รายงานการวิจัยและพัฒนาการเรียนรู้ เรื่อง การพัฒนาความพร้อมด้านทักษะการเขียนของเด็กปฐมวัยชั้นปีที่ 2 โดยใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ โดย 1. นางสาวพัชรา เพชรคีรีรีฐ รหัสนักศึกษา 64031400175 2. นางสาวจริยา ฤดีเลิศโภคิม รหัสนักศึกษา 64031400155 3. นางสาวพัชรี แซ่ย่าง รหัสนักศึกษา 64031400157 4. นางสาวทิพมณี จุติภูผา รหัสนักศึกษา 64031400155 Section 19 รายงานการวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ รหัสวิชา 1043412 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566
ก กิตติกรรมประกาศ งานวิจัยเรื่องการพัฒนาความพร้อมด้านทักษะการเขียนของเด็กปฐมวัยชั้นปีที่ 2 โดยใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ สำเร็จลุล่วงได้ด้วยความกรุณาของอาจารย์ประจำรายวิชาการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ได้แก่ อาจารย์อิสระ ทับสีสด และอาจารย์ในสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัยที่ได้ให้คำปรึกษา แนะนำ ชี้แนะในการศึกษาค้นคว้า แนะนำขั้นตอน การทำวิจัย การสร้างเครื่องมือ นวัตกรรม และวิธีทำรายงานวิจัยจนสำเร็จลุล่วงด้วยดีคณะผู้จัดทำจึงขอกราบ ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ ณ โอกาสนี้ ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ ดร.ชลายุทธ์ ครุฑเมือง ที่ให้ความอนุเคราะห์ด้านการวิจัย อาจารย์ณฐพร อารี ญาติ และอาจารย์ ผศ.ดร. กุลิสรา จิตรชญาวณิช ที่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเอกสารงานวิจัย การประเมินเครื่องมือวิจัย การ หาประสิทธิภาพเชิงเหตุผล และอาจารย์อิสระ ทับสีสด ที่ให้ความอนุเคราะห์ในการทำรายงานวิจัย ให้คำปรึกษา แนะนำ การจัดทำวิจัยตั้งแต่การกำหนดปัญหาที่นำมาสู่การวิจัย จนถึงการอภิปราย สรุปผล ตลอดจนแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ จน ประสบผลสำเร็จ ขอกราบขอบพระคุณ บิดา มารดา ที่ให้กำลังใจในการศึกษาเล่าเรียน และสมาชิกในกลุ่มที่ให้ความร่วมมือใน การทำงานเป็นอย่างดีในการทำวิจัยครั้งนี้จนกระทั่งประสบความสำเร็จด้วยดี คณะนักวิจัย
ข การพัฒนาความพร้อมด้านทักษะการเขียนของเด็กปฐมวัยชั้นปีที่ 2 โดยใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ นางสาวพัชรา เพชรคีรีรัฐ* นางสาวจริยา ฤดีเลิศโภคิม* นางสาวพัชรี แซ่ย่าง* นางสาวทิพมณี จุติภูผา* บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้กระทำกับกลุ่มตัวอย่างเดียว คัดเลือกด้วยวิธีการสุ่มโดยอาศัยหลักการความน่าจะเป็นอย่าง ง่ายจากนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 โรงเรียนบ้านแผ่นดินทอง อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย วัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ 1) เพื่อพัฒนาชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ สำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียน 2) เพื่อ การศึกษาผลการทดลองใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ จัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียน 3) เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการทดลองใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ จัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนา ผลการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียน ระเบียบวิธีการวิจัยเป็นแบบกึ่งทดลอง เครื่องมือการวิจัยซึ่งผ่านการหาประสิทธิภาพ แล้วประกอบด้วย แบบประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ แบบสังเกต พฤติกรรม แบบสอบถามวัดระดับความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ One - Sample t Test ผลการวิจัยพบว่า ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือสร้างขึ้นตามแนวคิด ทฤษฎี หลักการ วิธีการของพูนสุข บุญย์สวัสดิ์ 2514, บันลือ พฤกษะ วัน 2535 และ Morrow. 2539 นั้น เมื่อนำมาทดลองใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียน กลุ่มตัวอย่างมี ผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ที่ระดับ ยอดเยี่ยม ตามเกณฑ์ของครูพี่เลี้ยง (สิริพัทธ วงค์เวียน.2556) มีการพัฒนาผลการเรียนรู้สูงกว่าเกณฑ์เปรียบเทียบตั้งแต่ระดับ ดี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 หรือที่ระดับความเชื่อมั่น 95 % และมีความพึงพอใจต่อเฉพาะการทดลองใช้ชุดกิกรรมฝึกลีลามือ ที่ระดับมาก คำสำคัญ: * นักศึกษาวิชาเอกการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์
ค สารบัญ เรื่อง หน้าที่ กิตติกรรมประกาศ ก บทคัดย่อ ข สารบัญ ค-ง สารบัญตาราง จ บทที่ 1 บทนำ 1 ที่มาและความสำคัญของปัญหา 1-4 คำถามการวิจัย 4 วัตถุประสงค์การวิจัย 4 ผลและประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 4 ขอบเขตการวิจัย 5 นิยามคำศัพท์เฉพาะ 5-7 สมมติฐานการวิจัย 7-8 บทที่ 2 การทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 9 การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ 9-12 นวัตกรรมทางการศึกษา 12-15 ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ 15-17 วิธีการสร้างและหาคุณภาพของนวัตกรรม 17-19 เครื่องมือการวิจัย 19-23 ระดับความพึงพอใจ 23-24 ผลการเรียนรู้ 25 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 25-28 บทที่ 3 วิธีการดำเนินการวิจัย 29 ระเบียบวิธีวิจัย 29 แหล่งข้อมูลการวิจัย 29 เครื่องมือการวิจัย 29-33 การดำเนินการรวบรวมข้อมูล 34 การวิเคราะห์ข้อมูล 34-35 การนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 35
ง เรื่อง หน้าที่ บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 36 ผลการพัฒนาชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ 36-38 การพัฒนาผลการเรียนรู้ 38-41 ระดับความพึงพอใจ 41-42 บทที่ 5 สรุป อภิปราย และข้อเสนอแนะผลการวิจัย 43 สรุปผลการวิจัย 43 อภิปรายผลการวิจัย 44-46 ข้อเสนอแนะ 47 บรรณานุกรม 48-50 ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ 51-127 ภาคผนวกที่ 1 เอกสารเชิญผู้เชี่ยวชาญประเมินเครื่องมือวิจัย 128-140 ภาคผนวกที่ 2 เครื่องมือการวิจัยที่ผ่านการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญ 141-176 ภาคผนวกที่ 3 การวิเคราะห์ข้อมูล 177-191 ประวัตินักวิจัย 192-193
จ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้าที่ 1 แสดงผลการประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือจากผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 คน 37 2 แสดงคะแนนผลการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียน จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้โดยทดลองใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ กับกลุ่มตัวอย่าง คะแนนเต็มเท่ากับ 324 คะแนน 38 3.1 One –Sample Statistics 40 3.2 One –Sample Statistics 40 4 แสดงระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 ปีการศึกษา 2566 ภาคเรียนที่ 1 จำนวน 24 คนที่มีต่อการทดลองใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียน 41
1 บทที่ 1 บทนำ ที่มาและความสำคัญของปัญหา พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 บัญญัติความตามมาตรา 22 ว่า การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่า นักเรียนทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่านักเรียนทุกคนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษา ต้องส่งเสริมให้นักเรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ และความตามมาตรา 24 (1) บัญญัติว่าการจัด กระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและ ความถนัดของนักเรียนโดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล และความตอนหนึ่ง (5) ของมาตราเดียวกันบัญญัติว่า ให้ ครูสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ และความตามมาตรา 30 บัญญัติว่า ให้สถานศึกษาพัฒนา กระบวนการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งส่งเสริมให้ครูสามารถวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับ นักเรียนในแต่ละสถานศึกษา จากความตามมาตราดังกล่าวถึงตีความว่า ภายหลังที่ครูจัดกิจกรรมการเรียนรู้ใด ๆ ด้วย นวัตกรรมการเรียนรู้ใดแล้ว เมื่อทำการวัดและประเมินผลพบว่ามี ผลอย่างใดอย่างหนึ่งคือ จำนวนนักเรียนระดับชั้น เรียน จำนวนนักเรียนส่วนมากของ ชั้นเรียน จำนวนนักเรียนส่วนน้อยของชั้นเรียนมีผลการเรียนรู้ต่ำกว่าเกณฑ์ประเมิน ผ่านระดับชั้นเรียน หรือจำนวนนักเรียนระดับชั้นเรียนมีผลการเรียนรู้ผ่านเกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้นเรียน แต่ระดับผล การเรียนรู้ค่อนข้างต่ำ กรณีที่นักเรียนมีผลการเรียนรู้ต่ำกว่าเกณฑ์ประเมินผ่าน ครูจะตีความว่านักเรียน “ตก” ไม่ได้ หากแต่จำเป็นต้องสร้างหรือพัฒนานวัตกรรมเรียนรู้ที่เหมาะสมมาใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้แทนนวัตกรรมการเรียนรู้เดิม เพื่อปรับปรุงผลการเรียนรู้ของนักเรียนให้ผ่านเกณฑ์ประเมินผ่าน และเช่นกัน กรณีที่จำนวนนักเรียนระดับชั้นเรียนมีผล การเรียนรู้ผ่านเกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้นเรียน แต่ระดับผลการเรียนรู้ค่อนข้างต่ำ จำเป็นอย่างยิ่งที่ครูต้องสร้างหรือ พัฒนานวัตกรรมเรียนรู้ที่เหมาะมาใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้แทนนวัตกรรมการเรียนรู้เดิมเพื่อพัฒนาระดับผลการ เรียนรู้ของนักเรียนให้สูงขึ้น (อิสระ ทับสีสด.2565) การเขียนเป็นทักษะทางภาษาที่สำคัญประการหนึ่ง ใช้ในการติดต่อสื่อสารโดยมีตัวหนังสือตลอดจนเครื่องมือ ต่าง ๆ เป็นสัญลักษณ์แทนถ้อยคำในภาษาพูด เพื่อถ่ายทอดความรู้ความคิด อารมณ์ ความรู้ และประสบการณ์ให้ผู้อื่น ทราบ (นิตยา ธัญญพาณิชย์.2537 ) การเขียน เป็นการพัฒนาการทางภาษาที่มีความสำคัญไม่แตกต่างจากการฟัง พูด และอ่าน จุดมุ่งหมายของการเขียนในเด็กปฐมวัยเพื่อพัฒนาความสามารถในการเขียนจากขั้นง่ายๆไปสู่ขั้นที่ซับซ้อน
2 ยิ่งขึ้น เด็กต้องการประสบการณ์ในการเขียนตั้งแต่การทำเครื่องหมาย การทดลองเขียนคำ การเขียนประโยค เพื่อที่จะ ได้เกิดสิ่งที่ค้นพบว่าเครื่องหมายต่าง ๆ ที่เด็กได้ทดลองนั้นมีความหมายสำหรับตนเอง การเขียนเป็นทักษะที่มีความ ยุ่งยาก เพราะต้องใช้ความคิด ความรู้สึก ประสบการณ์และความสามารถเฉพาะตัวของเด็กแต่ละคน ฉะนั้นรอยขีดๆ เขียนๆ ซึ่งอาจจะเขียนอย่างมีความหมายและไม่มีความหมายตามความเป็นจริงหรือไม่นั้นจะเป็นการพัฒนาด้านการ เขียนเป็นขั้นๆ ไป ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้วการพัฒนาการเขียนเริ่มจากการจับปากกาหรือดินสอลากไปบนกระดาษ แล้วสามารถบอกได้ว่ารอยขีดเขียนต่าง ๆ ที่ปรากฏในกระดาษนั้นคืออะไร ตลอดจนเด็กสามารถเชื่อมโยงเป็น เรื่องราวได้อย่างไรบ้างและให้ตระหนักอยู่ตลอดเวลาว่าการเขียนของเด็กปฐมวัย คือ การที่เด็กขีดเขียนถ่ายทอด เรื่องราวความคิดออกมาอย่างมีความหมาย เด็กสามารถบอกได้ว่าเขาเขียนอะไร การเขียนของเด็กไม่เน้นความ สวยงามหรือถูกต้องตามหลักการเขียน แต่การเขียนในเด็กปฐมวัยจะเป็นไปตามพัฒนาการและความสามารถเฉพาะ ของเด็กแต่ละคน (ดารารัตน์ อุทัยพยัคฆ์.2555) สำหรับการเรียนรู้เรื่องทักษะการเขียน กำหนดเป็นมาตรฐานที่ 9 ใช้ ภาษาสื่อสารได้เหมาะสมกับวัย ตัวบ่งชี้ 9.2 อ่าน เขียนภาพ และสัญลักษณ์ได้สภาพที่พึงประสงค์ 9.2.2 เขียนคล้าย ตัวอักษร อายุ 4-5 ปี หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย 2560 (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน.2560) การจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ ให้กับนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 โรงเรียนบ้านแผ่นดินทอง นับแต่ปี การศึกษาก่อนหน้า พบว่าเฉพาะผลการเรียนรู้เรื่อง ทักษะการเขียน ครูพี่เลี้ยงจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรม การเรียนรู้เดิม (นิยามเป็นคำศัพท์เฉพาะแล้ว) สำหรับการวัดและประเมินผลนั้นกำหนดเป็น 4 ด้านคือ ด้านร่างกาย ด้าน อารมณ์ จิตใจ และด้านสติปัญญา กำหนดระดับและเกณฑ์ประเมินผลการเรียนรู้ตามเกณฑ์ของครูพี่เลี้ยง เป็น 5 ระดับ ได้แก่ ยอดเยี่ยม มีช่วงร้อยละของคะแนน 80 –100 ดีเลิศ ช่วงร้อยละของคะแนน 70–79 ดี ช่วงร้อยละของคะแนน 60 – 69 ปานกลาง ช่วงร้อยละของคะแนน 50 – 59 และกำลังพัฒนา ช่วงร้อยละของคะแนน 0 - 49 สำหรับเกณฑ์ประเมิน ผ่านผลการเรียนรู้เป็นรายบุคคลนั้น นักเรียนแต่ละคนต้องมีผลการเรียนรู้ตั้งแต่ระดับ ปานกลาง ส่วนเกณฑ์ประเมินผ่านรู้ ระดับชั้นเรียน ต้องมีค่าเฉลี่ยคะแนนรวมอย่างน้อยร้อยละ 50 ของคะแนนเต็ม จึงจะตัดสินว่า นักเรียนระดับชั้นเรียนมี ผลการเรียนรู้ผ่านเกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้นเรียน (สิริพัทธ วงค์เวียน.2565) จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียน โดยใช้นวัตกรรมการเรียนรู้เดิม เมื่อทำการวัดและ ประเมินผลการเรียนรู้ทั้ง 4 ด้านรวมกันคือ ด้านร่างกาย ด้านอารมณ์ จิตใจ และด้านสติปัญญา พบว่า มีค่าเฉลี่ยคะแนน รวมของผลการเรียนรู้ร้อยละ 68.77 ซึ่งผ่านเกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้นเรียน และเมื่อวิเคราะห์เป็นรายด้านพบว่า ผลการ เรียนรู้ด้านสติปัญญา ตัวบ่งชี้เรื่อง การอ่าน เขียนภาพ และเขียนสัญลักษณ์มีค่าเฉลี่ยคะแนนรวมของผลการเรียนรู้ร้อยละ 48.48 ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้นเรียน (สิริพัทธ วงค์เวียน.2566) จากการวิเคราะห์สาเหตุที่ทำให้นักเรียนมี ผลการเรียนรู้ทักษะการเขียนของตัวชี้ชี้ที่ 9.2 เรื่อง เขียนภาพ และเขียนสัญลักษณ์ ต่ำกว่าเกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้น เรียนเพราะว่า ครูมีการใช้นวัตกรรมการเรียนรู้เดิม มีวิธีการสอนโดยใช้การบรรยาย ยึดครูเป็นศูนย์กลาง ไม่มีการใช้สื่อ ในการจูงใจให้เด็กเกิดความสนใจในการเรียนรู้ และรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ไม่ได้ใช้เทคนิคการสอนแบบฝึก
3 ซ้ำย้ำทวนหรือไม่ได้ให้เด็กฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอส่งผลให้ผู้เรียนไม่ได้พัฒนาความพร้อมอย่างเต็มที่ เด็กขาดประสบการณ์ และการเตรียมความพร้อมในการเขียน ด้วยปัญหาที่นักเรียนมีผลการเรียนรู้เรื่องทักษะการเขียนต่ำกว่าเกณฑ์ประเมิน ผ่านระดับชั้นเรียน โดยมีสาเหตุดังกล่าวแล้ว นักวิจัยจึงมีแนวคิดที่ปรับปรุงผลการเรียนรู้ทักษะการเขียนด้านดังกล่าว (คณะนักวิจัย.2566) กิจกรรมฝึกลีลามือ หมายถึง กิจกรรมการพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กให้แข็งแรง ทำให้เด็กพร้อมที่จะลากลีลามือซึ่ง เป็นพื้นฐานสำคัญของการเขียน เพราะความคล่องแคล่วของกล้ามเนื้อนิ้วมือมีความสัมพันธ์มากกับการเขียนของเด็กซึ่ง กิจกรรมหรือสื่ออุปกรณ์จะช่วยส่งเสริมการใช้กล้ามเนื้อมือกับสายตาให้ประสานสัมพันธ์กัน เพื่อวางรากฐานในการใช้มือที่ ถนัดและเตรียมความพร้อมที่จะเขียนต่อไป โดยใช้กิจกรรมที่ส่งเสริมความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อเล็ก การประสานงาน ระหว่างตากับมือ คือ การต่อเลโก้การร้อยลูกปัด การปั้นแป้งโดว์ ศิลปะการขยำกระดาษ การระบายสี การตัดกระดาษโดย ใช้กรรไกร การต่อภาพตัดต่อ และเส้นพื้นฐาน 13 เส้น ได้แก่ คือ เส้นตรงลง เส้นตรงขึ้น เส้นนอนจากซ้ายไปขวา เส้นนอน จากขวาไปซ้าย เส้นลงเฉียงจากขวาไปซ้าย เส้นขึ้นเฉียงจากซ้ายไปขวา เส้นลงเฉียงจากซ้ายไปขวา เส้นขึ้นเฉียงจากขวาไป ซ้าย เส้นโค้งคว่ำจากซ้ายไปขวา เส้นโค้งหงายจากซ้ายไปขวา เส้นโค้งคว่ำจากขวาไปซ้าย เส้นวงกลมจากซ้ายไปขวา เส้น วงกลมจากขวาไปซ้าย การจัดการเรียนการสอนของครูที่มีความเข้าใจในการจัดการเรียนการสอนจะจัดกิจกรรมที่ตอบสนองความ ต้องการและความสนใจของเด็ก ให้เด็กได้เข้าร่วมทำผลงานจากประสบการณ์ ดังนั้นการส่งเสริมพฤติกรรมการเขียน ให้กับเด็กปฐมวัยสามารถทำได้ ดังนี้ การจัดสิ่งแวดล้อมให้มีอุปกรณ์ที่หลากหลายสำหรับให้เด็กได้ฝึกเขียนฝึกลีลามือให้ เด็กเขียนลากเส้นโดยอิสระตามที่เด็กต้องการ ซึ่งอาจพัฒนาเป็นชุดฝึกลีลามือในการเขียนเส้นลักษณะต่าง ๆ หรือเส้น พื้นฐานทั้ง 13 เส้น คือ เส้นตรงลง เส้นตรงขึ้น เส้นนอนจากซ้ายไปขวา เส้นนอนจากขวาไปซ้าย เส้นลงเฉียงจากขวาไป ซ้าย เส้นขึ้นเฉียงจากซ้ายไปขวา เส้นลงเฉียงจากซ้ายไปขวา เส้นขึ้นเฉียงจากขวาไปซ้าย เส้นโค้งคว่ำจากซ้ายไปขวา เส้น โค้งหงายจากซ้ายไปขวา เส้นโค้งคว่ำจากขวาไปซ้าย เส้นวงกลมจากซ้ายไปขวา เส้นวงกลมจากขวาไปซ้ายและกิจกรรม ที่ส่งเสริมความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อเล็ก การประสานงานระหว่างตากับมือ คือ การต่อเลโก้ การร้อยลูกปัด การ ปั้นแป้งโดว์ ศิลปะการขยำกระดาษ การระบายสี การตัดกระดาษโดยใช้กรรไกร และการต่อภาพตัดต่อ ซึ่งเป็นพื้นฐาน ในการเตรียมความพร้อมด้านการเขียนของเด็กระดับอนุบาล และส่งเสริมพื้นฐานในการเรียนและการพัฒนาระดับ ความสามารถในการเขียนของเด็กปฐมวัยในระดับชั้นที่สูงขึ้นต่อไป (พูนสุข บุญย์สวัสดิ์ 2514, บันลือ พฤกษะวัน 2535 และ Morrow. 2539) จากดังที่กล่าวมาจะเห็นว่า แนวคิดการจัดกิจกรรมการฝึกลีลามือที่พัฒนาเป็นชุดฝึกลีลามือในการเขียนเส้น ลักษณะต่าง ๆ หรือเส้นพื้นฐานทั้ง 13 เส้นและกิจกรรมที่ส่งเสริมความสามารถในการใช้กล้ามนื้อเล็กสอดคล้องกับ ปัญหาด้านทักษะการเขียนของผู้เรียน ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนมีกล้ามเนื้อมือกับตาประสานสัมพันธ์กัน มีกล้ามเนื้อมือที่ แข็งแรง และคล่องแคล่ว ที่นำไปสู่ทักษะการเขียนจะทำให้ผู้เรียนได้รับการฝึกลีลามือ
