมดสามารถ
ต่อเติมให้กบั มนุษย์ไดด้ ้วยการศึกษาศิลปะวิทยาการตา่ ง ๆ การศึกษาสามารถช่วยแกไ้ ข
ปัญหาต่าง ๆ ทีเ่ กิดขนึ้ ได้ ไม่ไดเ้ กิดจากประชาชนเป็นผู้กระทำ แตเ่ กดิ จากบรรดาผปู้ กครองทไ่ี ม่มีการศึกษา
ฉะนน้ั ผปู้ กครองควรเปน็ ปรชั ญาหรอื ไมก่ ็ควรให้นักปรัชญามาเปน็ ปกครอง ในกรณีทีน่ กั ปกครองไมม่ ี
คุณสมบัติเช่นนน้ั ในขอ้ นีเ้ ขาเน้นว่าชนช้นั บริหารรัฐบาลควรเปน็ ผทู้ ่ีมีการศกึ ษา ผู้มกี ารศกึ ษาจะสามาร
เข้าใจถึงความต้องการของประชาชนได้ดีกว่าแนวคิดในส่วนนี้ของเม่งจื๊อตรงกันข้ามกับศิษย์ของขงจื๊ออีกคน
คือ ซุนจื๊อ โดยสิ้นเชิง ซุนจื๊อเหน็ ว่ามนุษย์มีธรรมชาติที่ชัว่ รา้ ยเป็นพื้นฐาน เพื่อที่จะขจัดความช่ัวร้ายน้ั น ต้องมีการ
ควบคุมและอบรมสงั่ สอนใหย้ ดึ มั่นคุณธรรมอย่างจริงจงั นอกจากน้ใี นสว่ นทเ่ี กยี่ วกบั ชนชน้ั ในสังคม เมง่ จ๊ือสนับสนุน
ให้มชี นช้ัน คอื ผูป้ กครองและผู้ถกู ปกครอง เม่งจื๊อกลา่ วว่า "ทงั้ 2 ชนช้ัน มีหนา้ ท่ีท่จี ะตอ้ งสนับสนุนซึง่ กันและกัน ถ้า
ขาดผูห้ น่งึ ผใู้ ดไป สังคมกจ็ ะไมส่ มบรู ณ"์

ปรชั ญาญ่ีปนุ่ ไดร้ บั การผสมผสานระหวา่ งศาสนาชนิ โตของชนพ้นื เมอื งกบั พทุ ธศาสนาและลัทธขิ งจ่ือจาก
ภาคพ้นื ทวปี ซ่งึ ได้รับอทิ ธิพลอย่างมากจากทง้ั ปรัชญาจนี และปรชั ญาอินเดีย เชน่ เดียวกับ สำนกั มิโทะงะขุ และ
เซน ปัจจบุ ันปรัชญาญี่ป่นุ สมยั ใหมส่ ่วนมากไดร้ บั อทิ ธพิ ลมาจากปรชั ญาตะวนั ตก

ธรรมจักร (วงลอ้ พทุ ธศาสนา)
หมวดหม:ู่ สญั ลักษณท์ างพุทธศาสนา

30

1.2 ความหมายของปรชั ญา

วลิ เลีย่ ม อี ฮอกกิง (William E. Hocking) ปรชั ญาเปน็ เร่ืองของเหตผุ ลทีก่ ว้างขวางออกไปเท่าทจ่ี ะ
เป็นไปได้ ปรัชญาเปน็ เรือ่ งท่ีต้องรวู้ ่าอะไรพิสจู น์ได้และพิสจู นไ์ มไ่ ด้ และปรัชญาเป็นเร่ืองทจ่ี ะชใ้ี หเ้ หน็ ถงึ ขอบเขตของ
ความรู้

จอรจ์ เอฟ เนลเลอร์ (George F. Kneller) ปรชั ญาคอื แนวคิดที่เชือ่ วา่ ดีทีส่ ุด ซงึ่ จะได้จากการคิดวเิ คราะห์
อยา่ งลึกซง้ึ ทีจ่ ะนำมาเป็นแนวทางในการดำเนนิ ชีวติ ของบคุ คล

ความหมายของปรัชญา
ความหมายของคำว่าปรัชญาแบ่งออกเปน็ 2 ความหมาย คอื ความหมายของปรชั ญาตามรปู ศพั ท์ และ
ความหมายของปรชั ญาตามทัศนะของนกั ปรชั ญา ซงึ่ มรี ายละเอยี ดดังตอ่ ไปน้ี
1. ความหมายของปรัชญาตามรูปศัพท์ ความหมายของปรัชญาตามรูปศัพท์ เป็นการให้ความหมายตรงตาม
คำศัพท์ ได้มีผู้ให้ความ หมายของปรชั ญาดังนี้ (พิมพ์พรรณ เทพสุเมธานนท์และคณะ (2542 :1-3) ได้ให้ความหมาย
ของคำว่าปรัชญาเอาไว้ว่า ปรัชญา เป็นภาษาไทยที่แปลมาจากภาษาอังกฤษว่า Philosophy ซึ่งมีรากศัพท์มาจาก
ภาษากรีก แปลว่า ความรักในความรู้รักในความฉลาด หรือรกั ในปัญญา นั่นย่อมแสดงให้เปน็ ว่า หัวใจของปรัชญาคือ
รกั ใน ความรู้น่นั เอง ดังน้ันคนทไ่ี ด้ช่ือวา่ เปน็ นกั ปรชั ญากค็ ือคนที่รกั ในการแสวงหาความรูแ้ ละ (ท่ีเรียกตวั เองว่า ผู้รัก
ในความรูห้ รือนักปรชั ญาเป็นคนแรกก็คอื นักคดิ ชาวกรีกช่ือ Pythagoras (สวามีสัตยานันทบรุ ี(2514 : 3-5) ได้กล่าว
เอาไว้วา่ คำวา่ ปรชั ญา ตามความหมายในภาษา ไทยนนั้ เปน็ คำทพ่ี ระเจา้ วรวงศเ์ ธอกรมหมนื่ นราธิปพงศ์ประพันธ์ได้
ทรงบัญญัติขึ้นเพื่อใช้แทนคำภาษาอังกฤษ ที่ว่า Philosophy ซึ่งตรงกับภาษาบาลีว่า ปัญญา หมายถึง ความ
ปราดเปรื่อง หรือความรู้อย่างลึกซึ้ง และ คำว่า ปรัชญา เป็นคำบาลีสันสกฤต มาจากคำว่า ปร หมายถึง พิเศษ
ประเสรฐิ ดเี ลิศ กับคำว่า ชญา หมาย ถงึ รเู้ ข้าใจ ความรู้ดงั นั้นคำว่าปรัชญาจงึ หมายถึง ความรู้พิเศษท่ีไม่มีจุดส้ินสุด
ไมม่ อี วสานแหง่ ความรใู้ น สรรพส่ิงทว่ั ไป เปน็ ความรู้ที่เกิดข้ึนโดยไมม่ ีข้อสงสัยอันเป็นความรอู้ ันประเสริฐอย่างแทจ้ รงิ
2. ความหมายของปรชั ญาตามทศั นะของนกั ปรัชญา ความหมายของปรชั ญาตามทัศนะของนักปรัชญาน้ัน ได้
มีผใู้ ห้ความหมายเอาไว้ดงั ตอ่ ไปนี้ 342 Vol.4 No.2 July – December 2015 Academic Journal of Mahamakut
Buddhist University Roi Et Campus (ภิญโญ สาธร (2525 : 1) ได้ให้ความหมายของปรัชญาเอาไว้ว่า ปรัชญา
หมายถึงศาสตร์ที่ว่า ด้วยความรู้ทั้งปวงของมนุษย์จึงเน้นที่ปรากฏการณ์ที่เป็นจริง สัจธรรม หรือสุนทรียภาพ ที่
ประกอบด้วย ตรรกวิทยาศีลธรรม จริยธรรม ค่านิยม และพฤติกรรมของมวลมนุษย์ซึ่งศาสตร์ชนิดนี้มุ่งแสวงหา
หลักการ และกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่สามารถนำมาจัดระเบียบของความรู้ทั้งปวงในจักรวาล (Kneller (1964 : 1-5) ได้
กล่าวไว้วา่ ปรัชญาคอื แนวทางท่ีเชอ่ื วา่ ดีที่สดุ ซ่ึงจะได้จากการคดิ วเิ คราะห์อยา่ งลึกซง้ึ และนำมาเป็นแนวทางในการ
ดำเนินชีวิตของบุคคล จากความหมายของปรชั ญาทั้ง2ความหมายดังที่กล่าวมานี้สามารถสรุปได้ว่า ปรัชญาคือแนว

31

ความคิดที่ลกึ ซ้งึ เพ่ือคน้ หาความรู้ทเ่ี ก่ียวกับความเปน็ จรงิ สงู สดุ สำหรบั มนุษย์และเป็นกระบวนการทีป่ ระกอบ ดว้ ยการ
แสวงหาความรูแ้ ละเปน็ ผลแห่งการแสวงหาความร้ทู ง้ั หลาย

ความหมายของปรชั ญาการศึกษา ปรัชญาและการศึกษามคี วามสัมพันธ์กันเป็นอย่างยง่ิ เพราะมกี ารประยุกต์
หลกั ปรชั ญามาใช้ในการ ศกึ ษา เรยี กว่าปรชั ญาการศกึ ษา มผี ู้ใหค้ วามหมายของปรัชญาการศกึ ษาไว้ดงั ต่อไปนี้ (จิตร
กรตง้ั เกษมสุข(2525:22) ไดใ้ หค้ วามหมายของปรชั ญาการศกึ ษาเอาไวว้ า่ ปรชั ญาการศกึ ษา คอื การนำเอาเน้อื หาและ
วธิ ีการของปรัชญามาประยุกต์ใช้ในการจดั การศกึ ษา โดยจะอาศัยประโยชนจ์ าก เนื้อหาและวธิ กี ารของปรชั ญาในการ
กำหนดแผนอยา่ งมรี ะบบและอยา่ งสมเหตุสมผสาน

สรุป ความเปน็ มาและความหมายของปรัชญาการศกึ ษา
ความแตกต่างระหว่างปรัชญาตะวันออก – ตะวันตก

