The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

Dhammapada and its related stories

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by thongbai_thira, 2024-04-16 01:47:29

Dhammapada07

Dhammapada and its related stories

Keywords: dhammapada

101 พุทธานุสสติและได้เปล่งอุทานว่า “นโม ตสฺส”ในตอนที่มี อมนุษย์มาดึงที่ขาในคืนนั ้น พระราชากราบทูลถามพระศาสดาว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้ เจริญ พุทธานุสสติ อย่างเดียวเท่านั ้นหรือที่สามารถปกป้อง คุ้มครองอันตรายได้ ? หรือว่า ธัมมานุสสติ ก็มีอานุภาพ ในการปกป้องคุ้ มครองอันตรายได้ เหมือนกัน ?” พระ ศาสดาตรัสว่า “มหาบพิตร มิใช่จะมีแต่พุทธานุสสติเท่านั ้น ที่จักสามารถปกป้องคุ้มครองภยันตรายได้แต่ทว่ายังมีสิ่ง อื่นอีก 6 อย่างที่สามารถปกป้องภยันตรายได้อีกเหมือนกัน” จากนั ้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท หกพระคาถา เหล่านี ้ว่า สุปฺปพุทธ ปพุชฺฌนฺติ สทา โคตมสาวกา เยส ทวา จ รตฺโต จ นิจฺจ พุทฺธคตา สติฯ สุปฺปพุทธ ปพุชฺฌนฺติ


102 สทา โคตมสาวกา เยส ทวา จ รตฺโต จ นิจฺจ ธมฺมคตา สติฯ สุปฺปพุทธ ปพุชฺฌนฺติ สทา โคตมสาวกา เยส ทวา จ รตฺโต จ นิจฺจ สงฺฆคตา สติฯ สุปฺปพุทธ ปพุชฺฌนฺติ สทา โคตมสาวกา เยส ทวา จ รตฺโต จ นิจฺจ กายคตา สติฯ สุปฺปพุทธ ปพุชฺฌนฺติ สทา โคตมสาวกา เยส ทวา จ รตฺโต จ


103 อหึสาย รโต มโนฯ สุปฺปพุทธ ปพุชฺฌนฺติ สทา โคตมสาวกา เยส ทวา จ รตฺโต จ ภาวนาย รโต มโนฯ สติของชนเหล่าใดไปแล้ วในพระพุทธเจ้ าเป็ นนิตย์ทั ้ง กลางวันทั ้งกลางคืนชนเหล่านั ้น เป็นสาวกของพระโคดม ตื่นอยู่ด้วยดี ในกาลทุกเมื่อ. สติของชนเหล่าใด ไปแล้วในพระธรรมเป็นนิตย์ทั ้งกลางวัน ทั ้งกลางคืน ชนเหล่านั ้น เป็นสาวกของพระโคดมตื่นอยู่ ด้วยดี ในกาลทุกเมื่อ. สติของชนเหล่าใด ไปแล้วในพระสงฆ์เป็นนิตย์ทั ้งกลางวัน ทั ้งกลางคืน ชนเหล่านั ้น เป็นสาวกของพระโคดม ตื่นอยู่ ด้วยดี ในกาลทุกเมื่อ.


104 สติของชนเหล่าใด ไปแล้วในกายเป็นนิตย์ทั ้งกลางวันทั ้ง กลางคืน ชนเหล่านั ้น เป็นสาวกของพระโคดม ตื่นอยู่ ด้วยดี ในกาลทุกเมื่อ. ใจของชนเหล่าใด ยินดีแล้วในอันไม่เบียดเบียน ทั ้งกลางวัน ทั ้งกลางคืน ชนเหล่านั ้น เป็นสาวกของพระโคดม ตื่นอยู่ ด้วยดี ในกาลทุกเมื่อ. ใจของชนเหล่าใด ยินดีแล้ วในภาวนา ทั ้งกลางวันทั ้ง กลางคืน ชนเหล่านั ้นเป็นสาวกของพระโคดม ตื่นอยู่ด้วยดี ในกาลทุกเมื่อ. เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ทารกนั ้น บรรลุโสดาปัตติผล พร้ อมด้วยมารดาและบิดาแล้ว ต่อมา ชนแม้ทั ้งหมด บวชแล้วบรรลุอรหัตตผล พระธรรมเทศนา มีประโยชน์ แม้แก่ชนผู้มาประชุมกัน. ------------------------------------------------------------------


105 06.เรื่องภิกษุวัชชีบุตร พระศาสดา เมื่อทรงอาศัยกรุงไพศาลี ประทับอยู่ในป่ า มหาวัน ทรงปรารภภิกษุผู้เป็นโอรสของเจ้าวัชชีรูปหนึ่ง ที่ พระธรรมสังคาหกาจารย์ กล่าวหมายเอาว่า ภิกษุผู้เป็นโอรสของเจ้าวัชชีรูปหนึ่ง อยู่ในราวป่ าแห่งหนึ่ง ใกล้เมืองไพศาลี ในสมัยนั ้น ในกรุงไพศาลี มีการเล่น มหรสพเฉลิมฉลองเทศกาลตลอดคืนยังรุ่ง ครั้งนั ้น ภิกษุ นั ้น ได้ยินเสียงกึกก้องของดนตรีที่เขาตีและประโคม จึง คร ่าครวญอยู่ว่า “พวกเราผู้เดียว ย่อมอยู่ในป่ า เหมือนไม้ ที่เขาทิ ้งแล้วในป่า ในราตรีเช่นนี ้ บัดนี ้ ใครเล่า? ที่เลวกว่า พวกเรา” เทวดาผู้สิงอยู่ในป่ าแห่งนั ้น ได้ยินค าร าพึงร าพันของภิกษุ รูปนั ้นแล้ว กล่าวว่า “ท่านผู้เดียว อยู่ในป่ า เหมือนไม้ที่ เขาทิ ้งไว้ในป่ า ชนเป็นอันมากย่อมอิจฉาท่านนั ้น ราวกะว่า พวกสัตว์นรก อิจฉาชนทั ้งหลายผู้ไปสู่สวรรค์ ฉะนั ้น” เทวดานั ้น มีความต้องการจะให้ภิกษุนั ้นเกิดความสังเวชใจ อยากอยู่ในเพศบรรพชิตต่อไป ในวันรุ่งขึ ้น เข้าไปเฝ้าพระ ศาสดา กราบทูลเรื่องนี ้ให้ทรงทราบ พระศาสดา มีพระ


106 ประสงค์จะตรัสบอก ถึงความยกล าบากของการเป็น ฆราวาส และคุณความดีของการมีเพศเป็นพรรพชิต จึงตรัส พระธรรมบท สองพระคาถานี ้ว่า ทุปฺปพฺพชฺช ทุรภิรม ทุราวาสา ฆรา ทุกขา ทุกฺโข สมานส วาโส ทุกขานุปติตทฺธคู ตสฺมา น จทฺธคู สิยา น จ ทุกฺขานุปติโต สิยา. การบวชก็ยาก การยินดีในการบวชก็ยาก เรือนที่ปกครองไม่ ดี ให้เกิดทุกข์การอยู่ร่วมกับผู้เสมอกันเป็นทุกข์ ผู้เดินทางไกล ผู้ถูกทุกข์ติดตาม เพราะฉะนั ้น ไม่พึงเป็นผู้ เดินทางไกล และพึงเป็นผู้อันทุกข์ตดตาม. เมื่อจบพระธรรมเทศนา ภิกษุนั ้นเบื่อหน่ายในทุกข์ที่ พระองค์ตรัสในฐานะ 5 แล้ว ท าลายสังโยชน์ อันเป็นเบื ้อง ต ่า 5 อันเป็นส่วนเบื ้องสูง 5 บรรลุอรหัตตผลแล้ว.


107 -------------------------------------------------------------------- 07.เรื่องจิตตคฤหบดี พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตะวัน ทรงปรารภจิตต คฤหบดี ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า สทฺโธ สีเลน สมปนฺโน เป็นต้น จิตตคฤหบดี ภายหลังจากฟังธรรมของพระสารีบุตรเถระ แล้ว ก็ได้บรรลุอนาคามิผล วันหนึ่ง จิตคฤหบดี บรรทุก อาหารและสิ่งของอื่นๆลงในเกวียนจ านวน 500 เล่ม เพื่อ น าไปถวายพระศาสดาและภิกษุสงฆ์ที่วัดพระเชตวัน เมื่อ เดินทางมาด้วยความเร็ววันละ 1 โยชน์ก็ได้มาถึงกรุงสาวัต ถีภายใน 1 เดือน จากนั ้นจิตตคฤหบดีพร้ อมด้วยบริวารก็ เดินทางต่อไปที่วัดพระเชตวัน ขณะที่จิตตคฤหบดีและ บริวารก าลังเข้าไปถวายบังคมพระศาสดาอยู่นั ้น ก็ได้มี ดอกไม้หลากสีตกลงมาจากท้องฟ้าเหมือนห่าฝน จิตตคฤห บีได้พ านักอยู่ในวัดพระเชตวันเป็นเวลา 1 เดือน และได้ ถวายภัตตาหารแก่พระศาสดาและภิกษุสงฆ์ ตลอดจนให้ การเลี ้ยงดูแก่บริวารจ านวน 3000 คน และตลอดเวลานั ้น


