The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานวิจัยรูปแบบและกลไก การส่งเสริมและพัฒนาพหุปัญญา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by chtsan6, 2022-09-11 10:37:51

การส่งเสริมและพัฒนาพหุปัญญาเพื่อพัฒนาผู้เรียน

รายงานวิจัยรูปแบบและกลไก การส่งเสริมและพัฒนาพหุปัญญา

การศึกษารปู แบบและกลไกการพฒั นาและส่งเสริมพหุปัญญาเพอื่ การพัฒนาศักยภาพผู้เรียน

บทสรปุ สำหรบั ผบู้ รหิ ำร

การจัดการศึกษาท่ีสามารถตอบสนองความต้องการผูเ้ รียนไดต้ รงความถนัดและเต็มตามศักยภาพ
ของผู้เรียนน้ัน จะส่งผลให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดต่อผู้เรียน คุณภาพการศึกษา และการพัฒนาทรัพยากร
มนุษย์โดยรวมของประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2561 – 2580 ในยุทธศาสตร์ชาติท่ี 3 ด้านการพัฒนา
และเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ และแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นการพัฒนา
การเรียนรู้ แผนย่อยการตระหนักถึงพหุปัญญาของมนุษย์ท่ีหลากหลาย ด้วยการพัฒนาและส่งเสริม
พหุปญั ญาผ่านครอบครัว สถานศกึ ษา สภาพแวดลอ้ ม และสือ่ ต่าง ๆ ตั้งแต่ระดบั ปฐมวยั เพื่อสร้างเดก็ และ
เยาวชนไทยให้มีการพัฒนาที่สมดุล ด้วยความตระหนักถึงความสาคัญและตอบสนองการดาเนินงานตาม
ยุทธศาสตร์ชาติดังกล่าว คณะนักวิจัยจึงดาเนินโครงการศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและส่งเสริม
พหุปัญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผู้เรียน โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือพัฒนารูปแบบและกลไกการพัฒนาและ
ส่งเสริมพหุปัญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผู้เรียน และจัดทาข้อเสนอเชิงนโยบายการพัฒนารูปแบบและ
กลไกการพัฒนาและส่งเสริมพหุปัญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผู้เรียนท่ีเหมาะสมสาหรับประเทศไทย
ใช้ระเบียบวิธีวิจัยผสานวิธีแบบลาดับ (Sequential mixed-method research) แบ่งการวิจัยออกเป็น
2 ระยะ คือ ระยะท่ี 1 การพัฒนารูปแบบและกลไกการพัฒนาและส่งเสริมพหุปัญญาเพ่ือการพัฒนา
ศักยภาพผู้เรียน ประกอบด้วยขั้นตอนการสังเคราะห์และการประชุมระดมความคิดผู้ให้ข้อมูลสาคัญเพื่อ
ปรับปรุงรูปแบบและกลไกการพัฒนาและส่งเสริมพหุปัญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผู้เรียนและการสารวจ
พหุปญั ญาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษา และระยะท่ี 2 การจัดทาข้อเสนอเชิงนโยบายการ
พัฒนารูปแบบและกลไกการพัฒนาและส่งเสริมพหุปัญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผู้เรียนท่ีเหมาะสม
สาหรับประเทศไทย ผู้ให้ข้อมูลสาคัญ มีจานวน 93 คน ประกอบด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิทางการศึกษาและ
จิตวิทยา 1 คน ผู้บริหารสถานศึกษา 21 คน ครูผู้สอน 22 คน ผู้ปกครองของผู้เรียน 20 คน และผู้เรียน
ชั้นประถมศึกษาหรือมัธยมศึกษา 29 คน กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้เรียนชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษา
460 คน โดยคัดเลือกด้วยวิธีการสุ่มแบบหลายข้ันตอน (Multi-stage random sampling) จาก 5 ภูมิภาค
ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก ภาคกลาง และภาคใต้ รวมจานวน 25 โรงเรียน
จาก 24 จังหวัด นักเรียนจะได้รับการประเมินพหุปัญญาจากครูผู้สอนและผู้ปกครอง โดยใช้แบบคัดกรอง
พหุปัญญาซงึ่ เปน็ แบบสังเกตพฤติกรรม สรุปผลการวิจยั ดงั นี้

1. ผลการศึกษาและทบทวนวรรณกรรมที่เก่ียวข้องท้ังในและต่างประเทศ พบว่า รูปแบบและ
กลไกการพัฒนาและส่งเสริมพหุปัญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผู้เรียนที่เคยมีการศึกษาวิจัยในประเทศไทย
และต่างประเทศ จาแนกได้ 3 รูปแบบ คือ (1) รูปแบบ ACACA เป็นการพัฒนาพหุปัญญาเพื่อการเรียนรู้
สาหรับการจัดการศึกษาในบริบทของสังคมไทย ท่ีเน้นให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ด้วย
ตนเองตามข้ันตอนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ 5 ข้ันตอน คือ ข้ัน 1 ผู้เรียนลงมือปฏิบัติกิจกรรมการ
เรียนรู้ด้วยตนเองอย่างมีชีวิตชีวา (Active Learning) ข้ัน 2 ผู้เรียนปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มร่วมกับผู้อ่ืนในกลุ่ม
ย่อย (Cooperative Learning) ขั้น 3 ผู้เรียนวิเคราะห์กิจกรรมการเรียนรู้ (Analysis) ข้ัน 4 ผู้เรียนสามารถ

มหาวทิ ยาลัยศรนี ครินทรวิโรฒ ก

การศกึ ษารปู แบบและกลไกการพัฒนาและส่งเสริมพหุปญั ญาเพอ่ื การพัฒนาศกั ยภาพผเู้ รียน

สรุปและสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism) ขั้น 5 ผเู้ รียนสามารถนาส่ิงท่ีได้เรียนรู้ไปประยุกต์ใช้ได้
อย่างมีความหมาย (Application) (2) รูปแบบการบูรณาการกับหลักสูตร ในประเทศไทย โดย
กระทรวงศึกษาธิการ ต้ังแต่ใน พ.ศ. 2558 กระทรวงศึกษาธิการ มีนโยบายด้านการศึกษา “การลดเวลา
เรียน เพิ่มเวลารู้: Mordorate Class More Knowledge” โดยกาหนดเป้าหมายการพัฒนา 4H ได้แก่
Head (พฒั นาสมอง) Heart (พฒั นาจติ ใจ) Hand (พัฒนาทักษะการปฏิบัต)ิ และ Health (พัฒนาสุขภาพ)
ให้เช่ือมโยงกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ในต่างประเทศ การ์ดเนอร์
ได้ออกแบบโครงการ Project Spectrum ซ่ึงเป็นโครงการวิจัยที่ดาเนินการตั้งแต่ปี ค.ศ. 1984 ถึงปี
ค.ศ. 1988 ในโครงการนี้มีการพัฒนาหลักสูตรสาหรับเด็กก่อนวัยเรียนและประถมศึกษาตอนต้น เพื่อ
พัฒนาพหุปัญญา 8 ด้าน ทาการทดลองกับโรงเรียนของรัฐในเมือง Somerville และ Roxbury มลรัฐ
Massachusetts ผลงานของ Project spectrum ขึน้ อยู่กับความเชอ่ื ท่ีวา่ เด็กแต่ละคนมคี วามโดดเด่นของ
เชาวน์ปัญญาท่แี ตกตา่ งกนั 8 ด้าน ความสามารถทแี่ ตกต่างกันหรอื สเปกตรมั ของเชาวน์ปญั ญา ซ่ึงสามารถ
เพ่ิมพูนได้ด้วยโอกาสทางการศึกษา และใช้ข้อมูลนี้เป็นพื้นฐานสาหรับโปรแกรมการศึกษาเฉพาะบุคคล
(3) รูปแบบบูรณาการกับการจัดการเรียนรู้ จาแนกออกตามโครงสร้างการบูรณาการได้เป็น 6 รูปแบบย่อย
คือ (ก) การบูรณาการกับพื้นที่จัดการเรียนรู้ โดยการศึกษาของกรุงเทพมหานคร ที่ได้ทดลองใช้จัดการ
เรียนรู้แบบพหุปัญญาในหลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรียนมีวิชาพลศึกษา ดนตรี ชมรมบาเพ็ญประโยชน์
ชมรมโต้วาที ชมรมหมากรุก วิชาศิลปะ ซึ่งช่วยส่งเสรมิ พัฒนาปัญญา 8 ด้าน โดยให้ครูจัดมุมหรือศนู ย์หรือ
ฐานท่ีสัมพันธ์กับเชาวน์ปัญญาด้านต่าง ๆ ในห้องเรียน มุมเหล่านี้อาจจะมีตลอดปีหรือจัดเป็นครั้งคราว
เช่น ครั้งละ 2 – 3 วันหรือ 2 – 3 สัปดาห์ ตามท่ีผเู้ รียนจดั เช่น จัดมมุ ภาพการ์ตูน วาดภาพจากหนังสือท่ี
ผู้เรียนอ่าน การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนท่สี ัมพันธ์กับเชาวน์ปญั ญาแตล่ ะด้าน (ข) การบูรณาการกับ
กลยุทธ์การสอนด้วย Elliott’s model โดยครูผู้สอนจะเป็นผู้ออกแบบกลยุทธ์การสอนของครู
ท่ีบูรณาการเข้ากับเชาวน์ปัญญาแต่ละด้าน เพื่อให้สามารถพัฒนาพหุปัญญาของผู้เรียน (ค) การบูรณาการ
กับกลยุทธ์การสอนออนไลน์ เป็นการประยุกต์ทฤษฎีพหุปัญญา (MI) เข้ากับกลยุทธ์การสอนออนไลน์
สาหรับนักศึกษาระดับอุดมศึกษา (IHE) ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการประเมินจุดแข็งของตนเอง และจุดแข็ง
ทางพหุปัญญา เพื่อตอบสนองความต้องการในการพัฒนาพหุปัญญาเปน็ รายบุคคล (ง) การบรู ณาการกับ
การเรียนรู้จากบทบาทสมมติแบบออกอากาศ (Pod class role play) เป็นการใช้บทบาทสมมติ
ร่วมกับการถ่ายทอดกิจกรรมในชั้นเรียนเพ่ือส่งเสริมพหุปัญญาด้านการเข้าใจระหว่างบุคคลและการเข้าใจ
ตนเอง กิจกรรมบทบาทสมมติเป็นกิจกรรมจากประสบการณ์ของผู้เรียนหรือส่ิงท่ีผู้เรียนสนใจ ครูจะ
แนะนาให้ผู้เรียนแสดงบทบาทหลาย ๆ แบบ กระตนุ้ ให้ผู้เรียนรู้จักใช้คาพูดของตนเองร่วมอภิปราย แสดง
ความคิดเห็น และรับฟังความคิดเห็นของผู้เรียนคนอ่ืน ๆ กลยุทธ์ที่ครูใช้คือการพูด การเขียน การแสดง
ท่าทาง ในช่วง 5 นาทีสุดท้ายของคาบ จะเป็นเวลาในการสะท้อนว่า ผู้เรียนได้ทาอะไรบ้าง ผู้เรียนชอบ
อะไรมากท่ีสุด ผู้เรียนสนใจอะไรมากที่สุดในระหว่างการทากิจกรรม และ (จ) การบูรณาการกับการจัด
สภ าพ แ วดล้อมการเรียน รู้ ใน ร่มและกลางแจ้ง (Indoor outdoor playground learning
Environment) ด้วยการออกแบบสนามเด็กเล่นในร่มและกลางแจ้งเพื่อจัดสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ใน
สถานศึกษา มีการบูรณาการกิจกรรมในร่มและกลางแจ้งกับกระบวนการเรียนรู้ท่ีออกแบบหรือ Lesson

มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ ข

การศกึ ษารปู แบบและกลไกการพัฒนาและสง่ เสรมิ พหปุ ญั ญาเพือ่ การพัฒนาศักยภาพผเู้ รียน

plan activity แบ่งออกเป็น Daily activity plan (DAP) Weekly activity plan (WAP) และ Annual
activity plan (AAP) ครูต้องมีความอดทน เอาใจใส่ดูแล และรอบรู้จะเป็นบุคคลสาคัญที่จะเอ้ือให้เกิด
กระบวนการเรียนรู้นี้

2. ผลการศึกษาการดาเนินงานของหน่วยปฏิบตั ิ พบว่า ในปัจจุบัน โรงเรยี นมีการพัฒนาผู้เรียน
หลายดา้ น และมีการใชแ้ นวคิด ต่าง ๆ มาใช้ในการพฒั นาผู้เรียน ได้แก่ (1) เศรษฐกิจพอเพียง ในโรงเรียน
พื้นที่ชนบท เป็นการเน้นกิจกรรมท่ีเก่ียวข้องกับวิถีชีวิต (2) จิตปัญญา เป็นโรงเรียนในวิถีแห่งปัญญา ที่
มุ่งเน้นการเรียนรู้ภายในตนเองเป็นหลัก ผู้เรียนมีการพัฒนาอย่างบูรณาการตามหลักไตรสิกขา (4) การ
พฒั นาสมองซีกซ้ายและซีกขวา โดยท่ีสมองซีกซ้ายคือ “ส่วนของการตัดสิน” และสมองซกี ขวา คือ “ส่วน
ของการสร้างสรรค์” (5) การจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะที่สาคัญในการดารงชีวิตในศตวรรษท่ี 21
ได้แก่ พ้ืนฐานความคิดเชิงคานวณ (Computational thinking) พื้นฐานความรู้ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล
(Digital technology) และพื้นฐานการรู้เท่าทันสื่อและข่าวสาร (Media and Information Literacy)
สาหรับการพัฒนาพหุปัญญาของผู้เรียน และ (6) การพัฒนาผู้เรียนผ่านกิจกรรมเสริมการเรียนรู้ โดย
จัดเป็นชุมนุมคณิตศาสตร์ กีฬา ดนตรี ศิลปะ ซ่ึงผู้เรียนสามารถเลือกเข้าชุมนุมต่าง ๆ ตามความสนใจ
และกจิ กรรมบาเพ็ญประโยชน์ท่ีผู้เรียนต้องเข้าร่วมกิจกรรมทุกคน สรปุ ได้ว่า ยังไม่มีความชัดเจนวา่ มีการ
หลอมรวมแนวทางการพัฒนาผู้เรียนไปในทิศทางเดียวกัน หรือมีการพัฒนาพหุปัญญาอย่างต่อเนื่อง และ
ยังมคี วามแตกตา่ งกนั อย่มู ากในระหวา่ งโรงเรียน

3. ผลการพัฒนารูปแบบและกลไกการพัฒนาและส่งเสริมพหุปัญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพ
ผู้เรียน ผลการสังเคราะห์จากเอกสารและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง คือ รูปแบบ A2D หรือ AAD” เรียกว่า
รูปแบบ A Square D ประกอบด้วยอักษรย่อ 3 ตัวคือ “A” 2 ตัวอักษร และ “D” 1 ตัวอักษร โดยอักษร
“A” ตัวแรก คือ “Area” หมายถึง องค์ประกอบด้านพ้ืนที่ อักษร “A” ตัวท่ีสอง คือ “Activity” หมายถึง
องค์ประกอบด้านกิจกรรม และ อักษร “D” คือ Digital Platform หมายถึง องค์ประกอบด้านดิจิทัล
แพลตฟอร์ม โดยมีกลไกการพัฒนาและส่งเสริมพหุปัญญาของผู้เรียน 8 กลไก ได้แก่ (1) สายสัมพันธ์ระหว่าง
พ่อแม่กับลูก (2) การประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียน (3) พีระมิดการเรียนรู้ (4) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้
แบบกลุ่มย่อย (5) สภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรม (6) การใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ (7) การสร้างแรงจูงใจ
ภายในของผ้เู รยี น และ (8) การเรยี นรเู้ ชิงรกุ ของผเู้ รียน

เมื่อนาเข้าสู่ข้ันตอนการพัฒนาด้วยการประชุมระดมความคิดเพื่อวิพากษ์และปรับปรุงรูปแบบและ
กลไกการพัฒนาและส่งเสรมิ พหุปญั ญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผู้เรียน ผลการวเิ คราะห์ได้สารสนเทศที่นามาสู่
การปรับรูปแบบและกลไกการพัฒนาและส่งเสริมพหุปัญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผู้เรียน ประกอบด้วย (1)
การปรับโครงสร้างให้องค์ประกอบท่ี 1 คือ Area ได้แก่ เชาวน์ปัญญา 9 ด้าน องค์ประกอบท่ี 2 คือ Activity
ได้แก่ กลไกท้ัง 8 โดยปรับกลไกท่ี 6 เป็นการใช้เทคโนโลยีในการทากิจกรรม เพื่อแก้ปัญหาตาม Area และ
องค์ประกอบท่ี 3 คือ Digital Platform (2) ปรับลาดับของกลไกทั้ง 8 และ (3) ปรับกลไกท่ี 1 สายสัมพันธ์
ระหว่างพ่อแมก่ ับลกู ใหเ้ ป็นสายสมั พนั ธ์ระหวา่ งผูเ้ รียนกบั ครหู รือผู้ปกครอง

มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครินทรวิโรฒ ค

การศกึ ษารปู แบบและกลไกการพฒั นาและสง่ เสริมพหุปัญญาเพอ่ื การพัฒนาศักยภาพผเู้ รียน

ดังน้ัน รปู แบบและกลไกการพัฒนาและส่งเสริมพหุปัญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผู้เรียน ยังคง
เป็น รูปแบบ A2D หรือ A square D หรือ AAD model มีรายละเอียดของโครงสร้างรูปแบบและกลไก
ดังนี้

 อกั ษร “A” ตัวแรก คือ “Area” หรือ “พ้ืนท่ี” หมายถึง ความสามารถทางสมองของผู้เรียน
ตามทฤษฎีของการ์ดเนอร์ ได้แก่ เชาวน์ปัญญาหรือความสามารถทางสมองของผู้เรียนทั้ง 9 ด้าน ที่ส่งผลต่อ
การคิด การตดั สนิ ใจ การแก้ปญั หา การเรียนรู้ และการดารงชีวติ ของผเู้ รยี น

 อักษร “A” ตัวที่สอง คือ “Activity” หรือ “กิจกรรม” หมายถึง หมายถึง กลไกที่ขับเคลื่อน
และสนับสนุนให้การพัฒนาพหปุ ญั ญาดารงอยไู่ ดอ้ ย่างตอ่ เน่ือง มีจานวน 8 กลไก

 อักษร “D” คือ Digital Platform หรือ “ฐานดิจิทัล” หมายถึง ดิจิทัลแพลตฟอร์ม หรือ
แอปพลิเคชัน หรือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์สาเร็จรูปท่ีเสริมสร้าง ส่งเสริม และ สนับสนุนการเรียนรู้และ
พัฒนาเชาวนป์ ญั ญาทง้ั 9 ดา้ น

มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ ง

การศึกษารปู แบบและกลไกการพฒั นาและส่งเสริมพหปุ ัญญาเพือ่ การพฒั นาศักยภาพผ้เู รยี น

โครงสรา้ งของรปู แบบ A2D

อักษร “A” ตัวแรก คือ “Area” คือ ความสามารถทางสมองของผู้เรียนตามทฤษฎีของ
การด์ เนอร์ หมายถึง เชาวน์ปัญญาหรือความสามารถทางสมองของผู้เรียน ที่ส่งผลตอ่ การคิด การตัดสินใจ
การแก้ปัญหา การเรียนรู้ และการดารงชวี ติ ของผู้เรยี น จาแนกออกเป็น 9 ดา้ น ผู้เรยี นแต่ละคนจะมีเชาวน์
ปัญญาครบท้ัง 9 ด้าน แต่จะมีระดับเชาวน์ปัญญาแต่ละด้านไม่ทัดเทียมกัน เชาวน์ปัญญาของผู้เรียน
ทงั้ 9 ด้าน ได้แก่

1. เชาวน์ปญั ญาดา้ นภาษา (linguistic intelligence) คือ ผู้ท่มี ีความสามารถในการเรียนรภู้ าษาได้
อย่างรวดเร็วและมีความสามารถในการใชภ้ าษาได้ถึงแกน่

2. เชาวน์ปัญญาด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ (Logical mathematical intelligence) คือ ผู้ที่มี
ความสามารถในการใช้ตัวเลข มีความสามารถในการตั้งโจทย์ปัญหาและแก้โจทย์ปัญหา หรือตั้งสมมตฐิ าน
และทดสอบสมมตฐิ าน ด้วยการคดิ เชงิ เหตุและผล

3. เชาวน์ปัญญาด้านมิติสัมพันธ์ (Spatial intelligence) คือ ผู้ท่ีมีความสามารถในการมองเห็น
ภาพและทิศทางแบบสามมิติ มีความไวในการรับรู้ส่ิงต่าง ๆ รอบตัว สามารถจาแนกลักษณะ และเช่ือมโยง
ความสัมพนั ธ์ของสิ่งต่าง ๆ เหลา่ นัน้

4. เชาวน์ปัญญาด้านรา่ งกายและการเคล่ือนไหว (Bodily – kinesthetic intelligence) คือ ผู้ที่มี
การเคลื่อนไหวของร่างกายอย่างคล่องแคล่ว สามารถใช้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวของร่างกาย ใจและ
กายประสานกนั เปน็ หนึ่งเดยี ว

5. เชาวน์ปัญญาดา้ นดนตรี (Musical intelligence) คอื ผู้ท่ีมีความไวในการรบั รแู้ ละตอบสนองตอ่
ทว่ งทานองของเสียง มคี วามสามารถในการใช้และสร้างแกนหลักของดนตรี คือ ระดับเสียงสงู – ต่า จังหวะ
และความเรว็ ของเสยี ง

6. เชาวน์ปัญญาด้านการเข้าใจระหว่างบุคคล (Interpersonal intelligence) คือ ผู้ที่มี
มนุษยสัมพันธ์ ไวในการสังเกตสีหน้า ท่าทางของผู้อ่ืน มีความเข้าใจ อารมณ์ ความรู้สึก ความคิด และ
เจตนาของผ้อู น่ื

7. เชาวน์ปัญญาด้านการเข้าใจตนเอง (Intrapersonal intelligence) คือ ผู้ที่มีความสามารถ
ในการมองตน รู้จกั ตน เข้าใจความคดิ อารมณแ์ ละความต้องการของตนเอง และสามารถควบคมุ พฤตกิ รรม
ตนเอง

