151 พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงเสวยพระกระยาหารมาก ทั ้งใน ส่วนที่เป็ นข้ าวและส่วนที่เป็ นกับ วันหนึ่ง พระราชา พระองค์นี ้ได้เสด็จเข้าไปถวายบังคมพระศาสดาในวัดพระเช ตวัน ขณะที่ประทั่งอยู่ ณ เบื ้องพระพักตร์ของพระศาสดา นั ้น ก็เกิดความอึดอัด ต้องพลิกพระวรกายไปมา และเกิด พระอาการโงกง่วง อยู่เกือบตลอดเวลา พระศาสดา ทอดพระเนตรเห็นเช่นนั ้น ได้ตรัสว่า “มหาบพิตร พระองค์ ยังไม่ทันได้พักผ่อน เสด็จมากระมัง?” พระราชากราบทูล ว่า “พระเจ้าข้า หลังจากบริโภคอาหารแล้ว หม่อมฉันมี ทุกข์มาก” พระศาสดาตรัสว่า “มหาบพิตร คนบริโภคมาก เกินไป ย่อมมีทุกข์อย่างนี ้” จากนั ้น พระศาสดาตรัสพระธรรมบท พระคาถานี ้ว่า มิทฺธี ยทา โหติ มหคฺฆโส จ นิทฺทายิตฺวา สมฺปริวตฺตสายี มหาวราโหว นิวาปปฏุ ฺ โฐ ปุนปฺปุน คพฺภมุเปติ มนฺโทฯ
152 ในกาลใด บุคคลเป็นผู้กินมากมักง่วง และมักนอนหลับ กระสับกระส่าย ประหนึ่งสุกรใหญ่ ที่ถูกปรนปรือด้ วย อาหารฉะนั ้น ในกาลนั ้น เขาเป็นคนมึนซึม ย่อมเข้าไปถึง ห้องร ่าไป. เมื่อตรัสพระธรรมบท พระคาถานี ้จบลงแล้ว พระศาสดาได้ ตรัสพระคาถาแสดงถึงอานิสงส์ของการรู้จักพอประมาณใน การบริโภคอาหารว่า “คนมีสติทุกเมื่อ รู้จักประมาณใน โภชนะที่ได้แล้วนั ้น ย่อมมีโรคภัยไข้เจ็บน้อย แก่ช้า อายุ ยืน” พระราชารับสั่งให้อุตตรมาณพ ซึ่งเป็นพระเจ้าหลาน จดจ าพระคาถานี ้เอาไว้ท่องเตือนพระองค์ เพื่อให้ทรงลด ปริมาณในการบริโภคลง เมื่อพระราชาปฏิบัติตามพระ คาถา ก็ทรงได้รับผลดี ทรงมีความกระปรี ้กระเปร่า มีพระ วรกายเบา ทรงมีพระเกษมส าราญ ทรงมีความใกล้ชิดกับ พระศาสดามากยิ่งขึ ้น และได้ทรงมหาทานอันยิ่งใหญ่ที่ เรียกว่า อสทิสทาน. ------------------------------------
153 05.เรื่องสานุสามเณร พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภ สามเณรชื่อสานุ ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า อิท ปุเร เป็นต้น สานุสามเณร บวชเป็นสามเณรตั ้งแต่เด็ก เมื่ออายุมากขึ ้น มีความต้องการจะสึกออกไปเป็นฆราวาส จึงไปที่บ้านและ ขอเสื ้อผ้าชุดฆราวาสที่จะสวมใส่จากโยมมารดา ข้างโยม มารดาไม่ต้องการให้สามเณรสึก และได้พยายามเกลี ้ย กล่อมให้เห็นโทษของการเป็นฆราวาส แต่สามเณรยืนกราน