ก ค ำน ำ สถานศึกษาในสังกดัสา นกังาน กศน.จงัหวดัอา นาจเจริญ ไดด้า เนินการจดัทา คู่มือเรียน รายวชิา ประวัติศาสตร์ชาติไทยรหัสวิชา สค 33104 สาระการพัฒนาสังคม ระดับ มัธยมศึกษาตอนปลายเพื่อใช้ ประกอบการจดัการเรียนการสอน หลกัสูตรการศึกษานอกระบบระดบัการศึกษาข้นัพ้ืนฐาน พุทธศกัราช 2551 สาระส าคัญของรายวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย คือ ยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ไทยการสร้างความรู้ ทางประวัติศาสตร์ไทย ประเด็นส าคัญทางประวัติศาสตร์ไทยผลงานบุคคลส าคัญในการสร้างสรรค์ชาติไทย สามารถนา ความรู้ที่ไดไ้ปปรับใชใ้นการพฒันาตนเองครอบครัว ชุมชน สังคม ผเู้รียนสามารถนา คู่มือการ เรียน ไปศึกษาคน้ควา้ไดด้ว้ยตนเอง ทา ความเขา้ใจในเน้ือหาสาระของบทเรียนแลว้จดัทา กิจกรรมทา้ยบท สถานศึกษาในสังกดัสา นกังาน กศน.จงัหวดัอา นาจเจริญ ขอขอบคุณผู้เรียบเรียงและคณะผู้จัดท า ทุกท่าน ที่ไดใ้หค้วามร่วมมือเป็นอยา่งดีและหวงัเป็นอยา่งยงิ่วา่คู่มือการเรียนชุดน้ีจะเป็นประโยชน์ในการจดัการ เรียนรู้ของครูและผเู้รียนต่อไป ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอ าเภอเมือง อ านาจเจริญ มิถุนายน 2560
ข สารบัญ หน้า ค าน า ก สารบัญ ข ค าอธิบายรายวิชา ค รายละเอียดค าอธิบายรายวิชา ง บทที่ 1 เวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ไทย 4 เรื่องที่ 1 เวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ไทย 10 บทที่2การสร้างองคค์วามรู้ใหม่ทางประวตัิศาสตร์ไทย 31 เรื่องที่ 1 การสร้างองค์ความรู้ใหม่ทางประวัติศาสตร์ไทย 34 เรื่องที่ 2 ข้นัตอนของวธิีการทางประวตัิศาสตร์ 35 เรื่องที่ 3 หลักฐานทางประวัติศาสตร์ 35 บทที่ 3 ประเด็นส าคัญทางประวัติศาสตร์ไทย 49 เรื่องที่ 1 แนวคิดเกี่ยวกบัความเป็นมาของชนชาติไทย 49 เรื่องที่ 2 ปัจจยัที่มีผลต่อการสถาปนาอาณาจกัรไทย 53 เรื่องที่ 3 บทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ 59 เรื่องที่ 4 การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 63 เรื่องที่ 5 บทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ในการพัฒนาชาติไทย 77 บทที่ 4 ผลงานบุคคลส าคัญในการสร้างสรรค์ชาติไทย 83 เรื่องที่ 1 พระมหากษัตริย์ที่มีบทบาทในการสร้างสรรค์ชาติไทย 83 เรื่องที่ 2 พระบรมวงศานุวงศ์ที่มีบทบาทในการสร้างสรรค์ชาติไทย 155 เรื่องที่ 3 ขนุนางและชาวต่างชาติที่มีบทบาทในการสร้างสรรคช์าติไทย 165 บรรณานุกรม คณะท างาน
ค ค าอธิบายรายวิชาเลือกเสรี วิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย รหัส สค 33104จ านวน 2 หน่วยกิต ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย มาตรฐานการเรียนรู้ระดับ มีความรู้ความเขา้ใจและตระหนกัถึงความสา คญัเกี่ยวกบัภูมิศาสตร์ประวตัิศาสตร์เศรษฐศาสตร์ การเมือง การปกครอง สามารถน ามาปรับใช้ในการด ารงชีวิต ศึกษาและฝึ กทักษะเกี่ยวกับเรื่องต่อไปนี้ 1. ยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ไทย :ความหมายความสา คญัคุณค่า ยคุสมยัทางประวตัิศาสตร์ไทย การแบ่งยคุสมยัทางประวตัิศาสตร์ไทย 2. การสร้างความรู้ทางประวัติศาสตร์ไทย :ความหมายความสา คญัคุณค่า หลกัฐานทาง ประวัติศาสตร์ไทยประเด็นส าคัญทางประวัติศาสตร์ไทย : ความหมายความสา คญัคุณค่า แนวคิดเกี่ยวกบัความเป็นมาของชนชาติไทย ปัจจยัที่มีผลต่อการสถาปนาอาณาจกัรไทย บทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ในการพัฒนาชาติไทย 3. ผลงานบุคคลส าคัญในการสร้างสรรค์ชาติไทย : ความหมายความสา คญัคุณค่า พระมหากษัตริย์ที่มีบทบาทในการสร้างสรรค์ชาติไทย พระบรมวงศานุวงศ์ที่มีบทบาท ในการ สร้างสรรค์ชาติไทย ขนุนางและชาวต่างชาติที่มีบทบาทในการสร้างสรรคช์าติไทย การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ เน้นให้ผู้เรียนได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้จากการอภิปรายกลุ่ม ศึกษาจากใบความรู้เอกสารประกอบการ เรียนการสอนและเอกสารที่เกี่ยวขอ้งศึกษาจากอินเตอร์เน็ตผูรู้้/ผูเ้ชี่ยวชาญสื่อวดีีทศัน์การทา ใบงานการทา แบบทดสอบเรียนรู้ดว้ยตนเองการรายงาน การศึกษาจากแหล่งเรียนรู้ประสบการณ์ตรงโดยใชส้ถานการณ์ จริงและฝึกปฏิบตัิเกี่ยวกบั ประวตัิศาสตร์ชาติไทย การวัดและประเมินผล ประเมินจากแบบทดสอบ จากสภาพจริง จากการสังเกต การอภิปราย การสัมภาษณ์ ผลการ ปฏิบตัิงาน การมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ความสนใจในกระบวนการเรียนรู้ความรับผดิชอบในการ ปฏิบัติงาน
ง รายละเอียดค าอธิบายรายวิชาเลือกเสรี วิชาประวัติศาสตร์ชาติไทยรหัส สค 33104จ านวน 2 หน่วยกิต ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย มาตรฐานการเรียนรู้ระดับ มีความรู้ความเขา้ใจ และตระหนกัถึงความส าคญัเกี่ยวกบัภูมิศาสตร์ประวัติศาสตร์เศรษฐศาสตร์ การเมือง การปกครอง สามารถน ามาปรับใช้ในการด ารงชีวิต ที่ หัวเรื่อง ตัวชี้วัด เนื้อหา จ านวน ชั่วโมง 1 ยุคสมัยทาง ประวัติศาสตร์ไทย 1. มีความรู้ความเข้าใจความส าคัญ ของยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ไทย 2. ตระหนกัเห็นคุณค่ายคุสมยัทาง ประวัติศาสตร์ไทย 3. สามารถน าความรู้มาปรับใช้ใน การด ารงชีวิต เรื่องที่ 1 เวลาและยุคสมัยทาง ประวัติศาสตร์ไทย 20 2 การสร้างองค์ความรู้ ใหมทาง่ ประวัติศาสตร์ไทย 1. มีความรู้ความเข้าใจความส าคัญ ของการสร้างองค์ความรู้ใหม่ทาง ประวัติศาสตร์ไทย 2. ตระหนกัเห็นคุณค่าการสร้าง ความรู้ทางประวัติศาสตร์ไทย 3. สามารถน าความรู้มาปรับใช้ใน การด ารงชีวิต เรื่องที่ 1 การสร้างองค์ความรู้ ใหม่ทางประวตัิศาสตร์ไทย เรื่องที่2 ข้นัตอนของวธิีการทาง ประวัติศาสตร์ เรื่องที่ 3 หลักฐานทาง ประวัติศาสตร์ 20
จ ที่ หัวเรื่อง ตัวชี้วัด เนื้อหา จ านวน ชั่วโมง 3 ประเด็นส าคัญทาง ประวัติศาสตร์ไทย 1. มีความรู้ความเข้าใจความส าคัญ ของประเด็นส าคัญทาง ประวัติศาสตร์ไทย 2. ตระหนกัเห็นคุณค่า ประเด็น ส าคัญทางประวัติศาสตร์ไทย 3. สามารถน าความรู้มาปรับใช้ใน การด ารงชีวิต เรื่องที่ 1 แนวคิดเกี่ยวกบัความ เป็ นมาของชนชาติไทย เรื่องที่ 2 ปัจจยัที่มีผลต่อการ สถาปนาอาณาจักรไทย เรื่องที่ 3 บทบาทของสถาบัน พระมหากษัตริย์ เรื่องที่ 4 การเปลี่ยนแปลงการ ปกครอง พ.ศ.2475 เรื่องที่ 5 บทบาทของสถาบัน พระมหากษัตริย์ในการพัฒนา ชาติไทย 20 4 ผลงานบุคคลส าคัญใน การสร้างสรรค์ชาติ ไทย 1. มีความรู้ความเข้าใจความส าคัญ ของผลงานบุคคลส าคัญในการ สร้างสรรค์ชาติไทย 2 . ตระหนกัเห็นคุณค่าผลงาน บุคคลส าคัญในการสร้างสรรค์ ชาติไทย 3. สามารถน าความรู้มาปรับใช้ใน การด ารงชีวิต เรื่องที่ 1 พระมหากษัตริย์ที่มี บทบาทในการสร้างสรรค์ชาติ ไทย เรื่องที่ 2 พระบรมวงศานุวงศ์ที่มี บทบาทในการสร้างสรรค์ชาติ ไทย เรื่องที่ 3 ขนุนางและชาวต่างชาติ ที่มีบทบาทในการสร้างสรรค์ ชาติไทย 20
1 ค าอธิบายรายวิชาเลือกเสรี วิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย รหัส สค33104 จ านวน 2 หน่วยกิต ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย มาตรฐานการเรียนรู้ระดับ มีความรู้ความเขา้ใจและตระหนกัถึงความสาํคญัเกี่ยวกบัภูมิศาสตร์ประวตัิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง การปกครอง สามารถนํามาปรับใช้ในการดํารงชีวิต ศึกษาและฝึ กทักษะเกี่ยวกับเรื่องต่อไปนี้ 1. ยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ไทย :ความหมายความสาํคญัคุณค่า ยคุสมยัทาง ประวตัิศาสตร์ไทยการแบ่งยุคสมยัทางประวตัิศาสตร์ไทย 2. การสร้างความรู้ทางประวัติศาสตร์ไทย :ความหมายความสาํคญัคุณค่า หลกัฐานทาง ประวัติศาสตร์ไทยประเด็นสําคัญทางประวัติศาสตร์ไทย : ความหมาย ความสําคัญ คุณค่าแนวคิดเกี่ยวกบัความเป็นมาของชนชาติไทย ปัจจยัที่มีผลต่อการสถาปนา อาณาจักรไทย บทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ในการพัฒนาชาติไทย 3. ผลงานบุคคลสําคัญในการสร้างสรรค์ชาติไทย : ความหมายความสาํคญัคุณค่า พระมหากษัตริย์ที่มีบทบาทในการสร้างสรรค์ชาติไทย พระบรมวงศานุวงศ์ที่มี บทบาท ในการสร้างสรรค์ชาติไทย ขนุนางและชาวต่างชาติที่มีบทบาทในการสร้างสรรคช์าติไทย การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ เน้นให้ผู้เรียนได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้จากการอภิปรายกลุ่ม ศึกษาจากใบความรู้เอกสาร ประกอบการเรียนการสอนและเอกสารที่เกี่ยวขอ้งศึกษาจากอินเตอร์เน็ตผูรู้้/ผูเ้ชี่ยวชาญสื่อวีดีทศัน์ การทาํ ใบงานการทาํแบบทดสอบเรียนรู้ด้วยตนเอง การรายงาน การศึกษาจากแหล่งเรียนรู้ ประสบการณ์ตรงโดยใช้สถานการณ์จริงและฝึกปฏิบตัิเกี่ยวกบั ประวตัิศาสตร์ชาติไทย การวัดและประเมินผล ประเมินจากแบบทดสอบ จากสภาพจริง จากการสังเกต การอภิปราย การสัมภาษณ์ ผล การปฏิบตัิงาน การมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ความสนใจในกระบวนการเรียนรู้ความ รับผิดชอบในการปฏิบัติงาน
2 รายละเอียดค าอธิบายรายวิชาเลือกเสรี วิชาประวัติศาสตร์ชาติไทยรหัส สค 33104 จ านวน 2 หน่วยกิต ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย มาตรฐานการเรียนรู้ระดับ มีความรู้ความเข้าใจ และตระหนักถึงความสําคัญเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง การปกครอง สามารถนํามาปรับใช้ในการดํารงชีวิต ที่ หัวเรื่อง ตัวชี้วัด เนื้อหา จ านวน ชั่วโมง 1 ยุคสมัยทาง ประวัติศาสตร์ไทย 1. มีความรู้ความเข้าใจ ความสําคัญของยุคสมัยทาง ประวัติศาสตร์ไทย 2. ตระหนกัเห็นคุณค่ายคุสมยั ทางประวัติศาสตร์ไทย 3. สามารถนําความรู้มาปรับใช้ ในการดํารงชีวิต เรื่องที่ 1 เวลาและยุคสมัยทาง ประวัติศาสตร์ไทย 20 2 การสร้างความรู้ทาง ประวัติศาสตร์ไทย 1. มีความรู้ความเข้าใจ ความสําคัญของการสร้างความรู้ ทางประวัติศาสตร์ไทย 2. ตระหนกัเห็นคุณค่าการสร้าง ความรู้ทางประวัติศาสตร์ไทย 3. สามารถนําความรู้มาปรับใช้ ในการดํารงชีวิต เรื่องที่ 1 หลักฐานทาง ประวัติศาสตร์ไทย เรื่องที่2คุณค่าของประโยชน์ ของวิธีการทางประวัติศาสตร์ที่มี ต่อการศึกษาทางประวตัิศาสตร์ เรื่องที่ 3 หลักฐานทาง ประวัติศาสตร์ 20 3 ประเด็นสําคัญทาง ประวัติศาสตร์ไทย 1. มีความรู้ความเข้าใจ ความสําคัญของประเด็นสําคัญ ทางประวัติศาสตร์ไทย 2. ตระหนกัเห็นคุณค่า ประเด็น สําคัญทางประวัติศาสตร์ไทย 3. สามารถนําความรู้มาปรับใช้ ในการดํารงชีวิต เรื่องที่ 1 แนวคิดเกี่ยวกบัความ เป็ นมาของชนชาติไทย เรื่องที่ 2 ปัจจยัที่มีผลต่อการ สถาปนาอาณาจักรไทย เรื่องที่ 3 การปฏิรูปประเทศใน สมัยรัชกาลที่ 5 เรื่องที่ 4 การเปลี่ยนแปลงการ ปกครอง พ.ศ.2475 20
3 ที่ หัวเรื่อง ตัวชี้วัด เนื้อหา จ านวน ชั่วโมง เรื่องที่ 5 บทบาทของสถาบัน พระมหากษัตริย์ในการพัฒนา ชาติไทย 4 ผลงานบุคคลสําคัญใน การสร้างสรรค์ชาติ ไทย 1. มีความรู้ความเข้าใจ ความสําคัญของผลงานบุคคล สําคัญในการสร้างสรรค์ชาติไทย 2 . ตระหนกัเห็นคุณค่าผลงาน บุคคลสําคัญในการสร้างสรรค์ ชาติไทย 3. สามารถนําความรู้มาปรับใช้ ในการดํารงชีวิต เรื่องที่ 1 พระมหากษัตริย์ที่มี บทบาทในการสร้างสรรค์ชาติ ไทย เรื่องที่ 2 พระบรมวงศานุวงศ์ที่มี บทบาทในการสร้างสรรค์ชาติ ไทย เรื่องที่ 3 ขนุนางและชาวต่างชาติ ที่มีบทบาทในการสร้างสรรค์ ชาติไทย 20
4 เวลาและยุคสมยัทางประวตัิศาสตร ์ไทย สาระส าคัญ ประวัติศาสตร์ไทยเป็ นการศึกษาเรื่องราวในอดีตของมนุษย์นักประวัติศาสตร์ได้ กาํหนดเวลาและยคุสมยัทางประวตัิศาสตร์ข้ึนมา เช่น กาํหนดเวลาเป็นปีศกัราช หรือกาํหนดเป็น สหัสวรรษ ศตวรรษ และทศวรรษในการกาํหนดยคุสมยันกัประวตัิศาสตร์ไดถ้ือเอาลกัษณะเด่น ของเหตุการณ์เป็ นเกณฑ์เพื่อใหส้ามารถเขา้ใจและจดจาํยุคสมยัน้นัๆ ได้ประวัติศาสตร์จึงมี ความสาํคญัซ่ึงจะช่วยใหผ้ศู้ึกษาเกิดความเขา้ใจง่ายและตรงกนั ผลการเรียนรู้ทคี่าดหวงั 1. สามารถบอกเวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ไทยได้ 2. ตระหนักถึงความสําคัญของเวลาและยุคสมัยทางประวัติ ศาสตร์ที่แสดงถึงการ เปลี่ยนแปลงของมนุษยชาติ ขอบข่ายเนื้อหา 1. การนับเวลา 2. การนับและการเทียบศักราชในประวัติศาสตร์ไทย 3. การแบ่งยคุสมยัทางประวตัิศาสตร์ กจิกรรมการเรียนรู้ 1. ศึกษาเอกสารการเรียนรู้ 2. ปฏิบตัิกิจกรรมที่ไดร้ับมอบหมาย สื่อประกอบการเรียนรู้ 1. คู่มือการเรียนรู้ 2. แบบฝึ กหัด ประเมินผล 1. แบบฝึ กหัด 2. ประเมินผลจากการทดสอบกลางภาคและปลายภาคเรียน
