The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

Dhammapada and its related stories

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by thongbai_thira, 2024-04-16 01:47:29

Dhammapada07

Dhammapada and its related stories

Keywords: dhammapada

1 พระธรรมบท พร้อมพระคาถาและเรื่องเล่า ภาค 7 (มลวรรค, ธัมมัฏฐวร, มัคควรรค, ปกิณณกวรรค,นิรยวรรค, นาควรรค) โดย พลเรือตรีรศ.ทองใบ ธีรานันทางกูร ---------------------------------------- สารบัญ บทที่ 18 มลวรรค (หน้า 6) 01. เรื่องบุตรของนายโคฆาตก์(หน้า 6) 02. เรื่องพราหมณ์คนใดคนหนึ่ง (หน้า 11) 03. เรื่องพระติสสเถระ (หน้า 13) 04. เรื่องพระโลฬุทายีเถระ (หน้า 16) 05. เรื่องกุลบุตรคนใดคนหนึ่ง (หน้า 18) 06.เรื่องภิกษุชื่อจูฬสารี(หน้า 21)


2 07. เรื่องอุบาสก 5 คน (หน้า 23) 08. เรื่องภิกษุหนุ่มชื่อติสสะ (หน้า 25) 09. เรื่องอุบาสก 5 คน (หน้า 28) 10. เรื่องเมณฑกเศรษฐี(หน้า 31) 11. เรื่องพระอุชฌายสัญญีเถระ (หน้า 35) 12. เรื่องสุภัททปริพพาชก (หน้า 36) บทที่ 19 ธัมมัฏฐวรรค (หน้า 39) 01. เรื่องมหาอ ามาตย์ผู้วินิจฉัย (หน้า 39) 02. เรื่องภิกษุฉัพพัคคีย์(หน้า 41) 03. เรื่องพระเอกุทานเถระ (หน้า 43) 04. เรื่องพระลกุณฏกภัททิยเถระ (หน้า 46) 05. เรื่องภิกษุมากรูป (หน้า 48) 06. เรื่องภิกษุชื่อหัตถกะ (หน้า 50) 07. เรื่องพราหมณ์คนใดคนหนึ่ง (หน้า 52) 08. เรื่องเดียรถีย์(หน้า 54)


3 09. เรื่องพรานเบ็ดชื่ออริยะ (หน้า 57) 10. เรื่องภิกษูมากรูป (หน้า 59) บทที่ 20 มัคควรรค (หน้า 62) 01. เรื่องภิกษุ 500 รูป (หน้า 62) 02. เรื่องภิกษุ 500 รูปอื่นอีก (หน้า 65) 03. เรื่องพระปธานกัมมิกติสสเถระ (หน้า 66) 04. เรื่องสูกรเปรต (หน้า 68) 05. เรื่องพระโปฐิลเถระ (หน้า 71) 06. เรื่องพระเถระแก่ (หน้า 73) 07. เรื่องสัทธิวิหาริกของพระสารีบุตร (หน้า 76) 08. เรื่องพ่อค้ามีทรัพย์มาก (หน้า 79) 09. เรื่องนางกีสาโคตมี(หน้า 80) 10. เรื่องนางปฏาจารา (หน้า 82) บทที่ 21 ปกิณณกวรรค (หน้า 85) 01. เรื่องบุพพกรรมของพระองค์(หน้า 85)


4 02. เรื่องกุมาริกากินไข่ไก่ (หน้า 91) 03. เรื่องภิกษุชาวนครภัททิยะ (หน้า 94) 04. เรื่องพระลกุณฏกภัททิยเถระ (หน้า 96) 05. เรื่องนายทารุสากฏิกะ (หน้า 98) 06. เรื่องภิกษุวัชชีบุตร (หน้า 105) 07. เรื่องจิตตคฤหบดี(หน้า 107) 08. เรื่องนางจูฬสุภัททา (หน้า 109) 09. เรื่องพระเถระชื่อเอกวิหารี(หน้า 114) บทที่ 22 นิรยวรรค (หน้า 116) 01. เรื่องนางปริพาชิกาชื่อสุนทรี(หน้า 116) 02. เรื่องสัตว์ผู้ถูกทุกข์เบียดเบียน (หน้า 120) 03. เรื่องภิกษุผู้อยู่ที่ฝั่งแม่น ้าวัคคุมุทา (หน้า 122) 04. เรื่องบุตรเศีรษฐีชื่อเขมกะ (หน้า 124) 05. เรื่องภิกษุว่ายาก (หน้า 127) 06. เรื่องหญิงขี ้หึง (หน้า 130)


5 07. เรื่องอาคันตุกภิกษุ(หน้า 132) 08.เรื่องนิครนถ์(หน้า 134) 09. เรื่องสาวกเดียรถีย์(หน้า 136) บทที่ 23 นาควรรค (หน้า 140) 01. เรื่องของพระองค์(หน้า 140) 02. เรื่องภิกษุผู้เคยเป็นควาญช้าง (หน้า 143) 03. เรื่องบุตรของพราหมณ์เฒ่า (หน้า 145) 04. เรื่องพระเจ้าปเสนทิโกศล (หน้า 150) 05. เรื่องสานุสามเณร (หน้า 153) 06. เรื่องช้างชื่อปาเวรกะ (หน้า 156) 07. เรื่องสัมพหุลภิกษุ(หน้า 158) 08. เรื่องมาร (หน้า 161) -----------------------------------------------


6 บทที่ 18 มลวรรค 01.เรื่องบุตรของนายโคฆาตก์ พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภบุตร ของนายโคฆาตก์(บุตรของคนเลี ้ยงโค)คนหนึ่ง ตรัสพระ ธรรมเทศนานี ้ว่า ปณฺฑุปลาโสวทานิสิ เป็นต้น สมัยหนึ่ง ในกรุงสาวัตถี มีชายผู้หนึ่งเป็นผู้ ฆ่าโค(โค ฆาตก์) มานาน 15 ปี ในทุกๆวัน เมื่อเขาฆ่าโคแล้วก็น าเนื ้อ ไปขาย และที่เหลือก็น ามาปิ ้งรับประทานกับข้าวพร้อมด้วย บุตรและภรรยา อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อเขามอบเนื ้อไว้ให้ ภรรยาจัดการท าอาหารเลี ้ยงครอบครัว แล้วเขาก็ไปอาบน ้า ที่แม่น ้า ในระหว่างที่เขาไม่อยู่นั ้น เพื่อนของเขาคนหนึ่ง มาที่บ้านแล้วขอซื ้อเนื ้อนั ้นเพื่อไปท าอาหารเลี ้ยงแขก ท าให้ วันนั ้นชายผู้ฆ่าโคไม่มีเนื ้อจะรับประทาน ตามปกติแล้วชาย ผู้ฆ่าโคนี ้จะไม่รับประทานอาหารหากไม่มีเนื ้อโค พอเขา กลับมาจากอาบน ้าและภรรยาบอกเขาว่าได้ขายเนื ้อโคที่ เตรียมไว้เพื่อท าอาหารนั ้นให้กับเพื่อนบ้านนั ้นไปแล้ว เขา จึงรีบเดินถือมีดไปที่โคตัวหนึ่งที่ยืนอยู่ที่หลังบ้าน แล้วก็ สอดมือเข้าไปในปากของโค ดึงลิ ้นของมันออกมา เอามีด


7 ตัดที่โคนลิ ้น แล้วเดินน าลิ ้นโคนั ้นไปปิ ้งที่ไฟ พอเนื ้อลิ ้นโค สุกดีแล้วก็น าไปวางในชาม เพื่อจะรับประทานกับข้าวอย่าง ที่เคยกระท ามาทุกครั้ง แต่ครั้งนี ้พอเขาเอาเนื ้อลิ ้นโคใส่เข้า ไปในปาก ลิ ้นของเขาก็ขาดตกลงมาที่ชามข้าว เขาได้รับ วิบากของกรรมทันตาเห็น เขาได้ร้ องด้วยความเจ็บปวด และคลานลงกับพื ้นบ้ าน มีเลือดไหลออกมาจากปาก ตลอดเวลา และต่อมาเขาก็ได้สิ ้นใจตาย แล้วไปเกิดใน อเวจีมหานรก ภรรยาของชายเลี ้ยงโคพร้ อมกับบุตรมองดูชะตากรรมของ สามีแล้ว ก็กลัวว่ากรรมนั ้นจะตกมาถึงบุตรด้วย จึงได้บอก ให้บุตรรีบหลบหนีไป ข้างฝ่ายบุตรก็ได้หลบหนีไปอยู่ที่เมือง ตักกสิลา และได้ศึกษาเล่าเรียนทางด้านวิชาชีพช่างทอง ต่อมาเมื่อส าเร็จการศึกษาแล้ว ก็ได้ธิดาของอาจารย์มา เป็นภรรยา และมีบุตรและธิดาด้วยกันจ านวนหนึ่ง เมื่อ พวกบุตรของเขาเติบโตแล้วก็ได้เดินทางกลับไปยังกรุงสาวัต ถี บุตรเหล่านี ้มีศรัทธาในพุทธศาสนา เห็นว่าบิดาชราแล้ว และไม่เคยท าบุญให้ทาน เพื่อเป็นเสบียงในปรโลกมาก่อน เลย ก็จึงได้ ทูลอาราธนาพระศาสดาพร้ อมด้ วยภิกษุ พระสงฆ์ฉันภัตตาหารที่บ้าน เพื่อให้บิดาได้ท าบุญให้ทาน


