The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คู่มือครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by vitamilk946, 2023-06-23 21:44:20

คู่มือครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม

คู่มือครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม

17


ก คำนำ ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 พบว่าการศึกษาในปัจจุบันให้ความสำคัญกับการพัฒนาผู้เรียน โดยยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ มากขึ้น มุ่งหวังให้ผู้เรียนมีพัฒนาการแบบองค์รวม กล่าวคือ ให้เป็นคนดี คนเก่ง และมีความสุข สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานจึงได้มีนโยบายให้สถานศึกษาทุกแห่งจัดให้มีระบบดูแล ช่วยเหลือนักเรียนและกำหนดมาตรการสนับสนุนส่งเสริมศักยภาพนักเรียน เน้นกิจกรรมส่งเสริม พัฒนาป้องกัน แก้ไขปัญหาและการคุ้มครองสิทธิเด็กโดยการมีส่วนร่วมของบุคลากรและหน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง นโยบายการยกระดับมาตรฐานการศึกษาของไทยยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยการปฏิรูป การศึกษาหลายครั้งเพื่อพัฒนาศักยภาพเด็กไทยให้ก้าวทันต่อสถานการณ์โลกในศตวรรษที่ 21 ซึ่งมี การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในหลาย ๆ ด้าน ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรเนื่องด้วยอัตราการเกิดที่ลดลง นำไปสู่ปัญหาของ ระบบการศึกษา คือ สถานศึกษาขนาดเล็กมีแนวโน้มเพิ่มจำนวนมากขึ้น จึงได้มีนโยบายการศึกษาที่ให้ ดำเนินการควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก เพื่อยกระดับการศึกษา ในปีการศึกษา 2560-2565 นั้น ทำให้ นักเรียนจากหลายโรงเรียนมาเรียนรวมกันภายในหนึ่งห้องเรียน ส่งผลต่อการดำเนินงานต่าง ๆ ภายใน โรงเรียน โดยเฉพาะการดำเนินงานด้านระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ซึ่งบุคลากรที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่ ในการให้ความช่วยเหลือนักเรียนนั้นเป็นหน้าที่สำคัญของครูที่ปรึกษา ดังนั้นเพื่อให้ครูที่ปรึกษาที่ปฏิบัติงานในโรงเรียนควบรวมปฏิบัติงานเป็นปัจจุบัน เป็น มาตรฐานเดียวกัน สามารถส่งต่อข้อมูลให้กันได้เพื่อให้สามารถพัฒนาผู้เรียนได้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ ภารกิจ และเป้าหมายร่วมกัน จึงควรพัฒนาคู่มือที่จะช่วยทำให้ครูที่ปรึกษาเข้าใจการทำงานใน โรงเรียนควบรวมได้ดียิ่งขึ้น เป็นเครื่องมือในการปฏิบัติงาน ไม่เกิดความสับสน ช่วยสร้างความเข้าใจที่ ชัดเจน และระบุรายละเอียดได้ครบถ้วนมากกว่าการอธิบายด้วยวาจาเพียงอย่างเดียว ช่วยสร้างความ มั่นใจในการทำงานและปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้ครูที่ ปรึกษา เอกสารคู่มือที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวมฉบับนี้จัดทำขึ้นโดย คณะผู้เชี่ยวชาญด้านระบบดูแล ช่วยเหลือนักเรียน ซึ่งประกอบด้วย คำอธิบาย ขั้นตอนการทำงานของระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน และเครื่องมือการดำเนินด้านต่าง ๆ คณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เอกสารฉบับนี้ จะเป็นประโยชน์ ต่อครูที่ปรึกษาเป็นอย่างยิ่ง คณะผู้จัดทำ


ข สารบัญ หน้า คำนำ ก สารบัญ ข ปฏิทินงานระบบดูแลช่วยเหลือของครูที่ปรึกษา 1 บทที่ 1 ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 4 ความหมายของระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 4 ความสำคัญของระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน 4 กระบวนการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 5 องค์ประกอบของระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 7 Flow Chart ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 8 การบริหารจัดการระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 9 กระบวนการและขั้นตอนการดำเนินระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 10 บทที่ 2 ครูที่ปรึกษา 11 ความหมายของครูที่ปรึกษา 11 คุณลักษณะที่ดีของครูที่ปรึกษา 11 บทบาทหน้าที่ของครูที่ปรึกษา 11 บทบาทภาระหน้าที่ของครูที่ปรึกษาในระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 12 หลักฐานที่ต้องใช้ในระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนสำหรับครูที่ปรึกษา 14 บทที่ 3 การรู้จักนักเรียนรายบุคคล 17 หลักการของการรู้จักนักเรียนรายบุคคล วิธีการรู้จักนักเรียนรายบุคคล 17 18 การสังเกต 18 การสัมภาษณ์ 19 มาตราส่วนประมาณค่า 19 การเยี่ยมบ้าน 20 ระเบียนสะสม 21 ระเบียนสุขภาพ 22 แบบประเมินจุดแข็ง และจุดอ่อน (SDQ) 22 การศึกษานักเรียนเป็นรายกรณี (case study) 24 บทที่ 4 การคัดกรองนักเรียน 28 ความหมายของการคัดกรอง 28 เกณฑ์การคัดกรองนักเรียน แบบประเมินพฤติกรรมเด็ก SDQ 30 34


ค สารบัญ (ต่อ) หน้า การคัดกรองนักเรียนที่มีความพิการทางการศึกษา 34 บทที่ 5 การส่งเสริมและพัฒนานักเรียน 37 กิจกรรมโฮมรูม 37 กิจกรรมประชุมผู้ปกครองในชั้นเรียน 38 บทที่ 6 การป้องกันและแก้ไขปัญหานักเรียน 40 การช่วยเหลือเบื้องต้น (กลุ่มเสี่ยง/มีปัญหา) 40 ข้อที่พึงตระหนักในการป้องกันและแก้ไขปญหาของนักเรียน 40 ลักษณะนักเรียนที่เสี่ยงต่อการมีปัญหาและนักเรียนที่มีปัญหาสุขภาพจิต 41 ลักษณะพฤติกรรมและการแสดงออกที่บ่งว่าเสี่ยงต่อการมีปัญหา 42 การประเมินพฤติกรรม 43 หลักการให้การช่วยเหลือนักเรียนที่มีปัญหา 44 คุณสมบัติของผู้ให้คำปรึกษา 44 เทคนิคการให้คำปรึกษา 45 หลักในการให้แรงเสริม 46 บทที่ 7 การส่งต่อนักเรียน 48 ความสำคัญ 48 แนวทางการพิจารณาในการส่งต่อโดยครูที่ปรึกษา 48 แนวทางดำเนินการส่งต่อนักเรียน 49 ภาคผนวก เอกสารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนสำหรับครูที่ปรึกษา 50 ด้านการรู้จักนักเรียนรายบุคคล 51 ด้านการคัดกรองนักเรียน 95 ด้านการส่งเสริมและพัฒนานักเรียน 127 ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหานักเรียน 132 ด้านการส่งต่อนักเรียน 140 อ้างอิง 156 ผู้จัดทำ 157


1 คู่มือครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 ปฏิทินการดำเนินงานของครูที่ปรึกษาโรงเรียน........................... ตามองค์ประกอบของระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน วัน / เดือน / ปี กิจกรรมการดำเนินงานภาคเรียนที่ 1 ผู้รับผิดชอบ 1 - 15 พฤษภาคม 1. เตรียมการและวางแผนดำเนินงาน (Plan) - จัดเตรียมเอกสาร/คู่มือครูที่ปรึกษา - ทำหนังสือแต่งตั้งครูที่ปรึกษาประจำปีการศึกษา ............... - ประชุมชี้แจงการดำเนินงานของครูที่ปรึกษา และสร้างความ ตระหนัก ความรู้ ความเข้าใจในกระบวนการดูแลช่วยเหลือนักเรียน 5 ขั้นตอน ให้ครูที่ปรึกษา งานระบบการดูแล ช่วยเหลือนักเรียน 17 – 20 พฤษภาคม 2. จัดกิจกรรมประชุมผู้ปกครอง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา ............ - งานระบบการ ดูแลช่วยเหลือ นักเรียน 21 พฤษภาคม – 15 มิถุนายน การรู้จักนักเรียนรายบุคคล 3. ครูที่ปรึกษาดำเนินการเยี่ยมบ้านนักเรียน ครูที่ปรึกษา 20 – 24 มิถุนายน 4. ครูที่ปรึกษาส่งรายงานการเยี่ยมบ้านนักเรียน ภาคเรียนที่ 1 ให้ผู้อำนวยการสถานศึกษาและบันทึกข้อมูลในระบบทุน ปัจจัยพื้นฐาน ครูที่ปรึกษา 25 – 30 มิถุนายน การคัดกรองนักเรียน 5. ดำเนินการคัดกรองนักเรียน ตามเครื่องมือที่กำหนดให้กรณีพบ นักเรียนพิการทางการศึกษา ให้ประสานโรงพยาบาลประจำอำเภอ เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจยืนยันผล และทำบัตรประจำตัวนักเรียน เพื่อ แจ้งหน่วยงานทางการศึกษาดำเนินการต่อไป 6. ส่งสรุปการคัดกรองนักเรียน ภาคเรียนที่ 1 โดยแบ่งนักเรียนเป็น กลุ่มปกติ กลุ่มเสี่ยง กลุ่มมีปัญหา รายงานผู้อำนวยการโรงเรียน - งานระบบการ ดูแลช่วยเหลือ นักเรียน - ครูที่ปรึกษา 21 พฤษภาคม – 10 ต.ค. การส่งเสริมและพัฒนานักเรียน 7. ดำเนินกิจกรรมส่งเสริมและพัฒนานักเรียนกลุ่มพิเศษ และกลุ่ม ปกติโดยใช้กิจกรรมของโรงเรียนตามแผนปฏิบัติการประจำปี 8. ครูที่ปรึกษาบันทึกการเข้าร่วมกิจกรรมของนักเรียน แล้วสรุปผล การเข้าร่วมกิจกรรมของนักเรียนให้ผู้อำนวยการโรงเรียน ครูที่ปรึกษา 21 พฤษภคม – 10 ตุลาคม การป้องกันและแก้ไขปัญหานักเรียน 9. ครูที่ปรึกษาดำเนินการให้คำปรึกษาเบื้องต้นหรือการจัดกิจกรรม พัฒนานักเรียน 10. ครูที่ปรึกษาหาแนวทางช่วยเหลือนักเรียนร่วมกับผู้ปกครอง ในกรณีนักเรียนอยู่ในกลุ่มมีปัญหา 11. สรุปรายงานผลการจัดกิจกรรมพัฒนานักเรียน วิธีการแก้ปัญหา - ครูที่ปรึกษา - ครูแนะแนว


2 คู่มือครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 และผลการแก้ปัญหาของนักเรียนที่มีปัญหาส่งผู้อำนวยการโรงเรียน 1 – 10 ตุลาคม การส่งต่อนักเรียน 12. รายงานการส่งต่อนักเรียนภายในสถานศึกษาเช่น ครูแนะแนว ครูพยาบาล หรืองานส่งเสริมกิจการนักเรียน 13. รายงานการส่งต่อนักเรียนภายนอก สถานศึกษาครูแนะแนว หรืองานส่งเสริม กิจการนักเรียนดำเนินการส่งต่อไปยัง ผู้เชี่ยวชาญ ภายนอก 14. สรุปประเมินผลการดำเนินงานตามระบบดูแลช่วยเหลือ นักเรียน ของครูที่ปรึกษา ภาคเรียนที่ 1 15. งานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนสรุปภาพรวมระดับโรงเรียน - ครูที่ปรึกษา - งานระบบการ ดูแลช่วยเหลือ นักเรียน วัน / เดือน / ปี กิจกรรมการดำเนินงานภาคเรียนที่ 2 ผู้รับผิดชอบ 1-3 พฤศจิกายน 1. เตรียมการและวางแผนดำเนินงาน (Plan) - จัดเตรียมเอกสาร/คู่มือครูที่ปรึกษา - ทำหนังสือแต่งตั้งครูที่ปรึกษาประจำปีการศึกษา ............... - ประชุมชี้แจงการดำเนินงานของครูที่ปรึกษา และสร้างความ ตระหนัก ความรู้ ความเข้าใจในกระบวนการดูแลช่วยเหลือนักเรียน 5 ขั้นตอน ให้ครูที่ปรึกษา งานระบบการดูแล ช่วยเหลือนักเรียน 6 - 10 พฤศจิกายน 2. จัดกิจกรรมประชุมผู้ปกครอง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา ............ - งานระบบการ ดูแลช่วยเหลือ นักเรียน 13 - 30 พฤศจิกายน การรู้จักนักเรียนรายบุคคล 3. ครูที่ปรึกษาดำเนินการเยี่ยมบ้านนักเรียน ครูปรึกษา 30 พฤศจิกายน 4. ครูที่ปรึกษาส่งรายงานการเยี่ยมบ้านนักเรียน ภาคเรียนที่ 2 ให้ผู้อำนวยการสถานศึกษาและบันทึกข้อมูลในระบบทุน ปัจจัยพื้นฐาน ครูที่ปรึกษา 1 – 10 ธันวาคม การคัดกรองนักเรียน 5. ดำเนินการคัดกรองนักเรียน ตามเครื่องมือที่กำหนดให้ กรณีพบ นักเรียนพิการทางการศึกษา ให้ประสานโรงพยาบาลประจำอำเภอ เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจยืนยันผล และทำบัตรประจำตัวนักเรียน เพื่อ แจ้งหน่วยงานทางการศึกษาดำเนินการต่อไป 6. ส่งสรุปการคัดกรองนักเรียน ภาคเรียนที่ 2 โดยแบ่งนักเรียนเป็น กลุ่มปกติ กลุ่มเสี่ยง กลุ่มมีปัญหา รายงานผู้อำนวยการโรงเรียน - งานระบบการ ดูแลช่วยเหลือ นักเรียน - ครูที่ปรึกษา


3 คู่มือครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 1 พฤศจิกายน – 20 มีนาคม การส่งเสริมและพัฒนานักเรียน 7. ดำเนินกิจกรรมส่งเสริมและพัฒนานักเรียนกลุ่มพิเศษ และกลุ่ม ปกติ โดยใช้กิจกรรมของโรงเรียนตามแผนปฏิบัติการประจำปี 8. ครูที่ปรึกษาบันทึกการเข้าร่วมกิจกรรมของนักเรียน แล้วสรุปผล การเข้าร่วมกิจกรรมของนักเรียนให้ผู้อำนวยการโรงเรียน ครูที่ปรึกษา 1 พฤศจิกายน – 20 มีนาคม การป้องกันและแก้ไขปัญหานักเรียน 9. ครูที่ปรึกษาดำเนินการให้คำปรึกษาเบื้องต้นหรือการจัดกิจกรรม พัฒนานักเรียน 10. ครูที่ปรึกษาหาแนวทางช่วยเหลือนักเรียนร่วมกับผู้ปกครอง ในกรณีนักเรียนอยู่ในกลุ่มมีปัญหา 11. สรุปรายงานผลการจัดกิจกรรมพัฒนานักเรียน วิธีการแก้ปัญหา และผลการแก้ปัญหาของนักเรียนที่มีปัญหาส่งผู้อำนวยการโรงเรียน - ครูที่ปรึกษา - งานระบบการ ดูแลช่วยเหลือ นักเรียน 1 พฤศจิกายน – 20 มีนาคม การส่งต่อนักเรียน 12. รายงานการส่งต่อนักเรียนภายในสถานศึกษาเช่น ครูแนะแนว ครูพยาบาล หรืองานส่งเสริมกิจการนักเรียน 13. รายงานการส่งต่อนักเรียนภายนอก สถานศึกษาครูแนะแนว หรืองานส่งเสริม กิจการนักเรียนดำเนินการส่งต่อไปยัง ผู้เชียวชาญ ภายนอก - ครูที่ปรึกษา - งานระบบการ ดูแลช่วยเหลือ นักเรียน 25 – 27 มีนาคม 14. สรุปประเมินผลการดำเนินงานตามระบบดูแลช่วยเหลือ นักเรียนของครูที่ปรึกษา ภาคเรียนที่ 2 15. งานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนสรุปภาพรวมระดับโรงเรียน - ครูที่ปรึกษา - งานระบบการ ดูแลช่วยเหลือ นักเรียน