4 ด้วยบทบาทหน้าที่ของผู้สอน ตามพ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542 มาตรา ที่ 22 มาตรา ที่ 24 วงเล็บ 5 มาตราที่ 30 และจากข้อบกพร่องหรือข้อเสียของนวัตกรรมการเรียนรู้เดิม และความสำคัญของผลการเรียนรู้ด้าน สติปัญญาตัวบ่งชี้ 9.2 เขียนภาพ และสัญลักษณ์ได้เรื่อง ทักษะการเขียน นักวิจัยจึงมีแนวคิดที่จะทำวิจัยเพื่อพัฒนา ทักษะการเขียนด้วยชุดการฝึกลีลามือ โดยทดลองใช้กับนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 โรงเรียนบ้านแผ่นดินทอง อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ปีการศึกษา 2566 ผลการวิจัยจะทำให้นักเรียนระดับชั้นดังกล่าวมีผลการเรียนรู้ระดับชั้นเรียน สติปัญญาตัวบ่งชี้ 9.2 เขียนภาพ และสัญลักษณ์ได้เรื่อง ทักษะการเขียนสูงขึ้น คำถามการวิจัย 1. การพัฒนาชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ เพื่อพัฒนาด้านทักษะการเขียน ของนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 ทำอย่างไร 2. ผลการศึกษาการทดลองใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือเพื่อพัฒนาด้านทักษะการเขียนขอนักเรียนระดับชั้น อนุบาล 2 เป็นอย่างไร 3. ผลการศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 ที่มีต่อการทดลองใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ เพื่อพัฒนาด้านทักษะการเขียน ของนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 เป็นอย่างไร วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อพัฒนาชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ สำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ ด้านทักษะ การเขียน ของนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 2. เพื่อการศึกษาผลการทดลองใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ จัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ ด้านทักษะการเขียน ของนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 3. เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นระดับชั้นอนุบาล 2 ที่มีต่อการทดลองใช้ชุดกิจกรรม ฝึกลีลามือ จัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียน ของนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 ผลและประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. ได้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ ด้านทักษะการเขียน ของนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 2. ทราบผลการทดลองใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียน ของนักเรียน ระดับชั้นอนุบาล 2 3. ทราบระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 ที่มีต่อการทดลองจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อ พัฒนาผลการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียน 4. ผลการวิจัยจะนำไปใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ ด้านทักษะการเขียน ของนักเรียน ระดับชั้นอนุบาล 2 5. ผลการเรียนรู้ ด้านทักษะการเขียน ของนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 มีการพัฒนาเพิ่มขึ้น
5 ขอบเขตการวิจัย 1. ขอบเขตด้านแหล่งข้อมูล ประชากรคือ นักเรียนระดับชั้น 2 โรงเรียนบ้านแผ่นดินทอง อำเภอเทิง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 50 คน 2. ขอบเขตด้านตัวแปร 2.1 ตัวแปรอิสระ 1. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียนด้วยชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ กับนักเรียนระดับชั้น อนุบาล 2 2.2 ตัวแปรตาม 1. ผลการพัฒนาทักษะการเขียน ของนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 จากการทดลองใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลา มือ 2. ระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ด้านทักษะการ เขียน จากการทดลองใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ 3. ขอบเขตด้านเนื้อหา การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องทักษะการเขียน ตามตัวบ่งชี้ 9.2 การอ่าน เขียนภาพ และสัญลักษณ์ มาตรฐานการเรียนรู้ที่ 9 ใช้ภาษาสื่อสารได้เหมาะสมกับวัย 4. ขอบเขตด้านระยะเวลาและสถานที่ ดำเนินการวิจัยระหว่างเดือนมิถุนายน ถึง เดือนตุลาคม พ.ศ. 2566 ณ โรงเรียนบ้านแผ่นดินทอง อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย นิยามคำศัพท์เฉพาะ 1. การเขียน หมายถึง การเขียนภาพและการเขียนสัญลักษณ์ โดยใช้หลักกิจกรรมที่ส่งเสริมความสามารถใน การใช้กล้ามเนื้อเล็ก การประสานงานระหว่างตากับมือ และเส้นพื้นฐาน 13เส้น 2. ทักษะการเขียน หมายถึง ระดับความสามารถของผู้เรียนที่จะเขียนเส้นลักษณะต่าง ๆ 13 เส้น อันเป็นพื้นฐานของการเขียนพยัญชนะไทย ในการลากเส้นได้ถูกต้องต่อเนื่องทั้งหมดน้ำหนัก เส้นมีความสม่ำเสมอตลอดเส้น และลักษณะเส้นหมือนแบบชัดเจน
6 3. ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ หมายถึง ชุดของกิจกรรมที่คณะผู้วิจัยจัดให้กับเด็กปฐมวัย เพื่อใช้ ส่งเสริมความพร้อมด้านการเขียน ประกอบด้วย กิจกรรมฝึกลีลามือ 12 กิจกรรม ได้แก่การต่อเลโก้ การร้อยลูกปัดการ ปั้นแป้งโด การขยำกระดาษ การระบายสีภาพ การตัดกระดาษโดยใช้กรรไกร การต่อภาพตัดต่อ ผลไม้หล่นจากต้น บอลลูน ยานพาหนะ สัตว์น่ารัก และอุปกรณ์กีฬา 4. นักเรียนระดับชั้นอนุบาล หมายถึง นักเรียนระดับชั้น อนุบาล 2 โรงเรียนบ้านแผ่นดินทอง อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย 5. นวัตกรรมการเรียนรู้เดิมก่อนการทำการวิจัย นวัตกรรมที่ครูนำมาใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียน นักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 ก่อนการทดลองใช้ชุด กิจกรรมฝึกลีลามือ โดยมีวิธีการจัดกิจกรรมประกอบด้วย 5.1 วิธีการสอนโดยใช้การบรรยาย 5.2 ยึดครูเป็นศูนย์กลางในการเรียนรู้ 5.3 ครูไม่มีสื่อในการจูงใจให้เด็กเกิดความสนใจในการเรียนรู้ 5.4 ครูไม่ใช้เทคนิคการสอนแบบฝึกซ้ำย้ำทวนหรือเด็กไม่ได้ฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ 6. ผลการเรียนรู้หมายถึง 6.1 ค่าเฉลี่ยคะแนนรวมของนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้าน ทักษะการเขียน โดยใช้นวัตกรรมการเรียนรู้เดิม 6.2 ค่าคะแนนเฉลี่ยรวมของนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้าน ทักษะการเขียน จากการทดลองใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ 7.ระดับผลการเรียนรู้ หมายถึง ระดับผลการเรียนรู้สำหรับประเมินผลการวัดและประเมินผลจากการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียน จากการทดลองใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือกับนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 ผลการ เรียนรู้กำหนดเป็น 5 ระดับ โดยกำหนดระดับและช่วงร้อยละค่าคะแนนเฉลี่ยรวมดังนี้ ยอดเยี่ยม ช่วงร้อยละของคะแนน 80 –100 ดีเลิศ ช่วงร้อยละของคะแนน 70–79 ดี ช่วงร้อยละของคะแนน 60 –69 ปานกลาง ช่วงร้อยละของคะแนน 50 – 59และกำลังพัฒนา ช่วงร้อยละของคะแนน 0 - 49 8. การพัฒนาผลการเรียนรู้ หมายถึง ผลการเปรียบเทียบระดับผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของนักเรียนระดับชั้น อนุบาล 2 ระหว่างจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียน โดยทดลองใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ กับเกณฑ์ประเมิน ผ่านระดับผลการเรียนรู้ระดับชั้นเรียน ค่าเฉลี่ยคะแนนรวมร้อยละ 50 เมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบด้วย One – Sample t Test ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 (α 0.05)
7 9. ความพึงพอใจ หมายถึงความพึงพอใจด้านกิจกรรม ครูผู้สอน และบรรยากาศของนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียน โดยทดลองใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ 10. ระดับความพึงพอใจ หมายถึง ระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 มีต่อการทดลองใช้ชุด กิจกรรมฝึกลีลามือจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาระดับผลการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียน โดยระดับความพึงพอใจแต่ ละด้านดังกล่าวข้อ 9 จะอ้างอิงตามเกณฑ์ระดับคะแนนเฉลี่ยของ บุญชม ศรีสะอาด (2545) ดังนี้ คะแนนเฉลี่ย 4.51 – 5.00 หมายถึง มีความพึงพอใจที่ระดับมากสุด คะแนนเฉลี่ย 3.51 – 4.50 หมายถึง มีความพึงพอใจที่ระดับมาก คะแนนเฉลี่ย 2.51 – 3.50 หมายถึง มีความพึงพอใจที่ระดับปานกลาง คะแนนเฉลี่ย 1.51 – 2.50 หมายถึง มีความพึงพอใจที่ระดับน้อย คะแนนเฉลี่ย 1.00 – 1.50 หมายถึง มีความพึงพอใจที่ระดับน้อยสุด สมมติฐานการวิจัย สมมติฐานการวิจัยที่ 1 จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้าน ทักษะการเขียน กับนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 โดยใช้นวัตกรรมการเรียนรู้ เดิมพบปัญหาคือ นักเรียนมีผลการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียนต่ำกว่าเกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้นเรียน กล่าวคือ มี ค่าเฉลี่ยคะแนนรวมของผลการเรียนรู้ร้อยละ 48.48 ขณะที่เกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้นเรียนต้องค่าร้อยละคะแนนเฉลี่ย รวมที่ 70 ด้วยปัญหาดังกล่าว นักวิจัยจึงมีแนวคิดที่จะปรับปรุงระดับผลการเรียนรู้ของนักเรียนให้ผ่านเกณฑ์ประเมิน ผ่านระดับชั้นเรียน จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องพบว่า กิจกรรมฝึกลีลามือมีความสอดคล้องกับทฤษฎีของพูนสุข บุณย์สวัสดิ์ 2514, บันลือ พฤกษะวัน 2535 และ Morrow 1996 มีสาระสำคัญคือ การส่งเสริมพฤติกรรมการเขียนให้กับ เด็กปฐมวัยสามารถทำได้ ดังนี้ การจัดสิ่งแวดล้อมให้มีอุปกรณ์ที่หลากหลายสำหรับให้เด็กได้ฝึกเขียนฝึกลีลามือให้เด็ก เขียนลากเส้นโดยอิสระตามที่เด็กต้องการ ซึ่งอาจพัฒนาเป็นชุดฝึกลีลามือในการเขียนเส้นลักษณะต่าง ๆ หรือเส้น พื้นฐานทั้ง 13 เส้น และกิจกรรมที่ส่งเสริมความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อเล็ก การประสานงานระหว่างตากับมือ ซึ่ง เป็นพื้นฐานในการเตรียมความพร้อมด้านการเขียนของเด็กระดับอนุบาล และส่งเสริมพื้นฐานในการเรียนและการพัฒนา ระดับความสามารถในการเขียนของเด็กปฐมวัยในระดับชั้นที่สูงขึ้นต่อไป ซึ่งสาระสำคัญดังกล่าวสัมพันธ์กับประเด็นที่ เป็นปัญหาและควรปรับปรุงของนักเรียนมีผลการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียนต่ำกว่าเกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้นเรียน กล่าวคือ มีค่าเฉลี่ยคะแนนรวมของผลการเรียนรู้ร้อยละ 48.48 ขณะที่เกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้นเรียนต้องค่าร้อยละ คะแนนเฉลี่ยรวมที่ 70 และแนวคิดการจัดกิจกรรมการฝึกลีลามือที่พัฒนาเป็นชุดฝึกลีลามือในการเขียนเส้นลักษณะต่าง ๆ หรือเส้นพื้นฐานทั้ง 13 เส้นและกิจกรรมที่ส่งเสริมความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อเล็กสอดคล้องกับปัญหาด้านทักษะ
8 การเขียนของผู้เรียน ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนมีกล้ามเนื้อมือกับตาประสานสัมพันธ์กัน มีกล้ามเนื้อมือที่แข็งแรง และ คล่องแคล่ว ที่นำไปสู่ผลการเรียนรู้ทักษะการเขียนที่สูงขึ้น และจากการทบทวนเฉพาะงานวิจัยที่เกี่ยวข้องยังพบอีกว่าสิริ วรรณ วงษ์เจริญ (2555) ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาทักษะการเขียนของนักเรียนออทิสติกโดยใช้ชุดฝึกลีลามือ กับ นักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 โรงเรียนวัดบางพลีใหญ่กลาง โดยใช้ชุดฝึกลีลามือ ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีการ พัฒนาการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01 และผลการวิจัยของสุชานันท์ สันติรุ่งเรือง (2548) ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาการเขียนของเด็กปฐมวัยที่ใช้กิจกรรมฝึกทักษะการเขียน กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสุเหร่า บางชัน สำนักงานเขตมีนบุรี สังกัดกรุงเทพมหานคร ผลการวิจัยพบว่านักเรียนมีการพัฒนาผลการเรียนรู้อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01 จากการสนับสนุนด้วยแนวคิดของกิจกรรมฝึกลีลามือ และผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องดังกล่าว ดังนั้น จากปัญหานักเรียนชั้นอนุบาล 2 มีผลการเรียนรู้ต่ำกว่าเกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้นเรียน และจากแนวคิด ทฤษฎี หลักการ หรือวิธีการเกี่ยวกับกิจกรรมการฝึกลีลามือ ผู้วิจัยจึงกำหนดสมมติฐานที่ 1 ว่าการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ด้วยกิจกรรมฝึกลีลามือ มีผลต่อการพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียนของนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 สมมติฐานการวิจัยที่ 2 จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องพบว่าสิริวรรณ วงษ์เจริญ (2555) ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนา ทักษะการเขียนของนักเรียนออทิสติกโดยใช้ชุดฝึกลีลามือ กับนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 โรงเรียนวัดบางพลีใหญ่กลาง ผลการวิจัยพบว่านักเรียนมีความพึงพอใจต่อการทดลองจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยนวัตกรรมการเรียนรู้เดิมก่อนการทำ การวิจัยดังกล่าวที่ระดับมาก (4.20 ± 0.81) และผลงานวิจัยของสุชานันท์ สันติรุ่งเรือง (2548) ทำการวิจัยเรื่องการ พัฒนาการเขียนของเด็กปฐมวัยที่ใช้กิจกรรมฝึกทักษะการเขียน กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสุเหร่าบาง ชัน สำนักงานเขตมีนบุรี สังกัดกรุงเทพมหานคร นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการทดลองจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วย นวัตกรรมการเรียนรู้เดิมก่อนการทำการวิจัยดังกล่าวที่ระดับมาก (4.23 ± 0.82) จากการสนับสนุนด้วยผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องดังกล่าว ผู้วิจัยจึงกำหนดสมมติฐานการวิจัยที่ 2 ว่า การจัด กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ ด้านทักษะการเขียนมีผลต่อระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้น อนุบาล2 โรงเรียน
9 บทที่ 2 การทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การทำวิจัยในชั้นเรียนเรื่องการพัฒนาความพร้อมด้านทักษะการเขียนของเด็กปฐมวัยชั้นปีที่ 2 โดยใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ ผู้วิจัยขอเสนอผลการทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องประกอบด้วยหัวข้อหลัก ตามลำดับดังนี้ 1. การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ 2. ความจำเป็นที่ครูต้องทำวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ 3. นวัตกรรมทางการศึกษา 4. เครื่องมือการวิจัย 5. ความพึงพอใจ 6. ผลการเรียนรู้ 7. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง แต่ละหัวข้อหลักดังกล่าว นำเสนอรายละเอียดตามลำดับขั้น ดังนี้ การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ 1. ความหมายของการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ อนุศร หงส์ขุนทด (2562) กล่าวว่า การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ เป็นกระบวนการวิจัยที่มุ่งพัฒนา หรือ แก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดในชั้นเรียนและขณะที่สอน ผู้สอนสามารถ นำผลที่ค้นพบมาปรับปรุง การจัดการเรียนรู้ และพัฒนาสถานศึกษาไปสู่คุณภาพ การศึกษาที่แท้จริงและยั่งยืน ดังนั้น การวิจัยเพื่อ พัฒนาการเรียนรู้ในส่วนของครูผู้สอนส่วนมากได้ยินค่าว่า "การวิจัยในชั้นเรียน" (Classroom Action Research) เป็นการวิจัยที่ทำในบริบทของชั้นเรียนและมุ่งนำผลการวิจัยมาใช้ในการพัฒนาการเรียนการ สอนของตน เป็นการนำกระบวนการวิจัยไปใช้ในการพัฒนาครู ให้ไปสู่ความเป็นเลิศและมีความอิสระทางวิชาการ การวิจัยในชั้น เรียนจึงเป็นการวิจัยลักษณะเชิงปฏิบัติ (Action Research) และควรใช้รูปแบบ การวิจัยและพัฒนา (Research and Development : R&D) ซึ่งเป็นการวิจัยที่มุ่งนำความรู้ทางวิชาการ หรือจากการสร้างทฤษฎีหรือแนวคิดใหม่ๆ ไปพัฒนา เป็นเทคนิคหรือวิธีการที่สามารถนำไปแก้ปัญหา และทดลองใช้จนได้ผลเป็นที่น่าพอใจ แล้วจึงนำไปเผยแพร่ใช้ในวงกว้าง เพื่อการพัฒนางานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สอดคล้องกับ วาโร เพ็งสวัสดิ์(2546) ที่กล่าวว่าการวิจัยในชั้นเรียน หมายถึงวิธีการหรือกระบวนการที่ได้มาซึ่ง ความรู้หรือความรอบคอบ ครูเป็นผู้จัดทำขึ้น โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะนำผลการวิจัยไปใช้ในการแก้ปัญหาการเรียน การ สอนในชั้นเรียน
