35
3. การจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนแบบ Active Learning
กิจกรรมการเรียนรู้ เป็นกระบวนการปฏิบัติต่าง ๆ ของผู้เรียนที่ก่อให้เกิด
การเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่ วิธีการ/กิจกรรมท่ีครูหรือผู้เก่ียวข้องนามาใช้เพ่ือให้ผู้เรียน
ได้เรยี นรตู้ ามเปา้ หมาย วัตถุประสงค์ สอดคล้องเชื่อมโยงกับมาตรฐานตัวช้ีวัดท่ีกาหนดไว้ในหลักสูตร
สถานศึกษา โดยมีองค์ประกอบที่สาคัญของการจัดการเรียนรู้ คือ กระบวนการ/วิธีการจัดกิจกรรม
การเรียนรู้ทเี่ หมาะสม ซง่ึ จะมผี ลตอ่ การเรียนร้ขู องผู้เรียนอย่างแทจ้ ริง โดยกิจกรรมการเรียนรู้มีผลต่อ
ผ้เู รียนในการกระตุ้นความสนใจ สนกุ สนาน ต่ืนตัวในการเรียน มีการเคลอื่ นไหว เปิดโอกาสให้ผู้เรยี น
ประสบความสาเรจ็ ในการเรียนรู้ปลูกฝังความเป็นประชาธิปไตย การใช้ทักษะชีวติ ฝกึ ความรับผดิ ชอบ
การทางานรว่ มกนั ชว่ ยเหลือเกื้อกลู ตามศกั ยภาพ และคณุ ลกั ษณะทดี่ ี นอกจากนี้ กิจกรรมการเรียนรู้
ยังต้องส่งเสริมทักษะ กระบวนการต่าง ๆ เช่น การคิดสร้างสรรค์ การส่ือสาร การแก้ปัญหา
กระบวนการกลุ่ม การบริหารจัดการ ฝึกการใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์เป็นเคร่ืองมือการเรียนรู้
ตลอดชีวิต สร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดี ระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียนกับครู และบุคคลที่เก่ียวข้องอ่ืน ๆ
สร้างความเข้าใจบทเรยี นและส่งเสริม พฒั นาการผูเ้ รียนในทุก ๆ ดา้ น
การจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนแบบ Active Learning เปน็ การใช้กระบวนการ
ปฏิบตั ิต่าง ๆ ของผู้เรียนทีก่ ่อให้เกิดการเรยี นรอู้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ ได้แก่
1. วิธีการ/กิจกรรมการเรียนรู้ ครูหรือผู้เก่ียวข้องนามาใช้เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้
ตามเป้าหมายมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด วัตถุประสงค์การเรียนรู้ย่อยของตัวช้ีวัดท่ีกาหนดไว้
ในหลักสูตรสถานศึกษา โดยมีองค์ประกอบที่สาคัญของการจัดการเรียนรู้ คือ กิจกรรมการเรียนรู้
ที่มผี ลต่อผู้เรยี น ในการกระตุน้ ความสนใจ สนกุ สนาน ตื่นตัวในการเรียน มีการเคลอื่ นไหว เปิดโอกาส
ให้ผูเ้ รียน ประสบความสาเรจ็ ในการเรียนรู้ ปลูกฝงั ความเป็นประชาธิปไตย เป็นกิจกรรมในการเรียนรู้
ที่ครูออกแบบการสอนตามลักษณะของตัวช้ีวัดว่าเป็นด้านความรู้ ทักษะ/กระบวนการปฏิบัติ
คุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยเน้นการลงมือปฏิบัติ การอ่าน ฟัง คิด ถาม เขียน การแลกเปล่ียน
เรียนรู้ และนาเสนอ ผลงานการศึกษาค้นคว้าของนักเรียน ทั้งน้ีขึ้นอยู่กับประเภทของตัวช้ีวัด
เป็นสาคัญ
2. กระบวนการเรียนรู้ มีการส่งเสริมทักษะกระบวนการสอนรูปแบบต่าง ๆ
อย่างเป็นระบบ มีขั้นตอนการสอนเฉพาะแบบตามที่ครูเลือกใช้ ซึ่งการเลือกกระบวนการสอน
ในศตวรรษ 21 มีหลากหลายทน่ี ิยมสอนในปัจจุบัน ไดแ้ ก่ การสอนแบบโครงงาน การสอนแบบการใช้
ปัญหาเป็นฐาน การจัดการเรียนรู้แบบเน้นประสบการณ์ การสอนท่ีเน้นทักษะกระบวนการคิด
การสอนแบบสะเต็มศึกษา การสอนแบบ 5STEP/QSCCS เป็นต้น ซึ่งกระบวนการสอนรปู แบบต่าง ๆ
เหล่านี้จะมีเทคนิคการสอนวิธีสอนผสมผสานอยู่ เช่น การสอนคิดสร้างสรรค์ การสื่อสาร
การแก้ปัญหา กระบวนการกลุ่ม การบริหารจัดการ การใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์เป็นเคร่ืองมือ
36
การเรียนรู้ตลอดชีวิต สร้างปฏิสัมพันธ์ท่ีดีระหว่างผู้เรียนกับผู้เรยี นกับครูและบุคคลที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ
สร้างความเข้าใจบทเรียนและส่งเสริม พัฒนาการผู้เรียนในทุก ๆ ด้าน การใช้ทักษะชีวิต
ฝึกความรับผดิ ชอบ การทางานร่วมกัน ชว่ ยเหลอื เกอ้ื กูลตามศกั ยภาพและคณุ ลักษณะทดี่ ี
ณัชนัน แก้วชัยเจริญกิจ (2550) ได้กล่าวถึงบทบาทของครูผู้สอนในการจัดกิจกรรม
การเรยี นรู้ตามแนวทางของ Active Learning ดงั น้ี
1. จัดให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนการสอน กิจกรรมต้องสะท้อน
ความตอ้ งการในการพฒั นาผ้เู รยี นและเน้นการนาไปใช้ประโยชนใ์ นชีวิตจรงิ ของผู้เรยี น
2. สร้างบรรยากาศของการมีส่วนร่วม และการเจรจาโต้ตอบท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียน
มีปฏสิ มั พันธ์ทด่ี กี ับผู้สอนและเพอื่ นในช้ันเรยี น
3. จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้เป็นพลวัต ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม
ในทุกกิจกรรม รวมท้ังกระตุน้ ให้ผู้เรยี นประสบความสาเรจ็ ในการเรยี นรู้
4. จดั สภาพการเรยี นรู้แบบร่วมมอื สง่ เสริมให้เกิดการร่วมมอื ในกลุม่ ผเู้ รียน
5. จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ท้าทาย และให้โอกาสผู้เรียนได้รับวิธีการสอน
ทห่ี ลากหลาย
6. วางแผนเกี่ยวกับเวลาในจัดการเรียนการสอนอย่างชัดเจน ทั้งในส่วนของเนื้อหา
และกจิ กรรม
7. ครูผู้สอนต้องใจกว้าง ยอมรับในความสามารถในการแสดงออก และความคิด
ของผู้เรยี น
ดษุ ฎี โยเหลา และคณะ (2557) ได้กล่าวถึงบทบาทสาคญั ของครูในขณะจัดกจิ กรรม
การเรียนรู้ว่า ครูจะต้องแสดงบทบาทต่าง ๆ เพ่ือส่งเสริมให้เกิดกระบวนการเรียนรู้แบบ Active
Learning ข้ึน โดยครูจะต้องเป็นผู้สังเกตการทางานของนักเรียน ครูต้องสร้างแรงบันดาลใจ
ในการเรียนรู้ โดยใช้คาถามปลายเปิดกระตุ้นการเรียนรู้แทนการบอกกล่าว ครูต้องศึกษาและ
รู้จักข้อมูลนักเรียนเป็นรายบุคคล เพ่ือแสดงบทบาทให้เหมาะสมในการทาให้เกิด Active Learning
กบั นกั เรียนเป็นรายคน ดังน้ี
37
ภาพท่ี 3 บทบาทของครูในฐานะผกู้ ระตนุ้ การเรยี นรู้
1. ใช้คาถามกระตุ้นการเรียนรู้ คาถามที่ใช้ในการกระตุ้นการเรียนรู้นั้น ต้องเป็น
คาถามท่ีมีลักษณะเป็นคาถามปลายเปิด เพื่อให้ผเู้ รียนได้อธิบายโดยขึ้นตน้ ว่า “ทาไม” หรือลงท้ายว่า
“อยา่ งไรบ้าง” “อะไรบา้ ง” “เพราะอะไร”
2. ทาหน้าที่เป็นผูส้ ังเกต ครูจะต้องคอยสังเกตว่า ผเู้ รยี นแต่ละคนมีพฤติกรรมอย่างไร
ขณะปฏิบัตกิ จิ กรรมเพ่ือหาทางชี้แนะ กระตนุ้ หรอื ยับย้ังพฤตกิ รรมทไ่ี ม่เหมาะสม
3. สอนให้ผู้เรียนเรยี นรู้การตัง้ คาถาม เมื่อผ้เู รียนสามารถตัง้ คาถามได้ จะทาใหผ้ ู้เรยี น
รู้จักถามเพื่อค้นคว้าข้อมูล รู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้อ่ืน และร่วมแสดงความคิดเห็นของตนเอง
ในเรือ่ งท่ีเกย่ี วขอ้ งกบั การเรยี นรู้
4. ให้คาแนะนาเมื่อผู้เรียนเกิดข้อสงสัย ครูจะต้องเป็นผู้คอยแนะนา ชี้แจงให้ข้อมูล
ต่าง ๆ หรือยกตัวอย่างเหตุการณ์ใกล้ตัวต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนในชีวิตประจาวันของผู้เรียนเชื่อมโยงไปสู่
ความรู้ดา้ นอ่ืน ๆ ในขณะทากิจกรรมเม่ือผู้เรียนเกดิ ขอ้ สงสัย หรือคาถามโดยไม่บอกคาตอบ
5. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนคิดหาคาตอบด้วยตนเอง สังเกตและคอยกระตุ้นด้วยคาถาม
ให้ผู้เรียนได้คดิ กิจกรรมทอี่ ยากเรียนรู้และหาคาตอบในสิ่งทส่ี งสยั ด้วยตนเอง
6. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนสร้างสรรค์ผลงานอย่างอิสระตามความคิดและความสามารถ
ของตนเอง เพื่อให้ผู้เรียนได้ใช้จินตนาการและความสามารถของตนเองในการคิดสร้างสรรค์
อย่างเตม็ ที่
นอกจากนี้ วารินท์พร ฟันเฟ่ืองฟู (2512) ได้กล่าวถึง Active Learning สู่การปฏิบัติ
ไว้ว่าการนารูปแบบหรือเทคนิคการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด Active Learning ไปปฏิบัติ
เพอ่ื ให้เกิดประสิทธิภาพนั้น ผู้สอนและผู้เรียนลว้ นมีบทบาทสาคัญและมีลกั ษณะเฉพาะ ผู้สอนจึงต้อง
ศึกษาทาความเข้าใจเพ่ือทีจ่ ะจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และจากการวิเคราะห์
38
และสังเคราะห์บทบาทผู้สอนในการจัดการเรยี นรูจ้ ากนักการศึกษา สามารถจาแนกบทบาทของผู้สอน
ได้ดงั นี้
1. วิเคราะห์เป้าหมายของการเรียนรู้และเลือกเทคนิคการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ท่สี นับสนุนการเรียนรู้ตามแนว Active Learning 1 - 2 วิธีที่เหมาะสมกับเนอ้ื หาและสิ่งท่ีต้องการให้
ผู้เรยี นปฏบิ ตั ิ
2. เลือกใชเ้ ทคนคิ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ง่ายและใช้เวลาไม่มากสาหรับการเร่ิมต้น
เช่น “one minute paper” และ “Think-pair-share” หรือให้ผู้เรียนแข่งขันกันตอบคาถาม
ทเ่ี กี่ยวขอ้ ง กับเรื่องที่จะเรียนต่อไป เป็นต้น
3. มีการมอบหมายงานให้ผู้เรียนเพ่ือการเตรียมตัวหรือเตรียมความรู้ก่อนการเข้าเรียน
เชน่ มีการมอบหมายใหอ้ า่ นเน้ือหาสาระที่จะเรียนหรือเรื่องท่เี กีย่ วขอ้ งในสง่ิ ทจ่ี ะเรียนล่วงหนา้
4. บอกถึงกิจกรรมและประโยชน์ทจ่ี ะได้รบั จากการร่วมกิจกรรม
5. กระตุ้นให้ผู้เรียนค้นหาคาตอบด้วยตนเอง มีความเข้าใจและสร้างมโนทัศน์ท่ีได้
จากการเรียนรู้และสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองได้ เช่น มอบหมายให้ผู้เรียนศึกษาส่ือวีดีโอโดยมี
การตั้งคาถาม และให้ผู้เรยี นหาคาตอบ
6. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ควรจัดเป็นกลุ่มเพ่ือการเรียนรู้ร่วมกัน และกระตุ้นให้
ผเู้ รยี นมีสว่ นรว่ มในการทากจิ กรรมการเรยี นรู้อยา่ งมีชวี ติ ชวี า
7. สร้างสรรค์กิจกรรมอย่างหลากหลายมีความยืดหยุ่น เพ่ือขยายประสบการณ์
การเรียนรู้ของผเู้ รยี นดว้ ยการลงมือปฏิบัติ
8. ให้ความสาคัญและกระตุ้นให้เกิดการสร้างปฏิสัมพันธ์ในชั้นเรียนโดยใช้ทักษะ
การส่ือสารแลกเปลย่ี นเรยี นรู้
9. กิจกรรมการเรียนรู้ยึดปัญหาเป็นสาคัญและกระตุ้นให้ผู้เรียนเลือกใช้วิธีแก้ปัญหา
อย่างหลากหลายเปน็ ระบบ
10. กระตุ้นใหผ้ ู้เรียนเกิดทกั ษะการคดิ ขนั้ สงู
11. ใหผ้ ู้เรียนรับผดิ ชอบในผลงาน โดยกาหนดเวลาและงบประมาณทใ่ี ช้
12. มกี ารสรปุ แลกเปลย่ี นเรียนรกู้ ันก่อนเริ่มเนื้อหาใหม่
4. การวดั และประเมินผลการจัดการเรยี นการสอนแบบ Active Learning
การวัดและประเมินผลการจัดการเรียนรู้ เป็นกระบวนการในการตรวจสอบผล
การดาเนินกิจกรรมว่าบรรลุตามเป้าหมายที่กาหนดไว้หรือไม่ มีส่วนใดต้องปรับปรุงแก้ไขเพ่ือพัฒนา
ตอ่ ไป โดยประเมนิ ทัง้ กระบวนการในการจัดกิจกรรม และประเมินคณุ ภาพของผู้เรยี นใช้การประเมิน
หลากหลายวิธี ให้ทุกฝ่ายได้มีโอกาสในการประเมิน เช่น ครูประเมินผู้เรียน ผู้เรียนประเมินเพ่ือน
39
ผเู้ รียนประเมินตนเอง วิธีการในการประเมินควรถูกต้องเหมาะสมกับความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะ
ของผู้เรียน ท่ีกาหนดไวใ้ นเป้าหมายของการจัดกจิ กรรมนั้น ๆ
การประเมินผลการเรียนการสอนแบบ Active Learning ควรใช้หลักการประเมิน
ตามสภาพจรงิ และนาผลการ ประเมนิ มาพฒั นาผ้เู รียนอยา่ งต่อเนือ่ ง โดยมีลกั ษณะ ดังนี้
4.1 ใช้ผูป้ ระเมนิ จากหลายฝ่าย เช่น ผู้เรยี น เพื่อน ผ้สู อน ผเู้ กี่ยวข้อง
4.2 ใชว้ ธิ ีการหลากหลายวธิ /ี ชนดิ เช่น การสังเกต การปฏิบัติ การทดสอบ การรายงาน
ตนเอง
4.3 ประเมินหลาย ๆ คร้ัง ในแต่ละช่วงเวลาของการเรียนรู้ เช่น ก่อนเรียน ระหว่าง
เรียน ส้ินสดุ การเรยี น ติดตามผล
4.4 สะท้อนผลการประเมินแกผ่ เู้ รียนและผูเ้ กี่ยวข้อง เพื่อนาไปส่กู ารพัฒนาผ้เู รยี น
ภาพท่ี 4 การประเมินผลการจัดการเรยี นการสอนแบบ Active Learning
จากภาพที่ 4 การประเมินผลการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning
ผสู้ อนสามารถใชว้ ิธีการประเมนิ ผล ดงั นี้
1. การประเมินตามสภ าพจริง (Authentic Assessment) เป็นการประเมิน
ด้วยวิธีการที่หลากหลาย เพื่อให้ได้ผลการประเมินท่ีสะท้อนความสามารถท่ีแท้จริงของผู้เรียน
จงึ ควรใช้การประเมิน การปฏิบัติ (Performance Assessment) ร่วมกับการประเมินด้วยวิธีการอื่น
และกาหนดเกณฑ์ในการประเมนิ (Rubrics) ใหส้ อดคล้องหรอื ใกลเ้ คียงกบั ชวี ิตจริง
2. การประเมินการปฏิบัติ (Performance Assessment) เป็นวิธีการประเมินงาน
หรือกิจกรรมที่ผู้สอนมอบหมายให้ผู้เรียนปฏิบัติงาน เพ่ือให้ทราบถึงผลการพัฒนาของผู้เรียน
การประเมินลักษณะน้ี ผู้สอนต้องเตรียมส่ิงสาคัญ 2 ประการ คือ ภาระงาน (Tasks) หรือเกณฑ์
การประเมินกิจกรรมท่ีจะให้ผู้เรียนปฏิบัติ (Scoring Rubrics) การประเมินการปฏิบัติจะช่วยตอบ
คาถามที่ทาให้เรารู้ว่า “ผู้เรียนสามารถนาส่ิงที่เรียนรู้ไปใช้ได้ดีเพียงใด” ดังนั้น เพื่อให้การปฏิบัติ
40
ในระดับชั้นเรียนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้สอนต้องทาความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับประเด็น
ต่อไปน้ี
2.1 สิ่งที่เราต้องการจะวัด (พิจารณาจากมาตรฐาน/ตัวช้ีวัด หรือผลลัพธ์ที่เรา
ตอ้ งการ)
2.2 การจดั การเรยี นรทู้ เี่ อือ้ ตอ่ การประเมินการปฏบิ ตั ิ
2.3 รปู แบบหรือวิธีการประเมนิ การปฏบิ ตั ิ
2.4 การสร้างเครอ่ื งมือประเมนิ การปฏบิ ัติ
2.5 การกาหนดเกณฑ์ในการประเมิน (Rubrics)
3. การประเมินโดยการใช้คาถาม (Questioning) คาถามเป็นวิธีหน่ึงในการกระตุ้น/
ชี้แนะให้ผู้เรียนแสดงออกถึงพัฒนาการการเรียนรู้ของตนเอง รวมถึงเป็นเคร่ืองมือวัดและประเมิน
เพือ่ พัฒนาการเรยี นรู้ ดังนนั้ เทคนคิ การต้ังคาถามเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรยี นจงึ เป็นเรื่องสาคัญ
ยิ่งท่ีผู้สอนต้องเรียนรู้และนาไปใช้ให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การต้ังคาถามเพื่อพัฒนาผู้เรียนจึงเป็น
กลวิธีสาคัญท่ีผู้สอนใช้ประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียน รวมทั้งเป็นเคร่ืองสะท้อนให้ผู้สอนสามารถ
ชว่ ยเหลอื ผู้เรียนใหบ้ รรลุจุดมุ่งหมายของการเรยี นรู้
4. การประเมินโดยการการสนทนา (Communication) เป็นการสื่อสาร 2 ทาง
อีกประเภทหนึ่งระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนสามารถดาเนินการเป็นกลุ่มหรือรายบุคคลก็ได้ โดยท่ัวไป
มักใช้อย่างไม่เป็นทางการ เพื่อติดตามตรวจสอบว่า ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เพียงใด เป็นข้อมูลสาหรับ
พัฒนา วิธีการนี้อาจใช้เวลาแต่มีประโยชน์ต่อการค้นหา วินิจฉัยข้อปัญหา ตลอดจนเรื่องอนื่ ๆ ท่ีอาจ
เป็นปญั หาอปุ สรรคต่อการเรียนรู้ เช่น วิธีการเรยี นรทู้ แ่ี ตกตา่ งกัน เปน็ ต้น
5. การประเมินการสังเกตพฤติกรรม (Behavioral Observation) เป็นการเก็บข้อมูล
จากการดู การปฏบิ ตั กิ ิจกรรมของผู้เรยี นโดยไมข่ ัดจังหวะการทางานหรอื การคิดของผเู้ รยี น การสงั เกต
พฤตกิ รรมเป็นส่งิ ที่ทาได้ตลอดเวลา แต่ควรมกี ระบวนการและจุดประสงคท์ ี่ชัดเจนวา่ ต้องการประเมิน