1. ปรชั ญาตะวนั ตก หมายถึงความรเู้ รื่องหลกั คอื หลักเก่ยี วกบั โลกและชวี ติ สว่ นปรชั ญาตะวันออก
หมายถึงความรอู้ ันประเสรฐิ คอื ความรู้ทท่ี ำใหห้ ลดุ พน้ จากโลกยี ะ ซง่ึ ปรัชญาตะวันออกปรัชญาตะวนั ออก เป็นปรชั ญา
ที่เกดิ ขน้ึ แถบตะวนั ออกทัง้ หมด เชน่ ปรชั ญาอินเดยี ปรัชญาจนี ปรัชญาญ่ีปนุ่ เปน็ ตน้

2. ปรัชญาตะวันตก เปน็ การพยายามหาทางทำลายความสงสัย สว่ นปรชั ญาตะวันออก เปน็ ความรู้
หลงั จากหมดความสงสัยแล้ว

2. ปรัชญาทางการศกึ ษา

2.1 สาขาของปรชั ญา
สาขาปรัชญา แบง่ ออกเปน็ 3 สาขา คือ

2.1.1. อภิปรชั ญา (Metaphysics) ปรอื ภววิทยา (Onthology) เป็นการศกึ ษาเกีย่ วกบั ความจริง
(Reality) เพอื่ คน้ หาความจริงอันเปน็ ทสี่ งู สุด (Ultimate reality) ไดแ้ กค่ วามจรงิ ทเ่ี กย่ี วกับธรรมชาติ จติ วญิ ญาณ
รวมท้งั เรอื่ งของพระเจา้ อนั เป็นบอ่ เกิดของศาสนา

2.1.2. ญาณวทิ ยา (Epistemology) เป็นการศกึ ษาเกย่ี วกับเรือ่ งความรู้ (Knowledge) ศกึ ษา
ธรรมชาติของความรู้ บอ่ เกดิ ของความรู้ ขอบเขตของความรู้ ซ่ึงความรอู้ าจจะได้มาจากแหลง่ ต่างๆเชน่ จากพระเจา้
ประธานมาซ่งึ ปรากฏอยู่ในคมั ภรี ข์ องศาสนาต่างๆจากผูเ้ ชีย่ วชาญท่ที ำการศกึ ษาค้นควา้ ปรากฏในตำรา เกิดจากการ
หยง่ั รเู้ ป็นความรทู้ เ่ี กดิ ขึน้ มาในทันทที ันใด เชน่ พระพทุ ธเจา้ ตรสั รูห้ รอื เปน็ ความรทู้ เ่ี กิดจากการพิจารณาเหตุและผล
หรือได้จากการสังเกต

2.1.3. คณุ วทิ ยา (Axiology) ศึกษาเรอ่ื งราวเก่ยี วกบั คุณคา่ หรอื คา่ นิยม (Value) เชน่ คุณค่า
เกีย่ วกบั ความดแี ละความงาม มีอะไรเป็นเกณฑใ์ นการพจิ ารณาวา่ อยา่ งไรดี อย่างไรงาม แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท
คอื

32

1) จริยศาสตร์ (Ethics) ไดแ้ กค่ ณุ ค่าแหง่ ความประพฤติ หลักแห่งความดี ความถกู ตอ้ ง เปน็
คุณคา่ แห่งจรยิ ธรรม เปน็ คณุ ค่าภายใน

2) สนุ ทรียศาสตร์ (Anesthetics) ได้แกค่ ณุ ค่าความงามทางศิลปะ ซ่งึ สมั พันธก์ บั จติ นาการ
และความคดิ สร้างสรรค์ ซง่ึ ตัดสินได้ยากและเป็นอัตนยั เป็นคุณค่าภายนอก ปรชั ญาพื้นฐาน ปรชั ญาพื้นฐาน
หรอื ปรัชญาทัว่ ไป เม่ือพจิ ารณาในส่วนท่เี กยี่ วข้องกบั การศกึ ษามีลทั ธิ ไดแ้ ก่

2.2 ปรัชญาพืน้ ฐาน
2.2.1 ลัทธิจิตนยิ ม (Idialism) เป็นลทั ธปิ รัชญาทีเ่ กา่ แกท่ ่สี ุดในบรรดาปรัชญาตา่ งๆมกี ำเนิดพร้อม

กับการเริม่ ต้นของปรัชญา ปรัชญาลัทธนิ ี้ถอื เร่ืองจติ เป็นสิง่ สำคัญ มีความเชื่อว่าสิง่ ที่เป็นจริงสูงสุดนั้นไม่ใช่วตั ถหุ รือ
ตัวตน แตเ่ ป็นเรอื่ งของความคิดซึง่ อย่ใู นจติ (Mine) ส่ิงท่ีเราเหน็ หรอื จับตอ้ งไดน้ นั้ ยังไม่ความจรงิ ท่ีแท้ความจริงท่ีแท้
จะมีอย่ใู นโลกของจิต (The world of mind) เท่านน้ั ผู้ท่ไี ด้ชอื่ ว่าเปน็ บิดาของแนวความคดิ ลัทธปิ รัชญานี้ คือ พลาโต
(Plato) นักปรัชญาเมธีชาวกรีก ซึ่งมีความเชื่อว่าการศึกษา คือการพัฒนาจิตใจมากกว่าอย่างอื่น ถ้าพิจารณาลัทธิ
ปรชั ญาลัทธจิ ิตนิยมในแงส่ าขาของปรัชญา แตล่ ะสาขาจะได้ดงั น้ี

(1) อภิปรัชญา ถือว่าเป็นจริงสูงสุดเป็นนามธรรมมากกว่ารูปธรรม ต้องพัฒนาคนในด้านจิตใจ
มากกวา่ วัตถุ

(2) ญาณวทิ ยา ถอื วา่ ความรูเ้ กิดจากความคดิ หาเหตผุ ล และการวเิ คราะห์แล้วสร้างเป็นความคิดใน
จติ ใจ ส่วนความร้ทู ่ไี ดจ้ ากการสัมผสั ด้วยประสาททง้ั 5 ไม่ใช่ความรู้ท่แี ทจ้ รงิ

(3) คุณวิทยา ถือว่าคุณคา่ ความดีความงามมีลกั ษณะตายตัวคงทนถาวรไมเ่ ปลยี่ นแปลง ในดา้ นจริย
ศาสตร์ ศีลธรรม จริยธรรมจะไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนสุนทรียศาสตร์นั้น การถ่ายทอดความงาม เกิดจากความคิด
สร้างสรรค์และอุดมการณ์อันสูงสง่ สรุปว่า ปรัชญาลัทธิจิตนิยมเป็นการพฒั นาด้านจติ ใจ ส่งเสริมการพฒั นาทางดา้ น
คณุ ธรรม จรยิ ธรรม ศลิ ปะตา่ งๆ การจดั การศกึ ษาตามแนวจติ นิยมจงึ เน้นในด้านอักษรศาสตรแ์ ละศิลปะศาสตร์ เป็นผู้
มคี วามรอบรู้โดยเฉพาะตำรา การเรยี นการสอนมกั จะใชห้ อ้ งสมดุ เป็นแหลง่ คน้ คว้าและถ่ายทอดเน้ือหาวิชาสืบต่อกัน
ไป

2.2.2 ลัทธิวัตถุนิยม หรือสัจนิยม (Realism) เป็นลัทธิปรัชญาที่มีความเช่ือในโลกแห่งวัตถุ (The
world of things) มีความเชื่อในแสวงหาความจริงโดยจิตตามแนวคิดของจิตนิยมอย่างเดียวไม่พอ ต้องพิจารณา
ข้อเทจ็ จริงตามธรรมชาติดว้ ย ความจรงิ ทแี่ ทค้ อื วัตถุทปี่ รากฏตอ่ สายตา สามารถสมั ผสั ได้ ส่ิงเหล่าน้ีเป็นพื้นฐานของ
การศกึ ษาทางด้านวทิ ยาศาสตร์ บดิ าของลัทธิน้คี อื อรสิ โตเติล (Aristotle) นักปราชญ์ชาวกรกี ลทั ธปิ รัชญาสาขานเี้ ป็น
ต้นกำเนิดของการศึกษาทางงดา้ นวิทยาศาสตร์ ถ้าพิจารณาปรัชญาลทั ธิวัตถุนิยมในแง่สาขาของปรัชญา จะได้ดังน้ี

(1) อภปิ รชั ญามีความเช่ือว่า ความจรงิ มาจากธรรมชาติ ซึ่งประกอบสง่ิ ทเี่ ป็นวตั ถสุ ามารถสัมผัสจับ
ตอ้ งได้ และพิสจู นไ์ ดด้ ว้ ยวธิ ีวิทยาศาสตร์

33

(2) ญาณวิทยา เชื่อว่าธรรมชาติเปน็ บ่อเกิดของความรู้ทัง้ มวลความรู้ได้มาจากการได้เห็นได้สมั ผสั
ดว้ ยประสาทสมั ผัส ถา้ สงั เกตไม่ไดม้ องไม่เหน็ ก็ไมเ่ หน็ ว่าเปน็ ความรู้ที่แท้จริง

(3) คุณวทิ ยา เชือ่ วา่ ธรรมชาตสิ รา้ งทุกส่งิ ทุกอย่างมาดีแลว้ ในดา้ นจรยิ ศาสตร์ก็ควรประพฤติปฏิบัติ
ตามกฎธรรมชาติ กฎธรรมชาติก็คือศีลธรรมจรรยา ขนบธรรมเนียมประเพณี ซึ่งใช้ควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ ส่วน
สุนทรศี าสตร์เป็นเรอ่ื งของความงดงามตามธรรมชาตสิ ะทอ้ นความงามตามธรรมชาตอิ อกมา สรปุ วา่ ปรชั ญาลัทธิจิต
นิยม เน้นความเป็นจริงตามธรรมชาติ การศึกษาหาความจริงได้จากการสังเกต สัมผัสจบั ต้อง และเชื่อในกฎเกณฑ์
ของธรรมชาติ การศกึ ษาในแนวลัทธจิ ิตนยิ มเนน้ วิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์ เปน็ ตน้ กำเนดิ ของวชิ าวิทยาศาสตร์

