The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการสอน ประวัติศาสตร์โลก ม.6

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by great.willyoo, 2022-09-08 11:58:43

เอกสารประกอบการสอน ประวัติศาสตร์โลก ม.6

เอกสารประกอบการสอน ประวัติศาสตร์โลก ม.6

[ ][นายอไุ ทย โกยชยั ] หนา้ 5 บทเรียนสำเร็จรูป เรือ่ ง อารยธรรมโลกสมยั โบราณ 6

[เลม่ ท่ี 4 อารยธรรมโรมนั ]

สวัสดีครับ เพือ่ นๆ
อารยธรรมกรกี กน็ า่ สนใจ นะครับ

แล้ว...เราจะศึกษาอารยธรรมโรมันด้าน
ใดบา้ งคะ

สำหรับอารยธรรมโรมัน เราจะศึกษาเก่ียวกับ ปัจจัยท่ีส่งเสริมให้
เกิด อารยธรรมโรมัน ท่ีตั้ง ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของดินแดนโรมัน
การสร้างสรรคอ์ ารยธรรมดา้ นต่างๆ ในดินแดนโรมัน

ถ้างั้นเรามาศึกษาอารยธรรม
โรมนั ในหวั ขอ้ ตามกรอบตา่ งๆ

เลยนะครบั น้องๆ

[ ][นายอุไทย โกยชัย] หนา้ 6 บทเรยี นสำเร็จรูป เร่ือง อารยธรรมโลกสมัยโบราณ 7

[เล่มท่ี 4 อารยธรรมโรมัน]

กรอบท่ี 1 ปัจจัยทสี่ ง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ อารยธรรมโรมัน

อารยธรรมโรมันกำเนิดบรเิ วณคาบสมุทรอิตาลี ท่ีตัง้ อยู่ทางตอนใต้ของทวีปยุโรป มลี ักษณะเปน็ แหลม
ย่ืนลงไปในทะเลเมดิเตอร์เรเนยี น ลักษณะภมู ิ ประเทศสว่ นใหญ่เปน็ ภูเขาและเนินเขา โดยบรเิ วณตอนกลางของ
คาบสมุทรเป็นท่ีราบเล็กๆ คือ ท่ีราบลาติอุม ทำให้มีผู้คนเข้ามาต้ังถ่ินฐานกระจัดกระจายเป็นชุมชนเล็กๆ
ชนชาติท่ีเข้ามาตั้งถ่ินฐานบริเวณนี้เป็นพวกอพยพมาจากบริเวณลุ่มแม่น้ำดานูบ เรียกว่า พวกอิตาลิส (Italis)
แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ พวกซาบีนส์(Sabines) พวกแซมไนท์ (Samnites) และพวกลาติน (Latins)
พวกลาตินซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวโรมันได้สร้างกรุงโรมริมแม่น้ำไทเบอร์ ซึ่งนับว่าเป็นเมืองที่มี ชัยภูมิ
ท่ีเหมาะสมท่ีสุด ทำให้กรุงโรมสามารถขยายอำนาจได้เป็นผลสำเร็จได้ในเวลาต่อมาชาวโรมันรับอารยธรรม
ความเจริญจากกรีกที่อยู่ใกลเ้ คียงท้ังทางดา้ นตวั อกั ษร ศิลปวิทยาการสถาปัตยกรรม และศลิ ปกรรม นอกจากน้ี
ชาวโรมันยังได้รับความเจริญจากพวกอีทรัสกัน (Etruscan) ท่ีอยู่ทางเหนือของแม่น้ำไทเบอร์ทางด้านความ
เจรญิ ทางศาสนา การก่อสร้าง และสัญลกั ษณ์ต่างๆ เช่น มดั หวายทม่ี ีขวานปักอยู่กลางเปน็ เคร่ืองหมายของพวก
ลคิ เตอร์ (Lictors) ที่เป็นทหารรักษาพระองคข์ องกษัตริย์ กล่าวได้วา่ อารยธรรมโรมันเป็นอารยธรรมผสมผสาน
ของชาวกรีกกบั ชาวอที รัสกนั ท่ีเจริญอย่ใู กล้เคียง แล้วพัฒนาเป็นอารยธรรมของตนเอง

คำถามกรอบที่ 1 ทำเสร็จเรียบรอ้ ยแลว้
ตรวจคำตอบได้เลยครับ

1. อารยธรรมโรมนั กำเนดิ บรเิ วณใด
ตอบ……………………………………………………
2. ชนชาติท่เี ข้ามาต้ังถนิ่ ฐานที่อพยพมาจากบริเวณลุ่มแมน่ ้ำดานบู
เรียกว่าอะไร และแบง่ ออกเป็นกกี่ ลุ่ม
ตอบ……………………………………………………

[ ][นายอไุ ทย โกยชยั ] หนา้ 7 บทเรียนสำเร็จรปู เรอ่ื ง อารยธรรมโลกสมยั โบราณ 8

[เล่มท่ี 4 อารยธรรมโรมัน]

คำตอบกรอบที่ 1
1. กำเนดิ บริเวณคาบสมทุ รอติ าลี ทต่ี ัง้ อยู่ทางตอนใตข้ องทวีปยุโรป
2. พวกอิตาลิส (Italis) แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ พวกซาบีนส์(Sabines) พวกแซมไนท์
(Samnites) และพวกลาตนิ (Latins)

กรอบที่ 2
ท่ตี ้ังของอารยธรรมโรมัน

สถานท่ตี ้ังของกรุงโรมอยบู่ นคาบสมุทรอติ าลี ทอดเหยียดไปทางใตจ้ ากยโุ รปไปสู่ทะเลเมดเิ ตอร์เรเนยี น
ทำให้ค่อนข้างง่ายสำหรบั การเดินเรือของชาวโรมันไปยังดินแดนอื่นท่ีอยู่รอบๆทะเล ตำแหน่งน้ีช่วยกรงุ โรมให้
ได้รับชัยชนะและได้รับดินแดนใหม่ นอกจากนี้ ยังได้รับความช่วยเหลือในการพัฒนาเส้นทางการค้า

เทือกเขาแอลป์ (the Alps) ชายแดนอิตาลีทางตอนเหนือและเทือกเขาแอเพนไนน์ (Apenines)
ทอดลงไปสู่คาบสมุทร ยาวกว่า 800 ไมล์ เทือกเขาทั้งสองลูกนี้ช่วยป้องกันกรุงโรมจากการรุกรานของชาติอ่นื ๆ

ภาพท่ี 4.1 แสดงแผนท่ีและท่ตี ัง้ ของอารยธรรมโรมนั
ทม่ี า : https://panupong088.wordpress.com/2012/12/06/

[ ][นายอุไทย โกยชัย] หน้า 8 บทเรียนสำเรจ็ รูป เรื่อง อารยธรรมโลกสมยั โบราณ 9

[เล่มท่ี 4 อารยธรรมโรมนั ]

กรอบที่ 3
ศูนย์กลางของอารยธรรมโรมนั

ชาวโรมันมีความเชื่อว่ากรุงโรมสร้างข้ึนเมื่อประมาณ 753 ปีก่อนคริสต์ศักราช แต่จากหลักฐานทาง
ประวัติศาสตร์และโบราณคดีทำให้เช่ือว่า ชุมชนรอบกรุงโรมแต่เดิมมีชนพื้นเมืองอาศัยอยู่ก่อนแล้ว เรียกว่า
ชาวละติน (Latin) ซ่ึงเปน็ บรรพบรุ ษุ ของชาวโรมนั

ต่อมามีชนเผ่าอีทรัสกัน (Etruscan) เข้ามารุกรานและครอบครองดินแดนดังกล่าว ชาวอีทรัสกัน
ยอมรับอารยธรรมกรีก และนำเข้ามาเผยแพร่ในแหลมอิตาลี เช่น ความเช่ือทางศาสนา (เทพเจ้าของกรีก)
ตัวอักษรกรีก การหล่อทองแดง การทำอาวุธ ศิลปะ การแกะสลัก การทำนายจากการดูเคร่ืองในของสัตว์และ
การบินของนก การสรา้ งซุ้มประตโู ค้ง (Arch) และการปกครองแบบนครรัฐ เป็นตน้ ในท่ีสุดโรมกลายเป็นนคร
รัฐทสี่ ำคัญบนคาบสมทุ รอติ าลี

ทราบหรือไมว่ ่า
อารยธรรมโรมัน แบ่งออกเปน็ 2 สมยั

อยากรู้เราไปศึกษากรอบต่อไปเลยคะ แต่ก่อนอื่นอย่าลืม
ตอบคำถามกรอบท่ี 3 กอ่ นนะคะ…

คำถามกรอบที่ 3

1. บรรพบรุ ษุ ของชาวโรมนั เรียกวา่ อะไร
ตอบ…………………………………………………………………………………………………..
2. ชนเผ่าใดทเ่ี ข้ามารกุ รานและครอบครองดินแดนกรงุ โรม
ตอบ…………………………………………………………………………………………………..

[ ][นายอุไทย โกยชัย] หน้า 9 บทเรยี นสำเรจ็ รูป เรื่อง อารยธรรมโลกสมยั โบราณ 10

[เล่มท่ี 4 อารยธรรมโรมัน]

คำตอบกรอบที่ 23
11..ชเกาวษลตะรตกินรร(มLแaลtiะnเ)ดิน2.เรชือนเผ2่าอ. ีทดอรสัเรกยี ันน((EDtrourisacnasn))

กรอบท่ี 4
การปกครองของโรมันสมยั สาธารณรฐั

สมยั สาธารณรัฐ

ในระยะแรกปกครองระบอบกษัตริย์ เรียกว่า อิมพิเรียม (Imperium) กษัตริย์จะมีสภา
ซีเนต หรือสภาขุนนาง เป็นท่ีปรึกษาโดยสมาชิกจะอยู่ในชนช้ันพาทรีเชียน (patrician) แต่ต่อมา
พวกละตินได้ขบั ไล่อิทรัสกันออกจากบลั ลงั ก์ และตงั้ กรุงโรมขึ้น แต่อำนาจการปกครองยังเป็นของ
พวกพาทรเิ ชยี น (patrician) เทา่ นัน้ ส่วนราษฎรที่เรียกว่า เพลเบยี น (plebeian) ซึ่งเปน็ สามัญชน
หรือประชาชนส่วนใหญ่ เช่น ชาวไร่ ชาวนา ช่างฝีมือ ไม่มีสิทธิใดๆทางการเมืองและสังคม จน
นำไปสู่ความขัดแย้งระหว่าง 2 ชนชัน้ จนพวกเพลเบียนเรียกร้องและประสบผลสำเร็จ มสี ิทธอิ อก
กฎหมายร่วมกับพวกพาทริเชียน เรียกว่า กฎหมายสิบสองโต๊ะ (Law of the Twelve Tables)
เพ่ือใช้บังคับกับชาวโรมันทุกคน ต่อมาโรมันได้ทำสงครามพิวนิกกับพวกคาร์เทจ โดยมีสาเหตุมา
จากการแยง่ ผลประโยชน์ในเกาะชิชิลี

กฎหมายสิบสองโต๊ะ
เป็นมรดกชิ้นสำคัญของโรมท่ีถือเป็นแม่แบบของกฎหมายโลกตะวันตก ประกอบด้วย
มาตราต่างๆ จารกึ ลงบนแผน่ โลหะสำริด 12 แผ่น ความสำคัญของกฎหมายฉบับนี้คือ ชาวโรมันทุก
คน ท้ังชนช้ันสูงพาทรีเชียน (patrician) และราษฎรสามัญชน เพลเบียน (plebeian) ต้องอยู่
ภายใตก้ ฎหมายเดยี วกนั พวกเพลเบยี นมสี ิทธิดำรงตำแหน่งบริหารไดเ้ ชน่ เดยี วกบั พวกพาทรเี ชียน

คำถามกรอบที่ 4

1. สมยั สาธารณรัฐ กรงุ โรมมกี ี่ชนชั้น อะไรบา้ ง
ตอบ……………………………………………………………………………………………………………
2. ความสำคัญของกฎหมายสิบสองโตะ๊ คืออะไร
ตอบ……………………………………………………………………………………………………………

[ ][นายอุไทย โกยชัย] หนา้ 10 บทเรียนสำเรจ็ รปู เร่อื ง อารยธรรมโลกสมยั โบราณ 11

[เลม่ ท่ี 4 อารยธรรมโรมัน]

คำตอบกรอบท่ี 4
1. มี 2 ชนช้นั คอื พาทรเี ชยี น (patrician) และเพลเบยี น (plebeian)

2. ชาวโรมันทกุ คนตอ้ งอยภู่ ายใต้กฎหมายเดียวกนั

กรอบท่ี 5
การขยายอำนาจของโรมัน

เป็นเวลาหลายร้อยปีหลังจากที่ก่อต้ังระบบการปกครองสาธารณรัฐ กรุงโรมก็ได้ขยายดินแดน
เม่ือ 300 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ชาวโรมัน ได้ครอบครองอิตาลีตอนกลาง ในที่สดุ พวกเขากพ็ ิชิตพวกอีทรสั คนั ไป
จนถึงทิศเหนือและนครรัฐกรีกไปจนถึงทิศใต้ เมื่อ 275 ก่อนคริสต์ศักราช คาบสมุทรอิตาลีทั้งหมด ก็ตกอยู่
ภายใตก้ ารควบคมุ ของชาวโรมนั

โดยทั่วไป กรุงโรมไม่ได้กำหนดกฎที่รุนแรงต่อประชาชนท่ีพิชิตได้ สาธารณรัฐ ได้มอบความเป็น
พลเมืองโรมันให้กับพวกเขาเป็นส่วนมากและได้อนุญาตให้พวกเขาปกครองตนเอง ในทางกลับกัน ประชาชน
ใหมจ่ ะต้องจ่ายเงินภาษีและจัดหาทหารใหก้ องทพั โรมัน

สงครามพิวนกิ (Punic War)

ระหว่าง 264 - 146 ปี ก่อนคริสต์ศักราช กองทัพโรมันทำสงครามกับชนชาติฟินีเซีย
ซึ่งปกครองอาณาจักรคาเทจ (Carthage) ทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกาอย่างยืดเยื้อยาวนาน
ในที่สุดสาธารณรัฐโรมันเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะเด็ดขาด ชัยชนะของกรุงโรมในสงครามพิวนิกทำให้มี
อำนาจเหนือทะเลเมดิเตอร์เรเนียนด้านทิศตะวันตก คร้ันแล้ว ชาวโรมันก็ได้ขยายอำนาจเข้า
ครอบครองดินแดนต่างๆ รวมท้ังมีอำนาจผูกขาดทางการค้าในทะเลเมดเิ ตอรเ์ รเนยี น จากกรีกทางทิศ
ตะวันออกไปถึงคาบสมทุ รไอบเี รยี (Iberia) ในทศิ ตะวนั ตก กลายเป็นรฐั ท่มี ีอำนาจและความม่ังค่ังมาก
ท่ีสุดในสมัยน้ัน พร้อมทง้ั ยอมรับเอาวัฒนธรรมกรีกสมัยเฮลเลนสิ ตกิ

คำถามกรอบที่ 5

สงครามพิวนิกเปน็ สงครามระหวา่ งโรมนั กับชนชาติใด
ตอบ…………………………………………………………………………………………………………….

