ก
ข
บทสรุปผูบ้ รหิ าร
รัฐบาลกาหนดกรอบทิศทางการพัฒนาประเทศ ภายใต้ยุทธศาสตร์ 20 ปี (พ.ศ. 2561
- 2580) พัฒนาประเทศไปสู่ “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ย่ังยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว
ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ซ่ึงแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
เป็นกลไกการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติให้บรรลตุ ามเป้าหมายท่ีวางไว้ในปี 2580 กระทรวงศึกษาธิการ
ตระหนักเห็นความสาคัญ และมุ่งมั่นดาเนินการตามภารกิจหลักแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ ชาติ
20 ปี ในฐานะหน่วยงานเจ้าภาพขับเคล่ือนทุกแผนย่อยในประเด็น 12 การพัฒนาการเรียนรู้
และในประเด็น 11 การพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต รวมทั้งแผนการปฏิรูปประเทศ
ด้านการศึกษา และนโยบายรัฐบาลท้ังในส่วนนโยบายหลักด้านการปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้
และการพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต และนโยบายเร่งด่วน เร่ือง การเตรียมคนไทยสู่ศตวรรษ
ท่ี 21 โดยคาดหวังว่าการพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต จะได้รับการพัฒนาการเรียนรใู้ ห้เปน็ คนดี
คนเก่ง มีคุณภาพ และมีความพร้อมขับเคล่ือนการพัฒนาประเทศสู่ความมั่นคง มั่งค่ัง และยังยืน
ซึ่งมีนโยบายระยะเร่งด่วน (Quick Win) ข้อ 2 หลักสูตรฐานสมรรนะ ท่ีมุ่งการจัดการเรียนรู้
ที่หลากหลาย โดยยึดความสามารถของผูเ้ รยี นเป็นหลัก และพฒั นาผู้เรยี นให้เกิดสมรรถนะที่ต้องการ
ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการจัดการเรียนการสอนท่ีมุ่งเน้นให้ผู้เรียนทุกระดับมีส่วนร่วมสร้างสรรค์
การเรียนรู้ เพ่ือให้เกิดสมรรถนะหลัก และการพัฒนาตนเองตามความถนัดและความสนใจ (Active
Learning)
จากภารกิจการตรวจราชการและติดตามประเมินผลตามนโยบายการจัดการเรียน
การสอนท่ีมุ่งเน้นให้ผู้เรียนทุกระดับ มีส่วนร่วมสร้างสรรค์การเรียนรู้ เพื่อให้เกิดสมรรถนะหลัก
และการพัฒนาตนเองตามความถนัดและ ความสนใจ (Active Learning) ของสถานศึกษา
สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ จึงดาเนินการศึกษา เรื่อง การดาเนินงานการจัดการเรียนการสอน
แบบ Active Learning โดยการวิเคราะห์ สังเคราะห์เอกสาร งานวิจัยท่ีเกี่ยวขอ้ งกับการจัดการเรียน
การสอนแบบ Active Learning และศึกษาสภาพการดาเนินงานการจัดการเรียนการสอน
แบบ Active Learning ท่ีเน้นผ้เู รียนทุกระดบั มีส่วนรว่ มสร้างสรรค์การเรียนรู้เพ่ือให้เกิดสมรรถนะหลัก
และการพัฒนาตนเองตามความถนัดและความสนใจ สรุปการดาเนินการจัดการเรียนการสอนแบบ
Active Learning ของสถานศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ จัดเก็บข้อมูลจากหน่วยงาน
ทางการศึกษา 77 จังหวัด กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ประกอบด้วย ผู้บริหารการศึกษา ผู้บริหารหน่วยงาน
การศึกษา สถานศึกษา ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ
จานวน 3,137 คน ผลการศึกษาการดาเนินงานการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning
ของสถานศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธกิ าร พบว่า
ค
1. ผลการศกึ ษาสภาพการจัดการเรยี นการสอนแบบ Active Learning ของสถานศึกษา
1.1 รปู แบบการจัดการเรียนการสอนแบบ Actives Learning เรียงตามอันดับการใช้
มากท่ีสดุ ไปน้อยทสี่ ุด
1.1.1 การสอนแบบใชค้ าถาม (Questioning Method)
1.1.2 การเรยี นรู้โดยใช้กิจกรรมเปน็ ฐาน (Activity-Based Learning)
1.1.3 การเรยี นรแู้ บบใช้เกม (Games)
1.1.4 การเรยี นรู้เชิงประสบการณ์ (Experiential Learning)
1.1.5 การเรยี นรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem Based Learning)
1.1.6 การเรียนรูแ้ บบแสดงบทบาทสมมติ (Anchored Instruction)
1.1.7 การเรยี นรู้โดยใชโ้ ครงงานเป็นฐาน (Project-Based Learning)
1.1.8 การเรียนรู้แบบกรณีศึกษา (Analyze Case Studies)
1.2 สภาพการจดั การเรียนการสอนแบบ Active Learning ของสถานศึกษา
1.2.1 ดา้ นบุคคล คอื ผู้บรหิ าร ครผู ู้สอน และผู้เรียน โดยมสี าระสาคญั คือ
1) ผู้บริหาร เป็นบุคคลสาคัญในการสนับสนุน ควรกาหนดเป็นนโยบาย
ในการขับเคลื่อนในสถานศึกษา ส่งเสริมสนับสนุนและเสริมแรงจูงใจ สังเกตกระบวนการเรียนรู้
อยา่ งต่อเน่อื ง รวมท้ังส่งเสริมชุมชนแหง่ การเรียนรู้ทางวิชาชีพ PLC
2) ครูผู้สอน ควรใช้คาถามเพ่ือกระตุ้นให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ ไม่นา
ความคิดของตนเองเข้าไปในการจัดการเรียนรู้ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนคิดนอกกรอบ ส่งเสริม พัฒนา
ให้ผู้เรียนสามารถสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง สามารถต่อยอดและนาไปใช้ในชีวิตประจาวัน
ด้วยทักษะวิธีการจัดการเรียนรู้ท่ีหลากหลาย ใช้สื่อ อุปกรณ์ที่ทันสมัย น่าเรียนรู้ ดึงดูดความสนใจ
ของผ้เู รียน
3) ผู้เรียน รูปแบบ กระบวนการ วิธีการจัดการเรียนการสอนที่เหมาะสม
กับวัย สภาพ บริบท ความพร้อม ทกั ษะ สมรรถนะ ความกระตือรอื ร้นใสใ่ จตอ่ การเรียนรู้ของผเู้ รียน
1.2.2 ส่ือ วัสดุ อุปกรณ์ ที่ทนั สมัย เพียงพอ เหมาะสม สรา้ งความสนใจในการเรยี นรู้
1.2.3 งบประมาณท่ีเหมาะสม เพยี งพอ รวดเรว็ ทนั เวลา
2. ผลการศึกษาสภาพการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ของสถานศกึ ษา
สงั กัดกระทรวงศึกษาธกิ าร โดยการสนทนากลุ่ม
2.1 บคุ คล
1) ผู้บ ริหาร ไม่ให้ ความสาคัญ ขาด ก ารส่งเสริมและสนับ สนุ น การจัด
การเรียนการสอนแบบ Active Learning ขาดภาวะผู้นาทางวิชาการ (Instructional Leadership)
ผู้บริหารมีการเปลยี่ นแปลงโยกย้ายสถานศกึ ษาบ่อย
ง
2) ครูผู้สอน ขาดความรู้ ความเข้าใจ ความ สามารถและทักษะการจั ด
การเรียนการสอนแบบ Active Learning ใช้รูปแบบการสอนแบบเดิม ไม่มีเวลาในการจัดการเรียน
การสอนเน่ืองจากไดร้ ับมอบหมายใหก้ ิจกรรมอื่น ๆ เชน่ งานยาเสพตดิ งานอนามยั งานแนะแนว
3) ผู้เรียน ขาดทักษะการคิดวิเคราะห์ การจัดการเรียนการสอนของครู
ไม่เน้นให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติ ผู้เรียนไม่มีส่วนร่วมในการเรียนรู้ ไม่สามารถประยุกต์ใช้ความรู้
ในการแกไ้ ขปญั หาได้ รวมทงั้ ขาดแรงจงู ใจในการเรยี นรู้
2.2 วสั ดุ ส่อื อุปกรณ์
ขาดแคลนวัสดุ ส่ือ และอุปกรณ์ สาหรั บใช้ในการจัดการเรียน ก ารสอน
แบบ Active Learning ท่ีต้องใช้เพื่อให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง สื่อเทคโนโลยี ไม่ตอบสนองต่อ
การเรยี นร้ใู นศตวรรษที่ 21
2.3 การบรหิ ารจัดการ
1) การขับเคล่ือนนโยบายการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ของ
หน่วยงานการศึกษาระดับจังหวัด เช่น ศึกษาธิการจังหวัด สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา
ไม่ต่อเนื่อง มีรูปแบบการดาเนินงานไม่ท่ีชัดเจน ส่งผลให้ผู้บริหารสถานศึกษา ไม่ให้ความสาคัญ
ของการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ไม่มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้การจัดการเรียน
การสอนแบบ Active Learning ในระดับต่าง ๆ
2) หน่วยงานต้นสังกัดและสถานศึกษาขาดการส่งเสริมครูผู้สอนอย่างจริงจัง
โดยเฉพาะผู้ท่ีจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีผลงาน
เชิงประจักษ์ เป็นท่ียอมรับ ให้มีความก้าวในอาชีพ สร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน มอบเกียรติบัตร
การพิจารณาความดีความชอบ เป็นต้น และขาดการพัฒนาสมรรถนะครูผู้สอนอย่างต่อเนื่อง
ดว้ ยวธิ ีการทีห่ ลากหลาย เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ
3) การสนับสนุนด้านงบประมาณ วัสดุ อุปกรณ์ให้กับสถานศึกษาเพ่ือใช้
ในการจดั การเรียนการสอนแบบ Active Learning ไมเ่ พียงพอตอ่ การจัดทาสื่อเพ่ือให้ผ้เู รียนได้เรียนรู้
4) การนิเทศ กากับ ติดตามการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learningของ
ครูผู้สอนและผู้บริหารสถานศกึ ษาขาดความตอ่ เนือ่ งและเป็นระบบ
3. ผลการศึกษาแนวทางการดาเนนิ งานตามนโยบายการจดั การเรยี นการสอนแบบ
Active Learning ของกระทรวงศึกษาธิการ
3.1 น โยบาย การขับเคล่ือนการจัดการเรียน การสอน แบบ Active Learning
ท่ีเป็นรูปธรรม ชัดเจน ต่อเน่ือง เหมาะสม เป็นเอกภาพ ให้ความสาคัญและยกระดับเป็นนโยบาย
เร่งด่วน มีมาตรการเสรมิ แรงท้ังทางบวกและทางลบ
จ
3.2 บทบาทครู เปล่ียนบทบาทจากผู้สอนมาเป็นผู้ให้คาแนะนา อานวยความสะดวก
ช่วยเหลือ เสริมแรง ให้กาลังใจแก่ผู้เรียน โดยครูต้องมีความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ สมรรถนะ เจตคติท่ีดี
มีความสามารถในการออกแบบการจัดการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล การจัดการเรียนรู้เชิงบูรณาการ
ให้ผู้เรียนเกิดการเรยี นรู้รอบดา้ น
3.3 ผู้บริหาร มีภาวะผู้นา ให้ความสาคัญกับนโยบาย ขับเคล่ือนอย่างเป็นระบบ
เป็นที่ปรึกษารอบด้าน ให้คาแนะนา กากับ ติดตาม นิเทศผลการดาเนินงานจัดการเรียนการสอนแบบ
Active Learning ร่วมลงมือปฏิบัติเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
ในสถานศึกษา
3.4 รูปแบบการเรยี นรู้ ควรจดั การเรียนรู้ด้วยการท่ผี ู้เรียนมีส่วนร่วมในการคิดวิเคราะห์
และร่วมออกแบบการเรยี นรู้ การลงมอื ปฏบิ ัติจรงิ และร่วมประเมินผลการเรยี นรู้ให้มากขึน้
3.5 งบประมาณการขับเคล่อื นการดาเนินงานท่ีพร้อมใช้
3.6 ส่อื นวัตกรรม วสั ดุ อุปกรณ์ ที่ทันสมัย เพียงพอ สอดคล้องกับการจัดการเรียนการ
สอนตามหลกั สูตรการเรียนรู้
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายการดาเนินการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning
ของกระทรวงศึกษาธกิ าร
1. ให้ความสาคัญ โดยการยกระดบั ให้เปน็ วาระเร่งดว่ น
2. ควรจัดทากลยุทธ์ในการขับเคลื่อน เป็นนโยบาย 3 ระดับ อย่างเป็นรูปธรรม
ชัดเจน เหมาะสมกับคนทุกช่วงวัย ด้วยการวิเคราะห์ห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ทั้งในภารกิจ
พ้ืนฐาน ภารกิจยุทธศาสตร์ และภารกิจพ้ืนท่ี ที่ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมาย สอดคล้องกับพ้ืนที่
ในระดับกระทรวง ระดับจงั หวดั /เขตพื้นท่ี และระดับสถานศึกษา
3. ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการออกแบบการเรียนรู้ การลงมือปฏิบัติของผู้เรียน
และร่วมประเมนิ ผลการเรยี นรใู้ ห้มากขึ้นอยา่ งเปน็ รปู ธรรม
4. พัฒนาครใู ห้มีทักษะ สมรรถนะ เปล่ียนบทบาทเป็นผู้อานวยการการเรียนรู้ คอยกระตุ้น
สรา้ งแรงบันดาลใจ แนะนาวธิ ีเรียนรู้และวธิ ีจัดระเบียบการสร้างความรู้ให้กับนักเรียน เพือ่ ใหน้ ักเรยี น
ได้รับการปูพนื้ ฐานความพร้อมท้ังกาย ใจ และปัญญา อย่างรอบด้าน
5. สร้างขวัญกาลังใจให้ผู้ปฏิบัติงาน โดยเฉพาะผู้ปฏิบัติงานเชิงประจักษ์ และสนับสนุน
ให้ไดร้ บั โอกาสความกา้ วหน้าในอาชีพ
6. จดั ระบบการกากับ ติดตาม นิเทศ ประเมินผลและการรายงานผลท่ีชัดเจนอย่างตอ่ เนื่อง
โดยใช้ดิจทิ ัลแพลตฟอร์มให้เกิดความคลอ่ งตัว รวดเร็ว สะดวกต่อการปฏบิ ตั งิ านทกุ ระดับ
ฉ
ชอื่ เรือ่ งวิจัย รายงานการดาเนินงานการจดั การเรยี นการสอนแบบ Active Learning
ของสถานศึกษา สงั กัดกระทรวงศึกษาธิการ
ผู้วิจยั นายธีร์ ภวงั คนันท์
หน่วยงาน สานักงานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศกึ ษาธิการ
ปีทีว่ ิจยั ปีการศึกษา 2565
บทคัดยอ่
การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการจัดการเรียนการสอนแบบ Active
Learning ของสถานศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ 2) ศึกษาสภาพและแนวทางการดาเนินงาน
ตามนโยบายการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ของกระทรวงศึกษาธิการ และ
3) จัดทาข้อเสนอแนะเชิงนโยบายการดาเนินการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning
ของกระทรวงศึกษาธิการ การวิจัยครั้งนี้ใช้วิธีการวิจัยและพัฒนา แบ่งกระบวนการวิจัยเป็น 3 ระยะ
ระยะที่ 1 ศึกษาสภาพ การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ของสถานศึกษา
สงั กดั กระทรวงศกึ ษาธกิ าร ขอ้ มลู จากการค้นควา้ เอกสารและงานวิจยั และการสนทนากลุ่ม ผเู้ ข้าร่วม
สนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) เป็นกลุ่มผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้บริหารการศึกษา
ผู้บริหารหน่วยงานการศึกษา ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ
จานวน 11 คน และการสารวจความคิดเห็นจากประชากร คอื ผูบ้ ริหารการศกึ ษา ผู้บรหิ ารหน่วยงาน
ก าร ศึ ก ษ า ส ถ าน ศึ ก ษ า ข้ าร าช ก าร ค รูแ ล ะ บุ ค ล าก ร ท างก าร ศึ ก ษ า ก ลุ่ ม ตั ว อ ย่ าง
คือ ผู้บริหารการศึกษา ผู้บริหารหน่วยงานการศึกษา สถานศึกษา ข้าราชการครูและบุคลากร
ทางการศึกษา จานวน 3,137 คน ขนาดของกลุ่มตัวอย่าง ได้มาด้วยการสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified
random sampling) ระยะท่ี 2 ศึกษาแนวทางการดาเนินงานตามนโยบายการจัดการเรียนการสอน
แบบ Active Learning ของกระทรวงศึกษาธิการ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษา ข้าราชการครู
และบคุ ลากรทางการศกึ ษาทป่ี ฏิบัตงิ านเกี่ยวขอ้ งกับดาเนินงานตามนโยบายการจดั การเรยี นการสอน
แบบ Active Learning ของสถานศกึ ษา สังกดั กระทรวงศึกษาธกิ าร แยกเปน็ 6 ภูมิภาค จานวน 72 คน
โดยเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ระยะท่ี 3 จัดทาข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
การดาเนินการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning กลุ่มผู้เช่ียวชาญในการตรวจสอบ
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย จานวน 11 คน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เนื้อหา
ข้อมูลเชงิ ปริมาณวิเคราะห์ค่าสถิตพิ ้ืนฐาน ไดแ้ ก่ ความถี่ รอ้ ยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจยั พบว่า
ช
1. ผลการศึกษารูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบ Actives Learning เรียงตาม
อนั ดับการใช้มากที่สดุ ไปน้อยท่ีสดุ
1.1 การสอนแบบใชค้ าถาม (Questioning Method)
1.2 การเรียนรูโ้ ดยใชก้ ิจกรรมเปน็ ฐาน (Activity-Based Learning)
1.3 การเรียนรแู้ บบใช้เกม (Games)
1.4 การเรียนรเู้ ชงิ ประสบการณ์ (Experiential Learning)
1.5 การเรยี นรู้โดยใช้ปญั หาเป็นฐาน (Problem Based Learning)
1.6 การเรียนรู้แบบแสดงบทบาทสมมติ (Anchored Instruction)
1.7 การเรียนรู้โดยใชโ้ ครงงานเป็นฐาน (Project-Based Learning)
1.8 การเรียนรแู้ บบกรณศี ึกษา (Analyze Case Studies)
2. สภาพการดาเนินการทางการจดั การเรยี นการสอนแบบ Active Learning
2.1 ดา้ นบคุ คล คอื ผู้บริหาร ครูผสู้ อน และผเู้ รยี น โดยมีสาระสาคญั คือ
2.1.1 ผู้บริหาร เป็นบุคคลสาคัญในการสนับสนุน ควรกาหนดเป็นนโยบาย
ในการขับเคลื่อนในสถานศึกษา ส่งเสริม สนับสนุน และเสริมแรงจูงใจ สังเกตกระบวนการเรียนรู้
อย่างตอ่ เนอื่ ง รวมท้ังส่งเสรมิ ชุมชนแห่งการเรียนร้ทู างวิชาชพี PLC
2.1.2 ครูผู้สอน ควรใช้คาถามเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้
ไม่นาความคิดของตนเองเข้าไปในการจัดการเรียนรู้ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนคิดนอกกรอบ ส่งเสริม
พัฒนาให้ผู้เรียนสามารถสร้างองคค์ วามรู้ได้ด้วยตนเอง สามารถต่อยอดและนาไปใชใ้ นชีวิตประจาวัน
ด้วยทักษะวิธีการจัดการเรียนรู้ท่ีหลากหลาย ใช้ส่ือ อุปกรณ์ที่ทันสมัย น่าเรียนรู้ ดึงดูดความสนใจ
ของผ้เู รียน
2.1.3 ผู้เรียน การจัดการเรียนการสอนท่ีเหมาะสมกับวัย สภาพ บริบท
ความพรอ้ ม ทกั ษะ สมรรถนะ ความกระตือรอื รน้ ใส่ใจต่อการเรยี นร้ขู องผู้เรยี น
2.2 สื่อ วัสดุ อุปกรณ์ ที่ทันสมัย เพียงพอ เหมาะสม สร้างความสนใจในการเรียนรู้
ของผู้เรยี น
2.3 งบประมาณที่สามารถสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning
ของสถานศกึ ษา
3. ความต้องการและปัจจัยที่ส่งผลต่อความสาเร็จในการจัดการเรียนการสอนแบบ
Active Learning
3.1 นโยบาย การขับเคลื่อนการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ที่เป็น
รูปธรรม ชัดเจน ต่อเน่ือง เหมาะสม เป็นเอกภาพ ให้ความสาคัญและยกระดับเป็นนโยบายเร่งด่วน
มมี าตรการเสริมแรงทัง้ ทางบวกและทางลบ
ซ
3.2 บทบาทครู เปลี่ยนบทบาทจากผู้สอนมาเป็นผู้ให้คาแนะนา อานวย
ความสะดวก ช่วยเหลือ เสริมแรง ให้กาลังใจแก่ผู้เรียน โดยครูต้องมีความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ
สมรรถนะ เจตคติที่ดี มีความสามารถในการออกแบบการจัดการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล
การจดั การเรียนรเู้ ชิงบูรณาการใหผ้ ้เู รียนเกดิ การเรียนรรู้ อบด้าน
3.3 ผู้บริหาร มีภาวะผู้นา ให้ความสาคัญกับนโยบาย ขับเคลื่อนอย่างเป็นระบบ
เป็นที่ปรึกษารอบด้าน ให้คาแนะนา กากับ ติดตาม นเิ ทศผลการดาเนนิ งานจดั การเรยี นการสอนแบบ
Active Learning และร่วมลงมือปฏิบัติเป็นแบบอย่างท่ีดีแก่ขา้ ราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
ในสถานศกึ ษา
3.4 รูปแบบการเรียนรู้ ควรจัดการเรียนรู้ด้วยการท่ีผู้เรียนมีส่วนร่วมในการคิด
วิเคราะห์และรว่ มออกแบบการเรียนรู้ การลงมือปฏิบตั ิจริง และรว่ มประเมนิ ผลการเรียนรู้ใหม้ ากขน้ึ
3.5 งบประมาณการขบั เคลอื่ นการดาเนินงานที่พรอ้ มใช้
3.6 สือ่ นวัตกรรม วัสดุ อุปกรณ์ ทท่ี ันสมยั เพียงพอ สอดคลอ้ งกับการจดั การเรียน
การสอนตามหลกั สตู รการเรียนรู้
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายการดาเนินการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning
ของกระทรวงศกึ ษาธิการ
1. ใหค้ วามสาคัญ โดยการยกระดบั ให้เป็นวาระเรง่ ดว่ น
2. ควรจัดทากลยุทธ์ในการขับเคลื่อน เป็นนโยบาย 3 ระดับ อย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน
เหมาะสมกับคนทุกช่วงวัย ด้วยการวิเคราะห์ห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ท้ังในภารกิจพ้ืนฐาน
ภารกิจยุทธศาสตร์ และภารกิจพ้ืนที่ ท่ีส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมาย สอดคล้องกับพ้ืนท่ีในระดับ
กระทรวง ระดบั จังหวดั /เขตพนื้ ที่ และระดับสถานศึกษา
3. ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการออกแบบการเรียนรู้ การลงมือปฏิบัติของผู้เรียน
และรว่ มประเมินผลการเรียนรู้ให้มากขนึ้ อยา่ งเป็นรปู ธรรม
4. พัฒนาครูให้มีทักษะ สมรรถนะ เปลี่ยนบทบาทเป็นผู้อานวยการการเรียนรู้
คอยกระตุ้น สร้างแรงบันดาลใจ แนะนาวิธีเรียนรู้และวิธีจัดระเบียบการสร้างความรู้ให้กับนักเรียน
เพือ่ ให้นกั เรียนไดร้ ับการปูพน้ื ฐานความพรอ้ มทง้ั กาย ใจ และปัญญา อยา่ งรอบดา้ น
5. สร้างขวัญกาลังใจให้ผปู้ ฏิบัติงาน โดยเฉพาะผูป้ ฏิบัตงิ านเชงิ ประจักษ์ และสนับสนุน
ให้ไดร้ ับโอกาสความก้าวหนา้ ในอาชพี
6. จัดระบบการกากับ ติดตาม นิเทศ ประเมินผลและการรายงานผลที่ชัดเจน
อย่างต่อเน่ือง โดยใช้ดิจิทัลแพลตฟอร์มให้เกิดความคล่องตัว รวดเร็ว สะดวกต่อการปฏิบัติงาน
ทกุ ระดบั
ฌ
Research Title : Report on the implementation of Active Learning teaching and
learning in School under the Ministry of Education
Investigator : Dr.Thee Phawangkhanant (ดร.) นายธีร์ ภวังคนนั ท์
Organization : Office of the Permanent Secretary, Ministry of Education
Research Period : Educational Year 2022
Abstract
This research aims 1) to study the condition of Active Learning model,
teaching and learning in school under the Ministry of Education. 2) To study the
condition and implementation guidelines of teaching and learning with Active
Learning model according to the policy of the Ministry of Education. And 3) to make
the policy recommendations for the implementation of teaching and learning with
Active Learning model of the Ministry of Education. This research uses research and
development methods. The research process was divided into 3 phases. Phase 1,
studied the state of Active Learning teaching and learning management of school
under the Ministry of Education. Information was gathered from academic
documents, researches and group chat. Participants in the focus group discussion are
the group of informants who are experts, education administrator, education agency,
government teachers and educational staffs under the Ministry of Education, the
amount of 11 people. And the population survey from the field of educational
administrators, educational agencies, schools, government teachers and educational
staffs. The sample group was 3,137 people from the field of educational administrators,
educational agencies, schools, government teachers and educational staffs. The size
of sample group was obtained by stratified random sampling. Phase 2, studied the
implementation guidelines following the policy of teaching and learning by Active
Learning of the Ministry of Education. The sample group was 72 people, school
administrators, government teachers and educational staffs working following the
policy in teaching and learning by Active Learning of school under the Ministry of
Education, divided into 6 regions by choosing a specific model (Purposive Sampling).
