The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คู่มือรายวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย-ม.ปลาย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Ritdhiphong Wongsee, 2023-05-08 02:21:10

คู่มือรายวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย-ม.ปลาย

คู่มือรายวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย-ม.ปลาย

95 พระราชกรณียกิจ ด้านการปกครอง พระราชกรณียกิจดา้นการปกครองประกอบดว้ยการจดัระเบียบการปกครองส่วนกลางและ ส่วนภูมิภาคอนัเป็นแบบแผนซ่ึงยดึสืบต่อกนัมาจนถึงรัชสมยัพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจา้อยหู่วัและการตราพระราชกาํหนดศกัดินา ซ่ึงทาํใหม้ีการแบ่งแยกสิทธิและหนา้ที่ของแต่ละ บุคคลแตกต่างกนัไป โดยทรงเห็นวา่รูปแบบการปกครองนบัต้งัแต่รัชสมยัสมเด็จพระรามาธิบดี ที่ 1 มีความหละหลวม หวัเมืองต่าง ๆ เบียดบงัภาษีอากรและปัญหาการแขง็เมืองในบางช่วงที่ พระมหากษัตริย์อ่อนแอ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงปฏิรูปการปกครองโดยมีการแบ่งงานฝ่ายทหารและฝ่ายพล เรือนออกจากกนัอยา่งชดัเจน ใหสมุหพระกลาโหม ้ ดูแลฝ่ ายทหาร และให้สมุหนายกดูแลฝ่ ายพล เรือน รวมท้งัจตุสดมภใ์นราชธานี สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงแบ่งงานทางการปกครองออกเป็น "ฝ่ายพลเรือน"และ "ฝ่ายทหาร"อยา่งชดัเจน โดยมี"เจา้พระยามหาเสนาบดี" ดาํรงตาํแหน่ง สมุหพระกลาโหม มีหน้าที่ ดูแลกิจการทหารทวั่อาณาจกัรและ"เจา้พระยาจกัรีศรีองครักษ"์ดาํรงตาํแหน่ง สมุหนายก รับผดิชอบงานพลเรือนทวั่อาณาจกัร พร้อมกบัดูแลหน่วยงานจตุสดมภ์ จากเดิมที่พ้ืนฐานการ ปกครองนบัต้งัแต่สมยัอาณาจักรสุโขทัยยงัไม่ไดแ้ยกฝ่ายพลเรือนกบัทหารออกจากกนัชดัเจน ท้งัน้ี ในยามสงคราม ไพร่ทุกคนจะต้องรับราชการทหารอันเป็ นหน้าที่หลัก อันเป็ นลักษณะรูปแบบการ ปกครองของอาณาจกัรขนาดเล็กที่ขาดการประสานงานระหวางเมือง ่ การปกครองในส่วนภูมิภาคไดย้กเลิกระบบการปกครองหัวเมืองต่าง ๆ แต่เดิมที่แบ่ง ออกเป็ นเมืองลูกหลวง หลานหลวง แล้วระบบการปกครองหัวเมืองเสียใหม่ดงัน้ี หวัเมืองช้นั ใน เช่น เมืองราชบุรีนครสวรรค์นครนายกเมืองฉะเชิงเทราและ ปราจีนบุรีเป็ นต้น[4] จดัเป็นเมืองจตัวา พระมหากษตัริยท์รงแต่งต้งัผทู้ี่เหมาะสมไปปกครองแต่ สิทธิอาํนาจท้งัหมดยงัข้ึนอยูก่บัองค์พระมหากษัตริย์ หัวเมืองชั้นนอก หรือเมืองพระยามหานคร มีการกาํหนดเป็นเมืองเอกโท หรือตรี ตามลาํดบัความสาํคญัเมืองใหญ่อาจมีเมืองเล็กข้ึนอยูด่ว้ย พระมหากษตัริยท์รงแต่งต้งัเจา้นายหรือ ขนุนางช้นัผใู้หญ่ไปปกครอง มีการจดัการปกครองเหมือนกบัราชธานีคือ มีกรมการตาํแหน่งพล และกรมการตาํแหน่งมหาดไทยและพนกังานเมืองวงัคลงันา [5] เช่น เมืองพิษณุโลก สุโขทัย นครราชสีมาและทวายจดัเป็น เมือง เอกโท ตรีพระมหากษตัริยท์รงแต่งต้งัพระราชวงศห์รือ ขา้ราชการช้นัผใู้หญ่ไปเป็นเจา้เมืองมีอาํนาจบังคับบัญชาเป็ นสิทธิขาด เป็นผู้แทนองค์ พระมหากษัตริย์ มีกรมการปกครองในตาํแหน่ง เมืองวังคลัง นา เช่นเดียวกบัของทางราชธานี