4 คู่มือครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 บทที่ 1 ระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน ความหมายของระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน กระบวนการพัฒนาส่งเสริม ป้องกัน และแก้ไขปัญหานักเรียนอย่างเป็นระบบ มีขั้นตอนการ ดำเนินงานที่ชัดเจน พร้อมด้วยเครื่องมือที่มีมาตรฐานและมีคุณภาพ มีหลักฐานการดำเนินงานที่ สามารถตรวจสอบได้ เพื่อพัฒนานักเรียนได้เต็มตามศักยภาพ มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ มีภูมิคุ้นกัน ทางจิตใจที่เข้มแข็ง มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีทักษะการดำรงชีวิต และอยู่ในสังคมได้อย่างเข้มแข็งและ ปลอดภัย โดยมีครูที่ปรึกษาเป็นบุคลากรหลักในการดําเนินงานและมีการประสานความร่วมมือกับทุก ฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษาให้ดำเนินงานไปในทิศทางเดียวกัน หลักการและแนวคิด เจตนารมณ์และหลักการพื้นฐานของระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนเป็นการดำเนินงานที่มี แบบแผนขั้นตอนชัดเจนในการส่งเสริม พัฒนา ป้องกัน และแก้ไขปัญหา เพื่อให้นักเรียนได้พัฒนาเต็ม ตามศักยภาพบนพื้นฐานของความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยยึดหลักการมีส่วนร่วมรับผิดชอบ ร่วม คิด ร่วมปฏิบัติ ร่วมพัฒนา ร่วมแก้ปัญหาจากผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐานได้กำหนดให้เป็นระบบที่มุ่งหวังพื้นฐานและแนวทางการดำเนินการในประเด็น สำคัญ ดังนี้ 1. การปรับเปลี่ยนบทบาทและเจตคติของผู้บริหาร ครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา ให้มุ่งไปสู่ความรับผิดชอบในการดูแลพัฒนาการของนักเรียนอย่างเป็นองค์รวม (Educating the Whole Child) 2. การวางระบบที่จะสร้างความมั่นใจว่านักเรียนทุกคนมีครู อาจารย์ อย่างน้อยหนึ่งคนที่จะ ดูแลทุกข์สุขอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง โดยเชื่อมประสานการดำเนินงานทุกส่วนทั้งโรงเรียน 3. การสนับสนุนให้ครู อาจารย์ได้มีความสัมพันธภาพที่ใกล้ชิดกับผู้ปกครองเพื่อให้การดูแล ทางบ้าน โรงเรียน และชุมชนประสานกัน 4. การส่งเสริมให้ผู้ปกครองรวมกลุ่มกันเป็นเครือข่ายเพื่อช่วยกันเฝ้าระวังดูแลกลุ่มเครือข่าย ช่วยเหลือสนับสนุนบุตรหลาน 5. การประสานสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียน ชุมชน และผู้ชำนาญการในสาขาต่าง ๆ เพื่อให้มี การส่งต่อและรับช่วงการแก้ไข ตลอดจนส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนในรูปแบบสหวิทยาการ และสหวิชาชีพ


5 คู่มือครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 ความสำคัญของระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนมีความสำคัญ คือ เป็นระบบที่จะช่วยส่งเสริมพัฒนานักเรียน ในด้านสติปัญญา ร่างกาย และจิตใจให้กับนักเรียนเพื่อให้มีชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข กระบวนการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน การบริหารจัดการระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษา มีการดำเนินงาน 2 ระดับ ได้แก่ ระดับสถานศึกษาและระดับปฏิบัติการของครูที่ปรึกษา 1. ระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนระดับสถานศึกษา เป็นการบริหารจัดการระบบการดูแล ช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษาที่ใช้วงจรเดมมิ่ง (PDCA) โดยมีขั้นตอน ดังนี้ 1.1 ศึกษาสภาพและทิศทางการดำเนินงาน มีแนวการดำเนินงาน ดังนี้ 1. ศึกษาและทำ ความเข้าใจนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้น ฐานที่ เกี่ยวข้องกับการดูแลช่วยเหลือนักเรีย 2. ศึกษาวิเคราะห์สภาพปัญหา และศักยภาพของสถานศึกษา ในการจัดทำระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน และ 3. ศึกษาวิเคราะห์บริบทของชุมชน 1.2 การวางแผนการดำเนินงานจัดระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน มีแนวทางการ ดำเนินงาน ดังนี้1. การจัดสร้างทีมงานและสร้างความตระหนัก/เจตคติที่ดีในการทำงานในทีมงาน 2. การกำหนดกลยุทธ์การดำเนินงานจัดระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน 3. กำหนดมาตรฐานการ ดำเนินงานจัดระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน 4. การจัดทำแผนงาน/ปฏิทินปฏิบัติงานตลอดปี การศึกษา ให้ครอบคลุมทั้งด้านการบริหารจัดการระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน และด้าน ข้อมูลย้อนกลับ ปัจจัย - คณะผู้บริหาร - ครูประจำชั้น/ ครูที่ปรึกษา - ครูบุคลากรที่เกี่ยวข้อง - ผู้ปกครอง - ชุมชน - งบประมาณ กระบวนการ - การรู้จักนักเรียน เป็นรายบุคคล - การคัดกรองนักเรียน - การส่งเสริมและพัฒนา นักเรียน - การป้องกันและแก้ไข ปัญหา - การส่งต่อ ผลผลิต - ปริมาณนักเรียนในกลุ่ม เสี่ยง และกลุ่มมีปัญหา ลดน้อยลง - นักเรียนมีพฤติกรรม เป็นไปตามจุดประสงค์ ที่สถานศึกษากำหนด - นักเรียนมีคุณภาพ/ คุณลักษณะตามที่ สถานศึกษากำหนด ภาพที่ 1 ความสัมพันธ์ขององค์ประกอบในระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน ที่มา: สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2547, น. 11.


6 คู่มือครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 กระบวนการดูแลช่วยเหลือนักเรียนของครูประจำชั้น/ครูที่ปรึกษา และ 5. การจัดทำสื่อ/นวัตกรรม สนับสนุนการดำเนินงานตามระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน 1.3 การดำเนินงานตามแผนที่กำหนด มีแนวทางการดำเนินงาน ดังนี้ 1. พัฒนาบุคลากร ให้มีเจตคติ ความรู้ ความเข้าใจ และความสามารถในการดำเนินงานตามกระบวนการดูแลช่วยเหลือ นักเรียน 2. สนับสนุนให้ครูที่ปรึกษาและบุคลากรที่เกี่ยวข้องดำเนินการดูแลช่วยเหลือนักเรียนให้ ครอบคลุม ทั้งด้านการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล ด้านการคัดกรองนักเรียน ด้านการส่งเสริมและ พัฒนานักเรียน ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหา และด้านการส่งต่อทั้งภายในและภายนอก ตลอดจน ให้สามารถปฏิบัติงานตามระยะเวลาที่กำหนดอย่างราบรื่น และมีคุณภาพ และ 3. ผลิตหรือจัดหาสื่อ/ นวัตกรรม ให้การสนับสนุนกระบวนการดูแลช่วยเหลือนักเรียนของครูประจำชั้น/ครูที่ปรึกษา และ บุคลากรที่เกี่ยวข้อง 1.4 นิเทศ กำกับ ติดตาม มีแนวทางการดำเนินงาน ดังนี้ 1. การแลกเปลี่ยน ประสบการณ์ และประสานความร่วมมือในการดูแลช่วยเหลือนักเรียนของครูประจำชั้น/ครูที่ปรึกษา และบุคลากรที่เกี่ยวข้อง 2. นำเสนอข้อมูล ความรู้ เทคนิควิธีที่เป็นประโยชน์ต่อการดูแลช่วยเหลือ นักเรียน และ 3. ติดตามผลการดำเนินงานของครูในการดูแลช่วยเหลือนักเรียนอย่างต่อเนื่อง 1.5 ประเมินเพื่อทบทวน (ประเมินภายใน) มีแนวทางการดำเนินงาน ดังนี้ 1. จัด ประเมินผลการดำเนินงานตามกระบวนการดูแลช่วยเหลือนักเรียนของครูแต่ละระดับชั้น ด้วยวิธีการที่ หลากหลายอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง 2. เน้นการประเมินเพื่อพัฒนา มิใช่การจับผิดตัวบุคคล 3. ประเมินด้วยบรรยากาศแบบกัลยาณมิตร และ 4. นำผลการประเมินไปใช้ในการปรับปรุงส่วนที่เป็น จุดอ่อน และพัฒนาในส่วนที่เป็นที่ยอมรับให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น เพื่อให้มีความเข้มแข็งตลอดไป 1.6 สรุปรายงาน/ประชาสัมพันธ์ การจัดทำหลักฐานสรุปรายงาน/ประชาสัมพันธ์ ประกอบด้วย จุดประสงค์ เป้าหมาย วิธีการดำเนินงาน ผลการดำเนินงาน ปัญหา และอุปสรรค ข้อเสนอแนะ/แนวการพัฒนา การรายงาน ตลอดจนการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ 2. ระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนระดับปฏิบัติการของครูประจำชั้น/ครูที่ปรึกษา เป็น กระบวนการดูแลช่วยเหลือนักเรียน ประกอบด้วยขั้นตอน ดังนี้ 2.1 การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล คือ การรู้ข้อมูลที่จำเป็นเกี่ยวกับตัวนักเรียนที่จะช่วย ให้ครูประจำชั้น/ครูที่ปรึกษา มีความเข้าใจนักเรียนดีขึ้น สามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อการคัด กรองนักเรียน เป็นประโยชน์ในการพัฒนา การป้องกัน แก้ไข และช่วยเหลือนักเรียนได้อย่างถูกทาง ซึ่งเป็นข้อมูลเชิงประจักษ์มิใช่การใช้ความรู้สึก หรือการคาดเดา โดยเฉพาะในการแก้ไขปัญหานักเรียน ซึ่งจะทำให้ไม่เกิดข้อผิดพลาดต่อการช่วยเหลือ 2.2 การคัดกรองนักเรียน คือ การวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับตัวนักเรียนเป็นรายบุคคล แล้ว นำผลที่ได้มาจำแนกตามเกณฑ์การคัดกรองนักเรียนที่สถานศึกษากำหนด การคัดกรองจะจัดกลุ่ม นักเรียนเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ กลุ่มปกติ และกลุ่มเสี่ยง/มีปัญหา ซึ่งมีลักษณะดังนี้ 1. กลุ่มปกติ หมายถึง นักเรียนที่ได้รับการวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ตามเกณฑ์การคัดกรองของโรงเรียนแล้ว อยู่


7 คู่มือครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 ใเกณฑ์ของกลุ่มปกติ 2. กลุ่มเสี่ยง/มีปัญหา หมายถึง นักเรียนที่จัดอยู่ในเกณฑ์ของกลุ่มเสี่ยง/มี ปัญหาตามเกณฑ์การคัดกรองของโรงเรียน ซึ่งโรงเรียนต้องให้การช่วยเหลือ ป้องกัน หรือแก้ไขปัญหา ตามแต่กรณี ประกอบด้วย ปัญหาด้านความสามารถ ปัญหาด้านสุขภาพ และปัญหาครอบครัว 2.3 การส่งเสริมและพัฒนานักเรียน คือ การสนับสนุนให้นักเรียนทุกคนที่อยู่ในความดูแล ของครูที่ปรึกษา ทั้งนักเรียนกลุ่มปกติ หรือกลุ่มเสี่ยง/มีปัญหา ให้มีคุณภาพมากขึ้น มีความภาคภูมิใจ ในตนเองด้านต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยป้องกันมิให้นักเรียนที่อยู่ในกลุ่มปกติกลายเป็นนักเรียนกลุ่มเสี่ยง/มี ปัญหา และเป็นการช่วยให้นักเรียนกลุ่มเสี่ยง/มีปัญหา กลับมาเป็นนักเรียนกลุ่มปกติ และมีคุณภาพ ตามที่โรงเรียนหรือชุมชนคาดหวัง ส่งเสริม และพัฒนา ประกอบด้วยกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การจัด กิจกรรมโฮมรูม การจัดประชุมผู้ปกครองนักเรียน กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน และโครงการพิเศษอื่น ๆ 2.4 การป้องกันและแก้ไขปัญหา คือ การไม่ปล่อยปละละเลยนักเรียนจนกลายเป็นปัญหา ของสังคม สำหรับนักเรียนกลุ่มเสี่ยง/มีปัญหานั้น จะต้องเอาใจใส่ดูแลอย่างใกล้ชิดและหาวิธีการ ช่วยเหลือ ทั้งการป้องกันและการแก้ไขปัญหา การป้องกันและการแก้ไขปัญหาให้กับนักเรียนมีหลาย เทคนิควิธี เช่น การให้คำปรึกษาเบื้องต้น การจัดกิจกรรมเพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหา และการ ติดตามดูแลช่วยเหลือ เป็นต้น 2.5 การส่งต่อ หมายถึง กระบวนการดำเนินการกับนักเรียนที่มีปัญหา ซึ่งยากต่อการ ช่วยเหลือ หรือช่วยเหลือแล้วนักเรียนมีพฤติกรรมไม่ดีขึ้น ต้องส่งต่อไปยังผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านต่อไป การส่งต่อแบ่งเป็น 2 แบบ คือ การส่งต่อภายใน คือ การที่ครูที่ปรึกษาส่งนักเรียนที่มีปัญหาและยาก ต่อการช่วยเหลือต่อไปยังครูที่สามารถให้การช่วยเหลือนักเรียนได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะปัญหา เช่น ส่งต่อครูแนะแนว ครูพยาบาล ครูประจำวิชา และฝ่ายปกครอง และการส่งต่อภายนอก คือ ครูแนะ แนวหรือฝ่ายปกครองเป็นผู้ดำเนินการส่งนักเรียนที่มีปัญหาและยากต่อการช่วยเหลือต่อไปยัง ผู้เชี่ยวชาญภายนอก กล่าวโดยสรุป ระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนจัดทำขึ้นตามแนวคิดของการบริหารงาน เชิงระบบที่มีโครงสร้างสำคัญ 3 องค์ประกอบ คือ ปัจจัย (Input) กระบวนการ (Process) และ ผลผลิต (Output) โดยที่แต่ละองค์ประกอบจะมีรายละเอียดและมีปฏิสัมพันธ์กัน สามารถให้ข้อมูล ย้อนกลับเพื่อการปรับปรุงพัฒนาระบบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น องค์ประกอบของระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน เป็นกระบวนการดำเนินงานที่มีองค์ประกอบสำคัญ 5 ประการ คือ 1. การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล 2. การคัดกรองนักเรียน 3. การส่งเสริมนักเรียน 4. การป้องกันและแก้ไขปัญหา 5. การส่งต่อ


8 คู่มือครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 ช่วยเหลือ / ส่งต่อ กิจกรรมพัฒนาทักษะชีวิต กิจกรรมป้องกันและส่งเสริม แต่ละองค์ประกอบของระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนดังกล่าว มีความสำคัญ มีวิธีการและ เครื่องมือที่แตกต่างกันไป แต่มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันซึ่งเอื้อให้การดูแลช่วยเหลือนักเรียนของ โรงเรียนเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพ Flow Chart ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน จัดกลุ่มนักเรียน / ครูที่ปรึกษา รู้จักนักเรียนรายบุคคล เสี่ยง มีปัญหา รายงานผล ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน


9 คู่มือครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 การบริหารจัดการระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน นโยบาย/กฎหมาย ที่เกี่ยวข้อง กำหนดทิศทาง / กลยุทธ์ - วิเคราะห์สภาพปัญหา - ศักยภาพของสถานศึกษา - บริบท สังคม และชุมชน การวางระบบ และแผนการดำเนินการ คณะกรรมการดำเนินการ - ทีมนำ - ทีมทำ - ทีมประสาน - หรืออื่น ๆ ตามความ เหมาะสมภายใต้บริบทของ สถานศึกษา ขั้นตอนการดำเนินนการ 1. การรู้จักเรียนเป็นรายบุคคล 2. การคัดกรองนักเรียน 3. การส่งเสริมและพัฒนานักเรียน 4. การป้องกันและแก้ไขปัญหานักเรียน 5. การส่งต่อ นิเทศ กำกับ ติดตาม และประเมินผล ปรับปรุง/พัฒนาเป็นนวัตกรรม การดูแลช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษา


10 คู่มือครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 กระบวนการและขั้นตอนการดำเนินระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 1. การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล 2. การคัดกรองนักเรียน กลุ่มพิเศษ กลุ่มปกติ (กลุ่มวางใจ) กลุ่มเสี่ยง (กลุ่มห่วงใย) กลุ่มมีปัญหา (กลุ่มใกล้ชิด) 3. การส่งเสริมและพัฒนานักเรียน 4. การป้องกันและแก้ไขปัญหานักเรียน 5. การส่งต่อ ภายใน : ครูแนะแนว หรือ ฝ่ายปกครอง ภายนอก : ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ดีขึ้น ไม่ดีขึ้น พฤติกรรมดีขึ้น พฤติกรรมไม่ดีขึ้น


11 คู่มือครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 บทที่ 2 ครูที่ปรึกษา ความหมายของครูที่ปรึกษา ครูที่ปรึกษาคือครูที่ได้รับแต่งตั้งจากผู้บริหารสถานศึกษาให้ทำหน้าที่ดูแลและให้คำปรึกษา นักเรียนตามกระบวนการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ในด้านการเรียน ความประพฤติ เรื่องส่วนตัว และสังคม ตลอดจนให้ความช่วยเหลือเมื่อนักเรียนพบปัญหา อุปสรรค ที่เป็นเหตุให้ไม่ประสบ ความสำเร็จด้านการศึกษา ช่วยให้นักเรียนเข้าใจตนเองและปัญหาที่เผชิญอยู่ และสามารถตัดสินใจ แก้ปัญหาและเลือกเป้าหมายในการดำเนินชีวิตที่เหมาะสมกับตนเองได้ คุณลักษณะที่ดีของครูที่ปรึกษา คุณลักษณะที่ดีของครูที่ปรึกษาแบ่งเป็น 4 ด้าน ดังนี้ 1. ด้านความรู้ความสามารถ ต้องพัฒนาตนเองอยู่เสมอให้เป็นผู้รอบรู้ด้านวิชาการและ หลักสูตรสามารถจัดการเรียนรู้ส่งเสริมศักยภาพของนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รอบรู้ด้าน จิตวิทยาพัฒนาการเด็ก การให้คำปรึกษา มีศิลปะการให้คำปรึกษาแก่นักเรียน และมีความรู้กว้างขวาง เกี่ยวกับเหตุการณ์บ้านเมืองที่เป็นปัจจุบัน 2. ด้านบุคลิกภาพ เป็นผู้มีสุขภาพจิตที่ดี มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ สามารถควบคุมตนเองได้ กิริยามายาทเรียบร้อย ร่าเริงแจ่มใจ สุขุมรอบคอล แต่งกายสุภาพเรียบร้อยเหมาะสมกับกาลเทศะ มี ความมั่นใจในตนเองและอ่อนน้อมถ่อมตน 3. ด้านมนุษย์สัมพันธ์ พูดสื่อสารไพเราะชัดเจน มีเหตุผล ใจกว้างรับฟังความคิดเห็นของ ผู้อื่น สามารถเข้าใจปัญหาต่าง ๆ ได้รวดเร็ว มีเจตคติที่ดีต่อตนเองและผู้อื่น มีพฤติกรรมที่แสดงไมตรี จิต 4. ด้านคุณธรรมและจรรยาบรรณ รักและศรัทธาในวิชาชีพ เป็นสมาชิกที่ดีขององค์กร มีความเสียสละ รักษาผลประโยชน์ของส่วนรวม รับผิดชอบต่อหน้าที่ ประพฤติเป็นแบบอย่างที่ดี เมตตากรุณา เอาใจใส่ ช่วยเหลือ ส่งเสริมให้กำลังใจนักเรียนทุกคนอย่างเสมอภาค บทบาทหน้าที่ของครูที่ปรึกษา บทบาทหน้าที่ของครูที่ปรึกษาแบ่งเป็น 4 ด้าน ดังนี้ 1. ด้านการให้คำปรึกษา 1.1 เรื่องการเรียน กำกับ ดูแล ติดตามและให้คำปรึกษาแนะนำด้านวิชาการ ให้คำแนะนำ วิธีการเรียน ติดตามความก้าวหน้าผลการเรียนของนักเรียนทุกภาคเรียน ให้คำปรึกษาเมื่อมีปัญหา เรื่องการเรียน แนะแนวทางการศึกษาต่อ


12 คู่มือครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 1.2 เรื่องส่วนตัว แนะนำวิธีการปรับตัว และการสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับเพื่อน และให้ คำปรึกษาในเรื่องส่วนตัวเมื่อนักเรียนมีปัญหาและมาขอคำปรึกษา 2. ด้านการพัฒนานักเรียน ให้คำแนะนำด้านการพัฒนาบุคลิกภาพ อบรมสั่งสอนด้านคุณธรรม ความประพฤติ ความมีระเบียบวินัย ตักเตือนเมื่อนักเรียนมีความประพฤติผิดระเบียบของโรงเรียน อบรมสั่งสอนให้ รู้จักคิดและวิธีการตัดสินใจแก้ปัญหาที่ถูกต้อง กำกับดูแล เก็บข้อมูลการเข้าร่วมกิจกรรมในโรงเรียน ของนักเรียน เช่น กิจกรรมหน้าเสาธง กิจกรรมโฮมรูม เป็นต้น คิดและวางแผนการจัดกิจกรรมเพื่อ เป็นการส่งเสริมให้นักเรียนเป็นเยาวชนที่ดีมีส่วนร่วมกับสังคม ชุมชน 3. ด้านการทำความเข้าใจนักเรียน เป็นคณะกรรมการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ทำหน้าที่เป็นครูแนะแนว จัดทำข้อมูล ประวัติผู้เรียน เพื่อรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล และคัดกรองผู้เรียน มีส่วนร่วมในกิจกรรมนักเรียนเพื่อ สร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างครูและนักเรียน เฝ้าระวังพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ให้กำลังใจและรับ ฟังเรื่องราว และความคิดเห็นของผู้เรียน 4. ด้านการช่วยเหลือประสานงาน ประสานงานกับครูในโรงเรียน ผู้ปกครอง และหน่วยงานภายนอกเพื่อร่วมกันพัฒนาและ แก้ไขปัญหานักเรียน รายงานผลการปฏิบัติงานต่องานส่งเสริมกิจการนักเรียน และผู้บริหาร สถานศึกษา ดำเนินการเยี่ยมบ้านนักเรียน การประชุมผู้ปกครองนักเรียน การป้องกันและแก้ไขปัญหา ยาเสพติดในสถานศึกษา บทบาทภาระหน้าที่ของครูที่ปรึกษาในระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 1. การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล 1.1 จัดทำประวัติข้อมูลนักเรียนด้านการเรียน ความสามารถ สุขภาพ จิตใจ และ ครอบครัว 1.2 สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับนักเรียน 1.3 ติดตามความก้าวหน้าผลการเรียน 1.4 เก็บข้อมูลการเข้าร่วมกิจกรรม 1.5 เฝ้าระวังพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ 2. การคัดกรองนักเรียนออกเป็น 4 กลุ่ม คือ 2.1 กลุ่มเด็กพิเศษ คือ นักเรียนที่มีความสามารถพิเศษ มีความเป็นอัจฉริยะ แสดงออก ซึ่งความสามารถอันโดดเด่นด้านใดด้านหนึ่งหรือหลายด้าน อย่างเป็นที่ประจักษ์เมื่อเทียบกับผู้มีอายุ ในระดับเดียวกันภายใต้สภาพแวดล้อมเดียวกัน ซึ่งโรงเรียนต้องให้การส่งเสริมนักเรียนได้พัฒนา ศักยภาพความสามารถพิเศษนั้นจนถึงขั้นสูงสุด


13 คู่มือครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 2.2 กลุ่มปกติคือ นักเรียนที่ได้รับการวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ตามเกณฑ์การคัดกรองของ โรงเรียนแล้ว อยู่ในเกณฑ์ของกลุ่มปกติ ซึ่งควรได้รับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันและการส่งเสริมพัฒนา 2.3 กลุ่มเสี่ยง คือ นักเรียนที่จัดอยู่ในเกณฑ์ของกลุ่มเสี่ยงตามเกณฑ์การคัดกรองของ โรงเรียนซึ่งโรงเรียน ต้องให้การป้องกันหรือแก้ไขปัญหาตามแต่กรณี 2.4 กลุ่มมีปัญหา คือ นักเรียนที่จัดอยู่ในเกณฑ์ของกลุ่มมีปัญหาตามเกณฑ์การคัดกรอง ของโรงเรียน ซึ่งโรงเรียนต้องช่วยเหลือและแก้ปัญหาโดยเร่งด่วน การจัดกลุ่มนักเรียนนี้ มีประโยชน์ต่อครูที่ปรึกษาในการหาวิธีการเพื่อดูแลช่วยเหลือ นักเรียนได้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาให้ตรงกับปัญหาของนักเรียนยิ่งขึ้น และมีความ รวดเร็วในการแก้ไขปัญหา เพราะมีข้อมูลของนักเรียนในด้านต่าง ๆ ซึ่งหากครูที่ปรึกษาไม่ได้คัด กรองนักเรียนเพื่อการจัดกลุ่มแล้ว ความชัดเจนในเป้าหมายเพื่อการแก้ไขปัญหาของนักเรียนจะมี น้อยลง มีผลต่อความรวดเร็วในการช่วยเหลือซึ่งบางกรณีจำเป็น ต้องแก้ไขโดยเร่งด่วน 3 การส่งเสริมและพัฒนานักเรียน โดยใช้กิจกรรมดังนี้ 3.1 การจัดกิจกรรมโฮมรูม 3.2 ให้คำปรึกษานักเรียน (การเรียน เรื่องส่วนตัว) 3.3 จัดประชุมผู้ปกครองนักเรียนในชั้นเรียน 3.4 ให้คำแนะนำระเบียบการวัดประเมินผลการเรียน 3.5 แนะนำวิธีการเรียนรู้หาความรู้เพิ่มเติม การเตรียมตัวสอบ 3.6 อบรมสั่งสอนเรื่องความประพฤติให้มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ 3.7 ให้คำแนะนำการใช้ความรู้ ความสามารถและความถนัดพัฒนาตนเอง 3.8 ให้คำแนะนำเกี่ยวกับบุคลิกภาพ กิริยามารยาทที่เหมาะสม 3.9 จัดกิจกรรมที่พัฒนานักเรียนด้านต่าง ๆ 3.8 ประสานงานให้โรงเรียนจัดกิจกรรมต่าง ๆ ได้สอดคล้องกับความต้องการของ นักเรียน 4 การป้องกันและช่วยเหลือนักเรียน โดยใช้กิจกรรมดังนี้ 4.1 การให้คำปรึกษาเบื้องต้น 4.2 การจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตร 4.3 การจัดกิจกรรมซ่อมเสริม 4.4 ประสานงานกับผู้ปกครองในการแก้ไขปัญหาความประพฤติของนักเรียน 4.5 ประสานงานกับครูประจำวิชาเพื่อแก้ไขปัญหาการเรียน 5 การส่งต่อนักเรียน ให้บุคคลต่อไปนี้(กรณีให้การช่วยเหลือเบื้องต้นแล้วยังไม่ดีขึ้น) บันทึกส่งต่อโดยผ่านหัวหน้าระดับชั้นทุกครั้ง ดังนี้ 5.1 การส่งต่อภายใน


14 คู่มือครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 - ถึงครูแนะแนว (ขอทุนการศึกษา, ให้ความช่วยเหลือปัญหาที่ยากแก่การ ช่วยเหลือ) - ถึงครูปกครอง (ปัญหาระเบียบวินัย, ปัญหาด้านความประพฤติเป็นต้น) - ถึงครูอนามัยโรงเรียน (กรณีปัญหาด้านสุขภาพ) ฯลฯ 5.2 การส่งต่อภายนอก (ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ) หลักฐานที่ต้องใช้ในระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนสำหรับครูที่ปรึกษา 1. การรู้จักนักเรียนรายบุคคล 1.1 ระเบียนสะสม 1.2 บันทึกการเยี่ยมบ้าน 1.3 แบบประเมินพฤติกรรมเด็ก (SDQ) ทั้ง 3 ส่วน - นักเรียนประเมินตนเอง - ผู้ปกครองประเมินนักเรียน - ครูที่ปรึกษาประเมินนักเรียน 1.4 แบบรายงานประเมินพฤติกรรมเด็ก (SDQ) 1.5 แบบรายงานผลการประเมินความฉลาดทางอารมณ์ (E.Q.) 1.6 แบบรายงานการตรวจสุขภาพ 2. การคัดกรองนักเรียน 2.1 แบบสรุปการคัดกรองนักเรียนรายบุคคล 2.2 แบบสรุปการรายงานผลการคัดกรองนักเรียนในชั้นเรียน 3. การส่งเสริมและพัฒนานักเรียน 3.1 บันทึกและสรุปผลการจัดกิจกรรมโฮมรูม (Home Room) 3.2 บันทึกและสรุปผลการจัดกิจกรรมพบผู้ปกครองในชั้นเรียน (Classroom Meeting) 3.3 บันทึกการให้คำปรึกษาเบื้องต้นของครูที่ปรึกษา 3.4 บันทึกการเข้าร่วมกิจกรรมของนักเรียนในชั้นเรียน 4. การป้องกันและแก้ไขปัญหานักเรียน 4.1 บันทึกการวางแผนการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาของนักเรียน 4.2 แบบบันทึกรายงานผลการดูแลช่วยเหลือนักเรียน 5. การส่งต่อ 5.1 แบบบันทึกการส่งต่อนักเรียน 5.2 แบบรายงานแจ้งผลการช่วยเหลือนักเรียน


15 คู่มือครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 ตารางที่ 1 สรุปกระบวนการทำงานของครูที่ปรึกษาตามองค์ประกอบของระบบดูแลช่วยเหลือ นักเรียน กระบวนการดำเนินงาน วิธีการ เครื่องมือ 1. การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล 1.1 ด้านความสามารถการเรียน - ความสามารถอื่นๆ 1.2 ด้านสุขภาพ ร่างกาย จิตใจ - พฤติกรรม 1.3 ด้านครอบครัว เศรษฐกิจ - การคุ้มครองนักเรียน 1.4 ด้านอื่น ๆ ศึกษาข้อมูลจาก 1) ระเบียนสะสม 2) แบบประเมินพฤติกรรมเด็ก (SDQ) 3) แบบประเมินความฉลาด ทางอารมณ์(E.Q) 4) การสัมภาษณ์นักเรียน 5) การสังเกตพฤติกรรมนักเรียน 6) การเยี่ยมบ้านนักเรียน 1) ระเบียนสะสม 2) แบบประเมินพฤติกรรมเด็ก (SDQ) 3) แบบประเมินความฉลาดทาง อารมณ์(E.Q.) 4) แบบสัมภาษณ์นักเรียน 5) แบบสังเกตพฤติกรรมนักเรียน 6) แบบบันทึกการเยี่ยมบ้าน นักเรียน 7) แบบบันทึกการตรวจสุขภาพ ด้วยตนเอง 2. การคัดกรองนักเรียน 2.1 กลุ่มพิเศษ 2.2 กลุ่มปกติ 2.3 กลุ่มเสี่ยง 2.4 กลุ่มมีปัญหา วิเคราะห์ข้อมูลจาก 1) ระเบียนสะสม 2) แบบประเมินพฤติกรรมเด็ก (SDQ) 3) แหล่งข้อมูลอื่น ๆ 1) เกณฑ์การคัดกรองนักเรียน 2) แบบสรุปผลการคัดกรองและ ช่วยเหลือนักเรียนเป็นรายบุคคล 3) แบบสรุปผลการคัดกรอง นักเรียน เป็นห้องเรียน 3. การส่งเสริมนักเรียน (สำหรับนักเรียนทุกกลุ่ม) จัดกิจกรรมต่อไปนี้ 1) กิจกรรมโฮมรูม (Home Room) 2) ประชุมผู้ปกครองชั้นเรียน (Classroom Meeting) 3) กิจกรรมอื่น ๆ ที่ครูพิจารณา ว่าเหมาะสมในการส่งเสริมนักเรียน ให้มีคุณภาพมากขึ้น 1) แนวทางการจัดกิจกรรมโฮมรูม ของโรงเรียน 2) แนวทางการจัดกิจกรรม ประชุม ผู้ปกครองชั้นเรียนของโรงเรียน 3) แบบบันทึก / สรุปประเมินผล การดำเนินกิจกรรม * โฮมรูม * ประชุมผู้ปกครองชั้นเรียน 4. การป้องกันและแก้ไขปัญหา (จำเป็นอย่างมากสำหรับนักเรียน กลุ่มเสี่ยง/มีปัญหา) 1) ให้คำปรึกษาเบื้องต้น 2) ประสานงานกับครูและ ผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ เพื่อการจัดกิจกรรม สำหรับการป้องกันและการ ช่วยเหลือ แก้ไข ปัญหาของนักเรียน 2.1 กิจกรรมในห้องเรียน 2.2 กิจกรรมเสริมหลักสูตร 1) แนวทางการจัดกิจกรรมเพื่อ การ ป้องกันและแก้ไขปัญหาของ นักเรียน 2) แบบบันทึกสรุปผลการคัด กรองและ ช่วยเหลือนักเรียนเป็นรายบุคคล 3) แบบบันทึกรายงานผลการดูแล


