การศึกษารปู แบบและกลไกการพฒั นาและส่งเสริมพหุปัญญาเพอื่ การพัฒนาศักยภาพผู้เรียน
บทสรปุ สำหรบั ผบู้ รหิ ำร
การจัดการศึกษาท่ีสามารถตอบสนองความต้องการผูเ้ รียนไดต้ รงความถนัดและเต็มตามศักยภาพ
ของผู้เรียนน้ัน จะส่งผลให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดต่อผู้เรียน คุณภาพการศึกษา และการพัฒนาทรัพยากร
มนุษย์โดยรวมของประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2561 – 2580 ในยุทธศาสตร์ชาติท่ี 3 ด้านการพัฒนา
และเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ และแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นการพัฒนา
การเรียนรู้ แผนย่อยการตระหนักถึงพหุปัญญาของมนุษย์ท่ีหลากหลาย ด้วยการพัฒนาและส่งเสริม
พหุปญั ญาผ่านครอบครัว สถานศกึ ษา สภาพแวดลอ้ ม และสือ่ ต่าง ๆ ตั้งแต่ระดบั ปฐมวยั เพื่อสร้างเดก็ และ
เยาวชนไทยให้มีการพัฒนาที่สมดุล ด้วยความตระหนักถึงความสาคัญและตอบสนองการดาเนินงานตาม
ยุทธศาสตร์ชาติดังกล่าว คณะนักวิจัยจึงดาเนินโครงการศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและส่งเสริม
พหุปัญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผู้เรียน โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือพัฒนารูปแบบและกลไกการพัฒนาและ
ส่งเสริมพหุปัญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผู้เรียน และจัดทาข้อเสนอเชิงนโยบายการพัฒนารูปแบบและ
กลไกการพัฒนาและส่งเสริมพหุปัญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผู้เรียนท่ีเหมาะสมสาหรับประเทศไทย
ใช้ระเบียบวิธีวิจัยผสานวิธีแบบลาดับ (Sequential mixed-method research) แบ่งการวิจัยออกเป็น
2 ระยะ คือ ระยะท่ี 1 การพัฒนารูปแบบและกลไกการพัฒนาและส่งเสริมพหุปัญญาเพ่ือการพัฒนา
ศักยภาพผู้เรียน ประกอบด้วยขั้นตอนการสังเคราะห์และการประชุมระดมความคิดผู้ให้ข้อมูลสาคัญเพื่อ
ปรับปรุงรูปแบบและกลไกการพัฒนาและส่งเสริมพหุปัญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผู้เรียนและการสารวจ
พหุปญั ญาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษา และระยะท่ี 2 การจัดทาข้อเสนอเชิงนโยบายการ
พัฒนารูปแบบและกลไกการพัฒนาและส่งเสริมพหุปัญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผู้เรียนท่ีเหมาะสม
สาหรับประเทศไทย ผู้ให้ข้อมูลสาคัญ มีจานวน 93 คน ประกอบด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิทางการศึกษาและ
จิตวิทยา 1 คน ผู้บริหารสถานศึกษา 21 คน ครูผู้สอน 22 คน ผู้ปกครองของผู้เรียน 20 คน และผู้เรียน
ชั้นประถมศึกษาหรือมัธยมศึกษา 29 คน กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้เรียนชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษา
460 คน โดยคัดเลือกด้วยวิธีการสุ่มแบบหลายข้ันตอน (Multi-stage random sampling) จาก 5 ภูมิภาค
ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก ภาคกลาง และภาคใต้ รวมจานวน 25 โรงเรียน
จาก 24 จังหวัด นักเรียนจะได้รับการประเมินพหุปัญญาจากครูผู้สอนและผู้ปกครอง โดยใช้แบบคัดกรอง
พหุปัญญาซงึ่ เปน็ แบบสังเกตพฤติกรรม สรุปผลการวิจยั ดงั นี้
1. ผลการศึกษาและทบทวนวรรณกรรมที่เก่ียวข้องท้ังในและต่างประเทศ พบว่า รูปแบบและ
กลไกการพัฒนาและส่งเสริมพหุปัญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผู้เรียนที่เคยมีการศึกษาวิจัยในประเทศไทย
และต่างประเทศ จาแนกได้ 3 รูปแบบ คือ (1) รูปแบบ ACACA เป็นการพัฒนาพหุปัญญาเพื่อการเรียนรู้
สาหรับการจัดการศึกษาในบริบทของสังคมไทย ท่ีเน้นให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ด้วย
ตนเองตามข้ันตอนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ 5 ข้ันตอน คือ ข้ัน 1 ผู้เรียนลงมือปฏิบัติกิจกรรมการ
เรียนรู้ด้วยตนเองอย่างมีชีวิตชีวา (Active Learning) ข้ัน 2 ผู้เรียนปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มร่วมกับผู้อ่ืนในกลุ่ม
ย่อย (Cooperative Learning) ขั้น 3 ผู้เรียนวิเคราะห์กิจกรรมการเรียนรู้ (Analysis) ข้ัน 4 ผู้เรียนสามารถ
มหาวทิ ยาลัยศรนี ครินทรวิโรฒ ก
การศกึ ษารปู แบบและกลไกการพัฒนาและส่งเสริมพหุปญั ญาเพอ่ื การพัฒนาศกั ยภาพผเู้ รียน
สรุปและสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism) ขั้น 5 ผเู้ รียนสามารถนาส่ิงท่ีได้เรียนรู้ไปประยุกต์ใช้ได้
อย่างมีความหมาย (Application) (2) รูปแบบการบูรณาการกับหลักสูตร ในประเทศไทย โดย
กระทรวงศึกษาธิการ ต้ังแต่ใน พ.ศ. 2558 กระทรวงศึกษาธิการ มีนโยบายด้านการศึกษา “การลดเวลา
เรียน เพิ่มเวลารู้: Mordorate Class More Knowledge” โดยกาหนดเป้าหมายการพัฒนา 4H ได้แก่
Head (พฒั นาสมอง) Heart (พฒั นาจติ ใจ) Hand (พัฒนาทักษะการปฏิบัต)ิ และ Health (พัฒนาสุขภาพ)
ให้เช่ือมโยงกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ในต่างประเทศ การ์ดเนอร์
ได้ออกแบบโครงการ Project Spectrum ซ่ึงเป็นโครงการวิจัยที่ดาเนินการตั้งแต่ปี ค.ศ. 1984 ถึงปี
ค.ศ. 1988 ในโครงการนี้มีการพัฒนาหลักสูตรสาหรับเด็กก่อนวัยเรียนและประถมศึกษาตอนต้น เพื่อ
พัฒนาพหุปัญญา 8 ด้าน ทาการทดลองกับโรงเรียนของรัฐในเมือง Somerville และ Roxbury มลรัฐ
Massachusetts ผลงานของ Project spectrum ขึน้ อยู่กับความเชอ่ื ท่ีวา่ เด็กแต่ละคนมคี วามโดดเด่นของ
เชาวน์ปัญญาท่แี ตกตา่ งกนั 8 ด้าน ความสามารถทแี่ ตกต่างกันหรอื สเปกตรมั ของเชาวน์ปญั ญา ซ่ึงสามารถ
เพ่ิมพูนได้ด้วยโอกาสทางการศึกษา และใช้ข้อมูลนี้เป็นพื้นฐานสาหรับโปรแกรมการศึกษาเฉพาะบุคคล
(3) รูปแบบบูรณาการกับการจัดการเรียนรู้ จาแนกออกตามโครงสร้างการบูรณาการได้เป็น 6 รูปแบบย่อย
คือ (ก) การบูรณาการกับพื้นที่จัดการเรียนรู้ โดยการศึกษาของกรุงเทพมหานคร ที่ได้ทดลองใช้จัดการ
เรียนรู้แบบพหุปัญญาในหลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรียนมีวิชาพลศึกษา ดนตรี ชมรมบาเพ็ญประโยชน์
ชมรมโต้วาที ชมรมหมากรุก วิชาศิลปะ ซึ่งช่วยส่งเสรมิ พัฒนาปัญญา 8 ด้าน โดยให้ครูจัดมุมหรือศนู ย์หรือ
ฐานท่ีสัมพันธ์กับเชาวน์ปัญญาด้านต่าง ๆ ในห้องเรียน มุมเหล่านี้อาจจะมีตลอดปีหรือจัดเป็นครั้งคราว
เช่น ครั้งละ 2 – 3 วันหรือ 2 – 3 สัปดาห์ ตามท่ีผเู้ รียนจดั เช่น จัดมมุ ภาพการ์ตูน วาดภาพจากหนังสือท่ี
ผู้เรียนอ่าน การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนท่สี ัมพันธ์กับเชาวน์ปญั ญาแตล่ ะด้าน (ข) การบูรณาการกับ
กลยุทธ์การสอนด้วย Elliott’s model โดยครูผู้สอนจะเป็นผู้ออกแบบกลยุทธ์การสอนของครู
ท่ีบูรณาการเข้ากับเชาวน์ปัญญาแต่ละด้าน เพื่อให้สามารถพัฒนาพหุปัญญาของผู้เรียน (ค) การบูรณาการ
กับกลยุทธ์การสอนออนไลน์ เป็นการประยุกต์ทฤษฎีพหุปัญญา (MI) เข้ากับกลยุทธ์การสอนออนไลน์
สาหรับนักศึกษาระดับอุดมศึกษา (IHE) ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการประเมินจุดแข็งของตนเอง และจุดแข็ง
ทางพหุปัญญา เพื่อตอบสนองความต้องการในการพัฒนาพหุปัญญาเปน็ รายบุคคล (ง) การบรู ณาการกับ
การเรียนรู้จากบทบาทสมมติแบบออกอากาศ (Pod class role play) เป็นการใช้บทบาทสมมติ
ร่วมกับการถ่ายทอดกิจกรรมในชั้นเรียนเพ่ือส่งเสริมพหุปัญญาด้านการเข้าใจระหว่างบุคคลและการเข้าใจ
ตนเอง กิจกรรมบทบาทสมมติเป็นกิจกรรมจากประสบการณ์ของผู้เรียนหรือส่ิงท่ีผู้เรียนสนใจ ครูจะ
แนะนาให้ผู้เรียนแสดงบทบาทหลาย ๆ แบบ กระตนุ้ ให้ผู้เรียนรู้จักใช้คาพูดของตนเองร่วมอภิปราย แสดง
ความคิดเห็น และรับฟังความคิดเห็นของผู้เรียนคนอ่ืน ๆ กลยุทธ์ที่ครูใช้คือการพูด การเขียน การแสดง
ท่าทาง ในช่วง 5 นาทีสุดท้ายของคาบ จะเป็นเวลาในการสะท้อนว่า ผู้เรียนได้ทาอะไรบ้าง ผู้เรียนชอบ
อะไรมากท่ีสุด ผู้เรียนสนใจอะไรมากที่สุดในระหว่างการทากิจกรรม และ (จ) การบูรณาการกับการจัด
สภ าพ แ วดล้อมการเรียน รู้ ใน ร่มและกลางแจ้ง (Indoor outdoor playground learning
Environment) ด้วยการออกแบบสนามเด็กเล่นในร่มและกลางแจ้งเพื่อจัดสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ใน
สถานศึกษา มีการบูรณาการกิจกรรมในร่มและกลางแจ้งกับกระบวนการเรียนรู้ท่ีออกแบบหรือ Lesson
มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ ข
การศกึ ษารปู แบบและกลไกการพัฒนาและสง่ เสรมิ พหปุ ญั ญาเพือ่ การพัฒนาศักยภาพผเู้ รียน
plan activity แบ่งออกเป็น Daily activity plan (DAP) Weekly activity plan (WAP) และ Annual
activity plan (AAP) ครูต้องมีความอดทน เอาใจใส่ดูแล และรอบรู้จะเป็นบุคคลสาคัญที่จะเอ้ือให้เกิด
กระบวนการเรียนรู้นี้
2. ผลการศึกษาการดาเนินงานของหน่วยปฏิบตั ิ พบว่า ในปัจจุบัน โรงเรยี นมีการพัฒนาผู้เรียน
หลายดา้ น และมีการใชแ้ นวคิด ต่าง ๆ มาใช้ในการพฒั นาผู้เรียน ได้แก่ (1) เศรษฐกิจพอเพียง ในโรงเรียน
พื้นที่ชนบท เป็นการเน้นกิจกรรมท่ีเก่ียวข้องกับวิถีชีวิต (2) จิตปัญญา เป็นโรงเรียนในวิถีแห่งปัญญา ที่
มุ่งเน้นการเรียนรู้ภายในตนเองเป็นหลัก ผู้เรียนมีการพัฒนาอย่างบูรณาการตามหลักไตรสิกขา (4) การ
พฒั นาสมองซีกซ้ายและซีกขวา โดยท่ีสมองซีกซ้ายคือ “ส่วนของการตัดสิน” และสมองซกี ขวา คือ “ส่วน
ของการสร้างสรรค์” (5) การจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะที่สาคัญในการดารงชีวิตในศตวรรษท่ี 21
ได้แก่ พ้ืนฐานความคิดเชิงคานวณ (Computational thinking) พื้นฐานความรู้ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล
(Digital technology) และพื้นฐานการรู้เท่าทันสื่อและข่าวสาร (Media and Information Literacy)
สาหรับการพัฒนาพหุปัญญาของผู้เรียน และ (6) การพัฒนาผู้เรียนผ่านกิจกรรมเสริมการเรียนรู้ โดย
จัดเป็นชุมนุมคณิตศาสตร์ กีฬา ดนตรี ศิลปะ ซ่ึงผู้เรียนสามารถเลือกเข้าชุมนุมต่าง ๆ ตามความสนใจ
และกจิ กรรมบาเพ็ญประโยชน์ท่ีผู้เรียนต้องเข้าร่วมกิจกรรมทุกคน สรปุ ได้ว่า ยังไม่มีความชัดเจนวา่ มีการ
หลอมรวมแนวทางการพัฒนาผู้เรียนไปในทิศทางเดียวกัน หรือมีการพัฒนาพหุปัญญาอย่างต่อเนื่อง และ
ยังมคี วามแตกตา่ งกนั อย่มู ากในระหวา่ งโรงเรียน
3. ผลการพัฒนารูปแบบและกลไกการพัฒนาและส่งเสริมพหุปัญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพ
ผู้เรียน ผลการสังเคราะห์จากเอกสารและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง คือ รูปแบบ A2D หรือ AAD” เรียกว่า
รูปแบบ A Square D ประกอบด้วยอักษรย่อ 3 ตัวคือ “A” 2 ตัวอักษร และ “D” 1 ตัวอักษร โดยอักษร
“A” ตัวแรก คือ “Area” หมายถึง องค์ประกอบด้านพ้ืนที่ อักษร “A” ตัวท่ีสอง คือ “Activity” หมายถึง
องค์ประกอบด้านกิจกรรม และ อักษร “D” คือ Digital Platform หมายถึง องค์ประกอบด้านดิจิทัล
แพลตฟอร์ม โดยมีกลไกการพัฒนาและส่งเสริมพหุปัญญาของผู้เรียน 8 กลไก ได้แก่ (1) สายสัมพันธ์ระหว่าง
พ่อแม่กับลูก (2) การประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียน (3) พีระมิดการเรียนรู้ (4) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้
แบบกลุ่มย่อย (5) สภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรม (6) การใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ (7) การสร้างแรงจูงใจ
ภายในของผ้เู รยี น และ (8) การเรยี นรเู้ ชิงรกุ ของผเู้ รียน
เมื่อนาเข้าสู่ข้ันตอนการพัฒนาด้วยการประชุมระดมความคิดเพื่อวิพากษ์และปรับปรุงรูปแบบและ
กลไกการพัฒนาและส่งเสรมิ พหุปญั ญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผู้เรียน ผลการวเิ คราะห์ได้สารสนเทศที่นามาสู่
การปรับรูปแบบและกลไกการพัฒนาและส่งเสริมพหุปัญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผู้เรียน ประกอบด้วย (1)
การปรับโครงสร้างให้องค์ประกอบท่ี 1 คือ Area ได้แก่ เชาวน์ปัญญา 9 ด้าน องค์ประกอบท่ี 2 คือ Activity
ได้แก่ กลไกท้ัง 8 โดยปรับกลไกท่ี 6 เป็นการใช้เทคโนโลยีในการทากิจกรรม เพื่อแก้ปัญหาตาม Area และ
องค์ประกอบท่ี 3 คือ Digital Platform (2) ปรับลาดับของกลไกทั้ง 8 และ (3) ปรับกลไกท่ี 1 สายสัมพันธ์
ระหว่างพ่อแมก่ ับลกู ใหเ้ ป็นสายสมั พนั ธ์ระหวา่ งผูเ้ รียนกบั ครหู รือผู้ปกครอง
มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครินทรวิโรฒ ค
การศกึ ษารปู แบบและกลไกการพฒั นาและสง่ เสริมพหุปัญญาเพอ่ื การพัฒนาศักยภาพผเู้ รียน
ดังน้ัน รปู แบบและกลไกการพัฒนาและส่งเสริมพหุปัญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผู้เรียน ยังคง
เป็น รูปแบบ A2D หรือ A square D หรือ AAD model มีรายละเอียดของโครงสร้างรูปแบบและกลไก
ดังนี้
อกั ษร “A” ตัวแรก คือ “Area” หรือ “พ้ืนท่ี” หมายถึง ความสามารถทางสมองของผู้เรียน
ตามทฤษฎีของการ์ดเนอร์ ได้แก่ เชาวน์ปัญญาหรือความสามารถทางสมองของผู้เรียนทั้ง 9 ด้าน ที่ส่งผลต่อ
การคิด การตดั สนิ ใจ การแก้ปญั หา การเรียนรู้ และการดารงชีวติ ของผเู้ รยี น
อักษร “A” ตัวที่สอง คือ “Activity” หรือ “กิจกรรม” หมายถึง หมายถึง กลไกที่ขับเคลื่อน
และสนับสนุนให้การพัฒนาพหปุ ญั ญาดารงอยไู่ ดอ้ ย่างตอ่ เน่ือง มีจานวน 8 กลไก
อักษร “D” คือ Digital Platform หรือ “ฐานดิจิทัล” หมายถึง ดิจิทัลแพลตฟอร์ม หรือ
แอปพลิเคชัน หรือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์สาเร็จรูปท่ีเสริมสร้าง ส่งเสริม และ สนับสนุนการเรียนรู้และ
พัฒนาเชาวนป์ ญั ญาทง้ั 9 ดา้ น
มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ ง
การศึกษารปู แบบและกลไกการพฒั นาและส่งเสริมพหปุ ัญญาเพือ่ การพฒั นาศักยภาพผ้เู รยี น
โครงสรา้ งของรปู แบบ A2D
อักษร “A” ตัวแรก คือ “Area” คือ ความสามารถทางสมองของผู้เรียนตามทฤษฎีของ
การด์ เนอร์ หมายถึง เชาวน์ปัญญาหรือความสามารถทางสมองของผู้เรียน ที่ส่งผลตอ่ การคิด การตัดสินใจ
การแก้ปัญหา การเรียนรู้ และการดารงชวี ติ ของผู้เรยี น จาแนกออกเป็น 9 ดา้ น ผู้เรยี นแต่ละคนจะมีเชาวน์
ปัญญาครบท้ัง 9 ด้าน แต่จะมีระดับเชาวน์ปัญญาแต่ละด้านไม่ทัดเทียมกัน เชาวน์ปัญญาของผู้เรียน
ทงั้ 9 ด้าน ได้แก่
1. เชาวน์ปญั ญาดา้ นภาษา (linguistic intelligence) คือ ผู้ท่มี ีความสามารถในการเรียนรภู้ าษาได้