96 เมืองประเทศราช คงให้เจา้เมืองปกครองกนัเอง เพียงแต่ส่งเครื่องราชบรรณาการ มาถวายตามกาํหนด และเกณฑผ์คู้นและทรัพยส์ินเพื่อช่วยราชการสงคราม สาํหรับการปกครองส่วนทอ้งถิ่น ใหจ้ดัเป็นหมู่บา้น มีผใู้หญ่บา้นปกครองดูแล ตําบล มี กาํนนั เป็ นหัวหน้าแขวง มีหมื่นแขวงเป็ นหัวหน้า พระองคย์งัทรงแบ่งการปกครองในภูมิภาคออกเป็นหมู่บา้น ตาํบลแขวงและเมือง ตราพระราชก าหนดศักดินา สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงตราพระราชกาํหนดศกัดินาข้ึนเป็นกฎเกณฑข์องสังคม ทาํใหม้ีการแบ่งประชากรออกเป็นหลายชนช้นั เช่นเดียวกบัหนา้ที่และสิทธิของแต่ละบุคคลศกัดินา เป็นความพยายามจดัระเบียบการปกครองใหม้ีความรัดกุมยงิ่ข้ึน อนัเป็นหลกัที่เรียกวา่ การรวมเข้าสู่ ศูนย์กลาง ท้งัน้ีถึงแมว้า่ศกัดินาจะเป็นการกาํหนดสิทธิในการถือครองที่ดิน แต่ในทางปฏิบัติแล้ว หมายถึงจาํนวนไพร่พลที่สามารถครอบครอง เกณฑก์ารปรับไหม และลาํดบัการเขา้เฝ้าแทน ศักกดินาของคนในสังคมอยุธยา ฐานะ/ยศ/ต าแหน่ง ศักดินา (ไร่) เจ้านาย 15,000-100,000 ขุนนาง 400-10,000 มหาดเล็ก,ข้าราชการ 25-400 ไพร่ 10-25 ทาส 5 มีการแต่งต้งัตาํแหน่งขา้ราชการใหม้ีบรรดาศกัด์ิตามลําดับจากตํ่าสุดไปสูงสุด คือ ทนาย พัน หมื่น ขุน หลวง พระ พระยาและเจ้าพระยา มีการกาํหนดศักดินาเพื่อเป็นค่าตอบแทน การรับราชการและไดอ้าศยัใชเ้ป็นเกณฑก์าํหนดการมีที่นาและการปรับไหมตามกฎหมาย กฎมณเฑียรบาล ในปีพ.ศ. 2001 สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงต้งักฎมณเฑียรบาลข้ึนเป็นกฎหมาย สําหรับการปกครองแบ่งออกเป็นสามแผน คือ 1. พระตาํราวา่ดว้ยแบบแผนพระราชพิธีต่าง ๆ 2. พระธรรมนูญวา่ดว้ยตาํแหน่งหนา้ที่ราชการต่าง ๆ 3. พระราชกาํหนดเป็นขอ้บงัคบัสาํหรับพระราชสาํนกั


97 ด้านวรรณกรรม ในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระองค์ได้โปรดเกล้า ฯ ให้ประชุมนักปราชญ์ราช บัณฑิตแต่งหนงัสือมหาชาติคําหลวง นับวา่เป็นวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา เรื่องแรกของกรุง ศรีอยุธยา และเป็ นวรรณคดีช้นัเยยี่มที่ใชเ้ป็นแนวทางในการศึกษาภาษาและวรรณคดีของไทย นอกจากน้ียงัมีลิลิตพระลอ ซึ่งเป็ นยอดวรรณคดีประเภทลิลิตของไทย 6. สมเด็จพระสุริโยทยั สมเด็จพระสุริโยทัย หรือ พระสุริโยทัย เป็ นพระอัครมเหสีในสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พระมหากษัตริย์องค์ที่ 15 ของอาณาจักรอยุธยา สมัยราชวงศ์สุพรรณภูมิพระสุริโยทัย ตามพงศาวดารหลวงประเสริฐฯ กล่าวเพียงแค่ เป็ นอัครมเหสีผู้เสียสละพระชนม์ชีพเพื่อปกป้อง พระราชสวามีในสงครามพระเจา้ตะเบง็ชเวต้ี ในปีพ.ศ. 2091 พงศาวดารบางฉบบักล่าววา่ พระสุริโยทยัเป็นเจา้นายเช้ือสายราชวงศพ์ระร่วง เจ้ากรุงสุโขทัย โดยมิไดก้ล่าวรายละเอียดใด มากกวา่น้ีไทยยกยอ่งวา่เป็นวรีสตรีจากวรีกรรม ยทุธหตัถีกบัพระเจา้แปรในสงครามพระเจา้ ตะเบง็ชเวต้ี พระราชประวัติ สมเด็จพระสุริโยทยัสืบเช้ือสายมาจากราชวงศพ์ระร่วง ดาํรงตาํแหน่งพระอคัรมเหสีใน สมเด็จพระมหาจักรพรรดิในขณะที่สมเด็จพระมหาจกัรพรรดิข้ึนครองราชยส์มบตัิกรุงศรีอยธุยา ต่อจากขุนวรวงศาธิราชได้เพียง 7 เดือน เมื่อ พ.ศ. 2091 พระเจา้ตะเบง็ชะเวต้ีและมหาอุปราชาบุเรง นอง ยกกองทพัพม่าเขา้มาลอ้มกรุงศรีอยธุยาคร้ังแรกโดยผา่นมาทางดา้นด่านพระเจดียส์าม องค์จังหวัดกาญจนบุรีและต้งัค่ายลอ้มพระนครการศึกคร้ังน้นัเป็นที่เลื่องลือถึงวีรกรรมของสมเด็จ พระศรีสุริโยทยัซ่ึงไสชา้งพระที่นงั่เขา้ขวางพระเจา้แปรดว้ยเกรงวา่สมเด็จพระมหาจกัรพรรดิ พระราชสวามีจะเป็นอนัตรายจนถูกพระแสงของา้วฟันพระองัสาขาดสะพายแล่งสิ้นพระชนมอ์ยู่ บนคอช้าง เพื่อปกป้องพระราชสวามีไว้ เมื่อวันอาทิตย์ข้ึน 6 คํ่า เดือน 4 ปี จุลศักราช 910 ตรงกบั วันเดือนปี ทางสุริยคติ คือ วันที่ 3 กุมภาพันธ์พ.ศ. 2092 เมื่อสงครามยุติลง สมเด็จพระมหา จกัรพรรดิไดท้รงปลงพระศพของพระนางและสถาปนาสถานที่ปลงพระศพข้ึนเป็นวดัขนานนาม วา่ วัดสบสวรรค์หรือวัดสวนหลวงสบสวรรค์