8. เชาวน์ปัญญาด้านธรรมชาติวิทยา (Naturalistic intelligence) คือ ผู้ที่เข้าใจธรรมชาติและ
การเปลยี่ นแปลงของธรรมชาติ มคี วามรอบรเู้ รือ่ งของพชื และสัตว์

9. เชาวน์ปัญญาด้านการดารงอยู่ของชีวิต (Existential intelligence) คือ ผู้ท่ีเข้าใจสัจธรรมของ
โลกและชวี ิต การดารงอยูข่ องมนุษย์ คุณคา่ ของมนษุ ย์ทม่ี ีต่อโลกและจักรวาล

มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ จ

การศกึ ษารูปแบบและกลไกการพฒั นาและส่งเสริมพหุปญั ญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผู้เรียน

อักษร “A” ตัวทสี่ อง คือ “Activity” หรือ “กิจกรรม” หมายถึง กลไกท่ีขับเคล่ือนและสนับสนุนให้
การดาเนินงานดารงอย่ไู ด้อย่างตอ่ เนือ่ ง มีจานวนทงั้ ส้ิน 8 กลไก หรือ 8 กจิ กรรม ซึ่งไดม้ ีการจดั ลาดับ ดังน้ี

กลไก 1 สายสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับครูหรือผู้ปกครอง หมายถึง ความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่าง
ผู้เรียนกับครูหรือผู้ปกครอง เป็นส่ิงท่ีทาให้ครูหรือผู้ปกครองได้สามารถรับรู้และความเข้าใจถึงศักยภาพของ
ผู้เรียน สงิ่ ท่ีผเู้ รยี นช่นื ชอบ รวมทง้ั ความต้องการในการพฒั นาตนเองของผู้เรยี น

กลไก 2 สภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรม หมายถึง สมรรถภาพในการปรบั ตัวใหเ้ ข้ากบั สถานการณ์ของ
คนรุ่นหน่ึง ๆ ท่ีถูกถ่ายทอดไปยังคนรุ่นต่อ ๆ ไป ผู้ที่มีวัฒนธรรมแตกต่างกันจะมีความคิดและทักษะ
การแก้ปญั หาท่ีแตกต่างกันได้ด้วย

กลไก 3 พีระมิดการเรียนรู้ หมายถึง อัตราการจาเนื้อหาท่ีได้เรียนรู้จากวิธีการเรียนรู้ท่ีแตกต่างกัน
กล่าวคือ ผู้เรียนที่เรียนรู้เชิงลึกจากการสอนผู้อ่ืน อัตราการคงอยู่ของสิ่งที่ได้เรียนรู้จะเพ่ิมสูงถึงร้อยละ 95
ถ้าได้ทดลองปฏิบัติ (Practice doing) จะช่วยให้อัตราการคงอยู่ได้ร้อยละ 75 ถ้าหากได้ร่วมอภิปราย
ในห้องเรียน (Discussion) จะช่วยให้อัตราการคงอยู่ได้ร้อยละ 50 แต่ถ้ามีการผสมผสานการเรียนรู้หลาย ๆ
วธิ ีจะทาใหอ้ ัตราการคงอยูข่ องความรู้เพม่ิ สูงขึ้น

กลไก 4 การเรียนรู้เชิงรกุ ของผู้เรยี น หมายถึง กระบวนการทางสังคมวิทยาและจิตวิทยา เม่ือผูเ้ รยี น
มีความเข้าใจความสมดลุ ทางพหุปญั ญาของตนเองแล้ว ผู้เรียนจะเปน็ ผู้ริเรม่ิ จัดการการเรียนรูข้ องตนเองและ
ให้คณุ ค่ากับจุดแขง็ ของตนเอง

กลไก 5 แรงจูงใจในการเรยี นรู้อย่างสรา้ งสรรค์ หมายถึง การะบวนการท่ีเกิดขึ้นภายในตัวบุคคลท่ีมี
ส่วนในการผลักดันให้ผู้เรียนไปสู่เป้าหมาย แรงจูงใจส่งผลท้ังความทุ่มเท ความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมไป
ในทางที่สร้างสรรค์ มี 2 แบบคือ ผู้เรียนที่มีแรงจูงใจแบบบูรณาการ (Integrative motivation) จะมี
ความสนใจที่จะเรียนรู้และสร้างสรรค์เก่ียวกับวัฒนธรรมและภาษา ผู้เรียนท่ีมีแรงจูงใจแบบเครื่องมือ
(Instrumental motivation) จะสนใจเรียนรู้และสร้างสรรค์การทางาน เช่น สนใจงานที่สร้างรายได้เพิ่มขึ้น
เป็นต้น

กลไก 6 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มย่อย หมายถึง การแบ่งผู้เรียนท่ีเข้าร่วมกิจกรรม
ออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ ท่ีมีขนาดไม่เกิน 4 – 6 คน เพื่อให้ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมอย่างทั่วถึง เกิดการเรียนรู้
แบบร่วมมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Effective collaborators) ครูผู้สอนสามารถจัดกลุ่มตาม
ความสามารถของผ้เู รียน ถ้าหากครูผสู้ อนต้องการพฒั นาผเู้ รยี นตามความสามารถ ครผู สู้ อนสามารถอนุญาต
ให้ผู้เรียนจัดกลุ่มด้วยตนเอง เพื่อให้ผู้เรียนทางานตามความชอบและความถนัด เพราะผู้เรียนจะรู้ว่าเพ่ือน
แต่ละคนจะทางานช่วยเหลือกันในแต่ละบทบาทไดอ้ ยา่ งไร

มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ฉ

การศึกษารูปแบบและกลไกการพฒั นาและสง่ เสรมิ พหุปัญญาเพอื่ การพฒั นาศกั ยภาพผเู้ รยี น

กลไก 7 การใชเ้ ทคโนโลยีในการทากิจกรรม หมายถึง การนาองค์ประกอบของส่ือเทคโนโลยี
ประเภทต่าง ๆ มาผสมผสานรวมกัน ซ่ึงประกอบด้วย ตัวอักษร (Text) ภาพน่ิง (Image) ภาพเคลื่อนไหว
(Animation) เสียง (Sound) และวีดีโอ (Video) โดยผ่านกระบวนการทางระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อสื่อ
ความหมายกับผู้ใช้ในการทากิจกรรม และใช้สนับสนุนการเรียนรู้อย่างมีปฏิสัมพันธ์ (Interactive
multimedia) และสง่ เสริมเชาวนป์ ัญญาแตล่ ะด้านขององค์ประกอบด้านพนื้ ที่ (Area)

กลไก 8 การประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียน หมายถึง ความเข้าใจของครูเกี่ยวกับขั้นตอน
การประเมินการเรยี นรู้ของผู้เรยี น ซง่ึ มีการเรียนรู้ 5 ขั้น คือ ขน้ั 1 จา (Remember) หมายถงึ การระลึก
ได้ หรือการดึงข้อมูลจากความจาที่มีอยู่มาใช้ในการนิยาม ให้ข้อเท็จจริง หรือรายการข้อมูลต่าง ๆ หรือ
ทอ่ งสง่ิ ท่ีเคยเรียนรูม้ าก่อนใหฟ้ งั ขั้น 2 เข้าใจ (Understanding) หมายถึง การให้ความหมายดว้ ยวธิ ีการ
ตา่ ง ๆ เช่น การเขียนหรือวาดกราฟ หรือการใช้วิธีการอ่ืน ๆ ในการตีความ การยกตัวอย่าง การจัดจาแนก
การสรุปความ การเปรยี บเทียบ หรือการอธิบายการให้ความหมายหรือใช้วิธีการอ่ืน ๆ ในการตีความ การ
ยกตัวอย่าง การจัดจาแนก การสรุปความ การเปรียบเทียบ หรือการด้วยวิธีการต่าง ๆ ขั้น 3 ประยุกต์ใช้
(Applying) หมายถึง การดาเนินการหรือการใช้กระบวนการท่ีคิดขึ้นเองเพอ่ื นาเอาผลผลิตจากการเรียนรู้
เช่น แบบจาลอง รูปแบบการนาเสนอ การสัมภาษณ์ หรือต้นแบบ มาปรับใช้ ขั้น 4 วิเคราะห์
(Analyzing) หมายถึง การแยกเนื้อหาหรือความคิดรวบยอดออกเป็นส่วน ๆ แล้วจึงพิจารณาว่ามีส่วนใด
สัมพันธ์กัน หรือเก่ียวข้องกันด้วยส่วนใดหรือตลอดท้ังโครงสร้าง มีการแยกแยะ จัดระบบพร้อมให้เหตุผล
ประกอบ รวมท้ังแยกความแตกต่างระหว่างองค์ประกอบหรือส่วนใดส่วนหน่ึง เมื่อผู้เรียนวิเคราะห์สมองก็
จะทางานโดยการสร้างแผ่นความคิดท่ี สารวจ ผังภาพ หรือ แผนภูมิ ขั้น 5 ประเมิน (Evaluating)
หมายถึง การตัดสินใจภายใต้เกณฑ์ตัดสินและมาตรฐาน ผ่านการตรวจสอบ และวิพากษ์ ซ่ึงการวิพากษ์
แนะนา การรายงานเป็นผลผลิตเพียงบางสว่ นทีส่ ามารถสร้างข้นึ เพอ่ื แสดงให้เหน็ ถงึ กระบวนการประเมนิ ผล
ซ่ึงมาก่อนขั้นการสร้างสรรค์ และ ขั้น 6 สร้างสรรค์ (Creating) หมายถึง การนาเอาส่วนประกอบที่มีอยู่
มาเช่ือมสัมพันธ์กันทาให้เกิดสิ่งใหม่ รูปแบบใหม่ โครงสร้างใหม่ หรือ ระบบใหม่ท่ีแตกต่างจากเดิม
การเช่ือมสัมพันธ์ในการสร้างสรรค์จะต้องใช้วิธกี ารใหม่ หรอื มีการสงั เคราะห์สว่ นใดส่วนหนง่ึ ไปเป็นส่ิงใหม่
ทาใหเ้ กิดรูปแบบใหม่หรือผลติ ภณั ฑใ์ หม่

มหาวทิ ยาลัยศรนี ครินทรวิโรฒ ช

การศกึ ษารปู แบบและกลไกการพัฒนาและส่งเสรมิ พหปุ ญั ญาเพ่อื การพฒั นาศกั ยภาพผูเ้ รยี น

อักษร “D” คือ “ด้าน ดิจิทั ลแพ ลต ฟ อร์ม (Digital Platform) คือ ฐาน ดิจิทั ล หรือ
แอปพลิเคชัน หรือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์สาเร็จรูปที่ เสริมสร้าง ส่งเสริม และ สนับสนุนการเรียนรู้และ
พัฒนาเชาวนป์ ญั ญาทงั้ 9 ดา้ น ดงั ตัวอยา่ งต่อไปน้ี

พหุปัญญา ดิจทิ ัลแพลตฟอร์ม
ด้านภาษา การเขา้ ถึงขอ้ มูลผ่านฐานขอ้ มูลระดับโลกและเครือข่าย
คอมพิวเตอร์ เชน่ Khan academy
ด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ เทคโนโลยมี ลั ตมิ เี ดีย โปรแกรมคอมพวิ เตอร์
เกมคอมพิวเตอร์
ดา้ นมิติสัมพันธ์ โปรแกรม Graphic design
ด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว วดี โิ อ หรอื เกม หรอื โปรแกรมกฬี าและฝึกการเคลื่อนไหว
ESGN: E – sports platform
ด้านดนตรี เทคโนโลยีมลั ติมีเดีย Live music booking platform,
Shared piano, Platform music contest
ด้านการเข้าใจระหว่างบุคคล Youtuber, Vlogger, Pickle, Content creator
ดา้ นการเข้าใจตนเอง Meditation and mindfulness application
ดา้ นธรรมชาติวิทยา Application: Global forest watch หรือ Global fishing
watch เปน็ ตน้
ดา้ นการดารงอยูข่ องชวี ติ เทคโนโลยอี วกาศ เชน่ GISTDA, NASA ames research
center, International space station (ISS) of Russia,
Web 2.0 project ทมี่ รี ูปแบบของการสอ่ื สารเป็นแบบสองทาง
(Two – way communication) เพอ่ื ใหม้ ีความร่วมมอื ระดบั
เครอื ข่ายระดับพน้ื ท่ถี ึงระดบั โลกเพือ่ ใหม้ ีการเปลีย่ นแปลง
ระดบั โลก

4. ผลการพัฒนาแบบคัดกรองพหุปัญญา แบบคัดกรองพหุปัญญาที่ควรนามาใช้ในการประเมิน
ระดับเชาวน์ปัญญาท้ัง 9 ด้าน ของผู้เรียนชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษา เพ่ือใช้เป็นสารสนเทศ
ในการจัดการเรียนรู้และประเมินพัฒนาการด้านพหุปัญญาเพื่อส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของผู้เรี ยน
อย่างต่อเนื่อง คือ แบบสังเกตพฤติกรรมผู้เรียน ที่มีจานวนพฤติกรรมที่ต้องสังเกต 45 พฤติกรรม จาแนก

มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครินทรวโิ รฒ ซ

การศึกษารปู แบบและกลไกการพัฒนาและสง่ เสริมพหปุ ัญญาเพือ่ การพัฒนาศักยภาพผู้เรยี น

เป็น 5 พฤติกรรมต่อเชาวน์ปัญญา 1 ด้าน มีเกณฑ์การการประเมินเชาวน์ปัญญาของผู้เรียน 2 ระดับคือ
ระดับปกติและระดับโดดเดน่

แบบคัดกรองพหปุ ญั ญา

พหุปัญญา พฤตกิ รรมของผู้เรียน สมา่ เสมอ ไม่สมา่ เสมอ
ภาษา
1. เรียนรภู้ าษาได้เร็ว
ตรรกะและ
คณิตศาสตร์ 2. ชอบอา่ นตัวหนงั สือจากสิ่งต่าง ๆ รอบตวั
3. ช่างพดู รู้จังหวะที่จะพดู
มติ สิ มั พนั ธ์ 4. รูจ้ ักใช้ภาษาและนา้ เสยี งจูงใจผฟู้ ัง
5. ชอบกิจกรรมทใ่ี ชท้ กั ษะการพดู
รา่ งกายและ 6. คดิ จ่ายเงนิ ทอนเงนิ ไดอ้ ยา่ งคลอ่ งแคลว่
การเคลื่อนไหว 7. คดิ เลขเก่ง ชอบคิดเลข
8. มีวธิ ีคิดวเิ คราะหท์ เี่ ปน็ ระบบ เปน็ ข้ันตอน
ดนตรี 9. ชอบแก้ปัญหาทซี่ ับซอ้ น และคาดเดาคาตอบ
10. รู้จกั ใชเ้ หตุผล
ความสมั พนั ธ์ 11. เกง่ การใชแ้ ผนทแ่ี ละจบั ทศิ ทาง
ระหว่างบคุ คล 12. เก่งเรอื่ งการจดั หมวดหมู่ จดั สิ่งของเข้าที่
13. ตาไว สายตาดี บอกรายละเอียดของสงิ่ ท่มี องเห็นไดอ้ ย่างรวดเรว็
เข้าใจตนเอง 14. ชอบวาดภาพ ระบายสี ออกแบบโปสเตอร์ จดั นิทรรศการ
15. ชอบต่อจ๊ิกซอร์ เลน่ เกมจับค่ภู าพ จดั สิ่งของใหพ้ อดีกับพนื้ ท่ี
16. เรยี นรู้งานท่ตี ้องลงมอื ปฏิบตั ไิ ดด้ ี
17. ใช้สว่ นต่าง ๆ ของร่างกายปฏบิ ตั ิกจิ กรรมได้ดี
18. ชอบแสดงท่าทางประกอบการพดู แสดงทา่ ทางเพ่ือส่อื ความหมาย
19. เคลอื่ นไหวร่างกายไดอ้ ยา่ งคล่องแคล่ว มกี ารทรงตวั ไดด้ ี
20. ชอบกจิ กรรมท่มี ีการเคลอื่ นไหวรา่ งกาย เชน่ การแสดง การฟ้อนรา

เต้นรา
21. มีความสามารถในการไดย้ นิ เสยี งดนตรี จับจงั หวะของเสยี ง และ

ท่วงทานองได้ดี
22. สรา้ งหรอื เลียนแบบเสยี งดนตรไี ดเ้ ก่ง
23. ชอบเล่นดนตรีเปน็ งานอดิเรก ชอบสะสมเรอื่ งราวทางดนตรี
24. ชอบเคร่ืองดนตรี เรียนร้กู ารเลน่ เคร่ืองดนตรไี ดร้ วดเร็ว
25. ชอบดดั แปลงเนื้อเพลง แตง่ เพลงเพือ่ ใหจ้ าเนือ้ หาทเ่ี รียน
26. อ่านใจคนเก่ง
27. เขา้ ถึงความชอบ ความคดิ แรงจูงใจของคนอืน่ ได้ดี
28. ไวตอ่ การรบั รู้ความรสู้ ึกของคนรอบข้าง จบั ความรู้สึกของผ้อู ่นื ได้ดี
29. เขา้ กับคนงา่ ย มปี ฏสิ ัมพันธ์กับผูอ้ น่ื ไดด้ ี
30. ชอบทางานเป็นกลมุ่
31. รู้จักและเขา้ ใจตนเอง บอกข้อดีข้อเสยี ของตนเองได้
32. บอกได้วา่ ตนเองมคี วามคดิ และความรูส้ ึกอย่างไร
33. พง่ึ ตนเอง มีความรับผดิ ชอบในตัวเอง
34. ชอบเขียนบนั ทึกเร่อื งของตนเอง
35. ชอบเลน่ เกมผจญภัยหรอื สวมบทบาทเป็นตวั ละครหลาย ๆ ประเภท

มหาวทิ ยาลัยศรนี ครินทรวโิ รฒ ฌ

การศกึ ษารูปแบบและกลไกการพฒั นาและสง่ เสริมพหปุ ัญญาเพือ่ การพฒั นาศกั ยภาพผเู้ รยี น

แบบคัดกรองพหุปญั ญา

พหปุ ัญญา พฤติกรรมของผู้เรยี น สม่าเสมอ ไม่สมา่ เสมอ

ธรรมชาติ 36. รอบรู้เรือ่ งพืชและสตั ว์ ช่างสังเกต จดจาและจาแนกประเภทพืชและ

สัตวร์ อบตวั ได้

37. ออ่ นไหวตอ่ การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม

38. ชอบอย่ทู ่ามกลางธรรมชาติ มีความสขุ เมอ่ื อยกู่ ับธรรมชาติ

39. เข้าใจและสนใจปรากฏการณท์ างธรรมชาติ

40. เปน็ นักอนุรักษธ์ รรมชาติ ชอบกจิ กรรมทาความสะอาดส่ิงแวดล้อม

ของโรงเรียนและชมุ ชน

การดารงอยขู่ อง 41. ชอบฝึกสมาธิ

ชวี ติ 42. มีความเชื่อในเรอ่ื งจิตวญิ ญาณ

43. สนใจและปฏบิ ัตติ ามหลักคาสอนทางศาสนา

44. ชอบตั้งคาถามเก่ยี วกับคณุ คา่ ของมนุษยท์ ่ีมตี อ่ โลก

45. รกั เมตตา มนุษย์และสตั วโ์ ลก

เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน

- การปฏิบตั ิสม่าเสมอมีคะแนนเท่ากับ 2

- การปฏิบตั ิไมส่ ม่าเสมอมคี ะแนนเท่ากับ 1

การแปลผลคะแนน

- การแปลผลแยกแตล่ ะดา้ น

- คะแนน 1 – 8 แปลวา่ ผูเ้ รียนมีเชาวน์ปัญญาปกติ

คะแนน 9 – 10 แปลว่า ผู้เรียนมเี ชาวน์ปญั ญาโดดเดน่

5. ผลการสารวจพหุปัญญาของผู้เรียน กลุ่มตัวอย่างผู้เรียนที่ได้รับการประเมินระดับเชาวน์ปัญญา
ด้วยแบบคัดกรองพหุปัญญาคือ ผู้เรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1 – 6 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 6 มีจานวน
รวม 460 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้เรียนชั้นประถมศึกษามีจานวน 308 คน คิดเป็นร้อยละ 66.96 เม่ือพิจารณา
ตามระดับชั้นเรียนพบว่า ในระดับประถมศึกษา ส่วนใหญ่เป็นผู้เรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 และ
ชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 3 มจี านวน 110 และ 61 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 23.91 และ 18.48 ตามลาดับ

ผลการประเมินพหุปัญญาพบว่า ผู้เรียน ร้อยละ 29.7 มีพหุปัญญาในระดับที่โดดเด่น
เมื่อเปรียบเทียบระหว่างเชาวน์ปัญญาแต่ละด้านพบว่า ผู้เรียนส่วนใหญ่มีความโดดเด่นของเชาวน์ปัญญา
ดา้ นรา่ งกายและความเคลือ่ นไหว คิดเปน็ ร้อยละ 40.4 ดา้ นทผี่ ู้เรียนมีความโดดเดน่ น้อยที่สุดคือ ดา้ นดนตรี
คดิ เป็นร้อยละ 16.2

มหาวทิ ยาลัยศรนี ครินทรวิโรฒ ญ

การศกึ ษารปู แบบและกลไกการพฒั นาและส่งเสริมพหุปญั ญาเพอื่ การพัฒนาศักยภาพผู้เรียน

ร้อยละของผเู้ รยี นจาแนกตามระดับพหปุ ญั ญา

100.0
80.0
60.0
40.0
20.0 29.8 23.4 30.6 40.4 16.2 33.2 30.2 32.8 30.6
0.0

ระดบั พหุปัญญาโดดด่น ระดับพหปุ ญั ญาปกติ

6. ข้อเสนอเชิงนโยบายในการพัฒนาและส่งเสริมพหุปัญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผู้เรียน
ประกอบดว้ ย 2 ยทุ ธศาสตร์ ท่ีมปี ระเด็นยทุ ธศาสตร์ 10 ประเด็น ดงั รายละเอียดตอ่ ไปนี้