108 เทวดาทั ้งหลายก็ได้น าอาหารและสิ่งของอื่นๆมาใส่ลงใน เกวียนจนเต็มอยู่เสมอ เมื่อถึงวันเดินทางกลับ จิตตคฤหบดีได้ขนสิ่งของทั ้งหมดใน เกวียนทุกเล่มเข้าไปเก็บไว้ในห้องๆหนึ่งในวัดพระเชตวัน เพื่อถวายแด่พระศาสดาและภิกษุสงฆ์ พวกเทวดาก็ได้น า สิ่งที่มีค่าต่างๆมาบรรจุลงจนเต็มเกวียนทุกเล่มที่ว่างเปล่า นั ้น พระอานนทเถระเห็นความร ่ารวยและลาภสักการะของ จิตตคฤหบดีมีแต่จะเพิ่มขึ ้นตลอดเวลา จึงทูลถามพระ ศาสดาว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็สักการะนี ้เกิดขึ ้นแก่ คฤหบดีนั่น แม้ผู้มาสู่ส านักของพระองค์เท่านั ้นหรือ ? หรือ แม้ว่าไปในที่อื่นก็เกิดขึ ้นเหมือนกัน ?” พระศาสดาตรัสว่า “อานนท์ เมื่อจิตตคฤหบดี นั ้น มาสู่ ส านักของเราก็ดี ไปในที่อื่นก็ดี สักการะย่อมเกิดขึ ้นทั ้งนั ้น เพราะอุบาสกนี ้ เป็นผู้มีศรัทธา เลื่อมใส สมบูรณ์ด้วยศีล อุบาสกผู้เห็นปานนี ้ ย่อมไปประเทศใดๆ ลาภสักการะย่อม เกิดแก่เขาในประเทศนั ้นๆทีเดียว” จากนั ้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี ้ว่า สทฺโธ สีเลน สมปนฺโน


109 ยโสโภคสมปปิโต ย ย ปเทส ภชติ ตตฺถ ตตฺเถว ปูชิโต ฯ ผู้มีศรัทธา สมบูรณ์ด้วยศีล เพียบพร้ อมด้วยยศ และโภคะ จะไปประเทศใดๆ ย่อมเป็นผู้อันเขาบูชาแล้ว ในประเทศ นั ้นๆทีเดียว. เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผล ทั ้งหลาย มีโสดปัตติผลเป็นต้น. ----------------------------------------------------------------- 08. เรื่องนางจูฬสุภัททา พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภธิดา ของอถาถบิณฑิกเศรษฐี ชื่อจูฬสุภัททา ตรัสสพระธรรม เทศนานี ้ว่า ทูเร สนฺโต ปกาเสนฺติ เป็นต้น ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี และอุคคเศรษฐีแห่งอุคคนคร เป็นสหายกัน และเคยไปศึกษาเล่าเรียนอยู่ในส านักของ อาจารย์คนเดียวกัน อุคคเศรษฐีมีบุตรชายในขณะที่อนาถ บิณฑิกเศรษฐีมีบุตรสาว เมื่อบุตรสาวและบตรชายของสอง


110 เศรษฐีเติบโตเป็นสาวเป็นหนุ่มกันแล้ว อุคคเศรษฐีก็ได้สู่ ขอบุตรสาวของนาถบิณฑิกเศรษฐีมาแต่งงานกับบุตรชาย ของตน เมื่อจัดงานแต่งงานกันเรียบร้อยแล้ว บุตรสาวของ อนาถบิณฑิกเศรษฐี คือ นางจูฬสุภัททา นี ้จ าต้องไปอยู่ที่ บ้านของบิดามารดาของฝ่ ายสามีในอุคคนคร อุคคเศรษฐี นับถือศาสนาของท่านนิครนถนาฏบุตรที่ จึงบางครั้งได้ นิมนต์พวกอเจลกะ (ชีเปลือย) มาที่บ้าน และได้บังคับให้ นางจูฬสุภัททาเข้าไปท าความเคารพแต่นางปฏิเสธ นางได้ เรียนมารดาของสามีว่า นางนับถือพระพุทธเจ้ าและ พระสงฆ์สาวกของพระองค์ และนางได้พรรณนาคุณของ พระพุทธเจ้าว่า “ท่านมีอินทรีย์สงบ มีใจสงบ ท่านเดินยืนเรียบร้อย มีจักษุ ทอดลง พูดพอประมาณ พวกสมณะของฉัน เป็นเช่นนั ้น. กายกรรมของท่านสะอาด วจีกรรมไม่มัวหมอง มโนกรรม หมดจดดี พวกสมณะของฉัน เป็นเช่นนั ้น. ท่านไม่มีมลทิน มีรัศมีดจุสงัข์และมกุดา บริสทุธิ์ทงั้ภายใน ภายนอก เต็ม แล้วด้วยธรรมอันหมดจดทั ้งหลาย พวกสมณะของฉันเป็น เช่นนั ้น. โลกฟูขึ ้นเพราะลาภ และฟุบลงเพราะเสื่อมลาภ ท่านผู้ ตั ้งอยู่อย่างเดียวเพราะลาภและเสื่อมลาภ พวก


111 สมณะของฉันเป็นเช่นนั ้น. โลกฟูขึ ้นเพราะยศและฟุบลง เพราะเสื่อมยศ ท่านผ็ตั ้งอยู่อย่างเดียวเพราะยศและเสื่อม ยศ พวกสมณะของฉัน เป็นเช่นนั ้น. โลกฟูขึ ้นเพราะ สรรเสริญ และฟุบลงแม้เพราะนินทา ท่านผู้สม ่าเสมอใน เพราะนินทาและสรรเสริญ พวกสมณะของฉัน เป็นเช่นนั ้น. โลกฟูขึ ้นเพราะสุข และฟุบลงแม้ เพราะทุกข์ ท่านไม่ หวั่นไหวในเพราะสุขและทุกข์ พวกสมณะของฉันเป็น เช่นนั ้น” เมื่อภรรยาของอุคคเศรษฐี ได้ ฟั งค าพรรณนาคุณของ พระพุทธเจ้าเช่นนั ้นแล้ว ก็มีความกระตือรือร้ นจะได้พบ นางยินยอมให้นางจูฬสุภัททาอาราธนาพระศาสดาและ พระสงฆ์สาวกมาที่บ้านของนางได้ นางจูฬสุภัททาจึงได้ ขึ ้นไปยืนอยู่บนปราสาทชั ้นบน หันหน้าตรงไปทางวัดพระเช ตวัน ไหว้โดยเคารพด้วยเบญจางคประดิษฐ์แล้ว ระลึกถึง พระพุทธคุณทั ้งหลาย ท าการบูชาด้วยของหอม เครื่องอบ ดอกไม้และธูป กล่าวอัญเชิญว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพเจ้านิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เพื่อฉัน เช้าในวันพรุ่งนี ้ ด้วยสัญญาณของข้าพเจ้า ขอพระศาสดา


112 จงทราบว่าเป็นผู้อันข้าพเจ้านิมนต์แล้ว” ว่าดังนี ้แล้ว ก็โยน ดอกมะลิ 8 ก า ไปในอากาศ ดอกมะลิ 8 ก านั ้นก็ได้ลอยผ่านอากาศไปที่วัดพระเชตวัน และไปหยุดอยู่เบื ้องบนพระศาสดา ขณะทรงแสดงธรรมอยู่ ในท่ามกลางบริษัท 4 เมื่อการแสดงพระธรรมเทศนาจบลง ท่านอนาถบิณฑิก เศรษฐี บิดาของนางจูฬสุภัททา เข้าไปทูลอาราธนาพระ ศาสดา เพื่อเสด็จรับอาหารบิณฑบาตที่บ้ านของท่าน เศรษฐีในวันรุ่งขึ ้น แต่พระศาสดาไม่ทรงรับค าอาราธนานั ้น ด้วยตรัสว่า พระองค์ได้รับค าอาราธนาของนางจูฬสุภัททา ไว้แล้ว อนาถบิณฑิกเศรษฐีมีความแปลกใจในพระด ารัสของพระ ศาสดา จึงกราบทูลถามว่า “นางสุภัททา อยู่ในที่ไกลใน ที่สุดประมาณ 120 โยชน์ แต่ที่นี ้มิใช่หรือ ? (จะมา อาราธนาพระองค์ได้อย่างไร)พระเจ้าข้า)” พระศาสดาตรัสว่า “เป็นความจริง คฤหบดี! ก็สัตบุรุษ ทั ้งหลาย แม้อยู่ในที่ไกล ย่อมปรากฏเหมือนยืนอยู่เฉพาะ หน้า”


113 จากนั ้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี ้ว่า ทูเร สนฺโต ปกาเสนฺติ หิมวนฺโตว ปพพโต อสนฺเตตฺถ น ทสฺสนฺติ รตตึ ขิตฺตา ยถา สรา ฯ สัตบุรุษย่อมปรากฏในที่ไกล เหมือนภูเขาหิมพานต์ส่วน อสัตบุรุษ ย่อมไม่ปรากฏในที่นี ้เหมือนลูกศรอันเขาซัด (ยิง) ไปในราตรี ฉะนั ้น. เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผล ทั ้งหลาย มีโสดาปัตตผล เป็นต้น. พอในวันรุ่งขึ ้น พระศาสดาก็ได้เสด็จไปที่บ้านของอุคค เศรษฐี บิดาของสามีของนางจูฬภัททา ในการเสด็จครั้งนี ้ พระศาสดาและภิกษุสงฆ์ประทับในเรือนยอด 500 หลัง ที่วิ สกรรมเทพบุตรเนรมิต ตามเทวบัญชาของท้าวสักกเทวราช ล่องลอยไปทางอากาศสู่จุดหมายปลายทาง เมื่อบิดา มารดาของสามีของนางจูฬสุภัททาแลเห็นความตระการตา