98 พระวีรกรรมในหลักฐานไทย พระสุริโยทัย (กลาง) ไสช้างเข้า ขวางช้างสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ(ขวา) ซ่ึงกาํลงัเสียทีชา้งพระเจา้แปร(ซา้ย) ใน สงครามพระเจา้ตะเบง็ชเวต้ี(จิตรกรรมฝี พระหัตถ์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้า จิตรเจริญ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์) เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2092 สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงตัดสินพระทัย ยกทัพออกนอกพระนครเพื่อเป็ นการบํารุ งขวัญทหารและทอดพระเนตรจํานวนข้าศึก พระสุริโยทยัพร้อมกบัพระราชโอรส-พระราชธิดารวม 4 พระองค์ได้เสด็จติดตามไปด้วย โดย พระองค์ทรงแต่งกายอย่างมหาอุปราช คร้ันยกกองทพัออกไปบริเวณทุ่งภูเขาทองกองทพัอยุธยา ปะทะกบักองทพัพระเจา้แปร ซ่ึงเป็นทพัหนา้ของพม่า ช้างทรงของสมเด็จพระมหาจกัรพรรดิเกิด เสียทีหันหลังหนีจากข้าศึก พระเจ้าแปรก็ทรงขบัช้างไล่ตามมาอย่างกระช้ันชิด พระสุริโยทัย ทอดพระเนตรเห็นพระราชสวามีกาํลงัอยใู่นอนัตรายจึงรีบขบัชา้งเขา้ขวางพระเจา้แปร ทาํให้ทรงไม่ สามารถติดตามต่อไปได้พระเจา้แปรจึงทาํยุทธหตัถีกบสมเด็จพระสุริโยทัย เนื่องจากพระสุริโยทัย ั อยใู่นลกัษณะเสียเปรียบ ชา้งพระเจา้แปรไดเ้สยชา้งพระสุริโยทยัจนเทา้หนา้ท้งัสองลอยพน้พ้ืนดิน แล้วพระเจ้าแปรจึงฟันพระสุริโยทัยจากพระพาหาขาดถึงกลางพระองค์ พระองค์เสด็จสวรรคต เช่นเดียวกบัพระราชธิดาคือ พระบรมดิลก บนชา้งทรงเชือกเดียวกนั ถึงแมว้า่จะมีการสร้างอนุสาวรียข์้ึนเฉลิมพระเกียรติพระองคข์้ึนหลายแห่งในประเทศไทย แต่ตวัตนและความเสียสละของพระองค์ยงัเป็นหัวขอ้ที่ยงัเป็นที่โตเ้ถียงกนัอยู่เนื่องจากความจริง ที่ว่าพระนามของพระองค์มิไดถู้กกล่าวถึงหรือบนัทึกไวใ้นประวตัิศาสตร์พม่าเลยและข้อเท็จจริง ท้งัหมดเกี่ยวกบัชีวิตของพระองค์ถูกคดัมาจากบางตอนของจดหมายเหตุกรุงศรีอยุธยาและการ บรรยายของนักสํารวจชาวโปรตุเกส โดมิงกู เซชัส (Domingo Seixas) พระราชโอรสและพระ ราชธิดา สมเด็จพระสุริโยทัย มีพระราชโอรส-พระราชธิดา 5 พระองค์ซ่ึงน่าจะเรียงลาํดบัดงัน้ี พระราเมศวร พระราชโอรสองค์โต ถูกจบัเป็นองค์ประกนัแก่พม่า และสิ้นพระชนม์ระหว่างไป หงสาวดี พระมหินทร์พระราชโอรสองค์รอง ต่อมาได้ข้ึนครองราชย์เป็นสมเด็จพระมหิน ทราธิราช กษตัริยอ์งค์สุดท้ายก่อนเสียกรุงศรีอยุธยาคร้ังที่1 ใน พ.ศ. 2112 พระสวัสดิราช พระราชธิดา ต่อมาได้รับการสถาปนาข้ึนเป็นพระวิสุ ทธิกษัตรี ย์พระอัครมเหสี ในสมเด็จ พระมหาธรรมราชาธิราชและเป็ นพระมารดาในพระสุพรรณกลัยา สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และสมเด็จพระเอกาทศรถพระบรมดิลก พระราชธิดา เสียพระชนม์ชีพพร้อมพระมารดาในสงคราม คราวเสี ยพระสุ ริ โยไท พระเทพกษัตรีพระราชธิดา ภายหลังถูกส่งตัวถวายแด่สมเด็จ