อะไรโดยอาจใช้เครื่องมือ เช่น แบบมาตรประมาณค่า แบบตรวจสอบรายการ สมุดจดบันทึก
เพ่ือประเมินผู้เรียนตามตัวช้ีวัด และควรสังเกตหลายครั้ง หลายสถานการณ์ และหลายช่วงเวลา
เพื่อขจัดความลาเอยี ง
6. การประเมินตนเองของผู้เรียน (Student Self-assessment) การประเมินตนเอง
นับเป็นทั้งเครื่องมือประเมินและเครื่องมือพัฒนาการเรียนรู้ เพราะทาให้ผู้เรียนได้คิดใคร่ครวญว่า
ได้เรียนรู้อะไร เรียนรู้อย่างไร และผลงานที่ทานั้นดีแล้วหรือยัง การประเมินตนเองจึงเป็นวิธีหนึ่ง
ท่ีจะช่วยพฒั นาผู้เรยี นใหเ้ ป็นผู้เรียนที่สามารถเรียนรูด้ ้วยตนเอง
7. การประเมินโดยเพื่อน (Peer Assessment) เป็นเทคนิคการประเมินอีกรูปแบบ
หน่ึงที่น่าจะนามาใช้เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้เข้าถึงคุณลักษณะของงานท่ีมีคุณภาพ เพราะการท่ีผู้เรียน
41
จะบอกได้ว่า ช้ินงานน้ันเป็นเช่นไร ผู้เรียนต้องมีความเข้าใจอย่างชัดเจนก่อนว่าเขากาลังตรวจสอบ
อะไรในงานของเพ่ือน ฉะน้ันผู้สอนต้องอธิบายผลท่ีคาดหวังให้ผู้เรียนทราบก่อนท่ีจะลงมือประเมิน
การทีจ่ ะสร้างความมน่ั ใจวา่ ผู้เรียนเข้าใจการประเมินรูปแบบนี้ ควรมีการฝึกผูเ้ รียน
2.5 บทบาทครูผู้สอนในการจดั การเรียนการสอนแบบ Active Learning
การทาให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ ครูเป็นผู้ที่มีบทบาทสาคัญ ซึ่งบทบาทของครูในขณะ
จดั กิจกรรมการเรียนรู้นั้น ครูจะต้องแสดงบทบาทต่าง ๆ เพื่อส่งเสรมิ ให้เกิดกระบวนการเรยี นรู้แบบ
Active Learning ขึ้น คือครูจะต้องเป็นผู้สังเกต โดยสังเกตการทางานของนักเรียนและการเล่น
ของนักเรียน ครูต้องสร้างแรงบันดาลใจในการเรียนรู้โดยใช้คาถามปลายเปิดกระตุ้นการเรียนรู้
แทนการบอกกล่าว ครูตอ้ งศึกษาและรู้จักขอ้ มูลนักเรียนเป็นรายบคุ คลเพื่อแสดงบทบาทให้เหมาะสม
ในการทาให้เกิด Active Learning กับนกั เรียนเปน็ รายบคุ คล ซึ่งบทบาทหรอื สิ่งที่ครแู สดงออกเหล่าน้ี
มีผลต่อการเรียนรู้ของนักเรียนในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แนวทาง Active Learning ครูผู้สอน
ต้องออกแบบกิจกรรมท่ีสะท้อนการพัฒนาผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้ และเน้นการนาไปใช้ประโยชน์
ในชีวิตจรงิ โดยดาเนนิ การ ดังน้ี (ดุษฎี โยเหลา และคณะ, 2557)
1. สร้างบรรยากาศการมีส่วนร่วม และการเจรจาโต้ตอบ ส่งเสริมให้ผู้เรียน
มีปฏสิ ัมพนั ธ์ที่ดีกับผู้สอนและเพอ่ื นในชั้นเรียน
2. ลดบทบาทการสอนและการให้ความรู้โดยตรง เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม
ในการจัดระบบการเรียนรู้ แสวงหาความรู้ และสร้างองค์ความรดู้ ้วยตนเอง
3. ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ให้เป็นพลวัต (มีการเคลื่อนไหว/การขับเคล่ือน)
ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนรว่ มในทุกกิจกรรม กระตุ้นให้ผู้เรียนค้นพบความสาเร็จในการเรียนรู้ สามารถ
นาความรู้ ความเข้าใจไปประยุกต์ใช้ สามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินค่า และคิดสร้างสรรค์
สิง่ ต่าง ๆ โดยเชอื่ มโยงกบั สภาพแวดล้อมใกล้ตวั ปัญหาของชุมชน สงั คม หรือประเทศชาติ
4. จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือในกลุ่มผู้เรียน วางแผน
เกี่ยวกบั เวลาในจัดการเรยี นรู้อย่างชดั เจน รวมถึงเนอื้ หาและกจิ กรรม
5. จัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีท้าทาย เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากวิธีการสอน
ที่หลากหลาย
6. เปิดใจกว้างยอมรับในความสามารถ การแสดงออกและการแสดงความคิดเห็น
ของผ้เู รียน
7. ผู้สอนควรทราบว่าผู้เรียนมีความถนัดที่แตกต่างกัน และทราบความรู้พ้ืนฐาน
ของผเู้ รยี น
8. ผู้สอนควรสร้างบรรยากาศในการเรียน ให้ผู้เรียนกล้าพูด กล้าตอบและมีความสุข
ในการเรียนรู้
42
สาหรับ Shenker, Goss & Bernstein (1996) ได้กล่าวถึงหลักการสอนเพื่อใช้เป็น
แนวทางในการจดั การเรียนการสอนแบบ Active Learning ไว้ดังนี้
1. ครูควรสื่อสารกับนักเรียนให้ชัดเจนในเรื่องของการเรียนการสอน เน่ืองจาก
การเรียนรู้เชิงรุกเป็นการขยายทักษะการคิดวิเคราะห์และคิดอย่างมีวิจารณญาณ ตลอดจน
ความสามารถของการ ประยุกตเ์ นอื้ หาของนักเรยี น
2. การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ควรส่งเสริมความรับผิดชอบ
ในการคน้ คว้า และส่งเสริมการเรียนรู้นอกเวลาของนักเรียน รวมทั้งการมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ
อีกทั้ง ต้องมุ่งเน้นให้นกั เรยี นค้นคว้าหาคาตอบดว้ ยตนเองมากขึ้น
3. การเรียนแบบบรรยายในชั้นเรยี นอาจจะครอบคลุมเนี้อหามากกว่า แต่เมอื่ นักเรียน
ออกจากชั้นเรียน เนื้อหาที่มากจนไม่ชัดเจนจะทาให้นักเรียนลืมและไม่เข้าใจได้ ถึงแม้ว่าการเรียน
การสอนแบบ Active Learning จะใช้เวลาสอนมากกว่าและเรียนรู้มโนทัศน์ได้น้อยกว่า แต่ครู
สามารถปรับแก้ได้โดยสอนมโนทัศน์ที่สาคัญและส่อื สารอย่างชัดเจนกับนักเรยี นวา่ นกั เรียนต้องเรียนรู้
บางมโนทัศนด์ ้วยตนเอง ซ่ึงนกั เรียนจะทาไดด้ ี เพราะนักเรียนมีความเข้าใจในมโนทัศน์ท่ีได้เรยี นรูแ้ ละ
สามารถนาไปใชก้ ับการเรียนมโนทัศน์ใหมด่ ้วยตนเองได้
4. ครูควรเลือกวิธีและกิจกรรมที่เหมาะสมกับนักเรยี นและปรับวิธีการสอน เน่ืองจาก
การเรียนการสอนแบบ Active Learning วิธีหนึ่ง ๆ ไม่ใช่วิธีการที่ดีท่ีสุดสาหรับนักเรียนทุกคน
ซง่ึ การเรียนการสอนแบบ Active Learning จะมีความยืดหยุ่นเลือกกลยุทธ์ที่ช่วยกระตุ้นและส่งเสริม
องค์ประกอบทั้ง 4 ด้าน ของการเรียนการสอนแบบ Active Learning จึงได้ประมวลข้อมูล
มานาเสนอในตารางต่อไปน้ี (คณะกรรมการอิสระเพ่ือการปฏิรูปการศึกษาและสานักงานเลขาธิการ
สภาการศึกษา, ม.ป.ป. 12 – 18)
43
ตารางที่ 1 กลยทุ ธ์การจดั การเรียนการสอนแบบ Active Learning ด้านรา่ งกาย
การเรยี นการสอนแบบ กลยทุ ธ์การจัดการเรยี นการสอนแบบ Active Learning
Active Learning
การเรยี นการสอนแบบ • จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้มีการเคลื่อนไหวท้ัง 4 ด้าน (กาย
Active Learning ด้านรา่ งกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคม) อย่างสมดุลตามความเหมาะสม
(physically active learning) กับวัย และความสนใจ เช่น สาหรับเด็กเล็กในคาบ 50 นาที
การเรียนรู้อย่างตื่นตวั ทางร่างกาย ครูอาจจะเร่ิมต้นด้วยการเตรยี มความพร้อมในการเรียนรู้ โดยการ
ให้ ร่างก ายมี ก ารเค ล่ือ น ไห ว ร้องเพลง และเต้นประกอบเพลง 5 นาที ต่อไป เป็นกิจกรรม
อยา่ งเหมาะสม การเรียนรู้ตามบทเรียน 15 นาที สลับด้วยการให้ออกไปเล่น
5 นาที กลับมา ทางานท่ีได้รบั มอบหมาย 15 นาที แลว้ จึงปลอ่ ยให้
เล่นเกมกับเพ่ือน ๆ อีก 10 นาที สาหรับผู้เรียนในวัยที่สูงขึ้น
มีสมาธิมากขึ้นจะสามารถใช้เวลาในกิจกรรมการเรียนรู้ได้นานขึ้น
หรือหากเรื่องที่เรียนเป็นเร่ืองที่ผู้เรียนสนใจ ก็จะมีสมาธิจดจ่อกับ
เรอ่ื งทเ่ี รยี นไดน้ านข้นึ และมากข้นึ
• กิจกรรมท่ีช่วยใหเ้ กิดความพร้อมทางรา่ งกายทจี่ ะรบั รู้และเรียนรู้
ได้อย่างดี มีต้ังแต่กิจกรรมท่ีต้องใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ การออกแรง
การออกกาลังต้ังแต่น้อยไปมาก เช่น การร้องเพลงและเต้น
ตามจังหวะ การออกกาลังกายด้วยท่าที่ง่าย ๆ ไปจนถงึ การว่ิงเล่น
ในสนาม การกระโดดไปจนถึงการทางานท่ีต้องออกแรงมาก
กิจกรรมท่ีมีการลงมือทา/ปฏิบัติ ส่วนใหญ่จะมีทั้งกิจกรรม
ท่ีไม่ต้องใช้แรงมาก และท่ีจาเป็นต้องออกแรงมากผสมผสาน
กจิ กรรมลกั ษณะเช่นน้ีมคี วามเหมาะสมทาให้ร่างกายมีความตื่นตัว
อย่างต่อเนื่อง นอกจากกิจกรรมที่ใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่แล้ว ยังมี
กจิ กรรมที่ใช้ กล้ามเน้ือมัดเลก็ อีกจานวนมาก ซงึ่ มีความเหมาะสม
กับผู้เรียนที่อยู่ในวัยท่ีสูงขึ้นให้มีสมาธิมากขึ้น การสลับกิจกรรม
จากกิจกรรมท่ีต้องใช้ความคิดมาก ซ่ึงอาจทาให้ผู้เรียนเกิด
ความเครียดมาสู่กิจกรรมอื่น ๆ ที่เป็นการผ่อนคลาย เช่น การให้
ผู้เรียนช่วยกันวาดภาพ จัดห้อง เพื่อเตรียมการแสดงทางาน
ประดษิ ฐ์ เพ่ือใช้ในการเสนอผลงานหรือการแสดง เหล่าน้กี ็จะช่วย
ใหผ้ เู้ รยี นมคี วามตนื่ ตัว (active) ต่อเนื่องอย่างเหมาะสม
44
ตารางที่ 2 กลยทุ ธ์การจดั การเรยี นการสอนแบบ Active Learning ดา้ นสตปิ ญั ญา
การเรียนการสอนแบบ กลยุทธ์การจัดการเรยี นการสอนแบบ Active Learning
Active Learning
การเรียนการสอนแบบ • การใช้คาถามกระตุ้นการคิด (questioning)
Active Learning ด้านสติปัญญา • การให้ผู้เรียนใช้กระบวนการสืบสอบ (inquiry) ในการหาคาตอบ
(Intellectually active learning) ในเรอ่ื งท่ีสงสัย/สนใจ
การเรียนรู้อย่างต่ืนตัวทางด้าน • การวิเคราะห์ข้อมูลให้ได้คาตอบหรือข้อสรุปในเรื่องต่าง ๆ
สตปิ ัญญาหรือการคดิ และนาเสนอต่อกลุ่ม
• การสังเคราะห์ข้อมูล และนาเสนอต่อกลุ่มหรือสาธารณชน
โดยใช้สื่อและเทคโนโลยี
• การให้ผู้เรยี นทาโครงการ/โครงงานทีส่ นใจโดยครเู ปน็ ที่ปรึกษา
• การแก้โจทยป์ ัญหาทั้งโจทย์ท่ีครูเตรียมมา โจทย์ทีน่ ักเรียนต้ังข้ึน
โจทยท์ ี่มาจากชีวติ ประจาวัน รวมทง้ั โจทย์ทม่ี าจากสงั คมและโลก
• การให้ ผู้เรียน เผชิญ ปั ญ หาและแก้ปัญ หาด้วยตน เองใน
สถานการณ์ตา่ ง ๆ
• การใช้เทคนิคการคิดแบบต่าง ๆ เช่น เทคนิคการคิดนอกกรอบ
ของกอร์ดอน (Gordon) เทคนิคหมวก 5 ใบของเดอโบโน
(De Bono) เทคนิคการระดมสมองแบบต่าง ๆ เทคนิคการใช้ผัง
กราฟิก เช่น ผังมโนทัศน์ (Concept map) ผังความคิด (mind
map) ผังวัฏจักร (cyclical map) ผังเว็นน์ ไดอะแกรม (Venn
diagram) ผังวี ไดอะแกรม (Vee diagram)
• การใช้วิธีสอนแบบต่าง ๆ เช่น วิธีสอนแบบอุปนัย (inductive
method) วิธีสอนโดยใช้กรณีตัวอย่าง (case method) วิธีสอน
แบบทัศนศึกษา (fieldtrip method) วิธีสอนโดยใช้สถานการณ์
(simulation method) ฯลฯ
• การใชร้ ปู แบบการเรียนการสอน เช่น
- รูปแบบการเรียนการสอนมโนทัศน์ (Concept Attainment
Model) พัฒ น าโดยจอยส์และเวลล์ (Joyce & Weil, 1946)
โดยใช้แน วคิดของบรูเนอร์ กูดน าวและออสติน (Bruner,
Goodnow & Austin)
- รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคิดสร้างสรรค์ (Synectic
45
การเรยี นการสอนแบบ กลยุทธ์การจดั การเรยี นการสอนแบบ Active Learning
Active Learning
Model) พัฒนาโดยจอยส์และเวลล์ (Joyce & Wei 1946) โดยใช้
แนวคิดของกอรด์ อน (Gordon)
- รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคิดอุปนัย (Inductive
Thinking Model) พัฒนาโดยจอยส์และ เวลล์ (Joyce & Weil,
1956) โดยใชแ้ นวคิดของทาบา (Taba)
- รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคิดแก้ปัญหาอนาคต
(Future Problem Solving Model) พัฒ นาโดย ทอร์ แรน ซ์
(Torrance, 1962)
- รปู แบบการเรียนการสอนโดยใช้ผังกราฟิก (Graphic Organizer
Model) พัฒ น าโดยจอยส์และเวลล์ (Joyce & Well, 1992)
โดยใช้แนวคดิ ของโจนส์ และคณะ (Jones and others)
ตารางท่ี 3 กลยทุ ธ์การจัดการเรยี นการสอนแบบ Active Learning ดา้ นสังคม
การเรียนการสอนแบบ กลยุทธ์การจัดการเรยี นการสอนแบบ Active Learning
Active Learning
การเรยี นการสอนแบบ Circular Response เทคนิค Brainstorm
Active Learning ดา้ นสังคม • ใช้วิธีสอนแบบ ต่าง ๆ เช่น วิธีสอนแบบอภิปรายกลุ่มย่อย
(Socially active learning) วิธีสอนแบบโต้วาที วิธีสอนแบบสถานการณ์จาลอง วิธีสอนแบบกรณี
การเรียนรู้อย่างต่ืนตัวทางสงั คม ตวั อยา่ ง วิธีสอน แบบเกม วิธสี อนแบบบทบาทสมมุติ
• ให้ผู้เรียนผลัดเปล่ียนหมุนเวียนกันเป็นผู้นากลุ่ม ได้เรียนรู้บทบาท
หนา้ ที่ กระบวนการทางานเป็นทมี และทักษะการทางานรว่ มกัน
• ใช้รูปแบบการเรียนการสอนท่ีส่งเสริมทักษะทางสังคม เช่น รูปแบบ
การเรยี นรแู้ บบรว่ มมือ (Cooperative Learning Model) พัฒนาโดย
จอห์นสันและจอห์นสัน (Johnson & Johnson, 1554) รูปแบบการ
เรีย น รู้แ บ บ สื บ ส อ บ แ ล ะ แ ส วงห าค ว าม รู้เป็ น ก ลุ่ ม (Group
Investigation Model) พัฒนาโดยจอยส และเวลล์ (Joyce & Weil,
1956) โดยใช้แนวคิดของเธเลน (Thelen) รูปแบบการเรียนรู้เป็นทีม
(Team Learning Model) พั ฒ นาโดยไมเคิลเส น (Michaelsen,
2012)
46
ตารางท่ี 4 กลยทุ ธ์การจดั การเรียนการสอนแบบ Active Learning ดา้ นอารมณ์
การเรียนการสอนแบบ กลยทุ ธ์การจดั การเรียนการสอนแบบ Active Learning
Active Learning
การเรยี นการสอนแบบ • เปิดโอกาสให้ผู้เรียนแสดงความรู้สึกที่แท้จริงโดยการสร้าง
Active Learning ดา้ นอารมณ์ บรรยากาศท่ีเปน็ มิตร และปลอดภยั
(emotionally active learning) • แสดงความไว้วางใจในตวั ผเู้ รียน และยอมรบั ในตัวผู้เรียน
การเรียนรู้อยา่ งต่ืนตัวทางอารมณ์ • รับฟังผู้เรียนอย่างลึกซึ้ง (deep listening) ฟังให้เข้าใจความคิด
ความรสู้ ึก และจติ ใจ ความรู้สึก ความต้องการของผู้เรียน และยอมรับความรู้สึก
ของผูเ้ รยี น
• พัฒนาความตระหนักรู้ในอารมณ์ และความรู้สึกของตนเอง
และผ้อู ่ืน รวมท้ังผลกระทบที่มีต่อกัน
• ไม่ตัดสินผู้เรียน ส่งเสริมผู้เรยี นให้สะทอ้ นคดิ เพ่ือสร้างความเข้าใจ
ในตนเองและผูอ้ ืน่
• ส่งเสริมให้ผู้เรียนเช่ือมโยงสิ่งท่ีเรียนรู้กับประสบการณ์ของตน
แ ล ะ ส ร้ าง ค ว าม เข้ าใจ ต่ อ ย อ ด เพ่ื อ ก า ร ป ฏิ บั ติ ต น ที่ ดี เห ม า ะ ส ม
กวา่ เดิม
• เลือกใช้วิธีสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนเปิดเผย สะท้อน หรือแสดง
ความรู้สึกและความคิดเห็นของตน เช่น วิธีสอนโดยใช้การแสดง
บทบาทสมมุติ วิธีสอนโดยใช้สถานการณ์จาลอง วิธีสอนโดยใช้
การแสดง วิธีสอนโดยใช้เกม
• เลือกใช้รูปแบบการสอน หรือกระบวนการสอนท่ีเอ้ือให้ผู้เรียน
เกิดอารมณ์ ความรู้สึกไปในทางท่ีพึงประสงค์ อันจะทาให้ได้เกิด
ความเข้าใจ ความคิดและพฤติกรรมท่ีต้องการ เช่น รูปแบบ
การเรียนการสอนด้านจิตพิสยั (Instructional Model based on
Affective Domain) ข อ ง แ ค ร ท โ ว ล ท์ (Krathwohl, 1956)
กระบวนการกระจ่างค่านิยม (Value Clarification Model)
ของ ราทส์ (Raths, 1466) กระบวนการกัลยาณมิตร โดยสุมน
อมรวิวัฒน์ (2533) กระบวนการสอนค่านิยมและจริยธรรม
ของโกวิท ประวาลพฤกษ์ (2532) กระบวนการแก้ปัญหาและ
พัฒนาตนเอง โดยใช้ระบบคูส่ ัญญา ของทิศนา แขมมณี (2561)
47
สรุปได้ว่า การเรียนการสอนแบบ Active Learning คือ การเรียนรู้ท่ีผู้เรียน
มคี วามตื่นตัวทั้งทางด้านกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคม ซ่งึ ความตนื่ ตัวท้ัง 4 ดา้ นน้ี เป็นองค์ประกอบ