[ ][นายอุไทย โกยชยั ] หน้า 11 บทเรียนสำเรจ็ รูป เรือ่ ง อารยธรรมโลกสมยั โบราณ 12

[เลม่ ท่ี 4 อารยธรรมโรมัน]

คำตอบกรอบท่ี 5
ชนชาติฟนิ เี ซยี

กรอบที่ 6
การปกครองของโรมันสมัยจักรวรรดิ

การปกครองแบบจักรวรรดิ มกี ารขยายดินแดนออกไปทง้ั ในทวปี ยโุ รปและตอนเหนือของทวีปแอฟริกา
ทจ่ี กั รพรรดมิ ีอำนาจสูงสุดในการปกครองดินแดนทงั้ หมด และมกี ารแต่งต้ังผู้แทนจักรพรรดิไปปกครองดนิ แดน
อาณานิคม แม่ทัพทม่ี ชี ือ่ เสยี งคือ จูเลียต ซีซาร์ มกี ารสรา้ งถนนเชื่อมจากเมอื งต่างๆมายังกรงุ โรมจนมคี ำขวัญว่า
”ถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงโรม”ภายหลังจักรวรรดิโรมันเส่ือมอำนาจได้แบ่งออกเป็น จักรวรรดิโรมันตะวันตกมี
ศูนย์กลางอยู่ท่ีกรุงโรม และจักรวรรดิโรมันตะวันออก (ไบแซนไทน์) มีศูนย์กลางอยู่ท่ีกรุงคอนสแตนติโนเปิล
ปัจจุบันคือเมอื งอสิ ตนั บลู ประเทศตรุ กี

สมัยจกั รวรรดิ

ชาวโรมันเปลี่ยนการปกครองจากสาธารณรัฐมาใช้เป็นจักรวรรดิ และออกุสตุส (Augustus)
เป็นจักรพรรดิ หรือซีซาร์ (Caesar ) พระองค์แรกของจักรวรรดิโรมัน ในสมัยนี้โรมันเจริญถึงขีดสุด
และไดข้ ยายอำนาจไปยังภมู ิภาคต่าง ๆ และเมื่อศาสนาครสิ ตไ์ ด้รับการยอมรบั นับถือจากประชาชนมาก
ขึ้นในดินแดนทางภาคตะวันตกของปาเลสไตน์ ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิโรมัน ทำให้
จักรวรรดิโรมันตอ่ ต้านศาสนานอ้ี ย่างรุนแรง แตใ่ นสมยั จักรพรรดิคอนสแตนตนิ มหาราช (Constantine
the Great) พระองค์ทรงให้เสรภี าพในการนับถือศาสนา ทำให้จักรวรรดิโรมันกลายเป็นจักรวรรดิของ
ครสิ ต์ศาสนา ทรงสร้างกรงุ คอนสแตนตโิ นเปลิ (ปัจจบุ ันคอื นครอิสตันบูลในประเทศตุรกี) ทางตะวนั ตก
ของจักรวรรดิโรมัน ต่อมาเรียกว่า จักรวรรดิโรมันตะวันออกหรือจักรวรรดิไบแซนไทน์ (Byzantine)
จนกระท่ังสมัยปลายจักรวรรดิ โรมันเผชิญปัญหาภายในทำให้ถูกพวก อนารยชนเผ่าเยอรมันหรือเผ่า
กอธเข้าปล้นสะดม ขณะท่จี ักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลายไปในคริสต์ศตวรรษท่ี 5 ส่วนตะวนั ออกยัง
ดำเนินต่อมาอีกพันปกี ่อนจะเสยี แก่ เตริ ์กออตโตมนั ใน ค.ศ. 1453

คำถามกรอบท่ี 6

โรมันแบ่งการปกครองออกเป็นกส่ี ่วน อะไรบ้าง
ตอบ………………………………………………………………………………………………………………….

[ ][นายอุไทย โกยชยั ] หนา้ 12 บทเรยี นสำเรจ็ รูป เรอ่ื ง อารยธรรมโลกสมัยโบราณ 13

[เลม่ ท่ี 4 อารยธรรมโรมัน]

คำตอบกรอบที่ 6

สองส่วน คือ 1.จักรวรรดิโรมันตะวันตกมีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงโรม 2. จักรวรรดิโรมันตะวันออก
(ไบแซนไทน)์ มีศูนยก์ ลางอยู่ท่ีกรุงคอนสแตนติโนเปิล ปจั จุบนั คือ เมอื งอสิ ตันบลู ประเทศตรุ กี

กรอบท่ี 7
การสร้างสรรคอ์ ารยธรรมโรมนั

ความโดดเด่นของอารยธรรมโรมันเกิดจากรากฐานท่ีแข็งแรง ซ่ึงได้รับอิทธิพลจากอารยธรรมกรีก
และอารยธรรมของดินแดนรอบๆ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ผสานกับความเจริญก้าวหน้าทีเ่ ป็นภูมิปญั ญาของชาว
โรมันเองทีพ่ ยายามคิดค้นสรา้ งระบบตา่ งๆ เพือ่ ดำรงความยิง่ ใหญ่ของจักรวรรดโิ รมันไว้

ดา้ นสถาปัตยกรรม

เน้นความใหญ่โต แข็งแรงทนทาน โดยชาวโรมันได้พัฒนาเทคนิคการก่อสร้างของกรีก
ส่งิ ก่อสร้างต่างๆเนน้ การใช้ประโยชน์ ดังนี้

1. สนองความต้องการของประชาชน โดยให้บริการต่อสาธารณชนจำนวนมาก เช่น
โคลอสเซียม (Colossum) เป็นสนามกีฬาขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังสร้างสนามแข่งรถม้าขนาดใหญ่
สถานทีอ่ าบน้ำสาธารณะ สะพานส่งน้ำและท่อนำ้ ขนาดใหญ่เพ่ือให้ชาวเมืองมนี ำ้ ใช้อย่างเพยี งพอ

2. สนองความต้องการของรัฐทางด้านการเมืองการปกครอง เช่น ปร ะตูเมือง ถนน
และสะพานขนาดใหญท่ ใ่ี ชใ้ นการคมนาคมขนสง่ และเคล่ือนกองทัพ

งานสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นและเป็นลักษณะเฉพาะของโรมันคือ วิหารแพนธีออน
(Pantheon) ตัวอาคารเป็นประตูโค้ง (Arch) และเปล่ียนหลังเป็นโดม (Dome) ขนาดใหญ่ แสดงถึง
ความสามาถทางดา้ นวิศวกรรมของชาวโรมัน

คำถามกรอบที่ 7

สถาปัตยกรรมของโรมนั ได้พัฒนาเทคนคิ การกอ่ สรา้ งของกรกี โดยเน้นอะไร
ตอบ…………………………………………………………………………………………………………………..

[ ][นายอไุ ทย โกยชยั ] หนา้ 13 บทเรียนสำเร็จรปู เรอื่ ง อารยธรรมโลกสมัยโบราณ 14

[เลม่ ท่ี 4 อารยธรรมโรมัน]

คำตอบกรอบท่ี 7
เนน้ ความใหญ่โต แขง็ แรงทนทาน และการใช้ประโยชน์

โคลอสเซยี ม (Colossum)

ส ถ า ป นิ ก ไ ด้ ดั ด แ ป ล ง จ า ก โ ร ง ล ะ ค ร

กลางแจ้งของกรีกให้กลายมาเป็นสนามกีฬา ใช้

เป็นสถานท่ีต่อสู้ของคนกับคนและคนกับสัตว์

โดยเน้นการฆ่าฟันถึงตาย โดยคนดูมีส่วนร่วมใน

การตัดสิน เพื่อให้ประชาชนได้พักผ่อนและ

นันทนาการ การก่อสร้างโคลอสเซียมใช้ระบบ

Arch และ Vault รบั คานซึ่งแบ่งการก่อสรา้ งเป็น

ภาพท่ี 4.2 แสดงภาพโคลอสเซียม (Colossum) 4 ชั้น มกี ารใชเ้ สาประดบั แตกตา่ งกันไป

ทมี่ า : http://www. http://romanwebblog.blogspot.com/2012/09/

วิหารแพนธอี อน (Pantheon)

ทางเข้าด้านหน้าทำเป็นมุขเหมือนวิหาร

กรีก ที่มีเสาตัง้ เรียงกันอยู่เป็นเสาแบบคอรนิ เธียน

ส่วนด้านในเป็นรูปทรงกระบอกคล้ายถังน้ำมัน

ขนาดใหญ่ หลังคาเป็นโดมคร่ึงวงกลม เส้นผ่าน

ศูนย์กลาง 144 ฟุต ตัวโดมทำด้วยคอนกรีต

ตรงกลางเจาะรูให้เห็นท้องฟ้าและรับแสงสว่าง

เรียกว่า Oculus แปลวา่ ตา(ซึ่งหมายถึงสญั ลกั ษณ์

ของตาจากสวรรค์)เส้นผ่านศูนย์กลาง 30 ฟุต
ภาพที่ 4.3 แสดงภาพวหิ ารแพนธอี อน (Pantheon) ความสงู จากพ้นื ถึงหลังคาประมาณ 140 ฟุต
ทม่ี า : http://www.pantheonparis.com/

คำถามกรอบท่ี 7

ด้านสถาปัตยกรรม

สถาปัตยกรรมโคลอสเซียม (Colossum) สร้างขนึ้ ด้วยจดุ ประสงค์ใด
ตอบ……………………………………………………………………………………………

[ ][นายอไุ ทย โกยชยั ] หน้า 14 บทเรยี นสำเรจ็ รูป เร่อื ง อารยธรรมโลกสมยั โบราณ 15

[เลม่ ท่ี 4 อารยธรรมโรมนั ]

คำตอบกรอบท่ี 7 ด้านสถาปัตยกรรม

เป็นสถานท่ีต่อสู้ของคนกับคนและคนกบั สตั วโ์ ดยเน้นการฆ่าฟนั ถงึ ตาย
โดยคนดมู ีส่วนร่วมในการตดั สนิ เพื่อให้ประชาชนไดพ้ กั ผอ่ นและนนั ทนาการ

สะพานและท่อส่งน้ำ (Bridges and Aqueduct)
การทำท่อน้ำมีทั่วไปในอาณาจักรโรมัน

เพ่ือบริการน้ำสะอาดแก่ประชาชน บางแห่งต้อง
ลำเลียงน้ำผ่านหุบเขาและที่ลุม่ ท่อน้ำท่ีมีสะพาน
รองรบั ยกระดบั นำ้ ผ่านหุบเขาและที่ลมุ่ ที่มีชื่อเสียง
มากคือ Pont Du Gard ท่ีเมืองนิมส์ทางตอนใต้
ของฝรง่ั เศส มีช่วงท่ีข้ามช่องเขาหลายตอนด้วยกัน
การก่อสร้างแบบประตโู ค้ง (Arch)

ภาพท่ี 4.4 สะพานสง่ นำ้ ปงดูว์การ์ ในชว่ งที่ข้ามแม่นำ้ การด์ ง เมอื งนมี ประเทศฝรั่งเศส
ท่มี า : https://panupong088.wordpress.com/2012/12/06/

ประตูชัย (Triumphal Arch)
ส ร้ า ง ข้ึ น เพื่ อ เฉ ลิ ม ฉ ล อ ง ชั ย ช น ะ จ า ก

สงคราม สรา้ งโดยจักรพรรดิ นิยมสร้างคร่อมถนน
โดยทำเป็นแทง่ สเ่ี หล่ียม ตรงกลางทำเป็นทางลอด
และประตูโค้ง บริเวณส่วนหน้าและหลังประดับ
ด้วยประติมากรรมและข้อความจารึกเหตุการณ์
หรือวรี กรรมของผ้สู รา้ งทไี่ ด้ชยั ชนะจากสงคราม

ภาพท่ี 4.5 ประตูชัย (Triumphal Arch)
ที่มา : https://sites.google.com/site/xarythrrmromanror/

คำถามกรอบที่ 7
ด้านสถาปตั ยกรรม

ประตชู ยั (Triumphal Arch) สร้างขึ้นเพอ่ื อะไร ตอบ………………………………………………………………….

[ ][นายอไุ ทย โกยชัย] หนา้ 15 บทเรยี นสำเร็จรปู เรอ่ื ง อารยธรรมโลกสมัยโบราณ 16

[เล่มท่ี 4 อารยธรรมโรมัน]

คำตอบกรอบที่ 7 ด้านสถาปตั ยกรรม
สร้างข้ึนเพ่ือเฉลิมฉลองชยั ชนะจากสงคราม

ดา้ นประตมิ ากรรม

สะท้อนบุคลิกภาพของมนุษย์อย่างสมจริงตามธรรมชาติ และมีสัดส่วนงดงามเหมือนกรีก
แต่โรมันจะเน้นพัฒนาศิลปะด้านการแกะสลักรูปเหมือนบุคคลสำคัญๆ เช่น จักรพรรดิ นักการเมือง
โดยเฉพาะในครึ่งท่อนบนจะสามารถแกะสลกั ได้อย่างสมบรู ณซ์ ่ึงแสดงให้เห็นถึงความมีชวี ิตชีวา ชาวโรมัน
เช่ือว่าการแกะสลักรูปเหมือนจริงท่ีสุดจะช่วยรักษาวิญญาณของคนน้ันเมื่อตายไปแล้วไว้ได้ นอกจากน้ี
ยังมีการแกะสลักภาพนนู ตำ่ เพ่ือบนั ทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และสดดุ ีวรี กรรมของนกั รบ

ภาพที่ 4.6 แสดงภาพประติมากรรมโรมัน ท่ีมา : https://chortravel.livejournal.com/35759.html

คำถามกรอบที่ 7 ด้านประตมิ ากรรม

ประติมากรรมของโรมัน มลี ักษณะอยา่ งไร
ตอบ……………………………………………………………………………………………………………………………………

[ ][นายอุไทย โกยชัย] หนา้ 16 บทเรยี นสำเรจ็ รูป เรือ่ ง อารยธรรมโลกสมยั โบราณ 17

[เลม่ ท่ี 4 อารยธรรมโรมนั ]

คำตอบกรอบท่ี 7 ด้านประตมิ ากรรม

สะท้อนบคุ ลกิ ภาพของมนุษยอ์ ยา่ งสมจรงิ ตามธรรมชาติ และมสี ัดสว่ นงดงามเหมอื นกรีก
แต่โรมันจะเนน้ พฒั นาศิลปะดา้ นการแกะสลักรูปเหมือนบุคคลสำคัญๆ

ดา้ นภาษาและวรรณกรรม

ชาวโรมันพัฒนาภาษาละตินจากตัวพยัญชนะในภาษากรีกท่ีพวกอีทรัสกันนำมาใช้ จนใช้กัน
แพร่หลายในมหาวิทยาลัยของยุโรปสมัยกลาง และเป็นภาษาทางราชการของศาสนาคริสต์นิกาย
โรมันคาทอลิก ส่วนวรรณกรรมระยะแรกเป็นบันทึกพงศาวดาร กฎหมาย ตำราการทหาร และการเกษตร
ต่อมามกี ารแต่งงานประพันธ์เป็นของตนเอง ได้แก่ เรอ่ื ง อิเนียด ประพันธโ์ ดยเวอร์จิล งานประพันธ์ของ
ซเิ ซโร เปน็ ตน้

ด้านปฏทิ นิ

ปฏิทินจูเลียน (แบบสุริยคติ) ปีหนึ่งมี 12 เดือน แต่ละปีมี 365 วัน และเพ่ิมเดือนกุมภาพันธ์ให้
ทกุ ๆ 4 ปีมี 366 วัน ต่อมาได้เปล่ียนมาใช้ปฏิทินเกรโกเรยี น (อังกฤษ: Gregorian Calendar) เปน็ ปฏิทิน
ที่ดัดแปลงมาจากปฏิทินจูเลียน ใช้กันแพร่หลายในประเทศตะวันตก ประกาศใช้คร้ังแรกโดยสมเด็จพระ
สันตะปาปาเกรโกรีท่ี 13 เมื่อ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2125 (ค.ศ. 1582)

คำถามกรอบที่ 7
ดา้ นภาษาและวรรณกรรม และด้านปฏิทิน

1. ภาษาท่ีชาวโรมันพัฒนาจากตวั พยญั ชนะในภาษากรกี ที่พวกอที รสั กันนำมาใช้ จนใช้กนั แพรห่ ลายใน
มหาวทิ ยาลัยของยโุ รปสมยั กลาง คอื ภาษาใด
ตอบ……………………………………………………………………………………………………….
2. ปฏทิ ินจูเลียน (แบบสุรยิ คต)ิ ได้มกี ารดัดแปลงมาเปน็ ปฏทิ นิ แบบใด
ตอบ……………………………………………………………………………………………………….

