The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รวมเล่มรายงาน ETP510 วิชาปรัชญาการศึกษา คุณธรรมจริยธรรมและจรรยาบรรณความเป็นครู

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by parnwad.kaew, 2022-11-19 00:54:45

รวมเล่มรายงาน ETP 510

รวมเล่มรายงาน ETP510 วิชาปรัชญาการศึกษา คุณธรรมจริยธรรมและจรรยาบรรณความเป็นครู

สามารถนำความรูไ้ ปปรับตวั ใหเ้ ขา้ กับสงั คมได้อยา่ งมีความสขุ สามารถแกป้ ญั หาได้ ทำงานรว่ มกบั ผูอ้ ่นื ได้ และมวี ินัย
ในตนเอง (Self-discipline)

องคป์ ระกอบของการศึกษา
1) หลกั สูตร ปรัชญานีต้ อ้ งการใหผ้ ู้เรยี นเรียนจากประสบการณใ์ นชวี ิตจรงิ เปน็ ประสบการณท์ ส่ี มั พันธ์กับ
สงั คม หลกั สูตรจึงครอบคลุมชีวติ ประจำวันทกุ รูปแบบทกี่ อ่ ให้เกดิ การเรยี นรู้ ใหผ้ เู้ รียนได้เข้ารว่ มในประสบการณก์ าร
เรยี นรู้ทกุ รูปแบบ หลกั สูตรจะเน้นวชิ าท่เี สรมิ สรา้ งประสบการณท์ างสังคม ตลอดจนชีวติ ประจำวัน เน้ือหา ไดแ้ ก่
สงั คมศึกษา วชิ าทางภาษา วิทยาศาสตร์ และคณติ ศาสตร์ แต่ความสำคญั ของการศึกษา พิจารณาในแง่ของวิธกี ารท่ี
นำมาใช้ คอื กระบวนการแก้ปญั หาทางวทิ ยาศาสตร์ เพอ่ื ใหผ้ เู้ รียนมีความสารถในการแกป้ ัญหาในบทเรยี น และ
นำเอากระบวนการแกป้ ัญหาไปใชใ้ นชีวิตประจำวัน
2) ครู ไมเ่ ปน็ ผอู้ อกคำสงั่ แตท่ ำหน้าท่ีทำในการแนะแนวทางใหแ้ กผ่ ูเ้ รยี นแลว้ จดั ประสบการณ์ทีด่ ที ่ีเหมาะสม
ให้แก่ผเู้ รยี น ครจู ะต้องมีความรู้และประสบการณ์อยา่ งกว้างขวาง รจู้ กั ผเู้ รียนเปน็ อยา่ งดแี ละยอมรับความแตกต่าง
ระหว่างบคุ คล และวางแผนใหเ้ กิดการเรยี นรู้ให้เหมาะสมกบั ความสามารถและความตอ้ งการของผเู้ รยี น จดั สภาพใน
โรงเรยี นและในห้องเรียนใหพ้ ร้อมที่จะศกึ ษาเลา่ เรียนให้ไดป้ ระสบการณ์ตามทตี่ อ้ งการ
3) นกั เรียน ปรัชญานใี้ หค้ วามสำคัญแกผ่ เู้ รียนมาก ถือว่าผู้เรียนโดยธรรมชาติมีอินทรีย์ทจ่ี ะสบื เสาะแสวงหา
ประสบการณแ์ ละพรอ้ มทจี่ ะรบั ประสบการณ์ (เมธี ปลิ ันธนานนท์ 2523: 90) ผเู้ รยี นจะไดป้ ระสบการณ์ด้วยการลงมอื
กระทำด้วยตนเอง (Learning by doing) ผู้เรยี นจะต้องมอี สิ ระในการเลอื กตดั สินใจและตอ้ งทำงานร่วมกนั
(Participation) เพื่อใหก้ ารเรยี นการสอนตรงกบั ความถนัดความสนใจและความสามารถของผเู้ รียน
4) โรงเรยี น ทำหนา้ ท่ีเป็นแบบจำลองสงั คม โดยเฉพาะแบบจำลองท่ีดีงามของชวี ิตและประสบการณใ์ นสงั คม
โดยการจดั ประสบการณ์ให้เหมาะสมกบั วุฒิภาวะของผเู้ รยี นในแตล่ ะกลมุ่ เรม่ิ จากการเรียนรู้พืน้ ฐานของสงั คม
ลกั ษณะอ่นื ๆของสงั คม โรงเรยี นจะตอ้ งสรา้ งบรรยากาศทเี่ ปน็ ประชาธิปไตยโดยใหผ้ เู้ รียนได้มกี ารเรียนรสู้ งิ่ แปลกๆ
ใหม่ๆมคี วามพร้อมมีความรจู้ กั และเข้าใจสงั คมอยา่ งดี พอทจี่ ะออกไปปรับปรงุ และพฒั นาสงั คมได้ (ศักดา ปรางค์
ประทานพร 2523: 64-65)
5) กระบวนการเรียนการสอน เปน็ การสอนทย่ี ดึ เดก็ เป็นศนู ย์กลาง (Child centered) โดยใหผ้ เู้ รยี นมี
บทบาทมากทส่ี ุด การเรยี นเป็นเรอื่ งการกระทำ (Doing)มากกวา่ รู้ (Knowing) การเรยี นการสอนจึงใหผ้ เู้ รยี นลงมือ
กระทำเพ่อื ให้เกดิ ประสบการณแ์ ละการเรยี นรู้ การกระทำทำใหส้ ามารถแกป้ ัญหาได้ ครตู ้องจดั ประสบการณแ์ ละ
ส่ิงแวดล้อมทเ่ี อื้ออำนวยใหผ้ ู้เรียนเกิดการเรยี นรูด้ ้วยตนเอง การเรยี นการสอนใชว้ ิธีการแกป้ ัญหาแบบวิทยาศาสตร์
(Problem solving)
สรุปแนวความคดิ ของพิพฒั นาการนิยม
การศึกษาคอื ชวี ิต มใิ ชเ่ ปน็ การเตรียมตวั เพอ่ื ชีวติ หมายความว่า การทีจ่ ะมีชีวิตอยู่อยา่ งมีความสขุ จะต้อง
อาศยั การเข้าใจความหมายของประสบการณ์นิยม ฉะนัน้ ผเู้ รยี นจงึ ควรจะไดเ้ รียนรใู้ นส่งิ ทีเ่ หมาะแกว่ ัยของเขาและสิ่งท่ี
จัดให้ผเู้ รียนเรียนควรจะเป็นไปในทางทก่ี ่อใหเ้ กดิ ประสบการณท์ ่ผี ู้เรียนสามารถเข้าใจปญั หาชวี ติ และสังคมในปัจจบุ ัน

47

และหาทางปรับตวั ใหเ้ ขา้ กบั ภาวะทเ่ี ปน็ จรงิ ในปัจจบุ ัน (Kneller 1971 :48 ? 53) (http://sitawa
n112.blogspot.com/2012/03/progessivism.html)

4.4 ปรัชญาการศึกษาปฏิรปู นยิ ม (Reconstructionism) ในปี ค.ศ.1930 ได้เกดิ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำใน
สหรฐั อเมรกิ า เกดิ ปญั หาการว่างงาน คนไมร่ จู้ ักใชเ้ วลาว่างใหเ้ ป็นประโยชน์ เกิดช่องว่างระหว่างชนชน้ั ในสงั คม จงึ มนี ัก
คิดกล่มุ หนงึ่ พยายามจะแกป่ ัญหาสงั คมโดยใช้การศึกษาเปน็ เคร่ืองมอื ในการพฒั นาสงั คม ผูน้ ำของกล่มุ นักคิดกลุ่มนี้
ได้แก่ จอรัจ เอส เคา้ ทส์ (George S.Counts) ซงึ่ มีความเหน็ ดว้ ยกบั หลักการประชาธิปไตย แต่ต้องเปน็ ประชาธปิ ไตย
อย่างแท้จรงิ และควรเห็นว่าโรงเรยี นควรมีหนา้ ที่แกป้ ญั หาเฉพาะอย่างของสงั คมผทู้ ี่วางรากฐานและตงั้ ทฤษฎปี ฏิรูป
นิยม ไดแ้ ก่ ธโี อดอร์ บราเมลด์ (Theodore Brameld)ในปคี .ศ.1950 โดยได้เสนอปรชั ญาการศกึ ษาเพอ่ื ปฏิรูปสงั คม
และไดต้ ีพมิ พล์ งในหนงั สอื หลายเล่ม ธโี อดอร์ บราเมลด์ จึงไดร้ บั การยกย่องว่าเป็นบดิ าของปรชั ญาการศึกษาปฏิรูป
นยิ ม

แนวความคดิ พืน้ ฐาน ปรชั ญาการศกึ ษาปฏริ ปู นิยมมีแนวความคิดท่พี ฒั นามาจากปรชั ญาพิพฒั นาการนยิ ม
หรอื ปฏบิ ตั ินยิ ม ซง่ึ มคี วามเช่ือว่า ความรู้ ความจริง เปน็ สง่ิ ทเ่ี ปล่ยี นแปลงอยูเ่ สมอ ความรเู้ ปน็ เคร่ืองมอื ในการ
แก้ปัญหา ปรชั ญาพพิ ัฒนาการนิยมเนน้ ความสำคญั ของการพฒั นาผเู้ รียน ส่วนปรชั ญาการศกึ ษาปฏริ ปู นยิ มมี
แนวความคิดวา่ ผเู้ รียนมิได้เรียนเพ่ือมงุ่ พฒั นาตนเองเพียงอยา่ งเดียว แต่ต้องเรียนเพือ่ นำความรู้ไปพฒั นาสังคมให้
สงั คมเป็นสงั คมประชาธิปไตยอย่างแทจ้ รงิ คำวา่ ปฏริ ูป หรอื Reconstruct หมายถึง บูรณะ การสร้างขน้ึ มาใหม่ หรือ
ทำขน้ึ ใหม่ เนน้ การสร้างสังคมใหม่ เพราะว่าสงั คมขณะนั้นมีปญั หาตา่ ง ๆ มากมาย ทง้ั ปญั หาทางด้านเศรษฐกิจ และ
การเมือง การศึกษาจงึ มบี ทบาทในการเป็นเครือ่ งมือสรา้ งสงั คมและวัฒนธรรมที่ดงี ามขน้ึ มาใหม่ เป็นสังคมในอดุ มคติ
ท่มี คี วามเพยี บพรอ้ ม และจะต้องทำอย่างรีบดว่ น

แนวคิดทางการศึกษา เนอื่ งจาการศึกษามีความสมั พนั ธ์กบั สังคมอยา่ งแยกไม่ออก การศกึ ษาจงึ ควรนำสงั คม
ไปสสู่ ภาพทีด่ ีที่สดุ การศกึ ษาตอ้ งทำให้ผเู้ รียนเข้าใจและ มงุ่ มน่ั ท่จี ะสรา้ งสงั คมอุดมคตขิ น้ึ มาให้เหมาะสมกบั พ้ืนฐาน
ทางวัฒนธรรมและภาวะทางเศรษฐกิจของโลกยุคใหม่

จุดมงุ่ หมายของการศกึ ษา การศึกษาจะตอ้ งมงุ่ มนั่ ทีจ่ ะสร้างสรรคร์ ะบบสงั คมข้ึนมาใหม่จากพน้ื ฐานเดิมทีม่ ี
อยู่ และสังคมใหมท่ ี่สร้างขน้ึ นน้ั จะตอ้ งอยู่บนรากฐานของประชาธิปไตย การศึกษาจะต้องสง่ เสริมการพฒั นาสงั คม ให้
ผเู้ รียนนำความรู้ไปพฒั นาสงั คมโดยตรง

องคป์ ระกอบของการศกึ ษา
1) หลักสูตร เนอื้ หาวิชาที่นำมาบรรจไุ ว้ในหลักสตู ร จะเกย่ี วกบั ปญั หาและสภาพของสงั คมเป็นส่วน

ใหญ่จะเน้นวิชาสงั คมศกึ ษา เชน่ กระบวนการทางสังคมการดำรงชีวติ ในสังคม สภาพเศรษฐกจิ และการเมือง
วิทยาศาสตร์ในชวี ติ ประจำวนั ศิลปะในชวี ติ ประจำวนั สง่ิ เหลา่ น้จี ะทำให้มีความเขา้ ใจในกลไกของสงั คม และสามารถ
หาแนวทางในการสร้างขึน้ มาสงั คมใหม่

2) ครู ทำหนา้ ทีร่ วบรวม สรปุ วิเคราะหป์ ญั หาของสงั คมแลว้ เสนอแนวทางให้ผเู้ รียนแกป้ ัญหาของ

48

สงั คม ครจู ะตอ้ งใหผ้ เู้ รยี นทุกคนใส่วนร่วมในการคดิ พจิ ารณาในการแก้ปญั หาตา่ งๆและเหน็ ความจำเป็นทจี่ ะตอ้ ง
สรา้ งสรรคส์ งั คมขนึ้ มาใหม่ และเช่ือม่นั วา่ จะกระทำได้โดยวถิ ที างแหง่ ประชาธิปไตย

3) ผู้เรยี น ปรชั ญานีเ้ ชื่อวา่ ผูเ้ รียนคือผทู้ ม่ี คี วามสามารถในการวเิ คราะหป์ ญั หาสังคม และมรความ
ยุติธรรมดังนั้น ผเู้ รียนจะได้รบั การปลกู ฝงั ใหต้ ระหนกั ในปญั หาสังคมเรียนรู้วธิ ีการทำงานร่วมกันเพอื่ การแกป้ ัญหา
สังคม ผเู้ รยี นจะได้รบั การเรยี นรูเ้ ทคนิควิธกี ารตา่ งๆทจ่ี ะนำมาเปน็ แนวทางในการแกป้ ัญหาของสงั คม แลว้ ใหผ้ ้เู รยี นหา
ข้อสรปุ และตดั สินใจเลือก (Kneller 1971: 36)

4) โรงเรยี น ตามปรัชญาการศึกษาปฏริ ปู นิยมโรงเรียนจะมบี ทบาทตอ่ สังคมโดยตรง โดยมสี ่วนใน
การรบั รปู้ ัญหาของสังคม ร่วมกนั แก้ปญั หาของสงั คม รวมทง้ั สร้างสงั คมใหมท่ เี่ หมาะสม ดีงาม โรงเรยี นจะตอ้ งใฝห่ า
วา่ อนาคตของสังคมจะเปน็ เช่นไร แล้วนำทางให้ผเู้ รยี นไปพบกับสงั คมใหม่ โดยใหก้ ารศึกษาแกผ่ เู้ รยี นเพอื่ พรอ้ มทจ่ี ะ
วางแผนให้กบั สงั คมใหมแ่ ละโรงเรยี นจะต้องมีบรรยากาศในการเปน็ ประชาธปิ ไตย ยอมรบั ฟงั ความคดิ เห็นของคน
ส่วนใหญ่ ละเปิดโอกาสให้คนในทอ้ งถ่ินเขา้ มามีสว่ นรว่ มในการคิด วงแผน และดำเนนิ การเป้าหมายของ โรงเรยี น คอื
โรงเรยี นชุมชน (Community school)

5) กระบวนการเรยี นการสอน มลี ักษณะคล้ายกับปรชั ญาการศึกษาพพิ ัฒนาการนิยม คอื ใหผ้ ู้เรียน
เรียนรู้ด้วยตนเอง และลงมอื กระทำเอง สามารถมองเหน็ ปญั หาและเข้าใจเรือ่ งราวตา่ งๆ ด้วนตนเอง โดยใช้วธิ กี าร
ต่างๆ หลายวิธี เชน่ วธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ (Scientific method) วธิ กี ารโครงสร้าง (Project method) และวธิ ีการ
แก้ปัญหา (Problem solving)เป็นเครือ่ งมอื

สรปุ แนวความคิดปฏิรปู นยิ ม
เนอ่ื งจาการศึกษามีความสมั พันธ์กับสงั คมอย่างแยกไมอ่ อก การศกึ ษาจงึ ควรนำสงั คมไปสสู่ ภาพท่ดี ที สี่ ุด
การศึกษาตอ้ งทำให้ผเู้ รยี นเขา้ ใจและ มุ่งมัน่ ทจ่ี ะสร้างสังคมอุดมคติขน้ึ มาใหเ้ หมาะสมกบั พ้ืนฐานทางวฒั นธรรมและ
ภาวะทางเศรษฐกจิ ของโลกยุคใหม่ (จาก http://sitawan112.blogspot.com/2012/03/reconstruc
tionism.html)

4.5 อัตถภาวนิยม (Existentialism)ปรชั ญาการศกึ ษาอตั ถภาวนยิ ม (Existentialism) คำว่า "อศั ภาวะ" มา
จากศัพท์ มคธ คือคำว่า อัตถิ แปลว่า เป็นอยู่รวมกับคำว่า ภาวะ แปลว่า สภาพ ซึ่งคำว่า อัตถิภาวะ ตรงกับ
ภาษาอังกฤษวา่ Existence แปลวา่ ความมีอยู่ ปรชั ญาการศกึ ษาอัตถภิ าวนิยม เป็นปรัชญาท่มี ุ่งเสริมสรา้ งใหม้ นุษย์มี
เสรีภาพในการ เลอื กและร้จู ักใชเ้ สรีภาพในการเลอื กอยา่ งมีความรับผดิ ชอบในตวั เอง

แนวความคดิ ลทั ธนิ ถ้ี ือว่า มนุษย์ย่อมเป็นตัวของตัวเอง มีสทิ ธิเสรภี าพท่จี ะทำพดู คิดไดต้ ามประสงค์และมี
ความรับผิดชอบต่อการกระทำของคนเอง (Freedom, Choice and Responsibility) มนุษย์เป็นผู้สร้างชีวิตและ
อนาคตของตัวเอง เป็นปรัชญาที่สอนให้มนุษย์ยึดตัวเองเป็นหลัก (Human Subjectivity) เป็นปรัชญาที่ต่อต้าน
ธรรมชาตินิยม (Naturalism) และจติ นยิ ม (Idealism) เพราะทง้ั สองลทั ธิปฏิเสธเสรภี าพของมนษุ ย์ ดังนั้นอัตถิภาวนิ
ยมเกดิ ขนึ้ มา เพือ่ ตอ่ ด้านการยึดถือประเพณีเก่า ๆ ของมนุษย์

49

ความเป็นมา ปรัชญาการศกึ ษาลทั ธินเี้ ปน็ กระบวนการทางความคิดใหม่ของปรชั ญานกั คิดท่ีสำคัญคือ ซอ
เรน คีร์เคอร์การ์ค (Soren kierkegard 1813-1855) เป็นนกั ปรัชญาชาวเดนมาร์ค ซึ่งได้รบั การยกยอ่ งในปัจจุบันว่า
เปน็ ผใู้ ห้กำเนดิ ปรัชญาการศกึ ษาลัทธนิ ี้ เป็นคนแรก ได้เสนอความคิดวา่ ปรัชญาเป็นเรือ่ งสว่ นตัว ของแตล่ ะคน ดงั น้ัน
ทุกคนจึงควรสร้างปรัชญาของคนเองจากประสบการณ์ไม่มีความจริงนิรันดร ให้ยืดเหนี่ยวเป็นสรณะตายตัว ผู้นำ
ปรชั ญาอตั ถิภาวนิยมในยคุ ของเราคือ มารค์ ิน ไฮเคกเกอร์ (axtin Heidegger) ยังปอล ชาร์ศร (Jean - Paul Sartre)
คาร์ล จัสเปอร์ (Karl Iasper) เมอริช เมอเล ปองเค (Mavrice Herleau-Ponty) กาเบรียล มาร์เชล (Gabriel
Marchel) ปอล ทลิ ลชิ (Paul Tilich) และมารด์ นิ บเู บอร์ (artin ber) ในดา้ นการศึกษาไดม้ ผี ู้ประยุกต์แนวคิดน้ีไม่ใช้
กับการศึกษาโดยนำไปทดลองปฏิบตั ใิ นโรงเรียนต่าง ๆ เชน่ โรงเรียนสาธติ โรงเรียน Smmerhill ในองั กฤษของ A.S.
Neill สว่ น Lewis wadham ได้นำแนวความคิดนี้ไปจัดตงั้ โรงเรยี นในสหรัฐอเมรกิ าเรยี กช่ือว่า American Summer
Hill Schools และจัดตัง้ มหาวทิ ยาลยั เปิดอิสระ เช่น มหาวิทยาลยั แหง่ นครนวิ ยอร์ค เป็นตน้

หลกั ความสำคัญปรัชญาการศึกษาลัทธินีม้ ีหลกั การสำคัญ เกยี่ วกับการศกึ ษา พอสรปุ ได้ดังนี้
1. เช่อื ว่ามนุษยม์ ีศักยภาพในทางทจ่ี ะเป็นผู้กำหนดอนาคตของตัวเองคลอดเวลา สามารถทจ่ี ะเลือกการ

กระทำของตนเอง ตลอดจนรบั ผิดชอบในการกระทำอันจะมผี ลต่อตนเองและสังคม และเป็นผกู้ ำหนดแนวทางชีวิต
และโชคชะตาของคนเอง

2. บทบาทและหน้าทข่ี องการศึกษา คอื จะต้องสร้างคนให้ เปน็ ตัวของตวั เอง เพื่อจะไดม้ ขี ดี
ความสามารถเลอื กการกระทำของคนใหด้ ีทสี่ ุดเทา่ ทจี่ ะทำได้

ด้านการสอน
จดุ ม่งุ หมายการศึกษา ถ้าหากจะกล่าวถงึ จุดมงุ่ หมายการศกึ ษาเป็นข้อ ๆ ก็อาจจะกล่าวได้ดังน้ี

1. มงุ่ พฒั นาผเู้ รยี น เพอ่ื ความเป็นมนุษย์ทสี่ มบรู ณด์ ว้ ยการแสวงหาความหมายของชีวติ ด้วยตวั เอง
2. ม่งุ ใหผ้ ู้เรียนตระหนักในเสรภี าพของการ เลอื กตดั ส้นิ ใจและจะต้องยอมรบั ผดิ ชอบในสงิ่ ท่ี เขา เลอื ก
นั้น
3. ม่งุ ใหผ้ เู้ รียนเข้าใจตวั เอง สามารถเข้าใจถงึ จดุ ออ่ น จุดแขง็ ของตนเพ่อื การพฒั นาศกั ยภาพของ
ตนเองใหส้ ูงขน้ึ
4. กระตนุ้ ใหผ้ ู้เรยี นพฒั นาด้านสตปิ ญั ญาและคุณค่าทางคณุ ธรรมของคนเองข้ึนมา
5. เพอ่ื สร้างสังคมทมี่ ีอสิ ระเสรีภาพ พรอ้ มทง้ั สร้างบคุ คลให้ เปน็ ผูม้ วี ินยั
หลกั สูตร หลกั สูตรของปรัชญาการศึกษาลทั ธินไี้ มถ่ ือว่าวชิ าใดสำคัญเหนือกว่าวชิ าใด ถา้ ผ้เู รียนเห็นว่าวชิ าใด
จะชว่ ยให้รจู้ ักตนเอง และเข้าใจโลกไดม้ ากวชิ านัน้ ยอ่ ม เหมาะสมไม่ว่าจะเปน็ วทิ ยาศาสตร์ ศลิ ปะ ปรชั ญา หรอื
ประวตั ศิ าสตรก์ ็ตาม แตไ่ ม่ว่าวชิ าใดก็ตามควรพูดถึงปัญหาเสรภี าพ ความทุกข์ ชัยชนะ ปราชัย ความขัดแยง้ ฯลฯ ซง่ึ
เป็นปญั หาพืน้ ฐานของความเปน็ มนุษย์ เนือ้ หาทเี่ รยี นจะเนน้ ดา้ นมนุษยศาสตรซ์ งึ่ เป็น เคร่ืองมอื บรรลจุ ดุ มุง่ หมายและ
ควรเป็นหลักสตู รกิจกรรมจริง ๆใหน้ ักเรียนวางแผนตามความสนใจ

50

ผู้สอน ปรชั ญาการศกึ ษาลทั ธนิ เี้ นน้ ใหผ้ ู้เรยี นเขา้ ใจตนเองเปน็ สำคญั ดังน้ันครูมีหน้าที่จะตอ้ งกระตุ้นหรอื เรา้
ใหผ้ ู้เรยี นรู้จกั ตนเอง สามารถหยิบยกความถนดั และความสามารถ เฉพาะคนออกมาใช้ให้เกิดประโยชนม์ ากทสี่ ดุ ครู
เปน็ แหล่งทรัพยากรบุคคลของผู้เรยี น ครตู ้องวางแผนร่วมกบั ผเู้ รียนแตล่ ะคนซ่ึงจะต้องอยู่บน เปา้ หมายและความ
ต้องการของผเู้ รยี นคนน้นั โดยครจู ะเป็นผ้ชู ้แี นวทางใหแ้ กผ่ เู้ รียนแต่จะไมอ่ อกคำสง่ั แก่ผเู้ รยี นเพ่ือใหผ้ เู้ รยี นได้พฒั นา
จุดหมายและความรบั ผดิ ชอบของคนเองอยา่ งเสรี

หนา้ ทีส่ ำคญั อีกประการหน่ึงของผสู้ อนคือ การชว่ ยกระตุ้นใหผ้ ูเ้ รยี นรจู้ กั การแกป้ ญั หาและตอ่ สกู้ บั กรอบของ
สังคมตา่ ง ๆ เช่น คา่ นิยม ขนบธรรมเนียม ประเหณี ความเชือ่ ทางศาสนาบางประการ ทีท่ ำใหเ้ สรีภาพในการเลอื กทาง
เดินของชีวิตนอ้ ยลง ชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นมองโลกกว้างข้ึน มคี วามคดิ ยดึ ในกรอบของชวี ติ ที่คนในสงั คมตั้งขึน้ น้อยลงไป

ผู้เรยี น ปรัชญาการศกึ ษาลทั ธนิ เี้ นน้ ผเู้ รยี นมบี ทบาทสำคัญท่สี ุด ในกระบวนการเรียนการสอน ผเู้ รียนเป็นผู้
มีอสิ ระและเสรีภาพในการเลอื กสง่ิ ทีจ่ ะเรยี นตามความสนใจ จะเรียนคนเดียวหรอื เรยี นเปน็ กลุม่ เนอ่ื งจากเป้าหมาย
ของการศกึ ษาน้นั มใิ ชเ่ พื่อความรู้ มใิ ชเ่ พ่อื สังคม แต่เพอ่ื ใหผ้ ู้เรียนไดร้ ู้จกั ตัวเอง เข้าใจตวั เอง ด้วยเหตนุ เี้ องแนวทางดา้ น
จริยธรรมและการปฏิบตั ิตนตา่ ง ๆ จงึ เป็นเรอ่ื งของแตล่ ะบคุ คลท่ีจะเลือก แตก่ ารเลือกนน้ั ต้องมวี นิ ัยในตวั เองและมี
ความรับผิดชอบตอ่ การกระทำและผลทจี่ ะเกดิ ข้ึนจากการเลอื กนั้น