2.2.3 ลัทธิประสบการณน์ ยิ ม (Experimentalism) เป็นปรัชญาทมี่ ีชอ่ื อีกอย่างหนง่ึ ว่า ปฏบิ ัตินิยม
(Pragmatism) ปรัชญากลุ่มนีม้ ีความสนใจในโลกแห่งประสบการณ์ ฝ่ายวัตถุนิยมจะเชื่อในความเป็นจริงเฉพาะส่ิงท่ี
มนษุ ยพ์ บเห็นได้เปน็ ธรรมชาติที่ปราศจากการปรงุ แต่งเปน็ ธรรมชาตบิ รสิ ุทธิ์ สว่ นประสบการณน์ ิยมมไิ ด้หมายถึงสิ่งที่
เราพบเหน็ ในชีวติ ประจำวันเทา่ น้นั แต่หมายรวมถงึ สงิ่ ท่มี นษุ ย์กระทำ คดิ และร้สู ึก รวมถงึ การคดิ อย่างใครค่ รวญและ
การลงมือกระทำ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในผู้กระทำ กระบวนการทั้งหมดที่เกิดขึ้นครบถ้วนแล้ว จึงเรียกว่าเปน็
ประสบการณ์ ความเปน็ จริงหรือประสบการณ์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามเง่ือนไขแห่งประสบการณ์ บุคคลท่เี ป็นผู้นำ
ของความคิดนี้ คือ วลิ เลียม เจมส์(William, James) และจอหน์ ดวิ อ้ิ (John Dewey) ชาวอเมริกนั วิลเลียม เจมส์ มี
ความเหน็ วา่ ประสบการณ์และการปฏบิ ตั ิเป็นส่งิ สำคัญส่วนจอห์น ดิวอ้ิ เช่อื ว่ามนษุ ยจ์ ะไดร้ ับความรู้เก่ียวกับสิ่งต่างๆ
จากประสบการณ์เท่านั้น ถ้าพิจารณาปรัชญาลทั ธปิ ระสบการณน์ ิยมในแงข่ องสาขาของปรชั ญาจะได้ดงั น้ี

(1) อภปิ รัชญา เชื่อว่าความจริงเปน็ โลกแหง่ ประสบการณ์ สงิ่ ใดทท่ี ำให้สามารถไดร้ ับประสบการณ์ได้
ส่งิ น้นั คือความจรงิ

(2) ญาณวิทยา เชื่อว่าความรู้จะเกิดขึ้นไดก้ ็ดว้ ยการลงมือปฏิบตั ิ กระบวนการแสวงหาความรูก้ ็ดว้ ย
วิธกี ารทางวิทยาศาสตร์ (Scientific method)

(3) คณุ วิทยา เชื่อว่าความนยิ มจะเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางด้านศลี ธรรม จรรยาเป็นสิ่งทีม่ นษุ ย์
สรา้ งและกำหนดขึน้ มาเอง และสามารถเปลยี่ นแปลงได้ สว่ นสนุ ทรียศาสตร์ เป็นเรือ่ งของความต้องการและรสนยิ มที่
คนสว่ นใหญ่ยอมรับกัน สรปุ ว่า ปรัชญาลทั ธปิ ระสบการณน์ ิยม เน้นให้คนอาศยั ประสบการณ์ในการแสวงหาความเปน็
จริงและความรู้ตา่ ง ๆ ได้มาจากประสบการณ์ การศึกษาในแนวลัทธปิ รัชญานี้เนน้ การลงมือกระทำเพ่ือหาความจรงิ
ด้วยคำตอบของตนเอง

2.2.4 ลัทธิอัตถิภาวะนิยม (Existentialism) เป็นลัทธิปรัชญาที่เกิดหลังสุด มีแนวความคิดท่ี
นา่ สนใจและท้าทายต่อการแสวงหาของนักปรัชญาในปจั จุบนั (กีรติ บุญเจอื 2522) Existentialism มคี วามหมายตาม
ศัพท์ คอื Exist แปลว่าการมอี ยู่ เชน่ ปัจจบุ ัน มมี นุษยอ์ ยู่กเ็ รียกว่า การมีมนษุ ยอ์ ยหู่ รอื Exist ส่วนไดโนเสาร์ไม่มีแล้ว
ก็เรียกว่ามันไม่ Exist คำว่าExistentialism จึงหมายความว่า มีความเชื่อในสิ่งที่มีอยูจ่ ริงๆ เท่านั้น (The world of
existing)หลักสำคัญปรัชญาลัทธินี้มีอยู่ว่า การมีอยู่ของมนุษย์มีมาก่อนลักษณะของมนุษย์(Existence precedes
essence) ซึ่งความเช่ือดังกล่าวขัดกับหลกั ศาสนาคริสต์ ซึ่งมีแนวความคิดว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์และสรรพสิ่งใน

34

โลก ก่อนที่จะลงมือสรา้ งมนษุ ย์พระเจา้ มีความคิดอยู่แลว้ ว่ามนุษย์ควรจะเปน็ อย่างไร ควรจะมลี ักษณะอยา่ งไร ควรจะ
ประพฤตปิ ฏิบัตอิ ย่างไร ทัง้ หมดเปน็ เนือ้ หาหรือสาระ ลกั ษณะของมนษุ ย์มมี ากอ่ นการเกิดของมนุษย์ มนษุ ยจ์ ะตอ้ งอยู่
ในภาวะจำยอมที่จะต้องปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า หมดเสรภี าพที่จะเลือกกระทำตามความต้องการของ
ตนเองปรัชญาลัทธิอัตถิภาวะนิยมไม่ยอมรับแนวคิดดังกล่าว มีความเชื่อเบื้องต้นว่า มนุษย์เกิดมาพรอ้ มกับความว่าง
เปล่า ไมม่ ลี ักษณะใด ๆ ติดตัวมา ทกุ คนมหี น้าท่ีเลอื กลกั ษณะหรอื สาระต่างๆใหก้ ับตัวเอง การมอี ยขู่ องมนุษย์ (เกิด)
จึงมีมาก่อนลักษณะของมนุษย์หลกั สำคัญของปรัชญานี้จะให้ความสำคัญแก่มนษุ ยม์ ากที่สดุ มนุษย์มีเสรีภาพในการ
กระทำสิ่งต่างๆได้ตามความพอใจและจะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เลือกถ้าพิจารณาลัทธิอัตถิภาวนิยมในแง่สาขาของ
ปรัชญาจะได้ดังนี้

(1) อภปิ รัชญา ความจรงิ เป็นอยา่ งไร ข้นึ อย่กู ับแตล่ ะบคุ คลจะพิจารณา และกำหนดวา่ อะไร คอื
ความจริง

(2) ญาณวิทยา การแสวงหาความรู้ขนึ้ อยู่กบั แต่ละบุคคลทจ่ี ะเลือกสรรเพือ่ ให้สามารถดำรงชวี ติ อยู่
ได้

(3) คุณวทิ ยา ทกุ คนมเี สรีภาพท่ีจะเลอื กคา่ นิยมท่ีตนเองพอใจดว้ ยความสมัครใจส่วนความงามน้ัน
บคุ คลเป็นผเู้ ลอื กและกำหนดเอง โดยไมจ่ ำเป็นจะต้องใหผ้ ูอ้ นื่ เข้าใจ สรปุ ว่า ปรัชญาลัทธอิ ตั ถภิ าวนิยม เป็นปรชั ญาที่
ให้ความสำคญั แก่มนุษยว์ ่ามคี วามสำคัญสงู สุด มีความเปน็ ตวั ของตวั เอง สามารถเลือกกระทำสิ่งใดๆไดต้ ามความพอใจ
แตจ่ ะตอ้ งรับผิดชอบในสง่ิ ทกี่ ระทำ การศกึ ษาในแนวลัทธปิ รชั ญานี้จะใหผ้ ู้เรียนมีอสิ ระในการแสวงหาความรู้ เลอื กสงิ่
ต่างๆไดอ้ ยา่ งเสรี มกี ารกำหนดระเบยี บกฎเกณฑ์ขึ้นมาเอง แตต่ อ้ งรับผิดชอบตอ่ ตนเองและสงั คม

สรุป ความเป็นมาและความหมายของปรชั ญาการศึกษา

อภปิ รัชญา 1.ลัทธิจติ นยิ ม 2.ลัทธวิ ัตถนุ ิยม 3.ลทั ธปิ ระสบการณ์ 4.ลัทธิอัตถภิ าวนิยม
นยิ ม
ตอ้ งพัฒนาคนในด้าน มีความเชอื่ วา่ ความจรงิ เชื่อว่าความจรงิ เปน็ ความจรงิ เป็นอย่างไร
จติ ใจมากกว่าวตั ถุ ยดึ มาจากธรรมชาติ ซงึ่ โลกแหง่ ประสบการณ์ ขึ้นอยู่กับแตล่ ะบคุ คล
นามธรรมกวา่ รูปธรรม ประกอบส่ิงทีเ่ ปน็ วตั ถุ สง่ิ ใดท่ีทำใหส้ ามารถ จะพจิ ารณา และ
สามารถสมั ผัสจับตอ้ งได้ ได้รบั ประสบการณไ์ ด้ กำหนดว่าอะไร คอื
และพิสจู น์ไดด้ ว้ ยวิธี สงิ่ น้ันคือความจริง ความจริง
วทิ ยาศาสตร์

35

ญาณวทิ ยา ความรู้เกิดจาก เชื่อว่าธรรมชาตเิ ป็นบอ่ เชอ่ื ว่าความรู้จะเกิดขน้ึ การแสวงหาความรู้
คุณวิทยา ขน้ึ อยูก่ ับแต่ละบุคคล
ความคดิ หาเหตผุ ล เกดิ ของความรทู้ ้ังมวล ได้ก็ด้วยการลงมอื ที่จะเลือกสรรเพอ่ื ให้
สามารถดำรงชีวิตอยู่
และการวเิ คราะห์แล้ว ความรไู้ ดม้ าจากการได้ ปฏบิ ตั ิ กระบวนการ ได้

