51 เพราะเหตุสักว่ามีศีรษะโล้นเป็นต้นหามิได้ ส่วนผู้ใด ยัง บาปน้อยหรือใหญ่ให้สงบแล้วตั ้งอยู่ ผู้นี ้แหละชื่อว่าสมณะ” จากนั ้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท สองพระคาถานี ้ ว่า น มุณฺฑเกนะ สมโณ อพฺพโต อลิก ภณ อิจฺฉาโลภสมาปนฺโน สมโณ กึ ภวิสฺสติ ฯ โย จ สเมติ ปาปานิ อณุถูลานิ สพฺพโส สมิตตฺตา หิ ปาปาน สมโณติ ปวุจฺจติ ฯ ผู้ไม่มีวัตร พูดเหลาะแหละ ไม่ชื่อว่าสมณะ เพราะศีรษะ โล้น ผู้ประกอบด้วยความอยาก และความโลภ จะเป็น สมณะอย่างไรได้”
52 ส่วนผู้ใด ยังบาปน้อยหรือใหญ่ให้สงบ โดยประการทั ้งปวง ผู้นั ้น เรากล่าวว่า เป็นสมณะ เพราะยังบาปให้สงบแล้ว. เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผล ทั ้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น. ------------------------------------------------------------------ 07.เรื่องพราหมณ์คนใดคนหนึ่ง พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภ พราหมณ์คนใดคนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า น เตน ภิกขุ โส โหติ เป็นต้น ในกาลครั้งหนึ่ง พราหมณ์ผู้หนึ่ง บวชในศาสนาอื่นที่มิใช่ พุทธศาสนา และเดินเที่ยวบิณฑบาต วันหนึ่ง พราหมณ์ผู้ นี ้คิดว่า พระสมณโคดมประกาศว่า ผู้ที่มีชีวิตจากการ บิณฑบาตเรียกว่าภิกษุ เมื่อเป็นเช่นนั ้น เราก็น่าจะถูก เรียกว่าภิกษุได้เหมือนกัน เมื่อคิดดังนี ้แล้ว พราหมณ์ก็ได้ ไปเฝ้าพระศาสดา ทูลว่า “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ แม้ ข้าพเจ้าก็เที่ยวภิกษา เลี ้ยงชีพอยู่ พระองค์จงเรียกแม้ ข้าพเจ้าว่าภิกษุ” พระศาสดาตรัสกับพราหมณ์นั ้นว่า “ พราหมณ์ เราหาเรียกว่า ภิกษุ เพราะอาการเพียงขอเขาไม่
53 เพราะผู้สมาทานธรรมอันเป็นพิษแล้วประพฤติอยู่ ย่อมเป็น ผู้ชื่อว่าภิกษุหาได้ไม่ ส่วนผู้ใดเที่ยวไปด้วยพิจารณาสังขาร ทั ้งปวง ผู้นั ้นชื่อว่าเป็นภิกษุ” จากนั ้น พระศาสดาตรัสพระธรรมบท สองพระคาถานี ้ว่า น เตน ภิกฺขุ โส โหติ ยาวตา ภิกฺขเต ปเร วิส ธมฺม สมาทาย ภิกฺขุ โหติ น ตาวตา ฯ โยธ ปุญฺญญฺเจ ปาปญฺจ วาเหตฺวา พฺรหฺมจริยวา สงฺขาย โลเก จรติ ส เว ภิกฺขูติ วุจฺจติ ฯ
54 บุคคลชื่อว่าเป็นภิกษุ เพราะเหตุที่ขอกะคนพวกอื่นหามิได้ บุคคลสมาทานธรรมอันเป็นพิษ ไม่ชื่อว่าภิกษุ ด้วยเหตุ เพียงเท่านั ้น. ผู้ ใดในศาสนานี ้ลอยบาปและบุญได้ แล้ ว ประพฤติ พรหมจรรย์รู้ ธรรมในโลก ด้วยการพิจารณาเที่ยวไป ผู้นั ้น แลเราเรียกว่า ภิกษุ. เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผล ทั ้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น. ------------------------------------------------------------------- 08.เรื่องเดียรถีย์ พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตะวัน ทรงปรารภพวก เดียรถีย์ ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า น โมเนน เป็นต้น พวกเดียรถีย์ จะกล่าวค าอ านวยอวยพร แก่คนที่น าสิ่งของ หรืออาหารมาให้ ว่า “ความเกษมจงมี ความสุขจงมี อายุจงเจริญ ในที่ชื่อโน้นมีเปือกตม ในที่ชื่อโน้นมีหนาม การไปสู่ที่เห็นปานนั ้นไม่ควร” ในขณะนั ้น เป็นช่วงปฐม โพธิกาล (ช่วง 25 ปีแรกหลังจากตรัสรู้ ) พระศาสดายังไม่
55 ทรงอนุญาตวิธีอนุโมทนา ภิกษุทั ้งหลาย จึงยังไม่ท า อนุโมทนาแก่พวกมนุษย์ในโรงฉัน พวกมนุษย์จึงพูดกันว่า “พวกเราได้ฟังมงคลแต่ส านักของเดียรถีย์ทั ้งหลาย แต่พระ ผู้เป็นเจ้าทั ้งหลายนิ่งเฉยหลีกไปเสีย” ภิกษุทั ้งหลายจึงน า ความขึ ้นกราบทูลพระศาสดา พระศาสดาจึงทรงอนุญาตว่า “ ภิกษุทั ้งหลาย ตั ้งแต่นี ้ไป ท่านทั ้งหลาย จงท าอนุโมทนา ในที่ทั ้งหลายมีโรงฉันเป็น ต้น ตามสบายเถิด จงกล่าวอุปนิสินนกถา(ถ้อยค าที่กล่าว กับบุคคลผู้เข้าใกล้) เถิด” และภิกษุทั ้งหลายได้กระท าตาม พุทธานุญาตแล้ว โดยได้กล่าวค าอ านวยอวยพรแก่ญาติ โยมที่ถวายทาน เพราะผลของการกล่าวค าอ านวยอวยพร ของภิกษุทั ้งหลายนี ้เอง จึงมีผู้ คนมานิมนต์พระภิกษุ ทั ้งหลายไปรับภัตตาหารมากขึ ้นๆ พวกเดียรถีย์กล่าว ต าหนิว่า “พวกเราเป็นมุนีท าความเป็นผู้นิ่ง พวกสาวกของ พระสมณโคดม เที่ยวกล่าวกถามากมาย ในที่ทั ้งหลายมี โรงฉัน เป็นต้น” พระศาสดา ทรงสดับความนั ้นแล้ว ตรัสว่า “ภิกษุทั ้งหลาย เราไม่กล่าวว่ามุนี เพราะเหตุสักว่าเป็นผู้นิ่ง เพราะคนบาง
56 พวกไม่รู้ ย่อมไม่พูด บางพวกไม่พูด เพราะความเป็นผู้ไม่ แกล้วกล้า บางพวกไม่พูด เพราะตระหนี่ว่า คนเหล่าอื่น อย่ารู้เนื ้อความอันดียิ่งนี ้ของเรา เพราะฉะนั ้น คนไม่ชื่อว่า มุนี เพราะเหตุสักว่าเป็นคนนิ่ง แต่ชื่อว่าเป็นมุนี เพราะยัง บาปให้สงบ” จากนั ้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท สองพระคาถานี ้ ว่า น โมเนน มุนิ โหติ มุฬฺหรูโป อวิทฺทสุ โย จ ตุล ว ปคฺคยฺห วรมาทาย ปณฺฑิโต ฯ ปาปานิ ปริวชฺเชติ ส มุนิ เตน โส มุนิ โย มุนาติ อุโภ โลเก มุนิ เตน ปวุจฺจติ ฯ
57 บุคคลเขลา ไม่รู้โดยปกติไม่ชื่อว่าเป็นมุนีเพราะความเป็น ผู้นิ่ง ส่วนผู้ใดเป็นบัณฑิต ถือธรรมอันประเสริฐ ดุจบุคคล ประคองตราชั่ง. เว้นบาปทั ้งหลาย ผู้นั ้นเป็นมุนี เพราะเหตุนั ้น ผู้ใดรู้อรรถทั ้ง 2 ในโลก ผู้นั ้นเรากล่าวว่า เป็นมุนี เพราะเหตุนั ้น. ผู้นั ้นเรา กล่าวว่า เป็นมุนี เพราะเหตุนั ้น. เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผล ทั ้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ----------------------------------------------------------------- 09.เรื่องพรานเบ็ดชื่ออริยะ พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตะวัน ทรงปรารภ พรานเบ็ดชื่ออริยะ ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า น เตน อริ โย เป็นต้น วันหนึ่ง พระศาสดา ทรงเห็นอุปนิสัยที่จะได้บรรลุโสดา ปัตติมรรค ของนายพรานเบ็ดชื่ออริยะ เสด็จเที่ยว บิณฑบาตในบ้านใกล้ประตูเมืองด้านทิศอุดรแห่งกรุงสาวัต ถี พร้ อมด้ วยภิกษุทั ้งหลาย เมื่อเสด็จกลับมาจาก
58 บิณฑบาต ได้ทรงแวะในที่ซึ่งนายอริยะก าลังตกปลาอยู่ นั ้น เมื่อนายอริยะเห็นพระศาสดา ก็ได้โยนเบ็ดทิ ้ง แล้วเข้าไป ยืน ณ ที่ใกล้พระศาสดา พระศาสดาทรงเริ่มต้นด้วยการ ถามชื่อของพระภิกษุทั ้งหลาย ที่ตามเสด็จพระองค์มาใน ครั้งนี ้ ต่อหน้านายอริยะ และในที่สุดได้ตรัสถามชื่อของ นายอริยะบ้าง เมื่อเขาตอบว่าชื่ออริยะ ตรัสว่า “อุบาสก ผู้ที่ฆ่าสัตว์เช่นท่าน จะชื่อว่าอริยะไม่ได้ ส่วนผู้ที่ตั ้งอยู่ใน ความไม่เบียดเบียนมหาชน จึงจะเรียกว่าอริยะ” จากนั ้น พระศาสดาจึงตรัสพระธรรมบท พระคาถานี ้ว่า น เตน อริโย โหติ เยน ปาณานิ หึสติ อหึสา สพฺพปาณาน อริโยติ ปวุจฺจติ ฯ บุคคลไม่ชื่อว่าอริยะ เพราะเหตุที่เบียดเบียนสัตว์บุคคลที่ เรากล่าวว่า เป็นอริยะ เพราะไม่เบียดเบียนสัตว์ทั ้งปวง. เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง พรานเบ็ดบรรลุโสดาปัตติผล พระธรรมเทศฯมีประโยชน์ แม้แก่บุคคลผู้มาประชุมกัน.