10 2. ประเภทของการวิจัยในชั้นเรียน นพเก้า ณ พัทลุง (2550) ได้กล่าวว่าการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนหรือ CAR สามารถแบ่งตามลักษณะของ ข้อมูล การวิจัยได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ การวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ ดังรายละเอียดโดยสรุป ดังนี้ การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) หมายถึง การวิจัยที่มุ่งวัดและวิเคราะห์ข้อมูลที่ เป็นตัวแทน เพื่อช่วยให้เข้าใจปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเหตุผลและ แบ่งการวิจัยที่ไม่ใช่ ทดลอง และการวิจัย ดังนี้ 1. การวิจัยที่ไม่ใช่การทดลอง (Non-Experimental Research) จำแนกออกเป็น 3 ประเภทคือ 1.1 การวิจัยศึกษาปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว (Research studies phenomena that have already occurred.) เป็นการศึกษาปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วเพื่อสืบค้นหาสาเหตุที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์นั้น มีลักษณะการ วิจัย เชิงทดลง เพียงแต่ไม่ต้องควบคุมตัวแปรอิสระที่เกิดขึ้น 1.2 การวิจัยเพื่อหาความสัมพันธ์ (Core relational Research) เป็นการหาความสัมพันธ์ ระหว่างตัวแปร 2 ตัว ขึ้นไป โดยวัดสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันหรือในอดีต 1.3 วิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) เป็นการศึกษาเพื่อรวบรวมข้อมูล ในเรื่องหรือลักษณะต่างๆ จาก กลุ่มเป้าหมายที่ศึกษา โดยเก็บข้อมูลเกี่ยวกับความคิดเห็น เจตคติ หรือบุคลิก รองกลุ่มเป้าหมาย 2. การวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) หมายถึงการวิจัยที่จัดกระทำโดยการสร้างเงื่อนไข หรือสถานการณ์ ทดลอง และควบคุมตัวแปรต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวข้อง หรืออาจเรียกว่าเป็นการศึกษาตัวแปรหนึ่ง (สาเหตุ) ที่เรียกว่าตัวแปรต้น และอีกตัวแปรหนึ่ง (ผลลัพธ์) ซึ่งเรียกว่าตัวแปรตาม มีหลายลักษณะ เช่น Pre-experimental Research แบบ Oneshot Case, แบบ One-group Pre-Post Design หรือการวิจัย แบบ Quasi Experimental Research ซึ่งรูปแบบ เหล่านี้ผู้วิจัยสามารถศึกษารายละเอียดจากตำราวิจัย ทางการศึกษาได้ซึ่งมีอยู่ทั่วไป การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เป็นการศึกษาที่มุ่งศึกษาปรากฏการณ์ทางสังคมที่ เกิดขึ้น จากมุมมองของมนุษย์ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลในลักษณะของ การบรรยาย การ วิจัยเชิงคุณภาพนั้นมีหลายประเภท แต่ที่เหมาะที่จะนำมาใช้ในการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน ได้แก่ การศึกษารายกรณี (Case Study) ซึ่งเป็นวิธีการศึกษาเชิงลึกของหน่วยหรือกลุ่มเดียว องค์การเดียว โปรแกรมเดียว ซึ่งการศึกษารายกรณี จะมีขั้นตอนการดำเนินงานดังนี้ 1) ขั้นการรวบรวมข้อมูลที่จำเป็นเกี่ยวกับบุคคล (Collecting of the Necessary Data) ซึ่งจะช่วยให้รู้จัก นักเรียนที่ถูกทำการศึกษา ตลอดจนช่วยทราบภาวะความเป็นไปในปัจจุบันของนักเรียนนั้นอีกด้วย 2) ขั้นวิเคราะห์ข้อมูล (Analysis) เป็นการนำเอาข้อมูลที่ได้รวบรวมเอาไว้มาวิเคราะห์หา ข้อเท็จจริงต่างๆ และ จำแนกออกเป็นด้านๆเพื่อสะดวกในการตีความหมาย 3) ขั้นตรวจวินิจฉัยปัญหา (Diagnosis) เป็นการนำเอาผลการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นที่สองเป็นพื้นฐานประกอบการ พิจารณาเพื่อวินิจฉัยว่าอะไรน่าจะเป็นสาเหตุของปัญหาเป็นพื้นฐานการ สังเคราะห์ข้อเท็จจริงขั้นต่อไป 4) ขั้นสังเคราะห์ข้อมูลหรือรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม (Synthesis) คือการศึกษาข้อเท็จจริง
11 3. ความจำเป็นที่ครูต้องทำการวิจัยในชั้นเรียน พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 บัญญัติความตามมาตรา 22 ว่า การจัดการศึกษาต้องยึดหลัก ว่า นักเรียนทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่านักเรียนทุกคนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการ ศึกษาต้องส่งเสริมให้นักเรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ และความตามมาตรา 24 (1) บัญญัติว่า การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความ สนใจและความถนัดของนักเรียนโดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล และความตอนหนึ่ง (5) ของมาตราเดียวกัน บัญญัติว่า ให้ครูสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ และความตามมาตรา 30 บัญญัติว่า ให้ สถานศึกษาพัฒนากระบวนการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งส่งเสริมให้ครูสามารถวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ที่ เหมาะสมกับนักเรียนในแต่ละสถานศึกษา จากความตามมาตราดังกล่าวถึงตีความว่า ภายหลังที่ครูจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ใด ๆ ด้วยนวัตกรรมการเรียนรู้ใดแล้ว เมื่อทำการวัดและประเมินผลพบว่ามี ผลอย่างใดอย่างหนึ่งคือ จำนวน นักเรียนระดับชั้นเรียน จำนวนนักเรียนส่วนมากของ ชั้นเรียน จำนวนนักเรียนส่วนน้อยของชั้นเรียนมีผลการเรียนรู้ต่ำ กว่าเกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้นเรียน หรือจำนวนนักเรียนระดับชั้นเรียนมีผลการเรียนรู้ผ่านเกณฑ์ประเมินผ่าน ระดับชั้นเรียน แต่ระดับผลการเรียนรู้ค่อนข้างต่ำ กรณีที่นักเรียนมีผลการเรียนรู้ต่ำกว่าเกณฑ์ประเมินผ่าน ครูจะตีความ ว่านักเรียน “ตก” ไม่ได้ หากแต่จำเป็นต้องสร้างหรือพัฒนานวัตกรรมเรียนรู้ที่เหมาะสมมาใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้แทน นวัตกรรมการเรียนรู้เดิมเพื่อปรับปรุงผลการเรียนรู้ของนักเรียนให้ผ่านเกณฑ์ประเมินผ่าน และเช่นกัน กรณีที่จำนวน นักเรียนระดับชั้นเรียนมีผลการเรียนรู้ผ่านเกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้นเรียน แต่ระดับผลการเรียนรู้ค่อนข้างต่ำ จำเป็น อย่างยิ่งที่ครูต้องสร้างหรือพัฒนานวัตกรรมเรียนรู้ที่เหมาะมาใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้แทนนวัตกรรมการเรียนรู้เดิมเพื่อ พัฒนาระดับผลการเรียนรู้ของนักเรียนให้สูงขึ้น (อิสระ ทับสีสด.2565) 4. ประโยชน์/ความสำคัญของการวิจัยในชั้นเรียน ครุรักษ์ ม รักษ์(2504) กล่าวว่า อย่างน้อยที่สุดการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนจะมีประโยชน์ดังนี้ 1. ช่วยให้ครูมีพลังอำนาจในการแก้ปัญหาในชั้นเรียนเพิ่มมากขึ้น สามารถแก้ปัญหาในชั้นเรียนได้ ทันท่วงที และมีประสิทธิภาพ 2. ช่วยให้ครูมีความมั่นใจในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนมาก และจัดกิจกรรมการเรียนการ สอนได้ อย่างมีประสิทธิภาพ 3. ช่วยให้ครูทำงานได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น ประสบความสำเร็จในการหางาน มีความรู้สึกเป็น เจ้าของ และภาพ การที่น่าใช้ 4. ช่วยให้โรงเรียนสามารถกำหนดนโยบายหรือมาตรการต่างๆ เกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตรเรียนการสอนได้ อย่างเหมาะสมโดยมีผลการวิจัยรองรับ 5. ช่วยให้ผู้เรียนได้รับการแก้ไขปัญหาและพัฒนาอย่างสมบูรณ์เต็มศักยภาพทั้งในด้านความรู้ ความสามารถ ทักษะ และคุณลักษณะที่พึงประสงค์
12 การวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนมีความสําคัญสรุปได้ดังนี้ 1) เป็นเครื่องมือสำคัญของครูในการพัฒนาวิถีชีวิต ความเป็นครูไปสู่ความเป็นครูมืออาชีพ เพราะการวิจัยในชั้นเรียน จะช่วยให้ครูเป็นนักแสวงหาความรู้และใช้วิธีการ ใหม่ๆ อยู่เสมอ ซึ่งจะช่วยให้ครูมีความรู้อย่างกว้างขวางและลุ่มลึก ทำงานอย่างมีเหตุผล สร้างสรรค์ และเป็นระบบ 2) เป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาหลักสูตรและจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ทําให้งานของครูมีลักษณะเป็นพลวัตร (Dynamic) มีการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหว ก้าวไปข้างหน้าไม่หยุดนิ่ง เกิดนวัตกรรมที่ทันสมัยที่นำมาใช้ในการแก้ปัญหา การเรียนการสอนได้ทันท่วงที 3) เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะจรรโลงวิชาชีพครูให้มีความเข้มแข็ง เพราะผลจากการวิจัยใน ชั้นเรียนจะเป็นตัวบ่งชี้ถึงความสําเร็จในการทํางานของได้เป็นอย่างเป็นรูปธรรม นั่นคือการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ พึงประสงค์ของผู้เรียนตามที่ครูต้องการและเป็นไปตามความคาดหวังของคน ทั้งครูและผู้เรียน นวัตกรรมทางการศึกษา 1. ความหมาย พูนสุข บุญย์สวัสดิ์ (2514), บันลือ พฤกษะวัน (2535) และ Morrow (2539) กล่าวว่ากิจกรรมการพัฒนา กล้ามเนื้อมัดเล็กให้แข็งแรงทำให้เด็กพร้อมที่จะลากลีลามือซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการเขียน เพราะความคล่องแคล่ว ของกล้ามเนื้อนิ้วมือมีความสัมพันธ์มากกับการเขียนของเด็กซึ่งกิจกรรมหรือสื่ออุปกรณ์จะช่วยส่งเสริมการใช้กล้ามเนื้อ มือกับสายตาให้ประสานสัมพันธ์กัน เพื่อวางรากฐานในการใช้มือที่ถนัดและเตรียมความพร้อมที่จะเขียนต่อไป ซึ่งการ เขียนเส้นลักษณะต่าง ๆ หรือเส้นพื้นฐานทั้ง 13 เส้น คือ เส้นตรงลง เส้นตรงขึ้น เส้นนอนจากซ้ายไปขวา เส้นนอนจาก ขวาไปซ้าย เส้นลงเฉียงจากขวาไปซ้าย เส้นขึ้นเฉียงจากซ้ายไปขวา เส้นลงเฉียงจากซ้ายไปขวา เส้นขึ้นเฉียงจากขวาไป ซ้าย เส้นโค้งคว่ำจากซ้ายไปขวา เส้นโค้งหงายจากซ้ายไปขวา เส้นโค้งคว่ำจากขวาไปซ้าย เส้นวงกลมจากซ้ายไปขวา เส้น วงกลมจากขวาไปซ้ายและกิจกรรมที่ส่งเสริมความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อเล็ก การประสานงานระหว่างตากับมือ คือ การต่อเลโก้ การร้อยลูกปัด การปั้นแป้งโดว์ ศิลปะการขยำกระดาษ การระบายสี การตัดกระดาษโดยใช้กรรไกร และการ ต่อภาพตัดต่อ ซึ่งเป็นพื้นฐานในการเตรียมความพร้อมด้านการเขียนของเด็กระดับอนุบาล และส่งเสริมพื้นฐานในการ เรียนและการพัฒนาระดับความสามารถในการเขียนของเด็กปฐมวัยในระดับชั้นที่สูงขึ้นต่อไป 2. การจำแนกประเภทนวัตกรรมทางการศึกษา มี 5 ประเภท ดังนี้ 2.1. นวัตกรรมทางด้านหลักสูตร เป็นการใช้วิธีการใหม่ๆ ในการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมในท้องถิ่นและตอบสนอง ความต้องการสอนบุคคลให้มากขึ้น เนื่องจากหลักสูตรจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เพื่อให้สอดคล้องกับ ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีเศรษฐกิจและสังคมของประเทศและของโลก นอกจากนี้การพัฒนาหลักสูตรยังมีความ จำเป็นที่จะต้องอยู่บนฐานของแนวคิดทฤษฎีนวัตกรรมทางด้านหลักสูตรในประเทศไทยได้แก่ การพัฒนาหลักสูตร ดังต่อไปนี้ 1. หลักสูตรแบบบูรณาการ (Integrated Curriculum) เป็นการบูรณาการส่วนประกอบของหลักสูตรเข้าด้วยกัน ทางด้านวิทยาการในสาขาต่างๆ การศึกษาทางด้านจริยธรรมและสังคม โดยมุ่งให้ผู้เรียนเป็นคนดีสามารถใช้ประโยชน์
13 จากองค์ความรู้ในสาขาต่างๆให้สอดคล้องกับสภาพสังคมอย่างมีจริยธรรม 2. หลักสูตรรายบุคคล เป็นแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรเพื่อการศึกษาตามอัตภาพ เพื่อตอบสนองแนวความคิดในการ จัดการศึกษารายบุคคล ซึ่งจะต้องออกแบบระบบเพื่อรองรับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีด้านต่างๆ 3. หลักสูตรกิจกรรมหรือประสบการณ์ (Activity or Experience Curriculum) เป็นหลักสูตรที่มุ่งเน้น กระบวนการใน การจัดกิจกรรมและประสบการณ์ให้กับผู้เรียนเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ เช่น กิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมใน บทเรียน ประสบการณ์การเรียนรู้จากการสืบค้นด้วยตนเอง เป็นต้น 4. หลักสูตรท้องถิ่น เป็นการพัฒนาหลักสูตรที่ต้องการกระจายการบริหารจัดการการมีออกสู่ท้องถิ่น เพื่อให้สอดคล้อง กับศิลปวัฒนธรรมสิ่งแวดล้อมและความเป็นอยู่ของประชาชนที่มีอยู่ในแต่ละท้องถิ่น แทนที่หลักสูตรในแบบเดิมที่ใช้ วิธีการรวมศูนย์การพัฒนาอยู่ในส่วนกลาง 2.2 นวัตกรรมการเรียนการสอน การจัดการเรียนการสอนแบบ เรกจิโอ เอมีเลีย การจัดการศึกษาตามแนวคิดเรกจิโอ เอมิเลียเป็นรูปแบบหนึ่งของการจัด ประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับเด็ก ปฐมวัยที่พัฒนามาจากความเชื่อว่า การเรียนการสอนนั้นไม่ใช่การ ถ่ายโอนข้อมูล ความรู้จากผู้สอนไปสู่ผู้เรียน การสอนในเด็กปฐมวัยจึงไม่ใช่การมองว่าเด็กเป็นแก้วที่ว่างเปล่า ที่ครูจะเทน้ำตามความ ต้องการของครูลงไป สู่เด็ก นักการศึกษาที่เรกจิโอ เอมีเลียเปรียบเทียบ การเรียนรู้ของเด็กและการสอนของครูเป็นการ ผสมผสาน ของวัตถุจากแก้วทั้งสองใบรวมกัน การเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเด็กได้เรียนรู้ในสิ่งที่ตน สนใจ เรียนรู้ภายใต้การจัดสิ่งแวดล้อมและกิจกรรมที่เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็กแต่ละคน ปรัชญาของเรกจิโอเอมิเลีย มองว่าเด็กแต่ละคนเต็มไปด้วยพลังและความสามารถตั้งแต่แรกเกิด และมุ่งหวังที่จะเป็นคนเก่งและคนดี เด็กมี วิถีของการเรียนรู้เป็นไปตามระยะ ของพัฒนาการในแต่ละวัย เด็กมีความสามารถที่จะแสดงออกในทิศทางเพื่อที่จะ สัมพันธ์และสื่อสารกับผู้อื่นรวมถึงสิ่งต่างๆ รอบตัว วิธีการจัดการเรียนการสอน 1. ขั้นเตรียม 2. ขั้นดำเนินการ 3. ขั้นสอน 4. การประเมิน 2.3 นวัตกรรมสื่อการสอน(และเทคโนโลยีการศึกษา) เนื่องจากมีความก้าวหน้าของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์เครือข่ายและเทคโนโลยี โทรคมนาคม ทำให้นักการ ศึกษาพยายามนำศักยภาพของเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ในการผลิตสื่อการเรียนการสอนใหม่ๆ จำนวนมากมาย ทั้งการ เรียนด้วยตนเองการเรียนเป็นกลุ่มและการเรียนแบบมวลชน ตลอดจนสื่อที่ใช้เพื่อสนับสนุนการฝึกอบรม ตัวอย่าง นวัตกรรมสื่อและเทคโนโลยีการศึกษา ได้แก่ ่ – คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI : Computer-Assisted Instruction) – มัลติมีเดีย (Multimedia)
14 – การประชุมทางไกล (Tele Conference) – วีดีทัศน์แบบมีปฎิสัมพันธ์ (Interactive Media/Video) – บทเรียนสำเร็จรูป (Programed Instruction) – เครื่องช่วยสอน (Teaching Machine) – วิทยุและโทรทัศน์ช่วยสอน (Teaching By Radio and TV) – ชุดการสอน (Learning Packages) 2.4 นวัตกรรมทางด้านการประเมินผล เป็นนวัตกรรมที่ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการวัดผลและประเมินผลได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำได้อย่างรวดเร็ว รวมไปถึง การวิจัยทางการศึกษา การวิจัยสถาบัน ด้วยการประยุกต์ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์มาสนับสนุนการวัดผล ประเมินผล ของสถานศึกษา ครู อาจารย์ ตัวอย่าง นวัตกรรมทางด้านการประเมินผล ได้แก่ – การพัฒนาคลังข้อสอบ – การลงทะเบียนผ่านทางเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต – การใช้บัตรสมาร์ทการ์ด เพื่อการใช้บริการของสถาบันศึกษา – การใช้คอมพิวเตอร์ในการตัดเกรด – การวัดผลแบบอิงกลุ่มและแบบอิงเกณฑ์ (Formative and Summative Evaluation) – การประเมินผลเพื่อแก้ข้อ บกพร่อง (Diagnostic Evaluation) – การเลื่อนชั้นโดยอัตโนมัติ (Automatic Promotion) – การประเมินผลก่อนเรียน (Pre-test) นวัตกรรมทางด้านการประเมินผลนับเป็นเรื่องที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็มีเหมือนบางสถาบันการศึกษาเท่านั้นที่ สามารถให้บริการได้ เนื่องจากบางสถาบันยังไม่มีความพร้อมด้านอุปกรณ์ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ และขาดบุคลากร ที่มี ความอำนวยด้านการออกแบบระบบและการพัฒนาเครือข่าย ซึ่งต้องอาศัยระยะเวลาอีกช่วงหนึ่งที่จะพัฒนาระบบให้ เหมาะสมกับการใช้งานในสถาบัน 2.5 นวัตกรรมการบริหารจัดการ เป็นการใช้นวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารสนเทศมาช่วยในการบริหารจัดการ เพื่อการตัดสินใจของผู้บริหาร การศึกษาให้มีความรวดเร็วทันเหตุการณ์ ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก นวัตกรรมการศึกษาที่นำมาใช้ทางด้านการ บริหาร เช่น – การจัดการศึกษาแบบเปิด (Open University) – การจัดการศึกษาตามแนวมานุษยนิยม (Humanistic Education) – การจัดตารางสอนแบบยืดหยุ่น (Flexible Scheduling) – การจัดการศึกษานอกโรงเรียน (Non-Formal Education) – การจัดโรงเรียนหมู่บ้านเด็ก (Summer Hill School) – การจัดโรงเรียนในโรงเรียน (School Within School) – การจัดโรงเรียนแบบไม่แบ่งชั้น (Non-Graded School)