หรือปัจจัยสาคัญทท่ี าใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี การจดั การเรียนรู้เชงิ รุก จงึ หมายถึงการจัดกิจกรรม
ต่าง ๆ ท่ีช่วยให้ผู้เรียนได้ใช้ความคิด สติปัญญาของตนในเรื่องท่ีเรียน (ทาให้ผู้เรียนมีความต่ืนตัว
ทางสติปัญญา) ได้มีปฏิสัมพันธ์ แลกเปล่ียนเรียนรู้ความคิดเห็นกับผู้อื่น ทาให้ผู้เรียนมีความตื่นตัว
ทางสังคม รวมทั้ง ได้เคล่ือนไหวร่างกายผ่านทางกิจกรรมการปฏิบัติ การลงมือทา การออกกาลัง
การใช้แรงต้ังแต่เบา ๆ ไปถึงหนักตามความเหมาะสมในแต่ละกรณี (ทาให้ผู้เรียนมีความต่ืนตัว
ทางร่างกาย ทาให้ประสาทสัมผัสและการรับรู้ทางานได้ดี) และที่สาคัญ คือ กิจกรรมที่จัดควรมี
ลักษณะท่ีส่งผลกระทบต่อความรสู้ ึก อารมณ์ของผู้เรียนในทางท่ีเอ้ือต่อการเกิดการเรียนรู้ท่ีต้องการ
ทาให้ผู้เรียนมีความตื่นตัวทางอารมณ์ ความรู้สึกเกี่ยวกับเร่ืองท่ีเรียน จะส่งผลให้ส่ิงท่ีเรียน
มีความหมายต่อตวั ผู้เรียน และสง่ ผลตอ่ การปรับเปลย่ี นพฤติกรรมของผู้เรยี น
การจัดการเรียนรู้เชิงรุกให้ครอบคลุมท้ัง 4 ด้าน เป็นเร่ืองที่ดีและเป็นไปได้ เพียงแต่สัดส่วน
ของการมีส่วนรว่ มใน 4 ดา้ นอาจไม่เท่ากนั ขน้ึ อยูก่ ับจดุ ประสงค์การเรียนรู้ของบทเรียนและตัวผู้เรยี น
หลักโดยทั่วไปก็คือครูควรกาหนดหลักก่อน แล้วจึงคิดกิจกรรมด้านอื่น ๆ ที่จะสามารถส่งเสริม
การเรียนรู้ด้านหลักให้ดีขึ้น โดยพิจารณาองค์ประกอบด้านตัวผู้เรียนและเร่ืองท่ีเรียนประกอบ เช่น
ถ้าผู้เรียนมีความสนใจในเร่ืองที่เรียน มีสมาธิดีในเร่ืองท่ีเรียน กิจกรรมการเคล่ือนไหวกาย อารมณ์
ความรู้สึกก็จะมีสัดส่วนน้อยลง หลักสาคัญสาหรับครูก็คือพยายามคิดและทาให้ได้มากที่สุดเท่าที่
จะคิดได้และทาได้ ประสบการณ์และการเรียนรู้ที่ได้รบั จากการสอนจะเป็นบทเรียนให้ครูคดิ และทาได้
ดมี ากข้ึนและดขี นึ้ ไปตามลาดบั
2.6 รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ Active Learning
การจัดการเรียน การสอนแบบ Active Learning สามารถสร้างให้เกิดขึ้นได้
ทง้ั ในห้องเรยี นและนอกห้องเรียน รวมทั้งสามารถใช้ได้กับนักเรียน นักศึกษาทุกระดับ ทั้งการเรียนรู้
เปน็ รายบุคคล การเรียนรู้แบบกลุ่มเล็ก และการเรียนรู้แบบกลุ่มใหญ่ รปู แบบของกิจกรรมการเรยี นรู้
ที่นิยมมาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้จะข้ึนอยู่กับวัตถุประสงค์ของกิจกรรมการเรียนรู้ เนื้อหา
เวลา และจานวนของผเู้ รยี น จากการสงั เคราะห์ตวั อย่างรูปแบบหรือเทคนิคการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้
ทจ่ี ะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้แบบ Active Learning ได้ดี McKinney (2008), วิทวัส ดวงภูมเมศ
และวารรี ตั น์ แก้วอไุ ร (2560) และเยาวเรศ ภักดีจิตร (2557) สรปุ รูปแบบหรือเทคนิคการจดั กิจกรรม
การเรยี นรู้แบบ Active Learning ไดด้ งั น้ี
1. การเรียนรู้แบบแลกเปล่ียนความคิดหรือเทคนิคคู่คิด (Think-pair-share) คือ
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีให้ผู้เรียนคิดเกี่ยวกับประเด็นท่ีกาหนดแต่ละคน ประมาณ 2 - 3 นาที
48
(Think) จากน้ันให้แลกเปล่ียนความคิดกับเพ่ือนอีกคน 3 - 5 นาที (Pair) และนาเสนอความคิดเห็น
ตอ่ ผู้เรียนท้ังหมด (Share)
2. การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Collaborative Learning Group) คือ การจัดกิจกรรม
การเรียนรู้ท่ีให้ผู้เรียนได้ทางานร่วมกับผู้อ่ืน โดยจัดเป็นกลุ่ม ๆ ละ 4 - 6 คน สมาชิกในกลุ่ม
มีความสามารถแตกต่างกัน มีการแลกเปล่ียนความคิดเห็น มีการช่วยเหลือสนับสนุนซึ่งกันและกัน
และมีความรับผิดชอบร่วมกันท้ังในส่วนตนและส่วนรวม เพ่ือให้กลุ่มได้รับความสาเร็จตามเป้าหมาย
ทีก่ าหนด
3. การเรียนรู้แบบทบทวนโดยผู้เรียน (Student-led Review Sessions) คือ การจัด
กิจกรรมการเรยี นรู้ท่ีเปิดโอกาสใหผ้ ู้เรยี นได้ทบทวนความรู้และพิจารณาขอ้ สงสยั ตา่ ง ๆ ในการปฏิบัติ
กิจกรรมการเรยี นรู้ โดยครจู ะคอยช่วยเหลือกรณีทม่ี ีปัญหา
4. การเรยี นรู้แบบใช้เกม (Games) คอื การจดั กจิ กรรมการเรียนรทู้ ี่ผู้สอนนาเกมเขา้ มา
บูรณาการในการเรียนการสอน ซึ่งใช้ได้ทั้งในขั้นการนาเข้าสบู่ ทเรยี น ขน้ั การสอน การมอบหมายงาน
และขน้ั การประเมินผล
5. การเรียนรู้แบบวิเคราะห์วีดีโอ (Analysis or Reactions to Videos) คือ การจัด
กิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้ดูวีดีโอ 5 - 20 นาที แล้วให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นหรือสะท้อน
ความคิดเก่ยี วกับส่งิ ท่ไี ด้ดู อาจโดยวิธกี ารพูดโต้ตอบกนั การเขียน หรือการรว่ มกนั สรปุ เป็นรายกล่มุ
6. การเรียนรู้แบบโต้วาท่ี (Student Debates) คือ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่จัดให้
ผเู้ รียนได้นาเสนอข้อมูลท่ีได้จากประสบการณ์และการเรียนรู้ เพื่อยืนยันแนวคิดของตนเองหรือกลุ่ม
โดยผู้สอนกาหนดหัวข้อหรือประเด็น ฝึกการทางานเป็นกลุ่ม แบ่งกลุ่มเพื่อให้สมาชิกแต่ละกลุ่ม
ไปค้นคว้าหาข้อมูล เพ่ือใช้สาหรับนาเสนอหน้าช้ันเรียน ฝึกซ้อมและเตรียมตัวด้านการพูดนาเสนอ
เป็นการฝึกฝนด้านความคิดและฝึกทักษะการพูดให้ผู้อื่นเข้าใจ การออกเสียง สาเนียงการพูดให้ผู้อ่ืน
สนใจ คลอ้ ยตาม และแฝงไปด้วยความสนกุ สนาน
7. การเรียนรู้แบบผู้เรียนสร้างแบบทดสอบ (Student Generated Exam Questions)
คือ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนสร้างแบบทดสอบจากส่ิงที่ได้เรียนรู้ เช่น ให้ผู้เรียน
เขียนคาถามและตวั เลอื กของคาตอบจากเรือ่ งที่เรียน และผลัดกนั ถามตอบกับเพอ่ื น
8. การเรียนรู้แบบกระบวนการวิจัย (Mini-research Proposals or Project) คือ
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่อิงกระบวนการวิจัย โดยให้ผู้เรียนกาหนดหัวข้อที่ต้องการเรียนรู้
วางแผนการเรียน เรียนรู้ตามแผน สรปุ ความรหู้ รอื สร้างผลงาน และสะท้อนความคิดในสิ่งที่ได้เรียนรู้
หรืออาจเรียกว่า การสอนแบบโครงงาน (Project-based Learning) หรือการสอนแบบใช้ปัญหา
เปน็ ฐาน (Problem based Learning)
49
9. การเรียนรู้แบบกรณี ศึกษา (Analyze Case Studies) คือ การจัดกิจกรรม
การเรียนรู้ที่ให้ผ้เู รยี นได้อ่านกรณีตัวอย่างทต่ี ้องการศึกษา จากน้ันใหผ้ ู้เรียนวิเคราะห์และแลกเปลี่ยน
ความคิดเหน็ หรอื แนวทางแกป้ ญั หาภายในกลมุ่ แล้วนาเสนอความคิดเห็นต่อผู้เรยี นทั้งหมด
10. การเรียนรู้แบบการเขียนบันทึก (Keeping Journals or Logs) คือ การจัด
กจิ กรรมการเรียนรทู้ ี่ผู้เรียนจดบันทกึ เรื่องราวต่าง ๆ ท่ีไดพ้ บเห็น หรือเหตกุ ารณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน
รวมทงั้ เสนอความคดิ เพม่ิ เติมเกี่ยวกบั บนั ทึกทีเ่ ขียน
11. การเรียนรู้แบบการเขียนจดหมายข่าว (Write and Produce a Newsletter) คือ
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีให้ผู้เรียนร่วมกันผลิตจดหมายข่าว อันประกอบด้วย บทความ ข้อมูล
สารสนเทศ ข่าวสาร และเหตกุ ารณท์ ีเ่ กิดขน้ึ แลว้ แจกจา่ ยไปยังบุคคลอน่ื ๆ
12. การเรียนรู้แบบแผนผังความคิด (Concept Mapping) คือ การจัดกิจกรรม
การเรียนรู้ท่ีให้ผูเ้ รียนออกแบบแผนผังความคิด เพื่อนาเสนอความคิดรวบยอด และความเช่อื มโยงกัน
ของกรอบความคดิ โดยการใชเ้ ส้นเป็นตัวเช่อื มโยง อาจจดั ทาเป็นรายบุคคลหรืองานกล่มุ แล้วนาเสนอ
ผลงานต่อผ้เู รียนอื่น ๆ จากน้ันเปดิ โอกาสให้ผู้เรียนคนอื่นได้ซกั ถามและแสดงความคิดเหน็ เพิ่มเติม
13. การเรียนรู้แบบแสดงบทบาทสมมติ (Anchored Instruction) คือ การจัด
กิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้สอนได้แบง่ กลุ่มและกาหนดสถานการณ์ให้ และให้สมาชิกในกลุ่มช่วยกันแสดง
ความคิดเห็น หาข้อมูลในสถานการณ์ท่ีได้และออกมาแสดงท่าทาง ใช้บทสนทนา รวมถึงเปิดโอกาส
ให้แสดงความคิด ความรู้สึกตอ่ สถานการณ์น้ัน ๆ ดว้ ย
14. การสอนโดยใช้คาถาม (Questioning Method) คือ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ท่ีผู้สอน ตั้งคาถามในลักษณะต่าง ๆ ที่เป็นคาถามเชิงท้าทาย มุ่งเน้นพัฒนาความคิดของผู้เรียน
ซ่ึงลักษณะคาถามตามระดับช้ันของ Bloom คือ ถามความรู้ เป็นคาถามท่ีผู้เรียนสามารถตอบ
ข้อเท็จจริงได้ เช่น ใคร (who) อะไร (what) เมื่อไหร่ (when) ท่ีไหน (where) ถามความเข้าใจ
เป็นคาถามทผี่ เู้ รียนสามารถอธบิ ายดว้ ยคาพดู มักใช้คาวา่ อย่างไร (how) ถามการนาไปใช้เป็นคาถาม
ท่ีผู้เรียนสามารถนาความรู้ไปแก้ปัญหาในสถานการณ์ใหม่ได้ ถามการวิเคราะห์เป็นคาถามท่ีผู้เรียน
สามารถจาแนกแยกแยะเรอื่ งราวตา่ ง ๆ ได้ ถามการสังเคราะห์เป็นคาถามที่ผเู้ รยี นใช้กระบวนการคิด
สรุปเป็นหลักการหรือแนวคิดใหม่ ถามการประเมินค่าเป็นคาถามที่ให้ผู้เรียนมีคุณค่าโดยใช้ความรู้
ความรู้สกึ
15. การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD (Student Teams Achievement Division)
คือ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เป็นการร่วมมือกันระหว่างสมาชิกในกลุ่ม โดยทุกคนจะต้องพัฒนา
ความรู้ของตนเองในเร่อื งที่ผู้สอนกาหนด ซึ่งจะมีการช่วยเหลอื ทบทวนความรู้ให้แก่กัน มีการทดสอบ
เป็นรายบุคคลแทนการแข่งขัน และรวมคะแนนเป็นกลุ่ม กลุ่มที่ได้คะแนนมากท่ีสุดจะเป็นฝ่ายชนะ
เหมาะสาหรับใช้ในการเรียนการสอนในบทเรียนที่มีเนื้อหาไม่ยากเกินไป
50
สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 35 (ม.ป.ป.5 - 8) ได้นาเสนอรูปแบบ
การจัดเรยี นร้เู ชิงรุกไว้ ดงั น้ี
1. การเรียนรู้เชิงประสบการณ์ (Experiential Learning) เป็นการสอนที่ส่งเสริม
ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ท่ีเป็นรูปธรรม เพ่ือนาไปสู่ความรู้ความเข้าใจเชิงนามธรรม
เหมาะกับรายวิชาที่เน้นปฏิบัติ หรือเน้นการฝึกทักษะสามารถใช้จัดการเรียนการสอนได้ท้ังเป็นกลุ่ม
และเป็นรายบุคคล หลักการสอน คือ ผู้สอนวางแผนจัดสถานการณ์ให้ผู้เรียนมีประสบการณ์จาเป็น
ต่อการเรียนรู้ กระตุ้นให้ผู้เรียนสะท้อนความคดิ อภปิ ราย สิง่ ทไี่ ด้รับจากสถานการณ์ ตัวอย่างเทคนิค
การสอนที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้แบบเน้นประสบการณ์ ได้แก่ เทคนิคการสาธิต และเทคนิคเน้น
การฝึกปฏบิ ตั ิ มีขนั้ ตอนดังน้ี
ภาพท่ี 5 เทคนิคการสอนทใี่ ช้ในการจัดการเรียนรู้แบบเน้นประสบการณ์
1.1 เทคนิคการสอนแบบการสาธิต ผู้สอนวางแผนการสอนและออกแบบกิจกรรม
การเรียนรู้โดยแบ่งสัดส่วนเวลาสาหรับการบรรยายเน้ือและการสาธิต พร้อมกับคัดเลือกวิธีการ
ทจี่ ะลงมอื ปฏิบัตใิ หผ้ ้เู รียนได้เรยี นรู้ โดยถา้ เป็นกจิ กรรมกลุม่ จะตอ้ งมกี ารวางโครงสร้างการทางานกลุ่ม
การแบ่งหน้าที่ และมีการสลับหมุนเวียนกันทุกคร้ัง จากน้ันดาเนินการบรรยายเน้ือหาและสาธิต
โดยขณะสาธิตจะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนซักถามผู้สอนแนะนาเทคนิคปลีกย่อย จากน้ันให้ผู้เรียนลงมือ
ปฏิบัตแิ ละผู้สอน ประเมินผู้เรียนโดยการสังเกตพรอ้ มกับให้คาแนะนาในจดุ ทบี่ กพรอ่ งเป็นรายบคุ คล
หรือเป็นรายกลุ่ม เมื่อเสร็จสิ้นการปฏิบัติกิจกรรม ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันอภิปราย สรุปผลส่ิงที่ได้
เรียนรู้จากการลงมอื ปฏบิ ตั ิ
1.2 เทคนิคการสอนแบบเน้นฝึกปฏิบัติ ผู้สอนวางแผนและออกแบบกิจกรรมที่เน้น
การฝึกทักษะ เช่น การฝึกทักษะทางภาษาโดยจัดกิจกรรมที่กระตุ้นให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะช้า ๆ
51
อาจเป็นในลักษณะใช้โปรแกรมช่วยสอนสาหรับการฝึกโดยผู้สอนมีบทบาทให้คาแนะนา อานวย
ความสะดวก กระตนุ้ ให้ผเู้ รียนมีส่วนร่วมในช้ันเรียน
2. การสอนแบบโครงงาน (Project Based Learning) โดยการสอนแบบโครงงาน
สามารถ จัดเป็นกิจกรรมกลุ่มหรือกิจกรรมเดียวก็ได้ ให้พิจารณาจากความยาก - ง่าย และความ
เหมาะสมของโจทย์งาน และคุณลักษณะที่ต้องการพัฒนา วางแผนและกาหนดเกณฑ์อย่างกว้าง ๆ
แล้วให้ผู้เรียน วางแผนดาเนินการศึกษาค้นคว้าข้อมูลด้วยตนเอง โดยผู้สอนมีบทบาทเป็นผู้ให้
คาปรึกษา จากนั้นให้ผู้เรียนนาเสนอแนวคิด การออกแบบชิ้นงาน พร้อมให้เหตุผลประกอบจากการ
ค้นคว้า ให้ผสู้ อนพิจารณารว่ มกับการอภิปรายในช้ันเรียน จากน้ันผู้เรยี นลงมือปฏิบัติทาชิ้นงาน และ
ส่งความคืบหน้าตามกาหนด การประเมินผลจะประเมินตามสภาพจริง โดยมีเกณฑ์การประเมิน
กาหนดไว้ล่วงหน้าและแจ้งให้ผู้เรียน ทราบก่อนลงมือทาโครงการ และมีการเชิญผู้ทรงคุณวุฒิร่วม
ประเมนิ ผล
ภาพที่ 6 รปู แบบการสอนแบบโครงงาน (Project Based Learning)
3. การสอนแบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem Based Learning) เป็นการสอนที่
ส่งเสริมให้ผ้เู รียนเกิดจากเรียนรู้ตามวตั ถปุ ระสงค์ทก่ี าหนด ดว้ ยการศึกษาปัญหาท่สี มมุตขิ ้ึนจากความ
จริงแล้วผู้สอนกับผู้เรียนร่วมกันวิเคราะห์ปัญหา เสนอวิธีแก้ปัญหา หลักของการสอนแบบใช้ปัญหา
เป็นฐาน คอื การเลือกปญั หาทีส่ อดคล้องกบั เน้อื หาการสอนและกระตุ้นใหผ้ เู้ รยี นเกิดคาถาม วิเคราะห์
วางแผน กาหนดวิธีแก้ปัญหาด้วยตนเอง โดยผู้สอนมีบทบาทให้คาแนะนาแก่ผู้เรียนขณะลงมือ
แก้ปัญหา สุดท้ายเมื่อเสร็จส้ินกระบวนการแก้ปัญหา ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันสรุปผลการแก้ปัญหา
และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ถงึ ส่ิงท่ีได้จากการลงมือแก้ปัญหา
52
ภาพที่ 7 รปู แบบการสอนแบบใชป้ ัญหาเป็นฐาน (Problem Based Learning)
4. ก ารส อ น ท่ี เน้ น ทั ก ษ ะ ก ระ บ ว น ก าร คิ ด (Thinking Based Learning) เป็ น
กระบวนการ สอนท่ีผู้สอนใช้เทคนิค วิธีการกระตุ้นให้ผู้เรียนคิดเป็นลาดับขั้น แล้วขยายความคิด
ตอ่ เนอื่ งจากความคิดเดิม พจิ ารณาแยกแยะอย่างรอบด้าน ด้วยให้เหตผุ ลและเช่ือมโยงกับความรู้เดมิ ที่
มีจนสามารถสร้างส่งิ ใหม่หรือตัดสินประเมินหาขอ้ สรปุ แล้วนาไปแก้ปญั หาอย่างมีหลกั การ
ภาพท่ี 8 รูปแบบการสอนท่เี นน้ ทักษะกระบวนการคดิ (Thinking Based Learning)
4.1 การคิดวเิ คราะห์ หมายถงึ การพจิ ารณาสิ่งตา่ ง ๆ ในส่วนย่อย ๆ ซง่ึ ประกอบด้วย
การวิเคราะห์เนื้อหาด้านความสัมพันธ์และด้านหลักการจัดการโครงสร้างของการสื่อความหมาย
และสอดคล้องกับกระบวนการคิดวิเคราะหท์ างวิทยาศาสตร์ คือ การคิดจาแนก รวบรวมเป็นหมวดหมู่
และจับประเด็นต่าง ๆ เชือ่ มโยงความสัมพันธ์ ดงั น้ัน การคิดเชิงวิเคราะหเ์ ป็นทักษะการคิดทีส่ ามารถ
พฒั นาให้เกดิ กับผเู้ รียน
4.2 การคิดสังเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการคิดท่ีดึงองค์ประกอบต่าง ๆ
มา หลอมรวมกันภายใต้โครงร่างใหม่อย่างเหมาะสม เพ่ือให้เกิดสิ่งใหม่ท่ีมีลักษณะเฉพาะแตกต่าง