วิธีการจัดการเรียนการสอน ปรัชญาการศกึ ษาลัทธินีใ้ ห้ความสำคัญของผู้เรยี นเป็นอย่างยิง่ การเรยี นการ
สอนจึงมงุ่ ใหผ้ เู้ รยี นได้ค้นพบและรู้จักตัวเองเปน็ สำคัญ คอื เห็นว่าการเรียนรขู้ องผ้เู รยี นควร เริ่มต้นทคี่ วามอยากรู้ของ
ผเู้ รยี นเองไม่ใช่เรมิ่ ต้นทคี่ วามรทู้ ่คี รจู ะถ่ายทอดให้ ในการเรยี นการสอนครูไม่ควรใช้วิธีการถา่ ยทอดความรู้ไปให้ผเู้ รียน
โดยตรง แตใ่ ช้วธิ ีการสอนแนะแลกเปลย่ี นความคิดเหน็ และกระตนุ้ ให้ผ้เู รียนเกิดความอยากรู้ อยากเหน็ ในเร่ืองต่าง ๆ
ที่จะเป็นประโยชน์แก่ชีวิตของผู้เรียน การเตรียมการสอนที่ตายตัวชัดเจนไม่จำเป็น เพราะเท่ากับครูกำหนดให้เดก็
จะต้องให้เด็กมีอิสระที่จะกำหนดจุดมุ่งหมายและวางแผนการเรียนของเขาเอง วิธีการสอนที่เด่นมากอีกวิธีหน่งึ ที่จะ
ช่วยสง่ เสริมเอกัตบุคคลกค็ อื วธิ สี ร้างความสมั พนั ธ์กบั ผู้เรยี นเพื่อให้ผเู้ รยี นเกดิ ความกระจา่ งในเปา้ หมายของการเรยี นรู้
เร็วขน้ึ ปรัชญาลทั ธิน้ี เช่ือว่าความร้ทู สี่ ำคญั ของมนษุ ย์มใิ ช่ความรู้ เชงิ ทฤษฎแี ละความรู้ท่ีค้นควา้ ไปสนู่ ามธรรม ดังน้ัน
จึงไม่นิยมความรทู้ ่เี ปน็ นามธรรมหรอื ความรู้ท่ีไกลตัวของมนุษย์ แคจ่ ะใหผ้ ู้เรียนได้ศกึ ษาส่ิงท่ีใกล้ตัวเป็นรูปธรรมและ
สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้

สรปุ แนวความคดิ อัตถภาวนิยม
ลัทธนิ ีถ้ ือวา่ มนุษยย์ อ่ มเปน็ ตวั ของตวั เอง มสี ทิ ธิเสรีภาพที่จะทำพดู คิดไดต้ ามประสงคแ์ ละมคี วามรับผิดชอบ
ต่อการกระทำของคนเอง (Freedom, Choice and Responsibility) มนุษย์เป็นผู้สร้างชีวิตและอนาคตของตัวเอง
เป็นปรัชญาที่สอนให้มนุษย์ยึดตัวเองเป็นหลัก (Human Subjectivity) เป็นปรัชญาที่ต่อต้านธรรมชาตินิยม
(Naturalism) และจิตนิยม (Idealism) เพราะทั้งสองลัทธิปฏิเสธเสรีภาพของมนุษย์ ดังนั้นอัตถิภาวนิยมเกิดขึ้นมา
เพอ่ื ต่อดา้ นการยดึ ถอื ประเพณีเก่า ๆ ของมนุษย์
(อา้ งอิง http://cuir.car.chula.ac.th/dspace/bitstream/123456789/32521/5/Piyawanwach2.pdf)

51

สรุป แนวความคดิ ทางการศกึ ษา

สารัตนิยม นริ นั ตรนยิ ม พิพฒั นาการนิยม ปฏิรูปนยิ ม อตั ถิภาวนิยม

(Essentialism)) (Perennialism) (Progressivism) (Reconstructionism) (Existentialism)

การศึกษาควรมงุ่ ส่งิ ทสี่ ำคญั ทส่ี ุด การศกึ ษาคอื ชีวติ มใิ ช่ การศกึ ษามคี วามสมั พนั ธ์ สง่ เสริมใหม้ นุษย์

พัฒนาความ ของธรรมชาติ เปน็ การเตรียมตัวเพ่ือ กบั สงั คมอยา่ งแยกไม่ออก แตล่ ะคนรจู้ ัก

สามารถทมี่ นษุ ยม์ ี มนุษย์คือ ความ ชีวิต การทีจ่ ะมชี ีวิตอยู่ การศกึ ษาจงึ ควรนำสงั คม พจิ ารณาตัดสนิ

อย่แู ลว้ เชน่ สามารถในการใช้ อยา่ งมคี วามสขุ จะตอ้ ง ไปสู่สภาพที่ดีที่สดุ สภาพและ

ความสามารถใน เหตผุ ล ซง่ึ อาศัยการเข้าใจ การศึกษาตอ้ งทำใหผ้ เู้ รยี น เจตจำนงทม่ี ี

การจำ ความ ความสามารถใน ความหมายของ เข้าใจและ มงุ่ ม่นั ทจ่ี ะสรา้ ง ความหมายตอ่ การ

สามารถในการคดิ การใชเ้ หตผุ ลนจ้ี ะ ประสบการณ์ทเี่ หมาะแก่ สังคมอดุ มคติขึน้ มาให้ ดำรงชีวติ เชน่ รร.

ความสามารถที่ ควบคมุ อำนาจ วัยของเขาสามารถ เหมาะสมกับพน้ื ฐานทาง หมบู่ ้านเด็ก รร.

จะรสู้ ึก ฯลฯเชน่ ฝา่ ยตำ่ ของมนษุ ย์ ปรบั ตัวใหอ้ ยใู่ นสงั คมได้ วัฒนธรรมและภาวะทาง ธรรมศาสตรร์ งั สิต

รร.กำเนิดวทิ ย์ ไดเ้ ชน่ รร.ปริยะติ อยา่ งเปน็ สขุ เช่น รร. เศรษฐกจิ ของโลกยคุ ใหม่

ธรรม ปฐมวัยและรร.อนบุ าล เช่น รร.สาธิต , รร.สจุ ปิ รุ ิ

,รร.รามคำแหง

5. ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง

ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่ทรงปรับปรุงพระราชทานเป็นที่มาของนิยาม “3 ห่วง 2 เงื่อนไข” ท่ี
คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
นำมาใช้ในการรณรงค์เผยแพร่ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งผ่านช่องทางสือ่ ต่าง ๆ อยู่ในปัจจุบัน ซึง่ ประกอบด้วย
ความ “พอประมาณ มเี หตุผล มีภมู คิ ้มุ กัน” บนเงื่อนไข “ความร้”ู และ “คณุ ธรรม” ระบบเศรษฐกิจพอเพยี งมุ่งเน้น
ให้บุคคลสามารถประกอบอาชพี ไดอ้ ย่างยัง่ ยืน และใช้จ่ายเงินให้ได้มาอย่างพอเพียงและประหยัด ตามกำลังของเงิน
ของบคุ คลนั้น โดยปราศจากการกหู้ นี้ยมื สนิ และถา้ มเี งินเหลือ กแ็ บง่ เก็บออมไว้บางส่วน ชว่ ยเหลอื ผอู้ น่ื บางส่วน และ
อาจจะใช้จ่ายมาเพื่อปัจจัยเสริมอีกบางส่วน สาเหตุที่แนวทางการดำรงชีวิตอย่างพอเพียง ได้ถูกกล่าวถึงอย่าง
กวา้ งขวางในขณะนี้ เพราะสภาพการดำรงชีวติ ของสงั คมทนุ นยิ มในปจั จบุ ันไดถ้ ูกปลกู ฝงั สร้าง หรือกระตุ้น ให้เกิดการ
ใช้จ่ายอย่างเกินตัว ในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินกว่าปัจจัยในการดำรงชีวิต เช่น การบริโภคเกินตัว ความบันเทงิ
หลากหลายรูปแบบ ความสวยความงาม การแต่งตัวตามแฟชั่น การพนันหรือเสี่ยงโชค เป็นต้น จนทำให้ไม่มีเงิน
เพียงพอเพ่อื ตอบสนองความต้องการเหลา่ นัน้ สง่ ผลให้เกิดการกหู้ นีย้ มื สิน เกดิ เป็นวัฏจกั รทบ่ี คุ คลหนงึ่ ไมส่ ามารถหลดุ
ออกมาได้ ถา้ ไม่เปลีย่ นแนวทางในการดำรงชวี ิต

52

ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง 3 หว่ ง
ห่วง 1. ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไมน่ ้อยเกนิ ไปและไมม่ ากเกินไป โดยไมเ่ บียดเบยี นตนเอง
และผูอ้ ่นื เชน่ การผลติ และการบริโภคทีอ่ ยูใ่ นระดับพอประมาณ
ห่วง 2. ความมีเหตผุ ล หมายถึง การตัดสนิ ใจเกยี่ วกับระดบั ของความพอเพียงน้นั จะตอ้ งเป็นไปอยา่ งมเี หตผุ ล
โดยพจิ ารณาจากเหตปุ จั จยั ทีเ่ ก่ียวข้องตลอดจนคำนงึ ถึงผลทคี่ าดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนัน้ ๆ อยา่ งรอบคอบ
หว่ ง 3. การมีภูมิคมุ้ กันทดี่ ใี นตัว หมายถึงการเตรียมตวั ใหพ้ รอ้ มรบั ผลกระทบ และการเปล่ยี นแปลงดา้ นตา่ ง
ๆ ทีจ่ ะเกิดขึ้นโดยคำนึงถึงความเป็นไปไดข้ องสถานการณ์ต่าง ๆ ที่คาดว่าจะเกดิ ขนึ้ ในอนาคตทง้ั ใกลแ้ ละไกล

ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง 2 เงื่อนไข
1. เงอ่ื นไข ความรู้ ประกอบดว้ ย ความรอบรเู้ กย่ี วกับวชิ าการต่าง ทีเ่ ก่ยี วข้องอย่างรอบด้าน ความรอบคอบ
ทีจ่ ะนำความรเู้ หล่าน้ันมาพจิ ารณาใหเ้ ชือ่ มโยงกัน เพอื่ ประกอบการวางแผนและความระมัดระวงั ในข้นั ปฏบิ ัติ
2. เงอ่ื นไข คุณธรรม ทจ่ี ะตอ้ งเสรมิ สร้างประกอบดว้ ย มีความตระหนักในคุณธรรม มีความชอ่ื สตั ยส์ จุ รติ
และมีความอดทน มีความพากเพียร ใชส้ ติปญั ญาในการดำเนนิ ชีวิต (ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง: จาก
https://project561.wordpress.com/)
3 หว่ ง 2 เง่ือนไข 2 หลักการคืออะไร

เศรษฐกิจพอเพยี ง” (Sufficiency Economy)
เป็นปรชั ญาทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั ทรงมพี ระราชดำรสั ชี้แนะแนวทางการดำเนนิ ชีวิตแก่พสกนกิ รชาว
ไทยมาโดยตลอดรวมถงึ การพัฒนาและบรหิ ารประเทศทตี่ งั้ อยูบ่ นพน้ื ฐานของ ทางสายกลาง คำนงึ ถึง ความ
พอประมาณ ความมีเหตผุ ล การสร้างภูมคิ มุ้ กันทดี่ ีในตวั ตลอดจนใช้ความรู้ ความรอบคอบ และคุณธรรม
ประกอบการวางแผน การตัดสินใจ และการกระทำ

53

ท่มี า: มลู นิธิชยั พัฒนา www.chaipat.or.th/site_content/item

ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีหลกั พจิ ารณาอยู่ 5 สว่ น
1.กรอบแนวคดิ เปน็ ปรชั ญาที่ชแี้ นะแนวทางการดำรงอยู่ และปฏบิ ัตติ นในทางท่ีควรจะเปน็ โดยมีพนื้ ฐานมา
จากวิถีชวี ิตด้ังเดมิ ของสงั คมไทย สามารถนำมาประยกุ ต์ใชไ้ ดต้ ลอดเวลา และเป็นการมองโลกเชิงระบบทม่ี ีการ
เปลี่ยนแปลงอยูต่ ลอดเวลา ม่งุ เนน้ การรอดพ้นจากภัย และวกิ ฤตเพื่อความมัน่ คง และความยงั่ ยืนของการพฒั นา
2.คุณลกั ษณะ เศรษฐกิจพอเพียงสามารถนำมาประยกุ ต์ใช้กบั การปฏิบตั ติ นไดใ้ นทุกระดบั โดยเนน้ การ
ปฏิบัติบนทางสายกลาง และการพัฒนาอยา่ งเป็นขั้นตอน
3. คำนยิ าม ความพอเพียงจะต้องประกอบดว้ ย 3 คณุ ลกั ษณะ พร้อม ๆ กนั ดังน้ี
ความพอประมาณ หมายถงึ ความพอดที ่ีไม่นอ้ ยเกนิ ไป และไม่มากเกนิ ไปโดยไมเ่ บยี ดเบยี นตนเอง และผ้อู ืน่
เช่นการผลิต และการบรโิ ภคทอ่ี ยู่ในระดับพอประมาณ
ความมเี หตผุ ล หมายถึง การตัดสินใจเก่ียวกับระดบั ของความพอเพยี งน้นั จะตอ้ งเปน็ ไปอยา่ งมเี หตผุ ล โดย
พจิ ารณาจากเหตุปจั จยั ทีเ่ กย่ี วขอ้ งตลอดจนคำนึงถึงผลทคี่ าดวา่ จะเกิดขนึ้ จากการกระทำนัน้ ๆ อยา่ งรอบคอบ
การมีภูมิค้มุ กนั ทด่ี ใี นตัว หมายถึง การเตรยี มตัวให้พรอ้ มรบั ผลกระทบ และการเปลยี่ นแปลงดา้ นต่าง ๆ ทจี่ ะ
เกดิ ขึน้ โดยคำนึงถงึ ความเปน็ ไปได้ของสถานการณ์ ต่าง ๆ ทค่ี าดวา่ จะเกิดขน้ึ ในอนาคตท้ังใกล้ และไกล
4. เงื่อนไข การตดั สนิ ใจและการดำเนนิ กจิ กรรมตา่ ง ๆ ใหอ้ ย่ใู นระดับพอเพยี งนนั้ ตอ้ งอาศยั ทงั้ ความรู้ และ
คุณธรรมเปน็ พ้ืนฐาน
เงือ่ นไขความรู้ ประกอบด้วย ความรอบรเู้ กี่ยวกบั วชิ าการต่างๆ ทเี่ ก่ยี วข้องอยา่ งรอบดา้ นความรอบคอบ ท่จี ะ
นำความรเู้ หลา่ น้ันมาพจิ ารณาใหเ้ ชอ่ื มโยงกัน เพ่อื ประกอบการวางแผน และความระมดั ระวังในขั้นปฏบิ ัติ
เงอ่ื นไขคุณธรรม ทจี่ ะต้องเสรมิ สรา้ งประกอบดว้ ยมคี วามตระหนักในคุณธรรม มีความซ่ือสัตยส์ จุ ริต และมี
ความอดทน มคี วามเพียรใช้สตปิ ญั ญาในการดำเนินชวี ติ
5. แนวทางปฏบิ ตั ิ/ผลท่คี าดวา่ จะได้รบั จากการนำปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งมาประยุกตใ์ ช้ คือ การ
พฒั นาทสี่ มดลุ และยงั่ ยนื พรอ้ มรบั ต่อการเปลย่ี นแปลง ในทกุ ด้าน ทั้งดา้ นเศรษฐกจิ สงั คม สง่ิ แวดล้อม ความรู้และ
เทคโนโลยี

54

สรปุ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียงซงึ่ เป็นพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระภมู พิ ลอดยุ เดชทปี่ ระทานใหป้ ระชาชน
ใหป้ ระชาชนทุกคนยึดหลกั สายกลาง โดยมีพระราชทานเป็นท่ีมาของนยิ าม “3 หว่ ง 2 เง่อื นไข”ซง่ึ ประกอบดว้ ยความ
“พอประมาณ มเี หตผุ ล มีภูมคิ มุ้ กนั ” บนเง่อื นไข “ความร”ู้ และ “คณุ ธรรม”นำไปสู่ 4 มิติ 2 หลกั การ4 มิติ คอื มติ ิ
ด้านสังคม ด้านเศรษฐกิจ ด้านสงิ่ แวดล้อง ดา้ นวฒั นธรรม

55

สรปุ
ปรัชญา ทฤษฎี แนวความคดิ ทางการศึกษา และปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง

1. ความแตกต่างระหวา่ งปรชั ญาตะวันออก – ตะวันตก

ปรัชญาตะวนั ตก หมายถงึ ความรเู้ ร่อื งหลักคอื หลกั เก่ียวกบั โลกและชีวติ ส่วนปรชั ญาตะวันออก

หมายถึงความรอู้ ันประเสรฐิ คอื ความรทู้ ่ีทำใหห้ ลุดพน้ จากโลกียะ ซงึ่ ปรชั ญาตะวันออกปรัชญาตะวนั ออก เปน็ ปรชั ญา

ทเ่ี กดิ ขึ้นแถบตะวนั ออกทง้ั หมด เช่น ปรชั ญาอินเดีย ปรัชญาจีน ปรชั ญาญปี่ นุ่ เป็นตน้

ปรัชญาตะวนั ตก เป็นการพยายามหาทางทำลายความสงสัย เป็นปรชั ญามาจากชาวกรีกโบราณ สว่ น

ปรัชญาตะวันออก เป็นความรหู้ ลงั จากหมดความสงสัยแล้ว

ซึ่งทงั้ สองฝงั่ สรปุ ไดว้ ่าปรัชญามลี กั ษณะดังนี้

1. ทำหนา้ ที่รวบรวมรายละเอียดตา่ ง ๆ ของโลกและชีวิตไวท้ ้ังหมด

2. พยายามหาคำตอบทเี่ ปน็ ความจริงทเ่ี ป็นนิรนั ดร์ สามารถอธิบายส่ิงต่าง ๆ ท่ีเกดิ ขน้ึ ได้

3. ใชว้ ธิ กี ารทางตรรกวทิ ยาในการค้นหาความจริง ซง่ึ เปน็ วิธกี ารคิดอยา่ งมเี หตุและผล

4. เนือ้ หาของปรัชญาจะเปล่ยี นแปลงไปตามยุค ตามสมัย แล้วแต่ว่าจะสนใจท่ีจะศึกษาในเร่ืองใดหรือปญั หาใด

อันจะกอ่ ให้เกดิ ประโยชน์ตอ่ มวลมนุษยชาติ

สรปุ ปรชั ญากบั ปรชั ญาพนื้ ฐาน

1.ลทั ธิจิตนยิ ม 2.ลัทธวิ ัตถุนิยม 3.ลัทธปิ ระสบการณ์นิยม 4.ลัทธอิ ตั ถิภาวนยิ ม

อภิปรัชญา ตอ้ งพัฒนาคนใน มคี วามเชอื่ ว่า ความจริง เชอ่ื วา่ ความจริงเป็นโลก ความจรงิ เป็นอยา่ งไร
ญาณวทิ ยา
ด้านจิตใจมากกว่า มาจากธรรมชาติ ซ่ึง แหง่ ประสบการณ์ ส่งิ ใด ขึ้นอยกู่ บั แตล่ ะบุคคล

วตั ถุ ยึดนามธรรม ประกอบสง่ิ ท่เี ปน็ วตั ถุ ทท่ี ำใหส้ ามารถไดร้ บั จะพิจารณา และ

กว่ารปู ธรรม สามารถสมั ผัสจบั ตอ้ งได้ ประสบการณไ์ ด้ ส่ิงน้นั กำหนดว่าอะไร คือ

และพิสจู นไ์ ด้ดว้ ยวิธี คือความจริง ความจรงิ

วทิ ยาศาสตร์

ความรู้เกดิ จาก เชอ่ื ว่าธรรมชาติเปน็ บ่อ เชอ่ื วา่ ความรจู้ ะเกิดขึ้น การแสวงหาความรู้

ความคดิ หาเหตผุ ล เกดิ ของความรทู้ ้ังมวล ไดก้ ด็ ว้ ยการลงมอื ปฏบิ ัติ ขนึ้ อยกู่ ับแตล่ ะบุคคลที่

และการวเิ คราะห์ ความรไู้ ด้มาจากการได้ กระบวนการแสวงหา จะเลือกสรรเพื่อให้

แล้วสรา้ งเป็น เห็นไดส้ มั ผสั ดว้ ย ความร้กู ็ด้วยวธิ กี ารทาง สามารถดำรงชีวิตอยไู่ ด้

ความคดิ ในจติ ใจ ประสาทสมั ผสั ถ้าสงั เกต วทิ ยาศาสตร์ (Scientific

สว่ นความรทู้ ่ไี ดจ้ าก method)

56

การสมั ผสั ด้วย ไม่ได้มองไมเ่ ห็น กไ็ ม่เหน็

ประสาททง้ั 5 ไมใ่ ช่ ว่าเป็นความรูท้ แ่ี ทจ้ รงิ

ความรูท้ แ่ี ทจ้ ริง

คณุ วทิ ยา คณุ คา่ ความดคี วาม เช่ือว่าธรรมชาติสรา้ งทกุ เช่อื ว่าความนยิ มจะ ทุกคนมีเสรีภาพท่จี ะ

งามมลี กั ษณะ สงิ่ ทกุ อยา่ งมาดแี ล้ว ใน เกย่ี วกบั การประพฤติ เลอื กค่านิยมท่ตี นเอง

ตายตัวคงทนถาวร ด้านจรยิ ศาสตรก์ ค็ วร ปฏิบตั ิทางดา้ นศลี ธรรม พอใจด้วยความสมคั ร

ไม่เปลี่ยนแปลง ประพฤตปิ ฏบิ ัตติ ามกฎ จรรยาเปน็ สง่ิ ที่มนุษย์ ใจส่วนความงามนน้ั

(พลาโต Plato ธรรมชาติ สร้างและกำหนดขนึ้ มา บคุ คลจะเปน็ ผู้เลอื ก

https://www.kro กฎธรรมชาติกค็ ือ เอง และสามารถ และกำหนดเอง โดยไม่

obannok.com/1 ศีลธรรมจรรยา เปลี่ยนแปลงได้ สว่ น จำเปน็ จะตอ้ งใหผ้ ู้อื่น

9891) ขนบธรรมเนียมประเพณี สนุ ทรียศาสตร์ เปน็ เรื่อง เข้าใจ

ซึง่ ใช้ควบคุมพฤติกรรม ของความตอ้ งการและ (กีรติ บญุ เจือ 2522

มนษุ ย์ สว่ นสุนทรีศาสตร์ รสนยิ มท่คี นส่วนใหญ่ https://www.kroob

เป็นเร่ืองของความ ยอมรบั กัน annok.com/19891)

งดงามตามธรรมชาติ (วลิ เลียม เจมส์William,

สะทอ้ นความงามตาม James และจอหน์ ดวิ อ้ี

ธรรมชาติออกมา John Dewey

(อรสิ โตเตลิ Aristotle https://www.krooban

https://www.krooban nok.com/19891)

nok.com/19891)

ตารางสรปุ ทฤษฎที างการศึกษา

สารตั นิยม นิรนั ตรนยิ ม พพิ ฒั นาการนยิ ม ปฏริ ูปนยิ ม อัตถภิ าวนิยม

(Essentialism)) (Perennialism) (Progressivism) (Reconstructionism) (Existentialism)

การศกึ ษาทีเ่ น้น มพี นื้ ฐานความเชื่อ การศกึ ษาคอื ชวี ติ การศึกษาคือชวี ติ ไม่ใชเ่ ปน็ การศกึ ษาในลัทธนิ ้ี

เนือ้ หาทเ่ี ป็นหลกั มาจากปรัชญากลุ่ม มใิ ชเ่ ป็นการเตรยี มตัว การเตรยี มตัวเพอื่ ชวี ติ การ ใชห้ ลกั ความ

เปน็ แก่น เป็นสง่ิ วัตถนุ ยิ มเชิงเหตผุ ล เพอื่ ชวี ิต การทจี่ ะมี ที่จะให้ไดม้ าซ่ึงความรู้ก็ เสรีภาพ ทกุ คนมี

สำคญั ปรชั ญาสา (Rational ชีวติ อย่อู ย่างมี โดยการลงมอื กระทำ จรงิ ความร้สู ามารถ

รัตถนิยม ในทาง Realism) หรือพวก ความสุขจะต้องอาศยั ๆ ที่จะกอ่ ให้เกิด ตัดสนิ ใจดว้ ยตัวเอง

การศึกษา คอื โทมัสนยิ มใหม่ การเข้าใจความหมาย ประสบการณก์ บั ผเู้ รยี น ดงั น้ันจึงอาจจะ

57

ปรชั ญาท่ยี ึด (Neo – ของประสบการณท์ ี่ กจิ กรรมการเรียนการสอน กลา่ วได้วา่ ปรชั ญา
เน้ือหา (Subject จงึ มงุ่ การพัฒนาทางด้าน การศึกษาอตั ถิ
Matter) เป็น Thomism) ซง่ึ มีต้น เหมาะแก่วยั ของเขา รา่ งกาย อารมณ์ สงั คม ภาวนยิ มน้ี “เปน็
หลักสำคญั ของ และสตปิ ญั ญาไปพรอ้ ม ๆ แนวทางทนี่ ำไปสู่
การศึกษา คิดมาจาก สามารถปรบั ตวั ให้อยู่ กนั การหลุดพน้ จาก
กรอบแหง่
อริสโตเตลิ การสร้าง ในสังคมไดอ้ ย่างเป็น วัฒนธรรมของ
สังคม”
คนใหเ้ ปน็ คนที่ สุข

สมบรู ณ์ เปน็ คนที่

แท้จรงิ การทจ่ี ะ

สรา้ งคนให้เปน็ คนท่ี

สมบรู ณ์ได้

น้ัน ผู้เรียนจะตอ้ ง

รจู้ กั และเข้าใจ

ตนเอง

แนวความคิดทางการศกึ ษา

สารัตนิยม นิรันตรนยิ ม พิพฒั นาการนยิ ม ปฏิรปู นิยม อตั ถภิ าวนยิ ม

(Essentialism)) (Perennialism) (Progressivism) (Reconstructionism) (Existentialism)

การศึกษาควรมุ่ง สงิ่ ทส่ี ำคัญทสี่ ดุ ของ การศกึ ษาคือชีวิต การศกึ ษามี ส่งเสรมิ ใหม้ นุษย์แตล่ ะ

พัฒนา ธรรมชาติมนุษยค์ อื มใิ ช่เป็นการ ความสมั พนั ธ์กับสงั คม คนร้จู กั พจิ ารณาตดั สิน

ความสามารถท่ี ความสามารถในการ เตรียมตวั เพื่อชวี ติ อย่างแยกไม่ออก สภาพและเจตจำนงทม่ี ี

มนษุ ยม์ อี ยู่แล้ว ใชเ้ หตุผล ซึง่ การทจ่ี ะมีชวี ิตอยู่ การศึกษาจงึ ควรนำ ความหมายต่อการ

เชน่ ความสามารถในการ อยา่ งมคี วามสุข สังคมไปสสู่ ภาพท่ีดีทส่ี ดุ ดำรงชีวิต เชน่ รร.

ความสามารถใน ใชเ้ หตผุ ลนีจ้ ะควบคมุ จะต้องอาศัยการ การศึกษาตอ้ งทำให้ หมบู่ า้ นเดก็ รร.

การจำ อำนาจฝา่ ยตำ่ ของ เขา้ ใจความหมาย ผเู้ รยี นเข้าใจและ มงุ่ มัน่ ธรรมศาสตรร์ งั สิต

ความสามารถใน มนษุ ยไ์ ด้ ของประสบการณ์ ทีจ่ ะสร้างสงั คมอดุ มคติ

การคิด เช่น รร.ปริยะตธิ รรม ท่เี หมาะแก่วยั ของ ขึ้นมาใหเ้ หมาะสมกบั

ความสามารถที่ เขาสามารถ พ้ืนฐานทางวฒั นธรรม

จะรสู้ กึ ฯลฯ ปรับตวั ใหอ้ ยู่ใน และภาวะทางเศรษฐกจิ

เชน่ รร.กำเนดิ สงั คมได้อยา่ งเป็น ของโลกยคุ ใหม่ เช่น รร.