59 ----------------------------------------------------------------- 10. เร่ืองภกิษุมากรูป พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุ มากรูป ผู้ถึงพร้ อมด้วยคุณมีศีลเป็นต้น ตรัสพระธรรม เทศนานี ้ว่า น สีลพฺพตมตฺเตน เป็นต้น ในกาลครั้งหนึ่ง ในหมู่ภิกษุทั ้งหลาย บางพวกมีศีล สมบูรณ์ บางพวกทรงไว้ซึ่งธุดงค์ บางพวกเป็นพหูสูต บางพวกอยู่ในเสนาสนะอันสงัด บางพวกได้ฌาน บางพวก บรรลุอนาคามิผล ภิกษุเหล่านี ้ต่างคิดว่า เมื่อพวกตนมี คุณสมบัติที่ดีอย่างนี ้แล้วเช่นนี ้ การที่พวกตนจะบรรลุพระ อรหัตตผลนั ้น เป็ นเรื่องที่ไม่ยากเลย อยู่มาวันหนึ่ง พระภิกษุเหล่านี ้ได้เข้าไปเฝ้าพระศาสดา เมื่อถวายบังคม แล้ว พระศาสดาได้ตรัสถามว่า “ภิกษุทั ้งหลาย กิจแห่ง บรรพชิตของพวกเธอถึงที่สุดแล้วหรือหนอ” ภิกษุแต่ละพวก ก็ได้กราบทูลรายงานถึงคุณธรรมที่พวกตนปฏิบัติหรือได้ บรรลุแล้วนั ้น และได้กราบทูลความมั่นใจของพวกตนด้วย ว่า “เพราะฉะนั ้น พวกข้าพระองค์จึงคิดว่า พวกเราสามารถ เพื่อบรรลุพระอรหัตในขณะที่ปรารถนาแล้วๆ นั่นเอง”
60 พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุทั ้งหลาย ชื่อว่าภิกษุจะเห็นว่า ทุกข์ในภพของเราน้อย ด้วยคุณสักว่าความเป็นผู้ มีศีล บริสุทธิ์เป็นต้น หรือด้วยคุณสักว่าความสุขของพระ อนาคามี ไม่สมควร และยังไม่ถึงความสิ ้นอาสวะ ไม่พึงให้ ความคิดเกิดขึ ้นว่า เราถึงสุขแล้ว “ จากนั ้น พระศาสดาจึงตรัสพระธรรมบท สองพระคาถานี ้ ว่า น สีลพฺพตมตฺเตน พาหุสจฺเจน วา ปน อถวา สมาธิลาเภน วิวิตฺตสยเนน วา ฯ ผุสามิ เนกฺขมฺมสุข อปุถุชฺชนเสวิต ภิกฺขุ วิสฺสาสมาปาทิ อปฺปตฺโต อาสวกฺขย ฯ
61 ภิกษุยังไม่ถึงอาสวักขัย (สิ ้นอาสวะ) อย่าเพิ่งถึงความวางใจ ด้วยเหตุสักว่าศีลและวัตร ด้วยความเป็นพหูสูต ด้วยอันได้ สมาธิ ด้วยอันนอนในที่สงัด หรือด้วยเหตุเพียงรู้ ว่า เราถูกต้องสุข ในเนกขัมมะ ซึ่งปุถุชนเสพไม่ได้แล้ว. เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ภิกษุเหล่านั ้น บรรลุพระ อรหัตตผล พระธรรมเทศนา มีประโยชน์ แม้แก่บุคคลผู้มา ประชุมกัน. -------------------------------------------
62 บทที่ 20 มัคควรรค 01.เร่ืองภกิษุห้าร้อยรูป พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุ 500 รูป ตรัสพระธรรมเทศนานีว้่า มคฺคานฏฺ ฐงฺคิโก เป็น ต้น ภิกษุ 500 รูป หลังจากที่ได้ตามเสด็จพระศาสดา ไปยัง หมู่บ้านแห่งหนึ่งแล้ว ก็ได้กลับมาที่วัดพระเชตวัน ในตอน เย็น ภิกษุเหล่านี ้ได้สนทนากันเกี่ยวกับหนทางที่พวกตน เที่ยวไป เช่น หนทางไม่เรียบ มีกรวด ไม่มีกรวด เป็นต้น พระศาสดา ทรงเห็นอุปนิสัยที่จะบรรลุอรหัตตผลของภิกษุ เหล่านั ้น ได้เสด็จมายังที่นั ้น ประทับนั่งเหนืออาสนะที่เขาปู ลาดไว้ ตรัสถามถึงเรื่องที่ภิกษุเหล่านั ้นสนทนากันแล้ว ตรัสว่า “ภิกษุทั ้งหลาย ทางที่พวกเธอพูดถึงนี ้ เป็นทาง ภายนอก ธรรมดาภิกษุควรสนใจเฉพาะอริยมรรค ด้วยว่า ภิกษุเมื่อท าอย่างนั ้น ย่อมพ้นจากทุกข์ทั ้งปวง” จากนั ้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท สี่พระคาถานี ้ว่า มคฺคานฏฺ ฐงฺคิโก เสฏฺ โฐ
63 สจฺจาน จตุโร ปทา วิราโค เสฏฺ โฐ ธมฺมาน ทิปทานญฺจ จกฺขุมา ฯ บรรดาทางทั ้งหลาย ทางมีองค์ 8 ประเสริฐ บรรดาสัจจะ ทั ้งหลาย บท 4 ประเสริฐ บรรดาธรรมทั ้งหลาย วิราคะ ประเสริฐ บรรดาสัตว์สองเท้ าทั ้งหลาย พระตถาคต ผู้ มีจักษุ ประเสริฐ. เอโสว มคฺโค นตฺถญฺโญ ทสฺสนสฺส วิสุทธิยา เอตัญฺหิ ตุมฺเห ปฏิปชฺชถ มารสฺเสต ปโมหน ฯ ทางนั่นเท่านั ้น เพื่อความหมดจดแห่งทัสสนะ ทางอื่นไม่มี เพราะฉะนั ้น ท่านทั ้งหลายจงด าเนินทางนั่น อันเป็นที่ลุ่ม หลงแห่งมารและเสนามาร. เอตมฺหิ ตุมฺเห ปฏิปนฺนา
64 ทุกฺขสฺสนฺต กริสฺสถ อกฺขาโต เว มยา มคฺโค อญฺญาย สลฺลสนฺถน ฯ ด้วยว่า ท่านทั ้งหลายด าเนินทางนั่นแล้ว จักท าที่สุดแห่ง ทุกข์ได้ เราทราบทางเป็นที่สลัดลูกศรได้แล้ว จึงบอกแก่ ท่านทั ้งหลาย. ตุมฺเหหิ กิจฺจมาตปฺป อกฺขาตาโร ตถาคตา ปฏิปนฺนา ปโมกฺขนฺติ ฌายิโน มารพนฺธนา ฯ ท่านทั ้งหลาย พึงท าความเพียรเครื่องเผากิเลส เพราะ ตถาคตทั ้งหลาย เป็นแต่ผู้บอก ชนทั ้งหลายผู้ด าเนินไปแล้ว มีปกติเพ่ง ย่อมหลุดพ้นจากเครื่องผูกของมาร. เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ภิกษุเหล่านั ้น บรรลุพระ อรหัตตผล พระธรรมเทศนา มีประโยชน์ แม้แก่บุคคลผู้ ประชุมกัน.