114 ของขบวนเสด็จของพระศาสดา ก็เกิดเกิดความประทับใจ และเข้าไปถวายบังคม และถวายภัตตาหารแด่พระศาสดา และภิกษุสงฆ์ทั ้งหลาย ติดต่อกันเป็นเวลาถึง 7 วัน ------------------------------------------------------------------ 09.เรื่องพระเถระชื่อเอกวิหารี พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตะวัน ทรงปรารภ พระเถระชื่อเอกวิหารี ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า เอกาสน เป็นต้น พระเอกวิหารีเถระ ไม่ชอบสุงสิงกับภิกษุองค์อื่นๆ ชอบอยู่ องค์เดียว จนเป็นที่ปรากฏและกล่าวขวัญในหมู่พุทธบริษัท 4 ต่อมาภิกษุทั ้งหลายกราบทูลวัตรปฏิบัติของพระเถระนี ้ แด่พระศาสดา พระศาสดาทรงประทานสาธุการว่า “สาธุ สาธุ” แล้วทรงสั่งสอนว่า “ธรรมดาภิกษุ พึงเป็นผู้สงัด” จากนั ้น พระศาสดาได้ตรัส พระธรรมบท พระคาถานี ้ว่า เอกาสน เอกเสยฺย เอโก จรมตนฺทิโต เอโก ทมยมตฺตาน


115 วนนฺเต รมิโต สิยา ฯ ภิกษุพึงเสพที่นั่งคนเดียว ที่นอนคนเดียว พึงเป็นผู้เดียว ไม่ เกียจคร้านเที่ยวไป เป็นผู้เดียว ทรมานตน เป็นผู้ยินดียิ่งใน ราวป่ า. เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ภิกษุเป็นอันมาก บรรลุอริยผล ทั ้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ตั ้งแต่นั ้นมา มหาชน ปรารถนาการอยู่คนเดียว. -----------------------------------------------


116 บทที่ 22 นิรยวรรค 01.เรื่องนางปริพาชิกาชื่อสุนทรี พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภนาง ปริพาชิกาชื่อสุนทรี ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า อภตวาที เป็นต้น เมื่อผู้คนที่หันมานับถือพระศาสดามีจ านวนเพิ่มมากขึ ้นๆ พวกอัญญเดียรถีร์(ผู้ถือศาสนาอื่น)พบว่าศาสนิกชนของ ฝ่ายตนได้ลดจ านวนลงเรื่อยๆ ดังนั ้น พวกอัญญเดียรถีย์จึง มีความอิจฉาริษยาในพระศาสดา และพวกเขายังกลัวด้วย ว่าสถานการณ์คงจะเลวร้ ายลงเรื่อยๆหากว่าพวกเขาไม่ท า อะไรสักอย่างเพื่อท าลายชื่อเสียงและเกียรติภูมิของพระ ศาสดา เพราะฉะนั ้น พวกเขาจึงส่งคนไปเชิญนางสุนทรีปริ พาชิกามาพบและปรึกษากับนางให้ใช้ความงามและความ ฉลาดของนางเป็นเครื่องมือกล่าวโทษเพื่อท าลายชื่อเสียง และเกียรติภูมิของพระสมณโคดม ท าให้มหาชนหลงเชื่อ ก็ จะมีผลท าลายลาภสักการะของพระสมณโคดมได้ในที่สุด นางสุนทรีเข้าใจสิ่งที่พวกอัญญเดียรถีย์คาดหวังจากนาง เป็นอย่างดี ดังนั ้น ในตอนเย็น นางก็จะท าทีเดินมุ่ง


117 หน้าไปทางวัดพระเชตวัน เมื่อมีใครถามว่านางจะไปไหน นางก็จะตอบว่า “ฉันก าลังจะไปส านักพระสมณโคดม ฉัน จะอยู่ในพระคันธกุฏีเดียวกันกับพระสมณโคดมทั ้งคืน” หลังจากนั ้น นางก็จะไปพักอยู่ที่ส านักของพวกอัญญ เดียรถีย์ พอถึงรุ่งเช้าในวันรุ่งขึ ้น นางก็ท าทีว่าจะเดินกลับ บ้าน และหากมีใครถามว่าไปไหนมา นางก็จะตอบว่า “ฉัน เพิ่งกลับจากพระคันธุฎี หลังจากที่เมื่อคืนนี ้ได้ไปมีความสุข ทางเพศกับพระสมณโคดมมา” นางท าอยู่อย่างนี ้เป็นเวลา 2 -3 วัน พอในวันที่ 4 พวกอัญญเดียรถีย์ก็ได้ไปจ้างพวก นักเลงให้ท าการสังหารชีวิตนางสุนทรีแล้วหมกศพของนาง ไว้ ที่กองขยะดอกไม้ ใกล้ วัดพระเชตวัน ในวันรุ่ งขึ ้น พวกอัญญเดียรถีย์ก็ได้ปล่อยข่าวว่านางสุนทรีปริพาชิกา หายตัวไป และได้น าความขึ ้นกราบทูลพระราชาพร้ อมแจ้ง เบาะแสว่านางไปที่วัดพระเชตะวันในช่วง 3 วันที่ผ่านมา พระราชาทรงอนุญาตให้ท าการตรวจค้นตามที่ต่างๆได้ ตามที่ต้องการ เมื่อคนของพวกอัญญเดียรถีย์ออกไปค้นหา ก็ได้พบศพของนางสุนทรีหมกอยู่ในกองขยะดอกไม้ใกล้วัด พระเชตวัน จึงได้น าศพนางไปที่พระราชวัง แล้วกราบทูล พระราชาว่า สาวกของพระสมณโคดมเป็นผู้ฆ่านางสุนทรี


118 เพื่อปกปิ ดเรื่องที่นางมีเพศสัมพันธ์กับพระสมณโคดม พระราชาตรัสตอบว่า หากเป็นเช่นนั ้นก็ขอให้แห่ศพนางไป ประจานให้ผู้คนทั ้งหลายได้รู้ โดยทั่วกัน ดังนั ้น พวกอัญญ เดียรถีย์ก็จึงแห่ศพไปประจานตามที่ต่างๆจนทั่วเมือง โดย ได้ประกาศว่า “ขอท่านทั ้งหลาย จงดูการกระท าของพวก สมณสักยบุตรเถิด” จากนั ้นก็เที่ยวชี ้หน้าด่าว่าพระภิกษุที่ พวกตนพบในเมืองบ้าง นอกเมืองบ้าง ในป่ าบ้าง ภิกษุ ทั ้งหลายได้น าความนี ้ขึ ้นกราบทูลพระศาสดา พระศาสดา ตรัสว่า “ถ้าอย่างนั ้น แม้พวกเธอก็จงกล่าวค าเหล่านี ้พูด ตอบโต้คนเหล่านั ้นบ้าง” จากนั ้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี ้ว่า อภูตวาที นิรย อุเปติ โย วาปิ กตฺวา น กโรมิจฺจาห อุโภปิ เต เปจฺจ สมา ภวนฺติ นิหีนกมฺมา มนุชา ปรตฺถ ฯ


119 ผู้มักพูดไม่จริง ย่อมเข้าถึงนรก หรือแม้ผู้ใดท าแล้ว กล่าว ว่า ข้าพเจ้ามิได้ท าชนแม้ทั ้งสองนั ้น เป็นมนุษย์มีกรรมเลว ทราม ละไปในโลกอื่นแล้ว ย่อมเป็นผู้เสมอกัน. เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผล ทั ้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น. ต่อมา พระราชาทรงส่งราชบุรุษออกติดตามหาตัวฆาตกรที่ สังหารโหดนางสุนทรี เมื่อท าการสืบสวนในทางลับแล้ว ก็ พบว่าพวกฆาตรกรที่สังหารนางสุนทรีคือพวกนักเลงสุรา (พวกขี ้เหล้า) เมื่อท าการจับกุมนักเลงสุราเหล่านี ้แล้วก็ได้ ตัวไปถวายพระราชา เมื่อถูกสอบสวนพวกเขาก็ได้ รับ สารภาพว่าถูกว่าจ้างโดยพวกอัญญเดียรถีย์ให้ฆ่านางสุนทรี แล้วน าศพของนางไปซุกไว้ที่กองขยะดอกไม้ใกล้วัดพระเช ตวัน พระราชาจึงมีรับสั่งให้พวกฆาตกรเหล่านี ้ตระเวนไป ร้ องป่ าวประกาศจนทั่วเมืองว่า “นางสุนทรีนี ้ ถูกพวก ข้าพเจ้าผู้ใคร่จะใส่ร้ ายพระสมณโคดมฆ่า โทษของพระ สาวกของพระสมณโคดมไม่มี เป็นโทษของพวกข้าพเจ้า ฝ่ายเดียว” ผู้คนที่เคยหลงเชื่อต่างก็ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ทั ้ง พวกเดียรถีย์และพวกฆาตกรต่างได้รับโทษทัณฑ์ทางอาญา