ยุทธศาสตร์ 1 การวางรากฐานสภาพแวดลอ้ มในการเรยี นรู้ให้สามารถเข้าถงึ รปู แบบ A2D

จากผลการวิจัยท่ีพบว่า “รูปแบบและกลไกการพัฒนาและส่งเสริมพหุปัญญาเพ่ือการพัฒนา
ศักยภาพผู้เรียนแบบ A2D มีความเหมาะสมในการนาไปใช้ในการพัฒนาผู้เรียน แต่ต้องคานึงถึงบริบทและ
ความพร้อมของโรงเรียนท้ังด้านบุคลากร ส่ือ อุปกรณ์ สัญญาณอินเทอร์เน็ต ต้องอาศัยความร่วมมือจาก
ทุกภาคส่วน ต้ังแต่ผู้วางนโยบาย องค์กรการศึกษา ครู ผู้ปกครอง คณะกรรมการสถานศึกษา
เพื่อร่วมมือกันในการขับเคลือ่ นการพัฒนาผู้เรียนไปในทิศทางเดียวกัน อย่างต่อเนอ่ื ง และตอ้ งมีการติดตาม
ประเมนิ ผลเป็นระยะ ผู้บริหารสถานศกึ ษา เป็นปัจจัยสาคญั ที่สนับสนุนครู ช่วยเหลอื เม่ือครูประสบปัญหา
ร่วมมือกับครู เพ่ือหาทางออก บรรยากาศในสถานศึกษา ต้องเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ผู้เรียนรู้สึกปลอดภัย
สบายใจ และมีความสุข” ดังนั้น จาเป็นต้องมีการวางรากฐานของสภาพแวดล้อมในการเรียนรู้
ทั้งในด้านการจัดการและกระบวนการให้พร้อมและสามารถเข้าถึงรูปแบบ A2D โดยมีประเด็นยุทธศาสตร์
4 ประเดน็ คือ

ประเด็นยทุ ธศาสตร์ 1.1 การพัฒนาผบู้ ริหารสถานศึกษาให้เป็นผูน้ าการเปลี่ยนแปลงดจิ ทิ ัล
ผู้บริหารสถานศึกษาต้องได้รับการพัฒนาให้มีคุณลักษณะของผู้นาการเปล่ียนแปลงดิจิทัล (Digital
leadership) ได้แก่ 1) ก้าวเข้าสู่ความคลอ่ งแคล่วทางดิจิทัล (Become digitally fluent) คือ เปดิ รับโลก
ดิจิทัล ยอมรับว่าตนเองต้องมีความคล่องแคล่วทางดิจิทัล มีการบูรณาการความคิดเชิงดิจิทัลเข้าสู่
การบริหารงานในสถานศึกษาทุก ๆ วัน 2) พัฒนาความสามารถใหม่ (Develop new capabilities)
กระตุ้นให้บุคลากรทุกคนได้พัฒนาสมรรถนะทางดิจิทัล ยิ่งทุกคนมีสมรรถนะทางดิจิทัลสูงข้ึนก็จะสร้าง

มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ ฎ

การศกึ ษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสง่ เสริมพหปุ ญั ญาเพือ่ การพฒั นาศกั ยภาพผู้เรียน

มูลค่าเพ่ิมมากข้ึน 3) เต็มใจที่จะทดลองใช้ (Willingness to experiment) อุปกรณ์เคร่ืองมือส่ือสาร
ออนไลน์ เพื่อช่วยคาดการณ์สภาวะอารมณ์ของสังคมปัจจุบัน 4) มีความรู้ความเข้าใจการเปล่ียนแปลง
ของสังคมที่เกิดจากเทคโนโลยีและผลกระทบที่จะเกิดกับการศึกษา (Understand how technology is
transforming society, and translate into business impact) ผู้นาจะต้องเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงของ
พฤติกรรม เศรษฐกิจ และสังคม อนั เป็นผลจาก เทคโนโลยีท่ีเกิดขึ้นใหม่และผลกระทบท่ีมีต่อวงการศึกษา
ท้ังในระดับองค์การและระดับบุคคล 5) ส่งเสริมสภาพแวดล้อมแบบร่วมมือ (Promote collaborative
environments) ไม่แยกส่วนเทคโนโลยีออกเป็นหน่วยงานเอกเทศ ดิจิทัลจะต้องแทรกซึมอยู่ในทุกส่วน
ขององค์การ และมีผลกระทบต่อทุกห่วงโซ่คุณค่า 6) ใช้สารสนเทศจากเทคโนโลยี (Use the
information, not just the technology) เทคโนโลยีคือแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ ต้องมีการนามาใช้
ในฐานะของสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจในการพัฒนาการศึกษาและบุคลากร (Sieber, Kaganer &
Zamora, 2013)

ประเด็นยทุ ธศาสตร์ 1.2 การพัฒนาศกั ยภาพครูผสู้ อนดา้ นการจัดการเรียนรู้ยคุ ดิจิทัล
ไม่ว่าจะท่ีใดในโลก ครูคือกระดูกสันหลังของระบบการศึกษา ครูท่ีมีคุณภาพจึงจะสามารถ
ให้ทกั ษะที่จาเป็นแก่ผู้เรียนเพือ่ ให้ประสบความสาเร็จในทางวิชาการได้ ในยุคดิจิทลั น้ี ผู้เรยี นไม่ตอบสนอง
ต่อการสอนท่ีมีครูเป็นศูนย์กลางเช่นในอดีต แต่ผู้เรียนจะหมกมุ่นอยู่กับโลกที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและ
มีช่วงความสนใจต่อสิ่งใดส่ิงหนึ่งเพียงไม่กี่วินาที ดังนั้น ครูต้องมีคุณลักษณะสาคัญ 11 ประการที่ครู
ยุคดิจทิ ัลท่ีประสบความสาเร็จมี ได้แก่ 1) ไม่ใช้หนังสือเรียนราคาแพง เพราะข้อมูลสารสนเทศทท่ี ันสมัย
พร้อมใช้งานมีอยู่ในโลกออนไลน์ไม่ใช่ในสิ่งพิมพ์ 2) สามารถป้องกันกลโกงท่ีใช้เทคโนโลยีชั้นสูง ครู
ในยุคดจิ ิทัลตระหนักถงึ การใชก้ ลโกงทางเทคโนโลยีข้ันสูงและมีการติดตามการกระทาเพื่อหยดุ ยั้งก่อนที่จะ
กลายเป็นกระแสในโลกออนไลน์ 3) ไม่กลัวเทคโนโลยี ครูในยุคดิจิทัลไม่กลัวที่จะเรียนรู้เทคโนโลยีหรือ
สิ่งใหม่ ๆ ซ่ึวถ้าครูได้ทดลองใช้และตรวจสอบแล้ว ครูก็พร้อมที่จะสนับสนุน และในที่สุดอาจจะมีความรู้
เก่ียวกับผลิตภัณฑ์น้ีมากกว่าผู้ผลิต 4) มีความเชี่ยวชาญทางประสาทวิทยา เพราะครูเข้าใจการเรียนรู้
ของผู้เรียนและใช้ผลงานวิจัยแบบสมองเป็นฐาน (Brain – based learning) ในการพัฒนาศักยภาพ
ผู้เรียน 5) ครูจะเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่จากมุมมองของผู้เรียนก่อน เม่ือใดก็ตามท่ีครูยุคดิจิทัลกาลัง
พิจารณาใช้เครื่องมือเทคโนโลยีใหม่ในห้องเรียน ครูจะเรียนรู้วิธีใช้งานจากมุมมองของผู้เรียนก่อน เพื่อให้
ได้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเติบโตทางวิชาการ 6) ใช้หลักสูตรอย่างมีความรับผิดชอบ แม้ว่าจะ
มีหลักสูตรแกนกลาง แต่ครูจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าส่ิงใดที่มีความสาคัญและจะบูรณาการกับเคร่ืองมือดิจิทัล
ตอบสนองความต้องการในการเรียนรู้ของผู้เรียน 7) ก้าวข้ามอุปสรรคและความเช่ือเพื่อตอบสนอง
ความต้องการของผเู้ รียน ครูในยุคดิจิทัลต้องยอมรับความหลากหลาย รวมถึงความแตกตา่ งด้านชาติพันธุ์
วฒั นธรรม สถานะทางเศรษฐกิจและสงั คม ความทุพพลภาพ และเพศทางเลือก ต้องไมก่ ีดกันผูเ้ รียนเพราะ
ความเชื่อที่แตกต่างกัน ต้องมุ่งม่ันที่จะลดช่องว่างระหว่างผู้เรียนและครอบครัวของผู้เรียน
8) ให้ความสาคัญของการทางานร่วมกันของเทคโนโลยีทางการศึกษา (Edtech) ครูในยุคดิจิทัล
ให้ความสาคัญกับการทางานร่วมกัน ด้วยการถ่ายโอนข้อมูลระหว่างแอปพลิเคชันและเทคโนโลยีต่าง ๆ

มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ฏ

การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสง่ เสรมิ พหุปญั ญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผเู้ รยี น

อย่างปลอดภัยและราบร่ืน มีการตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าจะ "ใช้งานได้ดี" เหมาะสมกับเครื่องมือและ
แพลตฟอร์มท่ีมีอยู่ 9) มีความหวังเกี่ยวกับอนาคตของการศึกษา ครูยุคดิจิทัลไม่เช่ือว่าอนาคตของ
การศึกษาเป็นส่ิงที่น่ากลัว แต่จะยอมรับ และพึงพอใจท่ีจะได้เห็นส่ิงใหม่ ๆ ท่ีจะเกิดขึ้นในอนาคต
ด้านการศกึ ษา 10) ใชช้ วี ิตแบบมีความยดื หยนุ่ (Resilience) ครูยุคดจิ ิทัลมคี วามมุ่งมั่นและความยืดหยุ่น
ไม่ปล่อยให้ความล้มเหลวและความผิดพลาดหยุดย้ังการไปสู่เป้าหมาย และผู้เรียนจะเรียนรู้ความพากเพียร
และความยืดหยุ่นจากครู 11) รู้วิธีผ่อนคลาย การสอนเป็นงานหนักและเครียด ครูยุคดิจิทัลรู้จักทางาน
แบบสมดลุ มีเวลาผอ่ นคลายและใหค้ วามสขุ กับตนเอง (Lynch, 2018)

ประเดน็ ยทุ ธศาสตร์ 1.3 การพัฒนาสภาพแวดล้อมของสถานศึกษาให้เหมาะสมกบั การเรยี นรู้
เชงิ รกุ

บรรยากาศในสถานศกึ ษา ต้องเป็นแหล่งเรียนรู้ท่ีกระตุ้นการเรียนร้เู ชิงรุกของผู้เรียน ให้ความร้สู ึก
ปลอดภัย มีความสบายใจและมีความสุข การสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ดิจิทัลจะทาให้ผู้เรียน
ได้สัมผัสการเรียนรู้แบบอิสระ วางแผนด้วยตนเอง และควบคุมตนเองได้ง่ายข้ึน ผู้เรียนมีข้อมูลท้ังหมดใน
โลกด้วยปลายน้ิวสัมผัส สามารถเข้าถึงกลุ่มข้อมูลท่ีเก่ียวข้องมากมาย และสามารถใช้เคร่ืองมือค้นหาเพ่ือ
ทาให้การเข้าถึงนี้สะดวกสบายย่ิงขึ้น สามารถดึงหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ หรืออ่านข้อมูลเหล่าน้ีได้ อันเป็น
ผลมาจากการสร้างเครอื ข่ายของสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ดจิ ิทัล ได้แก่ 1) การ
เรียนรู้ในไฮเปอร์เท็กซ์ (Learning in hypertext) ช่วยให้มองเห็นองค์ประกอบใหม่ของพฤติกรรม
การเรียนรู้ ของการเรยี นรู้แบบอิสระของผู้เรียน จากกิจกรรม การท่องเวบ็ และดึงข้อมูล การสารวจอย่างมี
เป้าหมาย การสุ่มสารวจ และการสารวจแบบเชื่อมโยง (Kuhlen, 1991 อ้างใน Peters, 2020)
2) การเรียนรู้บนเครือข่าย (Network – based learning) เป็นการให้โอกาสในการเรียนรู้ด้วยตนเอง
มากขึ้น เช่น เวิลด์ไวด์เว็บ (WWW) ความพร้อมใช้งานของข้อมูลอย่างรวดเร็วช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนค้นหา
สิ่งที่พวกเขาสนใจได้อย่างต่อเน่ือง แต่จะทาให้การควบคุมกระบวนการเรียนรู้ในไฮเปอร์เท็กซ์นั้นขาดหายไป
และ 3) การเรียนรู้ผ่านการสื่อสารเสมือนจริง (Learning through virtual communication)
จากการเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านเครือข่าย ผู้เรียนสามารถพูดคุยปัญหาการเรียนรู้กับเพื่อนผู้เรียน ผู้สอน
หรือที่ปรึกษาโดยการแลกเปลี่ยนผ่านแอปพลิเคชันต่าง ๆ รูปแบบการเรียนรู้ที่นาตนเองและรับผิดชอบ
ตนเอง สามารถสรา้ งชุมชนแหง่ การเรยี นรู้ขน้ึ ได้

ประเดน็ ยทุ ธศาสตร์ 1.4 การสง่ เสริมบทบาทของภาคชมุ ชนและเอกชนในการพัฒนาผ้เู รียน
ประเทศไทยไม่มีความแตกตา่ งจากประเทศทีพ่ ฒั นาแล้วในความพยายามพฒั นาทางดิจทิ ัล ดงั เช่น
ประเทศไทยมีนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพ่ือเศรษฐกิจและสังคม ซ่ึงเป็นแผน
แม่บทหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของประเทศ ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580)
กระทรวงศึกษาธกิ าร โดยสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พื้นฐานได้มกี ารจัดสรรงบประมาณสาหรับ
การจัดหาระบบคอมพิวเตอร์พร้อมอุปกรณ์สาหรับการเรียนการสอน ตามโครงการเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อ
การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน เพ่ือให้การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในโรงเรียน แต่ในระดับชุมชนและครัวเรือนยังมีความ

มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ฐ

การศกึ ษารปู แบบและกลไกการพฒั นาและส่งเสริมพหปุ ญั ญาเพื่อการพัฒนาศกั ยภาพผ้เู รียน

เหลื่อมล้าในการเข้าถึงการเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล อันมีสาเหตุจากความเหล่ือมล้าทางเศรษฐกิจของ
ชุมชนและของครัวเรือน ดังนั้นจึงควรมีการเช่ือมต่อระหว่างโรงเรียน ชุมชน และครัวเรือน โดยศึกษา
เรียนรู้จากความสาเร็จของประเทศอื่น ๆ เช่น ในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีการดาเนินการคือ ส่งเสริม
การเขา้ ถงึ อนิ เทอรเ์ นต็ ของชุมชนตลอด 24 ชั่วโมงสาหรบั ผูเ้ รียนทีม่ รี ายได้น้อยและชุมชนที่ผูเ้ รียนอยู่อาศัย
เช่น การใช้ Wi – Fi hotspot ของห้องสมุดสาธารณะ หรือองค์กรภาคเอกชน โดยจัดหาจุดเช่ือมต่อ
อินเทอร์เน็ตไร้สาย กระจายไปในชุมชน หรือจัดหา Wi – Fi router ที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ติดไว้กับรถ
โรงเรียนเพ่ือให้บริการอินเทอร์เน็ตขณะเดินทาง เม่ือจอดน่ิง รถบัสจะจอดอยู่ในละแวกชุมชนของผู้เรียน
เพื่อให้ครอบคลุม Wi – Fi ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง โครงการ Wi – Fi on wheels ของ Coachella
Unified ได้เปิดใช้งานอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ท่ีผู้เรียนอาศัยอยู่เพ่ือลดอุปสรรคที่ขัดขวางการใช้งาน
ระหว่างโรงเรียนและชุมชน โครงการนี้ส่งผลให้อัตราการสาเร็จการศึกษาเพิ่มขึ้นจาก 70% เป็น 80%
หรือเช่นท่ี ในปี ค.ศ. 2017 Google ได้นาร่องโครงการท่ีคล้ายคลึงกันคือ Rolling study halls ในเขต
การศึกษา Berkeley county ท่ีเปิดใช้บรอดแบนด์บนรถโรงเรียน 28 คัน นับต้ังแต่นั้นมา โปรแกรม
ได้ขยายไปยังเขตการศึกษาเพิ่มเติมอีก 16 แห่ง และให้บริการ Wi – Fi router แผนข้อมูล และอุปกรณ์
สาหรับผูเ้ รียนทจ่ี ะใชใ้ นระหวา่ งการเดนิ ทาง เปน็ ตน้ (Lee, 2020)

ยทุ ธศาสตร์ 2 การส่งเสรมิ ให้ผู้เรียนไดพ้ ัฒนาพหปุ ญั ญาเตม็ ศกั ยภาพ

ดังที่การ์ดเนอร์ได้กล่าวว่า “แม้ว่ามนุษย์ทุกคนมีเชาวน์ปัญญาครบท้ัง 9 ด้าน แต่อาจจะมีระดับ
ของเชาวน์ปัญญาในแต่ละด้านมากหรือน้อยแตกต่างกัน การที่มีเชาวน์ปัญญาด้านหนึ่งด้านใดสูง มิได้
หมายความว่าจะทาให้เชาวน์ปัญญาด้านอื่นลดต่าลง ดังน้ัน ผู้เรียนทุกคนควรได้รับโอกาสในการพัฒนา
เชาวน์ปัญญาท้ัง 9 ด้านเหมือน ๆ กัน” “ประสบการณ์การเรียนรู้ไม่จาเป็นต้องเกี่ยวข้องกับเชาวน์ปัญญา
ที่ผู้เรียนมีความโดดเด่น เช่น ผู้ที่มีเชาวน์ปัญญาด้านมิติสัมพันธ์สูง อาจยังคงได้รับประโยชน์จากการใช้
คาคล้องจองช่วยในการจาเน้ือหาท่ีเรียนรู้ สิ่งสาคัญคือ ต้องหลีกเลี่ยงการระบุว่า ผู้เรียนเป็นผู้ที่มี
เชาวน์ปัญญาด้านหน่ึงด้านใด เพราะเมื่อผู้เรียนมีความเข้าใจในเน้ือหาอย่างถ่องแท้แล้ว ผู้เรียนจะมี
ความสามารถในการคิดได้หลากหลายวิธี" กล่าวได้ว่า ผู้เรียนควรได้รับการส่งเสริมเชาวน์ปัญญาทุกด้าน
โดยไม่คาดหวังว่า ปลายทางนั้น ผู้เรียนจะมีความเจริญงอกงามของเชาวน์ปัญญาด้านใด แต่กระบวนการ
พัฒนาเชาวน์ปัญญาต้องเป็นไปอย่างต่อเนื่องต้ังแต่ผู้เรียนเข้าสู่ระบบการศึกษาจวบจนกระท่ังได้รับ
การพัฒนาจนถึงขีดสุดของตน เพื่อให้เอื้อต่อการพัฒนาประเทศไทยในอนาคต ดังน้ี จึงมีประเด็น
ยทุ ธศาสตร์ 6 ประเด็น คือ

ประเด็นยุทธศาสตร์ 2.1 การใช้สารสนเทศจากการคัดกรองพหุปัญญาเป็นฐานในการพัฒนา
ผูเ้ รียนรายบคุ คลและในภาพรวมของประเทศ

จากความคิดเห็นที่ว่า “การวเิ คราะห์ศักยภาพของผู้เรียนเป็นรายบุคคล... ส่งเสริมความสามารถ
ของผู้เรียนในทุก ๆ ด้าน... จะส่งผลดีกับผู้เรียนอย่างแท้จริง” ในขณะท่ีผลผลิตของการวิจัยครั้งน้ี คือ
แบบคัดกรองพหุปัญญา ที่จะให้ข้อมูลและสารสนเทศเชิงปริมาณที่สะท้อนระดับเชาวน์ปัญญาแต่ละด้าน

มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครินทรวิโรฒ ฑ

การศกึ ษารปู แบบและกลไกการพัฒนาและสง่ เสรมิ พหุปญั ญาเพ่อื การพัฒนาศกั ยภาพผูเ้ รยี น

ของผู้เรียนที่สามารถนาไปใช้ในการวางแผนการพัฒนาผู้เรียนรายบคุ คล อย่างไรกด็ ี ข้อมูลเชิงปรมิ าณท่ีได้
เป็นเพียงข้อมูลส่วนหน่ึงของข้อเท็จจริงเท่าน้ัน และเป็นการวัดทางอ้ อมซึ่งมีโอกาสท่ีจะมี
ความคลาดเคลื่อนอยู่บ้าง อาจจะมากหรือน้อยข้ึนกับหลายปัจจัยท่ีเก่ียวข้อง ดังน้ัน การแสวงหาข้อมูล
เชิงคุณภาพของผู้เรียนแต่ละคนจะทาให้ไดส้ ารสนเทศที่มีรายละเอียดเชิงลึกของผูเ้ รียน ที่จะชว่ ยใหก้ ารวางแผน
การพัฒนาผู้เรียนรายบุคคลเป็นไปอย่างถูกต้องและเหมาะสมมากย่ิงขึน้

จากผลการนาแบบคัดกรองพหุปัญญาไปใช้ในการสารวจระดับเชาวน์ปัญญาท้ัง 9 ด้านของผู้เรียน
ชั้นประถมศกึ ษาและมธั ยมศกึ ษาทเี่ ป็นกลุ่มตวั อย่างท่ีศกึ ษาในคร้ังนี้ พบว่า มีผเู้ รียนไม่ถงึ 1 ใน 3 ท่ีมีระดับ
ของพหุปัญญาท่ีโดดเด่น ดังน้ัน จึงควรมีการสารวจพหุปัญญาของผู้เรียนในระบบการศึกษาเพ่ือนาข้อมูล
จากสารวจไปใชใ้ นการวางแผนการพัฒนาพหปุ ัญญาของผเู้ รียนเพ่อื พฒั นาศักยภาพการเรียนรูข้ องผู้เรยี นใน
ระดับการศึกษาข้นั พื้นฐานจนถึงเส้นทางในสายวิชาชีพ เพื่อให้ประชากรในอนาคตมีสมรรถนะทางเส้นทาง
อาชีพท่ีสามารถตอบสนองความต้องการด้านกาลังคนของประเทศเพื่อเพ่ิมศักยภาพด้านการแข่งขันของ
ประเทศไทยในอนาคต