16 คู่มือครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 2.3 กิจกรรมเพื่อนช่วยเพื่อน 2.4 กิจกรรมซ่อมเสริม 2.5 กิจกรรมสื่อสารกับผู้ปกครอง ช่วยเหลือนักเรียน 5. ส่งต่อ 5.1 ส่งต่อภายใน 5.2 ส่งต่อภายนอก 1) บันทึกการส่งนักเรียนไปยังครูที่ เกี่ยวข้องในการช่วยเหลือนักเรียน ต่อไป เช่น ครูแนะแนว /ครูประจำ วิชา/ครูอนามัยโรงเรียน เป็นต้น ซึ่งเป็นการส่งต่อภายใน 2) บันทึกการส่งนักเรียนไปยัง ผู้เชี่ยวชาญภายนอก โดย 1. ครูแนะแนว 2. งานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 3. ครูอนามัยโรงเรียน 1) แบบบันทึกการส่งต่อของ โรงเรียน 2) แบบรายงานแจ้งผลการ ช่วยเหลือนักเรียน


17 คู่มือครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 บทที่ 3 การรู้จักนักเรียนรายบุคคล หลักการของการรู้จักนักเรียนรายบคคล สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2552, น. 18) ได้กำหนดความแตกต่างของ นักเรียนที่มีพื้นฐานความเป็นมาของชีวิตที่ต่างกัน หล่อหลอมให้เกิดพฤติกรรมหลากหลายรูปแบบทั้ง ด้านบวกและด้านลบ ดังนั้น การรู้ข้อมูลที่จำเป็นเกี่ยวกับตัวนักเรียนเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ครู ประจำชั้น มีความเข้าใจนักเรียนมากขึ้น สามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อการคัดกรองนักเรียนเป็น ประโยชน์ในการส่งเสริมการป้องกันและแก้ไขปัญหาของนักเรียนได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นข้อมูลเชิง ประจักษ์มิใช่การใช้ความรู้สึกหรือการคาดเดาโดยเฉพาะในการแก้ปัญหานักเรียน ซึ่งจะทำให้เกิด ข้อผิดพลาดต่อการช่วยเหลือนักเรียนหรือเกิดได้น้อยที่สุด โดยพิจารณาข้อมูลพื้นฐานของนักเรียนดังนี้ 1. ด้านความสามารถ แยกเป็น 1.1 ด้านการเรียน ข้อมูลพื้นฐานที่ควรทราบ คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในแต่ละวิชา ผล การเรียนเฉลี่ยในแต่ละภาคเรียนและพฤติกรรมการเรียนในห้องเรียนที่มีผลต่อการเรียนรู้ของนักเรียน เช่น ไม่ตั้งใจเรียน ขาดเรียน เป็นต้น 1.2 ด้านความสามารถอื่น ๆ ข้อมูลพื้นฐานที่ควรทราบคือ บทบาทหน้าที่พิเศษในโรงเรียน ความสามารถพิเศษ และการร่วมกิจกรรมต่าง ๆ 2. ด้านสุขภาพอนามัย แยกเป็น 2.1 ด้านร่างกาย ข้อมูลพื้นฐานที่ควรทราบคือ น้ำหนักส่วนสูง โรคประจำตัว ความบกพร่องทางร่างกาย เช่น การได้ยิน และการมองเห็น 2.2 ด้านจิตใจ พฤติกรรม เช่น ระดับอารมณ์ของนักเรียน ระดับความซึมเศร้า ความวิตกกังวล ความประพฤติ พฤติกรรมที่ไม่อยู่นิ่ง การมีสมาธิสั้นทำอะไรได้ระยะเดียว มีบุคลิกภาพ ชอบเก็บตัว 3. ด้านสภาพครอบครัว แยกเป็น 3.1 เศรษฐกิจ ข้อมูลพื้นฐานที่ควรทราบ คือ รายได้ของบิดามารดา อาชีพผู้ที่ดูแล นักเรียน และค่าใช้จ่ายที่นักเรียนได้รับในแต่ละวัน 3.2 การคุ้มครองนักเรียน ข้อมูลพื้นฐานที่ควรทราบ คือ จำนวนพี่น้อง และบุคคล ที่อยู่ ร่วมในบ้านเดียวกัน สถานภาพบิดามารดา ผู้ที่รับผิดชอบนักเรียน ความสัมพันธ์ของบุคคลใน ครอบครัว ลักษณะบ้านพัก และโรคประจำตัวของบุคคลในที่อยู่ด้วยกันในครอบครัว การใช้สิ่งเสพติด เช่น สุรา บุหรี่ หรือการเล่นพนันต่าง ๆ เป็นต้น 4. ด้านอื่น ๆ ที่ครูอาจารย์พบเพิ่มเติมซึ่งมีความสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการดูแลช่วยเหลือ นักเรียน


18 คู่มือครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 วิธีการในการรู้จักนักเรียนรายบุคคล วิธีการหรือเครื่องมือในการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล ครูประจำชั้นใช้วิธีการและเครื่องมือ ที่หลากหลาย เพื่อให้ได้ข้อมูลนักเรียนที่ครอบคลุมทั้งด้านความสามารถ ด้านสุขภาพ และด้าน ครอบครัวสำคัญ มีประเด็นดังนี้วิธีการรู้จักผู้เรียนเปนรายบุคคลสามารถจำแนกออกได้เปน 2 ประเภทด้วยกัน คือ 1. วิธีการรูจักผู้เรียนเปนรายบุคคลที่ไมใชแบบทดสอบ (nontest techniques) ได้แก่ ความหมายของการสังเกต การสังเกต หมายถึง การดูทั้งต่อหน้าและแอบดูพฤติกรรม หรือลักษณะต่าง ๆ ของนักเรียน อย่างมีระบบ มีรายละเอียด เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เปนพฤติกรรมที่แท้จริงของนักเรียน (เจษฎา บุญมาโฮม , 2558 : 78) จุดเดนของการสังเกต จุดเด่นของการสังเกต คือ การสังเกตเปนเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ที่สะดวก เก็บข้อมูลได้ตรงตามที่จะวัด มีค่าใช้จ่ายน้อย ได้ข้อมูลตรงตามที่ต้องการวัด การสังเกตเป็นกลวิธีใช้ศึกษาเด็ก เพื่อจะช่วยให้ครูมีความเข้าใจในตัวนักเรียนได้มากที่สุด เพื่อจะให้ความช่วยเหลือนักเรียนได้อย่างเหมาะสม แต่การสังเกตจะใช้ได้ผลก็ต่อเมื่อผู้สังเกตได้รับ การฝึกฝนการสังเกตมาเป็นอย่างดีและมีการสังเกตอย่างเป็นระบบคือ จะต้องสังเกตทั้งพฤติกรรมที่ เด็กแสดงออกแต่ละสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเด็กในขณะนั้น มีการสังเกตเด็กเป็นระยะเวลานาน พอสมควร ผู้สังเกตที่ขาดคุณภาพอาจจะทำให้การสังเกตขาดความเชื่อถือได้และเกิดความผิดพลาดใน การจดบันทึกรายงานผลการสังเกต แม้ว่าการสังเกตจะมีขอบเขตจำกัดบางประการ แต่ผู้สังเกตได้ กระทำอย่างมีหลักเกณฑ์และรอบคอบแล้ว ผลของการสังเกตย่อมจะสามารถเชื่อมั่นได้ การสังเกต เป็นเทคนิควิธีหนึ่งของการเก็บรวบรวมข้อมูลและในบางครั้งอาจเป็นการช่วยเสริมข้อมูลที่ได้รับจาก การสัมภาษณ์และยังช่วยตรวจสอบข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ว่าตรงตามความเป็นจริงเพียงใดและ ยังทำให้การเก็บรวมรวบข้อมูลเที่ยงตรงขึ้นอีกด้วย การสังเกตเป็นการช่วย ครูแนะแนวและ ผู้ที่ เกี่ยวข้องกับผู้เรียนได้เข้าใจผู้เรียนดีขึ้น เช่น ในขณะที่ ครูสอนคณิตศาสตร์ ครูมักสังเกตพฤติกรรม ของผู้เรียนเพื่อได้รับทราบว่า ผู้เรียนมีความสนใจฟังหรือไม่สนใจครูผู้สอน และนำข้อมูลไปประกอบ การศึกษาวินิจฉัยเพื่อการช่วยเหลือผู้เรียนต่อไป การสังเกต


19 คู่มือครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 ความหมายของการสัมภาษณ์ สัมภาษณ์ หมายถึง การสนทนาหรือการพูดคุยกันระหว่างบุคคลสองคนอย่างมี จุดมุ่งหมาย ในการสนทนา เพื่อสำรวจความจริง เพื่อการหาข้อมูล เพื่อการให้การปรึกษา ข้อมูลที่ได้จากการ สัมภาษณ์จะต้องนำไปใช้เปนประโยชน์ในการศึกษาเด็กและช่วยเหลือเด็ก ไม่ใช่เพื่อความอยากรู้อยาก เห็น และไม่ใช่การซักถามอย่างทนาย (จิตตินันท์ บุญสถิรกุล, 2551 : 49) จุดเดนของการสัมภาษณ์ การสัมภาษณ์เป็นเทคนิคอีกวิธีหนึ่ง ที่ครูหรือผู้แนะแนวนิยมนำมาใช้ในการ เก็บรวบรวม ข้อมูลนักเรียนเป็นรายบุคคล การเก็บข้อมูลบางประเภท เหมาะที่จะใช้การสัมภาษณ์ เช่น ความวิตก กังวล ความคาดหวัง เป็นต้น นอกจากนั้น นักเรียนบางคนยินดีให้ข้อมูล โดยวิธีการตอบปากเปล่า มากกว่าจะตอบด้วยการเขียน นอกจากนี้ผู้สัมภาษณ์ยังสามารถสังเกตจากสีหน้า ท่าทางของนักเรียน ว่า คำตอบที่ได้นั้นมาจากใจจริงหรือไม่ สามารถเชื่อถือได้เพียงใด ซึ่งสิ่งนี้ จะหาไม่ได้จากเครื่องมือ ชนิดอื่น ๆ การสัมภาษณ์เป็นกลวิธีอีกชนิดหนึ่งที่ครูใช้ในการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับตัวเด็ก การสัมภาษณ์มี2 ชนิด คือ การสัมภาษณ์เพื่อหาข้อเท็จจริงและการสัมภาษณ์เพื่อให้คำปรึกษา การสัมภาษณ์เพื่อหา ข้อเท็จจริงเป็นการสัมภาษณ์ที่มีจุดมุ่งหมาย เพื่อหารายละเอียดเพิ่มเติมข้อมูลที่ได้มโดยวิธีอื่น เพื่อ ประโยชน์ในการเข้าใจตัวเด็กอย่างถูกต้องมากยิ่งขึ้นส่วนการสัมภาษณ์เพื่อให้คำปรึกษาเป็นการ สัมภาษณ์ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยให้ผู้ถูกสัมภาษณ์แก้ปัญหาของตนที่กำลังประสบอยู่ได้การสัมภาษณ์ เป็นวิธีหนึ่งของการเก็บรวบรวมข้อมูลหรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สัมภาษณ์กับ ผู้ถูกสัมภาษณ์การสัมภาษณ์จะเห็นพฤติกรรมของเด็กสามารถนำมาประกอบการพิจารณาในการทำ ความเข้าใจพฤติกรรมเด็กได้ดีขึ้น การสัมภาษณ์อาจสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้ปกครอง เพื่อนของ เด็ก ครูผู้สอนเด็กคนนั้น เป็นต้น ความหมายของมาตราสวนประมาณคา มาตราส่วนประมาณค่า หมายถึง รูปแบบหนึ่งของการบันทึกข้อสังเกต ในการบันทึกระเบียน พฤติการณ์ ผู้สังเกตบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงจากการสังเกต เพื่อแสดงให้ทราบ ถึงพฤติกรรม บางอย่างของบุคคลแต่ละคน ซึ่งผู้สังเกตได้พิจารณาว่าเป็นเรื่องสำคัญ (จิตตินันท์ บุญสถิรกุล, 2551 : 60) การสัมภาษณ์ มาตราส่วนประมาณค่า


20 คู่มือครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 จุดเดนของมาตราสวนประมาณคา จุดเด่นของมาตราส่วนประมาณค่า คือ บุคลิกลักษณะของนักเรียนมีคุณภาพ เปนอย่างไร สูงหรือต่ำ ดีหรือไม่ดี แล้วบันทึกลงในมาตราส่วนประมาณค่า ดังนั้น มาตราส่วนประมาณค่าจึง เปนเครื่องมือวัดคุณภาพของบุคคลโดยทางอ้อม การที่ครูไปเยี่ยมพบปะกับผู้ปกครองและนักเรียนที่บ้านของนักเรียน อันจะช่วยให้เกิด ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างบ้านกับโรงเรียนและทำให้ครูได้รู้ได้เห็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม ต่าง ๆ ทางบ้านของนักเรียน การเยี่ยมบ้าน เป็นกลวิธีอีกชนิดหนึ่งที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นรายบุคคล เป็นวิธีการที่ช่วยให้ครูได้ทราบสภาพความเป็นอยู่ทางบ้านของนักเรียน เป็นการเพิ่มความเข้าใจ เกี่ยวกับตัวนักเรียนให้กว้างขวางยิ่งขึ้น เพราะการรู้จักนักเรียนเฉพาะที่โรงเรียนไม่ช่วยให้ครูเข้าใจ นักเรียนอย่างถูกต้องเสมอไปเพราะพฤติกรรมที่เป็นปัญหาของนักเรียนที่แสดงออกที่โรงเรียนนั้นแท้ที่ จริงอาจจะมีสาเหตุมาจากสภาพความเป็นไปทางบ้านก็ได้จึงมีความจำเป็นที่ครูจะต้องออกไปทำการ เยี่ยมบ้านนักเรียนด้วย เพื่อเป็นการป้องกันมิให้เกิดความผิดพลาดในการศึกษาเด็ก ข้อมูลที่ควรจะได้ จากการเยี่ยมบ้าน คือ สภาพทั่วไปของบ้าน สิ่งแวดล้อมของบ้าน บุคคลที่อยู่ในบ้าน เจตคติของ ผู้ปกครองที่มีต่อครูและโรงเรียน เจตคติของผู้ปกครองที่มีต่อเด็กทั้งในปัจจุบันและอนาคตสิ่งเหล่านี้มี อิทธิพลต่อการปรับตัวของนักเรียนเป็นอย่างมาก ครูจึงควรทราบข้อมูลด้านนี้ 1. จุดมุ่งหมายของการเยี่ยมบ้านนักเรียน การเยี่ยมบ้านมีจุดมุ่งหมายดังต่อไปนี้ 1.1 เพื่อให้ครูได้เห็นสภาพแท้จริงของสิ่งแวดล้อมและสภาพความเป็นอยู่ทางครอบครัว ของนักเรียน 1.2 เพื่อช่วยให้ครูได้รู้ถึงเจตคติของผู้ปกครองที่มีต่อครู โรงเรียนและนักเรียน 1.3 เพื่อสร้างความเข้าใจ และความสัมพันธ์อันดีระหว่างบ้านกับโรงเรียนอันจะส่งให้เกิด ความร่วมมือที่ดีในการช่วยแก้ปัญหาหรือพัฒนานักเรียน 1.4 เพื่อเพิ่มเติมข้อมูลข้อเท็จจริงบางประการที่เกี่ยวกับเด็กนักเรียนที่ไม่อาจสามารถ หา ได้ด้วยวิธีการอื่น ๆ 2. หลักการเยี่ยมบ้านนักเรียน เพื่อให้ผู้ปกครองและนักเรียนเกิดเจตคติที่ดีต่อครูและโรงเรียนอีกทั้งยินดีให้ข้อมูลครูที่ไป เยี่ยมบ้านจึงควรยึดหลักการดังนี้ 2.1 ก่อนไปเยี่ยมบ้านควรแจ้งให้นักเรียนทราบล่วงหน้าเพื่อไปบอกกล่าวผู้ปกครองก่อนว่า ครูจะเยี่ยมบ้านในวันใดเวลาใด 2.2 ครูควรตั้งจุดมุ่งหมายของการไปเยี่ยมบ้านว่าต้องการทราบข้อเท็จจริงหรือข้อมูลเรื่อง ใดบ้าง พร้อมทั้งเตรียมหัวข้อที่จะสัมภาษณ์หรือสนทนากับผู้ปกครองของนักเรียนเพื่อให้ได้ข้อมูลตาม จุดมุ่งหมาย การเยี่ยมบ้าน