วิทย์ สขุ เชน่ รร. สาธิต , รร.สจุ ปิ รุ ิ,รร.

ปฐมวยั และรร.อนุ รามคำแหง

บาล

58

ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี งซงึ่ เป็นพระราชดำรขิ องพระบาทสมเด็จพระภมู ิพลอดุยเดชท่ปี ระทานใหป้ ระชาชน
ใหป้ ระชาชนทุกคนยดึ หลกั สายกลาง โดยมีพระราชทานเป็นที่มาของนยิ าม “3 ห่วง 2 เงือ่ นไข”ซงึ่ ประกอบดว้ ยความ
“พอประมาณ มเี หตผุ ล มีภูมคิ มุ้ กัน” บนเงือ่ นไข “ความร”ู้ และ “คณุ ธรรม”นำไปสู่ 4 มิติ 2 หลักการ
4 มิติ คือ มิติด้านสงั คม ด้านเศรษฐกิจ ด้านสง่ิ แวดลอ้ ง ดา้ นวัฒนธรรม
2 หลักการ คือ การรบั การเปลย่ี นแปลง และความสมดลุ

59

อ้างอิง

กมลรตั น์ หลา้ สวุ งษ์. (2523). จิตวทิ ยาการศกึ ษา (Educational Psychology). กรุงเทพ : ภาควิชาการแนะ
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2547). คมู่ ือหลกั สูตรการศกึ ษาปฐมวยั พทุ ธศักราช 2546. กรุงเทพมหานคร :

กาญจนี เสยี งเพราะ. (2553). ค่มู ือการสอนแบบมอนเทสซอริ หมวดชีวติ ประจำวนั หมวดประสาทรบั รู้
การศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครนิ ทรวโิ รฒ.

ครสิ ตนิ วอร์ด. (2548). คมู่ อื ครสู ำหรับเสรมิ สร้างสมองเดก็ วยั เรียน. กรุงเทพมหานคร :บริษทั แปลน ฟอร์คิด จำกดั .
จีระพนั ธุ์ พลู พฒั น.์ (2540). การสอนแบบมอนเทสซอริจากทฤษฎสี ่แู บบการนำไปปฏบิ ตั .ิ กรงุ เทพฯ :
จำนง ทองประเสริฐ 2524 : 2 จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั .กรุงเทพฯ
ทศิ นา แขมมณ.ี ศาสตร์การสอน. กรงุ เทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , 2545.
ทศิ นา แขมมณี (2553) .ศาสตร์การสอน:องคค์ วามรู้เพ่อื การจดั กระบวนการเรียนรู้ทมี่ ีประสิทธภิ าพ.
ทศิ นา แขมมณ.ี (2548). ศาสตร์การสอน : องคค์ วามรู้เพ่อื การจดั กระบวนการเรยี นร้ทู ่ีมี
บญุ ชู องั สวัสดิ.์ (2553). รายงานการพฒั นาการสอนแบบมอนเทสซอรใิ นบริบทประจวบคีรีขนั ธ.์

ประจวบคีรีขนั ธ์ : สำนกั งานเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาประจวบคีรีขนั ธ์ เขต 1.
ประสทิ ธิภาพ. กรุงเทพฯ : บรษิ ัทดา่ นสุทธาการพิมพ์ จำกัด. พมิ พ์ครัง้ ที่ 4.
ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง[ออนไลน์]. สบื คน้ จาก https://project561.wordpress.com/
รงุ่ แก้วแดง, ปฏิวัติการศกึ ษาไทย, (กรงุ เทพฯ : สานกั พิมพ์มติชน, 2540), หนา้ 60-79.
วารนิ ทร์ รศั มีพรหม. (2542). การออกแบบและพัฒนาระบบการสอน. กรุงเทพฯ : ภาควชิ าเทคโนโลยีทาง
สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.).สืบค้นจาก https://sites.google.com/site/anansak2554/thvsdi-kar-
reiyn-ru-khx-ngkaye
วิกิพเี ดีย. (2555). ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ [ออนไลน์]. สืบคน้ จาก http://th.wikipedia.org/wiki/ทฤษฎีการเรียนรู้
สุนีย์ ภพู่ นั ธ์. แนวคิดพื้นฐานการสรา้ งและพฒั นาหลักสตู ร. เชยี งใหม่ : The Knowledge Center, 2546.
หมวดภาษา และหมวดคณิตศาสตร.์ ประจวบครี ีขันธ์ :โรงเรียนบ้านดอนใจดี.
อนนั ต์ศักดิ์ สร้างคำ. (2554). ทฤษฏีการเรยี นร้ขู องกาเย่ [ออนไลน์].

60

บทท่ี 3
กฎหมายทเี่ กีย่ วขอ้ งกับครูและวิชาชพี ครู

กฎหมายทเี่ กีย่ วข้องกบั ครูและวิชาชีพครู น้นั จะกลา่ วถึงแตล่ ะเรอ่ื งแยกออกไปได้ 5 หวั ข้อ คอื
1. กฎหมายการศึกษา
2. การปฏิรปู การศึกษา
3. กฎหมายที่ควรรู้
4. บทลงโทษที่ควรรู้
5. กฎหมายการศกึ ษาในตา่ งประเทศ

กฎหมายทเี่ กีย่ วข้องกบั ครแู ละวิชาชีพครนู น้ั มีหลากหลาย แตล่ ะหวั ข้อนนั้ สามารถแยกออกไปอกี มากมายที่
แต่ละที่อา้ งอิง และแตล่ ะมมุ มองของแตล่ ะบลุ คลนัน้ ทกี่ ลา่ วถึงเม่ือศึกษาจะพบวา่ แหล่งอ้างอิงที่หลากหลายน้ันจะมี
เนอื้ หาทส่ี อดคล้องและคลอ้ ยตาม จดุ ประสงค์และเน้อื หานนั้ คล้ายกันนั้นเอง

1. กฎหมายการศกึ ษา

กฎหมายเปน็ กฎเกณฑท์ รี่ ัฐกำหนดขึน้ เพอื่ บงั คบั ใหม้ กี ารประพฤตปิ ฏบิ ัตติ าม หากผใู้ ดละเมิดหรอื ไมป่ ฏบิ ตั ิ
ตามกจ็ ะไดร้ บั โทษ กฎหมายคอื เครอื่ งมอื ของรัฐในการดำเนนิ งานด้านต่าง ๆ และเป็นเร่อื งทมี่ คี วามสมั พันธ์เก่ียวขอ้ ง
กบั ชวี ิตประจำวนั และการดำเนนิ งานของทกุ คน โดยเฉพาะผูม้ ีหนา้ ทเ่ี กี่ยวกบั การจัดการศกึ ษา ยอ่ มต้องใช้กฎหมาย
เป็นเคร่อื งมือในการดำเนนิ งานด้วย

ความสำคัญของกฎหมายการศึกษา
การดำเนินงานทางการศึกษา เปน็ บรกิ ารทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ผู้คนเปน็ จำนวนมาก ทง้ั ทเ่ี ปน็ ฝ่ายจัดการศึกษา ฝา่ ย
รบั บรกิ ารทางการศึกษา และฝ่ายทเี่ กีย่ วข้องอืน่ ๆ โดยบคุ คลดังกล่าว ต้องปฏบิ ัติและดำเนินงานตามบทบาทหน้าท่ีให้
เป็นไปตามกฎหมายทเี่ ก่ยี วข้อง เพอื่ ใหบ้ รรลุวตั ถปุ ระสงค์ทก่ี ำหนดไว้ ดงั นัน้ กฎหมายจงึ มีความสำคญั ตอ่ การ
ดำเนนิ งานทางการศกึ ษากล่าวได้ ดังน้ี
1. กฎหมายเป็นเคร่ืองมอื ในการดำเนนิ งานจดั การศกึ ษาของรฐั และเจ้าหนา้ ทท่ี เี่ กีย่ วขอ้ ง ใหส้ ามารถจัด
การศึกษาเปน็ ไปตามวตั ถปุ ระสงคแ์ ละเป้าหมายได้
2. กฎหมายการศึกษาเปน็ กรอบการดำเนินงานท่ีชว่ ยใหก้ ารบรหิ ารการศกึ ษาเปน็ ไปอยา่ งเหมาะสม มี
ประสทิ ธภิ าพ เปน็ ทยี่ อมรบั ของผรู้ ับบรกิ ารและสงั คม
3. กฎหมายการศึกษาชว่ ยให้สามารถใชก้ ารศกึ ษาพฒั นาเดก็ และเยาวชน เพ่ือเปน็ กำลังสำคญั ในการพฒั นา
ประเทศ

61

4. กฎหมายการศึกษาทำให้ประชาชนของประเทศเกดิ สทิ ธิและหน้าที่เกยี่ วกบั การศึกษา ทำให้
สามารถปฏิบัติตนตามสทิ ธแิ ละหน้าท่ไี ดอ้ ย่างเหมาะสม

ด้วยบทบาทดงั กล่าว กฎหมายและกฎหมายการศกึ ษาจึงมีความสำคัญในฐานะเป็นเคร่ืองมือดำเนนิ งาน
เกี่ยวกับการศกึ ษาของชาติ หากขาดกฎหมายแล้วอาจทำใหก้ ารจัดการศึกษาไม่บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายได้

ลักษณะของกฎหมายการศึกษา
กฎหมายการศกึ ษาเป็นกฎหมายชนดิ หนง่ึ ซึ่งตอ้ งมลี กั ษณะของกฎหมายเช่นเดียวกับกฎหมายท่ัว ๆ ไป
กล่าวคือ กฎหมายเป็นกฎเกณฑ์ทก่ี ำหนดความประพฤตขิ องบคุ คล ซง่ึ ผ้มู อี ำนาจในประเทศกำหนดขน้ึ และใช้บงั คบั ให้
ผูท้ อ่ี ย่ใู นสังกัดประเทศนนั้ ถือปฏบิ ตั ิตาม มลี กั ษณะสำคัญประกอบด้วย (มานิตย์ จุมปา, 2548)
1) ตอ้ งมีลกั ษณะเป็นกฎเกณฑท์ ี่ใชบ้ งั คบั เปน็ มาตรฐานของสงั คม
2) ตอ้ งเปน็ การกำหนดความประพฤตขิ องบุคคล
3) ตอ้ งมีสภาพบงั คับ
4) ตอ้ งมกี ระบวนการที่แนน่ อนในการดำเนินการ ใหเ้ ป็นไปตากฎ กฎเกณฑ์ในกฎหมาย
สำหรบั กฎหมายทใ่ี ช้ในประเทศไทย ตามรปู แบบเปน็ กฎหมายลายลกั ษณ์อักษร กำหนดตามศักด์ิของ
กฎหมายได้ ดังน้ี
1. รฐั ธรรมนญู เป็นกฎหมายสงู สุดของประเทศ กฎหมายใดขดั แยง้ ไม่ได้ โดยจะมเี นือ้ หาเกย่ี วกบั การใช้
อำนาจอธิปไตย ความสัมพันธ์ระหวา่ งสถาบันการเมอื ง สทิ ธเิ สรภี าพของประชาชน
2. พระราชบญั ญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนญู ใชข้ ยายความรฐั ธรรมนญู ท่ีตรา
ขนึ้ โดยพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัว เพือ่ กำหนดสาระสำคญั ในรายละเอยี ดเรือ่ งทรี่ ัฐธรรมนญู กำหนดหลักการไว้ และ
ขยายบทบัญญัติในรฐั ธรรมนญู ใหส้ มบรู ณค์ รบถว้ นขึ้น
3. พระราชบญั ญตั ิ ประมวลกฎหมาย เปน็ กฎหมายที่ตราขนึ้ โดยพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยูห่ ัว จาก
คำแนะนำและเหน็ ชอบโดยรฐั สภา
4. พระราชกำหนด เปน็ กฎหมายทีพ่ ระมหากษตั รยิ ท์ รงตราขึ้นตามคำแนะนำของคณะรฐั มนตรตี ามบท
บัญญตั ิในรฐั ธรรมนญู ใช้ในกรณจี ำเปน็ รบี ด่วนหรอื เรอ่ื งท่ีจะรกั ษาความม่นั คงในทางเศรษฐกจิ ความปลอดภัยของ
ประเทศ แตต่ ้องเสนอต่อรัฐสภาโดยเร็ว
5. พระราชกฤษฎีกา เปน็ กฎหมายทีต่ ราขึ้นโดยพระมหากษัตริย์ตามคำแนะนำของคณะรฐั มนตรี เพอ่ื กำหนด
รายละเอยี ดตามพระราชบญั ญตั ทิ ี่กำหนดไว้
6. กฎกระทรวง เปน็ กฎหมายทรี่ ัฐมนตรีตราขน้ึ ผา่ นคณะรัฐมนตรเี พอ่ื ดำเนนิ การใหเ้ ป็นไปตาม
พระราชบญั ญตั หิ รอื พระราชกำหนด
7. กฎหมายท่ตี ราข้ึนโดยองค์กรปกครองส่วนทอ้ งถ่นิ เปน็ กฎหมายขององคก์ รปกครองท้องถิน่ เชน่ เทศบาล
กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา เปน็ ตน้

62

นอกจากรปู แบบของกฎหมายดงั กล่าวแล้ว กฎหมายยงั สามารถแบง่ เป็นประเภทตา่ งๆ ไดห้ ลายลกั ษณะ ตาม
หลกั เกณฑท์ ใ่ี ช้ในการแบง่ ประเภท เช่น หลกั แหลง่ กำเนิดของกฎหมาย หลักสภาพการบังคบั ของกฎหมาย หลกั การใช้
กฎหมาย หลกั ฐานะและความสัมพันธร์ ะหวา่ งรฐั กบั ประชาชน เป็นต้น

โดยทัว่ ไปแล้วการแบ่งประเภทของกฎหมายจะยดึ หลกั ฐานะและความสัมพนั ธ์ระหว่างรฐั กบั ประชาชนเป็น
เกณฑ์ ซึง่ แบ่งประเภทกฎหมายออกเป็นกฎหมายมหาชน และกฎหมายเอกชน กลา่ วคือ

1) กฎหมายมหาชน คือ กฎหมายท่กี ำหนดสถานะและนิตสิ ัมพนั ธ์ระหว่างรัฐหรอื หนว่ ยงานของรฐั กับเอกชน
หรือหน่วยงานของรฐั ดว้ ยกนั ในฐานะทร่ี ฐั หรอื หน่วยงานของรฐั เปน็ ผปู้ กครอง เชน่ กฎหมายอาญา กฎหมายปกครอง
และกฎหมายการคลัง เป็นต้น

2) กฎหมายเอกชน คือ กฎหมายที่กำหนดสถานะและนติ ิสมั พันธ์ระหว่างเอกชนตอ่ กนั ในฐานะผู้อยู่ใต้
ปกครองทีต่ า่ งฝา่ ยตา่ งกเ็ ท่าเทยี มกันกล่าวโดยเฉพาะกฎหมายการศึกษา กจ็ ะหมายถงึ กฎเหณฑท์ ่ีรัฐหรอื ผู้มอี ำนาจ
กำหนดขึน้ เปน็ กฎขอ้ บงั คับ การปฏิบตั เิ กยี่ วกบั การบรหิ ารและจดั การศึกษา โดยมีรปู แบบทง้ั ที่เป็นพระราชบญั ญัติ
พระราชกฤษฎกี า กฎกระทรวง รวมทง้ั ข้อบังคับ ระเบยี บ คำสง่ั ที่ใช้บังคบั ในการดำเนินงานทางการศกึ ษา และมี
ลกั ษณะเป็นกฎหมายมหาชนในสาชากฎหมายปกครอง เนอื่ งจากกฎหมายการศกึ ษาส่วนใหญ่มลี กั ษณะเปน็
ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งรฐั กับเอกชน และระหว่างองค์กรของรฐั ดว้ ยกนั เชน่ พระราชบญั ญัติการศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ.
2542 พระราชบญั ญัตริ ะเบียบบริหารราชการ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร พ.ศ.2546 พระราชบญั ญัตสิ ภาครแู ละบคุ ลากร
ทางการศกึ ษา พ.ศ.2546 พระราชกฤษฎีกาจดั ต้ังโรงเรยี นมหิดลวิทยานสุ รณ์ พ.ศ.2643 กฎกระทรวงกำหนด
หลกั เกณฑแ์ ละวิธกี ารนบั อายุเดก็ เพ่อื เขา้ รับการศกึ ษาภาคบังคับ พ.ศ.2545 และระเบยี กระทรวงศกึ ษาธกิ ารว่าดว้ ย
การประเมนิ เทยี บระดับการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐานและการศึกษาระดับอดุ มศึกษาต่ำกว่าปรญิ ญา พ.ศ.2546 เปน็ ตน้

การจำแนกประเภทกฎหมายการศึกษา
กฎหมายการศกึ ษาไทย สามารถจำแนกเป็นประเภทไดห้ ลายลักษณะตามหลกั เกณฑท์ ่นี ำมาใช้ในการจำแนก
กล่าวคือ หากจำแนกตามศกั ดข์ิ องกฎหมายสามารถแบง่ ประเภทออกเปน็
1) กฎหมายแม่บท ไดแ้ ก่ รฐั ธรรมนญู
2) กฎหมายลูกบท ได้แก่ กฎหมายทอี่ อกตามท่รี ัฐธรรมนญู กำหนดไว้
หากจำแนกตามลกั ษณะการออกกฎหมาย สามารถแบ่งประเภทออกเป็น
1) กฎหมายหลัก ไดแ้ ก่ กฎหมายท่อี อกโดยฝ่ายนติ ิบญั ญตั ิ ประกอบด้วย พระราชบัญญัติตา่ งๆ
2) กฎหมายรอง ไดแ้ ก่ กฎหมายที่ออกโดยฝ่ายบรหิ าร ซง่ึ อาศยั อำนาจตามทก่ี ำหนดไวใ้ นกฎหมายหลกั
ประกอบดว้ ย กฎกระทรวง ระเบียบ ข้อบงั คับ เป็นตน้
ในทนี่ ้จี ะขอจำแนกประเภทตามลกั ษณะสาระสำคญั ของกฎหมาย ซงึ่ สามารถแบ่งกฎหมายการศึกษา
ออกเป็น 5 ประเภท ดงั นี้
1. กฎหมายแม่บททางการศกึ ษา ไดแ้ ก่ รฐั ธรรมนญู และกฎหมายท่ใี ห้อำนาจในการออกกฎหมายการศึกษา
อื่นๆ ได้แก่

63

1.1 รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย
1.2 พระราชบญั ญตั ิการศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และท่แี กไ้ ขเพมิ่ เตมิ (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2545(ฉบับ
ที่ 3) พ.ศ. 2553 (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562
1.3 พระราชบญั ญตั ปิ รับปรงุ กระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.2545
2. กฎหมายว่าด้วยการจดั การโครงสรา้ งและการบริหารจดั การทางการศึกษา ได้แก่
2.1 พระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บบรหิ ารราชการกระทรวงศกึ ษาธกิ าร พ.ศ.2546 และกฎกระทรวง
ระเบยี บทอี่ อกตามพระราชบญั ญัติฉบบั น้ี
2.2 พระราชบญั ญัติว่าดว้ ยการบรหิ ารจดั การศกึ ษาเฉพาะดา้ น เช่น พระราชบัญญัตกิ ารอาชีวศกึ ษา
พ.ศ.2550 พระราชบญั ญัตโิ รงเรียนเอกชน พ.ศ.2550 พระราชบญั ญตั ิการศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม
อัธยาศัย และพระราชบญั ญตั จิ ัดต้งั สถาบันอุดมศกึ ษาเอกชน พ.ศ.2546 เป็นต้น
2.3 พระราชบญั ญัติจัดตง้ั สถานศึกษาเป็นการเฉพาะแห่ง เชน่ พระราชบญั ญัตมิ หาวทิ ยาลัยราชภฎั
พระราชบัญญตั มิ หาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคล เปน็ ต้น
3. กฎหมายว่าด้วยการประกอบวชิ าชพี ทางการศึกษา ไดแ้ ก่ พระราชบญั ญตั สิ ภาครูและบคุ ลากรทางการ
ศกึ ษา พ.ศ.2546 และกฎกระทรวง ข้อบงั คบั ประกาศ คำสง่ั ทอ่ี อกตามพระราชบญั ญตั ินี้
4. กฎหมายวา่ ด้วยการบริหารงานบคุ คลทางการศกึ ษา ไดแ้ ก่
4.1 พระราชบญั ญัตริ ะเบยี บข้าราชการครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา พ.ศ.2547 และแก้ไขเพิม่ เตมิ
(ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2551, (ฉบับท่ี 3) พ.ศ. 2553, (ฉบบั ท่ี 4) พ.ศ. 2562
4.2 พระราชบญั ญตั เิ งนิ เดอื น เงนิ วิทยฐานะ และเงนิ ประจำตำแหนง่ ขา้ ราชการครูและบคุ ลากร
ทางการศกึ ษา พ.ศ.2547
4.3 พระราชบญั ญตั ิระเบียบข้าราชการพลเรอื นในสถาบันอดุ มศึกษา พ.ศ.2547
4.4 พระราชกฤษฎีกา การปรบั อัตราเงนิ เดอื นของข้าราชการและบุคลากรทางศึกษา พ.ศ.2549 และที่
แก้ไขเพิม่ เตมิ (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ.2550
5. กฎหมายทเี่ ก่ยี วขอ้ งกบั การบรหิ ารจัดการศกึ ษา ไดแ้ ก่ กฎหมายทเ่ี กีย่ วขอ้ งกบั การบรหิ าร
จัดการศกึ ษาทผ่ี ้บู รหิ ารการศึกษาและผูเ้ กย่ี วข้องจะตอ้ งนำมาใชป้ ระกอบการดำเนนิ งาน กล่าวคอื
5.1 พระราชบญั ญัตคิ มุ้ ครองเดก็ พ.ศ.2546
5.2 พระราชบญั ญตั ิความรบั ผดิ ชอบทางละเมิดของเจา้ หน้าที่ พ.ศ.2539
5.3 พระราชบญั ญตั ขิ ้อมลู ขา่ วสารของทางราชการ พ.ศ.2540
5.4 พระราชบญั ญัติวิธปี ฏบิ ัตริ าชการทางปกครอง พ.ศ.2539
5.5 พระราชบญั ญตั จิ ัดตง้ั ศาลปกครองและวธิ ีพจิ ารณาคดปี กครอง พ.ศ.2542
5.6 พระราชกฤษฎีกาวา่ ด้วยหลักเกณฑแ์ ละวิธกี ารบรหิ ารกจิ การบา้ นเมอื งทดี่ ี พ.ศ.2546

64

นอกจากนี้ กฎหมายเกี่ยวกบั การศกึ ษา ประกอบด้วย พระราชบญั ญตั ิ พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวงและ

อ่ืน ๆซึ่งจดั หมวดหมไู่ ด้ 12 หมวด ดงั นี้

1. โครงสรา้ งการบรหิ าร 7. อุดมศกึ ษาเอกชน

2. การศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน 8. ครูและบุคลากรทางการศกึ ษา

3. อาชีวศกึ ษา 9. วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

4. การศกึ ษาเอกชน 10. เดก็ เยาวชน คนพิกาผ้สู ูงอายุ

5. การสง่ เสริมการศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัย 11. เดก็ เยาวชน คนพกิ าผ้สู งู อายุ

6. อุดมศึกษา 12. อ่ืน ๆ

การบังคับใช้กฎหมายการศึกษา
การใชก้ ฎหมาย (Application of Law) มีความหมายสองประการ คอื

1) การใชก้ ฎหมายในทางทฤษฎี เปน็ การนำกฎหมายไปใช้แกบ่ ุคคลในเวลาและสถานที่หรือตาม
เหตกุ ารณ์หรือเง่ือนไข ในเวลาหนง่ึ ๆ ซึ่งจะสัมพันธก์ บั เจตนารมณข์ องกฎหมายนน้ั ๆ

2) การใช้กฎหมายในทางปฏิบตั ิ เปน็ การนำกฎหมายไปปรบั ใชแ้ ก่คดี หรอื เหตุการณท์ เี่ กิดขน้ึ โดย
เฉพาะเจาะจง เพอื่ หาคำตอบหรอื เพ่อื วนิ จิ ฉัยพฤตกิ รรมของบคุ คลหนง่ึ ในเหตกุ ารณห์ นึ่ง ซึ่งเรยี กว่าการปรับใชบ้ ท
กฎหมาย การใช้กฎหมายในทางปฏบิ ัติ ต้องทำด้วยความระมัดระวงั เพราะอาจตคี วามผดิ หรือนำเอาบทบัญญัติทเ่ี ป็น
ขอ้ ยกเวน้ มาใช้ โดยลมื นึกถงึ ส่วนทเี่ ปน็ หลักเมืองหรือนำเอาสว่ นท่ีเปน็ หลักมาใช้ โดยไม่รวู้ า่ เป็นขอ้ ยกเว้น (วษิ ณุ เครอื
งาม, 2538)อย่างไรกต็ ามนักบรหิ ารการศกึ ษาในฐานะผรู้ บั ผดิ ชอบดำเนนิ งานใหอ้ งค์การบรรลเุ ปา้ หมายทีว่ างไว้จะตอ้ ง
เลือกใช้กฎหมายอยา่ งเหมาะสม และสอดคล้องกบั เจตนารมณ์ของกฎหมายนนั้ ๆ ซง่ึ มีแนวทางพอสรุปได้ ดังนี้

(1) ผู้บริหารการศกึ ษาตอ้ งรกู้ ฎหมายเกี่ยวกบั บทบาทหนา้ ทข่ี องตน เข้าใจ และสามารถปรบั
กฎหมายใชก้ ับเหตุการณ์ทเ่ี กดิ ขึ้นได้

(2) ผู้บริหารการศึกษาตอ้ งมคี วามสุจริตในการปฏิบตั ิงาน ซง่ึ เป็นเจตนาท่ีดีในการปฏบิ ัตงิ านตาม
แนวทางที่กฎหมายกำหนดไว้

(3) ผูบ้ ริหารการศกึ ษาตอ้ งถอื กฎหมายเปน็ เครอ่ื งมอื ในการบรหิ ารงานไปสู่ความสำเรจ็ กฎหมาย
ไม่ใช่สิง่ ขดั ขวางการปฏบิ ัติงาน ดงั น้นั ผบู้ รหิ ารการศึกษาจะต้องเฉลยี วฉลาด และมีไหวพรบิ เพยี งพอทจี่ ะใชก้ ฎหมายให้
เกดิ ประโยชน์ตอ่ การบรหิ ารและจดั การศึกษาใหไ้ ด้

การใช้กฎหมายในการบรหิ ารและจัดการศกึ ษาใหเ้ กดิ ประโยชน์สูงสุด ผบู้ รหิ ารการศึกษาจะต้องมคี วามรอบรู้
และเขา้ ใจกฎหมายทเ่ี ก่ียวข้องกบั บทบาทหน้าที่ มีความสุจรติ และมไี หวพรบิ ทจี่ ะใช้กฎหมายตามเจตนารมณอ์ ย่าง
แท้จรงิ