120 ในข้ อหาฆ่าคน จ าเดิมแต่นั ้นมา เกียรติภูมิและลาภ สักการะของพระศาสดาและพระสาวกทั ้งหลายยิ่งเพิ่มพูน มากขึ ้นกว่าเก่า. ------------------------------------------------------------------ 02.เร่ืองสัตว์ผู้ถูกทุกข์เบียดเบียน พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภสัตว์ ทั ้งหลายผู้อันอานุภาพแห่งผลทุจริตเบียดเบียน ตรัสพระ ธรรมเทศนานี ้ว่า กาสาวกัณฐา เป็นต้น ในกาลครั้งหนึ่ง ขณะที่พระมหาโมคคัลลานเถระเดินลงมา จากเขาคิชฌกูฏ พร้ อมด้วยพระลักขณเถระ เห็นร่างของ เหล่าสัตว์นรกมีเปรตผู้มีแต่ร่างกระดูกเป็นต้น จึงท าการยิ ้ม แย้ม เมื่อพระลักขณเถระได้ถามถึงสาเหตุของการท ายิ ้ม แย้มนั ้น ท่านกล่าวว่าอย่าเพิ่งมาถามตอนนี ้ ให้ไปถามใน ตอนที่เข้าเฝ้าพระศาสดา เมื่อถึงส านักของพระศาสดาแล้ว พระมหาโมคคัลลานะได้ บอกกับพระลักขณเถระว่า นอกจากท่านจะเห็นสัตว์นรกแล้ว ท่านก็ยังเห็นภิกษุ 5 รูปมี ร่างกายถูกไฟไหม้ พระศาสดาเมื่อทรงสดับเรื่องพระภิกษุ 5 รูปถูกไฟนรกแผดเผานั ้นแล้ว ได้ตรัสบอกว่า พระภิกษุ


121 เหล่านั ้นเคยบวชในศาสนาของพระกัสสปพุทธเจ้า เป็นผู้ ปฏิบัติตนไม่เหมาะสม เพราะกรรมชั่วนั ้นเองจึงได้ไปบังเกิด ในนรก จากนั ้นพระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี ้ว่า กาสาวกณฺฐา พหโว ปาปธมฺมา อสญฺญตา ปาปา ปาเปหิ กมฺเมหิ นิรย เต อุปปชฺชเร ฯ ชนเป็นอันมาก มีคอพันด้วยผ้ากาสาวะเป็นผู้มีธรรมลามก ไม่ส ารวม ชนผู้ลามกเหล่านั ้น ย่อมเข้าถึงนรกเพราะกรรม ลามกทั ้งหลาย. เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผล ทั ้งหลาย มีโสดาปัตติผล. ------------------------------------------------------------------


122 03.เร่ืองภกิษุผู้อยู่ที่ฝั่ งแม่น ้าชื่อวัคคุมุทา พระศาสดา เมื่อเสด็จอาศัยเมืองไพศาลี ประทับอยู่ในมหา วัน ทรงปรารภภิกษุผู้อยู่ที่ฝั่งแม่น ้าชื่อวัคคุมุทา ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า เสยฺโย อโยคุโฬ เป็นต้น ในกาลครั้งหนึ่ง ได้เกิดข้าวยากหมากแพงขึ ้นในแคว้นวัชชี ภิกษุทั ้งหลายผู้อยู่ที่ฝั่งแม่น ้าวัคคุมุทา ต้องการจะมีอาหาร ขบฉันอย่างพอเพียง จึงได้อวดอ้างอุตตริมนุษยธรรมว่า พวกตนได้ ส าเร็จมรรคผล พวกชาวบ้ านเชื่อว่าภิกษุ เหล่านั ้นบรรลุมรรคผลจริงๆ จึงได้ถวายภัตตาหารเป็น จ านวนมาก แก่ภิกษุเหล่านั ้นเ เมื่อออกพรรษปวารณาแล้ว ภิกษุทั ้งหลายจากทั่วประเทศได้ ดินทางไปเข้ าเฝ้าพระ ศาสดา พวกภิกษุจากฝั่งแม่น ้าวัคคุมุทาก็ไปเฝ้าพระศาสดา เช่นเดียวกัน ภิกษุเหล่านี ้มีร่างกายอ้วนท้วนแข็งแรงใน ขณะที่ภิกษุจากที่อื่นๆมีร่างการซูบซีดผอมโซ พระศาสดา ได้ตรัสถามภิกษุทั ้งหลายถึงชีวิตและความเป็นอยู่ของแต่ละ รูปในช่วงเข้าพรรษา เมื่อมาถึงพวกภิกษุจากฝั่งแม่น ้าวัคคุ มุทา พระศาสดาได้ตรัสถามถึงปัญหาของอาหารการขบฉัน ว่ามีความล าบากหรือไม่ พระเหล่านี ้ได้กราบทูลว่าพวกตน


123 ไม่มีความล าบากในเรื่องของอาหารและการขบฉันต่อย่าง ใด พระศาสดาได้ตรัสถามว่า เพราะเหตุใดพระเหล่านี ้จึงไม่มี ปัญหาในเรื่องอาหารและการขบฉันในระหว่างพรรษา พระ เหล่านี ้กราบทูลว่าที่มีอาหารและของขบฉันอย่างเพียงพอก็ เพราะพวกตนอวดอ้ างว่าได้บรรลุมรรคผลจึงท าให้ ประชาชนมีความเลื่อมใสน าภัตตาหารไปถวายเป็นจ านวน มาก พระศาสดาตรัสถามว่า ได้บรรลุฌาน มรรค หรือผล ใดๆหรือไม่ เมื่อพระเหล่านี ้ปฏิเสธ พระศาสดาจึงได้ทรงติ เตียนว่าเป็นการกระท าที่เห็นแก่ปากแก่ท้อง และได้ตรัส พระธรรมบท พระคาถานี ้ว่า เสยฺโย อโยคุโฬ ภุตฺโต ตตฺโต อคฺคิสิขูปโม ยญฺเจ ภุญฺเชยฺย ทุสฺสีโล รฏฺ ฐปิณฺฑ อสญฺญโตฯ ก้อนเหล็กอันร้ อนประหนึ่งเปลวไฟ ภิกษุบริโภค ยังดีกว่า ภิกษุผู้ทุศีล ไม่ส ารวม บริโภคก้อนข้าว ของชาวแว่นแคว้น


124 จะประเสริฐอะไร. เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผล ทั ้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น. ----------------------------------------------------------------- 04. เรื่องบุตรเศรษฐีชื่อเขมกะ พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภบุตร เศรษฐีชื่อเขมกะ ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า จตฺตาริ ฐานา นิ เป็นต้น นายเขมกะ นอกจากจะมีชาติตระกูลดี ก็ยังเป็นชายหนุ่ม รูปหล่อ เป็นที่ถูกตาต้องใจของบรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ ทั ้งหลาย ซึ่งแต่อนงค์นางต่างยินยอมพร้ อมใจพลีร่างมี เพศสัมพันธ์กับนายเขมะคนนี ้ทั ้งนั ้น นายเขมกะเองก็ชอบ เรื่องแบบนี ้ด้วย จึงได้ประกอบกิจกรรมที่เรียกว่า “ปรทารกร รม” (เป็นชู้กับภรรยาของผู้อื่น) อยู่เป็นอาจิณ พวกราชบุรุษ เคยจับนายเขมะในข้อหาเป็นชู้กับภรรยาของคนอื่นและน า ตัวไปถวายเจ้าปเสนทิโกศลถึง 3 ครั้ง แต่พระราชามีรับสั่ง ให้ปล่อยตัวไปทุกครั้ง เพราะว่านายเขมะผู้นี ้เป็นหลานของ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เมื่อท่านเศรษฐีทราบเรื่อง ก็ได้


125 น าตัวนายเขมกะเข้าเฝ้าพระศาสดา และกราบทูลว่า “ข้า แต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์โปรดแสดงธรรมแก่นายเขม กะนี ้” พระศาสดาทรงแสดง สังเวคกถา (ค าที่ชวนให้เกิดความ สลดใจ) และเมื่อจะทรงแสดงโทษในการเสพภรรยาของคน อื่น ได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี ้ว่า จตฺตาริ ฐานานิ นโร ปมตฺโต อาปชฺชตี ปรทารูปเสวี อปุญฺญลาภ นนิกามเสยฺย นินท ตติย นิรย จตุตฺถ อปุญฺญลาโภ จ คตี จ ปาปิกา ภีตสฺส ภีตาย รตี จ โถกิกา ราชา จ ทณฺฑ ครุก ปเณติ ตสฺมา นโร ปรทาร น เสเว. คนประมาท ท าชู้กับภริยาของผู้อื่น ย่อมถึงฐานะ 4 อย่าง คือ 1) ไม่ได้บุญ 2) นอนไม่เต็มตา 3) ถูกนินทา 4)ตายไป