99 พระเจ้าอภัยพุทธบวร ไชยเชษฐาธิราช แห่งอาณาจักรล้านช้าง ซ่ึงระหว่างการเดินทางถึงชายแดน สยามประเทศพระนางถูกพระเจ้าบุเรงนองกษัตริย์แห่งพม่าทาํการชิงตัวไปยงักรุงหงสาวดี อนุสาวรีย์ เจดีย์สมเด็จพระศรีสุริโยทัย พระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระสุริโยทัย หลังสงคราม สมเด็จพระมหาจักรพรรดิได้พระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระสุริโยทัยที่ สวนหลวง แล้วสร้างวัดอุทิศพระราชกุศลพระราชทาน คือวัดสวนหลวงสบสวรรค์สถูปขนาดใหญ่ ซ่ึงสร้างข้ึนเพื่อเก็บพระอฐัิของสมเด็จพระสุริโยทยัถูกเรียกวา่เจดียพ์ระศรีสุริโยทยั ต่อมาในปีพ.ศ. 2534 ไดม้ีโครงการก่อสร้างพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระสุริโยทัย ในบริเวณทุ่งมะขามหยอ่ง ตาํบลบา้นใหม่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระสุริโยทัยและสมเด็จพระนางเจา้สิริกิต์ิพระบรมราชินีนาถในวโรกาสที่มีพระชนมายุ ครบ 5 รอบ ในปี พ.ศ. 2535 7. พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พ.ศ. 2098 -25 เมษายน พ.ศ. 2148)พระนามเดิมวา่พระองค์ ดํา โอรสของสมเด็จพระมหาธรรมราชา และ พระวิ สุทธิกษัตริย์ (พระราชธิดาของสมเด็จพระศรีสุริโยทัย และสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ) พระองค์เสด็จพระราช สมภพที่เมืองพิษณุโลก ทรงมีพระเชษฐภคิณีคือพระ สุพรรณกลัยาทรงมีพระอนุชาคือสมเด็จพระเอกาทศรถ (องค์ขาว) และทรงเป็ นพระราชนัดดาของสมเด็จพระ ศรีสุริโยทัย พระนามของพระองค์ปรากฏในลายลักษณ์


100 อกัษรหลายฉบบัเช่น พระนเรศวรราชาธิราช จึงยงัไม่สามารถสรุปไดว้า่พระนามนเรศวรไดม้าจาก ที่ใด สันนิษฐานเบ้ืองตน้วา่เพ้ียนมาจากสมเด็จพระนเรศวรราชาธิราชเป็นสมเด็จพระนเรศวร ราชาธิราช พระราชประวัติเมื่อทรงพระเยาว์กับชีวิตและการศึกษาในหงสาวดี ตลอดระยะเวลาในวยัเยาวข์องพระนเรศวรทรงใชช้ีวติอยใู่นพระราชวงัจนัทน์เมือง พิษณุโลกจนกระทงั่เมื่อพระเจา้บุเรงนองยกทพัมาตีเมืองพิษณุโลกสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช เจา้เมืองพิษณุโลกยอมอ่อนนอ้มต่อแห่งหงสาวดีและทาํใหพ้ ิษณุโลกตอ้งแปรสภาพเป็นเมือง ประเทศราชหงสาวดีไม่ข้ึนต่อกรุงศรีอยธุยา พระเจา้บุเรงนองไดท้รงขอพระนเรศวรไปเป็นองค์ ประกนัที่หงสาวดีทาํใหพ้ระองคต์อ้งจากบา้นเกิดเมืองนอนต้งัแต่มีพระชนมม์ายเุพียง 9พรรษา นอกจากพระองคแ์ลว้ยงัมีองคป์ระกนัจากเมืองอื่น ๆ ที่เป็นเมืองข้ึนของหงสาวดีเป็นจาํนวนมาก พระเจา้บุเรงนองน้นัทรงให้เหล่าองคป์ระกนัไดร้ับการเล้ียงดูและการศึกษาอยา่งดีพระนเรศวรทรง ใช้เวลา ๘ ปีเตม็ในหงสาวดีศึกษายทุธศาสตร์ของพม่า พระองคท์รงศึกษาวชิาศิลปศาสตร์และวชิา พิชยัสงครามทรงนิยมในวชิาการรบทพัจบัศึก พระองคท์รงมีโอกาสศึกษาท้งัภายในราชสาํนกัไทย และราชสาํนกัพม่า มอญ และไดท้ราบยทุธวธิีของชาวต่างชาติต่าง ๆ ที่มารวมกนัอยใู่นกรุงหงสาวดี เป็นอยา่งดีเช่น ชาวโปรตุเกส สเปน หรือชาวพม่าเอง ทรงนาํหลกัวชิามาประยกุตใ์ชใ้หเ้หมาะกบั เหตุการณ์และสภาพแวดลอ้มในการทาํศึกไดเ้ป็นเลิศ ดงัเห็นไดจ้ากการสงครามทุกคร้ังของ พระองค์ ยุทธวิธีที่ทรงใช้ ได้แก่การใชค้นจาํนวนนอ้ยเอาชนะคนจาํนวนมากและยทุธวธิีการรบ แบบกองโจร พระองคท์รงนาํมาใชก้่อนจอมทพัที่เลื่องชื่อในยโุรป