[นายอไุ ทย โกยชัย] หนา้ 17 [ ]บทเรียนสำเร็จรปู เรื่อง อารยธรรมโลกสมยั โบราณ 18

[เลม่ ท่ี 4 อารยธรรมโรมนั ]

คำตอบกรอบที่ 7 ด้านภาษาและวรรณกรรม และดา้ นปฏิทนิ
1. ภาษาละติน 2. ปฏทิ นิ เกรโกเรียน

ชาวโรมัน ไดส้ รา้ งสรรค์ความเจริญให้เปน็ มรดกแกช่ าวโลกจำนวนมาก
โดยเฉพาะกฎหมายจสั ติเนียน (Justinian Code) เราไปศกึ ษากนั ต่อเลยครบั …

ระยะแรกโรมันไม่ได้เขยี นเป็นลายลักษณ์อักษรและไม่เป็นระบบ แต่มีลักษณะกลมกลืนไปกับศาสนา
ต่อมาเปล่ียนเป็นกฎหมายบ้านเมือง จนในที่สุดก็ได้มีการตรากฎหมายสิบสองโต๊ะ (Law of the Twelve
Tables) ซ่ึงประมวลกฏหมายโรมันนี้เป็นรากฐานประมวลกฎหมายของประเทศต่าง ๆ แม้แต่กฎหมายของวัด
ในสมัยกลาง และยังแสดงให้เหน็ ถึงอิทธิพลในกฎหมายโรมนั ในสมัยจกั รพรรดจิ ัสติเนยี น ซง่ึ ได้จัดเป็นหมวดหมู่
เรียกวา่ ประมวลกฎหมายจสั ติเนยี น (Justinian Code) และท้ิงไว้เป็นมรดกลำ้ ค่าของโลกตะวนั ตก

ดา้ นกฎหมาย

ประมวลกฎหมายจสั ติเนยี น (The Justinian Code)
เป็นกฎหมายของโรมันทจี่ ัดทำข้ึนเมอ่ื ประมาณ ค.ศ.528 โดยจักรพรรดิจัสติเนียน (Justinian)
ได้ต้ังกรรมการข้ึนคณะหน่ึง ประกอบไปด้วยนกั กฎหมายที่มีชื่อเสียง เพ่ือรวบรวมกฎหมายโรมนั ให้มี
ลกั ษณะเปน็ หมวดหมู่ย่งิ ข้ึนเพื่อประโยชน์ในการศึกษาจดจำ ได้ตัดขอ้ ความเกยี่ วกับศาสนาและสิ่งท่ีไม่
เป็นสาระออกเพ่ือให้มีแต่หลักสำคัญ และเรียกประมวลกฎหมายฉบับน้ีว่า “ประมวลกฎหมาย
จัสติเนยี น หรือ คอรป์ ัส จูรสิ ซิวิลิส” (Corpus Juris Civilis) ซึ่งเป็นกฎหมายฉบบั ที่มอี ทิ ธพิ ลอยู่เหนือ
กฎหมายของประเทศต่างๆ ในยุโรประยะหลังๆ เป็นอย่างมาก เพราะเป็นกฎหมายท่ีมีความแน่นอน
เป็นหลักเป็นฐาน เนื่องจากไดจ้ ัดทำเป็นกฎหมายลายลักษณ์อกั ษรทำให้สามารถยึดถือเป็นแบบอย่าง
ได้ และยังสามารถนำไปใช้ได้อย่างกว้างขวางอีกด้วย จึงเป็นประมวลกฎหมายที่อาจกล่าวได้ว่า เป็น
ต้น แบบขอ งหลักก ฎหมายและแน วความคิดใน ก ารจัดทำประ มวลก ฎหมายขอ ง ประเทศต่างๆ
ในระยะหลังต่อมาจนถึงในปจั จบุ นั

คำถามกรอบที่ 7 ประมวลกฎหมายจัสติเนยี น (The Justinian Code)
ดา้ นกฎหมาย มีความสำคัญอยา่ งไร
ตอบ……………………………………………………………………...

[ ][นายอุไทย โกยชยั ] หนา้ 18 บทเรียนสำเรจ็ รูป เรื่อง อารยธรรมโลกสมัยโบราณ 19

[เล่มท่ี 4 อารยธรรมโรมนั ]

คำตอบกรอบที่ 7 ด้านกฎหมาย

เปน็ ตน้ แบบของหลักกฎหมายและแนวความคดิ ในการจดั ทำประมวลกฎหมายของประเทศตา่ งๆ
ในระยะหลงั ตอ่ มาจนถงึ ในปัจจบุ ัน

ดา้ นการแพทย์และสาธารณสุข

ศัลยแพทย์ชาวโรมันรู้จักใช้เครื่องมือผ่าตัดประเภทปากคีบ คีม และเครื่องมืออ่ืนๆ ผ่าตัด
ทอนซิล คอพอกและน่ิว แพทย์โรมันสามารถผา่ ตัดรกั ษาโรคได้หลายโรค โดยเฉพาะการผา่ ตัดทำคลอด
ทารกทางหน้าท้องของมารดาในรายท่ีไม่สามารถคลอดแบบปกติ เชื่อกันว่า จูเลียส ซีซาร์ เป็นทารก
คนแรกที่เกิดและรอดชีวิตด้วยการผ่าตัดหน้าท้อง จึงเรียกการผ่าตัดดังกล่าวว่า ศัลยกรรมแบบซีซาร์
(Caesarean Operation) นอกจากน้ียังมีการสรา้ งโรงพยาบาล ระบบบำบดั น้ำเสยี และสง่ิ ปฏกิ ลู

ภาพท่ี 4.7 แสดงภาพสขุ าของชาวโรมนั ในอดตี
ทม่ี า : https://panupong088.files.wordpress.com/2012/12/28.png

คำถามกรอบท่ี 7 ด้านการแพทย์และสาธารณสขุ

การผา่ ตัดศลั ยกรรมแบบซซี าร์ (Caesarean Operation) เป็นการผ่าตดั แบบใด
ตอบ………………………………………………………………………………………………………………………………

[ ]บทเรียนสำเรจ็ รูป เร่อื ง อารยธรรมโลกสมัยโบราณ 20

[เล่มท่ี 4 อารยธรรมโรมัน]

คำตอบกรอบท่ี 7 ด้านการแพทย์และสาธารณสุข
การผ่าตัดทำคลอดทารกทางหน้าท้องของมารดาในรายทไ่ี มส่ ามารถคลอดแบบปกติได้

เพือ่ นๆคิดวา่ ชาวโรมนั นับถือเทพเจา้ เช่นเดียวกบั กรีกหรอื ไม่
ถ้าอยากรู้เราไปศึกษากันต่อเลยครับ…

ชาวโรมันบูชาเทพเจ้าและเทพีของตนเองอย่างมากมาย ซึ่งบางส่วนก็มาจากส่วนตา่ งๆ
ของจักรวรรดดิ ้วย เทพเจ้าและเทพีมีอยู่ในทุกสว่ นของชีวติ ชาวโรมันสวดมนต์บูชาเทพเจ้าและฆ่าสตั วเ์ พ่ือบูชา
แดเ่ ทพเจ้าด้วย จักรพรรดิเปน็ หวั หน้านักบวชของโรมเพราะประชาชนเชอ่ื วา่ พระองค์ทำหน้าท่ีเป็นสะพานเช่อื ม
ระหว่างเทพเจา้ กับคนธรรมดา

ด้านลทั ธิความเช่ือ

1. เทพประจำบา้ น
ครอบครัวชาวโรมันส่วนใหญ่มีหิ้งบูชาเล็กๆอยู่ในบ้านเพื่อพวกเขาจะได้บูชาเทพเจ้าและ
วญิ ญาณตา่ งๆหงิ้ บูชารูปรา่ งคล้ายโบสถเ์ รียกวา่ ลาราเรียม
เทพประจำบ้านมี 2 องค์ คือ ลาเรส และเพนาเทส สาเลส คือ วิญญาณของบรรพบุรุษ
สว่ นเพนาเทส จะคอยดูและตู้เก็บอาหารภายในบ้าน มีการสวดมนต์อยู่ทุกวนั และจะมีการสวดพิเศษ
สำหรบั วันสำคัญตา่ งๆ เช่น วนั เกิดและวันแต่งงาน เปน็ ต้น
2. เทพเจา้ ทีไ่ ด้รบั อิทธิพลมาจากกรีก
เทพเจ้าโรมันที่สำคัญๆหลายองค์นั้นนำมาจากกรีก เทพเจ้าบคั คัส หรือเทพเจ้าแหง่ ไวน์น้ันถูก
เปล่ียนชื่อใหม่เปน็ เทพเจ้าไดโอไนซสั เทพเอธีนา ของกรีกหรือเทพีแห่งปัญญาและงานฝมี ือถูกเปลี่ยน
ชื่อใหม่เป็นเทพีมิเนอร์วา เทพเจ้าท่ีสำคัญคือ เทพเจ้ามาร์ เป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม และเทพเจ้า
จูปีเตอร์ เปน็ เทพแห่งท้องฟ้าภแาลพะทแ่ี 3ส.ง8สแวสา่ ดงงรซปู งึ่ ปเป้นั ็นเทเพทเพจสา้ อูงสะทุดนี าและรูปปั้นเทพเจ้าซุส

ท่ีมา : https://metricsyst.files.wordpress.com/2013/02/02.jpg

คำถามกรอบท่ี 7 ด้านลัทธิความเชอ่ื

เทพสงู สดุ ของโรมนั มชี อ่ื ว่าอะไร
ตอบ………………………………………

[ ][นายอไุ ทย โกยชยั ] หนา้ 20 บทเรียนสำเรจ็ รูป เรอื่ ง อารยธรรมโลกสมัยโบราณ 21

[เล่มท่ี 4 อารยธรรมโรมนั ]

คำตอบกรอบที่ 7 ด้านลัทธิความเช่อื
เทพเจ้าจปู เี ตอร์

กรอบที่ 8 เทพเจา้ โรมนั

เทพปกรณัมโรมัน หรอื เทพปกรณัมละติน (อังกฤษ: Roman mythology หรือ Latin mythology)
หมายถึง ความเชื่อเกี่ยวกับเทพเจ้าของผู้ที่ต้ังถิ่นฐานอยู่ในลาติอุมและเมืองสำคัญๆ ในคาบสมุทรอิตาลีของ
โรมันโบราณ ที่อาจจะแบ่งได้เป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งท่ีเป็นความเช่ือสมัยต่อมาและความเช่ือทางวรรณกรรม
ที่ประกอบด้วยความเชื่อทม่ี าจากเทพปกรณมั กรีก อีกส่วนหนึ่งเป็นความเช่ือเดิมที่เกดิ ขนึ้ ก่อนหน้าอิทธิพลกรีก
ที่มลี ักษณะที่คอ่ นข้างจะแตกต่างกับเทพปกรณัมกรกี ในสมยั ต่อมา เทพปกรณัมโรมันมดี งั น้ี

เทพคี องคอรเ์ ดีย (ละติน: Concordia, "harmony", องั กฤษ: Concordia)
ในศาสนาของโรมนั โบราณคองคอร์เดียเป็นเทพีแหง่ ความสมานฉนั ท์ ความเขา้ ใจ
และความปรองดองกนั ในชวี ติ คู่ ในตำนานเทพเจา้ กรีกท่เี ทยี บเท่ากบั เทพฮี ารโ์ มเนยี

ควิ ปดิ (องั กฤษ: Cupid; ละติน: Cupido)
เปน็ พระเจ้าแหง่ ความปรารถนา ความรกั แบบกาม (erotic) ความดงึ ดดู และวภิ าพ
(affection) มักพรรณนาวา่ พระองคเ์ ป็นพระโอรสของเทพีวีนสั เทพแี หง่ ความรกั ของ
โรมนั ภาคกรกี คอื เอียรอส (Eros)

เทพจี ูโน (อังกฤษ: Juno)

เป็นเทพีในตำนานเทพปกรณัมโรมันที่เทียบเท่ากับเทพีเฮราในตำนานเทพปกรณัม
กรกี เทพีจูโนเป็นเทพีผู้พิทักษ์ที่ปรกึ ษาของรัฐ เป็นธิดาของเทพแซทเทิร์น และเป็น
น้องสาว (และภรรยา) ของเทพจูปิเตอร์และแม่ของเทพจูเวนตัส (Juventus), เทพ
มารส์ และเทพวลั คนั

จปู เิ ตอร์ หรือโจฟ

ทรงเป็นราชาแหง่ พระเจา้ และเทพเจ้าแหง่ ท้องฟ้าและฟา้ ผา่ ในเร่อื งปรมั ปรา จูปิเตอร์
ทรงเป็นพระเจ้าหลักของศาสนารัฐโรมันตลอดสมัยสาธารณรัฐและจักรวรรดิ จน
ศาสนาคริสต์กลายเป็นศาสนาครอบงำในจักรวรรดิ ในเทพปกรณัมโรมัน พระองค์
ทรงเจรจากับนูมา ปอมปีลีอัส พระมหากษัตริย์โรมพระองค์ท่ีสอง เพื่อสถาปนา
หลกั การของศาสนาโรมนั อย่างการบูชายัญ

[ ][นายอุไทย โกยชยั ] หนา้ 21 บทเรียนสำเร็จรูป เรอ่ื ง อารยธรรมโลกสมัยโบราณ 22

[เลม่ ท่ี 4 อารยธรรมโรมนั ]

เจนัส (องั กฤษ: Janus) หรือ ยานุส (ละตนิ : Ianus)

เป็นเทพเจ้าในเทพปกรณัมโรมันและตำนานเจนัส เทพเจนัสมีบทบาทในฐานะเทพเจ้า
แหง่ การเร่มิ ตน้ และการเปลี่ยนแปลงภาพลกั ษณ์ของเทพ เจนสั มักปรากฎในลักษณะเทพ
สองใบหน้า หน้าหนึ่งมองไปยังอนาคต และอีกหน้าหน่ึงมองไปยังอดีตท่ีผ่านมา ดังนั้น
เดือนแรกของปีจึงไดช้ ื่อมาจากเทพเจนัสนน่ั เอง (January)

แซตเทิร์น (อังกฤษ: Saturn, ละติน: Saturnus)

เปน็ เทพในตำนานเทพปกรณัมโรมันทเ่ี ทียบเทา่ กับเทพโครนัสในตำนานเทพปกรณัมกรีก
เทพแซตเทิรน์ เป็นเทพแห่งการเกษตรกรรมและการเก็บเก่ียวและพลัง มือซ้ายถือเคียว
และมอื ขวาถือฟอ่ นขา้ วสาลี แซตเทิร์นเปน็ ลกู ของเฮเลนหรอื เฮล

เทพีเซเรส หรือ เคเรส (อังกฤษ: Ceres)

ตามตำนานเทพปกรณัมโรมัน เป็นเทพีแหง่ พืชผลท่ีกำลังเจริญเตบิ โต (โดยเฉพาะอย่าง
ยงิ่ เหลา่ ธัญพชื )

เทพีไดแอนนา (ภาษาองั กฤษ: Diana)