ว่าจะต้องสึกให้ได้ โยมมารดาจึงบอกว่าจะจัดเสื ้อผ้าให้แต่ สามเณรต้องฉันภัตตาหารให้เรียบร้ อยเสียก่อน ขณะโยม มารดาก าลังตระเตรียมอาหารอยู่นั ้นเอง นางยักษิณี ซึ่ง เคยเป็นมารดาของสานุสามเณรมาตั ้งแต่อดีตชาติ มี ความคิดที่จะยับยั ้งสามเณรไม่ให้ สึกจึงเข้ าสิงร่างของ สามเณร ท าการบิดคอสามเณร จนตาสองข้ างถลน น ้าลายไหลออกมาจากปาก ล้มลงที่พื ้นดิน โยมมารดา ออกจากครัวมาเห็นเช่นนั ้นก็ตกใจ รีบช้อนบุตรให้มานอน บนตัก ส่วนพวกเพื่อนบ้านก็มาช่วยกันเซ่นสรวงบอกกล่าว สิ่งศกัดิ์สิทธิ์ทงั้หลาย เมื่อสามเณรฟืน้คืนสติมาอีกครัง้หนึ่ง ทั ้งนางยักษิณีและโยมมารดาของสามเณรได้ ช่วยกัน
154 เตือนสติสามเณรให้มองเห็นโทษในการครองเรือน เช่น สอนว่าการเข้ามาบวชเป็นภิกษุหรือสามเณรนั ้นก็เหมือนกับ คนขึ ้นมาจากเหวได้แล้ว การสึกออกไปเป็นฆราวาสก็ เหมือนกับตกลงไปในเหวอีก คนมาบวชนั ้นก็เหมือนกับ สิ่งของที่จะถูกไฟไหม้ แต่ถูกยกหนีออกจากไฟได้ส าเร็จ การสึกออกไปเป็นฆราวาสก็ไม่ผิดอะไรกับจะเอาสิ่งของนั ้น ไปใส่ให้ไฟไหม้อีกครั้งหนึ่ง และหากสามเณรสึกออกไป เป็นฆราวาสแล้วก็จะไม่สามารถพ้นจากทุกข์ได้ ในที่สุดทั ้ง สองนางก็สามารถชี ้ชวนสามเณรได้ส าเร็จ สามเณรรับปาก ว่าจะไม่สึกออกไปเป็นฆราวาส เมื่อโยมมารดาสอบถาม อายุของสามเณรแล้วทราบว่าอายุครบบวชเป็นภิกษุได้แล้ว ก็ได้จัดแจงผ้าไตรจีวรและบาตร ให้เข้ารับการอุปสมบท เป็นภิกษุ เมื่อได้รับการอุปสมบทเป็นภิกษุจากพระศาสดาแล้ว พระ ศาสดาได้ตรัสสอนเรื่องการข่มจิตแก่ภิกษุสานุผู้บวชใหม่ว่า “ธรรมดาว่าจิตนี ้ เที่ยวจาริกไปในอารมณ์ต่างๆตลอดกาล นาน ชื่อว่าความสวัสดี ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้ไม่ข่มจิตนั ้นลง ไปได้ เพราะฉะนั ้น บุคคลจึงควรท าความเพียรในการข่ม
155 จิต เหมือนนายหัตถาจารย์ท าความพยายามในการข่มช้าง ซับมันด้วยขอฉะนั ้น” จากนั ้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี ้ว่า อิท ปุเร จิตฺตมจาริ จาริก เยนิจฺฉก ยตฺถกมฺม ยถาสุข ตทชฺชห นิคฺคหิสฺสามิ โยนิโส หตฺถึ ปภินฺน วิย องฺกุสคฺคาโห ฯ เมื่อก่อน จิตนี ้ได้เที่ยวจาริกไป ตามอาการที่ปรารถนา ตาม อารมณ์ที่ใคร่ และตามสบาย วันนี ้ เราจักข่มมันด้วยโยนิโส มนสิการ ประหนึ่งนายควาญช้าง