อย่างรวดเร็วและมีความสามารถในการใชภ้ าษาได้ถึงแกน่
2. เชาวน์ปัญญาด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ (Logical mathematical intelligence) คือ ผู้ที่มี
ความสามารถในการใช้ตัวเลข มีความสามารถในการตั้งโจทย์ปัญหาและแก้โจทย์ปัญหา หรือตั้งสมมตฐิ าน
และทดสอบสมมตฐิ าน ด้วยการคดิ เชงิ เหตุและผล
3. เชาวน์ปัญญาด้านมิติสัมพันธ์ (Spatial intelligence) คือ ผู้ท่ีมีความสามารถในการมองเห็น
ภาพและทิศทางแบบสามมิติ มีความไวในการรับรู้ส่ิงต่าง ๆ รอบตัว สามารถจาแนกลักษณะ และเช่ือมโยง
ความสัมพนั ธ์ของสิ่งต่าง ๆ เหลา่ นัน้
4. เชาวน์ปัญญาด้านรา่ งกายและการเคล่ือนไหว (Bodily – kinesthetic intelligence) คือ ผู้ที่มี
การเคลื่อนไหวของร่างกายอย่างคล่องแคล่ว สามารถใช้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวของร่างกาย ใจและ
กายประสานกนั เปน็ หนึ่งเดยี ว
5. เชาวน์ปัญญาดา้ นดนตรี (Musical intelligence) คอื ผู้ท่ีมีความไวในการรบั รแู้ ละตอบสนองตอ่
ทว่ งทานองของเสียง มคี วามสามารถในการใช้และสร้างแกนหลักของดนตรี คือ ระดับเสียงสงู – ต่า จังหวะ
และความเรว็ ของเสยี ง
6. เชาวน์ปัญญาด้านการเข้าใจระหว่างบุคคล (Interpersonal intelligence) คือ ผู้ที่มี
มนุษยสัมพันธ์ ไวในการสังเกตสีหน้า ท่าทางของผู้อ่ืน มีความเข้าใจ อารมณ์ ความรู้สึก ความคิด และ
เจตนาของผ้อู น่ื
7. เชาวน์ปัญญาด้านการเข้าใจตนเอง (Intrapersonal intelligence) คือ ผู้ที่มีความสามารถ
ในการมองตน รู้จกั ตน เข้าใจความคดิ อารมณแ์ ละความต้องการของตนเอง และสามารถควบคมุ พฤตกิ รรม
ตนเอง
8. เชาวน์ปัญญาด้านธรรมชาติวิทยา (Naturalistic intelligence) คือ ผู้ที่เข้าใจธรรมชาติและ
การเปลยี่ นแปลงของธรรมชาติ มคี วามรอบรเู้ รือ่ งของพชื และสัตว์
9. เชาวน์ปัญญาด้านการดารงอยู่ของชีวิต (Existential intelligence) คือ ผู้ท่ีเข้าใจสัจธรรมของ
โลกและชวี ิต การดารงอยูข่ องมนุษย์ คุณคา่ ของมนษุ ย์ทม่ี ีต่อโลกและจักรวาล
มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ จ
การศกึ ษารูปแบบและกลไกการพฒั นาและส่งเสริมพหุปญั ญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผู้เรียน
อักษร “A” ตัวทสี่ อง คือ “Activity” หรือ “กิจกรรม” หมายถึง กลไกท่ีขับเคล่ือนและสนับสนุนให้
การดาเนินงานดารงอย่ไู ด้อย่างตอ่ เนือ่ ง มีจานวนทงั้ ส้ิน 8 กลไก หรือ 8 กจิ กรรม ซึ่งไดม้ ีการจดั ลาดับ ดังน้ี
กลไก 1 สายสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับครูหรือผู้ปกครอง หมายถึง ความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่าง
ผู้เรียนกับครูหรือผู้ปกครอง เป็นส่ิงท่ีทาให้ครูหรือผู้ปกครองได้สามารถรับรู้และความเข้าใจถึงศักยภาพของ
ผู้เรียน สงิ่ ท่ีผเู้ รยี นช่นื ชอบ รวมทง้ั ความต้องการในการพฒั นาตนเองของผู้เรยี น
กลไก 2 สภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรม หมายถึง สมรรถภาพในการปรบั ตัวใหเ้ ข้ากบั สถานการณ์ของ
คนรุ่นหน่ึง ๆ ท่ีถูกถ่ายทอดไปยังคนรุ่นต่อ ๆ ไป ผู้ที่มีวัฒนธรรมแตกต่างกันจะมีความคิดและทักษะ
การแก้ปญั หาท่ีแตกต่างกันได้ด้วย
กลไก 3 พีระมิดการเรียนรู้ หมายถึง อัตราการจาเนื้อหาท่ีได้เรียนรู้จากวิธีการเรียนรู้ท่ีแตกต่างกัน
กล่าวคือ ผู้เรียนที่เรียนรู้เชิงลึกจากการสอนผู้อ่ืน อัตราการคงอยู่ของสิ่งที่ได้เรียนรู้จะเพ่ิมสูงถึงร้อยละ 95
ถ้าได้ทดลองปฏิบัติ (Practice doing) จะช่วยให้อัตราการคงอยู่ได้ร้อยละ 75 ถ้าหากได้ร่วมอภิปราย
ในห้องเรียน (Discussion) จะช่วยให้อัตราการคงอยู่ได้ร้อยละ 50 แต่ถ้ามีการผสมผสานการเรียนรู้หลาย ๆ
วธิ ีจะทาใหอ้ ัตราการคงอยูข่ องความรู้เพม่ิ สูงขึ้น
กลไก 4 การเรียนรู้เชิงรกุ ของผู้เรยี น หมายถึง กระบวนการทางสังคมวิทยาและจิตวิทยา เม่ือผูเ้ รยี น
มีความเข้าใจความสมดลุ ทางพหุปญั ญาของตนเองแล้ว ผู้เรียนจะเปน็ ผู้ริเรม่ิ จัดการการเรียนรูข้ องตนเองและ
ให้คณุ ค่ากับจุดแขง็ ของตนเอง
กลไก 5 แรงจูงใจในการเรยี นรู้อย่างสรา้ งสรรค์ หมายถึง การะบวนการท่ีเกิดขึ้นภายในตัวบุคคลท่ีมี
ส่วนในการผลักดันให้ผู้เรียนไปสู่เป้าหมาย แรงจูงใจส่งผลท้ังความทุ่มเท ความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมไป
ในทางที่สร้างสรรค์ มี 2 แบบคือ ผู้เรียนที่มีแรงจูงใจแบบบูรณาการ (Integrative motivation) จะมี
ความสนใจที่จะเรียนรู้และสร้างสรรค์เก่ียวกับวัฒนธรรมและภาษา ผู้เรียนท่ีมีแรงจูงใจแบบเครื่องมือ
(Instrumental motivation) จะสนใจเรียนรู้และสร้างสรรค์การทางาน เช่น สนใจงานที่สร้างรายได้เพิ่มขึ้น
เป็นต้น
กลไก 6 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มย่อย หมายถึง การแบ่งผู้เรียนท่ีเข้าร่วมกิจกรรม
ออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ ท่ีมีขนาดไม่เกิน 4 – 6 คน เพื่อให้ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมอย่างทั่วถึง เกิดการเรียนรู้
แบบร่วมมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Effective collaborators) ครูผู้สอนสามารถจัดกลุ่มตาม
ความสามารถของผ้เู รียน ถ้าหากครูผสู้ อนต้องการพฒั นาผเู้ รยี นตามความสามารถ ครผู สู้ อนสามารถอนุญาต
ให้ผู้เรียนจัดกลุ่มด้วยตนเอง เพื่อให้ผู้เรียนทางานตามความชอบและความถนัด เพราะผู้เรียนจะรู้ว่าเพ่ือน
แต่ละคนจะทางานช่วยเหลือกันในแต่ละบทบาทไดอ้ ยา่ งไร
มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ฉ
การศึกษารูปแบบและกลไกการพฒั นาและสง่ เสรมิ พหุปัญญาเพอื่ การพฒั นาศกั ยภาพผเู้ รยี น
กลไก 7 การใชเ้ ทคโนโลยีในการทากิจกรรม หมายถึง การนาองค์ประกอบของส่ือเทคโนโลยี
ประเภทต่าง ๆ มาผสมผสานรวมกัน ซ่ึงประกอบด้วย ตัวอักษร (Text) ภาพน่ิง (Image) ภาพเคลื่อนไหว
(Animation) เสียง (Sound) และวีดีโอ (Video) โดยผ่านกระบวนการทางระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อสื่อ
ความหมายกับผู้ใช้ในการทากิจกรรม และใช้สนับสนุนการเรียนรู้อย่างมีปฏิสัมพันธ์ (Interactive
multimedia) และสง่ เสริมเชาวนป์ ัญญาแตล่ ะด้านขององค์ประกอบด้านพนื้ ที่ (Area)
กลไก 8 การประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียน หมายถึง ความเข้าใจของครูเกี่ยวกับขั้นตอน
การประเมินการเรยี นรู้ของผู้เรยี น ซง่ึ มีการเรียนรู้ 5 ขั้น คือ ขน้ั 1 จา (Remember) หมายถงึ การระลึก
ได้ หรือการดึงข้อมูลจากความจาที่มีอยู่มาใช้ในการนิยาม ให้ข้อเท็จจริง หรือรายการข้อมูลต่าง ๆ หรือ
ทอ่ งสง่ิ ท่ีเคยเรียนรูม้ าก่อนใหฟ้ งั ขั้น 2 เข้าใจ (Understanding) หมายถึง การให้ความหมายดว้ ยวธิ ีการ
ตา่ ง ๆ เช่น การเขียนหรือวาดกราฟ หรือการใช้วิธีการอ่ืน ๆ ในการตีความ การยกตัวอย่าง การจัดจาแนก
การสรุปความ การเปรยี บเทียบ หรือการอธิบายการให้ความหมายหรือใช้วิธีการอ่ืน ๆ ในการตีความ การ
ยกตัวอย่าง การจัดจาแนก การสรุปความ การเปรียบเทียบ หรือการด้วยวิธีการต่าง ๆ ขั้น 3 ประยุกต์ใช้
(Applying) หมายถึง การดาเนินการหรือการใช้กระบวนการท่ีคิดขึ้นเองเพอ่ื นาเอาผลผลิตจากการเรียนรู้
เช่น แบบจาลอง รูปแบบการนาเสนอ การสัมภาษณ์ หรือต้นแบบ มาปรับใช้ ขั้น 4 วิเคราะห์
(Analyzing) หมายถึง การแยกเนื้อหาหรือความคิดรวบยอดออกเป็นส่วน ๆ แล้วจึงพิจารณาว่ามีส่วนใด
สัมพันธ์กัน หรือเก่ียวข้องกันด้วยส่วนใดหรือตลอดท้ังโครงสร้าง มีการแยกแยะ จัดระบบพร้อมให้เหตุผล
ประกอบ รวมท้ังแยกความแตกต่างระหว่างองค์ประกอบหรือส่วนใดส่วนหน่ึง เมื่อผู้เรียนวิเคราะห์สมองก็
จะทางานโดยการสร้างแผ่นความคิดท่ี สารวจ ผังภาพ หรือ แผนภูมิ ขั้น 5 ประเมิน (Evaluating)
หมายถึง การตัดสินใจภายใต้เกณฑ์ตัดสินและมาตรฐาน ผ่านการตรวจสอบ และวิพากษ์ ซ่ึงการวิพากษ์
แนะนา การรายงานเป็นผลผลิตเพียงบางสว่ นทีส่ ามารถสร้างข้นึ เพอ่ื แสดงให้เหน็ ถงึ กระบวนการประเมนิ ผล
ซ่ึงมาก่อนขั้นการสร้างสรรค์ และ ขั้น 6 สร้างสรรค์ (Creating) หมายถึง การนาเอาส่วนประกอบที่มีอยู่
มาเช่ือมสัมพันธ์กันทาให้เกิดสิ่งใหม่ รูปแบบใหม่ โครงสร้างใหม่ หรือ ระบบใหม่ท่ีแตกต่างจากเดิม
การเช่ือมสัมพันธ์ในการสร้างสรรค์จะต้องใช้วิธกี ารใหม่ หรอื มีการสงั เคราะห์สว่ นใดส่วนหนง่ึ ไปเป็นส่ิงใหม่
ทาใหเ้ กิดรูปแบบใหม่หรือผลติ ภณั ฑใ์ หม่
มหาวทิ ยาลัยศรนี ครินทรวิโรฒ ช
การศกึ ษารปู แบบและกลไกการพัฒนาและส่งเสรมิ พหปุ ญั ญาเพ่อื การพฒั นาศกั ยภาพผูเ้ รยี น
อักษร “D” คือ “ด้าน ดิจิทั ลแพ ลต ฟ อร์ม (Digital Platform) คือ ฐาน ดิจิทั ล หรือ
แอปพลิเคชัน หรือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์สาเร็จรูปที่ เสริมสร้าง ส่งเสริม และ สนับสนุนการเรียนรู้และ
พัฒนาเชาวนป์ ญั ญาทงั้ 9 ดา้ น ดงั ตัวอยา่ งต่อไปน้ี
พหุปัญญา ดิจทิ ัลแพลตฟอร์ม
ด้านภาษา การเขา้ ถึงขอ้ มูลผ่านฐานขอ้ มูลระดับโลกและเครือข่าย
คอมพิวเตอร์ เชน่ Khan academy
ด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ เทคโนโลยมี ลั ตมิ เี ดีย โปรแกรมคอมพวิ เตอร์
เกมคอมพิวเตอร์
ดา้ นมิติสัมพันธ์ โปรแกรม Graphic design
ด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว วดี โิ อ หรอื เกม หรอื โปรแกรมกฬี าและฝึกการเคลื่อนไหว
ESGN: E – sports platform
ด้านดนตรี เทคโนโลยีมลั ติมีเดีย Live music booking platform,
Shared piano, Platform music contest
ด้านการเข้าใจระหว่างบุคคล Youtuber, Vlogger, Pickle, Content creator
ดา้ นการเข้าใจตนเอง Meditation and mindfulness application
ดา้ นธรรมชาติวิทยา Application: Global forest watch หรือ Global fishing
watch เปน็ ตน้
ดา้ นการดารงอยูข่ องชวี ติ เทคโนโลยอี วกาศ เชน่ GISTDA, NASA ames research
center, International space station (ISS) of Russia,
Web 2.0 project ทมี่ รี ูปแบบของการสอ่ื สารเป็นแบบสองทาง
(Two – way communication) เพอ่ื ใหม้ ีความร่วมมอื ระดบั
เครอื ข่ายระดับพน้ื ท่ถี ึงระดบั โลกเพือ่ ใหม้ ีการเปลีย่ นแปลง
ระดบั โลก
4. ผลการพัฒนาแบบคัดกรองพหุปัญญา แบบคัดกรองพหุปัญญาที่ควรนามาใช้ในการประเมิน
ระดับเชาวน์ปัญญาท้ัง 9 ด้าน ของผู้เรียนชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษา เพ่ือใช้เป็นสารสนเทศ
ในการจัดการเรียนรู้และประเมินพัฒนาการด้านพหุปัญญาเพื่อส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของผู้เรี ยน
อย่างต่อเนื่อง คือ แบบสังเกตพฤติกรรมผู้เรียน ที่มีจานวนพฤติกรรมที่ต้องสังเกต 45 พฤติกรรม จาแนก
มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครินทรวโิ รฒ ซ
การศึกษารปู แบบและกลไกการพัฒนาและสง่ เสริมพหปุ ัญญาเพือ่ การพัฒนาศักยภาพผู้เรยี น
เป็น 5 พฤติกรรมต่อเชาวน์ปัญญา 1 ด้าน มีเกณฑ์การการประเมินเชาวน์ปัญญาของผู้เรียน 2 ระดับคือ
ระดับปกติและระดับโดดเดน่
แบบคัดกรองพหปุ ญั ญา
พหุปัญญา พฤตกิ รรมของผู้เรียน สมา่ เสมอ ไม่สมา่ เสมอ
ภาษา
1. เรียนรภู้ าษาได้เร็ว
ตรรกะและ
คณิตศาสตร์ 2. ชอบอา่ นตัวหนงั สือจากสิ่งต่าง ๆ รอบตวั
3. ช่างพดู รู้จังหวะที่จะพดู
มติ สิ มั พนั ธ์ 4. รูจ้ ักใช้ภาษาและนา้ เสยี งจูงใจผฟู้ ัง
5. ชอบกิจกรรมทใ่ี ชท้ กั ษะการพดู
รา่ งกายและ 6. คดิ จ่ายเงนิ ทอนเงนิ ไดอ้ ยา่ งคลอ่ งแคลว่
การเคลื่อนไหว 7. คดิ เลขเก่ง ชอบคิดเลข
8. มีวธิ ีคิดวเิ คราะหท์ เี่ ปน็ ระบบ เปน็ ข้ันตอน
ดนตรี 9. ชอบแก้ปัญหาทซี่ ับซอ้ น และคาดเดาคาตอบ
10. รู้จกั ใชเ้ หตุผล
ความสมั พนั ธ์ 11. เกง่ การใชแ้ ผนทแ่ี ละจบั ทศิ ทาง
ระหว่างบคุ คล 12. เก่งเรอื่ งการจดั หมวดหมู่ จดั สิ่งของเข้าที่
13. ตาไว สายตาดี บอกรายละเอียดของสงิ่ ท่มี องเห็นไดอ้ ย่างรวดเรว็
เข้าใจตนเอง 14. ชอบวาดภาพ ระบายสี ออกแบบโปสเตอร์ จดั นิทรรศการ
15. ชอบต่อจ๊ิกซอร์ เลน่ เกมจับค่ภู าพ จดั สิ่งของใหพ้ อดีกับพนื้ ท่ี
16. เรยี นรู้งานท่ตี ้องลงมอื ปฏิบตั ไิ ดด้ ี
17. ใช้สว่ นต่าง ๆ ของร่างกายปฏบิ ตั ิกจิ กรรมได้ดี
18. ชอบแสดงท่าทางประกอบการพดู แสดงทา่ ทางเพ่ือส่อื ความหมาย
19. เคลอื่ นไหวร่างกายไดอ้ ยา่ งคล่องแคล่ว มกี ารทรงตวั ไดด้ ี
20. ชอบกจิ กรรมท่มี ีการเคลอื่ นไหวรา่ งกาย เชน่ การแสดง การฟ้อนรา
เต้นรา
21. มีความสามารถในการไดย้ นิ เสยี งดนตรี จับจงั หวะของเสยี ง และ
ท่วงทานองได้ดี
22. สรา้ งหรอื เลียนแบบเสยี งดนตรไี ดเ้ ก่ง
23. ชอบเล่นดนตรีเปน็ งานอดิเรก ชอบสะสมเรอื่ งราวทางดนตรี
24. ชอบเคร่ืองดนตรี เรียนร้กู ารเลน่ เคร่ืองดนตรไี ดร้ วดเร็ว
25. ชอบดดั แปลงเนื้อเพลง แตง่ เพลงเพือ่ ใหจ้ าเนือ้ หาทเ่ี รียน
26. อ่านใจคนเก่ง
27. เขา้ ถึงความชอบ ความคดิ แรงจูงใจของคนอืน่ ได้ดี
28. ไวตอ่ การรบั รู้ความรสู้ ึกของคนรอบข้าง จบั ความรู้สึกของผ้อู ่นื ได้ดี
29. เขา้ กับคนงา่ ย มปี ฏสิ ัมพันธ์กับผูอ้ น่ื ไดด้ ี
30. ชอบทางานเป็นกลมุ่
31. รู้จักและเขา้ ใจตนเอง บอกข้อดีข้อเสยี ของตนเองได้
32. บอกได้วา่ ตนเองมคี วามคดิ และความรูส้ ึกอย่างไร
33. พง่ึ ตนเอง มีความรับผดิ ชอบในตัวเอง
34. ชอบเขียนบนั ทึกเร่อื งของตนเอง
35. ชอบเลน่ เกมผจญภัยหรอื สวมบทบาทเป็นตวั ละครหลาย ๆ ประเภท
มหาวทิ ยาลัยศรนี ครินทรวโิ รฒ ฌ
การศกึ ษารูปแบบและกลไกการพฒั นาและสง่ เสริมพหปุ ัญญาเพือ่ การพฒั นาศกั ยภาพผเู้ รยี น
แบบคัดกรองพหุปญั ญา
พหปุ ัญญา พฤติกรรมของผู้เรยี น สม่าเสมอ ไม่สมา่ เสมอ
ธรรมชาติ 36. รอบรู้เรือ่ งพืชและสตั ว์ ช่างสังเกต จดจาและจาแนกประเภทพืชและ
สัตวร์ อบตวั ได้
37. ออ่ นไหวตอ่ การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม
38. ชอบอย่ทู ่ามกลางธรรมชาติ มีความสขุ เมอ่ื อยกู่ ับธรรมชาติ
39. เข้าใจและสนใจปรากฏการณท์ างธรรมชาติ
40. เปน็ นักอนุรักษธ์ รรมชาติ ชอบกจิ กรรมทาความสะอาดส่ิงแวดล้อม
ของโรงเรียนและชมุ ชน
การดารงอยขู่ อง 41. ชอบฝึกสมาธิ
ชวี ติ 42. มีความเชื่อในเรอ่ื งจิตวญิ ญาณ
43. สนใจและปฏบิ ัตติ ามหลักคาสอนทางศาสนา
44. ชอบตั้งคาถามเก่ยี วกับคณุ คา่ ของมนุษยท์ ่ีมตี อ่ โลก
45. รกั เมตตา มนุษย์และสตั วโ์ ลก
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
- การปฏิบตั ิสม่าเสมอมีคะแนนเท่ากับ 2
- การปฏิบตั ิไมส่ ม่าเสมอมคี ะแนนเท่ากับ 1