8 เมื่อเสร็จภัตตกิจแล้ว พระศาสดาได้ตรัสเรียกชายผู้บิดานั ้น มาแล้ว ตรัสว่า “อุบาสก ท่านเป็นคนแก่ มีสรีระแก่หง่อม เช่นกับใบไม้เหลือง เสบียงทางคือกุศล เพื่อจะไปยังปรโลก ของท่าน ยังไม่มี ท่านจงท าที่พึ่งแก่ตน จงเป็นบัณฑิต อย่าเป็นพาล” จากนั ้น พระศาสดาได้ตรัสอนุโมทนกถาว่า ปณฺฑุปลาโสว ทานิสิ ยมปรุิสาปิจ เต อปุ ฏฺ ฐิตา อยุ ฺโยคมเุข ปติฏฺ ฐติ ปาเถยฺย ปิ จ เต น วิชฺชติ ฯ โส กโรหิ ทีปมตฺตโน ขิปฺป วายม ปณฺฑิโต ภว นิทฺธนฺตมโล อนงฺคโณ ทิพฺพ อริยภูมิเมหิสิ ฯ


9 บัดนี ้ท่านเป็นดุจใบไม้เหลือง อนึ่ง บุรุษแห่งพยายม (คือ ความตาย) ปรากฏแก่ท่านแล้ว ท่านตั ้งอยู่ใกล้ปากแห่ง ความเสื่อม อนึ่ง แม้เสบียงทางของท่านก็ยังไม่มี. ท่านนั ้น จงท าที่พึ่งแก่ตน จงรีบพยายาม เป็นบัณฑิต ท่าน ก าจัดมลทินได้แล้ว ไม่มีกิเลสเพียงดังเนิน จักถึงอริยภูมิอัน เป็นทิพย์. เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง อุบาสกบรรลุโสดาปัตติผล พระ ธรรมเทศนามีประโยชน์แม้แก่หมู่ชนผู้มาประชุมกัน. บุตรเหล่านั ้น ได้กราบทูลอาราธนาพระศาสดา พร้อมด้วย ภิกษุสงฆ์ มาเสวยภัตตาหารในวันรุ่งขึ ้น และ เมื่อเสร็จภัตต กิจในวันที่สองแล้ว พระศาสดาได้ทรงแสดงอนุโมทนกถา ว่า อุปนีโตว ทานิสิ สมฺปยาโตสิ ยมสฺส สนฺติก วาโสปิจ เต นตฺถิ อนฺตรา ปาเถยฺย ปิ จ เต น วิชฺชติ ฯ


10 โส กโรหิ ทีปมตฺตโน ขิปฺป วายม ปณฺฑิโต ภว นิทฺธนฺตมโล อนงฺคโณ น ปุน ชาติชร อุเปหิสิฯ บัดนี ้ ท่านเป็ นผู้ มี วัย อันช ร าน าเ ข้ าไ ปแ ล้ ว เป็ น ผู้ เตรียมพร้อมเพื่อจะไปส านักของพระยายม อนึ่ง แม้ที่พักใน ระหว่างทางของท่านยังไม่มีอนึ่ง ถึงเสบียงทางของท่านก็ หามีไม่. ท่านนั ้นจงท าที่พึ่งแก่ตน จงรีบพยายาม จงเป็นบัณฑิต ท่านเป็นผู้มีมลทินอันก าจัดได้แล้ว ไม่มีกิเลสเพียงดังเนิน จักไม่เข้าถึงชาติชราอีก. ----------------------------------------------------------------


11 02.เรื่องพราหมณ์คนใดคนหนึ่ง พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภ พราหมณ์คนใดคนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า อนุปุพฺ เพน เมธาวี เป็นต้น วันหนึ่ง มีพราหมณ์ผู้หนึ่ง เมื่อออกไปนอกบ้านแต่เช้าตรู่ แลเห็นภิกษุหมู่หนึ่งอยู่ในหนึ่งห่มจีวร ก าลังเตรียมตัวจะ ออกไปบิณฑบาต ในที่ตรงนั ้นมีหญ้าขึ ้นและมีน ้าค้างมา จับที่ยอดหญ้า ชายจีวรของภิกษุทั ้งหลายจึงปียกน ้าค้าง ในวันรุ่งขึ ้นเขาจึงถือจอบมาจัดการถากหญ้าในบริเวณนั ้น จนเตียนหมด ในเวลาต่อมาเขาเห็นภิกษุเหล่านั ้นห่มจีวร และชายจีวรเปื ้อนฝุ่นจึงได้น าทรายมาเกลี่ยลงในบริเวณนั ้น พออีกวันหนึ่งเห็นภิกษุเหล่านั ้นขณะห่มจีวรมีเหงื่อไหลโซม กายเพราะวันนั ้นแดดร้ อนจัด เขาก็ได้มาท าซุ้มเพื่อใช้ ป้องกันแดดแก่ภิกษุเหล่านั ้น ในเวลาต่อมามีฝนตกเห็น ภิกษุเหล่านั ้นจีวรเปียกฝน ก็ได้มาสร้ างศาลาหลังหนึ่งขึ ้น ตรง ณ บริเวณนั ้น เมื่อสร้ างศาลาเสร็จแล้ว ก็ได้นิมนต์ ภิกษุสงฆ์มีพระศาสดาเป็นประมุขมาฉันภัตตาหารในศาลา นั ้น เมื่อเสร็จภัตตกิจของพระศาสดาและภิกษุสงฆ์แล้ว เขา ก็ได้กราบทูลเรื่องราวของความคิดและการกระท าของตน


12 ตั ้งแต่ต้นตามล าดับให้พระศาสดาได้ทรงทราบ และกราบ ทูลให้ทรงประทานอนุโมทนกถา พระศาสดาจึงตรัสว่า “พราหมณ์ ธรรมดาบัณฑิตทั ้งหลาย ท ากุศลอยู่คราวละ น้อยๆทุกขณะ ย่อมน ามลทินคืออกุศล ของตนออกโดย ล าดับทีเดียว” จากนั ้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี ้ว่า อนุปุพฺเพน เมธาวี โถก โถก ขเณ ขเณ กมฺมาโร รชตสฺเสว นิทฺทเม มลมตฺตโน. ผู้มีปัญญา(ท ากุศลอยู่)คราวละน้อยๆ ทุกๆขณะ โดยล าดับ พึงก าจัดมลทินของตนได้เหมือนช่างทองปัดเป่ าสนิททอง ฉะนั ้น ฯ เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง พราหมณ์บรรลุโสดาปัตติผล พระธรรมเทศนามีประโยชน์แม้แก่มหาชน. ----------------------------------------------------------------


13 03.เรื่องพระติสสเถระ พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุ รูปหนึ่งชื่อว่าติสสะ ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า อยสาว มล สมฏุ ฺ ฐาย เป็นต้น กุลบุตรชาวเมืองสาวัตถีคนหนึ่ง ได้บรรพชาอุปสมบทเป็น ภิกษุแล้ว มีชื่อว่าติสสเถระ วันหนึ่ง พระติสสเถระไปได้ผ้า เนื ้อหยาบมาผืนหนึ่งในระหว่างเข้าพรรษา เมื่อออกพรรษา ปวารณาแล้ว ท่านก็ได้น าผ้าผืนนั ้นไปมอบให้พี่สาว ข้าง พี่สาวเห็นว่าผ้าผืนนั ้นมีเนื ้อหยาบจึงได้ด าเนินการตาม กรรมวิธีที่จะท าให้เนื ้อผ้านั ้นละเอียดยิ่งขึ ้น ข้างพระติสส เถระก็พาพวกภิกษุไปพบพี่สาวเพื่อจะได้ช่วยกันตัดและเย็บ ผ้าผืนนั ้นท าเป็นจีวร เมื่อท่านได้ทราบว่าผ้าเนื ้อหยาบนั ้น พี่สาวได้ช่วยท าให้เป็นผ้าเนื ้อดีเช่นนั ้นก็มีความดีใจ และ ได้ช่วยกันกับภิกษุอื่นตัดและเย็บจีวรจนแล้วเสร็จ เมื่อจีวร แล้ วเสร็จแล้ ว ท่านก็ตั ้งใจว่าจะห่มจีวรผืนใหม่นั ้นใน วันรุ่งขึ ้น แต่ท่านได้มรณภาพลงในคืนนั ้นเอง และได้ไป เกิดเป็นเล็นมาไต่อยู่ในจีวรผืนนั ้น เมื่อภิกษุสงฆ์จะมาน า จีวรผืนนั ้นมาแบ่งกัน ตัวเล็นนั ้นก็มาวิ่งร้องไปข้างโน้นข้างนี ้ ว่า “ภิกษุเหล่านี ้จะมาแย่งจีวรของเราไป” พระศาสดาประ