5 บทที่ 1 เรื่อง เวลาและยุคสมัยทางประวตัิศาสตร์ ความหมายทางประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์(อังกฤษ:history; รากศัพท์ภาษากรีกἱστορία หมายถึง "การสอบถาม ความรู้ที่ไดม้าโดยการสอบสวน") เป็นการคน้พบ รวบรวม จดัระเบียบและนาํเสนอขอ้มูลเกี่ยวกบั เหตุการณ์ในอดีต ประวตัิศาสตร์ยงัอาจหมายถึงช่วงเวลาหลงัมีการประดิษฐต์วัอกัษรข้ึน นกัวิชาการ ผูเ้ขียนเกี่ยวกับประวตัิศาสตร์เรียกนักประวัติศาสตร์ประวัติศาสตร์เป็ นสาขาการวิจัยซึ่ งใช้การ บรรยายเพื่อพิจารณาและวิเคราะห์ลําดับของเหตุการณ์และบางคร้ังพยายามสอบสวนรูปแบบของ เหตุและผลซ่ึงมีอิทธิพลต่อเหตุการณ์อยา่งยุติธรรม นกั ประวตัิศาสตร์ถกเถียงกนัเรื่องธรรมชาติของ ประวัติศาสตร์และประโยชน์ของมนัซ่ึงรวมท้งัถกเถียงการศึกษาสาขาวิชาเป็นจุดจบในตวัมนัเอง และเป็นเสมือนวิถีการให้"มุมมอง" ต่อปัญหาในปัจจุบนัเรื่องเล่าซ่ึงเป็นสิ่งธรรมดาในวฒันธรรม ใดวฒันธรรมหน่ึง แต่ไม่มีการสนับสนุนจากแหล่งขอ้มูลภายนอก (เช่น ตาํนานเกี่ยวกบั กษัตริย์ อาเธอร์) มกัจดัเป็นมรดกทางวฒันธรรมมากกวา่"การสอบสวนอยา่งไม่นาํพา" ที่จาํเป็นตามสาขา ประวตัิศาสตร์เหตุการณ์ในอดีตก่อนมีบนัทึกลายลกัษณ์อกัษรเรียกวา่ยคุก่อนประวตัิศาสตร์ 1. การนับเวลา ประวตัิศาสตร์คือการศึกษาเรื่องราวต่างๆ ในอดีตโดยมีความสัมพนัธ์ก่อให้เกิดความง่าย ต่อการทาํความเขา้ใจในเหตุการณ์ต่างๆ โดยมีระยะเวลาเป็นตวักาํหนดในการศึกษาเรื่องราวการนบั เวลาและการเปรี ยบเทียบศักราชในการศึกษาเรื่ องราวทางประวัติศาสตร์ มักนิยมใช้การระบุ ช่วงเวลาเพื่อให้ทราบถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดข้ึน โดยจะแบ่งเป็น 2ลกัษณะคือการนบัเวลาแบบ ไทย และการนับเวลาแบบสากลการนับเวลาแบบไทยในประวัติศาสตร์ไทย จะมีการบันทึกเรื่องราว ต่างๆ โดยมีการอา้งอิงถึงการนบัช่วงเวลาแตกต่างกนัไปตามแต่ละทอ้งถิ่นมีดงัน้ี 1.1 การนับเวลาแบบไทย มี4 แบบ 1) การนับการเวลาในรอบวัน (24 ชม.) วธิีนบัเวลาตามประเพณีแบ่งเป็น 3 ช่วงหลกัคือโมง ทุ่ม และตี „โมง หมายถึง วิธีนับเวลาตามประเพณีในเวลากลางวนัถ้าเป็นเวลาก่อนเที่ยงวนั ต้งัแต่7 นาฬิกาถึง 11 นาฬิกา เรียกวา่ โมงเชา้ถึง 5โมงเชา้ถา้เป็น 12 นาฬิกา นิยมเรียกวา่เที่ยงวนั ถา้หลงัเที่ยงวนัต้งัแต่13 นาฬิกาถึง 17 นาฬิกา เรียกวา่บ่ายโมงถึง บ่าย 5 โมงถา้18 นาฬิกา นิยม เรียกวา่6โมงเยน็หรือย่าํคํ่า „ ทุ่ม หมายถึงวธิีนบัเวลาตามประเพณีสาํหรับ 6 ชวั่ โมงแรกของกลางคืน ต้งัแต่19 นาฬิกาถึง 24 นาฬิกา เรียกวา่1 ทุ่ม ถึง 6 ทุ่ม แต่6 ทุ่ม นิยมเรียกวา่สองยาม
6 „ ตีหมายถึง วิธีนบัเวลาตามประเพณีในเวลากลางคืน หลงัเที่ยงคืน ต้งัแต่1 นาฬิกา ถึง 6 นาฬิกา เรียกวา่ตี1ถึง ตี6แต่ตี6 นิยมเรียกวา่ย่าํรุ่ง ชื่อเรียกต่างๆ เหล่าน้ีมาจากเสียงของการบอกเวลาแต่โบราณ ซ่ึงใชฆ้อ้งในการบอกโมงยาม ในเวลากลางวนัและใช้กลองในเวลากลางคืน คาํว่า "โมง"อนัเป็นเสียงเลียนธรรมชาติของเสียง ฆอ้ง และ "ทุ่ม" ซ่ึงเป็นการเลียนเสียงกลอง ตีเป็นคาํกริยาสามารถหมายถึงทาํให้เกิดเสียง ส่วน "เชา้"และ"บ่าย" เป็นคาํช่วยแบ่งคร่ึงช่วงกลางวนั ชวั่ โมงที่หกของแต่ละส่วนน้นัเรียกโดยใชค้าํแตกต่างกนัชวั่ โมงที่หกที่ตรงกบัรุ่งเชา้น้นัจะ เรียกวา่ย่าํรุ่ง ชวั่ โมงที่หกในช่วงเยน็น้นัจะเรียกวา่ย่าํค่าํซ่ึงท้งัสองคาํหมายถึงการตีฆอ้งหรือกลอง เป็นลาํดบัเพื่อบอกให้ทราบถึงการเปลี่ยนช่วงเวลา (ย่าํ) ส่วน รุ่ง และค่าํหมายถึง ช่วงเชา้และช่วง เยน็ที่ใชแ้สดงถึงเวลา ช่วงที่อยกู่ลางกลางวนัและกลางคืนเรียกวา่เที่ยงวนัและเที่ยงคืน ตามลาํดบั เที่ยงคืนยงัถูกเรียกว่า สองยาม ซ่ึงหมายความว่าเป็นจุดสิ้นสุดของการนบัยามช่วงที่สอง นอกเหนือจากน้ีหกทุ่ม และ ตีหก ยังอาจใช้หมายถึงเที่ยงคืนหรือหกโมงเช้า ส่วนรูปแบบยสี่ิบสี่ชวั่ โมงตามแบบสากลน้นั ใชใ้นระดบัเป็นทางการอยา่งเช่น ข่าว รายงานหรือประกาศการอ่านใหเ้ติมคาํวา่นาฬิกา หลงัตวัเลข0ถึง 24 เวลา นาฬิกาหกชั่วโมง นาฬิกาหกชั่วโมง (แผลง) นาฬิกายี่สิบสี่ชั่วโมง 1:00 น. ตีหนึ่ง ตีหนึ่ง หนึ่งนาฬิกา 2:00 น. ตีสอง ตีสอง สองนาฬิกา 3:00 น. ตีสาม, สามยาม ตีสาม สามนาฬิกา 4:00 น. ตีสี่ ตีสี่ สี่นาฬิกา 5:00 น. ตีห้า ตีห้า ห้านาฬิกา 6:00 น. ตีหก, ย่าํรุ่ง หกโมงเช้า, หกโมง หกนาฬิกา 7:00 น. หนึ่งโมงเช้า เจ็ดโมงเช้า, เจ็ดโมง เจ็ดนาฬิกา 8:00 น. สองโมงเช้า แปดโมงเช้า, แปดโมง แปดนาฬิกา 9:00 น. สามโมงเช้า เกา้โมง เกา้นาฬิกา 10:00 น. สี่โมงเช้า สิบโมง สิบนาฬิกา 11:00 น. ห้าโมงเช้า สิบเอ็ดโมง สิบเอ็ดนาฬิกา 12:00 น. เที่ยงวัน, เที่ยง, ยํ่าเที่ยง เที่ยงวัน, เที่ยง สิบสองนาฬิกา 13:00 น. บ่ายหน่ึงโมง บ่ายโมง, บ่ายหน่ึง สิบสามนาฬิกา 14:00 น. บ่ายสองโมง บ่ายสอง สิบสี่นาฬิกา 15:00 น. บ่ายสามโมง บ่ายสาม สิบห้านาฬิกา
7 เวลา นาฬิกาหกชั่วโมง นาฬิกาหกชั่วโมง (แผลง) นาฬิกายี่สิบสี่ชั่วโมง 16:00 น. บ่ายสี่โมง บ่ายสี่, สี่โมงเย็น, สี่โมง สิบหกนาฬิกา 17:00 น. บ่ายหา้โมง ห้าโมงเย็น, ห้าโมง สิบเจ็ดนาฬิกา 18:00 น. หกโมงเย็น, ยํ่าคํ่า หกโมงเย็น, หกโมง สิบแปดนาฬิกา 19:00 น. หน่ึงทุ่ม หน่ึงทุ่ม สิบเกา้นาฬิกา 20:00 น. สองทุ่ม สองทุ่ม ยี่สิบนาฬิกา 21:00 น. สามทุ่ม, ยามหนึ่ง สามทุ่ม ยี่สิบเอ็ดนาฬิกา 22:00 น. สี่ทุ่ม สี่ทุ่ม ยี่สิบสองนาฬิกา 23:00 น. หา้ทุ่ม หา้ทุ่ม ยี่สิบสามนาฬิกา 24:00 น., 00:00 น. เที่ยงคืน, หกทุ่ม, สองยาม เที่ยงคืน, หกทุ่ม ยี่สิบสี่นาฬิกา, ศูนย์นาฬิกา 2) การนับยามกลางคืน เป็ นการนับเวลากลางคืนในประเทศไทยสมัยโบราณ ยาม เป็นคาํภาษาบาลีที่เรานาํมาใช้ในภาษาไทย จนไม่คิดวา่เป็นคาํบาลีแลว้แต่มกัก่อให้เกิดความ สับสนในเวลาใชอ้ยคู่าํหน่ึงคือคาํวา่ “ยาม” ซ่ึงบาลีออกเสียงวา่ “ยา-มะ” คาํวา่ “ยาม” ที่เรานบักนัตามแบบไทย ๆ กบั “ยาม” ของแขกตามที่ปรากฏในบาลีน้นั แตกต่างกนัท้งัน้ีเพราะคืนหน่ึงเราแบ่งเป็น 4 ยาม ยามละ 3 ชวั่ โมง * ต้งัแต่ย่าํค่าํคือ18 นาฬิกา ถึง 3 ทุ่ม (21 นาฬิกา) เป็ นยามที่ 1 * หลังจาก 21 นาฬิกา หรือ 3 ทุ่ม ไปถึง 24 นาฬิกา หรือเที่ยงคืน เราเรียกวา่ยาม 2 หรือ 2 ยาม * หลัง 24 นาฬิกา ไปถึงตี 3 (3 นาฬิกา) เราเรียกวา่ยาม 3 * หลังจากตี 3 ไปจนย่าํรุ่ง หรือ6 นาฬิกา เราเรียกวา่ยาม 4 ซึ่งเป็ นยามสุดท้ายของคืน 3) การบอก วัน เดือน ขึ้น แรม ใช้เครื่องหมายอังคั่น เดี่ยว(ฯ) คั่น 3 ตวัอยา่ง เช่น วัน 2 ฯ 7 คํ่า เลขที่อยหู่นา้เครื่องหมาย ฯ หมายถึงวนัในสัปดาห์โดยให้1แทนอาทิตย์ที่ 2 แทน วันจันทร์ เรื่อยไปจนถึง 7 แทนวันเสาร์ เลข 2 ในตวัอยา่งน้ีหมายถึงจนัทร์ เลขที่อยหู่ลงัเครื่องหมาย ฯ หมายถึง เดือนทางจนัทรคติในตวัอยา่งคือเดือน 7 เลขที่อยบู่นหรือขา้งล่าง เครื่องหมาย ฯ หมายถึงข้ึนแรมกี่ค่าํถา้อยขู่า้งบนเป็นขา้งข้ึน ในตวัอยา่งคือข้ึน 3 ค่าํแต่ถา้อยขู่า้งล่างก็เป็นขา้งแรม
8 การอ่านวนัเดือน ข้ึนแรมแบบน้ีอ่านตามลาํดบัดงัน้ี 3 วัน 2 ฯ 7 อ่านวา่วนัจนัทร์เดือน 7 ข้ึน 3 คํ่า วัน 7 ฯ 2 อ่านวา่วนัเสาร์เดือนยี่แรม 11 คํ่า 11 4) การนับปี นักษัตร หรือ นักขัต เป็ นปี ตามปฏิทินสุริยคติไทยและชาติอื่นในเอเชีย ตะวนัออกเช่น จีน เวียดนาม และญี่ปุ่น แบ่งเป็นรอบปีรอบละสิบสองปีแต่ละปีกาํหนดสัตว์เรียก เป็นชื่อเรียงกนัไป โดยความเชื่อเรื่องปีนกัษตัรน้นัมีที่มาจากจีน 1.2 การนับศักราช ศักราช หมายถึงอายเุวลาซ่ึงกาํหนดต้งัข้ึนเป็นทางการเริ่มแต่จุดใดจุดหน่ึง ซ่ึงถือวา่ เป็ นที่หมายเหตุการณ์สําคัญ เรียงลําดบักนัเป็นปีๆ ไป เช่น พุทธศกัราช 1 2 3 .. จุลศักราช 1 2 3 ... (ตามความนิยมที่ใชเ้ป็นธรรมเนียมกนัมาคาํ ศักราชในคํา เช่นพุทธศกัราช คริสตศ์กัราชจะใชว้า่ศก เป็ น พุทธศก คริสต์ศกก็ไดแ้ต่คาํเช่น มหาศกัราช จุลศกัราช ไม่นิยมใชว้า่มหาศกจุลศกส่วน คําวา่รัตนโกสินทรศกไม่นิยมใชว้า่ รัตนโกสินทรศักราช) (ปาก)โดยปริยายหมายความวา่ช่วงใด ช่วงหน่ึงซ่ึงเริ่มตน้เหตุการณ์สาํคญั ในชีวติบุคคลเช่น เริ่มศกัราชแห่งชีวิตใหม่พอเรียนหนงัสือจบก็ เริ่มศกัราชของการทาํงาน 1) พุทธศักราช (พ.ศ.) เป็ นศักราชทางพระพุทธศาสนา นิยมใชก้นั ในหลายประเทศ ที่นับถือพุทธศาสนาสําหรับประเทศไทยเริ่มใช้พุทธศกัราชมาต้งัแต่สมยัอยุธยาต้งัแต่สมยัสมเด็จ พระนารายณ์มหาราช และนาํมาใชอ้ยา่งแพร่หลายเป็นแบบอยา่งของทางราชการต้งัแต่พ.ศ. 2455 รั ช ส มั ย พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ ม ง ก ฎ เกล้า เจ้าอยู่หัวเ ป็ น ต้ น ม า จ น ถึ ง ปั จ จุ บั น 2) มหาศักราช (ม.ศ.) เป็ นศกัราชพระเจา้กนิษกะกษตัริยข์องอินเดีย ซ่ึงพ่อคา้อินเดีย และพวกพราหมณ์นําเข้ามาเผยแพร่ในเวลาติดต่อการคา้กับไทยในสมยัโบราณ จะมีปรากฏใน ศิลาจารึกไทยรับเอาวิธีการนบัเวลาน้ีมาใช้ในสมัยอยุธยา เพื่อการคํานวณทางโหราศาสตร์ใช้บอก เวลาในจารึก ตํานานพระราชพงศาวดาร จดหมายเหตุต่างๆ จนมาถึงสมยัพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกลา้เจา้อยหู่วั(รัชกาลที่5) จึงเลิกใช้ปี มหาศักราชที่1จะตรงกบั ปีพุทธศกัราช 621 3) จุลศักราช ( จ.ศ.) เป็นศกัราชที่กษตัริย์ของพม่าสมยัอาณาจกัรพุกาม ทรงมี พระราชดาํริข้ึนภายหลงัพุทธศักราช 1181 โดยไทยรับเอาวิธีการนบัเวลาน้ีมาใช้ในสมยัอยุธยา เพื่อการคํานวณทาง โหราศาสตร์ ใช้บอกเวลาในจารึก ตํานาน พระราชพงศาวดาร จดหมายเหตุ ต่าง ๆ จนมาถึงสมยัพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้เจา้อยหู่วั (รัชกาลที่5)จึงเลิกใช้
9 4) รัตนโกสินทร์ศก (ร.ศ) เป็ นศักราชที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจา้อยู่หัว (รัชกาลที่5)ทรงต้งัข้ึนในปีพุทธศกัราช2432โดยกาํหนดให้นบั ปีที่พระบาทสมเด็จพระพุทะยอดฟ้า จุฬาโลกมหาราช สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อปี พุทธศักราช 2325 เป็ นรัตนโกสินทร์ศกที่ 1 และ ใหเ้ริ่มใชศ้กัราชน้ีในทางราชการต้งัแต่วนัที่1 เมษายน ร.ศ.108 (พ.ศ.2432) เป็ นต้นมา 5) คริสต์ศักราช ค.ศ. เป็ นศักราชที่ใชเ้หตุการณ์สาํคญัทางคริสตศ์าสนาเป็นจุดเริ่มตน้ เริ่มนบัต้งัแต่ปีที่พระเยซูประสูติเป็นปีค.ศ. 1 สาํหรับช่วงเวลาก่อนพระเยซูประสูติใหเ้รียกเป็นก่อน คริสตศ์กัราช (ก่อน ค.ศ. หรือ B.C = Before Christ) 1.3 การเทียบศักราช ศกัราชแบบต่างๆดงัที่กล่าวมาขา้งตน้ สามาราถนาํมาเปรียบเทียบใหเ้ป็น ศกัราชแบบเดียวกนั โดยสามารถดูจากตาราง ดงัต่อไปน้ี หลักเกณฑ์การเทียบศักราช ม.ศ.+621=พ.ศ พ.ศ.-621=ม.ศ. จ.ศ.+1181=พ.ศ. พ.ศ.-1181=จ.ศ. ร.ศ.+2325=พ.ศ. พ.ศ.-2325=ร.ศ. 1.4 ทศวรรษ ศตวรรษ สหัสวรรษ 1) ทศวรรษ คือ ช่วงเวลาในรอบ 10 ปีเริ่มนบัที่0จบดว้ย9 ซ่ึงร่วมระยะเวลา 10 ปี จะนิยมบอกศักราชเป็ น คริสต์ศักราช ตวัอยา่ง ทศวรรษที่60 นบัต้งัแต่ช่วงระหวา่งคริสตศ์กัราช 1960 ‟ 1969 2) ศตวรรษ คือ ช่วงเวลาในรอบ 100 ปีเริ่มนบัที่1จบดว้ย100 ซ่ึงร่วมระยะเวลา 100 ปีจะบอกศกัราชไดท้ ้งัพุทธศกัราช และคริสตศ์กัราช ตวัอยา่ง พุทธศตวรรษที่21 นบัต้งัแต่ ช่วงเวลา พุทธศกัราช 2001‟2100คริสต์ศตวรรษที่21 นบัต้งัแต่ช่วงเวลาคริสต์ศักราช 2001 ‟ 2100 3) สหสัวรรษ คือ ช่วงเวลาในรอบ 1000 ปีเริ่มนบัที่1จบดว้ย1000 ซ่ึงร่วมระยะเวลา 1000 ปีสหสัวรรษเพิ่งเริ่มใชเ้มื่อตอนเปลี่ยนสหสัวรรษที่2 เป็นสหสัวรรษที่3 เพิ่งเริ่มใชเ้มื่อ พุทธศักราช 2543และ คริสต์ศักราช 2000จะบอกศกัราชไดท้ ้งัพุทธศกัราช และคริสตศ์กัราช ตวัอยา่งที่สหสัวรรษที่2 นบัต้งัแต่ช่วงเวลา พุทธศกัราช 1001 -2000 สหสัวรรษที่2 นบัต้งัแต่ช่วงเวลา คริสตศ์กัราช 1001 -2000