สรา้ งเป็นความคิดใน เหน็ ได้สมั ผสั ด้วย แสวงหาความรกู้ ็ดว้ ย ทุกคนมเี สรีภาพทจ่ี ะ
เลอื กคา่ นิยมทต่ี นเอง
จิตใจ ส่วนความรู้ท่ไี ด้ ประสาทสมั ผสั ถา้ สงั เกต วธิ กี ารทาง พอใจด้วยความสมัคร
ใจส่วนความงามนนั้
จากการสัมผสั ดว้ ย ไมไ่ ดม้ องไมเ่ ห็น ก็ไม่เห็น วิทยาศาสตร์ บคุ คลจะเปน็ ผู้เลอื ก
และกำหนดเอง โดย
ประสาททงั้ 5 ไม่ใช่ วา่ เป็นความร้ทู ี่แทจ้ รงิ (Scientific method) ไม่จำเป็นจะต้องให้
ผอู้ ืน่ เขา้ ใจ
ความรทู้ ่แี ท้จริง (กรี ติ บญุ เจอื 2522
https://www.kroo
คุณคา่ ความดีความงาม เชือ่ วา่ ธรรมชาติสรา้ งทกุ เช่อื ว่าความนยิ มจะ bannok.com/1989
1)
มลี ักษณะตายตัวคงทน สง่ิ ทกุ อย่างมาดีแล้ว ใน เก่ยี วกับการประพฤติ

ถาวรไมเ่ ปลยี่ นแปลง ดา้ นจริยศาสตร์กค็ วร ปฏิบตั ิทางด้าน

(พลาโต Plato ประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ ามกฎ ศลี ธรรม จรรยาเปน็ สง่ิ

https://www.kroob ธรรมชาติ ท่ีมนษุ ยส์ ร้างและ

annok.com/19891) กฎธรรมชาตกิ ค็ อื กำหนดข้ึนมาเอง และ

ศีลธรรมจรรยา สามารถเปลย่ี นแปลง

ขนบธรรมเนยี มประเพณี ได้ ส่วนสุนทรยี ศาสตร์

ซ่งึ ใช้ควบคมุ พฤตกิ รรม เป็นเร่อื งของความ

มนษุ ย์ ส่วนสนุ ทรศี าสตร์ ต้องการและรสนิยมท่ี

เป็นเรอื่ งของความ คนสว่ นใหญ่ยอมรับกัน

งดงามตามธรรมชาติ (วลิ เลียม

สะท้อนความงามตาม เจมส์William, James

ธรรมชาตอิ อกมา และจอห์น ดวิ อ้ี John

(อรสิ โตเตลิ Aristotle Dewey

https://www.krooban https://www.kroob

nok.com/19891) annok.com/19891)

3. ทฤษฎีการศึกษา

ทฤษฎีการศกึ ษา 5 ทฤษฎใี หญ่ คอื ทฤษฎีการศกึ ษาฝา่ ยลทั ธิ ดังน้ี
1. นริ ันตรวาทนิยม (Perennialism)
2. ลทั ธิอตั ถภิ าวนยิ ม (Existentialism)

36

3. ลัทธพิ พิ ัฒนาการนิยม (Progressivism)
4. ลัทธสิ ารตั นิยม (Essentialism)
5. ลทั ธบิ ูรณาการนิยม (Reconstructionism)

3.1 ทฤษฎีการศึกษาแบบนิรันตรนยิ ม
ทฤษฎกี ารศกึ ษาแบบนิรนั ตรนยิ ม (Perennialism) หรอื นิรนั ตรวาท หรอื สัจจวิทยนยิ ม มีพน้ื ฐานความเชอ่ื
มาจากปรัชญากลมุ่ วัตถนุ ยิ มเชิงเหตผุ ล(Rational Realism) หรอื พวกโทมสั นิยมใหม่ (Neo – Thomism) ซงึ่ มีต้นคิด
มาจากอริสโตเติล(Aristotle) และ St. Thomas Aquinas ซึ่งเป็นปรัชญาสาขาที่สนใจเรื่องเหตุผลจนได้ชื่อว่า A
World of Reason กลุม่ นักปรชั ญาการศกึ ษาทส่ี นับสนุนทฤษฎีการศกึ ษาแบบนิรนั ตรนิยม ได้แก่ Sir Richard Living
Stone และ Robert Maynard Hutchins เปน็ ตน้

3.2 ทฤษฎีการศกึ ษาแบบลทั ธิอัตถิภาวนิยม
เป็นปรัชญาทีใ่ หค้ วามสำคัญกับองคป์ ระกอบทที่ ำใหม้ นษุ ยม์ คี วามสมบรู ณ์ยิง่ เพราะเชือ่ ว่ามนุษย์มใิ ชว่ ัตถุแต่มีชวี ิตจติ ใจ
มีความรู้สึก มคี วามตอ้ งการ องค์ประกอบทสี่ ำคัญของลทั ธินี้ก็ คือ “ความมีเสรีภาพ ความรสู้ ึกรับผิดชอบและการเลอื ก
ตัดสนิ ใจ”

ความเป็นมา สาเหตุทเี่ กิดปรชั ญาลัทธินข้ี ึ้นมากเ็ น่อื งจากความรสู้ กึ สญู เสยี ตวั เองไปจากระบบสงั คมปจั จบุ นั
การศึกษากเ็ ปน็ สว่ นหนงึ่ ท่ีทำลายความเป็นมนษุ ย์ด้วยการสร้างกรอบของสังคมทจ่ี ำกดั เสรภี าพของมนุษย์ ซึง่ จะเหน็ ได้
ว่าในแต่ละวันเราตอ้ งทำหนา้ ทไ่ี ปตามกรอบของสังคมท่ี วางไวจ้ นไมค่ ่อยจะมี เสรภี าพเปน็ ของตวั เองเลยฟรีด์ริค นิตเซ่
(Friedrich Nietzsche 1844-1900) นักปรัชญาชาวเยอรมัน ผู้มีอิทธิพลต่อความคิดของนักอัตถภิ าวนยิ มมากผู้หนึ่ง
จึงได้เสนอให้มนุษย์ออกมาจากกรอบของสังคมอย่างทรนง เขาเห็นว่าการเดินตามประเพณีเป็นวิธีการเลี่ยงความ
รบั ผิดชอบของคนขี้ขลาดและอ่อนแอนิตเช่ ได้แบ่งมนุษยอ์ อกเปน็ 2 พวก คอื

1) พวกยึดถอื ธรรมะแบบนาย (Master Morality) คอื พวกท่เี ขม้ แข็งม่ันใจตนเอง เป็นตวั ของตวั เองท้ัง
ในดา้ นของความคิดและการปฏบิ ตั ิ พวกนจี้ ะยึดถอื อดุ มการณ์ และปฏิบัติการภายหลงั ได้คดิ ตรึกตรอง แล้วจะไม่ยอม
เช่ือใครงา่ ย ๆ หากไร้เหตผุ ล

2) พวกยดึ ถือธรรมะแบบทาส (Slave Morality) คอื พวกทีไ่ มก่ ล้าเปน็ ตัวของตัวเองเพราะไมม่ นั่ ใจใน
การตัดสินใจของตวั เอง จึงมอบตวั เองใหก้ ับหลกั การทีค่ าดวา่ จะชว่ ยคุ้มครองหรอื ใหค้ วามปลอดภยั แกต่ นได้ พวกน้ีจะ
อ้างหลักการอนั เปน็ ทย่ี อมรบั ของสังคมเพือ่ ความสบายใจ

3.3 ทฤษฎกี ารศกึ ษาแบบลทั ธิพพิ ัฒนาการนิยม
ปรชั ญาการศึกษาพิพฒั นาการนิยม (Progressivism)
พพิ ฒั นาการ หรอื Progressive หมายถงึ การเปลีย่ นแปลงไม่หยดุ นิ่ง การจดั การศึกษาตอ้ งปรบั ปรงุ ใหส้ อดคล้องกบั

37

ความเปล่ียนแปลง จึงไดเ้ ชื่อว่า “แนวทางแหง่ ความมีอสิ ระเสรที จ่ี ะนำไปสู่การเปลยี่ นแปลง ปรบั ปรุง วฒั นธรรมและ
สงั คม”

3.4 ทฤษฎกี ารศกึ ษาแบบลัทธิสารตั นยิ ม
สารตั ถนยิ ม (Essentialism) มาจากภาษาละตนิ วา่ Essentia หมายถงึ สาระ หรือ เน้อื หาทีเ่ ป็นหลกั เปน็
แก่น เปน็ สงิ่ สำคญั ปรชั ญาสารัตถนยิ ม ในทางการศึกษา คือ ปรัชญาท่ียึดเนอื้ หา (Subject Matter) เปน็ หลักสำคัญ
ของการศึกษา และเน้ือหาทสี่ ำคญั นน้ั ก็ตอ้ งเน้นเน้อื หาทีไ่ ดม้ าจากมรดกทางวฒั นธรรม ที่ควรได้รับการถ่ายทอด
ตอ่ ไป สารตั ถนิยม เป็นการหล่อหลอมความคดิ ของจิตนิยม (Idealism) และ สัจนยิ ม (Realism) มีช่ือเรยี กอ่นื ๆ เช่น
สาระนิยม สารวาส ลทั ธิจติ นิยม หรือ คตินิยม (Idealism)เชอื่ วา่ ความเปน็ จริง (Reality) เป็นความนึกคิด (Mind)
และเปน็ จิตรภาพ (Idea) หรือ แบบ (From) ทมี่ อี ยใู่ นจินตนาการของเรา โลกแหง่ ความเป็นจรงิ อันสูงสุด (Ultimate
reality) จึงเปน็ โลกแหง่ จนิ ตนาการ (A world of mind) จากพืน้ ฐานความจรงิ นี้ จึงเช่อื ต่อไปวา่ การล่วงรคู้ วามจรงิ
ได้ต้องอาศยั จิต (Mind) อาศยั ปญั ญา(Intellect) เพื่อเขา้ ถงึ ความเป็นจรงิ ท่ีมอี ยู่ในจิตรภาพ(Idea) คอื เราใชป้ ญั ญา
และความคดิ ในการรบั รคู้ วามจรงิ เมอ่ื ปญั ญาลว่ งรสู้ ิง่ ทเ่ี ปน็ จรงิ แล้วกห็ มายถงึ เรามี“ความร”ู้ Plato เป็นบิดาแห่ง
ปรัชญาสาขาจิตนยิ ม ท่ีถือวา่ เกา่ แก่ทสี่ ุดและตรงกบั ปรัชญาจติ นยิ มใหม่ ในทัศนะของ Kant ซ่ึงเห็นวา่ การรนู้ น้ั จะ
เกิดขนึ้ ไดก้ ็ต่อเมอื่ มอี งคป์ ระกอบสำคญั 2 สว่ น คือ