Phase 3, prepared the policy recommendations of teaching and learning by Active
ญ
Learning. A group of 11 experts in the review of policy recommendations analyzed
the qualitative data by content analysis. The quantitative data were analyzed by
using basic statistical values such as frequency, percentage, mean and standard
deviation. The results showed that
1. Results of study in the Actives Learning model sorted by highest to
least used.
1.1 Questioning Method
1.2 Activity-Based Learning
1.3 Game-based learning
1.4 Experiential Learning
1.5 Problem Based Learning
1.6 Anchored Instruction
1.7 Project-Based Learning
1.8 Analyze Case Studies
2. Conditions of learning and teaching by Active Learning Models
2.1 Individuality (administrators, teachers, and learners), with the following
details:
2.1.1 Administrators, important person in supporting, should set as a
policy in school, promoting, supporting and enhancing motivation observe the
learning process continuously as well as promoting the community of professional
learning (PLC)
2.1.2 Teachers should use questions to encourage learners to learn,
do not bring their ideas into the learning management and provide opportunities for
learners to think outside the box as well as encourage and develop students to
create knowledge by themselves, extend and use in daily life with a variety of
learning management skills, using modern media and equipment that are attractive
to learn and attract attention of learners.
2.1.3 Learners: learning and teaching management that is suitable for
age, condition, environment, skills, competence and enthusiasm for learners'
learning.
ฎ
2.2 Up-to-date, adequate, appropriate media, materials and equipment
create interest in learners' learning.
2.3 The school budget that can support the method of teaching and
learning by Active Learning model.
3. Requirements and Factors affecting success in Active Learning
model
3.1 Policy: Running the policy in Active Learning model that is concrete,
clear, continuous, appropriate, unity, giving importance and upgrading it to an urgent
policy. There are both positive and negative reinforcement measures.
3.2 The teacher’s role: Change the role of a teacher to be an adviser and
facilitator, convince, help, reinforce and encourage the students. Teachers must have
knowledge, understanding, skills, competencies, good attitudes and the ability to
design learning management, measurement and evaluation Integrated learning
management for learners to learn all around.
3.3 Administrators have leadership and focus on policies, driven
systematically to be an all-round advisor, giving advice, supervising, monitoring, and
supervising the results of teaching and learning in Active Learning model, and working
together as a role model for teachers and educational staffs in school.
3.4 Learning style should be organized through the participation of
learners in analytical thinking and co-designing the learning style, hands-on practice
and participate in the evaluation of learning more.
3.5 Ready-to-use operational budget
3.6 Media, innovation, materials and modern equipments that are
adequate and consistent with the teaching and learning management according to
the learning curriculum.
Policy recommendations for the implementation of teaching and
learning with Active Learning model of the Ministry of Education
1. Giving importance by elevating it to an urgent agenda
2 . Creating a strategy for running into a three-level policy clearly and
concretely, suitable for people of all ages by analyzing the value chain in both basic
tasks, strategic mission and space missions that affect the achievement of goals
ฏ
consistent with the area at the ministry level, provincial area, district and school
level.
3. Encouraging learners to participate in learning design, learners' hands-
on practice and participate in evaluating the learning outcomes more concretely.
4. Developing teachers to have skills, competencies, change their roles as
“learning directors”, and inspire students to learn and organize knowledge building
to prepare students for physical, mental and intellectual readiness in all aspects.
5. Creating morale for staffs especially empirical practitioners and
encourage them to have career advancement opportunities.
6. Organizing the supervision system, monitoring, evaluating, continuously
and clearly reporting of results by using a digital platform for flexibility, speed, and
ease of operation in all levels.
ฐ
สารบัญ
บทสรปุ ผบู้ รหิ าร หน้า
บทคัดย่อ ข
สารบัญ ฉ
สารบญั ตาราง ฌ
สารบญั ภาพ ฒ
บทที่ 1 บทนา ณ
1
ความเปน็ มาและความสาคัญของปญั หา 1
คาถามวจิ ยั 2
วัตถปุ ระสงคข์ องการวิจัย 3
ขอบเขตของการวจิ ยั 3
ประโยชน์ท่คี าดวา่ จะได้รับ 5
นิยามศัพทเ์ ฉพาะ 5
บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจัยทเ่ี กยี่ วข้อง 7
ความเชอ่ื มโยงของ แผน 3 ระดบั 7
แนวคิดและทฤษฎีของการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning 16
การตรวจราชการ ติดตาม ตรวจสอบและประเมนิ ผลของผ้ตู รวจราชการ 72
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
นโยบายการตรวจราชการและตดิ ตามผลการจัดการศกึ ษา 78
ของกระทรวงศกึ ษาธกิ าร ประจาปงี บประมาณ พ.ศ. 2565
งานวจิ ยั ที่เกย่ี วข้อง 87
บทที่ 3 วิธีดาเนนิ การวจิ ัย 92
ระยะที่ 1 ศึกษาสภาพการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning 94
ของสถานศกึ ษา สังกัดกระทรวงศึกษาธกิ าร 100
ระยะท่ี 2 ศึกษาสภาพและแนวทางการดาเนนิ งานตามนโยบายการจดั
102
การเรียนการสอนแบบ Active Learning ของกระทรวงศกึ ษาธกิ าร
ระยะท่ี 3 จัดทาขอ้ เสนอแนะเชิงนโยบายการดาเนนิ การจัดการเรียนการสอน
แบบ Active Learning ของกระทรวงศกึ ษาธกิ าร
ฑ
สารบญั (ต่อ)
บทที่ 4 ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูล หน้า
ระยะที่ 1 ศกึ ษาสภาพการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning 104
ของสถานศกึ ษา สงั กัดกระทรวงศึกษาธิการ 105
ระยะท่ี 2 ศึกษาสภาพและแนวทางการดาเนินงานตามนโยบายการจัด
การเรียนการสอนแบบ Active Learning ของกระทรวงศึกษาธกิ าร 117
ระยะที่ 3 จดั ทาข้อเสนอแนะเชิงนโยบายการดาเนนิ การจัดการเรียนการสอน
แบบ Active Learning ของกระทรวงศึกษาธกิ าร 130
บทท่ี 5 บทสรุป 131
สรปุ ผลการวิจยั 131
อภิปรายผล 137
144
บรรณานุกรม 147
ภาคผนวก 148
154
ภาคผนวก ก รายช่อื ผเู้ ช่ยี วชาญ 157
ภาคผนวก ข รายช่อื ผู้ทรงคุณวุฒิ 163
ภาคผนวก ค เคร่ืองมือการวจิ ัย 174
ภาคผนวก ง คณะทางาน
ภาคผนวก จ ประมวลภาพติดตามนโยบายการจัดการเรยี นการสอน
แบบ Active Learning
สารบัญตาราง ฒ
ตารางท่ี 1 กลยุทธก์ ารจดั การเรยี นรู้เชงิ รุกด้านร่างกาย หน้า
ตารางท่ี 2 กลยุทธ์การจดั การเรยี นรู้เชงิ รกุ ด้านสติปัญญา 43
ตารางที่ 3 กลยุทธ์การจัดการเรยี นรู้เชงิ รุกด้านสงั คม 44
ตารางที่ 4 กลยุทธ์การจดั การเรยี นรู้เชิงรุกด้านอารมณ์ 45
ตารางที่ 5 ข้อมูลพ้นื ฐานของผูต้ อบแบบสอบถาม หนว่ ยงานระดบั จงั หวัด 46
ตารางท่ี 6 ค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และสภาพการจัดการเรียนการสอน 109
110
แบบ Active Learning ของสถานศึกษา สงั กัดกระทรวงศึกษาธิการ
ของหนว่ ยงานการศกึ ษา ระดบั จงั หวดั 112
ตารางท่ี 7 ขอ้ มูลพืน้ ฐานของผตู้ อบแบบสอบถาม หน่วยงานทางการศึกษา
และสถานศึกษา 113
ตารางที่ 8 ค่าเฉลย่ี ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน และสภาพการจดั การเรียนการสอน
แบบ Active Learning ของสถานศกึ ษา สงั กัดกระทรวงศกึ ษาธกิ าร
ของหนว่ ยงานการศกึ ษา สถานศกึ ษา
ณ
สารบัญภาพ
หน้า
ภาพที่ 1 กรวยแห่งการเรยี นรู้ 23
ภาพท่ี 2 ความสมั พันธข์ องหน่วยการเรยี นร้สู ่กู ารจดั ทาแผนการจดั การเรียนรู้ 31
ภาพที่ 3 บทบาทของครูในฐานะผกู้ ระตุ้นการเรยี นรู้ 37
ภาพท่ี 4 การประเมนิ ผลกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก 39
ภาพที่ 5 เทคนิคการสอนที่ใช้ในการจัดการเรียนรแู้ บบเน้นประสบการณ์ 50
ภาพท่ี 6 รปู แบบการสอนแบบโครงงาน (Project Based Learning) 51
ภาพท่ี 7 รปู แบบการสอนแบบใช้ปญั หาเปน็ ฐาน (Problem Based Learning) 52
ภาพท่ี 8 รปู แบบการสอนที่เน้นทักษะกระบวนการคิด (Thinking Based Learning) 52
ภาพท่ี 9 วงจรการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ (Experiential Learning Cycles) 55
ภาพท่ี 10 ขน้ั ตอนการจดั การเรียนร้แู บบใช้ปัญหาเป็นฐาน 62
ภาพที่ 11 โครงงานประเภทครูนาทาง (Guided Project) 65
ภาพที่ 12 โครงงานประเภทครูลดการนาทาง - เพมิ่ บทบาทผ้เู รียน (Less guided Project) 66
ภาพที่ 13 โครงงานประเภทผ้เู รียนนาเอง ครไู มต่ อ้ งนาทาง (Unguided Project) 67
ภาพท่ี 14 ขน้ั ตอนการจดั การเรยี นร้แู บบโครงงานของสานักงานเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา 69
และกระทรวงศึกษาธกิ าร
ภาพที่ 15 โมเดลจักรยานแหง่ การเรียนรู้แบบ PBL 70
ภาพที่ 16 ขั้นตอนการจดั การเรียนรแู้ บบใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน 71
ภาพท่ี 17 เขตพนื้ ทต่ี รวจราชการของผู้ตรวจราชการกระทรวงศกึ ษาธิการ 86
ภาพที่ 18 ขั้นตอนการดาเนนิ งานวิจัย 93
ภาพท่ี 19 แนวทางการขับเคลอื่ น Active Learning เพือ่ พัฒนาทักษะแห่งอนาคต 108
ภาพที่ 20 แนวทางการขับเคล่อื น Active Learning เพ่อื พฒั นาทักษะแหง่ อนาคต 134
1
บทท่ี 1
บทนา
ความเปน็ มาและความสาคญั ของปญั หา
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 หมวด 4 หน้าท่ีของปวงชนชาวไทย
มาตรา 50 บุคคลมีหน้าที่ดังต่อไปน้ี (4) เข้ารับการศึกษาอบรมในการศึกษาภาคบังคับ และหมวด 5
หน้าท่ีของรัฐ มาตรา 54 รัฐต้องดาเนินการให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาเป็นเวลาสิบสองปี ตั้งแต่
ก่อนวัยเรียนจนจบการศึกษาภาคบังคับอย่างมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย การศึกษาทั้งปวง
ต้องมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีวินัย ภูมิใจในชาติ สามารถเชี่ยวชาญได้ตามความถนัดของตน
และมีความรับผิดชอบต่อครอบครวั ชมุ ชน สังคม และประเทศชาติโดยรฐั บาลได้กาหนดกรอบทิศทาง
ยทุ ธศาสตรก์ ารพัฒนาประเทศในระยะยาวเพอ่ื พฒั นาประเทศไปสู่ “ประเทศไทยมีความม่นั คง มั่งค่ัง
ย่ังยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ตามกรอบ
ยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) โดยกาหนดยุทธศาสตร์ในมิติต่าง ๆ ที่เก่ียวข้อง
เพ่ือเป็นกรอบในการวางแผนการทางาน 6 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ 1) ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง
2) ยทุ ธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขนั 3) ยทุ ธศาสตร์ด้านการพัฒนาและเสรมิ สรา้ ง
ศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ 4) ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม
5) ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตท่ีเปน็ มิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ 6) ยุทธศาสตร์
ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ ซึ่งแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ
20 ปี เป็นกลไกการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติให้บรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ในปี 2580 กาหนดให้
ประชาชนทุกกลุ่มวัยจะได้รับประโยชน์ ดังน้ี กลุม่ ประถมถึงมธั ยมต้น ซึ่งเปน็ ช่วงการศึกษาภาคบังคับ
จะได้รับการศึกษาท่ีมีคุณภาพ มีหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐานที่มุ่งเน้นการพัฒนา
สมรรถนะหลักท่ีจาเป็นต่อผเู้ รียน มีดิจิทัลแพลตฟอร์ม เพอ่ื การเรียนรู้แห่งชาตทิ ่ีสามารถขยายความรู้
และวิธกี ารเรียนไปสู่โรงเรียน นักเรียน และครูทีค่ รอบคลุมท่วั ประเทศ รวมท้ังผู้เรียนในพื้นท่ีห่างไกล
และขาดแคลนทุนทรัพย์จะได้รบั การโอกาสศกึ ษาท่ีเท่าเทียมและทัว่ ถงึ ในทกุ ๆ พื้นท่ี เพ่ือให้นักเรียน
ได้รับการปูพ้ืนฐานความพร้อมท้ังกาย ใจ และปัญญา ให้พร้อมรองรับการพัฒนาของช่วงวัยต่อไป
และได้รับการปลกู ฝงั วฒั นธรรมการใช้ชีวิตในสังคมท่ีดี ให้เป็นคนดี มจี ิตสาธารณะ มีความรับผิดชอบ
ต่อส่วนรวม มีวินัย พร้อมเติบโตเป็นคนท่ีมีคุณภาพของประเทศต่อไป และกลุ่มวัยรุ่น นักศึกษา
จะได้รับการเรียนรู้ให้มีทักษะและองค์ความรู้ที่จาเป็นต่อการเปล่ียนแปลงในศตวรรษท่ี 21
อย่างมคี ุณภาพได้รบั การพัฒนาวินัย คุณธรรม จริยธรรม ตระหนักถึงความสาคัญของการมีสุขภาวะ
ที่ดี ได้รับความรู้และการพัฒนาสมรรถนะที่สอดคล้องกับความต้องการภาคการผลิตของประเทศ
สร้างผู้ประกอบการ เพ่ือพัฒนาประเทศไทยสู่ประเทศพัฒนาแล้วด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี
2
แห่งอนาคต ผ่านสถาบันศึกษายุคใหม่ ทาหน้าที่ให้ความรู้ ส่งเสริม สนับสนุน ความรู้ในทางวิชาการ
ท่ีสามารถใช้องค์ความรู้ ทางวิชาการในการวิจัยและสร้างสรรค์นวัตกรรมในด้านวิทยาศาสตร์
สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์และใส่ใจ ศิลปะ วัฒนธรรมท้องถิ่น ท่ีแสดงถึงอัตลักษณ์ความเป็นไทย
ทีส่ อดคล้องกับการพัฒนาประเทศ สู่การสร้างความสามารถในการแข่งขนั ของประเทศทีท่ ัดเทียมกับ
นานาประเทศทว่ั โลก
ซ่ึงกระทรวงศึกษาธิการตระหนักเห็นความสาคัญและมุ่งมั่นดาเนินการตามภารกิจหลัก
แผนแม่บทภายใตย้ ุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในฐานะหน่วยงานเจ้าภาพขับเคลื่อนทุกแผนย่อยในประเด็น
12 การพัฒนาการเรียนรู้ และแผนย่อยท่ี 3 ในประเด็น 11 ศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต รวมท้ัง
แผนการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา และนโยบายรัฐบาลท้ังในส่วนนโยบายหลักด้านการปฏิรูป