นอกจากนี้ ในกลุ่มของผู้เรียนที่มีความโดดเด่นทางพหุปัญญา ซ่ึงมีอยู่ร้อยละ 29.7 พบว่า ส่วนใหญ่
มีความโดดเด่นของเชาวน์ปัญญาด้านร่างกายและความเคลื่อนไหว รองลงมาคือ ด้านการเข้าใจระหว่าง
บุคคล และด้านธรรมชาติวิทยา ซึ่งเป็นเชาวน์ปัญญาในกลุ่มการปฏิสัมพันธ์ (Interactive) และ
การวิเคราะห์ (Analytic) (Mckenzie, n.d.) ในขณ ะท่ีเชาวน์ปัญ ญ าในกลุ่มการพินิจพิจารณ า
(Introspective) ที่เน้นการจินตนาการ และการเขา้ ใจตนเอง ท่ีมคี วามสาคัญตอ่ การคิดสรา้ งสรรคน์ วตั กรรม
ยังอยู่ในระดับที่น้อย ดังนั้น จึงควรมีการนาแบบคัดกรองพหุปัญญาไปใช้ในการสารวจผู้เรียนท้ังประเทศ
และน าข้ อมู ลสารสนเทศท่ี ได้ ไปใช้ ในการก าหนดนโยบายทางการศึ กษาเพื่ อการพั ฒ นา เช า วน์ ปั ญ ญ า
ของผู้เรียนในระดับภาพรวมของประเทศเพื่อให้เกิดพลังในการขับเคล่ือนประเท ศไทยไปในทิศทาง
ที่พงึ ประสงคใ์ นอนาคต

ประเดน็ ยทุ ธศาสตร์ 2.2 การบูรณาการรูปแบบ A2D เข้ากับหลกั สูตร
การพัฒนาคนในระบบการศึกษาต้องเริ่มต้ังแต่ระดับปฐมวัย โดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือการพัฒนา
องค์รวมของความต้องการทางสังคม อารมณ์ ความรู้ความเข้าใจ และการพัฒนาทางกาย เพื่อสร้างรากฐาน
ที่มั่นคงและกวา้ งสาหรบั การเรียนรู้ตลอดชีวติ และความเป็นอยู่ที่ดี และมคี วามรับผิดชอบต่อตนเองและสงั คม
ในอนาคต (Unesco, 2021) การนารูปแบบ A2D มาบูรณาการเข้ากับหลักสูตรแกนกลางจึงมีความจาเป็น
เพื่อให้ผู้เรียนให้พัฒนาได้เต็มศักยภาพ ด้วยองค์ประกอบด้านพื้นที่ (A) และ ดิจิลัทแพลตฟอร์ม (D) และ
กลไกขับเคล่ือน (A) ทั้ง 8 เพื่อให้ผู้เรียนได้รับโอกาสในการพัฒนาเชาวน์ปัญญาทุกด้านของตนเองอย่างเสมอ
ภาค ไม่เน้นการพัฒนาผู้เรียนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่เช่ือว่าเป็นกลุ่มผู้ท่ีมีปัญญาเลิศหรือเป็นอัจฉริยะ นอกจากนี้
ผู้บริหารสถานศกึ ษาและครูผู้สอนจะต้องมคี วามรู้ความเขา้ ใจในกระบวนการพัฒนาเชาวน์ปญั ญา 9 ดา้ นของ
ผเู้ รยี นในทุกระดับของการศึกษา
การบูรณาการรูปแบบ A2D เข้ากับหลักสูตร ด้วยการออกแบบการเรียนร้ขู องผู้เรียนผ่านโครงการ
โครงงาน หรือประเด็นการเรียนรู้ท่ีสะท้อนความสนใจและข้อเสนอแนะของเด็กเป็นหลัก โครงการ โครงงาน
หรือประเด็นการเรียนรู้เป็นเครื่องมือการสอนท่ีมีคุณค่าท่ีสามารถออกแบบให้รองรับผู้เรียนทุกคน

มหาวทิ ยาลัยศรนี ครินทรวิโรฒ ฒ

การศึกษารปู แบบและกลไกการพฒั นาและส่งเสริมพหุปัญญาเพ่ือการพฒั นาศกั ยภาพผู้เรียน

ในห้องเรียน ลักษณะของหลักสูตรบูรณาการประกอบด้วย (1) ประสบการณ์ในการพัฒนาทัศนคติ ทักษะ
และความรู้ของเด็ก และเพื่อช่วยให้พวกเขาเช่ือมโยงข้ามหลักสูตร (2) กิจกรรมท่ีจัดเตรียมสาหรับ
ความสามารถท่ีหลากหลาย (3) กิจกรรมท่ีท้ังครูเป็นผู้ริเร่ิมและกากับและ ริเริ่มและช้ีนาโดยผู้เรียน
(4) ประสบการณ์ทั้งช้ันเรียน กลุ่มเล็ก และรายบุคคล (5) โอกาสในการคิดเชิงวิพากษ์และสร้างสรรค์
(6) ครู เพื่อน และการประเมินตนเอง และ (7) โอกาสในการเรียนรู้โดยรวมที่มีความหมาย (Bredekamp &
Rosegrant, 1992)

ประเด็นยุทธศาสตร์ 2.3 การส่งเสริมให้ครูออกแบบกลยุทธ์การสอนที่ส่งเสริมพหุปัญญา
เพอื่ ใหผ้ เู้ รียนสามารถเข้าถึงการเรียนรแู้ บบลกึ ที่มปี ริมาณและคุณภาพ

นับตั้งแต่ที่ Gardner ได้คิดค้นทฤษฎีพหุปัญญาครั้งแรกในปี ค.ศ. 1983 จากการศึกษาที่พบว่า
มนุษย์มีความชาญฉลาดทางสติปัญญาหรือเชาวน์ปัญญาอีกหลายด้าน มากกว่าความสามารถในการคิด
วเิ คราะห์ การคานวณ และการใช้เหตุผลที่เรียกว่า IQ (Intelligence quotient) เชาวน์ปัญญาทั้งหลายนี้
"ท้าทายระบบการศึกษาที่ถือว่าทุกคนสามารถเรียนรู้ส่ิงเดียวกันได้ในลักษณะเดียวกัน และสามารถใช้
การวัดและประเมินด้วยเครื่องมือแบบเดียวกันได้... โรงเรียนและครูควรจัดให้มีการสอนท่ีส่งเสริม
เชาวน์ปัญญาทุก ๆ ด้าน ไม่เพยี งแค่สนับสนุนเชาวน์ปัญญาดา้ นภาษาและตรรกะเทา่ นั้น" การสอนของครู
ควรใชร้ ูปแบบการสอนท่ีสนับสนนุ ใหผ้ ู้เรียนได้รับสารสนเทศ มีความคิด ทักษะ ค่านยิ ม วธิ กี ารคิด นยั ของ
การแสดงออก และวิธีการเรียนรู้ของตนเอง เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ในระยะยาว คือ การเพ่ิมศักยภาพการ
เรียนรู้ของผู้เรียนให้มีการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีประสิทธิผล (Joyce & Weil, 1985) นอกจากนี้
ผลการศึกษาทางประสาทวิทยาพบว่า ความสามารถแบบพหุปัญญาในแต่ละด้านจะมีรูปแบบการกระตุ้น
ระบบประสาทท่ีแตกต่างกัน การจัดการเรียนการสอนสามารถเสริมสร้างผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ
ผ้เู รียนได้ ถ้าใช้รูปแบบการบูรณาการของระบบประสาทวิทยาศาสตร์ แม้ว่าผู้เรยี นเหล่าน้จี ะมีวัฒนธรรมท่ี
แตกต่างกัน ซึ่งมีหลักการ 5 ข้อ คือ 1) ผู้เรียนทุกคนมีสมองที่ไม่เหมือนใคร 2) ต้องกระตุ้นจุดแข็งของ
ผู้เรียน 3) ผู้เรยี นต้องรู้จกั ตัวเอง 4) กายมีความสัมพันธก์ ับจิตและมีอารมณ์เป็นหางเสอื และ 5) ต้องทาให้
การเรียนรนู้ ั้นมคี วามหมาย Shearer (2018)

กลยุทธ์การสอนท่ีส่งเสริมศักยภาพด้านพหุปัญญาของผู้เรียนและได้รับผลดีด้านการพัฒนาครูให้
ครูมีความสนใจกับความสามารถด้านพหุปัญญาของผู้เรียนและการพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนมากข้ึน
การประยุกต์ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ของ Gagne (1977) ร่วมกับการฝึกผู้เรียนด้วยกระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์ และแบบสังเกตพฤติกรรม (Observation sheets) ซึ่งชุดกิจกรรมการเรียนรู้มี 6 ข้ันตอน
ได้แก่ 1) การสะท้อนตนเอง (Self – reflection) ซึ่งผู้เรียนจะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับตนเอง
พฤติกรรมการเรียน และงานอดิเรกของผู้เรียน 2) ครูแนะนาแนวคิดเก่ียวกับการฝึกกระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์ (Practices science process skills: SPS) 3) ผู้เรยี นจะตั้งประเด็นคาถามเกย่ี วกบั เนอ้ื หาใน
รายวิชาท่ีจะเรียน 4) ตั้งประเด็นคาถามเชิงลึกเชื่อมโยงกับศักยภาพด้านพหุปัญญาผ่านการปฏิบัติ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 5) ผู้เรียนต้องแสดงให้เห็นถึงการมีความรู้ความเข้าใจผ่านกิจกรรมท่ี
สอดคล้องกับลักษณะทางพหุปัญญาของผู้เรียนท่ีเด่นชัดในด้านต่าง ๆ และ (6) สรุปบทเรียน ทั้งนี้

มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ ณ

การศกึ ษารูปแบบและกลไกการพฒั นาและสง่ เสริมพหุปญั ญาเพือ่ การพฒั นาศกั ยภาพผ้เู รยี น

กิจกรรมในขั้นตอน 1 ถึง 4 จัดเป็นกิจกรรมกลุ่ม ในข้ันตอนที่ 5 จะจัดกลุ่มแยกตามลักษณะทาง
พหปุ ัญญา และในข้นั ตอนท่ี 6 จะเป็น การนาเสนอรายบคุ คล (Winarti, Yuanita & Nur, 2018)

ประเด็นยุทธศาสตร์ 2.4 การส่งเสริมและพัฒนาครูผู้สอนให้มีความเช่ียวชาญในการจัดการเรียนรู้
ทส่ี ่งเสรมิ พหุปญั ญาของผ้เู รียน

แม้ว่า ครูผู้สอนในระบบการศึกษาจะได้รับการพัฒนาทางวิชาชีพจากการศึกษาและ
ฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูทุกคนแล้ว แต่การพัฒนาผู้เรียนตามเป้าหมายของการพัฒนาพหุปัญญา
ตามรูปแบบ A2D นั้น ต้องเร่ิมต้ังแต่ปฐมวัยและมีการดาเนินการท่ีสอดคล้องกันจนกว่าออกจากระบบ
การศึกษา ดังนั้นครูผู้สอนทุกคนควรได้รับการส่งเสริมและพัฒนาให้มีความเชี่ยวชาญในการจัดการเรียนรู้ที่
ส่งเสริมพหุปัญญาของผู้เรียน ตามท่ี สานักงานเลขาธิการคุรุสภา ได้สรุปว่า “การพัฒนาวิชาชีพครูเพ่ือ
ยกระดับคุณภาพครูสู่มาตรฐานวชิ าชีพควรเป็นการพัฒนาทค่ี รูได้ฝกึ ฝนตนเองในสภาวะของการปฏิบัตงิ าน
ปกติ” และมีเป้าหมายให้ ครูได้แสดงบทบาทในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีคุณภาพระดับสูง “เป็นการ
ปฏิบัติท่ีมีความชานาญแตกฉานจนสามารถเป็นผู้แนะนาช่วยเหลือ เป็นแบบอย่างหรือเป็นท่ีปรึกษา
ร่วมพัฒนาให้กับครูคนอื่น ๆ ได้ โดยครูผู้สอนจะต้องการออกแบบแผนการสอนที่ส่งเสริมพหุปัญญาของ
ผู้เรียนท่ีสาคัญคือ การออกแบบกลยุทธ์การสอนดังตัวอย่างมากกว่า 40 กลยุทธ์ ที่มีความเหมาะสมและ
สามารถนาไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาเชาวน์ปัญญาแต่ละด้าน เช่น เชาวน์ปัญญาด้านภาษา ได้แก่ การใช้
เรื่องเล่า (Storytelling) การระดมสมอง (Brainstorming) การบันทกึ และถ่ายทอดไฟล์เสียงออดิโอดิจิทัล
(Podcast) การเขียนวรรณกรรม (Journal writing) และการเป็นบรรณาธิการเผยแพร่สารสนเทศต่าง ๆ
ในสังคมขนาดเล็กภายในห้องเรียน โรงเรียน หรือสังคมขนาดใหญ่ เช่น สังคมออนไลน์ (Publisher)
เชาวน์ปัญญาด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ ได้แก่ การคิดคานวณและเลือกใช้ข้อมูลเชิงสถิติ
(Calculations and quantifications) การจาแนกและจัดกลุ่ม (Classifications and categorizations)
การใช้คาถามแบบโสเครติส (Socratic questioning) การคิดหาคาตอบและแกป้ ัญหาเชิงเหตุและผล ดว้ ยการ
แยกปัญหาออกเป็นส่วนย่อยและค้นหาแนวทางท่ีหลากหลายในการแก้ปัญหา ส่วนใหญ่จะใช้ในทาง
คณิศาสตร์และวิทยาศาสตร์ (Heuristics) กระบวนการคิดทางวิทยาศาสตร์ (Science thinking)
เชาวน์ปัญญาด้านมิติสัมพันธ์ ได้แก่ จินตทัศน์ (Visualization) ส่ือการเรียนรู้ที่เป็นสีแบบสามมิติ
(Color cues) ภาพเสมือน (Picture metaphors) การร่างภาพตามจินตนาการ (Idea sketching)
กราฟฟิกสัญญลักษณ์ (Graphic symbols) เชาวน์ปัญญาด้านร่างกายและการเคล่ือนไหว ได้แก่
ตอบคาถามด้วยการใช้ภาษากาย หรือ แสดงท่าทางเพ่ือตอบคาถาม (Body answers) ใช้ห้องเรียนแทน
โรงละคร (Classroom theater) การใช้ร่างกายช่วยในการวางกรอบแนวคิด (Kinesthetic concepts)
การเรียนรูด้ ้วยมติ ิทางจติ (Hands – on thinking) ใชส้ ่วนตา่ ง ๆ ของรา่ งกายในการเช่อื มโยงกับผงั ความรู้
(Body maps) เชาวน์ปัญญาด้านดนตรี ได้แก่ นาเน้ือหาท่ีจะสอนมาผสานกับจังหวะดนตรี เพลง แร็ป
หรือ ท่อนฮุก (Rhythms, Songs, Raps, and Chants) การบันทึกเสียงร้องเพลง (Discographies) เพลง
เสริมพัฒนาการสมองและความจา (Supermemory music) การใช้ท่วงทานอง จังหวะ ระดับเสียงของ
ดนตรี (Musical concepts) อารมณ์ดนตรี (Mood music) เชาวน์ปัญญาด้านการเข้าใจระหว่างบุคคล

มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครินทรวโิ รฒ ด

การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสง่ เสรมิ พหุปญั ญาเพ่ือการพัฒนาศกั ยภาพผู้เรยี น

ได้แก่ การแบ่งปันระหว่างเพ่ือน (Peer sharing) การใช้ปติมากรรมที่เป็นคน (People sculptures)
ค วาม ร่วม มื อกั น ใน ก ลุ่ม (Cooperative groups) เก ม ก ระด าน (Board games) แ บ บ จ าล อ ง
(Simulations) เชาวน์ปัญญาด้านการเข้าใจตนเอง ได้แก่ ช่วงเวลาสะท้อนความรู้สึกตนเอง (One –
minute reflection periods) การเช่ือมโยงประเด็นต่าง ๆ เข้ากับตัวผู้เรียน (Personal Connections)
จัดสรรเวลาในการตัดสินใจเลือก (Choice time) การควบคุมความรู้สึกและการแสดงออก (Feeling –
toned moments) การต้ังเป้าหมาย (Goal – setting sessions) เชาวน์ปัญญาด้านธรรมชาติวิทยา
ได้แก่ การเดินในช่องทางธรรมชาติ (Nature walks) การจินตนาการผ่านทางหน้าต่าง (Windows onto
learning) พืชคือส่วนประกอบของการจัดฉาก (Plants as props) สัตว์เลี้ยงในห้องเรียน (Pet – in –
the – classroom) การศึกษาระบบสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ (Eco – study) (Elena, n.d.)
เชาวน์ปัญญาด้านการดารงอยู่ของชีวิต ได้แก่ การใช้ (Interactive online) เพื่อเสวนาการมองในมุม
ของจักรวาล การทาความเขา้ ใจคุณค่าของชีวิตมนุษย์ อนาคตของเผ่าพันธ์ุมนุษย์ และการค้นหาเป้าหมาย
ของผู้เรียนที่สัมพันธ์กับโลกและจักรวาล (Awecademy) การสังเกตการทดลองระดับควอนตัมเพ่ือแสดง
ให้เหน็ ว่ามนษุ ยส์ ามารถมอี ิทธพิ ลต่อโลกได้อยา่ งไร (Double – slit) (Bidshahri, 2018)

ประเด็นยทุ ธศาสตร์ 2.5 การส่งตอ่ ผู้เรียนตลอดระยะเวลาที่อยูใ่ นระบบการศกึ ษา
โดยท่ัวไปเม่ือกล่าวถึงระบบการส่งต่อผู้เรียน (Referral system) คนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่า
เป็นวิธีการช่วยเหลือหรือติดตามผู้เรียนท่ีต้องการความช่วยเหลือ หรือต้องให้การดูแลเป็นพิเศษ เช่น
เป็นผู้เรียนที่มีประเด็นความประพฤติ หรือผิดระเบียบ เป็นผู้เรียนที่เรียนอ่อน หรือเป็นผู้เรียนที่ต้อง
ติดตามให้คาปรึกษา เปน็ ต้น (Meador, 2020) แตก่ ารพัฒนาเชาวน์ปัญญา 9 ด้านของผเู้ รียนจะต้องเกิดขึ้น
ทุกระดับของการศึกษา ดังน้ี การส่งต่อข้อมูลสารสนเทศทางเชาวน์ปัญญาของผู้เรียนจากช้ันเรียนไปยัง
ชั้นเรียน จากโรงเรียนไปยังโรงเรียน จากระดบั การศึกษาขน้ั พ้ืนฐานไปยังระดับอาชีวศกึ ษาหรืออุดมศึกษา
จึงมีความจาเป็น และควรดาเนินการให้เป็นเรื่องปกติสาหรับผู้เรียนทุกคน ไม่ใช่เป็นเพราะผู้เรียนน้ัน
มีความต้องการการกากับดูแลเปน็ พิเศษ ซ่ึงในโลกดิจิทลั นี้ สามารถสร้างระบบการส่งต่อผ้เู รียนแบบดจิ ิทัล
สมบูรณ์ (Completely digital) (Newman, 2020; PBIS Rewards, 2021) ท่ีไม่มีเอกสารเข้ามาเกี่ยวข้อง
จะช่วยให้สารสนเทศท่ีส่งเข้าระบบสามารถสร้างความหมายเชิงลึกเก่ียวกับพัฒน าการทางเชาวน์ปัญญา
ของผู้เรียน ไม่ต้องมีพ้ืนที่จัดเก็บเอกสาร ไม่ต้องส่งต่อเอกสาร และสามารถใช้ในการสนับสนุนและสร้าง
คณุ ค่าให้กับผู้เรียน และเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในโรงเรียนให้มีบรรยากาศของการเรียนรูแ้ ละพัฒนาตนเอง
ซึ่งมีอยู่หลายวธิ ีที่เอื้อต่อการส่ือสารระหว่างผู้เรียน กับผู้บริหารสถานศึกษา ครู หรือบุคลากรอื่น ๆ ที่มีส่วนใน
การดแู ลผู้เรยี นในโรงเรียน สามารถเร่ิมต้นได้จากการใช้แอปพลิเคชนั ในสมาร์ทโฟน อุปกรณ์แทบ็ เล็ต หรือ
คอมพิวเตอร์ แบบฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์อย่างง่าย หรือการใช้การ์ด หรือ โน้ต หรือระบบดิจิทัลอ่ืน ๆ เช่น
Kickboard ท่ีครูประจาชั้น ครูฝ่ายปกครอง สามารถบันทึกพัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาของผู้เรียน หรือ
กระตุ้นทัศนคติเชิงบวกที่จะสร้างความรู้สึกภาคภูมิใจแก่ผู้เรียนได้ อีกทั้งเป็นสารสนเทศที่เชื่อมโยงกับ
ตัวผเู้ รียนไม่ใชอ่ า้ งองิ กบั เอกสารหรอื สถานศกึ ษา

มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ ต

การศกึ ษารปู แบบและกลไกการพฒั นาและสง่ เสริมพหุปัญญาเพอ่ื การพฒั นาศกั ยภาพผเู้ รยี น

ประเด็นยุทธศาสตร์ 2.6 การจัดสรรทรัพยากรที่สอดคล้องกับบริบทของโรงเรียนเพื่อโอกาส
ในการพฒั นาทท่ี ัดเทยี ม