126 ตกนรก นอกจากไม่ได้บุญและมีทุคคติเป็นที่ไปดังกล่าว ข้างต้นแล้ว ทั ้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงก็ไม่มีความสุขมากนัก เนื่องจากยังความหวาดระแวงว่าจะถูกจับได้ตลอดเวลา อีก ทั ้งยังจะถูกลงโทษอย่างหนักทางกฎหมายจากฝ่ าย บ้านเมืองอีกด้วย เพราะฉะนั ้น ก็ไม่ควรท าชู้กับภริยาของ ผู้อื่น (ที่เรียกในภาษาบาลีว่า ปรทารกรรม) เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง นายเขมกะ บรรลุโสดาปัตติผล ตั ้งแต่นั ้นมา มหาชนนอนตาหลับ. พระคัมภีร์ยังได้เล่าถึงบุรพกรรมของนายเขมะว่า ในสมัย ของพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะนั ้น นายเขมะเป็น นักมวยที่เก่งที่สุด และมีความเข้มแข็งมาก ได้ยกธงทอง 2 แผ่นขึ ้นไว้ที่สถูปทองค าของพระกัสสปพุทธเจ้า แล้วตั ้ง ความปรารถนาว่า “เว้นหญิงที่เป็นญาติสาโลหิตเสีย หญิง ที่เหลือเห็นเราแล้วจงก าหนัด” (ฐเปตฺวา ญาติสาโลหิติตฺถิ โย อวเสสา ม ทิสฺวา รชนฺตุ ) เพราะฉะนั ้น เมื่อเขาไปเกิด ในภพชาติใดก็ตาม หญิงคนใดได้เห็นเขาแล้ว หญิงคนนั ้น ก็จะเกิดความหลงใหลในความมีเสน่ห์ของเขา จนคุมสติ คุมอารมณ์อยู่มิได้


127 (หมายเหตุ ค าอธิษฐานของนายเขมกะที่เป็นภาษาบาลีว่า ฐเปตฺวา ญาติสาโลหิติตฺถิโย อวเสสา ม ทิสฺวา รชนฺตุ (อ่านว่า ถะเปดตะวา ยาติสาโลหิติดถิโย อะวะเสสา มัง ทิดสะหวา ระชันตุ) นี ้ได้กลายเป็นมนต์สร้างเสน่ห์วิเศษ ที่ พวกหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่ต้องการสร้ างเสน่ห์ให้แก่ตัวเอง น าไปท่องบ่นภาวนา) ------------------------------------------- 05. เรื่องภิกษุว่ายาก พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุ ผู้ว่ายากรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า กุโส ยถา เป็น ต้น ในกาลครั้งหนึ่ง ภิกษุรูปหนึ่ง ดึงหญ้าต้นหนึ่งขาดโดยไม่ เจตนา เมื่อเกิดความสงสัยว่าจะเป็นอาบัติหรือไม่ จึงไป ถามภิกษุอีกรูปหนึ่ง ซึ่งก็ได้รับค าตอบจากภิกษุหัวดื ้อว่า ยากรูปนี ้ว่า “การดึงต้ นหญ้ าให้ ขาดนี ้ เป็นความผิด เล็กๆน้อยๆเท่านั ้น แค่ท่านแสดงอาบัติเท่านั ้น ก็สามารถ พ้นจากอาบัตินี ้ได้ ท่านอย่าได้วิตกกังวลไปเลย” พอพูด จบ พระรูปที่อธิบายนั ้นก็เอาสองมือถอนหญ้าเพื่อเป็นการ


128 พิสูจน์ความคิดของตนเองว่าการถอนหญ้าเป็นความผิด เพียงเล็กน้อยเท่านั ้น ภิกษุทั ้งหลายได้น าความขึ ้นกราบทูลพระศาสดา พระ ศาสดาจึงตรัสพระธรรมบท สามพระคาถานี ้ว่า กุโส ยถา ทุคฺคหิโต หตฺถเมวานุกนฺตติ สามญฺญ ทปุปฺรามฏฺ ฐ นิรยายูปกฑฺฒติ ฯ ยงฺกิญฺจิ สิถิล กมฺม สงฺกิลิฏฺ ฐญฺจ ย วต สงฺกสฺสร พฺรหฺมจริย น ต โหติ มหปฺผล ฯ กยิรา เจ กยิราเถน ทฬฺหเมน ปรกฺกเม สิถิโล หิ ปริพฺพาโช


129 ภิยฺโย อากิรเต รช ฯ หญ้าคาที่บุคคลจับไม่ดีย่อมตามบาดมือนั่นเอง ฉันใด คุณ เครื่องสมณะ ที่บุคคลลูบคล าไม่ดีย่อมคร่าเขาไปในนรก ฉันนั ้น. การงานอย่างใดอย่างหนึ่งที่ย่อหย่อน วัตรใดที่เศร้ าหมอง พรหมจรรย์ที่ระลึกด้วยความรังเกียจ กรรมทั ้ 3 อย่างนี ้ ย่อมไม่มีผลมาก. หากว่าบุคคลพึงท ากรรมใด ควรท ากรรมนั ้นจริง ควรบาก บั่นท ากรรมนั ้นให้มั่น เพราะว่าสมณธรรมเครื่องละเว้นที่ย่อ หย่อนยิ่งเกลี่ยธุลีลง. เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผล ทั ้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ภิกษุแม้นั ้น ด ารงอยู่ใน ความสังวรแล้ว ภายหลังเจริญวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตต ผล. -----------------------------------------------------------------


130 06. เรื่องหญิงขี้หึง พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภหญิง ขี ้หึง ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า อกด เป็นต้น ในกาลครั้งหนึ่ง หญิงผู้หนึ่งในกรุงสาวัตถี เป็นหญิงขี ้หึง อย่างรุ นแรง วันหนึ่ง นางมีความหึงหวงที่สามีมี เพศสัมพันธ์กับหญิงคนรับใช้ ดังนั ้น ในวันหนึ่ง จึงจับหญิง รับใช้นั ้นมามัดมือมัดเท้า ตัดหูและตัดจมูก แล้วกักขังไว้ใน ห้องว่างห้องหนึ่ง ปิดประตูอย่างแน่นหนา แล้วชวนสามีไป ฟังธรรมที่วัดพระเชตวัน หลังจากที่หญิงนี ้กับสามีคล้อย หลังไปไม่นาน ก็มีพวกญาติๆของหญิงรับใช้นี ้มาที่บ้าน และพบว่าหญิงรับใช้นี ้ถูกผูกมัดและกักขังอยู่ในห้อง ก็ได้ ช่วยกันพังประตูเข้าไป ช่วยกันแก้มัด พาออกมาจากห้อง นั ้น แล้วก็ได้พากันไปที่วัดพระเชตวัน ในช่วงเวลาพอดีกับ ที่พระศาสดาก าลังทรงแสดงธรรมอยู่ หญิงรับใช้นั ้นได้ กราบทูลพระศาสดาถึงเรื่องที่นายสาวของนางได้ก่อกรรม ท าเข็ญกับนางทุกอย่าง พระศาสดา ทรงสดับค าของหญิง รับใช้นั ้นแล้ว ตรัสว่า “ขึ ้นชื่อว่าทุจริต แม้เพียงเล็กน้อย


131 บุคคลไม่ควรท า ด้วยความส าคัญว่า ชนเหล่าอื่นย่อมไม่รู้ การกระท านี ้ของเรา ส่วนสุจริตนั่นแหละ เมื่อคนอื่นแม้ไม่รู้ ก็ควรท า เพราะขึ ้นชื่อว่าทุจริต แม้บุคคลปกปิดท า ย่อมท า การตามเผาผลาญในภายหลัง ส่วนสุจริตย่อมยังความ ปราโมทย์อย่างเดียวให้เกิดขึ ้น” จากนั ้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี ้ว่า อกต ทุกฺกต เสยฺโย ปจฺฉา ตปฺปติ ทุกฺกฏ กตญฺจ สุกต เสยฺโย ย กตฺวา นานุตปฺปติ ฯ กรรมชั่ว ไม่ท าเสียเลยดีกว่า เพราะกรรมชั่ว ย่อมเผา ผลาญในภายหลัง ส่วนบุคคลท ากรรมใดแล้ว ไม่ตาม เดือดร้อน กรรมนั ้น เป็นกรรมดี อันบุคคลท าแล้วดีกว่า. เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง อุบาสกและหญิงนั ้น บรรลุ โสดาปัตติผล ชนทั ้งหลายปลดปล่อยหญิงรับใช้นั ้นให้เป็น ไทย และท าให้เป็นหญิงมีปกติประพฤติธรรม.


132 07.เรื่องอาคันตุกภิกษุ พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุ ผู้อาคันตุกะหลายรูป ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า นคร ยถา เป็นต้น พวกภิกษุที่เข้าจ าพรรษาอยู่ในปัจจันตนคร(เมืองชายแดน) ในเดือนแรกของการจ าพรรษา อยู่อย่างปกติสุข มีชาวบ้าน ให้ความอุปถัมภ์เป็นอย่างดี แต่ในระหว่างเดือนที่สอง บ้านเมืองถูกปล้นสะดมและชาวบ้านถูกจับเป็นตัวประกัน พวกชาวบ้านจึงต้องช่วยกันบูรณะปฏิสังขรณ์บ้านเมือง และสร้างป้อมปราการ ไม่สามารถดูแลเรื่องปัจจัยต่างๆของ ภิกษุทั ้งหลายได้เท่าที่ควร เมื่อถึงออกพรรษาและปวารณา แล้ ว พวกภิกษุเหล่านี ้ได้ เดินทางไปเฝ้าพระศาสดา ศาสดาตรัสถามว่า “ภิกษุทั ้งหลาย พวกเธอพากันอยู่ สบายดีหรือ ?” ได้กราบทูลถึงสิ่งที่เกิดขึ ้นทั ้งหมดให้ทรง ทราบ พระศาสดาตรัสว่า “ช่างเถอะ ภิกษุทั ้งหลาย พวก เธออย่าได้คิดเลย ธรรมดาว่าความอยู่เป็นสุขส าราญตลอด กาลเป็นนิตย์ อันบุคคลหาได้ยาก ธรรมดาว่าภิกษุ รักษา


133 อัตภาพนั่นแหละ เหมือนกับพวกมนุษย์เหล่านั ้น คุ้มครอง นคร ฉะนั ้น ย่อมควร” จากนั ้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี ้ว่า นคร ยถา ปจฺจนฺต คุตฺต สนฺตรพาหิร เอว โคเปถ อตฺตาน ขโณ โว มา อุปจฺจคา ขณาตีตา หิ โสจนฺติ นิรยมฺหิ สมปฺปิตาฯ ท่านทั ้งหลายควรรักษาตน เหมือนกับพวกมนุษย์ป้องกันปัจ จันตนครทั ้งภายในและภายนอก ฉะนั ้น. อย่าปล่อยเวลาทุกขณะให้ล่วงเลยไป เพราะว่าชนทั ้งหลาย ผู้ปล่อยเวลาทุกขณะล่วงเลยไป จะเป็นผู้เบียดเสียดกันใน นรก เศร้าโศกอยู่. เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ภิกษุเหล่านั ้นเกิดความสังเวช บรรลุอรหัตตผล.