กระบวนการเรียนรู้ และการพัฒนาศกั ยภาพคนตลอดช่วงชีวิต และนโยบายเร่งด่วน เรื่อง การเตรียม
คนไทยสู่ศตวรรษที่ 21 โดยคาดหวังว่าการพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต จะได้รับการพัฒนา
การเรียนรใู้ หเ้ ปน็ คนดี คนเกง่ มีคุณภาพ และมีความพรอ้ มขับเคล่ือนการพัฒนาประเทศสู่ความมั่นคง
ม่ังค่ัง และย่ังยืน จึงได้กาหนดนโยบายการจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ปีงบประมาณ
พ.ศ. 2564 – 2565 มีหลักการตามนโยบายสร้าง TRUST หรือ ความเช่ือม่ัน ไว้วางใจ ให้กับสังคม
โดยเฉพาะเด็กและผู้ปกครอง มีนโยบายระยะเร่งด่วน (Quick Win) ข้อ 2 หลักสูตรฐานสมรรถนะ
ท่ีมุ่งการจัดการเรียนรู้ทห่ี ลากหลายโดยยึดความสามารถของผู้เรียนเป็นหลัก และพัฒนาผเู้ รียนให้เกิด
สมรรถนะท่ีต้องการ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการจัดการเรียนการสอนท่ีมุ่งเน้นให้ผู้เรียนทุกระดับ
มีส่วนร่วมสร้างสรรค์การเรียนรู้ เพ่ือให้เกิดสมรรถนะหลัก และการพัฒนาตนเองตามความถนัด
และความสนใจ
ดงั นั้น ในฐานะดารงตาแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธกิ าร และได้รับมอบหมาย
การตรวจราชการ และติดตามประเมินผลตามนโยบายการจัดการเรียนการสอนท่ีมุ่งเน้นให้ผู้เรียน
ทุกระดับมีส่วนร่วมสร้างสรรค์การเรียนรู้ เพื่อให้เกิดสมรรถนะหลัก และการพัฒนาตนเอง
ตามความถนัดและความสนใจ ของสถานศกึ ษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ จงึ ไดศ้ ึกษาการดาเนินงาน
การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ของสถานศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ
ประจาปกี ารศึกษา 2564 ขึ้น
คาถามวจิ ยั
1. สภาพการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ของสถานศกึ ษา สงั กัดกระทรวง
ศกึ ษาธกิ าร เป็นอย่างไร
2. สภาพและแนวทางการดาเนินงานตามนโยบายการจัดการเรียนการสอนแบบ Active
Learning ของกระทรวงศกึ ษาธกิ าร เป็นอยา่ งไร
3
3. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายการดาเนินการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning
ของกระทรวงศึกษาธิการ มีอะไรบา้ ง
วตั ถุประสงค์ของการวิจยั
1. เพื่อศึกษาสภาพการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ของสถานศกึ ษา สงั กัด
กระทรวงศึกษาธิการ
2. เพ่ือศึกษาสภาพและแนวทางการดาเนินงานตามนโยบายการจัดการเรียนการสอนแบบ
Active Learning ของกระทรวงศึกษาธิการ
3. เพ่ือจัดทาข้อเสนอแนะเชิงนโยบายการดาเนินการจัดการเรียนการสอนแบบ Active
Learning ของกระทรวงศึกษาธกิ าร
ขอบเขตของการวิจยั
การวิจัยในคร้ังนี้เป็นการศึกษาการดาเนินงานการจัดการเรียนการสอนแบบ Active
Learning ของสถานศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ผู้วิจัยได้กาหนดขอบเขตของการวิจัยแยกตาม
วัตถปุ ระสงคแ์ ละระยะการศกึ ษา ดังนี้
ระยะที่ 1 ศึกษาสภาพการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ของสถานศึกษา
สงั กัดกระทรวงศึกษาธิการ
การศึกษาสภาพการจัดการเรียนการสอน แบบ Active Learning ของ
สถานศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ผู้วิจัยได้กาหนดข้ันตอนในการดาเนินการ 3 ขั้นตอนย่อย
ดงั น้ี
1.1 ศกึ ษาสภาพการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ของสถานศึกษา
สังกัดกระทรวงศกึ ษาธกิ าร โดยการวิเคราะหเ์ อกสาร มขี อบเขตการวจิ ยั ดงั น้ี
1.1.1 แหล่งขอ้ มูล คือ เอกสาร ตารา งานวิจัยที่เกยี่ วขอ้ งกับการจัดการเรียน
การสอนแบบ Active Learning
1.1.2 ตัวแปรทศ่ี ึกษา คอื สภาพการจดั การเรยี นการสอนแบบ Active Learning
1.2 ศึกษาสภาพการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ของสถานศึกษา
สงั กดั กระทรวงศึกษาธกิ าร โดยการสนทนากลุ่ม มขี อบเขตการวจิ ัย ดงั น้ี
1.2.1 กลมุ่ ผู้ให้ข้อมูล
กลุ่มผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้บริหารการศึกษา ผู้บริหารหน่วยงานการศึกษา
และข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ จานวน 11 คน ท่ีมีความรู้
4
ความสามารถ เข้าใจการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning โดยผู้วิจัยเลือกแบบเจาะจง
(Purposive sampling)
1.2.2 ตัวแปรที่ศึกษา คือ สภาพการจัดการเรียนการสอนแบบ Active
Learning
1.3 ศึกษาสภาพการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ของสถานศึกษา
สังกัดกระทรวงศึกษาธกิ าร โดยการสอบถาม มขี อบเขตการวิจยั ดังน้ี
1.3.1 ประชากร
ประชากร คือ ผู้บริหารการศึกษา ผู้บริหารหน่วยงานการศึกษา
และข้าราชการครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา สงั กัดกระทรวงศกึ ษาธิการ
กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารการศึกษา ผู้บริหารหน่วยงานการศึกษา
และข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ จานวน 3,137 คน
ขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้เกณฑ์ตามตาราง Krejcie and Morgan (1970) และได้มาด้วยการสุ่ม
แบบแบ่งชั้น (Stratified random sampling)
1.3.2 ตวั แปรท่ีศกึ ษา คอื สภาพการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning
ระยะที่ 2 ศึกษาสภาพและแนวทางการดาเนินงานตามนโยบายการจัดการเรียนการสอน
แบบ Active Learning ของกระทรวงศึกษาธิการ
การศึกษาสภาพและแนวทางการดาเนินงานตามนโยบายการจัดการเรียน
การสอนแบบ Active Learning ของกระทรวงศึกษาธกิ าร ผวู้ จิ ยั ไดก้ าหนดขอบเขตการวิจยั ดงั น้ี
2.1. กลมุ่ ผู้ให้ขอ้ มูล
กลุ่มผู้ให้ข้อมลู คือ ผู้บริหารสถานศึกษา และข้าราชการครแู ละบุคลากร
ทางการศึกษาที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับดาเนินงานตามนโยบายการจัดการเรียนการสอนแบบ
Active Learning ของสถานศกึ ษา สังกัดกระทรวงศึกษาธกิ าร
2.2 ตัวแปรที่ศกึ ษา คือ
2.2.1 สภาพการดาเนินงานตามนโยบายการจัดการเรียนการสอนแบบ
Active Learning ของกระทรวงศึกษาธิการ
2.2.2 แนวทางการดาเนินงานตามนโยบายการจัดการเรียนการสอนแบบ
Active Learning ของกระทรวงศึกษาธกิ าร
ระยะท่ี 3 จัดทาข้อเสนอแนะเชงิ นโยบายการดาเนินการจัดการเรียนการสอนแบบ Active
Learning ของกระทรวงศกึ ษาธกิ าร
การจัดทาข้อเสนอแนะเชิงนโยบายการดาเนินการจัดการเรียนการสอนแบบ
Active Learning ของกระทรวงศกึ ษาธิการ ผู้วิจัยได้กาหนดขอบเขตการวจิ ยั ดังน้ี
5
3.1 แหล่งข้อมลู / กลุ่มผู้ใหข้ อ้ มูล
แหล่งข้อมลู คือ ข้อมูลความคิดเหน็ เกีย่ วกับการดาเนินการจัดการเรียนการ
สอน แบบ Active Learning ท่ีมุ่งเน้นให้ผู้เรียน ทุกระดับมีส่วนร่วมสร้างสรรค์ การเรียน รู้
เพ่ือให้เกิดสมรรถนะหลัก และการพัฒนาตนเองตามความถนัดความสนใจของกระทรวงศึกษาธิการ
และผลการศกึ ษาในระยะที่ 1 และระยะท่ี 2
กลุ่มผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้บริหารการศึกษา ผู้บริหารหน่วยงานการศึกษา
และข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ จานวน 11 คน ที่มีความรู้
ความสามารถ เข้าใจการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning โดยผู้วิจัยเลือกแบบเจาะจง
(Purposive sampling)
3.2 ตัวแปรที่ศึกษา คือ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายการดาเนินการจัดการเรียน
การสอนแบบ Active Learning ของกระทรวงศกึ ษาธกิ าร
ประโยชนท์ ่ีคาดวา่ จะได้รบั
1. ได้ข้อมูลสภาพการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ของสถานศึกษา สังกัด
กระทรวงศึกษาธกิ าร
2. ได้ข้อมูลสภาพและแนวทางการดาเนินงานตามนโยบายการจัดการเรียนการสอนแบบ
Active Learning ของกระทรวงศึกษาธิการ
3. ได้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning
ของกระทรวงศกึ ษาธกิ าร
นยิ ามศัพท์เฉพาะ
1. สภาพการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ของสถานศึกษา สังกัด
กระทรวงศึกษาธิการ หมายถึง กระบวนการ วิธีการ รูปแบบ การจัดการเรียนการสอน
ของสถานศกึ ษา ทจ่ี ัดการเรยี นการสอนใหน้ ักเรียน โดยมุง่ เน้นให้ผู้เรยี นทุกระดับมีส่วนรว่ มสร้างสรรค์
การเรียนรู้ เพ่ือให้เกิดสมรรถนะหลัก และการพัฒนาตนเองตามความถนัดและความสนใจ ของ
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
2. แนวทางการดาเนินงานตามนโยบายการจัดการเรียนการสอนแบบ Active
Learning ของกระทรวงศึกษาธิการ หมายถึง ปัจจัย ความต้องการ แนวทางกระบวนการ วิธีการ
ขั้นตอนการดาเนินการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ของสถานศึกษา สังกัด
กระทรวงศึกษาธิการให้เป็นตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ โดยมีเป้าหมายมุ่งเน้นให้ผู้เรียน
6
ทุกระดับมีส่วนร่วมสร้างสรรค์การเรียนรู้ เพื่อให้เกิดสมรรถนะหลัก และการพัฒนาตนเองตาม
ความถนัดและความสนใจ
3. สภาพการดาเนินงานตามนโยบายการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning
ของกระทรวงศึกษาธิการ หมายถึง การบริหาร การจัดการ แนวทางวิธีการ ขั้นตอนการดาเนินงาน
จัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ โดยมีเป้าหมาย
มุ่งเน้นให้ผู้เรียนทุกระดับมีส่วนร่วมสร้างสรรค์การเรียนรู้ เพ่ือให้เกิดสมรรถนะหลัก และการพัฒนา
ตนเองตามความถนัดและความสนใจ ด้วยการวางแผน การปฏิบัติ การตรวจสอบ การปรบั ปรุงแก้ไข
และการดาเนินงาน
4. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning
ของกระทรวงศึกษาธิการ หมายถึง ข้อเสนอ แนวทางการดาเนินงานการจัดการเรียนการสอน
แบบ Active Learning เพ่ือให้บรรลุเป้าหมาย โดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนทุกระดับมีส่วนร่วมสร้างสรรค์
การเรยี นรู้ เพอ่ื ใหเ้ กิดสมรรถนะหลกั และการพัฒนาตนเองตามความถนัดและความสนใจ
5. เด็กนักเรียน หมายถึง บุคคลที่มีอายุต่ากว่าสิบแปดปีบริบูรณ์แต่ไม่รวมถึงผู้ท่ีบรรลุนิติ
ภาวะด้วยการสมรส และเป็นเด็กนักเรียนซึ่งกาลังรับการศึกษาที่อยู่ในความดูแลของหน่วยงาน
การศกึ ษาสังกัดกระทรวงศกึ ษาธกิ าร
6. ผู้บริหารการศึกษา หมายถึง ผู้ดารงตาแหน่งศึกษาธิการจงั หวดั ผู้อานวยการสานกั งาน
เขตพ้นื ที่การศกึ ษา
7. ผู้บริหารหน่วยงานการศึกษา หมายถึง ผู้ดารงตาแหน่ง ผู้อานวยการโรงเรียน
ผู้อานวยการวิทยาลยั ของสถานศกึ ษาทง้ั ของรฐั และเอกชน
8. ครผู ้สู อน หมายถงึ ผู้ทาหน้าทส่ี อนหนังสือในสถานศกึ ษา สังกดั กระทรวงศกึ ษาธิการ
9. บุคลากรทางการศึกษา หมายถึง ผู้ทาหน้าที่ส่งเสริม สนับสนุน การจัดการศึกษา
ของสถานศึกษา
10. สถานศึกษา หมายถึง โรงเรียน ศูนย์การเรียน หน่วยงานทางการศกึ ษาหรอื หนว่ ยงาน
อนื่ ของรัฐหรือเอกชน ทม่ี ีอานาจหน้าทหี่ รือมีวัตถปุ ระสงค์ในการจัดการศึกษา ซงึ่ อยู่ภายใต้การกากับ
ดูแลของกระทรวงศกึ ษาธิการ
7
บทท่ี 2
เอกสารและงานวิจัยทเี่ กย่ี วข้อง
การศึกษา เร่ือง การดาเนินงานการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning
ของสถานศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ มีการศึกษาแนวคิด หลักการ ทฤษฎี และงานวิจัย
ท่เี ก่ยี วขอ้ ง ดังน้ี
1. ความเชื่อมโยงของ แผน 3 ระดับ
2. แนวคิดและทฤษฎีของการจัดการเรยี นการสอนแบบ Active Learning
3. การตรวจราชการ ตดิ ตาม ตรวจสอบและประเมนิ ผลของผ้ตู รวจราชการกระทรวงศกึ ษาธกิ าร
4. นโยบายการตรวจราชการและติดตามผลการจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ
ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
5. งานวิจัยทีเ่ กี่ยวข้อง
1. ความเชอื่ มโยงของ แผน 3 ระดบั
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 6 เมษายน
พ.ศ. 2560 และหมวดนโยบายแห่งรัฐ กาหนดให้ประเทศมียุทธศาสตร์ชาติเพื่อเป็นกรอบ
ในการพัฒนาประเทศอย่างย่ังยืนตามหลักธรรมาภิบาล เพ่ือใช้เป็นกรอบจัดทาแผนระดับต่าง ๆ
ให้สอดคล้องและบูรณาการเพ่ือเป็นพลังผลักดันร่วมกันสู่เป้าหมายให้ประเทศบรรลุวิสัยทัศน์
“ประเทศไทยมีความม่ันคง มั่งค่ัง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญา
ของเศรษฐกจิ พอเพยี ง” โดยประเด็นยทุ ธศาสตร์ชาติดา้ นการพัฒนาและเสริมสรา้ งศกั ยภาพทรพั ยากร
มนุษย์ ในการพัฒนาเพื่อให้คนไทยในอนาคต มีความพร้อมท้ังด้านร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา
มีทักษะท่ีจาเป็นในศตวรรษท่ี 21 มีทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษและภาษาที่สาม และมีคุณธรรม
และเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม.2563 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ (ร่าง) แผนการปฏิรูปประเทศ
(ฉบับปรับปรุง) ที่เน้นกิจกรรม Big Rock ด้านการศึกษาสาคัญ 5 Big Rock คือ (1) การสร้างโอกาส
และความเสมอภาคทางการศึกษาต้ังแต่ระดับปฐมวัย โดยกาหนดหน่วยงานรับผิดชอบหลัก
(2) การพัฒนาการจัดการเรียนการสอนสู่การเรียนรู้ฐานสมรรถนะเพ่ือตอบสนองการเปลี่ยนแปลง
ในศตวรรษที่ 21 (3) การปฏิรูปกลไกและระบบการผลิตและพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา
ให้มีคุณภาพมาตรฐาน (4) การจัดอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีและระบบอ่ืน ๆ ท่ีเน้นการฝึกปฏิบัติ
อย่างเตม็ รปู แบบนาไปสกู่ ารจ้างงานและการสรา้ งงาน และ (5) การปฏิรูปบทบาทการวิจัยและระบบ
ธรรมาภิบาล ของสถาบันอุดมศึกษาเพ่ือสนับสนุนการพัฒนาประเทศไทยออกจากกับดักรายได้
ปานกลางอย่างย่ังยืน กระทรวงศึกษาธิการและสานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ต้องดาเนินการ
8
ถ่ายทอดยุทธศาสตร์ดังกล่าวข้างต้นสู่การปฏิบัติ ด้วยการจัดทาเป็นแผนปฏิบัติราชการ ซ่ึงเป็นแผน
ของหน่วยงาน เรยี กว่า แผนระดับท่ี 3 โดยความรว่ มมือของหน่วยงานท่ีเกี่ยวขอ้ งตามภารกิจในระดับ
กระทรวงสู่พ้ืนท่ีอย่างเป็นรปู ธรรมและมีประสทิ ธภิ าพ
เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 เผยแพร่ประกาศสานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การประกาศ
แผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) ซ่ึงคณะรัฐมนตรีเห็นชอบแล้วสาหรับด้านการศึกษา
(หน้า 293 - 323) กาหนดเป้าหมายเพื่อให้ผ้เู รยี นทกุ กลมุ่ วัยได้รับการศึกษาที่มคี ุณภาพตามมาตรฐาน
มีทักษะที่จาเป็นของโลกอนาคต สามารถแก้ปัญหา ปรับตัว ส่ือสาร และทางานร่วมกับผู้อ่ืนได้อย่าง
มีประสิทธิผล มีวินัย มีนิสัยใฝ่เรียนรู้อย่างต่อเน่ืองตลอดชีวิต และเป็นพลเมืองท่ีรู้สิทธิและหน้าท่ี
มีความรับผิดชอบ มีจิตสาธารณะ มีความรักและความภาคภูมิใจในความเป็นไทย มีวัตถุประสงค์
ที่สาคญั 3 ด้าน คือ ลดความเหลือ่ มล้า ยกระดับคุณภาพ และเพม่ิ ขีดความสามารถในการแขง่ ขัน
1.1 ยทุ ธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580)
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 65 บัญญัติให้รัฐพึงจดั ให้มียทุ ธศาสตร์ชาติ