นอกจากน้นัหลกัการสงครามที่ เป็นที่ยอมรับอยา่งกวา้งขวางในปัจจุบนัเช่น การดาํรงความมุ่งหมาย หลกัการรุกการออมกาํลงั และการรวมกาํลงัการดาํเนินกลยทุธความเด็ดขาดในการบงัคบับญัชาการระวงัป้องกนัการจู่โจม ฯลฯ พระองคก์ ็ทรงนาํมาใชอ้ยา่งเชี่ยวชาญ และประสบผลสาํเร็จอยา่งงดงามมาโดยตลอด เนื่องจาก การที่พระองคม์ ีชีวิตอยใู่นฐานะองคป์ระกนัทาํใหท้รงมีความกดดนัสูงจากมงักะยอชวา (พระราช โอรสในพระเจ้านันทบุเรง) จึงทรงมีแรงผลักดนัที่จะกอบกูอ้ิสรภาพใหก้บับา้นเมืองของพระองค์ เช่น จากการชนไก่ของพระองคก์บัมงักะยอชวา เป็นตน้รวมท้งัการเหยยีดหยามวา่เป็นเชลยจาก พวกพม่าดว้ย ทรงประกาศอิสรภาพ วันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2127 สมเด็จพระนเรศวรฯเดินทัพมาถึงเมืองแครง ด้วยบุญญาธิ การทรงปฏิบัติตนเป็นที่เคารพรักของชาวมอญ จึงมีพรรคพวกคนมอญมากแมก้ระทงั่พระมหาเถร คนัฉ่องก็ไดน้มสัการท่านอยูป่ระจาํจนชอบพอคุน้เคยและเมื่อบงัเอิญเกิดความวุน่วายทางเมืองพม่า พวกมอญที่เกลียดและประสงคจ์ะเป็นอิสระจากพม่าอยแู่ลว้รวมท้งัพระยาเกียรติพระยารามจึง จําเป็ นต้องพึ่งพากองทัพไทยสมเด็จพระนเรศวรฯไดพ้กัทพัต้งัพลบัพลาอยใู่กลว้ดัพระมหาเถรคนั ฉ่อง เมื่อเสด็จไปนมสัการ มหาเถรคนัฉ่องจึงไดท้รงทราบวา่พระเจา้หงสาวดีนนัทบุเรงคิดกาํจดั


101 พระองค์จึงรับสั่งใหป้ระชุมแม่ทพันายกองรวมท้งัชาวมอญท้งัหลายในเมืองแครงดว้ยและเขา้ใจ กนัวา่ โปรดใหพ้ระมหาเถรคนัฉ่องมานงั่เป็นประธานในพิธีดว้ยสมเด็จพระนเรศวรฯทรงหลงั่น้าํ จากสุวรรณภิงคารลงเหนือแผน่ดิน ประกาศแก่เทพยดาต่อหนา้ที่ประชุมวา่ “ต้งัแต่วนัน้ีเป็นตน้ ไป กรุงศรีอยธุยาขาดพระราชไมตรีกบักรุงหงสาวดีมิไดเ้ป็นมิตรกนัดงัแต่ก่อนสืบไป" ในปีที่ทรง ประกาศอิสรภาพ สมเด็จพระนเรศวรฯทรงมีพระชนมายุได้ 29พรรษาหลังจากประกาศอิสรภาพ แลว้จากน้นัจึงยกกองทพัหลวงจากเมืองแครงไปตีเมืองหงสาวดี สงครามยุทธ์หัตถี ตลอดรัชสมยัของพระองคท์รงกอบกูก้รุงศรีอยธุยาจากหงสาวดีและไดท้าํสงครามกบัอริ ราชศตัรูท้งัพม่าและเขมรจนราชอาณาจกัรไทยเป็นปึกแผน่มนั่คงขยายพระราชอาณาเขตออกไป อยา่งกวา้งใหญ่ไพศาลกวา่คร้ังใดในอดีตที่ผา่นมา ทรงมีพระปรีชาสามารถในการนาํทพัทรงริเริ่ม นาํยทุธวธิีแบบใหม่มาใชใ้นการทาํสงคราม การสงครามกบัพม่าคร้ังสาํคญัที่ทาํใหพ้ม่าไม่กลา้ยกทพัมารุกรานไทยอีกเลยเป็นเวลา เกือบสองร้อยปีคือ สงครามยุทธหตัถีเมื่อปีพ.ศ. 2135 นนั่คือเมื่อหงสาวดีนาํโดยพระมหาอุป ราชามงัสามเกียดยกทพัมาตีกรุงศรีอยธุยาอีกคร้ัง สมเด็จพระนเรศวรก็นาํทพัออกไปจนปะทะกนัที่ หนองสาหร่ายจงัหวดัสุพรรณบุรีบา้งก็วา่จงัหวดักาญจนบุรีสมเด็จพระนเรศวรไดท้รงกระทาํยทุธ หตัถีกบัพระมหาอุปราชาจนกระทงั่สามารถเอาพระแสงงา้วฟันพระมหาอุปราชาขาดสะพายแล่ง สิ้นพระชนมอ์ยกู่บัคอชา้งนนั่เอง พระราชกรณียกิจสาํคญัที่มีต่อการสร้างสรรคช์าติไทยสามารถสรุปไดด้งัน้ี พ.ศ. 2113 เสด็จออกร่วมรบกบัทหารโดยขบัไล่กองทพัเขมรไดส้าํเร็จ พ.ศ. 2114 ได้รับสถาปนาให้ปกครองเมืองพิษณุโลก เมื่อพระชนมายุ 16 พรรษา พ.ศ. 2117 เสด็จไปรบที่เวียงจันทน์ ทรงประชวรเป็ นไข้ทรพิษจึงเสด็จกลับ พ.ศ. 2121 ทรงทาํสงครามขบัไล่พระยาจีนจนัตุออกไปจากกรุงศรีอยธุยา พ.ศ. 2127 ทรงประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง และกวาดต้อนคนไทยกลับพระนคร พ.