การแปลผลคะแนน
- การแปลผลแยกแตล่ ะดา้ น
- คะแนน 1 – 8 แปลวา่ ผูเ้ รียนมีเชาวน์ปัญญาปกติ
คะแนน 9 – 10 แปลว่า ผู้เรียนมเี ชาวน์ปญั ญาโดดเดน่
5. ผลการสารวจพหุปัญญาของผู้เรียน กลุ่มตัวอย่างผู้เรียนที่ได้รับการประเมินระดับเชาวน์ปัญญา
ด้วยแบบคัดกรองพหุปัญญาคือ ผู้เรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1 – 6 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 6 มีจานวน
รวม 460 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้เรียนชั้นประถมศึกษามีจานวน 308 คน คิดเป็นร้อยละ 66.96 เม่ือพิจารณา
ตามระดับชั้นเรียนพบว่า ในระดับประถมศึกษา ส่วนใหญ่เป็นผู้เรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 และ
ชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 3 มจี านวน 110 และ 61 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 23.91 และ 18.48 ตามลาดับ
ผลการประเมินพหุปัญญาพบว่า ผู้เรียน ร้อยละ 29.7 มีพหุปัญญาในระดับที่โดดเด่น
เมื่อเปรียบเทียบระหว่างเชาวน์ปัญญาแต่ละด้านพบว่า ผู้เรียนส่วนใหญ่มีความโดดเด่นของเชาวน์ปัญญา
ดา้ นรา่ งกายและความเคลือ่ นไหว คิดเปน็ ร้อยละ 40.4 ดา้ นทผี่ ู้เรียนมีความโดดเดน่ น้อยที่สุดคือ ดา้ นดนตรี
คดิ เป็นร้อยละ 16.2
มหาวทิ ยาลัยศรนี ครินทรวิโรฒ ญ
การศกึ ษารปู แบบและกลไกการพฒั นาและส่งเสริมพหุปญั ญาเพอื่ การพัฒนาศักยภาพผู้เรียน
ร้อยละของผเู้ รยี นจาแนกตามระดับพหปุ ญั ญา
100.0
80.0
60.0
40.0
20.0 29.8 23.4 30.6 40.4 16.2 33.2 30.2 32.8 30.6
0.0
ระดบั พหุปัญญาโดดด่น ระดับพหปุ ญั ญาปกติ
6. ข้อเสนอเชิงนโยบายในการพัฒนาและส่งเสริมพหุปัญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผู้เรียน
ประกอบดว้ ย 2 ยทุ ธศาสตร์ ท่ีมปี ระเด็นยทุ ธศาสตร์ 10 ประเด็น ดงั รายละเอียดตอ่ ไปนี้
ยุทธศาสตร์ 1 การวางรากฐานสภาพแวดลอ้ มในการเรยี นรู้ให้สามารถเข้าถงึ รปู แบบ A2D
จากผลการวิจัยท่ีพบว่า “รูปแบบและกลไกการพัฒนาและส่งเสริมพหุปัญญาเพ่ือการพัฒนา
ศักยภาพผู้เรียนแบบ A2D มีความเหมาะสมในการนาไปใช้ในการพัฒนาผู้เรียน แต่ต้องคานึงถึงบริบทและ
ความพร้อมของโรงเรียนท้ังด้านบุคลากร ส่ือ อุปกรณ์ สัญญาณอินเทอร์เน็ต ต้องอาศัยความร่วมมือจาก
ทุกภาคส่วน ต้ังแต่ผู้วางนโยบาย องค์กรการศึกษา ครู ผู้ปกครอง คณะกรรมการสถานศึกษา
เพื่อร่วมมือกันในการขับเคลือ่ นการพัฒนาผู้เรียนไปในทิศทางเดียวกัน อย่างต่อเนอ่ื ง และตอ้ งมีการติดตาม
ประเมนิ ผลเป็นระยะ ผู้บริหารสถานศกึ ษา เป็นปัจจัยสาคญั ที่สนับสนุนครู ช่วยเหลอื เม่ือครูประสบปัญหา
ร่วมมือกับครู เพ่ือหาทางออก บรรยากาศในสถานศึกษา ต้องเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ผู้เรียนรู้สึกปลอดภัย
สบายใจ และมีความสุข” ดังนั้น จาเป็นต้องมีการวางรากฐานของสภาพแวดล้อมในการเรียนรู้
ทั้งในด้านการจัดการและกระบวนการให้พร้อมและสามารถเข้าถึงรูปแบบ A2D โดยมีประเด็นยุทธศาสตร์
4 ประเดน็ คือ
ประเด็นยทุ ธศาสตร์ 1.1 การพัฒนาผบู้ ริหารสถานศึกษาให้เป็นผูน้ าการเปลี่ยนแปลงดจิ ทิ ัล
ผู้บริหารสถานศึกษาต้องได้รับการพัฒนาให้มีคุณลักษณะของผู้นาการเปล่ียนแปลงดิจิทัล (Digital
leadership) ได้แก่ 1) ก้าวเข้าสู่ความคลอ่ งแคล่วทางดิจิทัล (Become digitally fluent) คือ เปดิ รับโลก
ดิจิทัล ยอมรับว่าตนเองต้องมีความคล่องแคล่วทางดิจิทัล มีการบูรณาการความคิดเชิงดิจิทัลเข้าสู่
การบริหารงานในสถานศึกษาทุก ๆ วัน 2) พัฒนาความสามารถใหม่ (Develop new capabilities)
กระตุ้นให้บุคลากรทุกคนได้พัฒนาสมรรถนะทางดิจิทัล ยิ่งทุกคนมีสมรรถนะทางดิจิทัลสูงข้ึนก็จะสร้าง
มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ ฎ
การศกึ ษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสง่ เสริมพหปุ ญั ญาเพือ่ การพฒั นาศกั ยภาพผู้เรียน
มูลค่าเพ่ิมมากข้ึน 3) เต็มใจที่จะทดลองใช้ (Willingness to experiment) อุปกรณ์เคร่ืองมือส่ือสาร
ออนไลน์ เพื่อช่วยคาดการณ์สภาวะอารมณ์ของสังคมปัจจุบัน 4) มีความรู้ความเข้าใจการเปล่ียนแปลง
ของสังคมที่เกิดจากเทคโนโลยีและผลกระทบที่จะเกิดกับการศึกษา (Understand how technology is
transforming society, and translate into business impact) ผู้นาจะต้องเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงของ
พฤติกรรม เศรษฐกิจ และสังคม อนั เป็นผลจาก เทคโนโลยีท่ีเกิดขึ้นใหม่และผลกระทบท่ีมีต่อวงการศึกษา
ท้ังในระดับองค์การและระดับบุคคล 5) ส่งเสริมสภาพแวดล้อมแบบร่วมมือ (Promote collaborative
environments) ไม่แยกส่วนเทคโนโลยีออกเป็นหน่วยงานเอกเทศ ดิจิทัลจะต้องแทรกซึมอยู่ในทุกส่วน
ขององค์การ และมีผลกระทบต่อทุกห่วงโซ่คุณค่า 6) ใช้สารสนเทศจากเทคโนโลยี (Use the
information, not just the technology) เทคโนโลยีคือแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ ต้องมีการนามาใช้
ในฐานะของสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจในการพัฒนาการศึกษาและบุคลากร (Sieber, Kaganer &
Zamora, 2013)
ประเด็นยทุ ธศาสตร์ 1.2 การพัฒนาศกั ยภาพครูผสู้ อนดา้ นการจัดการเรียนรู้ยคุ ดิจิทัล
ไม่ว่าจะท่ีใดในโลก ครูคือกระดูกสันหลังของระบบการศึกษา ครูท่ีมีคุณภาพจึงจะสามารถ
ให้ทกั ษะที่จาเป็นแก่ผู้เรียนเพือ่ ให้ประสบความสาเร็จในทางวิชาการได้ ในยุคดิจิทลั น้ี ผู้เรยี นไม่ตอบสนอง
ต่อการสอนท่ีมีครูเป็นศูนย์กลางเช่นในอดีต แต่ผู้เรียนจะหมกมุ่นอยู่กับโลกที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและ
มีช่วงความสนใจต่อสิ่งใดส่ิงหนึ่งเพียงไม่กี่วินาที ดังนั้น ครูต้องมีคุณลักษณะสาคัญ 11 ประการที่ครู
ยุคดิจทิ ัลท่ีประสบความสาเร็จมี ได้แก่ 1) ไม่ใช้หนังสือเรียนราคาแพง เพราะข้อมูลสารสนเทศทท่ี ันสมัย
พร้อมใช้งานมีอยู่ในโลกออนไลน์ไม่ใช่ในสิ่งพิมพ์ 2) สามารถป้องกันกลโกงท่ีใช้เทคโนโลยีชั้นสูง ครู
ในยุคดจิ ิทัลตระหนักถงึ การใชก้ ลโกงทางเทคโนโลยีข้ันสูงและมีการติดตามการกระทาเพื่อหยดุ ยั้งก่อนที่จะ
กลายเป็นกระแสในโลกออนไลน์ 3) ไม่กลัวเทคโนโลยี ครูในยุคดิจิทัลไม่กลัวที่จะเรียนรู้เทคโนโลยีหรือ
สิ่งใหม่ ๆ ซ่ึวถ้าครูได้ทดลองใช้และตรวจสอบแล้ว ครูก็พร้อมที่จะสนับสนุน และในที่สุดอาจจะมีความรู้
เก่ียวกับผลิตภัณฑ์น้ีมากกว่าผู้ผลิต 4) มีความเชี่ยวชาญทางประสาทวิทยา เพราะครูเข้าใจการเรียนรู้
ของผู้เรียนและใช้ผลงานวิจัยแบบสมองเป็นฐาน (Brain – based learning) ในการพัฒนาศักยภาพ
ผู้เรียน 5) ครูจะเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่จากมุมมองของผู้เรียนก่อน เม่ือใดก็ตามท่ีครูยุคดิจิทัลกาลัง
พิจารณาใช้เครื่องมือเทคโนโลยีใหม่ในห้องเรียน ครูจะเรียนรู้วิธีใช้งานจากมุมมองของผู้เรียนก่อน เพื่อให้
ได้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเติบโตทางวิชาการ 6) ใช้หลักสูตรอย่างมีความรับผิดชอบ แม้ว่าจะ
มีหลักสูตรแกนกลาง แต่ครูจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าส่ิงใดที่มีความสาคัญและจะบูรณาการกับเคร่ืองมือดิจิทัล
ตอบสนองความต้องการในการเรียนรู้ของผู้เรียน 7) ก้าวข้ามอุปสรรคและความเช่ือเพื่อตอบสนอง
ความต้องการของผเู้ รียน ครูในยุคดิจิทัลต้องยอมรับความหลากหลาย รวมถึงความแตกตา่ งด้านชาติพันธุ์
วฒั นธรรม สถานะทางเศรษฐกิจและสงั คม ความทุพพลภาพ และเพศทางเลือก ต้องไมก่ ีดกันผูเ้ รียนเพราะ
ความเชื่อที่แตกต่างกัน ต้องมุ่งม่ันที่จะลดช่องว่างระหว่างผู้เรียนและครอบครัวของผู้เรียน
8) ให้ความสาคัญของการทางานร่วมกันของเทคโนโลยีทางการศึกษา (Edtech) ครูในยุคดิจิทัล
ให้ความสาคัญกับการทางานร่วมกัน ด้วยการถ่ายโอนข้อมูลระหว่างแอปพลิเคชันและเทคโนโลยีต่าง ๆ
มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ฏ
การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสง่ เสรมิ พหุปญั ญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผเู้ รยี น
อย่างปลอดภัยและราบร่ืน มีการตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าจะ "ใช้งานได้ดี" เหมาะสมกับเครื่องมือและ
แพลตฟอร์มท่ีมีอยู่ 9) มีความหวังเกี่ยวกับอนาคตของการศึกษา ครูยุคดิจิทัลไม่เช่ือว่าอนาคตของ
การศึกษาเป็นส่ิงที่น่ากลัว แต่จะยอมรับ และพึงพอใจท่ีจะได้เห็นส่ิงใหม่ ๆ ท่ีจะเกิดขึ้นในอนาคต
ด้านการศกึ ษา 10) ใชช้ วี ิตแบบมีความยดื หยนุ่ (Resilience) ครูยุคดจิ ิทัลมคี วามมุ่งมั่นและความยืดหยุ่น
ไม่ปล่อยให้ความล้มเหลวและความผิดพลาดหยุดย้ังการไปสู่เป้าหมาย และผู้เรียนจะเรียนรู้ความพากเพียร
และความยืดหยุ่นจากครู 11) รู้วิธีผ่อนคลาย การสอนเป็นงานหนักและเครียด ครูยุคดิจิทัลรู้จักทางาน
แบบสมดลุ มีเวลาผอ่ นคลายและใหค้ วามสขุ กับตนเอง (Lynch, 2018)
ประเดน็ ยทุ ธศาสตร์ 1.3 การพัฒนาสภาพแวดล้อมของสถานศึกษาให้เหมาะสมกบั การเรยี นรู้
เชงิ รกุ
บรรยากาศในสถานศกึ ษา ต้องเป็นแหล่งเรียนรู้ท่ีกระตุ้นการเรียนร้เู ชิงรุกของผู้เรียน ให้ความร้สู ึก
ปลอดภัย มีความสบายใจและมีความสุข การสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ดิจิทัลจะทาให้ผู้เรียน
ได้สัมผัสการเรียนรู้แบบอิสระ วางแผนด้วยตนเอง และควบคุมตนเองได้ง่ายข้ึน ผู้เรียนมีข้อมูลท้ังหมดใน
โลกด้วยปลายน้ิวสัมผัส สามารถเข้าถึงกลุ่มข้อมูลท่ีเก่ียวข้องมากมาย และสามารถใช้เคร่ืองมือค้นหาเพ่ือ
ทาให้การเข้าถึงนี้สะดวกสบายย่ิงขึ้น สามารถดึงหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ หรืออ่านข้อมูลเหล่าน้ีได้ อันเป็น
ผลมาจากการสร้างเครอื ข่ายของสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ดจิ ิทัล ได้แก่ 1) การ
เรียนรู้ในไฮเปอร์เท็กซ์ (Learning in hypertext) ช่วยให้มองเห็นองค์ประกอบใหม่ของพฤติกรรม
การเรียนรู้ ของการเรยี นรู้แบบอิสระของผู้เรียน จากกิจกรรม การท่องเวบ็ และดึงข้อมูล การสารวจอย่างมี
เป้าหมาย การสุ่มสารวจ และการสารวจแบบเชื่อมโยง (Kuhlen, 1991 อ้างใน Peters, 2020)
2) การเรียนรู้บนเครือข่าย (Network – based learning) เป็นการให้โอกาสในการเรียนรู้ด้วยตนเอง
มากขึ้น เช่น เวิลด์ไวด์เว็บ (WWW) ความพร้อมใช้งานของข้อมูลอย่างรวดเร็วช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนค้นหา
สิ่งที่พวกเขาสนใจได้อย่างต่อเน่ือง แต่จะทาให้การควบคุมกระบวนการเรียนรู้ในไฮเปอร์เท็กซ์นั้นขาดหายไป
และ 3) การเรียนรู้ผ่านการสื่อสารเสมือนจริง (Learning through virtual communication)
จากการเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านเครือข่าย ผู้เรียนสามารถพูดคุยปัญหาการเรียนรู้กับเพื่อนผู้เรียน ผู้สอน
หรือที่ปรึกษาโดยการแลกเปลี่ยนผ่านแอปพลิเคชันต่าง ๆ รูปแบบการเรียนรู้ที่นาตนเองและรับผิดชอบ
ตนเอง สามารถสรา้ งชุมชนแหง่ การเรยี นรู้ขน้ึ ได้
ประเดน็ ยทุ ธศาสตร์ 1.4 การสง่ เสริมบทบาทของภาคชมุ ชนและเอกชนในการพัฒนาผ้เู รียน
ประเทศไทยไม่มีความแตกตา่ งจากประเทศทีพ่ ฒั นาแล้วในความพยายามพฒั นาทางดิจทิ ัล ดงั เช่น
ประเทศไทยมีนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพ่ือเศรษฐกิจและสังคม ซ่ึงเป็นแผน
แม่บทหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของประเทศ ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580)
กระทรวงศึกษาธกิ าร โดยสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พื้นฐานได้มกี ารจัดสรรงบประมาณสาหรับ
การจัดหาระบบคอมพิวเตอร์พร้อมอุปกรณ์สาหรับการเรียนการสอน ตามโครงการเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อ
การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน เพ่ือให้การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในโรงเรียน แต่ในระดับชุมชนและครัวเรือนยังมีความ
มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ฐ
การศกึ ษารปู แบบและกลไกการพฒั นาและส่งเสริมพหปุ ญั ญาเพื่อการพัฒนาศกั ยภาพผ้เู รียน
เหลื่อมล้าในการเข้าถึงการเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล อันมีสาเหตุจากความเหล่ือมล้าทางเศรษฐกิจของ
ชุมชนและของครัวเรือน ดังนั้นจึงควรมีการเช่ือมต่อระหว่างโรงเรียน ชุมชน และครัวเรือน โดยศึกษา
เรียนรู้จากความสาเร็จของประเทศอื่น ๆ เช่น ในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีการดาเนินการคือ ส่งเสริม
การเขา้ ถงึ อนิ เทอรเ์ นต็ ของชุมชนตลอด 24 ชั่วโมงสาหรบั ผูเ้ รียนทีม่ รี ายได้น้อยและชุมชนที่ผูเ้ รียนอยู่อาศัย
เช่น การใช้ Wi – Fi hotspot ของห้องสมุดสาธารณะ หรือองค์กรภาคเอกชน โดยจัดหาจุดเช่ือมต่อ
อินเทอร์เน็ตไร้สาย กระจายไปในชุมชน หรือจัดหา Wi – Fi router ที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ติดไว้กับรถ
โรงเรียนเพ่ือให้บริการอินเทอร์เน็ตขณะเดินทาง เม่ือจอดน่ิง รถบัสจะจอดอยู่ในละแวกชุมชนของผู้เรียน
เพื่อให้ครอบคลุม Wi – Fi ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง โครงการ Wi – Fi on wheels ของ Coachella
Unified ได้เปิดใช้งานอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ท่ีผู้เรียนอาศัยอยู่เพ่ือลดอุปสรรคที่ขัดขวางการใช้งาน
ระหว่างโรงเรียนและชุมชน โครงการนี้ส่งผลให้อัตราการสาเร็จการศึกษาเพิ่มขึ้นจาก 70% เป็น 80%
หรือเช่นท่ี ในปี ค.ศ. 2017 Google ได้นาร่องโครงการท่ีคล้ายคลึงกันคือ Rolling study halls ในเขต
การศึกษา Berkeley county ท่ีเปิดใช้บรอดแบนด์บนรถโรงเรียน 28 คัน นับต้ังแต่นั้นมา โปรแกรม
ได้ขยายไปยังเขตการศึกษาเพิ่มเติมอีก 16 แห่ง และให้บริการ Wi – Fi router แผนข้อมูล และอุปกรณ์
สาหรับผูเ้ รียนทจ่ี ะใชใ้ นระหวา่ งการเดนิ ทาง เปน็ ตน้ (Lee, 2020)
ยทุ ธศาสตร์ 2 การส่งเสรมิ ให้ผู้เรียนไดพ้ ัฒนาพหปุ ญั ญาเตม็ ศกั ยภาพ
ดังที่การ์ดเนอร์ได้กล่าวว่า “แม้ว่ามนุษย์ทุกคนมีเชาวน์ปัญญาครบท้ัง 9 ด้าน แต่อาจจะมีระดับ
ของเชาวน์ปัญญาในแต่ละด้านมากหรือน้อยแตกต่างกัน การที่มีเชาวน์ปัญญาด้านหนึ่งด้านใดสูง มิได้
หมายความว่าจะทาให้เชาวน์ปัญญาด้านอื่นลดต่าลง ดังน้ัน ผู้เรียนทุกคนควรได้รับโอกาสในการพัฒนา
เชาวน์ปัญญาท้ัง 9 ด้านเหมือน ๆ กัน” “ประสบการณ์การเรียนรู้ไม่จาเป็นต้องเกี่ยวข้องกับเชาวน์ปัญญา