เปน็ เป้าหมายการพฒั นาประเทศอย่างย่งั ยืนตามหลักธรรมาภิบาล เพ่ือใช้เป็นกรอบในการจัดทาแผน
ต่าง ๆ ให้สอดคล้องและบูรณาการกันเพ่ือให้เกิดเป็นพลังผลักดันร่วมกันไปสู่เป้าหมายวิสัยทัศน์
“ประเทศไทย มีความม่ันคง ม่ังคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญา
ของเศรษฐกิจพอเพียง” เป้าหมายการพัฒนาประเทศ คือ “ประเทศชาติม่ันคง ประชาชนมคี วามสุข
เศรษฐกิจพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สังคมเป็นธรรม ฐานทรัพยากรธรรมชาติยั่งยืน” โดยมียุทธศาสตร์
การพัฒนาประเทศ จานวน 6 ยุทธศาสตร์ ท่สี าคัญ ดังนี้
การพัฒนาประเทศในช่วงระยะเวลาของยุทธศาสตร์ชาติ จะมุ่งเน้นการสร้างสมดุล
ระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจ สงั คม และสง่ิ แวดล้อม โดยประกอบด้วย 6 ยุทธศาสตร์ ได้แก่
1) ยุทธศาสตร์ชาตดิ ้านความมั่นคง
2) ยทุ ธศาสตร์ชาตดิ ้านการสรา้ งความสามารถในการแขง่ ขัน
3) ยทุ ธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาและเสริมสรา้ งศกั ยภาพทรัพยากรมนษุ ย์
4) ยุทธศาสตร์ชาติดา้ นการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม
5) ยุทธศาสตรช์ าติด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตท่ีเปน็ มิตรกับสงิ่ แวดล้อม
6) ยทุ ธศาสตร์ชาติด้านการปรบั สมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ
โดยมีเป้าหมายการพัฒนาประเทศ คือ “ประเทศชาติม่ันคง ประชาชนมีความสุข
เศรษฐกิจพฒั นาอย่างตอ่ เนื่อง สังคมเปน็ ธรรม ฐานทรพั ยากรธรรมชาติยง่ั ยืน” โดยยกระดับศกั ยภาพ
ของประเทศในหลากหลายมิติ พัฒนาคนในทุกมิติและในทุกช่วงวัยให้เป็นคนดี เก่ง และมีคุณภาพ
สร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม สร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
9
และมีภาครัฐของประชาชนเพื่อประชาชนและประโยชน์ส่วนรวม โดยการประเมินผลการพัฒนา
ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ประกอบด้วย
1) ความอยู่ดีมสี ขุ ของคนไทยและสงั คมไทย
2) ขดี ความสามารถในการแข่งขนั การพฒั นาเศรษฐกิจ และการกระจายรายได้
3) การพฒั นาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ
4) ความเทา่ เทยี มและความเสมอภาคของสังคม
5) ความหลากหลายทางชีวภาพ คณุ ภาพสง่ิ แวดลอ้ ม และความย่งั ยืนของทรัพยากร
ธรรมชาติ
6) ประสทิ ธิภาพการบริหารจัดการและการเขา้ ถึงการใหบ้ รกิ ารของภาครฐั
1.2 แผนแมบ่ ทภายใตย้ ทุ ธศาสตรช์ าติ
แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ เป็นแผนแม่บทเพื่อบรรลุเปา้ หมายตามที่กาหนดไว้
ในยุทธศาสตร์ชาติ มีผลผูกพันต่อหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องจะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามน้นั รวมทั้ง
การจัดทางบประมาณรายจ่ายประจาปีต้องสอดคล้องกับแผนแม่บทด้วย โดยแผนแม่บทภายใต้
ยุทธศาสตร์ชาติ ประกอบด้วย 23 ประเด็น 62 แผนย่อย (ประกาศสานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง
การประกาศแผนแมบ่ ทภายใต้ยทุ ธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2561 - 2580) ณ วันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2562
ซ่งึ เกย่ี วข้องกับการศกึ ษา ดงั นี้
ประเดน็ แผนแม่บทภายใต้ เป้าหมายแผนแมบ่ ทภายใตย้ ุทธศาสตร์ชาติ
ยทุ ธศาสตร์ชาติ
1) ประเด็นการพฒั นาการเรยี นรู้ เปา้ หมายแผนหลัก
1. คนไทยมกี ารศึกษาท่ีมีคุณภาพตามมาตรฐานสากลเพ่ิมขึ้น
มที ักษะทจ่ี าเป็นของโลกศตวรรษท่ี 21 สามารถในการแกป้ ัญหา
ปรับตัว สื่อสาร และทางาน ร่วมกับผู้อ่ืนได้อย่างมีประสิทธิผล
เพ่ิมขึ้น มนี สิ ยั ใฝ่ เรยี นร้อู ย่างตอ่ เนื่องตลอดชีวิต
2. คนไทยได้รับการพัฒนาเต็มตามศักยภาพตามความถนัด
และความสามารถของพหุปัญญาดขี น้ึ
2) ประเด็นการพัฒนาศักยภาพ เปา้ หมายแผนหลัก
คนตลอดชว่ งชีวติ คนไทยทุกช่วงวัยมีคุณ ภาพเพ่ิมขึ้น ได้รับการพัฒ นา
อย่างสมดุล ทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา และคุณธรรม จริยธรรม
เป็นผู้ท่ีมีความรู้ และทักษะในศตวรรษท่ี 21 รักการเรียนรู้
อย่างต่อเนือ่ งตลอดชีวติ
10
ประเดน็ แผนแมบ่ ทภายใต้ เป้าหมายแผนแมบ่ ทภายใตย้ ุทธศาสตรช์ าติ
ยุทธศาสตรช์ าติ
เปา้ หมายแผนย่อย
วัยเรียน/วัยรุ่น มีความรู้ และทักษะในศตวรรษที่ 21
ครบถ้วน รู้จักคิด วิเคราะห์ รักการเรียนรู้ มีสานึกพลเมือง
มีความกล้าหาญทางจริยธรรม มีความสามารถในการแก้ปัญหา
ปรับตัว สื่อสาร และทางานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิผล
ตลอดชวี ติ ดขี ้ึน
3) ประเด็นการบริการประชาชน เป้าหมายแผนหลัก
และประสิทธิภาพภาครฐั 1. บริการของรฐั มปี ระสิทธภิ าพและมีคุณภาพเปน็ ทยี่ อมรับ
ของผใู้ ชบ้ ริการ
2. ภาครัฐมีการดาเนินการที่มีประสิทธิภาพด้วยการนา
นวตั กรรม เทคโนโลยีมาประยกุ ต์ใช้
1.3 แผนแม่บทเฉพาะกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติอันเป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด 19
พ.ศ. 2564 – 2565
แผนแม่บทเฉพาะกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติฯ มีเป้าหมายสาคัญ คือ “คนสามารถ
ยังชพี อย่ไู ด้มงี านทา กลุ่มเปราะบางได้รบั การดแู ลอย่างทั่วถงึ สร้างอาชีพและกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น
เศรษฐกิจประเทศฟนื้ ตวั เข้าสู่ภาวะปกติ และมีการวางรากฐานเพ่อื รองรับการปรบั โครงสร้างเศรษฐกิจ
ใหม่” โดยได้ระบุประเด็นการพัฒนา 4 ประการ ที่ควรให้ความสาคญั เป็นพิเศษในระยะ 2 ปีข้างหน้า
เพ่ือเสริมสร้างศักยภาพในการฟื้นฟูและขับเคล่ือนประเทศให้สามารถ “ล้มแล้ว ลุกไว หรือ
Resilience” โดย 4 ประเด็นการพัฒนา ประกอบด้วย 1. การเสริมสร้างความเข้มแขง็ ของเศรษฐกิจ
ฐานรากภายในประเทศ (Local Economy) 2. การยกระดับขีดความสามารถของประเทศเพือ่ รองรับ
การเติบโตอย่างย่ังยืนในระยะยาว (Future Growth) 3. การพัฒนาศักยภาพและคุณภาพชีวิต
ของคนให้เป็นกาลังหลักในการขับเคล่ือนการพัฒนาประเทศ (Human Capital) 4.การปรับปรุง
และพฒั นาปจั จัยพื้นฐานเพ่อื ส่งเสริมการฟื้นฟูและพัฒนาประเทศ (Enabling Factors)
1.4 แผนปฏริ ปู ประเทศด้านการศึกษา (ฉบบั ปรงั ปรงุ )
การปฏิรปู การศึกษา มุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษา ลดความเหลื่อมล้า
ทางการศึกษาและปฏิรูประบบการศึกษาให้มีประสิทธิภาพ สามารถรองรับความหลากหลาย
ของการจัดการศึกษาและตอบโจทย์การพัฒนาของโลกอนาคต โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้เรียน
ทุกกลุ่มวัยได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน มีทักษะที่จาเป็นของโลกอนาคต สามารถ
11
แก้ปัญหา ปรับตัวส่ือสาร และทางานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิผล มีวินัย มีนิสัยใฝ่เรียนรู้
อย่างต่อเน่ืองตลอดชีวิต และเป็นพลเมืองที่รู้สิทธิและหน้าท่ีมีความรับผิดชอบ มีจิตสาธารณะ
มีความรักและความภาคภูมิใจในความเป็นไทย ซ่ึงแผนการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา
ฉบับปรับปรุงน้ี มุ่งเน้นกิจกรรมปฏิรูปที่จะส่งผลให้เกิดการเปล่ียนแปลงของภาคการศึกษา
ทจ่ี ะก่อให้เกิดประโยชน์ตอ่ ผเู้ รยี น ประชาชนอย่างมีนัยสาคัญ 5 กิจกรรม โดยพิจารณาความเชื่อมโยง
กับแผนการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษาที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2562
ประกอบด้วย 7 เร่ือง 29 ประเด็น 131 กิจกรรม ซึ่งหน่วยงานรับผิดชอบได้ขับเคลอ่ื นการดาเนินการ
บางกิจกรรมไปแล้ว สาหรับกิจกรรมปฏิรูป 5 กิจกรรม ท่ีกาหนดใหม่และแผนงานเดิมยังมุ่งเน้น
การยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษา ลดความเหล่ือมล้าทางการศึกษา มุ่งสู่ความเป็นเลิศ
และสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงประเทศ
อยา่ งมีนยั สาคญั 5 กิจกรรม ประกอบดว้ ย
1) การสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางการศกึ ษาตัง้ แต่ระดับปฐมวยั
2) การพัฒนาการจัดการเรียนการสอนสู่การเรียนรฐู้ านสมรรถนะ เพื่อตอบสนอง
การเปล่ียนแปลงในศตวรรษท่ี 21
3) การปฏิรูปกลไกและระบบการผลิตและพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา
ให้มีคุณภาพมาตรฐาน
4) การจดั อาชีวศึกษาระบบทวิภาคีและระบบอื่น ๆ ท่ีเน้นการฝึกปฏบิ ัติอย่างเต็ม
รปู แบบ นาไปสู่การจ้างงานและการสรา้ งงาน
5) การปฏิรูปบทบาทการวิจัยและระบบธรรมาภิบาลของสถาบันอุดมศึกษา
เพ่อื สนับสนุนการพฒั นาประเทศไทยออกจากกบั ดกั รายไดป้ านกลางอย่างยั่งยนื
ท้ังนี้ ในการดาเนินการดังกล่าวจะส่งผลให้ประชาชน/ผู้เรียนทุกกลุ่มวัยจะได้รับ
การศึกษาที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสากล มที ักษะที่จาเป็นของโลกอนาคต สามารถแกป้ ัญหา ปรับตัว
สือ่ สาร และทางานร่วมกับผู้อนื่ ได้อยา่ งมีประสิทธิผล มีวนิ ัย มีนสิ ัยใฝ่เรยี นรู้ อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
รวมทั้งเป็นพลเมืองท่ีรู้สิทธิและหน้าที่ มีความรับผิดชอบ และมีจิตสาธารณะ เป็นกาลังสาคัญ
ในการขับเคลอ่ื นประเทศใหบ้ รรลุเป้าหมายยุทธศาสตรช์ าตติ อ่ ไป
1.5 แผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 – 2564)
หลักการพัฒนาประเทศท่ีสาคัญในระยะแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 ยึดหลัก “ปรัชญา
ของเศรษฐกิจพอเพียง” “การพัฒนาที่ย่ังยืน” และ “คนเป็นศูนย์กลางการพัฒนา” ที่ต่อเนื่อง
จากแผนพัฒนาฯ ฉบับท่ี 9 - 11 และยึดหลักการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ลดความเหลื่อมล้า
และขบั เคลือ่ นการเจริญเตบิ โตจากการเพมิ่ ผลติ ภาพการผลิตบนฐานการใชภ้ มู ปิ ัญญาและนวัตกรรม
12
วตั ถปุ ระสงค์
1) เพ่ือวางรากฐานให้คนไทยเป็นคนที่สมบูรณ์ มีคุณธรรมจริยธรรม มีระเบียบ
วินัย ค่านิยมท่ีดี มีจิตสาธารณะ และมีความสุข โดยมีสุขภาวะและสุขภาพท่ีดี ครอบครัวอบอุ่น
ตลอดจนเปน็ คนเกง่ ท่มี ที กั ษะความรู้ความสามารถและพัฒนาตนเองได้ตอ่ เนื่องตลอดชีวิต
2) เพื่อให้คนไทยมีความม่ันคงทางเศรษฐกิจและสังคม ได้รับความเป็นธรรม
ในการเข้าถึงทรัพยากรและบริการทางสังคมท่ีมีคุณภาพ ผู้ด้อยโอกาสได้รับการพัฒนาศักยภาพ
รวมทงั้ ชุมชนมคี วามเข้มแข็งพึง่ พาตนเองได้
3) เพ่ือให้เศรษฐกิจเข้มแข็ง แข่งขันได้ มีเสถียรภาพ และมีความย่ังยืน
สร้างความเข้มแข็งของฐานการผลิตและบริการเดิมและขยายฐานใหม่โดยการใช้นวัตกรรมที่เข้มข้น
มากขนึ้ สร้างความเข้มแขง็ ของเศรษฐกิจฐานราก และสร้างความม่นั คงทางพลงั งาน อาหาร และนา้
4) เพื่อรักษาและฟ้ืนฟูทรัพยากรธรรมชาติและคุณภาพสิ่งแวดล้อมให้สามารถ
สนับสนนุ การเติบโตที่เปน็ มติ รกับสงิ่ แวดล้อมและการมีคุณภาพชีวิตทด่ี ีของประชาชน
5) เพ่ือให้การบริหารราชการแผ่นดินมีประสิทธิภาพ โปร่งใส ทันสมัย และ
มีการทางานเชิงบูรณาการของภาคกี ารพัฒนา
6) เพื่อให้มีการกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค โดยการพัฒนาภาคและเมือง
เพื่อรองรับการพัฒนายกระดบั ฐานการผลติ และบรกิ ารเดมิ และขยายฐานการผลติ และบรกิ ารใหม่
7) เพ่ือผลักดันให้ประเทศไทยมีความเชื่อมโยงกับประเทศต่าง ๆ ท้ังในระดับ
อนุภูมิภาค ภูมิภาค และนานาชาติได้อย่างสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพ รวมทั้งให้ประเทศไทย
มีบทบาทนาและสรา้ งสรรค์ในด้านการค้า การบริการ และการลงทุนภายใต้กรอบความร่วมมือต่าง ๆ
ทงั้ ในระดบั อนภุ มู ิภาคภมู ภิ าค และโลก
เปา้ หมายรวม
เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว ได้กาหนดเป้าหมายรวมการพัฒนา
ของแผนพัฒนาฯ ฉบับท่ี 12 ประกอบด้วย
1) คนไทยมคี ุณลกั ษณะเปน็ คนไทยที่สมบูรณ์
2) ความเหลือ่ มลา้ ทางด้านรายไดแ้ ละความยากจนลดลง
3) ระบบเศรษฐกจิ มคี วามเขม้ แขง็ และแข่งขนั ได้
4) ทุนทางธรรมชาติและคุณภาพสิ่งแวดล้อมสามารถสนับสนุนการเติบโต
ท่เี ป็นมิตรกับสิง่ แวดล้อม มีความม่ันคงทางอาหาร พลงั งาน และน้า
5) มีความม่นั คงในเอกราชและอธปิ ไตย สังคมปลอดภัย สามัคคีสรา้ งภาพลกั ษณ์ดี
และเพิม่ ความเชื่อม่ันของนานาชาติต่อประเทศไทย
13
6) มีระบบบริหารจัดการภาครัฐที่มีประสิทธิภาพ ทันสมัย โปร่งใสตรวจสอบได้
กระจายอานาจและมีส่วนร่วมจากประชาชน
ยุทธศาสตร์การพัฒนาในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12
ประกอบดว้ ย 10 ยุทธศาสตร์ ไดแ้ ก่
ยทุ ธศาสตรท์ ่ี 1 การเสรมิ สรา้ งและพัฒนาศักยภาพทนุ มนุษย์
ยทุ ธศาสตรท์ ี่ 2 การสรา้ งความเป็นธรรมลดความเหลอื่ มลา้ ในสังคม
ยทุ ธศาสตร์ท่ี 3 การสร้างความเข้มแขง็ ทางเศรษฐกิจ และแข่งขนั ได้อย่างย่ังยืน
ยุทธศาสตร์ที่ 4 การเตบิ โตท่ีเปน็ มติ รกับสิง่ แวดลอ้ มเพือ่ การพัฒนาอย่างยงั่ ยนื
ยทุ ธศาสตร์ท่ี 5 การเสริมสรา้ งความมัน่ คงแห่งชาตเิ พอ่ื การพฒั นาประเทศ
สคู่ วามมงั่ คั่งและยัง่ ยืน
ยทุ ธศาสตร์ที่ 6 การบริหารจดั การในภาครัฐ การป้องกนั การทุจริตประพฤตมิ ชิ อบ
และธรรมาภิบาลในสงั คมไทย
ยุทธศาสตร์ท่ี 7 การพัฒนาโครงสรา้ งพน้ื ฐานและระบบโลจสิ ตกิ ส์
ยทุ ธศาสตรท์ ่ี 8 การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัย และนวตั กรรม
ยทุ ธศาสตรท์ ี่ 9 การพัฒนาภาค เมอื ง และพื้นท่ีเศรษฐกิจ
ยุทธศาสตร์ที่ 10 ความรว่ มมอื ระหว่างประเทศเพอ่ื การพฒั นา
1.6 แผนการศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2560 - 2579
แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 - 2579 เป็นแผนท่ีวางกรอบเป้าหมายและ
ทิศทางการจัดการศึกษาของประเทศ โดยมุ่งจัดการศึกษาให้คนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงโอกาส
และความเสมอภาคในการศึกษาท่ีมีคุณภาพ พัฒนาระบบการบริหารจัดการศึกษาที่มีประสิทธิภาพ
พฒั นาคนให้มีสมรรถนะในการทางานที่สอดคล้องกับความตอ้ งการของตลาดแรงงานและการพัฒนา
ประเทศ แนวคิดการจัดการศึกษาตามแผนการศึกษาแห่งชาติ ยึดหลักสาคัญในการจัดการศึกษา
ประกอบด้วย หลักการจัดการศึกษาเพื่อปวงชน (Education for All) หลักการจัดการศึกษาเพื่อ
ความเท่าเทียมและท่ัวถึง (Inclusive Education) หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency
Economy) และหลักการมีส่วนร่วมของสังคม (All For Education) อีกทั้งยึดตามเป้าหมาย
การพัฒนาท่ีย่ังยืน (Sustainable Development Goals : SDGs 2030) ประเด็นภายในประเทศ
(Local Issues) อาทิ คุณภาพของคนช่วงวัย การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรของประเทศ
ความเหลื่อมล้าของการกระจายรายได้ และวิกฤติด้านส่ิงแวดล้อม โดยนายุทธศาสตร์ชาติ
มาเป็นกรอบความคิดสาคัญในการจัดทาแผนการศกึ ษาแห่งชาติ โดยมีสาระสาคัญ ดังนี้
14
วิสยั ทัศน์ คนไทยทุกคนไดร้ บั การศึกษาและเรยี นร้ตู ลอดชีวิตอยา่ งมคี ุณภาพ ดารงชีวิต