ไปจากเดิม การคิดสังเคราะห์ครอบคลุมถึงการค้นคว้า รวบรวมข้อมูลท่ีเก่ียวข้องกับเร่ืองท่ีจะคิด
ซ่ึงมีมากหรือกระจายกันอยู่มาหลอมรวมกัน คนที่คิดสังเคราะห์ได้เร็วกว่าย่อมได้เปรียบกว่า
53
คนที่สังเคราะห์ไม่ได้ ซึ่งจะทาให้เข้าใจและเห็นภาพรวมของสิ่งนั้นได้มากกว่า การคิดสังเคราะห์
แบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ
4.2.1 การคิดสังเคราะห์เพื่อสร้างส่ิงใหม่ เช่น ประดิษฐ์สิ่งของเครื่องใช้ อุปกรณ์
ตา่ ง ๆ ตามตอ้ งการ
4.2.2 การคิดสังเคราะห์เพ่ือสร้างแนวคิดใหม่ เป็นการพัฒนาและคิดค้นแนวคิด
ใหม่ ถ้าเราสามารถคิดสงั เคราะหไ์ ดด้ ีจะทาให้พัฒนาความคดิ หรือส่ิงใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชนต์ ่อสงั คม
4.3 การคิดสร้างสรรค์ หมายถึง ความคิดใหม่ ๆ แนวทางใหม่ ๆ ทัศนคติใหม่ ๆ
ความเข้าใจและการมองปัญหาในรูปแบบใหม่ ผลลัพธ์ของความคิดสร้างสรรค์ที่ชัดเจน คือ ดนตรี
การแสดง วรรณกรรม ละคร สิ่งประดิษฐ์ นวัตกรรมทางเทคนิค แต่บางคร้ังความคิดสร้างสรรค์
ก็มองไมเ่ ห็นชัดเจน เช่น การต้ังคาถามบางอย่างที่ช่วยขยายกรอบของแนวคิดซ่ึงให้คาตอบบางอย่าง
หรือการมองโลกหรอื ปัญหาในแนวนอกกรอบ
ความคิดสร้างสรรค์ คือ ความคิดเช่ือมโยงท่ีพยายามหาทางออกหลาย ๆ ทาง
ใช้ความคิดที่หลากหลายแสวงหาความเป็นไปได้ใหม่ ๆ และนอกกรอบ คัดสรรค์หาทางเลือกใหม่ ๆ
และพยายามปรับปรงุ ใหด้ ีข้ึนเรอื่ ย ๆ ซง่ึ มีวิธีการอยู่ 6 ข้นั ตอน คือ
4.3.1 แสวงหาขอ้ บกพรอ่ ง (Mess Finding)
4.3.2 รวบรวมขอ้ มลู (Data Finding)
4.3.3 มองปญั หาทุกดา้ น (Problem Finding)
4.3.4 แสวงหาความคดิ ทห่ี ลากหลาย (Idea Finding)
4.3.5 หาคาตอบทรี่ อบดา้ น (Solution Finding)
4.3.6 หาขอ้ สรุปท่เี หมาะสม (Acceptance Finding)
ก ร ะ บ ว น ก าร ขอ ง ค ว าม คิด สร้ างส ร ร ค์ อาจ เกิ ด ข้ึ น โด ยบั ง เอิ ญ ห รือ โดย ค ว าม ตั้ง ใจ
ซง่ึ สามารถทาได้ด้วยการศึกษา การอบรมฝกึ ฝน การระดมสมอง (brainstorming) มากกว่าคร่งึ หนึ่ง
ของการค้นพบท่ียิ่งใหญ่ของโลกเกิดจากการค้นพบโดยบังเอิญ (serenity) หรือการค้นพบส่ิงหน่ึง
ซ่งึ ใหมใ่ นขณะท่ีกาลงั ตอ้ งการคน้ พบส่ิงอน่ื มากกวา่
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2512) ได้นาเสนอรูปแบบวิธีการจัด
กิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นบทบาทและการมีสว่ นร่วมของผู้เรยี น ดงั ตอ่ ไปนี้
1. รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน (Activity-Based Learning) การเรียนรู้
โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน เป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนามาจากแนวคิดในการจัดการเรียนการสอน
ท่ีเผยแพร่ในปลายศตวรรษที่ 20 ที่เรียกว่าการเรียนรู้ท่ีเน้นบทบาทและการมีส่วนร่วมของผู้เรียน
หรือการเรียนการสอนแบบ Active Learning ซึ่งหมายถงึ รูปแบบการเรียนการสอนท่ีมงุ่ เนน้ ส่งเสริม
ใหผ้ ู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ และบทบาทในการเรียนรู้ของผู้เรียน "ใช้กจิ กรรมเป็นฐาน" หมายถึง
54
นากิจกรรมเป็นท่ีตั้งเพ่ือทจ่ี ะฝกึ หรือพฒั นาผเู้ รยี นใหเ้ กิดการเรียนรู้ให้บรรลุวัตถปุ ระสงค์หรือเป้าหมาย
ทกี่ าหนด
1.1 ลกั ษณะสาคญั ของการเรยี นรโู้ ดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน
1.1.1 สง่ เสริมให้ผู้เรียนมคี วามตน่ื ตัวและกระตอื รือร้นดา้ นการรคู้ ิด
1.1.2 กระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้จากตัวผู้เรียนเองมากกว่าการฟังผู้สอน
ในหอ้ งเรยี น และการท่องจา
1.1.3 พัฒนาทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียนให้สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองทาให้
เกิดการเรยี นรู้อย่างต่อเน่ืองนอกห้องเรียนดว้ ย
1.1.4 ได้ผลลัพธ์ในการถ่ายทอดความรู้ใกล้เคียงกับการเรียนรู้รูปแบบอ่ืน
แต่ได้ผลดกี ว่าในการพัฒนาทักษะดา้ นการคิด และการเขียนของผู้เรยี น
1.1.5 ผู้เรียนมีความพึงพอใจกับการเรียนรู้แบบน้ีมากกว่ารูปแบบที่ผู้เรียนเป็น
ฝ่ายรบั ความรู้ซึ่งเปน็ การเรียนรู้แบบตงั้ รบั (Passive Learning)
1.1.6 มุ่งเนน้ ความรบั ผดิ ชอบของผู้เรยี นในการเรยี นร้โู ดยผา่ นการอ่าน เขียน คิด
อภิปราย และเข้าร่วมในการแก้ปัญหา และยังสัมพันธ์กับการเรียนรู้ตามลาดับข้ันการเรียนรู้ของ
บลูมท้ังในดา้ นพุทธพิ ิสยั ทักษะพิสัย และจิตพิสัย
1.2 หลกั การจัดการเรยี นรโู้ ดยใช้กจิ กรรมเปน็ ฐาน
1.2.1 ใหค้ วามสนใจทีต่ ัวผเู้ รียน
1.2.2 เรียนรผู้ ่านกจิ กรรมการปฏิบัตทิ ีน่ า่ สนใจ
1.2.3 ครูผ้สู อนเป็นเพียงผู้อานวยความสะดวก
1.2.4 ใชป้ ระสาทสมั ผัสทัง้ 5 ในการเรียน
1.2.5 ไม่มกี ารสอบแต่ประเมินผลจากพฤติกรรม ความเข้าใจ และผลงาน
1.2.6 เพอื่ นในชน้ั เรยี นช่วยส่งเสริมการเรียน
1.27 มีการจัดสภาพแวดล้อม และบรรยากาศที่เอ้ือต่อการพัฒนาความคิดและ
เสริมสร้างความมัน่ ใจในตนเอง
1.3 ประเภทของกิจกรรมในการเรียนรู้โดยใชก้ จิ กรรมเป็นฐาน
กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน มีหลากหลายกิจกรรมการเลือกใช้
ข้ึนอยู่กบั ความเหมาะสม สอดคล้องกับวตั ถปุ ระสงค์ของการจัดกจิ กรรมน้นั ๆ ว่ามุง่ ให้ผู้เรยี นไดเ้ รยี นรู้
หรือพฒั นาในเรอื่ งใด สามารถจาแนกออกเป็น 3 ประเภทหลัก คือ
1.3.1 กิจกรรมเชิงสารวจ เสาะหา ค้นคว้า (Exploratory) ซึ่งเก่ียวข้องกับ
การรวบรวม สั่งสมความรู้ ความคดิ รวบยอด และทกั ษะ
55
1.3.2 กิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ (Constructive) ซึ่งเก่ียวข้องกับการรวบรวม
สัง่ สมประสบการณ์โดยผ่านการปฏิบัตหิ รือการทางานท่ีรเิ รม่ิ สรา้ งสรรค์
1.3.3 กิจกรรมเชิงการแสดงออก (Expressional) ได้แก่ กิจกรรมท่ีเก่ียวกับ
การนาเสนอ การเสนอผลงาน
ภาพที่ 9 วงจรการเรยี นร้เู ชงิ ประสบการณ์ (Experiential Learning Cycles)
2. การเรียนร้เู ชงิ ประสบการณ์
วงจรการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ ประกอบด้วยองค์ประกอบสาคัญ 4 องค์ประกอบ
คือ ประสบการณ์รูปธรรม การสะท้อนประสบการณ์จากกิจกรรมและอภิปราย การสรปุ ความคิดรวบ
ยอด หลักการ องค์ความรู้ การทดลอง/ประยุกต์ใช้ความรู้ ซ่ึงการเรียนรู้ท่ีมีประสิทธิภาพควรมีครบ
ท้ัง 4 องค์ประกอบ แม้บางคนจะชอบ/ถนัด หรือมบี างองคป์ ระกอบมากกวา่ เช่น ไม่ชอบหรอื ไม่กล้า
แสดงความคิดเห็น หรือไม่นาประสบการณ์จากการปฏิบตั ิมาร่วมอภปิ ราย ผู้เรียนจะขาดการมที ักษะ
ในองค์ประกอบอื่น ฉะนั้น ผู้เรียนควรได้รับการกระตุ้นส่งเสริมให้มีทักษะการเรียนรู้ครบทุกด้าน
และควรมพี ฒั นาการการเรียนรู้ให้ครบท้ังวงจร หรือท้ัง 4 องค์ประกอบ ดังน้ี
2.1 ประสบการณร์ ูปธรรม (Concrete Experience) เป็นขนั้ ตอนแรกของการเรียนรู้
ที่ผู้เรียนจะได้รับประสบการณ์จากการลงมือปฏิบัติกิจกรรมที่ผู้สอนกาหนดไว้ การเรียนรู้ที่แท้จริง
จะเร่ิมข้ึนเม่ือได้ลงมือปฏิบัติ กิจกรรมอาจเป็นการทดลอง การอ่าน การดูวีดิทัศน์ การฟังเรื่องราว
การพูดคุยสนทนา การทางานกลุ่ม เกม บทบาทสมมุติ สถานการณ์จาลอง และการนาเสนอผล
การปฏบิ ัติ เง่ือนไขสาคัญ คอื ผเู้ รยี นมีบทบาทหลกั ในการทากิจกรรม (Do, Act)
2.2 การสะท้อนประสบการณ์จากกิจกรรมและอภิปราย (Reflective Observation
and Discussion) หรือ Reflect เป็นข้ันท่ีผู้เรียนจะมีการสะท้อนคิด แสดงความคิดเห็น และ
ความรู้สึกของตนเองจากประสบการณ์ในการปฏิบัติกิจกรรม และแลกเปล่ียนกับสมาชิกในกลุ่ม
56
(Discussion) ผู้เรยี นจะได้เรียนรูถ้ ึงความคิด ความรสู้ ึกของคนอื่นท่ีแตกตา่ งหลากหลาย ซึ่งจะชว่ ยให้
เกิดการเรียนรู้ท่ีกว้างขวางขึ้น และผลของการสะท้อนความคิดเห็นหรือการอภิปรายแลกเปล่ียน
หรือการย้อนกลับ จะทาให้ได้แนวคิดหรือข้อสรุปที่มีน้าหนักมากย่ิงข้ึน นอกจากนี้ผู้เรียนจะรู้สึกว่า
ตัวเองได้มีส่วนร่วมในฐานะสมาชิกคนหนึ่ง มีคนฟังเรื่องราวของตนเอง และได้มีโอกาสรับรู้เรื่อง
ของคนอื่นทาใหส้ มั พันธภาพในกลมุ่ ผู้เรียนเปน็ ไปดว้ ยดี
2.3 การสรปุ ความคิดรวบยอด หลักการ องค์ความรู้ (Abstract conceptualization)
เป็นข้ันที่ผู้เรียนร่วมกันสรุปข้อมูล ความคิดเห็น จับหลักขององค์ความรู้ท่ีได้จากการสะท้อน
ความคิดเห็น และอภิปรายในขั้นท่ี 2 ในขั้นน้ีครูอาจใช้คาถามกระตุ้นผูเ้ รียนให้ช่วยกนั สรุปขอ้ คิดเห็น
กรณีท่ีกิจกรรมน้ันเป็นเรื่องของข้อมูลความรู้ใหม่ ครูอาจเสริมข้อมูล ข้อเท็จจริงในประเด็นน้ัน ๆ
เพิ่มเติม (Adding) โดยการอธิบาย บอกกล่าว การให้อ่านเอกสาร การดูวีดิทัศน์ ฯลฯ เพื่อเติมเต็ม
ประสบการณ์ใหม่ให้ผู้เรียนสามารถสรุปเป็นหลักการ ความคิดรวบยอด หรือองค์ความรู้ใหม่ได้
อาจให้ผู้เรียนสรุปโดยการเขียนบันทึกสรุปผลการเรียนรู้ การเขียนแผนภาพมโนทัศน์ (Mind
Mapping) การเสนอแผนภาพ แผนภูมิโดยใช้ Graphic Organizers การสรุปเป็นกรอบงาน
(Framework) ตัวแบบหรือแบบจาลองความคิด (Model)
2.4 การทดลอง/ประยุกต์ใชค้ วามรู้ (Active Experimentation/ application) ในข้ัน
นี้ผู้เรียนจะต้องนาความคิดรวบยอด องค์ความรู้ หรือข้อสรุปที่ได้จากข้ันตอนท่ี 3 ไปทดลอง
ประยุกต์ใช้ กิจกรรมการเรียนการสอนส่วนมากมักจะขาดองค์ประกอบการทดลอง/ประยุกต์ใช้
แนวคิด ซ่ึงถือว่าเป็นข้ันตอนสาคัญที่ผู้สอนจะได้เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้รู้จักการประยุกต์ใช้ความรู้
และนาไปใช้ได้จริง กิจกรรมที่เก่ียวกับการประยุกต์ใช้ความรู้ เช่น การทาโครงงาน การจัดกิจกรรม
เผยแพร่ข้อมูลความรู้ การจัดกิจกรรมรณรงค์ (Campaign) ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
เชิงประสบการณ์ จาเป็นต้องจัดกิจกรรมให้ครบวงจรทั้ง 4 องค์ประกอบ เพราะองค์ประกอบท้ัง 4
มีความสัมพันธ์เก่ียวข้องอย่างล่ืนไหลต่อเน่ืองส่งผลถึงกัน การเรียนรู้เชิงประสบการณ์ให้ได้ผลดีนั้น
ควรจะฝกึ ผู้เรียนให้มที ักษะต่อไปน้ี
1) ผู้เรียนต้องมีความมุ่งม่ันท่ีจะมีส่วนร่วมกับการเรียน ไม่ใช่ต้ังใจจะมาเป็นผู้รับ
“ปอ้ น” ความรู้อยา่ งเดียว
2) ผ้เู รียนต้องไดร้ บั การฝึกเร่อื งกระบวนการสะท้อนคดิ (Reflection) มาพอสมควร
3) ผู้เรียนควรได้ฝึกกระบวนการคิดวิเคราะห์ analytical และ conceptualization skill
มาก่อน โดยเฉพาะหากเป็นการเรียนรู้เชิงเทคนิคท่ีมีความซับซ้อน เช่น การเรียน วชิ าแพทย์ จาเป็น
ท่ีระบบการศึกษาจะต้องมีชว่ งเวลาทีฝ่ กึ ฝนนักเรยี นให้มีทกั ษะน้ีมาตง้ั แต่เริม่ แรก
4) ผู้เรียนควรได้รับการฝึก decision making และ problem solving skills
เพอื่ จะไดเ้ ป็นกลไกสาคญั ในการสรปุ และเลอื กใช้องค์ความรูท้ ่ีไดใ้ หม่นี้ในอนาคต
57
สรุป การเรียน รู้เชิ งประสบการณ์ หรือ Experiential Learning Model (ELM)
เป็นวงจรการเรยี นร้ทู ี่มี 4 ขนั้ ตอน เรมิ่ ต้นตั้งแต่การให้ผู้เรียนฝึกปฏิบัติ ใหไ้ ดฝ้ ึกการสะท้อนคิด ให้ฝึก
มีการสรุป หลักการเหตุผลจนเกิดเป็นความรู้ใหม่ของตน และขั้นตอนสุดท้าย คือ การฝึกการนาเอา
ความรู้ใหม่ไปลองปฏิบัติอีกคร้ัง การที่ให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนกระบวนการต่าง ๆ เหล่าน้ีบ่อยข้ึน และ
มีความชานาญขนึ้ จะเป็นประโยชน์ในการเรยี นรู้ของผ้เู รยี นต่อไปในอนาคต
3. รปู แบบการเรียนรโู้ ดยใช้ปัญหาเปน็ ฐาน (Problem-Based Learning)
การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-Based Learning) เป็นกระบวนการ
เรียนรู้ โดยใช้ปัญหาเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้เรียนต้ังสมมติฐาน สาเหตุและกลไกของการเกิดปัญหาน้ัน
รวมถงึ การค้นคว้าความรู้พื้นฐานที่เก่ียวขอ้ งกับปัญหา เพ่อื นาไปสกู่ ารแก้ปญั หาต่อไป โดยผู้เรียนอาจ
ไม่มคี วามรู้ในเรื่องน้ัน ๆ มาก่อน แต่อาจใช้ความรทู้ ่ีผู้เรียนมีอยูเ่ ดิมหรือเคยเรยี นมา นอกจากน้ียังมุ่ง
ให้ผู้เรียนใฝ่หาความรู้เพ่ือแก้ไขปัญหา ได้คิดเป็น ทาเป็น มีการตัดสินใจที่ดี และสามารถเรียนรู้
การทางานเป็นทีม โดยเน้นให้ผเู้ รียนได้เกดิ การเรียนรู้ด้วยตนเอง และสามารถนาทกั ษะจากการเรยี น
มาช่วยแกป้ ัญหาในชีวิต การเรยี นรูโ้ ดยใชป้ ัญหาเป็นฐานเปน็ การเรยี นรูจ้ ากประสบการณ์ โดยเร่มิ จาก
การได้ประสบการณ์ตรง จากโจทย์ปัญหา ผ่านกระบวนการคิดและการสะท้อนกลับ ไปสู่ความรู้และ
ความคิดรวบยอด อันจะนาไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ต่อไป การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานยังเป็น
การตอบสนองต่อแนวคิด Constructivism โดยให้ผู้เรียนวิเคราะห์หรือตั้งคาถามจากโจทย์ปัญหา
ผ่านกระบวนการคิดและสะท้อนกลับ เน้นปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนในกลุ่ม เน้นการเรียนรู้ที่มี
ส่วนร่วม นาไปส่กู ารค้นควา้ หาคาตอบหรือสร้างความรู้ใหม่บนฐานความรู้เดิมทีผ่ เู้ รียนมีมาก่อนหน้านี้
นอกจากน้ี การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ยังเป็นการสร้างเง่ือนไขสาคัญท่ีส่งเสริมการเรียนรู้
กล่าวคือ (1) การเรียนรู้สิ่งใหมจ่ ะได้ผลดีข้ึน ถ้าได้มีการเช่ือมโยงหรือกระตุ้นความรู้เดิมที่ผเู้ รียนมีอยู่
(2) การเรียนรู้เน้ือหาที่ใกล้เคียงสถานการณ์จริงหรือมีประสบการณ์ตรงจากโจทย์ปัญหาจะทาให้
ผู้เรียนเรียนรู้ได้ดีขึ้น (3) เนื่องจากการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเป็นการเรียนกลุ่มย่อย
การได้แสดงออก แสดงความคิดเห็นหรืออภิปรายถกเถียงกันจะทาให้ ผู้เรียนเข้าใจและเรียนรู้ส่ิงน้ัน
ได้ดีข้ึน การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเป็นรูปแบบการเรียนรู้ท่ีเกิดข้ึน จากแนวคิดตามทฤษฎี
การเรียนรู้แบบสร้างสรรค์นิยม (Constructivism) โดยให้ผู้เรียนสร้างความรู้ใหม่ จากการใช้ปัญหา
ที่เกิดขึ้นจริงในโลก เป็นบริบทของการเรียนรู้ เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดทักษะในการคิด วิเคราะห์
และคิดแก้ปัญหา รวมท้ังได้ความรู้ตามศาสตร์ในสาขาวิชาท่ีตนศึกษาไปพร้อมกันด้วย การเรียนรู้
โดยใช้ปัญหาเป็นฐานจึงเป็นผลมาจากกระบวนการทางานที่ต้องอาศัยความเข้าใจและการแก้ไข
ปญั หาเป็นหลัก
3.1 สิ่งสาคัญในการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน สิ่งสาคัญในการจัด
การเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน คอื ปัญหา เพราะปัญหาทีด่ ี จะเป็นส่งิ กระตุ้นใหผ้ ู้เรยี นเกิดแรงจงู ใจ
58
ใฝ่แสวงหาความรู้ในการเลือกศึกษาปัญหาท่ีมีประสิทธิภาพ ผู้สอนจะต้องคานึงถึงพ้ืนฐานความรู้
ความสามารถของผู้เรียน ประสบการณ์ ความสนใจ และภูมิหลังของผู้เรียน เพราะคนเรามีแนวโน้ม