1) การรบั รู้ (Percepts) คือ การไดร้ บั ข้อมลู เกย่ี วกบั วตั ถุต่าง ๆ มาโดยผสั สะ
2) การเขา้ ใจ หรอื สญั ชาน (Concept) คือ ความนกึ คดิ ทเ่ี กดิ ข้ึนในจิตของเรา ความเขา้ ใจนั้นต้อง
อาศยั การรบั รู้ในการปอ้ นขอ้ มลู ตา่ ง ๆจากผสั สะลัทธสิ จั นยิ ม หรอื วตั ถนุ ิยม (Realism)
เช่ือวา่ โลกแหง่ ความเป็นจรงิ คือโลกแหง่ วัตถุ คอื สิง่ ทัง้ หลายท่ีเหน็ ตามธรรมชาติน้นั เป็นจรงิ ในตัวของมันเอง
ไม่ขึน้ อยู่กับจติ และโลกแหง่ วตั ถุนจี้ ะเป็นโลกทเี่ ปดิ เผยความจรงิ และความรู้ใหแ้ กเ่ รา ด้วยเหตุน้ีการค้นหาความรู้ของ
วตั ถุนยิ มจงึ อาศยั การเฝา้ สังเกตอย่างมรี ะเบยี บAristotle ศษิ ยเ์ อกของ Plato เป็นบดิ าของ ลทั ธิสจั นยิ ม ปรชั ญา
การศึกษาสารัตถนยิ ม เกิดข้ึนจากปญั ญาชนรวมตัวกนั อย่างเปน็ ทางการภายใต้ช่ือ “คณะกรรมการสารัตถนิยมเพ่ือ
ความกา้ วหนา้ ของการศึกษาอเมรกิ นั ” ในประเทศสหรฐั อเมรกิ าในปีค.ศ.1930 สารตั ถนยิ ม มพี น้ื ฐานความคดิ เปน็
แบบอนรุ กั ษน์ ยิ ม (Conservativism) ซง่ึ สอดคลอ้ งกับสิง่ ที่ J.R. White กล่าวคือ เป็นความพยายามศกึ ษา ทำความ
เข้าใจและรักษาระเบยี บกฎเกณฑข์ องสรรพส่ิงในธรรมชาตมิ ากกวา่ ที่จะคิดเปลีย่ นแปลง สารัตถนิยม คดั ค้านความเชอ่ื
ของปรชั ญาการศึกษาประสบการณ์นยิ ม ซง่ึ เสนอแนะใหก้ ำจดั การเรียนการสอนแบบเก่า ทเ่ี น้นการทอ่ งจำและอำนาจ
ของครู ซ่ึงไมเ่ ป็นประชาธิปไตย และเรียกรอ้ งให้นักการศึกษา และประชาชนมาสนใจวธิ ีคิดแบบวิทยาศาสตร์ และมี
ความรับผิดชอบต่อสงั คม
นักการศกึ ษาคนสำคญั ไดแ้ ก่
1. William C. Bagley (1874 – 1946)
2. Frederick S. Breed (1876 – 1952)

38

3. Herman H. Horne (1874 – 1946)
4. Isaac L. Kandel
5. Tomas Briggs
William C. Bagley และคณะกรรมการสารตั ถนยิ ม เพอ่ื ความก้าวหนา้ ของการศกึ ษาอเมรกิ ัน ไดร้ ่วมกัน
เผยแพรแ่ นวคิดอยา่ งเขม้ แข็งในเร่อื ง หน้าทขี่ องการศึกษา คอื ปกป้องประชาธปิ ไตย ผดุงไวซ้ งึ่ เสรภี าพทางศาสนา
ทางการพูด การเขียน และการสมาคม โดยตอ้ งผลิตพลเมอื งที่มคี วามรับผิดชอบตอ่ สังคม และมีความรู้พ้ืนฐานที่ดสี า
รัตถนยิ มได้รับความสนใจมากหลงั สงครามโลกครงั้ ที่ 2

3.5 ลทั ธิบรู ณาการนยิ ม หรอื ปฏริ ูปนยิ ม (Reconstructionism)
ปฏิรปู หรอื Reconstruct หมายถึง การบรู ณะหรือการสร้างขึน้ ใหม่ ปฏริ ปู นยิ มจงึ มงุ่ การปฏิรปู สงั คม ขึน้ มา
ใหม่ เพราะถือว่าสังคมในปัจจบุ ันมปี ญั หา ทงั้ ด้านเศรษฐกจิ การเมอื ง สงั คม และศลิ ปวัฒนธรรมเป็นเหตุต้อง
แกป้ ญั หาอยเู่ รอื่ ย ๆ จึงตอ้ งหาทางสร้างค่านยิ มและแบบแผนของสังคมขึน้ ใหม่
ผนู้ ำของปฏริ ูปนิยมเรม่ิ จาก จอห์น ดยุ (John Dewey)ต้ังแต่ ค.ศ.1920 เสนอแนวคิดเพอ่ื ปฏริ ูปสงั คม แต่มิไดม้ ี
บทบาทมากนัก เพิ่งได้รบั ความนยิ มในปี ค.ศ.1930ขณะทส่ี หรฐั อเมรกิ าประสบปญั หาดา้ นภาวะเศรษฐกจิ การเมือง
และสงั คมตกต่ำอยา่ งมาก ปญั หาคนวา่ งงานเกิดความเหลือ่ มลำ้ ในสงั คม จงึ ไดเ้ กิดกล่มุ นักคดิ แนวหน้า นำโดย จอห์น
เอส เค้าทส์, ฮาโรลด์ รกั ก์ หาทางแก้ปญั หา โดยใช้ การศกึ ษาเปน็ เครอ่ื งมอื ในการปฏริ ูปสงั คม เศรษฐกจิ การเมือง
เลกิ ลม้ ระบบเกา่ ใหห้ มด หนั ไปมุ่งสรา้ งระบบสังคมขนึ้ มาใหม่แบบประชาธปิ ไตยอย่างแทจ้ ริง มีความเทา่ เทียมกนั มาก
ข้นึ ค.ศ.1950 ที โอดอร์ บราเมลด์ เปน็ ผู้ทำใหป้ รัชญาการศกึ ษาปฏริ ูปนิยมเปน็ ที่รจู้ ักกันอยา่ งกว้างขวาง เสนอ
ปรชั ญาการศกึ ษาเพ่ือปฏริ ปู สงั คมในหนงั สือหลายเล่ม ทำใหบ้ ราเมลด์ไดร้ ับการยกย่องว่าเป็น บดิ าของปรชั ญา
การศึกษาปฏริ ปู นิยม

ทฤษฎกี ารเรียนรู้ เบนจามิน บลมู (Benjamin Samuel Bloom)
Benjamin Samuel Bloom (February 21, 1913 – September 13, 1999) คื อ น ั ก ก า ร ศึ ก ษา ชาว
อเมริกันท่ีเช่ือวา่ การเรียนร้ทู ี่มปี ระสทิ ธภิ าพ จำเปน็ ตอ้ งอาศัยพฤตกิ รรมการเรยี นร้แู ละจติ วิทยาพื้นฐาน กล่าวถึงการ

จำแนกการเรียนรู้ตามทฤษฎีของบลูม ซึ่งแบ่งเป็น 3 ด้าน คือ ด้านพุทธิพิสัย ด้านจิต
พิสัย และด้านทักษะพิสัย โดยในแต่ละด้านจะมีการจำแนกระดับความสามารถจาก
ต่ำสุดไปถึงสูงสุด เช่น ด้านพุทธิพิสัย เริ่มจากความรู้ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การ
วเิ คราะห์ การสงั เคราะห์ การประเมนิ นอกจากน้ียงั นำเสนอระดบั ความสามารถทม่ี กี าร
ปรับปรุงใหม่ตามแนวคิดของ Anderson and Krathwohl (2001) เป็น การจำ
(Remembering) การเข้าใจ(Understanding) การประยุกต์ใช้(Applying) การ
วิเคราะห์ ( Analyzing) การประเมินผล ( Evaluating) และการสร้างสรรค์

39

(Creating) ด้านจิตพิสัย จำแนกเป็น การรับรู้, การตอบสนอง, การสร้างค่านิยม, การจัดระบบ และการสร้าง
คุณลกั ษณะจากค่านิยม ดา้ นทกั ษะพสิ ัย จำแนกเป็น ทักษะการเคล่ือนไหวของร่างกาย, ทกั ษะการเคลื่อนไหวอวัยวะ
สองส่วนหรือมากกว่าพรอ้ มๆกนั , ทักษะการสอ่ื สารโดยใช้ท่าทาง และทักษะการแสดงพฤตกิ รรมทางการพดู

ความรู้ท่ีเกิดจากความจำ (knowledge) ซ่ึงเปน็ ระดับลา่ งสุด : ความสามารถของสมองในการระลกึ ได้ จำ
ความรู้ สารสนเทศ แสดงรายการได้ ระบบุ อกชอ่ื ได้ ซ่ึงเป็นความจำระยะยาว

ความเขา้ ใจ (Comprehend) : ความสามารถของสมองในการแปลความหมายยกตัวอย่าง สรปุ อ้างองิ
การศึกษาของตวั เอง

การประยกุ ต์ (Application) : การนำไปใชเ้ ป็นกระบวนการท่ีได้เรียนรผู้ า่ นกระบวนการคดิ ในสถานการณ์
ใหม่ หรอื สถานการณ์ทคี่ ลา้ ยคลึงกนั