14 ทั่งในพระคันธกุฎี ทรงสดับเสียงร้ องของเล็นนั ้นด้วยพระ โสตอันเป็นทิพย์ ตรัสว่า “อานนท์ เธอจงไปบอกภิกษุ เหล่านั ้นว่าอย่างเพิ่งแบ่งจีวรผืนนั ้น ให้พ้น 7 วันเสียก่อนจึง ค่อยแบ่งกัน” ซึ่งภิกษุเหล่านั ้นก็ได้ปฏิบัติตามค าแนะน า พอครบเจ็ดวัน เล็นตัวนั ้นก็ตายและได้ไปเกิดในสวรรค์ชั ้น ดุสิต ในวันที่ 8 พระศาสดาจึงมีรับสั่งให้ภิกษุทั ้งหลายแบ่ง จีวรผืนนั ้นกันได้ ต่อมาภิกษุทั ้งหลายได้ทูลถามพระศาสดาว่า เพราะเหตุใด พระองค์จึงทรงให้รอเวลาอยู่ 7 วันก่อนที่จะทรงให้ภิกษุ ทั ้งหลายน าจีวรผืนนั ้นมาแบ่งกัน พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุ ทั ้งหลาย ติสสะเกิดเป็นเล็นในจีวรของตน เมื่อพวกเธอจะ แบ่งจีวรนั ้น วิ่งร้องไปข้างโน้นทีข้างนี ้ทีว่า ภิกษุพวกนี ้แย่ง จีวรอันเป็นของเรา เมื่อพวกเธอถืออาจีวรไป เขาเกิดขัดใจ ในพวกเธอแล้วก็จะพึงเกิดในนรก เพราะเหตุนั ้น เราจึงให้ เก็บจีวรไว้ก่อน ก็บัดนี ้เขาเกิดในวิมานชั ้นดุสิตแล้ว เพราะ เหตุนั ้น เราจึงอนุญาตให้พวกเธอแบ่งจีวรกันได้” เมื่อภิกษุ ทั ้งหลายกราบทูลอีกว่า “พระเจ้าข้า ขึ ้นชื่อว่าตัณหานี ้ช่าง หยาบจริงหนอ” จึงตรัสว่า “อย่างนั ้น ภิกษุทั ้งหลาย ขึ ้นชื่อ ว่าตัณหาของสัตว์เหล่านี ้หยาบ สนิมตั ้งขึ ้นแต่เหล็ก ย่อม


15 กัดเหล็กนั ้นให้พินาศ ท าให้เป็นของใช้สอยไม่ได้ ตัณหานี ้ก็ ฉันนั ้นเหมือนกัน เกิดในภายในของสัตว์เหล่านี ้แล้ว ย่อม ให้สัตว์เหล่านี ้เกิดในอบายมีนรกเป็นต้น ให้ถึงความพินาศ” จากนั ้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี ้ว่า อยสา ว มล สมฏุ ฺ ฐาย ตทฏุ ฺ ฐาย ตเมว ขาทติ เอว อติโธนจาริน สานิ กมฺมานิ นยนฺติ ทุคฺคตึ. สนิมตั ้งขึ ้นแต่เหล็ก ครั้นตั ้งขึ ้นแต่เหล็กแล้ว ย่อมกัดเหล็ก นั่นเอง ฉันใด กรรมทั ้งหลายของตน ย่อมน าบุคคลผู้ไม่ พิจารณาปัจจัย 4 แล้วบริโภค ไปสู่ทุคติ ฉันนั ้น. เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผล ทั ้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น. ----------------------------------------------------------------


16 04.เรื่องพระโลฬุทายีเถระ พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภ พระโลฬุทายีเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า อสชฺฌายมลา มนฺตา เป็นต้น พวกอริยสาวก ในกรุงสาวัตถี เมื่อถวายทานในเวลาก่อน ภัตตกิจของภิกษุทั ้งหลายแล้ว ในเวลาหลังภัตตกิจ ก็จะน า สิ่งของทั ้งหลาย มีเนยใส น ้าผึ ้ง น ้าอ้อยและผ้าเป็นต้น ไป วัดพระเชตวัน แล้วฟังพระธรรมเทศนา เมื่อเสร็จจากฟัง พระธรรมเทศนาแล้ว ก็เดินทางกลับบ้าน ขณะเดินอยู่นั ้นก็ จะกล่าวยกย่องการแสดงธรรมของพระอัครสาวก คือ พระ สารีบุตรเถระ และพระมหาโมคคัลลานเถระ พระอุทายี เถระได้ยินค ากล่าวยกย่องชมเชยการแสดงธรรมพระอัคร สาวกทั ้งสองเช่นนั ้น ก็กล่าวว่า นี่แค่ได้ฟังพระธรรมเทศนา ของสองพระอัครสาวกก็ยังชื่นชมกันอย่างนี ้แล้ว หากได้ฟัง พระธรรมเทศนาของท่านพระโลฬุทายีบ้างจะเป็นอย่างไร บ้างหนอ เมื่อพวกอริยสาวกทั ้งหลายได้ฟังเช่นนั ้น ก็คิดว่า พระโลฬุทายีแสดงธรรมเทศนาเก่งแน่ๆ จึงได้นิมนต์ท่านให้ แสดงธรรมเทศนา พอถึงวันก าหนดท่านก็ได้ขึ ้นนั่งบน ธรรมาสน์ ก็เกิดอาการสั่น จนลืมเรื่องที่จะน ามาเทศน์


17 ท่านพยายามผลัดผ่อนเลื่อนเวลาเทศน์หลายครั้ง ตั ้งแต่ หัวค ่าจนกระทั่งถึงเวลาใกล้ รุ่ง แต่ก็เทศน์ไม่ได้ พวก ชาวบ้านหมดความอดทน จึงคว้าไม้บ้างก้อนดินบ้างไปขู่ คุกคามท่าน จนท่านกลัวลงจากธรรมาสน์วิ่งหนีไปตกที่ หลุมอุจจาระ เมื่อพระศาสดา ทรงทราบเรื่องนี ้จากภิกษุทั ้งหลายแล้ว จึง ตรัสเล่าเรื่องในอดีตชาติของพระโลฬุทายีว่า เคยเกิดเป็น สุกร ไปท้าสู้กับพระยาราชสีห์ พอถึงวันจะต่อสู้กัน สุกรได้ ลงไปคลุกตัวในอุจจาระ พอราชสีห์เห็นเช่นนั ้น ก็ได้ยอมแพ้ เพราะทนความเหม็นและความสกปรกของสุกรไม่ได้ และ พระศาสดาได้ตรัสบอกว่า ราชสีห์ในครั้งนั ้นก็คือพระสารี บุตรเถระในบัดนี ้ ส่วนสุกรในครั้งนั ้นก็คือพระโลฬุทายีใน บัดนี ้ พระศาสดา ครั้นทรงน าอดีตนิทานมาตรัสจบแล้ว ตรัส ต่อไปว่า “ภิกษุทั ้งหลาย โลฬุทายี เรียนธรรมมาน้อย และ ก็มิได้ท่องบ่นธรรมนั ้นด้วย การเล่าเรียนปริยัติอย่างใด อย่างหนึ่งแล้ว ไม่ท าการท่องจ าปริยัตินั ้น เป็นมลทินแท้” จากนั ้น พระศาสดาได้ตรัส พระธรรมบท พระคาถานี ้ว่า


18 อสชฺฌายมลา มนฺตา อนฏุ ฺ ฐานมลา ฆรา มล วณฺณสฺส โกสชฺช ปมาโท มจฺจุโน ปท ฯ มนต์ทั ้งหลาย มีอันไม่ท่องบ่นเป็นมลทิน เรือน มีความไม่ หมั่นเป็นมลทิน ความเกียจคร้ าน เป็นมลทินของผิวพรรณ ความประมาทเป็นมลทินของผู้รักษา. เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผล ทั ้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น. ---------------------------------------------------------------- 05. เรื่องกุลบุตรคนใดคนหนึ่ง พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภกุลบุตร คนใดคนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า มลิตตฺถิยา ทุจฺจริต เป็นต้น ครั้งหนึ่ง ภรรยาของของชายผู้หนึ่งประพฤตินอกใจสามี จ าเดิมแต่นั ้นมา ชายผู้นั ้นมีความละอายใจเพราะการ