อย่างเปน็ สุข สอดคลอ้ งกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และการเปล่ียนแปลงของโลกศตวรรษ
ท่ี 21
วัตถปุ ระสงค์
1) เพือ่ พฒั นาระบบและกระบวนการจัดการศึกษาทม่ี ีคุณภาพและมีประสิทธภิ าพ
2) เพ่ือพัฒนาคนไทยให้เป็นพลเมืองดี มีคุณลักษณะ ทักษะและสมรรถนะ
ท่ีสอดคล้องกับบทบัญญัตขิ องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
และยุทธศาสตร์ชาติ
3) เพื่อพัฒนาสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ และคุณธรรม จริยธรรม
รรู้ ักสามัคคี และร่วมมือผนึกกาลังมุ่งสู่การพัฒนาประเทศอย่างย่ังยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ
พอเพียง
4) เพ่ือนาประเทศไทยก้าวข้ามกับดักประเทศท่ีมีรายได้ปานกลางและความเหล่ือมล้า
ภายในประเทศลดลง
ยุทธศาสตร์การพฒั นาการศึกษา ประกอบดว้ ย 6 ยุทธศาสตรด์ ังนี้
1) ยุทธศาสตรก์ ารจัดการศึกษาเพ่ือความมนั่ คงของสงั คมและประเทศชาติ
2) ยุทธศาสตร์การผลิตและพัฒนากาลังคน การวิจัย และนวัตกรรมเพ่ือสร้าง
ขีดความสามารถในการแข่งขนั ของประเทศ
3) ยุทธศาสตรก์ ารพัฒนาศกั ยภาพคนทกุ ช่วงวยั และการสรา้ งสงั คมแหง่ การเรียนรู้
4) ยุทธศาสตร์การสร้างโอกาส ความเสมอภาคและความเท่าเทียมทางการศึกษา
5) ยุทธศาสตรก์ ารจัดการศึกษาเพอ่ื สร้างเสริมคุณภาพชีวติ ทีเ่ ปน็ มิตรกบั สิ่งแวดลอ้ ม
6) ยุทธศาสตรก์ ารพฒั นาประสทิ ธภิ าพของระบบบรหิ ารจดั การศึกษา
เป้าหมายการพัฒนาการศกึ ษา
1) การเข้าถึงการศึกษา (Access)
2) ความเทา่ เทียม (Equity)
3) ประสทิ ธภิ าพ (Efficiency)
4) คณุ ภาพ (Quality)
5) ตอบโจทย์บรบิ ท ทเ่ี ปล่ียนแปลง (Relevancy)
การขบั เคลื่อนแผนการศึกษาแห่งชาตสิ กู่ ารปฏิบตั ิ
1) สร้างความรู้ความเข้าใจให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้ตระหนักถึงความสาคัญ
และพร้อมเขา้ รว่ มผลกั ดนั แผนการศึกษาแห่งชาติไปสูก่ ารปฏบิ ัติ
15
2) สร้างความเช่ือมโยงระหว่างแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 - 2579
ยุทธศาสตร์ชาติ นโยบายรัฐบาล แผนพัฒนาการศึกษาระยะ 5 ปี แผนปฏิบัติราชการระยะ 4 ปี
และแผนปฏบิ ตั กิ ารประจา้ ปขี องหนว่ ยงาน องค์กร
3) ปรับปรงุ กฎ ระเบียบ และกฎหมายต่าง ๆ ให้เอ้ือต่อการขับเคล่ือนการพัฒนา
การศึกษาในระดบั ตา่ ง ๆ
4) สร้างช่องทางให้ประชาสังคมมีโอกาสแสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วม
ในการจัดการศึกษาอย่างกว้างขวาง ทั้งระดบั นโยบายและพื้นท่ี
1.7 นโยบายการจดั การศึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศกึ ษาธกิ าร
ตามที่รัฐมนตรวี า่ การกระทรวงศกึ ษาธกิ าร (นางสาวตรนี ุช เทยี นทอง) ได้มอบนโยบาย
และยุทธศาสตร์ในการปฏิบัติงานให้กับผู้บริหารระดับสูง บุคลากรของกระทรวงศึกษาธิการ
และหน่วยงานในกากับ เพื่อเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาให้เกิดความเช่ือม่ัน
และสร้างความมั่นใจให้กับสังคมโดยมอบหลักการทางาน นโยบายหลัก และนโยบายเร่งด่วน
ดังตอ่ ไปน้ี
ข้อ 1 การปรับปรุงหลักสูตรและกระบวนการเรียนรู้ให้ทันสมัย และทัน
การเปล่ยี นแปลงของโลกในศตวรรษที่ 21
ข้อ 2 การพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพครูและอาจารย์ในระดับการศึกษา
ขน้ั พืน้ ฐานและอาชวี ศึกษาให้มีสมรรถนะทางภาษาและดิจทิ ัล
ข้อ 3 การปฏิรูปการเรียนรู้ด้วยดิจิทัลผ่านแพลตฟอร์มการเรียนรู้ด้วยดิจิทัล
แห่งชาติ (NDLP) และการส่งเสริมการฝึกทักษะดิจทิ ัลในชวี ิตประจาวนั
ข้อ 4 การพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารและการจัดการศึกษา โดยการส่งเสริม
สนับสนุนสถานศึกษาให้มีความเป็นอิสระและคล่องตัว การกระจายอานาจการบริหารและการจัด
การศกึ ษาโดยใชจ้ งั หวดั เป็นฐาน
ขอ้ 5 การปรับระบบการประเมินผลการศึกษาและการประกันคุณภาพ พร้อมจัด
ทดสอบวดั ความรู้และทกั ษะที่จาเป็นในการศกึ ษาตอ่ ระดับอดุ มศึกษาทงั้ สายวิชาการและสายวิชาชพี
ข้อ 6 การจัดสรรและการกระจายทรัพยากรให้ท่ัวถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย รวมถึง
การระดมทรพั ยากรทางการศึกษาจากความรว่ มมอื ทกุ ภาคส่วน
ข้อ 7 การนากรอบคุณวุฒิแห่งชาติ (NQF) และกรอบคุณวุฒิอ้างอิงอาเซียน
(AQRF) สกู่ ารปฏิบตั ิ
ข้อ 8 การพัฒนาเด็กปฐมวัยให้ได้รับการดูแลและพัฒนาก่อนเข้ารับการศึกษา
เพอ่ื พัฒนาร่างกาย จติ ใจ วนิ ยั อารมณ์สงั คม และสติปัญญาให้สมกับวัย
ขอ้ 9 การศกึ ษาเพ่อื อาชพี และสรา้ งขีดความสามารถในการแข่งขนั ของประเทศ
16
ข้อ 10 การพลิกโฉมระบบการศึกษาไทยด้วยการนานวัตกรรมและเทคโนโลยี
ท่ที นั สมัยมาใช้ในการจัดการศกึ ษาทุกระดบั การศึกษา
ข้อ 11 การเพิ่มโอกาสและการเข้าถึงการศึกษาท่ีมีคุณภาพของกลุ่มผู้ด้อยโอกาส
ทางการศกึ ษา และผู้เรียนท่ีมคี วามตอ้ งการจาเป็นพเิ ศษ
ข้อ 12 การจัดการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย โดยยึดหลักการ
เรียนรู้ตลอดชวี ิตและการมีสว่ นร่วมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
2. แนวคิดและทฤษฎีของการจัดการเรยี นการสอนแบบ Active Learning
การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning เป็นกระบวนการเรยี นการสอนท่ีส่งเสริม
ให้ผเู้ รียนมีส่วนร่วมในช้ันเรียน สรา้ งปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูผู้สอนกับผู้เรียน มุ่งให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติ
โดยมีครูเป็นผู้อานวยความสะดวก (Facilitator) สร้างแรงบันดาลใจ ให้คาปรึกษา ดูแล แนะนา
ทาหน้าที่เป็นโค้ชและพี่เลี้ยง (Coach & Mentor) แสวงหาเทคนิควิธีการจัดการเรียนรู้และแหล่ง
เรียนรู้ที่หลากหลายให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมีความหมาย (Meaningful learning) ผู้เรียนสร้าง
องค์ความรูไ้ ด้ มีความข้าใจในตนเอง ใชส้ ติปัญญา คิด วิเคราะห์ สร้างสรรค์ผลงานนวตั กรรมที่บ่งบอก
ถึงการมีสมรรถนะสาคัญในศตวรรษที่ 21 มีทักษะวิชาการ ทักษะชีวิต และทักษะวิชาชีพ
บรรลุเป้าหมายการเรยี นร้ตู ามระดับชว่ งวยั (สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน, 2562)
สุระ บรรจงจิตร (2551) ได้กล่าวถึงทฤษฎีการเรียนรู้กับรูปแบบการเรียนการสอนแบบ
Active Learning ไว้ว่า ศาสตร์เกี่ยวกับการเรียนรู้ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเน่ืองควบคู่ไปกับ
การพัฒนาด้านวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี โดยในช่วงแรกของการศึกษาเกี่ยวกบั พฤติกรรมการเรียนรู้
ของมนุษย์เป็นการศึกษาในเชิงพฤติกรรมศาสตร์ โดยนักพฤติกรรมศาสตร์ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20
ได้ให้นิยาม การเรียนรู้ว่าเป็น “กระบวนการที่เชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้า (Stimuli) กับการตอบสนอง
(Responses) โดยแรงจูงใจให้เกิดการเรียนรู้มักมีที่มาจากความต้องการพ้ืนฐาน” เช่น การเรียนรู้
ที่จะหาอาหารมาจากสิ่งเร้า คือ ความหิว เป็นต้น อย่างไรก็ดีนิยามของการเรียนรู้ในเชิงพฤติกรรม
ศาสตรย์ ังไม่สามารถอธิบาย องค์ประกอบอื่น ๆ ท่ีเก่ียวข้องกับการเรียนรู้ได้ เช่น การทาความเขา้ ใจ
และการใช้เหตุผล เป็นต้น ต่อมาเมื่อการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์การรู้คิด (Cognitive Science)
ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ได้มีการศึกษาเกี่ยวกับการเรียนรู้ในเชิงสหวิทยาการ (Multidisciplinary)
มากยิ่งข้ึน โดยรวมเอาความรู้ในสาขาวิชาต่าง ๆ เช่น มานุษยวิทยา จิตวิทยา ประสาทวิทยา
และวิทยาการคอมพิวเตอร์มาประยุกต์เพื่อศึกษาและทาความเข้าใจเก่ียวกับกระบวนการเรียนรู้
ของมนุษย์ โดยการเรียนรู้ในมุมมองของวิทยาศาสตร์ การรู้คิดมีความหมายท่ีครอบคลุมมากกว่า
นิยามเดิม กล่าวคือ เป็นความสามารถในการจดจา การทาความเข้าใจ การจัดโครงสร้างความรู้
และการถ่ายทอดเพ่ือนาความรู้ที่มีไปใช้ในการแก้ปัญหา อย่างไรก็ดีศาสตร์เกี่ยวกับการเรียนรู้
17
ของมนุษย์ยังไม่ได้ข้อยุติและยังคงอยู่ในระหว่างการศึกษาค้นคว้าของนักวิทยาศาสตร์อย่างต่อเนื่อง
เพ่อื ให้เกดิ ความเข้าใจท่ีลึกซ้งึ และชัดเจนมากย่ิงขึน้
จากความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์การรู้คิดในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ได้แบ่งประเภท
ของความจาท่เี กี่ยวข้องกบั การเรียนรอู้ อกเป็น 2 ประเภท คอื ความจาระยะสั้น (Working Memory)
และความจาระยะยาว (Long-Term Memory) โดยความจาระยะส้ัน คือ ส่วนของความจาท่ีใช้
ในการคิด ประมวลผล จากการศึกษาของ Peterson and Peterson และ Miller พบว่า ความจา
ระยะสั้นสามารถเก็บข้อมูลได้ไม่เกิน 7 ข้อมูล และข้อมูลในความจาระยะสั้นจะถูกลืมไปภายใน
30 วินาที หากไม่มีการทบทวน ส่วนความจาระยะยาว คือ ส่วนของความจาที่เก็บข้อมูลจานวนมาก
ซึ่งข้อมูลเหล่าน้ีมีอิทธิพลสาคัญต่อการตัดสินใจในชีวิตประจาวันของมนุษย์ การศึกษาเก่ียวกับ
การเรยี นรแู้ ละประเภทของความจาดังที่กล่าวมาขา้ งตน้ ได้นาไปสู่ความเข้าใจในความแตกตา่ งระหว่าง
ผู้เริ่มต้น (Novice) กับผู้เช่ียวชาญ (Expert) โดยคณะทางานเพ่ือพัฒนาวิทยาศาสตร์ในการเรียนรู้
(Committee on Developments in the Science of Learning) ขอ งสภาก ารวิจัยแห่งชาติ
ของสหรัฐอเมริกาได้ให้นิยามของผู้เชี่ยวชาญว่าเป็น “ผู้ที่สามารถคิดได้อย่างมีประสิทธิผลเกี่ยวกับ
การแกป้ ัญหาในสาขาความชานาญน้ัน ซ่ึงการศกึ ษาความแตกตา่ งระหว่างผู้เร่ิมต้นกับผเู้ ชี่ยวชาญน้ัน
มวี ตั ถุประสงค์เพอ่ื นาไปสกู่ ารพฒั นาความสามารถในการคิดและแกป้ ญั หาซึ่งเป็นหนึง่ ในองคป์ ระกอบ
ของการเรียนรู้ โดยจากการศึกษาพบว่า ผู้เช่ียวชาญมีความแตกต่างจากผู้เร่ิมต้นตรงท่ีผู้เช่ียวชาญ
มีข้อมูลท่ีเก่ียวข้องกับสาขาความเชี่ยวชาญอยู่ภายในความจาระยะยาวมากเพียงพอท่ีจะสามารถ
แยกแยะรูปแบบของข้อมูลที่สาคัญได้ นอกจากน้ีผู้เช่ียวชาญยังมีแนวโน้มในการจัดเก็บความรู้ที่ดี
โดยจัดข้อมูลท่ีมีลักษณะเป็นข้อมูลปลีกย่อยไว้รอบข้อมูลท่ีเป็นหัวข้อสาคัญ ซึ่งการจัดเก็บข้อมูล
ดังกล่าวช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญสามารถดึงข้อมูลท่ีเก่ียวข้องออกมาจากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ในความจา
ระยะยาวเพ่อื นามาใช้งานได้อย่างรวดเร็ว
ทฤษฎีเกี่ยวกับการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์การรู้คิดอีกทฤษฎีหนึ่งคือ ทฤษฎี
การจัดหมวดหมู่วัตถปุ ระสงค์ของการศึกษา (Taxonomy of Educational Objectives) ซึ่งทฤษฎีนี้
จัดแบ่งหมวดหมู่วัตถุประสงค์ของการศึกษาในด้านการรู้คิด (Cognitive Domain) ไว้ 5 ระดับ
โดยวัตถุประสงค์ใน 3 ระดบั แรก ประกอบด้วยวตั ถปุ ระสงค์ขั้นตอน ดงั น้ี
1. ความรู้ หมายถึง ความสามารถในการจดจาข้อเท็จจริง แนวคิด และหลักการ
ดว้ ยการท่องจา
2. ความเข้าใจ หมายถึง ความสามารถในการตีความและทาความเข้าใจความหมาย
ของส่ิงที่จาได้ในมุมมองของผูเ้ รยี นเอง
3. การนาไปใช้ หมายถงึ การนาความรแู้ ละความเขา้ ใจท่ีมีไปปรบั ใชใ้ นชีวติ ประจาวัน
18
จะเห็นได้วา่ วัตถุประสงค์แต่ละระดบั เปน็ พนื้ ฐานทจ่ี ะนาไปสู่วัตถปุ ระสงค์ในระดบั ตอ่ ๆ ไป
โดยวัตถุประสงค์ขั้นตอน 3 ระดับแรกนี้ เป็นพื้นฐานที่จาเป็นสาหรับวัตถุประสงค์ของการศึกษา
ในข้ันสงู อีก 3 ระดับ ดังน้ี
4. การวิเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการแยกองค์ประกอบย่อยของความรู้ท่ีมี
และทาความเขา้ ใจแต่ละองค์ประกอบนัน้ ได้
5. การประเมินค่า หมายถึง ความสามารถในการประเมินผลงานท่ีเก่ียวข้องกับความรู้
ที่มีดว้ ยเกณฑก์ ารตัดสินที่เหมาะสม
6. การสังเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการสร้างสรรค์ความรู้ใหม่จากพื้นฐาน
ของความรู้เดิมท่ีมีอยู่ ซึ่งในเอกสารต้นฉบับเดิมของ Bloom จัดการสังเคราะห์ไว้ที่ระดับที่ 5
แตน่ ักวทิ ยาศาสตร์การรู้คิดสมัยใหม่นยิ มที่จะจัดการสังเคราะห์เป็นวตั ถปุ ระสงคร์ ะดับสูงสุด เนื่องจาก
ในปัจจุบันเป็นท่ียอมรบั กนั ว่าการสงั เคราะห์ส่งิ ใหมเ่ ป็นงานที่ยากกว่าการประเมนิ ค่าส่ิงท่ีมอี ยู่แลว้
จากความก้าวหน้าด้านวทิ ยาศาสตร์การรู้คิด ทาใหเ้ กิดแนวความคิดในการเรียนรู้แขนงใหม่
ขึ้นมาเรียกว่า Constructivist ซึ่งเป็นท่ีมาของแนวความคิดการเรียนรู้แบบ Active Learning
โดยแนวคิด Constructivist มีนิยามของการเรียนรู้ว่า เป็นการสร้างข้อมูลใหม่ในความจาระยะยาว
ด้วยการนาข้อมูลท่ีได้รับในความจาระยะส้ันไปผสมผสานกับข้อมูลที่มีอยู่แล้วในความจาระยะยาว
ดังนั้น ผู้เรียนจึงเป็นผู้สร้างความรู้จากข้อมูลท่ีได้รับมาใหม่ด้วยการนาไปประกอบกับประสบการณ์
สว่ นตัวท่ีผ่านมาในอดีต ซึ่งตัวผู้เรียนเองจะมีบทบาทสาคัญที่สุดในการเรียนรู้และการจัดองค์ความรู้
ในความจาระยะยาวของตนเอง ด้วยเหตุนี้ผู้ท่ีสนับสนุนแนวคิดน้ีจึงเน้นกระบวนการเรียนรู้
ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีโอกาสเรียนรู้จากประสบการณ์ด้วยการลงมือปฏิบัติ การแก้ปัญหา
และการทางานเป็นกลุ่ม มากกว่าการน่งั ฟังผสู้ อนในห้องเรียน ซึ่งแนวคิดน้ีได้พัฒนาต่อมาเป็นรูปแบบ
การเรียนรู้แบบ Active Learning
2.1 ความหมายของการจดั การเรยี นการสอนแบบ Active Learning
Active Learning เป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการสร้างสรรค์
ทางปัญญา (Constructivism) ที่เน้นกระบวนการเรียนรู้มากกว่าเนื้อหาวิชา เพ่ือช่วยให้ผู้เรียน
สามารถเช่ือมโยงความรู้หรือสร้างความรู้ให้เกิดขึ้นในตนเองด้วยการลงมือปฏิบัติจริงผ่านส่ือ
หรือกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีครูผู้สอนเป็นผู้แนะนา กระตุ้น หรืออานวยความสะดวก ให้ผู้เรียน
เกิดการเรียนรูข้ ึน้ โดยกระบวนการคิดขน้ั สูง (Higher order thinking) กล่าวคือ ผู้เรียนมีการวเิ คราะห์
สังเคราะห์ และการประเมินค่าจากส่ิงที่ได้รับจากกิจกรรมการเรียนรู้ ทาให้การเรียนรู้เป็นไป
อย่างมีความหมาย และนาไปใช้ในสถานการณ์อ่ืน ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (สถาพร พฤฑฒิกุล,
2558) นักการศึกษาท้ังในและต่างประเทศได้กล่าวถึง ความหมายของคาวา่ Active Learning เอาไว้
19
โดยนักการศึกษาของประเทศไทยใช้คาภาษาไทยคาว่า “การเรียนเชิงรุก” แทน Active Learning
ซ่งึ มีการนิยามความหมายดังต่อไปน้ี
Bonwell (2003) กล่าวว่า Active Learning หมายถึง การเรียนที่เน้นให้ผู้เรียน
ได้ปฏิบัติ และสร้างความรู้จากการลงมือปฏิบัติจริงในระหว่างการเรียนการสอน ส่งผลให้ผู้เรียน
เชื่อมโยงความรู้ใหมก่ ับความรู้เดมิ
Prince (2004) กล่าวว่า การเรียนเชิงรุก หมายถึง กิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริม
พฤติกรรมการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ร่วมแสดงความคิดเห็น ได้ใช้ทักษะ
การพดู ฟงั อา่ น เขยี น และไตร่ตรองความคิด