การวเิ คราะห์ ( Analysis) สามารถแกป้ ญั หา ตรวจสอบได้ : การแยกความร้อู อกเปน็ ส่วน ๆ โดยสามารถ
ให้เหตผุ ลวา่ ความรู้ส่วนย่อยทแี่ ยกแตล่ ะส่วน มคี วามเกี่ยวขอ้ งกบั โครงสร้างของความรทู้ ัง้ หมดอยา่ งไหร่

การประเมนิ คา่ ( Evaluation) : ความสามารถของสติปญั ญาเกยี่ วกบั การตรวจสอบ ควบคุม ทดสอบ เพอ่ื
คน้ หาความไมส่ อดคล้องหรือความขดั แย้งในกระบวนการ หรือผลผลติ การวพิ ากษต์ ่าง ๆ เพอ่ื การตดั สนิ ใจ

สรา้ งสรรค์ ( Creating) : ความสามารถในสตปิ ญั ญใ่ นการสร้างสิง่ ใหม่ จากลง่ิ ท่ีเคยเรยี นรู้ หรอื พบเห็นใน
บริบทตา่ ง ๆ ทสี่ ามารถในการสร้างสรรค์งานวางแผนงาน และดำเนินตามกระบวนการจนได้รบั ความสำเร็จ

โดยท่ี ทฤษฎีการเรยี นรู้ เบนจามนิ บลมู และคณะ (Bloom et al, 1956) ไดจ้ ำแนกจุดมุง่ หมายการเรียนรู้
ออกเปน็ 3 ด้าน คอื

1.พุทธิพสิ ัย (Cognitive Domain) พฤติกรรมดา้ นสมองเป็นพฤติกรรมเกย่ี วกบั สติปญั ญา ความรู้ ความคิด
ความเฉลียวฉลาด ความสามารถในการคดิ เรือ่ งราวตา่ งๆ อย่างมีประสทิ ธภิ าพ ซ่ึงเปน็ ความสามารถทางสติปญั ญา

2.จิตพิสยั (Affective Domain) (พฤตกิ รรมด้านจติ ใจ) คา่ นิยม ความรู้สึก ความซาบซงึ้ ทศั นคติ ความ
เชือ่ ความสนใจและคุณธรรม พฤตกิ รรมด้านนี้อาจไม่เกิดขึน้ ทนั ที ดังนน้ั การจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนโดยจัด

40

สภาพแวดลอ้ มทเี่ หมาะสม และสอดแทรกสง่ิ ที่ดงี ามอยู่ตลอดเวลา จะทำให้พฤติกรรมของผเู้ รียนเปลยี่ นไปในแนวทาง
ทีพ่ งึ ประสงคไ์ ด้

3.ทักษะพิสยั (Psychomotor Domain) (พฤตกิ รรมด้านกลา้ มเนอื้ ประสาท) พฤติกรรมทบี่ ง่ ถงึ
ความสามารถในการปฏิบตั งิ านไดอ้ ยา่ งคล่องแคลว่ ชำนิชำนาญ ซึ่งแสดงออกมาได้โดยตรงโดยมเี วลาและคุณภาพของ
งานเปน็ ตัวช้รี ะดบั ของทกั ษะ (จาก วิชาการพฒั นาหลักสูตร มหาวทิ ยาลยั นครพนม)

สรุป ทฤษฎีทางการศกึ ษา

สารตั นยิ ม นริ นั ตรนยิ ม พิพฒั นาการนยิ ม ปฏิรปู นยิ ม อตั ถภิ าวนยิ ม

(Essentialism) (Perennialism) (Progressivism) (Reconstructionism) (Existentialism)

การศึกษาที่เน้น มพี ้นื ฐานความ การศึกษาคือชวี ติ การศึกษาคอื ชีวติ ไม่ใช่ การศึกษาในลทั ธนิ ้ี

เนื้อหาทเี่ ปน็ เช่อื มาจาก มิใช่เป็นการ เปน็ การเตรยี มตัวเพ่อื ใชห้ ลกั ความ

หลกั เปน็ แก่น ปรชั ญากลมุ่ วตั ถุ เตรียมตวั เพื่อชีวติ ชวี ติ การทจี่ ะใหไ้ ด้มาซงึ่ เสรภี าพ ทกุ คนมี

เปน็ สิง่ สำคัญ นยิ มเชิงเหตุผล การทจี่ ะมีชวี ิตอยู่ ความร้กู โ็ ดยการลงมอื ความรูส้ ามารถ

ปรัชญาสารัตถ (Rational อยา่ งมคี วามสขุ กระทำ จรงิ ๆ ทจ่ี ะ ตดั สนิ ใจดว้ ยตัวเอง

นิยม ในทาง Realism) หรือ จะต้องอาศัยการ กอ่ ให้เกดิ ประสบการณ์ ดงั นน้ั จงึ อาจจะ

การศกึ ษา คอื พวกโทมสั นิยม เข้าใจความหมาย กับผเู้ รยี น กจิ กรรมการ กลา่ วได้ว่า ปรชั ญา

ปรัชญาทยี่ ดึ ใหม่ (Neo – ของประสบการณ์ เรยี นการสอนจงึ ม่งุ การ การศกึ ษาอัตถิ

เนอ้ื หา Thomism) ซงึ่ มี ท่เี หมาะแกว่ ัยของ พัฒนาทางด้านร่างกาย ภาวนิยมน้ี “เปน็

(Subject ตน้ คดิ มาจาก เขาสามารถ อารมณ์ สังคม และ แนวทางท่นี ำไปสู่

Matter) เป็น อรสิ โตเตลิ การ ปรบั ตวั ใหอ้ ย่ใู น สติปัญญาไปพรอ้ ม ๆ การหลุดพ้นจาก

หลกั สำคญั ของ สรา้ งคนให้เปน็ สงั คมได้อย่างเป็น กัน กรอบแหง่

การศกึ ษา คนทสี่ มบูรณ์ เป็น สุข วฒั นธรรมของ

คนทแี่ ทจ้ รงิ การ สังคม”

ทจ่ี ะสร้างคนให้

เปน็ คนทสี่ มบูรณ์

ไดน้ ั้น ผเู้ รยี น

จะตอ้ งรูจ้ กั และ

เขา้ ใจตนเอง

41

4. แนวความคิดทางการศึกษา

ปรัชญาการศกึ ษามอี ยู่มากมายหลายลัทธิ ตามลักษณะและตามธรรมชาติของมนษุ ยท์ ่ีตา่ งก็คดิ และเชอื่ ไม่
เหมอื นกัน อาศยั แนวคดิ ของปรัชญาพ้นื ฐานท่แี ตกตา่ งกันหรือนำมาผสมผสานกัน ทำใหม้ ีลกั ษณะทค่ี าบเกี่ยวกัน หรอื
อาจมาจากความคิดของปรัชญาพนื้ ฐานสาขาเดยี วกันดงั นั้นปรัชญาการศกึ ษาจงึ มีหลายลัทธิ หลายระบบ ในท่ีนจ้ี ะ
กล่าวถงึ ปรัชญาการศกึ ษาทีเ่ ปน็ ทีน่ ิยมกันอย่างกว้างขวางดงั ตอ่ ไปน้ี

(1) ปรชั ญาการศึกษาสารตั ถนิยม (Essentialism)
(2) ปรชั ญาการศึกษานริ ันตรนิยม (Perennialism)
(3) ปรชั ญาการศึกษาพิพฒั นาการนิยม (Progressivism)
(4) ปรัชญาการศึกษาปฏริ ปู นยิ ม (Reconstructionism)
(5) ปรชั ญาการศกึ ษาอัตถิภาวนิยม (Existentialism)

4.1 ปรัชญาการศึกษาสารัตถนยิ ม (Essentialism) เปน็ การหล่อหลอมความคดิ ของจิตนยิ ม (Idealism)
และ สจั นยิ ม (Realism) มีชอ่ื เรียกอน่ื ๆ เช่น สาระนิยม สารวาส ลัทธจิ ติ นิยม หรอื คตนิ ยิ ม (Idealism)เชอ่ื วา่ ความ
เปน็ จรงิ (Reality) เปน็ ความนกึ คดิ (Mind) และเปน็ จิตรภาพ (Idea) หรือ แบบ (From) ทมี่ อี ย่ใู นจินตนาการของเรา
โลกแหง่ ความเปน็ จริงอันสูงสุด (Ultimate reality) จงึ เปน็ โลกแหง่ จินตนาการ (A world of mind)จากพน้ื ฐานความ
จริงนี้ จงึ เชอื่ ตอ่ ไปว่า การลว่ งรู้ความจริงได้ตอ้ งอาศยั จิต (Mind) อาศัยปญั ญา(Intellect) เพื่อเข้าถึงความเปน็ จริงทม่ี ี
อยใู่ นจติ รภาพ(Idea) คอื เราใชป้ ญั ญาและความคดิ ในการรบั รู้ความจริงเมอ่ื ปญั ญาล่วงรสู้ ง่ิ ทเี่ ปน็ จรงิ แลว้ ก็หมายถงึ
เราม“ี ความรู้” Plato เป็นบิดาแหง่ ปรชั ญาสาขาจิตนิยม ทีถ่ อื วา่ เกา่ แกท่ สี่ ดุ และตรงกบั ปรัชญาจิตนยิ มใหม่ ในทัศนะ
ของ Kant ซง่ึ เหน็ วา่ การรู้นนั้ จะเกิดขนึ้ ไดก้ ็ตอ่ เมอ่ื มอี งคป์ ระกอบสำคัญ 2 สว่ น คอื

1. การรบั รู้ (Percepts) คือ การไดร้ บั ข้อมลู เกี่ยวกบั วัตถตุ ่าง ๆ มาโดยผสั สะ
2. การเข้าใจ หรือสัญชาน (Concept) คอื ความนกึ คดิ ท่ีเกดิ ข้นึ ในจติ ของเรา ความเขา้ ใจนั้นต้องอาศยั การ
รับรใู้ นการป้อนข้อมลู ต่าง ๆจากผสั สะ
แนวคดิ ทางการศกึ ษาของสารตั ถนิยม จดุ มุ่งหมายทางการศึกษา