19 ประพฤตินอกใจของนาง จึงไม่กล้าพบหน้าใครๆ และก็เลิก บ าเพ็ญกุศลมีการบ ารุงพระพุทธเจ้าเป็นต้น หลังจากนั ้น 2- 3 วัน ได้เข้าเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ สมควรข้างหนึ่ง เมื่อพระศาสดาตรัสว่า “อุบาสก เพราะ เหตุใด เราจึงไม่ค่อยเห็นท่าน” เขาจึงได้ทูลเรื่องที่ภรรยา ของเขามีชู้ พระศาสดาตรัสว่า “ อุบาสก แม้ในกาลก่อน เราก็ได้กล่าวแล้วว่า ขึ ้นชื่อว่าสตรีทั ้งหลาย เป็นเช่นกับ แม่น ้าเป็นต้น บัณฑิตไม่ควรท าความโกรธในสตรีเหล่านั ้น แต่ท่านจ าไม่ได้ เพราะความเป็นผู้อันภพปกปิดไว้” จากนั ้น ได้ทรงน าเรื่องราวในอดีตชาติมาตรัสว่า “ธรรมดาสตรีใน โลก เป็นเหมือนแม่น ้า หนทาง โรงดื่ม ที่พัก และบ่อน ้า เวลาย่อมไม่มีแก่สตรีเหล่านั ้น” และตรัสว่า” ก็อุบาสก ความเป็นผู้มักประพฤตินอกใจ เป็น มลทินของสตรี ความตระหนี่ เป็นมลทินของผู้ให้ ทาน อกุศลกรรม เป็นมลทินของสัตว์ทั ้งหลายในโลกนี ้และโลก หน้า เพราะอรรถว่า เป็นเครื่องยังสัตว์ให้ฉิบหาย แต่ อวิชชา เป็นมลทินอย่างยอดยิ่ง กว่ามลทินทั ้งปวง”


20 จากนั ้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี ้ว่า มลิตฺถิยา ทุจฺจริต มจฺเฉร ททโต มล มลา เว ปาปกา ธมฺมา อสฺมึ โลเก ปรมฺหิ จ ฯ ตโต มลา มลตร อวิชฺชา ปรม มล เอต มล ปหนฺตฺวาน นิมฺมลา โหถ ภิกฺขโว ฯ ความประพฤติชั่ว เป็นมลทินของสตรีความตระหนี่ เป็น มลทินของผู้ให้ ธรรมอันลามกทั ้งหลาย เป็นมลทินแล ทั ้ง ในโลกนี ้ ทั ้งในโลกหน้า . เราบอกมลทินอันยิ่งกว่ามลทินนั ้น อวิชชาเป็นมลทินอย่าง ยิ่ง ภิกษุทั ้งหลาย ท่านทั ้งหลายละมลทินนั่นได้แล้ว ย่อม เป็นผู้หมดมลทิน.


21 เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผล ทั ้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น. ----------------------------------------------------------------- 06.เร่ืองจูฬสารีภกิขุ พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภ พระภิกษุชื่อจุฬสารี ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า สุชีว อหิริเกน เป็นต้น วันหนึ่ง พระจูฬสารีกลับจากดูแลรักษาคนป่ วย ในระหว่าง ทางท่านได้พบกับพระสารีบุตรเถระและได้เล่าให้พระเถระ ฟังว่าท่านไปรักษาคนไข้มา และได้อาหารอันประณีตจาก การรักษาคนป่ วยนั ้นด้วย ท่านได้นิมนต์ให้พระสารีบุตร เถระรับอาหารนั ้นบางส่วนไปฉันด้วย พระสารีบุตรเถระไม่ พูดว่าอะไรและได้เดินจากไป ภิกษุทั ้งหลายได้กราบทูล เรื่องนี ้กับพระศาสดา และพระศาสดาได้ตรัสว่า “ภิกษุ ทั ้งหลาย ธรรมบุคคลผู้ไม่มีความละอาย ผู้คะนอง เป็นผู้ เช่นกับกา ตั ้งอยู่ในอเนสนา(การแสวงหาที่ไม่ควร) 21 อย่าง ย่อมเป็นอยู่ง่าย ส่วนบุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยหิริและ โอตตัปปะ ย่อมเป็นอยู่ยาก”


22 จากนั ้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท สองพระคาถานี ้ ว่า สุชีว อหิริเกนะ กากสูเรน ธ สินา ปกฺขนฺทินา ปคพฺเภน สงฺกิลิฏฺ เฐน ชีวิต ฯ หิริมตา จ ทุชฺชีว นิจฺจ สุจิคเวสินา อลีเนนาปคพฺเภน สุทฺธาชีเวน ปสฺสตา ฯ อันบุคคลผู้ไม่มีความละอาย กล้าเพียงดังกา มีปกติก าจัด ผู้อื่น มักแล่นไปเอาหน้าผู้คะนอง ผู้เศร้าหมอง เป็นอยู่ง่าย. ส่วนบุคคลผู้มีความละอาย ผู้แสวงหากรรมอันสะอาดเป็น นิตย์ไม่หดหู่ ไม่คะนอง มีอาชีวะหมดจด เห็นอยู่เป็นอยู่ ยาก.


23 เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผล ทั ้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น. ---------------------------------------------------------------- 07.เรื่องอุบาสกห้าคน พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภ อุบาสก 5 คน ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า โย ปาณมติมาเป ติ เป็นต้น ในกาลครั้งหนึ่ง อุบาสก 5 คนได้ไปรักษาอุโบสถศีลอยู่ที่วัด พระเชตวัน อุบาสกแต่ละคนรักษาศีลเพียง 1-2 ข้อใน 8 ข้อนั ้น คนที่รักษาศีลข้อใดก็จะบอกว่าศีลที่ตนรักษาเป็นข้อ ที่รักษายากที่สุด จึงเกิดการโต้เถียงกันขึ ้น ในที่สุด อุบาสกทั ้ง 5 คนก็ได้ไปเฝ้าพระศาสดา เพื่อหาค าตอบที่ ถูกต้อง พระศาสดาตรัสว่า “ศีลทั ้งหมด เป็นของรักษาโดย ยากทั ้งนั ้น” จากนั ้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท สามพระคาถานี ้ ว่า โย ปาณมติมาเปติ


24 มุสาวาทญฺจ ภาสติ โลโก อทินฺน อาทิยติ ปรทารญฺจ คจฺฉติ ฯ สุราเมรยปานญฺจ โย นโร อนุยุญฺชติ อิเธวะเมโส โลกสฺมึ มูล ขนติ อตฺตโน ฯ เอว โภ ปุริส ชานาหิ ปาปธมฺมา อสญฺญตา มา ต โลโภ อธมฺโม จ จิร ทุกฺขาย รนฺธยุ ฯ นระใด ย่อมยังสัตว์มีชีวิต ให้ตกล่วงไป 1 กล่าวมุสาวาท 1 ถือเอาทรัพย์ที่บุคคลอื่นไม่ให้ในโลก 1ถึงภริยาของคนอื่น1. อนึ่ง นระใด ย่อมประกอบเนืองๆ ซึ่งการดื่มสุราและเมรัย นระนี ้ ชื่อว่า ย่อมขุดซึ่งรากเหง้าของตนในโลกนี ้ทีเดียว.


25 บุรุษผู้เจริญ ท่านจงทราบอย่างนี ้ ว่า บุคคลผู้มีบาปธรรม ทั ้งหลาย ย่อมเป็นผู้ไม่ส ารวมแล้ว ความโลภและสภาพมิใช่ ธรรม จงอย่ารบกวนท่าน เพื่อความทุกข์ ตลอดกาลนาน เลย. เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง อุบาสก 5 คนนั ้น บรรลุโสดา ปัตติผล. พระธรรมเทศนา มีประโยชน์ แม้ แก่ชนผู้ มา ประชุมกัน. ---------------------------------------------------------------- 08. เรื่องภิกษุหนุ่มชื่อติสสะ พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภ พระภิกษุหนุ่มชื่อติสสะ ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า ททาติ เว ยถาสทฺธ เป็นต้น ภิกษุหนุ่มชื่อติสสะ มีนิสัยชอบต าหนิทานและการกระท า ความดีของผู้อื่น ท่านต าหนิแม้กระทั่งอริยสาวกกผู้ทานบดี อย่างเช่น อนาถบิณฑิกเศรษฐี นางวิสาขามหาอุบาสิกา และแม้กระทั่งอสทิสทานที่ถวายโดยพระเจ้าปเสนทิโกศล นอกจากนั ้นแล้ว พระหนุ่มรูปนี ้ก็ยังโอ้อวดว่าพวกญาติๆ ของท่านมีฐานะดีและมีใจบุญสุนทร์ทาน เมื่อภิกษุอื่นๆได้