15 – การเกณฑ์เด็กสองกลุ่มอายุ และจะเกี่ยวข้องกับระบบการจัดการฐานข้อมูลในหน่วยงานสถานศึกษา เช่น ฐานข้อมูลนักเรียน นักศึกษา ฐานข้อมูล คณะอาจารย์และบุคลากร ในสถานศึกษา ด้านการเงิน บัญชี พัสดุ และครุภัณฑ์ ฐานข้อมูลเหล่านี้ต้องการออกระบบที่ สมบูรณ์มีความปลอดภัยของข้อมูลสูง นอกจากนี้ยังมีความเกี่ยวข้องกับสารสนเทศภายนอกหน่วยงาน เช่น ระเบียบ ปฏิบัติ กฎหมาย พระราชบัญญัติ ที่เกี่ยวกับการจัดการศึกษา 3. ความสำคัญของนวัตกรรมทางการศึกษา สมบูรณ์ สงวนญาติ (2534) ให้ความหมายไว้ว่า นวัตกรรมทางการศึกษา หมายถึง วิธีการปฏิบัติใหม่ๆ ในทางการศึกษา ซึ่งแปลกไปจากเดิมอาจได้มาจากการค้นพบวิธีใหม่ๆ หรือปรับปรุงของเก่าให้เหมาะสม โดยได้มีการ ทดลอง พัฒนา จนเป็นที่น่าเชื่อถือได้ว่า มีผลดีในทางปฏิบัติ และสามารถทำให้ระบบการศึกษาดำเนินไปสู่เป้าหมายได้ อย่างมีประสิทธิภาพ กิดานันท์ มลิทอง (2540) ให้ความหมายไว้ว่า นวัตกรรมการศึกษา หมายถึง นวัตกรรมที่ช่วยให้การศึกษา และการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิผลสูงกว่าเดิม เกิด แรงจูงใจในการเรียนด้วยนวัตกรรมเหล่านั้น และประหยัดเวลาในการเรียนได้อีกด้วย ในปัจจุบันมีการใช้นวัตกรรม การศึกษามากมายหลายอย่าซึ่งมีทั้งนวัตกรรมที่ใช้กันแพร่หลายและประเภทที่กำลังเผยแพร่ เช่น การสอนใช้ คอมพิวเตอร์ช่วย การใช้แผ่นวีดิทัศน์เชิงโต้ตอบ สื่อหลายมิติ และอินเทอร์เน็ต เหล่านี้เป็นต้น คณาจารย์ภาควิชาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการศึกษา (2539) ให้ความหมายไว้ว่า นวัตกรรมการศึกษา หมายถึง แนวความคิด วิธีการหรือเครื่องมือ ซึ่งเป็นสิ่งแปลกใหม่ยังไม่เคยนำมาใช้ในวงการการศึกษามาก่อน แต่ได้ถูก นำมาทดลองใช้เพื่อดูผลว่าได้ผลดีเพียงใด ถ้าได้ผลดีก็จะได้รับการยอมรับและเผยแพร่ให้รู้จักและนำมาใช้กันอย่าง กว้างขวางต่อไป สุคนธ์ สินธพานนท์ (2553) ให้ความหมายไว้ว่า นวัตกรรมทางการศึกษา หมายถึง สิ่งใหม่ๆ ที่สร้างขึ้นมา เพื่อช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนหรือพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่ แนวคิด รูปแบบ วิธีการ กระบวนการ สื่อต่างๆ ที่เกี่ยวกับการศึกษา ทัศนา แขมมณี(2526 ) ให้ความหมายไว้ว่า นวัตกรรมการศึกษา หมายถึง กระบวนการ แนวคิด หรือวิธีการ ใหม่ๆ ทางการศึกษาซึ่งอยู่ในระหว่างการทดลองที่จะจัดขึ้นมาอย่างมีระบบและกว้างขวางพอสมควร เพื่อพิสูจน์ ประสิทธิภาพ อันจะนำไปสู่การยอมรับนำไปใช้ในระบบการศึกษาอย่างกว้างขวางต่อไป ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ กล่าวโดยละเอียด ดังนี้ 1. แนวคิด/ทฤษฎี/หลักการ/วิธีการ การส่งเสริมทักษะทางภาษาแก่เด็กปฐมวัยเป็นสิ่งจําเป็น เพราะภาษาเป็นเครื่องมือในการแสดงออกของ ความคิด ความรู้สึก นอกจากนี้บรูเนอร์-Bruner (1983 ) กล่าวว่า ภาษาเป็นทั้งศาสตร์และศิลปะ ที่ต้องอาศัย ทักษะทั้ง 4 ด้านคือ การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน เพื่อใช้ในการรับส่งข้อมูล ถ้าเด็กได้รับการส่งเสริมทักษะทางภาษาครบ ทุกด้านอย่างเพียงพอจะทำให้การเรียนรู้ประสบการณ์ของเด็กเป็นไปอย่างมั่นคงยิ่งขึ้น
16 กุลยา ตันติผลาชีวะ (2547) กล่าวว่า เด็กปฐมวัย เรียนรู้ภาษาจากการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้างและสิ่ง ต่างๆ จากการ ได้เห็น ได้ฟัง การได้สัมผัส การลองผิด ลองถูกการเร้า และการให้แรงเสริม เป็นสิ่งที่ช่วยให้เด็กมี พัฒนาการทางภาษาจนกระทั่งสามารถใช้ภาษาในการติดต่อ สื่อสารได้ ดังนั้น การที่เด็กจะสามารถสื่อความหมายให้ ผู้อื่นเข้าใจนั้นต้องอาศัยภาษา การเขียนเป็นการถ่ายทอด ความเข้าใจ ความคิด ความรู้สึก และความต้องการ โดย ผ่าน การสื่อสารด้วยระบบเครื่องหมายอันได้แก่ ตัวอักษร นฤมล เฉียบแหลม (2545) เด็กจะใช้การเขียนเพื่อ สื่อความหมายให้ผู้อื่นเข้าใจ การเขียนเป็นทักษะทาง ภาษาที่ยากสําหรับเด็กปฐมวัย เพราะการขีดเขียนต้องใช้กล้ามเนื้อมือที่แข็งแรง และเด็กในวัย 3 - 6 ขวบ กล้าม เนื้อ มัดเล็กอยู่ในระหว่างพัฒนา ดังนั้น เด็กควรได้รับการ พัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กเพื่อเตรียมความพร้อมในการขีด เขียน โดย การใช้วัสดุอุปกรณ์และกิจกรรมต่างๆ ที่เด็ก จะได้ฝึกการใช้กล้ามเนื้อมือและฝึกการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมือและ ตา ความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก มีความสำคัญและจำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวันของเด็ก กล้ามเนื้อมัด เล็กเป็นอวัยวะหนึ่งในการประกอบกิจวัตร ประจำวันด้วยตนเอง เช่น การใส่ –ถอดกระดุม รูดซิป การแปรงฟัน ผูกเชือก รองเท้า งานศิลปะ รวมทั้งการขีดเขียน ถ้าเด็กใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กได้คล่องแคล่ว จะช่วยส่ง เสริมพัฒนาการในด้านต่างๆ 2. ลำดับขั้น พูนสุข บุญย์สวัสดิ์ (2514), บันลือ พฤกษะวัน (2535) และ Morrow. (2539) กล่าวว่า วิธีการจัดการเรียนการสอน มีลำดับขั้นตอนซึ่งสามารถสังเคราะห์ได้ ดังต่อไปนี้ 1. ขั้นเตรียมความพร้อม -การเตรียมความพร้อมหรือการเก็บเด็กให้มีความพร้อมในการเรียนรู้ 2. ขั้นสาธิต -ครูสาธิตวิธีการปฏิบัติกิจกรรม/ขั้นตอน กระบวนการต่างๆ ให้เด็กดู 3. ขั้นฝึกปฏิบัติ -เด็กลงมือปฏิบัติกิจกรรม 4. ขั้นสรุป -เด็กและครูร่วมกันสรุปเนื้อหาที่เรียนตั้งแต่ต้นจนจบ หรือสรุปความคิดรวบยอด 4. ข้อดี ศูนย์พัฒนาสื่อเด็กเล็ก อจท (2019) กล่าวว่า เป็นชุดกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมเตรียมความพร้อมฝึกลีลามือมุ่ง เตรียมความพร้อมของกล้ามเนื้อมือ ฝึกความมั่นคง และการประสานสัมพันธ์ที่ดีระหว่างมือกับตาในการฝึกลากเส้น พื้นฐาน 13 เส้นผ่านภาพเรื่องราวจากสิ่งใกล้ตัวเด็กไปสู่ไกลตัวเด็ก และมีกิจกรรมหลากหลายที่ช่วยส่งเสริมความคิด สร้างสรรค์ จินตนาการ สร้างความสนุกสนาน สอดคล้องกับพัฒนาการของเด็กเล็ก เรียนรู้จากง่ายไปยาก ฝึกทำซ้ำๆ เพื่อ สร้างการจดจำ
17 5. เทคนิคการสอน อักษรเจริญทัศน์ อจท (2020) กล่าวไว้ว่า เทคนิคการสอนชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ มีดังนี้ 1. ลาดเส้น ใช้นิ้วมือลอกเส้นตามทิศทางกระตุ้นประสาทสัมผัสเพื่อสร้างการจดจำ 2. ระบายสี ฝึกกล้ามเนื้อมืออย่างอิสระ 3. ลากเส้นตามรอยประ ฝึกการควบคุมกล้ามเนื้อมือ วิธีการสร้างและหาคุณภาพของนวัตกรรม 1. วิธีการสร้าง พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2559) ได้กล่าวว่า ขั้นตอนการสร้างและพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย ขั้นตอนสำคัญ ดังนี้ 1. การวิเคราะห์ปัญหาการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้มีเป้าหมายสำคัญเพื่อพัฒนาให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะตาม จุดหมายของหลักสูตรซึ่งเป็นสภาพที่หลักสูตรคาดหวังให้เกิดขึ้น แต่ในสภาพที่เป็นจริงผู้เรียนไม่ได้เป็นไปตามสภาพที่ คาดหวัง คือ ยังไม่บรรลุตามจุดหมายของหลักสูตร หรืออาจกล่าวได้ว่า สภาพที่เกิดขึ้นจริงไม่สอดคล้องกับสภาพที่ คาดหวัง หรือมีความแตกต่าง สภาพการณ์เช่นนี้เรียกว่า เกิดปัญหาการเรียนรู้ ดังนั้นปัญหาการเรียนรู้ถ้าพิจารณาใน ระดับหลักสูตรคือ สภาพของความไม่สอดคล้องกันระหว่างผลการจัดการศึกษากับจุดหมายของหลักสูตร ถ้าพิจารณาใน ระดับชั้นเรียนก็คือ สภาพของความไม่สอดคล้องกันระหว่างผลการเรียนรู้ของผู้เรียนกับมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด หรือจุดประสงค์การเรียนรู้ 2. การศึกษาและเลือกนวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาการเรียนรู้หลังจาการวิเคราะห์ปัญหาการเรียนรู้ในขั้นตอนที่ 1 จะทำให้ครูนักวิจัยทราบปัญหาและสาเหตุของปัญหาที่ชัดเจนขึ้น ขั้นตอนต่อไปครูจึงควรศึกษานวัตกรรมการจัดการ เรียนรู้ให้หลากหลายจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะทำให้ครูนักวิจัยมีความรู้ ความเข้าใจ และสามารถเลือก นวัตกรรมที่จะนำมาใช้แก้ปัญหาการเรียนรู้นั้นให้เหมาะสมและเกิดประโยชน์ต่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนมากที่สุด 3. การออกแบบนวัตกรรม เมื่อครูนักวิจัยได้ศึกษานวัตกรรมและเลือกนวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาการเรียนรู้ได้ เหมาะสมแล้วครูนักวิจัยควรออกแบบนวัตกรรม ซึ่งเป็นการกำหนดขอบข่ายเนื้อสาระ องค์ประกอบ รูปแบบของ นวัตกรรมว่าควรมีลักษณะอย่างไร มีส่วนประกอบอะไรบ้าง มีกระบวนการ กิจกรรมในการจัดการเรียนรู้เพื่อปัญหาการ เรียนรู้อย่างไร เช่น ถ้าครูนักวิจัยเลือกใช้นวัตกรรมประเภทชุดกิจกรรมพัฒนาอาจจะมีส่วนประกอบ ดังนี้ (1) ชื่อชุด กิจกรรมพัฒนา (2) จุดประสงค์ (3) คำชี้แจง (4) เวลาที่ใช้ปฏิบัติกิจกรรม (5) กิจกรรมที่ปฏิบัติ (6) คำถามหรือข้อทดสอบ (7) แบบประเมินหรือแบบ บันทึกผลการใช้ และ (8) แบบฝึกหัด 4. การสร้างนวัตกรรม เป็นขั้นตอนที่ครูนักวิจัยทำนวัตกรรมตามที่ออกแบบไว้ให้ครบถ้วนตามองค์ประกอบของ นวัตกรรมที่กำหนดไว้ ถ้าเป็นนวัตกรรมประเภทสื่อ เอกสาร เช่น แบบฝึก ชุดกิจกรรมพัฒนา ชุดการสอน ครูนักวิจัยก็ ต้องลงมือเขียนสาระ รายละเอียดตามลักษณะและรูปแบบของนวัตกรรมที่ออกแบบไว้ กรณีที่เป็นนวัตกรรมประเภท
18 เทคนิควิธีการจัดการเรียนรู้ หรือรูปแบบการจัดการเรียนรู้ครูนักวิจัยต้องจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ที่สะท้อนให้เห็น ขั้นตอนหรือกระบวนการจัดการเรียนรู้ของนวัตกรรมนั้น ๆ 5. การตรวจคุณภาพของนวัตกรรมโดยผู้เชี่ยวชาญ การตรวจสอบคุณภาพของนวัตกรรมที่ สำคัญคือ การตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (content validity) ว่านวัตกรรมนั้นมีความถูกต้องเหมาะสม หรือ สอดคล้องกับปัญหาการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ รวมทั้งวัยของผู้เรียนหรือไม่ วิธีการตรวจสอบทำได้โดยให้ ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้มีประสบการณ์สูงในเรื่องนั้น ๆ อย่างน้อย 3 คนได้อ่านหรือตรวจสอบว่านวัตกรรมนั้นมีคุณภาพและ เหมาะสมนำไปใช้ได้หรือไม่ โดยนำนวัตกรรมที่สร้างขึ้นพร้อมวัตถุประสงค์ของการวิจัย นิยามศัพท์เฉพาะ และแบบ ตรวจสอบคุณภาพนวัตกรรมเสนอผู้เชี่ยวชาญ โดยให้ผู้เชี่ยวชาญประเมินคุณภาพตามเกณฑ์ประเมินให้ด้านความ สอดคล้องกับสภาพปัญหาการเรียนรู้หรือวัตถุประสงค์ของการวิจัย ความเหมาะสมกับวัยของผู้เรียน ความชัดเจน ความ สมบูรณ์ครบถ้วนในด้านเนื้อหาสาระ ภาพหรือเสียง ความเป็นไปได้ในการนำไปใช้จริง และความเป็นประโยชน์ต่อการ แก้ปัญหาการเรียนรู้ของผู้เรียน ในกรณีที่ผลการประเมินไม่ผ่านเกณฑ์ หรือผู้เชี่ยวชาญเห็นว่าควรมีการปรับปรุงแก้ไข ก็ ควรปรับปรุง แก้ไขตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้นวัตกรรมมีคุณภาพดีขึ้น 6. การตรวจสอบประสิทธิภาพของนวัตกรรมโดยการทดลองใช้การตรวจสอบคุณภาพของนวัตกรรมบาง ประเภท เมื่อผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญแล้วจะต้องนำไปทดลองใช้กับนักเรียนที่เป็นคนละกลุ่มกับกลุ่มที่ ศึกษาวิจัย แล้วตรวจสอบประสิทธิภาพตาม “เกณฑ์ประสิทธิภาพ” ที่กำหนดไว้ เกณฑ์ประสิทธิภาพ หมายถึงตัวบ่งชี้ที่แสดงถึงประสิทธิภาพของนวัตกรรมสามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ตาม เกณฑ์ที่กำหนด ประกอบด้วยสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) และประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) เกณฑ์ประสิทธิภาพ เป็นการกำหนดอัตราส่วนร้อยละระหว่าง E1/E2 โดยอาจกำหนดเป็น 75/75 หรือ 80/80 หรือ 90/90 การกำหนด เกณฑ์ประสิทธิภาพจะขึ้นอยู่กับลักษณะหรือธรรมชาติของเนื้อหาวิชา ถ้าเนื้อหาประเภทความรู้ความจำ ควรกำหนด เกณฑ์ประสิทธิภาพ 80/80 หรือ 90/90 ถ้าเนื้อหาประเภททักษะหรือเจตคติควรกำหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพ 75/75 2. การหาคุณภาพ 2.1 การหาคุณภาพเชิงเหตุผล 2.1.1 ความหมาย รัตนะ บัวสนธ์(2554) กล่าวว่า การหาประสิทธิภาพเชิงเหตุผล (Rational Approach) กระบวนการนี้เป็นการ หาประสิทธิภาพโดยใช้หลักของความรู้และเหตุผลในการตัดสินคุณค่าของสื่อการเรียนการสอน โดยอาศัยผู้เช่ียวชาญ (Panel of Experts) เป็นผู้พิจารณาตัดสินคุณค่า ซึ่งเป็นการหาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) และความ เหมาะสมในด้านความถูกต้องของการนำไปใช้ (Usability) 2.2 การหาคุณภาพเชิงประจักษ์ 2.2.1 ความหมาย รัตนะ บัวสนธ์(2554) กล่าวว่าการหาประสิทธิภาพเชิงประจักษ์(Empirical Approach) ประสิทธิภาพของสื่อ การเรียนการสอนที่วัดออกมาจะพิจารณาจากเปอร์เซ็นต์ในการทำแบบฝึกหัดหรือกระบวนการปฏิสัมพันธ์กับ
19 เปอร์เซ็นต์การทำแบบทดสอบเมื่อจบบทเรียนแสดงค่าตัวเลข 2 ตัว E1/ E2 เช่น 80/80, 85/85, 90/90 โดยตัวแรกคือ เปอร์เซ็นต์ของการทำแบบฝึกหัดหรือแบบทดสอบย่อยถูกต้อง โดยถือเป็นประสิทธิภาพของกระบวนการและตัวเลข ตัว หลังคือเปอร์เซ็นต์ของการทำแบบทดสอบถูกต้องโดยถือเป็นประสิทธิภาพ ของผลลัพธ์ เครื่องมือการวิจัย 1. ความหมาย พรรณี ลีกิจวัฒนะ (2559) ได้กล่าว เครื่องมือวิจัย หมายถึง สิ่งที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัย ซึ่ง เครื่องมือวัดที่ใช้ในการวิจัยทางการศึกษามีลักษณะที่หลากหลายมากอาจจัดเป็น 5 ประเภทใหญ่ ๆ คือ แบบสอบถาม แบบทดสอบ แบบวัดเจตคติ การสัมภาษณ์ และการสังเกต 2. การจำแนกประเภท ประสาท เนืองเฉลิม (2556) ได้กล่าวถึง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยที่สำคัญ ดังนี้ 1. แบบทดสอบ การทดสอบนิยมใช้แบบทดสอบเป็นเครื่องมือที่นิยมนำมาใช้เพื่อวัดการเรียนรู้ด้าน พุทธิพิสัยหรือวัดความสามารถทางด้านสติปัญญาประกอบด้วยชุดของข้อคำถามที่ใช้วัดกลุ่มตัวอย่าง พฤติกรรมเกี่ยวกับความสามารถทางสมอง หรือความรู้สึกนึกคิดทางจิตใจหรือทักษะการดำเนินงาน ของบุคคล หรือกลุ่มบุคคลภายใต้สถานการณ์ที่เป็นมาตรฐาน และมีการกำหนดหลักเกณฑ์การให้ คะแนนที่ชัดเจน แบบทดสอบแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้ 1.1 แบบเขียนตอบ (Essay item) เป็นแบบทดสอบที่ผู้สอบต้องเขียนตอบอย่างอิสระ ภายใต้ประเด็นคำถามตามกรอบของผู้ออกข้อสอบโดยใช้ภาษาและความสามารถของตนเองในการที่ จะระลึกถึงความรู้ที่มีอยู่ แล้วเรียบเรียงหรือจัดระเบียบความรู้นั้นออกเป็นภาษาเขียน 1.2 แบบถูกผิด (True-False) คำถามชนิดนี้ถามถึงความจริงหลักการกฎต่าง ๆ และ การตีความ เช่น ให้เขียนเครื่องหมายลงในหน้าข้อที่ท่านเห็นว่าถูกหรือผิด เป็นต้น 1.3 แบบจับคู่ (Matching) ลักษณะของข้อสอบจะมี 2 คอลัมน์ คอลัมน์หนึ่งจะเป็นชุดของคำถาม อีก คอลัมน์หนึ่งจะเป็นชุดของคำตอบซึ่งผู้ตอบจะเลือกคำตอบที่ถูกต้องเพื่อให้สอดคล้องกับคำถาม 1.4 แบบเลือกตอบ (Multiple-Choice) ข้อสอบแบบนี้แต่ละข้อกระทง (Item) จะประกอบด้วย 2 ส่วน ส่วนแรกของโจทย์ (Stem) อีกส่วนหนึ่งเป็นตัวเลือก (Alternative) มีตั้งแต่ 3 ตัวเลือกถึง 5 ตัวเลือกแบบทดสอบแบบนี้จะวัดความสามารถของสมองได้ตั้งแต่ขั้นต่ำถึงขั้นสูง โดย คำตอบในตัวเลือกนั้นจะมีข้อถูกต้องอยู่เพียงข้อเดียว ส่วนข้ออื่น ๆ เป็นตัวลวง (Distracters)
20 2. แบบสอบถาม การสอบถามนิยมใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ค่อนข้าง สะดวกและไม่กดดันในการตอบคำถาม โดยการเขียน ซึ่งอาจเขียนตอบเป็นข้อความหรือเป็น เครื่องหมายตามเงื่อนไขที่กำหนด สิ่งที่วัดโดยแบบสอบถามมีทั้งข้อเท็จจริง ความรู้ ความคิดเห็น เจตคติและพฤติกรรม แบบสอบถามแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ แบบสอบถามแบบเปิด (Open-ended form) เป็นแบบสอบถามที่ข้อคำถามมีลักษณะเปิดกว้างให้ผู้ตอบตอบอย่างอิสระในขอบเขตคำถาม โดยไม่มีการแนะแนวทางในการตอบ และแบบสอบถามแบบปลายปิด (Close-ended form) เป็น แบบสอบถามที่มีคำถามมีลักษณะจำกัดให้ตอบ ผู้ตอบเลือกตอบจากคำตอบที่กำหนดให้ 3. แบบสัมภาษณ์ การสัมภาษณ์มีจุดมุ่งหมายทำนองเดียวกับการใช้แบบสอบถามบางคนอาจเรียกการ สัมภาษณ์ว่าเป็นแบบสอบถามปากเปล่า แต่มีความแตกต่างกันตรงวิธีการ กล่าวคือ การสัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์เป็นฝ่ายซักถามโดยการพูดแล้วผู้สัมภาษณ์เป็นฝ่ายบันทึกคำตอบ ส่วนการใช้แบบสอบถาม ผู้ตอบ ตอบโดยการเขียนตอบลงในแบบสอบถาม การสัมภาษณ์จะได้ข้อมูลที่ดีหรือไม่เพียงใดขึ้นอยู่กับผู้สัมภาษณ์เป็น สำคัญ บางกรณีก็มีการใช้แบบสัมภาษณ์ช่วยเป็นแนวทางสำหรับผู้สัมภาษณ์ แต่บางกรณีก็ไม่ได้ใช้แบบสัมภาษณ์ ประกอบการสัมภาษณ์แต่อย่างใด ดังนั้น ผู้สัมภาษณ์จึงเป็นเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล 3.1 ประเภทของแบบสัมภาษณ์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 3.1.1 การสัมภาษณ์แบบไม่มีคำถามแน่นอน (unstructured Interview) เป็น การสัมภาษณ์ที่ไม่มีกำหนดคำถามที่แน่นอนตายตัว การสัมภาษณ์ก็ไม่จำเป็นต้องใช้คำถามเหมือนกัน การเรียงลำดับคำถามก็ไม่ต้องเหมือนกัน ผู้ถามสามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับสถานการณ์และผู้ตอบ ผู้ถามมีอิสระใน การถามเพื่อให้ได้คำตอบตามจุดมุ่งหมายของการวิจัย 3.1.2. การสัมภาษณ์แบบมีคำถามที่แน่นอน (Structured Interview) เป็นการสัมภาษณ์ที่มีการ กำหนดข้อคำถามไว้ล่วงหน้า การสัมภาษณ์ แบบนี้จำเป็นต้องใช้แบบสัมภาษณ์ที่ จัดเตรียมไว้ก่อน การสัมภาษณ์แบบมีคำถามแน่นอนช่วยให้ผู้ถาม ถามได้ตรงตามประเด็นที่ต้องการ 4. แบบสังเกต การสังเกตเป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่ใช้เป็นเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัย โดยการใช้ประสาทสัมผัสของผู้ สังเกต ผู้สังเกตเป็นฝ่ายบันทึกสิ่งที่สังเกตได้ อาจบันทึกได้หลายวิธี เช่น การเขียน การอัดเสียง บันทึกเหตุการณ์ไว้ในวีดิ ทัศน์ วิธีการสังเกตเหมาะสำหรับการศึกษาพฤติกรรม และปรากฏการณ์ต่าง ๆ การสังเกตเป็นวิธีการพื้นฐานที่สามารถ นำมาใช้ในการเก็บรวมข้อมูล เพื่อที่จะให้ได้ข้อมูลน่าเชื่อถือควรมีลักษณะ ดังนี้ - ความตั้งใจของผู้สังเกต (Attention) ผู้สังเกตต้องมีเป้าหมายว่าจะสังเกตสิ่งที่ศึกษาอย่าง แน่วแน่ และสังเกตไปทีละอย่าง อย่างถูกต้อง รู้จักขจัดปัญหาส่วนตัวหรือความลำเอียงต่อสิ่งที่สังเกตตลอดระยะเวลาที่ ศึกษา เพื่อจะได้ข้อมูลที่ใกล้เคียงกับสภาพความเป็นจริงมากที่สุด - ประสาทสัมผัส (Sensation) ต้องแน่ใจเป็นเบื้องต้นว่าประสาทสัมผัสของผู้สังเกตไม่ผิดปกติ เช่น หูหนวก ตา บอด ตาบอดสี ถ้าหากว่าสภาพร่างกายผิดปกติไปย่อมส่งผลต่อคุณภาพของการสังเกตด้วยเช่นกัน