Felder and Brent (2004) กล่าวว่า Active Learning หมายถึง กิจกรรมใด ๆ ก็ตาม
ที่เก่ียวข้องกับรายวิชาที่ผู้เรียนทุกคนได้ถูกเรียกให้ทาส่ิงต่าง ๆ นอกเหนือจากการนั่งดู ฟัง
และจดบันทกึ อยา่ งเดยี ว
Gifkins (2015) ให้ความหมายไว้ว่า เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้เรียน
มีปฏิสัมพันธ์กับเน้ือหาในรูปแบบใด ๆ ท่ีสามารถแสดงความคิดผ่านกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้หรือ
ผ่านกระบวนการจัดทาข้อมูลเพื่อกระตุ้นความคิดเกี่ยวกับเน้ือหาแทนท่ีจะถ่ายทอดข้อมู ล
เพียงอย่างเดียว แต่เป้าหมายคือ การพัฒนาทักษะการมีส่วนร่วมในกิจกรรม การอภิปราย
การประยุกตใ์ ช้หลักการเพอ่ื ส่งเสรมิ ความคดิ ขั้นสูง การคิดเชิงวิเคราะห์
กระทรวงศึกษาธิการ (2552) ท่ีได้กล่าวโดยสรุปว่า Active Learning หมายถึง
กระบวนการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมีความหมาย โดยการร่วมมือระหว่างผู้เรียนด้วยกัน
ในการนี้ครูต้องลดบทบาทในการสอนและการให้ข้อความรแู้ ก่ผู้เรียนโดยตรง แต่ไปเพิ่มกระบวนการ
และกิจกรรมท่ีจะทาให้ผู้เรียนทากิจกรรมต่าง ๆ มากข้ึน และอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น
การแลกเปลี่ยนประสบการณ์โดยการพูด การเขียน การอภิปรายกับเพื่อน ๆ เพ่ือให้บรรลุผลสาเร็จ
ทางด้านวิชาการ เกิดทักษะทางด้านการติดต่อส่ือสารระหว่างกนั มีการพฒั นาทักษะกระบวนการคิด
ไปส่ใู นระดับท่ีสูงข้นึ เกดิ เจตคตทิ ่ีดตี ่อวิชาท่ีเรยี นและเกดิ แรงจงู ใจต่อการเรียน
จิตณรงค์ เอ่ียมสาอาง (2558) ได้กล่าวว่า Active Learning คือ แนวทางหรือวิธีการ
จัดการเรียนการสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางโดยให้ผู้เรียนได้คิดและมีส่วนร่วมในการปฏิบัติ
ในกิจกรรมการเรียนรู้ ใช้เคร่ืองมืออุปกรณ์ต่าง ๆ แสดงความคิดเห็นของตนเองตามความเข้าใจ
ตลอดจนร่วมรับผิดชอบในผลของการปฏิบัติ โดยมีครูผู้สอนเป็นผู้ดูแลให้คาปรึกษาแนะนา
โดยผสมผสานเทคนิคการสอนที่หลากหลายที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนนาความรู้จากห้องเรียนสู่การปฏิบัติ
ในสถานการณ์ตา่ ง ๆ ท้ังในห้องเรียนและในโลกแห่งความเป็นจริง
ดิเรก พรสีมา (2559) มีความเห็นว่า Active Learning คือ การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้
ท่ีมีลักษณะทาให้ผู้เรียนแต่ละคนกระตือรือร้น คิดค้นหาความรู้และคาตอบอยู่ตลอดเวลา
20
(Active Learner) โดยจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ส่งผลทาให้เกิดคาว่า
Work-based Learning หรือ Work-integrated Learning หรือ Site-based Learning จะเป็นผล
ทาให้นักเรียนและครูค้นพบความรู้ใหม่ สร้างสรรค์ความรู้ใหม่ และสร้างนวัตกรรมให ม่ได้
ผู้เรียนจะต้องมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้โดยเน้นให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้จากการแก้ปัญหา
จากการลงมือกระทาดว้ ยตนเอง
มหาวิทยาลัยทักษิณ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (2561) ได้ให้ความหมาย
ของการเรียนการสอนแบบ Active Learning คือ การเรียนท่ีเน้นให้ผู้เรยี นมีปฏิสัมพันธ์กับการเรียน
การสอน กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิดขั้นสูง (Higher-Order Thinking) ด้วยการวิเคราะห์
สังเคราะห์และประเมินค่า ไม่เพียงแต่ฟัง ผู้เรียนต้องอ่าน เขียน ถามคาถาม อภิปรายร่วมกันและ
ลงมือปฏิบัติจริง โดยต้องคานึงถึงความรู้เดิมและความต้องการของผู้เรียนเป็นสาคัญ ทั้งน้ีผู้เรียน
จะถูกเปล่ยี นบทบาทจากผรู้ ับความร้ไู ปส่กู ารมสี ว่ นร่วมในการสรา้ งความรู้
วาริน ท์ พ ร ฟัน เฟ่ื องฟู (2562) สรุปว่า การจัดการเรียน รู้ Active Learning
เป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ เน้นบทบาทและการมีส่วนร่วมของผู้เรียน
โดยให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏบิ ัติ เรียนรู้และดาเนินกิจกรรมต่าง ๆ ดว้ ยตนเอง โดยมีครูเป็นผู้ใหค้ าแนะนา
ชี้แนะ กระตุ้น หรืออานวยความสะดวก ให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ผ่านกระบวนการคิดวิเคราะห์
สงั เคราะห์ การแลกเปลี่ยนเรียนร้รู ะหวา่ งผู้เรยี น และการนาเสนอขอ้ มูล
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน (2562) ได้ให้ความหมายของ
การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning คือ การเรียนที่เน้นให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับ
การเรียนการสอน กระตุ้น ให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิดขั้นสูง (Higher-Order Thinking)
ด้วยการวิเคราะห์ สังเคราะห์และประเมินค่า ไม่เพียงแต่เป็นผู้ฟัง ผู้เรียนต้องอ่าน เขียน ตั้งคาถาม
และถามอภิปรายร่วมกัน ผู้เรียนลงมือปฏิบัติจริง โดยต้องคานึงถึงความรู้เดิมและความต้องการ
ของผู้เรียนเป็นสาคัญ ท้ังนี้ผูเ้ รียนจะถูกเปล่ียนบทบาทจากผู้รบั ความรไู้ ปสู่การมีส่วนรว่ มในการสร้าง
ความรู้
2.2 ความสาคญั ของการจดั การเรียนการสอนแบบ Active Learning
การจัดกิจกรรมการเรียนรใู้ ห้สาเร็จนั้นมหี ลายวิธี แต่ Active Learning สามารถทาให้
บรรลุเปา้ หมายหรือวัตถปุ ระสงค์ของการจัดการเรียนรู้ไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากเหตุผลหลาย ๆ
ประการ ดังนี้ (Stanford Teaching Commons, 2015)
1. Active Learning ส่งเสริมการมีอิสระทางด้านความคิดและการกระทาของผู้เรียน
การมีวิจารณญาณและการคิดสร้างสรรค์ ผู้เรียนจะมีโอกาสในการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติจริง
และมีการใช้วิจารณญาณในการคิดและตัดสินใจในการปฏิบัติน้ัน โดยครูเป็นผู้ดูแล ให้คาปรึกษา
21
และกระตุ้น ซ่ึงอาจใชก้ ารถามหรอื เทคนคิ การสอนต่าง ๆ ทีห่ ลากหลายเพอื่ ให้ผเู้ รยี นเกิดการวิเคราะห์
สงั เคราะห์ และประยุกตใ์ ช้อปุ กรณ์ตา่ ง ๆ ในการปฏิบตั ิงานหรือในการเรียนรูอ้ ยา่ งสร้างสรรค์
2. Active Leaning สนับสนุนส่งเสริมให้เกิดความร่วมมืออย่างมีประสิทธิภาพ
ซงึ่ ความรว่ มมอื ในการปฏิบัตงิ านกลมุ่ จะนาไปสคู่ วามสาเรจ็ ในภาพรวม
3. Active Learning ทาให้ผู้เรียนทุ่มเทในการเรียน จงู ใจในการเรียนและทาให้ผเู้ รียน
แสดงออกถึงความรู้ความสามารถ เมื่อผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการปฏิบัติอย่างกระตือรือร้น
ในสภาพแวดล้อมท่ีเอื้ออานวย ผู้เรียนจะมีความทุ่มเทเพื่อมุ่งสู่ความสาเร็จของงาน และ
มีความรับผิดชอบ เช่นเดียวกันถ้าผู้เรียนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเขาก็จะทุ่มเทมุ่งเรียนรู้
และใช้ความร้อู ย่างเตม็ ความสามารถ
ซ่ึงสอ ดค ล้องกั บ สานั ก งาน คณ ะ ก รรม ก ารก ารศึ ก ษ าขั้น พื้ น ฐาน (2562)
ได้กล่าวถงึ ความสาคญั ของการจัดการเรยี นการสอนแบบ Active Learning ไว้ดงั นี้
1. Active Learning ส่งเสริมการมีอิสระทางด้านความคิดและการกระทาของผู้เรียน
การมีวิจารณญาณ และการคิดสร้างสรรค์ ผู้เรยี นจะมีโอกาส มีสว่ นร่วมในการปฏิบตั ิจริงและมีการใช้
วิจารณญาณในการคิดและตัดสินใจในการปฏิบัติกิจกรรมน้ัน มุ่งสร้างให้ผู้เรียนเป็นผู้กากับทิศทาง
การเรยี นรู้ ค้นหาสไตล์การเรียนรู้ของตนเอง สู่การเปน็ ผู้รู้คดิ รตู้ ัดสินใจด้วยตนเอง (Metacognition)
เพราะฉะนั้น Active Learning จึงเป็นแนวทางการจัดการเรียนรู้ท่ีมุ่งให้ผู้เรียนสามารถพัฒนา
ความคิดข้ันสูง (Higher order thinking) ในการมีวิจารณญาณ การวิเคราะห์ การคิดแก้ปัญหา
การประเมนิ ตัดสนิ ใจ และการสรา้ งสรรค์
2. Active Leaning สนับสนุนส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือกันอย่างมีประสิทธิภาพ
ซง่ึ ความร่วมมือในการปฏิบัติงานกลุ่มจะนาไปสูค่ วามสาเร็จในภาพรวม
3. Active Learning ทาให้ผูเ้ รียนทุม่ เทในการเรียน จูงใจในการเรยี น และทาให้ผเู้ รียน
แสดงออกถึงความรู้ความสามารถ เมื่อผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการปฏิบัติกิจกรรมอย่างกระตือรือร้น
ในสภาพแวดล้อมท่ีเอ้ืออานวย ผ่านการใช้กิจกรรมที่ครูจัดเตรียมไว้ให้อย่างหลากหลาย ผู้เรียน
เลอื กเรียนรู้ กิจกรรมต่าง ๆ ตามความสนใจและความถนัดของตนเอง เกิดความรับผิดชอบและทุ่มเท
เพอ่ื มุง่ สู่ความสาเร็จ
4. Active Learning ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ท่ีก่อให้เกิดการพัฒนาเชิงบวก
ทงั้ ตวั ผ้เู รียน และตัวครู เปน็ การปรบั การเรียนเปลี่ยนการสอน ผู้เรียนจะมโี อกาสไดเ้ ลอื กใช้ความถนัด
ความสนใจ ความสามารถที่เป็นความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individual Different) สอดรับกับ
แนวคิดพหุปัญญา (Multiple Intelligence) เพ่ือแสดงออกถึงตัวตนและศักยภาพของตัวเอง
ส่วนครูผู้สอนต้องมีความตระหนักที่จะปรับเปล่ียนบทบาท แสวงหาวิธีการ กิจกรรมที่หลากหลาย
เพ่ือช่วยเสริมสร้างศักยภาพของผู้เรียนแต่ละคน สิ่งเหล่านี้จะทาให้ครูเกิดทักษะในการสอนและ
22
มีความเชี่ยวชาญในบทบาทหน้าที่ท่ีรับผิดชอบ เป็นการพัฒนาตน พัฒนางาน และพัฒนาผู้เรียน
ไปพร้อมกัน
นอกจากนี้ การจัดการเรียนรู้ Active Learning มีประโยชน์ ดังนี้ (Center For
Teaching Innovation, 2562)
1. พฒั นาการมีส่วนรว่ มของผูเ้ รียนใหค้ ิดและทาตลอดจนพัฒนาความคดิ และทกั ษะ
2. มีการให้ขอ้ มูลยอ้ นกลับเพื่อการพฒั นาของผเู้ รียน
3. ให้ความสาคัญกบั ความแตกต่างของผ้เู รยี น
4. เปิดโอกาสใหผ้ เู้ รียนไดค้ ดิ และพูดในสิ่งที่เกย่ี วขอ้ งกับการเรียนและได้ฝึกปฏบิ ัติจรงิ
5. สร้างเครือข่ายระหว่างบุคคลรวมถึงสื่ออุปกรณ์ในการเรียนร้ตู ่าง ๆ ซ่ึงทาให้ผู้เรียน
เกิดความสนใจในการเรียนรู้
6. ม่งุ ฝึกฝนทกั ษะสาคัญให้กบั ผู้เรียน เช่น การร่วมมือร่วมใจในการทางาน การทางาน
ร่วมกับผู้อื่น
7. ทาใหผ้ ู้เรียนมีความมนั่ ใจในการนาเสนอผลงานของตนเอง
8. สร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ในห้องเรียน โดยการสร้างการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างครู
กบั นักเรียนและนักเรียนกับนักเรยี นในการแลกเปล่ียนเรยี นรู้
สาหรับ วารินท์พร ฟันเฟ่ืองฟู (2562) สรุปว่า การจัดการเรียนรู้ Active Leaning
มีข้อดีคือ ผู้สอนใช้วิธีใดวิธีหนึ่งหรือหลากหลายในการจัดการเรียนรู้คร้ังหนึ่ง ๆ ซ่ึงเป็นวิธีสอนท่ีให้
ผเู้ รียนมีส่วนรว่ ม โดยผู้สอนเป็นผู้กากบั และอานวยความสะดวก รวมทั้งเป็นผู้สนับสนุนและเสรมิ แรง
ให้ ผู้ เรีย น เป็ น ผู้ แส ดงแล ะ ตอ บ ผู้เรียน ถูก ก ระ ตุ้น ให้ มี ส่วน ร่ว ม ใน ก ารเรียน ร วม ท้ั ง
เกิดสัมพันธภาพท่ีดีระหว่างผู้เรียนด้วยกัน ผู้เรียนได้รับการส่งเสริมในการทางานกลุ่ม มีปฏิสัมพันธ์
กับผู้อ่ืน (Interaction) ทาให้ปรับตัวอยู่ใน สังคมอย่างมีความสุข ผู้เรียนถูกก ระตุ้น ให้มี
ความกระตือรือร้น (Active) ผู้เรียนเกิดการชอบเรียน ต้องการเรียนรู้และต้องการแสวงหาความรู้
เพ่ิมเติมด้วยตนเอง ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยความเข้าใจ (Meaningful Learning) นอกจากนี้
การจัดการเรียนรู้ Active Leaning ยังสามารถทาให้ผู้เรียน สามารถคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ และ
ประเมนิ ผลเป็น
2.3 ลกั ษณะของการจดั การจัดการเรยี นการสอนแบบ Active Learning
กระบวนการเรียนรู้ Active Learning ทาให้ผู้เรียนสามารถรักษาผลการเรียนรู้
ให้อยู่คงทนได้มากและนานกว่ากระบวนการเรียนรู้ Passive Learning เพราะกระบวนการเรียนรู้
Active Learning สอดคล้องกับการทางานของสมองท่ีเก่ียวข้องกับความจา โดยสามารถเก็บและ
จาส่ิงท่ีผู้เรียนเรียนรู้อย่างมีส่วนร่วม มีปฏิสัมพันธ์กับเพ่ือน ผู้สอน สิ่งแวดล้อม การเรียนรู้ได้ผ่าน
23
การปฏิบัติจริง จะสามารถเก็บจาในระบบความจาระยะยาว (Long Term Memory) ทาให้ผล
การเรยี นรู้ยังคงอยู่ไดใ้ นปริมาณท่ีมากกว่าระยะยาวกว่า ซ่ึงอธบิ ายไว้ดังภาพท่ี 1
ภาพที่ 1 กรวยแห่งการเรียนรู้
จากภาพท่ี 1 จะเห็นไดว้ ่า กรวยแหง่ การเรียนรู้นไ้ี ด้แบ่งเปน็ 2 กระบวนการ คือ
1. กระบวนการเรยี นรู้ Passive Learning
1.1 กระบวนการเรยี นรโู้ ดยการอา่ น ท่องจา ผู้เรียนจะจาไดใ้ นส่ิงทเี่ รยี นไดเ้ พยี ง 90%
1.2 การเรียนรู้โดยการฟังบรรยายเพียงอย่างเดียวโดยท่ีผู้เรียนไม่มีโอกาสได้มี
ส่วนรว่ ม ในการเรียนรูด้ ้วยกจิ กรรมอืน่ ในขณะทผี่ สู้ อนสอน เมื่อเวลาผา่ นไปผ้เู รียนจะจาไดเ้ พยี ง 20%
1.3 หากในการเรียนการสอนผู้เรียนมีโอกาสได้เห็นภาพประกอบด้วย จะทาให้
ผลการเรยี นรู้คงอยไู่ ดเ้ พ่ิมขึน้ เป็น 30%
1.4 กระบวนการเรียนรู้ทผ่ี สู้ อนจัดประสบการณ์ให้กับผเู้ รยี นเพิ่มขน้ึ เช่น การให้ดู
ภาพยนตร์ การสาธิต จดั นิทรรศการให้ผู้เรียนได้ดู รวมทงั้ การนาผเู้ รียนไปทัศนศึกษาหรือดงู านก็ทาให้
ผลการเรยี นรู้เพม่ิ ขนึ้ เปน็ 50%
2. กระบวนการเรยี นรู้ Active Learning
2.1 การให้ผู้เรียนมีบทบาทในการแสวงหาความรู้และเรียนรู้อย่างมีปฏิสัมพันธ์
จนเกิดความรู้ความเข้าใจ นาไปประยุกต์ใช้ สามารถวิเคราะห์ สงั เคราะห์ ประเมินค่าหรือสร้างสรรค์
สิง่ ต่าง ๆ และพัฒนาตนเองเต็มความสามารถ รวมถงึ การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ใหเ้ ขาได้มีโอกาส
ร่วมอภิปราย ให้มโี อกาสฝกึ ทกั ษะการสื่อสาร ทาให้ผลการเรยี นรู้เพมิ่ ขนึ้ 70%
2.2 การนาเสนองานทางวิชาการ เรียนรู้ในสถานการณ์จาลอง ทั้งมีการฝึกปฏิบัติ
ในสภาพจรงิ มกี ารเช่อื มโยงกับสถานการณ์ตา่ ง ๆ ซ่ึงจะทาใหผ้ ลการเรยี นรเู้ กดิ ขน้ึ ถึง 90%
ไชยยศ เรืองสุวรรณ (มปป.) ได้อธิบายถึงลักษณะสาคญั ของการจดั การเรียนการสอนแบบ
Active Learning ดังน้ี
24
1. เป็นการเรียนการสอนท่ีพัฒนาศักยภาพทางสมอง ได้แก่ การคิด การแก้ปัญหา
และการนาความรูไ้ ปประยุกตใ์ ช้
2. เป็นการเรียนการสอนที่เปดิ โอกาสใหผ้ ู้เรียนมสี ่วนร่วมในกระบวนการเรียนรูส้ ูงสุด
3. ผเู้ รียนสรา้ งองค์ความรแู้ ละจัดระบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง
4. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอนทั้งในด้านการสร้างองค์ความรู้ การสร้าง
ปฏิสมั พันธ์ร่วมกัน และร่วมมือกนั มากกว่าการแข่งขนั
5. ผู้เรียนได้เรียนรู้ความรบั ผดิ ชอบรว่ มกัน การมีวินัยในการทางาน และการแบง่ หน้าที่
ความรับผดิ ชอบ
6. เป็นกระบวนการสร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียนอ่าน พูด ฟัง คิด อย่างลุ่มลึก ผู้เรียน
จะเป็นผู้จัดระบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง
7. เปน็ กจิ กรรมการเรียนการสอนเน้นทักษะการคดิ ขน้ั สงู
8. เป็นกิจกรรมท่ีเปิดโอกาสให้ผู้เรียนบูรณาการข้อมูล ข่าวสาร สารสนเทศ
และหลักการสู่การสรา้ งความคิดรวบยอด
9. ผู้สอนจะเป็นผู้อานวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติ
ด้วยตนเอง