65 ------------------------------------------------------------------ 02. เร่ืองภกิษุ500 รูปอ่ืนอีก พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุ 500 รูป ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า สพฺเพ สงฺขารา เป็นต้น ภิกษุ 500 รูป เรียนหัวข้อพระกัมมัฏฐานจากพระศาสดา แล้วก็พากันเข้าป่ าไปปฏิบัติพระกัมมัฏฐาน แต่เมื่อปฏิบัติ แล้วไม่สามารถบรรลุพระอรหัตตผล จึงได้กลับมาเฝ้าพระ ศาสดาเพื่อทูลขอหัวข้อพระกัมมัฏฐานใหม่ที่มีความ เหมาะสมแก่ตน พระศาสดาทราบด้วยญาณพิเศษว่า ภิกษุเหล่านี ้ ในสมัยพระกัสสปพุทธเจ้ า ได้ ปฏิบัติ กัมมัฏฐานในหัวข้อลักษณะความไม่เที่ยง(อนิจจลักษณะ) เป็นเวลานานถึงสองหมื่นปี เพราะฉะนั ้นจึงควรที่จะให้ พระภิกษุเหล่านี ้พิจารณาอนิจจลักษณะ จึงตรัสว่า “ภิกษุ ทั ้งหลาย สังขารแม้ทั ้งปวงในภพทั ้งสามมีกามภพเป็นต้น เป็นสภาพไม่เที่ยงเลย เพราะอรรถว่ามีแล้วไม่มี” จากนั ้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี ้ว่า สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจาติ
66 ยทา ปญฺญาย ปสฺสติ อถ นิพิพินฺทติ ทุกฺเข เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา ฯ เมื่อใด บัณฑิตย่อมเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั ้งหลายทั ้ง ปวง ไม่เที่ยง เมื่อนั ้น ย่อมหน่ายในทุกข์ความหน่ายในทุกข์ นั่น เป็นทางแห่งความหมดจด. เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ภิกษุ 500 รูปเหล่านั ้น บรรลุ อรหัตตผลแล้ว พระธรรมเทศนา มีประโยชน์ แม้แก่บริษัท ที่ประชุมกัน. -------------------------------------------------------------------- 03.เรื่องพระปธานกัมมิกติสสเถระ พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภ พระปธานกัมมิกติสสะเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานีว้่า อฏุ ฺ ฐานกาลมฺหิ เป็นต้น ในกาลครั้งหนึ่ง ชายหนุ่ม 500 คน ในกรุงสาวัตถี ได้รับ การอุปสมบทจากพระศาสดา หลังจากที่ได้เรียนหัวข้อพระ กัมมัฏฐานจากพระศาสดาแล้ว ภิกษุบวชใหม่เหล่านี ้ต่างก็
67 ได้เข้ าป่ าไปปฏิบัติพระกัมมัฏฐาน มีแต่พระปธานกัม มิกติสสเถระเท่านั ้นที่ไม่ยอมไป พระภิกษุที่เข้าป่ าไปแล้วก็ ได้มุ่งปฏิบัติธรรมจนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ เมื่อกลับมา ถวายบังคมพระศาสดา พระศาสดาได้ทรงท าการต้อนรับ และทรงแสดงความยินดีด้วย ฝ่ายพระประธานกัมมิกติสส เถระ อยากเห็นพระศาสดาทรงแสดงท่าทีอย่างเดียวกันนั ้น กับตนบ้าง จึงได้เริ่มความเพียรอย่างหนัก โดยได้เดิน จงกรมตลอดคืนยันรุ่ง จนถึงกับเป็นลมล้มลงขาหักคาแผ่น หินที่ใช้จงกรมนั่นเอง พระภิกษุอื่นๆ ที่เป็นพระอรหันต์ ได้ ยินเสียงร้อง ก็พากันรีบมาช่วยเหลือ ท าให้พลาดโอกาสไป ฉันภัตตาหารเช้าที่บ้านอุบาสกคนหนึ่ง พระศาสดาเมื่อ ทรงสดับเรื่องที่เกิดขึ ้นทั ้งหมดแล้ว ตรัสว่า “ภิกษุทั ้งหลาย ภิกษุนั่น ท าอันตรายลาภของพวกเธอในบัดนี ้เท่านั ้น หา มิได้ แม้ในกาลก่อน เธอก็ได้ท าแล้วเหมือนกัน” และทรง น าเรื่องวรุณชาดกมาตรัสให้ ฟั ง แล้ วตรัสว่า “ภิกษุ ทั ้งหลาย ก็บุคคลใด ไม่ท าความขยัน ในกาลควรขยัน เป็นผู้มีความด าริอันจมแล้ว เป็นผู้เกียจคร้าน บุคคลนั ้น ย่อมไม่บรรลุคุณวิเศษต่างๆมีฌานเป็นต้น” จากนั ้น พระศาสดา ได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี ้ว่า
68 อฏุ ฐานกาลมฺหิอนฏุ ฺ ฐหาโน ยุวา พลี อาสย อุเปโต สงฺสนฺสสงฺกปฺปมโน กุสีโต ปญฺญาย มคฺค อลโส น วินฺทติ ฯ ก็บุคคลยังหนุ่มแน่นมีก าลัง แต่ไม่ขยัน ในกาลที่ควรขยัน เข้าถึงความเป็นผู้เกียจคร้าน มีใจอันประกอบด้วยความด าริอันจมแล้ว ขี ้เกียจ เกียจ คร้าน ย่อมไม่ประสบทาง ด้วยปัญญา” เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผล ทั ้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น. ------------------------------------------------------------------ 04.เร่ืองสูกรเปรต พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภสูกร เปรต ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า วาจานุรกฺขี เป็นต้น ครั้งหนึ่ง พระมหาโมคคัลลานเถระ เดินลงมาจากเขาคิชฌ กูฏ พร้ อมด้วยพระลักขณเถระ ได้แลเห็นเปรตที่ร่างเป็น
69 มนุษย์แต่มีศีรษะเป็นสุกร เมื่อเห็นเปรตตนนี ้แล้ว ท่านพระ มหาโมคคัลลานะก็ได้ยิ ้มออกมา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรกับ พระลักขณะเถระ เมื่อเข้าไปเฝ้าพระศาสดาแล้ว ก็ได้น า เรื่องเปรตตนนี ้มาทูลพระศาสดาให้ทรงทราบ พระศาสดา ตรัสว่าพระองค์ก็ได้ทอดพระเนตรเห็นเปรตตนนี ้ที่ควงต้น โพธิ์เหมือนกันในช่วงที่ตรัสรู้ใหม่ๆ แต่ก็ไม่ได้ตรัสบอกแก่ ใครๆ เพราะกลัวว่าผู้คนจะไม่เชื่อ และจะไม่บังเกิดผลดี อะไร จากนั ้นพระศาสดาได้น าเรื่องบุรพกรรมของเปรตตน นั ้นมาทรงเล่าว่า ในสมัยของพระกัสสปพุทธเจ้า เปรตตนนี ้เป็นภิกษุผู้สอน ธรรม มีอยู่คราวหนึ่ง ได้มาที่วัดแห่งหนึ่ง พบพระภิกษุ 2 รูปพักอยู่ด้วยกันในวัดแห่งนี ้ หลังจากที่ได้มาพักอยู่ที่วัดนี ้ ไม่นาน ก็พบว่ามีญาติโยมมาขึ ้นท่านมาก ท่านจึงเกิด ความคิดขึ ้นมาว่า ท่านควรจะหาทางให้พระสองรูปที่อยู่มา แต่เดิมออกไปจากวัดเสีย แล้วท่านจะได้อยู่ในวัดนี ้เพียงรูป เดียว ท่านจึงได้พยายามยุแหย่พระทั ้งสองรูปนั ้น จนพระ สองรูปเกิดทะเลาะกันและออกจากวัดนั ้นไปคนละทิศละ ทาง เพราะผลกรรมชั่วครั้งนั ้น ท าให้ท่านไปเกิดในอเวจี นรก และด้วยเศษของกรรมนั ้น ท่านได้มาเกิดเป็นเปรตตน