ตามตำนานเทพเจ้าโรมัน “เทพีไดแอนนา” เป็นเทพีแห่งการล่าสัตว์ที่มีความเกี่ยวขอ้ ง
กบั สตั ว์ปา่ , ปา่ และพระจนั ทร์

เทพฟี อรช์ นู า (อังกฤษ: Fortuna)

เป็นเทพีในตำนานเทพปกรณัมโรมันท่ีเทียบเท่ากับเทพีไทคี (Tyche) ในตำนานเทพ
ปกรณัมกรกี เทพีฟอร์ชูนาเปน็ บคุ ลาธิษฐานของความมีโชคผทู้ ี่นำโชคดีมาให้ บางคร้ังก็
จะปรากฏเป็นสตรีมีผ้าคลุมหน้าหรือตาบอดเช่นเดียวกับการเป็นสัญลักษณ์ของความ
ยุตธิ รรมในสมยั ปจั จบุ ัน

เทพเมอร์ควิ รี (อังกฤษ: Mercury, ละตนิ : Mercurius)

เป็นเทพในตำนานเทพปกรณัมโรมันที่เทียบเท่ากับเทพเฮอร์มีสในตำนานเทพปกรณัม
กรกี เทพเมอร์ควิ รีเป็นเทพผู้สอ่ื สาร[1] และเทพแหง่ การค้าขายและผลกำไร

[ ][นายอุไทย โกยชยั ] หนา้ 22 บทเรียนสำเรจ็ รปู เรอ่ื ง อารยธรรมโลกสมัยโบราณ 23

[เล่มท่ี 4 อารยธรรมโรมนั ]

เทพมารส์ (องั กฤษ: Mars)

เป็นเทพในตำนานเทพปกรณัมโรมันท่ีเทียบเท่ากับเทพแอรีสในตำนานเทพปกรณัม
กรีก เทพมาร์สเป็นเทพแห่งสงคราม เป็นลูกของเทพีจูโนและเทพจูปิเตอร์ เป็นสามี
ของเทพีเบลโลนาและคนรักของเทพีวีนัส มารส์ เป็นเทพทางการทหารที่เป็นทสี่ กั การะ
ของกองทหารโรมนั นักรบโรมันถือว่ามาร์สเป็นเทพทม่ี ีความสำคัญเป็นลำดับสองรอง
จากเทพจูปิเตอร์ เดอื นที่ฉลองคอื เดอื นมีนาคมซง่ึ เปน็ ชือ่ เดือนท่ีตั้งตามชือ่ ของเทพ

มเิ นอร์วา (องั กฤษ: Minerva)

เป็นเทพีโรมนั แห่งปญั ญา และผู้สนับสนุนศลิ ปะ การค้าและยทุ ธศาสตร์ชาวโรมนั ยกให้
พระนางเทียบเท่าอะธีนาของกรีก พระองค์เป็นเทพีพรหมจรรย์แห่งดนตรี กวี
แพทยศาสตร์ การพาณิชย์ การทอผา้ งานชา่ งและเวทมนตร์ มักพรรณนาพระองคก์ ับ
สตั ว์ศกั ดิ์สทิ ธิแ์ ห่งพระองค์ คอื นกฮกู ซ่ึงปกติได้ขนานนามว่า "นกฮูกแหง่ มเิ นอร์วา" ซึ่ง
เป็นสญั ลกั ษณว์ ่าพระนางทรงเชือ่ มโยงกบั ภมู ิปญั ญา

โรมลุ สุ (ละติน: Romvlvs) และ แรมุส (ละตนิ : Remvs)

เป็นบุคคลในเร่อื งปรัมปราเก่ียวกับการก่อตงั้ กรงุ โรม ทั้งสองเป็นบุตรชายฝาแฝดของ
เรอา ซลิ วิอา นกั บวชหญิงพรหมจรรย์ กบั มาร์ส เทพเจ้าแห่งสงคราม

เทพีวกิ ตอเรยี (Victoria)

เป็นเทพีแห่งชัยชนะ พระนามของนางในตำนานเทพปกรณัมกรีกคือเทพีไนคี (Nike)
นอกจากนนี้ างยังมคี วามเก่ยี วข้องกบั เทพีเบลโลนา (Bellona) เทพีแหง่ สงคราม

วนี สั (องั กฤษ: Venus)

เป็นเทพเจ้าโรมันซ่ึงมีหน้าที่ครอบคลุมความรัก ความงาม เพศ ภาวะเจริญพันธ์ุและ
ความรงุ่ เรือง

เทพีเวอรทิ สั (อังกฤษ: Veritas)

เป็นเทพีในตำนานเทพเจ้าโรมันท่ีเทียบเท่ากับเทพีอเลเธีย (Aletheia) ในตำนานเทพ
เจา้ กรีก เทพเี วอริทสั เป็นเทพแี ห่งความสัตย์

[ ][นายอไุ ทย โกยชัย] หน้า 23 บทเรียนสำเรจ็ รปู เร่อื ง อารยธรรมโลกสมัยโบราณ 24

[เล่มท่ี 4 อารยธรรมโรมนั ]

เทพีอบนั ดันเชีย (อังกฤษ: Abundantia)

เป็นเทพีในตำนานเทพปกรณัมโรมันแหง่ โชคลาภ ความอุดมสมบูรณ์ และความมง่ั มี
ในตำนานเทพเจ้าโรมันอบันดันเชียหรือท่ีร้จู ักกันในชื่อ “อันโนนา” ถือว่าเป็นเทพี
ช้ันรองและเป็นผู้พิทักษ์กรวยแห่งความอุดมสมบูรณ์ ท่ีทำให้เป็นผู้แจกจา่ ยอาหาร
และเงนิ ทอง ท่มี าของกรวยแหง่ ความอดุ มสมบรู ณ์ของกรกี และโรมนั คล้ายคลึงกันท่ี
เทพซูสทรงหักเขาแพะโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งทำให้ทรงสัญญาว่ากรวยหรือเขานี้จะ
หลัง่ ไหลดว้ ยพชื พนั ธผ์ ลไมอ้ ยา่ งไมม่ ที ีส่ นิ้ สุด และใหเ้ ทพอี บันดันเชยี เป็นผู้รักษา

อะพอลโล (อังกฤษ: Apollo)

เป็นห น่ึงใน พระเจ้ าอ งค์ สำคัญ ที่สุ ดใน พระเจ้าโอลิมปั ส ใน เทพ ปก รณั มกรีก แล ะ
ศาสนากรีกโบราณ ตลอดจนเทพปกรณัมโรมันและศาสนาโรมันโบราณ อะพอลโล
ทรงเป็นอดุ มคติของคูรอส (kouros) คอื หนมุ่ นักกฬี าไมไ่ ว้หนวด และทรงไดร้ บั การ
ยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นเทพเจ้าแห่งแสงและดวงอาทิตย์ สัจจะและคำ
พยากรณ์ การรักษา โรคระบาด ดนตรี กวี ฯลฯ

เฮอรค์ ิวลีส (องั กฤษ: Hercules)

เป็นช่อื โรมันของเทคพเำจถ้าการมีกกชรือ่ อเบฮรทาคี่ ล8ีส (Heracles) เฮอรค์ วิ ลีส เป็นลูกของเทพ

ซุส และ อัลค์เมนา (มนุษย์) เฮอร์คิวลีส มีภรรยาสองคน: เทพีเมการา (Megara)
และ เทพีไดอะไนรา (Deianeira)

ภาพที่ 4.8 แสดงภาพเทพปกรณมั โรมัน

ท่ีมา : https://th.wikipedia.org/wiki/
จงบอกชอื่ ของเทพปกรณัมโรมนั ลงในตาราง ตามคุณลักษณะทกี่ ำหนดให้

เทพปกรณัมโรมนั คณุ ลกั ษณะ

1………………………………… เปน็ เทพทางการทหารที่เป็นท่สี ักการะของกองทหารโรมนั

2.……………………………….. ครอบคลุมความรกั ความงาม เพศ ภาวะเจริญพนั ธแ์ุ ละความร่งุ เรอื ง

3..………………………………. เป็นเทพีแห่งการล่าสัตว์ท่ีมีความเก่ยี วขอ้ งกบั สัตว์ปา่ , ปา่ และพระจนั ทร์

เป็นเทพเจ้าแหง่ แสงและดวงอาทติ ย์ สจั จะและคำพยากรณ์ การรักษา โรคระบาด
4.……………………………….. ดนตรี กวี

[ ]บทเรียนสำเรจ็ รปู เรื่อง อารยธรรมโลกสมัยโบราณ 25

[เลม่ ท่ี 4 อารยธรรมโรมนั ]

เทพปกรณัมโรมนั คำตอบกรอบท่ี 8

คุณลกั ษณะ

1. เทพมารส์ (Mars) เปน็ เทพทางการทหารทเ่ี ป็นทสี่ กั การะของกองทหารโรมนั

2. วีนัส (Venus) ครอบคลุมความรัก ความงาม เพศ ภาวะเจริญพันธ์ุและ
ความร่งุ เรอื ง

3. เทพีไดแอนา (Diana) เป็นเทพีแห่งการล่าสัตว์ท่ีมีความเก่ียวข้องกับสัตว์ป่า, ป่า
และพระจนั ทร์

4. อะพอลโล (Apollo) เป็นเทพเจ้าแห่งแสงและดวงอาทิตย์ สัจจะและคำพยากรณ์
การรักษา โรคระบาด ดนตรี กวี

5. เทพีวกิ ตอเรีย(Victoria)ตอบเปถน็ กู เทกพันีแไหห่งมชคยั รชับนเะพื่อนๆ
ไม่ยากเลยใชไ่ หมครบั …

เพ่ือนๆทราบหรือไม่ว่า จักรพรรดิของโรมัน
มีการป กครองและพัฒ น าอารยธรรม
แตกต่างกันอย่างไรบ้าง ถ้าอยากรู้เราไป
ศกึ ษากรอบต่อไปเลยครบั …

[ ]บทเรยี นสำเร็จรปู เร่ือง อารยธรรมโลกสมัยโบราณ 26

[เลม่ ท่ี 4 อารยธรรมโรมนั ]

กรอบท่ี 9
จักรพรรดขิ องโรมนั

จักรพรรดิของโรมันเฉพาะที่สำคญั ๆ เรียงตามลำดับเหตุการณ์ดงั นี้

1. ออกุสตุส (Augustus) 30 ปีกอ่ น ค.ศ.- ค.ศ.14 นบั เปน็ “ยคุ ทองของโรม”

2. ทเิ บริอุส (Tiberius) ค.ศ. 14-37 เพ่ิมอำนาจจักรพรรดแิ ละลดอำนาจของสภาราษฎร

3. คลอดอิ สุ (Claudius) ค.ศ. 41-54 ได้ปกครองภาคใต้ของอังกฤษ และเผยแพร่ขนบธรรมเนียม
ประเพณี วรรณคดี และภาษาของโรมันไปสู่ประเทศน้ัน นอกจากน้ยี ังยินยม
ใหม้ ีตัวแทนจากมณฑลอ่ืน ๆ เข้าร่วมประชุมสภาซีเนท นับว่าเปน็ การรวมท่ี
ไดผ้ ลวธิ ีหนง่ึ

4. เนโร (Nero) ค.ศ. 54-68 เป็นจักรพรรดิที่โหดเหี้ยมมาก เพราะทรงฆ่าพระมารดา ,
พระอนุชา, ชายา 2 องค์ รวมทั้งพระอาจารย์ของพระองค์เองคือ เซเนคา
ปรชั ญาเมธีผู้มีชอ่ื เสยี งท่านหนึง่ รวมท้ังเป็นผู้ที่ทำการจุดไฟเผากรุงโรมเพยี ง
เพ่ือความบันเทิงของตัวเอง ป้ายความผิดให้พวกคริสเตียน และประหารชวี ิต
เสียเป็นจำนวนมาก ในปลายรัชสมัยของพระองค์ได้เกิดจลาจลข้ึนในโรม
จักรพรรดิเนโรปลงพระชนม์พระองค์เอง ใน ค.ศ. 68 นับเป็นจกั รพรรดิองค์
สุดทา้ ยของราชวงศจ์ เู ลียน

5. เวสปาเชยี น (Vespasian) ค.ศ. 69-79 เดิมเป็นแม่ทัพทป่ี ราบปรามจลาจลในโรมตอนปลายสมัยเนโรได้
ขึ้นเป็นจักรพรรดิราชวงศ์เลเวียน งานชิ้นสำคัญคือโคลอสเซียม ได้ทรงส่ง
โอรสติตุส ไปปราบปรามและทำลายกรุงเจรูซาเลม็ ในปาเลสไตน์

6. ทราจัน (Trajan) ค.ศ. 98-177 รวมรูมาเนีย (ดาเซีย) เข้ามาอยู่ในบังคับของโรมและขยาย
อาณาจกั รโรมนั ออกไปกว้างขวางย่งิ ขึ้น

7. เฮเดรียน (Hadrian) ค.ศ. 117-138 ทรงขยายแนวป้องกันการรุกรานออกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในอังกฤษ ในยุโรปกลาง ระหว่างลุ่มแมน่ ้ำไรน์และแมน่ ้ำดานูบ เพื่อป้องกัน
การรกุ รานของพวกอารยชน

8. มาร์คุ ส อ อเรลี อุ ส (Marcus ค.ศ. 161-180 นับว่าเป็นกษัตริย์พระองค์สุดท้ายที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น

Aurelius) จกั รพรรดิทีม่ ี ๕ พระองค์ (ค.ศ. 96-180) ทรงเขียนหนังสือ “Meditations”

[ ]บทเรยี นสำเรจ็ รปู เรื่อง อารยธรรมโลกสมัยโบราณ 27

[เล่มท่ี 4 อารยธรรมโรมัน]

9. ไดโอเคลเชียน (Diocletian) ค.ศ. 284-305 เป็นกษัตริย์พระองค์เดียวที่สามารถทรงจัดการระงับการ
จลาจลวุ่นวายภายหลังสันติภาพโรมัน พระองค์ปกครองอาณาจักรภาค
ตะวันออกของโรมันเป็นสว่ นใหญ่ ส่วนทางตะวนั ตกได้ทรงแต่งตั้งผู้ปกครอง
อีกองค์หนึ่ง ซงึ่ การแบ่งเช่นน้ไี ด้นำไปสกู่ ารแบ่งอาณาจักรโรมันออกเป็นภาค
ตะวนั ตกและตะวนั ออกในสมัยตอ่ มา

10. คอนสแตนติน (Constantine) ค.ศ. 312-337 รวมจักรวรรดิโรมันเป็นจักรวรรดิเดียวกันได้ชั่วระยะเวลา
หน่ึง และย้ายเมืองหลวงจากโรมไป ไบแซนติอุม (Byzantium) เปล่ียน
เรียกช่ือใหม่ว่า “คอนสแตนติโนเปิล” ตามพระนามของพระองค์ (ปัจจุบัน
คือเมืองอิสตันบุล) โดยเจตนาจะให้เป็นศูนย์กลางของการปกครองดินแดน
ท้ังภาคตะวันตกแลตะวันออก แต่การท้ังน้ีกลับทำให้ประชาชนเร่ิมรู้สึก
แบ่งแยกทางจิตใจ ทางตะวันตกซึง่ มีอิตาลี สเปน โลกยังยึดอารยธรรมโรมัน
อย(ู่ Romanization) แต่ทางตะวนั ออกซ่ึงมี คอนสแตนติโนเปิล และเอเชีย
ไมเนอร์ต่างรับอารยธรรกรีก (Hellenization) และเมื่อคอนสแตนติน
ประกาศ “กฤษฎีกาแห่งมิลาน” (Edict of Milan) แล้ว คริสตศาสนาก็
สามารถเผยแพรใ่ นอาณาจักรโรมได้