134 08.เรื่องนิครนถ์ พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพวก นิครนถ์ ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า อลชฺชิตาเย เป็นต้น ในวันหนึ่ง ภิกษุทั ้งหลาย เห็นพวกนิครนถ์(ปัจจุบันคือ พระในศาสนาเชน) แล้วสนทนากันว่า “ผู้มีอายุ พวก นิครนถ์เหล่านี ้ยังดีกว่าพวกอเจลกะ (ชีเปลือย) ซึ่งไม่ปกปิด อะไรเลย เพราะว่าพวกนิครนถ์ที่ปกปิ ดส่วนข้ างหน้ า (บาตร) ก็เห็นจะเป็นผู้มีความละอายอยู่บ้าง” พวกนิครนถ์ ฟังค านั ้นแล้ว กล่าวว่า “ พวกเราย่อมปกปิด(บาตร)เพราะ เหตุว่ามีความละอายร่างกายเปลือยหามิได้ พวกเราปกปิด (บาตร)เพราะเห็นว่าละอองต่างๆมีฝุ่ นและธุลีเป็นต้นนั ้น เป็นของเนื่องด้วยสิ่งมีชีวิต เพราะฉะนั ้น พวกเราจึงไม่ ต้องการให้ละอองต่างๆมีฝุ่ นและธุลีเป็นต้นเหล่านั ้น ตกลง ในภาชนะใส่ข้าว (บาตร) ของพวกเราต่างหาก” เมื่อภิกษุทั ้งหลาย ได้กราบทูลค าพูดของพวกนิครนถ์ ให้ พระศาสดาทรงทราบ พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุทั ้งหลาย สัตว์ทั ้งหลาย ชื่อว่าผู้ละอายในสิ่งอันไม่ควรละอาย ไม่


135 ละอายในสิ่งอันควรละอาย ย่อมเป็นผู้มีทุคติเป็นที่ไปใน เบื ้องหน้าแท้” จากนั ้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท สองพระคาถานี ้ ว่า อลชฺชิตาเย ลชฺชนฺติ ลชฺชิตาเย น ลชฺชเร มิจฺฉาทิฏฺ ฐิสมาทานา สตฺตา คจฺฉนฺติ ทุคฺคตึ ฯ อภเย ภยทสฺสิโน ภเย จ อภยทสฺสิโน มิจฺฉาทิฏฐิสมาทานา สตฺตา คจฉนฺติ ทุคฺคตึ ฯ สัตว์ทั ้งหลาย ย่อมละอายเพราะสิ่งอันไม่ควรละอาย ไม่ ละอายเพราะสิ่งควรละอาย สมาทานมิจฉาทิฏฐิ(มี ความเห็นผิด) ย่อมถึงทุคติ.


136 สัตว์ทั ้งหลาย มีปกติเห็นในสิ่งอันไม่ควรกลัวว่าควรกลัว และมีปกติเห็นในสิ่งอันควรกลัวว่าไม่ควรกลัว สมาทาน มิจฉาทิฏฐิย่อมถึงทุคคติ. เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง พวกนิครนถ์เป็นอันมาก มีใจ สังเวชแล้วบวช พระธรรมเทศนามีประโยชน์ แม้แก่บุคคลผู้ ประชุมกัน. ---------------------------------------------------------------- 09.เรื่องสาวกเดียรถีย์ พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพวก สาวกเดียรถีย์ ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า อวชฺเช เป็นต้น พวกสาวกของอัญญเดียรถีย์ (คนศาสนาอื่น) ไม่ต้องการ ให้ลูกของพวกตนไปมั่วสุมกับลูก ๆสาวกของพระพุทธเจ้า พวกเขาได้พร ่าสอนลูกทั ้งหลายว่า “สมณะพวกศากยบุตร พวกเจ้าไม่พึงไหว้ แม้วิหารของสมณะเหล่านั ้น พวกเจ้าก็ ไม่พึงเข้าไป” วันหนึ่ง ขณะที่ลูกของอัญญเดียรถีย์เหล่านั ้น ก าลังเล่นอยู่กับลูกของชาวพุทธอยู่นั ้น ก็เกิดหิวน ้าขึ ้นมา ด้วยเหตุที่ลูกของอัญญเดียรถีย์ถูกพร ่าสอนไม่ให้เข้าไปใน วัดของชาวพุทธ พวกเขาจึงขอร้ องให้เด็กชาวพุทธคนหนึ่ง


137 ไปน าน ้ามาให้พวกเขาดื่ม เด็กชาวพุทธคนนั ้นก็ได้เข้าไป ถวายบังคมพระศาสดาและกราบทูลขอน ้าจะเอาไปให้พวก ลูกอัญญเดียรถีย์ดื่ม โดยได้กราบทูลเหตุผลว่า เด็กเหล่านั ้น มารดาบิดาห้ามเข้ามาในวัดพระเชตวัน พระศาสดาตรัสว่า “เจ้าดื่มน ้านี ้เสียก่อน แล้วกลับไปบอกให้พวกเด็กเหล่านั ้น มาดื่มน ้าที่นี่” เมื่อเด็กเหล่านั ้นมาดื่มน ้าแล้ว พระศาสดา ได้ตรัสธรรมกถาที่เหมาะกับนิสัยของพวกเขา ท าให้พวก เขามีศรัทธาในพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และทรงให้รับศีล เมื่อเด็กพวกนี ้กลับไปบ้าน ก็ ได้บอกบิดามารดาของพวกตนว่าได้ไปพบพระศาสดาในวัด พระเชตวันมา และพระศาสดาได้ประทานพระรัตนตรัย และศีลเสียอีกด้วย มารดาบิดาของพวกเด็กเหล่านั ้น ต่าง เดือดเนื ้อร้อนใจ ร้องไห้ฟูมฟายน ้าตา ว่า “ลูกของพวกเรา กลายเป็นคนมีทิฏฐิวิบัติเสียแล้ว” พวกเพื่อนบ้านได้มาพูด ปลอบใจ ให้หยุดร้องไห้เศร้าโศกเสียใจ และแนะน าให้พา เด็กเหล่านั ้นไปวัดพระเชตวัน เพื่อมอบตัวแด่พระศาสดา เมื่อเด็กเหล่านั ้นมาพร้ อมหน้าพร้ อมตาพร้ อมด้วยมารดา บิดาของพวกเขาแล้ว


138 พระศาสดาทรงตรวจดูอุปนิสัยความสามารถที่จะบรรลุ ธรรมของพวกเด็กนั ้น ก็ได้แสดงธรรม ด้วยการตรัสพระ ธรรมบท พระคาถานี ้ว่า อวชฺเช วชฺชมติโน วชฺเช อวชฺชทสฺสิโน มิจฺฉาทิฏฐิสมาทานา สตฺตา คจฺฉนฺติ สุคตึ ฯ วชฺชญฺจ วชฺชโต ญตฺวา อวชฺชญฺจ อวชฺชโต สมฺมาทิฏฺ ฐิสมาทานา สตฺตา คจฺฉนฺติ สุคฺคตึ ฯ สัตว์ทั ้งหลาย ผู้มีความรู้ ว่ามีโทษในธรรมที่หาโทษมิได้มี ปกติเห็นว่าหาโทษมิได้ในธรรมที่มีโทษ เป็นผู้ถือด้วยดีซึ่ง มิจฉาทิฏฐิ ย่อมไปสู่ทุคติ.