ที่จะสนใจเร่ืองใกล้ตัวมากกว่าเรื่องไกลตัว สนใจสิ่งท่ีมีความหมายและความสาคัญต่อตนเองและ
เป็นเร่ืองท่ีตนเองสนใจใคร่รู้ ดังน้ัน การกาหนดปัญหาจึงต้องคานึงถึงตัวผู้เรียนเป็นหลัก รวมถึง
สภาพแวดล้อม และแหล่งเรียนรู้ทั้งภายในและภายนอกโรงเรียนที่เอื้ออานวยต่อการแสวงหาความรู้
ของผู้เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ในรูปแบบน้ีจะเน้นการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง
เผชิญหน้ากับปัญหาด้วยตนเองเพ่ือให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะในการคิดหลายรูปแบบ เช่น การคิด
วจิ ารณญาณ คดิ วเิ คราะห์ คิดสังเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ เปน็ ตน้
3.2 วัตถุประสงค์หรือผลลัพธ์ที่คาดหวังจากการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน
วัตถุประสงคห์ รอื ผลลัพธท์ ีค่ าดหวงั จากการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเปน็ ฐาน ไดแ้ ก่
3.2.1 ได้ความรู้ที่สอดคลอ้ งกับบริบทจรงิ และสามารถนาไปใช้ได้
3.2.2 พัฒนาทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ การให้เหตุผลและนาไปสู่
การแก้ปญั หา
3.2.3 ผเู้ รียนสามารถเรยี นรไู้ ดด้ ว้ ยตัวเองอยา่ งต่อเน่ือง
3.2.4 ผูเ้ รยี นสามารถทางานและส่ือสารกบั ผู้อื่นไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ
3.2.5 สรา้ งแรงจูงใจในการเรยี นรใู้ หแ้ กผ่ ูเ้ รียน
3.2.6 ความคงอยู่ (retention) ของความรู้จะนานข้ึน
3.3 ลักษณะสาคัญของการเรียนรู้โดยใชป้ ญั หาเป็นฐาน
3.3.1 ใช้ปัญหาท่ีสอดคล้องกับสถานการณ์จริงเป็นตัวกระตุ้นการแก้ปัญหา
และเป็นจุดเร่ิมต้นในการแสวงหาความรู้ ปัญหาที่เหมาะสมกับการนามาจัดกิจกรรมควรมีลักษณะ
ดังน้ี
1) เป็นเร่ืองจริงเก่ียวข้องกับชีวิตประจาวันที่เกิดข้ึนในชีวิตจริงและ
เกิดจากประสบการณ์ของผเู้ รยี นหรือผเู้ รยี นอาจมโี อกาสเผชญิ กับปัญหานน้ั
2) ทา้ ทาย กระตนุ้ ความสนใจ อาจต่ืนเต้นบ้าง เปน็ ปัญหาที่ยงั ไม่มีคาตอบ
ชัดเจนตายตัว เปน็ ปญั หาท่ีมคี วามซบั ซ้อน คลุมเครอื หรอื ผเู้ รียนเกิดความสบั สน
3) เป็นปัญหาที่พบบ่อย มีความสาคัญ มีข้อมูลประกอบเพียงพอสาหรับ
การค้นคว้า ได้ฝึกทักษะการตัดสินใจโดยขอ้ เท็จจริง ขอ้ มลู ข่าวสาร ตรรกะ เหตผุ ล และตง้ั สมมติฐาน
4) เชื่อมโยงความรู้เดิมกับข้อมูลใหม่ สอดคล้องกับเน้ือหา/แนวคิด
ของหลักสตู ร มีการสรา้ งความรใู้ หม่ บรู ณาการระหว่างบทเรียน นาไปประยกุ ตใ์ ช้ได้
5) ปัญหาซับซอ้ นท่กี ่อให้เกิดการทางานกลุ่มร่วมกัน มกี ารแบ่งงานกนั ทา
โดยเชื่อมโยงกนั ไม่แยกส่วน เหมาะสมกับเวลา เกิดแรงจูงใจในการแสวงหาความรใู้ หม่
59
6) ชักจูงให้เกิดการอภิปรายได้กว้างขวาง ปัญหาท่ีเป็นประเด็นขัดแย้ง
ขอ้ ถกเถียงในสังคมทย่ี ังไม่มีขอ้ ยุติ เป็นปลายเปิด ไมม่ ีคาตอบท่ีชัดเจน มีหลายทางเลือก/หลายคาตอบ
สมั พันธก์ ับสง่ิ ทเ่ี คยเรียนร้มู าแลว้ มขี อ้ พจิ ารณาที่แตกตา่ ง แสดงความคิดเหน็ ได้หลากหลาย
7) ปัญหาที่สร้างความเดือดร้อน เสียหาย เกิดโทษภัยเป็นสิ่งที่ไม่ดีหากใช้
ขอ้ มูลโดยลาพังคนเดียวอาจทาใหต้ อบปญั หาผิดพลาด
8) ปัญหาท่ีมีการยอมรับว่าจริง ถูกต้อง แต่ผู้เรยี นไม่เชื่อจริง ไม่สอดคลอ้ ง
กบั ความคดิ ของผู้เรยี น
9) ปัญหาท่ีอาจมีคาตอบหรือแนวทางในการแสวงหาคาตอบได้หลายทาง
ครอบคลมุ การเรยี นรู้ท่ีกวา้ งขวางหลากหลายเนือ้ หา
10) ปญั หาท่มี คี วามยากความงา่ ยเหมาะสมกับพื้นฐานของผู้เรียน
11) ปัญหาที่ไม่สามารถหาคาตอบได้ทันที ต้องการการสารวจ ค้นคว้า
และการรวบรวมข้อมูลหรือทดลองดูก่อน ไม่สามารถท่ีจะคาดเดาหรือทานายได้ง่าย ๆ ว่าต้องใช้
ความรู้อะไร
12) ปัญหาทสี่ ง่ เสรมิ ความรดู้ า้ นเน้อื หาทักษะ สอดคล้องกบั หลกั สตู ร การศึกษา
13) ใช้ส่ือหลากหลายรูปแบบในการระบุปัญหา เช่น ข้อความบรรยาย
รูปภาพ วีดีทัศน์ส้ัน ๆ ข้อมูลจากผลการทดลองในห้องปฏิบัติการ ข่าว บทความจากหนังสือพิมพ์
วารสาร ส่ิงพิมพ์
3.3.2 บรู ณาการเนอื้ หาความรใู้ นสาขาตา่ ง ๆ ที่เกีย่ วข้องกับปัญหานนั้
3.3.3 เน้นกระบวนการคดิ อย่างมเี หตุผลและเป็นระบบ
3.3.4 เรียนเป็นกลุ่มย่อย โดยมีครูหรือผู้สอนเป็นผู้สนับสนุนและกระตุ้นให้
ผู้เรยี นรว่ มกันสร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมการเรยี นรู้ให้เกิดข้ึนในกลุ่ม
3.3.5 ผู้เรียนมีบทบาทสาคัญในการเรียนรู้ และเรียนโดยการกากับตนเอง
(Self-directed learning)
1) สามารถประเมนิ ตนเองและบง่ ชีค้ วามตอ้ งการได้
2) จดั ระบบประเดน็ การเรยี นรู้ได้อย่างเทีย่ งตรง
3) รู้จักเลอื กและใชแ้ หลง่ เรียนร้ทู เี่ หมาะสม
4) เลอื กกจิ กรรมการศึกษาค้นคว้า แก้ปัญหาท่ีตรงประเด็น มีประสทิ ธิภาพ
5) บง่ ช้ขี อ้ มูลท่ีไม่เกยี่ วขอ้ งได้ และคัดแยกออกไดอ้ ยา่ งรวดเรว็
6) ประยกุ ตใ์ ชค้ วามรู้ใหม่เชงิ วิเคราะหไ์ ด้
7) รู้จักขน้ั ตอนการประเมนิ
60
3.4 กระบวนการจดั กจิกรรมการรเรียนรโู้ ดยใช้ปญั หาเปน็ ฐาน
ข้ันท่ี 1 กาหนดปัญหา จัดสถานการณ์ กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ และ
มองเห็นปัญหา สามารถกาหนดส่ิงท่เี ปน็ ปัญหาท่ีผ้เู รียนอยากรู้ อยากเรียน เกิดความสนใจที่จะค้นหา
คาตอบ
1) จัดกลุ่มผู้เรียนใหม้ ีขนาดเล็ก (ประมาณ 3-5/8-10 คน)
2) ใช้ปัญหาเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ โดยลักษณะของปัญหา
ท่ีนามาใช้ ควรมีลักษณะคลุมเครือไม่ชัดเจน มีวิธีแก้ไขปัญหาได้อย่างหลากหลาย อาจมีคาตอบได้
หลายคาตอบ โดยคานึงถึงการเช่อื มโยงความรู้ใหม่เข้ากับความรู้เดิม ความซับซ้อนของปัญหาจากง่าย
ไปสู่ยาก ระดับและประสบการณ์ผูเ้ รยี น เวลาที่กาหนดให้ผู้เรยี นใช้ดาเนินการ และแหล่งค้นควา้ ข้อมูล
ข้ันท่ี 2 ทาความเข้าใจกับปัญหา ปัญหาที่ต้องการเรียนรู้ต้องสามารถอธิบาย
ส่งิ ต่าง ๆ ที่เกยี่ วขอ้ งกบั ปัญหาได้
3) ผู้เรียนทาความเข้าใจหรือทาความกระจ่างในคาศัพท์ท่ีอยู่ในโจทย์
ปญั หาเพอ่ื ให้เขา้ ใจตรงกนั
4) ผู้เรียนจับประเด็นข้อมูลที่สาคัญหรือระบุปัญหาในโจทย์ วิเคราะห์
หาข้อมูลท่ีเปน็ ข้อเท็จจรงิ ความจริงที่ปรากฏในโจทย์ แยกแยะข้อมูลระหว่างขอ้ เท็จจริงกับข้อคิดเห็น
จบั ประเด็นปญั หาออกเป็นประเด็นยอ่ ย
5) ผเู้ รียนระดมสมองเพื่อวิเคราะห์ปัญหา อภิปรายแต่ละประเด็นปญั หา
ว่าเป็นอย่างไร เกดิ ขนึ้ ไดอ้ ย่างไร ความเป็นมาอย่างไร โดยอาศยั พ้ืนความรูเ้ ดมิ เท่าทผ่ี ู้เรียนมีอยู่
6) ผู้เรียนร่วมกันตั้งสมมติฐานเพื่อหาคาตอบปัญหาประเด็นต่าง ๆ
พรอ้ มจัดลาดับความสาคญั ของสมมติฐานที่เป็นไปได้อย่างมเี หตผุ ล
7) จากสมมติฐานที่ต้ังข้ึน ผู้เรียนจะประเมินว่ามีความรู้เรื่องอะไรบ้าง
มีเร่ืองอะไรที่ยังไม่รู้หรือขาดความรู้ และความรู้อะไรจาเป็นที่จะต้องใช้เพื่อพิสูจน์สมมติฐาน
ซ่ึงเช่ือมโยงกับโจทย์ปัญหาท่ีได้ ข้ันตอนนี้กลุ่มจะกาหนดประเด็นการเรียนรู้หรือวัตถุประสงค์การ
เรียนรู้เพ่ือคน้ คว้าหาขอ้ มลู ตอ่ ไป
ข้ันที่ 3 ดาเนินการศึกษาค้นคว้า ผู้เรียนศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองด้วยวิธีการ
หลากหลาย
8) ผู้เรียนค้นคว้าหาข้อมูลและศึกษาเพิ่มเติมจากทรัพยากรการเรียนรู้
ต่าง ๆ เช่น หนังสือ ตารา วารสาร ส่ือการเรียนการสอนต่าง ๆ การศึกษาในห้องปฏิบัติการ
คอมพิวเตอร์ ช่วยสอน อินเทอร์เน็ต หรือปรึกษาผู้รู้ในเนื้อหาเฉพาะ เป็นต้น พร้อมท้ังประเมิน
ความถูกตอ้ งโดย
- ประเมนิ แหล่งข้อมลู ความถูกตอ้ ง ความเชอื่ ถือไดข้ องขอ้ มลู
61
- เลือกนาความรู้ที่เก่ียวข้องมาเช่ือมโยงว่าตรงประเด็นเพียงพอท่ีจะ
แก้ปญั หาอยา่ งไร
- หาประเด็นความรเู้ พม่ิ เติม ถ้าจาเปน็
- สรุป เตรียมส่ือ เลอื กวธิ ีนาเสนอผลงาน
ข้ันที่ 4 สังเคราะห์ความรู้ ผู้เรียนนาความรู้ที่ได้ค้นคว้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ร่วมกัน
9) ผู้เรียนนาข้อมูลหรือความรู้ท่ีได้มาสังเคราะห์ อธิบาย พิสูจน์ สมมติฐาน
และประยกุ ต์ใหเ้ หมาะสมกบั โจทยป์ ัญหา พร้อมสรปุ เป็นแนวคดิ หรือหลักการท่วั ไปโดย
- นาเสนอผลงานกลมุ่ ด้วยส่ือหลากหลาย
- สะท้อนความคิด ให้ข้อมลู ยอ้ นกลบั อภิปรายทาความเข้าใจ แลกเปล่ียน
ความคิดเหน็ ระหวา่ งกลุ่มถึงกระบวนการเรยี นรู้ การแก้ปัญหา การเชอื่ มโยง การสร้างองคค์ วามร้ใู หม่
- สรุปภาพรวมเป็นความรู้ทว่ั ไป
ขัน้ ท่ี 5 สรปุ และประเมนิ คา่ หาคาตอบ
10) ผู้เรียนแต่ละกลุ่ม สรุปผลงานของกลุ่มตนเอง และประเมินผลงาน
ว่าข้อมูลท่ีศึกษาค้นคว้ามีความเหมาะสมหรือไม่เพียงใด โดยพยายามตรวจสอบแนวคิดภายในกลุ่ม
ของตนเองอยา่ งอิสระ ทุกกลุ่มช่วยกนั สรุปองคค์ วามรู้ในภาพรวมของปญั หาอกี ครงั้
11) ประเมนิ ผลจากสภาพจริง โดยดจู ากความสามารถในการปฏิบัติ
3.5 บทบาทของครใู นการจดั กิจกรรมการเรยี นรโู้ ดยใชป้ ัญหาเป็นฐาน
3.5.1 ทาหน้าท่ีเปน็ ผู้อานวยความสะดวก หรือผใู้ หค้ าปรกึ ษาแนะนา
3.5.2 เป็นผู้กระตนุ้ ใหเ้ กิดการเรียนรู้ มิไดเ้ ปน็ ผู้ถ่ายทอดความรู้ใหแ้ ก่ผู้เรียนโดยตรง
3.5.3 ใช้ทกั ษะการตั้งคาถามที่เหมาะสม
3.5.4 กระตุ้นและส่งเสริมกระบวนการกลุ่ม ให้กลุ่มดาเนินการตามขั้นตอน
ของการเรียนรู้โดยใชป้ ัญหาเปน็ ฐาน
3.5.5 สนับสนุนการเรียนรู้ของผู้เรียนและเน้นให้ผู้เรียนตระหนักว่าการเรียนรู้
เปน็ ความรบั ผิดชอบของผู้เรยี น
3.5.6 กระตนุ้ ให้ผเู้ รียนเอาความรเู้ ดมิ ที่มอี ยู่มาใช้อภปิ รายหรอื แสดงความคดิ เห็น
3.5.7 สนับสนุนให้กลุ่มสามารถตั้งประเด็นหรือวัตถุประสงค์การเรียนรู้/แกป้ ัญหา
ไดส้ อดคลอ้ งกบั วตั ถปุ ระสงคข์ องกจิ กรรมท่ีครูกาหนด
3.5.8 หลีกเลี่ยงการแสดงความคดิ เห็นหรอื ตัดสนิ ว่าถกู หรือผิด
3.5.9 ส่งเสริมให้ผูเ้ รียนประเมินการเรียนรู้ของตนเอง รวมทั้งเป็นผู้ประเมินทักษะ
ของผู้เรยี นและกลมุ่ พรอ้ มการให้ข้อมูลย้อนกลับ
62
ภาพที่ 10 ขน้ั ตอนการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเปน็ ฐาน
63
4. รูปแบบการเรียนรโู้ ดยใช้โครงงานเปน็ ฐาน (Project-Based Learning)
การเรยี นรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-Based Learning) หมายถึง การเรียนรู้
ท่ีจัดปร ะ สบ การ ณ์ ใน การป ฏิบัติง าน ให้แก่ผู้เรียน เห มือน กับการท างาน ใน ชี วิตจริง อย่าง มีระ บ บ
เพ่ือเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีประสบการณ์ตรง ได้เรียนรู้วิธีการแก้ปัญหา วิธีการหาความรู้ความจริง
อย่างมีเหตุผล ได้ทาการทดลอง ได้พิสูจน์สิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง รู้จักการวางแผนการทางาน
ฝึกการเป็นผู้นาผู้ตาม ตลอดจนได้พัฒนากระบวนการคิด โดยเฉพาะการคิดข้ันสูง และการประเมิน
ตนเอง โดยมีครูเป็นผู้กระตุ้นเพ่ือนาความสนใจที่เกิดจากตัวผู้เรียนมาใช้ในการทากิจกรรมค้นคว้า
หาความรู้ด้วยตัวเอง นาไปสู่การเพิ่มความรู้ท่ีได้จากการลงมือปฏิบัติ การฟัง และการสังเกตจากผู้รู้
โดยผู้เรียนมีการเรียนรู้ผ่านกระบวนการทางานเป็นกลุ่มที่จะนามาสู่การสรุปความรู้ใหม่ มีการเขียน
กระบวนการจัดทาโครงงานและได้ผลการจัดกิจกรรมเป็นผลงานแบบรูปธรรม นอกจากน้ีการจัด
การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน ยังเน้นการเรียนรู้ท่ีให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ชีวิตขณะท่ีเรียน
ไดพ้ ฒั นาทกั ษะต่าง ๆ ซึ่งสอดคลอ้ งกบั หลักพัฒนาการตามลาดบั ขั้นความร้คู วามคิดของบลูมท้ัง 5 ข้ัน
คือ ความรู้ความจา ความเข้าใจ การประยุกต์ใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประเมินค่าและ
การคิดสร้างสรรค์ การจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน ถือได้ว่าเป็นการจัดการเรียนรู้ที่เน้น
ผู้เรียนเปน็ สาคัญ เนอื่ งจากผู้เรยี นได้ลงมือปฏบิ ตั ิ เพอ่ื ฝึกทักษะต่าง ๆ ด้วยตนเองทกุ ข้ันตอน โดยมคี รู
เป็นผู้ใหก้ ารสง่ เสริมสนับสนนุ
4.1 ลักษณะสาคญั ของการจัดการเรยี นรู้โดยใช้โครงงานเปน็ ฐาน
4.1.1 ยึดหลักการจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ท่ีเปิดโอกาสให้ผู้เรียน
ได้ทางานตามระดับทกั ษะท่ีตนเองมีอยู่
4.1.2 เป็นรูปแบบหนึ่งของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีเน้นบทบาทและการมี
สว่ นร่วมของผูเ้ รยี น
4.1.3 เปน็ เรื่องท่ีผเู้ รยี นสนใจและรสู้ ึกสบายใจทีจ่ ะทา
4.1.4 ผเู้ รยี นได้รับสทิ ธิในการเลอื กว่าจะตง้ั คาถามอะไร และตอ้ งการผลผลิตอะไร
จากการทาโครงงาน
4.1.5 ครูทาหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนอุปกรณ์และจัดประสบการณ์ให้แก่ผู้เรียน
สนับสนุนการแกไ้ ขปัญหาและสรา้ งแรงจงู ใจให้แกผ่ เู้ รียน
4.1.6 ผเู้ รียนกาหนดการเรียนรขู้ องตนเอง
4.1.7 เชือ่ มโยงกบั ชีวิตจรงิ สิ่งแวดล้อมจริง
4.1.8 มีฐานจากการวิจัย ศึกษา คน้ คว้า หรือองคค์ วามรู้ทีเ่ คยมี
4.1.9 ใชแ้ หลง่ ขอ้ มลู หลายแหลง่
64
4.1.10 ฝงั ตรึงดว้ ยความรแู้ ละทกั ษะต่าง ๆ
4.1.11 สามารถใช้เวลามากพอเพยี งในการสร้างผลงาน
4.1.12 มีผลผลติ
4.2 ประเภทของโครงงาน
โครงงานท่ีเก่ยี วข้องกับการจัดการเรียนรูข้ องผู้เรยี น อาจจาแนกได้เปน็ 2 ประเภท
หลัก ๆ คือ โครงงานท่ีแบ่งตามระดับการให้คาปรึกษาของครู และโครงงานท่ีแบ่งตามลักษณะ
กจิ กรรม ดงั นี้
4.2.1 โครงงานที่แบ่งตามระดับการให้คาปรึกษาของครูหรือระดับการมีบทบาท
ของผเู้ รียน ดังน้ี
1) โครงงานประเภทครูนาทาง (Guided Project)
2) โครงงานประเภทครูลดการนาทาง-เพิ่มบทบาทผู้เรียน (Less -guided Project)
3) โครงงานประเภทผ้เู รียนนาเอง ครูไมต่ ้องนาทาง (Unguided Project)
65
1) โครงงานประเภทครูนาทาง (Guided Project)
ภาพที่ 11 โครงงานประเภทครนู าทาง (Guided Project)
66
2) โครงงานประเภทครลู ดการนาทาง - เพ่ิมบทบาทผู้เรยี น (Less -guided Project)
ภาพที่ 12 โครงงานประเภทครลู ดการนาทาง - เพม่ิ บทบาทผู้เรยี น (Less guided Project)
67
3) โครงงานประเภทผ้เู รียนนาเอง ครไู ม่ต้องนาทาง (Unguided Project)
ภาพที่ 13 โครงงานประเภทผูเ้ รยี นนาเอง ครไู ม่ตอ้ งนาทาง (Unguided Project)
4.2.2 โครงงานทแี่ บง่ ตามลกั ษณะกิจกรรม
1) โครงงานเชิงสารวจ (Survey Project) ลักษณะกิจกรรม คือ ผู้เรียน
สารวจและรวบรวมข้อมลู แล้วนาข้อมูลเหล่านั้นมาจาแนกเปน็ หมวดหมู่ และนาเสนอในรปู แบบตา่ ง ๆ
เพ่ือใหเ้ ห็นลักษณะหรือความสัมพนั ธใ์ นเรือ่ งทีต่ อ้ งการศกึ ษาไดช้ ดั เจนยิ่งขึ้น
2) โครงงานเชงิ การทดลอง (Experiential Project) ข้ันตอนการดาเนินงาน
ของโครงงานประเภทนี้จะประกอบดว้ ย การกาหนดปญั หา การกาหนดจุดประสงค์ การต้ังสมมติฐาน
การออกแบบการทดลอง การดาเนินการทดลอง การรวบรวมข้อมูล การตีความหมายข้อมูล
และการสรปุ
68