1. ให้การศกึ ษาในสงิ่ ทเี่ ปน็ เนือ้ หา สาระ (Essential subject – matter) อันได้จากมรดกทาง
วฒั นธรรม โดยการรกั ษาและถา่ ยทอดสู่คนรุน่ หลงั

2. ใหก้ ารศกึ ษาเพื่อการเรียนรู้ในเรื่องของความเชื่อ ทัศนคติ และคา่ นิยมของสงั คมในอดตี
3. ธำรงรกั ษาสง่ิ ท่ีดงี ามต่าง ๆ ในอดตี เอาไว้
4. มุ่งพัฒนาผเู้ รียนใหเ้ ปน็ ผูม้ รี ะเบยี บวินัย มีปัญญา และรกั ษาอดุ มคติอนั ดงี ามของสงั คมไว้
หลักสูตร เปน็ หลกั สตู รทเี่ น้นเนอ้ื หา (Subject – matter Oriented) เปน็ หลกั สำคัญ โดยยดึ ประสบการณ์
ของเชือ้ ชาติ หรือมรดกทางวฒั นธรรมเป็นหลกั ได้รบั การจัดไว้อยา่ งเปน็ ระบบตอ่ เนอ่ื งตามข้นั ตอนความยากง่าย จะ
ช่วยเพมิ่ ประสทิ ธิภาพในการเรียนการสอน วิชาพื้นฐาน เช่น คณติ ศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สงั คมศาสตร์ ตรรกวทิ ยา

42

ศลิ ปะ ดนตรี ภาษาและวรรณคดี โดยมกี ารผสมผสานกนั เพอื่ ช่วยเพ่มิ ทกั ษะในการอา่ น การเขยี น การคดิ และ
จนิ ตนาการใหต้ วั ผเู้ รียน

หลักสูตรจะตอ้ งสอดคลอ้ งกับวุฒิภาวะของผู้เรยี น กระบวนการเรียนการสอน
1. การเรยี นการสอนจะเนน้ การบรรยายเป็นหลัก โดยมศี ลิ ปะของการถา่ ยทอดความรเู้ ปน็ สำคญั
2. มหี ลกั การอบรมจติ ใจ และถา่ ยทอดคา่ นยิ มเพอ่ื สร้างนิสยั ทดี่ ีงามให้เกิดแก่ผเู้ รยี น
3. กระบวนการเรียนการสอนจะมี “ครู” เป็นผมู้ บี ทบาทสำคัญเปน็ ศนู ย์กลาง
4. การเรียนการสอนคำนงึ ถงึ ความสามารถ ความสนใจ และจดุ หมายของผูเ้ รียนเพอื่ ใหเ้ กิดการเรยี นรู้

ผสู้ อน
1. ผสู้ อนหรอื ครู ตอ้ งเป็นผู้ทีม่ คี วามรู้ดี มีความประพฤตดิ ี มศี ลี ธรรม เป็นแบบอย่างทีด่ ี และเป็น

ศนู ยก์ ลางของห้องเรียน
2. ผ้สู อนควรตอ้ งเปน็ ผ้มู ที ักษะ เทคนคิ วธิ ี ทจี่ ะโนม้ น้าวใหน้ ักเรยี นเหน็ คุณค่าของการเรียนรู้
3. ผู้สอนตอ้ งเสรมิ สร้างความสนใจและเปา้ หมายในการเรียนรูใ้ หแ้ กผ่ เู้ รียน
4. ผ้สู อนมีบทบาทสำคัญในอันทจ่ี ะกำหนด หรือตดั สนิ ใจในกจิ กรรมทางการเรยี นรู้

ผู้เรยี น
1. ผู้เรยี นเปน็ ผรู้ บั ผฟู้ ัง และทำความเข้าใจในเน้อื หาตา่ ง ๆ ทค่ี รูกำหนด
2. ผเู้ รยี นเป็นผเู้ รยี นรู้ เป็นผูส้ บื ทอดค่านยิ ม และมรดกทางวฒั นธรรมไว้และถ่ายทอดให้คนรนุ่ หลงั

ตอ่ ไป
3. ผ้เู รยี นต้องเปน็ ผทู้ มี่ คี วามพยายาม อดทน และเป็นผมู้ ีระเบยี บวินัย

โรงเรียน
1. มจี ุดมงุ่ หมาย เพ่ือสงวน รกั ษา และประเมินคณุ ค่ามรดกทางวัฒนธรรม
2. ทำหน้าทฝ่ี กึ ฝน อบรมทางปัญญาให้แกเ่ ยาวชน เพื่อใหผ้ เู้ รียนได้เรยี นรู้ เขา้ ใจเรอื่ งราวหรอื มรดกทาง

สงั คม
3. เป็นสถาบนั เพอ่ื ความม่ันคง ความเปน็ ระเบียบของสงั คมแต่ไมเ่ ป็นผนู้ ำของสังคม
4. ช่วยสงวนรกั ษาความดงี าม คณุ คา่ และวฒั นธรรมของสงั คมให้ประณตี สมบรู ณข์ ึ้นและถ่ายทอดให้

คนรุ่นใหมร่ ับชว่ งต่อไป
5. ใหผ้ ้เู รยี นร้กู ฎเกณฑ์ ระเบียบ ประเพณแี ละวัฒนธรรมของสงั คม

ผู้บรหิ าร
1. มีลกั ษณะแบบรวมอำนาจ คอื ผูบ้ ริหารตดั สินใจแตเ่ พยี งผเู้ ดยี ว
2. มีลกั ษณะยึดกฎระเบยี บ ยดึ กฎหมายเปน็ สำคญั
3. มลี กั ษณะยึดแบบอย่าง ยดึ มาตรฐาน ยึดระเบียบวินยั

43

4. มีการบรหิ ารจดั การเรอ่ื งการเรียนรูไ้ ปในทางเดยี วกนั คือระบบบรหิ ารเปน็ แบบสง่ั งาน
(Bureaucratic Model)

การวัดผลประเมินผล
1. เชือ่ ว่าความรู้ท่ีแทจ้ ริงอย่ภู ายนอกตัวผเู้ รียน สามารถรบั รู้ดว้ ยจิต
2. การไดม้ าซงึ่ ความรูน้ นั้ เป็นการรบั มาโดยกระบวนการถ่ายทอด จดจำ
3. ใช้วธิ กี ารทดสอบความจำในเนอื้ หาวชิ าทีไ่ ด้เรยี นมา
4. ประเมนิ ผูเ้ รยี นทางด้านทฤษฎ(ี วิชาการ)เปน็ สำคัญ

สรุปแนวคิดปรัชญาการศกึ ษาสารัตถนิยม
1. มุ่งเพอ่ื อนรุ กั ษ์ และสบื ทอดมรดกทางวฒั นธรรมทด่ี งี ามของสงั คมไทยให้แก่คนรนุ่ หลงั
2. หลกั สตู รประกอบดว้ ยเนื้อหาสาระ การฝกึ ฝนทกั ษะ ค่านยิ ม ความเชอื่ และความรพู้ ้นื ฐานของ

สังคม
3. ผู้สอนเปน็ ผู้กำหนดตดั สิน คดั เลือกสิง่ ทเ่ี ห็นว่าผูเ้ รยี นควรจะเรียน ผเู้ รยี นจะเปน็ ผู้รบั ผูฟ้ งั ฝึกฝน

ตนเองใหเ้ กดิ ความเข้าใจ และเชีย่ วชาญในส่ิงทเ่ี รยี น
4. การเรยี นการสอนใชว้ ิธีการเรียนรจู้ ากครูและตำรา
5. เน้นการบรรยาย ซกั ถามเพ่ือใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจเนอ้ื หามากกว่าแลกเปล่ยี นความคิดเห็นระหว่างกัน

4.2 ปรชั ญาการศึกษานริ ันตรนิยม (Perennialism) ปรัชญาการศกึ ษานริ นั ตรนยิ ม แบง่ แนวการศึกษา
ออกเปน็ 2 ลกั ษณะ คือ

1. ลกั ษณะของปรชั ญาทั่วไปทเ่ี น้นหนกั ในเรอ่ื งของเหตผุ ล สตปิ ัญญา ไมเ่ กี่ยวข้องกับศาสนาโดยตรง
2. ลกั ษณะของปรัชญาทั่วไปท่เี กย่ี วพันกบั ศาสนาโดยตรง เปน็ แนวคดิ ของกล่มุ ศาสนานกิ าย คาธอลิค
ทีส่ ัมพันธเ์ ร่ืองศาสนาเขา้ กับเหตผุ ล
แนวคิดทางการศกึ ษาของปรชั ญานริ นั ตรนยิ ม
จุดมุง่ หมายทางการศกึ ษา
1) จุดมงุ่ หมายของการศกึ ษาท่ีดที ่สี ดุ สำหรับมนุษย์ คอื เพ่ือปลดปล่อยมนุษยจ์ ากความไม่รู้
2) ช่วยพฒั นาพลังทางเหตุผล(ปญั ญา) ศลี ธรรม และจติ ใจ คือ ต้องให้ความรกู้ วา้ งพอในการนำไปใช้ใน
สถานการณต์ ่าง ๆ เปน็ ความรู้ทเ่ี ป็นความเขา้ ใจแนวคดิ รวบยอดและทฤษฎีการคิดเชิงทฤษฎี และการคดิ เชิงการผลิต
การคิดเชงิ ทฤษฎี เปน็ การฝกึ ใช้เหตผุ ลข้นั สงู เพื่อใหไ้ ดค้ วามรู้ทแ่ี ทจ้ รงิ การคิดเชงิ การผลิต เป็นการคิดทีช่ ่วยนำการ
กระทำ (การร้เู พือ่ ทำ)
หลกั สูตร
1) มุง่ ให้ความรทู้ ่เี ปน็ นริ นั ดร์แกผ่ เู้ รยี น และชว่ ยใหน้ ำความรู้อืน่ มาเชือ่ มโยงประสานเปน็ ภาพรวม และ
นำไปประยกุ ตใ์ ช้ไดใ้ นทุกสถานการณ์