65

สรุป กฎหมายการศึกษา
กฎหมายการศกึ ษา หมายถงึ กฎเกณฑท์ ร่ี ัฐหรือผมู้ อี ำนาจกำหนดขนึ้ เป็นกฎข้อบงั คับการปฏิบัตเิ กี่ยวกับการ
บรหิ ารและการจดั การศึกษา โดยมรี ปู แบบทัง้ ทเี่ ปน็ พระราชบญั ญัติ พระราชกฤษฎกี า กฎกระทรวง รวมทัง้ ข้อบังคับ
ระเบียบ คำสง่ั ทีใ่ ชบ้ งั คับในการดำเนินงานเกี่ยวกับการศกึ ษา รวมถงึ กฎหมายมหาชนในสาขากฎหมายปกครองด้วย
เพราะว่าส่วนใหญจ่ ะมีความเก่ยี วข้องกนั ระหวา่ งรัฐกับเอกชน หรือรฐั กับรัฐด้วยกนั

2. การปฏริ ปู การศกึ ษา

เหลียวหลงั แลหนา้ การปฏริ ปู การศกึ ษาไทย โดย ศาสตราจารย์ ดร. วิจิตร ศรีสอา้ น เปน็ การปฏิรูป
การศกึ ษาไทย โดยแบ่งออกเป็น “ เหลยี วหลงั ” และ “ แลหน้า ” เปน็ การปฏริ ปู 4 ครัง้ ทเ่ี กดิ ข้ึนในประเทศไทย
ต้งั แตส่ มัยอดีตมาถึงปจั จบุ นั และมองไปถงึ อนาคตของการศกึ ษาประเทสไทยอกี ดว้ ย

เหลียวหลัง : การปฏิรปู การศึกษาไทยก่อนการเปลีย่ นแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นการศึกษาเพอื่
ความทันสมยั บนรากฐานของวัฒนธรรมไทย โดยเปน็ การปฏริ ูปการศึกษาและพฒั นาระบบ และกระบวนการจดั
การศกึ ษาอย่างตอ่ เน่ือง ตัง้ แตส่ มัย รชั กาลท่ี 5-6-7 จากการศกึ ษาในวดั วงั ครวั เรือน มาเป็นการศกึ ษาในดรงเรียน มี
การจัดทำโครงการศึกษา ซึ่งเปน็ ตนั กำเนดิ ของการศกึ ษาแหง่ ชาติ มกี ารจัดทำหลักสูตรทเี่ หมาะสมกบั สงั คมไทย จดั ต้ัง
โรงเรียนประถม มธั ยม ฝกึ อาชพี ฝึกหัดครู และมหาวิทยาลยั สอดคลอ้ งกบั สภาพเศรษฐกจิ และสงั คม เปน็ การ
วางรากฐานการศึกษาสมยั ใหมต่ ่อเนอ่ื ง ถงึ ยคุ หลังเปล่ียนแปลงการปกครอง : การศึกษาเพือ่ ความทันสมยั

การปฏิรูปการศึกษาไทยก่อนการเปลย่ี นแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 วางพ้นื ฐานเพอื่ ปฏริ ปู
การศกึ ษาสู่สังคมแหง่ ปญั ญาและการเรียนรู้
ครง้ั ที่ 1 พ.ศ. 2417 : รฐั บาลนายสญั ญา รวมสทิ ธิ์ ไดแ้ ต่งตง้ั คระกรรมการวางพื้นฐานการศกึ ษา มี
นกั วชิ าการและบรหิ ารการศึกษา รวม 22 คน ทำการศึกษา วเิ คราะห์ วิจัย และรับฟงั ความคดิ เห็นอย่างกวา้ งขวา้ ง
เพ่อื ตอบโจทย์เชิงหลกั การ 4 ประการ ไดแ้ ก่

1. การศกึ ษาท่ีพงึ ประสงค์มลี กั ษณะอย่างไร
2. จดั เพือ่ อะไร
3. เพื่อใครและจัดอย่างไร
4. เสนอรายงานปฏริ ปู “ การศกึ ษาเพอ่ื ชีวิตและสังคม ”
ครงั้ ท่ี 2 พ.ศ.2537 : เปน็ การปฏริ ูปการศึกษาโดยภาคเอกชน นำโดย นายบณั ฑรู ล่ำซำ กรรมการผจู้ ัดการ
ธนาคารกสิกรไทย ได้สนับสนุนให้มกี ารปฏิรูปการศกึ ษาเปน็ กิจกรรมหน่ึง เนอื่ งโอกาสครบ 50 ปี ของธนาคารฯ โดย
เชญิ คระนักวิชาการ นักการศึกษา และผบู้ รหิ าร ทัง้ ภาครฐั และเอกชนกว่า 30 คน เป็น คระศึกษา “ การศกึ ษาไทย
ในยุคโลกาววิ ัฒน์ ” แล้ว สรปุ เปน็ รายงาน “ การศกึ ษาไทยในยคุ ดลกาววิ ฒั น์และสู่ความกา้ วหนา้ และความมัน่ คง

66

ของชาตใิ นทศวรรษหนา้ ” นำเสนอต่อองค์กรและบคุ คลทง้ั ภาครฐั และเอกชนเพอ่ื กระต้นุ ใหเ้ ห็นความสำคญั ของการ
ปฏริ ปู การศกึ ษาในลกั ษณะ “ ยทุ ธศาสตรก์ ารศึกษาไทยในยคุ โลกาภิวตั น์ ”

ครงั้ ท่ี 3 พ.ศ. 2542 : รฐั บาล นายชวน หลีกภัย ไดแ้ ตง่ ต้ังคระกรรมการการปฏิรปู การศกึ ษา
ประกอบดว้ ยนกั การเมอื ง นกั ศกึ ษา นกั วิชาการ และนกั บรหิ ารการศกึ ษา รว่ มศกึ ษาวจิ ัยและประมวลข้อคดิ เหน็ อย่าง
กวา้ งขวาง จัดใหม้ ีการปฏิรปู ทางการศึกษาไทยทง้ั ระบบและครบกระบวนการ รวมทง้ั ยกรา่ ง พ.ร.บ.การศึกษา
แหง่ ชาติเสนอต่อรฐั สภา เปน็ พ.ร.บ.แมบ่ ทของการปฏิรปู และการจดั การศึกษาไทย ตัง้ แต่ พ.ศ. 2542 ตอ่ เน่ืองถึง
พ.ศ. 2560

พระราชบัญญตั กิ ารศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แบง่ ออกไดเ้ ปน็ 4 ฉบบั ไดแ้ ก่
▪ ฉบบั ท่ี 1 พระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 พระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทร มหาภูมพิ ลอ

ดลุ ยเดช ให้ไว้ ณ วันที่ 14 สงิ หาคม พ.ศ. 2542
▪ ฉบับที่ 2 พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2545

พระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทร มหาภูมพิ ลอดุลยเดช ให้ไว้ ณ วันท่ี 8 ธันวาคม พ.ศ. 2545
▪ ฉบับที่ 3 พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2553

พระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทร มหาภมู ิพลอดลุ ยเดช ใหไ้ ว้ ณ วันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
▪ ฉบับที่ 4 พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2562

พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดลุ ยเดช ให้ไว้ ณ วันท่ี 26 เมษายน พ.ศ. 2562

แลหน้า : การปฏิรปู การศกึ ษาตามยทุ ธศาสตรช์ าติ 20 ปี ประเทศไทย 4.0 ปฏิรูปการศกึ ษา
เพ่อื การพฒั นาประเทสไทย 4.0

ครัง้ ที่ 4 พ.ศ. 2560 - ปัจจุบนั : รัฐบาล คสช. ได้จดั ใหม้ ีสภาปฏิรูปประเทสไทยศกึ ษาและเสนอยทุ ธศาสตร์
ปฏิรปู ประเทสไทยด้านต่างๆ รวมท้งั ดา้ นการศึกษา ข้อเสนอของสภาปฏริ ปู และรัฐบาลไดน้ ำไปเป็นบทบญั ญัติ ส่วน
หนง่ึ ของรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย และ พ.ร.บ.สำคญั ดา้ นต่างๆรวาวมท้ังร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแหง่ ชาตฉิ บบั
ใหม่ เป้นการปฏริ ปู การศกึ ษาเพอ่ื พัฒนาประเทศไทย 4.0 ตามยุทธศาสตรช์ าติ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579)

1. บทบญั ญตั เิ กยี่ วกับการศกึ ษาของรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2560
หน้าท่ขี องปวงชนชาวไทยและหน้าทีข่ องรฐั ในการเข้ารบั และจัดการศกึ ษา ตามรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย
พ.ศ. 2560

หนา้ ทขี่ องปวงชนชาวไทย
- มาตรา 50 (4) เขา้ รบั การศกึ ษาอบรมในการศกึ ษาภาคบังคบั
- พ.ร.บ.การศึกษาภาคบงั คับ พ.ศ. 2545 กำหนดให้บดิ า มารดา หรือผู้ปกครองมีหนา้ ที่จดั ให้บุตรหรอื
บุคคลซง่ึ อยใู่ นความดแุ ลได้รบั การศึกษาภาคบงั คบั จำนวน 9 ปี โดยให้เด้กซง่ึ มีอายุยา่ งเข้าปที เ่ี จด็ เข้าเรยี นใน

67

สถานศึกษาจนอายยุ ่างเขา้ ปที ส่ี ิบหก เว้นแตจ่ ะสอบได้ปีทเ่ี กา้ ของการศึกษาภาคบงั คับ ผูป้ กครองท่ีไมป่ ฏบิ ัตติ ามตอ้ ง
ระวางโทษปรบั ไม่เกินหน่งึ พันบาท

หนา้ ทีข่ องรฐั
- มาตรา 54 รับต้องดำเนินการให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาเป็นเวลาสิบสิงปีตั้งแต่ก่อนวัยเรียนจนจบ
การศึกษาภาคบังคับอย่างมีคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใชจ้ ่ายรับตอ้ งดำเนินการให้เด็กเลก็ ได้รับการดแู ลและพัฒนาก่อน
เขา้ รบั การศกึ ษาตามวรรคหนึง่ เพ่อื พฒั นารา่ งกาย จิตใจ วนิ ัย อารมณ์ สงั คม และสติปัญญาให้สมวัย โดยส่งเสริมและ
สนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคเอกชนเข้ามีส่วนร่วมในการดำเนินการด้วย รัฐต้องดำเนินการให้
ประชาชนได้รับการศึกษาตามความต้องการในระบบต่างๆ รวมทั้งส่งเสริมให้มีการเรียนรู้ตลอดชวี ิตและจัดให้มีการ
ร่วมมือกันระหว่างรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคเอกชนในการจัดการศึกษาทุกระดับ โดยรัฐมีหน้าท่ี
ดำเนนิ การกำกับสง่ เสริมและสนบั สนนุ ใหก้ ารจดั การศกึ ษาดังกลา่ วมีคุณภาพและได้มาตรฐานสากล ทง้ั นี้ตามกฎหมาย
ว่าด้วยการศกึ ษาแห่งชาตซิ ่ึงอย่างนอ้ ยต้องมีบทบัญญัตเิ ก่ียวกบั การจดั ทำแผนการศึกษาแหง่ ชาติ และการดำเนินการ
และตรวจสอบการดำเนนิ การให้เป็นไปตามแผนการศึกษาแหง่ าติดว้ ย การศึกษาท้งั ปวงต้องมุ่งพฒั นาผูเ้ รยี นใหเ้ ปน็ คน
ดี มวี นิ ยั ภมู ใิ จในชาติ สามารถเชย่ี วชาญไดต้ ามความถนัดของตน และมคี วามรับผิดชอบต่อครอบครวั ชุมชน สังคม
และประเทศชาติ ในการดำเนินการให้เด็กเล็กได้รับการดูแลและพัฒนาตาม วรรคสอง หรือให้ประชาชนได้รับ
การศึกษาตามวรรคสาม รฐั ต้องดำเนนิ การใหผ้ ู้ขาดแคลนทุนทรพั ยไ์ ดร้ บั การสนันสนนุ ค่าใช้จา่ ยในการศึกษาตามความ
ถนนั ของตนเอง ใหจ้ ดั ต้งั กองทุนเพื่อใช้ในการช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรพั ย์เพ่ือลดความเลือ่ มลำ้ ในการศึกษา และ
เพือ่ เสริมสรา้ งและพัฒนาคุณภาพและประสทิ ธภิ าพครู โดยให้รฐั จดั สรรงบประมาณใหแ้ กก่ องทนุ หรอื ใช้มาตรการหรอื
กลไกลทางภาษรี วมทัง้ การให้ผ้บู รจิ าคทรพั ยส์ นิ เขา้ กองทนุ ไดร้ บั การลดหยอ่ นภาษีดว้ ย ท้ังนต้ี ามที่กกหมายบญั ญตั ซิ ่ึง
อย่างน้อยต้องกำหนดให้การบริหารจัดการกองทุนเป็นอิสระ แลพกำหนดให้มีการจ่ายเงินกองทุนเพื่อบรรลุ
วตั ถุประสงคด์ งั กลา่

การปฏิรูปประเทศดา้ นการศกึ ษา
ด้านการศึกษา
1) ให้สามารถเรมิ่ ดำเนินการใหเ้ ด็กไดร้ บั การดูแลและพฒั นากอ่ นเข้ารบั การศกึ ษาตามมาตรา 54 วรรคสอง
เพื่อใหเ้ ด็กเลก็ ไดร้ ับการพฒั นารา่ งกาย จติ ใจ วินัย อารมณ์ สงั คมและสตปิ ญั ญาใหส้ มกบั วัยโดยไม่เกบ็ คา่ ใช้จา่ ย
2) ใหด้ ำเนินการตรากฎหมายเพื่อจัดตงั้ กองทุนตามมาตรา 54 วรรคหก ให้แล้วเสรจ็ ภายในหนง่ึ ปี นบั ตัง้ แต่
วนั ประกาศใชร้ ัฐธรรมนญู นี้
3) ใหม้ กี ลไกและระบบการผลติ คดั กรอง และพัฒนาผปู้ ระกอบวชิ าชพี ครูและอาจารยใ์ หไ้ ดผ้ ้มู จี ติ วิญญาณ
ของความเป็นครู มีความรคู้ วามสามารถอย่างแทจ้ รงิ ไดร้ บั ค่าตอบแทนทเ่ี หมาะสมกบั ความสมารถและประสทิ ธภิ าพ
ในการสอน รวมทั้งกลไกสรา้ งระบบคุณธรรมในการบริหารงานบคุ คลของผ้ปู ระกอบวชิ าชพี ครู

68

4) ปรบั ปรงุ การจดั การเรยี นการสอนทุกระดบั เพอื่ ใหผ้ ูเ้ รยี นสามารถเรยี นได้ตามความถนัด และปรบั ปรงุ
โครงสร้างของหน่วยงานทเ่ี ก่ียวข้องเพ่ือบรรลุเปาหมายดกั ลา่ ว โดยสอดคล้องกนั ทั้งในระดับชาตแิ ละระดบั พ้ืนท่ี ให้มี
คณะกรรมการทม่ี คี วามเป็นอสิ ระคระหนงึ่ ทคี่ ระรัฐมนตรีแตง่ ต้ังดำเนนิ การศึกษา และจดั ทำขอ้ เสนอแนะและร่างกก
หมายให้แลว้ เสรจ็ และเสนอต่อคระรัฐมนตรีภายในสองปี นบั แต่วนั ที่ไดร้ ับการแต่งตัง้

2. รา่ งพ.ร.บ. การศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ..... ฉบบั ผา่ น ครม. เม่ือ 24 ตลุ าคม 2561
เร่อื งที่เปลย่ี นแปลงอยา่ งมีนัยสำคญั จาก พ.ร.บ. การศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แกไ้ ขเพิ่มเติม (บบั ที่ 2) พ.ศ.
2545 และ (ฉบบั ท่ี 3 ) พ.ศ. 2553
- มาตรา 5 ให้นายกรฐั มนตรรี ักษาการตาม พ.ร.บ. น้ี (เดมิ ให้ ร.ม.ต. ศึกษาธิการรักษาการ)
- มาตรา 11 กำหนดการศึกษาภาคบังคับเปน็ สบิ สองปี เร่ิมตงั้ แต่การศึกษากอ่ นวยั เรยี นจนจบการศกึ ษาภาค
บังคับ ( เดมิ บงั คบั 9 ปี นับจาก ป.1 )
- มาตรา 16 การจัดการศึกษา สามระบบ : การศกึ ษาเพอื่ คุณวฒุ ,ิ เพอื่ การดำรงชวี ติ , ตามอธั ยาศยั ( เดมิ
การศึกาในระบบ, นอกระบบ, ตามอัธยาศัย)
- มาตรา 28 ให้มหี นว่ ยงานอสิ ระของรัฐ : สถาบันหลกั สตู รและการเรียนรแู้ ห่งชาติ ทำหนา้ ที่ศกึ ษาวจิ ัย สรา้ ง
องคค์ วามรู้พฒั นาและเผยแพร่ หลักสูตรแกนกลาง ฯลฯ
- มาตรา 37, 39 และ 42 เน้นสถานศกึ ษาเป็นองค์กรหลกั ทม่ี ีความเป็นอสิ ระในการจัดการศกึ ษา โดยมี คระ
กรรมการสถานศึกษาทุกระดับ
- มาตรา 57, 59 และ 61 กำหนดให้กระทรวงศึกษาธิการ กำกบั ดุแลระบบการศึกษา และกระจายอำนาจ
การจัดการศึกษาไปยังสถานศึกษา โดยจัดให้มีสมัชชาการศึกษา ระดับจังหวัดเพื่อศึกษา และ เสนอแนวทางการ
พัฒนาการศึกษาของจังหวัด (เดมิ กำหนดใหม้ ีเขตพ้นื ทแ่ี ทนจังหวดั )
- มาตรา 62-64 จดั ระบบการพฒั นาครุ ภาพ มีทงั้ ระบบประกันคณุ ภาพการศึกษา, ประเมนิ คุรภาพ และ
รบั รองคุณภาพ ผเดมิ มรี ะบบประกันคุรภาพภายในและภายนอก)
- มาตรา 85-93 จดั ให้มคี ระกรรมการนดยบายการศกึ ษาแห่งชาติดดยมี นายกรฐั มนตรเี ป็นประธาน มอี ำนาจ
และหนา้ ทีจ่ ดั ทำแผนการศกึ ษาแหง่ ชาติ แผนงบประมาณ แผนอตั รากำลงั คนนโยบายการศกึ ษาของชาตทิ ุกระบบและ
ทุกระดับ จัดทำและพัฒนากฎหมายการศึกษา นโยบายและทิศทางการทำวิจัยและนวัตกรรม สนับสนุน การ
ดำเนินการของสมัชชาการศึกษาระดับจังหวัด สนับสนุนการขับเคลื่อนการปฏิ รูปการศึกษา มีสำนักงาน
คณะกรรมการนโยบายการศึกษาแห่งชาติ เป็นส่วนราชการที่มีฐานะเป็นนิติบุคคล (เดิมมีสภาการศึกษา ของ
กระทรวงศึกษาธิการ ที่มีอำนาจและหน้าทีน่ ้อยกว่า และเป็นหน่วยงานระดับกระทรวงที่มี ร.ม.ต. ศึกษาธิการเป็น
ประธาน)

69

3. เปรียบเทยี บสาระบัญญัตสิ ำคญั ระหวา่ ง พ.ร.บ.การศกึ ษาแห่งชาติ

เปรียบเทียบสาระบญั ญัตสิ ำคญั ระหวา่ ง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ

ฉบบั พ.ศ. 2542 ฉบับ พ.ศ. 2562

1. หมวด 1 บทท่ัวไป: ความมงุ่ หมายและหลกั การ 1.มาตรา 1 พระราชบญั ญตั นิ เ้ี รยี กวา่

“ พระราชบญั ญัตกิ ารศึกษาแหง่ ชาต”ิ (ฉบบั ที่ 4 ) พ.ศ.

2562

2. หมวด 2 สิทธิและหนา้ ทที่ างการศึกษา 2.มาตรา

2 พระราชบัญญัตนิ ี้ใหใ้ ชบ้ งั คบั ตั้งแต่วนั ถดั จากวนั

ประกาศในราชกิจจานเุ บกษา

เป็นตน้ ไป

เปรยี บเทียบสาระบญั ญตั สิ ำคญั ระหว่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ

ฉบับ พ.ศ. 2542 ฉบับ พ.ศ. 2542

3. หมวด 3 ระบบการศึกษา 3.มาตรา 3 ใหย้ กเลกิ ความในมาตรา 31 และ 32

พระราชบัญญัตกิ ารศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 ซ่งึ แกไ้ ข

เพ่ิมเตมิ โดยพระราชบญั ญตั ิการศึกษาแหง่ ชาติ (ฉบบั ที่2)

คอื

มาตรา 31 กระทรวงมีอำนาจหน้าทเ่ี กยี่ วกบั การสง่ เสริม

และก ากบั ดูแลการศกึ ษาทกุ ระดับ ทกุ ประเภท และการ

อาชีวศกึ ษา แต่ไมร่ วมถึงการศกึ ษาระดับอุดมศึกษาทอ่ี ยู่

ในอำนาจหนา้ ทข่ี องกระทรวงอ่ืน ที่มี

4.หมวด 4 แนวทางการจัดการศึกษา 3 รปู แบบ 4.มาตรา 4 ให้เพมิ่ เติมเป็นมาตรา 32/1 และมาตรา 32/2

ในระบบ นอกระบบ และตามอธั ยาศัย มาตรา 32/1 กระทรวงการอุดมศกึ ษา วทิ ยาศาสตร์ วจิ ัย

และนวัตกรรม มอี านาจหนา้ ท่ี เก่ียวกบั การส่งเสรมิ

สนับสนุน และกำกบั การอดุ มศึกษา วิทยาศาสตร์ การ

วจิ ยั และการสรา้ งสรรค์ นวตั กรรม เพอ่ื ใหก้ ารพฒั นา

ประเทศเท่าทนั การเปลี่ยนแปลงของโลกและราชการอืน่

ตามทม่ี กี ฎหมาย มาตรา 32/2 การจัดระเบยี บราชการ

กระทรวงการอุดมศกึ ษา วทิ ยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

ใหเ้ ปน็ ไปตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น

70

5. หมวด 5 การบรหิ ารและการจัดการศึกษา มาตรา 5 ใหย้ กเลิกวรรคสามของมาตรา 34 แห่ง

สว่ นที่ 1 การบรหิ ารและการจดั การศึกษาของรฐั จัด พระราชบญั ญตั กิ ารศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 ซงึ่ แก้ไข

ในรปู สภาและคณะกรรมการส่ือองคก์ ร เพ่มิ เตมิ โดยพระราชบญั ญตั กิ ารศึกษาแหง่ ชาติ (ฉบับท่ี 2)

สว่ นที่ 2การบริหารและการจดั การศึกษาขององคก์ ร พ.ศ. 2545

ปกครองสว่ นทอ้ งถิ่น

ส่วนที่ 3 การบรหิ ารและจดั การศึกษาเอกชน

6. หมวด 6 มาตรฐานและการประกันคณุ ภาพ มาตรา 6 ใหเ้ พ่มิ ความตอ่ ไปนเ้ี ป็นมาตรา 35/1 แหง่

การศึกษา: ภายในและภายนอก พระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542“มาตรา

35/1 ให้มคี ณะกรรมการการอดุ มศกึ ษา มีหน้าท่พี จิ ารณา

เสนอนโยบาย แผนพฒั นา และมาตรฐานการอุดมศกึ ษาท่ี

สอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการตามแผนพฒั นาเศรษฐกจิ และ

สังคมแหง่ ชาติ และแผนการศกึ ษาแหง่ ชาติ การสนบั สนนุ

ทรัพยากร การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการจัด

7. หมวด 7 ครคู ณาจารยแ์ ละบคุ ลากรทาง มาตรา ๗ ให้ยกเลิกความในมาตรา 47 แห่ง

การศึกษากำหนดให้ครู ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษาและ พระราชบญั ญตั กิ ารศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 และให้ใช้

ศกึ ษานิเทศก์เปน็ วิชาชพี ชั้นสูง ความตอ่ ไปน้ีแทน “มาตรา 47 ให้มรี ะบบการประกนั

คณุ ภาพการศกึ ษาเพือ่ พฒั นาคณุ ภาพและมาตรฐาน

การศึกษา ของการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน และการศึกษา

ระดับอุดมศกึ ษา ประกอบด้วย ระบบการประกนั คุณภาพ

ภายใน และระบบการประกนั คณุ ภาพภายนอก

8. หมวด 8 ทรัพยากรและการลงทนุ เพื่อการศกึ ษา มาตรา 8 ให้ยกเลิกความในมาตรา 49 แห่ง

พระราชบัญญตั กิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 และให้ใช้

ความต่อไปน้ีแทน “มาตรา 49 ให้มีส านกั งานรับรอง

มาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา มีฐานะเปน็

องค์การมหาชนทำหน้าทพี่ ัฒนาเกณฑ์ วธิ ีการประเมนิ

คณุ ภาพภายนอก และทำการประเมินผลการจัดการศึกษา

9. หมวด 9 เทคโนโลยเี พือ่ การศกึ ษา กำหนดใหร้ ฐั ต้อง มาตรา 9 ใหย้ กเลิกความในมาตรา 51 แห่ง

จดั สรรคลน่ื ความถ่เี พอ่ื ใชป้ ระโยชน์สำหรับการศึกษา พระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 ซงึ่ แกไ้ ข

เพม่ิ เตมิ โดยพระราชบญั ญตั ิการศึกษาแหง่ ชาติ (ฉบบั ท่ี 2)

พ.ศ. 2545 และ ใหใ้ ช้ความตอ่ ไปน้ีแทน “มาตรา 51 ใน

กรณีทผี่ ลการประเมนิ ภายนอกของสถานศกึ ษาใดไมไ่ ด้

71

บทเฉพาะกาล ตามมาตรฐานทก่ี ำหนด ใหส้ ำนกั งานรับรองมาตรฐานและ
ใหจ้ ดั ตงั้ สำนกั งานปฏิรปู การศึกษาเป็นองค์กร ประเมินคุณภาพการศึกษาจดั ทำขอ้ เสนอแนะการ
ปรับปรงุ แก้ไขตอ่ หน่วยงาน ต้นสงั กดั เพอ่ื ใหส้ ถานศกึ ษา
มหาชนเฉพาะกิจ ในระยะไมเ่ กิน3 ปี แรกของการ ปฏิรปู ปรบั ปรงุ แก้ไขภายในระยะเวลาทีก่ ำหนด
การศึกษา เพอ่ื จดั โครงสร้างจัดระบบครคู ณาจารยแ์ ละ บทเฉพาะ
บคุ ลากรทางการศกึ ษาจดั ระบบ ทรัพยากรและการลงทนุ ในการประกาศใชพ้ ระราชบญั ญัตฉิ บบั นี้ คือ โดยทเ่ี ป็นการ
เพ่อื การศกึ ษารา่ งและ เสนอแนะการปรับปรุงแก้ไข สมควรแก้ไขเพ่มิ เตมิ กฎหมาย วา่ ดว้ ยการศึกษาแหง่ ชาติ เพอ่ื
กฎหมายให้สอดคลอ้ ง กบั พ.ร.บ.การศกึ ษาแหง่ ชาติ กำหนดขอบเขตในการดำเนินการของกระทรวงศกึ ษาธิการ
และหน่วยงานอืน่ ให้สอดคลอ้ งกบั อำนาจหน้าที่ที่
เปลย่ี นแปลงไป เนือ่ งจากมรการจดั ตง้ั กระทรวงการอดุ ท
ศึกษา วทิ ยาศาสตร์ วจิ ยั และนวัตกรรม จงึ จำเปน็ ตอ้ งตรา
พระราชบัญญตั ินี้

4. แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560-2579

72

73

สรุป การปฏิรูปการศึกษา
ประเทศไทยในระยะหลงั จาการเปล่ียนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 รฐั บาลไดจ้ ัดให้มีการปฏิรปู การศกึ ษา
เพ่อื ใหก้ ้าวทันกับการเปลยี่ นแปลงทง้ั ในประชาคมโลกและภายในประเทศถงึ 4 คร้งั แต่การนำผลการปฏิรปู ไปสกู่ าร
ปฏิบัติยังไมบ่ รรลเุ ปา้ หมาย การศกึ ษายังไมส่ ามารถพัฒนาคนไทยและ ชว่ ยขับเคล่อื นใหป้ ระเทศไทยแขง่ ขันไดใ้ น
ประชาคมโลก การปฏิรปู การศึกษา คร้ังที่ 4 ทกี่ ำลังดำเนนิ การอยู่ ในปจั จบุ ันจงึ เป็น ส่วนสำคญั ของยทุ ธศาสตรช์ าติ
20 ปี เพอื่ พฒั นาประเทศไทยใหม้ นั่ คง ม่งั คั่ง และยัง่ ยนื ถือเป็นการปฏิรูปการศกึ ษาครงั้ สำคญั ทีจ่ ะมี ผลผกู พัน
ต่อเนือ่ งตง้ั แตป่ ี พ.ศ.2560-2579 ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พ.ร.บ. การศกึ ษาแหง่ ชาตแิ ละกฎหมาย
อน่ื ๆ ท่ีจะออกมารองรบั การปฏริ ปู การศึกษา

74

3. กฎหมายท่ีควรรู้

อนสุ ญั ญาว่าด้วยสิทธิเดก็
อนุสญั ญาสหประชาชาตวิ า่ ด้วยสิทธเิ ด็ก เปน็ สนธิสัญญาเกยี่ วกบั สทิ ธิมนุษยชนซึ่งกำหนดสทิ ธิใน ทางพลเมอื ง
การเมือง เศรษฐกจิ สงั คม สุขภาพ และวัฒนธรรม ของเด็ก โดยนิยามวา่ เด็ก คือ มนุษยค์ นใด ๆ ทม่ี ีอายตุ ่ำกว่า 18 ปี
เว้นแต่บรรลุนิติภาวะเสียก่อนตามกฎหมายในประเทศนั้น ๆที่ลงนาม: นครนิวยอร์กผู้ลงนาม: 140 ประเทศผู้เก็บ
รักษา: เลขาธิการสหประชาชาติภาคี: 196 ประเทศ (ได้แก่ทุกประเทศที่มีสิทธิ์ ยกเว้นสหรัฐ)ภาษา: จีน, ฝรั่งเศส,
รัสเซยี , สเปน, อังกฤษ, อาหรับวันมีผล: 2 กันยายน ค.ศ. 1990

วนั ลงนาม: 20 พฤศจกิ ายน ค.ศ. 1989
อนสุ ัญญาว่าดว้ ยเด็กประกอบด้วยบทบญั ญัติ 54 ข้อ ได้แก่ เรอ่ื งท

เก่ียวข้องกบั สทิ ธขิ องเดก็ โดยตรงซ่ึงเน้นหลกั พื้นฐาน 4 ประการ และ
แนวทางในการตีความอนุสญั ญาทงั้ ฉบบั ไดแ้ ก่

1. สทิ ธทิ ี่จะมชี ีวติ รอด เร่ิมตัง้ แต่เมอื่ แรกเกดิ เด็กๆ มสี ิทธิทจ่ี ะมชี ีวติ รอด ไดร้ บั การจดทะเบยี นเกดิ มีสิทธิท่ี
จะมีชื่อ ได้สัญชาติ และได้รับการเลี้ยงดูจากบิดามารดาของตน ไม่ถูกแยกจากครอบครัว รวมทั้งได้รับการปกป้อง
คุ้มครองอยา่ งเหมาะสม โดยรฐั มหี นา้ ทปี่ ระกันสทิ ธเิ หลา่ น้ี และจดั หาบริการพน้ื ฐานต่างๆ เพ่อื ใหเ้ ด็กๆ ได้มีชีวิตรอด
และเติบโตขึ้นอย่างแข็งแรง ไม่ว่าจะเปน็ การสาธารณสุขที่ได้มาตรฐานในยามเจ็บป่วย ในด้านโภชนาการ ก็ต้องมี
อาหารทีด่ ีมีประโยชน์ท่ีเหมาะสำหรับเดก็ มนี ำ้ ดม่ื ที่สะอาด ได้อาศัยอยใู่ นพ้นื ท่ชี มุ ชน ทีส่ ะอาด ตลอดจนโอกาสเขา้ ถงึ
การพฒั นาต่อไปในอนาคต ฯลฯ

2. สทิ ธทิ ่ีจะได้รับการปกป้องค้มุ ครอง เมอื่ เด็กๆ ไดเ้ กดิ และรอดชวี ติ มาแลว้ สิ่งตอ่ มาทีพ่ วกเขาควรได้รับคือ
การปกปอ้ งคมุ้ ครอง คือไดร้ บั ความค้มุ ครองจากการใชค้ วามรุนแรงทงั้ รา่ งกายและจิตใจ และยังรวมไปถึงการคุ้มครอง
จากการใชแ้ รงงานผิดกฎหมาย การทำงานอนั ตราย หรือขัดขวางการศึกษา ในเรือ่ งสารเสพตดิ ก็เช่นกนั เดก็ ๆ จะตอ้ ง
ได้รับการคุ้มครองจากสารอันตราย สารมีพิษ และสิ่งเสพติดต่างๆ อีกหนึ่งการให้ความคุ้มครองที่สำคัญยิ่ง ก็คือ
คุ้มครองจากการค้ามนุษย์ การขายและการลักพาเด็ก การล่วงละเมิดทางเพศ และการแสวงประโยชน์กับเดก็ ในทุก
รูปแบบ โดยรฐั จะมีหน้าทต่ี อ้ งฟน้ื ฟทู งั้ รา่ งกายและจติ ใจได้กลบั คืนส่สู ังคมอยา่ งมีศักดศ์ิ รอี กี ดว้ ย

75

3. สทิ ธิทจ่ี ะได้รบั การพฒั นา เพราะเด็กในวันน้ีคืออนาคตของชาติในวันขา้ งหนา้ การศึกษาและพัฒนาการจงึ
เป็นอีกเรื่องท่ีต้องให้ความสำคัญ เริ่มตั้งแต่ที่เด็กๆ จะต้องได้รับบริการพัฒนาปฐมวัย และได้รับการศึกษาอย่างมี
คุณภาพ ไดร้ บั ขอ้ มูลขา่ วสารจากส่ือทีห่ ลากหลาย โดยมีพ่อแม่เป็นผู้คอยชว่ ยแนะนำ ขณะทเ่ี ดก็ ทีม่ คี วามจำเปน็ พิเศษ
เช่น เดก็ พิการ ก็ต้องไดร้ บั การดแู ลใหม้ ชี ีวติ ท่ปี กติสขุ ได้รับโอกาสพฒั นาและการศกึ ษาทีเ่ หมาะสม ให้สามารถเติบโต
พึ่งพาตนเองได้อย่างเต็มศักยภาพ ตลอดจนมีสว่ นร่วมในชุมชน สิทธิดา้ นการพัฒนานีน้ ี้ยังหมายรวมถึงการต่อยอด
ไปสทู่ ักษะเฉพาะต่างๆ การพัฒนาความสามารถท้ังดา้ นรา่ งกายและจิตใจ ทจี่ ะทำใหเ้ ดก็ ๆ ได้กา้ วไปสู่อนาคตท่ีสดใส
และมคี ณุ ภาพชีวิตท่ีดีต่อไปในอนาคต

4. สิทธทิ จ่ี ะมสี ว่ นร่วม เดก็ ๆ กค็ ือสมาชิกคนหนึง่ ในสังคม อาจจะตวั เลก็ สักหนอ่ ย แต่ก็มสี ิทธทิ ่จี ะมีส่วนร่วม
อย่างเต็มตัว ทั้งการแสดงความคิดเห็นได้อย่างเสรี หรือเข้ามามีบทบาทในเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะกับเรื่องที่ส่งผล
กระทบ หรือมสี ่วนโดยตรงกบั ตวั เดก็ และเยาวชนเอง โดยความคิดเห็นดงั กลา่ วของเด็กจะต้องไดร้ ับการพิจารณาอย่าง
จรงิ จงั ตามสมควรแก่อายแุ ละวุฒภิ าวะของเด็กคนนั้น

พระราชบัญญตั คิ มุ้ ครองเดก็ พ.ศ. 2546
เดก็ ทมี่ ีสทิ ธิได้รับการคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ค้มุ ครองเด็ก คอื บคุ คลทม่ี อี ายตุ ่ำกวา่ 18 ปี บริบรู ณ์ แต่ ไม่รวมถงึ ผู้
ทบี่ รรลนุ ติ ภิ าวะด้วยการสมรส (มาตรา 4) การสมรสตอ้ งมกี ารจดทะเบยี นสมรสโดยชอบ ดว้ ยตามประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณชิ ย์หากเป็นการสมรสโดยพฤตินัยไม่อยูใ่ นความหมายนี้
1. หลกั การและเหตุผล
พ.ร.บ. คุ้มครองเดก็ ฯ เป็นกฎหมายที่มุ่งให้ความคุ้มครองแกเ่ ด็กทัง้ ทางด้านร่างกาย และจิตใจ รวมถึงการ
สงเคราะห์ การค้มุ ครองสวสั ดภิ าพ การพฒั นาและฟ้ืนฟู ท้ังนโี้ ดยคำนงึ ถึง ประโยชนส์ งู สุดของเด็กเป็นสำคญั
2. สาระสำคัญ
หมวด 1 คณะกรรมการคุม้ ครองเด็ก กำหนดใหม้ ีการจดั ตง้ั คณะกรรมการคุ้มครองเดก็ แหง่ ชาติขนึ้ มีอำนาจ
และหน้าท่ีท่ี สำคัญ คือการ เสนอความเห็นต่อรัฐมนตรีเกี่ยวกับนโยบาย แผนงาน งบประมาณและมาตรการในการ
สงเคราะห์ คุ้มครองสวัสดิภาพ และส่งเสรมิ ความประพฤติเดก็ รวมถงึ การใหค้ ำปรกึ ษา แนะนำ และประสานงาน แก่
หน่วยงานของรัฐและเอกชนที่ปฏิบัติงานด้านการศึกษา การสงเคราะห์ คุ้มครองสวัสดิภาพ และ ส่งเสริมความ
ประพฤตเิ ด็ก
หมวด 2 การปฏบิ ตั ติ อ่ เด็ก การปฏิบัตติ ่อเด็กไมว่ า่ ในกรณใี ดตอ้ งคำนึงถึงประโยชน์สูงสดุ ของเด็กเป็นสำคัญ
และ ไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไมเ่ ป็นธรรม
หมวด 3 การสงเคราะห์เด็ก ในหมวดนี้ได้กำหนดลักษณะของเด็กที่พึงได้รับการสงเคราะห์ไว้และกำหนด
หลักเกณฑ์ วธิ กี ารสงเคราะหเ์ ดก็

76

หมวด 4 การคุ้มครองสวัสดภิ าพเดก็ กำหนดลักษณะของเด็กที่พงึ ได้รบั การค้มุ ครองสวัสดภิ าพ โดยในกรณีมี
การกระทำ ทารุณกรรมต่อเด็กให้เจ้าหน้าท่ีมีอำนาจแยกตัวเดก็ จากครอบครวั และตอ้ งรบี จัดให้มกี ารตรวจรกั ษา ทาง
ร่างกายและจติ ใจ

หมวด 5 ผ้คู ุ้มครองสวสั ดิภาพเด็ก กำหนดหลกั เกณฑ์และวธิ กี ารในการแต่งตง้ั ผู้คุม้ ครองสวัสดิภาพเด็กเพื่อ
กำกับดูแลเดก็ โดยอาจแตง่ ตง้ั จากพนกั งานเจ้าหน้าที่ นกั สังคมสงเคราะห์ หรอื บุคคลท่สี มัครใจและมีความเหมาะสม
นอกจากนี้ยังได้มีการกำหนดห้ามมิให้บุคคลทีเ่ กี่ยวข้องเปิดเผยภาพหรือข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับเด็กหรือ ผู้ปกครองใน
ลักษณะทน่ี า่ จะเกิดความเสียหายแก่เดก็ หรอื ผูป้ กครอง

หมวด 6 สถานรับเลี้ยงเด็ก สถานแรกรบั สถานสงเคราะห์ สถานคุ้มครองสวัสดิ ภาพและสถานพัฒนาและ
ฟื้นฟู กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการจัดตั้งสถานรับเลี้ยงเด็ก สถานแรกรับ สถาน สงเคราะห์ สถานคุ้มครอง
สวัสดิภาพ และสถานพฒั นาและฟ้นื ฟู

หมวด 7 การส่งเสริมความประพฤตินักเรียนและนักศึกษา โรงเรียนและสถานศึกษาต้องจัดให้มีระบบงาน
และกิจกรรมในการแนะแนวให้ คำปรึกษาและฝึกอบรมแก่นักเรียน นักศึกษาและผู้ปกครองเพื่อส่งเสริมความ
ประพฤติท่เี หมาะสม ความรบั ผดิ ชอบตอ่ สงั คม และความปลอดภยั แกน่ ักเรยี นและนกั ศกึ ษา

หมวด 8 กองทุนคุ้มครองเด็ก ให้จัดตั้งกองทนุ คุ้มครองเด็ก เพือ่ เป็นทุนใช้จ่ายในการสงเคราะห์ คุ้มครอง
สวัสดิภาพ และสง่ เสรมิ ความประพฤตเิ ดก็

หมวด 9 บทกำหนดโทษ กำหนดโทษทางอาญาแก่บุคคลผู้กระทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติต่างๆ ตามที่พ.ร.บ.
ฉบบั นี้ไดก้ ำหนดไว้ ทง้ั น้เี พ่ือใหก้ ฎหมายฉบบั นี้ใช้บงั คับไดจ้ ริงและบรรลผุ ลตามความม่งุ หมายน้ันเอง

3.ผู้รกั ษาการตามกฎหมายและวันบงั คบั ใช้
ให้รัฐมนตรวี า่ การกระทรวงการพฒั นาสงั คมและความม่นั คงของมนุษย์ รฐั มนตรีว่ากา
กระทรวงมหาดไทย รฐั มนตรวี า่ การกระทรวงศึกษาธิการ และรฐั มนตรีว่าการกระทรวง ยุติธรรม รกั ษาการตาม
พระราชบัญญตั ินี้ “เด็ก” ตามพระราชบญั ญตั คิ มุ้ ครองเด็ก พ.ศ.2546 หมายความว่า บุคคลซงึ่ มีอายตุ ำ่ กวา่ สบิ แปด
ปีบรบิ ูรุ ณ์ แตไ่ ม่รวมถงึ ผู้ทบี่ รรลนุ ิภาวะด้วยการสมรสพระราชบัญญัตคิ มุ้ ครองเดก็ พ.ศ.2546 มเี นือ้ หาสาระในการ
ดูแลเดก็ ทกุ คน โดยกำหนดใหผ้ ู้ปกครองมหี น้าท่ีในการอปุ การะเลย้ี งดู อบรมสง่ั สอน และพฒั นาเดก็ ตามความใน
มาตรา 23 ดังนี้
“มาตรา 23 ผปู้ กครองต้องให้การอปุ การะเล้ยี งดู อบรมสงั่ สอนและพฒั นาเดก็ ท่อี ยู่ในความปกครองดูแล
ของตน ตามสมควรแก่ขนบธรรมเนียมประเพณี และ วัฒนธรรมแห่งท้องถิ่น แต่ท้ังนี้ตอ้ งไม่ต่ำกวา่ มาตรฐานขัน้ ตำ่
ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง และตอ้ งค้มุ ครองสวัสดภิ าพเด็กท่อี ยู่ในความปกครองดแู ลของตนมใิ หต้ กอยู่ในภาวะอัน
นา่ จะเกิดอันตรายแก่ร่างกายหรือจติ ใจ”
จากรายละเอยี ดมาตรฐานข้นั ต่ำในกฎกระทรวง กาํ หนดมาตรฐานขน้ั ตำ่ ในการอุปการะเล้ยี งดู อบรมส่ังสอน
และพัฒนาเด็กที่อยู่ในความปกครองดูแล พ.ศ. 2549โดยทั่วไปเรามักเข้าใจว่า ผู้ปกครอง หมายถึง บิดามารดา แต่
พระราชบัญญตั ิคุม้ ครองเดก็ พ.ศ.2546 มาตรา 4กำหนดความหมายของคำว่า “ผปู้ กครอง” ไวอ้ ยา่ งกว้างครอบคลุม

77

ผู้เกีย่ วข้องทุกคนทีท่ ำหนา้ ทีอ่ ุปการะเลีย้ งดูเด็ก“ ผู้ปกครอง หมายความว่า บิดามารดา ผู้อนุบาล ผู้รบั บุตรบญุ ธรรม
และผ้ปู กครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และใหห้ มายความรวมถึงพอ่ เลีย้ งแมเ่ ลี้ยง ผูป้ กครองสวัสดิภาพ
นายจา้ ง ตลอดจนบุคคลอน่ื ซึง่ รับเด็กไวใ้ นความอุปการะเลี้ยงดูหรือซ่ึงเด็กอาศัยอยู่ด้วย” สรุปวา่ เด็กปกติท่ัวไปเป็น
กลมุ่ เปา้ หมายตามพระราชบัญญตั คิ ุ้มครองเดก็ พ.ศ.2546

เดก็ ทพ่ี ึงไดร้ บั การสงเคราะห์ และเดก็ ท่ีพงึ ได้รับการคมุ้ ครองสวสั ดภิ าพ
นอกจากพระราชบัญญตั คิ ุ้มครองเดก็ พ.ศ.2546 กำหนดให้ผปู้ กครองทำหนา้ ทีอ่ ปุ การะเล้ยี งดเู ดก็ อยา่ ง
เหมาะสม ได้รบั การส่งเสรมิ พฒั นา ปกปอ้ งคุ้มครอง ตามท่ีกำหนดในมาตรา 23 แลว้ ยงั กำหนดเด็กท่พี งึ ได้รบั การ
สงเคราะห์ และเดก็ ท่พี งึ ไดร้ ับการคุม้ ครองสวัสดิภาพ ซึง่ มรี ายละเอยี ดอยใู่ นกฎกระทรวงกำหนดเด็กทีอ่ ย่ใู นสภาพท่ี
จำตอ้ งไดร้ บั การสงเคราะห์ พ.ศ.2549 กฎกระทรวงกำหนดเดก็ ทเี่ สยี่ งตอ่ การกระทำความผดิ พ.ศ.
2549 กฎกระทรวงกำหนดเดก็ ทจ่ี ำต้องไดร้ บั การคมุ้ ครองสวสั ดภิ าพ พ.ศ.2549

ความหมายของเดก็ ที่เสย่ี งต่อการกระทำความผดิ
เดก็ ทเ่ี สีย่ งต่อการกระทำผิด เปน็ เด็กท่ีอยใู่ นสภาพจำต้องได้รบั การคุ้มครองสวัสดิภาพ แตใ่ นทางปฏิบัติเด็ก
กลุ่มน้ยี งั ไม่ได้รับการคุม้ ครองสวัสดิภาพ เหตผุ ลเพราะผูป้ ฏบิ ตั ิงานบางสว่ นยงั ไม่เข้าใจความหมาย หรือขาดความรู้
และทกั ษะในการทำงานกบั เด็กกลุ่มนี้ จึงจำเป็นตอ้ งทำความเข้าใจใหช้ ดั เจนวา่ เด็กทเ่ี สี่ยงต่อการกระทำความผิดเปน็
เดก็ กลุ่มไหน“เด็กท่เี สยี่ งต่อการกระทำผดิ ” หมายความวา่ เดก็ ทป่ี ระพฤตติ นไม่สมควร เดก็ ท่ีประกอบอาชพี หรอื คบ
หาสมาคมกับบุคคลทีน่ ่าจะชักนำไปในทางกระทำผดิ กฎหมายหรือขดั ต่อศีลธรรมอันดีหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมหรอื
สถานที่อนั อาจชกั นำไปในทางเสยี หาย ทง้ั น้ี ตามท่กี ำหนดในกฎกระทรวง

กฎกระทรวง กำหนดเด็กท่เี ส่ียงต่อการกระทำผิด พ.ศ. 2549
ขอ้ 1 เด็กที่ประพฤติตนไมส่ มควร ได้แก่ เด็กทม่ี พี ฤตกิ รรมอย่างหนงึ่ อยา่ งใด ดังต่อไปนี้

(1) ประพฤติตนเกเรหรอื ข่มเหงรงั แกผูอ้ ่นื
(2) มวั่ สมุ ในลกั ษณะที่กอ่ ความเดอื ดรอ้ นรำคาญแกผ่ ูอ้ ื่น
(3) เลน่ การพนนั หรือม่ัวสุมในวงการพนัน
(4) เสพสรุ า สบู บุหรี่ เสพยาเสพตดิ ใหโ้ ทษหรือของมึนเมาอย่างอื่น เข้าไปในสถานทเ่ี ฉพาะเพ่อื การ
จำหนา่ ยหรือดม่ื เครอ่ื งดืม่ ที่มีแอลกอฮอล์
(5) เขา้ ไปในสถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ
(6) ซอ้ื หรอื ขายบริการทางเพศ เขา้ ไปในสถานการคา้ ประเวณีหรือเกี่ยวขอ้ งกบั การค้าประเวณี
ตามกฎหมายว่าดว้ ยการปอ้ งกนั และปราบปรามการค้าประเวณี
(7) ประพฤตติ นไปในทางชสู้ าว หรอื สอ่ ไปในทางลามกอนาจารในทส่ี าธารณะ

78

(8) ตอ่ ตา้ นหรือทา้ ทายคำสงั่ สอนของผปู้ กครองจนผปู้ กครองไมอ่ าจอบรมสง่ั สอนได้
(9) ไมเ่ ข้าเรยี นในโรงเรียนหรอื สถานศึกษาตามกฎหมายวา่ ด้วยการศึกษาภาคบังคบั
ขอ้ 2 เด็กทป่ี ระกอบอาชีพท่ีนา่ จะชักนำไปในทางกระทำผดิ กฎหมายหรอื ขัดตอ่ ศลี ธรรมอันดี ได้แก่ เดก็
ท่ีประกอบอาชีพ ดังต่อไปนี้ (1) ขอทานหรอื กระทำการสอ่ ไปในทางขอทานโดยลำพงั หรือโดยมผี ูบ้ งั คับ ชกั นำ ยยุ ง
หรือสง่ เสรมิ หรือ (2) ประกอบอาชีพหรือกระทำการใดอนั เปน็ การแสวงหาประโยชน์โดย มิชอบดว้ ยกฎหมายหรือขดั
ต่อศีลธรรมอนั ดี
ข้อ 3 เด็กท่ีคบหาสมาคมกบั บุคคลทน่ี ่าจะชกั นำไปในทางกระทำผดิ กฎหมายหรอื ขัดตอ่ ศลี ธรรมอนั ดี
ได้แก่ เดก็ ท่ีคบหาสมาคมกบั บุคคล ดังตอ่ ไปนี้ (1) บุคคลหรอื กล่มุ คนท่รี วมตวั กนั ม่ัวสมุ เพ่ือกอ่ ความเดือดรอ้ นรำคาญ
แก่ผู้อนื่ หรือกระทำการอันขดั ตอ่ กฎหมายหรือศีลธรรมอันดี หรือ (2) บคุ คลที่ประกอบอาชีพท่ีขัดตอ่ กฎหมายหรือ
ศีลธรรมอันดี
ข้อ 4 เด็กทอ่ี ยูใ่ นสภาพแวดล้อมหรือสถานท่อี นั อาจชักนำไปในทางเสยี หาย ไดแ้ ก่ เด็กทอี่ ยูใ่ น
สภาพแวดล้อมหรอื สถานที่ ดงั ตอ่ ไปนี้
(1) อาศยั อยกู่ บั บคุ คลทีม่ พี ฤติกรรมเกยี่ วข้องกบั ยาเสพติดใหโ้ ทษหรือใหบ้ ริการทางเพศ
(2) เรร่ ่อนไปตามสถานทตี่ า่ ง ๆ โดยไม่มที ี่พกั อาศยั เป็นหลกั แหล่งที่แน่นอน หรือ
(3) ถูกทอดท้งิ หรือถูกปลอ่ ยปละละเลยใหอ้ ยู่ในสภาพแวดลอ้ มอนั อาจชกั นำไปในทางเสียหาย

สรุปพระราชบญั ญตั ิค้มุ ครองเด็ก พ.ศ.2546
“ เด็ก” ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 หมายความว่า บุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่าสิบแปดปี
บริบรู ณ์ แต่ไม่รวมถึงผทู้ บ่ี รรลุนติ ิภาวะด้วยการสมรส กฎหมายฉบับน้ี กำหนดหลักการปฏบิ ตั ิต่อเด็กไม่ว่ากรณีใดให้
คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญและไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมและกำหนดบทบาทหน้าท่ี
ผู้ปกครองต้องให้การอุปการะเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนและพัฒนาเด็กที่อยู่ในความปกครองดูแลของตนตามสมควรแก่
ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมแห่งท้องถิ่น แต่ทั้งนี้ต้องไม่ต่ำกว่ามาตรฐานขั้นต่ำตามที่กำหนดใน
กฎกระทรวงและต้องคมุ้ ครองสวัสดิภาพเดก็ ทอี่ ยใู่ นความปกครองดแู ลของตนมิใหต้ กอย่ใู นภาวะอนั นา่ จะเกดิ อนั ตราย
แก่ร่างกายหรือจิตใจ นอกจากพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 กำหนดเดก็ ทีพ่ ึงได้รับการสงเคราะห์ และ
เดก็ ที่พงึ ไดร้ บั การคุ้มครองสวสั ดิภาพ ซึ่งมรี ายละเอยี ดอยใู่ นกฎกระทรวงหลายฉบบั ประชาชนทัว่ ไปสว่ นมากไม่ทราบ
รายละเอียดเหลา่ นส้ี ง่ ผลให้เด็กไม่ได้รบั การสง่ เสรมิ พฒั นา ไมไ่ ดร้ ับการสงเคราะห์หรือไม่ได้รบั การคุ้มครองสวัสดิภาพ
ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย (โรงเรยี นบา้ นตะโละหะลอ. https://www.bantalohhalo.thai.ac)

พรบ.สภาครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา พ.ศ. 2546 ประกาศใช้เมือ่ 11 มิถนุ ายน 2546 มีผลบงั คบั ใช้วันที่
12 มถิ ุนายน 2546 (ยังไม่เคยปรบั ปรงุ แกไ้ ข)มจี ำนวนทั้งหมด 4 หมวด 90 มาตรา 1 บทเฉพาะกาลสภาครูและ
บุคลากรทางการศกึ ษาจะมชี ่อื เรียกอกี อย่างหนง่ึ วา่ ครุ สุ ภา มีฐานะเปน็ นติ บิ คุ คล