ศ. 2127-พ.ศ. 2130 พม่ายกกองทพัมาตีไทยถึง 4คร้ังแต่ถูกไทยตีแตกพา่ยกลบัไป พ.ศ. 2133 ทรงเสด็จครองราชย์ ณ กรุงศรีอยุธยาเมื่อพระชนมายุ 35 พรรษา พ.ศ. 2135 ทรงทาํสงครามยทุธหตัถีและมงักะยอชะวา สิ้นพระชนม์ พ.ศ. 2136 ทรงยกกองทัพไปตีเขมรและจับพระยาละแวกทําพิธีปฐมกรรม พ.ศ. 2138 และ พ.ศ. 2141 ทรงกรีฑาทพัไปตีกรุงหงสาวดีคร้ังที่1และคร้ังที่2 พ.ศ.2148 ทรงกรีฑาทัพไปตีกรุงอังวะ เมื่อไปถึงเมืองหางหรือเมืองห้างหลวงทรงพระ ประชวรเป็นหวัระลอกข้ึนที่พระพกัตร์เสด็จสวรรคต ณ ทุ่งแกว้เมืองหา้งหลวง ตรงกบัวนัข้ึน 8ค่าํ เดือน 6 ปี มะเส็ง พระชนมายุ 50 พรรษา ครองราชย์สมบัติได้ 15 ปี


102 สมเด็จพระนเรศวรมหาราชกบัวฒันธรรมในปัจจุบนั 1. ตราประจําจังหวัดของไทยที่มีพระบรมรูปของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเป็ น องคป์ระกอบ ไดแ้ก่จงัหวดัสุพรรณบุรีจงัหวดัตากและจงัหวดัหนองบวัลาํภู 2. มีการสร้างพระบรมราชานุสรณ์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชในหลายแห่งทวั่ประเทศ เช่น พระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์จงัหวดัสุพรรณบุรีศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่ริม หนองบัวลําภู ในจังหวัดหนองบัวลําภู เป็ นต้น 3. มีการนาํพระนามของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชไปต้งัเป็นชื่อของมหาวทิยาลยันเรศวร และค่ายทหารต่างๆ ทวั่ประเทศเช่น ค่ายนเรศวร ที่จงัหวดัลพบุรีค่ายนเรศวรมหาราช ที่อาํเภอแม่ แตงจงัหวดัเชียงใหม่เป็นตน้ ส่วนทางกรมตาํรวจไดน้าํพระนามของพระองคม์าต้งัเป็นชื่อค่าย ตาํรวจตระเวนชายแดนที่อาํเภอชะอาํจงัหวดัเพชรบุรีวา่"ค่ายนเรศวร" ดว้ยเช่นกนั 4. ชาวไทยนิยมนาํหุ่นรูปไก่ชนพนัธุ์เหลืองหางขาวไปบนบานกบัพระบรมรูปสมเด็จพระ นเรศวรมหาราช เพราะเชื่อกนัวา่เป็นไก่พนัธุ์เดียวกบัตวัที่เอาชนะไก่ชนของพระมหาอุปราชาแห่ง หงสาวดีได้ 5. มีการนาํพระราชประวตัิของพระองคไ์ปเขียนเป็นหนงัสือการ์ตูนอยหู่ลายคร้ัง เช่น มหา กาพยก์ูแ้ผน่ดิน ผลงานของมนตรีคุม้เรือน เป็นตน้ 8. สมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงเป็ นพระโอรสของพระเจ้า ปราสาททองและพระนางเจา้สิริกลัยานีอคัรราชเทวพีระราช มารดาเป็ น พระราชธิดาในสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม เสด็จพระ ราชสมภพ เมื่อวันจันทร์เดือนยี่ ปี วอก พ.ศ. 2175การครองราชย์ ราชวงศ์ปราสาททองทรงราชย์พ.ศ.2199- พ.ศ. 2231 ระยะเวลา ครองราชย์32 ปี พระองค์ทรงเป็ นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 27ใน สมยักรุงศรีอยธุยาตอนปลายรัชกาลก่อนหนา้สมเด็จพระศรีสุ ธรรมราชารัชกาลถัดมาสมเด็จพระเพทราชา สมเด็จพระนารายณ์ มหาราชเสด็จสวรรคต พ.ศ. 2231


103 พระราชกรณียกจิส าคัญทมี่ีต่อการสร้างสรรค์ชาติไทยสามารถสรุปได้ดังนี้ ด้านการทหาร ในสมยัของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ไดท้รงปราบปรามเมืองนอ้ยใหญ่ให้เป็นมา สวามิภกัด์ิท้งัหวัเมืองทางเหนือเช่น เชียงใหม่ลาํพูนส่วนศึกกบัพม่าแมจ้ะมีอยใู่นเวลาน้ีแต่ก็ทรง จดัทพัตีพา่ยกลบัไปอยเู่นืองๆกิจการของกองทพันบัวา่รุ่งเรืองและยงิ่ใหญ่สมเด็จพระนารายณ์เองก็ ทรงชาํนาญในการศึกคลอ้งชา้งและทรงซ้ืออาวธุจากต่างชาติสาํหรับกิจการของกองทพัดว้ย