ท่ีมา : https://sites.google.com/site/xarythrrmromanror/

คำถามกรอบที่ 9

จงบอกชือ่ จกั รพรรดิลงในช่องว่าง ใหต้ รงตามข้อมลู ทกี่ ำหนดให้
1. ผทู้ ีท่ ำการจุดไฟเผากรุงโรมเพยี งเพ่อื ความบันเทงิ ของตวั เอง

2. ถอื วา่ เป็นสมัยสุดท้ายของสันติภาพโรมนั (Pax Romana)

3. ยุคทองของโรม

4. ทรงขยายแนวป้องกันการรุกรานของพวกอารยชน

5. ย้ายเมอื งหลวงจากโรมไป ไบแซนตอิ มุ (Byzantium) เปลย่ี นชอ่ื เมือง
หลวงใหม่วา่ “คอนสแตนตโิ นเปิล”

[ ]บทเรียนสำเรจ็ รูป เรื่อง อารยธรรมโลกสมยั โบราณ 28

[เลม่ ท่ี 4 อารยธรรมโรมนั ]

คำตอบกรอบที่ 9

1. เนโร (Nero) ผทู้ ี่ทำการจดุ ไฟเผากรงุ โรมเพียงเพื่อความบนั เทิง
ของตัวเอง

2. มาร์คุส ออเรลอี ุส (Marcus ถือวา่ เป็นสมยั สุดท้ายของสนั ตภิ าพโรมนั
Aurelius) (Pax Romana)

3. ออกุสตุส (Augustus) ยุคทองของโรม

4. เฮเดรียน (Hadrian) ทรงขยายแนวปอ้ งกันการรกุ รานของพวกอารยชน

5. คอนสแตนตนิ (Constantine) ย้ายเมอื งหลวงจากโรมไป ไบแซนติอมุ
(Byzantium) เปลย่ี นชอื่ เมอื งหลวงใหมว่ า่

“คอนสแตนตโิ นเปิล”

[ ]บทเรียนสำเร็จรูป เร่อื ง อารยธรรมโลกสมัยโบราณ 29

[เลม่ ท่ี 4 อารยธรรมโรมัน]

แบบทดสอบหลงั เรยี น (Post-test)
เร่ือง อารยธรรมโรมนั

คำช้แี จง ใหน้ ักเรยี นกากบาท (X) ทับขอ้ ท่ีถกู ท่ีสดุ เพยี งขอ้ เดยี วในกระดาษคำตอบ

1. ลกั ษณะท่เี ปน็ เอกลกั ษณข์ องสถาปัตยกรรมแบบโรมนั คอื ข้อใด

ก. ความอ่อนช้อยสมจริง

ข. ลักษณะหัวเสาแบบดอริก

ค. แบบหลงั คารปู โดมประตูโคง้

ง. ภาพประดับดว้ ยหนิ สหี รอื โมเสก

2. ศนู ย์กลางความเจรญิ ของอารยธรรมโรมนั อยทู่ ่ใี ด

ก. กรุงโรม

ข. เกาะครีต

ค. นครรัฐเอเธนส์

ง. นครรัฐวาตกิ ัน

3. สนามกีฬากรงุ โรมหรือโคลอสเซียม สร้างข้นึ เพ่ือจดุ ประสงคใ์ ด
ก. เพอ่ื ให้ประชาชนได้พบกัน
ข. เพอื่ ให้รฐั ดูแลประชาชนไดง้ ่าย
ค. เพอ่ื แสดงความย่ิงใหญข่ องรฐั
ง. เพอ่ื ให้ประชาชนไดพ้ กั ผ่อนและนันทนาการ

4. การสรา้ งงานศลิ ปกรรมของโรมนั มจี ุดม่งุ หมายใดเปน็ หลัก
ก. เพ่ือประโยชนใ์ ชส้ อย
ข. เพอ่ื ใช้ในการประกอบพิธกี รรม

ค. เพื่อแสดงความศรทั ธาต่อเทพเจ้า

ง. เพอ่ื แสดงความย่ิงใหญข่ องจกั รวรรดิ

5. อารยธรรมโรมันตะวันตกลม่ สลายลงเพราะเหตุใด

ก. ถกู มุสลิมรกุ ราน ข. ถกู อนารยชนเผา่ เยอรมนั รุกราน

ค. เกดิ แผน่ ดินไหวบ่อยครั้ง ง. เกิดสงครามบอ่ ยครั้งทําใหก้ องทพั อ่อนแอ

[ ]บทเรยี นสำเร็จรูป เรอื่ ง อารยธรรมโลกสมยั โบราณ 30

[เลม่ ท่ี 4 อารยธรรมโรมนั ]

6. ข้อใดตอ่ ไปนี้ไม่ใช่ผลงานการสร้างสรรค์ของอารยธรรมโรมนั
ก. การสร้างถนน
ข. ระบบกฎหมาย
ค. อักษรอลั ฟาเบต
ง. การปกครองแบบสาธารณรัฐ

7. กรงุ คอนสแตนติโนเปลิ ศูนยก์ ลางของอารยธรรมโรมนั ตะวันออก ปจั จบุ ันคือเมืองใด
ก. กรงุ โรม
ข. นครเวนสิ
ค. นครอิสตันบูล
ง. นครเยรูซาเลม็

8. อารยธรรมโรมนั ตะวนั ออกเรียกอกี ชอื่ หนงึ่ ว่าอะไร
ก. อารยธรรมมายัน
ข. อารยธรรมออตโตมนั
ค. อารยธรรมไบแซนไทน์
ง. อารยธรรมเอเชยี ไมเนอร์

9. ขอ้ ใดถือเปน็ มรดกทางอารยธรรมของโรมันที่ถ่ายทอดมาสูช่ าติตา่ งๆในปจั จบุ ัน

ก. ระบบกฎหมาย

ข. ระบบรัฐธรรมนญู

ค. ระบบศักดนิ าสวามภิ กั ดิ์

ง. การปกครองระบอบประชาธิปไตย

10. จักรวรรดิโรมันตะวนั ออกสน้ิ สุดลงโดยถูกผนวกเขา้ เป็นสว่ นหนึง่ ของจกั รวรรดิใด
ก. จักรวรรดิเปอร์เซยี

ข. จกั รวรรดอิ งั กฤษ

ค. จกั รวรรดิปรัสเซยี

ง. จักรวรรดอิ อตโตมัน

[ ]บทเรยี นสำเร็จรปู เร่อื ง อารยธรรมโลกสมยั โบราณ 31

[เล่มท่ี 4 อารยธรรมโรมนั ]

เฉลยแบบทดสอบหลังเรียน

( Post - test )

1. ค
2. ก
3. ง
4. ก
5. ข
6. ค
7. ค
8. ค
9. ก
10. ง

เพือ่ นๆศึกษาจนจบบทเรียนแล้ว เรามาดูผลการประเมนิ กัน
เลยดีกว่านะครับ ในกรอบนก้ี รอบละ 1 คะแนน ถ้ากรอบใด
มีแบบทดสอบ 2 ข้อ กข็ อ้ ละ 1 คะแนน

พกั เหน่ือยก่อนนะคะ แล้วช่ัวโมงต่อไปเรามาเรียน
เรื่อง อารยธรรม…อินเดยี

[ ]บทเรยี นสำเรจ็ รูป เร่อื ง อารยธรรมโลกสมัยโบราณ 1

[เล่มที่ 5 อารยธรรมอนิ เดยี ]

สวัสดคี รบั .. บทเรยี นในเลม่ ท่ี 5 นี้ เพอ่ื นๆ จะได้ศึกษาอารยธรรมอนิ เดยี
ซึ่งเป็นอกี อารยธรรมหนึ่งที่ทกุ คนตอ้ งเรียนรู้ และนำไปใช้ในการเตรยี มสอบประเมินผล
และสอบเขา้ ศกึ ษาตอ่ ในระดบั ทส่ี ูงข้นึ

ขอให้เพอื่ นๆ ทำแบบทดสอบกอ่ นเรียน จำนวน 10 ข้อกอ่ น
โดยใหท้ ำในกระดาษคำตอบทค่ี รแู จกให้ ขอใหส้ นกุ กบั การเรียนนะครบั …..

เพือ่ นๆ ต้องซื่อสตั ย์ต่อตนเองด้วยนะครบั
เอา้ ..ทำแบบทดสอบกันเลย

คุณธรรมทตี่ อ้ งการเนน้ คอื
11. ความมวี นิ ัย
12. ความซือ่ สัตย์
13. การทำงานรว่ มกบั ผู้อน่ื

[นายอไุ ทย โกยชยั ] หนา้ 1 [ ]บทเรยี นสำเร็จรปู เรือ่ ง อารยธรรมโลกสมัยโบราณ 2

[เล่มท่ี 5 อารยธรรมอนิ เดีย]

แบบทดสอบก่อนเรยี น(Pre – test)

เร่ือง อารยธรรมอนิ เดยี

คำชแ้ี จง ให้นักเรยี นกากบาท (X) ทับขอ้ ท่ีถูกท่ีสุดเพยี งขอ้ เดยี วในกระดาษคำตอบ

1. ขอ้ ใดจัดเปน็ ลักษณะเดน่ ทางด้านสถาปตั ยกรรมของเมอื งโบราณในอนิ เดีย
ก. มีการวางผังเมืองอยา่ งเปน็ ระเบียบ
ข. นบั ถือพระพทุ ธศาสนาเป็นศาสนาประจำเมอื ง
ค. เลี้ยงสัตวเ์ พอื่ บริโภคและใชแ้ รงงาน
ง. มีการสร้างพระพุทธรปู

2. วรรณกรรมเรอื่ งรามายณะ และมหาภารตะ สะทอ้ นใหเ้ ห็นความสำคัญเก่ียวกบั เร่ืองใด
ก. ความสามัคคี
ข. การทำหนา้ ท่ี
ค. ความกตัญญูกตเวที
ง. การแสดงอภนิ ิหาร

3.“ทัชมาฮลั ” ในสมัยราชวงศ์โมกลุ สรา้ งขนึ้ เพือ่ จุดประสงคใ์ ด
ก. แสดงความย่ิงใหญ่ของอินเดยี
ข. ป้องกนั การรุกรานของขา้ ศึก
ค. ใช้ประกอบพธิ ที างศาสนาอสิ ลาม
ง. เปน็ อนสุ รณแ์ ห่งความรกั

4. การได้รับเอกราชของอินเดยี เกิดจากสาเหตขุ อ้ ใดมากที่สุด
ก. ชาวมุสลิม และอืน่ ๆ ร่วมใจการจับอาวุธขึน้ สกู้ ับอังกฤษ
ข. ชยั ชนะของพลังชาตนิ ิยมเหนอื พลงั ทหารขององั กฤษ
ค. การต่อสูแ้ บบอหงิ สาภายใต้การนำของมหาตมะ คานธี
ง. องั กฤษมีนโยบายผอ่ นปรนทจี่ ะใหเ้ อกราชแก่อินเดยี หลังสงครามโลกครง้ั ท่ี 2

[นายอไุ ทย โกยชัย] หนา้ 2 [ ]บทเรยี นสำเรจ็ รูป เรื่อง อารยธรรมโลกสมยั โบราณ 3

[เลม่ ท่ี 5 อารยธรรมอินเดยี ]

5. ลักษณะเดน่ ของอารยธรรมอนิ เดยี โบราณ คือเรือ่ งใด
ก. เปน็ แหล่งกําเนดิ ศาสนาท่ีสาํ คญั ของโลก
ข. มอี าณาเขตกว้างขวางประกอบดว้ ยหลายเชือ้ ชาติ
ค. พัฒนาจากลทั ธบิ ูชาธรรมชาติมาเปน็ นบั ถอื พระเจ้าหลายองค์
ง. เดิมเปน็ อารยธรรมของชาวผวิ ดาํ พัฒนามาเปน็ อารยธรรมของชาวผวิ ขาว

6. อารยธรรมอนิ เดยี เร่มิ ตน้ บริเวณใด
ก. ลุ่มแม่น้ําสนิ ธุ
ข. ลมุ่ แม่นํ้าคงคา
ค. เกาะศรีลงั กา
ง. เชงิ เขาหิมาลัย

7. พระมนธู รรมศาสตร์มคี วามสำคญั อย่างไร
ก. เป็นหลกั ศาสนา
ข. เปน็ หลักกฎหมาย
ค. เปน็ หลกั การศึกษา
ง. เป็นหลกั การปกครอง

8. ระบบวรรณะในอารยธรรมอนิ เดียแสดงถงึ ความเชอ่ื เรื่องใด

ก. มนุษย์ไม่สามารถเปลย่ี นแปลงสถานภาพของตนได้

ข. คนผิวขาวมีความเจรญิ ทางอารยธรรมมากกว่าคนผิวดำ

ค. มนุษยเ์ กิดมามีฐานะไม่เทา่ กนั เพราะผลกรรมทท่ี ำไวใ้ นอดีต

ง. พระพรหมไดล้ ขิ ิตชะตาชีวติ มนษุ ยไ์ วแ้ ลว้ จึงไมอ่ าจเปล่ยี นแปลงได้

9. วรรณกรรมข้อใดแสดงถงึ อิทธิพลของวรรณกรรมอนิ เดยี
ก. อิเหนา อณุ รทุ
ข. ราชาธริ าช อิเหนา
ค. ศกุนตลา รามเกียรต์ิ
ง. รามเกียรติ์ ขุนช้าง ขุนแผน

[นายอุไทย โกยชยั ] หนา้ 3 [ ]บทเรยี นสำเร็จรปู เร่อื ง อารยธรรมโลกสมัยโบราณ 4

[เล่มท่ี 5 อารยธรรมอินเดีย]

10. วรรณะใดทีเ่ กิดจากพระโอษฐ์ของพระพรหม
ก. ศทู ร
ข. แพศย์
ค. กษัตริย์
ง. พราหมณ์

ไมย่ ากเลยใชไ่ หมครบั เพื่อนๆ
ไหนลองตรวจดูสิครับ ไดก้ ่ีคะแนน

[ ][นายอุไทย โกยชยั ] หนา้ 4 บทเรยี นสำเร็จรูป เรื่อง อารยธรรมโลกสมยั โบราณ 5

[เล่มท่ี 5 อารยธรรมอนิ เดีย]

เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน( Pre - test )
เรอ่ื ง อารยธรรมอินเดีย

11. ก
12. ข
13. ง
14. ค
15. ก
16. ก
17. ข
18. ค
19. ค
20. ง

[นายอุไทย โกยชยั ] หนา้ 5 [ ]บทเรียนสำเร็จรูป เรอื่ ง อารยธรรมโลกสมัยโบราณ 6

[เลม่ ที่ 5 อารยธรรมอนิ เดยี ]

สวสั ดีครับ เพ่ือนๆ
อารยธรรมอนิ เดยี ก็น่าสนใจ นะครบั

แล้ว...เราจะศึกษาอารยธรรมอินเดียด้าน
ใดบ้างคะ

สำหรับอารยธรรมอินเดีย เราจะศึกษาเกี่ยวกับ ปัจจัยที่ส่งเสริมให้
เกิดอารยธรรมอนิ เดีย ทตี่ ั้งของอารยธรรมอนิ เดีย ยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
ของอนิ เดีย สังคมและวัฒนธรรม การสร้างสรรคอ์ ารยธรรม การขยายอำนาจ
ขององั ก ษในอินเดีย การเผยแพรแ่ ละการถา่ ยทอดอารยธรรมอินเดีย

ถ้างน้ั เรามาศกึ ษาอารยธรรม
อินเดยี ในหวั ข้อตามกรอบต่างๆ

เลยนะครับนอ้ งๆ

[นายอุไทย โกยชยั ] หนา้ 6 [ ]บทเรยี นสำเรจ็ รปู เรอ่ื ง อารยธรรมโลกสมัยโบราณ 7

[เลม่ ที่ 5 อารยธรรมอนิ เดีย]