10 การแบ่งยุคสมัยทางประวตัิศาสตร์ แบ่งยุคสมยัทางประวตัิศาสตร์เป็นการแบ่งช่วงเวลาโดยกาํหนดให้เชื่องโยงกบัเหตุการณ์ ประวตัิศาสตร์ซ่ึงแบ่งตามลกัษณะของนกั ประวตัิศาสตร์และนกัโบราณคดีที่ได้แบ่งยุคสมยัทาง ประวัติศาสตร์ตามลักษณะหลักฐานออกเป็ น 2 สมัยคือ สมัยก่อนประวตัิศาสตร์และสมัย ประวัติศาสตร์ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ สมยัก่อนประวตัิศาสตร์คือ สมยัที่ยงัไม่มีลายลกัษณ์อกัษรเพื่อใช้ในการสื่อสาร ดงัน้ัน การศึกษาเรื่องราวของมนุษย์ยุคน้ันจึงต้องศึกษาจากเครื่องมือเครื่องใช้เช่น เครื่ องมือหิน เครื่องป้ันดินเผา รวมท้งัสภาพแวดลอ้ม เช่น ถ้าํเพิงผา ที่อยูอ่าศยัและร่องรอยต่างๆ ที่มนุษยย์ุคน้นั ทิ้งไว้เช่น ภาพเขียนตามผนังถ้ําและเพิงผาโครงกระดูก เมล็ดพืช และซากสัตว์สมัยก่อน ประวตัิศาสตร์สามารถแบ่งออกไดด้งัน้ี 1. ยุคหิน คือยคุที่มนุษยร์ู้จกันาํหินมาทาํเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ซ่ึงแบ่งตามลกัษณะของ เครื่องมือหินออกได้อีก 3ยคุไดแ้ก่ยคุหินเก่ายคุหินกลางและยคุหินใหม่ 2. ยุคโลหะคือยคุที่มนุษยร์ู้จกันาํโลหะมาทาํเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ซ่ึงสามารถแบ่งออก ได้เป็ น 2ยคุไดแ้ก่ยคุสาํริดและยคุหินเหล็ก
11 สมัยประวัติศาสตร์ สมยัประวตัิศาสตร์คือ สมยัที่มีการใชล้ายลกัษณ์อกัษรในการสื่อสาร ปัจจุบนัการแบ่งช่วง สมัยประวัติศาสตร์ไทย มีหลายแนวคิดแบ่งตามการแบ่งช่วงสมยัประวตัิศาสตร์เอเชียตะวนัออก เฉียงใต้ คือ พ.ศ. 800 ดงัน้นัการแบ่งช่วงสมยัประวตัิศาสตร์ไทยจึงถือว่าต้งัแต่ประมาณพ.ศ. 800 ลงมา เป็ นสมัยประวัติศาสตร์ การเบ่งยุคสมัยทางประวตัิศาสตร์ไทย แบ่งตามระยะเวลาของเมืองหลวง ดงัน้ี 1. สมัยก่อนสุโขทัย เริ่มตน้เมื่อประมาณ พ.ศ. 800 เนื่องจากประมาณเวลาช่วงดงักล่าวมี บนัทึกของพ่อคา้นกัเดินทางสํารวจชาวโรมนัหรืออียิปตโ์บราณ กล่าวถึง ดินแดนแหลมทอง หรือ สุวรรณภูมิโดยเรียกวา่ ไครเช (Chryse) หรือโกลเดนเคอร์ซอนเนส (Golden Khersones ) ซ่ึงแปลวา่ แหลมทอง ดงัน้นัจึงถือวา่ ประวตัิศาสตร์ไทยเริ่มตนประมาณ พ.ศ. ้ 800 ต้นมา
12 1. สมัยสุโขทยั ดินแดนประเทศไทยในปัจจุบนั ปรากฏชื่อมาเนิ่นนานจากคาํเรียกขานของชาวอินเดียและ ชาวตะวันตก วา่สุวรรณภูมิดินแดนแห่งทองและความมงั่คงั่สาํหรับคนไทยทวั่ ไปแลว้เมื่อต้งั คาํถามวา่ ใครอยทู่ ี่สุวรรณภูมิมาก่อน และคนไทยมาจากไหนจึงมาต้งัรกรากอยทู่ ี่สุวรรณภูมิน้ีได้ เรามกันึกถึงผคู้นที่สร้างบา้นแปลง เมืองข้ึนมาในยคุสุโขทยัเป็นอนัดบัแรกและเราก็มกัลืมนึกถึง ผคู้นที่อพยพลงมาจากทางเทือกเขาอนัไต ผา่นทะเลทรายโกบีอนัร้อนแรงและเหน็บหนาวอยา่ง ที่สุดในฤดูหนาวผา่นลงมาถึงน่านเจา้หยดุพกัสร้างอาณาจกัรข้ึนที่นนั่แต่ก็ตอ้งถูกตีจนถอยร่นลง มาต้งัอาณาจกัรสุโขทยัข้ึนและเราก็อาจนึกถึงบทเพลงปลุกใจ ที่เคยร้องกนัวา่...เราถอยไปไม่ได้อีก แล้ว ผืนดินสิ้นแนวทะเลกว้างใหญ่... แต่ปัจจุบนัความคิดดงักล่าวน้ีกาํลงัถูกสั่นคลอนอยา่งหนกั จากวงวิชาการวา่คน ไทยมิไดอ้พยพมาจากเทือกกเขาอนัไต และราชธานีสุโขทยัก็มิไดเ้ป็น อาณาจกัรอิสระแห่งแรกของคนไทยเพราะก่อนหนา้ที่สุโขทยัจะเกิดข้ึนน้นัมีอาณาจกัรอื่น ต้งัเป็น แวน่แควน้ข้ึนมาก่อนแลว้ ความพยายามที่จะคน้ควา้คาํตอบวา่คนไทยมาจากไหน ทาํใหช้่วง 2-3 ทศวรรษที่ผา่นมามี การตื่นตวัถกเถียงและเสนอความคิดเกี่ยวกบัถิ่นกาํเนิดของคนไทยอยา่งกวา้งขวางกลุ่มหน่ึงเชื่อวา่ ไทยมีตน้กาํเนิดอยู่บริเวณมณฑลเสฉวน แลว้ค่อยๆอพยพลงสู่ยนูานและแหลมอินโดจีนเพราะถูก รุกรานความเชื่อน้ีสอดคลอ้งกบักลุ่มที่เชื่อวา่คนไทยอพยพลงมาจากเทือกเขาอลัไตทาํใหเ้กิด เส้นทางอพยพอัลไต-เสฉวน-น่านเจา้และสุโขทยัข้ึน อีกกลุ่มหน่ึงเชื่อวา่คนไทยมีถิ่นกาํเนิดกระจายอยทู่วั่ ไปในบริเวณทางตอนใตข้องจีน และ ทางตอนเหนือของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงบริเวณรัฐอัสสัมของอินเดีย ขณะที่อีกกลุ่มหน่ึง เชื่อวา่ถิ่นเดิมของคนไทยอยูบ่ริเวณเน้ือที่ประเทศไทยปัจจุบนักลุ่มสุดทา้ยเชื่อวา่ถิ่นกาํเนิดของคน ไทยอาจจะอยใู่นคาบสมุทรมาลายูเนื่องจาก พบวา่ความถี่ของยนีและหมู่เลือดของคนไทยคลา้ยคลึง กบัชาวชวามากกวา่จีน ถึงวนัน้ีทฤษฎีอลัไต-เสฉวน-น่านเจา้จะดูน่าเชื่อถือ น้อยที่สุด เพราะเหตุที่วา่เทือกเขาอลัไตอยใู่นเขตหนาวจดัไม่ เหมาะแก่การอยูอ่าศยัทะเลทรายโกบีก็ร้อนและ หนาวจดัเกิน
13 กวา่จะอพยพผา่นเส้นทางทุรกนัดารลงมาได้รวมท้งัหลกัฐานหลายอยา่งที่ช้ีวา่อาณาจกัรน่านเจา้ มิไดเ้ป็นหลกัฐานเดิมของกลุ่มคนที่พูดภาษาตระกูลไท ขณะที่ทฤษฎีอัลไตเป็นไปไดน้อ้ยที่สุดแนวคิดที่วา่คนไทยอยทู่ ี่นี่รวมท้งักระจายตวัอยู่เป็นวง กว้างในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลับมีความเป็ นไปได้มากที่สุด หลักฐาน สําคัญที่สนับสนุนทฤษฎี น้ีก็คือการคน้พบแหล่งโบราณคดีที่บา้นเชียงจงัหวดัอุดรธานีใน ปีพ.ศ. 2510 โดยขดุคน้หลายช้นัดิน พบโครงกระดูกมนุษยโ์บราณปนอยกู่บัโลหะสาํริดในช้นัดิน แรกประมาณว่ามีอายุเก่าแก่ถึง 6000 ปีช้ันดินถัดมาพบโครงกระดูกมนุษย์ฝังปนกับ เครื่องป้ันดินเผาลูกปัด ประมาณว่ามีอายุระหวา่ง 2000-4000 ปีและในช้นัดินส่วนบนสุดก็ยงัพบ โบราณวตัถุมีลูกปัดหินลูกปัดแกว้สีรวมท้งัเสมาหิน สมยัทวารวดีและลพบุรีปะปนอยูด่ว้ยหลกัฐาน ต่างๆที่ขุดพบน้ีแสดงให้เห็นวา่ภาคอีสาน ของไทยมีมนุษยอ์ยูเ่ป็นเวลานานมาแลว้และยงัอยูอ่าศยั หลายยคุอยา่งต่อเนื่องอีกดว้ยแต่เราก็มิอาจสรุปไดว้า่กลุ่มคนที่ใชว้ฒันธรรม บา้นเชียงเหล่าน้ีคือคน ไทย"พวกเขา"อาจเป็นคนกลุ่มเดียวกนัที่พฒันาต่อเนื่องกนัมา หรืออาจเป็นคนต่างกลุ่มที่เขา้มาอยู่ อาศยัในเวลาที่ต่างกนัก็ได้อีกท้งัคนกลุ่มน้ีจะเกี่ยวขอ้งกบัคนไทยในปัจจุบนัหรือไม่? ก็ยงัไม่มีใคร หาข้อสรุปได้ หากในช่วง 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมาความตื่นตวัที่จะคน้หาคาํตอบวา่คนไทยมาจาก ไหนกนัแน่ทาํให้นักวิชาการออกเดินทางไปในที่ต่างๆ และได้ค้นพบหลกัฐานขอ้มูล ใหม่ๆ มากมาย ที่ลว้นแต่สนบัสนุนทฤษฎีคนไทยอยู่ที่นี่และกระจายตวัอยู่ในแถบอุษาอาคเนย์น้ีเองมิได้ อ พ ย พ ม า จ า ก ดิ น แ ด น อั น ไ ก ล โ พ้ น ที่ ใ ด เ ล ย ราวปีพ.ศ. 800-1400 ความเจริญรุ่งเรืองของชุมชนต่างๆและการติดต่อคา้ขายระหวา่งกนั ไดท้าํใหเ้กิดแวน่แควน้ต่างข้ึนตามเส้นทางคมนาคมที่สาํคญัหลายร้อยปีก่อนที่อาณาจกัรสุโขทยัจะ เกิดข้ึนดินแดนประเทศไทยในปัจจุบนั ประกอบ ไปดว้ยแวน่แควน้ ใหญ่นอ้ยจาํนวนหน่ึง ทางใตม้ี แควน้ศรีวชิยัซ่ึงเกิดข้ึนก่อนปีพ.ศ. 1500 มีบทบาทสําคญั ในฐานะเส้นทางการคา้ทางทะเลระหวา่ง จีนกบัอินเดียแต่ในทุกวนัน้ีก็ยงัไม่มีขอ้สรุปวา่ศูนยก์ลางของอาณาจกัรศรีวิชยัต้งัอยูท่ ี่ใดแน่หลงัศรี วิชัยเสื่อมลง ตามพรลิงค์ซ่ึงอยู่บริเวณนครศรีธรรมราชได้ก้าวเข้ามามีบทบาท ควบคุมเส้นทาง การคา้แทน ตามพรลิงค์รุ่งเรืองอยู่ในช่วง พ.ศ.1500-1800 เฟื่องฟูท้งัทางการคา้และวฒันธรรม ประเพณีจนสมยัพ่อขุนรามคาํแหงถึงกบัอาราธนาพระสงฆ์จากที่นี่ข้ึนไปต้งัสังฆมณฑลที่สุโขทยั เหนือ ต้งัแต่ราว พ.ศ.1000 เป็นตน้มา มีการรวมตวักนัเป็นแควน้หริภุญชยั โยนก- เชียงแสนและเงิน ยางเชียงแสนซ่ึงต่อมาได้พัฒนาข้ึนเป็นล้านนารุ่งเรืองร่วมสมัยกับสุโขทัยและอยุธยา ภาคกลางบริเวณลุ่มแม่น้าํเจา้พระยา-ท่าจีน มีแวน่แควน้ทวารวดีที่เติบโตข้ึนมาในช่วง พ.ศ. 1100-1500 มีศูนยก์ลางอยู่ที่เมืองนครปฐมหรือนครชยัศรีเมืองต่างๆที่เขา้มารวม เป็นแควน้ ไดแ้ก่ เมืองอู่ทอง(สุพรรณบุรี) เมืองคูบัว(ราชบุรี) เมืองจันเสน(นครสวรรค์) เมืองฟ้าแดดสงยาง(กาฬสินธุ์) และเมืองศรีเทพ(เพชรบูรณ์) ทวารวดีสิ้นสุดการเป็นรัฐ ลงด้วยเหตุผล 2 อย่างคือ การเปลี่ยน ทางเดินของลําน้ําและอิทธิพลขอมที่แผ่ขยายเข้ามาต้ังเมืองละโว้ข้ึนเป็นศูนย์กลางแทน
14 ละโวรุ้่งเรืองข้ึนมาหลงัปีพ.ศ.1500 แทนที่รัฐเดิมของทวารวดีอยา่งนครชยัศรีและศรีเทพ โดยมีศูนยก์ลางอยทู่ ี่ลุ่มแม่น้าํลพบุรีเมื่อขอมเสื่อมอาํนาจลงในพุทธศตวรรษที่18 พร้อมกบัการเกิด ของสุโขทยัละโวก้็ลดบทบาทลงไปดว้ย แต่ก็มิได้เสื่อมสลายไปทีเดียว หากยงัคงรักษารูปแบบ ความเจริญทางด้านศิลปะวิทยาการไว้และพฒันาต่อเนื่องข้ึนมา เป็นกรุงศรีอยุธยาในภายหลงั ชื่อของเมืองที่แปลวา่"รุ่งอรุณแห่งความสุข"และคาํกล่าวที่รู้จกักนัดีวา่เมืองสุโขทยัน้ีดี ในน้าํมีปลาในนามีขา้ว ทาํใหภ้าพของสุโขทยัเป็นดงั่เมืองแห่งความฝัน นครแห่งความสุขและอดีต ที่มิอาจหวนคืน สุโขทยัถือกาํเนิดข้ึนอยา่งเรียบง่ายจากการพฒันาของหมู่บา้นเล็กๆ ที่เติบโตข้ึนเป็นเมือง กระจายตวัอยูต่ามแนวลุ่มน้าํยมและน่านคร้ันก่อน พ.ศ. 1700 การคมนาคมและการคา้ต่างๆได้ ขยายตวัมากข้ึนเมืองที่อยู่ตามลุ่มน้าํยมและน่านที่เป็นเส้นทางผา่นการคา้ระหวา่งรัฐต่างๆก็เริ่มรวม ตวักนัมากข้ึน สุโขทยัเริ่มมีฐานะเป็นแวน่แควน้ข้ึนมาเป็นคร้ังแรกโดยมีพอ่ขนุศรีนาวถมเป็น พอ่เมืองและเป็นช่วงที่อิทธิพลขอมเริ่มเสื่อมลงดว้ย ทาํใหสุ้โขทยัเป็นปึกแผน่มากข้ึน หลงัจากน้นั ไม่นานก็เกิดเหตุวุน่วายข้ึน โดยมีขอมพวกหน่ึงชื่อวา่"ขอมสบาดโขลงลาํพง"ไดเ้ขา้ยดึเมืองและ เป็นไปไดว้า่พอ่ขุนศรีนาวถมไดเ้สียชีวติไปแลว้ในช่วงน้ีพอ่ขนุผาเมือง ซ่ึงครองเมืองราดอยูจ่ ึง ร่วมกบัพอ่ขนุบางกลางหาวรวมกาํลงัไปชิง เมืองสุโขทยัคืนมาไดส้าํเร็จ พอ่ขนุผาเมืองจึงยกเมืองให้ พอ่ขนุบางกลางหาวพร้อมท้งัมอบนาม "ศรีอินทราบดินทราทิตย"์ ใหด้ว้ยอนัเป็น ช่วง พ.ศ.1778 หลงัจากน้นัการขยายอาณาเขตของสุโขทยัก็เริ่มข้ึนถือเป็นช่วงเวลาของการกวาดตอ้นผูค้น และรวมบา้นรวมเมืองใหเ้ขา้มาเป็นส่วนหน่ึงของอาณาจกัร หลงัจากพอ่ขุนศรีอิทราทิตย์ สิ้นพระชนม์พอ่ขนุบานเมืองซ่ึงเป็นพระราชโอรส ไดป้กครองต่อแต่ก็นบัเป็นช่วงสมยัที่ส้ันมาก เพียง 44 ปีนบัต้งัแต่พอ่ขนุศรีอินทราทิตย์ซ่ึงถือเป็นช่วงเวลาของการรวมแวน่แควน้ ให้เป็นปึกแผน่ กษัตริย์ผู้มีชื่อเสียงมากที่สุดของกรุงสุโขทัย คือโอรสองค์ที่ 2 ของพอ่ขนุศรีอินทราทิตย์ พระองคม์ ีชื่อเสียงในฐานะผูส้ร้างกรุงสุโขทยั ใหเ้จริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด เป็นผคู้ิดคน้ ประดิษฐ์ อกัษรไทยและสร้างศิลาจารึกในยคุน้ีขอบเขตของอาณาจกัรสุโขทยัไดแ้ผข่ยายออกไปมากที่สุด โดยในเรื่องของระบบเศรษฐกิจน้นัก็เป็นระบบแบบเปิดเสรีคือไม่มีการเก็บภาษีทาํให้สุโขทัย เติบโตข้ึนเป็นศูนยก์ลางการคา้ที่สาํคญัและเป็นแหล่งรวมวฒันธรรมอนัหลากหลายแห่งแวน่แควน้ น้ี เมื่อสิ้นแผน่ดินพ่อขนุรามคาํแหงกรุงสุโขทยัเริ่มอ่อนกาํลงัลง พระมหาธรรมราชาที่1 หรือพระยาลิไทยผปู้กครองสุโขทยัอยใู่นช่วงประมาณปีพ.ศ.1890-1913 จึงได้นํา พระพุทธศาสนา เขา้มาฟ้ืนฟูการปกครองและทรงขยายอาํนาจดว้ยการทาํสงครามพร้อมๆ กบัการเผยแพร่ศาสนา แต่หลงัจากสิ้นสมยัของพระองคแ์ลว้อาณาจกัรสุโขทยัก็เริ่มอ่อน แอลงอยา่งแทจ้ริง พร้อมๆกบัที่ แวน่แควน้อื่นเขม้แขง็ข้ึน ลา้นนาขยายอาํนาจลงมาจนถึงลุ่มแม่น้าํยม-น่าน แคว้นละโว้-อยุธยา เขม้แขง็ข้ึนจากการรวมตวักบัสุพรรณบุรีที่ครองอาํนาจอยเู่หนือลุ่มแม่น้าํท่าจีน จนในที่สุดก็ก่อต้งั
15 กรุงศรีอยธุยาข้ึนไดส้าํเร็จในปีพ.ศ.1893 หลงัจากน้นัไม่นานอาณาจกัรสุโขทยัก็ถูกผนวกเขา้เป็น ส่วนหน่ึงของกรุงศรีอยธุยา 1. สมัยอยุธยา กรุงศรีอยธุยาก่อกาํเนิดข้ึนเป็น ราชธานีในปีพ.ศ.1893 แต่มีขอ้ถกเถียงกนัมากวา่การถือ กาํเนิดของกรุงศรีอยธุยาน้นัมิไดเ้กิดข้ึนอยา่งปัจจุบนัทนัด่วนเสียทีเดียว มีหลกัฐานวา่ก่อนที่พระ เจา้อู่ทองจะสร้างเมืองข้ึนที่ตาํบลหนองโสน บริเวณน้ีเคยมีผคู้นอาศยัมาก่อนแลว้วดัสาํคญั อยา่งวดัมเหยงค์วดัอโยธยาและวดัใหญ่ชยั มงคลลว้นเป็นวดัเก่าที่มีมาก่อนสร้างกรุงศรี อยธุยาท้งัสิ้น โดยเฉพาะที่วดัพนญัเชิงวดัที่ ประดิษฐาน หลวงพ่อโต พระ พุทธรูปปูนป้ัน ขนาดใหญ่แบบอู่ทอง พงศาวดารเก่าระบุวา่ สร้างข้ึนก่อน การสร้างพระนครศรีอยธุยาถึง 26 ปีวดัเหล่าน้ีต้งัอยตู่ามแนวฝั่งตะวนัออกของแม่น้าํป่าสัก นอกเกาะเมืองอยธุยาที่มีการขดุพบ คูเมืองเก่า ทาํให้เชื่อกนัวา่บริเวณน้ีน่าจะเป็นเมืองเก่าที่มีชื่ออยใู่นศิลาจารึกกรุงสุโขทยัวา่อโยธยา ศรีรามเทพ นครอโยธยาศรีรามเทพนคร ปรากฏชื่อเป็นเมืองแฝดละโวอ้โยธยา มาต้งัแต่ช่วงราวปี พ.ศ.1700 เป็นตน้มาคร้ันก่อนปีพ.ศ.1900 พระเจา้อู่ทองซ่ึงครองเมืองอโยธยาอยกู่ ็ทรงอภิเษก สมรสกบัพระราชธิดาของกษตัริยท์างฝ่ายสุพรรณภูมิซ่ึงครองความเป็นใหญ่อยูอ่ ีกฟากหน่ึงของ แม่น้าํเจา้พระยาอโยธยาและสุพรรณภูมิจึงรวมตวักนัข้ึน โดยอาศยัความสัมพนัธ์ทางเครือ ญาติ คร้ันเมื่อเกิดโรคระบาด พระเจา้อู่ทองจึงอพยพผคู้นจากเมืองอโยธยาเดิม ขา้มแม่น้าํป่าสัก มาต้งัเมืองใหม่ที่ตาํบลหนองโสน หรือที่รู้จกักนัวา่บึงพระราม ในปัจจุบนักรุงศรีอยธุยาจึงก่อเกิด เป็นราชธานีข้ึนใน ปีพ.ศ.1893 พระเจา้อู่ทองเสด็จฯ เสวยราชย์เป็ นสมเด็จพระรามาธิบดี ที่ 1 ปฐม กษตัริยแ์ห่งกรุงศรีอยธุยารัชสมยัของพระองคน์บัไดว้า่เป็นยคุของการก่อร่างสร้างเมือง