ที่ผู้เรียนมีความโดดเด่น เช่น ผู้ที่มีเชาวน์ปัญญาด้านมิติสัมพันธ์สูง อาจยังคงได้รับประโยชน์จากการใช้
คาคล้องจองช่วยในการจาเน้ือหาท่ีเรียนรู้ สิ่งสาคัญคือ ต้องหลีกเลี่ยงการระบุว่า ผู้เรียนเป็นผู้ที่มี
เชาวน์ปัญญาด้านหน่ึงด้านใด เพราะเมื่อผู้เรียนมีความเข้าใจในเน้ือหาอย่างถ่องแท้แล้ว ผู้เรียนจะมี
ความสามารถในการคิดได้หลากหลายวิธี" กล่าวได้ว่า ผู้เรียนควรได้รับการส่งเสริมเชาวน์ปัญญาทุกด้าน
โดยไม่คาดหวังว่า ปลายทางนั้น ผู้เรียนจะมีความเจริญงอกงามของเชาวน์ปัญญาด้านใด แต่กระบวนการ
พัฒนาเชาวน์ปัญญาต้องเป็นไปอย่างต่อเนื่องต้ังแต่ผู้เรียนเข้าสู่ระบบการศึกษาจวบจนกระท่ังได้รับ
การพัฒนาจนถึงขีดสุดของตน เพื่อให้เอื้อต่อการพัฒนาประเทศไทยในอนาคต ดังน้ี จึงมีประเด็น
ยทุ ธศาสตร์ 6 ประเด็น คือ
ประเด็นยุทธศาสตร์ 2.1 การใช้สารสนเทศจากการคัดกรองพหุปัญญาเป็นฐานในการพัฒนา
ผูเ้ รียนรายบคุ คลและในภาพรวมของประเทศ
จากความคิดเห็นที่ว่า “การวเิ คราะห์ศักยภาพของผู้เรียนเป็นรายบุคคล... ส่งเสริมความสามารถ
ของผู้เรียนในทุก ๆ ด้าน... จะส่งผลดีกับผู้เรียนอย่างแท้จริง” ในขณะท่ีผลผลิตของการวิจัยครั้งน้ี คือ
แบบคัดกรองพหุปัญญา ที่จะให้ข้อมูลและสารสนเทศเชิงปริมาณที่สะท้อนระดับเชาวน์ปัญญาแต่ละด้าน
มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครินทรวิโรฒ ฑ
การศกึ ษารปู แบบและกลไกการพัฒนาและสง่ เสรมิ พหุปญั ญาเพ่อื การพัฒนาศกั ยภาพผูเ้ รยี น
ของผู้เรียนที่สามารถนาไปใช้ในการวางแผนการพัฒนาผู้เรียนรายบคุ คล อย่างไรกด็ ี ข้อมูลเชิงปรมิ าณท่ีได้
เป็นเพียงข้อมูลส่วนหน่ึงของข้อเท็จจริงเท่าน้ัน และเป็นการวัดทางอ้ อมซึ่งมีโอกาสท่ีจะมี
ความคลาดเคลื่อนอยู่บ้าง อาจจะมากหรือน้อยข้ึนกับหลายปัจจัยท่ีเก่ียวข้อง ดังน้ัน การแสวงหาข้อมูล
เชิงคุณภาพของผู้เรียนแต่ละคนจะทาให้ไดส้ ารสนเทศที่มีรายละเอียดเชิงลึกของผูเ้ รียน ที่จะชว่ ยใหก้ ารวางแผน
การพัฒนาผู้เรียนรายบุคคลเป็นไปอย่างถูกต้องและเหมาะสมมากย่ิงขึน้
จากผลการนาแบบคัดกรองพหุปัญญาไปใช้ในการสารวจระดับเชาวน์ปัญญาท้ัง 9 ด้านของผู้เรียน
ชั้นประถมศกึ ษาและมธั ยมศกึ ษาทเี่ ป็นกลุ่มตวั อย่างท่ีศกึ ษาในคร้ังนี้ พบว่า มีผเู้ รียนไม่ถงึ 1 ใน 3 ท่ีมีระดับ
ของพหุปัญญาท่ีโดดเด่น ดังน้ัน จึงควรมีการสารวจพหุปัญญาของผู้เรียนในระบบการศึกษาเพ่ือนาข้อมูล
จากสารวจไปใชใ้ นการวางแผนการพัฒนาพหปุ ัญญาของผเู้ รียนเพ่อื พฒั นาศักยภาพการเรียนรูข้ องผู้เรยี นใน
ระดับการศึกษาข้นั พื้นฐานจนถึงเส้นทางในสายวิชาชีพ เพื่อให้ประชากรในอนาคตมีสมรรถนะทางเส้นทาง
อาชีพท่ีสามารถตอบสนองความต้องการด้านกาลังคนของประเทศเพื่อเพ่ิมศักยภาพด้านการแข่งขันของ
ประเทศไทยในอนาคต
นอกจากนี้ ในกลุ่มของผู้เรียนที่มีความโดดเด่นทางพหุปัญญา ซ่ึงมีอยู่ร้อยละ 29.7 พบว่า ส่วนใหญ่
มีความโดดเด่นของเชาวน์ปัญญาด้านร่างกายและความเคลื่อนไหว รองลงมาคือ ด้านการเข้าใจระหว่าง
บุคคล และด้านธรรมชาติวิทยา ซึ่งเป็นเชาวน์ปัญญาในกลุ่มการปฏิสัมพันธ์ (Interactive) และ
การวิเคราะห์ (Analytic) (Mckenzie, n.d.) ในขณ ะท่ีเชาวน์ปัญ ญ าในกลุ่มการพินิจพิจารณ า
(Introspective) ที่เน้นการจินตนาการ และการเขา้ ใจตนเอง ท่ีมคี วามสาคัญตอ่ การคิดสรา้ งสรรคน์ วตั กรรม
ยังอยู่ในระดับที่น้อย ดังนั้น จึงควรมีการนาแบบคัดกรองพหุปัญญาไปใช้ในการสารวจผู้เรียนท้ังประเทศ
และน าข้ อมู ลสารสนเทศท่ี ได้ ไปใช้ ในการก าหนดนโยบายทางการศึ กษาเพื่ อการพั ฒ นา เช า วน์ ปั ญ ญ า
ของผู้เรียนในระดับภาพรวมของประเทศเพื่อให้เกิดพลังในการขับเคล่ือนประเท ศไทยไปในทิศทาง
ที่พงึ ประสงคใ์ นอนาคต
ประเดน็ ยทุ ธศาสตร์ 2.2 การบูรณาการรูปแบบ A2D เข้ากับหลกั สูตร
การพัฒนาคนในระบบการศึกษาต้องเริ่มต้ังแต่ระดับปฐมวัย โดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือการพัฒนา
องค์รวมของความต้องการทางสังคม อารมณ์ ความรู้ความเข้าใจ และการพัฒนาทางกาย เพื่อสร้างรากฐาน
ที่มั่นคงและกวา้ งสาหรบั การเรียนรู้ตลอดชีวติ และความเป็นอยู่ที่ดี และมคี วามรับผิดชอบต่อตนเองและสงั คม
ในอนาคต (Unesco, 2021) การนารูปแบบ A2D มาบูรณาการเข้ากับหลักสูตรแกนกลางจึงมีความจาเป็น
เพื่อให้ผู้เรียนให้พัฒนาได้เต็มศักยภาพ ด้วยองค์ประกอบด้านพื้นที่ (A) และ ดิจิลัทแพลตฟอร์ม (D) และ
กลไกขับเคล่ือน (A) ทั้ง 8 เพื่อให้ผู้เรียนได้รับโอกาสในการพัฒนาเชาวน์ปัญญาทุกด้านของตนเองอย่างเสมอ
ภาค ไม่เน้นการพัฒนาผู้เรียนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่เช่ือว่าเป็นกลุ่มผู้ท่ีมีปัญญาเลิศหรือเป็นอัจฉริยะ นอกจากนี้
ผู้บริหารสถานศกึ ษาและครูผู้สอนจะต้องมคี วามรู้ความเขา้ ใจในกระบวนการพัฒนาเชาวน์ปญั ญา 9 ดา้ นของ
ผเู้ รยี นในทุกระดับของการศึกษา
การบูรณาการรูปแบบ A2D เข้ากับหลักสูตร ด้วยการออกแบบการเรียนร้ขู องผู้เรียนผ่านโครงการ
โครงงาน หรือประเด็นการเรียนรู้ท่ีสะท้อนความสนใจและข้อเสนอแนะของเด็กเป็นหลัก โครงการ โครงงาน
หรือประเด็นการเรียนรู้เป็นเครื่องมือการสอนท่ีมีคุณค่าท่ีสามารถออกแบบให้รองรับผู้เรียนทุกคน
มหาวทิ ยาลัยศรนี ครินทรวิโรฒ ฒ
การศึกษารปู แบบและกลไกการพฒั นาและส่งเสริมพหุปัญญาเพ่ือการพฒั นาศกั ยภาพผู้เรียน
ในห้องเรียน ลักษณะของหลักสูตรบูรณาการประกอบด้วย (1) ประสบการณ์ในการพัฒนาทัศนคติ ทักษะ
และความรู้ของเด็ก และเพื่อช่วยให้พวกเขาเช่ือมโยงข้ามหลักสูตร (2) กิจกรรมท่ีจัดเตรียมสาหรับ
ความสามารถท่ีหลากหลาย (3) กิจกรรมท่ีท้ังครูเป็นผู้ริเร่ิมและกากับและ ริเริ่มและช้ีนาโดยผู้เรียน
(4) ประสบการณ์ทั้งช้ันเรียน กลุ่มเล็ก และรายบุคคล (5) โอกาสในการคิดเชิงวิพากษ์และสร้างสรรค์
(6) ครู เพื่อน และการประเมินตนเอง และ (7) โอกาสในการเรียนรู้โดยรวมที่มีความหมาย (Bredekamp &
Rosegrant, 1992)
ประเด็นยุทธศาสตร์ 2.3 การส่งเสริมให้ครูออกแบบกลยุทธ์การสอนที่ส่งเสริมพหุปัญญา
เพอื่ ใหผ้ เู้ รียนสามารถเข้าถึงการเรียนรแู้ บบลกึ ที่มปี ริมาณและคุณภาพ
นับตั้งแต่ที่ Gardner ได้คิดค้นทฤษฎีพหุปัญญาครั้งแรกในปี ค.ศ. 1983 จากการศึกษาที่พบว่า
มนุษย์มีความชาญฉลาดทางสติปัญญาหรือเชาวน์ปัญญาอีกหลายด้าน มากกว่าความสามารถในการคิด
วเิ คราะห์ การคานวณ และการใช้เหตุผลที่เรียกว่า IQ (Intelligence quotient) เชาวน์ปัญญาทั้งหลายนี้
"ท้าทายระบบการศึกษาที่ถือว่าทุกคนสามารถเรียนรู้ส่ิงเดียวกันได้ในลักษณะเดียวกัน และสามารถใช้
การวัดและประเมินด้วยเครื่องมือแบบเดียวกันได้... โรงเรียนและครูควรจัดให้มีการสอนท่ีส่งเสริม
เชาวน์ปัญญาทุก ๆ ด้าน ไม่เพยี งแค่สนับสนุนเชาวน์ปัญญาดา้ นภาษาและตรรกะเทา่ นั้น" การสอนของครู
ควรใชร้ ูปแบบการสอนท่ีสนับสนนุ ใหผ้ ู้เรียนได้รับสารสนเทศ มีความคิด ทักษะ ค่านยิ ม วธิ กี ารคิด นยั ของ
การแสดงออก และวิธีการเรียนรู้ของตนเอง เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ในระยะยาว คือ การเพ่ิมศักยภาพการ
เรียนรู้ของผู้เรียนให้มีการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีประสิทธิผล (Joyce & Weil, 1985) นอกจากนี้
ผลการศึกษาทางประสาทวิทยาพบว่า ความสามารถแบบพหุปัญญาในแต่ละด้านจะมีรูปแบบการกระตุ้น
ระบบประสาทท่ีแตกต่างกัน การจัดการเรียนการสอนสามารถเสริมสร้างผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ
ผ้เู รียนได้ ถ้าใช้รูปแบบการบูรณาการของระบบประสาทวิทยาศาสตร์ แม้ว่าผู้เรยี นเหล่าน้จี ะมีวัฒนธรรมท่ี
แตกต่างกัน ซึ่งมีหลักการ 5 ข้อ คือ 1) ผู้เรียนทุกคนมีสมองที่ไม่เหมือนใคร 2) ต้องกระตุ้นจุดแข็งของ
ผู้เรียน 3) ผู้เรยี นต้องรู้จกั ตัวเอง 4) กายมีความสัมพันธก์ ับจิตและมีอารมณ์เป็นหางเสอื และ 5) ต้องทาให้
การเรียนรนู้ ั้นมคี วามหมาย Shearer (2018)
กลยุทธ์การสอนท่ีส่งเสริมศักยภาพด้านพหุปัญญาของผู้เรียนและได้รับผลดีด้านการพัฒนาครูให้
ครูมีความสนใจกับความสามารถด้านพหุปัญญาของผู้เรียนและการพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนมากข้ึน
การประยุกต์ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ของ Gagne (1977) ร่วมกับการฝึกผู้เรียนด้วยกระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์ และแบบสังเกตพฤติกรรม (Observation sheets) ซึ่งชุดกิจกรรมการเรียนรู้มี 6 ข้ันตอน
ได้แก่ 1) การสะท้อนตนเอง (Self – reflection) ซึ่งผู้เรียนจะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับตนเอง
พฤติกรรมการเรียน และงานอดิเรกของผู้เรียน 2) ครูแนะนาแนวคิดเก่ียวกับการฝึกกระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์ (Practices science process skills: SPS) 3) ผู้เรยี นจะตั้งประเด็นคาถามเกย่ี วกบั เนอ้ื หาใน
รายวิชาท่ีจะเรียน 4) ตั้งประเด็นคาถามเชิงลึกเชื่อมโยงกับศักยภาพด้านพหุปัญญาผ่านการปฏิบัติ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 5) ผู้เรียนต้องแสดงให้เห็นถึงการมีความรู้ความเข้าใจผ่านกิจกรรมท่ี
สอดคล้องกับลักษณะทางพหุปัญญาของผู้เรียนท่ีเด่นชัดในด้านต่าง ๆ และ (6) สรุปบทเรียน ทั้งนี้
มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ ณ
การศกึ ษารูปแบบและกลไกการพฒั นาและสง่ เสริมพหุปญั ญาเพือ่ การพฒั นาศกั ยภาพผ้เู รยี น
กิจกรรมในขั้นตอน 1 ถึง 4 จัดเป็นกิจกรรมกลุ่ม ในข้ันตอนที่ 5 จะจัดกลุ่มแยกตามลักษณะทาง
พหปุ ัญญา และในข้นั ตอนท่ี 6 จะเป็น การนาเสนอรายบคุ คล (Winarti, Yuanita & Nur, 2018)
ประเด็นยุทธศาสตร์ 2.4 การส่งเสริมและพัฒนาครูผู้สอนให้มีความเช่ียวชาญในการจัดการเรียนรู้
ทส่ี ่งเสรมิ พหุปญั ญาของผ้เู รียน
แม้ว่า ครูผู้สอนในระบบการศึกษาจะได้รับการพัฒนาทางวิชาชีพจากการศึกษาและ
ฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูทุกคนแล้ว แต่การพัฒนาผู้เรียนตามเป้าหมายของการพัฒนาพหุปัญญา
ตามรูปแบบ A2D นั้น ต้องเร่ิมต้ังแต่ปฐมวัยและมีการดาเนินการท่ีสอดคล้องกันจนกว่าออกจากระบบ
การศึกษา ดังนั้นครูผู้สอนทุกคนควรได้รับการส่งเสริมและพัฒนาให้มีความเชี่ยวชาญในการจัดการเรียนรู้ที่
ส่งเสริมพหุปัญญาของผู้เรียน ตามท่ี สานักงานเลขาธิการคุรุสภา ได้สรุปว่า “การพัฒนาวิชาชีพครูเพ่ือ
ยกระดับคุณภาพครูสู่มาตรฐานวชิ าชีพควรเป็นการพัฒนาทค่ี รูได้ฝกึ ฝนตนเองในสภาวะของการปฏิบัตงิ าน
ปกติ” และมีเป้าหมายให้ ครูได้แสดงบทบาทในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีคุณภาพระดับสูง “เป็นการ
ปฏิบัติท่ีมีความชานาญแตกฉานจนสามารถเป็นผู้แนะนาช่วยเหลือ เป็นแบบอย่างหรือเป็นท่ีปรึกษา
ร่วมพัฒนาให้กับครูคนอื่น ๆ ได้ โดยครูผู้สอนจะต้องการออกแบบแผนการสอนที่ส่งเสริมพหุปัญญาของ
ผู้เรียนท่ีสาคัญคือ การออกแบบกลยุทธ์การสอนดังตัวอย่างมากกว่า 40 กลยุทธ์ ที่มีความเหมาะสมและ
สามารถนาไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาเชาวน์ปัญญาแต่ละด้าน เช่น เชาวน์ปัญญาด้านภาษา ได้แก่ การใช้
เรื่องเล่า (Storytelling) การระดมสมอง (Brainstorming) การบันทกึ และถ่ายทอดไฟล์เสียงออดิโอดิจิทัล
(Podcast) การเขียนวรรณกรรม (Journal writing) และการเป็นบรรณาธิการเผยแพร่สารสนเทศต่าง ๆ
ในสังคมขนาดเล็กภายในห้องเรียน โรงเรียน หรือสังคมขนาดใหญ่ เช่น สังคมออนไลน์ (Publisher)
เชาวน์ปัญญาด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ ได้แก่ การคิดคานวณและเลือกใช้ข้อมูลเชิงสถิติ
(Calculations and quantifications) การจาแนกและจัดกลุ่ม (Classifications and categorizations)
การใช้คาถามแบบโสเครติส (Socratic questioning) การคิดหาคาตอบและแกป้ ัญหาเชิงเหตุและผล ดว้ ยการ
แยกปัญหาออกเป็นส่วนย่อยและค้นหาแนวทางท่ีหลากหลายในการแก้ปัญหา ส่วนใหญ่จะใช้ในทาง
คณิศาสตร์และวิทยาศาสตร์ (Heuristics) กระบวนการคิดทางวิทยาศาสตร์ (Science thinking)
เชาวน์ปัญญาด้านมิติสัมพันธ์ ได้แก่ จินตทัศน์ (Visualization) ส่ือการเรียนรู้ที่เป็นสีแบบสามมิติ
(Color cues) ภาพเสมือน (Picture metaphors) การร่างภาพตามจินตนาการ (Idea sketching)
กราฟฟิกสัญญลักษณ์ (Graphic symbols) เชาวน์ปัญญาด้านร่างกายและการเคล่ือนไหว ได้แก่
ตอบคาถามด้วยการใช้ภาษากาย หรือ แสดงท่าทางเพ่ือตอบคาถาม (Body answers) ใช้ห้องเรียนแทน
โรงละคร (Classroom theater) การใช้ร่างกายช่วยในการวางกรอบแนวคิด (Kinesthetic concepts)
การเรียนรูด้ ้วยมติ ิทางจติ (Hands – on thinking) ใชส้ ่วนตา่ ง ๆ ของรา่ งกายในการเช่อื มโยงกับผงั ความรู้
(Body maps) เชาวน์ปัญญาด้านดนตรี ได้แก่ นาเน้ือหาท่ีจะสอนมาผสานกับจังหวะดนตรี เพลง แร็ป
หรือ ท่อนฮุก (Rhythms, Songs, Raps, and Chants) การบันทึกเสียงร้องเพลง (Discographies) เพลง
เสริมพัฒนาการสมองและความจา (Supermemory music) การใช้ท่วงทานอง จังหวะ ระดับเสียงของ
ดนตรี (Musical concepts) อารมณ์ดนตรี (Mood music) เชาวน์ปัญญาด้านการเข้าใจระหว่างบุคคล
มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครินทรวโิ รฒ ด
การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสง่ เสรมิ พหุปญั ญาเพ่ือการพัฒนาศกั ยภาพผู้เรยี น
ได้แก่ การแบ่งปันระหว่างเพ่ือน (Peer sharing) การใช้ปติมากรรมที่เป็นคน (People sculptures)
ค วาม ร่วม มื อกั น ใน ก ลุ่ม (Cooperative groups) เก ม ก ระด าน (Board games) แ บ บ จ าล อ ง
(Simulations) เชาวน์ปัญญาด้านการเข้าใจตนเอง ได้แก่ ช่วงเวลาสะท้อนความรู้สึกตนเอง (One –
minute reflection periods) การเช่ือมโยงประเด็นต่าง ๆ เข้ากับตัวผู้เรียน (Personal Connections)
จัดสรรเวลาในการตัดสินใจเลือก (Choice time) การควบคุมความรู้สึกและการแสดงออก (Feeling –
toned moments) การต้ังเป้าหมาย (Goal – setting sessions) เชาวน์ปัญญาด้านธรรมชาติวิทยา
ได้แก่ การเดินในช่องทางธรรมชาติ (Nature walks) การจินตนาการผ่านทางหน้าต่าง (Windows onto
learning) พืชคือส่วนประกอบของการจัดฉาก (Plants as props) สัตว์เลี้ยงในห้องเรียน (Pet – in –
the – classroom) การศึกษาระบบสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ (Eco – study) (Elena, n.d.)