70 ที่พระมหาโมคคัลานเถระเห็น จากนั ้น พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุทั ้งหลาย ธรรมดาว่าภิกษุ พึงเป็นผู้เข้าไปสงบด้วย กาย วาจา และใจ” จากนั ้น พระศาสดาตรัสพระธรรมบท พระคาถานี ้ว่า วาจานุรกฺขี มนสา สุส วุโต กาเยน จ อกุสล น กยิรา เอเต ตโย กมฺมปเถ วิโสธเย อาราธเย มคฺค อิสิปฺปเวทิต ฯ บุคคลผู้มีปกติรักษาวาจา ส ารวมดีแล้วด้วยใจ และไม่ควร ท าอกุศลด้วยกาย พึงยังกรรมบถทั ้ง 3 เหล่านี ้ให้หมดจด พึงยินดีทางที่ท่านผู้แสวงหาคุณประกาศแล้ว. เมื่อพระธรรมเทศฯจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผล ทั ้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น. -------------------------------------------------------------------
71 05.เรื่องพระโปฐิลเถระ พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระ เถระนามว่าโปฐิละ ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า โยคา เว เป็นต้น พระโปฐิ ลเถระ ได้ ศึกษาเล่าเรี ยนพระไตรปิ ฎกจ น เชี่ยวชาญ และได้เป็นอาจารย์สั่งสอนธรรมแก่ภิกษุ 500 รูป เพราะมีความเข้าใจว่าตนรู้พระไตรปิฎกมาก พระโปฐิละจึง มีความทะนงตัวมาก พระศาสดาทรงทราบจุดอ่อนจุดนี ้ของ พระโปฐิละ และทรงมีพระประสงค์จะแก้ไขให้ปฏิบัติตาม แนวทางที่ถูกต้อง ดังนั ้น ในทุกครั้งที่พระโปฐิละมาเข้าเฝ้า พระศาสดาก็จะตรัสเรียกพระโปฐิละว่า “พระใบลานเปล่า” เมื่อพระโปฐิละได้ยินพระศาสดาตรัสเรียกเช่นนี ้ ก็เกิด ความตระหนักว่า ที่พระศาสดาตรัสเรียกเช่นนี ้ก็เพราะมี พระประสงค์จะทรงกระตุ้นให้พระโปฐิละมีความเพียรรีบเร่ง ปฏิบัติพระกัมมัฏฐานจนบรรลุมรรคผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนั ้น ท่านจึงเดินทางออกจากวัดพระเชตวันโดยไม่ได้บอก ให้ผู้อื่นรู้ ได้ไปที่วัดแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากวัดพระเชตวัน
72 ประมาณ 20 โยชน์ ที่วัดแห่งนี ้มีภิกษุอยู่ 30 รูป ใน เบื ้องแรกนั ้น พระโปฐิละเข้าไปหาพระเถระที่มีอาวุโสทาง พรรษามากที่สุด แล้วขอให้ท่านพระเถระผู้มีอาวุโสทาง พรรษามากที่สุดนี ้เป็นผู้สอนธรรมแก่ท่าน แต่พระเถระผู้มี อาวุโสมากนั ้นต้องการจะให้พระโปฐิละคลายทิฏฐิความดื ้อ รั้น จึงได้แนะน าให้ไปพบกับพระเถระผู้มีอาวุโสทางพรรษา น้อยกว่ารูปรองๆลงมา และพระเถระอาวุโสรูปรองลงมาก็ ได้แนะน าให้ ไปพบกับพระเถระอาวุโสรองลงไปเรื่อยๆ จนถึงสามเณรอายุ 7 ขวบ สามเณรรูปนี ้ได้รับท่านพระ โปฐิลเป็นศิษย์ หลังจากที่ประโปฐิลเถระรับปากว่าจะ ปฏิบัติตามค าแนะน าของสามเณรอย่างเคร่งครัด เมื่อได้รับ ค าแนะน าจากสามเณรนั ้นแล้ว พระโปฐิลเถระก็ได้ปฏิบัติ พระกัมมัฏฐานอย่างคร ่าเคร่งจนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นพระโปฐิลเถระด้วยพระจักษุ ทิพย์ จึงได้ทรงเนรมิตพระกายทิพย์ไปปรากฏอยู่เบื ้องหน้า พระโปฐิละ ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี ้ว่า โยคา เว ชายตี ภูริ อโยคา ภูริสงฺขโย
73 เอต เทวธาปถ ญตฺวา ภวาย วิภวาย จ ตถตฺถาน นิเวเสยฺย ยถา ภูริ ปวฑฺฒติ ฯ ปัญญาย่อมเกิดจากการประกอบแล ความสิ ้นไปแห่ง ปัญญา เพราะการไม่ประกอบ บัณฑิตรู้ ทาง 2 แพร่งแห่งความเจริญ และความเสื่อมนั ้น แล้ว พึงตั ้งตนไว้โดยประการที่ปัญญาจะเจริญขึ ้นได้รู้. เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง พระโปฐิละ บรรลุอรหัตตผล. ------------------------------------------------------------------ 06.เรื่องพระเถระแก่ พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภ พระภิกษุแก่หลายรูป ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า วน ฉินฺทถ เป็นต้น ในกาลครั้งหนึ่ง ในกรุงสาวัตถี มีชายชราฐานะดีหลายคน ออกบวชเป็นพระภิกษุ พระภิกษุชราเหล่านี ้ ไม่สามารถเล่า
74 เรียนได้ เพราะความเป็นคนแก่ จึงให้คนสร้างบรรณศาลา ไว้ที่หลังวัด แม้ในเวลาออกไปบิณฑบาตก็จะไปที่บ้านของ บุตรและภรรยาของตน ในหมู่อดีตภรรยาของพระภิกษุแก่ เหล่านี ้ มีนางหนึ่งชื่อว่า มธุรปาณิกา เป็นผู้ท าอาหารเก่ง มาก นางจะคอยดูแลพระแก่เหล่านี ้ทุกรูป พระแก่เหล่านี ้ เมื่อได้อาหารจากการบิณฑบาตมาแล้วก็จะไปนั่งฉันอยู่ที่ บ้านของนาง อยู่มาวันหนึ่ง นางมธุปาณิกาล้มป่ วยและ ได้เสียชีวิตอย่างฉับพลัน ภิกษุแก่เหล่านี ้มีความเศร้ าโศก ร้องไห้ร าพึงร าพันถึงนางผู้มีฝีมือในการท าอาหารอร่อย พระศาสดา เมื่อทรงทราบเรื่องนี ้ จากการสนทนาของภิกษุ ทั ้งหลาย ได้ตรัสว่า เรื่องนี ้เคยเกิดขึ ้นมาแล้วในอดีต เหมือนกัน และได้น าเรื่องกากชาดกมาตรัสเล่า แล้วตรัส กับภิกษุชราเหล่านี ้ว่า “ภิกษุทั ้งหลาย พวกเธออาศัยป่ า คือ ราคะ โทสะ และโมหะ จึงถึงทุกข์นี ้ พวกเธอควรตัด ป่ านั ้นเสีย พวกเธอจักเป็นผู้หมดทุกข์ได้ด้วยอาการอย่าง นั ้น” จากนั ้น พระศาสดาจึงตรัสพระธรรมบท พระคาถานี ้ว่า วน ฉินฺทถ มา รุกฺข
75 วนโต ชายตี ภย เฉตฺวา วนญฺจ วนฏฺ ฐญฺจ นิพฺพนา โหถ ภิกฺขโว ฯ ท่านทั ้งหลาย จงตัดกิเลสดุจป่ า อย่าตัดต้นไม้ภัยย่อมเกิด แต่กิเลสดุจป่ า ภิกษุทั ้งหลาย ท่านทั ้งหลาย จงตัดกิเลสดุจ ป่ า และดุจหมู่ไม้ตั ้งอยู่ในป่ าแล้ว เป็นผู้ไม่มีกิเลสดุจป่ า. ยาวฺญฺหิวนฏฺ โฐ นะ ฉิชฺชติ อณุมตฺโตปิ นรสฺส นาริสุ ปฏิพทฺธมโนว ตาว โส วจฺโฉ ขีรปโกว มาตริ ฯ เพราะกิเลสดุจหมู่บ้านตั ้งอยู่ในป่ า ถึงมีประมาณนิดหน่อย ของนรชน ยังไม่ขาดในนารีทั ้งหลายเพียงใด เขาเป็นเหมือน ลูกโคที่ยังดื่มน ้านม มีใจปฏิพัทธ์ในมารดาเพียงนั ้น. เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง พระเถระแก่เหล่านั ้น ได้บรรลุ โสดาปัตติผล พระธรรมเทศนา มีประโยชน์แม้แก่ชนที่มา ประชุมกัน.