21 - การรับรู้ (Perception) ผู้สังเกตจะต้องมีการรับรู้ที่ดี เมื่อรับรู้แล้วก็สามารถที่จะสามารถแปลความหมายได้ อย่างถูกต้องและรวดเร็ว 4.1 ประเภทของการสังเกต การสังเกตจำเป็นต้องใช้เครื่องมือที่เน้นตัวบุคคลทำหน้าที่ในการวัด โดยใช้ประสาทสัมผัสเป็นเครื่องมือ สำคัญในการติดตามเฝ้าดูการแสดงพฤติกรรมของบุคคล เมื่อได้พฤติกรรมที่สังเกตแล้วก็บันทึกเป็นข้อมูลในการวิจัย ต่อไป ซึ่งการรวบรวมข้อมูล โดยการสังเกตนั้นแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ แบบมีส่วนร่วม (Participant observation) การสังเกตที่ผู้สังเกตเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ และแบบไม่มีส่วนร่วม (Non-participant observation) การ สังเกตที่ผู้สังเกตไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับกิจกรรมต่าง ๆ ที่ไปสังเกตเพียงแต่เป็นผู้สังเกตการณ์เท่านั้น 4.1.1 การสังเกตแบบมีส่วนร่วม (Participant observation) ผู้สังเกตเข้า ไปมีส่วนร่วมอยู่ในเหตุการณ์หรือกิจกรรมนั้น ๆ การเข้าไปมีส่วนร่วมนี้อาจเป็นลักษณะมีส่วนร่วมโดย สมบูรณ์ (completion participant) หรือมีส่วนร่วมโดยไม่สมบูรณ์ (incompletion participant) แบบมีส่วนร่วมโดยสมบูรณ์ ผู้สังเกตจะเข้าไปเป็นสมาชิกคนหนึ่งของกลุ่มและเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ของกลุ่มเช่นเดียวกับผู้ถูกสังเกต การมีส่วนร่วมโดยสมบูรณ์ผู้ถูกสังเกตจะไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกสังเกตจึงมี พฤติกรรมตามปกติ แต่การสังเกตแบบมีส่วนร่วมโดยไม่สมบูรณ์ ผู้สังเกตจะเข้าไปร่วมกิจกรรมบ้าง ตามสมควร เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มถูกสังเกต 4.1.2 การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม (Non-Participant observation) เป็นการสังเกตที่ผู้สังเกตจะอยู่ นอกวงผู้ถูกสังเกต ทำตนเป็นบุคคลภายนอกโดยไม่เข้าร่วมกิจกรรมกับผู้ถูกสังเกตเลย ทำตนเป็นบุคคลภายนอกโดยไม่ เข้าร่วมกิจกรรมกับผู้ถูกสังเกตเลย ขณะสังเกตผู้สังเกต อาจจะอยู่ในบริเวณเดียวกันหรืออยู่นอกบริเวณเหตุการณ์ที่ สังเกตก็ได้ และการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วมนี้ก็มีทั้งแบบที่ผู้สังเกตรู้ตัวและไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกสังเกต 3. ขั้นตอนการหาคุณภาพ 3.1 การหาค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) 3.1.1 ความหมาย สุวิมล ติรกานันท์ (2551) ได้ให้ความหมายความเที่ยงตรง (Validity) หมายถึง ความแม่นยำของเครื่องมือในการ วัดสิ่งที่ต้องการจะวัด หรือสิ่งที่เครื่องมือควรวัด และคะแนนที่ได้จากแบบสอบที่ความเที่ยงตรงสูง สามารถบอกถึงสภาพ ที่แท้จริงและพยากรณ์ได้ถูกต้องแม่นยำ วรรณี แกมเกตุ (2555) ได้ให้ความหมายความเที่ยงตรงของเครื่องมือวิจัย หมายถึง คุณสมบัติของเครื่องมือวิจัย ที่วัดสิ่งที่ต้องการวัดได้ถูกต้องแม่นยำการที่จะตรวจสอบว่าเครื่องมือวิจัยนั้นมีความเที่ยงตรงหรือไม่ จะต้องมี รายละเอียดของสิ่งที่ต้องการวัดเป็นเกณฑ์เปรียบเทียบว่าเครื่องมือวิจัยนั้นวัดได้ตรงตามสิ่งที่ต้องการวัดหรือไม่
22 3.1.2 วิธีการหาค่าความเที่ยงตรง วรรณี แกมเกตุ (2555) ได้กล่าวถึงความเที่ยงตรงของเนื้อหารายข้อ (Item Content Validity) เป็นการ ตรวจสอบความสอดคล้องของคำถามแต่ละข้อว่ามีความสอดคล้องกับเนื้อหาหรือนิยามตัวแปรที่มุ่งวัดหรือไม่ ซึ่ง สามารถดำเนินการได้โดยการนำข้อคำถามที่สร้างขึ้น พร้อมทั้งเนื้อหาและนิยามปฏิบัติการของ ตัวแปรที่ต้องการวัดไป ให้ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเนื้อหาและด้านการวัดและประเมินผล จำนวนหนึ่ง (ซึ่งอาจใช้ประมาณ 3-7 คนก็ได้) พิจารณา ตรวจสอบความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับเนื้อหา หรือนิยามตัวแปรที่มุ่งวัด โดยพิจารณาอาจให้ คะแนนเป็นดังนี้ +1 หมายถึง แน่ใจว่าคำถามวัดได้ตรงเนื้อหา/นิยาม/จุดประสงค์ 0 หมายถึง ไม่แน่ใจว่าข้อคำถามวัดได้ตรงเนื้อหา/นิยาม/จุดประสงค์ -1 หมายถึง แน่ใจว่าข้อคำถามวัดไม่ตรงเนื้อหา/นิยาม/จุดประสงค์ 3.2 การหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) 3.2.1 ความหมาย พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2556) ได้ให้ความหมายของความเชื่อมั่น (reliability) หมายถึง คุณสมบัติของเครื่องมือวัดที่ แสดงให้ทราบว่าเครื่องมือนั้นๆ ให้ผลการวัดที่คงที่ไม่ว่าจะใช้วัดกี่ครั้งก็ตามกับกลุ่มเดิม วรรณี แกมเกตุ (2555) ได้ให้ความหมายของความเชื่อมั่นของเครื่องมือวิจัย (Reliability) หมายถึง คุณสมบัติ ของเครื่องมือที่ให้ผลการวัดที่คงที่หรือคงเส้นคงวา เมื่อทำการวัดซ้ำหลาย ๆ ครั้งด้วยเครื่องมือที่วัดสิ่งเดียวกัน สุวิมล ติรกานันท์ (2551) ได้ให้ความหมายของความเชื่อมั่น หมายถึง ความคงที่ของผลที่ได้จากการวัดด้วย เครื่องมือชุดเดียวกันกับคนกลุ่มเดียวกัน ในเวลาที่ต่างกัน 3.2.2 วิธีการหาค่าความเชื่อมั่น วรรณี แกมเกตุ (2555) ได้กล่าวถึงวิธีการหาความเชื่อมั่นที่นิยมใช้กันมีหลายวิธี ทุกวิธีเป็นการหาความเชื่อมั่น ในความหมายของความคงที่หรือความคงเส้นคงวาของผลการวัด แตกต่างกันตรงที่วิธีการที่ใช้ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ เป็น 3 ประเภท ดังนี้ 1. การหาความเชื่อมั่นแบบความคงที่ (Measure of Stability) ความเชื่อมั่น แบบความคงที่ เป็นความคงเส้น คงวาของคะแนนจากการวัดในช่วงเวลาต่างกัน โดยวิธีสอบซ้ำด้วยเครื่องมือฉบับเดิม แล้วนำผลการวัดทั้งสองครั้งมาหา ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ วิธีนี้เรียกอีกอย่างว่าวิธีสอบซ้ำ(Test-retest Method) การคำนวณค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ ระหว่างคะแนนการวัดทั้ง 2 ครั้ง ใช้สูตรการคำนวณดังนี้ 2. การหาความเชื่อมั่นแบบความเท่าเทียมกัน (Measure of Equivalence) ความเชื่อมั่นแบบความเท่าเทียม กัน หมายถึง ความสอดคล้องกันของคะแนนจากการวัดในช่วงเวลาเดียวกัน โดยใช้แบบทดสอบคู่ขนาน (Parallel Test) แล้วนำคะแนนที่ได้จากแบบทดสอบทั้งสองฉบับมาหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์โดยใช้สูตรดังกล่าวข้างต้น การหาความ เชื่อมั่นแบบนี้เป็นผลมาจากความพยายามในการปรับปรุงจุดอ่อนของวิธีแรก อันเนื่องมาจากความคลาดเคลื่อน ในการ วัดซ้ำ เพราะผู้สอบอาจจำข้อสอบได้ในการสอบซ้ำ แต่วิธีนี้ก็มีความยุ่งยากที่จะต้องสร้างแบบทดสอบขึ้นมาอีกชุดหนึ่งที่ มีความคู่ขนานกับแบบทดสอบชุดเดิม นักวัดผลจึงได้พัฒนาวิธีการหาความเชื่อมั่นในรูปของความสอดคล้องภายใน
23 3. การหาความเชื่อมั่นแบบความสอดคล้องภายใน (Measure of Internal Consistency) ความเที่ยงแบบ ความสอดคล้องภายใน เป็นความสอดคล้องกันระหว่างคะแนนรายข้อหรือความเป็น เอกพันธ์ของเนื้อหารายข้ออันเป็นตัวแทนของคุณลักษณะเด่นเดียวกันที่ต้องการวัด วิธีนี้นักวิจัยนำเครื่องมือฉบับเดียว ไปทำการวัดกับกลุ่มตัวอย่างเพียงครั้งเดียว แล้วนำผลการวัดมาหาค่าความเชื่อมั่นโดยวิธีต่าง ๆ 4 วิธี ดังนี้ 3.1 วิธีแบ่งครึ่งข้อสอบ (Split-Half Method) ดำเนินการดังนี้ 3.1.1 แบ่งครึ่งข้อสอบออกเป็น 2 ฉบับย่อย โดยอาจยึดเกณฑ์ข้อคู่-ข้อคี่, ครึ่งแรก-ครึ่งหลัง, ตามเนื้อหา หรือโดยการสุ่ม รวมคะแนนข้อคู่-ข้อคี่ของแต่ละคน หรือ รวมคะแนนตามเกณฑ์อื่น ๆ ที่ใช้แบ่งครึ่งข้อสอบ 3.1.2 คำนวณค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างคะแนนข้อคู่-ข้อคี่ (หรือตามเกณฑ์ อื่นๆ ที่ใช้ในการแบ่งครึ่งข้อสอบ) ซึ่งจะได้ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของครึ่งฉบับ 3.1.3 คำนวณค่าความเชื่อมั่นของเครื่องมือทั้งฉบับ โดยใช้สูตรของ Spearman-Brown 3.2 วิธีของ Kuder-Richardson ใช้ในกรณีที่เครื่องมือมีการตรวจให้คะแนนแบบ 0, 1 โดย ตอบถูกให้ 1 คะแนน ตอบผิดให้ 0 คะแนน วิธีนี้มีสูตรการคำนวณ 2 แบบ คือ KR-20 และ KR-21 การใช้สูตร KR-21 มีข้อตกลงเบื้องต้นว่า ข้อสอบทุกข้อมีความยากง่ายเท่ากันหรือใกล้เคียงกัน ในกรณีที่ข้อสอบมีความยากง่ายแตกต่างกัน ควรใช้สูตร KR-20 3.3 วิธีสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient: α) ใช้ในกรณีที่การให้คะแนน เป็นแบบมาตรประมาณค่า (Rating Scale) หรือข้อสอบอัตนัย และ ยังใช้ได้กับแบบทดสอบที่ให้คะแนนแบบ 0, 1 ได้ ด้วย สูตรนี้เป็นที่นิยมใช้กันแพร่หลาย 3.4 วิธีวิเคราะห์ความแปรปรวนของ Hoyt (Hoyt’s Analysis of Variance) วิธีนี้ใช้การวิเคราะห์ความ แปรปรวนแบบสองทางของคะแนนที่ผู้ถูกทดสอบแต่ละคนได้รับจากข้อสอบแต่ละข้อ โดยไม่มีปฏิสัมพันธ์ วิธีนี้สามารถ ใช้ในแบบทดสอบที่ให้คะแนนแบบ 0.1 หรือแบบทดสอบอัตนัย หรือมาตรประมาณค่าก็ได้ ผลการวิเคราะห์ได้ค่าเท่ากับ วิธีสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค ระดับความพึงพอใจ 1. ความหมาย บุญชม ศรีสะอาด (2545) ได้กล่าวว่า ระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีต่อ การทดลองใช้ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับวิธีการเรียนรู้แบบเปิดจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อปรับปรุงระดับผล การเรียนรู้ด้านทักษะการคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหาจากเรื่อง สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียวจะอ้างอิงตามเกณฑ์ระดับ คะแนนเฉลี่ยของ 2. เครื่องมือวัดระดับความพึงพอใจ สโรชา ไสยสมบัติ(2534) ได้กล่าวว่าความพึงพอใจจะเกิดขึ้นหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการจัดกิจกรรมประกอบ กับระดับความรู้สึกของนักเรียนที่ปฏิบัติกิจกรรมของแต่ละบุคคลดังนั้นการวัดระดับความพึงพอใจในการเรียนรู้หรือการ ปฏิบัติกิจกรรมอาจจะทำได้หลายวิธีต่อไปนี้
24 1. การใช้แบบสอบถามซึ่งเป็นวิธีที่นิยมใช้มากอย่างแพร่หลายวิธีหนึ่ง 2. การสัมภาษณ์ซึ่งเป็นวิธีที่ต้องอาศัยเทคนิคและความชำนาญพิเศษของผู้สัมภาษณ์ที่จะจูงใจให้ผู้ตอบคำถาม ตอบข้อเท็จจริง 3. การสังเกตเป็นการสังเกตพฤติกรรมทั้งก่อนการปฎิบัติกิจกรรมขณะปฎิบัติกิจกรรมและหลังปฏิบัติกิจกรรม 3. วิธีการสร้างเครื่องมือวัดระดับความพึงพอใจ ระพินทร์ โพธิ์ศรี (2554) กล่าวถึงขั้นตอนในการสร้างแบบวัดความพึงพอใจและการแปลความพึง พอใจดังนี้ ขั้นที่ 1 กำหนดกรอบเนื้อหาความพึงพอใจ คือ เขียนนิยามซึ่งสามารถจะกระทำได้โดยศึกษาเอกสารที่ เกี่ยวข้องและกำหนดนิยาม สัมภาษณ์กลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 5 คน ขั้นที่ 2 เลือกประเด็นที่วัดความพอใจและกำหนดวิธีการวัด วิธีการวัดความพึงพอใจโดยทั่วไปนิยมใช้วิธีการ จัดอันดับคุณภาพ 5 ระดับ และประเด็นที่วัดความพอใจเป็นทางบวก และระดับคุณภาพเป็นดังนี้ 5 หมายถึง พอใจมากที่สุด 4 หมายถึง พอใจมาก 3 หมายถึง พอใจปานกลาง 2 หมายถึง พอใจน้อย 1 หมายถึง พอใจน้อยที่สุด ขั้นที่ 3 จัดทำแบบวัดความพอใจฉบับร่าง ขั้นที่ 4 ทดลองกลุ่มย่อย 1 คน เพื่อตรวจสอบความมั่นคงเฉพาะหน้าขั้นต้น ขั้นที่ 5 ทดลองกับกลุ่มย่อยประมาณ 3-5 คน เพื่อตรวจสอบความแม่นตรงเฉพาะหน้า ขั้นที่ 6 ให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่านตรวจสอบความแม่นตรงเฉพาะหน้า และความแม่นตรงเชิงเนื้อหา ขั้นที่ 7 ทดลองภาคสนาม เพื่อการวิเคราะห์ปรับปรุงคุณภาพแบบวัดความพอใจ ขั้นที่ 8 นำไปใช้จริง 4. การประเมินระดับความพึงพอใจด้วยค่าเฉลี่ย การวิเคราะห์ระดับคะแนนเฉลี่ยข้อคำถามแต่ละข้อสามารถแปลความหมายการวัดความพึงพอใจได้ดังนี้ พอใจมากที่สุด คะแนนเฉลี่ย 4.51 – 5.00 พอใจมาก คะแนนเฉลี่ย 3.51 – 4.50 พอใจปานกลาง คะแนนเฉลี่ย 2.51 – 3.50 พอใจน้อย คะแนนเฉลี่ย 1.51 – 2.50 พอใจน้อยอย่างยิ่ง คะแนนเฉลี่ย 1.00 – 1.50
25 ผลการเรียนรู้ 1. ความหมาย ผลการเรียนรู้ คือ ผลที่คาดหวัง หรือผลสำเร็จของหลักสูตร หรือการบรรลุเป้าหมายของวัตถุประสงค์ของ องค์กรดังที่แสดงให้เห็นได้โดยระดับตัวชี้วัด เช่น ทัศนคติ ทักษะทางปัญญา และความรู้ของนักเรียน ผลการเรียนรู้ของ ผู้เรียน (Student Learning Outcomes) จะเป็นตัวที่บอกถึงสิ่งที่ผู้เรียนจะต้องรู้ เข้าใจ และสามารถนำไปปฏิบัติได้ ภายหลังจากที่ได้สำเร็จกระบวนการในการเรียนรู้แล้ว 2.2 การจำแนกประเภท 2.2.1 ด้านความรู้(Knowledge: K) เน้นความสามารถทางสมอง หรือความรู้ในวิชา พฤติกรรมตามระดับการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยแบ่งไว้ 6 ขั้นซึ่งการเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้นไป ต้องอาศัยระดับการเรียนรู้ที่ ต่ำกว่าเสมอ 2.2.2 ด้านทักษะกระบวนการ (Process/Product: P) เกี่ยวกับการพัฒนาทักษะทางกาย เน้นหนัก ด้านการวางท่าทางให้ถูกต้องและเหมาะสมกับการปฏิบัติงานแต่ละชนิด สามารถระบุพฤติกรรมที่แสดงออกได้จากการ ตีความทักษะหรือการปฏิบัติออกมาเป็นพฤติกรรม ซึ่งสังเกตได้จากความถูกต้องแม่นย่า ความว่องไว คล่องแคล่ว และสม่าเสมอ 2.2.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (Attribute: A) เน้นหนักในด้านความสนใจ เจตคติ ค่านิยม อารมณ์และความประทับใจ ซึ่งวัดได้โดยการสังเกต 2.3 วิธี/เครื่องมือวัดและประเมินผล 2.3.1 ด้านความรู้(Knowledge: K) แบบสังเกตพฤติกรรม 2.3.2 ด้านทักษะกระบวนการ (Process/Product: P) แบบสังเกตพฤติกรรม 2.3.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์(Attribute: A) แบบสังเกตพฤติกรรม งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1. งานวิจัยที่ทำการทบทวน การทำวิจัยในชั้นเรียนเรื่องการพัฒนาความพร้อมด้านทักษะการเขียนของเด็กปฐมวัยชั้นปีที่ 2 โดยใช้ชุด กิจกรรมฝึกลีลามือ ผู้วิจัยทำการทบทวนงานเฉพาะวิจัยที่เกี่ยวข้องหรือสอดคล้องกับการใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือพัฒนา หรือแก้ปัญหาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ด้านทักษะการเขียน ของนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 โรงเรียนบ้านแผ่นดินทอง ผล การทบทวนดังกล่าวนำเสนอตามลำดับ ดังนี้ 1.1 ดร.บุญย์บุหงามงคล และ สาธิตา คงบุญ (2549) ทำการวิจัยเรื่องผลของการใช้กิจกรรมสร้างสรรค์ที่มีต่อความสามารถด้านการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กการประสานงาน ระหว่างมือและตาและความสามารถด้านการเขียนลีลาเส้น กรณีศึกษาเด็กออทิสติกระดับอนุบาล โรงเรียนเทศบาล บ้านหนองแวง จังหวัดขอนแก่น กับนักเรียนบุคคลออทิสติกเรียนร่วมในระดับชั้นอนุบาล โรงเรียนเทศบาลบ้านหนอง แวง จังหวัดขอนแก่น ภาคเรียนที่ 2 ประจำปีการศึกษา 2549 จำนวน 4 คน โดยมีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ 1) ศึกษา