ข่มช้างที่ซับมันฉะนั ้น. เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง การตรัสรู้ ธรรมได้มีแก่เทวดา เป็นอันมาก ผู้เข้าไปเพื่อสดับธรรมพร้อมกับพระสานุ พระคัมภีร์กล่าวถึงประวัติของพระสานุรูปนี ้ต่อไปว่า ท่าน เล่าเรียนพระไตรปิฎก และได้เป็นพระธรรมกถึกที่เชี่ยวชาญ ได้เป็นก าลังส าคัญในการเผยแพร่พระธรรมค าสอนของ
156 พระพุทธเจ้า ให้ขจรขยายไปทั่วชมพูทวีป และได้ปริพพาน เมื่อมีอายุได้ 120 ปี ---------------------------------------------------------------------- 06.เรื่องช้างชื่อปาเวรกะ พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภช้าง ชื่อปาเวรกะของพระเจ้าโกศล ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า อปฺปมาทรตา เป็นต้น ช้างต้นชื่อปเวยยกะ ของพระเจ้าปเสนทิโกศล เมื่อตอน เป็นช้างหนุ่มมีพละก าลังมาก แต่พอมีอายุชราภาพลง เรี่ยวแรงก็หมดสิ ้นไป วันหนึ่ง ช้างปเวยยกะนี ้ลงไปอาบน ้า ในสระใหญ่สระหนึ่ง เกิดติดหล่มขึ ้นฝั่งไม่ได้ เมื่อพระเจ้าป เสนทิโกศลทรงทราบ จึงมีรับสั่งให้นายควาญช้างไปช่วย ช้างออกจากหล่ม นายควาญช้างได้เดินทางไปที่จุดซึ่งช้าง นั ้นติดหล่มอยู่ ได้ใช้วิธีจ าลองเหตุการณ์ว่าอยู่ในภาวะ สงคราม ให้คนรัวกลองรบเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ข้าง ช้างปเวยยะเมื่อได้ยินเสียงกลองศึก จิตใจก็เกิดความฮึก เหิม เกิดพละก าลังมหาศาล สามารถหลุดจากหล่มขึ ้นมา บนฝั่งได้ส าเร็จ
157 เมื่อภิกษุทั ้งหลาย กราบทูลเรื่องนี ้ให้พระองค์ทราบ พระ ศาสดาตรัสว่า “ภิกษุทั ้งหลาย ช้างตัวนั ้นถอนตนขึ ้นจาก หล่มคือเปือกตมตามปกติก่อน ส่วนเธอทั ้งหลาย แล่นลง แล้วในหล่มคือกิเลส เพราะฉะนั ้น แม้เธอทั ้งหลายจงเริ่ม ตั ้งความเพียรโดยแยบคายแล้ว ถอนตนขึ ้นจากหล่มคือ กิเลสนั ้นเถิด” จากนั ้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี ้ว่า อปฺปมาทรตา โหถ สจิตฺตมนุรกฺขถ ทุคฺคา อุทฺธรถตฺตาน ปงฺเก สนฺโนว กุญฺชโร ฯ ท่านทั ้งหลายจงยินดีในความไม่ประมาท จงตามรักษาจิต ของตน จงถอนตนขึ ้นจากหล่ม ประหนึ่งช้างที่จมลงในเปือก ตม ถอนตนขึ ้นได้ฉะนั ้น. เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ภิกษุเหล่านั ้น บรรลุพระ อรหัตตผล.