16 และวางรูปแบบการปกครองข้ึนมาใหม่ออกเป็น 4 กรม ประกอบด้วย เวียง วัง คลัง และ นา หรือที่เรียกกนัวา่จตุสดมภ์ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ครองราชยอ์ยไู่ดเ้พียง 19 ปีก็เสด็จ สวรรคต หลงัจากรัชสมยัของ พระองค์ผไู้ดส้ร้างราชธานีแห่งน้ีข้ึนจากความสัมพนัธ์ของสองแวน่แควน้กรุงศรีอยุธยาได้ กลายเป็นเวทีแห่งการแก่งแยง่ชิงอาํนาจระหวา่งสองราชวงศค์ือละโว-้อโยธยา และราชวงศ์ สุพรรณภูมิ สมเด็จพระราเมศวร โอรสของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ข้ึนครองราชยต์ ่อจากพระราชบิดา ไดไ้ม่ทนัไรขนุหลวงพะงวั่จากราชวงศส์ุพรรณภูมิผมู้ีศกัด์ิเป็นอาก็แยง่ชิงอาํนาจไดส้าํเร็จข้ึน ครองราชยเ์ป็นสมเด็จพระบรมราชาธิราช เมื่อสิ้นรัชกาลของสมเด็จพระบรมราชาธิราช สมเด็จ พระราเมศวรก็กลับมาชิงราชสมบัติกลับคืน มีการแยง่ชิงอาํนาจผลดักนัข้ึนเป็นใหญ่ระหวา่งสองราชวงศน์ ้ีอยู่ถึง 40 ปี จนสมเด็จพระ นครอินทร์ซ่ึงเป็นใหญ่อยทู่างสุพรรณภูมิและ สัมพนัธ์แน่นแฟ้นอยกู่บัสุโขทยัแยง่ชิงอาํนาจ กลับคืนมาได้สําเร็จ พระองคส์ามารถรวมท้งัสองฝ่ายใหเ้ป็นอนัหน่ึงอนัเดียวกนัไดอ้ยา่งแทจ้ริง ในช่วงของการแก่งแยง่อาํนาจกนัเองน้นักรุงศรีอยธุยาก็พยายามแผอ่าํนาจไปตีแดนเขมรอยู่ บ่อยคร้ังจนกระทงั่ปีพ.ศ.1974 หลัง สถาปนากรุงศรีอยุธยาได้แล้วราว 80 ปี สมเด็จเจ้าสาม พระองค์พระโอรสของสมเด็จพระนครอินทร์ก็ตีเขมรไดส้าํเร็จเขมรสูญเสียอํานาจจน ต้องย้าย เมืองหลวงจากเมืองพระนครไปอยเู่มืองละแวกและพนมเปญในที่สุด ผลของชยัชนะคร้ังน้ีทาํใหม้ี การกวาดตอ้นเชลยศึกกลบัมาจาํนวนมากและทาํใหอ้ิทธิพลของเขมรในอยธุยาเพิ่มมากข้ึน ซ่ึงถือ เป็ น เรื่องปกติที่ผู้ชนะมักรับเอาวัฒนธรรมของผู้แพ้มาใช้ กรุงศรีอยธุยาหลงัสถาปนามาไดก้วา่คร่ึงศตวรรษก็เริ่มเป็นศูนย์กลางของราชอาณาจกัร อยา่งแทจ้ริง มีอาณาเขตอนักวา้งขวางดว้ยการผนวกเอาสุโขทยัและสุพรรณภูมิเขา้ไว้มีการติดต่อ คา้ขายกบัต่างประเทศโดยเฉพาะกบัจีนและวดัวาอารามต่าง ๆ ไดร้ับการบูรณะข้ึนมาใหม่จน งดงาม หลงัรัชกาลสมเด็จเจา้สามพระยาแลว้กรุงศรีอยธุยาก็ เขา้สู่ยคุสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซ่ึงเป็นช่วง เวลาที่อาณา เขตไดแ้ผข่ยายออกไปอยา่งกวา้งขวาง มีการติดต่อคา้ขายกบั บา้นเมืองภายนอกรวมท้งัมีการปฏิรูปการปกครองบา้นเมือง ข้ึน พระองคท์รงยกเลิกการปกครองที่กระจายอํานาจให้เมือง ลูก หลวงปกครองอยา่งเป็นอิสระ มาเป็นการรวบอาํนาจไวท้ี่ พระมหากษตัริย์แลว้ทรงแบ่งเมืองต่าง ๆ รอบนอกออกเป็น หวัเมืองช้นั ใน หวัเมืองช้นันอก ซ่ึงเมืองเหล่าน้ีดูแลโดยขุน นางที่พระมหากษตัริยท์รงแต่งต้งั
17 นอกจากน้ีก็ยงัไดท้รงสร้างระบบศกัดินาข้ึน อนัเป็นการให้กรรมสิทธ์ิถือที่นาไดม้ากนอ้ย ตามยศ พระมหากษตัริยม์ีสิทธ์ิที่จะเพิ่ม หรือลด ศกัดินาแก่ใครก็ได้และหากใครทาํผดิก็ตอ้งถูก ปรับไหมตาม ศกัดินาน้นั ในเวลาน้นัเองกรุงศรีอยธุยาที่เจริญมาไดถ้ึงร้อยปีก็กลายเป็น เมืองที่ งดงามและมีระเบียบแบบแผน วดัต่าง ๆ ที่ไดก้่อสร้างข้ึนอยา่งวจิิตรบรรจงเกิดข้ึนนบัร้อย พระราชวงัใหม่ไดก้่อสร้างข้ึนอยา่งใหญ่โตกวา้งขวาง ส่วนที่เป็นพระราชวงัไมเ้ดิมไดก้ลายเป็นวดั พระศรีสรรเพชญ์วดัคู่เมืองที่สาํคญั รูปภาพ วัดพระศรีสรรเพชญ์ กรุงศรีอยธุยากาํลงัจะเติบโตเป็นนครแห่งพอ่คา้วาณิชอนัรุ่งเรือง เพราะเส้นทางคมนาคม อนัสะดวก ที่เรือสินคา้นอ้ยใหญ่จะเขา้มาจอด เทียบท่าได้แต่พร้อม ๆ กบัความรุ่งเรืองและความ เปลี่ยนแปลง สงครามก็เกิดข้ึน ช่วงเวลาน้นัลา้นนา ที่มีพระมหากษตัริยค์ือราชวงศเ์มง็รายครอง สืบต่อกนัมากาํลงัเจริญรุ่งเรืองข้ึนมาเป็นคู่แข่งสาํคญัของกรุงศรีอยธุยา พระเจา้ติโลกราชซ่ึงได้ ขยายอาณาเขตลงมาจนไดเ้มืองแพร่และ น่านก็ทรงดาํริที่จะขยายอาณาเขตลงมาอีกเวลาน้นัเจา้นาย ทางแควน้ สุโขทยัที่ถูกลดอาํนาจดว้ยการปฏิรูปการปกครองของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเกิด ความไม่พอใจอยธุยาจึงไดช้กันาํใหพ้ระเจา้ติโลกราชยกทพัมายดึเมืองศรีสัชนาลยัซ่ึงอยใู่นอาํนาจ ของกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถตอ้งเสด็จกลบัไปประทบัอยูที่เมือง ่ สระหลวงพรือพิษณุโลก เพื่อทาํสงครามกบัเชียงใหม่วงครามยดืเย้อืยาว นานอยถู่ ึง 7 ปีในที่สุดอยธุยาก็ยดึเมืองศรีสัชนาลยั กลับคืนมาได้ ตลอดรัชกาลอันยาวนานของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ และ สมเด็จพระรามาธิบดี ที่ 2 กรุงศรีอยธุยาไดเ้จริญอยา่งต่อเนื่องอยนู่านถึง 81 ปีการคา้กบัต่างประเทศก็เจริญกา้วหนา้ไป อยา่งกวา้งขวางวฒันธรรมก็เฟื่องฟูท้งัทางศาสนาและประเพณีต่าง ๆ แต่หลงัรัชกาลสมเด็จพระ รามาธิบดีที่ 2การแยง่ชิงอาํนาจภายใน ก็ทาํใหก้รุงศรีอยธุยาอ่อนแอลงขณะเดียวกนัที่พม่ากลบั เขม้แขง็ข้ึน ความเปลี่ยนแปลงท้งัภายในและภายนอกราชอาณาจกัรไดท้าํใหเ้กิด สงครามคร้ังใหญ่ อยา่งหลีกเลี่ยงไม่ได้
18 ประวัติศาสตร์หนา้ใหม่อนัอาจจะเรียกไดว้า่ยคุแห่งความคบัเขญ็ยงุ่เหยงิน้ีเริ่มตน้ดว้ยการ มาถึงของชาวตะวนัตกพร้อม ๆ กบัการรุกรานจากพม่า เมื่อวาสโก ตากามา ชาวโปรตุเกสเดินเรือ ผา่นแหลมกูดโฮปได้สาํเร็จในราว พ.ศ.2000 กองเรือของโปรตุเกสก็ทยอยกนัมายงัดินแดนฝั่ง ทวีปเอเชีย ในปี พ.ศ.2054 อลัฟองโซ เดออลับูเควกิชาวโปรตุเกสก็ยดึมะละกาไดส้าํเร็จ ส่งคณะ ฑูตของเขามายงัสยาม คือ ดูอารตเ์ฟอร์นนัเดซ ซ่ึงถือเป็นชาวตะวนัตกคนแรกที่มาถึงแผน่ดินสยาม ชาวโปรตุเกสมาพร้อมกบัวทิยาการสมยัใหม่ความรู้เกี่ยวกบัการ สร้างป้อมปราการอาวุธปืน ทาํให้ สมยัต่อมาพระเจา้ไชยราชาธิราชก็ยก ทพัไปตีลา้นนาไดส้าํเร็จกรุงศรีอยธุยาเป็นใหญ่ข้ึน ในขณะที่ พม่าเองในยคุของ พระเจา้ตะเบง็ชะเวต้ีก็กาํลงัแผอ่ ิทธิพลลงมาจนยดึเมืองมอญที่หงสาวดีได้ สาํเร็จอยธุยากบัพม่าก็เกิดการเผชิญหนา้กนัข้ึน เมื่อพวกมอญจากเชียงกรานที่ไม่ยอมอยใู่ตอํานาจ ้ พม่าหนีมาพ่ึงฝั่งไทย พระเจา้ไชยราชาธิราช ยกกองทพัไปขบัไล่พม่ายดึเมืองเชียงกรานคืนมาได้ สาํเร็จความขดัแยง้ระหวา่งไทยกบัพม่าก็เปิดฉากข้ึน หลงัพระเจา้ไชยราชาธิราชเสด็จสวรรคตเพราะถูกปลงพระชนม์แผน่ดินอยธุยาก็อ่อนแอ ลงดว้ยการแยง่ชิงอาํนาจ พระยอดฟ้าซึ่งมีพระ ชนม์เพียง 11 พรรษาข้ึนครองราชยไ์ดไ้ม่ทนัไรก็ถูก ปลงพระชนมอ์ีกในที่สุดก็ถึงแผน่ดินสมเด็จพระมหาจกัรพรรดิพม่าสบโอกาสยกทพัผา่นด่าน เจดีย์ 3 องค์เขา้มาปิดลอ้มกรุงศรีอยธุยา สมเด็จพระมหาจกัรพรรดินาํกองทพัออกรับสู้ในช่วงน้ีเอง ที่หน้า ประวัติศาสตร์ได้บันทึกวีรกรรมของวีรสตรีพระองค์หนึ่ง คือ สมเด็จพระศรี สุริโยทัย ที่ ปลอมพระองคอ์อกรบดว้ยและไดไ้สชา้งเขา้ขวางสมเด็จพระ มหาจกัรพรรดิที่กาํลงัเพลี่ยงพล้าํ จนถูกฟันสิ้นพระชนมข์าดคอชา้ง ทุกวนัน้ีอนุสาวรียเ์ชิดชูวรีกรรมของพระองคย์งัคงต้งัเด่นเป็น สง่าอยใู่จกลาง เมืองพระนครศรีอยุธยา คร้ังน้นัเมื่อพม่ายดึพระนครไม่สาํเร็จเพราะไม่ชาํนาญภูมิประเทศกองทพัพระเจา้ตะเบง็ ชะเวต้ีตอ้งยกทพักลบัไปในที่สุด ฝ่ายไทยก็ตระเตรียมการป้องกนัพระนครเพื่อต้งัรับการรุกราน ของพม่าที่จะมีมาอีกการเตรียมกาํลงัผคู้น การคลอ้งชา้งเพื่อจดัหาชา้งไว้เป็นพาหนะสาํคญั ในการ ทาํศึกคร้ังน้ีทาํใหม้ีการพบชา้งเผอืกถึง 7 เชือกอนัเป็นบุญบารมีสูงสุดของพระมหากษตัริย์แต่นนั่ กลบันาํมาซ่ึงสงคราม ยดืเย้อืยาวนานอยนู่บัสิบปี
19 พระเจา้บุเรงนองผนู้าํพม่าคนใหม่อา้งเหตุการณ์ตอ้งการชา้งเผอืกที่สมเด็จพระมหา จกัรพรรดิมีอยถู่ ึง 7 เชือก ยกทพัมาทาํสงครามกบักรุงศรีอยธุยาอีกคร้ังแลว้ไทยก็เสียกรุงแก่พม่า เป็นคร้ังแรกใน พ.ศ.2112 ชา้งเผอืกอนัเป็นสาเหตุของสงครามก็ถูกกวาดตอ้นไปพร้อมกบัผคู้น จาํนวนมาก พระ นเรศวรและพระเอกาทศรถ พระโอรสของพระมหาธรรมราชาที่พม่าต้งัให้เป็น กษตัริยป์กครองอยธุยาต่อไปในฐานะเมืองประเทศราชก็ทรงถูกบงัคบัใหต้อ้งไปดว้ย กรุงศรีอยธุยาเป็นเมืองข้ึนของพม่าในคร้ังน้ีอยถู่ ึง 15 ปีพระ นเรศวรก็ประกาศอิสรภาพ เมื่อสมเด็จพระนเรศวรประกาศอิสรภาพแลว้กองทพัพม่านาํโดย พระมหาอุปราชก็คุมทพัลงมา ปราบ สมเด็จพระนเรศวรยกทพัไปต้งัที่ตาํบลหนองสาหร่ายจงัหวดัสุพรรณบุรีแลว้การรบคร้ัง ยงิ่ใหญ่ก็อุบตัิข้ึน สมเด็จพระนเรศวรทรงทาํยทุธหตัถีจนไดช้ยัชนะ พระมหาอุปราชถูกฟัน สิ้นพระชนมข์าดคอชา้ง เป็นผลใหก้องทพัพม่าตอ้งแตกพา่ยกลบัไป ยคุสมยัของสมเด็จพระนเรศวรกรุงศรีอยธุยาเป็นปึกแผน่มนั่คงศตัรูทางพม่าอ่อนแอลง ขณะเดียวกนัเขมรก็ถูกปราบปรามจนสงบ ความ มนั่คงทางเศรษฐกิจจึงเกิดข้ึนตามมาอนัส่งผลให้ กรุงศรีอยธุยากลายเป็น อาณาจกัรที่รุ่งเรืองถึงขีดสุด ตามคาํกล่าวของชาวยโุรปที่หลงั่ ไหลเขา้มา ติดต่อคา้ขายในช่วงเวลาดงักล่าว ต้งัแต่สมยัพระนเรศวรเป็นตน้มากรุงศรีอยธุยาก็กลายเป็นศูนยก์ลางการคา้ท้งัในและนอก ประเทศ มีผคู้นเดินทาง เขา้มาติดต่อคา้ขายเป็นจาํนวนมากต่างก็ชื่นชมเมืองที่โอบลอ้มไปดว้ยแม่น้าํ ลาํคลองผคู้นสัญจรไปมาโดยใชเ้รือเป็นพาหนะจึงพากนัเรียกพระ นครแห่งน้ีวา่เวนิสตะวนัออก หลงัจากโปรตุเกสเขา้มาติดต่อคา้ขายเป็นชาติแรกแลว้ฮอลนัดา ญี่ปุ่นและองักฤษก็ตามเขา้ มา ท้งัน้ีไม่นบัจีนซ่ึงคา้ขายกบักรุงศรีอยธุยาอยกู่ ่อนแลว้ชนชาติต่าง ๆ เหล่าน้ีไดร้ับการจดัสรร ที่ดินใหอ้ยเู่ป็นยา่น เฉพาะ ดงัปรากฏชื่อบา้นโปรตุเกส บา้นญี่ปุ่นและบา้นฮอลนัดามาจน ปัจจุบนั บันทึกของชาวฝรั่งเศสคนหน่ึงซ่ึงบาทหลวงปาลเลอกวัซ์ไดค้ดัลอกมาเล่าถึง พระนครศรีอยธุยาในสมยัน้นัไวว้า่เป็นพระนครที่มีผคู้นต่างชาติต่างภาษารวมกนัอยดูู่เหมือนเป็น ศูนยก์ลางการคา้ขายในโลกไดย้นิผคู้นพูดภาษาต่าง ๆ ทุกภาษาในบรรดาชาวต่างชาติที่มาคา้ขายกบั อยุธยาในยุคแรกน้นัญี่ปุ่น กลบัเป็นชาติที่มีอิทธิพลมากที่สุด ยามาดะ นางามาซะ ชาวญี่ปุ่นไดร้ับ
20 ความไวว้างใจถึงข้นัไดด้าํรงตาํแหน่งขุนนางในราชสาํนกัของพระเอกาทศรถ มียศเรียกวา่ออกญา เสนาภิมุข ต่อมาไดก้่อความยุง่ยากข้ึนจนหมดอิทธิพลไปในที่สุด แมจ้ะมีชนชาติต่าง ๆ เขา้มาคา้ขาย ดว้ยมากมายแต่กรุงศรีอยธุยาก็ดูเหมือนจะผกูพนัการคา้กบัจีนไวอ้ยา่งเหนียวแน่น จีนเองก็ส่งเสริม ใหอ้ยธุยาผลิตเครื่องป้ันดินเผาโดยเฉพาะเครื่องสังคโลกเพื่อส่งออกไปยงัตะวนัออกกลางและ หมู่เกาะในแถบเอเชียตะวนัออกเฉียงใต้การคา้ขายต่างๆ เหล่าน้ีทาํใหก้รุงศรีอยธุยามีการเก็บภาษี ที่เรียกวา่ขนอน มีด่านขนอนซ่ึงเป็นด่านเก็บภาษีอยตู่ามลาํน้าํใหญ่ท้งั 4 ทิศ และยังมีขนอนบกคอย เก็บภาษีที่มาทางบกอีกต่างหาก นอกเหนือจากความเป็นเมืองท่าแลว้อยธุยายงัเป็นชุมทางการ คา้ภายในอีกดว้ย ตลาดกวา่ 60 แห่งในพระนคร มีท้งัตลาดน้าํตลาดบกและยงัมียา่นต่าง ๆ ที่ผลิต สินคา้ดว้ยความชาํนาญเฉพาะดา้น มียา่นที่ผลิตน้าํมนังา ยา่นทาํมีด ยา่นป้ันหมอ้ยา่นทาํแป้งหอม ธูปกระแจะ ฯลฯ คูคลองต่าง ๆ ในอยธุยาไดส้ร้างสังคมชาวน้าํข้ึนพร้อมไปกบัวถิีชีวติแบบเกษตรกรรม เมื่อถึงหนา้น้าํก็มีการเล่นเพลงเรือเป็นที่สนุกสนาน เมื่อเสร็จหนา้นาก็มีการทอดกฐิน ลอยกระทง งานรื่นเริงต่าง ๆ ของชาว บา้นมกัทาํควบคู่ไปกบัพิธีการของชาววงัเช่น พระราชพิธีจองเปรียญตาม พระประทีป ซ่ึงต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นลอยกระทงทรงประทีป พระราชพิธีสงกรานต์พระราชพิธีแรก นาขวญัพิธีกรรมเหล่าน้ีสะทอ้นวถิีชีวติของชาวอยธุยาที่ผกูพนัอยกู่บัธรรมชาติแม่น้าํลาํคลองอยา่ง เหนียวแน่น อยธุยาเจริญข้ึนมาโดยตลอด การคา้สร้างความมงั่คงั่ใหพ้ระคลงัที่มีสิทธ์ิซ้ือสินคา้จากเรือ สินคา้ต่างประเทศทุกลาํไดก้่อนโดยไม่เสียภาษีความมงั่คงั่ของราชสาํนกันาํไปสู่การสร้างวดัวา อารามต่าง ๆ การทาํนุบาํรุงศาสนาและการก่อสร้างพระราชวงัใหใ้หญ่โตสง่างามในสายตาของชาว ต่างประเทศแลว้กรุงศรีอยธุยาเป็นมหานครอนัยงิ่ใหญ่ที่มีพระราชวงัเป็นศูนยก์ลางโยสเซาเตน็ พอ่คา้ชาวฮอลนัดาที่เขา้มายงักรุงศรีอยธุยาในสมยัสมเด็จพระเจา้ปราสาททองไดบ้นัทึกไวว้า่ กรุงศรีอยธุยาเป็นนครที่ใหญ่โตโอ่อ่าวจิิตรพิสดารและพระมหากษตัริย์สยามเป็นบุคคลที่ร่ํารวย ที่สุดในภาคตะวนัออกน้ี พระนครแห่งน้ีภายนอกอาจดูสงบงดงามและร่มเยน็จากสายตาของคนภายนอกแต่แทจ้ริง แลว้บลัลงักแ์ห่งอาํนาจภายในของกรุงศรีอยธุยาไม่เคยสงบ เมื่อสมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จ สวรรคต การแยง่ชิงอาํนาจได้ดาํเนินมาอยา่งต่อเนื่องจนถึงปีพ.ศ.2172 ราชวงศ์สุโขทัยที่ ครองราชย์สืบต่อกนัมาต้งัแต่สมยัของพระมหาธรรมราชาก็ถูกโค่นลม้พระเจา้ ปราสาททองเสด็จ ข้ึนครองราชย์และสถาปนาราชวงศป์ราสาททองข้ึนใหม่