26 ผลการผลของการใช้กิจกรรมสร้างสรรค์ที่มีต่อความสามารถด้านการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กการประสานงานระหว่างมือ และตาและความสามารถด้านการเขียนลีลาเส้น ผลการวิจัยพบว่าคะแนนความสามารถในการประสานงานระหว่างมือ กับตาของนักเรียนหลังทดลองสูงกว่าก่อนการฝึกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ .05 คะแนนความสามารถในการเขียน ลีลาเส้นของนักเรียนหลังได้รับการทดลองสูงกว่าก่อนฝึกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ .01 1.2 เฉลิมรัฐ โพธิ์แจ่ม,เกตุมณี มากมีและ วารุณี โพธาสินธุ์(2022) ทำการวิจัยเรื่องผลการพัฒนาทักษะทางสติปัญญาโดยใช้ชุดกิจกรรมลีลาเส้นสร้างสรรค์แบบเรียนปนเล่นสำหรับผู้เรียน ที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดลำพูน กับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา เพศชาย อายุ11 ปีศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดลำพูน ภาคเรียนที่2 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 1 คน โดยมีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ 1) ศึกษาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ให้มี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์70/70 2) เพื่อเปรียบเทียบผลพัฒนาการด้านทักษะทางสติปัญญาระหว่างเรียนและหลังเรียน โดยใช้ชุดกิจกรรมลีลาเส้นสร้างสรรค์แบบเรียนปนเล่น 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้ปกครองที่มีต่อพัฒนาการด้าน ทักษะทางสติปัญญาโดยใช้ชุดกิจกรรมลีลาเส้นสร้างสรรค์แบบเรียนปนเล่น ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพของ แผนการจัดการเรียนรู้ มีประสิทธิภาพ 71.66/75.41 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้คือ 70/70 2) พัฒนาการด้านการเขียน ลีลาเส้นหลังเรียน มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับผลประเมินระหว่างเรียน 3) ผู้ปกครองรู้สึกพึงพอใจในชุดกิจกรรมลีลาเส้นสร้างสรรค์แบบเรียนปนเล่น เพราะผู้ปกครองเห็นว่าผู้เรียนมีความ พยายามในการทำกิจกรรม ที่สามารถพัฒนาทักษะทางสติปัญญาเพื่อต่อยอดในระดับที่สูงขึ้น 1.3 จริยาพร วรรณโชติ, ปัทมา บุญช่วยเหลือ และ สุภา คําามะฤทธิ์(2022) ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาชุด การเรียนรู้ที่บ้านเพื่อส่งเสริมพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมัดเล็กและสติปัญญา และสมาธิในเด็กปฐมวัย กับคู่ผู้ปกครอง และเด็กปฐมวัยที่เข้าเรียนในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี จํานวน 30 คู่ โดยมีวัตถุประสงค์ การวิจัย 1. เพื่อพัฒนาชุดการเรียนรู้ที่บ้านเพื่อส่งเสริมพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมัดเล็กและสติปัญญา และสมาธิในเด็ก ปฐมวัย 2. เพื่อศึกษาประสิทธิผลของชุดการเรียนรู้ที่บ้านเพื่อส่งเสริมพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมัดเล็กและสติปัญญา และสมาธิในเด็กปฐมวัย ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดการเรียนรู้ที่บ้านเพื่อส่งเสริมพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมัดเล็กและ สติปัญญา และสมาธิในเด็กปฐมวัย ที่พัฒนาขึ้นมี 5 ชุด ได้แก่ ชุด ที่ 1 ภาพตัดต่อรูปสัตว์ ชุด ที่ 2 สื่อร้อยเชือก ตัวเลัข ชุดที่ 3 ปั้นดินน้ำมันตามจําานวินตัวเลข ชุดที่ 4 แบบฝึกหัดลีลามือ และชุดที่ 5 แบบฝึกหัดคณิตศาสตร์2) หลัง การใช้ชุดการเรียนรู้ที่บ้านแต่ละชุด เด็กปฐมวัยมีคะแนนเฉลี่ยพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมัดเล็กและสติปัญญาสูงกว่าก่อน การใช้ชุดการเรียนรู้ที่บ้านแต่ละะชุดอย่างมีนัยสําาคัญทางสถิติ (p < .001) และ 3) หลังการใช้ชุดการเรียนรู้ที่บ้าน เด็ก ปฐมวัยมีสมาธิรายข้อมากกว่าก่อนการใช้ชุดการเรียนรู้ที่บ้านอย่างมีนัยสําาคัญทางสถิติ (p < .001) 1.4 เพ็ญจันทร์ สิโรจน์ธํารงค์, ทองปาน บุญกุศ และ สุพจน์ เกิดสุวรรณ (2022) ทำการวิจัยเรื่องผลการพัฒนาทักษะด้านการเขียนของเด็กที่มีความบกพร่องด้านสุขภาพระดับเตรียมความพร้อมโดยใช้ ชุดฝึกลีลามือ ศูนย์การเรียนสําหรับเด็กในโรงพยาบาลชลบุรี กับเด็กที่มีความบกพร่องทางด้านสุขภาพระดับเตรียม ความพร้อม ศูนย์การเรียนสําหรับเด็กในโรงพยาบาลชลบุรีอายุ 3-5 ปี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จํานวน 3 คน โดยมีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ 1) เพื่อศึกษาผลการใช้ชุดฝึกลีลามือในการพัฒนาทักษะด้านการเขียนของเด็กที่มีความ บกพร่องด้านสุขภาพระดับเตรียมความพร้อม 2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะด้านการเขียนของเด็กที่มีความบกพร่องด้าน
27 สุขภาพระดับเตรียมความพร้อมก่อนและหลังการใช้ชุดฝึกลีลามือ ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการศึกษาการใช้สื่อการสอน ชุดฝึกลีลามือเพื่อพัฒนาทักษะด้านการเขียนของเด็กที่มีความบกพร่องด้านสุขภาพระดับเตรียมความพร้อม พบว่าสื่อ การสอนชุดฝึกลีลามือเป็นสื่อการสอนที่ช่วยพัฒนาการด้านการเขียนของเด็กที่มีความบกพร่องด้านสุขภาพระดับเตรียม ความพร้อม สูงขึ้น 2) ผลการเปรียบเทียบพัฒนาทักษะด้านการเขียนของเด็กที่มีความบกพร่องด้านสุขภาพระดับเตรียม ความพร้อม ศูนย์การเรียนสําหรับเด็กในโรงพยาบาลชลบุรี ก่อนและหลังจากการใช้ชุดฝึกลีลามือ พบว่า การใช้ชุดฝึก ลีลามือในการพัฒนาทักษะด้านการเขียนของเด็กที่มีความบกพร่องด้านสุขภาพ หลังการเรียนด้วยชุดฝึกลีลามือ เด็กมี พัฒนาการด้านการเขียนที่สูงขึ้นกว่าก่อนเรียน เด็กคนที่ 1 มีทักษะการเขียน เพิ่มขึ้นร้อยละ 57 เด็กคนที่ 2 มีทักษะ การเขียน เพิ่มขึ้นร้อยละ 60 เด็กคนที่ 3 มีทักษะการเขียน เพิ่มขึ้นร้อยละ 57 สรุปได้ว่า เด็กมีทักษะด้านการเขียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 1.5 นรินทร์ธร บุบผามะตะนัง และ ทัศนีย์ นาคุณทรง (2021) ทำการวิจัยเรื่องการจัดประสบการณ์ตามแนว สมดุลภาษาเพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการอ่านและการเขียนของเด็กปฐมวัย กับนักเรียนชาย –หญิง อายุระหว่าง 4–5 ปี กำลังศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนบ้านทันดู่เหนือ อำเภอโกสุมพิสัย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 3 จำนวน 10 คน โดยมีวัตถุประสงค์การวิจัย 1) เพื่อ ศึกษาการส่งเสริมความสามารถด้านการอ่านและการเขียนของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์ตามแนวสมดุล ภาษา 2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านและการเขียนของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการจัดประสบการณ์ ตามแนวสมดุลภาษา ผลการวิจัยพบว่า 1) เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์ตามแนวสมดุลภาษามีความสามารถ ด้านการอ่านและการเขียนสูงขึ้น 2) เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์ตามแนวสมดุลภาษามีความสามารถด้าน การอ่านและการเขียนหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง 1.6 บัณฑรวรรณ ถุงน้ำอ่าง (2012) ทำการวิจัยเรื่องผลของการจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ที่มีต่อความพร้อมใน การเขียนและพฤติกรรมความร่วมมือของเด็กปฐมวัยชั้นปีที่ 2 โรงเรียนอนุบาลนานาชาติเลิร์นนิ่งโฮม เขตยานนาวา จังหวัดกรุงเทพมหานครกับนักเรียนระดับชั้นด็กปฐมวัยปีที่ 2 จำนวน 10คน ของโรงเรียนอนุบาลนานาชาติเลิร์นนิ่งโฮม เขตยานนาวา จังหวัดกรุงเทพมหานคร ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2553 โดยมีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อเปรียบเทียบ ความพร้อมในการเขียนของเด็กปฐมวัย ชั้นปีที่ 2 ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ และเปรียบเทียบพฤติกรรม ความร่วมมือของเด็กปฐมวัยชั้นปีที่ 2 ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ผลการวิจัยพบว่า 1) ความพร้อมในการ เขียนโดยรวมและรายด้าน ได้แก่ ด้านการบังคับนิ้วมือ การใช้กรรไกร ลีลามือการเขียนของเด็กปฐมวัยชั้นปีที่ 2 หลังการ จัดกิจกรรมสร้างสรรค์สูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.01 2) พฤติกรรมความร่วมมือโดยรวม และรายด้าน ได้แก่ ด้านการช่วยเหลือกันและกัน การแบ่งปัน การเป็นผู้นำ-ผู้ตาม ความรับผิดชอบของเด็กปฐมวัยชั้นปี ที่ 2 หลังการจัดกิจกรรมสร้างสรรค์สูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
28 2. การสรุปประเด็น จากงานวิจัยที่ผู้วิจัยทำการทบทวนทั้งสิ้นจำนวน 6 เรื่อง ขอสรุปประเด็นความรู้เกี่ยวกับผลการทบทวน ดังกล่าวเป็นรายข้อ ดังนี้ 1. ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือสามารถส่งเสริมพัฒนาการทางด้านร่างกาย และการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็ก ได้ เป็นอย่างดีเช่น ทำให้การประสานงานระหว่างมือและตาของเด็กมีความสัมพันธ์ในการทำงานที่ดีขึ้น 2.ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือสามารถทำให้เด็กเรียนแล้วมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีขึ้นมีสติปัญญาที่ดี เช่น เด็กมี พัฒนาการด้านการเขียนเส้นพยัญชนะ สามารถเขียนเส้นพยัญชนะได้ถูกต้องและสวยงาม การเขียนลีลาเส้น และยังเป็น การพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก 3. ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือเน้นให้เด็กได้ฝึกทักษะการเขียนด้วยตนเอง ทำให้เด็กมีทักษะการเขียนที่สูงขึ้น เช่น เด็กมีคะแนนความสามารถในการเขียนที่สูงขึ้น 3. ประเด็นที่ทำการวิจัยต่อยอด จากการสรุปประเด็นความรู้เกี่ยวกับผลการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังกล่าวเป็นรายข้อก่อนหน้าแล้ว พบว่า การทำวิจัยในชั้นเรียนเรื่องการพัฒนาความพร้อมด้านทักษะการเขียนของเด็กปฐมวัยชั้นปีที่ 2 โดยใช้ชุดกิจกรรม ฝึกลีลามือ มีประเด็นความรู้ที่อยากให้จัดกิจกรรมให้กับเด็ก เพื่อการเตรียมความพร้อมและพัฒนาด้านทักษะการเขียน ของเด็กปฐมวัยชั้นปีที่ 2 โดยใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ นอกจากจะทำเป็นชุดกิจกรรมลีลามือแล้ว ยังสามารถนำมาบูรณา การให้เด็กนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ โดยสรุปประเด็นดังนี้ 1. การจัดกิจกรรมให้เด็กได้ใช้ส่วนต่างๆ ของร่างกายในการขึ้น-ลง หรือการนั่ง และการกระโดด (คือ เส้นตรงขึ้น และลง การหมุนรอบตัว (คือวงกลม ) การเดินหรือวิ่งตามลักษณะของเส้นต่างๆ 2. ฝึกการใช้ประสาทสัมผัส โดยการสัมผัสลักษณะของขอบเส้นต่างๆ เช่น การตามลูบขอบโต๊ะ การลูบตาม สิ่งของที่เป็นวงกลม เป็นต้น 3. การจัดกิจกรรมที่ให้เด็กช่วยกันหาสิ่งของที่มีลักษณะตามเส้นต่างๆ ที่ครูบอก 4. การจัดกิจกรรมเพื่อฝึกสีลามือของเด็ก โดยการวาดลายเส้นต่างๆ ลงบนพื้นดิน หรือบนเมล็ดข้าวสาร
29 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยเรื่อง การพัฒนาความพร้อมด้านทักษะการเขียนของเด็กปฐมวัยชั้นปีที่ 2 โดยใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ ผู้วิจัยดำเนินการวิจัยตามกรอบของหัวข้อต่าง ๆ ดังนี้ ระเบียบวิธีวิจัย ดำเนินการวิจัยโดยใช้ระเบียบวิธีการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi Experiment Research) ร่วมกับวิจัยเชิง ปฏิบัติการ (Action Research) วิเคราะห์ข้อมูลจากข้อมูลเชิงปริมาณ (Qualitative Data) ร่วมกับข้อมูลเชิงคุณภาพ (Quantitative Data) แหล่งข้อมูลการวิจัย 1. ประชากร นักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 โรงเรียนบ้านแผ่นดินทอง อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2566 จำนวน 50 คน 2. กลุ่มตัวอย่าง นักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 โรงเรียนบ้านแผ่นดินทอง อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ภาคเรียนที่1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 24 คน วิธีการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างใช้วิธีการสุ่มแบบอาศัยความน่าจะเป็นอย่างง่าย(Simple Random Sampling) เครื่องมือการวิจัย 1. นวัตกรรมการเรียนรู้ 1.1 เครื่องมือที่เป็นนวัตกรรม นวัตกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาสำหรับทดลองจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนา ผลการเรียนรู้เรื่องทักษะการเขียน สำหรับนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 คือชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ 1.2 วิธีการสร้างและหาประสิทธิภาพ ดำเนินการสร้างและหาประสิทธิภาพทั้งเชิงเหตุผล(Rational Approach)และเชิงประจักษ์(Empirical Approach) ตามแนวคิดของ เผชิญ กิจระการ (2544) ดังนี้
30 การสร้างและหาประสิทธิภาพเชิงเหตุผล ดำเนินการตามลำดับขั้นประกอบด้วย 1. ทำการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลักการ วิธีการที่เกี่ยวข้อง กับการสร้างชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ สำหรับการวิจัยนี้จะสร้างโดยอ้างอิงตามแนวคิด ทฤษฎีหลักการ วิธีการของบันลือ พฤกษะวัน (2535), พูนสุข บุณย์สวัสดิ์ (2514), มอร์โรว์ (Morrow. 1996) 2. สร้างฉบับร่างชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ โดยอ้างอิงจากผลการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังกล่าวข้อ 1 ก่อนหน้า 3. สร้างแบบประเมินความเหมาะสมของชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญประเมิน ประสิทธิภาพเชิงเหตุผล แบบประเมินความเหมาะสมที่สร้างแสดงแล้วในภาคผนวกที่ 2 4. สร้างแบบประเมินค่าดรรชนีความสอดคล้อง (Index of Item –Objective Congruence: IOC)ของแบบประเมินความเหมาะสมเพื่อให้ผู้เชียวชาญทำการประเมินค่าความเที่ยงตรง เชิงเนื้อหา (Content Validity) ของแต่ละข้อคำถาม(Item) ของแต่ละประเด็น แบบประเมินค่า IOC ที่สร้างแสดงแล้วในภาคผนวกที่ 3 5. นำแบบประเมินค่า IOC ของแบบประเมินความเหมาะสมของ ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ ไปให้ ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา ด้านเทคโนโลยีการศึกษา และด้านการวิจัยหรือการวัดประเมินผลด้านละ 1 คน ทำการประเมิน ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแต่ละข้อคำถามของแต่ละประเด็น แต่ละข้อคำถามที่ประเมินต้องมีค่าเฉลี่ยอย่างน้อย 0.67 จึงจะตัดสินว่า ข้อคำถามนั้นมีความเที่ยงตรง 6. หากผู้เชี่ยวชาญมีข้อเสนอแนะใด ๆ เพื่อปรับปรุงข้อคำถามใดของแบบประเมินค่า IOC ทำการ ปรับปรุงข้อคำถามของแบบประเมินความเหมาะสมของนวัตกรรมการเรียนรู้ตามข้อเสนอแนะ พร้อมทั้งจัดทำแบบประเมินความเหมาะสมของชุดกิจกรรมฝึกลีลามือเป็นฉบับสมบูรณ์ ผลการประเมินพบว่า แต่ละข้อคำถามของแบบประเมินความเหมาะสมของนวัตกรรม การเรียนรู้มีค่า IOC ระหว่าง 0.67 ถึง 1 จึงลงข้อสรุปว่า แต่ละข้อคำถามของแบบประเมินความเหมาะสมของ นวัตกรรมการเรียนรู้มีความเที่ยงตรง ผลการประเมินค่า IOC ของแบบประเมินความเหมาะสมของนวัตกรรมการ เรียนรู้ทั้งฉบับแสดงแล้วในภาคผนวกที่ 3 7. นำชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ ที่สร้างเป็นฉบับร่างแล้วไปให้ผู้เชี่ยวชาญ ด้านเทคโนโลยีการศึกษา ด้าน เนื้อหา และด้านการวิจัยหรือการวัดประเมินผลด้านละ 1 คน รวมทั้งสิ้นจำนวน 3 คน ทำการประเมินความเหมาะสม ด้วยแบบประเมิน แต่ละข้อคำถามของแต่ละประเด็นที่ประเมินต้องมีค่าเฉลี่ยอย่างน้อย 3.50 จึงจะตัดสินว่า ข้อคำถามที่ ประเมินมีความเหมาะสม 8. นำชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ ที่สร้างเป็นฉบับร่างและผ่านการประเมินดังกล่าวข้อ7 มาแก้ไขปรับปรุง ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ 9. จัดทำรูปเล่มชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ ที่ผ่านการสร้างและหาคุณภาพเชิงเหตุผลแล้วเป็นฉบับ ปรับปรุง ทั้งนี้ เพื่อที่จะนำนวัตกรรมการเรียนรู้ดังกล่าวไปหาประสิทธิภาพเชิงประจักษ์
31 การสร้างหาประสิทธิภาพเชิงประจักษ์ ดำเนินการต่อจากผลการหาประสิทธิภาพ เชิงเหตุผลตามลำดับขั้นประกอบด้วย 1. นำชุดกิจกรรมฝึกลีลามือที่จัดทำเป็นรูปเล่มฉบับปรับปรุงมาทดลองใช้เพื่อหาประสิทธิภาพเชิง ประจักษ์กับนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 โรงเรียนบ้านราษฎร์ภักดี อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นคนละกลุ่มกับกลุ่ม ตัวอย่างเป้าหมายการวิจัย การหาประสิทธิภาพดังกล่าวจะใช้วิธีการเทียบกับเกณฑ์ประสิทธิภาพ E 1 /E 2 =70/70 เมื่อ E 1 หมายถึง ร้อยละของคะแนนรวมทั้งหมดจากการทำกิจกรรม และการทดสอบย่อย ระหว่างการทดลองใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ ซึ่งเกณฑ์ประเมินผ่านคือ ร้อยละ70 E 2 หมายถึง ร้อยละของคะแนนรวมทั้งหมดจากการทำแบบทดสอบภายหลังสิ้นสุด การทดลองใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือซึ่งเกณฑ์ประเมินผ่านคือ ร้อยละ 70 การตัดสินประสิทธิภาพเชิงประจักษ์จากการทดลองใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ จะใช้เทียบกับเกณฑ์ ประสิทธิภาพที่กำหนดขึ้นว่า ถ้าค่าร้อยละของคะแนนที่คำนวณของ E 1 = อยู่ระหว่าง 70±2.55 แสดงว่า ประสิทธิภาพเชิง ประจักษ์ของ E 1 เป็นไปตามเกณฑ์ร้อยละ 70 แต่ถ้ามากกว่าหรือน้อยกว่า 70±2.5 แสดงว่า ประสิทธิภาพเชิงประจักษ์ ของ E 1 สูงกว่า หรือ น้อยกว่าเกณฑ์ร้อยละ70 ต้องปรับนวัตกรรมการเรียนรู้ที่สร้าง ให้เท่ากับเกณฑ์ประสิทธิภาพที่กำหนด คือ 70 ส่วนการตัดสินประสิทธิภาพเชิงประจักษ์ของ E 2 ทำเช่นเดียวกับ E 1 และถ้าร้อยละของคะแนนระหว่าง E 1 และ E 2 ต่างกันมากกว่าร้อยละ 5 แสดงว่าประสิทธิภาพเชิงประจักษ์ของชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ ไม่เป็นไปตามเกณฑ์ต้องทำการ ปรับปรุงใหม่ 2. จัดทำรูปเล่มชุดกิจกรรมฝึกลีลามือเป็นฉบับสมบูรณ์และพร้อมสำหรับการนำไปทดลองใช้กับ นักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 ซึ่งเป็นกลุ่มที่เป้าหมายการวิจัย ข้อตกลง เนื่องด้วยปัจจัยจำกัดบางประการคือ ขาดความยินยอมของโรงเรียนที่มีบริบทใกล้เคียงกันที่ จะให้ผู้วิจัยนำชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ มาทดลองใช้กับนักเรียนระดับชั้นเดียวกันเพื่อหาประสิทธิภาพเชิงประจักษ์ ดังนั้น ด้วยปัจจัยจำกัดดังกล่าว จึงสร้างข้อตกลงว่า การทำวิจัยครั้งนี้จะขอละเว้นการหาประสิทธิภาพเชิงประจักษ์ของ ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ 2. เครื่องมือรวบรวมข้อมูล 2.1 ชนิดของเครื่องมือ เครื่องมือที่ใช้รวบรวมข้อมูลประกอบด้วย แบบประเมินความเหมาะสมของ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ แบบสอบถามวัดระดับความพึงพอใจ แบบสังเกตพฤติกรรม 2.2 วิธีการสร้างและหาประสิทธิภาพ ดำเนินการสร้างและหาประสิทธิภาพทั้งเชิงเหตุผลและเชิงประจักษ์ ดังนี้