เชาวน์ปัญญาด้านการดารงอยู่ของชีวิต ได้แก่ การใช้ (Interactive online) เพื่อเสวนาการมองในมุม
ของจักรวาล การทาความเขา้ ใจคุณค่าของชีวิตมนุษย์ อนาคตของเผ่าพันธ์ุมนุษย์ และการค้นหาเป้าหมาย
ของผู้เรียนที่สัมพันธ์กับโลกและจักรวาล (Awecademy) การสังเกตการทดลองระดับควอนตัมเพ่ือแสดง
ให้เหน็ ว่ามนษุ ยส์ ามารถมอี ิทธพิ ลต่อโลกได้อยา่ งไร (Double – slit) (Bidshahri, 2018)
ประเด็นยทุ ธศาสตร์ 2.5 การส่งตอ่ ผู้เรียนตลอดระยะเวลาที่อยูใ่ นระบบการศกึ ษา
โดยท่ัวไปเม่ือกล่าวถึงระบบการส่งต่อผู้เรียน (Referral system) คนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่า
เป็นวิธีการช่วยเหลือหรือติดตามผู้เรียนท่ีต้องการความช่วยเหลือ หรือต้องให้การดูแลเป็นพิเศษ เช่น
เป็นผู้เรียนที่มีประเด็นความประพฤติ หรือผิดระเบียบ เป็นผู้เรียนที่เรียนอ่อน หรือเป็นผู้เรียนที่ต้อง
ติดตามให้คาปรึกษา เปน็ ต้น (Meador, 2020) แตก่ ารพัฒนาเชาวน์ปัญญา 9 ด้านของผเู้ รียนจะต้องเกิดขึ้น
ทุกระดับของการศึกษา ดังน้ี การส่งต่อข้อมูลสารสนเทศทางเชาวน์ปัญญาของผู้เรียนจากช้ันเรียนไปยัง
ชั้นเรียน จากโรงเรียนไปยังโรงเรียน จากระดบั การศึกษาขน้ั พ้ืนฐานไปยังระดับอาชีวศกึ ษาหรืออุดมศึกษา
จึงมีความจาเป็น และควรดาเนินการให้เป็นเรื่องปกติสาหรับผู้เรียนทุกคน ไม่ใช่เป็นเพราะผู้เรียนน้ัน
มีความต้องการการกากับดูแลเปน็ พิเศษ ซ่ึงในโลกดิจิทลั นี้ สามารถสร้างระบบการส่งต่อผ้เู รียนแบบดจิ ิทัล
สมบูรณ์ (Completely digital) (Newman, 2020; PBIS Rewards, 2021) ท่ีไม่มีเอกสารเข้ามาเกี่ยวข้อง
จะช่วยให้สารสนเทศท่ีส่งเข้าระบบสามารถสร้างความหมายเชิงลึกเก่ียวกับพัฒน าการทางเชาวน์ปัญญา
ของผู้เรียน ไม่ต้องมีพ้ืนที่จัดเก็บเอกสาร ไม่ต้องส่งต่อเอกสาร และสามารถใช้ในการสนับสนุนและสร้าง
คณุ ค่าให้กับผู้เรียน และเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในโรงเรียนให้มีบรรยากาศของการเรียนรูแ้ ละพัฒนาตนเอง
ซึ่งมีอยู่หลายวธิ ีที่เอื้อต่อการส่ือสารระหว่างผู้เรียน กับผู้บริหารสถานศึกษา ครู หรือบุคลากรอื่น ๆ ที่มีส่วนใน
การดแู ลผู้เรยี นในโรงเรียน สามารถเร่ิมต้นได้จากการใช้แอปพลิเคชนั ในสมาร์ทโฟน อุปกรณ์แทบ็ เล็ต หรือ
คอมพิวเตอร์ แบบฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์อย่างง่าย หรือการใช้การ์ด หรือ โน้ต หรือระบบดิจิทัลอ่ืน ๆ เช่น
Kickboard ท่ีครูประจาชั้น ครูฝ่ายปกครอง สามารถบันทึกพัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาของผู้เรียน หรือ
กระตุ้นทัศนคติเชิงบวกที่จะสร้างความรู้สึกภาคภูมิใจแก่ผู้เรียนได้ อีกทั้งเป็นสารสนเทศที่เชื่อมโยงกับ
ตัวผเู้ รียนไม่ใชอ่ า้ งองิ กบั เอกสารหรอื สถานศกึ ษา
มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ ต
การศกึ ษารปู แบบและกลไกการพฒั นาและสง่ เสริมพหุปัญญาเพอ่ื การพฒั นาศกั ยภาพผเู้ รยี น
ประเด็นยุทธศาสตร์ 2.6 การจัดสรรทรัพยากรที่สอดคล้องกับบริบทของโรงเรียนเพื่อโอกาส
ในการพฒั นาทท่ี ัดเทยี ม
ขน าดและสภ าพพ้ื นที่ ของโรงเรียน ที่แตกต่างกัน ส่งผลให้มีภ าพสะท้อนของ ความเห ล่ือมล้า
ทางการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิง่ โรงเรียนขนาดเลก็ ในพื้นท่ีห่างไกล ซึง่ มีจานวนผู้เรียนทีน่ ้อยกว่าโรงเรียน
ขนาดกลางอยู่ราว 25 – 50% ทาให้โรงเรียนขนาดเล็กเหล่าน้ีไม่ได้รับการจัดสรรทรัพยากรที่เพียงพอต่อ
การจัดการศึกษาอย่างมีคุณภาพ แม้จะมีการเพิ่มอัตรางบประมาณอุดหนุนรายหัว (Top – up) ให้แก่
โรงเรียนขนาดเล็กแต่ก็ยังเป็นจานวนท่ีไม่พอในทางกลับกัน โรงเรียนขนาดใหญ่ท่ีได้รับการจัดสรร
งบประมาณด้วยสูตรการจัดสรรเดียวกันน้ีก็จะมีงบประมาณเหลือพอจากการประหยัดจากขนาด
(Economies of scale) และสามารถนางบประมาณดังกล่าวไปลงทุน จัดหา และจ้างบุคลากรเสริม
คุณภาพการจัดการศึกษาให้ดียิ่งข้ึนไปอีกด้วย อันเนื่องมาจากข้อจากัดทางงบประมาณของประเทศ แนว
ทางการจัดสรรทรัพยากรด้วยหลักความเสมอภาค (Equity – based budgeting) แทนการจัดสรรเงิน
เดียวกับโรงเรียนปกติทั่วไปในประเทศไทยตามสูตรการจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุนรายหัวผู้เรียน
ไกรยส ภัทราวาท (2562) ดงั น้ัน เป้าหมายในการจัดสรรทรัพยากรท่ีเกย่ี วข้องกับการใช้ดิจิทัลแพลตฟอร์ม
ควรให้มีอตั ราส่วนทดแทนในโรงเรียนท่ีขาดโอกาส เพื่อใหม้ ีความทัดเทียมกนั ในการสง่ เสรมิ พหุปญั ญาเพื่อ
พัฒนาผู้เรียน พร้อมท้ังระบบสนับสนุนจากโรงเรียนในพื้นท่ีใกล้เคียงที่มีความพร้อมมากกว่าในลักษณะ
ของเครือข่ายรว่ มพัฒนา
มหาวทิ ยาลัยศรนี ครินทรวิโรฒ ถ
การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสง เสริมพหุปญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผเู รียน
คํานาํ ผวู้ ิจยั
ความกาวหนาเทคโนโลยีทําใหทางการเปล่ียนแปลงของสังคมสูสังคมดิจิทัลเกิดขึ้นอยางรวดเร็ว
การพัฒนาผูเรียนจึงมีความสําคัญเพ่ือใหประชากรไทยไดรับการพัฒนาสมรรถภาพทางปญญาอยางเต็ม
ศักยภาพ สํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษาในฐานะหนวยงานที่มีความรับผิดชอบหลักในการพัฒนา
นโยบายและศึกษาวิจัยดา นการศึกษาของประเทศ จึงรวมกับมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒในการดําเนิน
โครงการศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผูเรียน เพ่ือศึกษา
และวิเคราะหรูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผูเรียนท้ังจาก
ในประเทศไทยและตางประเทศ ศึกษาการดําเนินงานของหนวยปฏิบัติที่จัดการศึกษาสงเสริมการพัฒนา
พหุปญญาของผูเรียน ถอดบทเรียนท่ีดี รวมทั้งปญหาและอุปสรรคในการดําเนินงาน พัฒนารูปแบบ
การพัฒนาและสงเสริมพหปุ ญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผูเรียนที่สอดคลองกับความถนัดและความตองการ
ของผูเรียนและสถานศึกษาของประเทศไทย และพัฒนากลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญา
เพ่ือการพัฒนาศักยภาพผูเ รียนท่ีมปี ระสิทธภิ าพ มีการบูรณาการและเช่ือมโยงการสง ตอและพัฒนาพหปุ ญญา
ของผูเรยี นอยา งตอเน่ืองและเหมาะสมตามระดับการศึกษา
คณะผูวิจัยขอขอบคุณผูที่มีสวนเกี่ยวของกับการศึกษาวิจยั ในพ้ืนที่ ประกอบดวยเครอื ขายนกั วจิ ัย
ศึกษานิเทศก ผูบรหิ ารสถานศึกษา ครู ผูปกครอง และผูเรียนทุกภูมิภาคของประเทศไทย ที่มีสวนรวม
ในการใหขอมลู ท่ีเปนประโยชนตอ ความสําเร็จของการดาํ เนินงาน แมจ ะมีอุปสรรคจากการแพรระบาดของ
COVID-19 และขอขอบพระคุณ รองศาสตราจารย ดร. ส วาสนา ประวาลพฤกษ ท่ีปรึกษาโครงการวิจัย
ที่ใหคําแนะนําท่ีเปนประโยชนและเพ่ิมคุณคาของโครงการตลอดระยะเวลาของการวิจัย ขอขอบคุณ
ดร. วิษณุ ทรัพยสมบัติ ผูอํานวยการสํานักทดสอบทางการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ และผูแทน
สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา ที่ใหขอเสนอแนะที่เปนประโยชนตองานวิจัย และขอขอบคุณ
เลขาธิการสภาการศึกษาและสาํ นักมาตรฐานการศึกษาและพฒั นาการเรยี นรู สภาการศึกษา เปน อยางสูง
ที่ใหก ารสนับสนุนการดําเนนิ การวิจัยครง้ั นี้อยางดยี ิง่
คณะผูวิจัยคาดหวังวา รายงานการวิจัยฉบับนี้จะเปนประโยชนตอผูที่สนใจและผูที่มีเกี่ยวของ
ทางการศึกษาทกุ ระดับในการนําไปประยุกตใชในการสงเสรมิ พัฒนาพหุปญญาของผูเรียนจนกระท่งั ผูเรยี น
ไดร บั การพัฒนาเต็มศักยภาพอยางยั่งยืน
คณะผวู ิจัย
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ บ
การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผเู รียน
สารบญั
บทท่ี 1 บทสรปุ สาํ หรบั ผบู ริหาร หนา
บทท่ี 2 คาํ นาํ ผวู จิ ยั ก
สารบัญ บ
สารบัญตาราง ป
สารบัญภาพ ฝ
บทนํา พ
1. ความเปนมาและความสาํ คัญ 1
2. วตั ถปุ ระสงคข องการวิจัย 1
3. ขอบเขตของการวิจัย 4
4. นิยามศัพท 4
5. ประโยชนที่ไดรับ 5
การทบทวนเอกสารและงานวจิ ัยทีเ่ ก่ยี วของ 8
1. ทฤษฎีพหุปญญา 9
2. รปู แบบและกลไกการพฒั นาความสามารถของผูเรยี น 9
3. แบบคัดกรอง 13
4. งานวิจัยท่ีเกยี่ วขอ ง 32
5. กรอบแนวคิดในการวจิ ัย 34
37
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ ป
การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสง เสริมพหุปญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผเู รียน
สารบญั
บทท่ี 3 วธิ ีดําเนินการ หนา
40
1. การพัฒนารปู แบบและกลไกการพฒั นาและสงเสริมพหุปญญา 40
เพือ่ การพฒั นาศักยภาพผูเรียน
46
2. การจดั ทําขอเสนอเชงิ นโยบายการพัฒนารปู แบบและกลไกการพัฒนา
และสงเสริมพหุปญญาเพอื่ การพฒั นาศกั ยภาพผูเรียนที่เหมาะสม 47
สาํ หรบั ประเทศไทย 47
บทที่ 4 ผลการวเิ คราะหข อมลู 92
98
1. ผลการพัฒนารูปแบบและกลไกการพฒั นาและสง เสรมิ พหุปญ ญา
เพอื่ การพัฒนาศักยภาพผูเรยี น 98
2. ผลการพฒั นาแบบคดั กรองพหุปญ ญา 102
108
บทที่ 5 ขอ เสนอเชิงนโยบายในการพัฒนาและสงเสริมพหปุ ญญาเพ่ือการพฒั นา 120
ศักยภาพผูเรียน
ยุทธศาสตร 1 การวางรากฐานสภาพแวดลอมในการเรียนรู
ใหสามารถเขา ถึงรปู แบบ A2D
ยทุ ธศาสตร 2 การสงเสรมิ ใหผเู รยี นไดพ ัฒนาพหปุ ญญาเต็มศักยภาพ
บรรณานุกรม
ภาคผนวก
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผ
การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผเู รียน
สารบญั ตาราง
ตาราง 1 กลยุทธการสอนที่ครอู อกแบบจําแนกตามมิติของพหปุ ญญา หนา
22
ตาราง 2 กจิ กรรมเสรมิ สรางพหปุ ญญาดา นความเขาใจตนเองของผเู รียน 24
28
ตาราง 3 พหปุ ญญาและความเชื่อมโยงกบั สวนของความรูคดิ และตาํ แหนง
ของระบบประสาท 52
56
ตาราง 4 กลยุทธการสอนของครูเพ่ือพัฒนาพหุปญญาของผเู รียน
65
ตาราง 5 กิจกรรมบทบาทสมมติเพ่ือพัฒนาเชาวนป ญญา
ดานการเขา ใจระหวา งบุคคลและการเขาใจตนเอง 70
ตาราง 6 แนวทางการจดั กิจกรรม และเกมท่ีสง เสรมิ พหุปญญาเพ่ือการพฒั นา 88
ศักยภาพผูเรียน
90
ตาราง 7 แนวทางการสนับสนนุ ดิจิทลั แพลตฟอรมท่สี งเสริมพหปุ ญญา
เพื่อการพฒั นาศกั ยภาพผูเรียน 92
ตาราง 8 รอยละของความคดิ เห็นเก่ียวกบั ความเหมาะสมและประโยชน 94
ของรปู แบบ A2D
96
ตาราง 9 ความคดิ เห็นเก่ียวกบั เง่ือนไขท่ีมีตอความสําเรจ็ ของการนาํ
รปู แบบ A2D ไปใชเพือ่ พฒั นาศกั ยภาพผูเ รยี น
ตาราง 10 ผลการวิเคราะหอ งคป ระกอบหลกั (Principal component
analysis: PCA) ของแบบคัดกรองพหุปญ ญาฉบับที่ 1 และ 2
ตารางที่ 11 แบบคดั กรองพหุปญญาสําหรบั ผูเรียนช้นั ประถมศึกษาและ
มัธยมศกึ ษา
ตารางที่ 12 จาํ นวนและรอยละของกลมุ ตัวอยางผเู รียนที่ไดรับการประเมิน
พหปุ ญญา
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ฝ
การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผเู รียน
สารบญั ภาพ
ภาพประกอบ 1 รปู แบบการเรยี นรขู องโรงเรียน หนา
15
ภาพประกอบ 2 รปู แบบการเรยี นรู 3-P 16
17
ภาพประกอบ 3 รูปแบบการสอนและกระบวนการเรยี นรูแบบ Transactional
model 18
19
ภาพประกอบ 4 กรอบการพฒั นาวชิ าชพี ของ Orrill’s 19
21
ภาพประกอบ 5 Design-based research framework 21
27
ภาพประกอบ 6 รูปแบบการคาดการณการเรียนรขู อง Sandoval (2004) 39
33
ภาพประกอบ 7 รปู แบบ DBRIEF 49
58
ภาพประกอบ 8 การแสดงผลผา นหนา จอแอปพลิเคชัน
61
ภาพประกอบ 9 ประสาทวทิ ยาศาสตรเก่ยี วกบั ความรูความเขาใจบคุ คล
72
ภาพประกอบ 10 การจัดสภาพแวดลอ มการเรียนรูในสถานศกึ ษาแบบบูรณาการ 74
75
ภาพประกอบ 11 กรอบแนวคดิ ในการวิจัย
ภาพประกอบ 12 กรอบนโยบาย “ลดเวลาเรียน เพ่ิมเวลารู”
ภาพประกอบ 13 การจัดสภาพแวดลอ มการเรียนรูเพื่อเพมิ่ ศักยภาพพหปุ ญญา
ของเด็กปฐมวัย
ภาพประกอบ 14 รูปแบบและกลไกการพัฒนาและสง เสริมพหปุ ญญา
เพอื่ การพฒั นาศกั ยภาพผูเรยี น A2D
ภาพประกอบ 15 การประเมนิ การเรียนรขู องผูเรยี น
ภาพประกอบ 16 ปรามิดการเรยี นรู
ภาพประกอบ 17 อตั ราการคงอยูของส่งิ ท่ีไดเรยี นรู กิจกรรม และ
รูปแบบการเรยี นรเู ชงิ รุก
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ พ
การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสง เสริมพหุปญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผเู รียน
สารบญั ภาพ
ภาพประกอบ 18 รูปแบบและกลไกการพัฒนาและสง เสริมพหุปญญา หนา
ภาพประกอบ 19 เพอ่ื การพฒั นาศกั ยภาพผูเรยี นแบบ A2D 83
ภาพประกอบ 20
ภาพประกอบ 21 ผลการวิเคราะหโ มเดลและ Scree plots ของแบบคดั กรอง 93
พหุปญญาฉบับท่ี 1
93
ผลการวิเคราะหโ มเดลและ Scree plots ของแบบคดั กรอง
พหปุ ญ ญาฉบับที่ 2 97
รอยละของผูเรียนจาํ แนกตามระดับพหุปญญา 9 ดาน
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ ฟ
การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสง เสริมพหุปญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผเู รียน
บทที
บทนาํ
การวิจัยเพื่อศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพ
ผูเรียนมีความเปนมาและความสําคัญ วัตถุประสงคของการวิจัย ขอบเขตของการวิจัย นิยามศัพท และ
ประโยชนท ี่ไดรบั ดังตอไปน้ี
1. ความเปน มาและความสาํ คญั
การจัดการศึกษาท่ีสามารถตอบสนองความตองการผูเรียนไดตรงความถนัดและเต็มตามศักยภาพ
ของผูเรียนนั้น จะสงผลใหเกิดประสิทธิผลสูงสุดตอผูเรียน คุณภาพการศึกษา และการพัฒนาทรพั ยากร
มนุษยโดยรวมของประเทศ หากระบบการศึกษา ครอบครัว และสังคมไทยสามารถสรางและพัฒนาคนไทย
ใหคนพบความถนัด ความเช่ียวชาญ และมีกลไกในการพัฒนา สงเสริม สนับสนุนใหคนไทยไดรับ
การพัฒนาอยางเต็มตามศักยภาพ อยางเปนระบบ และตอเน่ืองแลว ยอมจะนําไปสูการสรางและพัฒนา
บุคลากรของประเทศที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาใหม ๆ สรางและพัฒนาอาชพี ใหม ๆ ตลอดจนสรางและ
พฒั นานวัตกรรมท่ตี อบโจทยการพฒั นาประเทศในมติ ติ า ง ๆ ได
การจัดการศึกษาโดยการตระหนักในพหุปญญาท่ีหลากหลายของมนุษยจึงมีความสําคัญยิ่ง
ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษยของประเทศไทยใหบรรลศุ ักยภาพดังกลา ว ซ่ึงเปนแนวทางการจัดการศึกษา
ในศตวรรษท่ี 21 ที่บุคคลตองมีทักษะและสรรถนะที่หลากหลายและสรางสรรคใ นการทํางาน การสื่อสาร
การแกปญหา และการประยุกตใชในการดําเนินชีวิตในโลกยุคใหม สํานักงานราชบัณฑิตยสภา (2558)
ไดอธิบายความหมายของ พหุปญญา (Multiple intelligences) คือ เชาวนปญญาหรือความสามารถ
ทางสมองดานตางๆ ของบุคคลที่สงผลตอการคิด การตัดสินใจการแกปญหา การเรียนรู และการดํารงชีวิต
ของบุคคล แตละดานมีความสําคัญเทาเทียมกัน และสามารถพัฒนาไดดว ยวิธีการที่เหมาะสม ซ่ึงแตละบุคคล
อาจจะมีความโดดเดนดานใดดานหน่ึง หรือหลายดานผสมผสานกัน โดยทฤษฎีท่ีอธิบายรูปแบบหลายดาน
ข อ ง เช า วน ป ญ ญ า ใน แต ละด านของบุ คคลที่ มี มาต้ั งแต กํ าเนิ ดและเกิ ดภายหลั งและจํ าเป นต องพั ฒ น า
ในกระบวนการเรียนรู ทฤษฎีน้ีช่ือวา ทฤษฎีพหุปญญา (Theory of multiple intelligences) ท่ี โฮเวิรด
การดเนอร (Howard Gardner) นักจิตวิทยา ผูเชี่ยวชาญ ดานประสาทวิทยาการคิด (Cognitive
neuroscience) มหาวิทยาลัยฮารวารด (Harvard university) เปนผูเสนอ แบงเปน 9 ดาน (Gardner,
2011) ดงั น้ี
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ 1
การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผเู รียน
1. เชาวนปญญาดานภาษา (Linguistic intelligence) คือ ความสามารถในการใชภาษา
เขา ใจคาํ สั่งและความหมายของคํา ชอบอานเขยี น เลา เร่อื ง หรอื อธิบายไดช ดั เจน
2. เชาวนปญญาดานตรรกะและคณิตศาสตร (Logical mathematical intelligence) คือ
ความสามารถในการใชตัวเลข การเหน็ ความสัมพันธแบบแผนตรรกศาสตร การคดิ เชิงเหตผุ ล
3. เชาวนปญญาดานมิติสัมพันธ (Spatial intelligence) คือ ความสามารถในการมองเห็น
ความสมั พันธของพน้ื ที่ สามารถแสดงออกดว ยภาพ มองเหน็ รปู ลักษณของสิ่งตา งๆ สามารถหาทิศทางได
4. เชาวนปญญาดานรางกายและการเคลื่อนไหว (Bodily – kinesthetic intelligence) คอื
ความสามารถในการใชรางกายของตนเองแสดงความคิด ความรูสึก สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของ
รางกายไดด ี ชอบการเคล่อื นไหว สมั ผัส และใชภาษากาย
5. เชาวนปญญาดานดนตรี (Musical intelligence) คือ ความสามารถทางดนตรี รองเพลง
เลนดนตรี ตอบสนองตอเสียงเพลง แยกแยะ จดจําทํานอง เรยี นรูจังหวะดนตรีไดดี ไวตอเสยี ง คิดทวงทาํ นอง
และจังหวะดนตรีได
6. เช าวน ป ญ ญ าด าน การเขาใจระห วางบุ ค คล (Interpersonal intelligence) คือ
ความสามารถดานมนุษยสัมพันธ โดยมีการเขาใจ อารมณ ความรูสึก ความคิดและเจตนาของผูอื่น รวมทั้ง
ความไวในการสงั เกตน้ําเสียง ใบหนา ทา ทาง เขา ใจผอู ่ืน