76 ---------------------------------------------------------------- 07.เรื่องสัทธิวิหาริกของพระสารีบุตรเถระ พระศาสดา เมื่อประทับในพระเชตวัน ทรงปรารภ สัทธิวิหาริกของพระสารีบุตรเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ ว่า อุจฺฉินฺท เป็นต้น ในกาลครั้งหนึ่ง ชายหนุ่มบุตรนายช่างทองผู้หนึ่ง เป็น หนุ่มรูปหล่อ ได้รับการอุปสมบทเป็นภิกษุ โดยมีพระสารี บุตรเถระเป็นพระอุปัชฌายะ พระสารีบุตรเถระได้มอบ หัวข้ อพระกัมมัฏฐานซึ่งมีการพิจารณาสิ่งไม่งามเป็ น อารมณ์(อสุภกัมมัฏฐาน) ให้พระรูปนี ้ไปปฏิบัติ หลังจาก รับหัวข้อพระกัมมัฏฐานนี ้จากพระอุปัชฌายะแล้ว พระ หนุ่มรูปนี ้ก็ได้เข้าไปปฏิบัติพระกัมมัฏฐานอยู่ในป่ า แต่ก็มี ความก้ าวหน้ าในพระกัมมัฏฐานเพียงเล็กน้ อยเท่านั ้น ดังนั ้นท่านจึงกลับไปหาพระสารีบุตรเถระเพื่อขอค าแนะน า เพิ่มเติม แต่เมื่อน าไปปฏิบัติ ก็ยังไม่มีความก้ าวหน้ า เหมือนเดิม คราวนี ้พระสารีบุตรเถระได้พาภิกษุนั ้นเข้าไป เฝ้าพระศาสดา และกราบทูลเรื่องราวต่างๆให้พระศาสดา ได้ทรงทราบ
77 พระศาสดา ทรงทราบว่า พระหนุ่มนี ้เป็นบุตรของนาย ช่างทอง และทรงทราบด้วยญาณพิเศษด้วยว่า ภิกษุนี ้เคย เกิดในตระกูลช่างทองมาแล้ว 500 ชาติ จึงได้ทรงเปลี่ยน หัวข้อพระกัมมัฏฐานให้พระรูปนี ้เสียใหม่ คือ จากเดิมให้ พิจารณาสิ่งที่ไม่งาม ก็ให้มาพิจารณาในสิ่งที่งาม โดย พระองค์ได้ทรงใช้พระฤทธิ์เนรมิตดอกบวัซงมีขนาดใหญ่เท่า ึ่ ล้อเกวียน แล้วให้น าดอกบัวนี ้ไปปักไว้ที่กองทรายข้างนอก วัด ให้นั่งขัดสมาธิหันหน้าไปทางดอกบัว แล้วท าบริกรรม ว่า “โลหิตก โลหิตก (สีแดง สีแดง) เมื่อภิกษุหนุ่มเพ่งพินิจ ดอกบัวใหญ่มีสีแดงสวยและมีกลิ่นหอม และบริกรรมอย่าง นั ้น ก็สามารถขจัดนิวรณ์เครื่องขวางกั ้นทั ้งหลาย เกิด ความปีติอิ่มเอิบใจ จนถึงขั ้นบรรลุฌานที่ 4 (จตุตถฌาน) พระศาสดา ประทับในพระคันธกุฎี ทอดพระเนตรเห็นด้วย ญาณพิเศษ จึงใช้อ านาจฤทธิ์เนรมิตให้ดอกบวันนั้เหี่ยวแห้ง อย่างฉับพลัน เมื่อภิกษุหนุ่มเห็นดอกบัวเหี่ยวและเปลี่ยนสี เป็นสีด าเช่นนั ้น ก็ได้รับรู้ ถึงความไม่เที่ยงของดอกบัวและ ของสิ่งทั ้งหลายทั ้งปวง และก็น าไปสู่การรู้ แจ้งเห็นจริงใน ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ และความไม่มีตัวตนของ สังขารทั ้งหลาย
78 เมื่อถึงตอนนี ้ พระศาสดาประทับที่พระคันธกุฎี ทรงเปล่ง พระรัศมีไปปรากฏอยู่เฉพาะหน้าของภิกษุนั ้น แล้วตรัสพระ ธรรมบท พระคาถานี ้ว่า อุจฺฉินท สิเนหมตฺตโน กุมุท สารทิก ว ปาณินา สนฺติมคฺคเมว พฺรูหเย นิพฺพาน สุคเตน เทสิต ฯ เธอจงตัดความเยื่อใยของตนเสีย เหมือนบุคคลถอนดอก โกมุทที่เกิดในสารทกาลด้วยมือ จงเจริญทางแห่งสันติ ทีเดียว เพราะพระนิพพาน อันพระสุคตแสดงแล้ว. เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง พระภิกษุหนุ่มรูปนั ้น ได้บรรลุ อรหัตตผล. ------------------------------------------------------------------
79 08.เรื่องพ่อค้ามีทรัพย์มาก พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพ่อค้า มีทรัพย์มาก ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า อิธ วสฺส เป็นต้น ในกาลครั้งหนึ่ง มีพ่อค้าจากเมืองพาราณสีผู้หนึ่ง น ากอง เกวียนบรรทุกสินค้า 500 เล่ม มาพักอยู่ที่ฝั่งแม่น ้า คืนนั ้น ได้เกิดฝนตกหนัก น ้าล้นตลิ่งตลอด 7 วัน พ่อค้านั ้นคิดจะ จอดเกวียนขายสินค้าอยู่ที่นั่นตลอด 3 ฤดู พระศาสดาทรง ทราบด้วยพระอนาคตังสญาณว่า พ่อค้านี ้จะเสียชีวิต ภายใน 7 วัน จึงได้ตรัสบอกพระอานนทเถระ พระอานนท เถระก็ได้ไปแจ้งพ่อค้าถึงเรื่องที่เขาจะเสียชีวิตภายใน 7 วัน ดังกล่าว พ่อค้าพอได้ฟังก็เกิดสลดใจ ได้อาราธนาพระ ศาสดาพร้อมภิกษุสงฆ์มารับอาหารบิณฑบาตตลอด 7 วัน ในวันที่ 7 พระศาสดา ได้ตรัสอนุโมทนกถา ว่า “อุบาสก ธรรมดาบัณฑิต คิดว่า เราจักอยู่ในที่นี ้แหละตลอดฤดูฝน เป็นต้น จักประกอบการงานชนิดนี ้ๆ ย่อมไม่ควร ควร คิดถึงอันตรายแห่งชีวิตของตนเท่านั ้น “ จากนั ้น พระศาสดาจึงตรัสพระธรรมบท พระคาถานี ้ว่า อิธ วสฺส วสิสฺสามิ
80 อิธ เหมนฺตคิมฺหิสุ อิติ พาโล วิจินฺเตติ อนฺตราย น พุชฺฌติ ฯ คนพาลย่อมคิดว่า เราจักอยู่ในที่นี ้ตลอดฤดูฝน จักอยู่ในที่นี ้ ในฤดูหนาว และฤดูร้อน หารู้ถึงอันตรายไม่. เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง พ่อค้ามีทรัพย์มากนั ้น ได้บรรลุ โสดาปัตติผล พระธรรมเทศนามีประโยชน์แก่บุคคลที่ ประชุมกัน ฝ่ายพ่อค้านั ้นได้เดินตามส่งเสด็จพระศาสดาไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วเดินทางกลับ มานอนบนที่นอน มีความรู้สึกปวดศีรษะ อย่างรุนแรงและเสียชีวิตในเวลาต่อมา และได้ไปเกิดใน สวรรค์ชั ้นดุสิต ----------------------------------------- 09.เรื่องนางกิสาโคตมี พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภนางกิ สาโคตรมี ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า ต ปุตฺตปสุสมฺมตฺต เป็นต้น
81 นางกิสาโคตมี เมื่อคลอดบุตรออกมาแล้ว บุตรนั ้นได้ เสียชีวิตในเวลาต่อมา นางไม่เคยเห็นคนตายมาก่อน คิด ว่าบุตรเพียงแค่ป่ วยเท่านั ้น จึงได้อุ้มศพบุตรเที่ยวตระเวน หาหมอยา มีผู้แนะน าให้ไปเฝ้าพระศาสดา พระศาสดาได้ ทรงแนะน าให้นางไปหาเมล็ดพันธุ์ผักกาด จากบ้านที่ไม่ เคยมีคนตายมาก่อนเลย เมื่อนางหาไม่ได้ และได้กลับมา ทูลพระศาสดาให้ทรงทราบ พระศาสดาจึงได้ตรัสสอนนาง ว่า “ท่านเข้าใจว่า บุตรของเราเท่านั ้น ตายแล้ว ความตาย นั่น เป็นธรรมเที่ยงแท้ของสรรพสัตว์ เพราะมัจจุราชคร่า สรรพสัตว์ ผู้มีอัธยาศัยยังไม่เต็มเปี่ยมเหล่านั ้น ซัดลงไปใน สมุทรคืออบาย ดุจห้วงน ้าใหญ่ ฉะนั ้น” จากนั ้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี ้ว่า ต ปุตฺตปสุสมฺมตฺต พฺยาสตฺตมนส นร สุตฺต คาม มโหโฆว มจฺจุ อาทาย คจฺฉติ ฯ
82 มัจจุ พานระนั ้น ผู้มัวเมาในบุตรและปศุสัตว์ผู้มีใจข้องใน อารมณ์ต่างๆไป เหมือนห้วงน ้าใหญ่ พัดพาเอาชาวบ้านผู้ หลับไป ฉะนั ้น. เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง นางกิสาโคตมี บรรลุโสดา ปัตติผล พระธรรมเทศนามีประโยชน์ แม้แก่บุคคลผู้มา ประชุมกัน. ----------------------------------------------------------------- 10.เรื่องนางปฏาจารา พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภ นางปฏาจารา ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า น สนฺติ ปุตฺตา เป็นต้น เมื่อนางปฏาจาราสูญเสียสามี บุตรสองคน ตลอดจน มารดาบิดา และพี่น้องอีก 3 คน ในเวลาเกือบจะพร้อมกัน นั ้น นางก็จึงเกือบจะเสียสติ เมื่อนางมาเฝ้า พระศาสดา ตรัสกับนางว่า “ปฏาจารา ชื่อว่าปิยชนทั ้งหลายมีบุตรเป็น ต้น ย่อมไม่สามารถเป็นผู้ต้านทานหรือป้องกัน ของบุคคล ผู้ไปสู่ปรโลกได้ เพราะฉะนั ้น ชนเหล่านั ้น แม้มีอยู่ ก็ชื่อว่า
83 ไม่มีแท้ การที่บัณฑิตช าระศีลให้หมดจดแล้ว ช าระหนทาง เป็นที่ไปพระนิพพานเพื่อตนนั่นแล ย่อมสมควร” จากนั ้น พระศาสดาจึงตรัสพระธรรมบท สองพระคาถานี ้ ว่า น สนฺติ ปุตฺตา ตาณาย น ปิตา นปิ พนฺธวา อนฺตเกนาธิปนฺนยสฺส นตฺถิ ญาตีสุ ตาณตา ฯ เอตมตฺถวส ญตฺวา ปณฺฑิโต สีลส วุโต นิพฺพานคมน มค์ค ขิปฺปเมว วิโสธเย ฯ บุตรทั ้งหลาย ย่อมไม่มีเพื่อต้านทาน บิดาและพวกพ้อง ทั ้งหลาย ก็ไม่มีเพื่อต้านทาน เมื่อบุคคลถูกความตาย ครอบง าแล้ว ความต้านทานในญาติทั ้งหลาย ย่อมไม่มี.
