186 เกร็งชักกระตุก ถ้าเป็นถี่ ๆ มากขึ้นจะท าให้เด็กหน้าเขียวมากขึ้น ท าให้เป็นอันตรายถึงตายได้เพราะขาด ออกซิเจน 2. บาดทะยักในเด็กโตหรือผู้ใหญ่ เมื่อเชื้อเข้าทางบาดแผล ระยะฟักตัวของโรคก่อนที ่จะมี อาการประมาณ 5-14 วัน บางรายอาจนานถึง 1 เดือน หรือนานกว่านั้นก็ได้ จนบางครั้งบาดแผลที่เป็น ทางเข้าของเชื้อบาดทะยักหายไปแล้ว อาการเริ่มแรกที่จะสังเกตพบคือ ขากรรไกรแข็ง อ้าปากไม่ได้ มี คอแข็ง หลังจากนี้ 1-2 วัน ก็จะเริ่มมีอาการเกร็งแข็งในส่วนอื่นๆ ของร่างกาย คือ หลัง แขน ขา เด็กจะ ยืนและเดินหลังแข็ง แขนเหยียดเกร็ง ให้ก้มหลังจะทาไม่ได้ หน้าจะมีลักษณะเฉพาะคล้ายยิ้มแสยะ และ ระยะต่อไปก็อาจจะมีอาการกระตุกเช่นเดียวกับในทารกแรกคลอด ถ้ามีเสียงดังหรือจับต้องตัวจะเกร็ง และกระตุกมากขึ้น มีหลังแอ่น และหน้าเขียว บางครั้งมีอาการรุนแรงมาก อาจท าให้มีการหายใจล าบาก ถึงตายได้เรียกอาการนี้ว่า Spasmodic convulsion การวินิจฉัยโรค อาจจะเพาะเชื้อ C. tetani ได้จากแผล โดยทั่วไปแล้วมักจะเพาะเชื้อไม่ได้ การวินิจฉัยส่วนใหญ่จึงอาศัยอาการทางคลินิก โรคบาดทะยักจะวินิจฉัยแยกโรคจากโรคสมองอักเสบได้ จากการที่โรคบาดทะยักไม่มีการเปลี่ยนแปลงในระดับการรู้สติ นอกจากในรายที่ชักมากจนสมองขาด ออกซิเจน การพยาบาล 1. การปฏิบัติก ่อนที่จะนาไปพบแพทย์ ถ้าสังเกตว ่าเด็กไม ่ดูดนมและไม ่อ้าปากแสดงว่ามี ขากรรไกรแข็ง อย่าพยายามฝืนหรือกรอกนม เพราะอาจจะท าให้สาลักนมเข้าทางเดินหายใจ ท าให้ ขัดขวางทางเดินหายใจอาจถึงตายได้ทันที หรืออาจท าให้เกิดปอดอักเสบได้ ควรหลีกเลี่ยงการจับต้องตัว โดยไม่จาเป็น และอย่าให้มีเสียงดังรบกวนเพราะจะท าให้ชักเกร็งมากขึ้นได้(Spasmodic convulsion) 2. การรักษาเฉพาะให้ tetanus antitoxin (TAT) 10,000-20,000* หน่วย เข้าหลอดเลือด หรือให้ tetanus immune globulin (TIG) 3000-6000 หน ่วยเข้ากล้าม เพื ่อให้ไปท าลาย tetanus toxin ที่ยังไม่ไปจับที่ระบบประสาท ให้ยาปฏิชีวนะ penicillin ขนาดสูง เพื่อท าลายเชื้อ C. tetani ที่ บาดแผล หมายเหตุ *ก่อนให้ antitoxin ต้องทา skin test 3. ให้การรักษาตามอาการ ให้ยาระงับชัก ยาลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ งดอาหารและน ้า ทางปากในขณะที่มีอาการเกร็งหรือชัก ให้อาหารทางหลอดเลือด 4. ดูแลเรื่องการหายใจ การป้องกัน 1. เมื่อมีบาดแผลต้องท าแผลให้สะอาดทันที โดยการฟอกด้วยสบู่ล้างด้วยน ้าสะอาด เช็ดด้วย ยาฆ่าเชื้อ เช่น แอลกอฮอล์ 70% พร้อมทั้งให้ยารักษาการติดเชื้อ ถ้าแผลลึกต้องใส่ drain ด้วย
187 2. ใช้เครื่องมือที่สะอาดในการท าคลอด เครื่องมือทุกชิ้นจะต้องต้มในน ้าเดือดนาน 1/2 -1 ชั่วโมง รักษาความสะอาดของสะดือโดยการเช็ดด้วย Alcohol 70% เช็ดวันละ 1-2 ครั้ง ห้ามใช้แป้งหรือ ผงยาต่าง ๆ โรยสะดือ ไม่ควรห่อหุ้มพันท้อง หรือปิดสะดือ 3. ในผู้ป่วยที่ไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันบาดทะยักมาก่อน เมื่อมีแผลต้องรีบปรึกษาแพทย์หรือ เจ้าหน้าที่สถานีอนามัย เพื่อพิจารณาให้ tetanus toxoid (T) ป้องกันโรคบาดทะยักให้ครบและให้ TAT หรือ TIG ในรายที่แผลใหญ่สกปรกมาก ในรายที่เคยได้รับวัคซีนมาแล้วครบ 4-5 ครั้ง ในระยะ 5-10 ปี ให้วัคซีน T 0.5 มล. เข้ากล้ามครั้งเดียว ในรายที่ได้ วัคซีนนานเกิน 10 ปี และมีบาดแผลมานานเกิน 24 ชั่วโมง