21 คู่มือครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 2.3 ศึกษาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวนักเรียนเท่าที่มีอยู่ก่อนไปเยี่ยมบ้านเพื่อการปฏิบัติตัว หรือถามคำถามที่เหมาะสมกับสภาพทางบ้านของนักเรียน 2.4 พยายามสร้างให้เกิดความคุ้นเคย ความอบอุ่นใจ และการมีมิตรภาพที่ดีต่อกัน 2.5 ควรสนับสนุนให้นักเรียนได้มีโอกาสร่วมวงสนทนาในระยะแรกที่ครูไปถึง 2.6 พยายามให้ผู้ปกครองได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นและความรู้สึกต่างๆ ออกมาให้ มากในเรื่องที่สนทนากัน 2.7 หลีกเลี่ยงการการตำหนิติเตียน การวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับตัวนักเรียน ผู้ปกครอง ครู หรือโรงเรียน 2.8 การเยี่ยมบ้านควรคำนึงถึงความเหมาะสมของเวลาที่ไปเยี่ยมและระยะเวลาที่เยี่ยม บ้านโดยไม่ควรใช้เวลาอย่างเร่งรีบแต่ไม่ควรจะอยู่นานจนเกินไป 2.9 รีบจดบันทึกข้อมูลที่ได้ทันทีหลังจากกลับจากการเยี่ยมบ้านซึ่งให้ใช้แบบรายงานการ เยี่ยมบ้านที่โรงเรียนกำหนดขึ้น จุดเดนของการเยี่ยมบาน การเยี่ยมบ้านเปนลักษณะหนึ่งของการติดต่อระหว่างบ้านกับโรงเรียน โดยการที่ครู เปนฝาย ไปเยี่ยมนักเรียนและผู้ปกครองถึงที่บ้าน ทำให้ทั้งครูและผู้ปกครองได้เรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับ ตัวเด็กเพิ่มขึ้นเปนอย่างมาก ครูจะได้ทราบเรื่องราวต่าง ๆ ของเด็กในขณะที่เด็กอยู่บ้าน ไม่ต้องฟงคำ บอกเล่าของผู้อื่นอีกทอดหนึ่งและผู้ปกครองก็จะได้ทราบเรื่องของเด็กในขณะที่เด็กอยู่ที่โรงเรียน ความหมายของระเบียนสะสม ระเบียนสะสม คือ เอกสารอย่างหนึ่งที่ใช้สำหรับรวบรวมประวัติส่วนตัว และรายละเอียด เกี่ยวกับตัวเด็กในด้านต่าง ๆ ไว้อย่างมีระเบียบ ระเบียนสะสมจะเปนแหล่งข้อมูลสำคัญที่จะช่วยให้ครู ได้รู้จักและเข้าใจเด็กได้ดีขึ้น โดยจะบันทึกประวัติและข้อมูลของนักเรียนในด้านต่าง ๆ ติดต่อกันไว้ หลายป ตั้งแต่เข้าโรงเรียนจนกระทั่งออกจากโรงเรียนไป (เจษฎา มาบุญโฮม, 2558 : 97) เป็นเครื่องมือในรูปแบบของการสื่อสารเพื่อการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับตัวนักเรียน โดย นักเรียนเป็นผู้กรอกข้อมูลและครูที่ปรึกษานำข้อมูลเหล่านั้นมาศึกษาพิจารณาทำความรู้จักนักเรียน เบื้องต้น หากข้อมูลไม่เพียงพอหรือมีข้อสังเกตบางประการก็ควรหาข้อมูลเพิ่มเติมด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น การสอบถามจากนักเรียนโดยตรง การสอบถามจากครูหรือเพื่อนของนักเรียน รวมทั้งการใช้เครื่องมือ ทดสอบต่าง ๆ หากครูประจำชั้นดำเนินการได้รูปแบบและรายละเอียดในระเบียนสะสมของแต่ละ โรงเรียนมีความแตกต่างกันได้ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละโรงเรียน แต่อย่างน้อยควรครอบคลุม ข้อมูลด้านการเรียน ด้านสุขภาพ และด้านครอบครัว ที่สำคัญ คือ ระเบียนสะสมเป็นข้อมูลส่วนตัวของ ระเบียนสะสม


22 คู่มือครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 นักเรียนจึงต้องเป็นความลับและเก็บไว้เป็นอย่างดีมิให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเด็กอื่น ๆ มารื้อค้นได้หาก เป็นไปได้ควรเก็บไว้กับครูประจำชั้นและมีตู้เก็บระเบียนสะสมให้เรียบร้อย และควรเก็บข้อมูลอย่าง ต่อเนื่องอย่างน้อย 3 ปีการศึกษา หรือ 6 ปีการศึกษาและส่งต่อระเบียนสะสมไปยังครูประจำชั้นคน ใหม่ในปีการศึกษาต่อไป หรืออาจจัดครูประจำชั้นตามดูแลนักเรียนอย่างต่อเนื่องจนจบมัธยมในแต่ละ ตอนหรือจนจบ 6 ปีการศึกษาก็ได้ จุดเดนของระเบียนสะสม จุดเด่นของระเบียนสะสม คือ เปนการเก็บรวบรวมข้อมูลนักเรียนในภาพรวม และเปนราย บุคคลในด้านต่าง ๆ เพื่อประกอบการวิเคราะห์ปญหาและการช่วยเหลือนักเรียนเปนรายบุคคล การตรวจสุขภาพและระเบียนสุขภาพ จัดได้ว่าเป็นวิธีและเครื่องมืออีกชนิดหนึ่งที่มี ความสำคัญต่อการเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับตัวนักเรียนเป็นรายบุคคล ช่วยให้ครูและผู้แนะแนวมี ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสุขภาพนักเรียน ทำให้สามารถวินิจฉัยสาเหตุของปัญหาของนักเรียนได้ง่าย ขึ้น เนื่องจากปัญหาต่าง ๆ ของนักเรียนนั้น บางครั้งอาจมีสาเหตุมาจากการมีสุขภาพไม่ดีก็ได้ดังนั้น การตรวจสุขภาพและระเบียนสุขภาพจึงเป็นกลวิธีและเครื่องมือที่จะขาดเสียมิได้ในการเก็บรวบรวม ข้อมูลเป็นรายบุคคล แบบประเมินจุดแข็งและจุดอ่อน (Strengths and Difficulties Questionnaire: SDQ) นี้ เป็นแบบ ประเมินของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข พัฒนามาจาก The Strengths and Difficulties (SDQ) เป็น เครื่องมือที่ผ่านการวิจัยมาแล้วว่ามีประสิทธิภาพในการคัดกรองปัญหาเด็กได้ ดี สามารถช่วยเหลือครูในการคัดกรอง ปัญหาและให้การช่วยเหลือเบื้องต้นแก่เด็กในโรงเรียน แบบ ประเมินนี้ เหมาะที่จะใช้กับเด็กอ่ยุระหว่าง 4 – 16 ปี แบบประเมินแต่ละชุด มี 2 หน้า หน้าแรกเป็นลักษณะพฤติกรรม จำนวน 25 ข้อ ซึ่งมี ลักษณะของ พฤติกรรมทั้งด้านบวกและด้านลบ โดยสามารถจัดเป็นพฤติกรรมได้ 5 ด้าน ได้แก่ 1. พฤติกรรมด้านอารมณ์ (5 ข้อ) 2. พฤติกรรมอยู่ไม่นิ่ง/ สมาธิสั้น (5 ข้อ) 3. พฤติกรรมเกเร/ ความประพฤติ (5 ข้อ) 4. พฤติกรรมด้านความสัมพันธ์กับเพื่อน (5 ข้อ) 5. พฤติกรรมด้านสัมพันธภาพทางสังคม (5 ข้อ) ระเบียนสุขภาพ แบบประเมินจุดแข็ง และจุดอ่อน (Strengths and Difficulties Questionnaire: SDQ)


23 คู่มือครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 คะแนนรวมของกลุ่มที่ 1 – 4 เป็นคะแนนที่แสดงถึงจุดอ่อนของเด็กในด้านนั้นๆ (Total Difficulties score) ส่วนคะแนนในด้านที่ 5 เป็นคะแนนที่แสดงถึงจุดแข็งของเด็ก (Strength score) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการพิจารณา นำจุดแข็งมาใช้เพื่อให้การช่วยเหลือแก้ปัญหาจุดอ่อนในด้านอื่น ๆ ของเด็กต่อไปในขณะเดียวกัน คะแนนด้านสัมพันธภาพทางสังคมก็เป็นตัวบ่งชี้ให้ครูได้ทราบถึงความ ยากง่ายในการแก้ปัญหา ถ้าเด็กมีจุดแข็ง (คะแนนด้านสัมพันธภาพทางสังคมสูง) การให้ความ ช่วยเหลือปัญหาพฤติกรรมจะง่ายกว่าเด็กที่ไม่มีจุดแข็ง (คะแนนด้านสัมพันธภาพทางสังคมต่ำ) เป็น ต้น หน้าที่ 2 ในด้านหลังของแบบประเมิน เป็นการประเมินผลกระทบของพฤติกรรมว่ามีความ เรี้อรัง ส่งผล กระทบต่อบุคคลรอบข้าง ต่อตัวเด็กเอง มีผลต่อสัมพันธภาพทางสังคม และ ชีวิตประจำวันเด็กมากน้อยเพียงใด ซึ่ง ส่วนนี้ใช้คำลงสรุปว่า “เป็นระดับความรุนแรงของปัญหา” ข้อแนะนำในการใช้ 1. แบบประเมินจุดแข็งและจุดอ่อน มี 3 ชุด คือ 1) แบบประเมินที่นักเรียนประเมินตนเอง 1 ชุด 2) แบบประเมินที่ครูประเมินนักเรียน 1 ชุด 3) แบบประเมินที่ผู้ปกครองประเมินนักเรียน 1 ชุด แบบประเมินทั้ง 3 ชุดนี้ มีลักษณะข้อคำถามคล้ายคลึงกับข้อคำถามในแบบประเมินที่ นักเรียนประเมินตนเอง ตลอดจนการตรวจให้คะแนน ยกเว้นเกณฑ์การแปลผลที่ต่างกันเล็กน้อย 2. ครูที่ประเมินนักเรียน ตลอดจนผู้ปกครองที่จะประเมิน ควรรู้จักนักเรียน และมีความ ใกล้ชิดกับนักเรียนมา ระยะหนึ่ง อย่างน้อย 1 เดือน และควรประเมินทั้ง 25 ข้อในครั้งเดียว 3. หากมีการทำมากกว่าหนึ่งแบบประเมิน ระยะเวลาที่นักเรียนประเมินตนเอง ครูประเมิน นักเรียน หรือ ผู้ปกครองเป็นนักเรียน ควรเป็นระยะเวลาที่ใกล้กัน 4. ครั้งแรกอาจให้นักเรียนประเมินตนเองก่อน แล้วครู/ผู้ปกครองสามารถใช้แบบประเมิน ตนเองฉบับของครู/ ผู้ปกครอง ทำการประเมินนักเรียนซ้ำ เพื่อดูผลที่ได้ว่าสอดคล้องกันหรือไม่ 5. อาจใช้การสัมภาษณ์ หรือเครื่องมืออื่นช่วยในการพิจารณาเพิ่มเติม กรณีที่เห็นว่าได้ผล ขัดแย้งกับความเป็นจริง อย่าลืมว่าไม่มีเครื่องมือชนิดใดสมบูรณ์แบบ ขึ้นอยู่กับสภาพความพร้อมของ ผู้ตอบแบบประเมินเป็นสำคัญ แบบประเมินตนเองชุดนี้เป็นเพียงเครื่องมือเพื่อช่วยเหลือในการ คัดกรองปัญหานักเรียนเท่านั้น ไม่ใช่เป็นตัวชี้นำครูในการตัดสินปัญหานักเรียน 6. การประเมินพฤติกรรมนักเรียน เป็นการประเมินในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา จึงไม่สามารถใช้ ข้อมูลเดิมสำหรับ การประเมินนักเรียนในปีต่อไป นั่นคือ ถ้าประเมินนักเรียนทุกปี ก็ต้องทำแบบ ประเมินทุกปีเช่นกัน


24 คู่มือครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 การศึกษารายกรณี หมายถึง กระบวนการศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับบุคคลทุกด้าน อย่างตรงไปตรงมาให้ได้ข้อมูลที่ถูกที่สุด โดยใช้วิธีการศึกษาที่หลากหลายรวบรวมไว้เปนหลักฐาน สำคัญ เพื่อใช้ประโยชน์ทางการศึกษา และหาวิธีการแก้ปญหาที่เกิดขึ้นกับบุคคลที่เหมาะสมต่อไปใน อนาคต โดยลักขณา สริวัฒน์ (2548 : 8) ได้กล่าวถึง การศึกษารายกรณี ว่าคือ กระบวนการ ของ การศึกษารายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับบุคคลติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง โดยศึกษาทั้งภูมิหลัง และการ ดำรงชีวิตความเปนอยู่ในปจจุบัน เพื่อรวบรวมเปนข้อมูลและนำไปวิเคราะห์หาสาเหตุ ที่ทำให้บุคคล มีพฤติกรรมเช่นนั้น หรือพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปมาจากสาเหตุอะไร รวมถึงการแปล ความหมายของ พฤติกรรมดังกล่าวว่า มีความสัมพันธ์กับการปรับตัวที่ดีหรือการปรับตัวที่เปนปญหา ของบุคคลนั้น อย่างไร อันจะทำให้เกิดการรู้จักและเข้าใจในด้านต่าง ๆ ของตัวเขาอย่างแท้จริง เพื่อเป นแนวทาง นำไปสู่การสนับสนุนหรือ การให้ความช่วยเหลือได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ จุดมุ่งหมายของการศึกษารายกรณี พนม ลิ้มอารีย์ (2548 : 123) กล่าวถึงจุดมุ่งหมายในการศึกษานักเรียนเปนรายกรณีไว้ดังนี้ 1. เพื่อสืบค้นหาสาเหตุที่ทำให้บุคคลมีพฤติกรรมผิดปกติ ซึ่งทางโรงเรียนจะได้ ให้ความ ช่วยเหลือและแก้ไขได้อย่างถูกต้อง 2. เพื่อสืบค้นรูปแบบของพัฒนาการนักเรียนทั้งในด้านร่างกาย สติปญญา อารมณ์ สังคม และจิตใจ ซึ่งทางโรงเรียนจะได้ให้การส่งเสริม พัฒนาได้อย่างเหมาะสม 3. เพื่อให้นักเรียนเกิดความเข้าใจในตนเอง ยอมรับความเปนจริงเกี่ยวกับตน สามารถพัฒนา ตนเองได้ สามารถวางแผนชีวิตและเลือกแนวทางการศึกษาต่อและเลือกอาชีพที่เหมาะสม กับตนได้ จนทำให้มีการดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขและมีประสิทธิภาพ 4. เพื่อให้ผู้ปกครองเกิดความเข้าใจเด็กของตนได้ดีขึ้น และให้ความร่วมมือกับทางโรงเรียนใน การแก้ไขปญหาบุตรหลานของตน 5. เพื่อให้คณะครูได้เข้าใจนักเรียนอย่างละเอียด ลึกซึ้ง ถูกต้อง และนำผลของการศึกษา รายกรณีไปปรับปรุงการเรียนการสอน การจัดกิจกรรม และการให้บริการต่าง ๆ แก่นักเรียนได้อย่าง เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการและความพร้อมของนักเรียน การรวบรวมข้อมูล ในการศึกษาเด็กเป็นรายกรณี การรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับตัวเด็กที่เราทำการศึกษารายกรณี มีดังนี้ 1. การสัมภาษณ์ การซักถามจากเด็กโดยตรง หรือผู้ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเด็ก เช่น บิดา มารดา ผู้ปกครอง ญาติพี่น้อง เพื่อนบ้านใกล้เคียง ครู ตลอดจนเพื่อน ๆ บุคคลเหล่านี้ สามารถให้รายละเอียดเกี่ยวกับตัวเด็กได้เป็นอย่างดี การศึกษานักเรียนเป็นรายกรณี(case study)