44

2) เอ้อื อำนวยใหผ้ ูเ้ รยี นไดร้ จู้ กั กบั ผลงานอนั ลำ้ ค่าของนกั ปรัชญา เช่น คณติ ศาสตร์ ภาษาศาสตร์
ปรชั ญา และวรรณคดี ซ่ึงผเู้ รียนต้องใช้ปญั ญาระดบั สงู ในการคิดและวเิ คราะห์

3) วชิ าชพี ตา่ ง ๆ ไมน่ ำมารวมไวใ้ นหลกั สูตร เพราะเปน็ วชิ าทีส่ อนเทคนคิ การกระทำ เป็นการเนน้
ทกั ษะมากกว่าทฤษฎี

กระบวนการเรยี นการสอน
1) ผูส้ อนตอ้ งมคี วามเปน็ เลิศ ต้องมคี วามรอบรู้ ใฝร่ ู้
2) ผสู้ อนตอ้ งเน้นความเป็นเลิศในการสอน ต้องบังคบั ใหเ้ รียนอย่างหนัก
3) ผ้สู อนตอ้ งใหผ้ เู้ รียนได้เรียนไปตามความสามารถทางสตปิ ญั ญาและเอกตั ภาพมนุษย์ มอี งคป์ ระกอบ

เปน็ สาระเหมือนกัน แตป่ รมิ าณไม่เท่ากนั
ผสู้ อน
1) เปน็ ผมู้ คี วามรู้ และจดั กจิ กรรมให้กบั นกั เรยี น
2) เปน็ ผู้สร้างบรรยากาศในการเรยี น
3) เปน็ ผูเ้ สนอความรู้ ขอ้ คิด เพือ่ เปิดโอกาสใหผ้ เู้ รยี นได้เรียนรู้ และพฒั นาความคดิ และสตปิ ัญญาของ

ผูเ้ รียน
4) เป็นผู้มคี วามคดิ กวา้ งไกล มคี วามสามารถในการอภิปราย ใหเ้ หตผุ ล แลกเปลีย่ นความคดิ เห็น
5) เปน็ ผู้มีบทบาทและอำนาจสำคญั

ผู้เรียน
1) เปน็ ผู้มสี ตปิ ัญญา มีศักยภาพอยู่ในตัวเอง
2) การเรยี นรหู้ รอื สตปิ ัญญาจะเกดิ ไดจ้ ากการฝึกฝน
3) ผ้เู รยี นมีบทบาทในการเรียนอยา่ งมากเท่า ๆ กนั หรือมากกวา่ ครู และเป็นลกั ษณะอภปิ ราย

แลกเปลี่ยนกบั ครูภายใต้การแนะนำของครู
4) ผู้เรยี นมีความสนใจใครเ่ รยี นรู้

ผ้บู รหิ าร
1) จะยดึ หลักของเหตผุ ล ตามกฎเกณฑห์ รอื ระเบยี บ
2) ให้การบริการภายใต้บรรยากาศของความเป็นอสิ ระในสถาบนั การศึกษา
3) มีเสรีภาพทางวิชาการ เออ้ื ต่อการอภิปราย
4) เปดิ โอกาสให้ผเู้ รียนได้ใช้เหตผุ ลหรือรบั ฟงั เรอ่ื งต่าง ๆ อย่างมเี หตผุ ลเพียงพอ
5) ใชเ้ หตผุ ลในการตดั สินใจอยา่ งใดอยา่ งหนึง่ และให้โอกาสทจ่ี ะเสนอความเห็น ตดั สนิ ใจในการ

ดำเนินงานของสถาบัน
6) มกี ารบรหิ ารในรปู แบบของคณะกรรมการ แตก่ ารทำงานของคณะกรรมการเปน็ การทำงานเพอื่ ใหไ้ ด้

เหตผุ ลทดี่ ีและเหมาะสมยิง่ จะไม่ใชล่ ักษณะเสียงขา้ งมาก แตจ่ ะใชเ้ หตผุ ล

45

สรุปแนวคดิ ปรชั ญาการศกึ ษาสารัตถนยิ ม
1. แมว้ ่าสภาพแวดล้อมจะแตกต่างตา่ งกนั ออกไป แต่ธรรมชาตขิ องมนษุ ยย์ ่อมจะเหมอื นกันในทกุ แหง่ หน
ดังนั้น การจัดการศึกษาใหแ้ กม่ นุษย์ควรจะเปน็ แบบเดียวกนั หมดทกุ คน
2. ความมีเหตผุ ลเป็นคุณลกั ษณะอันสงู สดุ ของมนษุ ย์ ดงั น้นั มนษุ ย์จึงต้องใชค้ วามมีเหตผุ ลเปน็ เคร่ืองควบคมุ
สัญชาตญาณตามธรรมชาติ ซ่ึงเป็นอำนาจฝ่ายต่ำของตน เพอื่ จะไดบ้ รรลจุ ุดหมายของชวี ิตทไ่ี ด้เลอื กสรรแล้ว
3. หนา้ ท่ีของการศกึ ษา คอื การแสวงหาความร้ใู นเร่อื งของความเปน็ จริงอันเปน็ นริ ันดร
4 .การศกึ ษามใิ ชเ่ ป็นการเลยี นแบบอยา่ งชีวิต แต่เป็นการเตรยี มตวั เพื่อชีวิต
5. นักเรยี นควรจะได้เรียนวชิ าพ้ืนฐานบางวชิ า เพ่ือให้เข้าใจและค้นุ เคยกบั สง่ิ ทีค่ งทน ถาวรของโลก
6. นกั เรียนควรจะไดศ้ ึกษางานนพิ นธ์ทีส่ ำคญั ๆ ทางวรรณคดี ปรชั ญา ประวตั ิศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ซงึ่
เป็นผลงานท่ีบรรดาปรัชญาและผทู้ รงความร้ทู ง้ั หลายในยคุ ทผ่ี ่านมาไดถ้ ่ายทอดความรู้ ความสำเรจ็ อนั ย่ิงใหญเ่ อาไว้

4.3 ปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนยิ ม ปรชั ญาน้ีใหก้ ำเนิดข้นึ เพือ่ ตอ่ ตา้ นแนวคิดด้งั เดิมท่ีการศึกษามัก
เน้นแต่เนอื้ หา สอนใหท้ อ่ งจำเพียงอยา่ งเดยี ว ทำใหเ้ ดก็ พัฒนาดา้ นสติปญั ญาอยา่ งเดียว ไม่มีความคดิ สร้างสรรค์ ไม่มี
ความกล้าและความมั่นใจในตนเองประกอบกับมีความก้าวหน้าในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้ เกิด
แนวความคิดปรัชญาการศึกษาพพิ ัฒนาการนยิ มขึ้น ปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยมเกิดขึ้นใน ค.ศ. 1870 โดยฟ
รานซิส ดับเบ้ลิ ยูปาร์คเกอร์ (Francis W. Parker) ได้เสนอใหม้ กี ารปฏิรปู การศกึ ษาเสียใหม่ เพราะการเรยี นแบบเก่า
เข้มงวดเรื่องระเบียบวินัย แต่แนวคิดนี้ไม่ได้รับการยอมรับ ต่อมา จอห์น ดิวอี้ (John Dewey)ได้นำแนวคิดนี้มา
ทบทวนใหม่ โดยเร่มิ งานเขยี นช่ือ School of Tomorrow ออกตีพมิ พ์ในปีค.ศ.1915 ตอ่ มามีผ้สู นบั สนุนมากข้ึนจึงต้ัง
เป็นสมาคมการศึกษาแบบพิพัฒนาการ (Progressive Education Association) (Kneller 1971 : 47) และนำ
แนวคิดไปใช้ในโรงเรียนต่างๆ แต่ก็ถูกจู่โจมตีจากฝ่ายปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยม ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ปรัชญาการศึกษา สารัตถนิยมกลับมาได้รับความนิยมอีก จนสมาคมการศึกษาพิพัฒนาการนิยมต้องยุบเลิกไป แต่
แนวคดิ ทางการศกึ ษาปรัชญาพพิ ฒั นาการนิยมยังคงใช้ในสหรฐั อเมรกิ า ตอ่ มาได้รบั ความนิยมมากข้ึนและแพร่หลาย
ไปยังประเทศต่าง ๆ รวมทงั้ ประเทศไทยด้วย

หลกั แนวความคดิ ว่า การศึกษาคือชีวิต มใิ ช่เป็นการเตรยี มตวั เพอ่ื ชีวิต หมายความวา่ การที่จะมชี ีวติ อยู่อยา่ ง
มคี วามสขุ จะต้องอาศยั การเข้าใจความหมายของประสบการณน์ ยิ ม ฉะน้นั ผเู้ รยี นจงึ ควรจะได้เรียนรู้ในสง่ิ ทเี่ หมาะแก่
วัยของเขาและสง่ิ ทจี่ ัดใหผ้ ู้เรยี นเรยี นควรจะเป็นไปในทางทีก่ อ่ ใหเ้ กดิ ประสบการณท์ ผี่ เู้ รียนสามารถเข้าใจปญั หาชีวติ
และสงั คมในปจั จบุ ัน และหาทางปรบั ตัวให้เขา้ กบั ภาวะทเ่ี ปน็ จริงในปจั จุบนั (Kneller 1971 :48 ? 53)

จุดมุง่ หมายของการศกึ ษา ปรชั ญาการศึกษาพิพัฒนาการนยิ ม ไม่มีจุดมงุ่ หมายท่ีตายตวั เพราะชีวิต
เปลี่ยนแปลงอยเู่ สมอตามกระแสการเปล่ยี นแปลงของโลกวัตถปุ ระสงค์ของการศึกษากเ็ พ่อื แกป้ ญั หาทเี่ กดิ ข้ึน เพอ่ื ให้
ผเู้ รียนเกิดแนวทางในการแกป้ ัญหาแตล่ ะคร้งั และเปน็ วิถีทางใหเ้ กิดการเรียนรูท้ ่ีใหม่กวา่ ต่อไปไมม่ ีท่ีส้ินสุด สว่ นผเู้ รยี น
จะต้องพฒั นาตนเองทง้ั ด้านร่างกาย อารมณ์ สงั คม และสตปิ ญั ญาควบคู่กันไป เรียนรูต้ ามความถนัดและความสนใจ

46


Click to View FlipBook Version