ขน าดและสภ าพพ้ื นที่ ของโรงเรียน ที่แตกต่างกัน ส่งผลให้มีภ าพสะท้อนของ ความเห ล่ือมล้า
ทางการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิง่ โรงเรียนขนาดเลก็ ในพื้นท่ีห่างไกล ซึง่ มีจานวนผู้เรียนทีน่ ้อยกว่าโรงเรียน
ขนาดกลางอยู่ราว 25 – 50% ทาให้โรงเรียนขนาดเล็กเหล่าน้ีไม่ได้รับการจัดสรรทรัพยากรที่เพียงพอต่อ
การจัดการศึกษาอย่างมีคุณภาพ แม้จะมีการเพิ่มอัตรางบประมาณอุดหนุนรายหัว (Top – up) ให้แก่
โรงเรียนขนาดเล็กแต่ก็ยังเป็นจานวนท่ีไม่พอในทางกลับกัน โรงเรียนขนาดใหญ่ท่ีได้รับการจัดสรร
งบประมาณด้วยสูตรการจัดสรรเดียวกันน้ีก็จะมีงบประมาณเหลือพอจากการประหยัดจากขนาด
(Economies of scale) และสามารถนางบประมาณดังกล่าวไปลงทุน จัดหา และจ้างบุคลากรเสริม
คุณภาพการจัดการศึกษาให้ดียิ่งข้ึนไปอีกด้วย อันเนื่องมาจากข้อจากัดทางงบประมาณของประเทศ แนว
ทางการจัดสรรทรัพยากรด้วยหลักความเสมอภาค (Equity – based budgeting) แทนการจัดสรรเงิน
เดียวกับโรงเรียนปกติทั่วไปในประเทศไทยตามสูตรการจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุนรายหัวผู้เรียน
ไกรยส ภัทราวาท (2562) ดงั น้ัน เป้าหมายในการจัดสรรทรัพยากรท่ีเกย่ี วข้องกับการใช้ดิจิทัลแพลตฟอร์ม
ควรให้มีอตั ราส่วนทดแทนในโรงเรียนท่ีขาดโอกาส เพื่อใหม้ ีความทัดเทียมกนั ในการสง่ เสรมิ พหุปญั ญาเพื่อ
พัฒนาผู้เรียน พร้อมท้ังระบบสนับสนุนจากโรงเรียนในพื้นท่ีใกล้เคียงที่มีความพร้อมมากกว่าในลักษณะ
ของเครือข่ายรว่ มพัฒนา

มหาวทิ ยาลัยศรนี ครินทรวิโรฒ ถ

การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสง เสริมพหุปญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผเู รียน

คํานาํ ผวู้ ิจยั

ความกาวหนาเทคโนโลยีทําใหทางการเปล่ียนแปลงของสังคมสูสังคมดิจิทัลเกิดขึ้นอยางรวดเร็ว
การพัฒนาผูเรียนจึงมีความสําคัญเพ่ือใหประชากรไทยไดรับการพัฒนาสมรรถภาพทางปญญาอยางเต็ม
ศักยภาพ สํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษาในฐานะหนวยงานที่มีความรับผิดชอบหลักในการพัฒนา
นโยบายและศึกษาวิจัยดา นการศึกษาของประเทศ จึงรวมกับมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒในการดําเนิน
โครงการศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผูเรียน เพ่ือศึกษา
และวิเคราะหรูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผูเรียนท้ังจาก
ในประเทศไทยและตางประเทศ ศึกษาการดําเนินงานของหนวยปฏิบัติที่จัดการศึกษาสงเสริมการพัฒนา
พหุปญญาของผูเรียน ถอดบทเรียนท่ีดี รวมทั้งปญหาและอุปสรรคในการดําเนินงาน พัฒนารูปแบบ
การพัฒนาและสงเสริมพหปุ ญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผูเรียนที่สอดคลองกับความถนัดและความตองการ
ของผูเรียนและสถานศึกษาของประเทศไทย และพัฒนากลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญา
เพ่ือการพัฒนาศักยภาพผูเ รียนท่ีมปี ระสิทธภิ าพ มีการบูรณาการและเช่ือมโยงการสง ตอและพัฒนาพหปุ ญญา
ของผูเรยี นอยา งตอเน่ืองและเหมาะสมตามระดับการศึกษา

คณะผูวิจัยขอขอบคุณผูที่มีสวนเกี่ยวของกับการศึกษาวิจยั ในพ้ืนที่ ประกอบดวยเครอื ขายนกั วจิ ัย
ศึกษานิเทศก ผูบรหิ ารสถานศึกษา ครู ผูปกครอง และผูเรียนทุกภูมิภาคของประเทศไทย ที่มีสวนรวม
ในการใหขอมลู ท่ีเปนประโยชนตอ ความสําเร็จของการดาํ เนินงาน แมจ ะมีอุปสรรคจากการแพรระบาดของ
COVID-19 และขอขอบพระคุณ รองศาสตราจารย ดร. ส วาสนา ประวาลพฤกษ ท่ีปรึกษาโครงการวิจัย
ที่ใหคําแนะนําท่ีเปนประโยชนและเพ่ิมคุณคาของโครงการตลอดระยะเวลาของการวิจัย ขอขอบคุณ
ดร. วิษณุ ทรัพยสมบัติ ผูอํานวยการสํานักทดสอบทางการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ และผูแทน
สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา ที่ใหขอเสนอแนะที่เปนประโยชนตองานวิจัย และขอขอบคุณ
เลขาธิการสภาการศึกษาและสาํ นักมาตรฐานการศึกษาและพฒั นาการเรยี นรู สภาการศึกษา เปน อยางสูง
ที่ใหก ารสนับสนุนการดําเนนิ การวิจัยครง้ั นี้อยางดยี ิง่

คณะผูวิจัยคาดหวังวา รายงานการวิจัยฉบับนี้จะเปนประโยชนตอผูที่สนใจและผูที่มีเกี่ยวของ
ทางการศึกษาทกุ ระดับในการนําไปประยุกตใชในการสงเสรมิ พัฒนาพหุปญญาของผูเรียนจนกระท่งั ผูเรยี น
ไดร บั การพัฒนาเต็มศักยภาพอยางยั่งยืน

คณะผวู ิจัย

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ บ

การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผเู รียน

สารบญั

บทท่ี 1 บทสรปุ สาํ หรบั ผบู ริหาร หนา
บทท่ี 2 คาํ นาํ ผวู จิ ยั ก
สารบัญ บ
สารบัญตาราง ป
สารบัญภาพ ฝ
บทนํา พ
1. ความเปนมาและความสาํ คัญ 1
2. วตั ถปุ ระสงคข องการวิจัย 1
3. ขอบเขตของการวิจัย 4
4. นิยามศัพท 4
5. ประโยชนที่ไดรับ 5
การทบทวนเอกสารและงานวจิ ัยทีเ่ ก่ยี วของ 8
1. ทฤษฎีพหุปญญา 9
2. รปู แบบและกลไกการพฒั นาความสามารถของผูเรยี น 9
3. แบบคัดกรอง 13
4. งานวิจัยท่ีเกยี่ วขอ ง 32
5. กรอบแนวคิดในการวจิ ัย 34
37

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ ป

การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสง เสริมพหุปญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผเู รียน

สารบญั

บทท่ี 3 วธิ ีดําเนินการ หนา
40
1. การพัฒนารปู แบบและกลไกการพฒั นาและสงเสริมพหุปญญา 40
เพือ่ การพฒั นาศักยภาพผูเรียน
46
2. การจดั ทําขอเสนอเชงิ นโยบายการพัฒนารปู แบบและกลไกการพัฒนา
และสงเสริมพหุปญญาเพอื่ การพฒั นาศกั ยภาพผูเรียนที่เหมาะสม 47
สาํ หรบั ประเทศไทย 47

บทที่ 4 ผลการวเิ คราะหข อมลู 92
98
1. ผลการพัฒนารูปแบบและกลไกการพฒั นาและสง เสรมิ พหุปญ ญา
เพอื่ การพัฒนาศักยภาพผูเรยี น 98

2. ผลการพฒั นาแบบคดั กรองพหุปญ ญา 102
108
บทที่ 5 ขอ เสนอเชิงนโยบายในการพัฒนาและสงเสริมพหปุ ญญาเพ่ือการพฒั นา 120
ศักยภาพผูเรียน

ยุทธศาสตร 1 การวางรากฐานสภาพแวดลอมในการเรียนรู
ใหสามารถเขา ถึงรปู แบบ A2D

ยทุ ธศาสตร 2 การสงเสรมิ ใหผเู รยี นไดพ ัฒนาพหปุ ญญาเต็มศักยภาพ

บรรณานุกรม

ภาคผนวก

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผ

การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผเู รียน

สารบญั ตาราง

ตาราง 1 กลยุทธการสอนที่ครอู อกแบบจําแนกตามมิติของพหปุ ญญา หนา
22
ตาราง 2 กจิ กรรมเสรมิ สรางพหปุ ญญาดา นความเขาใจตนเองของผเู รียน 24
28
ตาราง 3 พหปุ ญญาและความเชื่อมโยงกบั สวนของความรูคดิ และตาํ แหนง
ของระบบประสาท 52
56
ตาราง 4 กลยุทธการสอนของครูเพ่ือพัฒนาพหุปญญาของผเู รียน
65
ตาราง 5 กิจกรรมบทบาทสมมติเพ่ือพัฒนาเชาวนป ญญา
ดานการเขา ใจระหวา งบุคคลและการเขาใจตนเอง 70

ตาราง 6 แนวทางการจดั กิจกรรม และเกมท่ีสง เสรมิ พหุปญญาเพ่ือการพฒั นา 88
ศักยภาพผูเรียน
90
ตาราง 7 แนวทางการสนับสนนุ ดิจิทลั แพลตฟอรมท่สี งเสริมพหปุ ญญา
เพื่อการพฒั นาศกั ยภาพผูเรียน 92

ตาราง 8 รอยละของความคดิ เห็นเก่ียวกบั ความเหมาะสมและประโยชน 94
ของรปู แบบ A2D
96
ตาราง 9 ความคดิ เห็นเก่ียวกบั เง่ือนไขท่ีมีตอความสําเรจ็ ของการนาํ
รปู แบบ A2D ไปใชเพือ่ พฒั นาศกั ยภาพผูเ รยี น

ตาราง 10 ผลการวิเคราะหอ งคป ระกอบหลกั (Principal component
analysis: PCA) ของแบบคัดกรองพหุปญ ญาฉบับที่ 1 และ 2

ตารางที่ 11 แบบคดั กรองพหุปญญาสําหรบั ผูเรียนช้นั ประถมศึกษาและ
มัธยมศกึ ษา

ตารางที่ 12 จาํ นวนและรอยละของกลมุ ตัวอยางผเู รียนที่ไดรับการประเมิน
พหปุ ญญา

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ฝ

การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผเู รียน

สารบญั ภาพ

ภาพประกอบ 1 รปู แบบการเรยี นรขู องโรงเรียน หนา
15
ภาพประกอบ 2 รปู แบบการเรยี นรู 3-P 16
17
ภาพประกอบ 3 รูปแบบการสอนและกระบวนการเรยี นรูแบบ Transactional
model 18
19
ภาพประกอบ 4 กรอบการพฒั นาวชิ าชพี ของ Orrill’s 19
21
ภาพประกอบ 5 Design-based research framework 21
27
ภาพประกอบ 6 รูปแบบการคาดการณการเรียนรขู อง Sandoval (2004) 39
33
ภาพประกอบ 7 รปู แบบ DBRIEF 49
58
ภาพประกอบ 8 การแสดงผลผา นหนา จอแอปพลิเคชัน
61
ภาพประกอบ 9 ประสาทวทิ ยาศาสตรเก่ยี วกบั ความรูความเขาใจบคุ คล
72
ภาพประกอบ 10 การจัดสภาพแวดลอ มการเรียนรูในสถานศกึ ษาแบบบูรณาการ 74
75
ภาพประกอบ 11 กรอบแนวคดิ ในการวิจัย

ภาพประกอบ 12 กรอบนโยบาย “ลดเวลาเรียน เพ่ิมเวลารู”

ภาพประกอบ 13 การจัดสภาพแวดลอ มการเรียนรูเพื่อเพมิ่ ศักยภาพพหปุ ญญา
ของเด็กปฐมวัย

ภาพประกอบ 14 รูปแบบและกลไกการพัฒนาและสง เสริมพหปุ ญญา
เพอื่ การพฒั นาศกั ยภาพผูเรยี น A2D

ภาพประกอบ 15 การประเมนิ การเรียนรขู องผูเรยี น

ภาพประกอบ 16 ปรามิดการเรยี นรู

ภาพประกอบ 17 อตั ราการคงอยูของส่งิ ท่ีไดเรยี นรู กิจกรรม และ
รูปแบบการเรยี นรเู ชงิ รุก

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ พ

การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสง เสริมพหุปญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผเู รียน

สารบญั ภาพ

ภาพประกอบ 18 รูปแบบและกลไกการพัฒนาและสง เสริมพหุปญญา หนา
ภาพประกอบ 19 เพอ่ื การพฒั นาศกั ยภาพผูเรยี นแบบ A2D 83
ภาพประกอบ 20
ภาพประกอบ 21 ผลการวิเคราะหโ มเดลและ Scree plots ของแบบคดั กรอง 93
พหุปญญาฉบับท่ี 1
93
ผลการวิเคราะหโ มเดลและ Scree plots ของแบบคดั กรอง
พหปุ ญ ญาฉบับที่ 2 97

รอยละของผูเรียนจาํ แนกตามระดับพหุปญญา 9 ดาน

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ ฟ

การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสง เสริมพหุปญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผเู รียน

บทที
บทนาํ

การวิจัยเพื่อศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพ
ผูเรียนมีความเปนมาและความสําคัญ วัตถุประสงคของการวิจัย ขอบเขตของการวิจัย นิยามศัพท และ
ประโยชนท ี่ไดรบั ดังตอไปน้ี

1. ความเปน มาและความสาํ คญั

การจัดการศึกษาท่ีสามารถตอบสนองความตองการผูเรียนไดตรงความถนัดและเต็มตามศักยภาพ
ของผูเรียนนั้น จะสงผลใหเกิดประสิทธิผลสูงสุดตอผูเรียน คุณภาพการศึกษา และการพัฒนาทรพั ยากร
มนุษยโดยรวมของประเทศ หากระบบการศึกษา ครอบครัว และสังคมไทยสามารถสรางและพัฒนาคนไทย
ใหคนพบความถนัด ความเช่ียวชาญ และมีกลไกในการพัฒนา สงเสริม สนับสนุนใหคนไทยไดรับ
การพัฒนาอยางเต็มตามศักยภาพ อยางเปนระบบ และตอเน่ืองแลว ยอมจะนําไปสูการสรางและพัฒนา
บุคลากรของประเทศที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาใหม ๆ สรางและพัฒนาอาชพี ใหม ๆ ตลอดจนสรางและ
พฒั นานวัตกรรมท่ตี อบโจทยการพฒั นาประเทศในมติ ติ า ง ๆ ได

การจัดการศึกษาโดยการตระหนักในพหุปญญาท่ีหลากหลายของมนุษยจึงมีความสําคัญยิ่ง
ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษยของประเทศไทยใหบรรลศุ ักยภาพดังกลา ว ซ่ึงเปนแนวทางการจัดการศึกษา
ในศตวรรษท่ี 21 ที่บุคคลตองมีทักษะและสรรถนะที่หลากหลายและสรางสรรคใ นการทํางาน การสื่อสาร
การแกปญหา และการประยุกตใชในการดําเนินชีวิตในโลกยุคใหม สํานักงานราชบัณฑิตยสภา (2558)
ไดอธิบายความหมายของ พหุปญญา (Multiple intelligences) คือ เชาวนปญญาหรือความสามารถ
ทางสมองดานตางๆ ของบุคคลที่สงผลตอการคิด การตัดสินใจการแกปญหา การเรียนรู และการดํารงชีวิต
ของบุคคล แตละดานมีความสําคัญเทาเทียมกัน และสามารถพัฒนาไดดว ยวิธีการที่เหมาะสม ซ่ึงแตละบุคคล
อาจจะมีความโดดเดนดานใดดานหน่ึง หรือหลายดานผสมผสานกัน โดยทฤษฎีท่ีอธิบายรูปแบบหลายดาน
ข อ ง เช า วน ป ญ ญ า ใน แต ละด านของบุ คคลที่ มี มาต้ั งแต กํ าเนิ ดและเกิ ดภายหลั งและจํ าเป นต องพั ฒ น า
ในกระบวนการเรียนรู ทฤษฎีน้ีช่ือวา ทฤษฎีพหุปญญา (Theory of multiple intelligences) ท่ี โฮเวิรด
การดเนอร (Howard Gardner) นักจิตวิทยา ผูเชี่ยวชาญ ดานประสาทวิทยาการคิด (Cognitive
neuroscience) มหาวิทยาลัยฮารวารด (Harvard university) เปนผูเสนอ แบงเปน 9 ดาน (Gardner,
2011) ดงั น้ี

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ 1

การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผเู รียน

1. เชาวนปญญาดานภาษา (Linguistic intelligence) คือ ความสามารถในการใชภาษา
เขา ใจคาํ สั่งและความหมายของคํา ชอบอานเขยี น เลา เร่อื ง หรอื อธิบายไดช ดั เจน

2. เชาวนปญญาดานตรรกะและคณิตศาสตร (Logical mathematical intelligence) คือ
ความสามารถในการใชตัวเลข การเหน็ ความสัมพันธแบบแผนตรรกศาสตร การคดิ เชิงเหตผุ ล

3. เชาวนปญญาดานมิติสัมพันธ (Spatial intelligence) คือ ความสามารถในการมองเห็น
ความสมั พันธของพน้ื ที่ สามารถแสดงออกดว ยภาพ มองเหน็ รปู ลักษณของสิ่งตา งๆ สามารถหาทิศทางได

4. เชาวนปญญาดานรางกายและการเคลื่อนไหว (Bodily – kinesthetic intelligence) คอื
ความสามารถในการใชรางกายของตนเองแสดงความคิด ความรูสึก สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของ
รางกายไดด ี ชอบการเคล่อื นไหว สมั ผัส และใชภาษากาย

5. เชาวนปญญาดานดนตรี (Musical intelligence) คือ ความสามารถทางดนตรี รองเพลง
เลนดนตรี ตอบสนองตอเสียงเพลง แยกแยะ จดจําทํานอง เรยี นรูจังหวะดนตรีไดดี ไวตอเสยี ง คิดทวงทาํ นอง
และจังหวะดนตรีได

6. เช าวน ป ญ ญ าด าน การเขาใจระห วางบุ ค คล (Interpersonal intelligence) คือ
ความสามารถดานมนุษยสัมพันธ โดยมีการเขาใจ อารมณ ความรูสึก ความคิดและเจตนาของผูอื่น รวมทั้ง
ความไวในการสงั เกตน้ําเสียง ใบหนา ทา ทาง เขา ใจผอู ่ืน

7. เชาวนปญญาดานการเขาใจตนเอง (Intrapersonal intelligence) คือ ความสามารถ
ในการรูจักตนเองและสามารถประพฤติตนไดดีจากการรูจักตนน้ี มีสมาธิดี มีจิตใจออนโยน มีความเขาใจ
ตนเอง

8. เชาวนปญญาดานธรรมชาติวิทยา (Naturalist intelligence) คือ ความสามารถในการเขา ใจ
การเปล่ียนแปลงของธรรมชาติและปรากฏการณตามธรรมชาติ เขาใจความสําคัญของตนเองกับส่ิงแวดลอม
ตระหนักถงึ ความสามารถของตนท่ีจะมสี วนรวมในการอนรุ ักษธรรมชาติ

9. เชาวนปญญาดานการดํารงอยูของชีวิต (Existential intelligence) คือ ความสามารถ
เกี่ยวกับการจับประเด็นคําถามเก่ียวกับการดํารงอยูของมนุษย เรียนรูบริบทของการดํารงอยูของมนุษย
เขาใจความสมั พันธข องโลกท่ีเปนกายภาพและโลกของจิตใจ เขาใจสัจธรรมของโลกและชีวิต

การดําเนินการศึกษาและวิจัยเพ่ือนําทฤษฎีพหุปญญาดังกลาวมาใชในการพัฒนาการเรียนการสอน
ของไทยมีการดําเนินงานอยูเปนระยะๆ ทั้งในระดับการศึกษาข้ันพื้นฐานและอุดมศึกษา ปรากฏผล
การศึกษาที่ผานมา เชน แบบวัดพหุปญญาของผูเรียนระดับการศึกษาตาง ๆ แนวทางการจัดการเรียน
การสอนท่ีสงเสริมพหุปญญา การพัฒนาหลักสูตรเพื่อสงเสริมพหุปญญา เปนตน สถานศึกษาตาง ๆ ไดมี
การนําแนวคิดพหุปญญาไปใชในการจัดการศึกษาตามความสนใจของสถานศึกษาและการสนับสนุนของ

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 2

การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผเู รียน

หนวยงานตนสังกัด โดยเฉพาะตามแนวทางการจัดการศึกษาที่ใหความสําคัญตอผูเรียนที่มีความถนัด
หลากหลาย คํานงึ ถึงพฒั นาการในแตละดานของแตละบุคคลจะมคี วามแตกตา งกัน ในระดับที่แตกตางกัน
ทฤษฎีน้ีมฐี านทางประสาทวิทยา ชวี วิทยา และจติ วิทยา ในการเสรมิ สรา งความสามารถหรือศักยภาพของ
ผเู รียนใหปรากฏโดดเดนออกมาเพ่ือสรางสรรคสิง่ ท่ีเปนประโยชนตอสังคม

ดวยความสําคัญของการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาท่ีหลากหลายดังกลาว ยุทธศาสตรชาติ
พ.ศ. 2561 – 2580 จงึ ไดใหความสําคัญกับการพัฒนาศักยภาพของมนุษยตามความสนใจ ความถนัด และ
การตระหนักถึงพหุปญญาของมนุษยท่ีหลากหลาย ตามท่ีกําหนดในยุทธศาสตรชาติที่ 3 ดานการพัฒนา
และเสริมสรางศักยภาพทรัพยากรมนุษย และแผนแมบทภายใตยุทธศาสตรชาติ ประเด็น การพัฒนา
การเรียนรู แผนยอยการตระหนักถึงพหุปญญาของมนุษยที่หลากหลาย ดวยการพัฒนาและสงเสริม
พหุปญญาผานครอบครัว สถานศกึ ษา สภาพแวดลอ ม และส่ือตา ง ๆ ตั้งแตระดับปฐมวัย เพื่อสรา งเดก็ และ
เยาวชนไทยใหมีการพัฒนาท่ีสมดุล โดยมีแนวทางการพัฒนาภายใตแผนยอยดังกลาว คือ แนวทางที่ 1
พัฒนาและสงเสริมพหุปญญา โดยพัฒนาระบบบริหารจัดการกลไกการคัดกรองและการสง ตอเพอ่ื สงเสริม
การพฒั นาพหุปญ ญาใหเต็มตามศกั ยภาพ สง เสริมสนับสนนุ ครอบครวั ในการเสรมิ สรา งความสามารถพิเศษ
ตามความถนัดและศักยภาพทั้งดานกีฬา ภาษาและวรรณกรรม สุนทรียศิลป สงเสริมสนับสนุนระบบ
สถานศึกษาและสภาพแวดลอมท่ีเอ้ือตอการสรางและพัฒนาเด็กและเยาวชนที่มีความสามารถพิเศษ
บนฐานพหุปญญาและสงเสริมสนับสนุนมาตรการจูงใจแกภาคเอกชน และสื่อในการมีสวนรวมและ
ผลักดันใหผูมีความสามารถพิเศษมีบทบาทเดน ในระดับนานาชาติ และแนวทางที่ 2 สรางเสนทางอาชีพ
สภาพแวดลอมการทํางานและระบบสนับสนุนท่ีเหมาะสมสําหรับผูมีความสามารถพิเศษโดยจัดใหมี
โครงสรา งพ้นื ฐานและระบบสนับสนุนเพื่อผูมีความสามารถพิเศษไดสรางความเขมแข็งและตอยอดไดจัดให
มกี ลไกการทาํ งานในลักษณะการรวมตวั ของกลุมผูม คี วามสามารถพเิ ศษในหลากสาขาวิชา เพอ่ื รวมนักวิจัย
และนักเทคโนโลยีชั้นแนวหนาเพื่อพัฒนาตอยอดงานวิจัยเพ่ือตอบโจทยการพัฒนาประเทศสราง
ความรวมมือและเชื่อมตอสถาบันวิจัยช้ันนําทว่ั โลกเพ่ือสรา งความเขมแข็งใหนักวิจัยความสามารถสูงของ
ไทยใหมีศักยภาพสูงยิ่งขึ้น สอดคลองกับ นโยบายและจุดเนนของนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ
ปงบประมาณ พ.ศ. 2564 ท่ีใหความสําคัญกับการพัฒนาและเสริมสรางศักยภาพทรัพยากรมนุษย
ในทุกระดับการศึกษา เชน การจัดการเรียนรูเชิงรุกและการวดั ประเมินผลเพื่อพัฒนาผูเรียน ท่ีสอดคลองกับ
มาตรฐานการศึกษาของชาติ การพัฒนาผูเรียนใหมีทักษะการคิดวิเคราะหจากประสบการณจริงหรือจาก
สถานการณจําลองผานการลงมือปฏิบัติ ตลอดจนมีการจัดการเรียนการสอนในเชิงแสดงความคิดเห็น
เพื่อเปดโลกทัศนมุมมองรวมกันของผูเรียนและครใู หมากขึ้น รวมทั้งพัฒนาผูเรียนใหมีความรอบรูและ
มที กั ษะชีวิต เพื่อเปน เครื่องมือในการดํารงชีวิตและสรา งอาชีพ

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ 3

การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสง เสริมพหุปญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผเู รียน

ดวยความตระหนักถึงความสําคัญและตอบสนองการดําเนินงานตามยุทธศาสตรชาติดังกลาว
คณะนักวิจยั จึงจะดาํ เนินโครงการศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพ่ือการพัฒนา
ศักยภาพผูเรียน เพื่อศึกษาสภาพปญหาปจจุบัน ศึกษากลไกในการบริหารจัดการเรียนการสอน
แนวทางการคัดกรองผูเ รียน รปู แบบการสนบั สนุนและสงตอผเู รียนที่มีความถนัดและมีความสามารถพิเศษ
ในดานตาง ๆ ใหไดร ับการพัฒนาอยา งเปนระบบและเตม็ ตามศักยภาพตอไป

2. วัตถุประสงคของการวจิ ยั

2.1 เพือ่ พัฒนารปู แบบและกลไกการพัฒนาและสง เสริมพหปุ ญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผูเรยี น
2.2 เพ่อื จัดทําขอเสนอเชิงนโยบายการพัฒนารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญา
เพอ่ื การพัฒนาศักยภาพผูเรยี นท่ีเหมาะสมสาํ หรับประเทศไทย

3. ขอบเขตของการวิจัย

การวิจัยนี้เปนการวิจัยแบบผสานวิธีแบบลําดับ (Sequential mixed – method research)
แบงการวิจัยออกเปน 2 ระยะ ในระยะแรกเปนการพัฒนารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริม
พหุปญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผูเรียนและพัฒนาแบบคัดกรองพหุปญญา ประกอบดวยการดําเนินการ
3 สวนคือ 1) การศึกษาและทบทวนวรรณกรรมท่ีเก่ียวของทั้งในและตางประเทศท่ีเกี่ยวของกับรูปแบบ
และกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผูเรียน และแบบคัดกรองพหุปญญา
2) การสังเคราะหรูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผูเรียน และ
การสังเคราะหแบบคัดกรองพหุปญญา และ 3) การพัฒนารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริม
พหุปญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผูเรียนและแบบคัดกรองพหุปญญา และระยะท่ีสองเปนการจัดทํา
ขอ เสนอเชงิ นโยบายการพฒั นารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสง เสรมิ พหุปญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพ
ผูเรยี นทเี่ หมาะสมสําหรับประเทศไทย

3.1 ประชากรและกลุมตัวอยาง ในการศึกษาเชิงปริมาณ มีจํานวน 3 กลุม ไดแก ผูเรยี น ครูผูสอน
และผูปกครอง ประชากรผูเรยี นคือ ผูเรียนชั้นประถมศกึ ษาตอนตน ประถมศึกษาตอนปลาย มัธยมศึกษา
ตอนตน และมัธยมศึกษาตอนปลาย ในการเก็บขอมูลเพ่ือการวิเคราะหองคประกอบของแบบคัดกรอง
พหุปญญาของผูเรียน ใชกลุมตัวอยางผูเรียน จาก 5 ภูมิภาค ไดแก ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก
ภาคตะวันตก ภาคกลาง และภาคใต ไดร ับการคัดเลือกดวยวิธีการสุมแบบหลายขั้นตอน (Multi – stage
random sampling) ในข้ันตน สุมเลือกจังหวัดในแตละภูมิภาค ๆ ละ 6 จังหวัด ข้ันตอไปคือ สุมเลือก

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 4

การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสง เสริมพหุปญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผเู รียน

โรงเรียนจากแตละจังหวัด ๆ ละ 1 โรงเรียน ยกเวน กรุงเทพมหานครมจี ํานวน 2 โรงเรียน แลวจึงสุมเลือกผูเรยี น
จากแตละโรงเรียน ๆ ละ 20 คน ในแตละข้ันใชวิธีการสุมอยางงาย (Simple random sampling) โดยให
ครูผูสอน 1 คน และผูปกครอง 1 คน เปนผูสังเกตพฤติกรรมผูเรียนท่ีเปนกลุมตัวอยางคนเดียวกัน
รวมครูผสู อนและผปู กครองกลุม ละ 620 คน

3.2 กลุมผูใหขอมูลสําคัญ (Key informants) ในการศึกษาเชิงคุณภาพ คือ ผูที่มี
สวนเก่ียวของกับการดําเนินงานดานการจัดการศึกษา ท่ีปฏิบัติงานในสถานศึกษาในปการศึกษา 2563
เพื่อเขารวมการประชุมสนทนากลมุ (Focus group) โดยกําหนดเกณฑคุณสมบัติ เปนผูทรงคณุ วุฒิและผูท่ี
มีสวนเกี่ยวของกับการดําเนินงานดานการจัดการศึกษา ในปการศึกษา 2563 ของสถานศึกษาสังกัด
การศึกษาขั้นพ้ืนฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ไดแก ผูทรงคุณวุฒิทางการศึกษาและจิตวิทยา จํานวน 1 คน
ผูบริหารสถานศกึ ษา 21 คน ครูผูสอน 22 คน ผูปกครองของผูเรียน 20 คน และผูเรียนช้ันประถมศึกษา
หรอื มัธยมศกึ ษา 29 คน รวมจาํ นวน 93 คน

3.3 ตัวแปรท่ีศึกษา สําหรับการสรางแบบคัดกรองพหุปญญา ใชทฤษฎีพหุปญญาของการดเนอร
(Gardner, 2006) ซึ่งจําแนกเชาวนปญญาออกเปน 9 ดาน ไดแ ก (1) เชาวนปญญาดา นภาษา (Linguistic
intelligence) (2) เชาวนปญญาดานตรรกะและคณิตศาสตร (Logical mathematical intelligence)
(3) เชาวนปญ ญ าดานมิติสัมพันธ (Spatial intelligence) (4) เชาวนปญ ญ าดานรางกายและ
การเค ล่ื อ น ไห ว (Bodily – kinesthetic intelligence) (5) เช าวนป ญ ญ าด าน ด น ต รี (Musical
intelligence) (6) เชาวนปญญาดานการเขาใจระหวางบุคคล (Interpersonal intelligence) (7) เชาวนปญญา
ดานการเขาใจตนเอง (Intrapersonal intelligence) (8) เชาวนปญญาดานธรรมชาติวิทยา (Naturalist
intelligence) และ (9) เชาวนปญญาดานการดํารงอยูข องชีวติ (Existential intelligence)

4. นิยามศพั ท

รูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผูเรียน หมายถึง
แบบจําลองที่เปนตนแบบสําหรับการนําไปใชในการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพ
ผเู รยี นมีการขับเคลอ่ื นและสนบั สนุนใหการดําเนนิ งานดํารงอยูไดอยางตอเน่ือง

พหุปญญา คือ เชาวนปญญาหรือความสามารถทางสมองของผูเรียน ท่ีสงผลตอการคิด
การตดั สินใจการแกปญหา การเรียนรู และการดํารงชีวิตของผูเรียน จําแนกออกเปน 9 ดาน ผูเรียนแตละคน
จะมีเชาวนปญญาครบทุกดาน แตจะมีระดับเชาวนปญญาแตละดานไมทัดเทียมกัน เชาวนปญญาแตละดาน
มีความหมายและพฤติกรรมท่ีสามารถสังเกตเห็นได ดังนี้

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ 5

การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสง เสริมพหุปญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผเู รียน

1) เชาวนปญญาดานภาษา (Linguistic intelligence) หมายถึง ผูท่ีมีความสามารถในการเรียนรู
ภาษาไดอยางรวดเร็วและมีความสามารถในการใชภาษาไดถึงแกน ไดแก เรียนรูภาษาไดเร็ว ชอบอาน
ตัวหนังสือจากสิ่งตา ง ๆ รอบตัว ชา งพูด รจู ังหวะท่ีจะพูด รจู ักใชภาษาและนํ้าเสยี งจูงใจผูฟง ชอบกิจกรรม
ท่ีใชทักษะการพูด ชางเปรยี บเปรย เจา สาํ บดั สํานวน และชอบเลน เกมคาํ ศัพท เปน ตน

2) เชาวน ป ญญ าด านตรรกะและคณิ ตศาสตร (Logical mathematical intelligence)
หมายถึง ผูท่ีมีความสามารถในการใชตัวเลข มีความสามารถในการต้ังโจทยปญหาและแกโจทยปญหา
หรือตั้งสมมติฐานและทดสอบสมมติฐาน ดวยการคิดเชิงเหตุและผล ไดแก คิดจายเงิน ทอนเงินได
อยางคลองแคลว แกโจทยคณิตศาสตรเกง คิดเลขเกง ชอบคิดเลข มีวิธีคิดที่เปนระบบ เปนข้ันตอน
ชอบแกปญหาที่ซับซอน และคาดเดาคําตอบ รูจักใชเหตุผล และชอบเลนเกมกลองปรศิ นา เกมเขาวงกต
เปน ตน

3) เชาวนปญญาดานมิติสัมพันธ (Spatial intelligence) หมายถึง ผูท่ีมีความสามารถ
ในการมองเห็นภาพและทิศทางแบบสามมิติ มีความไวในการรับรูสิ่งตาง ๆ รอบตัว สามารถจําแนกลักษณะ
และเชื่อมโยงความสัมพันธของสิ่งตาง ๆ เหลานั้น ไดแก เกงการใชแผนที่และจับทิศทาง เกงเรื่องการจัด
หมวดหมู จัดส่ิงของเขาที่ ตาไว สายตาดี บอกรายละเอียดของสิ่งที่มองเห็นไดอยางรวดเร็ว เกงการใช
แผนผังความคิด (Mind mapping) ชอบเขียนภาพ วาดภาพ ระบายสี การออกแบบโปสเตอร
จัดนทิ รรศการ ชอบตอจิก๊ ซอร เลน เกมจบั คภู าพ และจดั ส่งิ ของใหพอดกี ับพ้ืนที่ เปนตน

4) เชาวนปญญาดานรางกายและการเคลื่อนไหว (Bodily – kinesthetic intelligence)
หมายถึง ผูท่ีมีการเคลื่อนไหวของรางกายอยางคลองแคลว สามารถใชประโยชนจากการเคลื่อนไหวของ
รา งกาย ใจและกายประสานกันเปนหน่ึงเดียว ไดแก เรียนรูงานท่ีตองลงมือปฏิบัติไดดี ใชสวนตาง ๆ ของ
รางกายปฏิบัติกิจกรรมไดดี ชอบแสดงทาทางประกอบการพูด แสดงทาทางเพื่อส่ือความหมาย
เคลื่อนไหวรางกายไดอยางคลองแคลว มีการทรงตัวไดดี ชอบกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหวรางกาย เชน
การแสดง การฟอนรํา เตน ราํ เปน ตน

5) เชาวนปญญาดานดนตรี (Musical intelligence) หมายถึง ผูท่ีมีความไวในการรับรแู ละ
ตอบสนองตอทวงทํานองของเสียง มีความสามารถในการใชและสรางแกนหลักของดนตรี คือ ระดับเสยี ง
สูง – ตํ่า จังหวะ และความเร็วของเสียง ไดแก หูไวตอทวงทํานองดนตรี มีความสามารถในการไดยิน
เสียงดนตรี จับจังหวะของเสียง และทวงทํานองไดดี สรางหรือเลยี นแบบเสียงดนตรไี ดเกง ชอบเลนดนตรี
เปนงานอดิเรก ชอบสะสมเรื่องราวทางดนตรี ชอบเครื่องดนตรี เรียนรูการเลนเครื่องดนตรีไดเร็ว ชอบฟง
ดนตรี ชอบแสดงทาทางตามจังหวะดนตรี และ ชอบดัดแปลงเนื้อเพลง แตงเพลงเพ่ือใหจําเนื้อหาท่ีเรียน
เปน ตน

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ 6

การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผเู รียน

6) เชาวนปญญาดานการเขาใจระหวางบุคคล (Interpersonal intelligence) หมายถึง
ผูที่มีมนุษยสัมพันธ ไวในการสังเกตสีหนา ทาทางของผูอ่ืน มีความเขาใจ อารมณ ความรูสึก ความคิด
และเจตนาของผูอ่ืน ไดแก อานใจคนเกง เขาถึงความชอบ ความคดิ แรงจงู ใจของคนอ่นื ไดดี ไวตอการรบั รู
ความรูสึกของคนรอบขาง จับความรูสึกของผูอื่นไดดี เขากับคนงาย มีปฏิสัมพันธกับผูอื่นไดดี และชอบ
ทํางานเปนกลมุ เปน ตน

7) เชาวน ป ญ ญ าด านการเขาใจตนเอง (Intrapersonal intelligence) หมายถึ ง ผูที่ มี
ความสามารถในการมองตน รูจักตน เขาใจความคิด อารมณและความตองการของตนเอง และสามารถ
ควบคุมพฤติกรรมตนเอง ไดแก รูจักและเขาใจตนเอง บอกขอดีขอเสียของตนเองได บอกไดวาตนเอง
มีความคิดและความรูสึกอยางไร สามารถวิเคราะหพฤติกรรมของตนเองท่ีมีกับคนอื่นได พ่ึงตนเอง
มีความรับผิดชอบในตัวเอง ชอบเขียนบันทึกเร่ืองของตนเอง และชอบเลนเกมผจญภัยและสวมบทบาท
เปนตวั ละครหลาย ๆ ประเภท เปนตน

8) เช าวน ป ญ ญ าด าน ธรรมชาติ วิทยา (Naturalist intelligence) ห ม าย ถึ ง ผู ท่ี มี
ความสามารถในการเขา ใจธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ มีความรอบรูเรื่องของพืชและสัตว
ไดแก มีความรอบรูเร่ืองพืชและสัตว ชางสังเกต จดจําและจําแนกประเภทพืชและสัตวรอบตัวได ออนไหว
ตอการเปล่ียนแปลงของสภาพแวดลอม ชอบอยูทามกลางธรรมชาติ มีความสุขเมื่ออยูกับธรรมชาติ เขาใจ
และสนใจปรากฏการณทางธรรมชาติ ชอบเดินทาง ทองเท่ียวทางธรรมชาติ เปนนักอนุรักษธรรมชาติ
ชอบกิจกรรมทาํ ความสะอาดสง่ิ แวดลอมของโรงเรยี นและชมุ ชน เปน ตน

9) เชาวนปญญาดานการดํารงอยูของชีวิต (Existential intelligence) หมายถึง ผูท่ีมี
ความสามารถในการเขาใจสัจธรรมของโลกและชีวิต การดํารงอยูของมนุษย คณุ คา ของมนุษยท่ีมีตอโลกและ
จักรวาล ไดแก ชอบฝกสมาธิ มีความเช่ือในเร่ืองจิตวิญญาณ สนใจและปฏิบัติตามหลักคําสอนทางศาสนา
ชอบตั้งคําถามเกี่ยวกับคณุ คา ของมนุษยที่มีตอโลก รัก เมตตา มนุษยและสัตวโลก และสนใจเรอื่ งของโลก
และจกั รวาล เปน ตน

การประเมินเชาวนปญญาท้ัง 9 ดาน จะใชการสังเกตพฤติกรรมการแสดงออกของผูเรยี น ถาผูเรียนมี
การปฏิบัติลักษณะสําคัญของเชาวนปญญาดานน้ัน ๆ อยางสม่ําเสมอมีคะแนนเทากับ 2 แตถาปฏิบัติ
ไมสมํ่าเสมอ อาจจะปฏิบัติบางเปนบางครั้ง หรือนาน ๆ คร้ัง จะใหคะแนนเทากับ 1 โดยมีเกณฑการแปล
ผลคะแนนแยกรายดาน คือ คะแนนแตล ะดา น 1 – 8 แปลวา ผูเ รยี นมีเชาวนปญญาดา นนั้น ๆ ในระดบั ปกติ
ถา มคี ะแนน 9 – 10 แปลวา ผเู รยี นมีความโดดเดนของเชาวนปญ ญาดา นนั้น

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ 7

การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสง เสริมพหุปญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผเู รียน

5. ประโยชนท ี่ไดรับ

5.1 ผูท่ีมีสวนเก่ียวของกับการจัดการเรยี นรูของผูเรียนชั้นประถมและมัธยมสามารถใชแบบคดั กรอง
พหุปญญาประเมินระดับของเชาวนปญญาทั้ง 9 ดาน ของผูเรียนในขั้นตนได และใชผลการประเมิน
เพ่ือวางแผนพฒั นาศกั ยภาพของผูเรียนในความดแู ล

5.2 ผูบริหาร ครู และบุคลากรทางการศึกษาไดรับการพัฒนาใหมีความรู ความเขาใจ และมี
ความสามารถในการจัดการเรยี นรู สนับสนนุ และสง เสริมใหผูเรียนไดรบั การพฒั นาอยา งเต็มตามศักยภาพ

5.3 ผูปกครองมีความรู ความเขาใจ และรว มกับสถานศึกษาในการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญา
ของบุตรหลาน ใหไ ดร บั การพัฒนาอยางเต็มตามศกั ยภาพ

5.4 ผูที่มีความสนใจในการพัฒนาสื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรูมีฐานขอมลู สําหรับ
การพัฒนาสื่อและดจิ ทิ ัลแพลตฟอรมเพื่อการพัฒนาผูเรียน

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 8

การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสง เสริมพหุปญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผเู รียน

บทที
การทบทวนเอกสารและงานวิจยั ทีเกียวขอ้ ง

การนําเสนอรายละเอียดของการทบทวนเอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวของ แบงออกเปน 5 ตอน
ตอนแรก คือ ทฤษฎีพหุปญญา ตอนท่ีสองคือ รูปแบบและกลไกการพัฒนาความสามารถของผูเรียน ตอนที่สาม
คือ แบบคัดกรอง ตอนที่สี่คือ งานวิจัยที่เกี่ยวของ และตอนที่หาคือ กรอบแนวความคิดในการวิจัย
มีรายละเอียดดงั ตอ ไปน้ี

1. ทฤษฎีพหุปญญา

ความเกงเรียกวา ปญญา ภาษาอังกฤษใชคําเดียวกันคือ Intelligence อยางไรก็ดีถาเกงมาก
ในหลายดานเรียกวา เลิศปญญา Giftedness ถาเกงมากดานเดียวเรียกวาพรสวรรคหรือ Talentedness
และเกงมากท่ีสุด หาใครเทียบไดยากเรียกอัจฉริยะ Genius ซึ่ง Alfred Binet มหาวิทยาลัยสแตนฟอรด
ไดสรางเครื่องมือวัดความเกงหรือเชาวนปญญาของเด็กเรียกวา IQ (Intelligence Quotient) ซ่ึงเปน
เศษสว นระหวางอายุสมองกับอายุจริงและคูณดวย 100 เมอื่ แบงคนออกเปน 10 ประเภทจะไดคนท่ีโงท่ีสดุ
ไปจนถึงฉลาดทส่ี ุดคนอัจฉรยิ ะ การวัดไอคิวเปนท่ียอมรับกันทั่วทั้งอเมริกาและทัว่ โลกเปนเวลาหลายสิบ
ป ตอมาในป 1983 นักจิตวิทยาอเมรกิ ันชื่อ โฮเวริ ด การดเนอร ซงึ่ เปนอาจารยสอนจิตวิทยาการศึกษาอยู
ท่ีมหาวิทยาลัยวิทยาลัยฮารวารด ไดตีพิมพหนังสือ Frame of mind และไดนําเสนอทฤษฎีพหุปญญา
ซ่ึง อธิบายไววาคนเรามีศักยภาพความถนัด มีวิธีการเรียนรู และมีเชาวนปญญาที่หลากหลาย ควรไดรับ
การพฒั นาเชาวนป ญญาทุก ๆ ดานไปพรอ ม ๆ กัน (Gardner, 1983)