25 คู่มือครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 2. การสังเกต การติดตามสังเกตพฤติกรรมเป็นระยะ ๆ ติดต่อเนื่องกัน จนเป็นที่ประจักษ์ ว่า พฤติกรรมที่แท้จริงและเชื่อถือได้ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการการนำมา ใช้ แก้ปัญหาต่อไป 3. รวบรวมจากระเบียนสะสมต่าง ๆ ที่มีอยู่ในโรงเรียน เช่น ระเบียนสะสม ทะเบียนประวัติ ของนักเรียน เป็นต้น ระเบียนต่าง ๆ ทางโรงเรียนได้จัดทำไว้แล้วช่วยให้เราสามารถทราบ รายละเอียดเกี่ยวกับตัวเด็กได้มาก 4. รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามประเภทต่าง ๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลกว้างขวางมากขึ้น และ เพื่อเป็นการตรวจสอบความถูกต้องตรงกับความเป็นจริง ได้ใช้แบบสอบถามประเภทต่าง ๆ เช่นแบบ สำรวจตนเองเกี่ยวกับครอบครัว แบบสอบถามสำหรับผู้ปกครอง แบบสำรวจข้อมูลนักเรียน แบบประเมินพฤติกรรมเด็ก แบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์ 5. การรวบรวมข้อมูลจากผลงานด้านต่าง ๆ ของเด็ก เช่น การให้เขียนเรียงความ การให้ ฝึกปฏิบัติ 6. รายงานการคัดกรองนักเรียน 7. การเยี่ยมบ้าน แหล่งที่มาของข้อมูล การค้นหาข้อมูลหรือรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเด็กที่เราทำการศึกษาหาได้จากบุคคลหลายฝ่าย ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเด็ก ซึ่งได้แก่บุคคลดังต่อไปนี้ 1. ตัวเด็กโดยตรง 2. บิดา / มารดา / ปู่ / ย่า / ตา / ยาย หรือญาติ ๆ 3. ครู 4. เพื่อน 5. เพื่อนบ้านใกล้เคียง ขอบเขตของการศึกษารายกรณี ขอบเขตของการศึกษารายกรณีประกอบด้วยรายละเอียดต่อไปนี้ 1. ชื่อผู้ทำการศึกษาและเวลาที่ทำการศึกษา เวลาที่เริ่มทำการศึกษาจนกระทั่งสิ้นสุด การศึกษา 2. ข้อมูลเกี่ยวกับตัวเด็กที่ต้องการศึกษา ได้แก่ ชื่อ วัน เดือน ปีเกิด ที่อยู่ เพศ อายุ เชื้อชาติ ศาสนา ชื่อครูประจำชั้น รูปร่าง หน้าตา ลักษณะทั่ว ๆ ไปของเด็กที่ทำการศึกษา 3. ลักษณะของปัญหา เป็นข้อมูลหรือรายละเอียดพอสังเขปของปัญหา เช่น ปัญหานั้น เกิดขึ้นเมื่อใด มีความร้ายแรงเพียงใด เกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน ได้รับการช่วยเหลือแนะนำให้มีการแก้ไข หรือรักษามาก่อนหน้านี้หรือไม่ เพียงใด ผลของการแก้ไขเป็นอย่างไร


26 คู่มือครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 สรุปได้ว่า การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล เป็นการกำหนดความแตกต่างของนักเรียนแต่ละ คนที่มีพื้นฐานความเป็นมาของชีวิตที่ไม่เหมือนกันโดยพิจารณาข้อมูลพื้นฐานของนักเรียน ด้าน ความสามารถ ด้านสุขภาพ ด้านครอบครัว และด้านอื่น ๆ ใช้วิธีการและเครื่องมือต่าง ๆ ในการเก็บ รวบรวมข้อมูลเป็นรายบุคคล


27 คู่มือครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 ลำดับขั้นตอนของการศึกษารายกรณี การรวบรวมข้อมูล เพื่อรู้จักนักเรียนเป็นารายบุคคล แฟ้มประวัติ สังเกต สัมภาษณ์ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูล /วินิจฉัย ผลงานนักเรียน กรณีไม่ยุ่งยาก กรณียุ่งยากซับซ้อน แบบทดสอบ สังเคราะห์ข้อมูล ให้ความช่วยเหลือ ประชุมปรึกษา ดีขึ้น ไม่ดีขึ้น ส่งต่อ ติดตามผล


28 คู่มือครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 บทที่ 4 การคัดกรองนักเรียน ความหมาย การคัดกรองนักเรียนมีความสำคัญต่อโรงเรียน เป็นการพิจารณาข้อมูลที่เกี่ยวกับตัวนักเรียน เพื่อการจัดกลุ่มนักเรียนเป็น 4 กลุ่มคือ 1. กลุ่มเด็กพิเศษ คือ นักเรียนที่มีความสามารถพิเศษ มีความเป็นอัจฉริยะ แสดงออกซึ่ง ความสามารถอันโดดเด่นด้านใดด้านหนึ่งหรือหลายด้าน อย่างเป็นที่ประจักษ์เมื่อเทียบกับผู้มีอายุใน ระดับเดียวกันภายใต้สภาพแวดล้อมเดียวกัน ซึ่งโรงเรียนต้องให้การส่งเสริมนักเรียนได้พัฒนาศักยภาพ ความสามารถพิเศษนั้นจนถึงขั้นสูงสุด 2. กลุ่มปกติคือ นักเรียนที่ได้รับการวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ตามเกณฑ์การคัดกรองของ โรงเรียนแล้ว อยู่ในเกณฑ์ของกลุ่มปกติ 3. กลุ่มเสี่ยง คือ นักเรียนที่จัดอยู่ในเกณฑ์ของกลุ่มเสี่ยงตามเกณฑ์การคัดกรองของโรงเรียน ซึ่งโรงเรียนต้องให้ความช่วยเหลือ ป้องกันหรือแก้ไขปัญหาตามแต่กรณี 4. กลุ่มมีปัญหา คือ นักเรียนที่จัดอยู่ในเกณฑ์ของกลุ่มปัญหาตามเกณฑ์การคัดกรองของ โรงเรียน ซึ่งโรงเรียนต้องให้ความช่วยเหลือ ป้องกันหรือแก้ไขปัญหาตามแต่กรณี การจัดกลุ่มนักเรียนนี้มีประโยชน์ต่อครูที่ปรึกษาในการหาวิธีการเพื่อดูแลช่วยเหลือนักเรียน ได้อย่างถูกต้องโดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาของนักเรียน เพราะมีข้อมูลของนักเรียนในด้านต่างๆ ซึ่ง หากครูที่ปรึกษาไม่ได้คัดกรองนักเรียนเพื่อการจัดกลุ่มแล้ว ความชัดเจนในเป้าหมายเพื่อการแก้ไข ปัญหาของนักเรียนจะมีน้อยลง มีผลต่อความรวดเร็วในการช่วยเหลือ ซึ่งบางกรณีจำเป็นต้องแก้ไขโดย เร่งด่วน ผลการคัดกรองนักเรียน ครูที่ปรึกษาจำเป็นต้องระมัดระวังอย่างยิ่งที่จะไม่ทำให้นักเรียนรับรู้ ได้ว่าตนถูกจัดกลุ่มอยู่ในกลุ่มเสี่ยง/มีปัญหาซึ่งมีความแตกต่างจากกลุ่มปกติโดยเฉพาะนักเรียนวัยรุ่นที่ มีความไวต่อการรับรู้(sensitive) แม้วาานักเรียนจะรู้ตัวดีว่า ขณะนี้ตนมีพฤติกรรมอย่างไรหรือ ประสบกับปัญหาใดก็ตามและเพื่อเป็นการป้องกันการล้อเลียนในหมู่เพื่อนอีกด้วย ดังนั้น ครูที่ปรึกษา ต้องเก็บผลการคัดกรองนักเรียนเป็นความลับ นอกจากนี้หากครูที่ปรึกษามีการประสานงานกับ ผู้ปกครองเพื่อการช่วยเหลือนักเรียน ก็ควรระมัดระวังการสื่อสารที่ทำให้ผู้ปกครองเกิดความรู้สึกว่า บุตรหลานของตนผิดปกติแตกต่างจากเพื่อนนักเรียนอื่นๆ ซึ่งอาจมีผลเสียต่อนักเรียนในภายใน ภายหลังได้ การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการคัดกรองนักเรียนนั้น ให้อยู่ในดุลยพินิจของครูที่ปรึกษาและยึดถือ เกณฑ์การคัดกรองนักเรียนของโรงเรียนเป็นหลักด้วย ดังนั้นโรงเรียนจึงควรมีการประชุมครูเพื่อการ พิจารณาเกณฑ์การจัดกลุ่มนักเรียนร่วมกันเพื่อให้มีความมาตรฐานหรือแนวทางการคัดกรองนักเรียน ที่เหมือนกันเป็นที่ยอมรับของครูในโรงเรียน รวมทั้งให้มการกำหนดเกณฑ์ว่าความรุนแรงหรือความถี่ ของพฤติกรรมเท่าใดจึงจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยง/มีปัญหา


29 คู่มือครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 การคัดกรองนักเรียนเพื่อจัดเป็นกลุ่มนั้น ครูที่ปรึกษาสามารถวิเคราะห์ข้อมูลจากระเบียน สะสม แบบประเมิน SDQ การสังเกต การสัมภาษณ์การเยี่ยมบ้าน และอื่น ๆ ที่ครูที่ปรึกษาจัดทำขึ้น สำหรับประเด็นการพิจารณาเพื่อจัดทำเกณฑ์การคัดกรองและแหล่งข้อมูลเพื่อคัดกรองนักเรียนแต่ละ ด้าน มีตัวอย่างตามตารางต่อไปนี้


คู่มือ สำหรับประเด็นการพิจารณาเพื่อจัดทำเกณฑ์การคัดกรองและแหล่งข ตาราง เกณฑ์การคัดกรองและแหล่งข้อมูลเพื่อคัดกรองนักเรียนแ ข้อมูลนักเรียน กลุ่มเด็กพิเศษ กลุ่มปกติ 1. ด้านความสามารถ 1.1 ด้านการเรียน -ผลการเรียนเฉลี่ย 3.5 ขึ้นไป - มีความสามารถ ด้านศิลปะ - มีความสามารถ ด้านดนตรี - มีความสามารถ ด้านกีฬา - มีความสามารถด้าน อื่น เช่น หัวหน้าห้อง ผู้นำ - ผลการเรียนเฉลี่ย 2.00 ขึ้นไป - ไม่มี 0 ร มส ผ่านการประมเมิน ผลการเรียนรายวิชาในทุกวิชา - เข้าเรียนในแต่ละรายวิชาเกินร้อย ละ 90 ของเวลาเรียน - มาโรงเรียนไม่ทันเคารพธงชาติ ไม่เกิน 10 ครั้ง ใน 1 ภาคเรียน - 1.2 ความสามารถ พิเศษ ถ้านักเรียนมีความสาม


30 อครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 ข้อมูลเพื่อคัดกรองนักเรียนแต่ละด้าน มีตัวอย่างตามตารางต่อไปนี้ แต่ละด้าน กลุ่มเสี่ยง กลุ่มมีปัญหา น ย - ผลการเรียนเฉลี่ยต่ำกว่า 1.50-2.00 - ไม่เข้าเรียนในวิชาต่าง ๆ 3-5 ครั้ง ต่อ 1 วิชา - มี 0 ร มส 1-5 วิชา ใน 1 ภาคเรียน - ผลการประเมินได้ 0 จำนวน 1-3 วิชา - อ่านหนังสือไม่คล่อง - เขียนหนังสือไม่ถูกต้องแม้คำสะกด ง่ายๆ - เข้าเรียนในแต่ละรายวิชา เกินร้อยละ 85 ของเวลาเรียน - มาโรงเรียนไม่ทันเคารพธงชาติมากกว่า 10 ครั้ง ใน 1 ภาคเรียน - พฤติกรรมการเรียนหรือผลการเรียน เปลี่ยนไปจากเดิมในด้านลบ แต่ยังไม่มีผลกระทบต่อวิถีชีวิตประจำวัน - ผลการเรียนเฉลี่ยต่ำกว่า 1.50 - ได้ 0 ร มส ในรายวิชา ต่าง ๆ รวมกัน ตั้งแต่ 3 รายวิชาขึ้นไป - ไม่เข้าเรียนในรายวิชาต่าง ๆ มากกว่า 5 ครั้งต่อ 1 วิชา - พฤติกรรมการเรียนหรือผลการเรียน เปลี่ยนไปจากเดิมในด้านลบ และมี ผลกระทบต่อวิถีชีวิตประจำวัน - อ่านหนังสือไม่ออก - เขียนหนังสือไม่ถูกต้อง สะกดผิดแม้ คำง่าย ๆ - ไม่เข้าใจบทเรียนทุกวิชา - มาโรงเรียนไม่ทันเคารพธงชาติ มากกว่า 10 ครั้ง ใน 1 ภาคเรียน มารถพิเศษจะเป็นจุดแข็งของนักเรียนในทุกกลุ่ม


คู่มือ ข้อมูลนักเรียน กลุ่มปกติ 2. ด้านสุขภาพ 2.1 ด้านร่างกาย - อายุ น้ำหนัก และส่วนสูงสัมพันธ์กัน - ร่างกายแข็งแรง - ไม่มีโรคประจำตัว - เจ็บป่วยเป็นบางครั้งซึ่งไม่มีผลกระทบ ต่อการเรียนหรือ พฤติกรรมของนักเรียน - น้ำหนักผิดปก กับส่วนสูงหรือ - มีโรคประจำต - มีความพิการ ได้ยิน การฟัง หรืออื่น ๆ 2.2 ด้านจิตใจ พฤติกรรม - มีคะแนนจากแบบประเมินพฤติกรรม (SDQ) ในระดับปกติ - ไม่มีพฤติกรรมที่เป็นปัญหา เช่น ปญหา ด้านอารมณ์จิตใจ พฤติกรรมลักขโมย ติด การพนัน ใช้ยาเสพติด พฤติกรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสม ด้านชู้ สาวการตั้งครรภ์ในวัยเรียน การปรับตัว เป็นต้น - ปฏิบัติตามกฎระเบียบของโรงเรียนอย่าง สม่ำเสมอ แต่อาจทำผิดบ้างในบางครั้งโดย ไม่มีผลเสียต่อตนเองหรือผู้อื่น - มีคะแนนจาก ในระดับเสี่ยง - ไม่มีพฤติกร ทดลองดื่ม/เสพ เสพติด มีการ พฤติกรรมด้าน การตั้งครรภ์ใ เกินขอบเขต อารมณ์เปลี่ยน - ไม่ปฏิบัติตาม ของโรงเรียนบ หรือผู้อื่น