การต่างประเทศ มีการติดต่อท้งัดา้นการคา้และการทูตกบั ประเทศต่างๆ เช่น จีน ญี่ปุ่นอิหร่าน องักฤษ และ ฮอลันดา มีชาวต่างชาติเขา้มาในพระราชอาณาจกัรเป็นจาํนวนมากขณะเดียวกนัยงัโปรดฯให้แต่งคณะทูตไป เจริญสัมพนัธไมตรีกบัราชสาํนกัฝรั่งเศส ในรัชสมยัพระเจา้หลุยส์ที่14ถึง 4คร้ังดว้ยกนัผทู้ี่เขียน เกี่ยวกบักรุงศรีอยธุยาและสยามมากที่สุดในสมยัน้ีก็คือ มองซิเออร์เดอลาลูแบร์ วทิยาการสมยัใหม่ พระองคย์งัทรงรับเอาวทิยาการสมยัใหม่มาใช้เช่น กลอ้งดูดาวและยทุโธปกรณ์บาง ประการรวมท้งัยงัมีการรับเทคโนโลยกีารสร้างน้าํพุจากชาวยโุรป และวางระบบท่อประปาภายใน พระราชวังอีกด้วย ด้านวรรณกรรม สมเด็จพระนารายณ์นบัวา่เป็นท้งันกัรบและกวทีรงพระราชนิพนธ์วรรณคดีไว้หลายเรื่อง เช่น *โคลงพุทธไสยาสน์ป่ าโมก *โคลงพาลีสอนน้อง *โคลงทศรถสอนพระราม *ราชสวสัด์ิ *ราชาณุวรรต *ประดิษฐพ์ระร่วง *สมุทรโฆษคําฉันท์ (ตอนกลาง) *คาํฉนัทก์ล่อมชา้ง (ของเก่า) เป็นตน้ ด้านดาราศาสตร์ ในระหวา่งปีพุทธศกัราช 2228-2230รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชคณะบาทหลวง เจชูอิตชาวฝรั่งเศส ไดม้าเผยแพร่ดาราศาสตร์ในประเทศไทย มีสิ่งก่อสร้าง เช่น หอดูดาววดัสัน เปาโลเป็นหอดูดาวแห่งแรกในประเทศไทย นอกจากน้ีในวนัที่30 เมษายน พุทธศกัราช 2231 สมเด็จพระนารายณ์มหาราชไดท้อดพระเนตรสุริยปุราคาเตม็ดวงที่พาดผา่นแม่น้าํฤกษณะใน


104 ประเทศอินเดีย พม่าจีน ไซบีเรียไปสิ้นสุดในทวปีอเมริกา สาํหรับประเทศไทยเห็นเป็นสุริยปุราคา บางส่วนสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงกลอ้งทอดพระเนตรจนัทรุปราคาเตม็ดวงใน คืนวนัที่11 ธันวาคม พ.ศ.2228ร่วมกบัคณะบาทหลวงชาวฝรั่งเศส ณ พระตาํหนกัทะเลชุบศรเมืองลพบุรี 9. สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระนาม เดิมวา่ สินทรงพระราชสมภพ เมื่อปี พ.ศ. 2277ที่ บา้นใกลก้าํแพงพระนครศรีอยธุยา พระราชบิดา มีบรรดาศกัด์ิเป็นขุนพฒัน์พระราชมารดาชื่อ นก เอ้ียง ต่อมาภายหลงัไดร้ับการสถาปนาเป็นกรม พระเทพามาตย์ เจ้าพระยาจักรี สมุหนายกในรัช สมยัสมเด็จพระเจา้อยหู่วับรมโกศได้ขอรับไป เล้ียงเป็นบุตรบุญธรรม เมื่ออายไุด้13 ปี เจ้าพระยาจักรี ได้นําเข้าถวายตัวรับราชการเป็ น มหาดเล็ก ทาํราชการอยใู่นบงัคบับญชาของหลวงั ศกัด์ินายเวรเมื่ออายไุด้21 ปี เจ้าพระยาจักรีได้ทํา การอุปสมบทใหใ้นสาํนกัพระอาจารยท์องดีวดัโกษาวาส (วดัเชิงท่า)อยสู่ามพรรษาแลว้ลาสิกขาเขา้ รับราชการตามเดิม ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ (สมเด็จพระบรมราชาที่ 3) ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็ นข้าหลวงพิเศษเดินทางไปชําระคดีความตามหัวเมืองฝ่ ายเหนือ มีความดีความชอบได้รับ โปรดเกลา้ฯ ใหเ้ป็นหลวงยกกระบตัรเมืองตาก ต่อมาเมื่อพระยาตากถึงแก่กรรมก็ไดร้ับโปรดเกลา้ฯ ให้เป็ นพระยาตากแทน เมื่อพม่ายกกาํลงัเขา้ลอ้มกรุงศรีอยธุยาก่อนที่กรุงศรีอยธุยาจะเสียแก่พม่าคร้ังที่สองพระยา ตากไดเ้ขา้มาช่วยราชการป้องกนักรุงศรีอยธุยาอยา่งเขม้แขง็แต่ในที่สุดเมื่อเห็นวา่การป้องกนักรุง ศรีอยธุยาในคร้ังน้นั ไม่อาํนวยใหก้ระทาํไดอ้ยา่งเตม็ที่และอยนู่อกอาํนาจหนา้ที่ที่พระองคจ์ะแกไ้ข ได้จึงไดห้าทางต่อสู้ใหม่ดว้ยการตีฝ่าวงลอ้มพม่าออกไป ดว้ยกาํลงัเล็กนอ้ยเพียง 500 คนไดต้่อสู้ กบักองทหารพม่าที่บา้นพรานนกไดช้ยัชนะจากน้นัไดน้าํกาํลงัไปต้งัมนั่ที่เมืองจนัทบุรีเพื่อรวบรวม กาํลงัมากูก้รุงศรีอยธุยาที่เสียแก่พม่าเมื่อวนัที่7 เมษายน พ.