21 แมจ้ะครองบลัลังก์จากการโค่นล้มราชวงศ์อื่นลง ยุคสมยัของพระองค์และสมเด็จพระ นารายณ์มหาราชที่ยาวนานถึง 60 ปีน้นักลบัเรียกไดว้า่เป็นช่วงเวลาที่กรุงศรีอยุธยาเจริญรุ่งเรืองถึง ขีดสุด พระเจา้ปราสาททองทรงมุ่งพฒันาบา้นเมืองท้งัทางดา้นศิลปกรรมและการคา้กบัต่างประเทศ ทรงโปรดให้สร้างวดัไชยวฒันารามริมฝั่ง แม่น้าํเจา้พระยาข้ึนดว้ยคติเขาพระสุเมรุจาํลองอนัเป็น แบบอย่างที่ไดร้ับอิทธิพลมาจากปราสาทขอม พร้อมกนัน้ีก็ไดม้ีการคิดคน้รูปแบบทางศิลปกรรม ใหม่ๆ ข้ึน เช่นพระเจดียย์อ่มุมไมส้ิบสอง พระพุทธรูปทรงเครื่องแบบ อยุธยาอนังดงามก็ไดร้ับการ ฟ้ืนฟูข้ึนมาในสมยัน้ี ทางดา้นการคา้กบัต่างประเทศ หลงัจากที่โปรตุเกสเขา้มาคา้ขายกบักรุงศรีอยธุยาจนทาํให้ เมืองลิสบอนของโปรตุเกสกลายเป็นศูนยก์ลางการคา้เครื่องเทศและพริกไทยในยโุรปนานเกือบ ศตวรรษแลว้ฮอลนัดาจึงเริ่มเขา้มาสร้างอิทธิพลแข่งกรุงศรีอยธุยาสร้างไมตรีด้วยการให้สิทธิพิเศษ บางอยา่งแก่พวก ดตัช์เพื่อถ่วงดุลกบัชาวโปรตุเกสที่เริ่มกา้วร้าวและเรียกร้องสิทธิพิเศษเพิ่มข้ึน ทุกขณะ พอถึงสมยัพระเจา้ปราสาททอง การค้าของฮอลันดาเจริญรุ่งเรือง ข้ึนมาก จึงเริ่มแสดง อิทธิพลบีบค้นัไทย ประกอบกบัพระคลงัในสมยัน้นั ได้ดาํเนินการผูกขาดสินคา้หลายชนิด รวมท้งั หนงัสัตวท์ ี่เป็นสินคา้หลกัของ ชาวดตัช์ทาํใหเ้กิดความไม่พอใจถึงข้นัจะใชก้าํลงักนัข้ึน ถึงสมยัของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ฮอลนัดาก็คุกคามหนกัข้ึน ในที่สุดก็เขา้ยดึเรือ สินคา้ของพระนารายณ์ที่ชกัธงโปรตุเกสในอ่าวตงัเกี๋ย ต่อมาไม่นานก็นําเรือ 2 ลาํเขา้มาปิดอ่าวไทย เรียกร้องไม่ใหจ้า้งชาวจีน ญี่ปุ่น และญวนในเรือสินคา้ของอยธุยา เพื่อปิดทางไม่ใหอ้ยุธยาคา้ขาย แข่งดว้ย มีการเจรจากนั ในทา้ยที่สุด ซ่ึงผลจากการเจรจาน้ีทาํให้ฮอลนัดาไดส้ิทธ์ิผกูขาดหนงัสัตว์ อยา่งเดิมเพื่อถ่วงดุลอาํนาจกบัฮอลนัดที่นบัวนัจะเพิ่มข้ึนทุกขณะ สมเด็จพระนารายณ์จึงหนั ไปเอา ใจองักฤษกบัฝรั่งเศสแทน ในช่วงน้ีเองความสัมพนัธ์ระหวา่งกรุงสยามกบั ฝรั่งเศสเจริญรุ่งเรือง อยา่งที่สุด บุคคลผหู้น่ึงที่กา้วเขา้มาในช่วงน้ีและต่อไปจะไดม้ีบทบาทอยา่งมากในราชสาํนกัสยาม ก็คือคอนแสตนตินฟอลคอน ฟอลคอนเป็นชาวกรีกที่เขา้มารับราชการในแผน่ดินสมเด็จพระนารายณ์ราวกลางรัชสมยั และเจริญกา้วหนา้จนข้ึนเป็นพระยาวชิาเยนทร์ในเวลาอนัรวดเร็วเวลาเดียวกนักบัที่ฟอลคอน กา้วข้ึนมามีอาํนาจในราชสาํนกัไทยฝรั่งเศสในราชสาํนกัของ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่เขา้มาติดต่อ
22 การคา้และเผยแพร่ศาสนาก็พยายามเกล้ียกล่อม ใหส้มเด็จพระนารายณ์หนัมาเขา้รีตนิกาย โรมนัคาทอลิกตามอยา่งประเทศฝรั่งเศส ในช่วงเวลาน้ีไดม้ีการส่งคณะทูตสยามเดินทางไปฝรั่งเศสเพื่อเจริญสัมพนัธไมตรี ทางฝรั่งเศสเองก็ส่งคณะทูตเขา้มาในสยามบ่อยคร้ังโดยมีจุดประสงคห์ลกัคือชกั ชวนให้ พระนารายณ์ทรงเข้ารีตฟอลคอนเองซึ่งเปลี่ยนมานับถือนิกาย โรมันคาทอลิกตามภรรยา ได้สมคบกบัฝรั่งเศสคิดจะเปลี่ยนแผน่ดินสยามใหเ้ป็น เมืองข้ึนของฝรั่งเศส ดงัเช่นใน พ.ศ. 2228 โดยราชทูตเชอวาเลีย เดอโชมองต์ปี พ.ศ. 2230 โดยลาลูแบร์ก็กลบัไม่ประสบความสาํเร็จในการ เปลี่ยนใหพ้ระเจา้แผน่ดินสยามหนัมาเขา้รีต ไม่นานชาวสยามก็เริ่มชิงชงัฟอลคอนมากข้ึน อิทธิพล ของฟอลคอนที่มีต่อราช สาํนกัสยามก็เพิ่มมากข้ึนทุกวนั ปีพ.ศ. 2231 สมเด็จพระนารายณ์ทรงประ ชวน หนกั ไม่สามารถวา่ราชกาลได้มีรับสั่งใหฟ้อลคอนรีบลาออกจากราชการและไป เสียจาก เมืองไทยแต่ก็ชา้ไปดว้ยเกิดความวนุ่วายข้ึนเสียก่อน พระเพทราชาและคณะผไู้ม่พอใจฝรั่งเศสจบั ฟอลคอนไปประหารชีวิต เมื่อสมเด็จพระนารายณ์เสด็จ สวรรคตในเดือนต่อมาพระเพทราชาก็เสด็จ ข้ึนเถลิงราชสมบตัิแทนการเขา้มาของยโุรปจาํนวนมากในสมยัของสมเด็จพระเจา้ปราสาททองและ สมเด็จ พระนารายณ์นอกจากจะทาํใหบ้า้นเมืองมีความมงั่คงั่แลว้ยงักา้วหนา้ไปดว้ยวิทยาการ สมยัใหม่ท้งัทางดา้นสถาปัตยกรรม การแพทย์ดาราศาสตร์การทหาร มีการก่อสร้างอาคาร ป้อม ปราการ พระที่นงั่ในพระราชวงัเพิ่มเติมดว้ยเทคโนโลยแีบบ ตะวนัตก นอกจากน้ีภาพวาดของ ชาวตะวันตกยังแสดงให้เห็นวา่มีการส่องกลอ้งดูดาวในสมยัสมเด็จพระนารายณ์ดว้ย เมื่อสิ้นรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ความขดัแยง้ภายในเนื่องจากการแยง่ชิงราช สมบตัิเกิด ข้ึนอยตู่ลอดเวลา ทาํใหก้ารติดต่อกบัต่างประเทศซบเซาลงไป ต้งัแต่รัช สมยัสมเด็จพระเพทราชา จนถึงพระเจา้ทา้ยสระ มีการก่อสร้างสิ่งใหม่ๆเพียงไม่กี่อยา่งคร้ันถึงสมยัพระเจา้บรมโกศ บา้นเมือง ก็กลบัเจริญรุ่งเรืองข้ึนมาอีกคร้ังในช่วง ระยะเวลาหน่ึงจนกล่าวไดว้า่ยคุสมยัของพระองคน์บัเป็น ยคุทองของศิลปวทิยาการอยา่งแทจ้ริงก่อนที่กรุงศรีอยธุยาจะตกต่าํไปจนถึงกาลล่มสลายในรัชกาล น้ีไดม้ีการบูรณปฏิสังขรณ์พระราชวงัและวดัวาอารามต่างๆ ศิลปกรรม เฟื่องฟูข้ึนมาอยา่งมากท้งัใน ดา้นลวดลายปูนป้ัน การลงรักปิดทองการช่างประดบัมุกการแกะสลกัประตูไม้ทางดา้นวรรณคดีก็ มีกวเีกิดข้ึนหลายคน ที่โดเด่นและเป็นที่รู้จกัคือเจา้ฟ้าธรรมาธิเบศรผูน้ิพนธ์กาพยเ์ห่เรือ ส่วยการ มหรสพก็มีการฟ้ืนฟูบทละครนอกละครในข้ึนมาเล่นกนัอยา่งกวา้งขวางกรุงศรีอยธุยาถูกขบักล่อม ดว้ยเสียงดนตรีและความรื่นเริงอยตู่ลอดเวลาแต่ท่ามกลางความสงบสุขและรุ่งเรืองทาง ศิลปวฒันธรรม ความขดัแยง้ค่อยๆ ก่อตวัข้ึน การแยง่อาํนาจท้งัในหมู่พระราชวงศ์ขนุนาง ทาํใหอีก้ ไม่ถึง 10 ปีต่อ มากรุงศรีอยธุยาก็เสียแก่พม่าในสมยัของพระเจา้เอกทศัน์เมื่อ พ.ศ.2310 กรุงศรีอยธุยาในสมยัของพระเจา้บรมโกศจนถึงสมยัของพระเจา้เอกทศัน์น้นัคลา้ยกบัพลุที่ จุดข้ึนสวา่งโร่บนทอ้งฟ้าชวั่เวลาเพียงไม่นานแลว้ก็ดบัวบูลงทนัทีวนักรุงแตกเมื่อ 7 เมษายน พ.ศ. 2310 เล่ากนัวา่ ในกาํแพงเมืองมีผคู้นหนีพม่า มาแออดัอยูน่บัแสนคน ปรากฏวา่ ไดถู้กพม่าฆ่าตายไป
23 เสียกวา่คร่ึง ที่เหลือก็หนีไปอยตู่ามป่าตามเขา พม่าไดป้ลน้ สะดม เผาบา้นเรือน พระราชวงัและวดั วาอาราม ต่างๆจนหมดสิ้น นอกจากน้ียงัหลอมเอาทองที่องคพ์ระและกวาดต้อนผู้คนกลับไปจํานวน มากอารยธรรมที่สั่งสมมากวา่ 400 ปีของกรุงศรีอยธุยาก็ถูกทาํลายลงอยา่งราบคาบเมื่อสิ้น สงกรานตป์ีน้นัหลงัจากกรุงแตกแลว้พม่าก็มิไดเ้ขา้มาปกครองสยามอยา่งเตม็ตวัคงทิ้งใหสุ้ก้ีพระ นายกองต้งัอยทู่ ี่ค่ายโพธ์ิสามตน้เพื่อดูแลความสงบเรียบร้อย สภาพบา้น เมืองหลงัจากเสียแก่พม่า แลว้ก็มีชุมนุมเกิดข้ึนตามหวัเมืองต่างไดแ้ก่ชุมนุม เจา้ฝาง ชุมนุมเจา้ตาก ชุมนุมเจา้พิษณุโลก ชุมนุมเจา้นครศรีธรรมราช ที่ต่างก็ซ่องสุมผคู้นเพื่อเตรียมแผนการใหญ่ในบรรดาชุมนุมใหญ่นอ้ย เหล่าน้ีชุมนุมพระเจา้ตากไดเ้ติบโตเขม้แขง็ข้ึนเมื่อยึดได้เมืองจันทบุรี กองทัพพระเจ้าตากใช้เวลา หลายเดือนในการรวบรวมผู้คนตระเตรียมเรือรบ แลว้จึงเดินทพัทางทะเลข้ึนมาจนถึงเมืองธนบุรี เขา้ยดึเมืองธนบุรีไดแ้ลว้ ไม่นานก็ตีค่ายพม่าที่โพธ์ิสามตน้แตกในวนัที่7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2310 นบัรวมเวลาในการกอบกูเ้อกราชไม่ถึงหน่ึงปีสมดงัคาํที่วา่"กรุงศรีอยธุยาไม่สิ้นคนดี" 2. สมัยธนบุรี หลงัจากไดก้อบกูก้รุงศรีอยธุยากลบัคืนจากพม่าไดแ้ลว้พระเจา้ตากสินทรงเห็นวา่กรุงศรี อยธุยาถูกพม่าเผาผลาญเสียหายมากยากที่จะฟ้ืนฟูใหเ้หมือนเดิม พระองคจ์ึงยา้ยเมืองหลวง มาอยทู่ ี่ กรุงธนบุรีแลว้ปราบดาภิเษกข้ึนเป็นกษตัริยท์รงพระนามวา่ “ พระบรมราชาธิราชที่ 4 " (แต่ ประชาชนนิยมเรียกวา่สมเด็จพระเจา้ตากสินมหาราชหรือสมเด็จพระเจา้กรุงธนบุรี)ครองกรุง ธนบุรีอยู่15 ปีนบัวา่เป็นพระมหากษตัริยพ์ระองคเ์ดียวที่ปกครองกรุงธนบุรีการต้งักรุงธนบุรีเป็น ราชธานี
24 สมเด็จพระเจา้ตากสินทรงยา้ยเมืองหลวงมาอยทู่ ี่กรุงธนบุรีเนื่องจากสาเหตุดงัต่อไปน้ี ศรีอยธุยาชาํรุดเสียหายมากจนไม่สามารถจะบูรณปฏิสังขรณ์ใหด้ีเหมือนเดิมได้ กาํลงัร้ีพลของพระองคม์ ีนอ้ยจึงไม่สามารถรักษากรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองใหญ่ได้ ทาํเลที่ต้งัของกรุงศรีอยธุยาทาํใหข้า้ศึกโจมตีไดง้่ายขา้ศึกรู้เส้นทางการเขา้ตีกรุงศรี อยุธยาดี ส่วนสาเหตุทพี่ระเจ้าตากสินทรงเลือกกรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวงเนื่องจาก ทาํเลที่ต้งักรุงธนบุรีอยใู่กลท้ะเลถา้เกิดมีศึกมาแลว้ต้งัรับไม่ไหวก็สามารถหลบหนี ไปต้งัมนั่ทางเรือได้ กรุงธนบุรีเป็นเมืองเล็กจึงเหมาะกบักาํลงัคนที่มีอยพู่อจะรักษาเมืองได้ กรุงธนบุรีมีป้อมปราการที่สร้างไวต้้งัแต่สมยักรุงศรีอยธุยาหลงเหลืออยู่ซ่ึงพอจะ ใชเ้ป็นเครื่องป้องกนัเมืองไดใ้นระยะแรก
25 ด้านการปกครอง หลงัจากกรุงศรีอยุธยาเสียให้แก่พม่า เมื่อ พ.ศ. 2310 บา้นเมืองอยู่ใน สภาพไม่เรียบร้อย มีการปลน้ สะดมกนับ่อย ผูค้นจึงหาผูคุ้ม้ครองโดยรวมตวักนัเป็นกลุ่มเรียกว่า ชุมนุม ชุมนุมใหญ่ๆ ไดแ้ก่ชุมนุมเจา้พระยาพิษณุโลก ชุนนุมเจา้พระฝาง ชุมนุมเจา้พิมายชุมนุมเจา้ นครศรีธรรมราช เป็ นต้น สมเด็จพระเจ้าตากสิน ทรงใช้เวลาภายใน 3 ปียกกองทัพไปปราบ ชุมนุมต่าง ๆ ที่ต้ังตนเป็นอิสระจนหมดสิ้น สําหรับระเบียบการปกครองน้ัน พระองค์ทรง ยืดถือและปฏิบัติตามระเบียบการปกครองแบบ สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายตามทที่สมเด็จพระ บรมไตรโลกนาถทรงวางระเบียบไว้แต่รัดกุม และมีความเด็ดขาดกว่า คนไทยในสมัยน้ันจึงนิยมรับราชการทหาร เพราะถ้าผู้ใดมีความดี ความชอบ ก็จะไดร้ับการปูนบาํเหน็จอยา่งรวดเร็ว ในขณะที่สมเด็จพระเจา้ตากสินมหาราชข้ึน ครองราชย์สมบตัิน้นับา้นเมืองกาํลังประสบ ความตกต่าํทางเศรษฐกิจอยา่งที่สุด เกิดการขาด แคลนขา้วปลาอาหารและเกิดความอดอยาก ยากแค้น จึงมีการปลน้ สะดมแยง่วงิอาหาร มิหนาํซ้าํยงัเกิดภยัธรรมชาติข้ึนอีก ทาํใหภ้าวะ เศรษฐกิจที่เลวร้ายอยแู่ลว้กลบัทรุดหนกัลงไป อีกถึงกบัมีผคู้นลม้ตายเป็นจาํนวนมากสมเด็จพระเจา้ตากสินมหาราชทรงแกไ้ขวกิฤตการณ์ดว้ย วธิีการต่างๆ เช่น ทรงสละทรัพยส์ ่วนพระองค์ช้ือขา้วสารมาแจกจ่ายแก่ราษฎรหรือขายในราคาถูก พร้อมกบัมีการส่งเสริมใหม้ีการทาํนาปีละ2 คร้ัง เพื่อเพิ่มผลผลิตใหเ้พียงพอ ในตอนปลายรัชกาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เนื่องจากพระองค์ทรงตรากตรํา ทํางาน หนกัในการสร้างความเป็นปึกแผน่แก่ชาติบา้นเมือง พระราชพงศาวดารฉบบัต่าง ๆ ได้บนัทึกไวว้า่ สมเด็จพระเจา้ตากสินทรงมีพระสติฟั่นเฟือน ทาํใหบ้า้นเมืองเกิดความระส่าํระสายและไดเ้กิดกบฏ ข้ึนที่กรุงเก่า พวกกบฏไดท้าํการปลน้จวนพระยาอินทรอภยัผรู้ักษากรุงเก่าจนตอ้งหลบหนีมายงักรุง ธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโปรดให้พระยาสรรค์ไปสืบสวนเอาตัวผู้กระทําผิดมาลงโทษ แต่พระยาสรรคก์ลบัไปเขา้ดว้ยกบัพวกกบฏ และคุมกาํลงัมาตีกรุงธนบุรีแลว้จบัตวัสมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราชมาคุมขังเอาไว้ การจราจลในกรุงธนบุรี ทําให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกต้อง รีบยกทพักลบัจากเขมรเพื่อเขา้แกไ้ขสถานการณ์ในกรุงธนบุรีและจบักุมผกู้่อการกบฏมาลงโทษ รวมทงั่ใหข้า้ราชการปรึกษาพิจารณาความที่มีผฟู้ ้องร้องกล่าวโทษ สมเด็จพระเจา้ตากสินมหาราช