10. ความรเู้ กดิ จากประสบการณ์ การสร้างองค์ความรู้ และการสรุปทบทวนของผู้เรียน
ทวีวัฒ วฒั นกลุ เจริญ (2555) ได้กล่าวถงึ ลักษณะสาคัญของการจัดการเรยี นการสอนแบบ
Active Learning ที่เสนอโดย Alaska Pacific University; Oklahoma University ไว้ดงั ตอ่ ไปนี้
1. การจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนมีโอกาสศึกษาด้วยตนเองเพื่อให้เกิดประสบการณ์ตรงกับ
การแกป้ ญั หาในสถานการณ์จริง (Authentic Situation)
2. การจัดกิจกรรมเพ่ือให้ผู้เรียนได้กาหนดแนวคิด วางแผน ยอมรับ ประเมินผลและ
นาเสนอผลงานรว่ มกัน
3. การบูรณาการเนื้อหารายวิชาเพือ่ เชอื่ มโยงความเขา้ ใจวชิ าต่าง ๆ ทแ่ี ตกตา่ งกัน
4. การจัดบรรยากาศในช้นั เรียนใหเ้ อื้อต่อการทางานร่วมกนั (Collaboration)
5. ใช้กลวิธขี องกระบวนการกลมุ่ (Group Processing)
6. การจัดใหม้ ีการประเมนิ โดยเพ่อื น (Peer Assessment)
นอกจากน้ี จรรยา ดาสา (2552) กล่าวถึงลักษณะสาคัญพื้นฐานของกิจกรรมการเรียนรู้
ด้วยวิธีการเรียนการสอนแบบ Active Learning ไว้ 4 ลักษณะ ได้แก่ การฟังและพูด การอ่าน
การเขยี น และการไตร่ตรองหรอื โต้ตอบความคิดเหน็ โดยมีรายละเอยี ดดังนี้
25
1. การฟังและพูด ผสู้ อนจะตอ้ งให้ผู้เรียนฟงั ใหเ้ ป็น คอื จบั ใจความสาคัญของเร่ืองที่ฟัง
ให้ได้เมอื่ ฟังแล้วผู้เรียนควรจะส่ือสารออกมาเป็นคาพูดให้ผู้อื่นเข้าใจได้ สามารถพูดส่ือสารข้อคิดเห็น
ของตนเองได้
2. การอ่าน ในการอ่านแต่ละครั้ง ผู้สอนต้องมั่นใจว่าผู้เรียนสามารถจับใจความ
หรอื ประเด็นสาคญั จากเรื่องท่ีอ่านได้
3. ผู้สอนจะเป็นผู้อานวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้เพ่ือให้ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติ
ด้วยตนเอง
4. ความรู้เกดิ จากประสบการณก์ ารสร้างองค์ความรแู้ ละการสรุปทบทวนของผู้เรยี น
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน (2552) ได้สรุปลักษณะของการจัด
จัดการเรยี นการสอนแบบ Active Learning มดี ังนี้
1. เปน็ การพัฒนาศักยภาพการคิด การแก้ปัญหา และการนาความรู้ไปประยกุ ต์ใช้
2. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการจัดระบบการเรียนรู้และสร้างองค์ความรู้โดยมีปฏิสัมพันธ์
ร่วมกนั ในรูปแบบของความรว่ มมือมากกว่าการแข่งขนั
3. เปดิ โอกาสใหผ้ ู้เรยี นมีสว่ นร่วมในกระบวนการเรียนรู้สูงสดุ
4. เป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนบูรณาการข้อมูล ข่าวสาร สารสนเทศ สู่ทักษะการคิด
วเิ คราะห์ และประเมนิ คา่
5. ผเู้ รียนได้เรยี นรคู้ วามมีวนิ ัยในการทางานรว่ มกับผู้อน่ื
6. ความรูเ้ กดิ จากประสบการณ์และการสรุปของผเู้ รยี น
7. ผู้สอนเป็นผู้อานวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติ
ดว้ ยตนเอง
ลักษณะการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ตามแนวคิดของ วารินท์พร ฟันเฟื่องฟู
(2562) กลา่ วไว้วา่ ผู้เรยี นจะเป็นผู้ทีม่ ีส่วนร่วมในการดาเนนิ กิจกรรม สามารถบูรณาการความรเู้ ดิมกับ
ความรู้ใหม่ เรียนรู้และเกิดองค์ความรู้ด้วยตนเอง ซ่ึงมีรูปแบบและเทคนิคของการจัด
การเรียนรู้แบบ Active Learning ท่ีหลากหลาย โดยผู้สอนสามารถนามาใช้ออกแบบแผนการจัด
การเรียนรู้ให้เหมาะสมกับกิจกรรมการเรียนรู้ เหมาะสมกับผู้เรียน กระตุ้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม
ในช้ันเรียน ส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียนและผู้เรียนกับผู้สอน ส่งผลให้ผู้เรียน
เกิดประสบการณ์และความสาเร็จในการเรียน เป็นการจัดการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นพัฒนากระบวนการ
เรียนรู้ ส่งเสริมให้ผู้เรียนประยุกต์ใช้ทักษะและเชื่อมโยงองค์ความรู้นาไปปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหา
หรือประกอบอาชีพในอนาคต และถือเป็นการจัดการเรียนรู้ประเภทหน่ึงที่ส่งเสริมให้ผู้เรียน
มีคณุ ลักษณะสอดคลอ้ งกบั การเปลยี่ นแปลงในยคุ ปัจจุบัน
26
สรุป ลักษณะสาคัญของการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning เป็นการเรียนรู้
ทีผ่ ู้เรียนมีส่วนร่วมกับกจิ กรรมการเรียนรู้ นอกจากการฟังบรรยายอย่างเดียวหรือสร้างประสบการณ์
ผ่านการลงมือทา การสังเกต ได้สนทนากับตนเองและผู้อื่นผ่านรูปแบบหรือเทคนิคการจัดกิจกรรม
การเรียนรู้ที่หลากหลาย โดยผู้สอนสามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนได้ท้ังรายบุคคลหรือ
แบบกลุ่ม โดยพิจารณาให้เหมาะสมกบั วัตถุประสงค์ของการเรียนรู้สาระการเรียนรู้ เวลา และผู้เรียน
เพอื่ ใหผ้ ้เู รียนไดร้ ับการพัฒนาทกั ษะการคดิ ขัน้ สูง
2.4 กระบวนการออกแบบกิจกรรมการจดั การเรยี นการสอนแบบ Active Learning
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน (2562) ได้เสนอกระบวนการจัด
การเรยี นรู้ ดังนี้
1. จัดการเรียนรู้ที่พัฒนาศักยภาพทางสมอง ได้แก่ การคิด การแก้ปัญหา และการนา
ความรู้ไปประยุกตใ์ ช้
2. จัดการเรยี นร้ทู เี่ ปิดโอกาสให้ผเู้ รยี นมสี ว่ นร่วมในกระบวนการเรียนรสู้ ูงสดุ
3. จดั ให้ผ้เู รียนสรา้ งองคค์ วามรแู้ ละจัดกระบวนการเรียนรดู้ ้วยตนเอง
4. จัดให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทั้งในด้านการสร้างองค์ความรู้ การสร้าง
ปฏสิ ัมพนั ธ์ ร่วมกันสรา้ ง รว่ มมือกันมากกว่าการแขง่ ขัน
5. จัดให้ผู้เรียนเรียนรู้เร่ืองความรับผิดชอบร่วมกัน การมีวินัยในการทางานและ
การแบง่ หนา้ ท่คี วามรับผดิ ชอบในภารกิจต่าง ๆ
6. จัดกระบวนการเรียนที่สร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียนอ่าน พูด ฟัง คิดอย่างลุ่มลึก
ผเู้ รยี นจะเป็นผูจ้ ดั ระบบการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง
7. จัดกจิ กรรมการจดั การเรยี นรู้ทีเ่ นน้ ทักษะการคดิ ขั้นสูง
8. จัดกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนบูรณาการข้อมูล ข่าวสาร หรือสารสนเทศ
และหลักการ ความคดิ รวบยอด
9. ผู้สอนจะเป็นผู้อานวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้ เพ่ือให้ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติ
ดว้ ยตนเอง
10. จัดกระบวนการสร้างความรู้ท่ีเกิดจากประสบการณ์ การสร้างองค์ความรู้และ
การสรุปทบทวนของผู้เรียน
การเรยี นการสอนแบบ Active Learning เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ผู้เรียนเป็นผู้มีบทบาท
หรือมีส่วนร่วมอย่างตื่นตัว (active) ในการดาเนินกิจกรรมการเรียนรู้ของตนเอง โดยความต่ืนตัวนี้
ควรเป็นไป ท้ังทางร่างกาย (physically active) ทางการคิดและสติปัญญา (intellectually active)
ทางอารมณ์และจิตใจ (emotionally active) และทางสังคม (socially active) การเรียนรู้ท่ีมี
ความต่ืนตัวทั้ง 4 ด้าน จะส่งผลให้การเรียนรู้เกิดข้ึนได้ดี ซึ่งจะต่างจากการเรียนรู้เชิงรับ (passive
27
learning) ซ่ึงผู้เรยี นเป็นผู้รับทีไ่ ม่มีบทบาทหรือมีบทบาทน้อยในกระบวนการสร้างความเขา้ ใจในเรือ่ ง
ที่เรียนรู้ ทาให้ความตื่นตัวที่จะเรียนรู้ให้เข้าใจมีน้อย จึงส่งผลให้การเรียนรู้ขาดประสิทธิภาพ ดังน้ัน
กลยุทธ์ (Strategies) ในการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning คือ การจัดกิจกรรมและ
ประสบการณ์การเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ของตนอยา่ งต่ืนตัว ทั้งทางกาย
สตปิ ัญญา สงั คม และอารมณ์ กลา่ วคือ เปน็ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ใหผ้ ูเ้ รียน ดังน้ี
1. ได้เคล่ือนไหวทางร่างกาย (physically active) อย่างเหมาะสมตามวัยและความสนใจ
ของตน เพ่ือช่วยให้ประสาทการรับรู้มคี วามต่ืนตัวสามารถรับข้อมูล ความรู้ และประสบการณ์ต่าง ๆ
ได้อย่างดีและรวดเร็ว ดังน้ันในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ควรให้มีลักษณะหลากหลายเพ่ือให้ผู้เรียน
ได้เปล่ียนอิริยาบถและสามารถคงความสนใจของผู้เรียนไว้ได้ ซึ่งเร่ืองนี้จะมีความสาคัญเป็นพิเศษ
สาหรบั ผูเ้ รยี นในระดับปฐมวัยและประถมศกึ ษาตอนต้น
2. ได้เคล่ือนไหวทางสมองหรือสติปัญญา (intellectually active) ซ่ึงก็คือการคิดน่ันเอง
ผู้เรียนจะตื่นตัวถ้าได้ใช้ความคิด การคิดเป็นเครื่องมือในการทาความเข้าใจในสิ่งท่ีเรียนรู้ การคิด
ในเรื่องที่ผู้เรียนสนใจ ประเด็นท้าทาย ประเด็นทม่ี ีความหมายต่อตนเอง จะทาใหผ้ ู้เรียนมีความผูกพัน
ในการคดิ และการกระทา (engagement) ในเร่ืองท่เี รียน สง่ ผลใหก้ ารเรยี นรู้มีประสทิ ธภิ าพมากขน้ึ
3. ได้เคลื่อนไหวทางทางสังคม (socially active) คือ ได้มีโอกาสนาเสนอความคิดของตน
ต่อผู้อ่ืน ได้รับฟังและแลกเปล่ียนความคิดเห็นของผู้อ่ืน ได้รับข้อมูลย้อนกลับ ได้ตรวจสอบความคิด
ของตน ได้ขยายความคิดของตนเอง ได้เรียนรู้จากผู้อ่ืน กระบวนการต่าง ๆ จะช่วยให้ผู้เรียน
มีความตื่นตัวในการเรยี นรู้สามารถรบั รแู้ ละเกิดการเรียนรู้ไดด้ ี
4. ได้เคล่ือนไหวทางทางอารมณ์ ความรู้สึก และจิตใจ (emotionally active) ซ่ึงหมายถึง
กิจกรรมและประสบการณ์ท่ีจัดให้ผู้เรียนนั้น ควรกระทบต่ออารมณ์ ความรู้สึกของผู้เรียนในทางที่
เอ้ือต่อการเรียนรู้ในเรื่องที่เรียน กิจกรรมใดกระทบต่อความรู้สึกของผู้เรียน กิจกรรมน้ันมักมี
ความหมายต่อผู้เรียน และจะส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้เรียนด้วยการออกแบบการสอนแบบ Active
Learning ต้องพิจารณาว่ากิจกรรมที่ออกแบบเป็นกิจกรรมลักษณะใด อาจจะเป็นกิจกรรมการเรียนรู้
ตามมาตรฐานและตัวชว้ี ัดของแต่ละวิชาหรือกลุม่ สาระการเรียนรู้ กจิ กรรมพัฒนาผู้เรยี น หรือกจิ กรรม
เสริมทักษะอื่น ๆ โดยผู้ออกแบบพิจารณาแนวคิด ทฤษฎีท่ีเกี่ยวข้อง อันประกอบด้วย แนวคิด
ของบลูม (Bloom's Taxonomy) ส่ีเสาหลักทางการศึกษา (Four Pillars of Education) หลักการ
พัฒนาทักษะ 4 H (Head Heart Hand และ Health) และพระบรมราโชบายด้านการศึกษา
ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัววชริ าลงกรณ์ บดนิ ทรเทพยวรางกรู โดยมีกระบวนการ ดงั น้ี
4.1 การเขียนแผนการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning
แผนจัดการเรียนรู้ เป็นการเตรียมการวางแผนการจัดการเรียนการสอนอย่างเป็น
ระบบ โดยนาสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ คาอธิบายรายวิชา และกระบวนการเรียนรู้ โดยเขียน
28
เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ให้เป็นไปตามศักยภาพของผู้เรียน เพ่ือเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรม
การเรียนการสอน ซึ่งมีเนื้อหา กิจกรรมการเรียนการสอน ส่ือการสอน และวิธีวัดผลประเมินผล
ที่ชัดเจน ช่วยให้ครูสามารถดาเนินกิจกรรมการเรียนการสอนให้กับผู้เรียนได้เหมาะสมตรงตาม
เป้าหมายและมีประสิทธิภาพ (ครูเชียงราย, 2562: บทความ) โดยมีองค์ประกอบของแผนการจัดการ
เรยี นรทู้ ่ีสาคัญแยกเป็นสองสว่ น ได้แก่
4.1.1 ส่วนหัวของแผน ได้แก่ โรงเรียน ช้ัน หน่วยการเรียนรู้ที่... เรื่อง... เวลา...
แผนการเรยี นรทู้ ี่ เรื่อง... วันที่ เวลา
4.1.2 ส่วนทส่ี องรายการที่สาคัญ ที่ต้องระบุในแผนการจัดการเรยี นรู้ ไดแ้ ก่
4.1.2.1 สาระสาคัญ (ความคิดรวบยอดหรือมโนมติของบทเรียน) หมายถึง
สาระสาคัญของเนื้อหา ประสบการณ์ท่ีต้องการให้เกิดข้ึนกับนักเรียนหลังจากนักเรียนได้รับ
การปลูกฝังด้วยเทคนิควิธีการจากครู และการมีส่วนร่วมในกิจกรรมรวมท้ังทาหน้าที่เป็นตัวกาหนด
ขอบเขตเน้ือหา ความรู้ จุดประสงค์ของการเรียนการสอนในแต่ละครั้ง ควรเขียนเป็นประโยค
หรอื ขอ้ ความสน้ั ๆ
4.1.2.2 จุดประสงค์การเรยี นรู้ แบ่งเปน็ 2 ลกั ษณะ ดงั น้ี
1) จุดประสงค์ปลายทาง เป็นจุดประสงค์การเรียนรู้ท่ีเกิดขึ้นกับ
นักเรียน ซ่ึงสะท้อนผลรวมทั้งหมดท่ีมุ่งหวัง และปรารถนาจะให้เกิดกับนักเรียนทุกคน เม่ือผ่าน
กระบวนการเรียนการสอนวิชานั้นแล้ว อีกทั้งยงั สะท้อนจุดเน้นเด่น ๆ ของเนอ้ื หาวิชาและพฤติกรรม
สาคัญ ๆ ของวิชาน้ัน ๆ หรืออาจจะสะท้อนผลสรุปขั้นสุดท้ายของกระบวนการเรียนรู้ก็ได้ วิธีการ
เขยี นใหย้ ดึ “สาระการเรยี นรู้เปน็ หลกั ” และนากรอบพฤติกรรมบ่งชี้มาวิเคราะห์ให้สอดคลอ้ งกับสาระ
การเรียนรู้และมาตรฐานการเรียนรู้ เช่น เพื่อใหร้ ู้และเขา้ ใจระบอบการปกครองระบอบประชาธิปไตย
เพื่อให้ตระหนักถงึ ความสาคัญของการปกครองระบอบประชาธปิ ไตย เพื่อให้ปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดี
ตามวิถปี ระชาธปิ ไตยได้ เปน็ ตน้
2) จุดประสงค์นาทาง เป็นความคาดหวังท่ีเกิดข้ึนกับนักเรียน
ระหว่างการเรียนในแต่ละครั้ง การเขียนจุดประสงค์นาทางมีวัตถุประสงค์ให้ผู้สอนได้พิจารณาถึง
ผลการเรียนย่อย ๆ หรือพฤติกรรมต่าง ๆ ที่ควรจะเกิดข้ึนในระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
วิธีการเรียน ผู้สอนต้องกาหนดพฤติกรรมย่อย ๆ ของสาระการเรียนรู้ย่อย เพื่อนาไปสู่จุดประสงค์
ปลายทาง สามารถเปรียบเทยี บให้เห็นไดด้ งั น้ี
จุดประสงค์ปลายทาง : เพ่ือให้รู้และเข้าใจระบอบการปกครองระบอบ
ประชาธิปไตย
จุดประสงค์นาทาง : 1) บอกลักษณะและประเภทของการปกครอง
ระบอบประชาธิปไตยได้
29
2) อธิบายความสาคัญของการปกครองระบอบ
ประชาธิปไตยได้
จดุ ประสงคป์ ลายทาง : เพ่ือให้ตระหนกั ถึงความสาคัญของการปกครอง
ระบอบประชาธปิ ไตย
จุดประสงค์นาทาง : ยกตัวอย่างหลักการของระบอบประชาธิปไตย
ในการดารงชีวิตได้
จุดประสงคป์ ลายทาง : เพือ่ ให้ตระหนักถึงความสาคัญของการปกครอง
ระบอบประชาธปิ ไตย
จุดประสงค์นาทาง : ปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดีตามวิถีประชาธิปไตย
ในชวี ิตประจาวันได้
4.1.2.3 สาระการเรียนรู้ หมายถึง ประมวลสาระแห่งองค์ความรู้หรือสาระ
การเรียนรู้ท่ีปรากฏอยู่ในขอบข่ายของเรื่องท่ีกาหนดให้เรียน สามารถเขียนโดยอาศัยพฤติกรรม
การเรียนรู้ของผเู้ รียนเปน็ ตวั กาหนดได้ เช่น
1) ด้านความรู้ ได้แก่ สาระความรทู้ ี่กาหนดให้ผ้เู รียนได้เรียน
2) ด้านทักษะกระบวนการ หมายถึง ทักษะที่เกี่ยวข้องกับสาระ
การเรยี นรู้ ทกั ษะการทางาน ทักษะการเรียนรู้ที่ตอ้ งการใหผ้ เู้ รยี นได้ฝึก
3) ด้านเจตคติ คุณคา่ หมายถงึ อารมณ์ความรู้สึก การเหน็ ประโยชน์
คุณค่าของเร่ืองท่ีเรยี น
4.1.2.4 กิจกรรมการเรียนรู้/กระบวนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง วิธีการ
สอนรปู แบบการสอนแบบต่าง ๆ ท่ใี ช้ในการจดั การเรยี นรู้ หรอื เป็นขั้นตอนและวิธีการของการกระทา
กจิ กรรมตา่ ง ๆ ตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการเรยี นรู้ท่ีสามารถให้นกั เรียนไดแ้ สดงออกทงั้ ดา้ นการปฏบิ ัติ
ด้วยการใช้ ความคิด พูด และกระทา เพ่ือสร้างประสบการณ์ที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้ในขณะที่เรียน
กิจกรรมการเรียนรู้ จัดการเรียนการสอนท่ีเน้นนักเรียนเป็นศูนย์กลางหลักของการนากิจกรรม
การเรยี นการสอนมาทาแผนการจัดการเรียนรู้ คอื ยึดหลักนักเรียนเป็นศูนย์กลางของการจัดกิจกรรม