139 สัตว์ทั ้งหลาย รู้ ธรรมที่มีโทษโดยความเป็นธรรมมีโทษ รู้ ธรรมที่หาโทษมิได้ โดยความเป็นธรรมหาโทษมิได้เป็นผู้ ถือด้วยดีซึ่งสัมมาทิฏฐิย่อมไปสู่สุคติ. เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง คนเหล่านั ้นทั ้งหมด ด ารงอยู่ใน สรณะ 3 แล้ว ฟังธรรมอื่นๆอีกอยู่ ก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล. ---------------------------------------------------


140 บทที่ 23 นาควรรค 01.เรื่องของพระองค์ พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในกรุงโกสัมพี ทรงปรารภพะระ องค์ ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า อห นาโคว เป็นต้น ในกาลครั้งหนึ่ง พราหมณ์บิดาของนางมาคันทิยา มีความ ประทับใจในบุคลิกภาพของพระศาสดา และได้เสนอนาง มาคันทิยาบุตรสาวผู้ มีงดงามมากนี ้เป็นบาทปริจาริกา (หญิงบ าเรอ) ของพระศาสดา แต่พระศาสดาทรงปฏิเสธ และตรัสว่าพระองค์ไม่มีความประสงค์จะสัมผัสสิ่งซึ่งเต็มไป ด้วยอุจจาระและปัสสาวะแม้ด้วยเท้าของพระองค์ เมื่อฟัง พระด ารัสนี ้แล้ว บิดาและมารดาของนางมาคันทิยาก็ได้ บรรลุอนาคามิผล แต่นางมาคันทิยาถือว่าพระศาสดาเป็น ศัตรูฉกาจฉกรรจ์ของนาง และนางหาทางที่จะแก้แค้นพระ ศาสดาให้ได้ ในกาลต่อมา นางมาคันทิยาได้รับการสถาปนาเป็นหนึ่งใน 3 มเหสีเอกของพระเจ้าอุเทน เมื่อพระนางมาคันทิยาทรง ทราบว่าพระศาสดาเสด็จมายังกรุงโกสัมพี พระนางก็ได้ ว่าจ้างคนให้มาตะโกนด่าว่าพระศาสดา ขณะที่พระองค์


141 เสด็จออกบิณฑบาตในเมือง พวกคนที่ถูกจ้ างวานมา เหล่านั ้นก็ได้ตะโกนด่าพระศาสดาว่า “เจ้าเป็นโจร เจ้าเป็น คนพาล เจ้าเป็นคนหลง เจ้าเป็นอูฐ เจ้าเป็นโค เจ้าเป็นลา เจ้าเป็นสัตว์นรก เจ้าเป็นสัตว์ดิรัจฉาน สุคติไม่มีส าหรับ เจ้า ทุคติเท่านั ้นอันเจ้าพึงหวัง” พระอานนท์สดับค าด่าเหล่านั ้นแล้ว ได้กราบทูลพระศาสดา ให้เสด็จออกจากเมืองโกสัมพีไปยังที่อื่นเสีย แต่พระศาสดา ตรัสว่า เมื่อไปอยู่ที่เมืองอื่น ก็อาจจะถูกด่าแบบนี ้อีก ซึ่งก็ จะต้องย้ายหนีไปอยู่ที่เมืองอื่นต่อไปอย่างไม่มีที่สิ ้นสุด เมื่อ มีเรื่องเกิดขึ ้น ณ ที่ใด ก็ควรจะให้ เรื่องนั ้นสงบระงับ เสียก่อน จึงค่อยไป ณ ที่แห่งอื่น และพระศาสดาได้ตรัส กับพระอานนท์ด้วยว่า “อานนท์ เราเป็นเช่นกับช้างที่เข้าสู่ สงคราม การอดทนต่อลูกศรที่แล่นมาจาก 4 ทิศ เป็นภาระ ของช้างที่เข้าสู่สงคราม ฉันใด ชื่อว่าการอดทนถ้อยค าที่ชน ทุศีลแม้มากกล่าวแล้ว เป็นภาระของเราฉันนั ้นเหมือนกัน” จากนั ้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท สามพระคาถานี ้ ว่า อห นาโคว สงฺคาเม


142 จาปาโต ปติต สร อติวากฺย ติติกฺขิสฺส ทุสฺสีโล หิ พหุชฺชโน ฯ ทนฺต นยนฺติ สมิตึ ทนฺต ราชาภิรูหติ ทนฺดต เสฏฺ โฐ มนสุ ฺเสสุ โยติวากฺย ติติกฺขติ ฯ วรมสฺสตรา ทนฺตา อาชานียา จ สินฺธวา กุญฺชรา จ มหานาคา อตฺตทนฺโต ตโต วร ฯ เราจักอดกลั ้นค าล่วงเกิน เหมือนช้างอดทนลูกศรที่ตกจาก แล่งในสงครามฉะนั ้น เพราะชนเป็นอันมากเป็นผู้ทุศีล ชนทั ้งหลาย ย่อมน าสัตว์พาหนะที่ฝึกแล้วไปสู่ที่ประชุม พระราชาย่อมทรงสัตว์พาหนะที่ฝึกแล้ว.


143 บุคคลผู้อดกลั ้นค าล่วงเกินได้ ฝึกตนแล้ว เป็นผู้ประเสริฐ ในมนุษย์ทั ้งหลาย ม้าอัสดร1 ม้าสินธพผู้อาชาไนย1 ช้าง ชนิดกุญชร1 ที่ฝึกแล้ว ย่อมเป็นสัตว์ประเสริฐ แต่บุคคลที่มี ตนฝึกแล้ว ย่อมประเสริฐกว่า (สัตว์พิเศษนั ้น). เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง มหาชนแม้ทั ้งหมดนั ้น ผู้รับ สินจ้างแล้วยืนด่าอยู่ในที่ทั ้งหลาย มีถนนและทางแยกเป็น ต้น บรรลุโสดาปัตติผล. -------------------------------------------------------------------- 02.เร่ืองภกิษุผู้เคยเป็นควาญช้าง พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุ รูปหนึ่ง ผู้เคยเป็นนายหัตถาจารย์(ควาญช้าง) ตรัสพระ ธรรมเทศนานี ้ว่า น หิ เอเตหิ เป็นต้น ในกาลครั้งหนึ่ง ภิกษุซึ่งเคยเป็นนายควาญช้างรูปหนึ่ง เห็นนายควาญช้างคนหนึ่ง ก าลังฝึกช้างอยู่ที่ใกล้ฝั่งแม่น ้าอ จิรวดี และก็ไม่สามารถฝึกช้างนั ้นได้ จึงได้พูดกับภิกษุอื่นๆ ว่า “ผู้มีอายุทั ้งหลาย หากว่านายหัตถาจารย์(นายควาญ ช้าง)นี ้ พึงแทงช้างตัวนี ้ที่ตรงโน้น เขาพึงให้มันส าเหนียก เหตุนี ้ได้โดยเร็วทีเดียว” เมื่อนายควาญช้างนั ้นได้ยินและ


144 น าไปปฏิบัติตาม เขาก็สามารถฝึกช้างตัวนั ้นส าเร็จอย่าง รวดเร็ว เมื่อกลับถึงวัดพระเชตวัน ภิกษุเหล่านั ้นได้กราบ ทูลความที่เกิดขึ ้นนั ้นแด่พระศาสดา พระศาสดาตรัสเรียก ภิกษุนั ้นมาเฝ้า และได้ตรัสว่า “ บุรุษเปล่า เธอต้องการ อะไร ด้วยยานคือช้าง หรือยานอย่างอื่นที่ฝึกแล้ว เพราะ ชื่อว่าคนผู้ สามารถเพื่อจะไปสู่สถานที่เคยไปด้ วยยาน เหล่านี ้ หามีไม่ แต่ผู้ที่ตนฝึกดีแล้ว อาจไปสู่สถานที่ไม่เคย ไปได้ เพราะฉะนั ้น เธอจงฝึกตนเท่านั ้น เธอจะต้องการ อะไรด้วยการฝึกสัตว์พาหนะเหล่านั ้น” จากนั ้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี ้ว่า น หิ เอเตหิ ยาเนหิ คจฺเฉยฺย อคต ทิส ยถาตฺตนา สุทนฺเตน ทนฺโต ทนฺเตน คจฺฉติ ฯ ก็บุคคลพึงไปสู่ทิศที่ยังไม่เคย ไปด้วยยานเหล่านี ้เหมือนคน ผู้ ฝึกตนแล้ ว ไปสู่ทิศที่ยังไม่เคยไปได้ ด้ วยตนที่ฝึกแล้ว ทรมานดีแล้วฉะนั ้น ไม่ได้.


145 เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผล ทั ้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น. ------------------------------------------------------------------ 03.เรื่องบุตรของพราหมณ์เฒ่า พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภพวก บุตรของพราหมณ์เฒ่าคนใดคนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนา นี ้ว่า ธนปาลโก เป็นต้น ในกาลครั้งหนึ่ง พราหมณ์ชราผู้หนึ่ง อยู่ในกรุงสาวัตถี มี ทรัพย์อยู่ 8 แสนกหาปณะ มีบุตรชายอยู่ 4 คน และเมื่อ บุตรชายทั ้ง 4 คนนี ้แต่งงานแล้ว พราหมณ์ชราได้แบ่งทรัพย์ ให้บุตรคนละ 1 แสนกหาปณะ ต่อมาเมื่อนางพราหมณีผู้ ภรรยาเสียชีวิต พวกลูกๆได้มาคอยดูแล และเอาอกเอาใจ พราหมณ์ชรา เป็นอย่างดี และพูดกล่อมพราหมณ์ชราว่า จะเลี ้ยงดูให้มีความสุขจนตลอดชีวิต พราหมณ์ชราหลงเชื่อ ก็จึงได้แบ่งทรัพย์ที่เหลืออยู่อีก 4 แสนกหาปณะนั ้นให้บุตร อีกคนละ 1 แสนกหาปณะ เป็นอันว่าตอนนี ้ พราหมณ์ชรา ไม่มีเงินติดตัวแม้แต่เก๊เดียว