26 ในฐานะที่ทรงเป็นตน้เหตุแห่งความยงุ่ยากใน กรุงธนบุรีและมีความเห็นใหส้าํเร็จโทษพระองคเ์พื่อ มิใหเ้กิดปัญหายงุ่ยากอีกต่อไป สมเด็จพระเจา้ตากสินมหาราชจึงถูกสาํเร็จโทษและเสด็จสวรรคตใน พ.ศ. 2325 พระชนมายุได้ 45 พรรษา 3. สมัยรัตนโกสินทร์ กรุงรัตนโกสินทร์ หรือ “กรุงเทพมหานคร” เป็นราชธานีของไทย ต้งัอยทู่างตะวนัออกของ แม่น้าํเจา้พระยา ตรงขา้มกบัที่ต้งัของกรุงธนบุรีโดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้ เสด็จข้ึนครองราชสมบตัิเมื่อ วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325และ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ สถาปนาพระนครข้ึน โดยทาํพิธี ต้งัเสาหลกัเมืองของพระนคร ใหม่เมื่อวนัอาทิตย์เดือน 6ข้ึน 10ค่าํเวลาย่าํรุ่งแลว้ 45 นาที ตรงกบัวนัที่21 เมษายน พ.ศ. 2325 ท้งัน้ีไดพ้ระราชทานของ พระนครวา่ “กรุงเทพมหานคร รูปภาพ พระบรมมหาราชวัง บวรรัตนโกสินทร์มหินทรายุทธ ยามหาดิลก ภพนพรัตน์ ราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมารอวตารสถิต สักกะทัตติยะ วิษณุกรรม ประสิทธ์ิ”แปลวา่พระนครอนักวา้งใหญ่ดุจเทพนครเป็นที่สถิตยข์องพระแกว้มรกต เป็นพระมหา นครที่ไม่มีใครรบชนะ มีความงามอนัมนั่คงและเจริญยงิ่เป็นเมืองหลวงที่บริบูรณ์ไปดว้ยแกว้เปราะ น่ารื่นรมยย์งิ่พระราชนิเวศน์ใหญ่โตมากมายเป็นวมิานของเทพผู้อวตารลงมา ซึ่งท้าวสักกเทวราช พระราชทานใหพ้ระวษิณุกรรมลงมาเนรมิตไว้เรียกส้ันๆ วา่ “กรุงเทพฯ” “กรุงเทพมหานคร” หรือ “กรุงรัตนโกสินทร์” ซ่ึงคาํวา่กรุงเทพในตอนตน้ชื่อน้นัสันนิษฐานวา่มากจากชื่อหนา้ของอยธุยา วา่กรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยา (ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้เจา้อยหู่วัทรงแปลงสร้อย พระนามพระนครจาก “บวรรัตนโกสินทร์” เป็ น “อมรรัตนโกสินทร์”)
27 ราชธานีใหม่ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชต้งัอยบู่นฝั่งตะวนัออก ของแม่น้าํเจา้พระยาในสมยัอยธุยาแมแ้ม่น้าํเจา้พระยาจะคดเค้ียวแต่ก็เป็นเส้นทางเดินเรือในการ ติดต่อกบัโลกภายนอกทาํให้เส้นทางสัญจรสายน้ีคบัคงั่ ไปดว้ยเรือสินคา้เขา้ออกและก่อใหเ้กิด ชุมชนริมแม่น้าํข้ึน ชุมชนริมน้าํเหล่าน้ีไดข้ยายตวัข้ึนตามลาํดบัเดิมเป็นยา่นเล็กๆริมแม่น้าํเจา้พระยา ที่เก่าแก่มีมาอยา่งนอ้ยต้งัแต่สมยัตน้อยธุยาจน กระทงั่มีการขดุคลองลดับางกอกต้งัแต่หนา้ มหาวทิยาลยัธรรมศาสตร์ไปถึงวดัอรุณราชวรารามในสมยัสมเด็จพระไชยราชาธิราชแห่งกรุงศรี อยุธยา (พ.ศ.2077-2089) ซ่ึงทาํใหเ้ส้นทางเดิมของแม่น้าํเจา้พระยาที่ไหลออ้มคดเค้ียวกินพ้ืนที่เขา้ ไปในฝั่งธนบุรีแคบลงและต้ืนเขินกลายเป็นคลอง"บางกอกนอ้ย"และ"บางกอกใหญ่" ในปัจจุบนั ส่วนคลองลดัที่ขดุข้ึนใหม่เพื่อยน่ระยะทางขยายกลายเป็นแม่น้าํเจา้พระยาการสัญจรหลกัที่ใชข้้ึน ล่องระหวา่งกรุงศรีอยธุยากบัทะเลจึงหนัมาใชเ้ส้นทางสายใหม่พร้อมๆกบัการขยายตวัของชุมชน มายงัริมแม่น้าํสายใหม่ซ่ึงต่อมาพฒันาข้ึนในชื่อยา่น "บางกอก"และพฒันาต่อมากลายเป็น "เมืองธนบุรี" ซ่ึงมีสถานะเป็นเมืองการคา้และการคมนาคมแห่งหน่ึงของกรุงศรีอยธุยา หลงัจากกรุงศรีอยธุยาแตกและสมเด็จพระเจา้ตากสินไดก้อบกูบ้า้นเมืองข้ึนแลว้ทรงเลือก เมืองธนบุรีเป็นราชธานีแห่งใหม่ซ่ึงเป็นเมืองอกแตกเพราะมีแม่น้าํเจา้พระยาไหลผา่นกลางเมือง ก่อสร้างพระราชวงัอยูร่ ิมฝั่งตะวนัตกของแม่น้าํแต่ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองส่งผล ใหพ้ระบาท สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จข้ึนครองราชยเ์ป็นปฐมกษตัริยแ์ห่งราชวงศจ์กัรี พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้ปรับเปลี่ยนผงัเมืองเสียใหม่ดว้ยการยา้ยมาสร้างเมืองทางฝั่งตะวนัออกเพียง ฝั่งเดียวโดยใชพ้ ้ืนที่ส่วนหน่ึงของเมืองธนบุรีฝั่งตะวนัออกพร้อมกบัขยายกาํแพงเมืองและขดุคู เมืองใหม่ใหใ้หญ่ข้ึน ส่วนพ้ืนที่ฝั่งตะวนัตกหรือที่ปัจจุบนัเรียกวา่"ฝั่งธนบุรี"ก็ยงัเป็นแหล่งที่อยู่ อาศยัและชุมชนชาวสวนเช่นเดิม พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดใหส้ร้างพระราชวงัข้ึนทางฝั่ง ตะวนัออกของแม่น้าํเจา้พระยาในบริเวณกาํแพงพระนครเดิมสมยักรุงธนบุรีบริเวณที่สร้าง พระราชวงัน้นัเดิมเป็นที่อยอู่าศยัของพระยาราชเศรษฐีและชาวจีน ซ่ึงไดโ้ปรดใหย้า้ยไปอยทู่ ี่สาํเพง็ ในการก่อสร้างพระราชวงัโปรดใหพ้ระยาธรรมาธิบดีกบัพระยาวจิิตรนาวเีป็นแม่กองคุมการ
28 ก่อสร้างพระราชนิเวศน์มณเฑียรใหม่ใหม้ีลกัษณะคลา้ยกรุงศรีอยธุยา เมื่อทรงประกอบพระราชพิธี ยกหลกัเมืองแลว้จึงเริ่มก่อสร้างพระราชวงัหลวงในวนัที่6 พฤษภาคม 2325 การสร้างพระนครใหม่เริ่มในปีพ.ศ.2326 สามารถแบ่งเป็นสองระยะในรัชสมยัเดียวกนัน้ี ระยะแรกเป็นการยา้ยพระราชวงัและสถานที่สาํคญัมาต้งัที่พระนครฝั่งตะวนัออกของแม่น้าํ เจา้พระยา ใชก้าํแพงเมืองธนบุรีที่เลียบตามแนวคูที่ขดุข้ึนในสมยัธนบุรีต้งัแต่ปากคลองตลาดจน ออกสู่แม่น้าํเจา้พระยาบริเวณสะพานปิ่นเกลา้(คลองหลอด หรือคลองคูเมืองเดิม) ซ่ึงเป็นบริเวณที่ เรียกกนัวา่เกาะรัตนโกสินทร์มีพ้ืนที่ประมาณ 1.8 ตร.กม. เป็ นปราการด้านทิศตะวันออก ระยะที่ สองโปรดใหร้้ือกาํแพงเมืองธนบุรีดา้นตะวนัออกเพื่อขยายกาํแพงและคูพระนครออกโดยใหข้ดุ ขนานกบัแนวคูเมืองเดิมสมยัธนบุรีโดยขดุแยกจากแม่น้าํเจา้พระยาที่บางลาํพูมาออกแม่น้าํ เจา้พระยาทางดา้นทิศใตใ้กลส้ะพานพุทธยอดฟ้าฯ เรียกวา่คลองบางลาํพูและคลองโอ่งอ่าง ส่วน ดา้นตะวนัตกใชแ้ม่น้าํเจา้พระยาเป็นคูเมือง มิไดส้ร้างกาํแพงเมืองเหมือนดา้นตะวนัออก มีป้อมอยู่ 14 ป้อม มีประตูเมืองขนาดใหญ่16 ประตูประตูเมืองขนาดเล็ก ที่เรียกวา่ช่องกุดอีก47 ประตูเน้ือที่ ในคร้ังน้นัมีเพียง 2,163 ไร่พ้ืนที่นอกกาํแพงเมืองเป็นทุ่งนาปลูกขา้ว "ราชธานีแห่งใหม่ไดม้ีการ พฒันาและเจริญข้ึนเป็นลาํดบัจนกระทงั่กลายเป็น กรุงเทพมหานครในทุกวนัน้ี" ป้อมรอบกาํแพงพระนครท้งั 14 ป้อมส่วนใหญ่ไดถู้กร้ือออกไปหมดแลว้คงเหลือเพียง 2 ป้อม คือ ป้อมพระสุเมรุและป้อมมหากาฬ ป้อมท้งั 14 ป้อม มีชื่อและที่ต้งัดงัต่อไปน้ี 1. ป้อมพระสุเมรุต้งัอยทู่ ี่มุมกาํแพงเมือง ดา้นตะวนัตกเฉียงเหนือใตป้ากคลองบางลาํภู ป้อมน้ียงัอยใู่นสภาพที่สมบูรณ์ 2. ป้อมยคุนธร ต้งัอยบู่นกาํแพงเมืองดา้นเหนือ บริเวณเหนือวดับวรนิเวศ ฯ 3. ป้อมมหาปราบ ต้งัอยบู่นกาํแพงเมืองดา้นเหนือ 4. ป้อมมหากาฬ ต้งัอยบู่นกาํแพงดา้นตะวนัออกใตป้ระตูพฤฒิมาศ บริเวณสะพานผา่นฟ้า ป้อมน้ีอยใู่นสภาพ สมบูรณ์ 5. ป้อมหมูทลวง ต้งัอยบู่นกาํแพงดา้นตะวนัออก ตรงหนา้เรือนจาํพระนครเก่า 6. ป้อมเสือทะยาน ต้งัอยบู่นกาํแพงเมืองดา้นตะวนัออกเหนือประตูสามยอด บริเวณ สะพานเหล็ก บนป้อมมหากาฬ 7. ป้อมมหาไชย ต้งัอยบู่นกาํแพงเมืองดา้นตะวนัออก บริเวณหนา้วงับูรพาภิรมย์ 8. ป้อมจกัรเพชร ต้งัอยทู่างดา้นใต้เหนือปากคลองโอ่งอ่าง ใตว้ดัราษฎร์บูรณะ(วดัเลียบ) เป็ นป้อมสําคัญทางด้านใต้ 9. ป้อมผเีส้ือ ต้งัอยทู่างดา้นใต้ตรงปากคลองตลาด 10. ป้อมมหาฤกษ์ต้งัอยทู่างดา้นใต้เหนือปากคลองตลาดข้ึนไป บริเวณโรงเรียนราชินีล่าง 11. ป้อมมหายกัษ์ต้งัอยทู่างดา้นตะวนัตก ตรงวดัพระเชตุพนฯ
29 12. ป้อมพระจนัทร์ต้งัอยทู่างดา้นตะวนัตกริมท่าพระจนัทร์ตรงมุมวดัมหาธาตุดา้น ตะวันตกเฉียงเหนือ 13. ป้อมพระอาทิตย์ต้งัอยทู่างดา้นตะวนัตก มุมพระราชวงับวร ฯ ตรงพิพิธภณัฑส์ถาน แห่งชาติพระนคร 14. ป้อมอิสินธร ต้งัอยทู่างดา้นตะวนัตก นอกจากน้นัยงัมีป้อมที่อยนู่อกกาํแพงเมืองสร้างข้ึนภายหลงัเมื่อไดขุ้ดคลองผดุงกรุงเกษม แลว้บางแห่งต้งัอยทู่างฝั่งตะวนัตกของแม่น้าํเจา้พระยา มีอยู่7 ป้อมดว้ยกนั ไดแ้ก่ 1. ป้อมปราบปัจจามิตร อยูท่างฝั่งตะวนัตกของแม่น้าํเจา้พระยาริมปากคลองสาน 2. ป้อมปิดปัจจานึก อยูร่ ิมปากคลองผดุงกรุงเกษม ทางดา้นใต้ 3. ป้อมผลาญศตัรูราบ อยใู่ตว้ดัเทพศิรินทร์ฯ ริมถนนพลบัพลาไชย 4. ป้อมปราบศตัรูพา่ย อยใู่ตต้ลาดนางเลิ้ง ตรงหมู่บา้นญวน ขา้งบริเวณวดัสมณานมั บริหาร 5. ป้อมทาํลายแรงปรปักษ์อยเู่หนือวัดโสมนัสวิหาร 6. ป้อมหกักาํลงัดสักร อยปู่ากคลองผดุงกรุงเกษม ดา้นทิศเหนือ 7. ป้อมวชิยัประสิทธ์ิอยทู่างฝั่งตะวนัตกของแม่น้าํเจา้พระยา ปากคลองบางกอกใหญ่ หรือคลองบางหลวง สถานที่สาํคญั ในเขตพ้ืนที่เกาะรัตนโกสินทร์ช้นั ใน ไดแ้ก่ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏ์ เสาหลักเมือง วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวัง
30 „ วงัหนา้ปัจจุบนัเป็นที่ต้งัของ พิพิธภณัฑสถานแห่งชาติโรงละครแห่งชาติและ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ „ วดัพระเชตุพนวมิลมงัคลารามราชวรมหาวิหาร(วดัโพธ์ิ)เมื่อ พ.ศ.2554จารึกวัด โพธ์ิจาํนวน 1,444 ชิ้น ซ่ึงไดม้ีการจารึกองคค์วามรู้ด้งัเดิมในศาสตร์ต่างๆ ของไทยและถูก ยดึติดอยกู่บัส่วนต่างๆของอาคารท้งัหลายภายในวดั ไดร้ับการข้ึนทะเบียนเป็นมรดกความ ทรงจาํแห่งโลกในระดบันานาชาติจากองคก์ารยเูนสโก „ ทอ้งสนามหลวงอยทู่างดา้นเหนือของพระบรมมหาราชวงัเป็นสถานที่สําคัญ มาแต่เดิมของกรุงเทพ ฯ บริเวณน้ีเดิมเรียกวา่ทุ่งพระเมรุเพราะเคยเป็นสถานที่ต้งัพระเมรุ พระราชทานเพลิงศพเจา้นายพระองค์ต่าง ๆ จนถึงสมยัรัชกาลที่4 ทรงมีพระราชดาํริวา่ชื่อทุ่งพระ เมรุน้ีฟังไม่เป็นมงคลจึงทรงพระกรุณาโปรด เกลา้ฯ ใหเ้ปลี่ยนชื่อเสียใหม่วา่ ท้อง สนามหลวงสืบมาจนถึงทุกวนัน้ีทอ้งสนามหลวงเป็น สถานที่สาํหรับชาวพระนครไดพ้กัผอ่น โดยตลอดรอบ สนามหลวงจะปลูกต้นมะขาม ไว้โดยรอบ และเป็ น สถานที่จดังานพระราชพิธีต่าง ๆ เช่น พระราชพิธีจรด พระนงัคลัแรกนาขวญัเป็นสถานที่เล่นวา่วปักเป้าและวา่วจุฬาในฤดูร้อน พ้ืนที่รอบบริเวณ สนามหลวงเป็นที่ต้งัของสถานที่สาํคญัคู่กรุงเทพฯ เช่น ศาลหลกัเมืองกระทรวงกลาโหม วดัพระศรี รัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวัง วดัมหาธาตุยุวราชรังสฤษด์ิอนุสาวรีย์ทหารอาสา (สงครามโลกคร้ังที่1) ศาลแม่พระธรณีและกระทรวงยุติธรรม นอกจากน้นัสนามหลวงยังเป็ น จุดเริ่มตน้ของถนนราชดาํเนิน และเชื่อมต่อดว้ยถนนราชดาํเนินกลาง ซ่ึงทอดผ่านดา้นตะวนัออก ของท้อง สนามหลวงไปยงัพ้ืนที่เกาะรัตนโกสินทร์ช้ันกลางและช้ันนอกเพื่อเชื่อมโยงไปยงั พระราชวังดุสิต
31 แบบทดสอบ ค าชี้แจง ให้ผู้เรียนเลือกข้อที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว 1) เมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองในดินแดนแถบน้ี มาก่อนกรุงศรีอยธุยาคือเมืองใด ก. สุโขทัย ข. ลพบุรี ค. สุพรรณบุรี ง. อโยธยา 2) ปฐมกษัตริย์พระองค์แรกของอยุธยาคือใคร ก. สมเด็จพระมหาธรรมราชา ข. สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ค. สมเด็จพระเจ้าทองลัน ง. สมเด็จพระเจา้อู่ทอง 3) พระโอรสของพระเจา้อู่ทองที่ไดข้้ึน ครองราชย์ ต่อจากพระองคค์ือใคร ก. สมเด็จพระรามราชา ข. สมเด็จพระราเมศวร ค. ขนุหลวงพะงวั่ ง. พระเจ้าทองลัน 4) สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 ทรงมีพระ นามเดิมวา่อะไร ก. ขนุหลวงพะงวั่ ข. ขุนหลวงหาวัด ค. ขนุหลวงข้ีเร้ือน ง. เจ้าฟ้าไชย 5) สงครามคร้ังแรกของไทยกบัพม่าคืออะไร ก. สงครามคราวเสียกรุงคร้ังที่1 ข. สงครามกลางเมือง ค. สงครามยุทธหัตถี ง. สงครามเมืองเชียงกราน 6) อยุธยามีความสัมพันธ์ทางการค้าแบบ รัฐบรรณาการกบัชาติใด ก. จีน ข. พม่า ค. โปรตุเกส ง. ฝรั่งเศส 7) ใครเป็นผแู้ต่งหนงัสือจินดามณี ก. พระโหราธิบดี ข. ศรีปราชญ์ ค. สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ง. เจา้ฟ้ากุง้ 8) กรุงเสียอยธุยาเสียแก่พม่าคร้ังที่2 เมื่อปี ใด ก. 2310 ข. 2112 ค. 2230 ง. 2309 9) กรุงศรีอยธุยาล่มสลายลงเพราะเหตุใดสาํคัญ ที่สุด ก. การขาดความสามัคคีของคนในชาติ ข. ไส้ศึกพม่าแฝงตวัเขา้มา ค. การขาดการฝึ กซ้อมรบ ง. การขาดกาํลงัทหารสนบัสนุนจาก เมืองต่างๆ 10) ผกู้อบกูอ้ิสรภาพใหไ้ทยในการเสียกรุง คร้ังแรกคือใคร ก. พระองค์ขาว ข. เจ้าฟ้าไชย ค. พระองค์ดํา ง. เจ้าทองลัน
32 กิจกรรมท้ายบท ค าชี้แจง ใหผ้เู้รียนตอบคาํถามต่อไปน้ีมาพอสังเขป 1. เวลาที่ปรากฏในศิลาจารึกวา่“1205 ศก ปีมะแม พอ่ขุนรามคาํแหง หาใคร่ใจในใจแลใส่รายสือ ไทยน้นั” เป็ นศักราชใด......................................... เทียบเป็ นพุทธศักราชใด........................................ 2. การแบ่งยคุสมยัทางประวตัิศาสตร์แบ่งออกเป็น............................................................................. ไดแ้ก่.................................................................................................................................. ................ ............................................................................................................................................................. 3. ยคุหิน แบ่งออกเป็น 3 ยคุยอ่ย ไดแ้ก่.......................................................................................... ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................