26 ยินค าโอ้อวดของพระติสสะ ก็เกิดความสงสัยในข้อเท็จจริง จึงตัดสินใจที่จะไปพิสูจน์หาความจริง พวกภิกษุหนุ่มกลุ่มหนึ่ง ได้เดินทางไปพิสูจน์และสอบสวน ที่หมู่บ้านของพระติสสะ ก็ได้พบว่าครอบครัวของพระติสสะ เป็นครอบครัวยากจน เป็นแค่บุตรของยามรักษาการ ไม่มี บ้านอยู่เป็นหลักฐาน ก่อนบวชตระเวนไปกับพวกช่างไม้ แล้วไปบวช เมื่อภิกษุทั ้งหลาย กราบทูลพระศาสดาให้ทรงทราบในเรื่อง นี ้ พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุทั ้งหลาย ภิกษุชื่อว่าติสสะ นั ้น ย่อมเที่ยวโอ้อวด ในบัดนี ้เท่านั ้นหามิได้ แม้ในกาล ก่อน เธอก็ได้เป็นผู้โอ้อวดแล้ว จากนั ้นได้ทรงน าอดีตชาติ ของพระติสสะในกฏาหกชาดกมาเล่า แล้วตรัสว่า “ภิกษุ ทั ้งหลาย ก็บุคคลใด เมื่อชนเหล่าอื่นให้ซึ่งวัตถุน้อยก็ตาม มากก็ตาม เศร้ าหมองก็ตาม ประณีตก็ตาม หรือให้วัตถุ แก่ชนเหล่าอื่น แต่ไม่ให้แก่ตน ย่อมเป็นผู้เก้อเขิน ฌานก็ดี วิปัสสนาก็ดี มรรคและผลก็ดี ย่อมไม่เกิดขึ ้นแก่บุคคลนั ้น” จากนั ้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี ้ว่า ททาติ เว ยถาสทฺธ


27 ยถาปสาทน ชโน ตตฺถ โย มงฺกุโต โหติ ปเรส ปานโภชเน น โส ทิวา วา รตฺตึ วา สมาธึ อธิคจฺฉติ ฯ ยสฺส เจต สมุจฺฉินฺน มูลฆจฺฉ สมูหต ส เว ทิวา วา รตฺตึ วา สมาธึ อธิคจฺฉติ ฯ ชนย่อมให้ทานตามศรัทธา ตามความเลื่อมใสแล ชนใด ย่อมเป็นผู้เก้อเขิน ในเพราะน ้าและข้าวของชนเหล่าอื่นนั ้น ชนนั ้นย่อมไม่บรรลุสมาธิในกลางวันหรือในกลางคืน. ก็กุศลกรรมอันบุคคลใดตัดขาดแล้ว ถอนขึ ้นท าให้มีรากขาด แล้ว บุคคลนั ้นแล ย่อมบรรลุสมาธิในกลางวันหรือใน กลางคืน.


28 เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผล ทั ้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น. ---------------------------------------------------------------- 09.เรื่องอุบาสก 5 คน พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภ อุบาสก 5 คน ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า นตฺถิ ราคสโม อคฺคิ เป็นต้น ในกาลครั้งหนึ่ง อุบาสก 5 คนไปฟังธรรมของพระศาสดา ที่ วัดพระเชตวัน อุบาสกคนที่ 1 นั่งหลับ คนที่ 2 นั่งเอามือ ขีดเขียนแผ่นดิน คนที่ 3 นั่งเขย่าต้นไม้ คนที่ 4 นั่งแหงน คอดูท้องฟ้า คนที่ 5 นั่งฟังธรรมโดยเคารพ พระอานนท เถระ ซึ่งนั่งถวายงานพัดพระศาสดาอยู่นั ้น ได้แลเห็น พฤติกรรมของอุบาสกทั ้ง 5 คนนั ้นแล้ว จึงกราบทูลพระ ศาสดาว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ทรงแสดงธรรม แก่อุบาสกเหล่านี ้ ดุจหยาดฝนเม็ดใหญ่ตกลงมาจาก ฟากฟ้า แต่อุบาสกเหล่านั ้น กลับแสดงพฤติกรรมประ ลาดๆแตกต่างกัน” จากนั ้นพระเถระได้กราบทูลพฤติกรรม ของอุบาสกให้พระศาสดาทรงทราบ และได้กราบทูลถึง


29 สาเหตุที่อุบาสกเหล่านั ้นมีพฤติกรรมแตกต่างกัน พระ ศาสดาตรัสว่า อุบาสกคนที่นั่งหลับอยู่นั ้น เคยเกิดเป็นงูมา 500 ชาติ ปกติงูจะพาดหัวไว้บนขนดแล้วหลับ ก็จึงติดนิสัย ชอบหลับนั ้นมาจนถึงชาติปัจจุบัน อุบาสกคนที่ชอบเอานิ ้ว คุ้ยขี่ยแผ่นดินนั ้น เคยเกิดเป็นไส้เดือนในอดีตชาติมาแล้ว 500 ชาติ จึงได้ติดนิสัยชอบคุ้ยเขี่ยแผ่นดินมาจนถึงปัจจุบัน ชาติ อุบาสกคนที่ชอบเอามือเขย่าต้นไม้นั ้น เคยเกิดเป็นลิง มาแล้ว 500 ชาติ จึงติดนิสัยชอบเขย่าต้นไม้ มาจนถึง ปัจจุบันชาติ อุบาสกคนที่นั่งฟังธรรมโดยคารพนั ้น เคยเกิด เป็นพราหมณ์ผู้ชอบท่องมนตรามาถึง 500 ชาติ จึงติดนิสัย ชอบฟังธรรมแล้วน าไปเทียบเคียงกับมนตราที่ตนเคยท่อง บ่นมาตั ้งแต่อดีตชาติ พระอานนทเถระกราบทูลถามต่อไป ว่า พระธรรมของพระองค์ เป็นสิ่งที่ยากส าหรับทุกคนที่จะ ฟังแล้วเข้าใจหรือไม่ พระศาสดาตรัสว่า ขึ ้นอยู่กับการ อบรมบ่มนิสัยของแต่ละบุคคลมาตั ้งแต่อดีตชาติ พระ อานนทเถระกราบทูลต่อไปว่า ที่บุคคลฟังธรรมของพระ ศาสดาแล้วไม่เข้าใจเป็นเพราะมีสาเหตุอะไรมาขวางกั ้น เอาไว้ พระศาสดาตรัสว่า สิ่งที่มาขวางกั ้นเอาไว้นั ้นคือ ราคะ โทสะ และโมหะ


30 พระศาสดาตรัสกับพระอานนทเถระว่า “อานนท์ อุบาสก เหล่านั ้น อาศัยราคะ อาศัยโทสะ อาศัยโมหะ อาศัย ตัณหา จึงสามารถ ชื่อว่าไฟ เช่นกับไฟคือราคะ ไม่มี ไฟ ใด ไม่แสดงแม้ซึ่งเถ้า ย่อมไหม้สัตว์ทั ้งหลาย แท้จริง แม้ ไฟซึ่งยังกัปให้พินาศ ที่อาศัยความปรากฏแห่งพระอาทิตย์ 7 ดวง บังเกิดขึ ้น ย่อมไหม้โลก ไม่ให้วัตถุไรๆ เหลืออยู่ เลยก็จริง ถึงกระนั ้น ไฟนั ้น ย่อมไหม้ในบางคราวเท่านั ้น ชื่อว่ากาลที่ไฟคือราคะ จะไม่ไหม้ ย่อมไม่มี เพราะฉะนั ้น ไฟเสมอด้วยราคะก็ดี ผู้จับเสสอด้วยโทสะก็ดี ข่ายเสมอ ด้วยโมหะก็ดี ชื่อว่าแม่น ้าเสมอด้วยตัณหา ก็ดี ไม่มี” จากนั ้น พระศาสดา ได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี ้ว่า นตฺถิ ราคสโม อคฺคิ นตฺถิ โทสสโม คโห นตฺถิ โมหสม ชาล นตฺถิ ตณฺหาสมา นทีฯ ไฟเสมอด้วยราคะ ไม่มี ผู้จับเสมอด้วยโทสะ ไม่มี


31 ข่ายเสมอด้วยโมหะ ไม่มี แม่น ้าเสมอด้วยด้วยตัณหา ไม่มี แม่น ้าเสมอด้วยตัณหา ไม่มี. เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง อุบาสกผู้ฟังธรรมอยู่โดยเคารพ นั ้น บรรลุโสดาปัตติผล พระธรรมเทศนามีประโยชน์แม้แก่ ชนผู้ประชุมกัน. ---------------------------------------------------------------- 10.เรื่องเมณฑกเศรษฐี พระศาสดา เมื่อทรงอาศัยภัททิยนคร ประทับอยู่ในชาติยา วัน ทรงปรารภเมณฑกเศรษฐี ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า สุทสฺส วชฺชมญฺเญส เป็นต้น ในกาลครั้งหนึ่ง ในระหว่างเสด็จจาริกสู่แคว้นอังคะและ แคว้นอุตตระ พระศาสดาทรงเห็นอุปนิสัยที่จะบรรลุโสดา ปัติผลของบุคคล 6 คนเหล่านี ้ คือ 1. เมณฑกเศรษฐี 2. ภรรยาของเศรษฐี ชื่อนางจันทปทุมา 3. บุตรชื่อธนัญชัย เศรษฐี 4. หญิงสะใภ้ชื่อนางสุมนเทวี 5. หลานสาวชื่อ