กรอบท่ี 1 ปัจจัยทสี่ ่งเสรมิ ใหเ้ กิดอารยธรรมอินเดยี

อารยธรรมอินเดียกำเนิดข้ึนบริเวณลุ่มน้ำสินธุ เป็นเขตท่ีราบกว้างใหญ่ มีสาขาจำนวนมากไหลลงสู่
ทะเลอาหรับ ทำให้ดินแดนนี้มีความอุดมสมบูรณ์ และสามารถเดินทางติดต่อกับดินแดนเมโสโปเตเมียซ่ึงเป็น
แหลง่ อารยธรรมโลกอีกแห่งหน่งึ ได้ สภาพภมู ิประเทศดังกล่าวทำให้ลุ่มน้ำสินธุเป็นแหล่งกำเนดิ ของอารยธรรม
อนิ เดียโบราณ
ปัจจยั ทางภมู ปิ ระเทศและภมู อิ ากาศ

ในพื้นท่ีของอนิ เดียมีทรัพยากรธรรมชาติอดุ มสมบูรณ์ด้วยทองคำและโลหะท่นี ำมาผสมเป็นสำริด ส่วน
ภูมิอากาศมีลักษณะแบบลมมรสมุ ในฤดูร้อนจะมีลมที่พัดตามมหาสมุทรอินเดียทำให้ฝนตกทางตอนเหนือ ใน
ฤดูหนาวจะมีลมมรสุมพัดผ่านทำให้ท่ีราบลุ่มแม่น้ำคงคามีฝนตกชุก ส่วนบรเิ วณท่ีราบลุ่มแม่น้ำสินธุ และทรี่ าบ
สงู ภาคกลางมีภมู ิอากาศแหง้ แล้ง น้ำที่ใชใ้ นการเกษตรไดจ้ ากแม่นำ้ เปน็ หลกั
ปจั จัยทางภมู ิศาสตรข์ องอินเดยี

มีเทือกเขาหิมาลัยท่ีมีความสูงชันขนานยาวเป็นพรมแดนทางตอนเหนือ มีที่ราบลุ่มแม่น้ำสินธุและ
ทะเลทรายธาร์ทางตะวันตกเฉียงเหนือ มีที่ราบลุ่มแม่น้ำคงคาและแม่น้ำสาขาทางตะวันออกเฉียงเหนือ ทาง
ตอนใต้ลุม่ แมน่ ้ำสินธเุ ป็นบริเวณทรี่ าบสงู กว้างใหญ่

ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ดังกล่าวทำให้อินเดยี ถูกแบ่งเป็นส่วนๆ การติดต่อเป็นไปด้วยความลำบาก และเป็น
ปราการธรรมชาตทิ ีท่ ำใหอ้ ินเดยี สร้างสรรค์อารยธรรมทมี่ ีลักษณะเฉพาะ

ภาพที่ 8.1 แสดงภาพ เทอื กเขาหมิ าลัย ทะเลทรายธาร์ และดนิ ดอนปากแมน่ ้ำคงคา

ท่มี า : http://www.thaigoodview.com/node/89254

คำถามกรอบที่ 1

1. อารยธรรมอินเดยี กำเนดิ ข้นึ บริเวณใด ทำเสรจ็ เรียบรอ้ ยแลว้
ตอบ………………………………………………………………………………… ตรวจคำตอบไดเ้ ลยครับ

2. ปัจจัยทางภูมศิ าสตร์ทีส่ ง่ ผลต่อการเกิดอารยธรรมอินเดียอยา่ งไร

ตอบ…………………………………………………………………………………

[ ][นายอไุ ทย โกยชยั ] หนา้ 7 บทเรียนสำเรจ็ รปู เรือ่ ง อารยธรรมโลกสมัยโบราณ 8

[เลม่ ท่ี 5 อารยธรรมอนิ เดยี ]

คำตอบกรอบท่ี 1

1. ลุม่ นำ้ สนิ ธุ
2. ทำใหอ้ นิ เดียถกู แบง่ เปน็ สว่ นๆ การตดิ ตอ่ เปน็ ไปดว้ ยความลำบาก
และเป็นปราการธรรมชาตทิ ่ีทำใหอ้ ินเดยี สรา้ งสรรคอ์ ารยธรรมที่มีลกั ษณะเฉพาะ

กรอบท่ี 2
ที่ต้งั ของอารยธรรมอินเดีย

อารยธรรมอินเดียกำเนิดขึ้นบริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุ ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดียโบราณ
ปัจจุบันอยู่ในประเทศปากีสถาน บริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุเป็นท่ีราบลุ่มแม่น้ำกว้างใหญ่ ที่มีแม่น้ำสินธุและแม่น้ำ
สาขาเป็นจำนวนมากไหลผ่าน ทำให้ดินแดนนี้มีความอุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้บริเวณท่ีตั้งของลุ่มแม่น้ำสินธุ
สามารถติดต่อกับดินแดนเมโสโปเตเมีย ดินแดนที่เป็นแหล่งอารยธรรมโลกอีกแห่งหน่ึง สภาพภูมิประเทศ
ดงั กลา่ วทำให้ลุ่มแมน่ ้ำสนิ ธเุ ป็นแหลง่ กำเนิดของอารยธรรมอินเดียโบราณท่ีเจรญิ รุ่งเรืองเมื่อประมาณ 2,500 ปี
ก่อนคริสต์ศักราช

ภาพท่ี 8.2 แสดงแผนท่ีและทีต่ ัง้ ของอารยธรรมอินเดีย
ท่มี า : https://supawann096.files.wordpress.com/2013/02

[นายอไุ ทย โกยชยั ] หน้า 8 9

[ ]บทเรยี นสำเร็จรูป เร่อื ง อารยธรรมโลกสมยั โบราณ

[เลม่ ท่ี 5 อารยธรรมอนิ เดีย]

กรอบท่ี 3
ยุคสมยั ทางประวตั ิศาสตร์ของอนิ เดีย

สมัยก่อนประวตั ศิ าสตร์
ยุคโลหะของอินเดียเร่ิมเม่ือผู้คนรู้จักใช้ทองแดงและสำริด เม่ือประมาณ 2,500 ปี

ก่อนคริสต์ศกั ราช และรจู้ ักใช้เหล็กในเวลาตอ่ มา พบหลกั ฐานเป็นซากเมืองโบราณ 2 แห่ง ในบริเวณที่
ราบลุ่มแมน่ ้ำสนิ ธุ คอื
(1) เมอื งโมเฮนโจ ดาโร ( Mohenjo Daro ) ทางตอนใต้ของประเทศปากีสถาน
(2) เมืองฮารับปา ( Harappa ) ในแคว้นปนั จาป ประเทศปากสี ถานในปจั จุบัน

พบว่ามีความเจริญอย่างยิ่งในด้านการวางผังเมือง เพราะมีการวางผังเมืองอย่างเป็นระบบ
ระเบียบ มีระบบท่อระบายน้ำ มีสระขนาดใหญ่ภายใต้ตึก 3 ช้ัน ยุ้งฉางสำหรับเก็บผลผลิตทาง
การเกษตร และมหี ลักฐานการติดตอ่ คา้ ขายกบั ดินแดนเมโสโปเตเมยี อีกดว้ ย

เมืองโมเฮนโจ ดาโร เมืองฮารบั ปา

ภาพท่ี 8.2 แสดงภาพเมอื งโมเฮนโจ ดาโร และเมอื งฮารับปา

ทมี่ า : https://sites.google.com/site/phensirikm/neuxha-bth-reiyn/xarythrrm-xindeiy

คำถามกรอบที่ 3

1. สมัยก่อนประวัตศิ าสตรพ์ บหลักฐานซากเมอื งโบราณ 2 แหง่ บริเวณทรี่ าบล่มุ แมน่ ้ำสินธุ คือ เมอื งอะไร
ตอบ……………………………………………………………………………………………………………………………..
2. จุดเด่นของการวางผังเมอื งโบราณทั้ง 2 แหง่ คืออะไร
ตอบ……………………………………………………………………………………………………………………………..

[นายอุไทย โกยชัย] หนา้ 9 [ ]บทเรยี นสำเรจ็ รูป เรื่อง อารยธรรมโลกสมยั โบราณ 10

[เล่มที่ 5 อารยธรรมอนิ เดีย]

คคำำตตออบบกกรรออบบทท่ี ี่ 32
1. เมอื งโม1เฮ.นเกโจษตดรากโรร(มMแoลhะeเดnนิ joเรDอื aro2). 2ด.อเมรยีอื นงฮ(าDรoบั rปiaาn(sH)arappa)

2. มกี ารวางผงั เมืองอยา่ งเปน็ ระบบระเบยี บ มีระบบท่อระบายน้ำ มีสระ

ขนาดใหญภ่ ายใต้ตกึ 3 ชัน้ ยุง้ ฉางสำหรบั เก็บผลผลติ ทางการเกษตร

สมยั อารยธรรมล่มุ แม่น้ำสินธุ
สมัยอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ (ประมาณ 2,500-1,500 ปี ก่อนคริสต์ศักราช) ถอื ว่าเป็น สมัย

อารยธรรม “กง่ึ กอ่ นประวตั ิศาสตร์” เพราะมกี ารค้นพบหลักฐานจารึกเป็นตัวอักษรโบราณ แลว้ แต่ยัง
ไม่มีผู้ใดอ่านออก และไม่แน่ใจว่าเป็นตัวอักษรหรือภาษาเขียนจริงหรือไม่ ศูนย์กลางความเจริญอยู่ที่
เมอื งโมเฮนโจดาโร และเมอื งฮารัปปา รมิ ฝงั่ แมน่ ้ำสนิ ธุประเทศปากสี ถานในปัจจุบัน สันนิษฐานว่าเป็น
อารยธรรมของชนพ้ืนเมืองเดิม ท่ีเรียกว่า “ทราวิฑ” หรือ พวกดราวิเดียน (Dravidian) ลักษณะทาง
สรรี ะของคนกลุ่มน้ี คือจะมีผิวดำ ตวั เตยี้ ผมหยิก จมูกแบน ปจั จุบนั นี้ชนกลุ่มนสี้ ว่ นใหญ่จะมีถน่ิ ที่อยู่
อาศัยบรเิ วณตอนใต้ของประเทศอนิ เดยี

ภาพที่ 8.3 แสดงภาพชนพืน้ เมอื งเดมิ พวกดราวเิ ดยี น (Dravidian)
ท่ีมา : https://writer.dek-d.com/christ25/story/viewlongc.php?id=875887&chapter=12

คำถามกรอบท่ี 3

พวกดราวเิ ดียน (Dravidian) มีลักษณะทางสรรี ะอย่างไร และปจั จุบันอาศยั อยู่บรเิ วณใด
ตอบ……………………………………………………………………………………………………………

[นายอุไทย โกยชัย] หนา้ 10 11

[ ]บทเรียนสำเรจ็ รปู เร่อื ง อารยธรรมโลกสมัยโบราณ

[เลม่ ท่ี 5 อารยธรรมอนิ เดยี ]

คำตอบกรอบท่ี 3
ผิวดำ ตวั เตี้ย ผมหยิก จมกู แบน

ปัจจุบนั นีช้ นกลุม่ นี้ส่วนใหญ่จะมีถนิ่ ทอ่ี ยอู่ าศัยบรเิ วณตอนใตข้ องประเทศอนิ เดยี

สมยั ประวัติศาสตร์
อินเดยี เข้าสู่ “สมัยประวัติศาสตร์” เม่อื มกี ารประดิษฐ์ตวั อักษรขนึ้ ใช้ประมาณ 700 ปี กอ่ น

คริสต์ศักราช โดยชนเผ่าอินโด – อารยนั (Indo – Aryan) ซึ่งตั้งถนิ่ ฐานในบรเิ วณลมุ่ แม่น้ำคงคา
สมยั ประวัติศาสตรข์ องอินเดียแบ่งเป็น 3 ยุค ดังนี้

(1) ประวัติศาสตร์สมัยโบราณ เร่ิมตั้งแต่การถือกำเนิดตัวอักษรอินเดียโบราณที่เรียกว่า
“บรามิ ลิปิ”(Brahmi lipi) เมือ่ ประมาณ 700 ปีก่อนครสิ ต์ศักราช และสิ้นสุดในราวคริสต์ศตวรรษ
ที่ 6 ซ่ึงตรงกับสมัยราชวงศ์คุปตะ (Gupta) เป็นยุคสมัยที่ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู และ
พระพทุ ธศาสนาได้ถอื กำเนิดขนึ้ แล้ว

(2) ประวัตศิ าสตร์สมยั กลาง เริ่มต้งั แต่เมื่อราชวงศ์คุปะสิ้นสุดลง ประมาณคริสต์ศตวรรษท่ี
6 จนถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 เมื่อกษัตริย์มุสลิมสถาปนาราชวงศ์โมกุล (Mughul) และเข้า
ปกครองอนิ เดีย

(3) ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ เร่ิมตั้งแต่ต้นราชวงศ์โมกุล ในราวคริสต์ศตวรรษที่ 16 จนถึง
การไดร้ ับเอกราชจากอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1947

คำถามกรอบที่ 3

1. สมยั ประวัตศิ าสตร์ของอนิ เดียแบง่ เป็น 3 ยคุ อะไรบ้าง
ตอบ……………………………………………………………………………………………………………
2. ตวั อกั ษรอินเดียโบราณทเี่ รยี กว่าอะไร และอยูใ่ นยคุ ใด
ตอบ……………………………………………………………………………………………………………

[ ][นายอุไทย โกยชยั ] หน้า 11 บทเรียนสำเรจ็ รูป เรอื่ ง อารยธรรมโลกสมยั โบราณ 12

[เล่มที่ 5 อารยธรรมอนิ เดยี ]

คำตอบกรอบที่ 3
1. สมัยโบราณ สมัยกลาง และสมยั ใหม่

2. “บรามิ ลปิ ิ”(Brahmi lipi) อยู่ในยคุ ประวัติศาสตร์

สมยั โบราณ

สมยั พระเวท (ประมาณ 1,500-600 ปีก่อนครสิ ตศ์ ักราช )
เป็นอารยธรรมของชนเผ่าอินโด-อารยัน ซ่ึงอพยพมาจากเอเชียกลาง เข้ามาตั้งถ่ินฐานใน

บริเวณที่ราบล่มุ แม่น้ำสินธุและคงคา โดยขับไล่ชนพ้ืนเมอื งดราวเิ ดยี น หรือชาวทราวฑิ ใหถ้ อยรน่ ลงไป
ทางตอนใต้ของอินเดีย สมัยพระเวท แสดงถึงความเจรญิ รุ่งเรืองของศาสนาพราหมณ์ หลักฐานที่ทำให้
ทราบเรื่องราวของยุคสมัยนี้ คือ “คัมภีร์พระเวท” ซึ่งเป็นบทสวดของพวกพราหมณ์ นอกจากน้ียังมี
บทประพันธม์ หากาพย์ที่ยิ่งใหญ่อีก 2 เรอ่ื ง คือ มหากาพย์รามายณะ และมหาภารตะ บางทีจึงเรียกว่า
เป็นยคุ มหากาพย์

สมยั จกั รวรรดมิ คธ
ต้ังอยู่บริเวณภาคตะวันออกของลุ่มน้ำคงคา กษัตริย์ท่ีมีชื่อเสียงของมคธ 2 พระองค์ คือ

พระเจ้าพิมพิสาร และพระเจ้าอชาตศัตรู ในระบอบการปกครอง กษัตริย์มีพระราชอำนาจสูงสุด
มีขุนนางข้าราชการ เป็นผู้ช่วย 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการ และฝ่ายการทหาร รวมเรียกว่า
มหามาตระ สิ่งที่แสดงถึงอารยธรรมอันรุ่งเรืองของจักรวรรดิมคธคือ พระพุทธศาสนา ซ่ึงได้รับการ
อุปถัมภ์จากพระเจ้าพิมพิสารและพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นอย่างมาก จักรวรรดิมคธกลายเป็นศูนย์กลาง
ของพระพุทธศาสนา ส่งผลให้พระพุทธศาสนา ยิ่งได้รับการเผยแผ่ไปอย่างกว้างไกล ขณะเดียวกัน
ศาสนาพราหมณก์ ็กำลังเสอื่ มลง

คำถามกรอบท่ี 3

สมยั พระเวทและสมยั จกั รวรรดมิ คธ มีความเจรญิ ร่งุ เรืองทางด้านศาสนาแตกต่างกนั อย่างไร
ตอบ………………………………………………………………………………………………….……………………….