7. เชาวนปญญาดานการเขาใจตนเอง (Intrapersonal intelligence) คือ ความสามารถ
ในการรูจักตนเองและสามารถประพฤติตนไดดีจากการรูจักตนน้ี มีสมาธิดี มีจิตใจออนโยน มีความเขาใจ
ตนเอง
8. เชาวนปญญาดานธรรมชาติวิทยา (Naturalist intelligence) คือ ความสามารถในการเขา ใจ
การเปล่ียนแปลงของธรรมชาติและปรากฏการณตามธรรมชาติ เขาใจความสําคัญของตนเองกับส่ิงแวดลอม
ตระหนักถงึ ความสามารถของตนท่ีจะมสี วนรวมในการอนรุ ักษธรรมชาติ
9. เชาวนปญญาดานการดํารงอยูของชีวิต (Existential intelligence) คือ ความสามารถ
เกี่ยวกับการจับประเด็นคําถามเก่ียวกับการดํารงอยูของมนุษย เรียนรูบริบทของการดํารงอยูของมนุษย
เขาใจความสมั พันธข องโลกท่ีเปนกายภาพและโลกของจิตใจ เขาใจสัจธรรมของโลกและชีวิต
การดําเนินการศึกษาและวิจัยเพ่ือนําทฤษฎีพหุปญญาดังกลาวมาใชในการพัฒนาการเรียนการสอน
ของไทยมีการดําเนินงานอยูเปนระยะๆ ทั้งในระดับการศึกษาข้ันพื้นฐานและอุดมศึกษา ปรากฏผล
การศึกษาที่ผานมา เชน แบบวัดพหุปญญาของผูเรียนระดับการศึกษาตาง ๆ แนวทางการจัดการเรียน
การสอนท่ีสงเสริมพหุปญญา การพัฒนาหลักสูตรเพื่อสงเสริมพหุปญญา เปนตน สถานศึกษาตาง ๆ ไดมี
การนําแนวคิดพหุปญญาไปใชในการจัดการศึกษาตามความสนใจของสถานศึกษาและการสนับสนุนของ
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 2
การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผเู รียน
หนวยงานตนสังกัด โดยเฉพาะตามแนวทางการจัดการศึกษาที่ใหความสําคัญตอผูเรียนที่มีความถนัด
หลากหลาย คํานงึ ถึงพฒั นาการในแตละดานของแตละบุคคลจะมคี วามแตกตา งกัน ในระดับที่แตกตางกัน
ทฤษฎีน้ีมฐี านทางประสาทวิทยา ชวี วิทยา และจติ วิทยา ในการเสรมิ สรา งความสามารถหรือศักยภาพของ
ผเู รียนใหปรากฏโดดเดนออกมาเพ่ือสรางสรรคสิง่ ท่ีเปนประโยชนตอสังคม
ดวยความสําคัญของการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาท่ีหลากหลายดังกลาว ยุทธศาสตรชาติ
พ.ศ. 2561 – 2580 จงึ ไดใหความสําคัญกับการพัฒนาศักยภาพของมนุษยตามความสนใจ ความถนัด และ
การตระหนักถึงพหุปญญาของมนุษยท่ีหลากหลาย ตามท่ีกําหนดในยุทธศาสตรชาติที่ 3 ดานการพัฒนา
และเสริมสรางศักยภาพทรัพยากรมนุษย และแผนแมบทภายใตยุทธศาสตรชาติ ประเด็น การพัฒนา
การเรียนรู แผนยอยการตระหนักถึงพหุปญญาของมนุษยที่หลากหลาย ดวยการพัฒนาและสงเสริม
พหุปญญาผานครอบครัว สถานศกึ ษา สภาพแวดลอ ม และส่ือตา ง ๆ ตั้งแตระดับปฐมวัย เพื่อสรา งเดก็ และ
เยาวชนไทยใหมีการพัฒนาท่ีสมดุล โดยมีแนวทางการพัฒนาภายใตแผนยอยดังกลาว คือ แนวทางที่ 1
พัฒนาและสงเสริมพหุปญญา โดยพัฒนาระบบบริหารจัดการกลไกการคัดกรองและการสง ตอเพอ่ื สงเสริม
การพฒั นาพหุปญ ญาใหเต็มตามศกั ยภาพ สง เสริมสนับสนนุ ครอบครวั ในการเสรมิ สรา งความสามารถพิเศษ
ตามความถนัดและศักยภาพทั้งดานกีฬา ภาษาและวรรณกรรม สุนทรียศิลป สงเสริมสนับสนุนระบบ
สถานศึกษาและสภาพแวดลอมท่ีเอ้ือตอการสรางและพัฒนาเด็กและเยาวชนที่มีความสามารถพิเศษ
บนฐานพหุปญญาและสงเสริมสนับสนุนมาตรการจูงใจแกภาคเอกชน และสื่อในการมีสวนรวมและ
ผลักดันใหผูมีความสามารถพิเศษมีบทบาทเดน ในระดับนานาชาติ และแนวทางที่ 2 สรางเสนทางอาชีพ
สภาพแวดลอมการทํางานและระบบสนับสนุนท่ีเหมาะสมสําหรับผูมีความสามารถพิเศษโดยจัดใหมี
โครงสรา งพ้นื ฐานและระบบสนับสนุนเพื่อผูมีความสามารถพิเศษไดสรางความเขมแข็งและตอยอดไดจัดให
มกี ลไกการทาํ งานในลักษณะการรวมตวั ของกลุมผูม คี วามสามารถพเิ ศษในหลากสาขาวิชา เพอ่ื รวมนักวิจัย
และนักเทคโนโลยีชั้นแนวหนาเพื่อพัฒนาตอยอดงานวิจัยเพ่ือตอบโจทยการพัฒนาประเทศสราง
ความรวมมือและเชื่อมตอสถาบันวิจัยช้ันนําทว่ั โลกเพ่ือสรา งความเขมแข็งใหนักวิจัยความสามารถสูงของ
ไทยใหมีศักยภาพสูงยิ่งขึ้น สอดคลองกับ นโยบายและจุดเนนของนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ
ปงบประมาณ พ.ศ. 2564 ท่ีใหความสําคัญกับการพัฒนาและเสริมสรางศักยภาพทรัพยากรมนุษย
ในทุกระดับการศึกษา เชน การจัดการเรียนรูเชิงรุกและการวดั ประเมินผลเพื่อพัฒนาผูเรียน ท่ีสอดคลองกับ
มาตรฐานการศึกษาของชาติ การพัฒนาผูเรียนใหมีทักษะการคิดวิเคราะหจากประสบการณจริงหรือจาก
สถานการณจําลองผานการลงมือปฏิบัติ ตลอดจนมีการจัดการเรียนการสอนในเชิงแสดงความคิดเห็น
เพื่อเปดโลกทัศนมุมมองรวมกันของผูเรียนและครใู หมากขึ้น รวมทั้งพัฒนาผูเรียนใหมีความรอบรูและ
มที กั ษะชีวิต เพื่อเปน เครื่องมือในการดํารงชีวิตและสรา งอาชีพ
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ 3
การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสง เสริมพหุปญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผเู รียน
ดวยความตระหนักถึงความสําคัญและตอบสนองการดําเนินงานตามยุทธศาสตรชาติดังกลาว
คณะนักวิจยั จึงจะดาํ เนินโครงการศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพ่ือการพัฒนา
ศักยภาพผูเรียน เพื่อศึกษาสภาพปญหาปจจุบัน ศึกษากลไกในการบริหารจัดการเรียนการสอน
แนวทางการคัดกรองผูเ รียน รปู แบบการสนบั สนุนและสงตอผเู รียนที่มีความถนัดและมีความสามารถพิเศษ
ในดานตาง ๆ ใหไดร ับการพัฒนาอยา งเปนระบบและเตม็ ตามศักยภาพตอไป
2. วัตถุประสงคของการวจิ ยั
2.1 เพือ่ พัฒนารปู แบบและกลไกการพัฒนาและสง เสริมพหปุ ญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผูเรยี น
2.2 เพ่อื จัดทําขอเสนอเชิงนโยบายการพัฒนารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญา
เพอ่ื การพัฒนาศักยภาพผูเรยี นท่ีเหมาะสมสาํ หรับประเทศไทย
3. ขอบเขตของการวิจัย
การวิจัยนี้เปนการวิจัยแบบผสานวิธีแบบลําดับ (Sequential mixed – method research)
แบงการวิจัยออกเปน 2 ระยะ ในระยะแรกเปนการพัฒนารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริม
พหุปญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผูเรียนและพัฒนาแบบคัดกรองพหุปญญา ประกอบดวยการดําเนินการ
3 สวนคือ 1) การศึกษาและทบทวนวรรณกรรมท่ีเก่ียวของทั้งในและตางประเทศท่ีเกี่ยวของกับรูปแบบ
และกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผูเรียน และแบบคัดกรองพหุปญญา
2) การสังเคราะหรูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผูเรียน และ
การสังเคราะหแบบคัดกรองพหุปญญา และ 3) การพัฒนารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริม
พหุปญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผูเรียนและแบบคัดกรองพหุปญญา และระยะท่ีสองเปนการจัดทํา
ขอ เสนอเชงิ นโยบายการพฒั นารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสง เสรมิ พหุปญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพ
ผูเรยี นทเี่ หมาะสมสําหรับประเทศไทย
3.1 ประชากรและกลุมตัวอยาง ในการศึกษาเชิงปริมาณ มีจํานวน 3 กลุม ไดแก ผูเรยี น ครูผูสอน
และผูปกครอง ประชากรผูเรยี นคือ ผูเรียนชั้นประถมศกึ ษาตอนตน ประถมศึกษาตอนปลาย มัธยมศึกษา
ตอนตน และมัธยมศึกษาตอนปลาย ในการเก็บขอมูลเพ่ือการวิเคราะหองคประกอบของแบบคัดกรอง
พหุปญญาของผูเรียน ใชกลุมตัวอยางผูเรียน จาก 5 ภูมิภาค ไดแก ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก
ภาคตะวันตก ภาคกลาง และภาคใต ไดร ับการคัดเลือกดวยวิธีการสุมแบบหลายขั้นตอน (Multi – stage
random sampling) ในข้ันตน สุมเลือกจังหวัดในแตละภูมิภาค ๆ ละ 6 จังหวัด ข้ันตอไปคือ สุมเลือก
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 4
การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสง เสริมพหุปญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผเู รียน
โรงเรียนจากแตละจังหวัด ๆ ละ 1 โรงเรียน ยกเวน กรุงเทพมหานครมจี ํานวน 2 โรงเรียน แลวจึงสุมเลือกผูเรยี น
จากแตละโรงเรียน ๆ ละ 20 คน ในแตละข้ันใชวิธีการสุมอยางงาย (Simple random sampling) โดยให
ครูผูสอน 1 คน และผูปกครอง 1 คน เปนผูสังเกตพฤติกรรมผูเรียนท่ีเปนกลุมตัวอยางคนเดียวกัน
รวมครูผสู อนและผปู กครองกลุม ละ 620 คน
3.2 กลุมผูใหขอมูลสําคัญ (Key informants) ในการศึกษาเชิงคุณภาพ คือ ผูที่มี
สวนเก่ียวของกับการดําเนินงานดานการจัดการศึกษา ท่ีปฏิบัติงานในสถานศึกษาในปการศึกษา 2563
เพื่อเขารวมการประชุมสนทนากลมุ (Focus group) โดยกําหนดเกณฑคุณสมบัติ เปนผูทรงคณุ วุฒิและผูท่ี
มีสวนเกี่ยวของกับการดําเนินงานดานการจัดการศึกษา ในปการศึกษา 2563 ของสถานศึกษาสังกัด
การศึกษาขั้นพ้ืนฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ไดแก ผูทรงคุณวุฒิทางการศึกษาและจิตวิทยา จํานวน 1 คน
ผูบริหารสถานศกึ ษา 21 คน ครูผูสอน 22 คน ผูปกครองของผูเรียน 20 คน และผูเรียนช้ันประถมศึกษา
หรอื มัธยมศกึ ษา 29 คน รวมจาํ นวน 93 คน
3.3 ตัวแปรท่ีศึกษา สําหรับการสรางแบบคัดกรองพหุปญญา ใชทฤษฎีพหุปญญาของการดเนอร
(Gardner, 2006) ซึ่งจําแนกเชาวนปญญาออกเปน 9 ดาน ไดแ ก (1) เชาวนปญญาดา นภาษา (Linguistic
intelligence) (2) เชาวนปญญาดานตรรกะและคณิตศาสตร (Logical mathematical intelligence)
(3) เชาวนปญ ญ าดานมิติสัมพันธ (Spatial intelligence) (4) เชาวนปญ ญ าดานรางกายและ
การเค ล่ื อ น ไห ว (Bodily – kinesthetic intelligence) (5) เช าวนป ญ ญ าด าน ด น ต รี (Musical
intelligence) (6) เชาวนปญญาดานการเขาใจระหวางบุคคล (Interpersonal intelligence) (7) เชาวนปญญา
ดานการเขาใจตนเอง (Intrapersonal intelligence) (8) เชาวนปญญาดานธรรมชาติวิทยา (Naturalist
intelligence) และ (9) เชาวนปญญาดานการดํารงอยูข องชีวติ (Existential intelligence)
4. นิยามศพั ท
รูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผูเรียน หมายถึง
แบบจําลองที่เปนตนแบบสําหรับการนําไปใชในการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพ
ผเู รยี นมีการขับเคลอ่ื นและสนบั สนุนใหการดําเนนิ งานดํารงอยูไดอยางตอเน่ือง
พหุปญญา คือ เชาวนปญญาหรือความสามารถทางสมองของผูเรียน ท่ีสงผลตอการคิด
การตดั สินใจการแกปญหา การเรียนรู และการดํารงชีวิตของผูเรียน จําแนกออกเปน 9 ดาน ผูเรียนแตละคน
จะมีเชาวนปญญาครบทุกดาน แตจะมีระดับเชาวนปญญาแตละดานไมทัดเทียมกัน เชาวนปญญาแตละดาน
มีความหมายและพฤติกรรมท่ีสามารถสังเกตเห็นได ดังนี้
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ 5
การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสง เสริมพหุปญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผเู รียน
1) เชาวนปญญาดานภาษา (Linguistic intelligence) หมายถึง ผูท่ีมีความสามารถในการเรียนรู
ภาษาไดอยางรวดเร็วและมีความสามารถในการใชภาษาไดถึงแกน ไดแก เรียนรูภาษาไดเร็ว ชอบอาน
ตัวหนังสือจากสิ่งตา ง ๆ รอบตัว ชา งพูด รจู ังหวะท่ีจะพูด รจู ักใชภาษาและนํ้าเสยี งจูงใจผูฟง ชอบกิจกรรม
ท่ีใชทักษะการพูด ชางเปรยี บเปรย เจา สาํ บดั สํานวน และชอบเลน เกมคาํ ศัพท เปน ตน
2) เชาวน ป ญญ าด านตรรกะและคณิ ตศาสตร (Logical mathematical intelligence)
หมายถึง ผูท่ีมีความสามารถในการใชตัวเลข มีความสามารถในการต้ังโจทยปญหาและแกโจทยปญหา
หรือตั้งสมมติฐานและทดสอบสมมติฐาน ดวยการคิดเชิงเหตุและผล ไดแก คิดจายเงิน ทอนเงินได
อยางคลองแคลว แกโจทยคณิตศาสตรเกง คิดเลขเกง ชอบคิดเลข มีวิธีคิดที่เปนระบบ เปนข้ันตอน
ชอบแกปญหาที่ซับซอน และคาดเดาคําตอบ รูจักใชเหตุผล และชอบเลนเกมกลองปรศิ นา เกมเขาวงกต
เปน ตน
3) เชาวนปญญาดานมิติสัมพันธ (Spatial intelligence) หมายถึง ผูท่ีมีความสามารถ
ในการมองเห็นภาพและทิศทางแบบสามมิติ มีความไวในการรับรูสิ่งตาง ๆ รอบตัว สามารถจําแนกลักษณะ
และเชื่อมโยงความสัมพันธของสิ่งตาง ๆ เหลานั้น ไดแก เกงการใชแผนที่และจับทิศทาง เกงเรื่องการจัด
หมวดหมู จัดส่ิงของเขาที่ ตาไว สายตาดี บอกรายละเอียดของสิ่งที่มองเห็นไดอยางรวดเร็ว เกงการใช
แผนผังความคิด (Mind mapping) ชอบเขียนภาพ วาดภาพ ระบายสี การออกแบบโปสเตอร
จัดนทิ รรศการ ชอบตอจิก๊ ซอร เลน เกมจบั คภู าพ และจดั ส่งิ ของใหพอดกี ับพ้ืนที่ เปนตน
4) เชาวนปญญาดานรางกายและการเคลื่อนไหว (Bodily – kinesthetic intelligence)
หมายถึง ผูท่ีมีการเคลื่อนไหวของรางกายอยางคลองแคลว สามารถใชประโยชนจากการเคลื่อนไหวของ
รา งกาย ใจและกายประสานกันเปนหน่ึงเดียว ไดแก เรียนรูงานท่ีตองลงมือปฏิบัติไดดี ใชสวนตาง ๆ ของ
รางกายปฏิบัติกิจกรรมไดดี ชอบแสดงทาทางประกอบการพูด แสดงทาทางเพื่อส่ือความหมาย
เคลื่อนไหวรางกายไดอยางคลองแคลว มีการทรงตัวไดดี ชอบกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหวรางกาย เชน
การแสดง การฟอนรํา เตน ราํ เปน ตน
5) เชาวนปญญาดานดนตรี (Musical intelligence) หมายถึง ผูท่ีมีความไวในการรับรแู ละ
ตอบสนองตอทวงทํานองของเสียง มีความสามารถในการใชและสรางแกนหลักของดนตรี คือ ระดับเสยี ง
สูง – ตํ่า จังหวะ และความเร็วของเสียง ไดแก หูไวตอทวงทํานองดนตรี มีความสามารถในการไดยิน
เสียงดนตรี จับจังหวะของเสียง และทวงทํานองไดดี สรางหรือเลยี นแบบเสียงดนตรไี ดเกง ชอบเลนดนตรี
เปนงานอดิเรก ชอบสะสมเรื่องราวทางดนตรี ชอบเครื่องดนตรี เรียนรูการเลนเครื่องดนตรีไดเร็ว ชอบฟง
ดนตรี ชอบแสดงทาทางตามจังหวะดนตรี และ ชอบดัดแปลงเนื้อเพลง แตงเพลงเพ่ือใหจําเนื้อหาท่ีเรียน
เปน ตน
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ 6
การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผเู รียน
6) เชาวนปญญาดานการเขาใจระหวางบุคคล (Interpersonal intelligence) หมายถึง
ผูที่มีมนุษยสัมพันธ ไวในการสังเกตสีหนา ทาทางของผูอ่ืน มีความเขาใจ อารมณ ความรูสึก ความคิด
และเจตนาของผูอ่ืน ไดแก อานใจคนเกง เขาถึงความชอบ ความคดิ แรงจงู ใจของคนอ่นื ไดดี ไวตอการรบั รู
ความรูสึกของคนรอบขาง จับความรูสึกของผูอื่นไดดี เขากับคนงาย มีปฏิสัมพันธกับผูอื่นไดดี และชอบ
ทํางานเปนกลมุ เปน ตน
7) เชาวน ป ญ ญ าด านการเขาใจตนเอง (Intrapersonal intelligence) หมายถึ ง ผูที่ มี
ความสามารถในการมองตน รูจักตน เขาใจความคิด อารมณและความตองการของตนเอง และสามารถ
ควบคุมพฤติกรรมตนเอง ไดแก รูจักและเขาใจตนเอง บอกขอดีขอเสียของตนเองได บอกไดวาตนเอง
มีความคิดและความรูสึกอยางไร สามารถวิเคราะหพฤติกรรมของตนเองท่ีมีกับคนอื่นได พ่ึงตนเอง
มีความรับผิดชอบในตัวเอง ชอบเขียนบันทึกเร่ืองของตนเอง และชอบเลนเกมผจญภัยและสวมบทบาท
เปนตวั ละครหลาย ๆ ประเภท เปนตน
8) เช าวน ป ญ ญ าด าน ธรรมชาติ วิทยา (Naturalist intelligence) ห ม าย ถึ ง ผู ท่ี มี
ความสามารถในการเขา ใจธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ มีความรอบรูเรื่องของพืชและสัตว
ไดแก มีความรอบรูเร่ืองพืชและสัตว ชางสังเกต จดจําและจําแนกประเภทพืชและสัตวรอบตัวได ออนไหว
ตอการเปล่ียนแปลงของสภาพแวดลอม ชอบอยูทามกลางธรรมชาติ มีความสุขเมื่ออยูกับธรรมชาติ เขาใจ
และสนใจปรากฏการณทางธรรมชาติ ชอบเดินทาง ทองเท่ียวทางธรรมชาติ เปนนักอนุรักษธรรมชาติ
ชอบกิจกรรมทาํ ความสะอาดสง่ิ แวดลอมของโรงเรยี นและชมุ ชน เปน ตน
9) เชาวนปญญาดานการดํารงอยูของชีวิต (Existential intelligence) หมายถึง ผูท่ีมี
ความสามารถในการเขาใจสัจธรรมของโลกและชีวิต การดํารงอยูของมนุษย คณุ คา ของมนุษยท่ีมีตอโลกและ
จักรวาล ไดแก ชอบฝกสมาธิ มีความเช่ือในเร่ืองจิตวิญญาณ สนใจและปฏิบัติตามหลักคําสอนทางศาสนา
ชอบตั้งคําถามเกี่ยวกับคณุ คา ของมนุษยที่มีตอโลก รัก เมตตา มนุษยและสัตวโลก และสนใจเรอื่ งของโลก
และจกั รวาล เปน ตน
การประเมินเชาวนปญญาท้ัง 9 ดาน จะใชการสังเกตพฤติกรรมการแสดงออกของผูเรยี น ถาผูเรียนมี
การปฏิบัติลักษณะสําคัญของเชาวนปญญาดานน้ัน ๆ อยางสม่ําเสมอมีคะแนนเทากับ 2 แตถาปฏิบัติ
ไมสมํ่าเสมอ อาจจะปฏิบัติบางเปนบางครั้ง หรือนาน ๆ คร้ัง จะใหคะแนนเทากับ 1 โดยมีเกณฑการแปล
ผลคะแนนแยกรายดาน คือ คะแนนแตล ะดา น 1 – 8 แปลวา ผูเ รยี นมีเชาวนปญญาดา นนั้น ๆ ในระดบั ปกติ
ถา มคี ะแนน 9 – 10 แปลวา ผเู รยี นมีความโดดเดนของเชาวนปญ ญาดา นนั้น
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ 7
การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสง เสริมพหุปญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผเู รียน
5. ประโยชนท ี่ไดรับ
5.1 ผูท่ีมีสวนเก่ียวของกับการจัดการเรยี นรูของผูเรียนชั้นประถมและมัธยมสามารถใชแบบคดั กรอง
พหุปญญาประเมินระดับของเชาวนปญญาทั้ง 9 ดาน ของผูเรียนในขั้นตนได และใชผลการประเมิน
เพ่ือวางแผนพฒั นาศกั ยภาพของผูเรียนในความดแู ล
5.2 ผูบริหาร ครู และบุคลากรทางการศึกษาไดรับการพัฒนาใหมีความรู ความเขาใจ และมี