31 อครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 กลุ่มเสี่ยง กลุ่มมีปัญหา กติและไม่สัมพันธ์ ออายุ ตัว หรือเจ็บป่วยบ่อย รทางกาย หรือบกพร่องด้าน การ การมองเห็น - มีน้ำหนัก ส่วนสูงบวก ลบ มากกว่า 5 ตามเกณฑ์ - เจ็บป่วยบ่อยครั้ง - มีโรคประจําตัว ป่ายเป็นโรคร้ายแรงหรือเรื้อรัง - มีความพิการทางร่างกายหรือมีความบกพร่อง ด้านการได้ยิน การมองเห็นหรืออื่น ๆ มี ผลกระทบต่อความ สามารถด้านการเรียนในระดับมีปัญหา กแบบประเมินพฤติกรรม (SDQ) รรมที่เบี่ยงเบนไปจากปกติเช่น พ/สูบสิ่ง รปรับตัวทางเพศไม่เหมาะสม มี นชู้สาว นวัยเรียนเก็บตัวหรือแสดงออก เริ่มมีปัญหาการเรียน สภาพ นแปลงไปเป็นต้น มกฎระเบียบ บ่อย ๆ แต่ไม่มผลเสียต่อตนเอง - มีคะแนนจากแบบประเมินพฤติกรรม (SDQ) ใน ระดับมีปัญหา - มีพฤติกรรมที่เป็นปัญหาชัดเจนทำให้ตนเอง และ/หรือผู้อื่นเดือดร้อน เช่น พฤติกรรมลักขโมย ติดการพนัน ใช้สารเสพติด พฤติกรรมทางเพศ ที่ไม่เหมาะสม การตั้งครรภ์ - มีปัญหาการเรียนชัดเจน มีสภาพอารมณ์จิตใจ ผิดปกติเก็บตัว เป็นต้น - ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับของโรงเรียน บ่อยจนทำให้ตนเองหรือ ผู้อื่นเดือดร้อนเสียหาย


คู่มือ ข้อมูลนักเรียน กลุ่มปกติ 3. ด้านครอบครัว 3.1 ด้านเศรษฐกิจ - ครอบครัวมีอาชีพที่มั่นคงและ สุจริต มีรายได้เพียงพอในการ เลี้ยงดูครอบครัว ซึ่งอาจมีภาระ หนี้สินบ้างแต่สามารถชําระหนี้ ได้โดยไม่เดือน ร้อน - รายได้ครอบครัวอยู - บิดาหรือมารดาตก - มีภาระหนี้สินที่มีปัญ ครั้งคราว - มีเหตุการณให้เกิด ครอบครัว เช่น ไฟไห - นักเรียนไม่มีอาหา อุปกรณ์การเรียน 3.2 ด้านการคุ้มครอง นักเรียน - นักเรียนอาศัยอยู่กับพ่อ แม่ หรือญาติ และนักเรียนมี ความสัมพันธ์ที่ ดีกับสมาชิกทุกคนในครอบครัว - ที่พักอาศัยอยู่ในชุมชนที่ดีไม่ อยู่ใกล้แหล่งมั่วสุมหรือแหล่ง เสี่ยงอันตราย - นักเรียนอยู่หอพักห แต่มีความสัมพันธ์ที่ไ สมรสใหม่ - ที่พักอยู่ในชุมชนแอ ท่องเที่ยวกลางคืน - มีความขัดแย้งในคร - มีความรู้สึกที่ไม่ดีต่ - มีการใช้สารเสพติด - มีบุคคลในครอบครั - มีบุคคลในครอบครั - มีการใช้ความรุนแร


32 อครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 กลุ่มเสี่ยง กลุ่มมีปัญหา ยู่ระหว่าง 5,000 –10,000 บาท/เดือน งาน ญหาในการชําระหนี้สินเป็น ดการสูญเสีย กระทบต่อเศรษฐกิจของ หม้ น้ำท่วมบ้าน เป็นต้น ารกลางวันรับประทานหรือไม่มีเงินซื้อ - รายได้ครอบครัวต่ำกว่า5,000 บาท/เดือน - บิดาหรือมารดาตกงาน - มีภาระหนี้สินจำนวนมากมีปัญหาในการชําระ หนี้สิน - อาชีพของครอบครัวไม่มั่นคง เสี่ยงต่ออันตราย รายได้น้อย ไม่พอกับรายจ่าย - นักเรียนไม่มีเงินมาโรงเรียน ไม่มีเงินซื้อ อุปกรณ์การเรียน ชุดนักเรียน อาหารกลางวัน ฯลฯ หรืออยู่กับคนรู้จัก หรือญาติ ไม่ดีต่อกัน บิดา มารดา หย่าร้าง หรือ ออัด หรือใกล้แหล่งมั่วสุม หรือแหล่ง รอบครัวหรือทะเลาะกันเป็นประจำ อบิดาหรือมารดา ดหรือเล่นการพนันในครอบครัว รัวเจ็บป่วยด้วยโรคทางจิตเวช รัวเจ็บป่วย รงในครอบครัว ถูกล่วงละเมิดทางเพศ - มีลักษณะเหมือนในกลุ่มเสี่ยงแต่ลักษณะ ดังกล่าวมีผลกระทบต่อการเรียนและพฤติกรรม ของนักเรียน


คู่มือ ข้อมูลนักเรียน กลุ่มปกติ 4. ด้านอื่น ๆ 4.1 ด้านยาเสพติด ไม่ใช้สารเสพติด ไม่ยุ่งเกี่ยวและ สมาคมกับเพื่อนที่ยุ่งเกี่ยวสารเสพติด - ซึม กระสับกระส - แยกตัวไม่เข้าร่วม - ไม่สนใจสุขภาพค - คบเพื่อนในกลุ่มค - สมาชิกในครอบค 4.2 ด้านเพศ ปรับตัวกับเพื่อนต่างเพศได้เหมาะสม กับวัย - จับคู่ชัดเจนและ บ่อยครั้ง - มีพฤติกรรมเบี่ย เป็นต้น แต่นักเ เป็นปัญหา - มีพฤติกรรมเบี ต่อการเรียนของนั


33 อครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 กลุ่มเสี่ยง กลุ่มมีปัญหา ส่าย มกิจกรรม ขาดเรียน ความสะอาด ค้ายา/เสพยา ครัวใช้ยา/ค้ายา - ใช้สารเสพติด ได้แก่ บุหรี่ สุรา กัญชา ยาบ้า หรือ สารเสพติดอื่น ๆ - มีอาการดื้อยา ใช้ยามากขึ้น - ต้องการใช้ยา ควบคุมตนเองไม่ได้ - ไม่สนใจการเรียนสังคม ไม่ดูแลตนเอง ะแยกกลุ่มอยู่ด้วยกันสองต่อสอง ยงเบนทางเพศ เช่น ทอม ตุ๊ด ดี้ เรียนและครอบครัวไม่เห็นว่า บี่ยงเบนทางเพศซึ่งมีผลกระทบ ักเรียนในระดับเสี่ยง - ประพฤติตนเหมือนเพศตรงข้าม - ขาดเรียนไปกับคู่ของตนเสมอ ๆ - อยู่ด้วยกัน - ตั้งครรภ์ - ขายบริการทางเพศ - มีการมั่วสุมทางเพศ


34 คู่มือครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 การคัดกรองนักเรียนพิการทางการศึกษา ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง กำหนดประเภทและหลักเกณฑ์ของคนพิการทาง การศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๒ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓ และมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการจัดการศึกษา สำหรับคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ จึงออกประกาศกำหนดประเภท และหลักเกณฑ์ของคนพิการทางการศึกษา ไว้ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า “ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง กำหนดประเภทและหลักเกณฑ์ของ คนพิการทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๒” ข้อ ๒ ประเภทของคนพิการ มีดังต่อไปนี้ (๑) บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเห็น (๒) บุคคลที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน (๓) บุคคลที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา (๔) บุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกาย หรือการเคลื่อนไหว หรือสุขภาพ (๕) บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ (๖) บุคคลที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา (๗) บุคคลที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรม หรืออารมณ์ (๘) บุคคลออทิสติก (๙) บุคคลพิการซ้อน การพิจารณาบุคคลที่มีความบกพร่องเพื่อจัดประเภทของคนพิการ ให้มีหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้ (๑) บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเห็น ได้แก่ บุคคลที่สูญเสียการเห็นตั้งแต่ระดับเล็กน้อย จนถึงตาบอดสนิท ซึ่งแบ่งเป็น ๒ ประเภทดังนี้ (๑.๑) คนตาบอด หมายถึง บุคคลที่สูญเสียการเห็นมาก จนต้องใช้สื่อสัมผัสและสื่อเสียง หากตรวจวัดความชัดของสายตาข้างดีเมื่อแก้ไขแล้ว อยู่ในระดับ ๖ ส่วน ๖๐ (๖/๖๐) หรือ ๒๐ ส่วน ๒๐๐ (๒๐/๒๐๐) จนถึงไม่สามารถรับรู้เรื่องแสง (๑.๒) คนเห็นเลือนราง หมายถึง บุคคลที่สูญเสียการเห็น แต่ยังสามารถอ่านอักษร ตัวพิมพ์ขยายใหญ่ด้วยอุปกรณ์เครื่องช่วยความพิการ หรือเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก หากวัด ความชัดเจนของสายตาข้างดีเมื่อแก้ไขแล้วอยู่ในระดับ ๖ ส่วน ๑๘ (๖/๑๘) หรือ ๒๐ ส่วน ๗๐ (๒๐/ ๗๐) (๒) บุคคลที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ได้แก่ บุคคลที่สูญเสียการได้ยินตั้งแต่ระดับหูตึง น้อยจนถึงหูหนวก ซึ่งแบ่งเป็น ๒ ประเภท ดังนี้


35 คู่มือครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 (๒.๑) คนหูหนวก หมายถึง บุคคลที่สูญเสียการได้ยินมากจนไม่สามารถเข้าใจการพูดผ่าน ทางการได้ยินไม่ว่าจะใส่หรือไม่ใส่เครื่องช่วยฟัง ซึ่งโดยทั่วไปหากตรวจการได้ยินจะมีการสูญเสียการ ได้ยิน ๙๐ เดซิเบลขึ้นไป (๒.๒) คนหูตึง หมายถึง บุคคลที่มีการได้ยินเหลืออยู่เพียงพอที่จะได้ยินการพูดผ่าน ทางการได้ยิน โดยทั่วไปจะใส่เครื่องช่วยฟัง ซึ่งหากตรวจวัดการได้ยินจะมีการสูญเสียการได้ยินน้อย กว่า ๙๐ เดซิเบลลงมาถึง ๒๖ เดซิเบล (๓) บุคคลที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ได้แก่ บุคคลที่มีความจำกัดอย่างชัดเจนในการ ปฏิบัติตน (Functioning) ในปัจจุบัน ซึ่งมีลักษณะเฉพาะ คือ ความสามารถทางสติปัญญาต่ำกว่า เกณฑ์เฉลี่ยอย่างมีนัยสำคัญร่วมกับความจำกัดของทักษะการปรับตัวอีกอย่างน้อย ๒ ทักษะจาก ๑๐ ทักษะ ได้แก่ การสื่อความหมาย การดูแลตนเอง การดำรงชีวิตภายในบ้านทักษะทางสังคม/การมี ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น การรู้จักใช้ทรัพยากรในชุมชน การรู้จักดูแลควบคุมตนเอง การนำความรู้มาใช้ใน ชีวิตประจำวัน การทำงาน การใช้เวลาว่าง การรักษาสุขภาพอนามัยและความปลอดภัย ทั้งนี้ ได้แสดง อาการดังกล่าวก่อนอายุ ๑๘ ปี (๔) บุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกาย หรือการเคลื่อนไหว หรือสุขภาพ ซึ่งแบ่งเป็น ๒ ประเภท ดังนี้ (๔.๑) บุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกาย หรือการเคลื่อนไหว ได้แก่ บุคคลที่มีอวัยวะ ไม่สมส่วนหรือขาดหายไป กระดูกหรือกล้ามเนื้อผิดปกติ มีอุปสรรคในการเคลื่อนไหว ความบกพร่อง ดังกล่าวอาจเกิดจากโรคทางระบบประสาท โรคของระบบกล้ามเนื้อและกระดูก การไม่สมประกอบ มาแต่กำเนิด อุบัติเหตุและโรคติดต่อ (๔.๒) บุคคลที่มีความบกพร่องทางสุขภาพ ได้แก่ บุคคลที่มีความเจ็บป่วยเรื้อรังหรือมีโรค ประจำตัวซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง และเป็นอุปสรรคต่อการศึกษา ซึ่งมีผลทำให้เกิด ความจำเป็นต้องได้รับการศึกษาพิเศษ (๕) บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ได้แก่ บุคคลที่มีความผิดปกติในการทำงานของ สมองบางส่วนที่แสดงถึงความบกพร่องในกระบวนการเรียนรู้ที่อาจเกิดขึ้นเฉพาะความสามารถด้านใด ด้านหนึ่งหรือหลายด้าน คือ การอ่าน การเขียน การคิดคำนวณ ซึ่งไม่สามารถเรียนรู้ในด้านที่บกพร่อง ได้ ทั้งที่มีระดับสติปัญญาปกติ (๖) บุคคลที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา ได้แก่ บุคคลที่มีความบกพร่องในการเปล่ง เสียงพูด เช่น เสียงผิดปกติ อัตราความเร็วและจังหวะการพูดผิดปกติ หรือบุคคลที่มีความบกพร่อง ใน เรื่องความเข้าใจหรือการใช้ภาษาพูด การเขียนหรือระบบสัญลักษณ์อื่นที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร ซึ่ง อาจเกี่ยวกับรูปแบบ เนื้อหาและหน้าที่ของภาษา


36 คู่มือครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 (๗) บุคคลที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรม หรืออารมณ์ ได้แก่ บุคคลที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบน ไปจากปกติเป็นอย่างมาก และปัญหาทางพฤติกรรมนั้นเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากความ บกพร่องหรือความผิดปกติทางจิตใจหรือสมองในส่วนของการรับรู้ อารมณ์หรือความคิด เช่น โรคจิต เภท โรคซึมเศร้า โรคสมองเสื่อม เป็นต้น (๘) บุคคลออทิสติก ได้แก่ บุคคลที่มีความผิดปกติของระบบการทำงานของสมองบางส่วน ซึ่ง ส่งผลต่อความบกพร่องทางพัฒนาการด้านภาษา ด้านสังคมและการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และมี ข้อจำกัดด้านพฤติกรรม หรือมีความสนใจจำกัดเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยความผิดปกตินั้นค้นพบได้ ก่อนอายุ ๓๐ เดือน (๙) บุคคลพิการซ้อน ได้แก่ บุคคลที่มีสภาพความบกพร่องหรือความพิการมากกว่าหนึ่ง ประเภทในบุคคลเดียวกัน


37 คู่มือครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 บทที่ 5 การส่งเสริมและพัฒนานักเรียน แนวทางการส่งเสริมและพัฒนานักเรียน การส่งเสริมนักเรียนเป็นการสนับสนุนให้นักเรียนทุกคนที่อยู่ในความดูแลของครูที่ปรึกษา ไม่ ว่าจะเป็นนักเรียนกลุ่มปกติหรือกลุ่มเสี่ยง หรือกลุ่มมีปัญหาให้มีคุณภาพมากขึ้น มีความภาคภูมิใจใน ตัวเองในด้านต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนที่อยู่ในกลุ่มปกติกลายเป็นนักเรียนในกลุ่มเสียง หรือกลุ่มมี ปัญหาและเป็นการช่วยเหลือให้นักเรียนกลุ่มเสี่ยง กลุ่มมีปัญหากลับมาเป็นนักเรียนกลุ่มปกติและมี คุณภาพตามที่โรงเรียนหรือชุมชนคาดหวังต่อไปวิธีการและเครื่องมือเพื่อการส่งเสริมนักเรียน การ ส่งเสริมนักเรียนมีหลายวิธีที่โรงเรียนสามารถพิจารณาดำเนินการได้แต่มีกิจกรรมหลักสำคัญที่โรงเรียน ต้องดำเนินการ คือ 1. การจัดกิจกรรมโฮมรูม (Homeroom) 2. การจัดประชุมผู้ปกครองชั้นเรียน(Classroom meeting) 3. การจัดกิจกรรมอื่น ๆ ที่ส่งเสริมพัฒนานักเรียนที่หลากหลาย เครื่องมือ 1. แนวทางการจัดกิจกรรมโฮมรูม 2. แนวทางการจัดกิจกรรมประชุมผู้ปกครองในชั้นเรียน 3. แบบบันทึก/สรุปประเมินผลการดำเนินกิจกรรม กิจกรรมโฮมรูม การจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมนักเรียนเป็นรายบุคคล หรือเป็นกลุ่มก็ได้ มีการฝึกปฏิบัติหรือทำ กิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อนักเรียนในด้านต่าง ๆ เช่น การรู้จักตนเอง การรู้จักผู้อื่น และสิ่งแวดล้อม ทักษะการตัดสินใจ ทักษะการปรับตัวและการวางแผนชีวิต เป็นต้น กิจกรรมเหล่านี้จะจัดในห้องเรียน หรือนอกห้องเรียนก็ได้ โดยให้มีบรรยากาศเสมือนบ้านที่มีนักเรียนกับครูประจำชั้นเปรียบเสมือน บิดา มารดา ที่เป็นสมาชิกในครอบครัวเดียวกันร่วมกันทำกิจกรรมอย่างใกล้ชิด วัตถุประสงค์ 1. เพื่อให้ครูที่ปรึกษาประจำชั้นได้พบนักเรียนของตนอย่างใกล้ชิด ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ อย่างเต็มที่ และมีเป้าหมายนอกเหนือจากการสอนตามปกติ 2. เพื่อให้นักเรียนมีความรู้ ได้รับประสบการณ์เพิ่มมากขึ้นจากการเรียนปกติ 3. เพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีระหว่างครูกับนักเรียน และนักเรียนกับนักเรียน คำแนะนำการบันทึกกิจกรรมโฮมรูม 1. ครูที่ปรึกษาประจำชั้นพบนักเรียนในชั่วโมงโฮมรูม 2. สถานที่ในห้องเรียน ใต้ร่มไม้ หน้าอาคารเรียน อาคารประกอบ สนาม อื่นๆ ภายใน โรงเรียนตามที่เห็นสมควร โดยนัดหมายนักเรียนให้มาพบกันตามวันและเวลาที่กำหนด