79

"วชิ าชีพ" คือวชิ าชพี ทางการศกึ ษาที่ทำหน้าที่หลักทางด้านการเรียนการสอนและส่งเสรมิ การเรียนรู้ของ
ผเู้ รยี น ดว้ ยวธิ ตี ่างๆ

ผ้ปู ระกอบวิชาชพี ทางการศึกษา
คอื ครู ผบู้ รหิ ารสถานศึกษา ผูบ้ รหิ ารการศกึ ษา และบุคลากรทางการศกึ ษาอน่ื ซง่ึ ไดร้ บั ใบอนญุ าตเป็นผปู้ ระกอบ
วิชาชพี ตามพระราชบญั ญตั ิน้ี

คุรุสภามวี ตั ถปุ ระสงคด์ งั ตอ่ ไปนี้
1.กำหนดมาตรฐานวิชาชพี ออกและเพกิ ถอนใบอนญุ าตประกอบวิชาชพี กำกบั ดูแลการปฏิบัตติ าม
มาตรฐานวิชาชพี และจรรยาบรรณของวชิ าชีพรวมทง้ั การพฒั นาวิชาชีพ
2.กำหนดนโยบายและแผนพฒั นาวชิ าชีพ
3.ประสาน สง่ เสรมิ การศึกษาและวจิ ยั เกยี่ วกบั การประกอบวิชาชีพ
หน้าท่ขี องคุรสุ ภา
1.กำหนดมาตรฐานวชิ าชพี และจรรยาบรรณวชิ าชพี
2.ควบคุมความประพฤตแิ ละการดำเนนิ งานของผปู้ ระกอบวชิ าชีพ ทางการศกึ ษาให้เปน็ ไปตามมาตรฐานและ
จรรยาบรรณวชิ าชีพ
3.ออกใบอนญุ าตให้แกผ่ ขู้ อประกอบวิชาชีพ
4.พกั ใช้ใบอนญุ าตหรอื เพิกถอนใบอนุญาต
5.สนบั สนนุ สง่ เสริมและพฒั นาวิชาชพี
6.สง่ เสริม สนบั สนุน ยกยอ่ งและผดงุ เกยี รตผิ ปู้ ระกอบวชิ าชพี
7.รับรองปรญิ ญาประกาศนยี บตั รหรือวฒุ ิบตั รของสถาบันตา่ งๆ ตามมาตรฐานวิชาชพี
8.รบั รองความรู้และประสบการณ์ทางวชิ าชพี
9.สง่ เสริมการศกึ ษาและการวจิ ยั เก่ียวกับการประกอบวชิ าชีพ
10.เป็นตวั แทนผปู้ ระกอบวชิ าชีพทางการศกึ ษาของประเทศไทย
11.ออกขอ้ บงั คบั คุรสุ ภา

พระราชบัญญัติระเบยี บขา้ ราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษาพ.ศ. 2547
โครงสรา้ งมี 9 หมวด 140 มาตรา 1 บทเฉพาะการ ดังตอ่ ไปน้ี
หมวดที่ 1 คณะกรรมการบรหิ ารงานบคุ คลของขา้ ราชการครูและบคุ ลากรทางการศึกษา
หมวดท่ี 2 บททว่ั ไป
หมวดท่ี 3 การกำหนดตำแหนง่ วทิ ยฐานะ และการใหไ้ ดร้ ับเงนิ เดือน เงนิ วทิ ยฐานะ และเงนิ ประจำตำแหนง่
หมวดท่ี 4 การบรรจุและการแตง่ ตง้ั
หมวดท่ี 5 การเสรมิ สรา้ งประสทิ ธิภาพในการปฏบิ ตั ริ าชการ

80

หมวดท่ี 6 วินัยและการรักษาวินยั
หมวดท่ี 7 การดำเนินการทางวนิ ยั
หมวดที่ 8 การออกจากราชการ
หมวดที่ 9 การอทุ ธรณ์และรอ้ งทกุ ข์

พรบ.ระเบียบขา้ ราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547
หมวด 6 วนิ ยั และการรกั ษาวินัย ต้งั แต่ มาตรา 82 ถงึ มาตรา 97 ดงั ตอ่ ไปนี้
มาตรา 82 ข้าราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษาต้องรกั ษาวินัย
มาตรา 83 ขา้ ราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษาตอ้ งสนับสนุนการปกครองในระบอบประชาธปิ ไตยอันมี
พระมหากษัตรยิ ท์ รงเป็นประมุขตามรฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย
มาตรา 84 ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษาตอ้ งปฏิบตั ิหน้าทีร่ าชการด้วยความซือ่ สัตยส์ ุจรติ เสมอ
ภาคและเที่ยงธรรม
มาตรา 85 ขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษาต้องปฏิบัติหนา้ ทร่ี าชการให้เปน็ ไปตามกฎหมาย
มาตรา 86 ขา้ ราชการครูและบคุ ลากรทางการศึกษาต้องปฏิบตั ิตามคำสง่ั ของผู้บังคบั บญั ชา
มาตรา 87 ข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษาตอ้ งตรงต่อเวลา อุทิศเวลาของตนให้แก่ ทางราชการ
และผูเ้ รยี น
มาตรา 88 ข้าราชการครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษาตอ้ งประพฤติเป็นแบบอย่างที่ดแี กผ่ ู้เรียน ชุมชน สงั คม
มาตรา 89 ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาต้องไม่กลั่นแกล้ง กล่าวหา หรือร้องเรียนผู้อื่นโดย
ปราศจากความเป็นจริง
มาตรา 90 ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาต้องไม่กระทำการหรือยอมให้ผู้อื่นกระทำการหา
ประโยชน์
มาตรา 91 ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาต้องไม่คัดลอกหรือลอกเลียนผลงานทางวิชาการของ
ผอู้ ื่นโดยมิชอบ
มาตรา 92 ขา้ ราชการครูและบคุ ลากรทางการศึกษาตอ้ งไม่เปน็ กรรมการผู้จัดการ หรอื ผูจ้ ดั การ
มาตรา 93 ขา้ ราชการครูและบคุ ลากรทางการศึกษาต้องวางตนเปน็ กลางทางการเมือง
มาตรา 94 ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาต้องรักษาชื่อเสียงของตนและรักษาเกียรติศักดิ์ของ
ตำแหน่งหน้าทรี่ าชการ
มาตรา 95 ใหผ้ ูบ้ งั คับบญั ชามหี นา้ ทเ่ี สรมิ สร้างและพัฒนาให้ผอู้ ยู่ใตบ้ งั คับบัญชามีวินัย ป้องกัน มิให้ผู้อยู่ใต้
บังคบั บญั ชากระทำผิดวินยั
มาตรา 96 ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ใดฝ่าฝืนข้อหา้ มหรือไม่ปฎบิ ัติตามข้อปฎิบัติทางวินัย
ตามทบ่ี ัญญัติไว้ในหมวดน้ี

81

มาตรา 97 การลงโทษข้าราชการครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษาใหท้ ำเปน็ คำสัง่

จำนวนวทิ ยฐานะของครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา [ผู้บรหิ ารสถานศึกษา ผู้บรหิ ารการศึกษา

ศึกษานเิ ทศก]์ มดี งั นี้

1. ตำแหนง่ ครู วทิ ยฐานะของครู มี 4 วทิ ยฐานะ ดังนี้

(1) ครูชำนาญการ (2) ครูชำนาญการพเิ ศษ

(3) ครเู ชย่ี วชาญ (4) ครเู ช่ียวชาญพเิ ศษ

2. ตำแหนง่ ผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา วทิ ยฐานะของผบู้ รหิ ารสถานศึกษา มี 7 วทิ ยฐานะ ดังนี้

(1) รองผอู้ ำนวยการชำนาญการ (2) รองผ้อู ำนวยการชำนาญการพเิ ศษ

(3) รองผู้อำนวยการเชี่ยวชาญ (4) ผอู้ ำนวยการชำนาญการ

(5) ผูอ้ ำนวยการชำนาญการพเิ ศษ (6) ผู้อำนวยการเชีย่ วชาญ

(7) ผอู้ ำนวยการเชีย่ วชาญพิเศษ

3. ตำแหนง่ ผูบ้ รหิ ารการศึกษา วทิ ยฐานะของผบู้ รหิ ารการศกึ ษา มี 4 วิทยฐานะ ดังน้ี

(1) รองผอู้ ำนวยการสำนักงานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาชำนาญการพิเศษ

(2) รองผู้อำนวยการสำนกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศึกษาเชยี่ วชาญ

(3) ผ้อู ำนวยการสำนกั งานเขตพ้นื ทกี่ ารศกึ ษาเชยี่ วชาญ

(4) ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาเชี่ยวชาญพิเศษ

4. ตำแหน่งศกึ ษานเิ ทศก์ วิทยฐานะของศกึ ษานเิ ทศก์ มี 4 วทิ ยฐานะ ดงั น้ี

(1) ศึกษานิเทศกช์ ำนาญการ (2) ศกึ ษานิเทศก์ชำนาญการพเิ ศษ

(3) ศกึ ษานเิ ทศก์เช่ียวชาญ (4) ศกึ ษานิเทศก์เช่ียวชาญพเิ ศษ

(ทมี่ า : พรบ.ระเบยี บขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547)

เงนิ เดอื นขา้ ราชการครู แบง่ ออกเป็น 6 ระดบั ตามอันดบั ของครู (*คศ. หมายถงึ ครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา)
1. เงินเดอื นครูผู้ชว่ ย จะมีฐานเงินเดอื นข้ันตำ่ 15,050 บาท ฐานเงนิ เดอื นขัน้ สูง 24,750 บาท
2. เงินเดือนครู คศ.1 จะมีฐานเงินเดอื นขนั้ ตำ่ 15,440 บาท ฐานเงนิ เดอื นขัน้ สูง 34,310 บาท
3. เงนิ เดือนครู คศ.2 จะมีฐานเงินเดอื นขั้นต่ำ 16,190 บาทฐานเงนิ เดอื นขั้นสงู 41,620 บาท

นอกจากน้ี ครอู นั ดบั คศ.2 จะไดร้ บั เงนิ พเิ ศษเพมิ่ นอกจากเงนิ เดือนครู ได้แก่ คา่ วทิ ยฐานะ เปน็ ครูชำนาญการ 3,500
บาท ดงั น้นั ครู คศ.2 จะได้รบั เงนิ เดือนสูงสดุ รวมคา่ วทิ ยฐานะ เดือนละ 45,120 บาท

4. เงินเดอื นครู คศ.3 จะมีฐานเงนิ เดอื นขน้ั ต่ำ 18,860 บาท ฐานเงินเดอื นข้นั สงู 58,390 บาท

82

นอกจากนี้ ครอู ันดบั คศ.3 จะไดร้ บั เงินพเิ ศษเพ่มิ นอกจากเงนิ เดอื นครู ได้แก่ ค่าวิทยฐานะ เปน็ ครชู ำนาญการพเิ ศษ 5,600
บาท และคา่ ตอบแทนพิเศษสำหรบั ครูชำนาญการพเิ ศษ 5,600 บาท
ดังน้ัน ครู คศ.3 จะได้รบั เงินเดือนสูงสุดรวมค่าวทิ ยฐานะและค่าตอบแทนพเิ ศษ เดือนละ 69,590 บาท

5. เงินเดือนครู คศ.4 จะมีฐานเงินเดือนขนั้ ต่ำ 24,400 บาท ฐานเงนิ เดอื นขน้ั สงู 69,040 บาท
นอกจากนี้ ครูอันดบั คศ.4 จะไดร้ บั เงนิ พเิ ศษเพม่ิ นอกจากเงนิ เดือนครู ได้แก่ คา่ วิทยฐานะ เป็น ครูเชย่ี วชาญ 9,900 บาท
และ คา่ ตอบแทนพเิ ศษสำหรบั ครูเช่ยี วชาญ 9,900 บาท ดงั น้ัน ครู คศ.4 จะได้รับเงนิ เดอื นสงู สดุ รวมค่าวิทยฐานะและ
ค่าตอบแทนพเิ ศษ เดอื นละ 88,840 บาท

6. เงินเดอื นครู คศ.5 จะมีฐานเงินเดือนข้นั ต่ำ 29,980 บาท ฐานเงนิ เดอื นข้นั สูง 76,800 บาท
นอกจากน้ี ครูอันดบั คศ.5 จะไดร้ ับเงินพเิ ศษเพ่ิมนอกจากเงนิ เดอื นครู ได้แก่ ค่าวทิ ยฐานะ เป็น ครเู ชีย่ วชาญพเิ ศษ
13,000-15,600 บาท และค่าตอบแทนพเิ ศษสำหรับครูเชี่ยวชาญพิเศษ 13,000-15,600 บาท ดงั นน้ั ครู คศ.4 จะไดร้ บั
เงนิ เดอื นสงู สดุ รวมคา่ วิทยฐานะและค่าตอบแทนพเิ ศษ เดอื นละ 108,000 บาท (ทม่ี า: www.itax.in.th)

การกำหนดวนั ลาในกฎ ก.ค.ศ.
ขอ้ 10 ข้าราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษาซงึ่ จะไดร้ บั การพิจารณาเลอ่ื นเงินเดอื นในแตล่ ะครง้ั ตอ้ งอยู่
ในหลักเกณฑ์ ดงั ตอ่ ไปนี้
(1) ในครง่ึ ปที ่แี ลว้ มามผี ลการประเมนิ ผลการปฏบิ ัตงิ านไม่ต่ำกวา่ ระดับพอใช้หรือร้อยละหกสบิ
(2) ในครง่ึ ปที แ่ี ลว้ มาตอ้ งไมถ่ ูกสงั่ ลงโทษทางวนิ ัยท่ีหนกั กวา่ โทษภาคทัณฑ์ หรอื ไมถ่ กู ศาลพพิ ากษา ใน
คดีอาญาใหล้ งโทษในความผิดทเี่ ก่ยี วกบั การปฏบิ ัตหิ น้าทร่ี าชการ หรอื ความผดิ ที่ทำใหเ้ สือ่ มเสยี เกยี รติศกั ดิ์ ตอ่
ตำแหน่งหนา้ ท่ีราชการของตน ซงึ่ มิใช่ความผดิ ทไ่ี ด้กระทำโดยประมาท หรอื ความผดิ ลหุโทษ
(3) ในครง่ึ ปที ่ีแลว้ มาต้องไมถ่ ูกสงั่ พักราชการเกนิ กว่าสองเดอื น
(4) ในครงึ่ ปที ่ีแลว้ มาต้องไมข่ าดราชการโดยไมม่ ีเหตุผลอนั สมควร
(5) ในครงึ่ ปที ี่แลว้ มาตอ้ งไดร้ ับการบรรจเุ ขา้ รบั ราชการมาแลว้ เปน็ เวลาไม่น้อยกว่าส่เี ดอื นหรอื ได้ปฏิบตั ิ
ราชการมาแล้วเปน็ เวลาไม่นอ้ ยกว่าส่ีเดอื นกอ่ นถงึ แกค่ วามตาย
(6) ในครงึ่ ปที ี่แลว้ มา สำหรบั ผู้ไดร้ ับอนญุ าตใหไ้ ปศึกษา ฝกึ อบรม ดงู าน หรือปฏิบตั ิการวิจยั ในประเทศหรอื
ตา่ งประเทศ ต้องมเี วลาปฏบิ ัติราชการไมน่ อ้ ยกวา่ สเ่ี ดือน
(7) ในครง่ึ ปที ี่แล้วมา สำหรบั ผไู้ ดร้ ับอนญุ าตใหล้ าติดตามคู่สมรสไปปฏิบตั ริ าชการหรือปฏิบัตงิ านใน
ตา่ งประเทศ ตอ้ งมีเวลาปฏบิ ตั ริ าชการไมน่ ้อยกวา่ สเี่ ดอื น
(8) ในครง่ึ ปที ี่แลว้ มาตอ้ งไมล่ า หรือมาทำงานสายเกนิ จำนวนครั้งทหี่ วั หนา้ สว่ นราชการหรอื ผู้ซงึ่ ไดร้ บั
มอบหมายกำหนดเปน็ หนังสอื ไวก้ ่อนแลว้ โดยคำนงึ ถงึ ลกั ษณะงานและสภาพทอ้ งท่ีอนั เป็นทีต่ งั้ ของแต่ละสว่ นราชการ
หรือหนว่ ยงาน

83

(9) ในครง่ึ ปที แ่ี ลว้ มาต้องมเี วลาปฏิบตั ริ าชการ โดยมีวันลาไมเ่ กนิ ยสี่ ิบสามวนั แตไ่ มร่ วมถงึ วนั ลา ตาม (6)
หรือ (7) และวนั ลา ดงั ต่อไปน้ี

(ก) ลาอปุ สมบท หรอื ลาไปประกอบพิธีฮจั ญ์ ณ เมอื งเมกกะ ประเทศซาอดุ อิ าระเบยี เฉพาะวนั ลาที่
มสี ทิ ธไิ ด้รบั เงินเดือนระหว่างลาตามกฎหมายว่าด้วยการจ่ายเงนิ เดือน

(ข) ลาคลอดบตุ รไมเ่ กนิ เกา้ สบิ วัน
(ค) ลาป่วยซงึ่ จำเปน็ ตอ้ งรกั ษาตวั เปน็ เวลานานไมว่ า่ คราวเดยี วหรอื หลายคราวรวมกนั ไมเ่ กินหกสบิ
วนั ทำการ
(ง) ลาปว่ ยเพราะประสบอันตรายในขณะปฏบิ ตั ริ าชการตามหนา้ ท่หี รอื ในขณะเดนิ ทางไปหรือกลบั
จากการปฏบิ ตั ริ าชการตามหน้าท่ี
(จ) ลาพักผอ่ น
(ฉ) ลาเขา้ รบั การตรวจเลอื กหรือเข้ารับการเตรยี มพล
(ช) ลาไปปฏบิ ัตงิ านในองค์การระหว่างประเทศ
(ซ) ลาไปชว่ ยเหลอื ภริยาที่คลอดบุตร เฉพาะวนั ลาทม่ี สี ทิ ธิได้รบั เงินเดอื นระหวา่ งลาตามกฎหมาย
(ฌ) ลาไปฟืน้ ฟูสมรรถภาพด้านอาชพี
การนับจำนวนวันลาไม่เกินยส่ี ิบสามวนั สำหรบั วันลากิจสว่ นตัวและวันลาปว่ ย ทไี่ มใ่ ช่วันลาป่วย ตาม (๙) (ง)
ให้นับเฉพาะวนั ทำการเกณฑ์ที่ถอื ว่า “ลาบ่อยครั้ง”
(ก) ลาเกิน 6 ครงั้ สําหรับข้าราชการ/ลูกจา้ งประจําท่ปี ฏิบตั ริ าชการในสถานศกึ ษา
(ข) ลาเกิน 8 คร้ัง สําหรบั ขา้ ราชการ/ลกู จ้างประจําทปี่ ฏิบัตริ าชการในสาํ นกั งาน
สาํ หรบั ขา้ ราชการ/ลกู จา้ งประจาํ ที่ลาเกนิ จาํ นวนครงั้ ทก่ี าํ หนด แตถ่ ้าวันลารวมกนั ทกุ คร้งั ไมเ่ กนิ 15 วนั ทาํ การและมี
ผลการปฏบิ ัติงานดีเดน่ ผบู้ ังคบั บญั ชาผมู้ ีอาํ นาจสงั่ เล่อื นเงนิ เดอื น/ค่าจ้าง อาจพจิ ารณาผ่อนผนั ใหเ้ ลอื่ นเงินเดือน/
คา่ จา้ งไดเ้ กณฑ์ท่ถี ือว่า “มาทํางานสายเนือง ๆ “
(ก) มาทาํ งานสายเกนิ 8 ครง้ั สาํ หรบั ขา้ ราชการ / ลกู จา้ งประจําทีป่ ฏบิ ตั ริ าชการในสถานศกึ ษา
(ข) มาทํางานสายเกนิ 9 ครั้ง สําหรบั ขา้ ราชการ / ลกู จา้ งประจาํ ท่ปี ฏบิ ตั ริ าชการในสาํ นกั งาน

สรุป กฎหมายที่ครูควรรู้

การใช้งานกฎหมายท่เี ปน็ กฎเกณฑท์ ่ีรฐั กำหนดข้ึน เพ่อื บงั คบั ให้มกี ารประพฤตปิ ฏบิ ัติตามระเบยี บและ
ข้อบังคบั ตา่ งๆ ของข้าราชการครู หากผ้ใู ดละเมดิ หรอื ไมป่ ฏบิ ตั ติ ามกจ็ ะได้รบั โทษ และเปน็ เรื่องทีม่ ีความสัมพันธ์
เกยี่ วขอ้ งกบั ชวี ติ ประจำวนั และการดำเนนิ งานของทุกคน โดยเฉพาะผู้มีหน้าทเี่ กยี่ วกบั การจัดการศึกษา ยอ่ มต้องใช้
กฎหมายเป็นเครื่องมอื ในการดำเนนิ งานด้วย โดยกฎหมายทีค่ วรรู้ ได้แก่

1. พระราชบญั ญตั กิ ารศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ.2542 และท่ีแก้ไขเพ่มิ เตมิ (ฉบบั ท่ี ๒) พ.ศ. 2545 (ฉบับที่ 3) พ.ศ.
2553 (ฉบบั ที่ 4) พ.ศ. 2562

84

2. พระราชบัญญตั ริ ะเบียบบรหิ ารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546
3. พระราชบญั ญัตสิ ภาครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา พ.ศ. 2546
4. พระราชบญั ญตั ริ ะเบียบขา้ ราชการครูและบคุ ลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 และแกไ้ ขเพิ่มเติม (ฉบบั ที่
2) พ.ศ. 2551 ,(ฉบบั ที่ 3) พ.ศ. 2553 ,(ฉบบั ที่ 4) พ.ศ. 2562
5. พระราชบญั ญตั เิ งนิ เดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหนง่ ขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา
พ.ศ. 2547
6. พระราชกฤษฎีกา การปรบั อตั ราเงินเดอื นของขา้ ราชการและบุคลากรทางศึกษา พ.ศ.2549 และทแ่ี กไ้ ข
เพิม่ เตมิ (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2550
7. พระราชบญั ญตั จิ ดั ต้ังสถานศกึ ษาเปน็ การเฉพาะแห่ง
8. พระราชบัญญตั ิคมุ้ ครองเด็ก พ.ศ. 2546
9. อนุสัญญาว่าด้วยสทิ ธิเดก็
ชง่ึ เรื่องกฎหมายเกยี่ วกบั การศกึ ษาทำใหเ้ กดิ ความเข้าใจถงึ การปฏิบัติงานต่างๆของการศกึ ษาในยคุ ปจั จบุ นั
ท่ีต้องนำกฎหมายมาใช้ประกอบการทำงาน เพื่อใช้เพ่อื ปกปอ้ งตัวเราเอง และการทำงานทมี่ ีประสทิ ธิภาพและ
ประสทิ ธิผลมากทส่ี ุด

4. บทลงโทษทค่ี วรรู้

วินัย คือ กฎเกณฑ์ ข้อบังคับท่ีตอ้ งปฏบิ ัติตาม หากฝ่าฝืนอาจต้องรบั โทษ วินัย หมายถึง การควบคุมความ
ประพฤตขิ องคนในองคก์ ารใหเ้ ปน็ ไปตามแบบทพ่ี ึงประสงค์ วนิ ยั ข้าราชการ คอื แบบแผนความประพฤติท่ีกำหนดให้
ข้าราชการควบคมุ ตนเอง และ ควบคุมผ้ใู ต้บังคับบัญชาใหป้ ระพฤตดิ ีปฏบิ ตั ดิ ีละเวน้ การประพฤตใิ นทางไมช่ อบไม่ควร
ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา หมายความว่า บุคคลซึ่งได้รับการบรรจุแต่งตั้งตาม พระราชบัญญัติน้ี
(พระราชบญั ญตั ิระเบยี บขา้ ราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547) ให้รับราชการ โดยได้รับเงินเดือนจาก
เงินงบประมาณแผ่นดนิ งบบุคลากรที่จ่ายในลักษณะเงินเดือนใน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการท่องเที่ยวและ
กีฬา กระทรวงวัฒนธรรมหรือกระทรวงอ่ืนท่ีกำหนดในพระราชกฤษฎกี า ข้าราชการครู หมายความว่า ผู้ทีป่ ระกอบ
วิชาชพี ซึง่ ทำหน้าทีห่ ลกั ทางดา้ นการเรียนการสอน และส่งเสริมการเรยี นรูข้ องผู้เรยี นด้วยวิธีการต่างๆในสถานศึกษา
ของรัฐ วินยั ข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษา กำหนดไว้ใน มาตรา 82 ถงึ มาตรา 97
หมวดท่ี 6 วนิ ยั และการรกั ษาวนิ ัย พระราชบัญญัตริ ะเบยี บขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา
พ.ศ. 2547 และแก้ไขเพิ่มเตมิ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551

โทษทางวนิ ัย มี 5 สถาน ตามมาตรา 96 แหง่ พระราชบญั ญัติระเบียบขา้ ราชการครแู ละ
บคุ ลากรทางการศกึ ษา พ.ศ. 2547 ดังน้ี

85

วนิ ยั ไมร่ า้ ยแรง ได้แก่
1. ภาคทณั ฑ์
2. ตัดเงนิ เดือน
3. ลดข้นั เงนิ เดือน

วนิ ัยร้ายแรง ได้แก่
1. ปลดออก โดยผถู้ กู ลงโทษให้ปลดออก มสี ิทธิได้รับบำเหนจ็ บำนาญ เสมือนลาออก
2. ไลอ่ อก