ประเทศไทยมีความตื่นตัวเกี่ยวกับทฤษฎีพหุปญญาเม่ือประมาณ 20 กวาปท่ีผานมา โดยเมื่อวันที่
9 เดือนกันยา พ.ศ. 2542 สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการไดจัดเสวนาและไดเชิญวิทยากรมาบรรยายเร่ือง
ของพหุปญญาใหแกผูบริหารครูอาจารยท่ัวประเทศกวา 500 คน ทําใหแนวคิดพหุปญญาแพรหลาย
ท่ัวประเทศไดอยางรวดเร็ว ตอมาในป พ.ศ. 2548 ไดมีการเชิญ Gardner มาบรรยาย ทําใหพหุปญญาถูก
ประยุกตใชในโรงเรยี นแพรหลายอยางกวางขวางมากขึ้น ซ่ึงเช่ือวา เด็กควรไดรับการพัฒนาและสงเสริมให
เกงในหลาย ๆ ดานตั้งแตแรกเกิด มีผูกลาวไววาสมองของเด็กพัฒนาไดเต็มท่ีและสิ้นสุดในระยะหาปแรก
ดังน้ันการพัฒนาการเรียนรูของเดก็ ในระยะหาปแรกจึงเปนเร่ืองสาํ คัญท่ีสุด ในการศึกษาระดับข้ันพื้นฐาน
มีความสําคัญรองลงมา แตถาจะใหเกงดานใดดานหน่ึงจะตองไดรบั การพัฒนาเปนพิเศษ เพื่อใหเกิดทักษะ
ในดานน้ัน ๆ และพัฒนาตอไปจนถึงระดับอุดมศึกษาได หลังจากน้ันก็ยังตองพัฒนาตอไปอีกจนกวาชีวิต
จะหาไม (สุนทร โคตรบรรเทา, 2548)

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ 9

การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผเู รียน

ในป ค.ศ. 1983 การดเนอร ไดเสนอวาเชาวนปญญาของมนุษยมีอยูอยางนอย 7 ดาน คือ
ดานภาษา ดานตรรกะและคณิตศาสตร ดานมิติสัมพันธ ดานรางกายและการเคล่ือนไหวทางกาย
ดานดนตรี ดานการเขาใจระหวางบุคคล และดานการเขาใจภายในบุคคล โดยแบงเชาวนปญ ญาออกเปน
3 กลุมใหญ กลุมแรก ไดแก คณิตศาสตรและตรรกะ กลุมท่ีสอง ไดแก ดนตรี ภาษา และการเคล่ือนไหว
และกลุมที่สาม ไดแก ความฉลาดในการเขาใจตัวเองและผูอ่ืน ตอมาในป ค.ศ. 1997 การดเนอรไดเพิ่ม
เชาวนปญญาอกี 1 ดา น คือ ดานธรรมชาติวิทยา กลาววา เชาวนปญญาของมนษุ ยม ี 8 ดานคอื ซึง่ เชาวนปญญา
ดานภาษา และดานตรรกะและคณิตศาสตร มีคุณคามากที่สุดเมื่ออยูในโรงเรียนและสังคม และมนุษย
อาจจะมีเชาวนปญญาดานอ่ืน ๆ อีก เชน เชาวนปญญาดานจิตวิญญาณ (Spiritual intelligence) เชาวน
ปญญาดานการดํารงอยูของชีวิต หรือ(Existential intelligence) และเชาวนปญญาดานศีลธรรม (Moral
intelligence) ซ่ึงตอมา การดเนอร ไดรวมเชาวนปญญาดานการดํารงอยูของชีวิต หรือ เชาวนปญญา
ดานการคิดใครครวญ (Existential intelligence) เขาเปนเชาวนปญญาดานที่ 9 (เฉลียวศรี พิบูลชล,
2554; Gardner, 1983; 2011) ไดรวบรวมความหมายของเชาวนปญญาแตละดาน และความสัมพันธกับ
อาชีพไว ดงั นี้

1) เชาวนปญญาดานภาษา (Linguistic intelligence) คือ ความสามารถในการใชภาษาได
อยางชัดเจนถึงแกน ในการส่ือสารดวยการอาน เขียน ฟง หรือ พูด สรางสรรค ขัดเกลาการใชภาษาทั้ง
ในสวนของโครงสรางและรูปแบบทางภาษาที่ซับซอนขึ้น เชน เร่ืองราว ความเรียง โคลงกลอน และกลวิธี
ทางภาษา อาทิ การใช อุปมาอุปมัย การใชภาษาท่ีแทจริง การใชสัญลักษณ และ ไวยากรณ เปนตน
ซึ่งย่ิงลุมลึกในความหมายข้ึนอีกเม่ือผสานดวยการใชเหตุผลแบบนามธรรม กระสวน (Pattern) ความคิด
รวบยอด ความรูสึก นํา้ เสยี ง โครงสรางไวยากรณ และคําศัพทท่ีแตกแขนงไปไมรูจบ ผูทีพ่ ัฒนาถงึ ขีดสุด
ทางภาษาคือ ผูท่ีสามารถผสมผสานเสียงและความหมายออกมาเปนภาษาท่ีมีเอกลักษณเฉพาะตน
ในการถายทอดความคิดทัง้ มวลและในการพูดท่ลี ึกซึง้ กินใจผูฟ ง ได

2) เช าวน ป ญ ญ าด าน ต รรกศ าส ตรแ ละคณิ ต ศาส ตร (Logical – mathematical
intelligence) คือความสามารถในการใชเหตุผลแบบนิรนัย (จากสวนรวมไปหาสวนยอย Deductive
reasoning) และความสามารถในการใชเหตผุ ลแบบอุปนัย (การใหเหตุผลดวยขอเท็จจริงหรือขอมูลตาง ๆ
แลวสรุปลงเปนกฎ Inductive reasoning) การแกปญหาท่ีเปนนามธรรมและเขาใจความสัมพันธที่
ซับซอนของการใชเหตุผลทางคณิตศาสตร และกระบวนการทางวิทยาศาสตร การใชความคิดอยางมี
วิจารณญาณ (Critical thinking) เก่ียวกับการจัดเรียงลําดับ การวิเคราะหและการประมาณการ
อยางชัดเจน แตส่ิงท่ีตองการตอกย้ําคือ ความมุงม่ัน (Persistence) ความเที่ยงตรง (Precision)
ความชา งซกั (Inquiry) และการใหรายละเอียด (Elaboration)

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 10

การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผเู รียน

3) เชาวนปญญาดานมิติสัมพันธ (Visual – spatial Intelligence) คือความสามารถในการ
รับรูภาพที่มองเห็นในโลกไดอยางถูกตอง และสามารถนําประสบการณจากการเห็นน้ันมาสรางข้ึนใหม
เปนความสามารถเก่ียวพันกับการเหน็ รูปราง สี รูปทรงสัณฐาน และลักษณะพื้นผิวดวย “มุมมองของจิต”
และถายทอดออกมาเปนงานศิลปท่ีเห็นไดเปนรูปธรรมความสามารถดานนี้เกิดจากความไวในการในการ
รับรูของกลไกประสาทสัมผัสตอส่ิงตาง ๆ ที่อยูรอบตัว สายตาจะแยกแยะสี รูปราง รูปทรงสัณฐาน
ลกั ษณะพนื้ ผวิ ความลึก ความกวาง ความยาว ความหนา ความสูง และความสมั พันธตาง ๆ

4) เชาวนปญญาดานรางกายและการเคล่ือนไหว (Bodily – kinesthetic Intelligence) คอื
ความสามารถในการควบคุมและแปลความหมายของลีลาการเคล่ือนไหวของรางกาย หยิบ – จับสิ่งของ
และสรางความสอดคลองระหวางกายและใจได ตัวอยาง ผูท่ีมีความสามารถดานรางกายและ
การเคล่ือนไหวสูงมาก เชน Marcel Marceau จะสามารถใชทาทางสรางบุคลิกภาพท่ีหลากหลาย เชน
แสดงทาทางอันธพาล ผูรักสนั โดษ ตัวตลกนักไตเขา ทาที่เปรียบดั่งผีเส้ือโบยบิน ยอดออนพลิ้วของเกลยี ว
คลื่น หรือแมความคิดในเรื่องของความดี ความชั่ว หรืออิสรภาพและพันธนาการ ทั้งหมดนี้
ดวยความคลองแคลวประมาณกัน และในเวลาไลเร่ียกันไดอยางนาทึ่ง ในขณะท่ีเกิดการพัฒนา
ความสามารถดานนี้ การประสานตาของตา – มือ และกลามเน้ือมัดเล็ก ๆ ท่ีควบคุม จะกระตุนใหแตละคน
สรางมโนภาพการรับรูในรูปรางและสีในส่ือท่ีตาง ๆ กันออกไป การรับรูภาพที่มองเห็นจึงเปน
การผสมผสานของความรู ประสบการณ อารมณ และจินตนาการเดิมที่สรางสรรคออกมาเปนภาพใหม
ใหผ อู น่ื ไดช ม

5) เชาวน ป ญ ญ าด านดนตรี (Musical Intelligence) คือ ความสามารถหรือความไว
ในการตอบสนองตอรูปแบบของเสียง หรือความสามารถในการใชแกนของดนตรี คือ ระดับเสียงสูง – ตํ่า
จังหวะ และความเร็วของเสียง ตัวอยางเชน การใชจังหวะ อัตราตัวโนต ลักษณะเสียงรอง เนื้อรอง และ
การเคาะจังหวะ และการเรียบเรยี งเพลงที่มีเสยี งทีแ่ ปลกใหม

6) เช าวน ป ญ ญ าดาน การเขาใจระหวางบุ คค ล (Interpersonal intelligence) คือ
ความสามารถในการเขา ใจและสัมพันธกับผูอื่น สามารถสังเกตและแยกแยะอารมณ ภาวะจิตใจ แรงจูงใจ
และความตั้งใจของผูอื่นไดดี (Gardner, 1983) เชน ในระดับท่ัวไป อาจจะเหน็ ไดจากความออนไหวทีม่ ีตอ
อารมณข องผูท่ีอยูรอบขาง ในระดับทั่วไปคือความสามารถในการอานใจผูอ ่ืน ความสามารถน้ีเกีย่ วของกับ
ทกั ษะในการสอ่ื สารดว ยวาจา ทาทาง ทกั ษะในการทํางานรว มกับผอู ื่น ทักษะการจดั การความขัดแยง การ
หวานลอมใหเห็นพองตรงกัน และความสามารถในการสรางความเชื่อใจ เคารพ นํา และจูงใจผูอ่ืนไปสู
ความสําเร็จตามเปาหมายอันยังประโยชนรวมกัน การมีความเห็นอกเห็นใจในความรูสึก ความหวาดกลัว
ความกระวนกระวาย และความเช่ือของผูอ่ืน ตลอดจนความเต็มใจในการรับฟงผูอ่ืนโดยไมมีการตัดสิน

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ 11

การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผเู รียน

และความตองการท่ีจะชวยเหลือผูอ่ืนใหสามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแสดงออกไดถึงจุดสูงสุด
เหลา น้ี บง บอกวา มีความสามารถดานน้ีในระดับสงู

7) เชาวนปญญาดานการเขาใจตนเอง (Intrapersonal intelligence) คือความสามารถใน
การมองตน เขาใจความแปรปรวน ในอารมณของตนเองและใชความเขาใจนั้นควบคุมพฤติกรรมตนเอง
ชอบที่จะมีเวลาคิด ไตรตรอง และประเมินตนเอง “เปนความสามารถที่เพ่ิมขึ้นจากความสามารถในการ
แยกแยะความรูสึกชื่นชมยินดีจากความเจ็บปวดเพียงเล็กนอย และจากการสามารถแยกความแตกตาง
ณ จุดนั้น เลือกท่ีจะเขาไปหรือถอยหางจากสถานการณท่ีเปนอยู” ผูท่ีมีความรับผิดชอบในตนเองสูง
จะมีแนวโนมสูงทีจ่ ะมีศักยภาพของความสามารถในดา นนี้

8) เชาวนปญญาดานธรรมชาติวิทยา (Naturalist intelligence) คือความสามารถในการ
จดจํา รูจักพันธุพืชและพันธุสัตวท่ีอยูรายรอบตัว และบัญญัติศัพททางวิชาการเพื่อจัดแบงประเภทตาง ๆ
ยอ ย ๆ ลงไป ผูที่สามารถเลือก คัดประเภทตาง ๆ ของดอกไม บอกชื่อประเภทของสัตว หรจื ัดสิ่งของ เชน
รองเทา รถ เส้ือผา เครื่องแตงกาย เขาพวกตามคุณลักษณะท่ีรวมกันไดแสดงใหเห็นถึงแววการเปน
นักธรรมชาติวทิ ยา

9) เชาวนปญญาดานการดํารงอยูของชีวิต (Existential intelligence) คือ ความสามารถ
ในการเขาใจสัจธรรมของโลกและชีวิต จิตวิญญาณ คุณคาของความเปนมนุษย มีความสามารถในการใช
ปรชั ญา การใชเ หตุผลเพื่อจดั การความยตุ ิธรรม หรอื จัดการกับประเดน็ ทางศาสนา

อยางไรก็ดี มีผูใหความสนในทฤษฎีพหุปญญา (MI) ตลอดมา ดังเชน Tyler และ Loventhal
(Tyler & Loventhal 2011 อางใน Hajhashemi, Caltabiano, Anderson & Tabibzadeh, 2018) ได
ศึกษาทฤษฎพี หปุ ญ ญา (MI) และใหความหมายของพหปุ ญ ญาโดยยอในแตล ะดาน ดังน้ี

1) เชาวนปญญาดานภาษา: ความสามารถในการใชคําอยางมีประสิทธิภาพ ทั้งโดยการพูด
และการเขยี น

2) เชาวนปญญาดานตรรกะและคณิตศาสตร: ความสามารถในการใชตัวเลขอยางมี
ประสทิ ธภิ าพ รูจักคดิ หาเหตุผล

3) เชาวนปญญาดานมิติสัมพันธ: ความสามารถในการรับรูโลกท่ีเปนภาพและมิติไดอยาง
แมน ยํา

4) เชาวนปญญาดานรางกายและการเคลือ่ นไหว: ความเช่ียวชาญในการใชร างกายเพ่ือแสดง
ความคดิ และความรสู กึ

5) เชาวนปญญาดา นดนตร:ี ความสามารถในการรับรู แยกแยะ เปลี่ยนแปลง และแสดงออก
เกีย่ วกบั รปู แบบดนตรี

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ 12

การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสง เสริมพหุปญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผเู รียน

6) เชาวนปญญาดานการเขาใจผูอ่ืน: ความสามารถในการรับรูและสรางความแตกตาง
ในอารมณ ความตงั้ ใจ แรงจูงใจ และความรูส ึกของผอู นื่

7) เชาวนปญญาดานการเขาใจตนเอง: รูจักตัวเองและมีความสามารถในการปรับตัว
บนพนื้ ฐานของความรูน้นั

8) เชาวนป ญญาดา นการเขา ใจธรรมชาติ: ความสามารถในการจดจําและจําแนกพืชสัตวและ
สง่ิ ตาง ๆ ในธรรมชาติไดอยางงายดาย

ทฤษฎีพหุปญญาถูกนํามาใชในการสงเสริมศักยภาพในการเรียนรูของผูเรียน โดยแบงกลุมผูเรียน
ตามเชาวนปญญาออกเปน 3 กลุม (Mckenzie, n.d.) ไดแ ก

1) กลุมการวิเคราะห (Analytic) คือ การเนนกระบวนการคิดวิเคราะห ไดแก เชาวนป ญญา
ดา นตรรกะและคณติ ศาสตร ดานดนตรี และดา นธรรมชาตวิ ทิ ยา

2) กลุมพินิจพิจารณา (Introspective) คือ การเนนจินตนาการไดแก เชาวนปญญาดานมิติ
สัมพนั ธ ดานการเขาใจตนเอง และดานการดาํ รงอยขู องชีวติ

3) กลุมปฏิสัมพันธ (Interactive) คือ การเนนการส่ือสาร การถายทอด และความรวมมือ
ไดแก เชาวนปญญาดานภาษา ดานการเขาใจระหวางบุคคล และดานรางกายและ
ความเคลื่อนไหว

2. รูปแบบและกลไกการพัฒนาความสามารถของผูเรียน

Good (1973) ไดใหความหมาย รูปแบบ (Model) ไว 4 ความหมาย คือ (1) เปนแบบอยางของ
ส่ิงใดส่ิงหนึ่งเพ่ือเปนแนวทางในการสรางหรอื ทําซ้ํา (2) เปนตัวอยางสําหรับการเลียนแบบ เชน ตัวอยาง
ในการออกเสียงภาษาตางประเทศเพ่ือใหผูเรียนไดเลียนแบบ (3) เปนแผนภาพหรือภาพ 3 มิติ ท่ีเปน
ตัวแทนของส่ิงใดสิ่งหนึ่งหรือหลักการ หรือแนวคิด และ (4) เปนชุดของปจจัยหรือองคประกอบ หรือตัวแปร
ท่ีมีความสัมพันธซ่ึงกันและกัน รวมตัวเปนตัวประกอบและเปนสัญลักษณทางระบบสังคม อาจเขียนเปน
สูตรทางคณิตศาสตรห รือบรรยายดว ยภาษาก็ได (Good, 1973 อา งใน ดิเรก วรรณเศียร, 2549) Keeves
และ Rung Kaew Dang (1997) ใหความหมาย รูปแบบ คือ โครงสรางตามสมมุติฐาน ท่ีใชในการคนหา
ของความสมั พันธระหวางองคป ระกอบจากสมมติฐานหลาย ๆ สมมติฐานท่ีตั้งข้ึนมาจาก ความคิดหรือจาก
การศึกษากอนหนา และจากการสนับสนุนของทฤษฎีทั้งหลาย” การคนหาน้ีจะชวยยืนยันหรือปฏิเสธ
โครงสรางตามสมมติฐานที่ไดตั้งไว ในทางการศึกษา คําวา “รูปแบบ” หรือ “โมเดล” มีความหมายคือ
รากฐานทางปรัชญาของแนวทางและความเชือ่ โดยรวมทีเ่ ก่ียวของกับการเรียนรู การเรียนการสอน เนื้อหา

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ 13

การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผเู รียน

และวิธีการท่ใี ชในการเรียนการสอน รปู แบบการเรยี นรูหรอื รปู แบบการสอนเปนการสนับสนุนใหผูเรียนได
สารสนเทศ ความคิด ทักษะ คานิยม วิธีการคิด นัยของการแสดงออก และวิธีการเรียนรู แตอยางไรก็ดี
ผลลัพธในระยะยาว คือ การเพ่ิมศักยภาพการเรียนรูของผูเรียนใหมีการเรียนรูตลอดชีวิตอยางมี
ประสทิ ธิผล (Bruce & Weil, 1996)

van Merriënboer (1997) ไดนําเสนอรูปแบบการเรียนรูสําหรับการเรียนรูที่มีความซับซอน
(Complex learning) ควรประกอบดวยองคประกอบ 4 ดาน ไดแก (1) งานประกอบการเรียนรู
(learning tasks) (2) ขอมูลที่ใชในการสนับสนุนการเรียนรู (Supportive information) (3) ขอมูล
เก่ียวกับกระบวนการเรียนรู (Procedural information) และ (4) การฝกปฏิบัตงิ านที่เปนสวนหนึง่ ของก
การเรียนรู (Part – task practice) ผูเรียนสามารถเรียนรูจากแบบจําลองคอมพิวเตอร สภาพแวดลอม
เสมือนจริง ผูเรียนจะไดรับการใหคําปรึกษาผานแอปพลิเคชันออนไลน อาจจะมีสวนรวมในการฝก
ปฏิบัติงานผานการฝกอบรมแบบเจาะลึกและการฝกใชคอมพิวเตอร แอปพลิเคชัน หรือโปรแกรม
ซงึ่ ครูผสู อนสามารถใหค ําปรึกษาทง้ั ทางจติ วิทยา และสนับสนุนการเรียนรูของผเู รยี นผานระบบมัลติมีเดยี

Dix (2007) จากมหาวิทยาลัย Flinders ประเทศออสเตรเลีย ไดศึกษาและรวบรวมรูปแบบ
การจัดการเรียนการสอนและการเรียนรูที่ออกแบบจากงานวิจัยตาง ๆ มาประยุกตใชในการออกแบบ
รูปแบบการนํา ICT มาใชในหองเรียน ผลศึกษาพบวามีรูปแบบการจัดการเรียนการสอนและการเรียนรู
ที่ออกแบบจากงานวิจัยตาง ๆ ดังเชน Carroll (1963) ไดนําเสนอรูปแบบการเรียนรูของโรงเรียน
โดยปจ จัยที่สงผลตอ ผลสัมฤทธทิ์ างวิชาการของโรงเรียน มี 3 ตัวแปร ไดแก ความถนัดโอกาสในการเรียนรู
ที่สงผลผานปจจัย 4 ดาน ไดแก (1) เวลาสําหรับการเรียนรู (2) ความสามารถของผูเรียนในการมีความรู
ความเขาใจ (3) คณุ ภาพการสอน และ (4) ระยะเวลาที่ผเู รยี นมีความตง้ั ใจเรียน

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 14

การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสง เสริมพหุปญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผเู รียน

ภาพประกอบ 1 รูปแบบการเรยี นรขู องโรงเรยี น
ทม่ี า Dix (2007)

Biggs (1989) ไดนําเสนอรูปแบบ 3 – P ของระบบการเรียนรู (Learning system) ซ่ึง 3 – P
ประกอบดวย (1) การกําหนดเปาหมายลวงหนา (Posits presage) (2) กระบวนการ (process) และ
(3) ผลผลิต (Product) โดยมสี มมติฐานวา ผลลพั ธการเรยี นรเู กดิ จากการมีปฏิสมั พันธระหวางครกู ับบริบท
ทางการเรยี นรูของผูเรียนขณะที่ผเู รียนกําลังเรียน ซึ่งในข้ัน P – 1 กอนเขาสูการเรียนการสอน ครูและ
โรงเรียนจะตองมีการกําหนดลักษณะสภาพแวดลอมการเรียนรู ในขณะที่ครูและผูเรยี นจะพิจารณาวาจะมี
ปจจัยอะไรบางท่ีจะสงผลตอผลลัพธการเรียนรู ข้นั P – 2 กระบวนการ ไดแก สิ่งท่ีเกิดขึ้นในสถานการณ
การเรียนรูของผูเรียน โดยเฉพาะอยางย่ิงผลการเรียนรูแบบตื้น ๆ และในเชิงลึก ท้ังน้ีในขั้นกระบวนการ
ในการเรียนรูไมจําเปนตองสอดคลองกับคุณลักษณะของผูเรียน ขั้น P – 3 ผลลัพธ ผูเรียนจะมีผลลัพธ
การเรียนรูเชิงคุณภาพท่ีแตกตางกัน กลาวคือวิธีการเรียนรูเชิงลึกจะทําใหเกิดผลลัพธการเรียนรูที่มี
คุณภาพสงู ในขณะที่วิธีการแบบผวิ เผนิ สงผลใหผลลพั ธการเรียนรมู ีคุณภาพตา่ํ