[นายอุไทย โกยชยั ] หนา้ 12 13

[ ]บทเรยี นสำเร็จรูป เร่ือง อารยธรรมโลกสมยั โบราณ

[เล่มท่ี 5 อารยธรรมอินเดีย]

คำตอบกรอบท่ี 3
สมัยพระเวทแสดงถึงความเจรญิ รงุ่ เรืองของศาสนาพราหมณ์
สมยั จักรวรรดิมคธแสดงถงึ ความเจรญิ ร่งุ เรอื งของพระพุทธศาสนา

สมยั จักรวรรดเิ มารยะ (Maurya) (ประมาณ 321-184 ปี ก่อนคริสตศ์ ักราช)
พระเจ้าจันทรคุปต์ปฐม กษัตริย์ราชวงศ์เมารยะ ได้รวบรวมแว่นแคว้นใน ดินแดนชมพูทวีปให้

เป็นปึกแผ่นภายใตจ้ ักรวรรดทิ ่ียิ่งใหญ่เป็นคร้ังแรกของอนิ เดยี สมยั ราชวงศ์เมารยะ พระพุทธศาสนาได้รับ
การอุปถัมภ์ให้เจริญรุ่งเรือง โดยเฉพาะในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช(Asoka) ได้เผยแผ่พระพุทธศาสนา
ไปยังดินแดนท้งั ใกล้และไกลรวมทั้งดินแดนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซ่ึงเผยแผเ่ ข้าสู่แผ่นดินไทย
ในยุคสมยั ที่ยังเป็นอาณาจกั รทวารวดี

สมยั จกั รวรรดิ ราชวงศ์กษุ าณะ (ประมาณ 200 ปกี อ่ นคริสตศ์ กั ราช – ค.ศ.320)
พวกกุษาณะ (Kushana) เป็นชนต่างชาติท่ีเข้ามารุกรานและต้ังอาณาจักรปกครองอินเดียทาง

ตอนเหนือ กษตั ริยท์ ่ยี ิ่งใหญ่ คอื พระเจา้ กนิษกะ รัชสมัยของพระองคอ์ ินเดียมีความเจรญิ ร่งุ เรืองทางด้าน
ศิลปวิทยาการแขนงต่างๆ โดยเฉพาะด้านการแพทย์ นอกจากน้ันยังทรงอุปถัมภพ์ ระพุทธศาสนา (นิกาย
มหายาน) ให้เจริญรุ่งเรือง โดยจัดส่งสมณทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนายังจีนและทิเบต มีการสร้าง
พระพทุ ธรปู ทีม่ ศี ิลปะงดงาม และสรา้ งเจดียใ์ หญท่ เี่ มอื ง เปชะวาร์

คำถามกรอบที่ 3

พระพุทธศาสนา ได้เผยแผไ่ ปยงั ดินแดนในภมู ภิ าคเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ในสมยั ใด
ตอบ…………………………………………………………………………………………………………………..

[นายอไุ ทย โกยชัย] หนา้ 13 14

[ ]บทเรยี นสำเรจ็ รูป เร่อื ง อารยธรรมโลกสมยั โบราณ

[เลม่ ท่ี 5 อารยธรรมอินเดีย]

คำตอบกรอบที่ 3
สมยั ราชวงศ์เมารยะ ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช

(Asoka)

สมยั จกั รวรรดิคุปตะ (Gupta) (ประมาณ ค.ศ.320-550)
พระเจ้าจันทรคุปตท์ ี่ 1 ต้นราชวงศ์คุปตะได้ทรงรวบรวมอินเดยี ให้เป็นจกั รวรรดอิ กี ครง้ั หนึ่ง ได้

ช่ือว่าเปน็ ยคุ ทองของอนิ เดีย มีความเจรญิ รุ่งเรืองในทุกๆด้าน ทงั้ ดา้ นศิลปวฒั นธรรม การเมอื ง การ
ปกครอง ปรัชญาและศาสนา ตลอดจนการค้าขายกบั ต่างประเทศ สมัยหลงั ราชวงศค์ ุปตะ หรอื ยคุ
กลางของอินเดยี (ค.ศ.550 – 1206) เปน็ ยุคท่ีจกั รวรรดแิ ตกแยกเปน็ แควน้ หรอื อาณาจกั รจำนวนมาก
ตา่ งมีราชวงศแ์ ยกปกครองกนั เอง สมยั สลุ ต่านแหง่ เดลฮี หรืออาณาจกั รเดลฮี (ค.ศ.1206-1526) เป็นยคุ
ท่พี วกมุสลิม เขา้ มาปกครองอนิ เดยี มีสุลต่านเปน็ ผ้ปู กครองที่เมอื งเดลฮี

สมัยจกั รวรรดิโมกุล (Mughul) (ประมาณ ค.ศ.1526 – 1858)
พระเจ้าบาบูร์ ผู้ก่อต้ัง ราชวงศ์โมกุลได้รวบรวมอินเดียให้เป็นปึกแผน่ อีกคร้ังหน่ึง ได้ช่ือว่าเป็น

จกั รวรรดิอสิ ลามและ เป็นราชวงศ์สดุ ทา้ ยของอินเดีย โดยอินเดียตกเป็นอาณานิคมขององั กฤษในปี ค.ศ.
1858 กษัตริย์ราชวงศ์โมกุลท่ีย่ิงใหญ่ คือ พระเจ้าอักบาร์มหาราช (Akbar) ทรงทะนุบำรุง อินเดียให้มี
ความเจริญรุ่งเรืองในทุกๆด้าน และในสมัยของชาห์ เจฮัน (Shah Jahan) ทรงสร้าง “ทัชมาฮัล” (Taj
Mahal)ซ่ึงเป็นอนุสรณ์แห่งความรัก เป็นงานสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานศิลปะอินเดียและเปอร์เซียที่มี
ความงดงามย่ิง

คำถามกรอบที่ 3

สมยั ใดไดช้ ือ่ วา่ เปน็ สมยั แหง่ จกั รวรรดิอสิ ลาม
ตอบ…………………………………………………………………………………………………………………..

[นายอไุ ทย โกยชยั ] หน้า 14 [ ]บทเรียนสำเร็จรปู เรือ่ ง อารยธรรมโลกสมัยโบราณ 15

[เลม่ ที่ 5 อารยธรรมอินเดีย]

คำตอบกรอบท่ี 3
สมยั พระเจา้ บาบรู ์ ผู้กอ่ ต้งั ราชวงศโ์ มกลุ

กรอบท่ี 4
สงั คมและวฒั นธรรมอินเดยี

ระบบวรรณะเกิดจากพวก อริยะ หรือ อารยนั ซ่ึงเขา้ มารกุ รานชนพ้นื เมืองในอินเดยี ครั้งทำสงครามกับ
เจ้าของถ่ินเดิมซ่งึ เรียกวา่ พวก ดราวิเดียน หรือทราวฑิ จนได้รบั ชัยชนะ พวกดราวเิ ดียน ตอ้ งถอยร่นลงไปทางใต้
เหล่าอริยะจงึ ใช้ศาสนาพราหมณ์เป็นเคร่ืองมือในการแบ่งวรรณะ โดยถือว่าวรรณะทั้ง 4 เกิดมาจากอวัยวะของ
พระพรหมท่ีตา่ งกัน และพระพรหมได้กำหนดหนา้ ทใี่ หว้ รรณะทั้ง 4 ตา่ ง ๆ กนั ไว้เรยี บรอ้ ยแลว้

ระบบวรรณะ คมั ภรี พ์ ระเวทแบ่งคนออกเปน็ 4 วรรณะ ไดแ้ ก่
1.วรรณะพราหมณ์ คือ ผู้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เชื่อว่ากำเนิดมาจากพระโอษฐ์(ปาก)

ของพระพรหม
2.วรรณะกษัตริย์ ทำหน้าที่ปกป้องประชาชนและเป็นผู้นำรัฐ เชื่อว่ากำเนิดมาจากพระอุระ

(หน้าอก)ของพระพรหม
3.วรรณะแพศย์ คือ พวกพอ่ คา้ คหบดี เศรษฐี และเกษตรกร ซ่ึงเปน็ วรรณะของคนสว่ นใหญใ่ น

สังคม เชอื่ วา่ กำเนดิ มาจากพระเพลา(ตกั )ของพระพรหม
4.วรรณะศทู ร คือ กรรมกร เชื่อวา่ กำเนิดมาจากพระบาท(เทา้ )ของพระพรหม

- ถา้ มีการแต่งงานข้ามวรรณะ บุตรท่ีเกดิ มาจะกลายเปน็ “จณั ฑาล”ซ่งึ เป็นที่รงั เกยี จของทกุ วรรณะ

ภาพที่ 8.3 แสดงภาพชนพ้ืนเมอื งเดมิ พวกดราวเิ ดยี น (Dravidian)
ท่ีมา : http://dhamma.serichon.us/

คำถามกรอบที่ 4

วรรณะแพศย์ คอื คนกลุม่ ใด และเชอ่ื ว่าเกดิ มาจากอวัยวะสว่ นใดของพระพรหม
ตอบ………………………………………………………………………………………………….……

[นายอุไทย โกยชัย] หนา้ 15 [ ]บทเรยี นสำเรจ็ รปู เรอื่ ง อารยธรรมโลกสมัยโบราณ 16

[เล่มท่ี 5 อารยธรรมอินเดยี ]

คำตอบกรอบท่ี 4
พวกพ่อคา้ คหบดี เศรษฐี และเกษตรกร เชอ่ื วา่ กำเนิดมาจากพระเพลา(ตกั )ของพระพรหม

ปรัชญาและลัทธขิ องสงั คมอินเดีย
อินเดียเป็นแหลง่ กำเนิดศาสนาสำคญั ได้แก่ พระพุทธศาสนา และศาสนาเชน ซ่ึง หลักคำสอนเป็น

ผลมาจากการไตรต่ รองเพอื่ หาแนวทางการดำเนินชีวิต ส่วนศาสนาพราหมณ์-ฮินดู หลักคำสอนมาจากการ
สร้างปรัชญาสนับสนุนความศรัทธาท่ีมีต่อพระเจ้า ชาวอินเดียมีความเช่ือและปฏิบัติตามหลักศาสนาอย่าง
เคร่งครัด จึงมวี ถิ ีชวี ติ คา่ นิยม และแนวคิดสมั พันธ์กบั ศาสนาอยา่ งใกลช้ ิด

เทพเจ้าของอินเดยี
ในตอนตน้ ชาวอารยันนับถือเทพเจา้ ท่ีมอี ิทธิพลต่อ ชีวติ มนุษย์เชน่ ดวงอาทติ ย์ ฝน พายภุ ายหลัง

เกิดระบบชนชั้นขึน้ ไดม้ ีการนับถอื เทพเจ้า 3 องคห์ รือพระตรมี ูรติ ได้แก่
1.พระพรหม เชอ่ื ว่าเป็นผสู้ รา้ งโลกและทุกสรรพสง่ิ
2.พระวิษณุ หรือพระนารายณ์ เปน็ เทพผ้รู ักษาคมุ้ ครองโลก
3.พระอศิ วร หรอื พระศวิ ะเป็นเทพเจ้าสูงสดุ และเปน็ เทพผู้ ทำลาย

ศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดูในบางนิกายมคี วามเชือ่ เรื่อง การทารุณโหดร้ายเช่น การบชู ายญั

คำถามกรอบที่ 4

เทพทเ่ี ชอ่ื วา่ เปน็ ผูส้ ร้างโลกและทุกสรรพสิ่ง
คอื เทพองค์ใด
ตอบ………………………………………………..……

ภาพที่ 8.4 แสดงภาพ พระศวิ ะ พระนารายณแ์ ละพระพรหม
ท่ีมา : http://www.manager.co.th/Travel/viewnews.aspx?NewsID=9560000018022

[นายอุไทย โกยชัย] หนา้ 16 17

[ ]บทเรยี นสำเร็จรปู เรือ่ ง อารยธรรมโลกสมยั โบราณ

[เลม่ ที่ 5 อารยธรรมอินเดีย]

คำตอบกรอบท่ี 4
พระพรหม

กรอบที่ 5
การสรา้ งสรรคอ์ ารยธรรมอินเดยี

ดา้ นสถาปัตยกรรม มหาสถูปสาญจี

ภาพที่ 8.5 แสดงภาพ มรดกโลกสถปู สาญจี
ทมี่ า : http://newdelhi.thaiembassy.org/th/2017/08/sanchistupa/

สถูปสาญจี (อังกฤษ: Sanchi) คำว่า สาญจี คือ ชื่อหมู่บ้านเล็กๆ ในเขต Raisen ของรัฐมัธยประเทศ

ประเทศอนิ เดีย ต้ังอยู่ทางทศิ ตะวันออกเฉยี งเหนอื 46 กิโลเมตร จากเมือง Bhopal และ 10 กิโลเมตรจากเมือง

Vidisha ในส่วนกลางของรฐั มัธยประเทศ ซ่งึ เป็นทตี่ ั้งของอนุสรณส์ ถานทางพระพทุ ธศาสนาในช่วงพทุ ธศตวรรษ

ท่ี 3 -12 และเปน็ หนง่ึ ในสถานทส่ี ำคญั ในการแสวงบญุ ของชาวพุทธในดนิ แดนพทุ ธภูมิ

มหาสถูปสาญจี คือ โครงสร้างหินเก่าแก่ท่ีสุดในอินเดีย ซึ่งสร้างโดยคำส่ังของพระเจ้าอโศกมหาราช

ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 3 แกนกลางของสถูป คือ โครงสร้างอิฐรูปคร่ึงวงกลมที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ของ

พระพุทธเจ้า ด้านบนของสถูปปัก ฉัตรวลี (รม่ หลายชั้นที่ปกั อยู่บนยอดสถูป) สถูปแห่งนจ้ี ึงสร้างขึ้นเพื่อเป็นการ

ให้เกียรติและเป็นที่เก็บรักษาพระบรมสารีริกธาตุ ซุ้มประตูทั้ง 4 ด้านแกะสลักและตกแต่งอย่างหรูหรา และมี

ราวระเบียงลอ้ มรอบท้ังสถูป คำถามกรอบที่ 5

ตมอหบาส…ถ…ปู …ส…าญ…จ…ี …สร…้า…งข…ึ้น…เพ…่อื…อ…ะ…ไร…………ว…รร…ดณ…า้ …นกปร…ภรฏ…ามษทิ…นิา…แแล…ละ…ะด…้า…น…………………….