33 การสร้างองค์ความรู้ใหม่ทางประวัติศาสตร์ไทย สาระส าคัญ ประวัติศาสตร์เป็ นวิชาที่ศึกษาเรื่องราวในอดีตที่ผา่นพ้นไปแล้วโดยอาศัยหลักฐานที่ยังคง หลงเหลืออยใู่นปัจจุบนัท้งัน้ีนกัประวตัิศาสตร์จะมีกระบวนการเขียนประวตัิศาสตร์ที่เรียกวา่ “วิธีการทางประวัติศาสตร์” อยา่งเป็นระบบ ซึ่งอาศัยการลืบค้นหลักฐานการตรวจสอบความถูกต้อง ของหลักฐานข้อมูล ทําให้สามารถสร้างองค์ความรู้ใหม่ไดอ้ยา่งมีประสิทธิภาพ มีความชื่อถือและมี เหตุผล ซึ่งการเรียนรู้วิธีการทางประวัติศาสตร์จะช่วยให้ผู้ศึกษารู้จักสืบค้นข้อมูลอยา่งเป็นระบบใน การแสวงหาคําตอบ ผลการเรียนรู้ทคี่าดหวงั 1. มีความรู้ความเข้าใจความสําคัญของการสร้างองค์ความรู้ใหม่ทางประวัติศาสตร์ไทย 2 . ตระหนกัเห็นคุณค่าการสร้างองค์ความรู้ใหม่ทางประวัติศาสตร์ไทย 3. สามารถนําความรู้มาปรับใช้ในการดํารงชีวิต ขอบข่ายเนื้อหา 1. หลักฐานทางประวัติศาสตร์ไทย 2. คุณค่าประโยชน์ของวธิีการทางประวตัิศาสตร์ที่มีต่อการศึกษาทางประวตัิศาสตร์ 3. หลักฐานทางประวัติศาสตร์ กจิกรรมการเรียนรู้ 1. ศึกษาเอกสารการเรียนรู้ 2. ปฏิบตัิกิจกรรมตามที่ไดร้ับมอบหมายในเอกสารการเรียนรู้ สื่อประกอบการเรียนรู้ 1. คู่มือการเรียนรู้ 2. แบบฝึ กหัด ประเมินผล 1. แบบฝึ กหัด 2. ประเมินผลจากการทดสอบกลางภาคและปลายภาคเรียน
34 บทที่ 2 การสร้างองค์ความรู้ใหม่ทางประวัติศาสตร์ไทย การสร้างองค์ความรู้ใหม่ทางประวัติศาสตร์ไทย ประวัติศาสตร์เป็นวิชาที่ศึกษาเรื่องราวในอดีตที่ผานพ้ ่ นไปแล้ว โดยอาศัยหลักฐานที่ยัง คง หลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน ท้งัน้ีนกั ประวตัิศาสตร์ จะมีกระบวนการเขียนประวัติศาสตร์ที่เรียกว่า “วิธีการทางประวัติศาสตร์” อย่างเป็นระบบ ซึ่ งอาศัยการสืบค้นหลักฐาน การตรวจสอบความ ถูกต้องของหลักฐานข้อมูล ทําให้สามารถสร้าง องค์ความรู้ใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความ น่าเชื่อถือและมีเหตุผล ซึ่งการเรียนรู้วิธีการทาง ประวัติศาสตร์จะช่วยให้ผู้ศึกษารู้จักสืบค้นข้อมูล อยางเป็ ่ นระบบในการแสวงหาคําตอบ 1. ความส าคัญและประโยชน์ของวิธีการทางประวัติศาสตร์ วิธีการทางประวัติศาสตร์เป็นวิธีการหรือ ข้นัตอนที่ ่ใช้ศึกษาค้นคว้าวิจยัเกี่ยวกบัเรื่องราว ทางประวัติศาสตร์โดยอาศัยจากหลักฐานที่เป็น ลายลักษณ์อักษรเป็นสําคญั ประกอบกบัหลกัฐาน ที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อฟ้ืนเรื่องราวใน อดีตได้อยางถูกต้ ่ องสมบูรณ์และน่าเชื่อถือ ปัญหา สําคัญประการหนึ่งในการศึกษา ประวัติศาสตร์คือ เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่ได้มีการศึกษาและ เขียนข้ึนใหม่และหลักฐาน ที่นํามาใช้เป็นข้อมูลน้ันมีความถูกตอ้ง น่าเชื่อถือ เพียงใด เพราะ เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์มีอยู่มากมาย และหลักฐานที่เป็ นลายลักษณ์อักษร บางประเภทอาจให้ ข้อมูลไมรอบด้ ่าน หากนักประวัติศาสตร์ใช้หลกัฐานที่ ่อาจให้ข้อมูลเพียงบางส่วน ก็จะทาํให้เรื่องราวทาง ประวัติศาสตร์ที่ตนเขียนข้ึนขาดความถูกต้อง ไม่น่าเชื่อถือ ดงัน้นัการคนคว้ ้ าและการใช้หลักฐาน ข้อมูลที่หลากหลายจึงมีความสําคัญต้อการค้นคว้าและการเขียนประวัติศาสตร์นอกจากน้ียงัมีปัจจัย อื่นๆ อีกที่มีผลต่อการศึกษาและการเขียนประวัติศาสตร์เช่น ภูมิหลังของผู้ศึกษาประวัติศาสตร์ท้งั ในด้านการศึกษา อุดมการณ์ทางการเมือง โลกทัศน์สภาพแวดล้อม อคติส่วนบุคคล นัก ประวัติศาสตร์บางคนอาจเขียนงานทางประวัติศาสตร์โดยมีจุดประสงค์ทาง การเมืองแอบแฝง ทํา ให้เลือกนําเสนอเรื่องราวหรือตีความหลักฐานข้อมูลเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อ ฝ่ายใดฝายหนึ่งและ โจมตีอีกฝ่ายหนึ่ ง เป็นต้น ดังน้ัน วิธีการทางประวตัิศาสตร์จึงมีคุณค่าต่อการเขียนงานทาง ประวัติศาสตร์ช่วยให้ผู้ศึกษา สามารถศึกษาประวัติศาสตร์ได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์น่าเชื่อถือมาก ที่สุด โดยอาศัยหลักฐานข้อมูล ที่น่าเชื่อถือและการวิเคราะห์ตีความอยางละเอียดรอบคอบ และมี ่ ประโยชน์ในการใช้เป็นแนวทาง สําหรับผู้ศึกษาประวัติศาสตร์หรือผู้ฝึกฝนทางประวัติศาสตร์จะได้ นําไปใช้ในการแสวงหาความจริงที่เกิดข้ึนในอดีตด้วยความรอบคอบ ระมดัระวงัและไม่ลําเอียง
35 2. ขั้นตอนของวิธีการทางประวัติศาสตร์ วิธีการทางประวัติศาสตร์เป็นกระบวนการในการศึกษาค้นคว้าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ โดยอาศัยการรวบรวมและวิเคราะห์ตีความข้อมูลหลกัฐานอยา่งมีเหตุผล ซ่ึงสามารถแบ่งออกได้เป็น 5 ข้นัตอน ดงัน้ี 1) การกาํหนดหัวเรื่อง เป็นข้นั ตอนแรกของวิธีการทางประวัติศาสตร์ในการกาํหนด ประเด็นที่จะศึกษาผู้ศึกษาอาจกาํหนดไวกว้ ้างๆ ก่อนในตอนแรก แล้วจึงกาํหนดประเด็นให้แคบลง ในภายหลังเพื่อให้เกิดความชดัเจนมากข้ึน เช่น หากต้องการศึกษาประวัติศาสตร์สมัยอยุธยา อาจ กาํหนดหวัขอกว้ ้ างๆ เป็นประวัติศาสตร์การเมืองการปกครอง สมัยอยุธยา พัฒนาการทางเศรษฐกิจ สมัยอยุธยา ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสมยัอยุธยา บทบาทของชาวต่างชาติใน สมัยอยุธยา จากน้นัจึงกาํหนดหวัขอให้ ้แคบลง เช่น การปฏิรูปการบริหารราชการแผนดินสมัยสมเด็จพระบรม ่ ไตรโลกนาถ การปกครองหัวเมืองในสมัยอยุธยาตอนปลาย บทบาทและหน้าที่ของสมุหนายก ความขัดแย้งทางการเมืองในปลายสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช สําหรับประเด็นที่ ควรพิจารณาในการกาํหนดหัวเรื่องคือ เป็นเรื่องเกี่ยวกบับุคคลสําคญั เป็นเหตุการณ์สําคัญที่เกิดข้ึนในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง เป็นเรื่องเกี่ยวกบัสภาพชีวิตและสังคมในอดีต เป็นผลกระทบของวิกฤติการณ์ต่างๆ เช่น อิทธิพลของศาสนา ผลกระทบของการปฏิวัติรัฐประหาร วิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจที่มีต่อสังคม ผลกระทบ ของสงคราม เป็นต้น หัวเรื่องที่กาํหนดควรมี ความชดัเจน มีช่วงเวลาที่ไม่กว้างเกินไป เพื่อความสะดวกในการศึกษา ค้นคว้าและตอบคําถามใน ประเด็นที่ผู้ศึกษาสนใจ 2) การรวบรวมหลักฐาน คือ การรวบรวมหลักฐานที่เกี่ยวข้องกบัหวัขอที่ ้ จะศึกษา ท้งัหลกัฐานที่เป็นลายลักษณ์อกัษรและหลกัฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ในการรวบรวมหลักฐาน ผู้ศึกษาต้องทราบวา่หลกัฐานแต่ละประเภทมีความสําคญัแตกต่าง กนักล่าวคือ หลกัฐานช้นต้ ันมีความสาํคญัและความน่าเชื่อถือมากกวา่หลกัฐานช้นัรองแต่หลักฐาน วิธีการทางประวัติศาสตร์ การรวบรวมหลักฐาน การจดัหมวดหมู่และตีความ การวิเคราะห์และสังเคราะห์ ข้อมูล การประเมินคุณค่า ของหลักฐาน การกาํหนดหวัเรื่อง
36 ช้นัรองช่วยอธิบายเรื่องราวให้เข้าใจง่ายกวา่หลกัฐานช้นต้ ัน ดงัน้นัการรวบรวมหลกัฐานจึงควรเริ่ม จากหลกัฐานช้นรอง แล้ ั วจึงศึกษาจากหลักฐานช้นัตน ถ้ ้ าเป็นหลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อกัษรก็ ควรเริ่มจากการศึกษาผลงานของนักวิชาการที่เชี่ยวชาญก่อนที่จะไปศึกษาจากสถานที่จริงหรือของ จริง นอกจากน้ีในการรวบรวมหลักฐานและการค้นคว้าข้อมูล ผู้ศึกษาต้องรู้ว่าควรรวบรวม หลักฐานข้อมูล จากแหล่งใดด้วย แหล่งรวบรวมหลักฐานที่สําคญัเช่น ห้องสมุด หอจดหมายเหตุ พิพิธภณัฑสถาน แหล่งโบราณคดีเว็บไซต์ที่นําข้อมูลหลกัฐานช้นัตนมาเผยแพร้ 3) การประเมินคุณค่าของหลักฐาน หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่จะนํามาใช้ในการศึกษา ค้นคว้าน้นจะต้ ัอง ผา่นการประเมินคุณค่าก่อนวา่มีความน่าเชื่อถือและมีคุณค่ามากน้อยเพียงใด ซึ่ง เรียกอีกอยางหนึ่ ่งวา ่ “วิพากษ์วิธีทาง ประวัติศาสตร์” มี 2 วิธีได้แก่ 3.1) การประเมินคุณค่าภายนอกหรือการวิพากษ์ภายนอก โดยประเมินหรือวิพากษ์จาก ลกัษณะทวไป ั่ของหลกัฐานน้นัวาเป็ ่ นของจริงหรือของปลอม ข้อควรพิจารณา เช่น 1. ผู้ทาํหรือเขียนหลกัฐานน้นัเป็นใคร ทาํหรือเขียนข้ึนเมื่อใด เขียนข้ึนทาํไม เขียนที่ ไหน 2. พิจารณาจากลกัษณะภายนอกของหลกัฐาน เช่น ความเก่าของเน้ือกระดาษ หมึก หรือลักษณะของเน้ือกระดาษ เช่น กระดาษของไทยแต่เดิมมีเน้ือหยาบ แผน่หนา ส่วนกระดาษฝรั่ง มีเน้ือบางและเริ่มเขามาในรัชสมัย ้พระบาทสมเด็จพระนงั่เกลาเจ้ ้าอยูห่วัดงัน้นัหลกัฐานของไทย ก่อนหน้ารัชสมยัน้ีจึงยงัไม่ได้บนัทึกลงในกระดาษฝรั่ง 3.2) การประเมินคุณค่าภายในหรือการวิพากษ์ภายใน โดยประเมินหรือวิพากษ์ข้อมูลใน หลกัฐานว่า มีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด มีข้อมูลใดที่น่าสงสัยวา่กล่าวไม่ถูกต้อง ในการ ประเมินคุณค่าของหลกัฐานน้นั สามารถทําพร้อมกนั ไดท้ ้งัสองวิธีซ่ึงจะช่วยให้ประหยัดเวลาใน การศึกษา 4) การจดัหมวดหมู่และตีความ ในข้นัตอนน้ีผูศึกษาต้ ้ องศึกษาข้อมูลจากหลักฐานที่ถูก ประเมินคุณค่า แล้ววาเป็ ่ นของแท้และมีความน่าเชื่อถือโดยทราบอยางชัดเจนแล้ ่ววา่หลกัฐานน้นั ให้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์อะไรบ้าง แล้วนําข้อมูลที่ได้มาจดัหมวดหมู่เช่น ความเป็นมาของ เหตุการณ์สาเหตุของเหตุการณ์รายละเอียดของเหตุการณ์และผลของเหตุการณ์ท้งัผลดีและผลเสีย จากน้นผู้ ั ศึกษาต้องหาความสัมพันธ์ของประเด็นต่างๆ และตีความข้อมูลว่ามี ข้อเท็จจริงใดที่ยัง ไม่ได้กล่าวถึงหรือกล่าวเกินความจริงมากเกินไป ในการตีความขอมูล ผู้ ้ ศึกษาควรศึกษาข้อมูลอยาง่ กว้างขวาง โดยนําหลักฐานอื่นๆ ในเรื่องเดียวกนัหรือมีความสัมพนัธ์กนัมาประกอบการศึกษา ซ่ึง จะช่วยให้ผู้ศึกษา สามารถตีความหลักฐานได้ดียงิ่ข้ึน และควรนาํหลกัฐานช้นัรองที่มีผูศึกษาไว้ ้ แล้ว มาวิเคราะห์เปรียบเทียบด้วย
37 5) การวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล เป็นข้นตอนสุดท้ ั ายที่ผู้ศึกษาต้องนําข้อมูลท้งหมดมาั วิเคราะห์ สังเคราะห์คือ แยกแยะและรวมข้อมูล โดยจัดข้อมูลเรื่องเดียวกนัหรือเกี่ยวข้องกนั ไว้ ด้วยกนัจากน้นจึงนําเรื่อง ัท้งัหมดมาสังเคราะห์หรือเรียบเรียงเข้าด้วยกนั ให้เป็นเรื่องราวตามที่ผู้ ศึกษากาํหนดหัวเรื่องไว้รวมท้งให้ ั ความรู้ใหม่หรือ คาํอธิบายใหม่ในเรื่องที่ศึกษาโดยมีข้อมูล หลกัฐานสนบัสนุนและสรุปผลการศึกษารวมท้งข้ ั อเสนอแนะสําหรับผู้ที่จะศึกษาต่อไป 3. หลักฐานทางประวัติศาสตร์ไทย 3.1 ประเภทของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ไทยสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ดงัน้ี 1) หลักฐานชั้นต้น (Primary Sources) เป็นหลักฐานร่วมสมยักบับุคคลหรือเหตุการณ์ที่ เกิดข้ึน บนัทึกโดยผรูู้้เห็นเกี่ยวขอ้งกบัเหตุการณ์น้นัๆ เช่น หลกัฐานทางราชการท้งัที่เป็นเอกสารลับ และเอกสารที่เปิดเผยซึ่งเก็บไวท้ ี่สํานักหอจดหมายเหตุแห่งชาติสํานักราชเลขาธิการ รัฐสภา กระทรวงและหน่วยงานราชการจารึกเช่น จารึกสมัยสุโขทัย จารึกล้านนา พระราชพงศาวดารสมัย อยุธยาพระราชพงศาวดารสมัยรัตนโกสินทร์กฎหมาย เช่น กฎหมายตราสามดวง กฏหมายหัวเมือง กฎหมายอาญาสนธิสัญญา เช่น สนธิสัญญา เบาว์ริง ประกาศเช่นประชุมประกาศรัชกาล ที่ 4 ประกาศห้ามสูบ กิน ซ้ือขายฝิ่น สมัยรัชกาล ที่ 3 ราชกิจจานุเบกษา สุนทร พจน์คําพิพากษา จดหมายเหตุ รายงานการประชุม รายงานประจําปีบันทึกประจําวันของผู้ที่เกี่ยวข้องใน เหตุการณ์อัตชีวประวัติและข่าวจากหนังสื อพิม พ์ เป็นต้น สนธิสัญญาเบอร์นีย์เป็นหลักฐานชั้นต้นที่ให้ความรู้ เกี่ยวกับการต่างประเทศของไทยสมัยรัชกาลที่ 3 ส่วนหลกัฐานช้นต้ ั นที่ไมใ่ช่หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์ อกัษรเช่น สถาปัตยกรรม ประติมากรรม เครื่องมือเครื่องใช้ โครงกระดูกโบราณสถาน โบราณวัตถุ รูปภาพ วีดิทัศน์เป็นต้น การใช้หลกัฐานช้นต้ ั นในการศึกษาค้นคว้าทาง ประวัติศาสตร์จะทําให้งานวิจัยมีความน่าเชื่อถือมากข้ึนแต่ผู้ศึกษา ควรรู้จักใช้หลกัฐานอยางระมัดระวัง เพราะหลักฐาน ่บางอยางจะ่ กล่าวถึงเพียงด้านเดียวเช่น หากเป็นบนัทึกส่วนตวัก็อาจเขียน จากมุมมองของผู้บนัทึกหรือเขียนแต่เรื่องที่ดีของฝ่ายตน การนํา หลกัฐานช้นต้ ั นมาใช้จึงต้องมีการประเมินคุณค่าของหลกัฐานอยาง่ รอบคอบเสียก่อน ในการตรวจสอบหาอายุของหลกัฐาน ทางโบราณคดีเช่น โบราณสถาน โบราณวตัถุ โครงกระดูก มนุษย์และสัตว์นอกจากก าหนด อายุโดยการเทยีบเคยีงจากวตัถุทขีุ่ดพบในช้ัน ดินเดียวกันแล้ว ยังอาศัยจากเครื่องมือทาง วิทยาศาสตร์ได้แก่การวัดรังสีกัมมันตภาพ (Radio-Activity) ของ คาร์บอนที่หลงเหลือ อยู่ในอนิทรียวตัถุโบราณ หรือเป็นทรีู่้จักกัน โดย ทั่วไปว่า “วิธีตรวจสอบ ด้วยคาร์บอน”
38 2) หลักฐานชั้นรอง (Secondary Sources) เป็นหลักฐานที่เขียนข้ึนภายหลังเหตุการณ์ ที่ เกิดข้ึน โดยใช้ข้อมูลจากหลกัฐานช้ันต้น เช่น หนังสือ งานวิจัย วิทยานิพนธ์บทความ เอกสาร สัมมนา หนงัสือที่ระลึกงานศพ ชีวประวตัิส่วนหลกัฐานช้นัรองที่ไม่ใช่หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์ อักษร เช่น ภาพยนตร์แผนซีดี ่ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สมบูรณ์และหลากหลายทําให้การสืบค้นทางประวัติศาสตร์มี ความสมบูรณ์ผู้ศึกษาควรใช้ท้งัหลกัฐานช้นัตน้และหลกัฐานช้นัรองประกอบการศึกษา 3.2 ลักษณะของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ 1) หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร จัดเป็นหลักฐานที่มีการบันทึกเป็นตัวอักษรลงบน วัสดุเช่น แผนหิน ใบลาน กระดาษ ลักษณะของหลักฐานที่ ่ เป็นลายลักษณ์อักษรทางประวัติศาสตร์ ไทย เช่น ตํานาน จารึก พระราชพงศาวดาร หนงัสือราชการเอกสารส่วนบุคคล จดหมายเหตุ บันทึก ของชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามา 1.1) ต านาน คือเรื่องที่เล่าต่อๆ กนัมาและถูกจดเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ภายหลัง ทํา ให้ เรื่องราวในตาํนานไม่มีวันเวลาที่ แน่นอน หรือไม่คํานึงถึงเรื่องเวลา ตํานานอาจแยกได้เป็น ตํานาน ฝ่ายวัด คือ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกบัพระพุทธศาสนา เช่น ตํานานมูลศาสนา ตํานานพระพุทธ สิหิงค์ ตาํนานพระแกวมรกต และตํานานฝ่ ้ายเมือง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกบักษตัริยวีรบุรุษ บ้ ์ านเมือง ชื่อสถานที่ โบราณสถาน โบราณวตัถุเช่น ตํานานพระยากงพระยาพาน ตํานานสิงหนวัติกุมาร ตํานานขุนบรม ตาํนานเมืองสุวรรณโคมคาํตาํนานเรื่องพระร่วง เป็นต้น แม้วาตํานานจะมีเค้ ่ าความจริงทางประวัติศาสตร์แทรกอยู่แต่ตาํนานก็จดัเป็นหลักฐาน ที่มี คุณค่าทางประวัติศาสตร์น้อย เพราะไม่ปรากฏชื่อของผู้แต่ง ไม่ระบุเวลาที่แต่ง เวลาของเหตุการณ์ ไม่มีหลักฐานอ้างอิงไม่มีความชดัเจนในเรื่องบุคคลเวลาและสถานที่ในตาํนาน นอกจากน้ีการเล่า ต่อๆ กนัมา ทําให้ตาํนานเรื่องเดียวกนั ในแต่ละพ้ืนที่มีรายละเอียดต่างกนั 1.2) จารึก คือ การสลกัตวัอกัษรลงบนวสัดุและเรียกชื่อตามวสัดุที่นาํมาจารึก เช่น จารึกลงบนแผน่หิน เรียกวา ่ “ศิลาจารึก” เช่น ศิลาจารึกสุโขทยัจารึกลงบนแผน่ทอง เรียกวา ่ “จารึก ลานทอง” จารึกลงบนแผน่เงิน เรียกวา ่ “จารึกลานเงิน” จารึกลงบนใบลาน เรียกวา ่ “จารึกใบลาน” ในบรรดาจารึกลักษณะต่าง ๆ ศิลาจารึ กมีความสําคัญมากที่สุ ด เพราะสามารถให้ รายละเอียดข้อมูลได้มากกวาการจารึกลงบนวัสดุอื่น ่ๆ รวมท้งัมีความคงทนมากกวา่ 1.3) พระราชพงศาวดาร เป็นการบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกบัพระมหากษตัริยเ์ริ่มต้งัแต่ สมัยอยุธยามาจนถึงสมัยรัชกาลที่5 เน้ือหาในพระราชพงศาวดารเกี่ยวกบัพระมหากษตัริยเป็ ์ นหลัก ไม่มีเรื่องราวของราษฎร และเน้นเรื่องการเชิดชูพระเกียรติยศ ดงัน้นัการใชพระราชพงศาวดาร ้ ใน การศึกษาประวัติศาสตร์จึงต้องตรวจสอบจากหลักฐานอื่นด้วยเช่น พระราชพงศาวดารของประเทศ เพื่อนบ้าน เอกสารของชาวต่างชาติในสมัยน้ันๆ พระราชพงศาวดารที่สําคัญ เช่น พระราช พงศาวดาร กรุงศรีอยุธยาฉบับหลวงประเสริฐฯ ถือเป็นพระราชพงศาวดารที่เก่าแก่ที่สุดที่เหลืออยู่