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ 15

การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผเู รียน

ภาพประกอบ 2 รปู แบบการเรยี นรู 3 – P
ท่มี า Dix (2007)

การทบทวนรูปแบบการสอนและกระบวนการเรียนรูแบบ Transactional model ของ Huitt’s
(1993) จะจําแนกปจจัยท่ีสงผลตอการเรียนรูและผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของผูเรียนตามบริบทของ
หองเรียนและโรงเรียนออกเปน 4 กลุม ไดแก (1) บริบท (2) ปจจัยนําเขา (3) กระบวนการในช้ันเรียน
และ (4) ผลลัพธ ท้ังนี้ บริบท คือปจจัยท้ังในหองเรียนและนอกหองเรียนที่อาจจะมีอิทธิพลตอการสอน
และการเรียนรู ปจจัยนาํ เขา คือ คุณภาพหรือคุณลักษณะของครแู ละผูเรียนท่ีถูกปอนเขาสูประสบการณ
ในหองเรียน กระบวนการในหองเรียน คือ การตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้นในหองเรียน ที่มีสวนเกี่ยวของกับ
พฤติกรรมของครูและผูเรียน ตลอดจนสภาพแวดลอมในหองเรียนและความสัมพันธระหวางบุคคล
ผลลพั ธ จะวดั ผลการเรยี นรขู องผูเรยี นแยกออกจากกระบวนการเรยี นรูในหอ งเรยี น (Huitt, 1993)

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ 16

การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสง เสริมพหุปญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผเู รียน

ภาพประกอบ 3 รูปแบบการสอนและกระบวนการเรยี นรูแบบ Transactional model
ที่มา Dix (2007)

กรอบการพัฒนาวิชาชีพของ Orrill’s (2001) ในสวนของศูนยกลางจะเปนปฏิสัมพันธสามทาง
ระหวาง (1) กระบวนการออกระเบียบขอบังคับ (2) การสะทอนกลับ และ (3) การต้ังเปาหมาย โดยมี
วัตถุประสงคเพื่อสนับสนุนครูระดับมัธยมตนใหเนนการสอนแบบผูเรียนเปนศูนยกลางเพิ่มมากขึ้น
เมื่อสอนแบบคอมพิวเตอรเปนฐานในหองเรียน โดยมีพื้นฐานมาจากความเช่ือท่ีวา “การเปลี่ยนแปลง
ในรายบุคคลจําเปนบุตองไดรับการสนับสนุนภายใตบริบทอยูตลอดเวลา” (Orrill, 2001) ประเด็นสําคัญ
5 ประการของรปู แบบนี้คือ (1) การสะทอน (2) เปาหมายระดับตน (3) การสนับสนุนของเพ่ือนรวมงาน
(4) การใหข อเสนอแนะแบบตัวตอ ตัว และ (5) การสนับสนุนวัสดุ อุปกรณใ หแ กครู

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 17

การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผเู รียน

ภาพประกอบ 4 กรอบการพัฒนาวชิ าชีพของ Orrill’s
ที่มา Dix (2007)

จากแนวคิดของ Cobb และคณะ (2003) และการศึกษาเก่ียวกับการวิจัยเชิงการออกแบบเปนฐาน
(Design – based research) ซึ่งผสมผสานการวิจัยเชิงการศึกษาเชิงประจักษกับการออกแบ บ
สภาพแวดลอมการเรียนรูที่ขับเคลื่อนดวยทฤษฎีท่ีเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับการสอนและการเรียนรู ชวย
ขยายความเขาใจเกี่ยวกับความสัมพันธระหวางทฤษฎีการศกึ ษา สิ่งประดิษฐท ี่ออกแบบไว และการปฏิบัติ
โดยท่ีการออกแบบเปนศูนยกลางในความพยายามสงเสริมการเรียนรู การสรางความรูที่นําไปใชได และ
การพัฒนาทฤษฎีการเรียนรูและการสอนในสภาพแวดลอมท่ีซับซอน และการขยายผลงานของ Turner
(1991) เก่ียวกับทฤษฎีโครงสรางของ Giddens (1984) ทําให Keeves (2003) ไดพัฒนา Design – based
research framework ซึ่งประกอบดวย การเชื่อมโยงระหวางกนั ภายใน แตไมตอเนื่อง โดยพิจารณาภาพ
จากดานขวาไปซา ย ข้ันตอนตา ง ๆ จะเคลื่อนผานระยะของการสํารวจ มีการทาํ งานที่เปนอิสระ เคล่ือนไป
ยงั การยนื ยันซ่ึงสะทอ นถึงการออกแบบท่ีดใี นระยะทีเ่ ปนการใชก รณีศึกษา (Case study) ผวู จิ ัยไดเ พิม่ เติม
การตรวจสอบความตอ งการท่ีไมปรากฏชัดเจนในรูปแบบของ Keeves (2003) โดยใชการวิจัยปฏิบัติการ
แบบมีสวนรวม (Action research) เพ่ือเสริมสรางความสอดคลองระหวางการวางแผนกับการออกแบบ
การเปล่ียนแปลง

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ 18

การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผเู รียน

ภาพประกอบ 5 Design – based research framework
ท่ีมา Keeves (2003)

ในรูปแบบของ Sandoval (2004) ทฤษฎีการเรียนรูไดรับการพัฒนาผานกระบวนการทําซ้ํา การ
ปรับเปล่ียนบริบทการเรียนรู ทั้งดานสารสนเทศและการประยุกตทฤษฎี การแทรกแซงในกระบวนการ
ยอย ๆ การคาดการณผลลัพธทั้งหลาย เชน ตรวจสอบผลกระทบที่มีตอแรงจูงใจในการเรียนรู ในทาง
กลบั กันผลลพั ธเ หลานจี้ ะถูกนํามาใชในการแทรกแซงในกระบวนการระดับภาพรวมไดอ กี

ภาพประกอบ 6 รูปแบบการคาดการณการเรยี นรูของ Sandoval (2004)
ทม่ี า Dix (2007)

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ 19

การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสง เสริมพหุปญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผเู รียน

Dix (2007) จากมหาวิทยาลัย Flinders ประเทศออสเตรเลีย ไดศึกษาและรวบรวมรูปแบบการ
จัดการเรียนการสอนและการเรียนรูท่ีออกแบบจากงานวิจัยตาง ๆ มาประยุกตใชในการออกแบบรูปแบบ
การนํา ICT มาใชในหองเรียน โดยมีการผสมผสานองคป ระกอบที่มีอิทธิพลจากรูปแบบตาง ๆ เขาดว ยกัน
จากผลการสังเคราะหไดรูปแบบการจัดการเรียนการสอนและการเรยี นรูท่ีออกแบบจากงานวิจัยตาง ๆ
ขางตน จาก รูปแบบของ Carroll (1963) Biggs (1989) Huitt (1993) Orrill (2001) Keeves (2003)
Bannan – Ritland (2003) และ Sandoval (2004) เรียกวา DBRIEF ซ่งึ มี 5 ข้ันตอนที่สําคญั คือ (1) การ
สํารวจขอมูล (2) การกําหนดลวงหนา (3) กระบวนการ (4) ผลผลิต และ (5) การประเมินผลเพิ่มเติม
กิจกรรมทั้งหมดนี้ดําเนินการเปนกระบวนการที่ใชง านงายและสามารถดําเนินการซํา้ ๆ โดยลูกศรโคง แบบ
สองทางอยูภายใตแนวคิดของ Carroll (1963) Bigg (1989) และ Huitt (1993) ความสัมพันธระหวาง
ปจจัยที่กําหนดไวลวงหนาในบริบทของครูและผูเรียน ถูกนําเสนอในรูปแบบความสัมพันธเชิงสาเหตุท่ี
กําหนดโดยเสนอิทธิพล กระบวนการท่ีสําคญั ของ DBRIEF คือ ‘วงจรการกําหนดระเบียบปฏิบัติ’ ซึ่งมีการ
พัฒนาและประเมินโครงการนวัตกรรมของการแทรกแซงในช้ันเรียน เชน การนํา ICT มาใชในการเรียนรู
ในกระบวนการทําซํ้า มีการวัดปจจัยตามบริบทพรอมกบั พฤติกรรมของครูและผูเรียนเพ่อื ใหผลลัพธที่ใชใน
การสนับสนุนการสะทอนและพัฒนาไปสเู ปาหมายตอไป (Orrill, 2001) ขั้นตอนสุดทายของวงจรมหภาค
เปนส่ิงท่ีจําเปนและเปนพ้ืนฐานสําหรับวิธีการวิจัยที่มีการออกแบบเปนฐาน การประเมินผลเพ่ิมเติม
เชนเดียวกับ แบบจําลองของ Bannan – Ritland (2003) และ Sandoval (2004) ข้ันตอนสุดทายน้ี
ออกแบบมาเพ่ือสงเสริมการวิจัยและพัฒนาทฤษฎีและการแทรกแซงอยางตอเน่ือง ดังน้ันผลลัพธท่ีคนพบ
และผลกระทบจึงปอนกลับเขา วงจร อกี ครง้ั โดยมีสมมติฐานพ้ืนฐานวา การเปลี่ยนแปลงมีความยั่งยนื และ
นวัตกรรมในการปฏิบัติในชนั้ เรยี นควรมีการพฒั นาตลอดเวลา

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ 20

การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผเู รียน

ภาพประกอบ 7 รูปแบบ DBRIEF
ทม่ี า Dix (2007)

Nicolini (2010) ศึกษาการใชระบบการประเมินพฤติกรรมดวยการสังเกตผานแอปพลิเคชัน
Web – Observation (Web – Ob) โดยครูจะสรางสถานการณจําลอง เพื่อกระตุนปฏิกิริยาตอบสนอง
ของผูเรียน แลวจึงทําการสังเกตพฤติกรรมผานแอปพลิเคชัน ซึ่งจะมีหนาจอสําหรับสังเกตพฤติกรรมที่
แสดงออก การส่ือสารแบบอวัจนะ การแสดงออกขณะท่ีมีการเจรจา และจะมีอีกหนาจอหน่ึงสําหรับครู
เพ่ือใหค รูผสู ังเกตและตีความ/แปลผลจากขอมูลที่สังเกตเหน็ นั้นและมีสวนของการตั้งขอสังเกตหรือการให
ขอ เสนอแนะในการสงั เกตพฤตกิ รรมของผูเรียนในครง้ั ตอไป (Nicolini, 2010)

ภาพประกอบ 8 การแสดงผลผา นหนา จอแอปพลเิ คชนั
ทม่ี า: Nicolini (2010)

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 21

การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสงเสริมพหุปญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผเู รียน

การศึกษาของ Yaumi, Sirate และ Patak (2018) เปนการศึกษาเพื่อสงเสริมประสิทธิภาพของ
ครูในการออกแบบการเรียนการสอนที่เนนผูเรียนเปนสําคัญ ดวยการอบรมเชิงปฏิบัติการเชิงรุก
(Proactive workshop) เพ่ือใหครูสามารถออกแบบการสอนท่ีเนนผูเรียนเปนสําคัญท่ีเนนใหผูเรียนได
เรียนรูแบบพหุปญญาเปนฐาน (Multiple intelligence – based learning) ในการฝกอบรมจะมี 3
หัวขอคือ 1) แนวคิดการเรียนรูแบบพหุปญญาเปนฐาน 2) กลยุทธการจําแนกผูเรียนตามพหุปญญา และ
3) กลยุทธการพัฒนาปญญาของผูเรียน โดยประยุกตใช Elliott’s model (Elliot, 1991) ท่ีมีหลายวงจร
แตละวงจรจะมี 4 ข้ันตอน ประกอบดวย 1) การวางแผนการปฏิบัติ 2) การปฏิบัติตามแผน 3) การกํากับ
ติดตามการปฏิบัติและผลกระทบ และ 4) การประเมินผล ทั้งนี้ จะตองมีการระบุความคิดเร่ิมตนและ
การประเมินผลหรือขอเท็จจริงที่เกิดขึ้น นอกจากนี้จะใชระบบการใหคําปรกึ ษาชวยเพ่ิมประสิทธิภาพของ
ครูในการออกแบบกลยุทธการสอนการและกิจกรรมการเรียนรู รวมท้ังการสรางความสามัคคีในระดับ
ผูบริหาร ครู และชุมชน ผลการศึกษาพบวา กลยุทธการสอนที่ครูออกแบบจําแนกตามมิติของพหุปญญา
ทงั้ 9 ดานมดี ังนี้

ตาราง 1 กลยทุ ธก ารสอนทีค่ รูออกแบบจาํ แนกตามมติ ขิ องพหุปญญา

พหปุ ญ ญา กลยุทธการสอน

Verbal – ระดมความคิด (Brainstorming) เลาเร่อื ง (Storytelling) เขียนบทความ (Journal

linguistic writing) อานอัตชวี ประวัติ (Reading biography)

Logic – การคิดวิเคราะห (Critical thinking) ทดลองการตอบคําถามแนวโสเครตีส

mathematic (Experiment Socrates question) การแกป ญหา (Problem-solving)

Visual – spatial ผงั ความคดิ (Mind mapping) การสรางภาพ (Visualization) วาดเขียน (Colorful

paper) ระบายสี (Painting) สเก็ตภาพ (Sketching)

Bodily – นําเที่ยว (Field trip) บทบาทสมมติ (Role play) เลนโขน (Pantomime) ปฏิบัติ

kinesthetic (Practice) สาธิต (Demonstration)

Music – เครื่องเลนแผนเสียง (Discography) เคร่ืองดนตรี (Instrumental) เครื่องบันทึก

rhythmic (Recording) เครื่องเลนเพลงท่ีมีหนวยความจําระดับสูง (Playing super memory

music)

Interpersonal การตอจิ๊กซอว (Jigsaw) เพื่อนสอนเพื่อน (Peer teaching) การทํางานเปนทีม

(Teamwork) การทาํ งานกลมุ (Group study)

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ 22

การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสง เสริมพหุปญญาเพ่ือการพัฒนาศักยภาพผเู รียน

พหุปญ ญา กลยุทธก ารสอน

Intrapersonal งานเด่ียว (Personal task/study) การสะทอนกลับ (Reflection) การเรียนแบบ

นาํ ตนเอง (Self directed learning) การใชสมาธิ (Concentration)

Naturalistic เรีย น รูผ าน ธรรม ช าติ (Learning through nature) ห น าต างสูก ารเรียน รู

(Windows onto learning) พืชเปนอปุ กรณประกอบฉาก (Plants as props) สัตว

เล้ียงในหองเรียน (Pet – in – the – classroom) เลียนเสียงสัตว (Imitating

animal sounds)

Existential – การตอบสนองตอปรากฏการณท่ีแทจริง (Responding real phenomena) งาน

spiritual การกุศลและการเรียนรู (Charity and learning) การอานบทกวีโรแมนติก

(Reading the romantic poem) การเขียนเรียงความสะทอนความคิดเห็น

(Writing a reflective essay)

ทม่ี า: Yaumi, Sirate & Patak (2018)

Winarti Yuanita และ Nur (2018) ศึกษากลยุทธการสอนของครูทส่ี งเสริมศักยภาพดานพหุปญญา
ของผูเรยี นและไดรับผลดดี านการพัฒนาครูใหครูมีความสนใจกับความสามารถดานพหปุ ญญาของผูเรียน
และการพัฒนาศักยภาพของผูเรียนมากข้ึน ซึ่งกลยุทธที่ออกแบบดวยการประยุกตจากชุดกิจกรรม
การเรียนรูของ Gagne (1977) รวมกับการฝกผูเรียนดวยกระบวนการทางวิทยาศาสตร และแบบสังเกต
พฤติกรรม (Observation sheets) ซึ่งชุดกิจกรรมการเรียนรูมี 6 ขั้นตอน ไดแก 1) การสะทอนตนเอง
(Self – reflection) ซึ่งผูเรียนจะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับตนเอง พฤติกรรมการเรียน และงานอดิเรก
ของผูเรียน 2) ครูแนะนําแนวคิดเก่ียวกับการฝกกระบวนการทางวิทยาศาสตร (Practices science
process skills: SPS) 3) ผูเรียนจะตั้งประเด็นคําถามเก่ียวกับเนื้อหาในรายวิชาท่ีจะเรียน 4) ตั้งประเด็น
คําถามเชิงลึกเช่ือมโยงกับศักยภาพดานพหุปญญาผานการปฏิบัติกระบวนการทางวิทยาศาสตร 5) ผูเรียน
ตองแสดงใหเหน็ ถึงการมีความรูความเขาใจผานกิจกรรมท่ีสอดคลองกับลักษณะทางพหุปญญาของผูเรยี น
ที่เดนชัดในดานตาง ๆ และ (6) สรุปบทเรียน ท้ังนี้ กิจกรรมในข้ันตอน 1 ถึง 4 จัดเปนกิจกรรมกลุม
ในข้ันตอนท่ี 5 จะจัดกลุมแยกตามลักษณะทางพหุปญญา และในขั้นตอนท่ี 6 จะเปน การนําเสนอ
รายบุคคล

Wee Shin และ Kim (2013) ไดศึกษาถึงการสงเสริมพหุปญญาดานการเขาใจระหวางบุคคล
และความเขาใจตนเองดวยการใชบทบาทสมมติในเด็กเล็กที่มีความแตกตางทางสังคมและวัฒนธรรม

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ 23

การศึกษารูปแบบและกลไกการพัฒนาและสง เสริมพหุปญญาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผเู รียน

ในโรงเรียนสาธิตแหงหนึ่ง โดยใชหลักสูตรฐานพหุปญญาและมีการถายทอดสถานการณในชั้นเรียนแบบ
ออกอากาศรวมดวย (Pod class) กิจกรรมบทบาทสมมติท่ีผูเรียนแสดง ที่เปนกิจกรรมจากประสบการณ
ของผูเรียนหรือส่ิงที่ผูเรียนสนใจ เชน ความสัมพันธกับเพื่อนหรือความขัดแยงกับคนในครอบครัว ครูจะ
แนะนําใหผูเรียนแสดงบทบาทหลาย ๆ แบบ กระตุนใหผูเรียนรูจักใชคาํ พูดของตนเองรวมอภิปราย และ
แสดงความคิดเห็น โดยใชคําถามเปนตัวกระตุน นอกจากจะทําใหผูเรียนรูจักแสดงความคิดเห็นแลวยัง
ทําใหผูเรียนรูจักรับฟงความคิดเห็นของผูเรยี นคนอื่น ๆ กระบวนการเหลาน้ีชวยใหผูเรยี นมีความเขาใจผูที่
มีความคิดและประสบการณท่ีแตกตางจากตนเองมากข้ึน กลยุทธท่ีครูใชคือการพูด การเขียน การแสดง
ทาทาง กระตุนใหผูเรียนมีสวนรวมและมีใจจดจอ มีความสนใจตอเนื่อง ในดานการอภิปราย ครูจะใช
วิธีการตั้งคําถาม และเลาเร่ืองของตนเอง หรือแกลงทําตัวเปน คนอื่น ใชแผนปายผา หรือใชตกุ ตา ในขณะ
ที่ผูเรียนจะแสดงออกทั้งการพูดหรือการแสดงทาทาง ในบางครั้งจะมี Field trip เพื่อใหคนในชุมชน
ใหความสนใจและมีสวนรวม ในชวง 5 นาทีสุดทายของคาบ จะเปนเวลาในการสะทอนวา ผูเรียนได
ทําอะไรบาง ผูเรียนชอบอะไรมากที่สุด ผูเรียนสนใจอะไรมากท่ีสุดในระหวางการทํากิจกรรม แมวา
การเช่ือมโยงประสบการณกับการแสดงออกอาจจะทําไดยาก แตก ารที่ผูเรียนไดพูดทําใหผูเรียนสามารถ
เปลี่ยนประสบการณใหเปนคําพูดท่ีมีความเปนรูปธรรมมากขึ้นและเสริมสรางพหุปญญาดานการเขาใจ
ตนเองของผเู รียน ท้ังน้กี ิจกรรมบทบาทสมมติมีลกั ษณะในตาราง 2

ตาราง 2 กจิ กรรมเสริมสรา งพหปุ ญญาดา นการเขา ใจตนเองของผูเรยี น

ชื่อกิจกรรม จุดมุงหมาย เน้ือหา/รายละเอยี ด

จิตใจของฉนั เขาใจความคิดและความรูสึกของ สรางจินตนาการวามีรานท่ีผูเรียนสามารถซื้อ

(My mind) คนอื่นและของผูเรียนเอง และ อะไรก็ไดตามที่คิด จากนั้นก็วาดรูปหรือปนแปง

คิดถึงวิธีการที่จะทําใหคนอ่ืนมี ส่ิงของท่ีผูเรียนตองการซื้อ แบงปนความคิดกับ

ความสุข สงิ่ ของท่ีผูเ รยี นซื้อกบั เพ่ือน ๆ

ระหวางเพ่ือน เขาใจจิตใจของเพอื่ นและใหเพ่ือน อภิปรายเกี่ยวกับตัวละครจากเรื่องราวบนแผน

ตามนัน้ ปายผาและคนหาวิธีการแกปญหาท่ีตัวละครตอง

เผชิญ ผูเรียนรูสึกอยางไรหลังจากสวมบทบาทน้ี

แล ะแ บ งป น กั บ เพ่ื อน ผูเรียน วาไดพ บ เจ อ

เหตกุ ารณเ หมือนกันหรือไม

ฉนั ชอบเธอ แสดงความรูสึกชอบที่มีตอผูอ่ืน ใหนึกถึงสถานการณที่เกิดขึ้นและลองใชวิธี

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 24


Click to View FlipBook Version