3) โครงงานเชิงพัฒนาสรา้ งสิ่งประดิษฐแ์ บบจาลอง (Development Project)
เป็นโครงงานเกี่ยวกับการประยุกต์องค์ความรู้ ทฤษฎี หรือหลักการทางวิทยาศาสตร์หรือศาสตร์
ดา้ นอื่น ๆ มาพฒั นา สร้างส่งิ ประดิษฐ์ เครือ่ งมอื เคร่ืองใช้ อุปกรณ์ แบบจาลอง เพื่อประโยชน์ใช้สอย
ตา่ ง ๆ ซ่งึ อาจจะเป็นส่ิงประดิษฐใ์ หม่ หรือปรับปรุงเปลี่ยนแปลงของเดิมท่ีมีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพ
สงู ข้ึนก็ได้ อาจจะเป็นด้านสังคม หรอื ด้านวิทยาศาสตร์ หรือการสร้างแบบจาลองเพ่ืออธิบายแนวคิด
ต่าง ๆ
4) โครงงานเชิงแนวคิดทฤษฎี (Theoretical Project) เป็นโครงงานนาเสนอ
ทฤษฎี หลักการ หรือแนวคิดใหม่ ๆ ซึง่ อาจจะอยู่ในรูปของสูตรสมการหรอื คาอธิบายก็ได้ โดยผู้เสนอ
ได้ตั้งกติกาหรือข้อตกลงขึ้นมาเอง แล้วนาเสนอทฤษฎี หลักการ หรือแนวคิด หรือจินตนาการ
ของตนเองตามกติกาหรือข้อตกลงนั้น หรืออาจจะใช้กติกาหรือข้อตกลงเดิมมาอธิบายก็ได้
ผลการอธิบายอาจจะใหม่ยังไม่มีใครคิดมาก่อน หรืออาจจะขัดแย้งกับทฤษฎีเดิม หรืออาจจะเป็น
การขยายทฤษฎีหรือแนวคิดเดิมก็ได้ การทาโครงงานประเภทนี้ต้องมกี ารศึกษาคน้ คว้าพ้ืนฐานความรู้
ในเรือ่ งน้นั ๆ อย่างกว้างขวาง
5) โครงงาน ด้านบริการสังคมและส่งเสริมความเป็น ธรรมในสังคม
(Community Service and Social Justice Project) เป็นโครงงานที่มุ่งให้ผู้เรียนศึกษาค้นคว้า
ประเดน็ ท่ีเป็นปัญหา ความต้องการในชุมชนท้องถิ่นและดาเนินกิจกรรมเพื่อการให้บริการทางสังคม
หรอื รว่ มกบั ชมุ ชน องคก์ รอ่ืน ๆ ในการแกป้ ัญหาหรือพฒั นาในเรอ่ื งน้นั ๆ
6) โครงงานด้านศิลปะและการแสดง (Art and Performance Project)
เปน็ โครงงานทม่ี ุ่งสง่ เสริมให้ผ้เู รียนศึกษา ค้นคว้า นาความรทู้ ี่ไดจ้ ากการเรียนตามหลักสูตรโดยเฉพาะ
อย่างย่ิงด้านภาษาและสังคมมาต่อยอด สร้างผลงานด้านศิลปะและการแสดง เช่น งานศิลปกรรม
ประติมากรรม หนังสือการ์ตูน การแต่งเพลง ดนตรี แสดงคอนเสิร์ต การแสดงละคร การสร้าง
ภาพยนตร์สนั้
7) โครงงานเชิงบูรณาการการเรียนรู้ เปน็ โครงงานที่มุ่งส่งเสรมิ ใหผ้ ู้เรยี นบูรณา
การเชื่อมโยงความรู้จากต่างสาระการเรียนรู้ตั้งแต่สองสาขาวิชาขึ้นไปมาดาเนินการแก้ปัญหาหรือ
สร้างประเด็นการศึกษาคน้ คว้า ท้ังในแง่มิติเชิงประวัตศิ าสตร์ ทักษะการประกอบอาชพี ขา้ มสาขาวิชา
การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม สังคม ที่ต้องนาความรู้ต่างสาขามาประยุกต์ใช้ การคิดค้นสร้างนวัตกรรม
จากการบรู ณาการความรู้ ฯลฯ
4.3 กระบวนการและข้ันตอนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้แบบใชโ้ ครงงานเป็นฐาน
การจัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐาน มีกระบวนการและขั้นตอนแตกต่างกัน
ไปตามแตล่ ะทฤษฎี ในที่นี้ขอนาเสนอแนวคดิ การจัดการเรียนรูแ้ บบใช้โครงงานเป็นงานท่ีเหมาะสมกับ
บริบทการจัดการศึกษาของไทย คือ แนวคิดที่ 1 การจัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงานของสานักงาน
69
เลขาธิการสภาการศึกษาและกระทรวงศึกษาธกิ าร (2550) แนวคิดที่ 2 การจัดการเรียนรตู้ ามโมเดล
จักรยานแห่งการเรียนรู้แบบ PBL ของนายแพทย์วิจารณ์ พาณิช (2555) และแนวคิดที่ 3 การจัด
การเรียนรู้แบบใชโ้ ครงงานเป็นฐานท่ีไดจ้ ากโครงการสรา้ งชุดความรู้เพอ่ื สร้างเสริมทักษะแหง่ ศตวรรษ
ที่ 21 ของเด็กและเยาวชน: จากประสบการณ์ความสาเร็จของโรงเรียนไทยของดุษฎี โยเหลา
และคณะ (2557) มรี ายละเอยี ดดงั นี้
แนวคิดที่ 1 การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานของสานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา
และกระทรวงศึกษาธกิ าร ซ่ึงได้นาเสนอข้นั ตอนการจดั การเรียนรแู้ บบโครงงาน ไว้ 4 ขน้ั ตอน ดังน้ี
ภาพท่ี 14 ขน้ั ตอนการจัดการเรยี นรู้แบบโครงงานของสานกั งานเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษาและ
กระทรวงศึกษาธิการ
ข้ันตอนที่ 1 ข้ันนาเสนอ หมายถึง ขั้นที่ผู้สอนให้ผู้เรียนศึกษาใบความรู้ กาหนด
สถานการณ์ศึกษา สถานการณ์เล่นเกม ดูรูปภาพ หรือผู้สอนใช้เทคนิคการต้ังคาถามเก่ียวกับสาระ
การเรียนรู้ที่กาหนดในแผนการจัดการเรียนรู้แต่ละแผน เช่น สาระการเรียนรู้ตามหลักสูตรและ
สาระการเรยี นรทู้ เ่ี ป็นข้ันตอนของโครงงานเพ่อื ใช้เป็นแนวทางในการวางแผนการเรียนรู้
ขั้นตอนท่ี 2 ขั้นวางแผน หมายถึง ข้ันท่ีผู้เรียนร่วมกันวางแผน โดยการระดม
ความคดิ อภิปรายหารือข้อสรปุ ของกลุ่ม เพือ่ ใชเ้ ป็นแนวทางในการปฏบิ ัติ
ขน้ั ตอนที่ 3 ขั้นปฏิบัติ หมายถึง ขัน้ ที่ผู้เรียนปฏบิ ัติกิจกรรม เขียนสรุปรายงานผล
ท่ีเกดิ ข้ึนจากการวางแผนรว่ มกัน
ข้ันตอนที่ 4 ขั้นประเมินผล หมายถึง ข้ันการวัดและประเมินผลตามสภาพจริง
โดยให้บรรลุจุดประสงค์การเรยี นรูท้ ่ีกาหนดไว้ในแผนการจัดการเรียนรู้ โดยมผี ู้สอน ผเู้ รียน และเพือ่ น
รว่ มกนั ประเมนิ
แนวคิดที่ 2 การจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบจักรยานแห่งการเรียนรู้แบบ PBL ของ
วิจารณ์ พาณิช (2555) ซ่ึงแนวคดิ น้ีมีความเชอ่ื ว่า หากต้องการใหก้ ารเรียนรู้มีพลงั และฝังในตัวผู้เรียน
ต้องเป็นการเรียนรู้โดยการลงมือทาเป็นโครงการ (Project) ร่วมมือกันทาเป็นทีม และทากับปัญหา
ที่มีอยู่ในชีวิตจริง ซึ่งส่วนของวงล้อมี 5 ส่วน ประกอบด้วย Define Plan Do Review และ
Presentation ดังรปู
70
ภาพท่ี 15 โมเดลจกั รยานแหง่ การเรยี นร้แู บบ PBL
1. Define คือ ขัน้ ตอนการระบุปญั หา ขอบขา่ ย ประเด็นที่จะทาโครงงาน เป็นการสร้าง
ความเข้าใจระหว่างสมาชิกของทีมงานร่วมกับครู เกี่ยวกับคาถาม ปัญหา ประเด็น ความท้าทาย
ของโครงงานคอื อะไร และเพอ่ื ใหเ้ กดิ การเรียนรูอ้ ะไร
2. Plan คือ การวางแผนการทาโครงงาน ครูก็ต้องวางแผนในการทาหน้าท่ีโค้ช รวมท้ัง
เตรียมเครื่องอานวยความสะดวกในการทาโครงงานของผู้เรียน เตรียมคาถามเพื่อกระตุ้นให้คิดถึง
ประเด็นสาคัญบางประเด็นท่ีผู้เรยี นอาจมองข้าม โดยถือหลักว่า ครูต้องไม่เข้าไปช่วยเหลือจนทีมงาน
ขาดโอกาสคดิ เอง แกป้ ญั หาเอง ผู้เรียนท่ีเป็นทมี งานตอ้ งวางแผนงานของตน แบง่ หน้าท่ีกันรับผดิ ชอบ
การประชุมพบปะระหว่างทีมงาน การแลกเปล่ียนข้อค้นพบแลกเปลี่ยนคาถาม แลกเปลี่ยนวิธีการ
ย่ิงทาความเขา้ ใจร่วมกนั ไว้ชดั เจนเพยี งใด งานในขั้นตอ่ ไป (Do) กจ็ ะสะดวกเลอ่ื นไหลดีเพียงน้นั
3. Do คือ การลงมือทา ผู้เรียนจะได้เรียนรู้ทักษะในการแก้ปัญหา การประสานงาน
การทางานร่วมกันเป็นทีม การจัดการความขัดแย้ง ทักษะในการทางานภายใต้ทรัพยากรจากัด
ทกั ษะในการค้นหาความรู้เพิ่มเติม ทกั ษะในการทางานในสภาพท่ีทีมงานมีความแตกต่างหลากหลาย
ทักษะการทางานในสภาพกดดัน ทักษะการบันทึกผลงาน ทักษะในการวิเคราะห์ผลและแลกเปลี่ยน
ข้อวิเคราะห์กับเพื่อนร่วมทมี เป็นตน้ ในขั้นตอน DO น้ี ครจู ะได้มีโอกาสสังเกตทาความรจู้ ักและเขา้ ใจ
ผเู้ รียนเปน็ รายคน และเรียนรหู้ รอื ฝึกทาหนา้ ที่เปน็ ผูด้ แู ล สนับสนนุ กากบั และโคช้ ดว้ ย
4. Review คือ ผู้เรียนจะทบทวนการเรียนรู้ว่าโครงงานได้ผลตามความมุ่งหมายหรือไม่
รวมถึงทบทวนว่างานหรือกิจกรรมหรือพฤติกรรมแต่ละขั้นตอนได้ให้บทเรียนอะไรบ้าง ทั้งข้ันตอน
ท่ีเป็นความสาเร็จและความล้มเหลว เพื่อนามาทาความเข้าใจ และกาหนดวิธีทางานใหม่ท่ีถูกต้อง
เหมาะสม รวมทัง้ เอาเหตุการณ์ระทกึ ใจหรือเหตุการณ์ที่ภาคภูมใิ จ ประทับใจ มาแลกเปลี่ยนเรียนร้กู ัน
ขั้นตอนน้ีเป็นการเรียนรู้แบบทบทวนไตร่ตรอง (reflection) หรือเรียกว่า AAR (After Action
Review)
71
5. Presentation ผเู้ รียนนาเสนอโครงงานต่อชั้นเรียน เป็นขั้นตอนท่ีให้การเรยี นรู้ ทักษะ
อีกชุดหนึ่งต่อเน่ืองกับข้ันตอน Review เป็นขั้นตอนท่ีทาให้เกิดการทบทวนข้ันตอนของงานและ
การเรียนรู้ท่ีเกิดข้ึนอย่างเข้มข้น แล้วเอามานาเสนอในรูปแบบท่ีเร้าใจ ให้อารมณ์และให้ความรู้
ทมี งานอาจสร้างนวัตกรรมในการนาเสนอกไ็ ด้ โดยอาจเขียนเปน็ รายงานและนาเสนอเป็นการรายงาน
หน้าช้ัน มสี ือ่ ประกอบ หรอื จัดทาวีดทิ ัศนห์ รอื นาเสนอเป็นละคร เป็นต้น
แนวคิดที่ 3 การจัดการเรยี นรู้แบบใชโ้ ครงงานเป็นฐานทไี่ ด้จากโครงการสร้างชดุ ความรู้
เพ่ือสร้างเสริมทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ของเด็กและเยาวชน: จากประสบการณ์ความสาเร็จ
ของโรงเรียนไทย ของดุษฎีโยเหลา และคณะ (2557) มี 5 ขัน้ ตอน ดงั น้ี
ภาพท่ี 16 ข้ันตอนการจดั การเรียนรแู้ บบใช้โครงงานเปน็ ฐาน
1. ขั้นให้ความรู้พื้นฐาน ครูให้ความรู้พื้นฐานเก่ียวกับการทาโครงงานก่อนการเรียนรู้
เน่ืองจากการทาโครงงานมีรูปแบบและขั้นตอนท่ีชัดเจนและรัดกุม ดังน้ัน ผู้เรียนจึงมีความจาเป็น
อย่างย่ิงทจ่ี ะต้องมีความรเู้ กยี่ วกับโครงงานไว้เป็นพน้ื ฐาน เพอ่ื ใชใ้ นการปฏิบตั ิขณะทางานโครงงานจรงิ
ในข้ันแสวงหาความรู้
2. ข้นั กระตนุ้ ความสนใจ ครูเตรียมกิจกรรมท่ีจะกระตุ้นความสนใจของผู้เรียน โดยต้อง
คดิ หรือเตรยี มกิจกรรมที่ดงึ ดูดให้ผเู้ รียนสนใจใครร่ ู้ ถงึ ความสนุกสนานในการทาโครงงานหรือกิจกรรม
ร่วมกัน โดยกิจกรรมนั้นอาจเป็นกจิ กรรมท่ีครูกาหนดขึ้น หรืออาจเป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนมีความสนใจ
ต้องการจะทาอยู่แล้ว ทั้งน้ี ในการกระตุ้นของครูจะต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเสนอจากกิจกรรมที่ได้
เรียนรู้ผ่านการจัดการเรียนรู้ของครูท่ีเก่ียวข้องกับชุมชนท่ีผู้เรียนอาศัยอยู่หรือเป็นเรื่องใกล้ตัว
ที่สามารถเรยี นร้ไู ด้ดว้ ยตนเอง
72
3. ข้ันจัดกลุ่มร่วมมือ ครูให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่มกันแสวงหาความรู้ ใช้กระบวนการกลุ่ม
ในการวางแผนดาเนินกิจกรรม โดยนักเรียนเป็นผู้ร่วมกันวางแผนกิจกรรมการเรียนของตนเอง
โดยระดมความคิดและหารือแบ่งหน้าท่ีเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติร่วมกัน หลังจากที่ได้ทราบหัวข้อ
สง่ิ ทตี่ นเองตอ้ งเรยี นรู้ในภาคเรยี นน้ัน ๆ เรยี บรอ้ ยแลว้
4. ข้ันแสวงหาความรู้ในข้ันแสวงหาความรู้มีแนวทางปฏิบัติสาหรับผู้เรียนในการทา
กิจกรรม ดังน้ี
4.1 นักเรยี นลงมือปฏิบัตกิ จิ กรรมโครงงานตามหวั ข้อทก่ี ลุ่มสนใจผู้เรยี น ปฏบิ ัติหนา้ ท่ี
ของตนตามข้อตกลงของกลุ่ม พร้อมท้ังรว่ มมือกันปฏิบัติกิจกรรม โดยขอคาปรึกษาจากครูเป็นระยะ
เมอ่ื มขี อ้ สงสัยหรอื ปัญหาเกิดขน้ึ
4.2 ผู้เรยี นรว่ มกันเขียนรปู เลม่ สรปุ รายงานจากโครงงานทต่ี นปฏิบตั ิ
5. ข้ันสรุปส่ิงที่เรียนรู้ ครูให้ผู้เรียนสรุปส่ิงที่เรียนรู้จากการทากิจกรรม โดยครูใช้คาถาม
ถามผ้เู รียนนาไปสู่การสรุปสิ่งท่เี รยี นรู้
6. ข้ันนาเสนอผลงาน ครูให้ผู้เรียนนาเสนอผลการเรียนรู้ โดยครูออกแบบกิจกรรมหรือ
จดั เวลาให้ผู้เรียนไดเ้ สนอสิ่งท่ีตนเองได้เรียนรู้ เพื่อให้เพ่ือนร่วมชั้นและผ้เู รียนอืน่ ๆ ในโรงเรยี นได้ชม
ผลงานและเรยี นรกู้ จิ กรรมที่ผูเ้ รียนปฏบิ ัติในการทาโครงงาน
การประเมินผล
1. ประเมนิ ตามสภาพจริง โดยผสู้ อนและผู้เรยี นร่วมกันประเมนิ ผลว่ากจิ กรรมท่ี ทาไปน้ัน
บรรลุตามจุดประสงค์ท่ีกาหนดไว้หรือไม่ อย่างไร ปัญหาและอุปสรรคท่ีพบคืออะไรบ้าง ได้ใช้วิธีการ
แกไ้ ขอยา่ งไร ผเู้ รยี นได้เรียนรู้อะไรบา้ งจากการทาโครงงานน้นั ๆ
2. ประเมนิ โดยผเู้ กีย่ วข้อง ได้แก่ ผู้เรียนประเมินตนเอง เพ่ือนช่วยประเมิน ผูส้ อนหรือครู
ทป่ี รึกษาประเมนิ ผปู้ กครองประเมนิ บคุ คลอื่นๆ ที่สนใจและมสี ว่ นเกยี่ วข้อง
3. การตรวจราชการ ติดตาม ตรวจสอบและประเมนิ ผลของผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธกิ าร
การตรวจราชการ ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลนโยบายด้านการจัดการศึกษา
ของกระทรวงศึกษาธิการเปน็ สิ่งสาคัญในการขบั เคล่ือนการจัดการศึกษาของหน่วยงานทางการศึกษา
สถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการให้บรรลุเป้าหมาย สามารถแก้ไขปัญหาอุปสรรคและ
ก่อให้เกิดประโยชน์สุงสุดต่อนักเรียน และสอดคล้องกับแผนการบริหารราชการแผ่นดิน พระราช
กฤษฎกี าว่าด้วยหลักเกณฑแ์ ละวธิ ีการบรหิ ารกิจการบ้านเมืองท่ีดี โดยพระราชบัญญัตริ ะเบียบบริหาร
ราชการกระทรวงศึกษาธกิ าร พ.ศ. 2546 มาตรา 20 บญั ญัติใหกระทรวงศึกษาธกิ ารมีผู้ตรวจราชการ
ของกระทรวง เพ่ือทาหนาที่ในการตรวจราชการ และติดตาม ประเมินผลระดับนโยบาย การนิเทศ
ใหคาปรึกษาแนะนา เพื่อการปรับปรุงพัฒนาการบริหารจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการและ
73
ใหมีคณะกรรมการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ
โดยมรี ัฐมนตรีวาการกระทรวงศกึ ษาธกิ าร เป็นประธาน
3.1 ระเบียบสานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการตรวจราชการ พ.ศ. 2548 ข้อ 12
กาหนดให้ผู้ตรวจราชการมอี านาจและหน้าท่ี
1) ส่ังเปน็ ลายลักษณ์อักษรให้ผู้รับการตรวจปฏิบัติหรืองดเว้นการปฏิบัติในเรื่องใด
เรื่องหนึ่งให้ถูกต้องตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ มติของคณะรัฐมนตรี หรือคาส่ัง
ของนายกรัฐมนตรี
2) สั่งเป็นลายลักษณ์อักษรให้ผู้รับการตรวจปฏิบัติหรืองดเว้นการปฏิบัติในเรื่องใด ๆ
ในระหว่างกาตรวจราชการไว้ก่อนหากเห็นว่าจะกอ่ ให้เกิดความเสยี หายแก่ทางราชการหรือประโยชน์
ของประชาชนอย่างร้ายแรง และเมื่อได้ส่ังการดังกล่าวแล้ว ให้รายงานผู้บังคับบัญชาเพื่อทราบ
หรือพิจารณาโดยด่วน
3) ส่งั ให้หน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐชี้แจงให้ถ้อยคา หรือส่งเอกสารและ
หลักฐานเก่ียวกับการปฏบิ ตั งิ านเพ่อื ประกอบการพิจารณา
4) สอบข้อเท็จจริง สืบสวนสอบสวน หรือสดับตรับฟังเหตุการณ์ เมื่อได้รับการ
ร้องเรียนหรือมีเหตุอันควร โดยประสานการดาเนินงานกับหน่วยงานตรวจสอบอนื่ ๆ เพื่อแก้ไขปญั หา
ความเดอื นรอ้ นของประชาชนหรอื ปัญหาอปุ สรรคของหนว่ ยงานของรัฐหรอื เจ้าหน้าท่ขี องรัฐ
5) ประเมินผลการปฏิบัติราชการของผู้รับการตรวจ และรายงานผู้บังคับบัญชา
เพ่อื ทราบ
6) เรียกประชุมเจ้าหน้าท่ีของรัฐเพอ่ื ชีแ้ จง แนะนา หรอื ปรึกษาหารอื ร่วมกนั
3.2 ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการตรวจ ติดตาม ตรวจสอบ แล ะ
ประเมินผลการจัดการศึกษา พ.ศ. 2560 ข้อ 8 กาหนดว่า การตรวจราชการ การติดตาม
ประเมินผลและนิเทศการศึกษาระดับกระทรวง เป็นการตรวจราชการ ศึกษา วิเคราะห์ วิจัย ตดิ ตาม
และประเมินผลระดับนโยบาย เพ่ือนิเทศให้คาปรึกษา และแนะนาเพ่ือการปรับปรุงพัฒนาเกี่ยวกับ
การปฏิบัติราชการของหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ในขอบเขตอานาจหน้าท่ีของกระทรวงศึกษาธิการ