[นายอุไทย โกยชยั ] หนา้ 17 18

[ ]บทเรียนสำเร็จรปู เรอื่ ง อารยธรรมโลกสมยั โบราณ

[เลม่ ท่ี 5 อารยธรรมอินเดยี ]

คำตอบกรอบท่ี 5
เพื่อเปน็ การให้เกยี รตแิ ละเปน็ ท่ีเก็บรกั ษาพระบรมสารรี กิ ธาตุ

ดา้ นสถาปตั ยกรรม ทัชมาฮาล

ภาพท่ี 8.6 แสดงภาพ ทชั มาฮาล

ทีม่ า : https://www.applicadthai.com/art-inspire/

ในปี ค.ศ. 1628 เจ้าชายขุร์รัมเสด็จขน้ึ ครองราชบังลังก์ ทรงพระนามว่า พระเจ้าชาห์ จาฮาน โดยมพี ระนาง

อรชุมนั ท์ ซงึ่ ได้สมัญญานามว่า “มมุ ตัซ มาฮาล” (Mumtaz Mahal) ซ่ึงแปลว่า “อัญมณีแหง่ ราชวัง” เป็นพระมเหสีคู่

พระทัย พระนางทรงเป็นทัง้ คู่คดิ ทป่ี รกึ ษา เปน็ ที่รกั ใครข่ องพสกนิกรท่วั หล้า คร้ันในปี ค.ศ. 1631 พระมเหสีมุมตัซ มา

ฮาลได้ส้นิ พระชนม์ลงในออ้ มกอดของพระเจา้ ชาห์ จาฮาน อย่างไมค่ าดคดิ หลังจากให้กำเนิดทายาทองคท์ ี่ 14 เพียง 1

ช่ัวโมง การส้ินพระชนม์ของพระมเหสีอันเป็นที่รกั ท่ีครองคู่กันมาถงึ 18 ปีทำใหพ้ ระองค์โศกเศร้า ทกุ ข์ระทมอย่างแสน

สาหัสอยู่นานถึง 2 ปี จึงโปรดให้สร้าง “ทัชมาฮาล” ขึ้นมาอย่างวิจิตรอลังการตามคำขอของพระนางก่อนจากไปว่า

“ใหพ้ ระองค์สร้างอนุสาวรยี ท์ ฝ่ี ังศพของเธอให้โลกพิศวงด้วยเถิด”

ทชั มาฮาลต้ังอยู่บริเวณ ริมฝั่งแม่น้ำยมุนา ในเมืองอัครา ประเทศอินเดีย ใช้เวลากอ่ สร้างและตกแต่งนานถึง

22 ปีระหว่างปี ค.ศ.1632-1654 ทุกส่วนสร้างด้วยหินอ่อนสีขาวนวลบริสุทธ์ิ ศิลาแลง ประดับลวดลายเครื่องเพชร

พลอย หิน โมราและเคร่ืองประดับจากมิตรประเทศ ตามแบบสถาปัตยกรรมแนวโมกุลของอินเดีย และอาหรับ

เปอร์เซียน มุสลิม ใช้คนงานและช่างฝีมือร่วมในการก่อสร้างประมาณ 20,000 คน เป็นผลงานการออกแบบจาก

สถาปนิกนามวา่ อสุ ตาด อาหเ์ หม็ด ลาเฮารี (Ustad Ahmad Lahauri) ซึง่ ภายหลงั ถูกประหารชีวติ พรอ้ มกบั นายชา่ งที่

รว่ มกันก่อสร้าง เนอ่ื งจาก พระเจ้าชาห์ จาฮาน ไมท่ รงปรารถนาใหน้ ายช่างฝีมือเหล่านี้ไปออกแบบสถาปตั ยกรรมใดๆ

ท่สี วยไปกวา่ ท่ีน่ี

คำถามกรอบท่ี 5 ทัชมาฮาล สร้างข้นึ เพือ่ อะไร และสรา้ งดว้ ยอะไร
ตอบ…………………………………………….………………

[นายอไุ ทย โกยชยั ] หนา้ 18 [ ]บทเรียนสำเร็จรูป เรื่อง อารยธรรมโลกสมยั โบราณ 19

[เล่มที่ 5 อารยธรรมอนิ เดยี ]

คำตอบกรอบที่ 5

เปน็ อนุสรณส์ ถานแห่งความรัก ของพระเจ้าชาห์ จาฮาน และพระมเหสีมมุ ตซั มาฮาล สรา้ งด้วยหนิ อ่อนสี
ขาวนวลบริสทุ ธ์ิ ศลิ าแลง ประดบั ลวดลายเครื่องเพชร พลอย หิน โมราและเครื่องประดับจากมติ รประเทศ

ด้านประตมิ ากรรม

ศลิ ปะแบบสาญจี (Sanchi)
ศิลปะอินเดียโบราณบางครั้งเรียกว่าศิลปะแบบสาญจีหรือแบบราชวงศ์โมริยะ และแบบสมัยพระเจ้า

อโศกมหาราชที่เรียกว่าตงุ คะ ตั้งแต่ปลายพุทธศตวรรษที่ 3 ถึงพุทธศตวรรษที่ 6 ศาสนสถานทเ่ี หลือร่องรอยอยู่
คอื สถูปรูปโอคว่ำ ตั้งอยู่บนฐานมีฉัตรปกั เป็นยอด แตเ่ ดิมสถาปัตยกรรมส่วนใหญค่ งเป็นไม้ เนื่องจากภาพสลัก
นนู ต่ำหรอื ถำ้ ท่ีขดุ เขา้ ไปในภเู ขาเลียนแบบสถาปัตยกรรมแบบไม้ เช่น ทถ่ี ้ำราชา เพทสา และการล์ ี

สำหรับประติมากรรมท่ีเก่าแก่ที่สุดคงเป็นเสาของพระเจ้าอโศกมหาราชราวปลายพุทธศตวรรษที่ 3
ทำเป็นรูปสิงห์ตามแบบศิลปะในเอเชียไมเนอร์ บัวหัวเสารูประฆังคว่ำได้รับอิทธิพลจากศิลปะอิหร่าน ส่วน
ประตมิ ากรรมลอยตัวมีรปู ร่างใหญ่และหนา เชน่ รูปยักษ์ท่ีเมือง ประขมั สว่ นใหญ่ของงานประตมิ ากรรมสมัยน้ี
เป็นภาพสลักบนรั้วและประตูลอ้ มรอบสถูป

เสาอโศก (Pillars of Ashoka) และจารกึ ลวยลายต่างๆโตรณะสถูปสาญจี สงิ โตรองรบั ธรรมจักรเหนอื บวั หวั เสา
ภาพท่ี 8.7 แสดงภาพ ศิลปะแบบสาญจี

ที่มา : https://www.gotoknow.org/posts/449843

คำถามกรอบที่ 5

ประติมากรรมเสาของพระเจ้าอโศกมหาราชมลี กั ษณะแบบใด
ตอบ………………………………………………………………………………………………………………..

[นายอุไทย โกยชัย] หนา้ 19 20

[ ]บทเรียนสำเรจ็ รปู เรอ่ื ง อารยธรรมโลกสมัยโบราณ

[เล่มที่ 5 อารยธรรมอนิ เดีย]

คำตอบกรอบที่ 5

ทำเปน็ รูปสงิ หต์ ามแบบศลิ ปะในเอเชียไมเนอร์ บวั หัวเสารูประฆงั ควำ่ ไดร้ ับอิทธิพลจากศิลปะอหิ รา่ น

ด้านประติมากรรม (ต่อ)

พระพุทธรปู คันธาระ (Candhara)
นับว่าเป็นพระพุทธรูปที่สวยงามและเก่าแก่ท่ีสุดในโลก การสร้างพระพุทธรูปหรือพุทธปฎิมา เกิดขึ้น

คร้ังแรกของโลก โดยฝีมือของช่างแควน้ คันธารราฐ เกิดขนึ้ เมื่อประมาณ พ.ศ. 370 ทไี่ ดร้ ับอิทธิพลจากกรีกและ
โรมัน เพราะอินเดียเคยอยู่ภายใต้การปกครองของพระเจา้ อเลก็ ซานเดอร์มหาราช ซง่ึ เคยกรีฑาทัพมา ต้ังแต่ใน
ราว 2 ศตวรรษกอ่ นคริสตกาล พวกเขาได้ถือรปู แบบเคารพเดิมที่เป็นเทพเจ้าของตนท่ีเคยปฏิบัติสืบทอดตอ่ ๆ
กันมา ประดิษฐ์สร้างพระพุทธรูปขึ้น เม่ือพวกเขาหันมานับถือศาสนาพุทธ การสร้างพระพุทธรูป ครั้งแรกจึง
เกิดขน้ึ ที่นี่จึงถอื วา่ เป็นการผสมผสานระหวา่ งกรีกโรมนั (อิทธพิ ล Greco-Roman) และอินเดยี โบราณ ทสี่ มั พันธ์
กับมหาปรุ สิ ลักษณะ ๓๒ ประการ ของพระพทุ ธเจา้ อย่างลงตวั พระพุทธรูปคันธาระจงึ ได้รบั การยอมรับจากทั่ว
โลกวา่ มพี ทุ ธศิลปงามท่ีสุด และเกา่ แกท่ ส่ี ดุ ของโลก มอี ายุราว 2,000 ปี

ปางลีลา ปางประทานพร ปางสมาธิ ปางปฐมเทศนา

ภาพที่ 8.7 แสดงภาพพระพุทธรปู คันธาระ
ทีม่ า : https://metricsyst.files.wordpress.com/2013/02/02.jpg

คำถามกรอบที่ 5

แนวคดิ ในการสรา้ งพระพทุ ธรูปแบบคันธาระ เป็นการผสมผสานระหว่างแหล่งอารยธรรมใด
ตอบ……………………………………………………………………………………………………..

[ ]บทเรียนสำเร็จรปู เรือ่ ง อารยธรรมโลกสมัยโบราณ 21

[เล่มท่ี 5 อารยธรรมอินเดยี ]

คำตอบกรอบท่ี 5
ผสมผสานระหวา่ งกรกี โรมัน (อทิ ธิพล Greco-Roman) และอนิ เดียโบราณ

ด้านประตมิ ากรรม (ตอ่ )

พระพุทธรปู ศิลปะมถรุ า (Mathura)
ประติมากรรมในสมัยน้จี ะนิยมใช้หินทรายสีชมพูแก่ ลักษณะของพระพทุ ธรปู ในสมัยนีแ้ มจ้ ะยังคงแสดง

ให้เห็นอทิ ธิพลของศิลปะแบบคันธาระอยูบ่ ้าง แต่พระพักตรข์ องพระองคจ์ ะมีลกั ษณะคล้ายชาวอินเดียมากขึ้น
พระเศียรมีลักษณะกลม ผ้าจีวรบางยิ่งกว่าแบบคันธาระและแนบสนิทกับลำตัว นอกจากน้ียังมีภาพสลักบน
งาช้างและกระดูกด้วยวธิ ีแกะสลัก ศิลปะแบบมถุราระยะหลังยังคงรักษาการประดิษฐ์แบบธรรมชาติของศลิ ปะ
อนิ เดยี โบราณไว้

ภาพท่ี 8.8 แสดงภาพพระพุทธรปู ศิลปะมถรุ า
ทม่ี า : http://art603.blogspot.com/p/blog-page_13.html

คำถามกรอบท่ี 5

พระพทุ ธรูปศิลปะมถรุ ามีลักษณะแบบใด
ตอบ…………………………………………………………………………………………………………………

[นายอุไทย โกยชัย] หนา้ 21 22

[ ]บทเรยี นสำเรจ็ รูป เร่ือง อารยธรรมโลกสมยั โบราณ

[เล่มที่ 5 อารยธรรมอินเดยี ]

คำตอบกรอบท่ี 5
พระพักตร์ของพระองค์จะมีลกั ษณะคล้ายชาวอนิ เดยี พระเศียรมลี กั ษณะกลม ผา้ จวี รบาง

ด้านประติมากรรม (ต่อ)

ศลิ ปะแบบอมราวดี (Amaravati)
มีลักษณะผสมผสาน โดยบางส่วนจะคล้ายกับมถุรา ลักษณะแบบอมราวดีจะแสดงความเคล่ือนไหว

ตน่ื เต้นมากในระยะแรกและต่อมาค่อยสงบลง แล้วกลับแสดงท่าเคลื่อนไหวใหม่อีกครั้ง ภาพบุคคลไม่มีรูปร่าง
สมบูรณ์ดังแต่กอ่ น ศลิ ปะแบบนี้จะเป็นการผสมระหว่างศิลปะอนิ เดียสมัยโบราณและการทำตามอุดมคตปิ ะปน
กบั การแสดงชวี ิตจติ ใจ ภาพทีส่ ำคัญในสมยั นจ้ี ะเปน็ ภาพในวงกลมแสดงการนำบาตรหรอื เกศาของพระพุทธเจ้า
ขน้ึ ไปสู่สวรรค์ พระพุทธรูปอมราวดีมักจะครองจีวรห่มเฉียง จีวรเป็นร้ิวท้ังองค์ และท่ีเบ้ืองล่างใกล้พระบาทมี
ขอบจวี รหนายกจากทางด้านขวาขน้ึ มาพาดขอ้ พระหตั ถซ์ ้าย

ภาพที่ 8.9 แสดงภาพศลิ ปะและพระพทุ ธรูปอมราวดี
ท่มี า : http://art603.blogspot.com/p/blog-page_13.html

คำถามกรอบท่ี 5
พระพทุ ธรปู ศิลปะอมราวดีมีลักษณะแบบใด
ตอบ…………………………………………………………………………………………………………………

[นายอุไทย โกยชัย] หนา้ 22 23

[ ]บทเรยี นสำเร็จรปู เร่ือง อารยธรรมโลกสมยั โบราณ

[เล่มท่ี 5 อารยธรรมอนิ เดีย]

คำตอบกรอบที่ 5

จะครองจีวรหม่ เฉียง จีวรเปน็ ริ้วทง้ั องค์ และที่เบื้องล่างใกล้พระบาทมขี อบจีวรหนา ยกจากทาง
ด้านขวาข้ึนมาพาดข้อพระหัตถซ์ า้ ย

ดา้ นประตมิ ากรรม (ต่อ)

(ตอ่ )

ศิลปะแบบคุปตะ (Gupta)
ถือเป็นยุคทองศิลปะอินเดีย ซ่ึงลักษณะศิลปะแบบคุปตะน้ัน มีลักษณะสมัยใหม่ที่พัฒนาจากศิลปะ

แบบเก่า มีความสมดุลได้สัดส่วน มีความละเอยี ดออ่ นสวยงามที่เปน็ ธรรมชาติ มีรูปรา่ งและเส้นเด่นชัด ซ่ึงแสดง
ให้เห็นความเป็นตัวของตนเองในทางสร้างสรรค์ ผลงานที่สร้างสรรค์ ผลงานที่สำคัญคือพระพุทธรูป เช่น
สารนาถ (Sarnath) และมถุรา (Mathura) ภาพสลักนูนสูงท่ีถ้ำเอลลูรา จิตรกรรมท่ีถ้ำอชันตาเป็นภาพใน
พระพุทธศาสนาที่สมบูรณ์ท้ังในดา้ นองค์ประกอบและความสมดุล พระพุทธรูปสมัยคุปตะมชี ่ือเสียงแพร่หลาย
มากท่ีสุด เน่ืองจากเป็นพระพุทธรูปท่ีแสดงความอ่อนโยน ความเมตตากรุณาลักษณะที่สงบน่ิงสำรวม ศิลปะ
สมยั คุปตะจงึ มอี ทิ ธิพลต่อศลิ ปะในสมยั หลังๆสืบต่อมาอีกหลายศตวรรษ

ภาพท่ี 8.10 แสดงภาพศลิ ปะแบบคุปตะ
ทมี่ า : http://www.amuletscience.com

คำถามกรอบท่ี 5

ศิลปะแบบคปุ ตะ มีลักษณะแบบใด
ตอบ…………………………………………………………………………………………………………………


Click to View FlipBook Version