ความสามารถในการจัดการเรยี นรู สนับสนนุ และสง เสริมใหผูเรียนไดรบั การพฒั นาอยา งเต็มตามศักยภาพ
5.3 ผูปกครองมีความรู ความเขาใจ และรว มกับสถานศึกษาในการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญา
ของบุตรหลาน ใหไ ดร บั การพัฒนาอยางเต็มตามศกั ยภาพ
5.4 ผูที่มีความสนใจในการพัฒนาสื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรูมีฐานขอมลู สําหรับ
การพัฒนาสื่อและดจิ ทิ ัลแพลตฟอรมเพื่อการพัฒนาผูเรียน
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 8
การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสง เสริมพหุปญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผเู รียน
บทที
การทบทวนเอกสารและงานวิจยั ทีเกียวขอ้ ง
การนําเสนอรายละเอียดของการทบทวนเอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวของ แบงออกเปน 5 ตอน
ตอนแรก คือ ทฤษฎีพหุปญญา ตอนท่ีสองคือ รูปแบบและกลไกการพัฒนาความสามารถของผูเรียน ตอนที่สาม
คือ แบบคัดกรอง ตอนที่สี่คือ งานวิจัยที่เกี่ยวของ และตอนที่หาคือ กรอบแนวความคิดในการวิจัย
มีรายละเอียดดงั ตอ ไปน้ี
1. ทฤษฎีพหุปญญา
ความเกงเรียกวา ปญญา ภาษาอังกฤษใชคําเดียวกันคือ Intelligence อยางไรก็ดีถาเกงมาก
ในหลายดานเรียกวา เลิศปญญา Giftedness ถาเกงมากดานเดียวเรียกวาพรสวรรคหรือ Talentedness
และเกงมากท่ีสุด หาใครเทียบไดยากเรียกอัจฉริยะ Genius ซึ่ง Alfred Binet มหาวิทยาลัยสแตนฟอรด
ไดสรางเครื่องมือวัดความเกงหรือเชาวนปญญาของเด็กเรียกวา IQ (Intelligence Quotient) ซ่ึงเปน
เศษสว นระหวางอายุสมองกับอายุจริงและคูณดวย 100 เมอื่ แบงคนออกเปน 10 ประเภทจะไดคนท่ีโงท่ีสดุ
ไปจนถึงฉลาดทส่ี ุดคนอัจฉรยิ ะ การวัดไอคิวเปนท่ียอมรับกันทั่วทั้งอเมริกาและทัว่ โลกเปนเวลาหลายสิบ
ป ตอมาในป 1983 นักจิตวิทยาอเมรกิ ันชื่อ โฮเวริ ด การดเนอร ซงึ่ เปนอาจารยสอนจิตวิทยาการศึกษาอยู
ท่ีมหาวิทยาลัยวิทยาลัยฮารวารด ไดตีพิมพหนังสือ Frame of mind และไดนําเสนอทฤษฎีพหุปญญา
ซ่ึง อธิบายไววาคนเรามีศักยภาพความถนัด มีวิธีการเรียนรู และมีเชาวนปญญาที่หลากหลาย ควรไดรับ
การพฒั นาเชาวนป ญญาทุก ๆ ดานไปพรอ ม ๆ กัน (Gardner, 1983)
ประเทศไทยมีความตื่นตัวเกี่ยวกับทฤษฎีพหุปญญาเม่ือประมาณ 20 กวาปท่ีผานมา โดยเมื่อวันที่
9 เดือนกันยา พ.ศ. 2542 สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการไดจัดเสวนาและไดเชิญวิทยากรมาบรรยายเร่ือง
ของพหุปญญาใหแกผูบริหารครูอาจารยท่ัวประเทศกวา 500 คน ทําใหแนวคิดพหุปญญาแพรหลาย
ท่ัวประเทศไดอยางรวดเร็ว ตอมาในป พ.ศ. 2548 ไดมีการเชิญ Gardner มาบรรยาย ทําใหพหุปญญาถูก
ประยุกตใชในโรงเรยี นแพรหลายอยางกวางขวางมากขึ้น ซ่ึงเช่ือวา เด็กควรไดรับการพัฒนาและสงเสริมให
เกงในหลาย ๆ ดานตั้งแตแรกเกิด มีผูกลาวไววาสมองของเด็กพัฒนาไดเต็มท่ีและสิ้นสุดในระยะหาปแรก
ดังน้ันการพัฒนาการเรียนรูของเดก็ ในระยะหาปแรกจึงเปนเร่ืองสาํ คัญท่ีสุด ในการศึกษาระดับข้ันพื้นฐาน
มีความสําคัญรองลงมา แตถาจะใหเกงดานใดดานหน่ึงจะตองไดรบั การพัฒนาเปนพิเศษ เพื่อใหเกิดทักษะ
ในดานน้ัน ๆ และพัฒนาตอไปจนถึงระดับอุดมศึกษาได หลังจากน้ันก็ยังตองพัฒนาตอไปอีกจนกวาชีวิต
จะหาไม (สุนทร โคตรบรรเทา, 2548)
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ 9
การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผเู รียน
ในป ค.ศ. 1983 การดเนอร ไดเสนอวาเชาวนปญญาของมนุษยมีอยูอยางนอย 7 ดาน คือ
ดานภาษา ดานตรรกะและคณิตศาสตร ดานมิติสัมพันธ ดานรางกายและการเคล่ือนไหวทางกาย
ดานดนตรี ดานการเขาใจระหวางบุคคล และดานการเขาใจภายในบุคคล โดยแบงเชาวนปญ ญาออกเปน
3 กลุมใหญ กลุมแรก ไดแก คณิตศาสตรและตรรกะ กลุมท่ีสอง ไดแก ดนตรี ภาษา และการเคล่ือนไหว
และกลุมที่สาม ไดแก ความฉลาดในการเขาใจตัวเองและผูอ่ืน ตอมาในป ค.ศ. 1997 การดเนอรไดเพิ่ม
เชาวนปญญาอกี 1 ดา น คือ ดานธรรมชาติวิทยา กลาววา เชาวนปญญาของมนษุ ยม ี 8 ดานคอื ซึง่ เชาวนปญญา
ดานภาษา และดานตรรกะและคณิตศาสตร มีคุณคามากที่สุดเมื่ออยูในโรงเรียนและสังคม และมนุษย
อาจจะมีเชาวนปญญาดานอ่ืน ๆ อีก เชน เชาวนปญญาดานจิตวิญญาณ (Spiritual intelligence) เชาวน
ปญญาดานการดํารงอยูของชีวิต หรือ(Existential intelligence) และเชาวนปญญาดานศีลธรรม (Moral
intelligence) ซ่ึงตอมา การดเนอร ไดรวมเชาวนปญญาดานการดํารงอยูของชีวิต หรือ เชาวนปญญา
ดานการคิดใครครวญ (Existential intelligence) เขาเปนเชาวนปญญาดานที่ 9 (เฉลียวศรี พิบูลชล,
2554; Gardner, 1983; 2011) ไดรวบรวมความหมายของเชาวนปญญาแตละดาน และความสัมพันธกับ
อาชีพไว ดงั นี้
1) เชาวนปญญาดานภาษา (Linguistic intelligence) คือ ความสามารถในการใชภาษาได
อยางชัดเจนถึงแกน ในการส่ือสารดวยการอาน เขียน ฟง หรือ พูด สรางสรรค ขัดเกลาการใชภาษาทั้ง
ในสวนของโครงสรางและรูปแบบทางภาษาที่ซับซอนขึ้น เชน เร่ืองราว ความเรียง โคลงกลอน และกลวิธี
ทางภาษา อาทิ การใช อุปมาอุปมัย การใชภาษาท่ีแทจริง การใชสัญลักษณ และ ไวยากรณ เปนตน
ซึ่งย่ิงลุมลึกในความหมายข้ึนอีกเม่ือผสานดวยการใชเหตุผลแบบนามธรรม กระสวน (Pattern) ความคิด
รวบยอด ความรูสึก นํา้ เสยี ง โครงสรางไวยากรณ และคําศัพทท่ีแตกแขนงไปไมรูจบ ผูทีพ่ ัฒนาถงึ ขีดสุด
ทางภาษาคือ ผูท่ีสามารถผสมผสานเสียงและความหมายออกมาเปนภาษาท่ีมีเอกลักษณเฉพาะตน
ในการถายทอดความคิดทัง้ มวลและในการพูดท่ลี ึกซึง้ กินใจผูฟ ง ได
2) เช าวน ป ญ ญ าด าน ต รรกศ าส ตรแ ละคณิ ต ศาส ตร (Logical – mathematical
intelligence) คือความสามารถในการใชเหตุผลแบบนิรนัย (จากสวนรวมไปหาสวนยอย Deductive
reasoning) และความสามารถในการใชเหตผุ ลแบบอุปนัย (การใหเหตุผลดวยขอเท็จจริงหรือขอมูลตาง ๆ
แลวสรุปลงเปนกฎ Inductive reasoning) การแกปญหาท่ีเปนนามธรรมและเขาใจความสัมพันธที่
ซับซอนของการใชเหตุผลทางคณิตศาสตร และกระบวนการทางวิทยาศาสตร การใชความคิดอยางมี
วิจารณญาณ (Critical thinking) เก่ียวกับการจัดเรียงลําดับ การวิเคราะหและการประมาณการ
อยางชัดเจน แตส่ิงท่ีตองการตอกย้ําคือ ความมุงม่ัน (Persistence) ความเที่ยงตรง (Precision)
ความชา งซกั (Inquiry) และการใหรายละเอียด (Elaboration)
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 10
การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผเู รียน
3) เชาวนปญญาดานมิติสัมพันธ (Visual – spatial Intelligence) คือความสามารถในการ
รับรูภาพที่มองเห็นในโลกไดอยางถูกตอง และสามารถนําประสบการณจากการเห็นน้ันมาสรางข้ึนใหม
เปนความสามารถเก่ียวพันกับการเหน็ รูปราง สี รูปทรงสัณฐาน และลักษณะพื้นผิวดวย “มุมมองของจิต”
และถายทอดออกมาเปนงานศิลปท่ีเห็นไดเปนรูปธรรมความสามารถดานนี้เกิดจากความไวในการในการ
รับรูของกลไกประสาทสัมผัสตอส่ิงตาง ๆ ที่อยูรอบตัว สายตาจะแยกแยะสี รูปราง รูปทรงสัณฐาน
ลกั ษณะพนื้ ผวิ ความลึก ความกวาง ความยาว ความหนา ความสูง และความสมั พันธตาง ๆ
4) เชาวนปญญาดานรางกายและการเคล่ือนไหว (Bodily – kinesthetic Intelligence) คอื
ความสามารถในการควบคุมและแปลความหมายของลีลาการเคล่ือนไหวของรางกาย หยิบ – จับสิ่งของ
และสรางความสอดคลองระหวางกายและใจได ตัวอยาง ผูท่ีมีความสามารถดานรางกายและ
การเคล่ือนไหวสูงมาก เชน Marcel Marceau จะสามารถใชทาทางสรางบุคลิกภาพท่ีหลากหลาย เชน
แสดงทาทางอันธพาล ผูรักสนั โดษ ตัวตลกนักไตเขา ทาที่เปรียบดั่งผีเส้ือโบยบิน ยอดออนพลิ้วของเกลยี ว
คลื่น หรือแมความคิดในเรื่องของความดี ความชั่ว หรืออิสรภาพและพันธนาการ ทั้งหมดนี้
ดวยความคลองแคลวประมาณกัน และในเวลาไลเร่ียกันไดอยางนาทึ่ง ในขณะท่ีเกิดการพัฒนา
ความสามารถดานนี้ การประสานตาของตา – มือ และกลามเน้ือมัดเล็ก ๆ ท่ีควบคุม จะกระตุนใหแตละคน
สรางมโนภาพการรับรูในรูปรางและสีในส่ือท่ีตาง ๆ กันออกไป การรับรูภาพที่มองเห็นจึงเปน
การผสมผสานของความรู ประสบการณ อารมณ และจินตนาการเดิมที่สรางสรรคออกมาเปนภาพใหม
ใหผ อู น่ื ไดช ม
5) เชาวน ป ญ ญ าด านดนตรี (Musical Intelligence) คือ ความสามารถหรือความไว
ในการตอบสนองตอรูปแบบของเสียง หรือความสามารถในการใชแกนของดนตรี คือ ระดับเสียงสูง – ตํ่า
จังหวะ และความเร็วของเสียง ตัวอยางเชน การใชจังหวะ อัตราตัวโนต ลักษณะเสียงรอง เนื้อรอง และ
การเคาะจังหวะ และการเรียบเรยี งเพลงที่มีเสยี งทีแ่ ปลกใหม
6) เช าวน ป ญ ญ าดาน การเขาใจระหวางบุ คค ล (Interpersonal intelligence) คือ
ความสามารถในการเขา ใจและสัมพันธกับผูอื่น สามารถสังเกตและแยกแยะอารมณ ภาวะจิตใจ แรงจูงใจ
และความตั้งใจของผูอื่นไดดี (Gardner, 1983) เชน ในระดับท่ัวไป อาจจะเหน็ ไดจากความออนไหวทีม่ ีตอ
อารมณข องผูท่ีอยูรอบขาง ในระดับทั่วไปคือความสามารถในการอานใจผูอ ่ืน ความสามารถน้ีเกีย่ วของกับ
ทกั ษะในการสอ่ื สารดว ยวาจา ทาทาง ทกั ษะในการทํางานรว มกับผอู ื่น ทักษะการจดั การความขัดแยง การ
หวานลอมใหเห็นพองตรงกัน และความสามารถในการสรางความเชื่อใจ เคารพ นํา และจูงใจผูอ่ืนไปสู
ความสําเร็จตามเปาหมายอันยังประโยชนรวมกัน การมีความเห็นอกเห็นใจในความรูสึก ความหวาดกลัว
ความกระวนกระวาย และความเช่ือของผูอ่ืน ตลอดจนความเต็มใจในการรับฟงผูอ่ืนโดยไมมีการตัดสิน
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ 11
การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผเู รียน
และความตองการท่ีจะชวยเหลือผูอ่ืนใหสามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแสดงออกไดถึงจุดสูงสุด
เหลา น้ี บง บอกวา มีความสามารถดานน้ีในระดับสงู
7) เชาวนปญญาดานการเขาใจตนเอง (Intrapersonal intelligence) คือความสามารถใน
การมองตน เขาใจความแปรปรวน ในอารมณของตนเองและใชความเขาใจนั้นควบคุมพฤติกรรมตนเอง
ชอบที่จะมีเวลาคิด ไตรตรอง และประเมินตนเอง “เปนความสามารถที่เพ่ิมขึ้นจากความสามารถในการ
แยกแยะความรูสึกชื่นชมยินดีจากความเจ็บปวดเพียงเล็กนอย และจากการสามารถแยกความแตกตาง
ณ จุดนั้น เลือกท่ีจะเขาไปหรือถอยหางจากสถานการณท่ีเปนอยู” ผูท่ีมีความรับผิดชอบในตนเองสูง
จะมีแนวโนมสูงทีจ่ ะมีศักยภาพของความสามารถในดา นนี้
8) เชาวนปญญาดานธรรมชาติวิทยา (Naturalist intelligence) คือความสามารถในการ
จดจํา รูจักพันธุพืชและพันธุสัตวท่ีอยูรายรอบตัว และบัญญัติศัพททางวิชาการเพื่อจัดแบงประเภทตาง ๆ
ยอ ย ๆ ลงไป ผูที่สามารถเลือก คัดประเภทตาง ๆ ของดอกไม บอกชื่อประเภทของสัตว หรจื ัดสิ่งของ เชน
รองเทา รถ เส้ือผา เครื่องแตงกาย เขาพวกตามคุณลักษณะท่ีรวมกันไดแสดงใหเห็นถึงแววการเปน
นักธรรมชาติวทิ ยา
9) เชาวนปญญาดานการดํารงอยูของชีวิต (Existential intelligence) คือ ความสามารถ
ในการเขาใจสัจธรรมของโลกและชีวิต จิตวิญญาณ คุณคาของความเปนมนุษย มีความสามารถในการใช
ปรชั ญา การใชเ หตุผลเพื่อจดั การความยตุ ิธรรม หรอื จัดการกับประเดน็ ทางศาสนา
อยางไรก็ดี มีผูใหความสนในทฤษฎีพหุปญญา (MI) ตลอดมา ดังเชน Tyler และ Loventhal
(Tyler & Loventhal 2011 อางใน Hajhashemi, Caltabiano, Anderson & Tabibzadeh, 2018) ได
ศึกษาทฤษฎพี หปุ ญ ญา (MI) และใหความหมายของพหปุ ญ ญาโดยยอในแตล ะดาน ดังน้ี
1) เชาวนปญญาดานภาษา: ความสามารถในการใชคําอยางมีประสิทธิภาพ ทั้งโดยการพูด
และการเขยี น
2) เชาวนปญญาดานตรรกะและคณิตศาสตร: ความสามารถในการใชตัวเลขอยางมี
ประสทิ ธภิ าพ รูจักคดิ หาเหตุผล
3) เชาวนปญญาดานมิติสัมพันธ: ความสามารถในการรับรูโลกท่ีเปนภาพและมิติไดอยาง
แมน ยํา
4) เชาวนปญญาดานรางกายและการเคลือ่ นไหว: ความเช่ียวชาญในการใชร างกายเพ่ือแสดง
ความคดิ และความรสู กึ
5) เชาวนปญญาดา นดนตร:ี ความสามารถในการรับรู แยกแยะ เปลี่ยนแปลง และแสดงออก
เกีย่ วกบั รปู แบบดนตรี
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ 12
การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสง เสริมพหุปญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผเู รียน
6) เชาวนปญญาดานการเขาใจผูอ่ืน: ความสามารถในการรับรูและสรางความแตกตาง
ในอารมณ ความตงั้ ใจ แรงจูงใจ และความรูส ึกของผอู นื่
7) เชาวนปญญาดานการเขาใจตนเอง: รูจักตัวเองและมีความสามารถในการปรับตัว
บนพนื้ ฐานของความรูน้นั
8) เชาวนป ญญาดา นการเขา ใจธรรมชาติ: ความสามารถในการจดจําและจําแนกพืชสัตวและ
สง่ิ ตาง ๆ ในธรรมชาติไดอยางงายดาย
ทฤษฎีพหุปญญาถูกนํามาใชในการสงเสริมศักยภาพในการเรียนรูของผูเรียน โดยแบงกลุมผูเรียน
ตามเชาวนปญญาออกเปน 3 กลุม (Mckenzie, n.d.) ไดแ ก
1) กลุมการวิเคราะห (Analytic) คือ การเนนกระบวนการคิดวิเคราะห ไดแก เชาวนป ญญา
ดา นตรรกะและคณติ ศาสตร ดานดนตรี และดา นธรรมชาตวิ ทิ ยา
2) กลุมพินิจพิจารณา (Introspective) คือ การเนนจินตนาการไดแก เชาวนปญญาดานมิติ
สัมพนั ธ ดานการเขาใจตนเอง และดานการดาํ รงอยขู องชีวติ
3) กลุมปฏิสัมพันธ (Interactive) คือ การเนนการส่ือสาร การถายทอด และความรวมมือ
ไดแก เชาวนปญญาดานภาษา ดานการเขาใจระหวางบุคคล และดานรางกายและ
ความเคลื่อนไหว
2. รูปแบบและกลไกการพัฒนาความสามารถของผูเรียน
Good (1973) ไดใหความหมาย รูปแบบ (Model) ไว 4 ความหมาย คือ (1) เปนแบบอยางของ
ส่ิงใดส่ิงหนึ่งเพ่ือเปนแนวทางในการสรางหรอื ทําซ้ํา (2) เปนตัวอยางสําหรับการเลียนแบบ เชน ตัวอยาง
ในการออกเสียงภาษาตางประเทศเพ่ือใหผูเรียนไดเลียนแบบ (3) เปนแผนภาพหรือภาพ 3 มิติ ท่ีเปน
ตัวแทนของส่ิงใดสิ่งหนึ่งหรือหลักการ หรือแนวคิด และ (4) เปนชุดของปจจัยหรือองคประกอบ หรือตัวแปร
ท่ีมีความสัมพันธซ่ึงกันและกัน รวมตัวเปนตัวประกอบและเปนสัญลักษณทางระบบสังคม อาจเขียนเปน
สูตรทางคณิตศาสตรห รือบรรยายดว ยภาษาก็ได (Good, 1973 อา งใน ดิเรก วรรณเศียร, 2549) Keeves
และ Rung Kaew Dang (1997) ใหความหมาย รูปแบบ คือ โครงสรางตามสมมุติฐาน ท่ีใชในการคนหา
ของความสมั พันธระหวางองคป ระกอบจากสมมติฐานหลาย ๆ สมมติฐานท่ีตั้งข้ึนมาจาก ความคิดหรือจาก
การศึกษากอนหนา และจากการสนับสนุนของทฤษฎีทั้งหลาย” การคนหาน้ีจะชวยยืนยันหรือปฏิเสธ
โครงสรางตามสมมติฐานที่ไดตั้งไว ในทางการศึกษา คําวา “รูปแบบ” หรือ “โมเดล” มีความหมายคือ
รากฐานทางปรัชญาของแนวทางและความเชือ่ โดยรวมทีเ่ ก่ียวของกับการเรียนรู การเรียนการสอน เนื้อหา
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ 13
การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผเู รียน
และวิธีการท่ใี ชในการเรียนการสอน รปู แบบการเรยี นรูหรอื รปู แบบการสอนเปนการสนับสนุนใหผูเรียนได
สารสนเทศ ความคิด ทักษะ คานิยม วิธีการคิด นัยของการแสดงออก และวิธีการเรียนรู แตอยางไรก็ดี
ผลลัพธในระยะยาว คือ การเพ่ิมศักยภาพการเรียนรูของผูเรียนใหมีการเรียนรูตลอดชีวิตอยางมี
ประสทิ ธิผล (Bruce & Weil, 1996)
van Merriënboer (1997) ไดนําเสนอรูปแบบการเรียนรูสําหรับการเรียนรูที่มีความซับซอน
(Complex learning) ควรประกอบดวยองคประกอบ 4 ดาน ไดแก (1) งานประกอบการเรียนรู
(learning tasks) (2) ขอมูลที่ใชในการสนับสนุนการเรียนรู (Supportive information) (3) ขอมูล
เก่ียวกับกระบวนการเรียนรู (Procedural information) และ (4) การฝกปฏิบัตงิ านที่เปนสวนหนึง่ ของก
การเรียนรู (Part – task practice) ผูเรียนสามารถเรียนรูจากแบบจําลองคอมพิวเตอร สภาพแวดลอม
เสมือนจริง ผูเรียนจะไดรับการใหคําปรึกษาผานแอปพลิเคชันออนไลน อาจจะมีสวนรวมในการฝก
ปฏิบัติงานผานการฝกอบรมแบบเจาะลึกและการฝกใชคอมพิวเตอร แอปพลิเคชัน หรือโปรแกรม
ซงึ่ ครูผสู อนสามารถใหค ําปรึกษาทง้ั ทางจติ วิทยา และสนับสนุนการเรียนรูของผเู รยี นผานระบบมัลติมีเดยี
Dix (2007) จากมหาวิทยาลัย Flinders ประเทศออสเตรเลีย ไดศึกษาและรวบรวมรูปแบบ
การจัดการเรียนการสอนและการเรียนรูที่ออกแบบจากงานวิจัยตาง ๆ มาประยุกตใชในการออกแบบ
รูปแบบการนํา ICT มาใชในหองเรียน ผลศึกษาพบวามีรูปแบบการจัดการเรียนการสอนและการเรียนรู
ที่ออกแบบจากงานวิจัยตาง ๆ ดังเชน Carroll (1963) ไดนําเสนอรูปแบบการเรียนรูของโรงเรียน
โดยปจ จัยที่สงผลตอ ผลสัมฤทธทิ์ างวิชาการของโรงเรียน มี 3 ตัวแปร ไดแก ความถนัดโอกาสในการเรียนรู
ที่สงผลผานปจจัย 4 ดาน ไดแก (1) เวลาสําหรับการเรียนรู (2) ความสามารถของผูเรียนในการมีความรู
ความเขาใจ (3) คณุ ภาพการสอน และ (4) ระยะเวลาที่ผเู รยี นมีความตง้ั ใจเรียน
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 14
การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสง เสริมพหุปญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผเู รียน