146 พราหมณ์ชราก็ได้ไปอยู่กับบุตรชายคนหัวปีเป็นคนแรก เมื่อไปอยู่ได้แค่ 2-3 วัน ลูกสะใภ้ก็พูดว่า “พ่อให้เงินลูกชาย คนหัวปี มากกว่าคนอื่นเป็ นร้ อยเป็ นพันกหาปณะหรื อ อย่างไร ก็ให้แค่สองแสนเท่ากัน พ่อน่าจะไปอยู่ที่บ้านของ ลูกชายคนอื่นบ้าง” เมื่อได้ยินค าพูดกระแทกแดกดันของ ลูกสะใภ้คนโตเช่นนั ้น พราหมณ์ชราก็โกรธมาก และได้ ออกจากบ้านบุตรชายคนหัวปีไปอยู่ที่บ้านของบุตรชายคน รอง เมื่อไปอยู่ที่บ้านของบุตรชายคนรองได้เพียง2-3 วัน ก็ ได้ยินเสียงบ่นว่าในเชิงกระแนะกระแหนแบบเดิมจากปาก ของลูกสะใภ้คนรอง พราหมณ์ชราก็ออกจากบ้านของ บุตรชายที่ 2 ไปอาศัยอยู่ในบ้านของบุตรชายคนที่ 3 เมื่อ ไปได้ยินค ากระแนะกระแหนของลูกสะใภ้คนที่ 3 แบบ เดียวกันนั ้น ก็โกรธแล้วออกจากบ้านของบุตรชายคนที่ 3 ไปอยู่ที่บ้านของบุตรชายคนที่ 4 แต่พราหมณ์ชราก็ต้องไป พบกับปัญหาเดิมๆนั ้นอีก สรุปแล้วพราหมณ์ชราไปอยู่ บ้านของบุตรชายคนไหนไม่ได้ทั ้งนั ้น จึงได้กลายเป็น อนาถา จนถึงกับต้องถือไม้เท้าและกระเบื ้องออกขอทาน ต่อมาพราหมณ์ชราได้เดินทางมาเฝ้าพระศาสดาเพื่อขอ ความอนุเคราะห์และค าแนะน าจากพระองค์


147 ที่วัดพระเชตวัน พราหมณ์ชราได้กราบทูลพระศาสดาถึง เรื่องที่ตนถูกบุตรทั ้ง 4 คนทอดทิ ้ง เพราะถูกภรรยาของพวก เขายุยง และได้ขอความอนุเคราะห์จากพระองค์ พระ ศาสดาได้ให้พราหมณ์ชราท่องจ าพระคาถาและให้ไปกล่าว คาถาเหล่านี ้ในที่ประชุมสภาประชาชนที่มีคนมาประชุมกัน มากๆ พระคาถามีใจความว่า “ข้าพเจ้าจักเพลิดเพลินด้วย บุตรที่เกิดแล้วเหล่าใด และปรารถนาความเจริญแก่บุตร เหล่าใด บุตรเหล่านั ้นถูกภรรยายุยง ย่อมรุกรานข้าพเจ้า เหมือนสุนัขรุกรานสุกรฉะนั ้น ได้ยินว่า บุตรเหล่านั ้นเป็น อสัตบุรุษ เลวทราม เรียกข้าพเจ้าว่า “พ่อ พ่อ” พวกเขา คือรากษส(มาแล้ว) โดยรูปเพียงดังบุตร ย่อมทอดทิ ้ง ข้าพเจ้าผู้ถึงความเสื่อม(แก่) บิดาแม้ของเหล่าพาลชน เป็น คนแก่ ต้องเที่ยวขอทานที่เรือนของชนเหล่าอื่น เหมือนม้า แก่ใช้การงานไม่ได้ ถูกเขาพรากไปจากอาหารฉะนั ้น นัยว่า ไม้เท้าของข้าพเจ้าแล ยังประเสริฐกว่า บุตรทั ้งหลายไม่เชื่อ ฟัง จะประเสริฐอะไร เพราะไม้เท้ากันโคดุก็ได้ อนึ่ง กัน สุนัขก็ได้ มีไว้ยันข้างหน้าเวลามืดก็ได้ ใช้หยั่งลงไปในที่ลึก ก็ได้ เพราะอานุภาพแห่งไม้เท้า คนแก่เช่นข้าพเจ้า พลาด แล้วก็กลับยืนขึ ้นอีกได้” เมื่อเห็นพวกบุตรแต่งตัวเดินทาง


148 มาถึงที่ประชุมสภาประชาชนเรียบร้ อยแล้ว พราหมณ์ชรา ได้ขอโอกาสในที่ประชุมกล่าวคาถาเข้างต้นดังๆในที่ประชุม สภาประชาชนนั ้น ผู้คนทั ้งหลายได้ยินก็แสดงอาการโกรธ แค้น เพราะว่าในครั้งนั ้นมีกฎหมายบังคับว่า “ บุตรใดใช้ สอยทรัพย์ที่เป็นของมารดาบิดา แต่ไม่เลี ้ยงดูมารดาบิดา บุตรนั ้นต้องถูกฆ่า” เมื่อพวกบุตรได้ยินบิดาพูดประจาน ออกมาเช่นนั ้น ก็ตกใจรีบไปกราบลงที่เท้าของพราหมณ์ ชรา วิงวอนว่า “คุณพ่อครับ ขอคุณพ่อโปรดไว้ชีวิตแก่พวก กระถมด้วยเถิด” พวกที่มาอยู่ในสภาประชาชนก็ได้พูด ส าทับกับพวกบุตรของพราหมณ์ชราว่า” “หากพวกท่านไม่ ดูแลบิดาให้ดี พวกเราก็จักฆ่าพวกท่านเสีย” พวกบุตรจึง ได้ให้สัญญากับพราหมณ์ชราว่าจะคอยดูแล ให้ความ เคารพรัก ให้เกียรติบิดา และก็ได้พาบิดากลับไปอยู่บ้าน ได้ว่ากล่าวตักเตือนภรรยาให้คอยดูแลพราหมณ์ชราเป็น อย่างดี โดยมีมาตรการลงโทษอย่างเด็ดขาดว่า “ตั ้งแต่นี ้ไป เธอทั ้งหลายจงคอยดูแลบิดของพวกฉันให้ ดี ถ้ าเธอ ทั ้งหลายจักถึงความประมาท พวกฉันจักลงโทษเธอ ทั ้งหลาย” พวกลูกสะใภ้แต่ละคนจึงให้ความใส่ใจคอยดูแล ในเรื่องเสื ้อผ้าเครื่องแต่งกายและเลี ้ยงดูพราหมณ์ชราด้วย


149 อาหารอย่างดี พราหมณ์ชราจึงมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง และระลึกถึงคุณงามความดีของพระศาสดาที่ได้ ทรง ช่วยเหลือจนท าให้ตนได้กลับมามีชีวิตอย่างมีความสุขอีก ครั้งหนึ่ง จึงได้น าผ้าคู่หนึ่งไปทูนถวายพระศาสดา และ กราบทูลอาราธนาพระองค์เสด็จไปฉันภัตตาหารที่บ้านทุก วัน และก็ยังได้แนะน าให้พวกบุตรได้ถวายภัตตาหารแด่ พระศาสดาด้วย อยู่มาวันหนึ่ง บุตรชายคนหัวปี ของพราหมณ์ชราได้ อาราธนาพระศาสดาและภิกษุสงฆ์ 500 รูปไปฉันภัตตาหาร ที่บ้านของเขา หลังจากเสร็จภัตตกิจแล้ว พระศาสดาได้ ตรัสถามบุตรทั ้ง 4 คนของพราหมณ์ชราว่าได้ดูแลบิดาเป็น อย่างดีหรือไม่ เมื่อพวกบุตรกราบทูลว่า “ข้าแต่พระโคดมผู้ เจริญ ข้าพระองค์ทั ้งหลาย ได้ดูแลบิดาของพวกข้าพระองค์ ด้วยความไม่ประมาท โปรดทอดพระเนตรร่างกายของท่าน ดูเถิด” พระศาสดาจึงได้ตรัสว่า “ท่านทั ้งหลายท ากรรมงาม แล้ว ชื่อว่าการเลี ้ยงมารดาบิดา โบราณกบัณฑิต (เคย) ประพฤติมาแล้วเหมือนกัน” แล้วตรัสมาตุโปสกนาคชาดก ในเอกาทสนิบาต ซึ่งกล่าวถึงช้าง ธนปาลกะ ช้างกตัญญู เลี ้ยงบิดามารดา เมื่อถูกจับมาขังไว้ในเมือง ไม่ยอมกิน


150 หญ้า เพราะคิดถึงและต้องการจะกลับไปหาบิดามารดาที่ ยังอยู่ในป่ าช้าง จากนั ้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี ้ว่า ธนปาลโก นาม กุญฺชโร กฏุ กปปฺเภทโน ทนุ ฺนิวาโย พทฺโธ กพฬ น ภญุ ฺชติ สุมรติ นาควนสฺส กุญฺชโร ฯ กุญชร นามว่า ธนปาลกะ ตกมันจัด ห้ามได้ยาก ถูกขังไว้ ไม่บริโภคฟ่ อนหญ้า กุญชรระลึกถึง แต่นาควัน. เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง พราหมณ์พร้ อมกับบุตรและ ลูกสะใภ้ทั ้งหลาย บรรลุโสดาปัตติผล. ---------------------------------------------------------------------- 04.เรื่องพระเจ้าปเสนทิโกศล พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระ เจ้าปเสนทิโกศล ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า มิทฺธี ยทา เป็น ต้น


Click to View FlipBook Version