158 07.เรื่องสัมพหุลภิกษุ พระศาสดา เมื่อทรงอาศัยป่ าชื่อปาลิไลยกะ ประทับอยู่ใน ไพรสณฑ์ชื่อรักขิตะ ทรงปรารภภิกษุเป็นอันมาก ตรัสพระ ธรรมเทศนานี ้ว่า สเจ ลเภถ เป็นต้น ในกาลครั้งหนึ่ง ภิกษุชาวกรุงโกสัมพี เกิดการแตกแยกกัน เป็นสองพวก พวกหนึ่งสนับสนุนพระวินัยธร อีกพวกหนึ่ง สนับสนุนพระธรรมกถึก ภิกษุทั ้งสองกลุ่มไม่ยอมปรองดอง กัน แม้พระศาสดาจะทรงสั่งสอนให้ตกลงกันโดยสงบก็ตาม ดังนั ้น พระศาสดาจึงได้ทรงปลีกพระองค์ไปประทับจ า พรรษา ณ ป่ ารักขิตวัน โดยมีช้างปาลิไลยกะท าหน้าที่เป็น พุทธอุปัฏฐาก เมื่ออกพรรษาปวารณาแล้ว พระอานนทเถระได้ไปที่ป่ า รักขิตวันนั ้น พร้อมด้วยภิกษุอีก 500 รูป พระอานนทเถระ ได้ให้ภิกษุ 500 รูปเหล่านั ้นรออยู่ข้างนอกก่อน และได้เข้า ไปเฝ้าพระศาสดาตามล าพัง เมื่อพระศาสดามีรับสั่งให้ พระอานนทเถระไปพาภิกษุ 500 รูปให้เข้ามาเฝ้าได้แล้ว ภิกษุเหล่านั ้นได้ทูลถามว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มี
159 พระภาคเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าผู้สุขุมาล และเป็นกษัตริย์ผู้ สุขุมาล พระองค์ผู้เดียวประทับยืนประทับนั่งตลอดไตรมาส ทรงท ากรรมที่ท าได้โดยยากแล้ว ผู้กระท าวัตรและวัตร ปฏิบัติก็ดี ผู้ ถวายวัตถุมีน ้าบ้ วนพระโอษฐ์ เป็ นต้ นก็ดี ชะรอยจะไม่มี” จึงตรัสว่า “ภิกษุทั ้งหลาย กิจทุกอย่าง ช้าง ชื่อปาลิไลยกะกระท าแล้วแก่เรา อันที่จริง การที่บุคคลเมื่อ ได้สหายผู้มีรูปเช่นนี ้ อยู่ร่วมกัน สมควรแล้ว เมื่อบุคคล ไม่ได้ ความเที่ยวไปคนเดียวเท่านั ้นเป็นการประเสริฐ” จากนั ้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท สามพระคาถานี ้ ว่า สเจ สเภถ นิปก สหาย สทฺธึจร สาธุวิหาริธีร อภิภุยฺย สพฺพานิ ปริสฺสยานิ จเรยฺย เตนตฺตมโน สตีมา ฯ โน เจ ลเภถ นิปก สหาย สทฺธึจร สาธุวิหาริธีร
160 ราชาว รฏฺ ฐ วิชิต ปหาย เอโก จเร มาตงฺครญฺเญว นาโค ฯ เอกสฺส จริต เสยฺโย นตฺถิ พาเล สหายตา เอโก จเร น จ ปาปานิ กยิรา อปฺโปสฺสุโก มาตงฺครญฺเญว นาโค ฯ ถ้าว่า บุคคลพึงได้สหายผู้มีปัญญาเครื่องรักษาตัว มีธรรม เครื่องอยู่อันดีไว้เป็นผู้เที่ยวไปด้วยกันไซร้เขาพึงครอบง า อันตรายทั ้งสิ ้นเสียแล้ว พึงเป็นผู้มีใจยินดี มีสติ เที่ยวไปกับ สหายนั ้น. หากว่า บุคคลไม่พึงได้สหายผู้มีปัญญาเครื่องรักษาตัว มี ธรรมเครื่องอยู่อันดี เป็นนักปราชญ์ไว้เป็นผู้เที่ยวไปด้วยกัน ไซร้เขาพึงเที่ยวไปคนเดียว เหมือนพระราชาทรงละแว่น แคว้น ที่ทรงชนะเด็ดขาดแล้ว หรือเหมือนช้างชื่อว่ามาตัง คะละโขลงช้าง เที่ยวไปในป่ าตัวเดียวฉะนั ้น.