38 คู่มือครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 3. บันทึก วันเดือนปี จำนวนนักเรียน ติดตามการเข้าแถว การขาดเรียน ผลการเรียน พฤติกรรมที่ควรส่งเสริม การพูดเชิงบวก วินัย พฤติกรรมที่ควรแก้ไข เก็บข้อมูล และบันทึกรายงานการ อบรม ใน สมุด ปพ. 5 4. แนวทางการอบรม พฤติกรรมที่ควรส่งเสริม การชมเชย พฤติกรรมเสี่ยงด้านต่างๆ หน้าที่ พลเมือง หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อาเซียน ปัญหายาเสพติด อื่น ๆ 5. ให้ส่งสมุดบันทึกโฮมรูม เดือนละ 1 ครั้ง ที่กลุ่มบริหารงานกิจการนักเรียน 6. สรุปรายงานผู้อำนวยการ เมื่อสิ้นภาคเรียน การจัดกิจกรรมประชุมผู้ปกครองในชั้นเรียน วัตถุประสงค์ 1. เพื่อแจ้งผลการเรียน ความประพฤติ การปรับตัว ความสมารถของนักเรียนและอื่น ๆ 2. เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และหาแนวทางร่วมกันในการดูแลช่วยเหลือนักเรียน 3. เพื่อสร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างครูกับผู้ปกครองในการป้องกัน แก้ไข พัฒนานักเรียน เทคนิคการสร้างความร่วมมือ ระหว่างผู้ปกครองกับครูที่ปรึกษา 1. ทำใจเป็นกลาง เปิดใจกว้าง ไม่ด่วนตำหนิ 2. ยอมรับปัญหา ด้วยการรับฟังความคิดเห็นของผู้ปกครองก่อน 3. ให้โอกาสผู้ปกครองได้ระบายความคับข้องใจ 4. ประเมินความเข้าใจถึงปัญหาและตกลงวิธีการแก้ไขปัญหาร่วมกันซึ่งเป็นการยอมรับและ สามารถนำไปปฏิบัติได้ทุกฝ่าย ขั้นเตรียมการ 1. กำหนดวันประชุมผู้ปกครองในชั้นเรียนอย่าน้อยภาคเรียนละ 1 ครั้ง 2. กำหนดวัตถุประสงค์ในการประชุม 3. รวบรวมข้อมูล ขั้นดำเนินการ แบ่งเป็น - การประชุมกลุ่ม 1. ผู้ปกครองลงนามเข้าประชุม และรับบัตรคิวเข้านั่งในที่ที่จัดไว้ ควรจัดเก้าอี้เป็นรูปตัว U 2. แจ้งวัตถุประสงค์ในการนัดหมายให้ผู้ปกครองทราบ 3. สร้างความคุ้นเคยระหว่างผู้ปกครองด้วยกัน 4. ผู้ปกครองแสดงความชื่นชมในตัวบุตรหลาน 5. ผู้ปกครองร่วมแสดงความเห็นเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับบุตรหลาน เพื่อหาแนวทางแก้ไข ร่วมกัน 6. เลือกคณะกรรมการผู้ปกครองในชั้นเรียน - การพบเป็นรายบุคคล 1. ยกย่องชมเชยนักเรียน 2. แจ้งผลการเรียน


39 คู่มือครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 3. รายงานความประพฤติที่ควรแก้ไข ปรับปรุง 4. หาแนวทางปฏิบัติร่วมกัน 5. สิ่งที่ผู้ปกครองต้องการให้ครูช่วยเหลือ 6. ความรู้สึกของผู้ปกครองที่มาพบกับครูในวันนี้ 7. ทำแบบประเมินการประสานสัมพันธ์กับผู้ปกครองในชั้นเรียน ขั้นสรุปผล 1. เพื่อเป็นหลักฐานในการจัดประชุมแต่ละครั้ง 2. เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการดูแลช่วยเหลือนักเรียน 3. เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการจัดประชุมให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ปกครองในครั้ง ถัดไป


40 คู่มือครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 บทที่ 6 การป้องกันและแก้ไขปัญหานักเรียน การป้องกันและแกไขปัญหาของนักเรียน นอกจากจะให้การปรึกษาเบื้องต้นแล้วการจัด กิจกรรมต่าง ๆ เพื่อการช่วยเหลือนักเรียนก็เป็นสิ่งสำคัญเพราะจะทำให้การช่วยเหลือมีประสิทธิภาพ ก่อให้เกิดความร่วมมือร่วมใจของครูทุกคนรวมทั้งผู้ปกครองด้วย การช่วยเหลือเบื้องต้น (กลุ่มเสี่ยง/มีปัญหา) 1. การให้คำปรึกษาเบื้องต้น 2. ประสานกับครูหรือผู้เกี่ยวข้องเพื่อการจัดกิจกรรมในห้องเรียน, กิจกรรมเสริมหลักสูตร, กิจกรรมซ่อมเสริม, กิจกรรมจับคู่นักเรียน (Buddy) และกิจกรรมสื่อสารกับผู้ปกครอง วิธีการและเครื่องมือ ครูที่ปรึกษาสามารถคิดพิจารณากิจกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาของนักเรียนได้หลายแนวทาง ซึ่งใน ที่นี้สรุปไว้ 5 แนวทางที่จำเป็น คือ 1. การใช้กิจกรรมเสริมหลักสตรู 2. การใช้กิจกรรมในห้องเรียน 3. การใช้กิจกรรมเพื่อนช่วยเพื่อน 4. การใช้กิจกรรมซ่อมเสริม 5. การใช้กิจกรรมการสื่อสารกับผู้ปกครอง เอกสารรายงาน 1. แบบบันทึกการให้คำปรึกษา 2. แบบบันทึกการจัดกิจกรรม 3. แบบบันทึกผลการช่วยเหลือ สำหรับข้อ 2 3 และ 5 ครูที่ปรึกษาสามารถดำเนินการด้วยตนเอง ส่วนข้อ 1 และ 4 จำเป็นต้องมีการประสานงานเพื่อขอความร่วมมือจากครูอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องรวมทั้งการสนับสนุนของ ผู้บริหารโรงเรียนด้วยแต่อย่างไรก็ตามการช่วยเหลือทั้ง 5 กิจกรรมดังกล่าว ครูที่ปรึกษาสามารถขอคํา แนะนาความคิดเห็นจากครูอื่น ๆ ในการจัดกิจกรรมเพื่อให้ได้ผลดียิ่งขึ้น ข้อที่พึงตระหนักในการป้องกันและแก้ไขปัญหาของนักเรียน 1. เรื่องราวข้อมูลของนักเรียนที่ให้การช่วยเหลือและแก้ไข ต้องไม่นําไปเปิดเผย ยกเว้นเพื่อ ขอความช่วยเหลือนักเรียนกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยไม่ระบุชื่อ-สกุลจริงของนักเรียนและการเปิดเผย ควรเป็นไปในลักษณะที่ให้เกียรตินักเรียน 2. บันทึกข้อมลการช่วยเหลือนักเรียน ควรเก็บไว้ในที่เหมาะสมและสะดวกการเรียกใช้


41 คู่มือครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 3. การรายงานช่วยเหลือนักเรียน ควรรายงานในส่วนที่เปิดได้โดยให้เกียรติและคำนึงถึง ประโยชน์ของนักเรียนเป็นสำคัญ 4. การช่วยเหลือแก้ไขปัญหาของนักเรียน ต้องพิจารณาสาเหตุของปัญหาให้ครบถ้วนและหา วิธีการช่วยเหลือให้เหมาะสมกับเหมาะสมกบสาเหตุนั้น ๆ เพราะปัญหามิได้เกิดจากสาเหตุเพียง สาเหตุเดียวแต่อาจจะเกิดจากหลายสาเหตุที่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน 5. ปัญหาที่เหมือนกันของนักเรียนแต่ละคน ไม่จำเป็นต้องเกิดจากสาเหตุที่เหมือนกันและ วิธีการช่วยเหลือที่ประสบความสำเร็จกับนักเรียนคนหนึ่ง ก็ไม่เหมาะกับนักเรียนอีกคนหนึ่งเนื่องจาก ความแตกต่างของบุคคล ดังนั้นการช่วยเหลือโดยเฉพาะการให้การปรึกษาจึงไม่มีสูตรการช่วยเหลือ สำเร็จตายตัว เพียงแต่มีแนวทาง กระบวนการหรือทักษะการช่วยเหลือที่ครูแต่ละคนสามารถเรียนรู้ ฝึกฝน เพื่อการนำไปใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละปัญหาในนักเรียนแต่ละคน ลักษณะนักเรียนที่เสี่ยงต่อการมีปัญหาและนักเรียนที่มีปัญหาสุขภาพจิต สาเหตุของการเสี่ยงต่อการมีปัญหาสุขภาพจิต 1. จากตัวเด็ก 1.1 กรรมพันธุ์ เด็กบางรายที่มีปัญหาพฤติกรรมและอารมณ์จิตใจ อาจมีสาเหตุมาจาก ความผิดปกติที่ถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรม เช่น พฤติกรรมก้าวร้าว ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ในเด็กที่เป็น โรคสมชัก 1.2 เชาว์ปัญญา ระดับเชาว์ปัญญาเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการแสดงออกทางพฤติกรรมของ เด็กที่มีปัญหาสุขภาพจิตมีทั้งเด็กเชาว์ปัญญาต่ำและเด็กฉลาด 1.3 สุขภาพร่างกาย เด็กที่เจ็บป่วยบ่อย เจ็บป่วยเรื้อรัง มีความพิการ เป็นสาเหตุของ ความเครียดและความขัดแย้งทางใจ รวมไปถึงปัญหา ทางบุคลิกภาพและกลไกการปรับตัวทางสังคมที่ ไม่เหมาะสม 1.4 ลักษณะบุคลิกภาพของตัวเด็กเอง เช่น เด็กมีลักษณะเก็บตัว แยกตัว แสดงออก ทางด้านอารมณ์ไม่เหมาะสม ทักษะทางสังคมบกพร่อง 2. จากสิ่งแวดล้อม 2.1 ภาวะของครอบครัว ครอบครัวไม่สมบูรณ์ พ่อแม่หย่าร้าง การเสียชีวิตของบุคคลใน ครอบครัวเด็กอาศัยอยู่กับคนอื่น เช่น พ่อเลี้ยง ญาติพี่น้อง รูปแบบของครอบครัวที่พ่อหรือแม่ ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ไม่เหมาะสม หรือบรรยากาศของครอบครัวไม่มีความสุข 2.2 ฐานะทางครอบครัว เด็กที่เกิดในครอบครัวยากจนอาจได้รับความขัดแย้งทางใจใน ลักษณะของการขาดสิ่งสนับสนุน สิ่งยั่วยุทางสังคม เช่น ของเล่น เสื้อผ้าราคาแพง การถูกดูหมิ่นจาก สังคม การขาดความภาคภูมิใจในตนเอง ส่วนเด็กที่เกิดในครอบครัวที่มั่งคั่งได้รับการตามใจมากเกินไป ก็อาจกลายเป็นปัญหาทางสุขภาพจิต รวมทั้งเด็กนักเรียนที่มีฐานะทางครอบครัวเปลี่ยนแปลงอย่าง กระทันหัน เช่น การล้มละลายทางเศรษฐกิจ พ่อ / แม่ตกงาน


42 คู่มือครูที่ปรึกษาโรงเรียนควบรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 2.3 การเลี้ยงดู อิทธิพลการเลี้ยงดูที่ทำให้เด็กเกิดปัญหา การปกป้องเด็กมากเกินไป การ เลี้ยงดูที่ปฏิเสธไม่รับเด็กเป็นลูก การเลี้ยงดูอย่างปล่อยปละละเลย การตั้งความคาดหวังกับเด็กมาก เกินไป พ่อแม่เป็นประสาทหรือเป็นโรคจิต ความสัมพันธ์ในครอบครัวไม่ดี หรือการสื่อสารไม่เหมาะสม 2.4 สิ่งแวดล้อมอื่น ๆ เช่น ภาวะกดดันจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ชุมชนที่เด็กอยู่ อาศัย เช่นชุมชนแออัด แหล่งที่มีอบายมุข และผลกระทบจากสื่อต่าง ๆ ลักษณะพฤติกรรมและการแสดงออกที่บ่งว่าเสี่ยงต่อการมีปัญหา 1. การแสดงออกทางพฤติกรรม 1.1 การแต่งกาย - แต่งกายผิดระเบียบ - สกปรก มอมแมม ไม่เอาใจใส่ดูแลตนเอง 1.2 ลักษณะท่าทาง - กระด้าง ก้าวร้าว ไม่มีสัมมาคารวะ ไม่สุภาพ ไม่ทำตามคำสั่ง ดื้อดึง - เหม่อลอย เก็บตัว เชื่องซึม 1.3 การพูด - พูดก้าวร้าว ไม่สุภาพ ไม่เหมาะสม โต้เถียง เสียงดัง เอะอะโวยวาย - พูดน้อย ไม่อยากพูด เงียบขรึม 1.4 การเรียน - การเรียนตกต่ำ ไม่สนใจการเรียน หนีเรียน มาโรงเรียนสายประจำ 1.5 พฤติกรรมทางเพศ - การมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียน มั่วสุมทางเพศกับเพื่อนชายหญิง 1.6 ความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวหรือเพื่อนไม่ดี มีเพื่อนน้อย 1.7 อื่น ๆ เช่น พกอาวุธ หรือใช้สารเสพติด 2. การแสดงออกทางด้านอารมณ์และความคิด 2.1 อารมณ์รุนแรง โกรธง่าย ฉุนเฉียว ไม่รู้จักระงับอารมณ์ ควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้ 2.2 วิตกกังวล เครียด ย้ำคิด ย้ำทำ 2.3 ซึมเศร้า อ่อนไหวง่าย น้อยอกน้อยใจไม่มีเหตุผล ลักษณะพฤติกรรมที่แสดงออกในนักเรียนที่มีปัญหาสุขภาพจิตระดับที่ต้องได้รับการช่วยเหลือ 1. การแสดงออกทางพฤติกรรม อารมณ์ จิตใจ ไม่เหมาะสมกับอายุ บทบาททางเพศ และไม่ สอดคล้องกับสถานการณ์สิ่งแวดล้อมที่เป็นอยู่ 2. ความถี่ ความรุนแรง และระยะเวลาของการเกิดปัญหา แตกต่างจากเกณฑ์มาตรฐานที่ บุคคลส่วนใหญ่ประพฤติปฏิบัติ 3. การแสดงออกทางบุคลิกภาพ อารมณ์ จิตใจ พฤติกรรมมีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตใน กิจวัตรประจำวันและมีบทบาทร่วมในหน้าที่กิจกรรมทางสังคม


Click to View FlipBook Version