** การส่งั ใหอ้ อกจากราชการ ไม่ใช่โทษทางวินัย **
การลงโทษทางวนิ ยั
- ว่ากล่าวตักเตือน,ทำทัณฑ์บน (ไม่ถือว่าเป็นโทษทางวินัย ) ใช้ในกรณีที่เป็นความผิดเล็กน้อยและเป็น
ความผดิ ครั้งแรก
- ภาคทณั ฑ์ ใช้ลงโทษในกรณที ีเ่ ป็นความผดิ เลก็ น้อยหรือมเี หตอุ นั ควรลดหยอ่ น ซึง่ ไมถ่ ึงกับต้องถกู ลงโทษตัก
เงนิ เดอื น และเป็นความผิดทไี่ มใ่ ช่ความผิดครัง้ แรก
- ปลดออก,ไล่ออก ใช้ลงโทษในกรณเี ป็นความผิดวินยั อย่างรา้ ยแรงเท่านน้ั ตามความผิดรา้ ยแรงแห่งกรณถี ้ามี
เหตอุ ันควรลดหย่อนจะนำมาประกอบการพิจารณา ลงโทษก็ได้แต่ห้ามมใิ หล้ งโทษตำ่ กว่าปลดออก
กรณตี ัวอย่าง
ความผิดทางวินัยของขา้ ราชการครแู ละ บุคลากรทางการศึกษานี้ ได้รวบรวมจากกรณีความผิดต่างๆ ซึ่ง
ไดร้ บั รายงานการลงโทษทางวนิ ัยจากหนว่ ยงานการศกึ ษาในสงั กัด กระทรวงศกึ ษาธิการ ทรี่ ายงานมายงั ก.ค.ศ. โดย
ผา่ นการพิจารณาของ อ.ก.ค.ศ. วสิ ามญั เก่ียวกับวนิ ัยและ การออกจากราชการแลว้ ในระหวา่ งปี พ.ศ. 2552-2556
กรณคี วามผดิ เกีย่ วกบั ความสมั พนั ธฉ์ ันชสู้ าว (ระหว่างครูชายไม่โสดกบั ครสู ตรีไมโ่ สด)
รายท่ี 1-169/2554 ถึงรายที่ 1-170/2554
ชอ่ื นายชัย ตาํ แหนง่ ผู้อาํ นวยการสํานักงานเขตพน้ื ท่กี ารศกึ ษา สังกดั สาํ นกั งานคณะกรรมการการศึกษา ข้ัน
พื้นฐาน ชอ่ื นางชนื่ ตําแหน่งศึกษานิเทศก์ สังกัดสาํ นักงานเขตพน้ื ท่ีการศึกษา กระทาํ ผดิ วนิ ัยในเรอ่ื ง มคี วามสัมพันธ์
ฉันชูส้ าวต่อกนั ทาํ ใหค้ รอบครวั ของนางทองเดือดร้อนและหยา่ ขาดจากสามี
ข้อเท็จจริงได้ความว่า นางชื่นได้ให้การด้วยตนเองยอมรับว่าตนมีความสัมพนั ธ์ฉันชู้สาวกับ นายชัย และ ในขณะมี
ความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับนายชัย นางชื่นก็ไม่ยอมมีความสัมพันธ์ทางเพศกับนายชมสามีเลย นางชื่น ได้เคยเล่า
พฤติกรรมของตนกับนายชัยใหน้ ายชีพซึง่ เปน็ รองผู้อํานวยการเขตพ้ืนท่ีการศกึ ษา โดยนางช่นื เลา่ วา่ ได้เสียกับนายชัย
ครั้งแรกที่โรงแรม ขณะที่ไปอบรมด้วยกัน นอกจากนั้นนายชมผู้เปน็ สามีของนางชื่นยังให้การ ว่านางชื่นเริ่มมีความ
สนิทสนมกับนายชยั มากขึน้ นายชมจงึ ต้องเขยี นจดหมายถึงพ่อตาแม่ยายเล่าถึงพฤตกิ รรม ของนางช่นื ภายหลังนาย
ชัยทราบว่าสามีของนางชนื่ ร้เู รอื่ งจึงพยายามตีตัวออกหา่ งนางชืน่ ไม่ยอมใหน้ างช่นื พบเจอ
มาตรา 94 วรรคสอง แหง่ พระราชบญั ญตั ิระเบยี บข้าราชการครูและบคุ ลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547

86

กรณี กระทาํ การอันได้ช่ือว่าเปน็ ผู้ประพฤติชว่ั อย่างรา้ ยแรง
โทษ ปลดออกจากราชการท้งั 2 ราย
มติ ก.ค.ศ.เพิ่มโทษจากปลดออกจากราชการเปน็ โทษไลอ่ อกจากราชการท้ังสองราย

โทษทางอาญา
โทษทางอาญา ตามกฎหมายอาญามาตรา 18 ไดก้ ำหนดโทษไว้ 5 สถาน คอื ประหารชวี ิต จำคกุ กกั ขงั ปรบั
รบิ ทรพั ย์สิน โดยมรี ายละเอยี ดดงั นี้
การลงโทษประหารชวี ติ กฎหมายกำหนดให้ดำเนนิ การดว้ ยวธิ ีฉดี ยาหรือสารพษิ ใหต้ าย
โทษจำคกุ โทษจำคกุ ใหเ้ รม่ิ แตว่ นั มคี ำพิพากษา แตถ่ ้าผู้ต้องคำพิพากษาถูกคมุ ขงั กอ่ นศาลพพิ ากษา ใหห้ กั
จำนวนวนั ที่ถูกคมุ ขงั กอ่ นศาลพพิ ากษา ใหห้ กั จำนวนวนั ทถี่ กู คุมขังออกจากระยะเวลาจำคุกวิธกี ารใหศ้ าลยกโทษจำคุก
ได้ ตามมาตรา55 โทษจำคุกทผี่ กู้ ระทำความผิดจะตอ้ งรับมกี ำหนดเพียงสามเดือนหรอื นอ้ ยกวา่ ศาลจะกำหนดโทษให้
น้อยลงอกี ก็ได้ หรอื โทษจำคุกท่ีผกู้ ระทำผดิ จะต้องรบั มกี ำหนดเพียงสามเดอื นหรือน้อยกวา่ และมีโทษปรบั ด้วย ศาลจะ
กำหนดโทษจำคุกน้อยลงหรือยกโทษจำคุกและใหเ้ หลือเพียงปรับอย่างเดยี ว รอการลงโทษ ตามมาตรา56 ผใู้ ดกระทำ
ความผดิ ซึ่งมโี ทษจำคุกหรอื ปรับ และศาลจะลงโทษจำคุกไมเ่ กินหา้ ปีไม่วา่ จะลงโทษปรับด้วยหรอื ไม่กต็ ามหรอื
ลงโทษปรบั ถ้าปรากฏวา่ ผนู้ ัน้
(1) ไม่เคยรบั โทษจำคกุ มากอ่ น หรือ
(2) เคยรบั โทษจำคกุ มาก่อนแต่เปน็ โทษสำหรับความผดิ ท่ไี ดก้ ระทำโดยประมาทหรอื ความผดิ ลหโุ ทษ หรอื
เปน็ โทษจำคกุ ไม่เกนิ หกเดือน หรอื
(3) เคยรบั โทษจำคกุ มาก่อนแต่พ้นโทษจำคุกมาแลว้ เกนิ กว่าหา้ ปี แล้วมากระทำความผดิ อกี โดยความผดิ ใน
ครง้ั หลังเป็นความผดิ ทีไ่ ด้กระทำโดยประมาทหรือความผดิ ลหุโทษและเมอื่ ศาลไดค้ ำนึงถงึ อายุ ประวตั ิ ความประพฤติ
สตปิ ัญญา การศกึ ษาอบรมสุขภาพ ภาวะแหง่ จิต นิสยั อาชพี และสงิ่ แวดลอ้ มของผนู้ ้ัน หรือสภาพความผดิ หรอื การ
รสู้ ึกความผดิ และพยายามบรรเทาผลรา้ ยที่เกดิ ข้ึน หรอื เหตอุ นื่ อันควรปรานแี ลว้ ศาลจะพพิ ากษาวา่ ผูน้ น้ั มคี วามผิด
แต่รอการกำหนดโทษหรอื กำหนดโทษแตร่ อการลงโทษไว้ ไมว่ า่ จะเป็นโทษจำคกุ หรอื ปรับอย่างหนงึ่ อย่างใดหรอื ทงั้
สองอย่าง เพื่อให้โอกาสกลบั ตวั ภายในระยะเวลาทศ่ี าลจะไดก้ ำหนดแตต่ อ้ งไมเ่ กินหา้ ปนี บั แตว่ ันทีศ่ าลพพิ ากษา โดย
จะกำหนดเงอ่ื นไขเพื่อคมุ ความประพฤตขิ องผู้นน้ั ดว้ ยหรือไมก่ ็ได้
โทษกกั ขงั เปน็ โทษจำกัดเสรีภาพในรา่ งกายแตเ่ บากว่าโทษจำคกุ ผ้ตู อ้ งโทษกกั ขังจะถกู กกั ตวั ไวใ้ นสถานที่
กกั ขงั ซง่ึ มใิ ชเ่ รอื นจำ โทษเปน็ โทษทเ่ี ปล่ยี นจากโทษจำคุกมาเป็นกักขงั หากผกู้ ระทำความผิดซง่ึ มโี ทษจำคุก และในคดี
น้ันศาลจะลงโทษจำคกุ ไมเ่ กนิ สามเดอื น ถ้าไมป่ รากฏวา่ ผนู้ ั้นได้รับโทษจำคกุ มาก่อน หรอื ปรากฏว่าได้รบั โทษจำคุกมา
ก่อนแต่เป็นโทษสำหรบั ความผิดท่ไี ดก้ ระทำโดยประมาท หรอื ความผดิ ลหโุ ทษ ศาลจะใหล้ งโทษกกั ขงั ไมเ่ กินสามเดอื น
แทนโทษจำคุกนั้นกไ็ ด้

87

โทษปรับ ผ้ใู ดต้องโทษปรบั ผนู้ ั้นจะตอ้ งชำระเงนิ ตามจำนวนทกี่ ำหนดไว้ในคำพิพากษาตอ่ ศาล
กรณไี ม่ชำระค่าปรับภายในสามสบิ วนั นบั แต่วันที่ศาลพิพากษา ศาลจะยึดทรพั ยส์ นิ เพ่อื ใช้คา่ ปรบั
ส่งั ใหก้ ักขังแทนค่าปรบั แต่ถ้าศาลเห็นว่าผู้นน้ั จะหลกี เลี่ยงไม่ชำระคา่ ปรบั ศาลจะสง่ั เรยี กประกันหรอื จะสัง่ ให้กักขังผู้
นั้นแทนคา่ ปรับไปกอ่ นกไ็ ด้

โทษริบทรพั ยส์ นิ ไดแ้ ก่ ทรพั ยส์ ินซ่งึ บคุ คลไดใ้ ช้ หรือมีไวเ้ พือ่ ใช้ในการกระทำความผดิ หรือ
ทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้มาโดยได้กระทำความผิด เว้นแต่เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นซึง่ มิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำ
ความผิด

กฎหมายแพ่ง คือ ระเบียบ กฎเกณฑ์กับส่วนเอกชนและความสัมพันธ์ระหว่างบคุ คล ด้านสถานภาพ สิทธิ
และหน้าที่ เช่น เรื่องราวเกี่ยวกับทรัพย์สิน ครอบครัว มรดก นิติกรรม เป็นต้น ประเภทของทรัพย์สิน ทรัพย์สินที่
สำคัญมี 2 ประเภท คือ สังหาริมทรัพย์ และอสังหาริมทรัพย์ สังหาริมทรัพย์ คื อ ทรัพย์เคลื่อนที่ได้และ
อสังหารมิ ทรัพย์ ไดแ้ ก่ ทรพั ยท์ ่เี คลอ่ื นทไี่ มไ่ ด้ เชน่ ทด่ี นิ ทรพั ย์ท่ีตดิ อยกู่ บั ดนิ เช่น สิ่งปลูกสร้าง เปน็ ตน้

ความแตกตา่ งระหว่างคดแี พง่ กับคดีอาญา
คดแี พง่ สว่ นใหญเ่ กว่ี กับการทำผิดสญั ญาหรอื โตแ้ ย้งทางผลประโยชนเ์ ปน็ สทิ ธหิ นา้ ที่ในเรอื่ งส่วนตัวของบุคคล
2 ฝา่ ย หากฝ่ายใดกระทบสทิ ธิกส็ ามารถฟ้องอกี ฝ่ายได้ คดแี พง่ นน้ั สามารถยอมความกันได้
คดอี าญาเป็นเร่ืองท่ีกระทบตอ่ สาธารณชนหรอื สง่ิ ใดกต็ ามที่กฎหมายหา้ มไมใ่ ห้สาธารณชนทำคือการกระทำที่
ก่อให้เกดิ ผลเสียหายหรอื กอ่ ให้เกดิ ความหวาดหวน่ั แกบ่ ุคคลทัว่ ไป ความผดิ ทางอาญาส่วนใหญไ่ ม่อาจยอมความได้
ตวั อยา่ งของการไม่ใบประกอบวิชาชีพครู
ครุ ุสภา’ เลง็ แจง้ ความเอาผิด ร.ร.-ครู สอนโดยไม่มใี บอนุญาตฯ โทษคกุ 3 ปี ปรบั 6 หม่ืน
เมื่อวันที่ 29 กันยายน นายดิศกุล เกษมสวัสดิ์ เลขาธิการคุรุสภา กล่าวว่า ทันทีที่ทราบข่าวทางคุรุภาได้ตั้ง
คณะกรรมการสบื สวนข้อเทจ็ จรงิ และไดล้ งพื้นท่ีไปเกบ็ ข้อมูลกรณีที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการจา้ งครูพี่เลี้ยง ว่า จ้างมา
ปฏิบัติหน้าที่สอน หรือจ้างมาทำหน้าที่อื่น แต่มาทำหน้าที่สอน ซึ่งขณะนี้ได้ข้อมูลมาระดับหนึ่ง และ ได้ต้ัง
คณะกรรมการสอบสวนข้อเทจ็ จริง โดยในวนั ที่ 30 กนั ยายน คณะสอบสวนฯจะลงพืน้ ท่ี เพ่อื หารายละเอียดเพ่ิมเติม
ใหส้ มบรู ณ์ คาดว่าจะไดข้ ้อสรุปภายใน 1 วัน หากพบว่า มกี ารปฏบิ ัตหิ น้าท่ีสอน โดยไม่มีใบอนุญาตฯ ทางคุรุสภา ก็
จะต้องดำเนนิ การแจ้งความร้องทุกข์ตามพ.ร.บ.สภาครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งกรณีนี้ถือว่า มีความผิดทั้ง ผู้
ทีม่ าทำหน้าทีส่ อนโดยไม่มีใบอนญุ าตฯ และโรงเรยี น ที่ปลอ่ ยใหผ้ ู้ที่ไม่มใี บอนุญาตฯ ไปปฏบิ ัตหิ นา้ ท่ีสอน ซง่ึ มีโทษท้ัง
จำและปรับ จำคุก 3 ปี ปรับ 6 หมื่นบาท อย่างไรกต็ ามการตรวจสอบจะเริ่มจะครู 4 รายที่ทำร้ายร่างกายเด็กก่อน
จากนนั้ จะขยายผลตรวจสอบทง้ั โรงเรียน ซง่ึ กรณนี ี้ จะเป็นตัวอยา่ งให้โรงเรยี นอื่น ๆ ท่ีจา้ งครมู าผดิ ต้องปรับตัวและ
แกไ้ ข ก่อนถูกสมุ่ ตรวจ เพราะหากพบกจ็ ะมผี ลทางกฎหมาย

88

จรรยาบรรณวชิ าชพี ครู
จรรยาบรรณวชิ าชพี ครู มี 5 จรรยาบรรณ 9 ข้อ ประกอบไปด้วย
1).จรรยาบรรณต่อตนเอง
- ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องมีวินัยในตนเอง พัฒนาตนเองด้านวิชาชีพ บุคลิกภาพ และวิสยั ทัศน์
ใหท้ นั ตอ่ การพัฒนาทางวิทยาการ เศรษฐกจิ สงั คม และการเมืองอย่เู สมอ
2). จรรยาบรรณตอ่ วิชาชพี
- ผู้ประกอบวิชาชพี ทางการศึกษา ต้องรัก ศรัทธา ซื่อสัตย์สุจริต รับผิดชอบตอ่ วชิ าชีพ และเป็นสมาชกิ ที่ดี
ขององคก์ รวชิ าชีพ
3).จรรยาบรรณตอ่ ผู้รับบริการ
- ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องรัก เมตตา เอาใจใส่ ช่วยเหลือ ส่งเสริม ให้กำลังใจแก่ศิษย์และ
ผู้รบั บริการ ตามบทบาทหน้าท่ีโดยเสมอหนา้
- ผปู้ ระกอบวชิ าชพี ทางการศกึ ษา ต้องสง่ เสริมให้เกดิ การเรยี นรู้ ทกั ษะ และนิสยั ท่ถี ูกตอ้ งดงี ามแกศ่ ษิ ยแ์ ละ
ผู้รับบริการ ตามบทบาทหนา้ ที่อยา่ งความสามารถด้วยความบรสิ ุทธใิ์ จ
- ผูป้ ระกอบวชิ าชพี ทางการศึกษา ตอ้ งประพฤตติ นเป็นแบบอย่างที่ดี ทั้งทางกาย วาจา และจิตใจผปู้ ระกอบ
วิชาชีพทางการศึกษา ต้องไม่กระทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญทางกาย สติปัญญา จิตใจ อารมณ์ และสังคมของ
ศษิ ย์และผูร้ บั บริการ
- ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องใหบ้ ริการด้วยความจรงิ ใจและเสมอภาค โดยไม่เรียกรบั หรือยอมรับ
ผลประโยชนจ์ ากการใชต้ ำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ
ตัวอยา่ งการประพฤติผิดจรรยาบรรณต่อตนเอง และ จรรยาบรรณต่อวชิ าชพี
ผู้ประกอบวิชาชีพครู อาสาช่วยเหลืองานวัดเก็บรักษาเงินในงานผูกพัทธสีมาฝังลูกนิมิต หลังเลิกงานฝัง
ลูกนิมิตทุกคนื ผู้ประกอบวชิ าชีพครไู ด้นำเงินจากการขายดอกไม้ ธูปเทียนและ ทองมานับตามปกติเพ่ือมอบส่งให้เจ้า
อาวาสวัด ในระหว่างนับเงิน ผู้ประกอบวิชาชีพครูได้ถือโอกาสนำเงินที่ประชาชนบริจาค บางส่วนใส่กระเป๋ากางเกง
ตนเอง ซ่ึงทางวัดได้ใช้กล้องวงจรปดิ จบั ภาพ นำไปใหส้ ื่อมวลชนลงทางส่ืออนิ เตอรเ์ น็ต คณะกรรมการมาตรฐานวชิ าชีพ
พิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริต จึงมีความผิดฐาน ลักทรัพย์ ซึ่งเป็นเงินบริจาคโดย
ประชาชนทมี่ ีจิตศรทั ธาได้รว่ มกัน บรจิ าคทำบุญใหแ้ กว่ ัด พฤติกรรมดังกล่าวส่งผลกระทบต่อความศรทั ธาของประชาชน
และเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีแก่ศิษย์หรือผู้รับบริการหรือประชาชน รวมทั้งเสียชื่อเสียงขององค์กร วิชาชีพอันเป็นการ
กระทำผิดจรรยาบรรณตอ่ ตนเองและ จรรยาบรรณต่อวชิ าชพี ตามมาตรา 50 (1) (2) แหง่ พระราชบัญญตั ิ สภาครูและ
บุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 จึงมีมติให้เพิกถอน ใบประกอบวิชาชีพของผู้ประกอบวิชาชีพครูดังกล่าวการ
ประพฤตผิ ดิ จรรยาบรรณตอ่ วิชาชีพ
4). จรรยาบรรณตอ่ ผูร้ ว่ มประกอบวชิ าชีพ

89

ปรชั ญการศึกษา คุณธรรมจรยิ ธรรม และจรรยาบรรณความเปน็ ครู 103

- ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา พึงช่วยเหลือเก้ือกูลซึ่งกันและกันอย่างสร้างสรรค์ โดยยึดมั่นในระบบ
คณุ ธรรม สรา้ งความสามัคคีในหมู่คณะ

5). จรรยาบรรณต่อสังคม
- ผูป้ ระกอบวชิ าชีพทางการศกึ ษา พึงประพฤตปิ ฏบิ ัตติ นเปน็ ผูน้ ำในการอนรุ กั ษ์ และพัฒนาเศรษฐกจิ สังคม
ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญา สิ่งแวดล้อม รักษาผลประโยชน์ของส่วนรวมและยึดมั่นในการปกครองระบอบ
ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษตั รยิ ์ทรงเปน็ ประมขุ

โทษผิดจรรยาบรรณวิชาชีพครู 5 สถาน
(1) ยกข้อกลา่ วหา
(2) ตกั เตือน
(3) ภาคทณั ฑ์
(4) พกั ใช้ใบอนุญาตมีกำหนดเวลาตามท่ีเห็นสมควร แต่ไมเ่ กนิ 5 ปี
(5) เพกิ ถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ (มาตรา 54)

การลงโทษนกั เรยี นนกั ศึกษา
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 6 และมาตรา 65 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546
รัฐมนตรวี ่าการกระทรวงศกึ ษาธกิ าร จึงวางระเบียบวา่ ดว้ ยการลงโทษนักเรยี นและนกั ศึกษาไว้ดงั ต่อไปนี้
ข้อ 1 ระเบียบนี้เรียกวา่ “ระเบียบกระทรวงศกึ ษาธกิ ารว่าดว้ ยการลงโทษนกั เรียนหรือนกั ศกึ ษา พ.ศ.2548 ”
ข้อ 2 ระเบียบนใี้ หใ้ ช้บังคับตั้งแตว่ นั ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้น
ขอ้ 3 ใหย้ กเลกิ ระเบียบกระทรวงศกึ ษาธิการว่าด้วยลงโทษนักเรยี นหรอื นกั ศึกษา พ.ศ.2543
ข้อ 4ในระเบียบน้ี
บทลงโทษนกั เรียนหรอื นักศึกษาท่กี ระทำผดิ มี 4 สถาน ดงั น้ี
(1) วา่ กล่าวตักเตอื น
(2) ทำทณั ฑบ์ น
(3) ตดั คะแนนประพฤติ
(4) ทำกิจกรรมเพื่อใหป้ รบั เปลี่ยนพฤตกิ รรม
ผู้บรหิ ารและครตู อ้ งเลอื กใช้การลงโทษ ให้เหมาะสม และตอ้ งตระหนกั อยู่เสมอวา่ การลงโทษนักเรียนควรใช้
เฉพาะเมื่อสามารถหาสาเหตุทแี่ นน่ อนและสามารถแก้ไขสาเหตนุ ้ันได้อย่างมีประสทิ ธภิ าพแล้วเทา่ นั้นถ้าจำเป็นต้องใช้
การลงโทษ ก็ควรเลือกวิธีทีเ่ หมาะสมกับความผิดทีเ่ กิดขึ้น ต้องให้นักเรียนเข้าใจ และการลงโทษตอ้ งมีเหตุผลอย่าง
เพียงพอ การลงโทษตอ้ งกระทำอย่างยตุ ิธรรม ไมใ่ ชว้ ิธีทรี่ ุนแรงหรอื ดรุ า้ ย ไม่กระทำในขณะทีผ่ ใู้ หญ่ยังมีอารมณ์โกรธ
และจะตอ้ งไม่กระทำให้นักเรียนได้รบั ความอบั อาย ต้องทำดว้ ยความเมตตาใหค้ ิดเสมอว่าการลงโทษนกั เรยี นนน้ั ไม่ใช่

90

การทำให้นักเรียนเจ็บปวดทั้งทางร่างกาย จิตใจ หรือเป็นการสนองอารมณ์ของครู แต่มีจุดมุ่งหมายให้นักเรียน
ปรับเปลยี่ นพฤติกรรมไปในทางทดี่ ีข้นึ อนั จะนำไปส่คู วามสงบสขุ ความเปน็ ระเบียบเรยี บร้อยในสงั คม

สรุป บทลงโทษที่ครคู วรรู้
1) โทษทางวินยั มี 5 สถาน ไดแ้ ก่ ภาคทัณฑ์ ตัดเงนิ เดอื น ลดขัน้ เงินเดอื น ปลดออก และ
ไล่ออก
2) โทษอาญา กำหนดโทษไว้ 5 สถาน ไดแ้ ก่ ประหารชีวติ จำคกุ กักขัง ปรับ และริบทรัพยส์ นิ
3) โทษทางแพ่ง ไมม่ โี ทษจำคุก แตจ่ ะเปน็ การคืนทรพั ยส์ ิน หรอื ชดใช้คา่ เสียหาย หรอื ให้กระ
ทำการ/งดเวน้ กระทำการและใชเ้ งินคา่ ธรรมเนยี มต่างๆ หรอื ยดึ ทรพั ยส์ ิน
4) โทษผิดจรรยาบรรณวิชาชีพครู 5 สถาน ไดแ้ ก่ ยกข้อกลา่ วหา ตกั เตอื น ภาคทัณฑ์ พักใช
ใบอนญุ าต และเพกิ ถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
5) บทลงโทษนกั เรียนหรอื นักศกึ ษาทกี่ ระทำผิดมี 4 สถาน ไดแ้ ก่ วา่ กลา่ วตักเตอื น ทำทณั ฑ์บน
ตดั คะแนนประพฤติ และทำกิจกรรมเพอ่ื ใหป้ รบั เปลี่ยนพฤตกิ รรม
ผู้บรหิ ารและครูต้องเลอื กใชก้ ารลงโทษ ให้เหมาะสม และตอ้ งตระหนกั อยเู่ สมอว่าการลงโทษนกั เรยี น ควรใช้เฉพาะ
เม่ือสามารถหาสาเหตทุ ่ีแน่นอนและสามารถแกไ้ ขสาเหตนุ ัน้ ได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพแลว้ เทา่ นั้น
ถา้ จำเป็นต้องใชก้ ารลงโทษ กค็ วรเลอื กวิธที เ่ี หมาะสมกบั ความผดิ ทเ่ี กิดขน้ึ ต้องใหน้ กั เรียนเข้าใจ และการ
ลงโทษต้องมเี หตผุ ลอยา่ งเพียงพอ การลงโทษตอ้ งกระทำอยา่ งยุตธิ รรม ไมใ่ ชว้ ิธีทรี่ ุนแรงหรอื ดรุ า้ ย ไม่กระทำในขณะที่
ผใู้ หญ่ยงั มอี ารมณโ์ กรธและจะตอ้ งไม่กระทำให้นกั เรียนได้รบั ความอับอาย ตอ้ งทำดว้ ยความเมตตาให้คดิ เสมอวา่ การ
ลงโทษนักเรียนนั้น ไม่ใช่การทำใหน้ กั เรยี นเจบ็ ปวดทั้งทางร่างกาย จติ ใจ หรือเปน็ การสนองอารมณข์ องครู แต่มี
จดุ มุง่ หมายให้นกั เรยี นปรับเปล่ียนพฤตกิ รรมไปในทางทด่ี ขี ึน้ อนั จะนำไปสู่ความสงบสุข ความเป็นระเบียบเรยี บรอ้ ย
ในสงั คม

5. กฎหมายการศกึ ษาในตา่ งประเทศ

กฎหมายเกีย่ วกับการศึกษาของประเทศสิงคโปร์
ระบบการศกึ ษาของประเทศสิงคโปร์จดั ไดว้ า่ เป็นหน่ึงในระบบการศกึ ษาทดี่ ที ่สี ดุ ของโลก จากการ
เปรียบเทียบคะแนนในโครงการเพอ่ื การประเมินผลนักเรยี นนานาชาติ หรอื PISA (Programme for International
Student Assessment) ซงึ่ ไดจ้ ดั อนั ดบั ใหส้ งิ คโปรเ์ ป็นอันดบั ที่ 1 ของ PISA ในด้านคณิตศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ และ
การอา่ น จากกวา่ 70 ประเทศท่ัวโลก และเนื่องจากสงิ คโปรเ์ คยเปน็ อาณานิคมของอังกฤษ ระบบการศกึ ษาของ
สิงคโปรจ์ งึ มีความคล้ายคลงึ กบั ระบบการศกึ ษาของอังกฤษ กล่าวคอื ใช้หลกั สูตร GCSE และ A level ขององั กฤษ
ระบบการศกึ ษาของสงิ คโปรน์ น้ั มีที่มาสำคัญจากนโยบายของรฐั บาล ในปี พ.ศ. 2490 หรือหลงั
สงครามโลกครงั้ ทีส่ อง ทม่ี ีนกั เรียนจำนวนมากท่ตี อ้ งออกจากโรงเรยี นกลางคัน รัฐบาลจงึ ดำเนินโครงการ

91

นโยบายการศึกษาระยะสบิ ปี (Ten Years Programme for Education Policy) ระหวา่ งปี พ.ศ. 2493 ถงึ พ.ศ.
2503 เพอ่ื ให้เกิดระบบการศกึ ษาท่ีเตรียมความพรอ้ มของประชาชนสำหรบั การปกครองตนเองภายหลงั ไดร้ บั เอกราช
จากประเทศอังกฤษ