161 ความเที่ยวไปแห่งคนเดียวประเสริฐกว่า เพราะคุณเครื่อง เป็นสหายไม่มีในชนพาล บุคคลพึงเป็นผู้ๆเดียวเที่ยวไป เหมือนช้างชื่อมาตังคะ ตัวมีความขวนขวายน้อยเที่ยวไป อยู่ในป่ าฉะนั ้น และไม่พึงท าบาปทั ้งหลาย. เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ภิกษุเหล่านั ้นแม้ทั ้ง 500 รูป บรรลุพระอรหัตตผลแล้ว. ---------------------------------------------------------------------- 08.เรื่องมาร พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ กุฎีซึ่งตั ้งอยู่ในป่ าที่ข้างป่ า หิมพานต์ ทรงปรารภมาร ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า อตฺถมฺหิ เป็นต้น ครั้งหนึ่ง ขณะที่พระศาสดาประทับอยู่ใกล้เทือกเขาหิมาลัย ทรงพบว่า ประชาชนจ านวนมากถูกเบียดเบียนด้วยการ ลงอาชญา จากกษัตริย์ผู้มิได้ตั ้งอยู่ในธรรม ทรงด าริว่า จะ เป็นไปได้ไหมที่หากพระองค์เป็นกษัตริย์จะ “ปกครอง โดยธรรม ไม่เบียดเบียนเอง ไม่ให้ผู้อื่นเบียดเบียน ไม่ชนะ เอง ไม่ให้ผู้อื่นชนะ ไม่เศร้ าโศกเอง ไม่ให้ผู้อื่นเศร้ าโศก” มารล่วงรู้ ถึงพระด าริของพระศาสดา จึงวางแผนจะชักน า
162 ให้ พระศาสดาเป็นพระราชาปกครองแผ่นดิน โดยการ เสนอแนะวิธีการต่างๆที่สามารถน ามาใช้ในการปกครอง พระศาสดาได้ตรัสกับมารนั ้นว่า “มารผู้มีบาป โอวาทของ ท่านเป็นอย่างหนึ่ง โอวาทของเราก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ท่าน และเราปรึกษาธรรมกันไม่ได้ เพราะเราสอนอย่างนี ้” จากนั ้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท สามพระคาถานี ้ ว่า อตฺถมฺหิ ชาตมฺหิ สุขา สหายา ตฏุ ฺ ฐีสขุา ยา อิตรีตเรน ปุญฺญ สุข ชีวิตสงฺขยมฺหิ สพฺพสฺส ทุกขสฺส สุข ปหาน ฯ สุขา มตฺเตยฺยตา โลเก อโถ เปตฺเตยฺยตา สุขา สุขา สามญฺญตา โลเก อโถ พฺรหฺมญฺญตา สุขา ฯ สุข ยาว ชรา สีล
163 สขุา สทฺธา ปติฏฺ ฐิตา สุโข ปญฺญาปฏิลาโภ ปาปาน อกรณ สุข ฯ เมื่อความต้องการเกิดขึ ้น สหายทั ้งหลายน าความสุขมาให้ ความยินดีด้วยปัจจัยนอกนี ้ๆ (ตามมีตามได้น าความสุขมา ให้ บุญน าความสุขมาให้ในขณะสิ ้นชีวิต การละทุกข์ทั ้งปวงได้ น าสุขมาให้. ความเป็นผู้เกื ้อกูลแก่มารดา น าความสุขมาให้ในโลก อนึ่ง ความเกื ้อกูลแก่บิดา น าความสุขมาให้ความเป็นผู้เกื ้อกูล แก่สมณะ น าความสุขมาให้ ในโลก อนึ่ง ความเป็นผู้ เกื ้อกูลแก่พรหม น าความสุขมาให้. ศีลน าความสุขมาให้ตราบเท่าชรา ศรัทธาที่ตั ้งมั่นแล้ว น า ความสุขมาให้การได้เฉพาะซึ่งปัญญา น าความสุขมาให้ การไม่ท าบาปทั ้งหลาย น าความสุขมาให้. เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง การตรัสรู้ ธรรมได้มีแก่เทวดา เป็นอันมาก.