การเรยี นการสอน ให้นกั เรยี นมสี ว่ นรว่ มในการเรยี นการสอนมากทสี่ ุด
4.1.2.5 สื่อและแหล่งการเรียนรู้ หมายถึง การเตรียมส่ือต่าง ๆ เช่น
ใบความรู้ สื่อ วัสดุ อุปกรณ์ สื่อบุคคล กรณีศึกษา นิทาน เคร่ืองโสตทัศนูปกรณ์ วีดิทัศน์ แถบเสียง
แผ่นโปร่งใส Power Point กระดาษ ปากกา สี บัตรคา บัตรความรู้ ใบงาน หนังสือ ตารา
เอกสารอ้างอิง ฯลฯ แหล่งเรียนรู้ท่ีใช้ประกอบในการทากิจกรรมการเรียนรู้ในคาบน้ัน ๆ เช่น
แหล่งเรยี นรใู้ นชุมชน วัด ที่ทาการองค์การบริหารส่วนตาบล ศาลจังหวัด สถานีตารวจ อนามัยตาบล
ฯลฯ
30
4.1.2.6 การวัดและประเมินผล หมายถึง การออกแบบการประเมินผลและ
การสร้างเครื่องมือเพ่ือใช้ในการประเมินผล ในท่ีนี้หมายถึงการวัดและประเมินผลการเรียน
เป็นรายคาบ ได้แก่ การสังเกตความสนใจและการมีส่วนร่วม การแสดงความคิดเห็นและการตรวจ
ผลงาน การใช้แบบทดสอบ การทาแฟ้มสะสมงาน เป็นต้น การจัดกิจกรรมในข้ันนี้ ได้แก่ การนา
ผลงานมาติดท่ีป้ายนิเทศ การอา่ นหนังสือเพ่ิมเติมนอกเวลา การทาแบบทดสอบ ฯลฯ
4.1.2.7 บันทึกผลการใช้แผนการจัดการเรียนรู้ ผู้สอนสามารถประเมิน
แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้บันทึกผลการใช้แผนฯ เพ่ือปรับปรุงและพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้
ต่อไป
4.2 ข้นั ตอนในการทาแผนการจดั การเรียนรู้ มขี ั้นตอน ดังน้ี
1. วิเคราะห์คาอธิบายรายวิชา สาระการเรียนรู้รายปีหรือรายภาค และหน่วย
การเรียนรู้ที่สถานศึกษาจัดทาขึ้น เพื่อประโยชน์ในการเขียนรายละเอียดของแต่ละหัวข้อของ
แผนการจัดการเรียนรู้
2. วิเคราะห์ผลการเรียนรู้ท่ีคาดหวัง เพ่ือนามาเขียนเป็นจุดประสงค์การเรียนรู้
โดยใหค้ รอบคลมุ พฤตกิ รรมทั้งดา้ นความรู้ ทกั ษะ/กระบวนการ เจตคติ และคา่ นิยม
3. วิเคราะห์สาระการเรียนรู้ โดยเลือกและขยายสาระท่ีเรียนรู้ให้สอดคล้องกับ
ผู้เรียน ชมุ ชน และท้องถิ่น
4. วิเคราะห์กระบวนการเรียนรู้ โดยเลือกรูปแบบการจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียน
เป็นสาคัญ
5. วิเคราะห์กระบวนการประเมินผล โดยเลือกใช้วิธีการวัดผลประเมินผล
ใหส้ อดคล้องกับจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ และสรา้ งแบบวัดประเมินผลใหค้ รอบคลุมเนอ้ื หาด้วย
6. วิเคราะห์แหล่งเรียนรู้ โดยคัดเลือกส่ือการเรียนรู้และแหล่งการเรียนรู้ท้ังใน
และนอกหอ้ งเรยี นใหเ้ หมาะสมกับกระบวนการจัดการเรียนรู้
การออกแบบหน่วยการเรียนรแู้ ละแผนการจัดการเรยี นรู้ที่เน้นการจัดการเรยี นการสอน
แบบ Active Learning ครูผู้สอนจะมีการพิจารณาตรวจสอบโครงสร้างรายวิชาที่สอนก่อน
จึงดาเนินการ ออกแบบหน่วยการเรียนรู้และแผนการจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นการจัดการเรียนการสอน
แบบ Active Learning ให้สอดคล้องกับหลักสูตรในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้/รายวิชา โครงสร้าง
รายวิชา เป็นการกาหนดขอบข่ายของรายวิชาที่จะจัดสอนเพ่ือช่วยให้ผู้สอนและผู้เก่ียวข้อง
เห็นภาพรวมของแต่ละรายวิชาว่า ประกอบด้วย หน่วยการเรียนรู้จานวนเท่าใด เร่ืองใดบ้าง
แต่ละหน่วยพัฒนาให้ผู้เรียนบรรลุตัวชี้วัดใด เวลาที่ใช้จัดการเรียนการสอน และสัดส่วนการเก็บ
คะแนน ของรายวิชาน้ันเป็นอย่างไร กระบวนการจัดทาโครงสร้างรายวิชา และหน่วยการเรียนรู้
อาจดาเนินการโดยมขี น้ั ตอนเรม่ิ ต้นหรือลงทา้ ยท่แี ตกต่างกันได้หลายวิธี
31
ภาพที่ 2 ความสัมพนั ธ์ของหน่วยการเรียนรสู้ ่กู ารจัดทาแผนการจดั การเรียนรู้
จากภาพที่ 2 ภายหลังการออกแบบหน่วยการเรียนรู้เสร็จสิ้น เพื่อให้การจัดการเรียนรู้
สอดคล้องกับหน่วยการเรียนรู้ ครูผู้สอนควรวางแผนจัดแบ่งเน้ือหาสาระ เวลา ให้ครอบคลุมหน่วย
การเรียนรู้ จากนั้นนามาจัดทาแผนการจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับเวลา และการพัฒนาผู้เรียน
ในการจัดทาแผนการจัดการเรียนรู้ ครูผู้สอนจะต้องกาหนดเป้าหมายสาหรับผู้เรียนในการ
จัดการเรียนรู้ โดยสามารถกาหนดเป็นจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ของแผนการเรียนรู้นนั้ ๆ ซึ่งจุดประสงค์
การเรียนรู้ในแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ ต้องนาพาผู้เรียนไปสู่มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด
สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ที่กาหนดไว้ในหน่วยการเรียนรู้ จากนั้น
ต้องกาหนดการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพ่ือให้ผู้เรียนบรรลุเป้าหมาย ครูควรใช้เทคนิค/วิธีการสอน
ท่ีหลากหลาย โดยพิจารณาเลือกนากระบวนการเรียนรู้ที่จะพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่เน้น
การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ซึ่งสามารถนากระบวนการเรียนรู้ดังต่อไปนี้มาใช้
ในการจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับธรรมชาติวิชา เช่น กระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการ
กระบวนการสร้างความรู้ กระบวนการคิด กระบวนการทางสังคม ฯลฯ รวมทั้งให้ศึกษาการนาเทคนิค
วิธีการสอนมาใช้ในการจัดการเรียนรู้ด้วย และในการจัดการเรียนรู้ ครูผู้สอนต้องรู้จักเลือกใช้ส่ือ/
แหล่งเรียนรู้ ภูมิปัญญาท้องถ่ิน มาใช้ในการจัดกิจกรรม เพ่ือให้ผู้เรียนเกิด การเรียนรู้ ส่ือที่นามาใช้
ตอ้ งกระตุ้น ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ยึดสือ่ ใด สอ่ื หน่ึงเป็นหลัก
ในการจดั การเรียนรู้
ทั้งน้ีกิจกรรมในแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ต้องส่งเสริมและพัฒ นาให้ผู้เรียน
มคี วามสามารถท่ีจะทาชน้ิ งาน/ภาระงาน เมือ่ ครบทุกแผนการจัดการเรยี นรู้ของหนว่ ยการเรยี นรนู้ ้ัน ๆ
32
ผเู้ รียนต้องสร้างชนิ้ งาน/ภาระงานของหน่วยการเรยี นรู้ได้ นอกจากน้ีในการจัดการเรียนรู้ต้องกาหนด
ว่าจะใช้เครื่องมือใดวัดและประเมินผลผู้เรียนให้บรรลุตามเป้าหมายที่กาหนด ดังนั้น ในการวัด
และประเมินผลครผู ้สู อน ต้องประเมนิ ผเู้ รียนตลอดการจัดการเรียนรู้ โดยเลือกใช้เคร่ืองมือท่เี หมาะสม
กับลักษณะกจิ กรรมและส่ิงที่ต้องการวัดนอกเหนือจากการประเมินชนิ้ งาน/ภาระงาน
ในการจัดทาแผนการจัดการเรียนรู้ องค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้เป็นไป
ตามท่ีโรงเรียนกาหนด โดยควรมีองค์ประกอบหลักที่สาคัญ คือ มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวช้ีวัด
จุดประสงค์การเรียนรู้ สาระสาคัญ สาระการเรียนรู้ ทกั ษะ/กระบวนการ สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน
เจตคติ/ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ภาระงาน/ช้ินงาน กิจกรรมการเรียนรู้ ส่ือและแหล่งการเรียนรู้
การวัดและประเมินผล บันทึกผลหลังการจัดการเรียนรู้ ความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียน
และภาคผนวกแนบท้าย แผนการจัดการเรียนรู้
4.3 การออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอน Active Learning
การออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ Active Learning เป็นกระบวนการ
จัดการเรียนรู้ท่ีผู้เรียนได้ลงมือกระทา และได้ใช้กระบวนการคิดเกี่ยวกับสิ่งท่ีเขาได้กระทาลงไป
โดยผู้เรียนจะเปลี่ยนบทบาทจากผู้รับความรู้ (Receive) ไปสู่การมีส่วนร่วมในการสร้างความรู้
(Co-Creators) ความรู้ที่เกิดข้ึนเป็นความรู้ท่ีได้จากประสบการณ์ ดังน้ัน กระบวนการในการจัด
กจิ กรรมการเรยี นรู้ ผู้เรียนต้องมีโอกาสลงมือกระทามากกว่าการฟังเพียงอย่างเดียว การจัดกิจกรรม
ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยการอ่าน การ เขียน การอภิปรายกับเพื่อน การวิเคราะห์ปัญหา และ
ใช้กระบวนการคิดขั้นสูง ได้แก่ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประเมินค่า และการสร้างสรรค์
เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ใหผ้ เู้ รียนได้เรียนรู้อยา่ งมี ความหมาย โดยการร่วมมือระหว่างผู้เรียนด้วยกัน
กิจกรรมการเรียนการสอนแบบ Active Learning ทาให้ผู้เรียนสามารถรักษาผลการเรียนรู้
ให้อยู่คงทนได้นาน กระบวนการเรียนการสอนแบบ Active Learning จะสอดคล้องกับการทางาน
ของสมองและความจา โดยผู้เรียนสามารถเกบ็ ข้อมูลและจาสิ่งท่เี รียนรู้โดยมีส่วนรว่ ม มีปฏิสัมพันธ์กับ
เพื่อน ผู้สอน ส่งิ แวดล้อม ผ่านการปฏบิ ัติจริง สามารถเก็บความจาในระบบความจาระยะยาว (Long
Term Memory) การออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ Active Learning อาจแยก
การออกแบบกิจกรรมได้ 2 ลกั ษณะ คือ
4.3.1 การออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ Active Learning ในหน่วย
การเรียนรู้หรอื แผนการจดั การเรียนรู้
4.3.2 การออกแบบกิจกรรมการเรยี นการสอนแบบ Active Learning ในกิจกรรม
พฒั นาผู้เรียนหรอื กิจกรรมเสริมทกั ษะอืน่ ๆ การออกแบบกจิ กรรมการเรยี นรู้
การเรียนรู้เป็นหัวใจสาคัญท่ีจะช่วยให้นักเรียนเกิดการพัฒนา ทาให้นักเรียน
มีความรู้และทักษะตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัดช้ันปีที่กาหนดไว้ในแต่ละหน่วยการเรียนรู้
33
รวมทงั้ ชว่ ยในการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม และค่านยิ มท่ีพึงประสงค์ให้เกิดแกผ่ ู้เรยี น ดังน้นั ผู้สอน
จึงควรทราบหลกั การและข้ันตอนในการจดั กจิ กรรม ดงั นี้
1. หลักในการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้
1.1 เป็นกิจกรรมที่พัฒนานักเรียนไปสู่มาตรฐานการเรียนรู้ และตัวช้ีวัดชั้นปี
ทก่ี าหนดไวใ้ นหน่วยการเรียนรู้
1.2 นาไปสกู่ ารเกิดหลักฐานการเรียนรู้ ชน้ิ งานหรอื ภาระงานทีแ่ สดงถึงการบรรลุ
มาตรฐานการเรียนรูแ้ ละตัวช้วี ดั ชั้นปขี องนกั เรียน
1.3 นักเรียนมีสว่ นร่วมในการออกแบบและจดั กิจกรรมการเรียนรู้
1.4 เป็นกิจกรรมทีเ่ นน้ นักเรียนเป็นสาคญั
1.5 มคี วามหลากหลายและเหมาะสมกับนกั เรยี นและเนอ้ื หาสาระ
1.6 สอดแทรกคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และคา่ นิยมที่พงึ ประสงค์
1.7 ช่วยให้นกั เรยี นเขา้ สูแ่ หลง่ การเรียนรูแ้ ละเครือข่ายการเรียนร้ทู ี่หลากหลาย
1.8 เปิดโอกาสให้นกั เรียนไดล้ งมือปฏบิ ตั จิ ริง
2. ขั้นตอนในการจัดกิจกรรม
ก าร จั ดกิ จก ร รม ก าร เรียน รู้เพื่ อพัฒ น านัก เรียน ให้ มีศัก ยภ าพ ตาม มาต รฐาน
การเรียนรู้ ตัวช้ีวัดที่กาหนด เป้าหมายการเรียนรู้ท่ีพึงประสงค์ไว้แล้วน้ัน ครูผู้สอนต้องคิดทบทวน
ยอ้ นกลับวา่ มีกระบวนการ หรือขั้นตอนกจิ กรรม ต้ังแตต่ ้นจนจบอยา่ งไร จึงจะทาให้ผู้เรียนมขี ั้นตอน
การพัฒนาความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ ความสามารถต่าง ๆ รวมถึงคุณลักษณะที่พึงประสงค์ จนบรรลุ
เป้าหมายการเรียนรู้ และเกดิ หลักฐานของการเรยี นรู้ที่กาหนด ความรู้ความเข้าใจที่ลึกซึง้ อันเป็นผล
มาจากการสรา้ งความรู้ของผู้เรียนด้วยการทาความเข้าใจหรือแปลความหมายในสงิ่ ท่ตี นเองได้เรียนรู้
ทั้งหมดทุกแง่ทุกมุมตลอดแนว ด้วยวิธีการถามคาถาม การแสดงออก และการสะท้อนผลงาน
ซึ่ง ส าม าร ถใช้ ตั ว ชี้วั ด ดัง ต่ อ ไ ป นี้ ใน กา รต รวจ ส อบ ว่าผู้ เรีย น เกิ ด ก าร เรีย น รู้จ น ก ล าย เป็ น ค วา ม รู้
ความเขา้ ใจทล่ี ึกซ้ึงแล้วหรอื ไม่ ความเขา้ ใจ 5 ดา้ น ได้แก่
1. ผู้เรียนสามารถอธิบาย (Can explain) เร่ืองราวต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง
มีหลักการ โดยแสดงให้เห็นถึงการใช้เหตุผล ข้อมูล ข้อเท็จจริง ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ท่ีน่าเชื่อถือ
ประกอบในการอา้ งองิ เช่อื มโยงกบั ประเด็นปญั หา สามารถคาดการณไ์ ปสอู่ นาคต
2. ผู้เรียนสามารถแปลความหมาย (Can interpret) เร่ืองราวต่าง ๆ ได้อย่าง
มีความหมาย ทะลุปรุโปร่ง ตรงประเด็น กระจ่างชัด โดยอาจใช้แนวคิด ทฤษฎี เหตุการณ์
ทางประวัติศาสตร์ หรือมมุ มอง ของตนเองประกอบการตีความและสะท้อนความคิดเหน็
3. ผู้เรียนสามารถประยุกต์ใช้ ความรู้ (Can apply) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สรา้ งสรรค์ เหมาะสมกับสถานการณ์ คลอ่ งแคล่ว ยืดหยุ่น และสงา่ งาม
34
4. ผู้เรียนสามารถมองจากมุมมองที่หลากหลาย มองเห็น รับรู้ประเด็นความคิด
ต่าง ๆ (Have perspective) และตัดสินใจท่ีจะเช่ือหรือไม่เช่ือ โดยผ่านข้ันตอนการวิพากษ์วิจารณ์
และมมุ มองในภาพกวา้ ง โดยมแี นวคดิ ทฤษฎี ขอ้ มลู ข้อเทจ็ จรงิ สนับสนุนการรับร้นู น้ั ๆ
5. ผู้เรียนสามารถเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น บอกคุณค่าในส่ิงต่าง ๆ ท่ีคนอ่ืน
มองไม่เห็น (Can empathize) หรือคิดว่ายากท่ีจะเชื่อถือได้ ด้วยการพิสูจน์สมมติฐานเพ่ือทาให้
ข้อเท็จจรงิ นัน้ ๆ ปรากฏ มีความละเอียดออ่ นทจ่ี ะซึมซบั รบั ทราบความรู้สึกนึกคิดของผเู้ กย่ี วขอ้ ง
6. ผู้เรียนรู้จักตนเอง มีความตระหนักรู้ถึงความสามารถทางด้านสติปัญญา
วถิ ชี วี ิต นิสัย ใจคอ ความเป็นตัวตนของตนเอง (Have self-knowledge) ซ่งึ คอื เบ้าหลอมความเข้าใจ
ความหย่ังรู้ในเร่ืองราวต่าง ๆ มีความตระหนักว่า มีส่ิงใดอีกที่ยังไม่เข้าใจ และสามารถสะท้อน
ความหมายของสง่ิ ท่ีได้ เรียนรู้และมปี ระสบการณ์ ปรับตัวได้ รู้จักใคร่ครวญ และมีความเฉลยี วฉลาด
ครูผสู้ อนสามารถใชต้ ัวชี้วัดความรคู้ วามเข้าใจคงทน ทงั้ 5 ตวั ชวี้ ดั นี้ เป็นเคร่ืองมือ
ในการกาหนดกิจกรรมการเรียนรู้และวิธีการวัดประเมินผลเรียนรู้ว่า ผู้เรียนบรรลุผลการเรียนรู้
ตรงตามที่กาหนดไว้ในมาตรฐานการเรียนรู้/ตัวช้ีวัด และเป้าหมายหลักของการจดั การเรียนรหู้ รือไม่
หลกั การจดั ประสบการณ์หรอื กจิ กรรมการเรยี นรู้ มีดังน้ี
1. เลือกกิจกรรมที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการจัดการเรียนรู้ สอดคล้อง
เช่ือมโยงกับมาตรฐานหรือตัวชี้วัด หากเป็นทักษะควรเป็นทักษะที่ปฏิบัติแล้วผู้เรียนเปล่ียนแปลง
พฤติกรรมได้ตามวัตถปุ ระสงค์
2. เลือกกิจกรรมที่ผู้เรียนพึงพอใจ สนุก น่าสนใจ ไม่ซ้าซาก มีประโยชน์ต่อ
การนาไปใช้ในชีวิตประจาวัน และทาให้ผเู้ รยี นมเี จตคตทิ ี่ดตี ่อการเรยี น
3. เลือกกิจกรรมที่เหมาะสมกบั ความสามารถด้านรา่ งกายของผเู้ รยี นท่ีจะปฏิบัติได้
และควรคานึงถงึ ประสบการณ์เดมิ เพอื่ จดั กิจกรรมใหมไ่ ดอ้ ย่างต่อเนอ่ื ง
4. เลือกกิจกรรมที่สง่ เสรมิ จดุ มุ่งหมายในการจดั การเรียนรู้หลาย ๆ ด้าน
5. เลือกกิจกรรมให้หลากหลาย คานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล เหมาะสม
กบั วัย ความสามารถและความสนใจของผู้เรยี น ใหผ้ ู้เรยี นได้ใชป้ ระสาทสัมผสั ในการเรยี นรู้มากทส่ี ุด
6. ใชส้ อื่ /แหล่งเรียนรู้ท่หี ลากหลายและเหมาะสม
7. ใชเ้ ทคนคิ วิธกี ารเรยี นรู้ทีห่ ลากหลาย ส่งเสรมิ กระบวนการคดิ และทกั ษะตา่ ง ๆ
8. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการทากิจกรรมและการประเมินผล มีการวัดและประเมินผล
ทีห่ ลากหลายและสอดคล้องกบั กิจกรรม