32 วิสาขา 6.ทาสชื่อปุณณะ จึงเสด็จไปสู่ภัททิยนคร ประทับ อยู่ในชาติยาวัน เมณฑกเศรษฐีผู้นี ้ มีฐานะร ่ารวยมาก ที่เป็นเช่นนี ้ ในพระ คัมภีร์กล่าวว่า เป็นเพราะเมณฑกเศรษฐีได้พบรูปปั้นแพะ ทองค า ประมาณเท่าช้าง เท่าม้า และเท่าโคถึก โผล่ ขึ ้นมาจากแผ่นดินที่บริเวณหลังบ้าน ซึ่งกินบริเวณกว้างถึง 8 กรีส เพราะเหตุนี ้เศรษฐีคนนี ้จึงมีชื่อว่า เมณฑกเศรษฐี แปลว่า เศรษฐีแพะ ในพระคัมภีร์บรรยายต่อไปว่า ใน กาลแห่งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าวิปัสสี เขาได้เคย บริจาคทรัพย์สร้ างวัดถวายพระวิปัสสีพระพุทธเจ้า และ ถวายสิ่งของต่างๆ เช่น ธรรมาสน์ท าด้วยทองค าส าหรับ แสดงพระธรรมเทศนา พร้อมด้วยตั่งทองค าส าหรับก้าวขึ ้น สู่ธรรมาสน์เป็นรูปแพะทั ้ง 4 ทิศ เป็นต้น เมื่อสิ่งก่อสร้ าง ต่างๆในวัดส าเร็จแล้ว เขาก็ได้กราบทูลอาราธนาพระวิปัสสี พุทธเจ้ ามาฉันภัตตาหาร พร้ อมด้ วยภิกษุทั ้งหลาย ตลอดเวลา 4 เดือน ต่อมาในอีกอดีตชาติหนึ่ง เขาเกิด เป็นเศรษฐีในเมืองพาราณสี ในกาลครั้งหนึ่ง ได้เกิดภาวะ เศรษฐกิจตกต ่า ผู้คนอดอยากข้าวปลาอาหาร ทั่วทุกหน ทุกแห่ง วันหนึ่ง เศรษฐีได้ให้คนรับใช้ท าอาหารไว้พอดี


33 ส าหรับตนเองและบริวารรับประทาน ได้มีพระปัจเจกพุทธ เจ้าองค์หนึ่ง ซึ่งเพิ่งออกจากสมาบัติ มายืนบิณฑบาตอยู่ที่ หน้าประตูบ้าน เขาได้บริจาคอาหารทั ้งหมดทั ้งในส่วนของ ตนเองและส่วนของบริวารแด่พระปัจเจกพุทธเจ้ านั ้น เพราะผลแห่งการถวายทานแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าที่เพิ่ง ออกจากสมาบัติ ท าให้หม้อข้าวของเศรษฐี กลับมีข้าวอยู่ เต็ม และยุ้ งยางต่างๆที่ว่างเปล่าก็กลับเต็มไปด้ วย ข้าวเปลือก เมื่อเมณฑกเศรษฐี ได้ทราบข่าวว่า พระศาสดาเสด็จที่ เมืองภัททิยะมาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ก็ได้เข้าไปถวายบังคม หลังจากที่ได้ฟังธรรมจากพระศาสดาแล้ว ท่านพร้ อมด้วย บุคคลอื่นรวม 6 คน (ตามที่มีชื่อระบุข้างต้น) ก็ได้บรรลุ โสดาปัตติผล และท่านได้กราบทูลพระศาสดาว่า ใน ระหว่างทางที่ท่านเดินทางมาเฝ้าพระศาสดานั ้น ท่านได้พบ กับพวกเดียรถีย์ และพวกเดียรถีย์เหล่านี ้ได้ห้ามปรามมิให้ ท่านมา พระศาสดาจึงตรัสกับท่านเศรษฐีว่า “คฤหบดี ขึ ้น ชื่อว่าสัตว์เหล่าใดย่อมไม่เห็นโทษของตนแม้มาก ย่อมโปรย โทษของชนเหล่าอื่นแม้ไม่มีอยู่กระท าให้มี ราวกะบุคคล โปรยแกลบลงในที่นั ้น ๆ ฉะนั ้น”


34 จากนั ้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี ้ว่า สุทสฺส วชฺชมญเญส อตฺตโน ปน ทุสฺทส ปเรส หิ โส วชฺชานิ โอปุนาติ ยถา ภุส อตฺตโน ปน ฉาเทติ กลึว กิตวา สโฐ ฯ โทษของบุคคลเหล่าอื่นเห็นง่าย ฝ่ ายโทษของตนเห็นได้ยาก เพราะว่า บุคคลนั ้น ย่อมโปรยโทษของบุคคลเหล่าอื่น เหมือนบุคคลโปรยแกลบ แต่ว่าย่อมปกปิด(โทษ)ของตน เหมือนพรานปกปิดร่างกายด้วยเครื่องปกปิดฉะนั ้น. เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผล ทั ้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น. ----------------------------------------------------------------


35 11. เรื่องพระอุชฌานสัญญีเถระ พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระ เถระรูปหนึ่งชื่อ อุชฌานสัญญี ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า ปรวชฺชานุปสฺสิสฺส เป็นต้น พระอุชฌานสัญญีเถระ มักจะคอยจับผิดและพูดไม่ดีกับ ภิกษุอื่นอยู่เสมอ เช่น ภิกษุนี ้ นุ่งสบงอย่างนี ้ ภิกษุนี ้ ห่ม จีวรอย่างนี ้ เป็นต้น ภิกษุทั ้งหลายจึงได้น าเรื่องนี ้กราบทูล พระศาสดา พระศาสดาจึงตรัสว่า “ภิกษุทั ้งหลาย ภิกษุ ตั ้งอยู่ในข้อวัตร กล่าวสอนอยู่อย่างนี ้ ใครๆไม่ควรติเตียน ส่วนภิกษุใด แสวงหาโทษของชนเหล่าอื่น เพราะความมุ่ง หมายในอันกล่าวโทษ กล่าวอย่างนี ้แล้วเที่ยวไป บรรดา คุณวิเศษมีฌานเป็นต้น คุณวิเศษแม้อย่างหนึ่ง ย่อมไม่เกิด แก่ภิกษุนั ้น อาสวะเท่านั ้น ย่อมเจริญอย่างเดียว” จากนั ้น พระศาสดาตรัสพระธรรมบท พระคาถานี ้ว่า ปรวชฺชานุปสฺสิสฺส นิจฺจ อุชฌานสญฺญิโน อาสวา ตสฺส วฑฺฒนฺติ


36 อารา โส อาสวฺขย ฯ อาสวะทั ้งหลาย ย่อมเจริญแก่บุคคลนั ้น ผู้คอยดูโทษของ บุคคลอื่น ผู้มีความมุ่งหมายในอันกล่าวโทษเป็นนิตย์บุคคล นั ้น เป็นผู้ไกลจากความสิ ้นไปแห่งอาสวะ. เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผล ทั ้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ---------------------------------------------------------------- 12. เรื่องสุภัททปริพาชก พระศาสดา ผทมแล้วบนพระแท่นเป็นที่ปรินิพพาน ในสาล วัน ของเจ้ามัลละทั ้งหลาย อันเป็นที่แวะพัก ใกล้พระนคร กุสินารา ทรงปรารภปริพาชกชื่อว่า สุภัททะ ตรัสพระ ธรรมเทศนานี ้ว่า อากาเสว ปท นตฺถิ เป็นต้น สุภัททปริพพาชกผู้ นี ้ พ านักอยู่ที่เมืองกุสินารา ใน อดีตชาตินั ้น เมื่อน้องชายของเขา ถวายทานที่เกี่ยวข้อง กับข้าวกล้าในนาถึง 9 ครั้ง แต่เขามัวแต่โอเอ้ไม่ยอมถวาย ทานในช่วงแรกๆ แต่ได้มาถวายในช่วงท้าย ท าให้ในชาตินี ้ เขาไม่ได้เข้ าเฝ้าพระศาสดาในช่วงปฐมโพธิกาล และ


37 มัชฌิมโพธิกาล แต่ได้มาเข้าเฝ้าพระศาสดาในช่วงปัจฉิม โพธิกาล สุภัททปริพาชก เมื่อได้ข่าวว่าพระศาสดาจะเสด็จดับขันธป ริพพาน จึงได้เข้าเฝ้าพระศาสดา กราบทูลถามปัญหา 3 ข้อ คือ 1. รอยเท้าในอากาศ มีหรือไม่ 2. ชื่อว่าสมณะ ภายนอกแต่พุทธศาสนามีหรือไม่ และ 3. สังขารทั ้งหลาย ชื่อว่าเที่ยง มีหรือไม่ พระศาสดา จึงได้ตรัสพระธรรมบท สองพระคาถานี ้ว่า อากาเสว ปท นตฺถิ สมโณ นตฺถิ พาหิโร ปปญฺจาภิรตา ปชา นิปฺปปญฺจา ตถาคตา ฯ อากาเสว ปท นตฺถิ สมโณ นตฺถิ พาหิโร สงฺขารา สสฺสตา นตฺถิ นตฺถิ พุทฺธานมิญฺชิต ฯ