32 การสร้างและหาประสิทธิภาพเชิงเหตุผล ดำเนินการตามลำดับขั้น ดังนี้ 1. ทำการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลักการ วิธีการที่เกี่ยวข้อง กับการสร้างแบบประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ แบบสอบถามวัดระดับ ความพึงพอใจ และแบบสังเกตพฤติกรรม เครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดจะสร้างตามแนวคิด ทฤษฎีหลักการ วิธีการ ต่าง ๆ ดังนี้ 1.1 แบบประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ สร้างตาม แนวคิด ทฤษฎีของ หลักการ วิธีการของล้วน สายยศ (2543) 1.2 แบบสอบถามวัดระดับความพึงพอใจ สร้างตามแนวคิด ทฤษฎีของ หลักการ วิธีการของบุญชม ศรีสะอาด (2549) 1.3 แบบสังเกตพฤติกรรม สร้างตามแนวคิด ทฤษฎีของ หลักการ วิธีการของวัตสัน (John B.Watson,1996) 2. สร้างฉบับร่างแบบสอบถามวัดความเหมาะสมของนวัตกรรม แบบสอบถามวัดระดับความพึงพอใจ และแบบสังเกตพฤติกรรมการเรียนระหว่างการจัดกิจกรรม โดยอ้างอิงผลการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังกล่าวข้อย่อยข้อ 1 ก่อนหน้า 3. สร้างแบบประเมินค่า IOC เพื่อให้ผู้เชียวชาญทำการประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา แต่ละข้อคำถาม ของแต่ละประเด็นของเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิด แบบประเมินค่า IOC ของเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิด กล่าวแล้วในภาคผนวกที่ 2 4. นำแบบประเมินค่า IOC ของเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดที่สร้างฉบับร่างไปให้ผู้เชี่ยวชาญ ด้านภาษา ด้านเทคโนโลยีการศึกษา และด้านการวิจัยหรือการวัดประเมินผลด้านละ 1 คน ทำการประเมินความเที่ยงตรง เชิงเนื้อหาของแต่ละข้อคำถามของแต่ละประเด็นด้วยแบบประเมิน IOC แต่ละข้อคำถามของแต่ละประเด็นที่ประเมินต้องมี ค่าเฉลี่ยอย่างน้อย 0.5 หรือ ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 2 ใน 3 คน เห็นว่ามีความตรง จึงจะตัดสินว่า ข้อคำถามนั้นมีความ เที่ยงตรง และถ้าหากผู้เชี่ยวชาญ มีข้อแนะนำใดเพื่อปรับปรุงนำเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิด แก้ไขปรับปรุงเครื่องมือการวิจัยดังกล่าวตามคำแนะนำ ของผู้เชี่ยวชาญ 4.1 ผลการประเมินพบว่า แต่ละข้อคำถามของแบบประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการ เรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ มีค่า IOC ระหว่าง 0.67 ถึง 1 จึงลงข้อสรุปว่า แบบประเมินความเหมาะสมของ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือมีความเที่ยงตรง แบบประเมินค่า IOC ของแบบสอบถามวัดความเหมาะสมของนวัตกรรมที่สร้างแสดงแล้วในภาคผนวกที่ 2 4.2 ผลการประเมินพบว่า แต่ละข้อคำถามของแบบสอบถามวัดระดับความพึงพอใจ มีค่า IOC ระหว่าง 0.67 ถึง 1 จึงลงข้อสรุปว่า แบบสอบถามวัดระดับความพึงพอใจมีความเที่ยงตรง แบบประเมินค่า IOC ของ แบบสอบถามวัดระดับความพึงพอใจที่สร้างแสดงแล้วในภาคผนวกที่ 3
33 4.3 ผลการประเมินพบว่า แต่ละข้อคำถามของแบบสังเกตพฤติกรรม มีค่า IOC ระหว่าง 0.67 ถึง 1 จึงลงข้อสรุปว่า แบบสังเกตพฤติกรรมมีความเที่ยงตรง แบบประเมินค่า IOC ของแบบสังเกตพฤติกรรมการเรียน ระหว่างการจัดกิจกรรมที่สร้างแสดงแล้วในภาคผนวกที่ 3 5. จัดทำรูปเล่มเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดที่ทำการแก้ไขแล้วตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญเป็น ฉบับปรับปรุง การหาประสิทธิภาพเชิงประจักษ์ดำเนินการต่อจากผลการหาประสิทธิภาพเชิงเหตุผล 1. นำเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดที่จัดทำเป็นฉบับปรับปรุงมาหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) โดยทดลองใช้กับนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 โรงเรียนบ้านราษฎร์ภักดี อำเภอเทิง จังหวัดเชียงรายซึ่งเป็น คนละกลุ่มกับกลุ่มที่เป็นเป้าหมายการวิจัย การหาค่าความเชื่อมั่นใช้วิธีการหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient) โดยมีเกณฑ์ประเมินผ่านทั้งฉบับที่ 0.7 ถ้าน้อยกว่าต้องทำการปรับปรุงเครื่องมือ ใหม่ 2. ปรับปรุงเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดหากพบว่า ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาต่ำกว่า 0.7 3. ยกเว้นแบบทดสอบ จัดทำรูปเล่มเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดเป็นฉบับสมบูรณ์ และพร้อมสำหรับการนำไปทดลองใช้กับนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 โรงเรียนบ้านแผ่นดินทอง จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็น กลุ่มเป้าหมายการวิจัย สำหรับแบบทดสอบนั้น เมื่อทำการประเมินความเที่ยงตรงและความเชื่อมั่นแล้ว ก่อนนำไปทดลองใช้ กับนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 ซึ่งเป็นกลุ่มที่เป้าหมายการวิจัย ต้องดำเนินการต่อจากข้อ 3 เพื่อหาค่าความยากง่าย และค่าอำนาจ การจำแนกต่อดังนี้ 4. นำแบบทดสอบแต่ละข้อมาวิเคราะห์ความยากง่ายด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป ข้อคำถามที่ดี ของแบบทดสอบประเภท 4 ตัวเลือกจะมีค่าความยากง่ายระหว่าง 0.20 – 0.80 (สุมาลี จันทร์ชะลอ. 2542) 5. นำแบบทดสอบแต่ละข้อมาวิเคราะห์ค่าอำนาจการจำแนกโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป 6. จัดทำรูปเล่มของแบบทดสอบเป็นฉบับสมบูรณ์ และพร้อมสำหรับการนำไปทดลองใช้กับนักเรียน ระดับชั้นอนุบาล 2 โรงเรียนบ้านแผ่นดินทอง จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายการวิจัย ข้อตกลง เนื่องด้วยปัจจัยจำกัดบางประการเช่นเดียวกับดังกล่าวแล้วในหัวข้อ “วิธีการสร้างและหา คุณภาพของนวัตกรรมการเรียนรู้” จึงสร้างข้อตกลงว่า การวิจัยครั้งนี้จะละเว้นการหาประสิทธิภาพเชิงประจักษ์ซึ่ง ประกอบด้วย การหาค่าความเชื่อมั่นของเครื่องมือรวบรวมข้อมูลทุกชนิด การหาค่าความยากง่าย และค่าอำนาจการ จำแนกซึ่งเฉพาะสำหรับแบบทดสอบ
34 การดำเนินการรวบรวมข้อมูล 1. ทำหนังสือถึงคณบดีคณะครุศาสตร์เพื่อร้องขอให้ออกหนังสือราชการถึงผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านราษฎร์ภักดี อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย เพื่อขออนุญาตที่จะทดลองใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ และจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนา ผลการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียน สำหรับนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 2. ประชุม ชี้แจง และสร้างข้อตกลงกับนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 เกี่ยวการทดลองใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ จัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อปรับปรุงผลการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียน 3. จัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อปรับปรุงผลการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียน โดยการทดลองใช้ชุดกิจกรรมฝึก ลีลามือ 4. ทำการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 ภายหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อ พัฒนาผลการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียน โดยการทดลองใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ 5. ให้นักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 ตอบแบบสอบถามวัดระดับความพึงพอใจจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อ พัฒนาผลการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียน โดยการทดลองใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ การวิเคราะห์ข้อมูล 1. การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาคุณภาพและประสิทธิภาพของเครื่องมือการวิจัย 1.1 ความเหมาะสมของชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ วิเคราะห์ด้วยค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิธีการ วิเคราะห์ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป 1.2 ประสิทธิภาพเชิงประจักษ์ของชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ วิเคราะห์ด้วยเกณฑ์ประสิทธิภาพ E 1 /E 2 วิธีการ วิเคราะห์ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป 1.3 ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิด วิเคราะห์ด้วยค่าดรรชนี ความสอดคล้องหรือ IOC วิธีการวิเคราะห์ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป 1.4 ความเชื่อมั่นของเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิด วิเคราะห์ด้วยค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค วิธีการวิเคราะห์ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป 1.5 ความยากง่ายของแบบทดสอบแต่ละข้อ วิธีการวิเคราะห์ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป 1.6 ค่าอำนาจการจำแนกของแบบทดสอบแต่ละข้อ วิธีการวิเคราะห์ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ สำเร็จรูป 2. การวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัย 2.1 ผลการเรียนรู้ของนักเรียน วิเคราะห์ด้วยค่าคะแนนเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2.2 ระดับผลการเรียนรู้ของนักเรียน วิเคราะห์โดยการเปรียบเทียบร้อยละของค่าคะแนนเฉลี่ยกับระดับผล การเรียนรู้ตามเกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้นเรียน 2.3 ผลการทดลองใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ วิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติ One -Sample t Test ที่ระดับ นัยสำคัญทางสถิติที่ α 0.05 หรือที่ระดับความเชื่อมั่น 95% วิธีการวิเคราะห์ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป
35 2.4 ระดับความพึงพอใจ วิเคราะห์ด้วยค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิธีการวิเคราะห์ใช้โปรแกรม คอมพิวเตอร์สำเร็จรูป 2.5 เกณฑ์ประเมินระดับความพึงพอใจของนักเรียน วิเคราะห์ด้วยช่วงระดับค่าเฉลี่ยตามเกณฑ์ของบุญชม ศรีสะอาด (2545) การนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยตาราง พร้อมทั้งบรรยายเป็นความเรียงประกอบ
36 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยเรื่องการพัฒนาความพร้อมด้านทักษะการเขียนของเด็กปฐมวัยชั้นปีที่ 2 โดยใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ ผู้วิจัยเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามประเด็นของวัตถุประสงค์การวิจัย ดังนี้ 1. เพื่อพัฒนาชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ สำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ ด้านทักษะ การเขียน ของนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 2. เพื่อการศึกษาผลการทดลองใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ จัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ ด้านทักษะการเขียน ของนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 3. เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นระดับชั้นอนุบาล 2 ที่มีต่อการทดลองใช้ชุด กิจกรรมฝึกลีลามือ จัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ ด้านทักษะการเขียน ของนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 ผลการพัฒนาชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ 1. นวัตกรรมที่สร้าง ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ทั้งหมด 12 แผน ดังนี้ 1. แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง การต่อเลโก้ เวลา 30 นาที 2. แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การร้อยลูกปัด เวลา 30 นาที 3. แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การปั้นแป้งโด เวลา 30 นาที 4. แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ขยำกระดาษ เวลา 30 นาที 5. แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การระบายสีภาพ เวลา 30 นาที 6. แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การตัดกระดาษโดยใช้กรรไกร เวลา 30 นาที 7. แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การต่อภาพตัดต่อ เวลา 30 นาที 8. แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การเขียนเส้น เวลา 30 นาที 9. แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การเขียนเส้น เวลา 30 นาที 10. แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การเขียนเส้น เวลา 30 นาที 11. แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การเขียนเส้น เวลา 30 นาที 12. แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การเขียนเส้น เวลา 30 นาที
37 รายละเอียดของชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ แสดงแล้วดังภาคผนวก 2. การหาประสิทธิภาพของนวัตกรรม 2.1 การหาประสิทธิภาพเชิงเหตุผล (Rational Approach) เมื่อประเมินความเหมาะสมของชุดกิจกรรม ฝึกลีลามือ ด้วยแบบประเมินความเหมาะสมจากผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 คน ผลการประเมินแสดงดังตารางที่ 1 ตารางที่ 1: แสดงผลการประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ จากผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 คน ประเด็นที่ประเมิน รายการประเมิน ̅ จุดประสงค์ เป็นจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม 4.33 0.58 สอดคล้องกับกิจกรรมการเรียนรู้ 4.33 0.58 สอดคล้องกับพัฒนาการและช่วงอายุของเด็ก 5 0 รูปแบบของชุดกิจกรรม มีรูปแบบที่น่าสนใจ และดึงดูดความสนใจของเด็ก 4.33 0.58 สะดวกในการนำไปใช้ในการจัดกิจกรรม 4 0 มีความหลากหลายในกิจกรรมการเรียนรู้ 4.67 0.58 การจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ สอดคล้องกับจุดประสงค์ 4.33 0.58 เน้นนักเรียนเป็นสำคัญ 4 0 นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง 4.33 0.58 เวลาที่ใช้ในแต่ละกิจกรรมมีความเหมาะสม 4 0 สื่อการเรียนรู้ กระตุ้นให้เด็กเกิดพัฒนาการกล้ามเนื้อเล็กที่นำไปสู่ ทักษะการเขียน 4.67 0.58 เหมาะสมกับกิจกรรมการเรียนรู้ 5 0 การวัดประเมินผล วิธีวัดที่ระบุไว้สามารถประเมินได้ 4.33 0.58 เครื่องมือวัดประเมินผลมีความเหมาะสม 4.33 0.58 การใช้ภาษา สื่อความหมายชัดเจน เข้าใจง่าย 4 0 ถูกต้องตามหลักการใช้ภาษา 4.33 0.58 จากตารางที่ 1 พบว่า แต่ละรายการที่ประเมินของแต่ละประเด็นมีค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 4.33-5 ซึ่งผ่านเกณฑ์ประเมิน ขั้นต่ำคือ 3.50 ดังนั้น จึงสรุปว่าชุดกิจกรรมฝึกลีลามือมีความเหมาะสม 2.2 การหาประสิทธิภาพเชิงประจักษ์ (Empirical Approach)วิธีการหาประสิทธิภาพเชิงประจักษ์ของ ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ จะใช้วิธีการเทียบกับเกณฑ์ประสิทธิภาพ E1/E2 = 70/70 ที่หาประสิทธิภาพเชิงเหตุผลแล้วไป
38 ทดลองกับกลุ่มนักเรียนที่เป็นคนละกลุ่มกับกลุ่มตัวอย่างหรือกลุ่มเป้าหมายการวิจัย แต่ตามข้อตกลงดังระบุในบทที่ 3 ว่า เนื่องด้วยปัจจัยจำกัดบางประการคือเนื่องด้วยปัจจัยจำกัดบางประการคือ ขาดความยินยอมของโรงเรียนที่มีบริบท ใกล้เคียงกันที่จะให้ผู้วิจัยนำชุดกิจกรรมฝึกลีลามือมาทดลองใช้กับนักเรียนระดับชั้นเดียวกันเพื่อหาประสิทธิภาพ เชิงประจักษ์ ดังนั้น ด้วยปัจจัยจำกัดดังกล่าว จึงสร้างข้อตกลงว่า การทำวิจัยครั้งนี้จะขอละเว้นการหาประสิทธิภาพเชิง ประจักษ์ของชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ ดังข้อตกลงแล้วในบทที่ 3 การพัฒนาผลการเรียนรู้ 1. คะแนนผลการเรียนรู้ จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียน โดยทดลองใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ กับกลุ่มตัวอย่าง คะแนนผลการเรียนรู้ของกลุ่มตัวอย่าง แสดงดังตารางที่ 2 ตารางที่ 2: แสดงคะแนนผลการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียน จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กิจกรรมการเรียนรู้โดยทดลองใช้ชุดกิจกรรม ฝึกลีลามือ กับกลุ่มตัวอย่างคะแนนเต็มเท่ากับ 324 คะแนน นักเรียน (คน) คะแนน คิดเป็นร้อยละ 1 224 69.14 2 300 92.59 3 312 96.30 4 218 67.28 5 225 69.44 6 312 96.30 7 290 89.51 8 300 92.59 9 319 98.46 10 228 70.37 11 300 92.59 12 319 98.46 13 318 98.15 14 316 97.53 15 290 89.51 16 305 94.14 17 287 88.58