84 บัณฑิต ทราบอ านาจเนื ้อความ ดังนี ้แล้ว เป็นผู้ส ารวมใน ศีล พึงช าระทางเป็ นที่ไปพระนิพพาน ให้ หมดจดพลัน ทีเดียว. เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง นางปฏาจารา บรรลุโสดาปัตติ ผล ชนเหล่าอื่นเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั ้งหลาย มีโสดา ปัตติผลเป็นต้น. -------------------------------------------
85 บทที่ 21 ปกิณณกวรรค 01.เรื่องบุรพกรรมของพระองค์ พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภบุรพ กรรมของพระองค์ ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า มตฺตาสุขปริจ จาคา เป็นต้น ในกาลครั้งหนึ่ง เกิดภาวะขาดแคลนอาหารในเมืองไพศาลี จุดเริ่มต้นมาจากการเกิดภาวะฝนแล้งขึ ้นก่อน เมื่อเกิด ภาวะฝนแล้งนี ้ก็ท าให้การท านาท าไร่ไม่ได้ผล ประชาชนจึง ไม่มีอาหารรับประทานอย่างเพียงพอ ท าให้สูญเสียชีวิต เพราะความอดอยาก ติดตามมาด้วยการเกิดโรคระบาด เนื่องจากมีซากศพของคนตายมากจนไม่สามารถฝังหรือเผา ได้ทัน มีกลิ่นของซากศพเน่าเหม็นคละคลุ้งไปทั่วเมือง กลิ่นเหม็นนี ้จึงดึงดูดให้พวกอมนุษย์ให้เข้ามาเมืองเพื่อกิน ซากศพ เพราะฉะนั ้น ในตอนนั ้น ชาวเมืองจึงประสบกับภัย 3 อย่างพร้อมๆ กัน คือ 1. ภัยเกิดจากหาอาหารได้ยาก 2. ภัยเกิดจากอมนุษย์ และภัยเกิดจากโรคระบาด เมื่อเกิดภัย เหล่านี ้ขึ ้นมา ชาวเมืองไพศาลีต่างก็แสวงหาที่พึ่ง จาก แหล่งต่างๆที่พวกเขาคิดว่าจะมาช่วยเหลือเพื่อขจัดปัดเป่ า
86 ภัยเหล่านี ้ได้ และในที่สุดพวกเขาตัดสินใจไปทูลอัญเชิญ พระศาสดาเสด็จมาสู่เมืองไพศาลี ทั ้งนี ้ก็โดยเข้ าใจว่า พระองค์เป็นพระสมัมาสมัพทุธเจ้า มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพ มาก ทรงแสดงธรรมเพื่อประโยชน์แก่สรรพสัตว์ เมื่อ พระองค์เสด็จมาสู่เมืองไพศาลีแล้ว ภัยต่างๆก็จะสงบลงได้ ดังนั ้น ชาวเมืองไพศาลีจึงได้ส่งคณะของเจ้ามหาลิเจ้าชาย แห่งลิจฉวีและบุตรของปุโรหิตไปเฝ้าพระเจ้าพิมพิสาร เพื่อ ขอประทานทานวโรกาสให้ พระศาสดาเสด็จมาโปรด ชาวเมืองไพศาลี และพระศาสดาทรงรับค าอาราธนา เพราะทรงทราบด้วยพระญาณพิเศษว่า “ในเมืองไพศาลี เมื่อเราสวดรตนสูตร อาชญาจักแผ่ไปตลอดแสนโกฏิ จักรวาล ในกาลจบพระสูตร การบรรลุธรรมจักมีแก่สัตว์ แปดหมื่นสี่พัน ภัยเหล่านั ้นก็จักสงบไป” เมื่อพระศาสดาทรงรับค าอาราธนาเสด็จเยือนเมืองไพศาลี ครั้งนี ้แล้ว พระเจ้าพิมพิสารทรงรับสั่งให้ซ่อมแซมถนน หนทางระหว่างกรุงราชคฤห์กับฝั่งแม่น ้าคงคา ทรงรับสั่งให้ ตระเตรียมการต่างๆ เช่น ที่ประทับของพระศาสดาและหมู่ ภิกษุสงฆ์ในทุกระยะทางหนึ่งโยชน์ เป็ นต้ น เมื่อการ ตระเตรียมต่างๆส าเร็จเสร็จสิ ้นเป็นที่เรียบร้ อยแล้ว พระ
87 ศาสดาก็ได้เสด็จไปยังเมืองไพศาลี พร้ อมด้วยภิกษุสงฆ์ จ านวน 500 รูป โดยพระเจ้าพิมพิสารได้ตามเสด็จในครั้งนี ้ ด้วย ในวันที่ 5 คณะเสด็จของพระศาสดาก็มาถึงที่ฝั่ง แม่น ้าคงคา พระเจ้าพิมพิสารได้ทรงส่งข่าวไปถึงพวกเจ้าลิจ ฉวีทั ้งหลายเพื่อให้รับช่วงการเสด็จต่อไป ซึ่งทางอีกฟากฝั่ง หนึ่งของแม่น ้าคงคานั ้น พวกเจ้าลิจฉวีก็ได้มีการตระเตรียม ต้อนรับพระศาสดาเช่นเดียวกันโดยได้ท าการซ่อมแซมถนน หนทางเสด็จจากฝั่งแม่น ้าคงคาถึงกรุงไพศาลี ตลอดจน สร้ างที่ประทับของพระศาสดาและหมู่ภิกษุสงฆ์ไว้ตามจุด ต่างๆทุกระยะทางหนึ่งโยชน์เหมือนอย่างที่ทางพระเจ้าพิม พิสารทรงสร้ าง ครั้นพระศาสดาได้เสด็จข้ามแม่น ้าคงคา พร้อมด้วยหมู่ภิกษุสงฆ์แล้ว พระเจ้าพิมพิสาร ก็ได้ประทับ เพื่อรอรับการเสด็จกลับของพระศาสดา ณ ริมฝั่งแม่น ้าคง คานั่นเอง ทันทีที่พระศาสดาและภิกษุสงฆ์เสด็จข้ามถึงอีกฟากฝั่งหนึ่ง ของแม่น ้าคงคา ก็ได้เกิดเหตุมหัศจรรย์ภาวะฝนแล้งที่ เกิดขึ ้นเป็นเวลายาวนานก็ได้พลันมลายหายไป เกิดฝนตก ลงมาอย่างหนัก น ้าฝนได้ไหลพัดพาเอาซากศพที่เน่าเหม็น มนุษย์ลงสู่แม่น ้าคงคา ท าให้ เมืองไพศาลีส ะอาด
88 ปราศจากสิ่งปฏิกูลเน่าเหม็นทั ้งปวง พระศาสดาได้ประทับ ที่เรือนพักรับรองที่ทางเจ้าลิจฉวีจัดเตรียมไว้เป็นพิเศษที่ กลางเมืองไพศาลี ท้าวสักกเทวราช พร้ อมด้วยเทวดา ทั ้งหลาย ได้เสด็จลงมาจากสวรรค์มาถวายบังคมพระ ศาสดา ส่งผลท าให้พวกอมนุษย์บางพวกที่เข้ามาอยู่ใน เมืองต้องหลบหนีออกไปอยู่ห่างจากเมืองไป เพราะไม่ สามารถอยู่ในที่ชุมนุมของเหล่าเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ได้ ใน เย็นวันนั ้นเอง พระศาสดารับสั่งให้พระอานนท์เรียนพระ ปริตรชื่อ รัตนสูตร (ซึ่งค าสวดขึ ้นต้นด้วย ยานีธ ภูตานิ สมาคตานิฯลฯ) จากพระองค์จนจ าได้ขึ ้นใจก่อน จากรับทรง สั่งให้น าบาตรของพระองค์มาใส่น ้าพุทธมนต์ ทรงให้พระ อานนท์เดินตามพวกเจ้าลิจฉวีที่ถือบาตรน ้ามนต์นั ้นน าหน้า แล้วท าการสวดรัตนสตูรและประพรมน า้มนต์อนัศกัดิ์สิทธิ์นี้ ในระหว่างก าแพงทั ้งสามชั ้นของเมืองไพศาลี เมื่อพระ อานนท์ท าอยู่อย่างนี ้เป็นเวลา 7 วัน ด้วยอานุภาพของพระ ปริตรที่ชื่อ รัตนสูตร นี ้ ท าให้คนป่ วยเป็นจ านวนมากหาย จากโรคระบาด และเดินตามพระอานนท์ไปเฝ้าพระศาสดา เมื่อถึงวันที่ 7 สถานการณ์ในเมืองไพศาลีก็กลับคืนสู่ภาวะ ปกติปกติ ภัยทั ้งสามก็ได้หายไปจนหมดสิ ้น พวกเจ้าลิจฉวี
89 และประชาชนชาวเมืองไพศาลีต่างมีความยินดีปรีดา ต่าง ส านึกในพระกรุณาธิคุณของพระศาสดา และได้ตามเสด็จ ส่งพระศาสดาจนถึงฝั่งแม่น ้าคงคา คและพระเจ้าพิมพิสาร ตลอดจนเหล่าทวยเทพ พระพรหม และพระยานาค ทั ้งหลาย ก็ได้รอรับเสด็จพระศาสดาและหมู่ภิกษุสงฆ์ จากนั ้นพระศาสดาและภิกษุสงฆ์ได้เสด็จเยือนนาคภพของ พระยานาคเพื่อโปรดพระยานาคทั ้งหลาย เมื่อเสร็จสิ ้น การเยือนนาคพิภพแล้วก็ได้เสด็จคืนสู่กรุงราชคฤห์ เมื่อคณะของพระศาสดาและหมู่ภิกษุสงฆ์กลับถึงกรุงรา ชคฤห์แล้ว พวกภิกษุเมื่อกลับจากบิณฑบาตแล้ว ในเวลา เย็นวันหนึ่ง ได้นั่งสนทนากันในธรรมสภาว่า “น่าชม! อานุภาพของพระพุทธเจ้าทั ้งหลาย น่าประหลาดใจ! เทวดา และมนุษย์ทั ้งหลายพากันเลื่อมใสในพระศาสดา พระราชา ทั ้งหลายทรงท าพื ้นที่ให้สม ่าเสมอในหนทาง 8 โยชน์ ทั ้งฝั่ง นี ้ฝั่งโน้นแห่งแม่น ้าคงคา เกลี่ยทรายลง ลาดดอกไม้สีต่างๆ โดยส่วนสูงประมาณเพียงเข่า ด้วยความเลื่อมใสอันไปแล้ว ในพระพุทธเจ้า น ้าในแม่น ้าคงคาก็ดาดาษ ด้วยดอกปทุม 5 สี ด้วยอานุภาพนาค เทวดาทั ้งหลายก็ยกฉัตรซ้อนๆกัน ขึ ้นตลอดถึงอกนิฏฐภพ ห้องจักรวาลทั ้งสิ ้นเกิดเป็นเพียงดัง