38 รอยเท้าในอากาศนั่นเทียว ไม่มีสมณะภายนอก ไม่มีหมู่ สัตว์เป็นผู้ยินดียิ่งแล้วในธรรมเครื่องเนิ่นช้า พระตถาคต ทั ้งหลาย หาธรรมเครื่องเนิ่นช้ามิได้. รอยเท้าในอากาศเทียว ไม่มีสมณะภายนอกไม่มีสังขาร ทั ้งหลาย ชื่อว่าเที่ยง ไม่มีกิเลสเครื่องหวั่นไหว ไม่มีแก่ พระพุทธเจ้าทั ้งหลาย. เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง สุภัททปริ พาชก บรรลุ อนาคามิผล พระธรรมเทศนา มีประโยชน์แม้แก่บริษัทผู้ มาประชุมกัน. -----------------------------------------------


39 บทที่ 19 ธัมมัฏฐวรรค 01.เร่ืองมหาอา มาตย์ผู้วินิจฉัย พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภมหา อ ามาตย์ผู้วินิจฉัย ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า น เตน โหติ ธมฺมฏฺ โฐ เป็นต้น ในวันหนึ่ง พระภิกษุทั ้งหลาย เที่ยวบิณฑบาตในหมู่บ้าน ใกล้ ประตูด้ านทิศอุดรของนครพาราณสี กลับจาก บิณฑบาตแล้ว จะกลับไปที่วัดพระเชตวัน เกิดฝนตกหนัก จึงได้แวะไปพักรอฝนหยุดตก ที่ศาลยุติธรรมแห่งหนึ่ง ได้ เห็นพฤติกรรมของมหาอ านาจผู้วินิจฉัยทั ้งหลาย (พวกตุลา การ หรือพวกผู้พิพากษา) รับสินบน ท าให้ผู้ผิดกลายเป็น ผู้ถูก จึงคิดว่า พวกมหาอ ามาตย์เหล่านี ้ไม่ตั ้งอยู่ธรรม แต่ พวกเรามีความส าคัญว่าเป็นผู้ท าการวินิจฉัยคดีโดยธรรม เมื่อฝนหายตกแล้ว มาถึงวัดพระเชตวัน เข้าไปถวายบังคม พระศาสดา กราบทูลสิ่งที่ได้พวกตนประสบให้พระศาสดา ทรงทราบ พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุทั ้งหลาย พวกมหา อ ามาตย์ผู้วินิจฉัย เป็นผู้ตกอยู่ในอ านาจอคติมีฉันทาคติ เป็นต้น ตัดสินคดีความโดยอ าเภอใจ ไม่ชื่อว่าเป็นผู้ตั ้งอยู่


40 ในธรรม ส่วนพวกที่ไต่สวนความผิดแล้ว ตัดสินคดีความ โดยปราศจากอคติ ตามสมควรแก่ความผิดนั่นแหละ เป็น ผู้ชื่อว่าตั ้งอยู่ในธรรม” จากนั ้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท สองพระคาถานี ้ ว่า น เตน โหติธมฺมฏฺ โฐ เยนตฺถ สหสา นเย โย จ อตฺถ อนตฺถญฺจ อุโภ นิจฺเฉยฺย ปณฺฑิโต ฯ อสาหเสน ธมฺเมน สเมน นยตี ปเร ธมฺมสฺส คุตฺโต เมธาวี ธมฺมฏฺ โฐติ ปวุจฺจติ ฯ


41 บุคคลตัดสินคดีความโดยอ าเภอใจ ผู้นั ้นไม่ชื่อว่าตั ้งอยู่ใน ธรรม ส่วนผู้ใดเป็นบัณฑิต พิจารณาทั ้งข้อถูกและข้อผิด ถึง จะตัดสินคดีความ. บัณฑิต ไม่ตัดสินคดีความโดยอ าเภอใจ แต่โดยสอดคล้อง กับหลักกฎหมาย เป็นผู้คุ้มครองกฎหมาย เรากล่าวว่า เป็น ผู้ตั ้งอยู่ในธรรม. เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริบผล ทั ้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น. ------------------------------------------------------------------- 02. เรื่องภิกษุฉัพพัคคีย์ พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุ ฉัพพัคคีย์ ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า น เตน ปณฺฑิโต โหติ เป็นต้น ในกาลครั้งหนึ่ง พระฉัพพัคคีย์(พระกลุ่ม 6 ) ได้เที่ยวท า ให้โรงฉัน ทั ้งในวัดและในบ้าน เกิดสกปรกเลอะเทอะ วัน หนึ่ง ขณะที่ภิกษุหนุ่มและสามเณรน้ อย ก าลังฉัน ภัตตาหารอยู่นั ้น พระฉัพพัคคีย์ก็ได้เข้าไปคุยโวโอ้อวดต่อ


42 หน้าภิกษุหนุ่มและสามเณรน้ อยเหล่านั ้นว่า พวกเรานี่ แหละเป็นบัณฑิต จากนั ้นก็เริ่มขวางปาสิ่งของต่างๆจนโรง ฉันเกิดความเลอะเทอะไปทั่ว ภิกษุทั ้งหลาย ไปกราบทูล เรื่องนี ้แด่พระศาสดา พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุทั ้งหลาย เราไม่เรียกคนที่พูดมาก เบียดเบียนผู้อื่นว่า เป็นบัณฑิต แต่ เราเรียกคนที่มีความเกษม ไม่มีเวร ไม่มีภัยเลยว่า เป็น บัณฑิต” จากนั ้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี ้ว่า น เตน ปณฺฑิโต โหติ ยาวตา พหุ ภาสติ เขมี อเวรี อภโย ปณฺฑิโตติ ปวุจฺจติ. บุคคลไม่ชื่อว่าเป็นบัณฑิต เพราะเหตุเพียงพูดมาก ส่วนผู้มี ความเกษม ไม่มีเวร ไม่มีภัย เรากล่าวว่า เป็นบัณฑิต. เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผล ทั ้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.


43 ------------------------------------------------------------------ 03.เรื่องพระเอกุทานเถระ พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระ ขีณาสพ (พระผู้สิ ้นกิเลส)ชื่อว่าเอกุทานเถระ ตรัสพระธรรม เทศนานี ้ว่า น ตาวตา ธมฺมธโร เป็นต้น พระเอกุทานเถระ (พระเถระมีค าอุทานบทเดียว) พ านักอยู่ ในป่ าแห่งหนึ่งองค์เดียว ท่านชอบกล่าวค าอุทานกถาบท เดียวนี ้ว่า “ความโศกทั ้งหลาย ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้มีจิต มั่นคง ไม่ประมาท เป็นมุนี ศึกษาในทางโมนปฏิบัติ ผู้ คงที่ ระงับแล้ว มีสติทุกเมื่อ” พอถึงวันอุโบสถ ท่านพระเอ กุทานเถระก็จะป่ าวประกาศให้ผู้คนทั ้งหลายมาฟังธรรมกัน แล้ว ท่านก็จะกล่าวอุทานกถาบทนี ้ และเมื่อท่านกล่าว อุทานกถาบทนี ้จบลง พวกเทวดาในป่ าก็จะส่งเสียงสาธุการ ดังสนั่นหวั่นไหว ต่อมา ในวันอุโบสถวันหนึ่ง ภิกษุทรงจ า พระไตรปิฎก 2 รูป พร้อมบริวารรูปละ 500 พากันไปยัง สถานที่ท่านพระเอกุทานเถระพ านักอยู่นั ้น พระเอกุทาน เถระได้นิมนต์พระเถระผู้ทรงพระไตรปิฎกทั ้งสองรูปนั ้น แสดงธรรม พระเถระทรงพระไตรปิฎกสองรูปนั ้นได้ถาม