39 18 228 70.37 19 290 89.51 20 300 92.59 21 320 98.77 22 316 97.53 23 300 92.59 24 312 96.30 รวมจำนวน 24 คน รวมค่าคะแนนทั้งหมด =6929 รวมร้อยละค่าคะแนน = 2138.6 ค่าคะแนนเฉลี่ย = 288.71 = 35.09 ร้อยละค่าคะแนนเฉลี่ย = 87.98 = 11.44 จากตารางที่ 2 ภายหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียน โดยทดลองใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ กับ กลุ่มตัวอย่างพบว่า ร้อยละค่าคะแนนรวมผลการเรียนรู้เท่ากับ 2138.6 คะแนน คิดเป็นร้อยละค่าคะแนนเฉลี่ย 97.98 และเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 11.14 2. การเปรียบเทียบผลการเรียนรู้ จากการเปรียบเทียบผลการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียน ระหว่างจัดกิจกรรม การเรียนรู้โดยทดลองใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือกับนวัตกรรมการเรียนรู้เดิม เมื่อใช้ร้อยละค่าคะแนนเฉลี่ยผลการเรียนรู้ ระดับชั้นเรียนจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วย 2 นวัตกรรมการเรียนรู้ที่แตกต่างกันเป็นเกณฑ์เปรียบเทียบ ผลการ วิเคราะห์เปรียบเทียบแสดงดังตารางที่ 3 ตารางที่ 3: แสดงผลการเปรียบเทียบร้อยละค่าคะแนนเฉลี่ยระดับชั้นเรียนและระดับผลการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียน ของกลุ่มตัวอย่างจำนวน 24 คน ซึ่งถูกจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียนโดยทดลองใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือกับ ร้อยละค่าคะแนนเฉลี่ยระดับชั้นเรียนและระดับผลการเรียนรู้จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องเดียวกันโดยการใช้ นวัตกรรมการเรียนรู้เดิมก่อนทำการวิจัย เมื่อกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ α0.05 หรือที่ระดับความเชื่อมั่น 95% และระดับผลการเรียนรู้กำหนดตามเกณฑ์ของครูพี่เลี้ยง (สิริพัทธ วงค์เวียน. 2566)
40 ตารางที่ 3.1 One –Sample Statistics ร้อยละค่าคะแนนเฉลี่ยและระดับผลการเรียนรู้ จากนวัตกรรมการเรียนรู้เดิมก่อนทำการวิจัย ร้อยละค่าคะแนนเฉลี่ยและระดับผลการเรียนรู้ จากนวัตกรรมการเรียนรู้ที่สร้างหรือพัฒนา ร้อยละค่าคะแนน เฉลี่ย ระดับผลการเรียนรู้ ร้อยละค่าคะแนนเฉลี่ย ระดับผลการเรียนรู้ 48.48 กำลังพัฒนา 87.98 ยอดเยี่ยม ตารางที่ 3.2 One –Sample Statistics t df P-value Confidence Level (%) 30.54 23 .000 95 2.1 เมื่อใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปทำการวิเคราะห์เปรียบเทียบร้อยละค่าคะแนนเฉลี่ยผลการเรียนรู้ ระดับชั้นเรียนด้านทักษะการเขียน จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วย 2 นวัตกรรมการเรียนรู้ที่แตกต่างกันด้วย OneSample t-Test แบบ 2 ทาง จากตารางที่ 3.2 พบว่า t มีค่าเท่ากับ30.54 df มีค่าเท่ากับ 23 ค่า p-valueเท่ากับ .000 ซึ่งน้อยกว่าระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ α0.05 หรือที่ระดับความเชื่อมั่น 95% จึงอธิบายว่า 1. ร้อยละค่าคะแนนเฉลี่ยผลการเรียนรู้ระดับชั้นเรียนของกลุ่มตัวอย่างจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยทดลองใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือและโดยการใช้นวัตกรรมการเรียนรู้เดิม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ α0.05 หรือที่ระดับความเชื่อมั่น 95% 2. เนื่องจากร้อยละค่าคะแนนเฉลี่ยผลการเรียนรู้ระดับชั้นเรียนของกลุ่มตัวอย่างจาก การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยทดลองใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือสูงกว่าค่าเดียวกันแต่จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ นวัตกรรมการเรียนรู้เดิม ดังนั้น การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียน โดยการทดลองใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือมี ผลต่อการพัฒนาผลการเรียนรู้ของกลุ่มตัวอย่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ α0.05 หรือที่ระดับความเชื่อมั่น 95% 2.2 เมื่อเปรียบเทียบระดับผลการเรียนรู้ตามเกณฑ์ของครูพี่เลี้ยง (สิริพัทธ วงค์เวียน. 2566) จากตารางที่ 3.1 พบว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมการเรียนรู้เดิม มีร้อยละค่าคะแนนเฉลี่ยผลการเรียนรู้ระดับชั้นเรียน เท่ากับ 48.48 หรือมีผลการเรียนรู้ที่ระดับกำลังพัฒนา และโดยทดลองใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือมีร้อยละค่าคะแนนเฉลี่ย ผลการเรียนรู้ระดับชั้นเรียนเท่ากับ 87.98 หรือมีผลการเรียนรู้ที่ระดับยอดเยี่ยม ซึ่งสูงกว่าระดับผลการเรียนรู้จากการจัด กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมการเรียนรู้เดิม จึงอธิบายว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยทดลองใช้ชุดกิจกรรมฝึก ลีลามือมีผลต่อการพัฒนาระดับผลการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียนของกลุ่มตัวอย่าง
41 2.3 ตามเกณฑ์ของครูพี่เลี้ยง (สิริพัทธ วงค์เวียน. 2566) กำหนดเกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้นเรียนที่ร้อยละ ค่าคะแนน 50 สำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยทดลองใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือมีร้อยละค่าคะแนนเฉลี่ยผลการ เรียนเรียนรู้ระดับชั้นเรียนเท่ากับ 87.98 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้นเรียน จึงอธิบายว่า การจัดกิจกรรมการ เรียนรู้โดยทดลองใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ ทำให้ผลการเรียนรู้ของกลุ่มตัวอย่างผ่านเกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้นเรียน ระดับความพึงพอใจ จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียน โดยทดลองใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ กับนักเรียนระดับชั้น อนุบาล 2 ปีการศึกษา 2566 ภาคเรียนที่ 1 จำนวน 24 คน เมื่อวิเคราะห์ระดับความพึงพอใจ ผลการวิเคราะห์แสดงดัง ตารางที่ 4 ตารางที่ 4: แสดงระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 ปีการศึกษา 2566 ภาคเรียนที่ 1 จำนวน 24 คนที่มีต่อการทดลอง ใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียน ประเด็นและรายการที่ประเมิน ̅ . ระดับความพึงพอใจ ด้านกิจกรรมการเรียนรู้ 1. นักเรียนมีความสุข สนุกที่ได้ทำกิจกรรม 4.13 0.74 พึงพอใจที่ระดับมาก 2. นักเรียนได้พัฒนาความสามารถในการเขียน 3.92 0.88 พึงพอใจที่ระดับมาก 3. นักเรียนได้ลงมือทำกิจกรรมตามความสามารถของตนเอง 4.13 0.85 พึงพอใจที่ระดับมาก 4. มีกิจกรรมการเรียนรู้ที่น่าสนใจ และนักเรียนอยากเรียนรู้อีก 4.33 0.70 พึงพอใจที่ระดับมาก 5. กิจกรรมการเรียนรู้มีความหลากหลาย 4.54 0.65 พึงพอใจที่ระดับมากสุด รวม 4.21 0.76 พึงพอใจที่ระดับมาก ด้านครูผู้สอน 1. ครูจัดเตรียมสื่อ และอุปกรณ์ในการจัดกิจกรรมให้กับนักเรียน 4.38 0.71 พึงพอใจที่ระดับมาก 2. ครูพูดจาไพเราะ ยิ้มแย้มแจ่มใส และเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเด็ก 4.33 0.63 พึงพอใจที่ระดับมาก 3. ครูสอนสนุกสนาน น่าสนใจ 4.21 0.77 พึงพอใจที่ระดับมาก 4. ครูให้โอกาสเด็กทุกคนได้ทำกิจกรรมอย่างเท่าเทียมกัน 4.50 0.72 พึงพอใจที่ระดับมากสุด 5. ครูใช้ภาษาง่ายๆ ที่เด็กสามารถเข้าใจได้ 4.71 0.55 พึงพอใจที่ระดับมากสุด 6. ครูจัดกิจกรรมตามความสนใจของเด็ก 4.29 0.75 พึงพอใจที่ระดับมาก รวม 4.40 0.69 พึงพอใจที่ระดับมาก ด้านบรรยากาศ 1. สภาพแวดล้อมหรือบรรยากาศในห้องเรียนน่าอยู่ น่าเรียน 4.54 0.65 พึงพอใจที่ระดับมากสุด 2. ครูสร้างบรรยากาศในห้องเรียนที่อบอุ่น ไม่ตึงเครียด 4.41 0.71 พึงพอใจที่ระดับมาก 3. ห้องเรียนไม่มีเสียงรบกวนจากภายนอก 4.46 0.58 พึงพอใจที่ระดับมาก 4. สภาพแวดล้อมหรือบรรยากาศในห้องเรียนน่าอยู่ น่าเรียน 4.38 0.71 พึงพอใจที่ระดับมาก รวม 4.45 0.66 พึงพอใจที่ระดับมาก รวมทั้งหมด 4.35 0.66 พึงพอใจที่ระดับมาก
42 จากตารางที่ 4 พบว่า เมื่อวิเคราะห์โดยภาพรวม นักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 ปีการศึกษา 2566 ภาคเรียนที่ 1 จำนวน 24 คน มีความพึงพอใช้ต่อการทดลองใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียน ระดับ พึงพอใจที่ระดับมาก ( ̅ = 4.35 . =0.66) แต่เมื่อวิเคราะห์เป็นรายด้านโดยเรียงลำดับระดับค่าเฉลี่ยจากระดับมาก สุดไปหาน้อยสุด 3 ลำดับ พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อด้านบรรยากาศ (̅ = 4.45 =0.66) สูงสุด มีความพึงพอใจระดับมาก รองลงมาคือด้านกิจกรรมการเรียนรู้(̅ = 4.40 =0.69) มีความพึงพอใจระดับ มาก และลำดับสุดท้ายคือด้านครูผู้สอน (̅ =4.21 =0.76) มีความพึงพอใจระดับมาก
43 บทที่ 5 สรุป อภิปราย และข้อเสนอแนะผลการวิจัย สรุปผลการวิจัย เป้าหมายของการวิจัยเพื่อต้องการพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียน ของกลุ่มสาระการเรียนรู้ ของนักเรียน ระดับชั้นอนุบาล 2 โรงเรียนบ้านแผ่นดินทอง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ซึ่งเป็นกลุ่มตัวอย่าง ทั้งนี้เพราะว่าจากการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยนวัตกรรมการเรียนรู้เดิม พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีผลการเรียนรู้ที่ระดับกำลังพัฒนา เมื่อเทียบกับ เกณฑ์ของครูพี่เลี้ยง (สิริพัทธ วงค์เวียน.2566) ซึ่งระดับผลการเรียนรู้ดังกล่าวต่ำกว่าระดับปานกลางซึ่งเป็นเกณฑ์ประเมิน ผ่านระดับชั้นเรียน ด้วยสาเหตุดังกล่าว ผู้สอนจึงต้องการทำการวิจัยเพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียน โดยอาศัยแนวคิด ทฤษฎี หลักการ ของพูนสุข บุญย์สวัสดิ์ 2514, บันลือ พฤกษะวัน 2535 และ Morrow. 2539 ซึ่งเป็นผลจากการทบบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องผู้สอนจึงสร้างชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ พร้อมทั้งกำหนดสมมติฐาน การวิจัยว่า การทดลองใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือจัดกิจกรรมการเรียนรู้จะมีผลต่อการพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านทักษะการ เขียน และระดับความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่าง เมื่อจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียน กับกลุ่มตัวอย่างโดยทดลองใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ พบว่า 1. กลุ่มตัวอย่างมีผลการเรียนรู้เพิ่มขึ้นจากเดิม 2. ผลการเรียนรู้ของกลุ่มตัวอย่างผ่านเกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้นเรียน 3. ผลการเรียนรู้ของกลุ่มตัวอย่างอยู่ที่ระดับยอดเยี่ยม เมื่อเทียบกับเกณฑ์ของครูพี่เลี้ยง (สิริพัทธ วงค์เวียน.2566) ซึ่งสูงกว่าระดับผลการเรียนรู้เดิม 4. เมื่อเปรียบผลการเรียนรู้ของกลุ่มตัวอย่างกับเกณฑ์การประเมินผ่านที่ร้อยละ 50 ซึ่งเป็นเกณฑ์ของครูพี่เลี้ยง (สิริพัทธ วงค์เวียน.2566) ด้วย One – Sample t Test พบว่า ระดับผลการเรียนรู้ของกลุ่มตัวอย่างสูงกว่าเกณฑ์ที่เทียบ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ α 0.05 หรือที่ระดับความเชื่อมั่น 95% 5. เมื่อทำการประเมินระดับความพึงพอใจซึ่งกำหนดเป็น 3 ด้าน ประกอบด้วยด้าน ด้านกิจกรรมการเรียนรู้ด้าน ครูผู้สอน และด้านบรรยากาศ พบว่า เมื่อวิเคราะห์โดยภาพรวม กลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยที่ระดับมาก และมีความพึงพอใจเฉพาะต่อการใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลามือที่ระดับมาก จากผลการวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าวข้อ 1 -5 สรุปว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยทดลองใช้ชุดกิจกรรมฝึกลีลา มือ มีผลต่อการพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียนของนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2โรงเรียนบ้านแผ่นดินทอง อำเภอ เทิง จังหวัดเชียงราย ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติα 0.05 หรือที่ระดับความเชื่อมั่น 95% และมีความพึงพอใจโดยภาพรวมที่ระดับมาก
44 อภิปรายผลการวิจัย จากผลการวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าวในบทที่ 4 ประเด็นที่จะหยิบยกขึ้นมาสู่การอภิปรายผลการวิจัยประกอบด้วย ผลการพัฒนาผลการเรียนรู้ของนักเรียน และระดับความพึงพอใจของนักเรียน แต่ละประเด็นดังกล่าว นำมาอภิปราย ดังนี้ 1. ผลการพัฒนาผลการเรียนรู้ของนักเรียน จากผลการวิเคราะห์ข้อมูลในบทที่ 4 พบว่านักเรียนมีร้อยละค่า คะแนนเฉลี่ยผลการเรียนรู้ระดับชั้นเรียนเท่ากับ 87.98 หรือมีผลการเรียนรู้ที่ระดับยอดเยี่ยม ต่อการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ด้านทักษะการเขียนด้วยชุดกิจกรรมฝึกลีลามือ และผลการเรียนรู้จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยทดลองใช้ชุด กิจกรรมฝึกลีลามือสูงกว่าการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมเดิมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ α0.05 หรือที่ ระดับความเชื่อมั่น 95% ทั้งนี้เป็นเพราะว่า ครูจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้ผู้เรียนเรียนรู้อย่างมีความสุข อีกทั้งยังได้ใช้สมอง ทั้งซีกซ้ายและซีกขวาอย่างสมดุล ซึ่งจะไม่เน้นผลงานที่สวยงามหรือเหมือนของจริง แต่เน้นให้ผู้เรียนได้พัฒนาครบทุก ด้านจากการทำกิจกรรม ซึ่งชุดกิกจกรรมฝึกลีลามือ ผู้วิจัยได้แบ่งเนื้อหากิจกรรมจากง่ายไปหายาก โดยเริ่มจากการทำ กิจกรรมเพื่อเตรียมความพร้อมด้านการเขียน นำไปสู่การเขียนด้วยดินสอในลักษณะของเส้นพื้นฐานต่างๆ ทั้ง 13 เส้น ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ระหว่างการทำกิจกรรมโดยให้ฝึกซ้ำ ๆ และมีการจัดกิจกรรมที่เน้นเด็กเป็นสำคัญ เปิดโอกาส ให้เด็กได้ฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง และมีการจัดสภาพแวดล้อมให้มีสื่อที่หลากหลาย ซึ่งผลดังกล่าวสอดคล้องกับแนวคิด ทฤษฎี หลักการ วิธีการ ของพูนสุข บุญย์สวัสดิ์ (2514) และบันลือ พฤกษะวัน (2535) ที่กล่าวว่า การจัดการเรียนการ สอนของครูที่มีความเข้าใจในการจัดการเรียนการสอนจะจัดกิจกรรมที่ตอบสนองความต้องการและความสนใจของเด็ก ให้เด็กได้เข้าร่วมทำผลงานจากประสบการณ์จัดสิ่งแวดล้อมให้มีอุปกรณ์ที่หลากหลายสำหรับให้เด็กได้ฝึกเขียน จะทำให้ เด็กพัฒนาทักษะการเขียนได้ และสอดคล้องกับแนวคิดของทิศนา แขมมณีที่กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้โดยเน้นผู้เรียน เป็นสำคัญ (Child Center Learning ) มุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง ผ่านสื่อและวิธีการจัดการเรียนรู้ที่ หลากหลายตามความสนใจของผู้เรียน โดยมีครูเป็นผู้สนับสนุนและอำนวยความสะดวก นอกจากนี้ผลการวิเคราะห์ ดังกล่าวยังสอดคล้องกับงานวิจัยของบุญย์ บุหงามงคล และ สาธิตา คงบุญ (2549) ที่ทำการวิจัยเรื่อง ผลของการใช้ กิจกรรมสร้างสรรค์ที่มีต่อความสามารถด้านการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กการประสานงานระหว่างมือและตาและ ความสามารถด้านการเขียนลีลาเส้น : กรณีศึกษาเด็กออทิสติกระดับอนุบาล โรงเรียนเทศบาลบ้านหนองแวง จังหวัด ขอนแก่น โดยมีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ 1) ศึกษาผลการผลของการใช้กิจกรรมสร้างสรรค์ที่มีต่อความสามารถด้านการ ใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กการประสานงานระหว่างมือและตาและความสามารถด้านการเขียนลีลาเส้น ผลการวิจัยพบว่า คะแนนความสามารถในการประสานงานระหว่างมือกับตาของนักเรียนหลังทดลองสูงกว่าก่อนการฝึกอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติระดับ .05 คะแนนความสามารถในการเขียนลีลาเส้นของนักเรียนหลังได้รับการทดลองสูงกว่าก่อนฝึกอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติระดับ .01 และยังสอดคล้องกับงานวิจัยของบัณฑรวรรณ ถุงน้ำอ่าง (2012) ที่ทำการวิจัยเรื่องผลของ การจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ที่มีต่อความพร้อมในการเขียนและพฤติกรรมความร่วมมือของเด็กปฐมวัยชั้นปีที่ 2 โรงเรียน อนุบาลนานาชาติเลิร์นนิ่งโฮมเขตยานนาวาจังหวัดกรุงเทพมหานคร โดยใช้กิจกรรมสร้างสรรค์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ โดยมีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อเปรียบเทียบความพร้อมในการเขียนของเด็กปฐมวัยชั้นปีที่ 2 ก่อนและหลังการจัด กิจกรรมสร้างสรรค์ และเปรียบเทียบพฤติกรรมความร่วมมือของเด็กปฐมวัยชั้นปีที่ 2 ก่อนและหลังการจัดกิจกรรม