90 ว่ามีเครื่องประดับเป็นอันเดียว และมีมหรสพเป็นอันเดียว” พระศาสดาได้ตรัสบอกภิกษุทั ้งหลายที่สนทนากันนั ้นว่า “ภิกษุทั ้งหลาย เครื่องบูชาและสักการะนี ้ มิได้บังเกิดขึ ้นแก่ เราด้วยพุทธานุภาพ มิได้เกิดขึ ้นด้วยอานุภาพนาคเทวดา และพรหม แต่ว่าเกิดด้ วยอานุภาพแห่งการบริจาคมี ประมาณน้อยในอดีต” จากนั ้น พระศาสดาได้ทรงน าเรื่อง สุสิมมาณพ มาตรัสเล่า และได้ตรัสพระธรรมบท พระ คาถานี ้ว่า มตฺตาสุขปริจจาคา ปสเส เจ วิปุล สุข จเช มตฺตาสุข ธีโร สมฺปสส วิปุล สุข ฯ ถ้าบุคคลพึงเห็นสุขอันไพบูลย์เพราะสละสุขพอประมาณ เสีย ผู้ มีปั ญญา เมื่อเห็นสุขอันไพบูลย์ ก็พึงสละสุข พอประมาณเสีย (จึงจะได้พบสุขอันไพบูรณ์). เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผล ทั ้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
91 ----------------------------------------------------------------- 02.เรื่องกุมาริกากินไข่ไก่ พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภกุมา ริกาผู้ กินไข่ไก่คนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า ปร ทุกฺขูปธาเนน ดังนี ้ ในกาลครั้งหนึ่ง สตรีคนหนึ่งในกรุงสาวัตถี เลี ้ยงแม่ไก่ไว้ ในบ้านตัวหนึ่ง ทุกครั้งที่แม่ไก่นั ้นออกไข่ สตรีนั ้นก็จะน าไข่ ไก่ไปต้มรับประทาน แม่ไก่คิดอาฆาตในสตรีนั ้น และตั ้งจิต อธิษฐานขอให้ชาติหน้าไปเกิดเป็นแม่ไก่ ที่สามารถกินลูก ของหญิงนี ้ให้ได้ เมื่อแม่ไก่ตายแล้วก็ได้ไปเกิดเป็นแม่แมว ในบ้านหลังนั ้นเอง ข้างสตรีนางนั ้นเมื่อเสียชีวิตแล้ว ก็ได้ บังเกิดเป็นแม่ไก่ใบบ้านหลังนั ้นเหมือนกัน พอแม่ไก่ออกไข่ นางแมวก็มากินไข่ของแม่ไก่นั ้น ท าอยู่อย่างนี ้ติดต่อกัน 2- 3 ครั้ง แม่ไก่จึงตั ้งความปรารถนาว่า เมื่อไปเกิดในภพชาติ ใหม่ ก็ขอให้ไปเกิดอยู่ในฐานะที่จะกินลูกของแม่แมวนี ้บ้าง ชาติต่อมา แม่ไก่ไปบังเกิดเป็นนางเสือเหลือง ส่วนนางแมว ไปเกิดเป็นนางเนื ้อ(กวาง) เมื่อนางเนื ้อนั ้นคลอดลูก นาง เสือเหลืองก็มาคอยจับไปกิน เป็นอยู่อย่างนี ้ถึง 500 ชาติ
92 กระทั่งในมาถึงสมัยของพระโคดมพุทธเจ้า เมื่อนางหนึ่งมา เกิดเป็นนางยักษิณี อีกนางหนึ่งมาเกิดเป็นสตรีในเมืองสา วัตถี มีอยู่ครั้งหนึ่ง สตรีนางนั ้นเดินทางจากบ้านบิดามารดาจะ กลับไปที่บ้านของสามี พร้ อมด้วยสามีและบุตรที่อุ้มอยู่ใน อ้อมแขน ขณะที่นางอุ้มลูกนั่งพักเหนื่อยอยู่ที่ใกล้หนองน ้า ไม่ไกลจากกรุงสาวัตถี ส่วนสามีลงไปอาบน ้าในหนองน ้า อยู่นั ้น นางยักษิณีได้มาปรากฏร่าง และสตรีนั ้นก็จดจ าได้ ว่านางยักษิณีเป็นศัตรูเก่าจะจับลูกของนางไปกิน นางจึง รีบอุ้มลูกวิ่งไปทางพระเชตวัน ซึ่งขณะนั ้นพระศาสดาก าลัง ทรงแสดงพระธรรมเทศนาอยู่ในท่ามกลางมหาชน เมื่อไป ถึงก็ได้วางบุตรลงที่ข้างพระบาทของพระศาสดา ข้างนาง ยักษิณีก็วิ่งติดตามหญิงนั ้นไปถึงประตูวัดแต่ถูกเทวดาเฝ้า ประตูวัดขัดขวางไม่ให้ เข้ าไปในวัดได้ พระศาสดาทรง ทอดพระเนตรเห็นเช่นนั ้น ก็ได้ตรัสบอกพระอานนท์ให้ไป บอกเทวดาที่ซุ้มประตูให้อนุญาตนางยักษิณีเข้ามาได้ เมื่อ นางยักษิณีเข้ามาอยู่เบื ้องของพระศาสดาแล้ว พระศาสดา ได้ตรัสสอนทั ้งสตรีและนางยักษิณีว่า “หากเธอทั ้งสองไม่มา หาเรา เวรของเธอทั ้งสองก็จะยังด าเนินอยู่ต่อไปอย่างไม่มีที่
93 สิ ้นสุด เวรไม่มีวันระงับด้วยการจองเวร เวรสามารถระงับ ได้ด้วยการไม่จองเวรเท่านั ้น” จากนั ้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี ้ว่า ปรทุกฺขูปธาเนน โย อตฺตโน สุขมิจฺฉติ เวรส สคฺคส สฏฺ โฐ เวรา โส น ปริมุจฺจติ ฯ ผู้ใด ปรารถนาสุขเพื่อตน เพราะก่อทุกข์ในผู้อื่น ผู้นั ้น เป็น ผู้ระคนด้วยเครื่องระคนคือเวร ย่อมไม่พ้นจากเวรได้. เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง นางยักษิณีตั ้งอยู่ในสรณะ ทั ้งหลาย สมาทานศีล 5 พ้นแล้วจากเวร ฝ่ ายกุลธิดานั ้น ตั ้งอยู่ในโสดาบัตติผล พระธรรมเทศนามีประโยชน์ แม้แก่ บุคคลผู้ประชุมกันแล้ว. -----------------------------------------------------------------
94 03.เรื่องภิกษุชาวนครภัททิยะ พระศาสดา เมื่ออาศัยนครภัททิยะ ประทับอยู่ในชาติยาวัน ทรงปรารภภิกษุชาวนครภัททยะ ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า ย หิ กิญจิ เป็นต้น ในสมัยนั ้น พวกภิกษุนครภัททิยะ ท าการประดับเขียงเท้า ชนิดต่างๆ โดยท าด้วยหญ้าปล้องบ้าง ท าด้วยหญ้ามุง กระต่ายบ้าง ท าด้วยต้นเป้งบ้าง ท าด้วยผ้ากัมพลบ้าง เมื่อ มามัวแต่พะวงด้วยงานเหล่านี ้อยู่ ก็ไม่เป็นอันศึกษาเล่า เรี ยนพระธรรมวินัย การปฏิบัติธรรม ทั ้งฝ่ ายสมถ กัมมัฏฐาน และวิปัสสนากัมมัฏฐาน ภิกษุทั ้งหลาย ต าหนิ โทษของการกระท าดังกล่าวของภิกษุเหล่านั ้น และได้กราบ ทูลพระศาสดา พระศาสดา ตรงติเตียนภิกษุเหล่านั ้น ตรัสว่า “ภิกษุ ทั ้งหลาย เธอทั ้งหลายมาด้วยกิจอย่างหนึ่ง แต่มาขวย ขวายในกิจอีกอย่างหนึ่ง” ย หิ กิจฺจ ตทปวิทฺธ อกิจฺจ ปน กยีรติ
95 อนุ ฺนนาฬ ปมตฺตาน เตส วฑฺฒนฺติ อาสวา ฯ เยสญฺจ สุสมารทฺธา นิจฺจ กายคตา สติ อกิจฺจ เต น เสวนฺติ กิจฺเจ สาตจฺจการิโน สตาน สมปชานาน อตฺถ คจฺฉนฺติ อาสวา ฯ ก็ภิกษุละทิ ้งสิ่งที่ควรท า แต่ย่อมท าสิ่งที่ไม่ควรท า อาสวะ ทั ้งหลาย ย่อมเจริญแก่ภิกษุเหล่านั ้น ผู้มีมานะประดุจไม้อ้อ อันยกขึ ้นแล้ว ผู้ประมาทแล้ว. ส่วนสติอันไปในกาย อันภิกษุเหล่าใด ปรารภด้วยดีเป็น นิตย์ ภิกษุเหล่านั ้น มีปกติท าเนืองๆในกิจที่ควรท า ย่อมไม่ เสพสิ่งที่ไม่ควรท า อาสวะทั ้งหลาย ของภิกษุเหล่านั ้น ผู้มี สติ มีสัมปชัญญะ ย่อมถึงความตั ้งอยู่ไม่ได้.