ในเวลาต่อมา เมอื่ สงิ คโปรเ์ ริม่ มกี ารพฒั นาเศรษฐกจิ ของตนเอง รฐั บาลจงึ ได้ดำเนินนโยบายทาง
การศกึ ษาท่ีเน้น “การศึกษาเพอ่ื ความอยู่รอด” (survival-drain education) เพ่ือใหไ้ ด้แรงงานท่มี ที ักษะทีเ่ หมาะสม
และเปน็ ที่ตอ้ งการสำหรับการพฒั นาอตุ สาหกรรม และลดอตั ราการว่างงานภายในประเทศ มกี ารจัดตัง้ สถาบนั อาชีวะ
และโครงการ Gifted Education Programme นอกจากความจำเป็นทางเศรษฐกจิ แลว้ การศกึ ษายงั ช่วยในเรื่องการ
รวมชาติ โดยเร่ิมจากนโยบายการส่งเสรมิ และรกั ษาคณุ ภาพสง่ิ แวดล้อม การใชท้ รพั ยากรธรรมชาติ ไดใ้ ชน้ โยบายการ
เรยี นสองภาษาในโรงเรียน ทถี่ ูกนำมาใชเ้ ม่ือปี พ.ศ. 2503 ซงึ่ กำหนดให้ภาษาองั กฤษเป็นภาษาหลักในการเรยี นการ
สอน เพ่ือใช้เป็นภาษากลางระหวา่ งประชากรต่างเชื้อชาติกฎหมายทเ่ี ก่ียวกับการศึกษาของสิงคโปร์ ประกอบด้วย
กฎหมายสำคญั 3 ฉบบั ได้แก่ Compulsory Education Act (Chapter 51) Education Act (Chapter 87) และ
Private Education Act (Chapter 247A) โดยแบ่งการนำเสนอออกเป็น 6 หัวข้อ ไดแ้ ก่ ภาพรวมของระบบ
การศกึ ษาของสงิ คโปรต์ ามนโยบายของรฐั บาลสงิ คโปร์ การศกึ ษาภาคบังคับ การขน้ึ ทะเบียนโรงเรียน การขึ้นทะเบียน
สถานศึกษาเอกชน การขนึ้ ทะเบยี นผบู้ รหิ ารโรงเรียนและครู และหนว่ ยงานของรัฐทม่ี อี ำนาจหน้าทท่ี เี่ ก่ียวข้อง

ภาพรวมของระบบการศึกษาของสงิ คโปรต์ ามนโยบายของรัฐบาลสงิ คโปร์
ประเทศสงิ คโปรไ์ ดใ้ ห้ความสำคญั ต่อการศกึ ษาของประชาชนเป็นอย่างมาก ซงึ่ จะเห็นไดจ้ ากบทบัญญัติตาม
รฐั ธรรมนญู ของสงิ คโปร์ทีไ่ ด้มีการก าหนดเกีย่ วกับความเท่าเทียมมาตรา 16 แห่งรัฐธรรมนูญสิงคโปรก์ ำหนดเรือ่ งการ
ให้ความเคารพในการศึกษาโดยไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติต่อประชากรของสิงคโปร์ (citizen of Singapore) ใน
สถานศึกษาของรัฐบนพื้นฐานของศาสนา ชาติพันธุ์ การสืบเชื้อสาย หรือสถานที่เกิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใน
กระบวนการรับนักเรียนเข้าศกึ ษาในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ หรือการเก็บคา่ ธรรมเนยี มการศกึ ษา และการใหค้ วาม
ช่วยเหลือทางการเงินเพอื่ การศกึ ษาของนักเรียนในสถานศกึ ษาใด ๆ ไมว่ ่าจะเปน็ สถานศึกษาของรฐั หรอื ไม่ และไม่ว่า
จะอยู่ในประเทศสิงคโปร์ หรือนอกประเทศสิงคโปร์ก็ตาม นอกจากนี้ ยังกำหนดให้กลุ่มศาสนาทุกกลุ่มมีสิทธิที่จะ
กอ่ ตง้ั สถาบันเพอื่ การศึกษาของเด็กและออกคำสง่ั ภายใต้ศาสนาตน และบุคคลจะต้องไม่ถกู บงั คับใหเ้ ขา้ ร่วมพิธีกรรม
ทางศาสนาท่ไี มใ่ ช่ศาสนาของตนอกี ดว้ ย
หากพิจารณาบทบัญญัติดังกล่าวจะเห็นได้ว่า รัฐธรรมนูญได้ถูกตราขึ้นให้สอดคล้องกับลักษณะของ
ประชากรในประเทศ ซึ่งมีความหลากหลายทางด้านเชื้อชาติและศาสนา โดยศาสนาที่ประชาชนนับถือน้ันมีท้งั พทุ ธ
ขงจอื๊ เต๋า คริสต์ อสิ ลาม และฮนิ ดู รฐั ธรรมนญู จึงไมก่ าหนดให้มศี าสนาประจ าชาติ และยังเนน้ ใหส้ ถาบันการศึกษา
เคารพและไม่เลอื กปฏิบตั ิต่อนกั เรยี นอกี ดว้ ย
นอกจากนี้ รฐั บาลสงิ คโปร์ก็ยงั ให้ความสำคญั กบั การศกึ ษาเปน็ อยา่ งมาก เพราะถือวา่ ประชาชนเปน็
ทรัพยากรทสี่ ำคญั ของประเทศ ในการนี้ รฐั บาลยงั ไดใ้ ห้การอดุ หนุนดา้ นการศึกษาจนเสมือนกบั ว่าโรงเรยี นส่วนใหญ่

92

เปน็ โรงเรียนของรฐั บาล ส่วนสถานศกึ ษาของเอกชนในสงิ คโปรจ์ ะมเี ฉพาะในระดบั อนุบาลและโรงเรียนนานาชาติ
เทา่ น้ัน

การศึกษาภาคบงั คบั (Compulsory Education Act)
ประเทศสิงคโปร์ได้มีการกำหนดเกี่ยวกับการศึกษาภาคบังคับไว้ใน Compulsory Education Act โดย
กำหนดไวว้ ่า เด็กท่จี ะต้องเข้าเรยี นการศึกษาภาคบงั คบั น้ัน คอื (ก) เด็กทเ่ี กดิ หลงั วนั ท่ี 1 มกราคม พ.ศ. 2539 (ข) เปน็
พลเมืองสิงคโปร์ และ (ค) มีถิ่นที่อยู่ในประเทศสงิ คโปร์ สำหรับการศึกษาภาคบังคบั นั้นมีระยะเวลา 10 ปี โดยเร่มิ
ตั้งแต่เด็กอายุ 6 ปี ซึ่งจะต้องเข้าเรียนในโรงเรียนระดับประถมศึกษาของรัฐ(national primary school) อน่ึง
ผู้ปกครองทีไ่ มป่ ระสงคจ์ ะสง่ เด็กเข้าเรียนในโรงเรยี นระดบั ประถมศึกษาของรฐั จะต้องแจง้ ตอ่ อธิบดกี รมศึกษาธิการถึง
เหตุผลที่ไม่ส่งเด็กเข้าเรียนในโรงเรียนดังกล่าวการศึกษาภาคบังคับในสิงคโปร์เมื่อเทียบกับการศึกษาของไทย คือ
ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาชั้นปที ี่ 1 ถึงระดับมัธยมศึกษาชั้นปีท่ี 4 หรือปีที่ 5 ขึ้นอยู่กับหลักสูตรที่นักเรยี นเลือก โดย
การศึกษาในระดบั ประถมศกึ ษาของสงิ คโปร์แบง่ เปน็ 2 ชว่ ง ได้แก่ ชว่ งประถมตอนตน้ และ ประถมศกึ ษาตอนปลาย
ซึ่งเรียกว่า Foundation Stage โดยนักเรียนจะเรียน 3 วิชาหลัก คือ ภาษาอังกฤษ ภาษาที่พูดมาแต่กำเนิด และ
คณิตศาสตร์ นอกจากนั้น จะมีวิชาดนตรี ศิลปหัตถกรรม หน้าที่พลเมือง สุขศึกษา สังคมศึกษา และพลศึกษา และ
ชว่ งประถมปลาย คือ ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 ถึงปีที่ 6 ซ่ึงเรียกวา่ Orientation Stage ในช่วงนี้ นกั เรยี นจะถกู แยกเรียน
ตามกลุม่ ทางภาษาโดยขน้ึ อยูก่ บั ความสามารถทางภาษาของแต่ละคน เมื่อสำเรจ็ การศึกษาช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 6 แลว้
นักเรียนตอ้ งผา่ นการสอบท่ีเรียกว่า Primary School Leaving Examination (PSLE) เพอื่ ที่จะเข้าศกึ ษาตอ่ ในระดับ
มัธยมศึกษา จึงถือไดว้ า่ ผลการสอบ PSLE นนั้ มสี ่วนสำคัญอยา่ งยง่ิ ตอ่ การเลอื กศกึ ษาต่อระดบั มธั ยมศกึ ษาของนักเรยี น
การศึกษาในระดบั มัธยมศกึ ษาในสงิ คโปรม์ ี 3 หลกั สูตรให้นกั เรียนสามารถเลือกเรยี นได้ตามความสามารถ
และความสนใจ คือ แบบเรง่ รดั (Express) ซึง่ เป็นหลักสตู ร 4 ปี ส่วนแบบธรรมดาสายวิชาการ (Normal
Technical) เป็นหลกั สูตร 5 ปี เม่ือจบการศกึ ษาระดบั มธั ยมศกึ ษาแลว้ นักเรยี นจะตอ้ งทำการสอบเพอ่ื ให้ได้ใบ
ประกาศนยี บัตร จากนั้นผู้ทส่ี นใจเรยี นสายวชิ าชีพเทคนิค หรืออาชวี ศึกษา กส็ ามารถแยกไปเรียนตามสถาบันต่าง ๆ
ไดส้ ่วนผู้ที่ต้องการศกึ ษาตอ่ ในระดับมหาวิทยาลัย จะต้องเขา้ ศึกษาต่อใน Junior College อกี 2 ปี เม่อื จบแลว้ จะตอ้ ง
สอบ GCE "A" Level เพ่อื นำผลคะแนนไปใชต้ ัดสินการเขา้ เรยี นตอ่ ในระดบั มหาวทิ ยาลัย
ทั้งน้ี ผูป้ กครองทไี่ มส่ ่งเดก็ เข้ารบั การศกึ ษาภาคบงั คับจะมีความผดิ ตาม Compulsory Education Act เว้น
แตจ่ ะได้รับการยกเว้น หรอื แสดงเหตผุ ลใหเ้ ป็นทีป่ ระจกั ษ์ว่าเหตใุ ดจงึ ไม่สง่ เดก็ เข้ารบั การศึกษาในโรงเรยี นระดบั
ประถมศึกษาของรัฐ ซงึ่ บทลงโทษของผู้กระท าความผิดภายใต้มาตรา 3 (2) คือ โทษไมเ่ กนิ 5,000 ดอลลารส์ งิ คโปร์
หรือจ าคกุ ไมเ่ กนิ 12 เดือน หรอื ทั้งจำทง้ั ปรบั ซงึ่ บทลงโทษทร่ี นุ แรงดงั กลา่ วสะท้อนใหเ้ ห็นถงึ ความเอาจรงิ เอาจงั ตอ่
การศึกษาของประเทศสงิ คโปร์

93

การขึ้นทะเบยี นโรงเรยี น
ประเทศสงิ คโปร์มีความเขม้ งวดในการจัดตั้งโรงเรยี น จงึ ได้ออกกฎหมาย Education Act (Chapter87) ซ่งึ มี
เนอื้ หาสำคญั คือ กำหนดบทบัญญัตทิ เ่ี กยี่ วขอ้ งกบั การขึน้ ทะเบียนโรงเรียนในสงิ คโปร์ การนำเสนอในหัวข้อนี้แบง่
ออกเปน็ 3 หัวข้อย่อย ได้แก่ คำนิยามตามกฎหมาย เงอ่ื นไขในการข้ึนทะเบยี นในโรงเรยี น และการอทุ ธรณ์
ก) คำนิยามตามกฎหมาย
Education Act (Chapter 87) ระบนุ ิยามว่า "โรงเรยี น" หมายถงึ องค์กร หรอื สถานท่ที ่มี กี ารใหก้ ารศึกษาแก่
คนตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ไม่ว่าจะอยู่ในชั้นเรียนเดียวหรือหลายชั้นเรียน นอกจากนี้ ยังจำกัดการใช้คำศัพท์คำว่า
"โรงเรียน" "มหาวิทยาลัย" "วทิ ยาลยั " และ "สถาบันการศกึ ษา" หรือคำศัพท์ใด ๆ ท่ีกำหนดโดยรฐั มนตรแี ละประกาศ
ในรัฐกิจจานุเบกษา ไมว่ ่าจะในภาษาใดกต็ าม หรือคำศพั ทใ์ ดทีบ่ ่งช้วี ่าบคุ คล หรือองค์กรให้การศกึ ษา เว้นแต่จะได้รับ
อนุญาตจากอธิบดีศึกษาธิการ (Director-General of Education) ผู้ใดฝ่าฝนื จะมีโทษปรับไมเ่ กิน 20,000 ดอลลาร์
สิงคโปร์ หรอื จำคุกไมเ่ กิน 12 เดือน หรือทัง้ จำทัง้ ปรับ
ในกรณที ี่เป็นการขึ้นทะเบยี นโรงเรียนที่ไมใ่ ชโ่ รงเรียนรัฐบาล ผู้ที่ตอ้ งการจะเปน็ ผู้บริหารโรงเรียนจะต้องย่ืน
เรื่องต่ออธิบดี โดยอธิบดีฯ มีอำนาจที่จะขึ้นทะเบียนโรงเรียนนั้น ๆ แต่หากปฏิเสธการขอขึ้นทะเบียนโรงเรียนใด
จะต้องให้เหตุผลกำกบั ทุกครัง้
ข) เง่อื นไขในการข้ึนทะเบยี นโรงเรยี น
โรงเรียนทสี่ ามารถข้นึ ทะเบยี นได้ จะต้องไม่เขา้ ข่ายโรงเรียนที่มีลกั ษณะ ดังนี้
(1) อยู่ในพน้ื ท่ีท่ีมสี ถานศึกษาเพียงพออย่แู ลว้
(2) สถานที่จะก่อต้ังโรงเรียนถกู จดั เปน็ อาคารท่มี คี วามเสี่ยงภัยหรือไม่ม่ันคงหรือมีความเป็นไปได้ท่ีโครงสร้าง
ของอาคารจะไม่เหมาะสำหรับใชเ้ ป็นโรงเรยี น
(3) สถานทีจ่ ะกอ่ ตง้ั โรงเรียนมมี าตรการปอ้ งกันอคั คภี ยั ไม่เพยี งพอ
(4) สถานท่จี ะก่อตงั้ โรงเรยี นน้ันไมถ่ ูกสุขอนามยั หรอื ไม่เหมาะสมดว้ ยเหตผุ ลของสุขภาพในการใช้
สถานที่เป็นโรงเรียน
(5) สถานที่พกั ผ่อนนอกอาคารสำหรับนกั เรยี นน้ันมีไม่พอ
(6) โรงเรียนทขี่ อจดทะเบยี นน้นั ไมเ่ ปน็ ไปตามกฎระเบยี บทก่ี ำหนดภายใต้รัฐบัญญตั ินี้
(7) คา่ เลา่ เรียนทนี่ ำเสนอสูงเกนิ ไป เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในการบริหารโรงเรียนและมาตรฐาน
การศกึ ษาที่จะใหแ้ กน่ กั เรียน
(8) คณุ สมบตั ิและประสบการณข์ องครทู จี่ ะสอนไมเ่ พยี งพอ
(9) คา่ ตอบแทนของครทู ี่นำเสนอนั้นไมเ่ พียงพอในการปฏบิ ตั ิหนา้ ทีอ่ ยา่ งมีประสทิ ธิภาพ
(10) มีแผนทจี่ ะรองรบั นักเรยี นจำนวนมากกว่า 1,200 คน ในหนง่ึ วชิ า
(11) คณะกรรมการโรงเรียนอาจไมส่ ามารถบรหิ ารโรงเรียนไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ
(12) ผู้บริหารโรงเรียนมีความไมเ่ หมาะสมทจ่ี ะบรหิ าร

94

(13) โรงเรยี นที่ขอขึ้นทะเบยี นเคยถกู ปฏเิ สธการขอขน้ึ ทะเบยี น หรือเคยถูกถอดใบอนุญาต ภายใต้
กฎหมาย Education Act หรอื กฎหมายก่อนหน้าน้ที เ่ี กีย่ วขอ้ งกับการข้ึนทะเบยี นโรงเรียน

(14) มคี วามเป็นไปได้ที่โรงเรยี นดงั กลา่ วจะถกู ใชเ้ พ่อื วตั ถุประสงค์ทเ่ี ปน็ อันตรายต่อผลประโยชน์ของสงิ คโปร์
หรอื ของสาธารณะ

(15) มีความเปน็ ไปไดท้ ่ีโรงเรียนดงั กลา่ วจะถูกใช้เพือ่ สง่ั สอนส่งิ ทเ่ี ปน็ อนั ตรายต่อผลประโยชนข์ องสาธารณะ
หรอื ของนักเรียน

(16) มีความเปน็ ไปได้ท่ีโรงเรยี นดงั กลา่ วจะถกู ใชเ้ ป็นสถานทน่ี ดั พบขององคก์ รผดิ กฎหมาย
(17) ชือ่ โรงเรยี นที่ขอข้นึ ทะเบียนขัดกับผลประโยชนข์ องสิงคโปร์ หรือ
(18) ใบขอข้นึ ทะเบียน หรอื เอกสารที่ใช้ประกอบขอข้ึนทะเบียนมีการใหข้ ้อมูลทเ่ี ป็นเทจ็ หรือไม่
ครบถ้วนจะเหน็ ไดว้ า่ การข้ึนทะเบียนโรงเรยี นในสงิ คโปร์ค่อนข้างรัดกมุ โดยอธิบดฯี สามารถปฏเิ สธการขอข้นึ
ทะเบยี นโรงเรยี นได้บนหลายฐาน ตง้ั แต่คณุ ภาพของตวั อาคาร ครู ผูบ้ ริหารโรงเรียน คา่ เล่าเรียน หรือแมก้ ระทง่ั ช่ือ
โรงเรยี น ในบางกรณี อธบิ ดี ฯ สามารถใชด้ ุลยพนิ จิ ในการตดั สนิ วา่ โรงเรียนท่ขี อข้ึนทะเบยี นนนั้ จะกระทบตอ่
ผลประโยชนส์ าธารณะ หรือผลประโยชนข์ องสงิ คโปร์อย่างไร ซง่ึ สะท้อนว่าภาครฐั มกี ารควบคุมโรงเรียนในประเทศ
อย่างจรงิ จัง
ค) การอทุ ธรณ์
หากผู้ขอขึ้นทะเบียนโรงเรยี นไม่เห็นด้วยกับค าตัดสินของอธิบดีฯ สามารถทำหนังสืออทุ ธรณ์เป็นสำเนา 2
ฉบบั ยนื่ ตอ่ รัฐมนตรวี ่าการกระทรวงศึกษาธิการ หรือคณะกรรมการอทุ ธรณ์ (Appeal Boards) แล้วแต่กรณี โดยตอ้ ง
ย่นื ผา่ นอธิบดฯี หลงั จากได้รบั หนงั สืออุทธรณ์แล้ว รัฐมนตรฯี หรือเลขานกุ ารของคณะกรรมการอทุ ธรณ์จะต้องแจ้งผู้
ยนื่ หนังสอื อทุ ธรณแ์ ละอธิบดฯี ล่วงหน้า 14 วนั ก่อนถึงวันทจี่ ะพจิ ารณาเรอื่ งอุทธรณ์
คำตัดสินของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ หรือคณะกร รมการอุทธรณ์นั้นถือเป็นที่สิ้นสุด
โดยคำตดั สินดังกล่าวจะถูกสง่ ใหอ้ ธบิ ดศี กึ ษาธกิ าร ซ่งึ จะแจง้ ผลคำตดั สนิ ต่อผยู้ น่ื หนังสืออทุ ธรณ์เปน็ ลายลักษณ์อักษร
ตอ่ ไป

การข้ึนทะเบียนสถานศกึ ษาเอกชน (Private Education Act)
กจิ การสถานศกึ ษาเอกชนเป็นธุรกิจท่มี ีแนวโนม้ การเตบิ โตท่ีดีในสงิ คโปรส์ งั เกตไดจ้ ากจำนวน
สถาบนั การศึกษาตา่ งประเทศที่เขา้ ไปเปิดกจิ การในประเทศสิงคโปร์ไม่วา่ จะเป็นโรงเรียนสอนวิชาความรู้ทเี่ ป็นวชิ าการ
และทไี่ มเ่ ปน็ วิชาการ รวมไปถงึ ศูนย์รบั เล้ยี งเดก็ เป็นต้น รัฐบาลสิงคโปรจ์ ึงได้ออกกฎหมาย Private Education Act
(Chapter 247A) เพ่ือจัดระเบยี บสถาบนั การศกึ ษาเอกชนเหลา่ น้ี
ก) ขน้ั ตอนและเงือ่ นไขการข้นึ ทะเบยี น
Private Education Act (Chapter 264A) กำหนดใหบ้ ุคคลใดกต็ ามท่ตี ้องการประกอบธรุ กจิ การศกึ ษาในสิงคโปร์
หรือให้ใบประกาศนยี บตั ร วุฒิบัตร หรอื ปริญญาบัตรท่ีเก่ยี วกับการศกึ ษา จะตอ้ งขึน้ ทะเบยี นเปน็ สถาบนั การศึกษา

95

เอกชน หากฝา่ ฝนื จะมโี ทษปรับไมเ่ กิน ๕,๐๐๐ ดอลลารส์ ิงคโปร์ นอกจากน้ี สภาการศกึ ษาเอกชน (Council of
Private Education) สามารถส่ังปิดสถานศึกษาดงั กลา่ ได้โดยใช้กำลงั หรอื ปิดทางเข้า-ออกสถานที่ดังกลา่ วได้

การขอขนึ้ ทะเบียนสถาบนั การศกึ ษาเอกชนจะตอ้ งกระทำโดยผู้บริหารของสถาบันการศึกษาเอกชนดังกลา่ ว
โดยย่ืนเรอื่ งขอขึ้นทะเบยี นตอ่ สภาการศึกษาเอกชน ซ่งึ อาจพิจารณาปฏเิ สธคำขอขนึ้ ทะเบียนของสถาบนั การศกึ ษา
เอกชนดงั กล่าวได้ บนฐานดังตอ่ ไปนี้

(1) สถาบนั การศึกษาเอกชนน้ันไม่ได้จดทะเบยี นเป็นบรษิ ัทหรือองคก์ ร
(2) สถานทีต่ ั้งของสถาบันการศึกษานัน้ ไม่เหมาะสมทจี่ ะเปน็ สถาบนั การศกึ ษาเอกชนไมถ่ กู สุขอนามยั หรอื ไม่
ปลอดภยั ถกู ใช้เพ่ือวตั ถุประสงค์อ่ืนนอกเหนอื จากใหก้ ารศกึ ษาเอกชนหรอื ไมเ่ ปน็ ไปตามทกี่ ฎหมายกำหนดไว้
(3) มากกวา่ ก่งึ หนง่ึ ของครู หรอื ผทู้ จ่ี ะมาเปน็ ครูในสถาบนั การศกึ ษาเอกชนนน้ั ขาดคณุ สมบตั หิ รอื
ประสบการณข์ ั้นตำ่ หรอื มคี วามไมเ่ หมาะสมทจ่ี ะสอนในสถาบนั การศกึ ษาเอกชน
(4) ใบขอข้นึ ทะเบยี น หรอื เอกสารทใ่ี ช้ประกอบการขอขนึ้ ทะเบียนมีขอ้ ความทเ่ี ป็นเทจ็ หรอื มีขอ้ มลู ไม่
ครบถว้ น
(5) สถาบันการศกึ ษาเอกชน หรอื ผบู้ ริหารสถาบันการศึกษาเอกชนฝ่าฝนื บญั ญัติภายใตก้ ฎหมาย
Private Education Act หรือเคยถูกตดั สนิ ว่ากระทำความผดิ ภายใตร้ ฐั บญั ญัตินี้ หรือเคยถกู ตดั สินว่ามี
ความผิดฐานทุจริต หรอื ฉ้อโกง ภายในระยะเวลา 5 ปี กอ่ นการยนื่ ขอขนึ้ ทะเบียน
(6) ผู้บรหิ าร หรอื ผทู้ จ่ี ะเปน็ ผบู้ ริหารของสถาบันการศึกษาเอกชนมคี วามไมเ่ หมาะสม
(7) สภาการศึกษาเอกชนเห็นวา่ ชอื่ ของสถาบนั การศกึ ษาเอกชนอาจชกั จงู ให้เกิดความเข้าใจผดิ ต่อลกั ษณะ
หรือวตั ถุประสงคข์ องสถาบันการศกึ ษาเอกชนน้ัน หรือมคี วามเหมอื นหรอื ซำ้ กับชอ่ื สถานศกึ ษาอืน่ หรือ
สถาบนั การศกึ ษาเอกชนทมี่ ีอยู่แลว้ หรอื เปน็ ชื่อทหี่ ยาบคายหรอื เป็นช่อื ทรี่ ัฐมนตรีมีคำส่ังไม่ใหร้ บั ข้ึนทะเบยี น เม่อื
ได้รบั การขน้ึ ทะเบยี นและไดด้ ำเนนิ กจิ การไปสักระยะหนง่ึ สถาบนั การศกึ ษาเอกชนนนั้ อาจถกู ตรวจสอบโดยผู้
ตรวจสอบโรงเรียน (inspector) ซ่งึ แตง่ ต้งั โดยสภาการศกึ ษาเอกชน ผูต้ รวจสอบโรงเรียนมีอำนาจในการ (ก) เขา้ ไปยัง
สถานท่ตี ง้ั สถาบันการศกึ ษาเอกชน ในกรณที มี่ ีเหตุใหเ้ ช่ือวา่ มหี ลกั ฐานการกระทำผิดภายใต้รฐั บัญญตั นิ ี้ และอาจค้น
ยึด และเอาหนงั สอื เอกสาร วตั ถุ หรือทำสำเนาหากเหน็ ว่าจำเป็น (ข) ขอใหบ้ ุคคลทเี่ ช่ือวา่ ได้กระทำความผิดสง่
หลกั ฐานให้ หรอื (ค) ออกคำสง่ั เป็นลายลกั ษณ์อกั ษรใหบ้ ุคคลใด ๆ ในสิงคโปร์ให้ข้อมูลเกี่ยวกบั การกระทำผดิ น้นั เปน็
ต้น
ข) การขออนญุ าตประกอบกจิ กรรมในสถานศกึ ษาเอกชน
นอกจากกฎหมายสงิ คโปรจ์ ะกำหนดให้สถานศกึ ษาเอกชนตอ้ งขึน้ ทะเบยี นแล้ว บางกิจกรรมในสถานศกึ ษา
เอกชน เชน่ ร้านอาหาร ส่ือสงิ่ พิมพก์ ็ตอ้ งขอใบอนุญาตดว้ ย โดยขนึ้ อยกู่ ับประเภทขสถานศกึ ษา

96


Click to View FlipBook Version