ภาพประกอบ 1 รูปแบบการเรยี นรขู องโรงเรยี น
ทม่ี า Dix (2007)
Biggs (1989) ไดนําเสนอรูปแบบ 3 – P ของระบบการเรียนรู (Learning system) ซ่ึง 3 – P
ประกอบดวย (1) การกําหนดเปาหมายลวงหนา (Posits presage) (2) กระบวนการ (process) และ
(3) ผลผลิต (Product) โดยมสี มมติฐานวา ผลลพั ธการเรยี นรเู กดิ จากการมีปฏิสมั พันธระหวางครกู ับบริบท
ทางการเรยี นรูของผูเรียนขณะที่ผเู รียนกําลังเรียน ซึ่งในข้ัน P – 1 กอนเขาสูการเรียนการสอน ครูและ
โรงเรียนจะตองมีการกําหนดลักษณะสภาพแวดลอมการเรียนรู ในขณะที่ครูและผูเรยี นจะพิจารณาวาจะมี
ปจจัยอะไรบางท่ีจะสงผลตอผลลัพธการเรียนรู ข้นั P – 2 กระบวนการ ไดแก สิ่งท่ีเกิดขึ้นในสถานการณ
การเรียนรูของผูเรียน โดยเฉพาะอยางย่ิงผลการเรียนรูแบบตื้น ๆ และในเชิงลึก ท้ังน้ีในขั้นกระบวนการ
ในการเรียนรูไมจําเปนตองสอดคลองกับคุณลักษณะของผูเรียน ขั้น P – 3 ผลลัพธ ผูเรียนจะมีผลลัพธ
การเรียนรูเชิงคุณภาพท่ีแตกตางกัน กลาวคือวิธีการเรียนรูเชิงลึกจะทําใหเกิดผลลัพธการเรียนรูที่มี
คุณภาพสงู ในขณะที่วิธีการแบบผวิ เผนิ สงผลใหผลลพั ธการเรียนรมู ีคุณภาพตา่ํ
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ 15
การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผเู รียน
ภาพประกอบ 2 รปู แบบการเรยี นรู 3 – P
ท่มี า Dix (2007)
การทบทวนรูปแบบการสอนและกระบวนการเรียนรูแบบ Transactional model ของ Huitt’s
(1993) จะจําแนกปจจัยท่ีสงผลตอการเรียนรูและผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของผูเรียนตามบริบทของ
หองเรียนและโรงเรียนออกเปน 4 กลุม ไดแก (1) บริบท (2) ปจจัยนําเขา (3) กระบวนการในช้ันเรียน
และ (4) ผลลัพธ ท้ังนี้ บริบท คือปจจัยท้ังในหองเรียนและนอกหองเรียนที่อาจจะมีอิทธิพลตอการสอน
และการเรียนรู ปจจัยนาํ เขา คือ คุณภาพหรือคุณลักษณะของครแู ละผูเรียนท่ีถูกปอนเขาสูประสบการณ
ในหองเรียน กระบวนการในหองเรียน คือ การตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้นในหองเรียน ที่มีสวนเกี่ยวของกับ
พฤติกรรมของครูและผูเรียน ตลอดจนสภาพแวดลอมในหองเรียนและความสัมพันธระหวางบุคคล
ผลลพั ธ จะวดั ผลการเรยี นรขู องผูเรยี นแยกออกจากกระบวนการเรยี นรูในหอ งเรยี น (Huitt, 1993)
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ 16
การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสง เสริมพหุปญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผเู รียน
ภาพประกอบ 3 รูปแบบการสอนและกระบวนการเรยี นรูแบบ Transactional model
ที่มา Dix (2007)
กรอบการพัฒนาวิชาชีพของ Orrill’s (2001) ในสวนของศูนยกลางจะเปนปฏิสัมพันธสามทาง
ระหวาง (1) กระบวนการออกระเบียบขอบังคับ (2) การสะทอนกลับ และ (3) การต้ังเปาหมาย โดยมี
วัตถุประสงคเพื่อสนับสนุนครูระดับมัธยมตนใหเนนการสอนแบบผูเรียนเปนศูนยกลางเพิ่มมากขึ้น
เมื่อสอนแบบคอมพิวเตอรเปนฐานในหองเรียน โดยมีพื้นฐานมาจากความเช่ือท่ีวา “การเปลี่ยนแปลง
ในรายบุคคลจําเปนบุตองไดรับการสนับสนุนภายใตบริบทอยูตลอดเวลา” (Orrill, 2001) ประเด็นสําคัญ
5 ประการของรปู แบบนี้คือ (1) การสะทอน (2) เปาหมายระดับตน (3) การสนับสนุนของเพ่ือนรวมงาน
(4) การใหข อเสนอแนะแบบตัวตอ ตัว และ (5) การสนับสนุนวัสดุ อุปกรณใ หแ กครู
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 17
การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผเู รียน
ภาพประกอบ 4 กรอบการพัฒนาวชิ าชีพของ Orrill’s
ที่มา Dix (2007)
จากแนวคิดของ Cobb และคณะ (2003) และการศึกษาเก่ียวกับการวิจัยเชิงการออกแบบเปนฐาน
(Design – based research) ซึ่งผสมผสานการวิจัยเชิงการศึกษาเชิงประจักษกับการออกแบ บ
สภาพแวดลอมการเรียนรูที่ขับเคลื่อนดวยทฤษฎีท่ีเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับการสอนและการเรียนรู ชวย
ขยายความเขาใจเกี่ยวกับความสัมพันธระหวางทฤษฎีการศกึ ษา สิ่งประดิษฐท ี่ออกแบบไว และการปฏิบัติ
โดยท่ีการออกแบบเปนศูนยกลางในความพยายามสงเสริมการเรียนรู การสรางความรูที่นําไปใชได และ
การพัฒนาทฤษฎีการเรียนรูและการสอนในสภาพแวดลอมท่ีซับซอน และการขยายผลงานของ Turner
(1991) เก่ียวกับทฤษฎีโครงสรางของ Giddens (1984) ทําให Keeves (2003) ไดพัฒนา Design – based
research framework ซึ่งประกอบดวย การเชื่อมโยงระหวางกนั ภายใน แตไมตอเนื่อง โดยพิจารณาภาพ
จากดานขวาไปซา ย ข้ันตอนตา ง ๆ จะเคลื่อนผานระยะของการสํารวจ มีการทาํ งานที่เปนอิสระ เคล่ือนไป
ยงั การยนื ยันซ่ึงสะทอ นถึงการออกแบบท่ีดใี นระยะทีเ่ ปนการใชก รณีศึกษา (Case study) ผวู จิ ัยไดเ พิม่ เติม
การตรวจสอบความตอ งการท่ีไมปรากฏชัดเจนในรูปแบบของ Keeves (2003) โดยใชการวิจัยปฏิบัติการ
แบบมีสวนรวม (Action research) เพ่ือเสริมสรางความสอดคลองระหวางการวางแผนกับการออกแบบ
การเปล่ียนแปลง
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ 18
การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผเู รียน
ภาพประกอบ 5 Design – based research framework
ท่ีมา Keeves (2003)
ในรูปแบบของ Sandoval (2004) ทฤษฎีการเรียนรูไดรับการพัฒนาผานกระบวนการทําซ้ํา การ
ปรับเปล่ียนบริบทการเรียนรู ทั้งดานสารสนเทศและการประยุกตทฤษฎี การแทรกแซงในกระบวนการ
ยอย ๆ การคาดการณผลลัพธทั้งหลาย เชน ตรวจสอบผลกระทบที่มีตอแรงจูงใจในการเรียนรู ในทาง
กลบั กันผลลพั ธเ หลานจี้ ะถูกนํามาใชในการแทรกแซงในกระบวนการระดับภาพรวมไดอ กี
ภาพประกอบ 6 รูปแบบการคาดการณการเรยี นรูของ Sandoval (2004)
ทม่ี า Dix (2007)
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ 19
การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสง เสริมพหุปญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผเู รียน
Dix (2007) จากมหาวิทยาลัย Flinders ประเทศออสเตรเลีย ไดศึกษาและรวบรวมรูปแบบการ
จัดการเรียนการสอนและการเรียนรูท่ีออกแบบจากงานวิจัยตาง ๆ มาประยุกตใชในการออกแบบรูปแบบ
การนํา ICT มาใชในหองเรียน โดยมีการผสมผสานองคป ระกอบที่มีอิทธิพลจากรูปแบบตาง ๆ เขาดว ยกัน
จากผลการสังเคราะหไดรูปแบบการจัดการเรียนการสอนและการเรยี นรูท่ีออกแบบจากงานวิจัยตาง ๆ
ขางตน จาก รูปแบบของ Carroll (1963) Biggs (1989) Huitt (1993) Orrill (2001) Keeves (2003)
Bannan – Ritland (2003) และ Sandoval (2004) เรียกวา DBRIEF ซ่งึ มี 5 ข้ันตอนที่สําคญั คือ (1) การ
สํารวจขอมูล (2) การกําหนดลวงหนา (3) กระบวนการ (4) ผลผลิต และ (5) การประเมินผลเพิ่มเติม
กิจกรรมทั้งหมดนี้ดําเนินการเปนกระบวนการที่ใชง านงายและสามารถดําเนินการซํา้ ๆ โดยลูกศรโคง แบบ
สองทางอยูภายใตแนวคิดของ Carroll (1963) Bigg (1989) และ Huitt (1993) ความสัมพันธระหวาง
ปจจัยที่กําหนดไวลวงหนาในบริบทของครูและผูเรียน ถูกนําเสนอในรูปแบบความสัมพันธเชิงสาเหตุท่ี
กําหนดโดยเสนอิทธิพล กระบวนการท่ีสําคญั ของ DBRIEF คือ ‘วงจรการกําหนดระเบียบปฏิบัติ’ ซึ่งมีการ
พัฒนาและประเมินโครงการนวัตกรรมของการแทรกแซงในช้ันเรียน เชน การนํา ICT มาใชในการเรียนรู
ในกระบวนการทําซํ้า มีการวัดปจจัยตามบริบทพรอมกบั พฤติกรรมของครูและผูเรียนเพ่อื ใหผลลัพธที่ใชใน
การสนับสนุนการสะทอนและพัฒนาไปสเู ปาหมายตอไป (Orrill, 2001) ขั้นตอนสุดทายของวงจรมหภาค
เปนส่ิงท่ีจําเปนและเปนพ้ืนฐานสําหรับวิธีการวิจัยที่มีการออกแบบเปนฐาน การประเมินผลเพ่ิมเติม
เชนเดียวกับ แบบจําลองของ Bannan – Ritland (2003) และ Sandoval (2004) ข้ันตอนสุดทายน้ี
ออกแบบมาเพ่ือสงเสริมการวิจัยและพัฒนาทฤษฎีและการแทรกแซงอยางตอเน่ือง ดังน้ันผลลัพธท่ีคนพบ
และผลกระทบจึงปอนกลับเขา วงจร อกี ครง้ั โดยมีสมมติฐานพ้ืนฐานวา การเปลี่ยนแปลงมีความยั่งยนื และ
นวัตกรรมในการปฏิบัติในชนั้ เรยี นควรมีการพฒั นาตลอดเวลา
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ 20
การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผเู รียน
ภาพประกอบ 7 รูปแบบ DBRIEF
ทม่ี า Dix (2007)
Nicolini (2010) ศึกษาการใชระบบการประเมินพฤติกรรมดวยการสังเกตผานแอปพลิเคชัน
Web – Observation (Web – Ob) โดยครูจะสรางสถานการณจําลอง เพื่อกระตุนปฏิกิริยาตอบสนอง
ของผูเรียน แลวจึงทําการสังเกตพฤติกรรมผานแอปพลิเคชัน ซึ่งจะมีหนาจอสําหรับสังเกตพฤติกรรมที่
แสดงออก การส่ือสารแบบอวัจนะ การแสดงออกขณะท่ีมีการเจรจา และจะมีอีกหนาจอหน่ึงสําหรับครู
เพ่ือใหค รูผสู ังเกตและตีความ/แปลผลจากขอมูลที่สังเกตเหน็ นั้นและมีสวนของการตั้งขอสังเกตหรือการให
ขอ เสนอแนะในการสงั เกตพฤตกิ รรมของผูเรียนในครง้ั ตอไป (Nicolini, 2010)
ภาพประกอบ 8 การแสดงผลผา นหนา จอแอปพลเิ คชนั
ทม่ี า: Nicolini (2010)
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 21
การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผเู รียน
การศึกษาของ Yaumi, Sirate และ Patak (2018) เปนการศึกษาเพื่อสงเสริมประสิทธิภาพของ
ครูในการออกแบบการเรียนการสอนที่เนนผูเรียนเปนสําคัญ ดวยการอบรมเชิงปฏิบัติการเชิงรุก
(Proactive workshop) เพ่ือใหครูสามารถออกแบบการสอนท่ีเนนผูเรียนเปนสําคัญท่ีเนนใหผูเรียนได
เรียนรูแบบพหุปญญาเปนฐาน (Multiple intelligence – based learning) ในการฝกอบรมจะมี 3
หัวขอคือ 1) แนวคิดการเรียนรูแบบพหุปญญาเปนฐาน 2) กลยุทธการจําแนกผูเรียนตามพหุปญญา และ
3) กลยุทธการพัฒนาปญญาของผูเรียน โดยประยุกตใช Elliott’s model (Elliot, 1991) ท่ีมีหลายวงจร
แตละวงจรจะมี 4 ข้ันตอน ประกอบดวย 1) การวางแผนการปฏิบัติ 2) การปฏิบัติตามแผน 3) การกํากับ
ติดตามการปฏิบัติและผลกระทบ และ 4) การประเมินผล ทั้งนี้ จะตองมีการระบุความคิดเร่ิมตนและ
การประเมินผลหรือขอเท็จจริงที่เกิดขึ้น นอกจากนี้จะใชระบบการใหคําปรกึ ษาชวยเพ่ิมประสิทธิภาพของ
ครูในการออกแบบกลยุทธการสอนการและกิจกรรมการเรียนรู รวมท้ังการสรางความสามัคคีในระดับ
ผูบริหาร ครู และชุมชน ผลการศึกษาพบวา กลยุทธการสอนที่ครูออกแบบจําแนกตามมิติของพหุปญญา
ทงั้ 9 ดานมดี ังนี้
ตาราง 1 กลยทุ ธก ารสอนทีค่ รูออกแบบจาํ แนกตามมติ ขิ องพหุปญญา
พหปุ ญ ญา กลยุทธการสอน
Verbal – ระดมความคิด (Brainstorming) เลาเร่อื ง (Storytelling) เขียนบทความ (Journal
linguistic writing) อานอัตชวี ประวัติ (Reading biography)
Logic – การคิดวิเคราะห (Critical thinking) ทดลองการตอบคําถามแนวโสเครตีส
mathematic (Experiment Socrates question) การแกป ญหา (Problem-solving)
Visual – spatial ผงั ความคดิ (Mind mapping) การสรางภาพ (Visualization) วาดเขียน (Colorful
paper) ระบายสี (Painting) สเก็ตภาพ (Sketching)
Bodily – นําเที่ยว (Field trip) บทบาทสมมติ (Role play) เลนโขน (Pantomime) ปฏิบัติ
kinesthetic (Practice) สาธิต (Demonstration)
Music – เครื่องเลนแผนเสียง (Discography) เคร่ืองดนตรี (Instrumental) เครื่องบันทึก
rhythmic (Recording) เครื่องเลนเพลงท่ีมีหนวยความจําระดับสูง (Playing super memory
music)
Interpersonal การตอจิ๊กซอว (Jigsaw) เพื่อนสอนเพื่อน (Peer teaching) การทํางานเปนทีม
(Teamwork) การทาํ งานกลมุ (Group study)
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ 22
การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสง เสริมพหุปญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผเู รียน
พหุปญ ญา กลยุทธก ารสอน
Intrapersonal งานเด่ียว (Personal task/study) การสะทอนกลับ (Reflection) การเรียนแบบ
นาํ ตนเอง (Self directed learning) การใชสมาธิ (Concentration)
Naturalistic เรีย น รูผ าน ธรรม ช าติ (Learning through nature) ห น าต างสูก ารเรียน รู
(Windows onto learning) พืชเปนอปุ กรณประกอบฉาก (Plants as props) สัตว
เล้ียงในหองเรียน (Pet – in – the – classroom) เลียนเสียงสัตว (Imitating
animal sounds)
Existential – การตอบสนองตอปรากฏการณท่ีแทจริง (Responding real phenomena) งาน
spiritual การกุศลและการเรียนรู (Charity and learning) การอานบทกวีโรแมนติก
(Reading the romantic poem) การเขียนเรียงความสะทอนความคิดเห็น
(Writing a reflective essay)
ทม่ี า: Yaumi, Sirate & Patak (2018)
Winarti Yuanita และ Nur (2018) ศึกษากลยุทธการสอนของครูทส่ี งเสริมศักยภาพดานพหุปญญา
ของผูเรยี นและไดรับผลดดี านการพัฒนาครูใหครูมีความสนใจกับความสามารถดานพหปุ ญญาของผูเรียน
และการพัฒนาศักยภาพของผูเรียนมากข้ึน ซึ่งกลยุทธที่ออกแบบดวยการประยุกตจากชุดกิจกรรม
การเรียนรูของ Gagne (1977) รวมกับการฝกผูเรียนดวยกระบวนการทางวิทยาศาสตร และแบบสังเกต
พฤติกรรม (Observation sheets) ซึ่งชุดกิจกรรมการเรียนรูมี 6 ขั้นตอน ไดแก 1) การสะทอนตนเอง
(Self – reflection) ซึ่งผูเรียนจะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับตนเอง พฤติกรรมการเรียน และงานอดิเรก
ของผูเรียน 2) ครูแนะนําแนวคิดเก่ียวกับการฝกกระบวนการทางวิทยาศาสตร (Practices science
process skills: SPS) 3) ผูเรียนจะตั้งประเด็นคําถามเก่ียวกับเนื้อหาในรายวิชาท่ีจะเรียน 4) ตั้งประเด็น
คําถามเชิงลึกเช่ือมโยงกับศักยภาพดานพหุปญญาผานการปฏิบัติกระบวนการทางวิทยาศาสตร 5) ผูเรียน
ตองแสดงใหเหน็ ถึงการมีความรูความเขาใจผานกิจกรรมท่ีสอดคลองกับลักษณะทางพหุปญญาของผูเรยี น
ที่เดนชัดในดานตาง ๆ และ (6) สรุปบทเรียน ท้ังนี้ กิจกรรมในข้ันตอน 1 ถึง 4 จัดเปนกิจกรรมกลุม
ในข้ันตอนท่ี 5 จะจัดกลุมแยกตามลักษณะทางพหุปญญา และในขั้นตอนท่ี 6 จะเปน การนําเสนอ
รายบุคคล
Wee Shin และ Kim (2013) ไดศึกษาถึงการสงเสริมพหุปญญาดานการเขาใจระหวางบุคคล
และความเขาใจตนเองดวยการใชบทบาทสมมติในเด็กเล็กที่มีความแตกตางทางสังคมและวัฒนธรรม
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ 23
การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสง เสริมพหุปญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผเู รียน
ในโรงเรียนสาธิตแหงหนึ่ง โดยใชหลักสูตรฐานพหุปญญาและมีการถายทอดสถานการณในชั้นเรียนแบบ
ออกอากาศรวมดวย (Pod class) กิจกรรมบทบาทสมมติท่ีผูเรียนแสดง ที่เปนกิจกรรมจากประสบการณ
ของผูเรียนหรือส่ิงที่ผูเรียนสนใจ เชน ความสัมพันธกับเพื่อนหรือความขัดแยงกับคนในครอบครัว ครูจะ
แนะนําใหผูเรียนแสดงบทบาทหลาย ๆ แบบ กระตุนใหผูเรียนรูจักใชคาํ พูดของตนเองรวมอภิปราย และ
แสดงความคิดเห็น โดยใชคําถามเปนตัวกระตุน นอกจากจะทําใหผูเรียนรูจักแสดงความคิดเห็นแลวยัง
ทําใหผูเรียนรูจักรับฟงความคิดเห็นของผูเรยี นคนอื่น ๆ กระบวนการเหลาน้ีชวยใหผูเรยี นมีความเขาใจผูที่
มีความคิดและประสบการณท่ีแตกตางจากตนเองมากข้ึน กลยุทธท่ีครูใชคือการพูด การเขียน การแสดง
ทาทาง กระตุนใหผูเรียนมีสวนรวมและมีใจจดจอ มีความสนใจตอเนื่อง ในดานการอภิปราย ครูจะใช
วิธีการตั้งคําถาม และเลาเร่ืองของตนเอง หรือแกลงทําตัวเปน คนอื่น ใชแผนปายผา หรือใชตกุ ตา ในขณะ
ที่ผูเรียนจะแสดงออกทั้งการพูดหรือการแสดงทาทาง ในบางครั้งจะมี Field trip เพื่อใหคนในชุมชน
ใหความสนใจและมีสวนรวม ในชวง 5 นาทีสุดทายของคาบ จะเปนเวลาในการสะทอนวา ผูเรียนได
ทําอะไรบาง ผูเรียนชอบอะไรมากที่สุด ผูเรียนสนใจอะไรมากท่ีสุดในระหวางการทํากิจกรรม แมวา
การเช่ือมโยงประสบการณกับการแสดงออกอาจจะทําไดยาก แตก ารที่ผูเรียนไดพูดทําใหผูเรียนสามารถ
เปลี่ยนประสบการณใหเปนคําพูดท่ีมีความเปนรูปธรรมมากขึ้นและเสริมสรางพหุปญญาดานการเขาใจ
ตนเองของผเู รียน ท้ังน้กี ิจกรรมบทบาทสมมติมีลกั ษณะในตาราง 2
ตาราง 2 กจิ กรรมเสริมสรา งพหปุ ญญาดา นการเขา ใจตนเองของผูเรยี น
ชื่อกิจกรรม จุดมุงหมาย เน้ือหา/รายละเอยี ด
จิตใจของฉนั เขาใจความคิดและความรูสึกของ สรางจินตนาการวามีรานท่ีผูเรียนสามารถซื้อ
(My mind) คนอื่นและของผูเรียนเอง และ อะไรก็ไดตามที่คิด จากนั้นก็วาดรูปหรือปนแปง
คิดถึงวิธีการที่จะทําใหคนอ่ืนมี ส่ิงของท่ีผูเรียนตองการซื้อ แบงปนความคิดกับ
ความสุข สงิ่ ของท่ีผูเ รยี นซื้อกบั เพ่ือน ๆ
ระหวางเพ่ือน เขาใจจิตใจของเพอื่ นและใหเพ่ือน อภิปรายเกี่ยวกับตัวละครจากเรื่องราวบนแผน
ตามนัน้ ปายผาและคนหาวิธีการแกปญหาท่ีตัวละครตอง
เผชิญ ผูเรียนรูสึกอยางไรหลังจากสวมบทบาทน้ี
แล ะแ บ งป น กั บ เพ่ื อน ผูเรียน วาไดพ บ เจ อ
เหตกุ ารณเ หมือนกันหรือไม
ฉนั ชอบเธอ แสดงความรูสึกชอบที่มีตอผูอ่ืน ใหนึกถึงสถานการณที่เกิดขึ้นและลองใชวิธี
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 24