39 ในปัจจุบัน ซึ่งให้ข้อมูลเกี่ยวกบัเรื่องศกัราชต่างๆได้ถูกต้อง ต้งัตามชื่อหลวงประเสริฐอกัษรนิต์ิผูไป้ สํารวจพบ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบบับริติชมิวเซียม ต้งัตามชื่อสถานที่ที่พบพระราช พงศาวดาร พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เพราะมีลายพระราชหัตถเลขาของรัชกาลที่4 ที่ทรงร่วม ชาํระปรากฏอยู่ส่วนพระราชพงศาวดารในสมัยรัตนโกสินทร์มีต้งัแต่สมัยรัชกาลที่ 1 ถึง รัชกาลที่ 5 พระราชพงศาวดารเป็นหลกัฐานช้นัตนที่บันทึก ้เรื่องราวเกี่ยวกบัพระมหากษตัริย์ 1.4) หนังสือราชการ เช่น หมายรับสั่ง หนงัสือสั่งราชการ เอกสารการประชุม เช่น รายงานการประชุมเสนาบดีสภาในสมัยรัชกาลที่ 5 รายงานการประชุมอภิรัฐมนตรีสภาสมัยรัชกาล ที่ 7 หนังสือราชการที่ ตกทอดมาถึงปัจจุบันเป็นของสมัยรัตนโกสินทร์โดยเฉพาะต้งัแต่สมัยรัชกาล ที่5 เป็นต้นมา ซ่ึงเก็บรักษาไวท้ ี่สํานักหอจดหมายเหตุแห่งชาติสํานักราชเลขาธิการ สํานัก นายกรัฐมนตรี เป็นต้น ส่วนเอกสารที่ ่ เป็นสมุดไทยต้งัแต่สมยัรัชกาลที่ ่ 4 ข้ึนไป เก็บรักษาไวที่ ้ หอสมุดแห่งชาติและ หอวชิรญาณในหอสมุดแห่งชาติ ในปัจจุบันได้มีการตีพิมพ์หนังสือราชการออกมา เช่น ประชุมหมายรับสั่งสมัยธนบุรี รายงานการประชุมเสนาบดีสภารัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่องสภาทิ่ ปรึกษาราชการแผน่ดิน ซ่ึงช่วยให้การค้นคว้าทางประวัติศาสตร์สะดวกมากข้ึน 1.5) เอกสารส่วนบุคคล เป็นบันทึกหรือจดหมายของผู้ที่เกี่ยวข้องหรือรู้เห็นเหตุการณ์ จึงถือเป็นเอกสารช้นัตน้ที่มีคุณค่ามาก ตวัอย่างเอกสารส่วนบุคคล เช่น จดหมายเหตุพระราชกิจ รายวัน รัชกาลที่5 จดหมายเหตุความทรงจํากรมหลวงนรินทรเทวี พระราชหัตถเลขาในรัชกาลที่ 5 เรืองเสด็จประพาสแหลมมลายู รวม 4 คราว ร.ศ. 108, 109, 117, 120 ประชุมพระราชหัตถเลขาใน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยหัว บันทึกของบุคคลในคณะราษฎรที่เปลี่ยนแปลงการปกครอง ู่ พ.ศ. 2475 1.6) บันทึกของชาวต่างชาติ ซึ่งบันทึกหรือเขียนเรื่องราวเกี่ยวกบัเมืองไทยไวนับเป็ ้น หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มีคุณค่ามาก เพราะให้ข้อมูลหลากหลายเช่น เรื่องเกี่ยวกบัสภาพสังคม
40 ชีวติอาชีพ อาหารการกิน ประเพณีการดาํรงชีวิตของคนไทยสมยัต่างๆ บางเรื่องอาจให้ข้อมูลเสริม ในสิ่งที่หลกัฐานไทยมีอยแลู้่ ว ขณะที่บางเรื่องอาจให้ข้อมูลที่หลักฐานไทยไม่ได้กล่าวถึง บนัทึกของชาวต่างชาติมีมาก ท้งับนัทึกของทางการ จีนบันทึกของคณะทูตฝรั่งเศสและเปอร์เซียในสมัยอยุธยา บันทึกของพอค้ ่ าและบาทหลวงที่เข้ามาสมัยอยุธยาและ สมัยรัตนโกสินทร์เช่น จดหมายเหตุลาลูแบร์ของเดอ ลาลูแบร์ราชทูตฝรั่งเศสที่เข้ามาสมัยสมเด็จพระนารายณ์ บันทึกรายวันของเทาเซนด์แฮรีส ทูตอเมริกนัที่เข้ามา ในสมัยรัชกาลที่4 หนงัสือเล่าเรื่องกรุงสยามของ ปาลเลอกวัซ์บาทหลวงชาวฝรั่งเศสที่อยในสยามู่ สมัยรัชกาลที่ 3 และรัชกาลที่ 4 ราชอาณาจักรและ ราษฎรสยามของเซอร์จอห์น เบาว์ริง ราชทูตอังกฤษที่เข้ามาในสมัยต้นรัชกาลที่ 4 2) หลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ส่วนมากเป็นหลกัฐานทางโบราณคดีเช่น โบราณ สถาน โบราณวัตถุ โครงกระดูกมนุษย์ภาชนะดินเผา วัด เจดีย์พระพุทธรูป เทวรูป ธรรมจกัร รูปป้ัน ภาพจิตรกรรมฝาผนัง รูปภาพ แถบบันทึกเสียงแผนเสียง ่ เทปบันทึกภาพ เป็นต้น 3.3 แหล่งรวบรวมหลักฐานทางประวัติศาสตร์ แหล่งรวบรวมหลักฐานทาง ประวัติศาสตร์ไทยที่ผู้ศึกษาสามารถไปค้นคว้าได้ในประเทศไทย ที่สําคัญ คือ สํานักหอสมุด แห่งชาติสํานกัหอจดหมายเหตุแห่งชาติ หอจดหมายเหตุมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์สยามสมาคม พิพิธภณัฑสถานในภูมิภาคต่างๆ หน่วยงานของราชการ เช่น กระทรวงการต่างประเทศ สํานักราช เลขาธิการ สํานักนายกรัฐมนตรีรัฐสภา สํานักงานสถิติแห่งชาติห้องสมุดประจํา มหาวิทยาลัย แหล่งโบราณคดีฐานข้อมูล หรือเว็บไซต์ที่เกี่ยวขอ้ง ส่วนแหล่งที่เก็บ รวบรวมท้งัหลกัฐานช้นัตน้และหลกัฐาน ช้นรองัเกี่ยวกบัเมืองไทยในต่างประเทศ เช่น หอสมุดแห่งชาติของต่างประเทศ หอจดหมายเหตุแห่งชาติเช่น หอสมุด แห่งชาติปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซ่ึงมีหลกัฐาน ของไทยสมัยอยธุยา สถานทูตไทยในต่าง ประเทศ หอจดหมายเหตุแห่งชาติเป็นสถานที่เก็บรวบรวม หลกัฐาน ทางประวตัิศาสตร์ไทยที่สาํคญัแห่งหน่ึงใน ประเทศไทย
41 เช่น สถานทูตอังกฤษ มีแฟ้มเอกสารของเซอร์จอห์น เบาว์ริง ซึ่งเป็นผู้แทนรัฐบาลไทยที่ประเทศ อังกฤษในสมัยรัชกาลที่ 4 หอสมุด รัฐสภาสหรัฐอเมริกา สถาบนัวจิยัเกี่ยวกบัเอเชียที่ประเทศ สิงคโปร์ประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น ย้อนเวลาหาอดีต พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร พิพิธภณัฑสถานแห่งชาติพระนคร เป็นพิพิธภัณฑ สถานแห่งชาติแห่งแรกของประเทศไทยมีประวัติ การจดัต้งัสืบเนื่องมาจากพิพิธภณัฑสถานสาํหรับ ประชาชน ซึ่งรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้จดัต้งัข้ึน ในพระบรมมหาราชวังเมื่อ พ.ศ. 2417 ต่อมาใน พ.ศ. 2430 ได้ย้ายมาที่พระราชวังบวรสถานมงคลหรือวังหน้า ใน พ.ศ. 2469 รัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าฯ พระราชทานให้เป็น พิพิธภณัฑสถานแห่งชาติสาํหรับพระนคร ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น “พิพิธภณัฑสถานแห่งชาติพระนคร” และได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหลายคร้ังเพื่อใหเป็ ้น สถาบันที่ให้ความรู้เกี่ยวกบัศิลปวฒันธรรมของชาติไทย 4. ตัวอย่างการน าวิธีการทางประวัติศาสตร์มาใช้ในการศึกษา ประวัติศาสตร์ไทย จากข้นตอนของวิธีการทางประวัติศาสตร์ ัดงักล่าวข้างต้น ต่อไปน้ีจะเป็นการนําเสนอ ตวัอยาง่ ของการใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ในการสร้างองค์ความรู้ใหม่ 1) การกาํหนดหวัเรื่อง ในข้นัตน้นกัเรียนอาจกาํหนดหวัขอกว้ ้างๆ เช่น เมืองไทยสมัย รัชกาลที่ 6 พระราชกรณียกิจในรัชกาลที่6 หรือกาํหนดหวัขอให้ ้แคบลงมา เช่น นกัเรียนทราบวา่ รัชกาลที่6 ทรงเน้นนโยบายสร้างชาตินิยม สร้างวัฒนธรรม และสร้างเอกลักษณ์ของชาติหลายอยาง่ เช่น การใช้ธงไตรรงค์การใช้คํานําหน้าชื่อ การใช้นามสกุล นกัเรียนอาจเริ่มต้งัคาํถามเพื่อเป็น ประเด็น ในการศึกษาวารัชกาลที่ ่ 6 ทรงมีจุดประสงค์อะไรในการเปลี่ยนแปลงหรือสร้างวัฒนธรรม ใหม่ๆ ข้ึนและมีพระราชกรณียกิจใดบางที่ ้เกี่ยวข้อง ชื่อหัวข้อที่นกัเรียนจะศึกษาอาจกาํหนดวา ่ “การสร้างชาตินิยม และเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของรัชกาลที่ 6” 2) การรวบรวมหลักฐาน เมื่อเลือกประเด็นที่จะศึกษาได้แล้ว นักเรียนควรรวบรวม หลักฐาน ช้นัรองก่อน เพื่อดูวามีการศึกษาเรื่ ่องเหล่าน้ีมากน้อยเพียงใด ผู้ศึกษามาก่อนมีข้อเสนอ อยางไรบ้ ่าง หลกัฐานช้นัรองที่เกี่ยวกบั ประเด็นน้ีเช่น หนังสือเรื่อง รัชกาลที่ 6 กบัการส่งเสริม เอกลักษณ์ของชาติโดยสมพรเทพสิทธาและประภา ภกัด์ิโพธ์ิเรื่องเหตุที่พระบาทสมเด็จพระ มงกุฎเกล้าเจ้าอยหัวู่ ทรงเปลี่ยนธงชาติไทย; ล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 สํารวจคอคอดกระ โดยจมื่นอมร ดรุณารักษ์(แจ่ม สุนทรเวช)วิทยานิพนธ์เรื่อง รัชกาลที่6 กบัการสร้างชาติโดยกรรภิรมย์สุวรรณา นนท์นอกจากน้ียงัมีหนงัสือ ภาษาองักฤษที่ศึกษาเกี่ยวกบัชาตินิยมสมยัรัชกาลที่6 ที่มีชื่อเสียง คือ Chaiyo! King Vajiravudh and the Development of Thai Nationalism โดยวอลเตอร์เอฟ เวลลา
42 (Walter F. Vella) เป็นต้น หลกัฐานช้นรองจะทําให้ ั มีความเข้าใจเรื่องที่จะศึกษาดีข้ึนและยงัช่วยให้ นกัเรียนทราบวาผู้ ่ เขียนใช้หลักฐานอะไรบ้าง ในการศึกษา โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกบัหลกัฐาน ช้นัตนประเภทพระราชหัตถเลขา พระราชดํารัส ้ พระบรมราโชวาทในรัชกาลที่6 เพื่อศึกษาแนวคิด ชาตินิยมของรัชกาลที่6 หรือศึกษาวา่ เพราะเหตุใดรัชกาลที่6 จึงทรงเปลี่ยนแปลงหรือกาํหนด วฒันธรรมใหม่ๆ ข้ึนมาซ่ึงนกัเรียนควรอ่านหลกัฐานช้นัตน้เหล่าน้ีดวย แม้ ้วาผู้ ่เขียนหลกัฐานช้นั รองได้นํามาวิเคราะห์แล้วก็ตาม หลกัฐานช้นต้ ันในประเด็นน้ีเช่น พระราชดํารัสของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎ เกล้าเจ้าอยหัวู่รวม 100 คร้ัง พระราชนิพนธ์ เช่น ปลุกใจเสือป่า พระราชนิพนธ์บทละคร พูดเรื่อง พระร่วงพระราชนิพนธ์เรื่องยวิแห่ง บูรพาทิศ เรื่องเมืองไทยจงตื่นเถิด : คําเตือนสติคนไทย จดหมายเหตุพระราชกิจ รายวันในรัชกาลที่6 พระราช- นิพนธ์ประวัติต้นรัชกาลที่6 นอกจากน้ีนักเรียนสามารถศึกษา หลกัฐานช้นต้ ัน ประเภทพระราชหัตถเลขาที่ทรงมีถึงหรือทรงได้รับจากบุคคลต่าง ๆ ซ่ึงมีเก็บไวที่ ้ สํานัก หอจดหมายเหตุแห่งชาติ 3) การประเมินคุณค่าของหลักฐาน เมื่อนกัเรียนรวบรวมหลกัฐานช้นต้ ั นประเภท พระ ราชหตัถเลขาหรือหนงัสือราชการที่สํานกัหอจดหมายเหตุแห่งชาติมาแล้ว นกัเรียนควรพิจารณาว่า หลกัฐานน้นัเกี่ยวข้องกบัเรื่องอะไร ใครเป็นผู้เขียน เป็นจดหมายส่วนตัวหรือหนังสือราชการ เป็น หนังสือที่มีถึงคนไทยหรือคนต่างชาติเพราะจดหมายส่วนตวัย่อมมีรายละเอียดเน้ือหาต่างจาก หนงัสือราชการ เช่น อาจกล่าวพาดพิงถึงบุคคลอื่น กล่าวถึงเรื่องส่วนตวัการคาดคะเนต่างๆ เป็นต้น ส่วนหนังสือราชการมักมีข้อความที่เป็นทางการ เป็นคาํสั่ง นโยบาย หรือแผนการทาํงาน หากเป็นจดหมายที่ส่งถึงชาวต่างชาติอาจบอกความคาดหวงัต่างๆ และการสร้างทัศนคติที่ดีให้ เกิดข้ึน แก่ประเทศไทยในหมู่ชาวต่างประเทศ เป็นต้น สําหรับประเด็นผู้เขียนหลกัฐานน้นันกัเรียนตองมีความรู้ ้พ้ืนฐานวาในสมัยรัชกาลที่ ่ 6 มี คนรุ่นใหม่และทหารที่ได้รับการศึกษาแบบตะวันตกพยายามเรียกร้องการปกครองแบบรัฐสภาและ มีความขัดแย้งกันในรัฐบาลและในหมู่เช้ือพระวงศ์ซึ่ งทําให้หลักฐานช้ันต้นประเภทจดหมาย ส่วนตัว ที่นักเรียนใช้ศึกษาอาจเขียนข้ึนท่ามกลางสภาพทางการเมืองและความคิดแบบหนึ่ง และ บุคคลที่มีความแตกต่างกนั ในดา้นชาติกาํเนิด การศึกษาอาชีพ ย่อมมีมุมมองแนวคิดต่างกนัดงัน้นั เอกสารประเภทจดหมายส่วนตัว บทความในหนังสือพิมพ์หรือหนงัสืออตัชีวประวตัิย่อมให้ข้อมูล และมุมมองแตกต่างกนัหากนกัเรียนไม่เข้าใจสภาพแวดล้อมก่อนๆอาจทําให้ได้ข้อสรุปที่ไม่ถูกต้อง คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
43 4) การจัดหมวดหมู่และตีความ ในข้นัตอนน้ีนกัเรียนสามารถทาํได้เช่น กลุ่มแรกเป็น หลักฐานประเภทพระราชหัตถเลขา พระราชดํารัส พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 6 กลุ่มที่สองเป็น หลกัฐานช้นัตน้ ประเภทจดหมาย หนงัสือราชการ ท้งัที่เป็นของรัชกาลที่6 และของบุคคลอื่น กลุ่มที่ สามเป็นหลกัฐานช้นต้ ั นประเภทหนังสือพิมพ์ร่วมสมยักลุ่มที่สี่เป็นหลกัฐานช้นรอง เป็ ั นต้น หรือ จดัหมวดหมู่หลกัฐานตามประเด็น เช่น หลกัฐานเกี่ยวกบัการสร้างชาตินิยม ท้งัพระราชดาํรัส พระ ราชนิพนธ์ต่างๆ และหลกัฐานช้นรองที่ ัเกี่ยวข้องหลกัฐานเกี่ยวกบัการสร้างเอกลักษณ์ของชาติเช่น การใช้ธงไตรรงค์การใช้นามสกุล การใช้คํานําหน้าชื่อ เป็นต้น จากน้นควรหาความสัมพันธ์ ั ของเหตุการณ์เช่น อะไรเกิดก่อนหลัง อะไรเป็นปัจจัยให้ทรง มีประกาศหรือการกาํหนดต่าง ๆ ผลของการสร้างชาตินิยม การตอบรับของประชาชน รวมท้งควรมี ั ความรู้เกี่ยวกบัสภาพเหตุการณ์ท้งัดา้นการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ในสมัยที่ศึกษาเพื่อให้การตีความ หลักฐานข้อมูลมีความถูกต้องมากที่สุด 5) การวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล นักเรียนต้องนําการตีความที่ได้มาเรียบเรียงอย่าง เป็นระบบ เช่น มีการลําดับหัวข้อ การอธิบายถึงความรู้หรือความคิดใหม่ที่ได้จากการศึกษา โดยมี หลักฐานประกอบการอ้างอิงอย่างมีเหตุมีผลและอธิบายว่าความรู้ที่นกัเรียนศึกษาเหมือนหรือต่าง จาก งานที่มีผู้ศึกษามาแลวอย่างไร รวมท้งัสรุปว่านักเรียนเข้าใจประเด็นที่ได้ศึกษาค้นคว้าดีข้ึน เพียงใด เป็นต้น กล่าวโดยสรุป วิธีการทางประวัติศาสตร์มีกระบวนการคล้ายกบัวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่ ใช้การสืบค้นหลักฐาน การประเมินคุณค่าหลักฐาน การตีความ การวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล การนํา เสนอเรื่องราวอยางมีเหตุมีผล มีความเป็ ่ นกลาง และมีหลักฐานอ้างอิงได้เพื่อให้ได้เรื่องราว ทาง ประวัติศาสตร์ที่มีความถูกต้องและสมบูรณ์ที่สุด นอกจากน้นั ในแต่ละท้องถิ่นต่างมีเรื่องราวที่น่าสนใจของตนเอง เราจึงสามารถนําวิธีการ ทาง ประวัติศาสตร์มาใช้ศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นได้หัวข้อเกี่ยวกบั ประวตัิศาสตร์ท้องถิ่น เช่น สถานที่สําคัญ บุคคลสําคัญ เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ของท้องถิ่นในการรวบรวมหลักฐานข้อมูล แต่ละท้องถิ่นอาจมีหลักฐานข้อมูล ท้งที่ ั เป็นประเภทเดียวกันและต่างกัน เช่น บางท้องถิ่นมี หลักฐานทาง โบราณคดีเหมือนกนัแต่บางท้องถิ่นอาจไม่มีแหล่งโบราณคดีบางท้องถิ่นมีปูชนีย สถาน ปูชนียวัตถุสําคัญที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน เช่น มีวดัเก่าแก่ มีพระพุทธรูป มีอนุสาวรีย์ ผู้ก่อต้งเมือง ั หรือผู้ทาํคุณความดีแก่ท้องถิ่น แต่การใช้ข้อมูลจากตาํนานก็ควรใช้อยางระมัดระวัง ่ บางท้องถิ่นมีหนังสือที่เขียนโดยคนในท้องถิ่น ซ่ึงเราสามารถรวบรวมขอมูลจากหลักฐานประเภท ้ ต่างๆ เหล่าน้ีมาใช้ ค้นคว้าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของท้องถิ่นได้ดังน้ัน วิธีการทาง ประวัติศาสตร์จึงเป็นการศึกษา ประวัติศาสตร์อย่างเป็นระบบ มีการค้นคว้าข้อมูลจากหลักฐานที่ น่าเชื่อถือ ผลงานทางประวัติศาสตร์ที่ดีควรให้ความรู้ใหม่หรือยืนยันความรู้เดิม
44 กิจกรรมท้ายบท ให้นักเรียนอธิบายขั้นตอนของวิธีการทางประวัติศาสตร์แต่ละขั้นตอนมาพอสังเขป วิธีการ ทางประวัติศาสตร์ ข้นัที่1 ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ข้นัที่2 ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ข้นัที่3 ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................