ในฐานะผู้สอดส่องดูแลแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
และปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ข้อ 11 (6) และ (7) ผู้ช่วยผู้ตรวจราชการมีหน้าท่ีจัดทารายงานผล
การตรวจราชการหลังการตรวจราชการ และจัดทาในภาพรวมและรายรอบร่วมกับหน่วยงาน
ที่เก่ียวข้อง เพ่ือรายงานต่อผู้บริหารระดับสูง (8) ติดตามผลการดาเนินงานตามข้อเสนอแนะ
ขอ้ สั่งการของผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธกิ าร และผ้บู รหิ ารระดับสูงในระดบั เขตตรวจราชการ
3.3 คาสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ท่ี 19/2560 เร่ือง การปฏิรูป
การศึกษาในภูมิภาคของกระทรวงศกึ ษาธิการ (ข้อ 5 (4)) สานักงานศึกษาธิการภาค มีอานาจหน้าที่
74
สนับสนุนการตรวจราชการการติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการดาเนินงานตามนโยบายและ
ยุทธศาสตร์ ของกระทรวงศึกษาธิการในพ้ืนท่ีรับผิดชอบ (ข้อ 11 (3)) ให้มีสานักงานศึกษาจังหวัด
มอี านาจหน้าที่ ส่ังการ กากับ ดแู ล เร่งรดั ติดตามและประเมินผลการปฏบิ ัติงานของส่วนราชการหรือ
หน่วยงานและสถานศกึ ษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธกิ ารให้เป็นไปตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ
ข้อ 8 (6) ให้ กศจ. มีอานาจหน้าท่ี กากับ เร่งรัด ติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานของ
สว่ นราชการหรือหนว่ ยงานและสถานศึกษาในสังกดั กระทรวงศกึ ษาธิการ
3.4 ประกาศสานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การแบ่งหน่วยงานภายใน
สานักงานศึกษาธิการภาค และสานักงานศกึ ษาธิการจงั หวดั สงั กัดสานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
กาหนดให้ ข้อ 2.5 (2), (3) และ (4) กากับ ดูแล เร่งรัด ติดตามและประเมินผลการดาเนินงาน
ของสานักงานศึกษาธิการจังหวัดในพ้ืนที่รับผิดชอบ รวมถึงการบรหิ ารการจดั การศกึ ษาของหน่วยงาน
การศึกษาในสังกัดกระทรวงศกึ ษาธิการและตามนโยบายและยทุ ธศาสตร์กระทรวงศึกษาธิการในพน้ื ท่ี
ทร่ี ับผดิ ชอบ และขอ้ 4.5 หน้าที่ของสานักงานศึกษาธิการจังหวดั (4) ประสานและสนับสนุนการตรวจ
ราชการกระทรวงศึกษาธิการ (5) ศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลสารสนเทศ เพ่ือสนับสนุนการตรวจราชการ
จัดทาแผนการรองรับการตรวจราชการ และดาเนินการเก่ียวกับการตรวจราชการ และดาเนินการ
เก่ี ย ว กั บ ก าร ต ร ว จ ร า ช ก าร ข อ ง ผู้ ต ร ว จ ร า ช ก าร ก ร ะ ท ร ว ง ใน ก าร ต ร ว จ ติ ด ต าม แ ล ะ ป ร ะ เมิ น ผ ล
ตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ (7) ส่ังการ กากับ ดูแล เร่งรัด ติดตามและประเมินผล
การปฏิบัติงานของส่วนราชการหรอื หน่วยงานและสถานศกึ ษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการในจังหวัด
ใหเ้ ปน็ ไปตามนโยบายของกระทรวงศกึ ษาธิการและยทุ ธศาสตรช์ าติ
3.5 อานาจ หนาที่
3.5.1 คณะกรรมการติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการจัดการศึกษาของ
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร มีอานาจหนาท่ดี ังตอไปน้ี
1) กาหนดนโยบาย การติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการจัดการศึกษา
ของกระทรวงศกึ ษาธกิ าร
2) กากับ ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการจัดการศึกษาของกระทรวง
ศึกษาธิการ
3) กากับ ดูแล ติดตาม และเสนอแนะการบริหารงบประมาณโครงการพิเศษ
ในการบริหารจัดการศกึ ษาของสวนราชการสังกดั กระทรวงศึกษาธกิ าร
4) พิจารณาใหความเห็นชอบ และใหขอเสนอแนะ เกี่ยวกับรายงานผล
การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการจดั การศกึ ษาของกระทรวงศึกษาธิการ
5) สงเสริม สนับสนุน การพัฒนาระบบ และการศึกษา วิเคราะห์ วิจัย
เก่ียวกับการตดิ ตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการจดั การศกึ ษาของกระทรวงศึกษาธกิ าร
75
6) แต่งต้ังคณะอนุกรรมการ เพ่ือดาเนินการใด ๆ ตามอานาจหนาที่ของ
คณะกรรมการตดิ ตาม ตรวจสอบ และประเมนิ ผลการจดั การศกึ ษาของกระทรวงศึกษาธกิ าร
7) ดาเนินการอื่นใดท่ีเกี่ยวของกับการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล
การจดั การศึกษา ของกระทรวงศกึ ษาธิการ
3.5.2 ผ้ตู รวจราชการกระทรวง
ระเบียบสานักนายกรัฐมนตรีวาด้วยการตรวจราชการ พ.ศ. 2548 ขอ 7
ใหผู้ตรวจราชการมี อานาจ หนาท่ี ดงั ตอไปน้ี
1) สั่งเป็นลายลักษณอักษรให้ผู้รับการตรวจปฏิบัติในเรื่องใดเร่ืองหน่ึงให้
ถูกตองตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ ขอ้ บังคบั ประกาศ มตขิ องคณะรัฐมนตรี หรือคาส่งั ของนายกรัฐมนตรี
2) ส่ังเป็นลายลักษณอักษรให้ผู้รับการตรวจปฏิบัติหรืองดเว้นการปฏิบัติ
ในเร่อื งใด ๆ ในระหว่างการตรวจราชการไวกอน หากเหน็ วาจะกอใหเกดิ ความเสยี หายแกทางราชการ
หรือประโยชน์ของประชาชนอย่างร้ายแรง และเมื่อได้ส่ังการดังกล่าวแลว ใหรายงานผู้บังคับบัญชา
เพอ่ื ทราบหรอื พจิ ารณาโดยดวน
3) สั่งใหหน่วยงานของรัฐและเจาหนาที่ของรัฐช้ีแจง ใหถ้อยคา หรือส่ง
เอกสารและหลักฐานเก่ียวกบั การปฏิบัติงานเพอ่ื ประกอบการพจิ ารณา
4) สอบขอเท็จจริง สืบสวนสอบสวน หรือสดับตรับฟงเหตุการณ เมื่อได้รับ
การรองเรียน หรือมีเหตุอันสมควร โดยประสานการดาเนนิ งานกับหน่วยงานตรวจสอบอื่น ๆ เพื่อแกไข
ปญหาความเดือดรอน ของประชาชนหรอื ปญั หาอปุ สรรคของหน่วยงานของรัฐหรอื เจาหน้าท่ขี องรัฐ
5) ประเมินผลการปฏิบัติราชการของผู้รับการตรวจ และรายงาน
ผบู้ ังคบั บญั ชาเพอื่ ทราบ
6) เรียกประชมุ เจาหนาทขี่ องรฐั เพอ่ื ชีแ้ จง แนะนา หรือปรึกษาหารือร่วมกัน
และระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการตรวจราชการ การติดตาม
ตรวจสอบและประเมนิ ผลการจดั การศึกษา พ.ศ. 2560 หมวด 1 ระบวุ า
ข้อ 7 การตรวจราชการ มีวตั ถุประสงค์ ดังน้ี
(1) เพื่อช้ีแจงนโยบาย ประสานงานและเร่งรัดให้ผู้รับการตรวจ
นาแผนการศึกษาแห่งชาติ แผนการบริหารราชการแผ่นดิน นโยบายของรัฐบาล และนโยบายของ
กระทรวงศึกษาธกิ าร ไปจัดทาแผนปฏิบตั ิราชการใหค้ รบถ้วน
(2) เพื่อติดตาม ประเมินผล และเสนอแนะการบริหารงบประมาณ
การจัดการศึกษาให้สอดคล้อง กับหลักการศึกษา แนวทางการจัดการศึกษา และคุณภาพมาตรฐาน
การศึกษา
76
(3) เพ่ือศึกษา วิเคราะห์ วิจัย ติดตามและประเมินผลระดับนโยบาย
เพ่อื นเิ ทศให้คาปรกึ ษา เพื่อ การปรบั ปรงุ พฒั นาแกส่ ่วนราชการและหนว่ ยงานการศกึ ษา
(4) เพ่ือเร่งรัดติดตามความก้าวหน้า ความสาเร็จ ปัญหาอุปสรรค และ
เสนอแนะในการปฏิบัตงิ าน ตามแผนปฏบิ ตั ริ าชการ
(5) เพ่ือตรวจเยี่ยม รับฟังหรือสดับตรับฟังทุกข์สุข ความคิดเห็น นิเทศ
ช่วยเหลือ แนะนา ชี้แจง เจ้าหนา้ ทมี่ ีสมรรถนะและขวญั กาลงั ใจในการปฏบิ ัติงาน
ข้อ 8 การตรวจราชการ การติดตาม ประเมินผลและนิเทศการศึกษาระดับ
กระทรวงเป็นการตรวจราชการ ศึกษา วิเคราะห์ วิจัย ติดตามและประเมินผลระดับนโยบาย
เพ่ือนิเทศใหค้ าปรึกษา และแนะนา เพอื่ การปรบั ปรงุ พฒั นาเกีย่ วกับการปฏบิ ตั ิราชการของหนว่ ยงาน
แ ล ะ เจ้ า ห น้ า ที่ ใน ข อ บ เข ต อ า น า จ ห น้ า ท่ี ข อ ง ก ร ะ ท ร ว ง ศึ ก ษ า ธิ ก า ร ใน ฐ าน ะ ผู้ ส อ ด ส่ อ ง ดู แ ล
แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ การตรวจราชการจะต้องไม่กระทบกระเทือนต่อสาระ
การบริหารและการจัดการศึกษาของสถานศึกษาของรัฐท่ีจดั การศึกษาระดับปริญญาท่ีเป็นนิติบุคคล
ท่ีสามารถดาเนินกิจการได้โดยอิสระ พัฒนาระบบบริหารและการจัดการท่ีเป็นของตนเอง
มีความคล่องตัวมเี สรีภาพทางวิชาการ และอย่ภู ายใต้การกากับดูแลของสภาสถานศกึ ษาตามกฎหมาย
วา่ ด้วยการจดั ตัง้ สถานศึกษาน้นั
ข้อ 9 ให้ปลัดกระทรวงศึกษาธิการแต่งตั้งผู้ตรวจราชการคนหนึ่ง เป็นหัวหน้า
ผู้ตรวจราชการ มีหน้าที่ ให้คาปรึกษาแนะนาแก่ผู้ตรวจราชการ เพ่ือให้การปฏิบัติงานของผู้ตรวจ
ราชการเปน็ ไปตามระเบียบนแ้ี ละจะให้มรี องหัวหนา้ ผตู้ รวจราชการด้วยก็ได้
ข้อ 10 ให้นาระเบียบสานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการตรวจราชการใช้บังคับ
การตรวจราชการของผู้ตรวจราชการโดยอนโุ ลม และใหผ้ ตู้ รวจราชการมอี านาจหนา้ ที่ ดังนี้
(1) ส่ังเป็นลายลักษณอ์ ักษร ให้ผู้รบั การตรวจปฏิบัตใิ นเร่ืองใดเรื่องหนึ่ง
ให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ มติของคณะรัฐมนตรี หรือคาสั่งของ
นายกรฐั มนตรี
(2) ส่ังเป็นลายลักษณ์อักษรให้ผู้รับการตรวจ ปฏิบัติหรืองดเว้น
การปฏิบัติงานใด ๆ ในระหว่างการตรวจราชการไว้ก่อน หากเห็นว่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่
ทางราชการและประชาชนอย่างร้ายแรงและเม่ือผู้ตรวจราชการได้ส่ังการดังกล่าวแล้วให้รายงาน
ผ้บู ังคบั บญั ชาเพื่อทราบหรอื พจิ ารณาโดยด่วน
(3) ส่ังให้ผู้รับการตรวจชี้แจง ให้ถ้อยคา หรือส่งเอกสารและหลักฐาน
เกยี่ วกบั การปฏบิ ตั งิ านเพอื่ ประกอบการพิจารณา
77
(4) สอบข้อเท็จจริง สืบสวนข้อเท็จจริง หรือสดับตรับฟังเหตุการณ์
เมื่อได้รับการรอ้ งเรียนหรอื เมอ่ื มีเหตุอันควร โดยประสานการดาเนินงานกับหน่วยงานตรวจสอบอื่น ๆ
เพือ่ แกไ้ ขปัญหาความเดอื ดร้อนของประชาชนหรอื ปญั หาอุปสรรคของผูร้ บั การตรวจ
(5) ศึกษา วิเคราะห์ วิจัย ติดตามและประเมินผลระดับนโยบาย
เพ่อื นเิ ทศใหค้ าปรึกษาแนะนา เพ่อื ปรับปรุงพัฒนา
(6) แต่งต้ังบุคคลหรือคณะทางานเพื่อสนับสนุนการดาเนินงาน
ตามอานาจหนา้ ท่ีได้ตามความเหมาะสม
(7) ปฏบิ ัติงานอน่ื ๆ ตามท่ผี บู้ งั คบั บัญชามอบหมาย
และหมวด 2 การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการจดั การศึกษา กาหนด
ไว้ ดงั น้ี
ข้อ 19 การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการจัดการศึกษา มี
วัตถปุ ระสงค์ ดงั น้ี
(1) เพ่ือให้การจัดการศึกษาเป็นไปตามภารกิจและนโยบายการจัด
การศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ
(2) เพ่ือให้คาปรึกษา แนะนา และข้อเสนอแนวทางเพ่ือการปรับปรุง
พัฒนาเกยี่ วกับการปฏบิ ตั ิราชการของหน่วยงานและเจา้ หนา้ ท่ี
(4) เพ่ือการบริหารงบประมาณในการบริหารจัดการศึกษาของ
สว่ นราชการและหน่วยงานในสังกัด กระทรวงศึกษาธิการใหม้ ปี ระสิทธภิ าพ
(5) เพ่ือให้ความเห็นเกี่ยวกับปัญหาและข้อเสนอแนวทางการจัด
การศึกษาของกระทรวงศึกษาธกิ าร
และหมวด 3 เบด็ เตลด็ กาหนดไว้ดังน้ี
ข้อ 28 ในกรณีท่ีบุคคลหรือหน่วยงานในสังกัด หรือหน่วยงานในกากับดูแล
ของกระทรวงศึกษาธิการใด ไม่ปฏิบัติตามมติของคณะกรรมการหรือไม่ดาเนินการให้เป็นไป
ตามระเบียบน้ใี ห้ผูบ้ งั คบั บญั ชารายงานไปยังคณะกรรมการ
ข้อ 29 เพ่ือประโยชน์ในการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการจัด
การศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ในส่วนราชการ หน่วยงานการศึกษา หรือผู้ตรวจราชการ
ขอความร่วมมือหรือประสานข้อมูลท่ีเกี่ยวข้องกับการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการจัด
การศึกษาไปยังหน่วยงานท่เี กยี่ วขอ้ งได้
78
4. นโยบายการตรวจราชการและติดตามประเมินผลการจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ
ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
ก ร ะ ท ร ว ง ศึ ก ษ า ธิ ก า ร ไ ด้ ก า ห น ด น โย บ า ย ก า ร ต ร ว จ ก า ร แ ล ะ ติ ด ต า ม ป ร ะ เมิ น ผ ล
การจดั การศึกษาของกระทรวงศกึ ษาธิการ ประจาปงี บประมาณ พ.ศ. 2565 ไว้ดงั น้ี
ท่ี นโยบายการตรวจราชการและติดตามประเมินผลการจดั การศกึ ษา หน่วยงาน
ของกระทรวงศึกษาธิการ ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ทีเ่ กี่ยวขอ้ ง
1. ด้านการพฒั นาครแู ละการจดั การเรียนการสอน
1.1 การจัดการเรยี นการสอนท่ีม่งุ เน้นให้ผเู้ รียนทุกระดบั มีส่วนร่วมสรา้ งสรรค์ สพฐ./สอศ./
การเรยี นรู้ เพ่อื ใหเ้ กิดสมรรถนะหลกั และการพฒั นาตนเองตามความถนดั กศน./สช.
และความสนใจ
1.2 การจัดการเรยี นการสอนประวตั ิศาสตร์และหน้าที่พลเมอื งใหม้ คี วามทนั สมยั สพฐ./สอศ./
สอดรับกบั วิถีใหม่ เหมาะสมกับวัยของผู้เรยี น ควบคู่ไปกับการเรียนรู้ กศน./สช.
ประวัตศิ าสตรข์ องท้องถนิ่ และการเสรมิ สรา้ งวิถีชีวติ ของความเปน็ พลเมือง
ท่ีเข้มแข็ง
1.3 การพัฒนาคุณภาพและประสทิ ธภิ าพครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกประเภท สพฐ./สอศ./
ให้มีสมรรถนะทางภาษาและดิจิทัล รวมทงั้ การจดั การเรยี นการสอน กศน./สช.
1.4 หลกั เกณฑ์และวธิ ีการประเมนิ ตาแหนง่ และวิทยฐานะขา้ ราชการครู สพฐ./สอศ./
และบุคลากรทางการศกึ ษา (หลักเกณฑ์ PA) กศน.
1.5 การขับเคลอื่ นศนู ย์ความเป็นเลิศทางการอาชีวศกึ ษา (Excellent Center) สอศ.
และศนู ยบ์ ริหารเครือขา่ ยการผลิตและพัฒนากาลังคนอาชวี ศกึ ษา (Center of
Vocational Manpower Networking Management : CVM)
1.6 ความปลอดภยั ของผ้เู รียน โดยการสร้างสถานศกึ ษาปลอดภัย และบริหาร สพฐ./สอศ./
จดั การเชิงบูรณาการในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโรคติเชื้อไวรัสโคโรนา กศน./สช.
2019 (COVID-19)
2. ดา้ นการสร้างโอกาส ความเสมอภาคและความเท่าเทยี มกนั ทางสังคม
2.1 การคน้ หาเดก็ วัยเรียนหลุดจากระบบการศกึ ษา และตดิ ตามให้ความช่วยเหลอื สพฐ./สอศ./
เข้าส่รู ะบบการศกึ ษา กศน./สช.
2.2 การดูแลเด็กปฐมวัย ด้วยการสง่ เสริมสนบั สนุนใหเ้ ด็กปฐมวยั ทกุ คนได้ สพฐ./สช.
พัฒนาการสมวยั ไดร้ ับโอกาสทางการศึกษาทงั้ ในและนอกระบบการศกึ ษา
79
ท่ี นโยบายการตรวจราชการและติดตามประเมินผลการจดั การศกึ ษา หนว่ ยงาน
ของกระทรวงศึกษาธิการ ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ทเี่ ก่ยี วขอ้ ง
2.3 การสร้างโอกาสและการเขา้ ถงึ การศึกษาทมี่ ีคณุ ภาพสาหรบั คนพิการ สพฐ./สอศ./
และผูด้ อ้ ยโอกาส และผู้เรยี นท่ีมีความตอ้ งการจาเป็นพเิ ศษทั้งในและนอกระบบ กศน./สช.
การศึกษา
3. ดา้ นความรว่ มมอื
3.1 การจัดการศึกษาแบบทวิภาคีสู่คุณภาพมาตรฐาน ผ่านศูนย์อาชีวศึกษาทวิภาคี สอศ.
เขตพืน้ ท่ี
3.2 การพัฒนาทรัพยากรมนุษยท์ ุกช่วงวยั โดยการจัดการเรียนรู้ทหี่ ลากหลาย และ สพฐ./สอศ./
สรา้ งการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อการพัฒนาทกั ษะอาชพี โดยการเพ่ิมพูนทกั ษะ กศน./สช.
(Re-skill) พฒั นาทกั ษะ (Up skill) และการเรียนรู้ทักษะใหม่ (New skills)
4. ด้านเทคโนโลยเี พอื่ การศกึ ษา
4.1 การนานวตั กรรมและเทคโนโลยที ี่ทันสมยั มาใชใ้ นการจดั การศกึ ษา สพฐ./สอศ./
ทุกระดบั การศกึ ษา ที่เน้นการมีสว่ นร่วมและการสง่ เสริมการฝึกทักษะดิจทิ ัล กศน./สช.