ให้ T 0.5 มล. เข้ากล้ามครั้งเดียวพร้อมกับให้ TAT ด้วย 4. ในผู้ป่วยที่หายจากโรคบาดทะยัก ต้องให้วัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักครบชุด เพราะจะไม่ มีภูมิคุ้มกันเกิดขึ้นเพียงพอ การป้องกันที่ดีที่สุด คือ ให้วัคซีนป้องกัน DTP ตั้งแต่อายุ 2, 4 และ 6 เดือน และเพิ่มอีก 2 ครั้งเมื่ออายุ 1 ปีครึ่ง และ 4 ปี หลังจากนั้นอาจให้ทุก 10 ปี โดยให้เป็น T หรือ dT ส าหรับการป้องกัน บาดทะยักในทารกแรกเกิด ทางที่ดีที่สุดคือ การคลอดและตัดสายสะดือโดยถูกต้อง สะอาด ดูแลสะดือ ดังกล่าวข้างต้น และที่ได้ผลดีคือการให้ dT แก่หญิงมีครรภ์ โดยให้ 2 ครั้งห่างกัน 1 เดือน ครั้งสุดท้าย ควรจะต้องให้ก่อนคลอดเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 1 เดือน หญิงมีครรภ์ที่ได้รับ T 2 ครั้งตามก าหนดนี้จะ สร้าง antitoxin ซึ ่งจะผ ่านไปยังทารกแรกเกิดในระดับที ่สูงพอที ่จะป้องกันโรคบาดทะยักได้ และ antitoxin จะยังคงอยู่ในระดับที่สามารถป้องกันได้นานถึง 3 ปี แต่เพื่อให้แน่ใจว่าระดับภูมิคุ้มกันอยู่ใน ระดับสูงและอยู่นาน ในปัจจุบันจึงแนะน าให้ฉีด T เข็มที่ 3 ในระยะ 6-12 เดือนหลังเข็มที่ 2 ซึ่งอาจจะ ให้ในระยะหลังคลอด การได้รับ 3 ครั้ง จะท าให้ระยะภูมิคุ้มกันอยู่ได้นาน 10 ปี ในพื้นที่ที่มีอุบัติการณ์ โรคบาดทะยักในทารกแรกเกิดสูง จะแนะน าให้ T แก่หญิงวัยเจริญพันธุ์ 3 ครั้ง 2 ครั้งแรกห่างกันอย่าง น้อย 1 เดือน ครั้งที่ 3 ห่างจากครั้งที่ 2 เป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน การพยาบาลส าหรับผู้ป่วยบาดทะยัก 1. จัดสิ่งแวดล้อมให้เงียบสงบ ลดการกระตุ้นทั้งแสง สี เสียงเนื่องจากจะกระตุ้นผู้ป่วยให้เกิด อาการชัก 2. ดูแลให้ได้รับออกซิเจนตามแผนการรักษา แต่หากผู้ป่วยไม่สามารถหายใจได้เองอาจต้องใส่ ท่อช่วยหายใจและเครื่องช่วยหายใจ 3. ประเมินและบันทึกการเปลี่ยนแปลงทางระบบประสาทและสัญญาณชีพทุก 1-2 ชั่วโมง 4. ห้ามผูกมัดผู้ป่วยเนื่องจากหากเกิดอาการชักผู้ป่วยจะกระตุกจนท าให้เกิดอันตรายเช่น กระดูกหักได้
188 บทสรุป โรคติดต่ออุบัติใหม่ เป็นโรคระบาดที่ติดต่อจากสัตว์สู่คน และจากคนสู่คน มีทั้งโรคชนิดใหม่ที่ เพิ่งระบาด โรคที่เคยระบาดในอดีตแล้วกลับมาระบาดซ ้า โรคที่พบในพื้นที่ใหม่ โรคที่เกิดจากเชื้อกลาย พันธุ์ ซึ่งโรคอุบัติใหม่ เหล่านี้ถือเป็นวิกฤติการณ์ทางสาธารณสุขของโลก และมีแนวโน้มที่เพิ่มจ านวน สูงขึ้น และมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น จึงจ าเป็นที่พยาบาลต้องสามารถดูแลและป้องกันการเกิดปัญหา สุขภาพของผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป้าหมายที่จะให้ผู้ป่วยมีศักยภาพในการดูแลตนเอง มี คุณภาพชีวิตที่ดี ไม่เกิดการบาดเจ็บ ความพิการ หรือเสียชีวิต ตลอดทั้งมีแนวทางในการสร้างเสริม สุขภาพ ป้องกันควบคุมโรคติดเชื้ออุบัติซ ้า เพื่อแก้ไขปัญหา หรือปัจจัยเสี่ยงของประชาชนที่มีความ เสี่ยงสูง ให้ได้รับการจัดการเพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป ค าถามทบทวน 1. จงอธิบายความหมายของโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ และโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ 2. จงอธิบายแนวทางในการควบคุมป้องกันโรคติดเชื้ออุบัติซ ้า 3. การพยาบาลผู้ป่วยไข้เลือดออกแต่ละระยะ นักศึกษาควรให้การพยาบาลอย่างไร 4. เพราะเหตุใดจึงต้องเฝ้าระวัง ภาวะน ้าตาลต ่า ในผู้ป่วยมาลาเรีย 5. การควบคุมวัณโรคระยะแพร่กระจาย มีแนวทางปฏิบัติอย่างไร บรรณานุกรม เกศรินทร์ อุทริยะประสิทธิ์, ปรางทิพย์ ฉายพุทธ และวัลย์ลดา ฉันท์เรืองวณิชย์. (2560). สาระหลัก ทางการพยาบาลศัลยศาสตร์ เล่ม 1. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : ภาควิชาการพยาบาล ศัลยศาสตร์คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. ปราณี ทู้ไพเราะ และคณะ. (2555). การพยาบาลอายรศาสตร์ 1 (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: โครงการ ต าราคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. พัสมณฑ์ คุ้มทวีพร. (2555). การพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ เล่ม 2 (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ: คณะ พยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. (2554). เอกสารการสอนชุดวิชาการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ. นนทบุรี: ศูนย์หนังสือมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. วิจิตรา กุสุมภ์. (บรรณาธิการ). (2560). การพยาบาลผู้ป่วยภาวะวิกฤต: แบบองค์รวม = Critical care nursing: a holistic approach. กรุงเทพฯ: สหประชาพาณิชย์.
189 วันดี โตสุขศรี . (2559). การพยาบาลอายุรศาสตร์ 2 (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ: โครงการต าราคณะ พยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล. ศิริรัตน์ เรืองจุ้ย. (2555). Disorders of potassium balance: hypokalemia and hyperkalemia. ใน พงศธร คชเสนี และคณะ (บรรณาธิการ). Fluid, Electrolytes and Acid-Base disorders (หน้า 93-136). กรุงเทพฯ: เท็กซ์ แอนด์ เจอร์นัล พับลิเคชั่น จ ากัด. ศรีเวียงแก้ว เต็งเกียรติ์ตระกูล และเบญจมาภรณ์ บุตรศรีภูมิ. (2559). การพยาบาลปริศัลยกรรม = Perioperative Nursing. กรุงเทพฯ: คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล. Donna, D., Linda , M., Cherie, R., Nicole & Heimgartner, M. (2018). Medical-surgical nursing : concepts for interprofessional collaborative care (9 th ed). Missouri: Elsevier. Timby, B., & Nancy, E. (2014). Introductory medical-surgical nursing. (1 1th ed). Philadelphia: Wolters Kluwer Health/Lippincott Williams & Wilkins. Willis. L. (2015). Part II Fluid and electrolyte imbalances. In Fluids & electrolytes made incredibly easy! (6th ed.) (pp. 53-232). Philadelphia, PA: Wolters Kluwer Health. Kazanowski, M.K. (2018). End f life care concepts, In D.D.Ignatavicius, M.L. Workman, &, C.R. Rebar (Eds.), Medical-Surgical Nursing : Concepts for interprofessional collaborative care, volume 2 (9th ed., pp.103-114) Canada: Elsevier Inc. Rebecca, M.P., & Cynthia, D. (2018). Interprofessional collaboration for perioperative patients, In D.D.Ignatavicius, M.L. Workman, &, C.R. Rebar (Eds.), Medical-Surgical Nursing: Concepts for interprofessional collaborative care, volume 2 (9th ed., pp.228-270) Canada: Elsevier Inc. http://www.healthcarethai.com