96 เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ภิกษุเหล่านั ้น บรรลุอรหัตตผล แล้ว พระธรรมเทศนา มีประโยชน์ แม้ แก่บุคคลที่มา ประชุมกัน. ------------------------------------------------------------------ 04.เรื่องพระลกุณฏกภัททิยเถระ พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภ พระลกุณฏกภัททิยเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี ้ว่า มาตร ปิตร หนฺตวา เป็นต้น วันหนึ่ง ภิกษุอาคันตุกะหลายรูปด้วยกัน เข้าไปเฝ้าพระ ศาสดา ซึ่งประทับนั่ง ณ ที่ประทับกลางวัน ถวายบังคม แล้ว นั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง ขณะนั ้น พระลกุณฏกภัททิย เถระเดินผ่านไปในที่ไม่ไกลจากพระศาสดา พระศาสดา ทรงทราบวารจิต (คือความคิด) ของภิกษุเหล่านั ้นแล้ว ตรัส ว่า “ภิกษุทั ้งหลาย พวกเธอเห็นหรือไม่ ? ภิกษุนี ้ฆ่ามารดา บิดาแล้ว เป็นผู้ไม่มีทุกข์ ไปอยู่ ?” เมื่อภิกษุเหล่านั ้นมองดู หน้ากันและกัน เกิดความสงสัยว่า “พระศาสดา ตรัสอะไร อย่างนี ้ ?” จึงได้ทูลถามในเรื่องนี ้ พระศาสดา จึงตรัสพระธรรมบท พระคาถานี ้ว่า
97 มาตร ปิตร หนฺตฺวา ราชาโน เทฺว จ ขตฺติเย รฏฺ ฐ สานจุร หนฺตฺวา อนีโฆ ยาติ พฺราหฺมโณ ฯ มาตร ปิตร หนฺตฺวา ราชาโน เทฺว จ โสตฺถิเย เวยยคฺฆปญฺจม หนฺตฺวา อนีโฆ ยาติ พฺราหฺมโณ ฯ บุคคลฆ่ามารดาบิดา ฆ่าพระราชาผู้กษัตริย์ 2 พระองค์และ ฆ่าแว่นแคว้นพร้ อมด้วยเจ้าพนักงานเก็บส่วยแล้ว เป็น พราหมณ์ไม่มีทุกข์ ไปอยู่. บุคคลฆ่ามารดาบิดา ฆ่าพระราชาผู้เป็นพราหมณ์ทั ้ง 2 ได้ แล้ว และฆ่าหมวด 4 แห่งนิวรณ์มิวิจิกิจฉานิวรณ์เช่นกับ หนทางที่เสือโคร่งเที่ยวไปที่ 5 แล้ว เป็นพราหมณ์ ไม่มี ทุกข์ ไปอยู่.
98 หมายเหตุ ในพระธรรมบท สองพระคาถานี ้พระศาสดา หมายถึงอริยบุคคลผู้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว ซึ่งได้ก าจัด ตัณหา อัสมิมานะ ทิฏฐิ อายตนะ 12 ที่ตรัสเช่นนั ้นเป็น การใช้ค าเชิงเปรียบเทียบ ค าว่า “มารดา” และ “บิดา” ทรงใช้หมายถึง ตัณหา และอัสมิมานะ ตามล าดับ ส่วน สัสสสทิฏฐิ และ อุจเฉททิฏฐินั ้น ทรงเปรียบว่าเหมือน กษัตริย์ 2 พระองค์ ความก าหนัดด้วยความยินดี ซึ่งอาศัย อายตนะ 12 นั ้น เป็นดุจคนเก็บส่วย ส่วนอายตนะภายใน 6 และอายนตะภายนอก 6 รวมเป็นอายตนะ 12 นั ้น เปรียบกับ แว่นแคว้น เพราะมีความกว้างขวาง เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ภิกษุเหล่านั ้น บรรลุอรหัตตผล แล้ว. ------------------------------------------------------------------- 05.เรื่องนายทารุสากฏิกะ พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภบุตร ของนายทารุสากฏิกะ(คนขับเกวียนบรรทุกไม้) ตรัสพระ ธรรมเทศนานี ้ว่า สุปฺปพุทฺธ เป็นต้น
99 ในกาลครั้งหนึ่ง ในกรุงราชคฤห์ ชายผู้หนึ่งขับเกวียนเข้า ไปตัดไม้ในป่ าพร้ อมด้วยบุตร เมื่อเดินทางจะกลับมาบ้าน ในตอนเย็น ได้หยุดพักเกวียนที่เต็มไปด้วยไม้ต่างๆ ไว้ที่ใกล้ ป่ าช้า เพื่อจะได้รับประทานอาหารเย็น พวกเขาปลดโค ออกจากแอกเกวียน ปล่อยให้มันและเล็มหญ้าอยู่ในบริเวณ ใกล้เคียงนั ้น แต่โคสองตัวนั ้นได้หายไป ผู้เป็นบิดาจึงออก เที่ยวตามหาไปตามที่ต่างๆ กว่าจะพบก็ตกเย็น ประตู เมืองปิด เข้าไปในตัวเมืองไม่ได้ จึงต้องปล่อยบุตรชายให้ ต้องนอนอยู่ที่ใต้เกวียนแต่ล าพัง บุตรชายของคนขับเกวียนนั ้น แม้ว่าจะยังเป็นเด็กอยู่ แต่ เป็นเด็กสัมมาทิฏฐิ ระลึกถึงพุทธานุสสติเสมอ ในคืนนั ้น มี อมนุษย์ 2 ตนมาจะท าร้ ายบุตรของชายขับเกวียนนั ้น โดย อมนุษย์ตนหนึ่งได้เข้ามาดึงที่ขาของเด็กนั ้น เด็กนั ้นได้ร้ อง ขึ ้นมาว่า “นโม พุทฺธสฺส” (แปลว่า ขอความนอบน้อม จงมี แด่พระพุทธเจ้า) เพราะเคยอุทานค าประโยคนี ้อยู่เป็น ประจ า เมื่อได้ยินค าประโยคนี ้ออกจากปากของเด็ก พวก อมนุษย์ก็ตกใจ และมีความรู้ สึกว่าไม่ควรจะท าร้ ายเด็กนี ้ แต่ควรจะช่วยปกปักรักษา อมนุษย์ตนหนึ่งจึงได้เข้าไปอยู่ ใกล้ๆและช่วยระแวดระวังภัยให้เด็กนั ้น ส่วนมนุษย์อีกตน
100 หนึ่งก็ได้ไปที่พระราชวังของพระเจ้าพิมพิสารและได้น าถาด ทองบรรจุพระกระยาหารของพระราชามาให้ เด็กนั ้น รับประทาน โดยอมนุษย์ทั ้งสองตนนั ้นได้จ าแลงกายเป็น บิดามารดามาคอยดูแลในขณะที่เด็กนั ้นรับประทานอาหาร เมื่อเด็กรับประทานอาหารอิ่มแล้ว อมนุษย์ได้จารึกข้อความ บรรยายเรื่องต่างๆลงที่ถาดทองนั ้นทิ ้งไว้ และให้อ่านออกได้ เฉพาะพระราชาเท่านั ้น เมื่อถึงรุ่งเช้า พวกราชบุรุษพบว่าถาดทองใส่พระกระยา หารของพระราชาหายไป ก็ตื่นตระหนกและพากันตามหา ทั ้งในเมืองและนอกเมือง และก็ได้ไปพบถาดทองนั ้นอยู่บน เกวียนบรรทุกฟื น จึงจับเด็กคนนั ้นไปถวายพระราชา พระราชาทรงสอบถาม เด็กนั ้นได้กราบทูลว่า เขาเห็นบิดา มารดาน าถาดอาหารนี ้มาให้ เขารับประทานในตอน กลางคืน แล้วเขาก็นอนหลับสนิทโดยปราศจากสิ่งอื่นใดมา รบกวน พระราชาได้รับสั่งให้ไปตามหาบิดามารดาของเด็ก นั ้นจนพบและถูกน าตัวมาเฝ้าพระราชา จากนั ้น พระราชา จึงทรงน าคนทั ้งสามเข้าเฝ้าพระศาสดา ซึ่งพอถึงตอนนี ้ พระราชาได้ทรงทราบจากเด็กแล้วว่า เขาเป็นผู้ระลึกถึง