ในชีวิตประจาวนั
4.1 นโยบายการจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธกิ าร
กระทรวงศึกษาธิการกาหนดนโยบานการจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ
จานวน 12 ข้อ ดงั น้ี
1. การปรบั ปรุงหลกั สูตรและกระบวนการเรียนรใู้ ห้ทนั สมัย และทันการเปลี่ยนแปลง
ของโลกในศตวรรษท่ี 21 โดยมุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกระดับการศึกษาให้มีความรู้ ทักษะและคุณลักษณะ
ที่เหมาะสมกับบริบทสังคมไทย
2. การพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพครูและอาจารย์ในระดับการศึกษา
ขัน้ พ้ืนฐานและอาชีวศึกษาใหม้ ีสมรรถนะทางภาษาและดิจทิ ัล เพื่อใหค้ รแู ละอาจารยไ์ ด้รบั การพัฒนา
ใหม้ ีสมรรถนะท้ังดา้ นการจัดการเรียนรดู้ ว้ ยภาษาและดจิ ิทัล สามารถปรับเปลย่ี นวิธีการเรียนการสอน
และการใช้สือ่ ทนั สมยั และมคี วาม รบั ผดิ ชอบต่อผลลพั ธท์ างการศกึ ษาทเ่ี กดิ กบั ผู้เรยี น
3. การปฏิรูปการเรียนรู้ด้วยดิจิทัลผ่านแพลตฟอร์มการเรียนรู้ด้วยดิจิทัลแห่งชาติ
(NDLP) และการส่งเสริมการฝึกทักษะดิจิทัลในชีวิตประจาวัน เพื่อให้มีหน่วยงานรับผิดชอบพัฒนา
แพลตฟอร์มการเรียนรู้ ด้วยดจิ ิทัลแห่งชาติ ที่สามารถนาไปใชใ้ นกระบวนการจัดการเรียนรู้ท่ีทันสมัย
และเข้าถึงแหล่งเรียนรู้อย่างกว้างขวางผ่านระบบออนไลน์ และการนฐานข้อมูลกลางทางการศึกษา
มาใชป้ ระโยชนใ์ นการพัฒนาประสทิ ธภิ าพการบริหาร และการจัดการศกึ ษา
80
4. การพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารและการจัดการศึกษา โดยส่งเสรมิ สนับสนุน
สถานศึกษาให้มีความเป็นอิสระและคล่องตัว การกระจายอานาจการบริหารและการจัดการศึกษา
โดยใช้จังหวัดเป็นฐาน โดยอาศัยอานาจตามกฎหมายการศึกษาแห่งชาติท่ีได้รับการปรับปรุง
เพื่อกาหนดให้มีระบบบริหารและการจัดการ รวมถึงการจัดโครงสร้างหน่วยงานให้เอื้อต่อการจัด
การเรียนการสอนท่ีมีคุณภาพ สถานศึกษาให้มีความเป็นอิสระและคล่องตัว การบริหารและการจัด
การศึกษาโดยใช้จังหวัดเปน็ ฐาน มีระบบการบรหิ ารงานบุคคล โดยยดึ หลักธรรมาภบิ าล
5. การปรับระบบประเมินผลการศึกษาและประกันคุณภาพ พร้อมจัดทดสอบ
วัดความรู้ และทกั ษะทจี่ าเป็นในการศึกษาต่อระดับอุดมศกึ ษาท้ังสายวิชาการและสายวิชาชีพ เพื่อให้
ระบบการประเมินผล การศึกษาทกุ ระดับและระบบการประกนั คุณภาพการศึกษาได้รับการปรับปรุง
ใหท้ ันสมัย ตอบสนองตอ่ ผลลพั ธ์ ทางการศึกษาได้อยา่ งเหมาะสม
6. การจัดสรรและการกระจายทรัพยากรให้ท่ัวถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย รวมถึง
การระดมทรัพยากรทางการศึกษาจากความร่วมมือทุกภาคส่วน เพื่อให้การจัดสรรทรัพยากรทาง
การศกึ ษามคี วามเป็นธรรม และสรา้ งโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายได้เข้าถึงการศึกษาท่ีมีคุณภาพทัดเทียม
กลุ่มอนื่ ๆ กระจายทรัพยากร ท้ังบคุ ลากรทางการศกึ ษา งบประมาณและส่อื เทคโนโลยีได้อยา่ งทว่ั ถงึ
7. การนากรอบคุณวุฒิแห่งชาติ (NQF) และกรอบคุณวุฒิอ้างอิงอาเซียน (AQRF)
สู่การปฏิบัติ เป็นการผลิตและพัฒนากาลังคนเพื่อการพัฒนาประเทศโดยใช้กรอบคุณวุฒิแห่งชาติ
เช่ือมโยงระบบการศึกษา และการอาชีพโดยใช้กลไกการเทยี บโอนประสบการณด์ ว้ ยธนาคารหน่วยกิต
และจัดทามาตรฐานอาชพี ในสาขาท่ีสามารถอา้ งอิงอาเซยี นได้
8. การพัฒนาเด็กปฐมวัยให้ได้รับการดูแลและพัฒนาก่อนเข้ารับการศึกษาเพื่อ
พัฒนา ร่างกาย จิตใจ วินัย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาให้สมกับวัย เพื่อเป็นการขับเคล่ือนแผน
บูรณาการการพัฒนา เด็กปฐมวัยตามพระราชบัญญัตกิ ารพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2562 สู่การปฏิบัติ
อยา่ งเป็นรปู ธรรม โดยหน่วยงานที่เก่ียวข้องนาไปใช้เป็นกรอบในการจดั ทาแผนปฏิบัติการเพ่ือพฒั นา
เดก็ ปฐมวัย และมีการตดิ ตามความกา้ วหนา้ เปน็ ระยะ
9. การศึกษาเพื่ออาชีพและสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
เพ่อื ให้ผูจ้ บการศึกษาระดับปริญญาและอาชีวศึกษามอี าชีพและรายได้ทเ่ี หมาะสมกับการดารงชีพและ
คุณภาพชวี ิตทีด่ ี มีสว่ นช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขนั ในเวทโี ลกได้
10. การพลิกโฉมระบบการศึกษาไทยด้วยการนานวัตกรรมและเทคโนโลยี
ท่ีทันสมัยมาใช้ในการจัดการศึกษาทุกระดับการศึกษา เพื่อให้สถาบันการศึกษาทุกแห่งนานวัตกรรม
และเทคโนโลยีทท่ี นั สมยั มาใชใ้ นการจัดการศึกษาผา่ นระบบดิจทิ ัล
81
11. การเพ่ิมโอกาสและการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพของกลุ่มผู้ด้อยโอกาส
ทางการศึกษา และผู้เรียนท่ีมีความจาเป็นพิเศษ เพ่ือเป็นการเพ่ิมโอกาสและการเข้าถึงการศึกษา
ทมี่ คี ณุ ภาพของกล่มุ ผู้ดอ้ ยโอกาสทางการศึกษา และผู้เรียนทีม่ ีความตอ้ งการจาเปน็ พิเศษ
12. การจดั การศึกษาในระบบนอกระบบ และตามอธั ยาศัย โดยยึดหลกั การเรียนรู้
ตลอดชีวิต และการมีส่วนร่วมของผู้เก่ียวข้อง เพื่อเพิ่มโอกาสและการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ
ของกลุ่มผดู้ อ้ ยโอกาสทางการศกึ ษา และผูเ้ รยี นท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษ
4.2 นโยบายระยะเร่งดว่ น (Quick Win)
กระทรวงศกึ ษาธิการกาหนดนโยบายระยะเร่งดว่ น (Quick Win) 7 เร่อื ง ดงั น้ี
1. ความปลอดภัยของผู้เรียน โดยจัดให้มีรูปแบบ วิธีการ หรือกระบวนการ
ในการดูแลช่วยเหลือนักเรียน เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีคุณภาพ มีความสุขและได้รับ
การปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยทั้งด้านร่างกายและจิตใจ รวมถึงการสร้างทักษะให้ผู้เรียน
มีความสามารถในการดูแลตนเองจากภัยอนั ตรายตา่ ง ๆ ทา่ มกลางสภาพแวดลอ้ มทางสังคม
2. หลักสูตรฐานสมรรถนะ มุ่งเน้นการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลายโดยยึด
ความสามารถของผู้เรยี นเป็นหลกั และพัฒนาผเู้ รยี นใหเ้ กิดสมรรถนะท่ีตอ้ งการ
3. ฐานข้อมูล Big Data มุ่งพัฒนาการจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบและไม่ซ้าซ้อน
เพื่อให้ได้ข้อมูลภาพรวมการศึกษาของประเทศท่ีมีความครบถ้วน สมบูรณ์ ถูกต้องเป็นปัจจุบัน
และสามารถนามาใชป้ ระโยชน์ได้อยา่ งแทจ้ รงิ
4. ขับเคล่ือนศูนย์ความเป็นเลิศทางการอาชีวศึกษา (Excellent Center)
สนับสนุนการดาเนินงานของศูนย์ความเป็นเลิศทางการอาชีวศึกษา (Excellent Center) ตาม
ความเปน็ เลิศของแต่ละสถานศึกษาและตามบริบทของพน้ื ที่ สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ
ท้ังในปัจจุบันและอนาคต ตลอดจนมีการจัดการเรียนการสอนด้วยเคร่ืองมือท่ีทันสมัย สอดคล้องกับ
เทคโนโลยีปัจจุบนั
5. พัฒนาทักษะทางอาชีพ ส่งเสริมการจัดการศึกษาท่ีเน้นพัฒนาทักษะอาชีพ
ของผู้เรียน เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต สร้างอาชีพและรายได้ท่ีเหมาะสม และเพิ่มขีดความสามารถ
ในการแขง่ ขนั ของประเทศ
6. การศึกษาตลอดชีวิต การจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิตสาหรับประชาชนทุกช่วงวัย
ให้มีคุณภาพและมาตรฐาน ประชาชนในแต่ละช่วงวัยได้รับการศึกษาตามความต้องการ
อย่างมีมาตรฐาน เหมาะสมและเต็มตามศักยภาพตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยชรา และพัฒนาหลักสูตร
ทเ่ี หมาะสม เพ่อื เตรยี มความพร้อมในการเข้าสสู่ งั คมผสู้ งู วยั
7. การจัดการศึกษาสาหรับผู้ท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษ ส่งเสริมการจัด
การศึกษาให้ผู้ที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษได้รับการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ สามารถดารงชีวิต
82
ในสังคมอย่างมีเกียรติศักด์ิศรีเท่าเทียมกับผู้อ่ืนในสังคม สามารถช่วยเหลือตนเอง และมีส่วนร่วม
ในการพฒั นาประเทศ
4.3 นโยบายและจุดเนน้ ของกระทรวงศกึ ษาธกิ าร ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
กระทรวงศึกษาธิการกาหนดนโยบายและจุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการ ประจา
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ไว้ ดังนี้
1) การจดั การศกึ ษาเพ่ือความปลอดภัย
1.1 เร่งสร้างสถานศึกษาปลอดภัยเพื่อเพ่ิมความเช่ือม่ันของสังคม และป้องกัน
จากภัยคุกคามในชีวิตรูปแบบใหม่ และภัยอื่น ๆ โดยมีการวางมาตรการด้านความปลอดภัยให้แก่
นักเรียน ครูและบุคลากรในสถานศึกษาในรูปแบบต่าง ๆ เช่น จัดโครงการโรงเรียน Sandbox :
Safety zone in school (SSS) ห รื อ ก า ร จั ด กิ จ ก ร ร ม Safety School Success จั ด ให้ มี
การฉีดวัคซีนเพื่อปอ้ งกันโรคตดิ ต่อ การจัดการความรุนแรงเก่ยี วกบั ร่างกาย จติ ใจ และเพศ เปน็ ตน้
1.2 เร่งพัฒนาบรรจุตัวช้ีวัดเรื่องความปลอดภัยให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
ของสถานศึกษาและหน่วยงานทุกระดับ
1.3 เร่งพัฒนาให้มีหน่วยงานด้านความปลอดภัยท่ีมีโครงสร้างและกรอบ
อตั รากาลังอยา่ งชัดเจนในทุกสว่ นราชการของกระทรวงศกึ ษาธิการ
2) การยกระดบั คณุ ภาพการศึกษา
2.1 เร่งจัดทาและพัฒนากรอบหลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน (หลักสูตรฐาน
สมรรถนะ) โดยรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ศึกษาวิเคราะห์ วิจัยความเหมาะสม
ความเปน็ ไปได้และทดลองใช้กอ่ นการประกาศใช้หลกั สตู รฯ ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2565
2.2 จัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาสมรรถนะแบบผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเอง
มุ่งเน้นกระบวนการเรียนรู้แบบถกั ทอความรู้ ทักษะคุณลักษณะผู้เรียนเขา้ ด้วยกันดว้ ยการลงมอื ปฏบิ ัติ
จริง มุ่งเน้นให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจและเรยี นรู้อย่างมีความสุข และพัฒนาความเป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์
รวมทั้งการพัฒนาระบบการวดั และประเมินผลเชงิ สมรรถนะ
2.3 พัฒนาช่องทางการเรียนรู้ผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มที่หลากห ลายและ
มีแพลตฟอร์มการเรียนรู้อัจฉริยะที่รวบรวมข้อมูลเก่ียวกับกระบวนการจัดการเรียนรู้ ส่ือการสอน
คุณภาพสงู และการประเมนิ และพัฒนาผู้เรียน เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้เป็นรายบคุ คล (Personalized
Learning) สาหรบั ผ้เู รยี นทุกชว่ งวยั
2.4 มุ่งพัฒนาการจัดการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมืองและ
ศีลธรรมให้มีความทันสมัยสอดรับกับวิถีใหม่ เหมาะสมกับวัยของผู้เรียน ควบคู่ไปกับการเรียนรู้
ประวตั ศิ าสตรข์ องท้องถิน่ และการเสรมิ สรา้ งวิถชี ีวติ ของความเป็นพลเมืองท่ีเข้มแข็ง
83
2.5 ส่งเสริมให้ความรู้ด้านการเงินและการออม (Financial Literacy) ให้กับ
ผู้เรียนโดยบูรณาการการทางานร่วมกับหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง เช่น กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารออมสิน ผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น โครงการสถานศึกษาส่งเสริมวินัย
การออมกบั กอช. โครงการธนาคารโรงเรียน และการเผยแพร่ส่อื แอนเิ มชันรอบรู้เรื่องเงนิ
2.6 พัฒนาหลักสูตรอาชีวศึกษา และหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้น แบบโมดูล
(Modular System) ท่ีมีการบูรณาการวิชาสามัญและวิชาชีพในชุดวิชาอาชีพเดียวกัน เช่ือมโยง
การจัดการอาชีวศึกษาท้ังในระบบ นอกระบบ และระบบทวิภาคี รวมทั้งการจัดการเรียนรู้
แ บ บ ต่ อ เน่ื อ ง (Block Course) เพ่ื อ ส ะ ส ม ห น่ ว ย ก าร เรีย น รู้ (Credit Bank) ร่ว ม มื อ กั บ
สถานประกอบการในการจัดการอาชีวศกึ ษาอย่างเขม้ ขน้ เพื่อการมงี านทา
2.7 ศึกษาวิจยั ถอดบทเรียนความสาเร็จในการจัดและพัฒนาคุณภาพการศึกษา
ในสถานศึกษาของสถานศึกษาในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ของพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา เพื่อเป็น
แนวทางใหห้ นว่ ยงาน สถานศึกษา และผเู้ ก่ยี วขอ้ งนาไปประยกุ ต์ใช้ใหเ้ หมาะสม
3) การสรา้ งโอกาส ความเสมอภาค และความเทา่ เทียมทางการศกึ ษาทุกช่วงวยั
3.1 ดาเนินการสารวจและติดตามเด็กตกหล่นและเด็กออกกลางคนั เพ่ือนาเขา้ สู่
ระบบการศึกษาโดยเฉพาะการศึกษาภาคบงั คับ
3.2 ส่งเสริมสนับสนุนให้เด็กปฐมวัยที่มีอายุต้ังแต่ 3 ปีขึ้นไปทุกคน เข้าสู่ระบบ
การศกึ ษาเพื่อรับการพฒั นาอยา่ งรอบด้าน มคี ุณภาพตามศกั ยภาพตามวัยและตอ่ เน่อื งอยา่ งเป็นระบบ
โดยบูรณาการรว่ มงานกบั ทุกหนว่ ยงานทีเ่ กย่ี วขอ้ ง
3.3 มุ่งแก้ปัญหาคนพิการในวัยเรียนที่ไม่ได้รับการศึกษาเข้าสู่ระบบการศึกษา
โดยกาหนดตาแหนง่ (ปักหมุด) บา้ นเดก็ พิการทว่ั ประเทศ
3.4 ให้ความช่วยเหลือโรงเรียนห่างไกลกันดารได้มีโอกาสเรียนรู้ในยุคโควิด
โดยการสร้างความพรอ้ มในด้านดิจทิ ัลและด้านอ่นื ๆ
3.5 ส่งเสริมและสนับสนุนความร่วมมือการจัดการศึกษาร่วมกับหน่วยงาน
องคก์ รทง้ั ภาครัฐ เอกชน ชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถน่ิ และสถาบันสังคมอืน่
4) การศึกษาเพื่อพฒั นาทกั ษะอาชพี และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
4.1 ขับเคล่ือนศูนย์ความเป็นเลิศทางการอาชีวศึกษา (Excellent Center) และ
ส่งเสริมการผลติ กาลังคนท่ีตอบโจทย์การพัฒนาประเทศ
4.2 ส่งเสริม สนับสนุนให้มีการฝึกอบรมอาชีพท่ีสอดคล้องกับความถนัด
ความสนใจ โดยการ Re-skill, Up-skill, New skill เพ่ือให้ทุกกลุ่มเป้าหมายมีการศึกษาในระดับ
ที่สูงขึ้น พร้อมท้ังสร้างช่องทางอาชีพในรูปแบบที่หลากหลายให้ครอบคลุมผู้เรียนทุกกลุ่มเป้าหมาย
รวมท้งั ผู้สูงอายุ ที่มีความสนใจ โดยมีการบรู ณาการความรว่ มมอื ระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวขอ้ ง
84
4.3 จัดตั้งศูนย์ให้คาปรกึ ษาการจัดตัง้ ธุรกิจ (ศูนย์ Start up) ภายใต้ศูนยพ์ ัฒนา
อาชพี และการเปน็ ผู้ประกอบการ และพัฒนาศูนย์บ่มเพาะผู้ประกอบการอาชวี ศึกษา เพ่อื การส่งเสริม
และพฒั นาผู้ประกอบการด้านอาชีพท้ังผู้เรียนอาชีวศกึ ษาและประชาชนทั่วไป โดยเช่ือมโยงกบั กศน.
และสถานประกอบการท้ังภาครฐั และเอกชนที่สอดคลอ้ งกับการประกอบอาชีพในวิถชี วี ิตรูปแบบใหม่
4.4 พัฒนาแอปพลิเคชัน เพื่อสนับสนุนช่างพันธ์ุ R อาชีวะซ่อมทั่วไทย โดยการ
นาร่องผ่านการให้บริการของศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน (Fix it Center) จานวน 100 ศูนย์ ให้
ค รอ บ ค ลุ ม
การให้บรกิ ารแก่ประชาชน
5) การส่งเสรมิ สนบั สนนุ วชิ าชพี ครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา
5.1 พั ฒ น าห ลัก เกณ ฑ์ การประเมินวิทยฐาน ะแน วใหม่ Performance
Appraisal (PA) โดยใช้ระบบการประเมินตาแหน่งและวิทยฐานะของข้าราชการครูและบุคลากร
ทางการศึกษา ระบบ Digital Performance Appraisal (DPA)
5.2 พัฒนาสมรรถนะทางด้านเทคโนโลยีดิจิทัล โดยการจัดทากรอบระดับ
สมรรถนะดิจิทัล (Digital Competency) สาหรับครูและบุคลากรทางการศึกษาระดับการศึกษา
ขน้ั พื้นฐาน และระดับอาชีวศกึ ษา
5.3 ดาเนินการแก้ไขปัญหาหน้สี ินครูและบุคลากรทางการศึกษาทัง้ ระบบ ควบคู่
กับการให้ความรดู้ ้านการวางแผนและการสร้างวนิ ัยดา้ นการเงนิ และการออม
6) การพัฒนาระบบราชการและการบริการภาครัฐยคุ ดจิ ิทลั
6.1 พั ฒ น าระบบ สารสน เท ศโดยใช้เทคโน โลยีสารสน เท ศท่ี ทั น สมัย
ในการจัดระบบทะเบียนประวัติของข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษาอิเล็กทรอนิกส์
6.2 ปรบั ปรงุ แนวทางการจดั สรรเงนิ คา่ เคร่ืองแบบนักเรียนและอุปกรณ์การเรยี น
ผา่ นแอปพลิเคชัน “เปา๋ ตัง” ของกรมบัญชกี ลางไปยังผปู้ กครองโดยตรง
7) การขับเคลื่อนกฎหมายการศึกษาและแผนการศึกษาแห่งชาติจัดทากฎหมาย
ลาดับรองและแผนการศึกษาแห่งชาติเพื่อรองรับพระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชาติควบคู่กับ
การสร้างการรับรูใ้ ห้กบั ประชาชนไดร้ ับทราบอย่างทั่วถึง
4.4. แนวทางการขบั เคลือ่ นนโยบายสกู่ ารปฏิบตั ิ
กระทรวงศึกษาธิการกาหนดแนวทางการขบั เคลื่อนนโยบายสู่การปฏบิ ตั ิ ไวด้ ังนี้
1) ใหส้ ่วนราชการ หนว่ ยงานในสงั กดั กระทรวงศึกษาธิการ นานโยบายและจดุ เน้น
ของกระทรวงศึกษาธิการ ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ข้างต้น เป็นกรอบแนวทางในการจัด
การศกึ ษา โดยดาเนนิ การจัดทาแผนและงบประมาณรายจา่ ยประจาปงี บประมาณ พ.ศ. 2565