44 ท่านพระเอกุทานเถระว่า ที่นี่มีคนฟังธรรมด้วยหรือ ท่าน พระเอกุทานเถระเรียนว่า มีเทวดามาฟังธรรมและจะส่ง เสียงสาธุการทุกครั้งที่การแสดงธรรมจบลง แต่พอพระทรง จ าพระไตรปิฎกทั ้งสององค์ผลัดกันแสดงธรรม เมื่อการ แสดงธรรมของแต่ละองค์จบลง ก็ไม่มีเสียงสาธุการของ เทวดาทั ้งหลายให้ได้ยิน พระทรงจ าพระไตรปิฎกั ้งสององค์ เกิดความสงสัยในค าพูดของพระเอกุทานเถระที่บอกว่าเมื่อ การแสดงธรรมจบลงก็จะมีเสียงเทวดาส่งเสียงสาธุการสนั่น หวั่นไหว แต่พระเอกุทานเถระก็ยังยืนยันอย่างแข็งขันว่า ที่ ผ่านมาเมื่อการแสดงธรรมจบลงจะมีเสียงสาธุการของ เทวดาในทุกครั้ง ดังนั ้น พระทรงจ าพระไตรปิฎกทั ้งสองรูป จึงขอให้พระเอ กุทานเถระแสดงธรรมดูบ้าง พระเอกุทานเถระจึงได้จับพัด มาบังหน้าแล้วกล่าวอุทานกถาดังข้างต้นนั ้น พอพระเอกุ ทานเถระกล่าวอุทานกถาบทนั ้นจบลง ก็มีเสียงเทวดาส่ง เสียงสาธุการดังสนั่นหวั่นไหว พระภิกษุบริวารของพระ เถระผู้ทรงจ าพระไตรปิฎกทั ้งสององค์นั ้น กล่าวหาว่าพวก เทวดาในป่ าล าเอียง จึงได้น าความขึ ้นกราบทูลพระศาสดา เมื่อเดินทางกลับมายังพระเชตวัน พระศาสดาตรัสว่า


45 “ภิกษุทั ้งหลาย เราไม่เรียกผู้เรียนมากหรือพูดมากว่า เป็นผู้ ทรงธรรม ส่วนผู้ใดเรียนคาถาแม้คาถาเดียวแล้วแทงตลอด สัจจะทั ้งหลาย ผู้นี ้ชื่อว่าเป็นผู้ทรงธรรม” จากนั ้น พระศาสดาตรัสพระธรรมบท พระคาถานี ้ว่า น ตาวตา ธมฺมธโร ยาวตา พหุ ภาสติ โย จ อปฺป ปิ สุตฺวาน ธมฺม กาเยน ปสฺสติ ส เว ธมฺมธโร โหตุ โย ธมฺม นปฺปมชฺชติ ฯ บุคคล ไม่ชื่อว่าทรงธรรม เพราะเหตุที่พูดมาก ส่วนบุคคล ใด ฟังแม้นิดหน่อย ย่อมเห็นธรรมด้วยนามกาย บุคคลใด ไม่ประมาทธรรม บุคคลนั ้นแล เป็นผู้ทรงธรรม. ------------------------------------------------------------------------


46 04.เรื่องลกุณฏกภัททิยะ พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภ พระลกุณฏกภัททิยเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า น เตน เถโร โหติ เป็นต้น วันหนึ่ง พระจ านวน 30 รูป มาเฝ้าพระศาสดา และพระ ศาสดาทรงทราบว่า พระทั ้ง 30 รูปนั ้นมุอุปนิสัยที่จะได้ ส าเร็จพระอรหัตตผล ดังนั ้น พระศาสดาจึงทรงสอบถาม พระภิกษุเหล่านั ้นว่า เห็นพระเถระรูปหนึ่งก่อนจะเข้ามาใน ห้องพระคันธกุฎีหรือไม่ เมื่อพระเหล่านั ้นกราบทูลว่าไม่เห็น พระเถระเห็นแต่สามเณรรูปหนึ่ง พระศาสดาตรัสว่า” “ภิกษุทั ้งหลาย นั่นไม่ใช่สามเณร นั่นเป็นพระเถระ” เมื่อ พระเหล่านั ้นกราบทูลว่า “องค์เล็กจัง เป็นพระเถระได้ อย่างไร” พระศาสดาจึงตรัสว่า “ภิกษุทั ้งหลาย เราไม่ เรียกว่า เถระ เพราะความเป็นคนแก่ เพราะเหตุสักว่านั่ง บนอาสนะพระเถระ ส่วนผู้ใด แทงตลอดสัจจะทั ้งหลาย แล้ว ตั ้งอยู่ในความเป็นผู้ไม่เบียดเบียนมหาชน ผู้นี ้ ชื่อว่า เป็นเถระ”


47 จากนั ้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท สองพระคาถานี ้ ว่า น เตน เถโร โหติ เยนสฺส ปลิต สิโร ปริปกฺโก วโย ตสฺส โมฆชิณฺโณติ วุจฺจติ ฯ ยมฺหิ สจฺจญฺจ ธมฺโม จ อหึสา สญฺญโม ทโม ส เว วนฺตมโล ธีโร โส เถโรติ ปวุจฺจติ ฯ บุคคล ไม่ชื่อว่าเถระ เพราะมีผมหงอกบนศีรษะ ผู้มีวัยแก่ หง่อมแล้วนั ้น เราเรียกว่า แก่เปล่า. ส่วนผู้ใด มีสัจจะ ธรรมะอหิงสา สัญญมะ และทมะ ผู้นั ้น แล ผู้มีมลทินอันคายแล้ว ผู้มีปัญญา เรากล่าวว่า เป็นพระ เถระ.


48 เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ภิกษุเหล่านั ้น บรรลุอรหัตตผล. --------------------------------------------------------------- 05.เร่ืองภกิษุมากรูป พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุ มากรูป ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า น วากฺกรณมตฺเตน เป็น ต้น ในวัดนั ้น ภิกษุหนุ่มและสามเณรน้ อย จะท าการดูแล อาจารย์ผู้บอกธรรมของตน ด้วยกิจต่างๆ เช่น การย้อมจีวร เป็นต้น พระเถระพวกหนึ่งสังเกตเห็นวัตรปฏิบัติเหล่านี ้ ก็ เกิดความริษยา และได้คิดแผนอย่างหนึ่งขึ ้นมาเพื่อจะให้ เกิดประโยชน์แก่พวกตนบ้าง โดยแผนนี ้ก็คือ พวกพระเถระ เหล่านี ้จะกราบทูลแนะน าพระศาสดาว่าให้ออกกฎว่า พวก ภิกษุหนุ่มและสามเณรน้อย แม้ ว่าจะท าวัตรปฏิบัติแก่ อาจารย์ของตนแล้ว ก็จะต้องมาขอค าแนะน าเพิ่มเติมจาก พระเถระเหล่านี ้ด้วย เมื่อพระเถระเหล่านี ้ไปกราบทูลเรื่อง นี ้แด่พระศาสดา พระศาสดาทรงทราบวัตถุประสงค์แอบ แฝงของพระเถระเหล่านั ้น ได้ตรัสว่า “เราไม่เรียกพวกเธอ ว่า คนดี เพราะเหตุสักว่าพูดจัดจ้าน ส่วนผู้ใด ตัดธรรมมี


49 ความริษยาเป็นต้นเหล่านี ้ได้แล้ว ด้วยอรหัตตมรรค ผู้นี ้ แหละชื่อว่าคนดี” พระศาสดา ได้ตรัสพระธรรมบท สองพระคาถานี ้ว่า น วากฺกรณมตฺเตน วณฺณโปกฺขรตาย วา สาธุรูโป นโร โหติ อิสฺสุกี มจฺฉรี สโฐ ฯ ยสฺส เจต สมุจฺฉินฺน มูลฆจฺฉ สมูหต ส วนฺตโทโส เมธาวี สาธุรูโปติ วุจฺจติ ฯ นระ ผู้มีความริษยา มีความตระหนี่ โอ้อวด จะชื่อว่าคนดี เพราะเหตุสักว่าท าการพูดจัดจ้าน หรือเพราะมีผิวกายงามก็ หาไม่.


50 ส่วนผู้ใด ตัดความริษยาเป็นต้นได้ขาดแล้ว ถอนขึ ้นให้ราก ขาด ผู้นั ้น มีโทสะอันคายแล้ว มีปัญญา เราเรียกว่า คนดี. เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผล ทั ้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น. -------------------------------------------------------------------- 06.เรื่องภิกษุชื่อหัตถกะ พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุ ชื่อหัตถกะ ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า น มุณฑเกน สมโณ เป็นต้น พระหัตถกะ ชอบไปท้าพวกเดียรถีย์ให้มาโต้วาทีกันกับ ท่าน ในสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง เมื่อถึงก าหนดเวลาที่นัด หมายกันนั ้น พระหัตถกะก็จะไปยังสถานที่นัดหมายกันนั ้น ก่อนเวลา แล้วคุยโอ้อวดว่า “ ดูเถิดท่านทั ้งหลาย พวก เดียรถีย์ไม่มา เพราะกลัวผม นี่แหละเป็นความแพ้ของพวก เดียรถีย์เหล่านั ้น” พระศาสดาทรงทราบพฤติกรรมของพระ หัตถกะนั ้นแล้ว ตรัสเรียกมาสอบถาม และเมื่อพระหัตถกะ ยอมรับความจริงนั ้น ตรัสว่า “เหตุไฉน เธอจึงท าอย่างนั ้น ? ด้วยว่า ผู้ท ามุสาวาทเห็นปานนั ้น จะชื่อว่าเป็นสมณะ


Click to View FlipBook Version