ศ.2310 เมื่อพระองคท์รงรวบรวมกาํลงัพลไดป้ระมาณ 5,000คน กบัเรือรบ 100ลาํก็ไดย้กกาํลงั ทางเรือเข้ายึดเมืองธนบุรี ได้เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2311 ในวนัต่อมาพระองคไ์ดต้ีค่ายทหาร พม่าที่ค่ายโพธิสามตน้และค่ายอื่นๆ แตกทุกค่าย ทาํการกูเ้อกราชกรุงศรีอยธุยาไดส้าํเร็จในเวลา เพียงเจ็ดเดือน


105 หลงัจากขบัไล่พม่าออกไปแลว้พระองคก์ ็ไดท้าํพิธีปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์ เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ.2311 เมื่อพระชนมายุได้ 34 พรรษา ทรงพระนามวา่สมเด็จพระศรีสรรเพชรญห์รือ สมเด็จพระบรมราชที่ 4แต่คนทวั่ ไปนิยมขนานพระนามพระองคว์า่สมเด็จพระเจา้กรุงธนบุรีหรือ สมเด็จพระเจา้ตากสินมหาราช พระองคท์รงเห็นวา่กรุงศรีอยธุยาที่ถูกฝ่ายพม่าเผาผลาญวอดวาย ทาํลายบา้นเมืองไปหมดสิ้นเกินกวา่ที่จะบูรณะปฏิสังขรณ์ให้กลับเป็ นเมืองหลวงได้จึงทรงเลือก เมืองธนบุรีที่มีความเหมาะสมกวา่ข้ึนเป็นราชธานี พระราชกรณียะกิจของพระองคใ์นลาํดบัต่อมาคือการรวบรวม การรวบรวมกาํลงัไวต้่อสู้ กบัพม่าต่อไปคือความเป็นปึกแผน่ของพระราชอาณาจกัร ซ่ึงในเวลาน้นัไดม้ีผูต้้งัตนเป็นใหญ่หา้ ชุมนุมต่าง ๆ ไดแ้ก่ชุมนุมเจ้าพระยาพิษณุโลก ชุมนุมเจ้าพระฝาง ชุมนุมเจ้าพิมายและชุมนุมเจ้า นครศรีธรรมราช เมื่อรวมชุมนุมของพระองค์เองที่กรุงธนบุรีแล้วก็มีถึงหา้ชุมนุม พระองคท์รงใช้ เวลาในการปราบปรามชุมนุมต่าง ๆ อยสู่ามปีจึงเสร็จปราบปรามไดเ้สร็จสิ้นเมื่อปีพ.ศ.2313 ทําให้ พระราชอาณาจกัรเป็นปึกแผน่ส่วนหวัเมืองมาลายไูดแ้ก่เมืองปัตตานีเมืองไทรบุรีเมืองกลนัตนั และเมืองตรังกานูซ่ึงเคยเป็นเมืองข้ึนของกรุงศรีอยธุยามาแต่เดิม และไดแ้ยกตวัเป็นอิสระเมื่อเสีย กรุงศรีอยธุยาคร้ังที่สองพระองคเ์ห็นวา่ยงัไม่พร้อมและยงัไม่มีความสาํคญัเร่งด่วนที่จะไป ปราบปรามจึงไดป้ล่อยไปก่อนในการทาํสงครามกบัพม่าในระยะต่อมาพระองคไ์ดเ้ปลี่ยนหลกันิยม ในการยดึพระนครเป็นที่ต้งัรับขา้ศึกมาเป็นการยกกาํลงัไปยบัย้งัขา้ศึกที่ชายแดน ทาํใหป้ระชาชน พลเมืองไม่ไดร้ับอนัตรายเสียหายเดือดร้อนจากขา้ศึกในรัชสมยัของพระองค์ไดม้ีการทาํสงคราม ขยายพระราชอาณาเขตของกรุงศรีอยธุยาออกไปอยา่งกวา้งขวางโดยไดท้าํศึกสงครามกบัพม่าและ อาณาจักรอื่น ๆ รวม 12คร้ัง ในปีพ.ศ.2324 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ทรงโปรดเกล้า ฯ ให้ สมเด็จเจา้พระยามหากษตัริยศ์ึกและเจา้พระยาสุรสีห์ยกทพัไปปราบเขมรแต่ตอ้งยกทพักลบั เนื่องจากทางกรุงธนบุรีเกิดจราจลโดยพระยาสรรคไ์ดก้่อกบฏยกกาํลงัเขา้ยดึกรุงธนบุรีแลว้จบั สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชให้ไปทรงผนวชที่วัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง) เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ยกทัพกลับมาถึงกรุงธนบุรี ได้ปราบปรามกบฏได้ สาํเร็จราษฎรและบรรดามหาอาํมาตย์จึงไดพ้ร้อมใจกนัอญัเชิญใหส้มเด็จเจา้พระยามหากษตัริยศ์ึก ข้ึนครองราชยเ์มื่อวนัที่6 เมษายน พ.ศ.2325 ตลอดรัชสมัยของพระองค์ได้ทรงทําศึกสงครามมาโดย ตลอดเวลา 15 ปีโดยมิไดห้ยุดหยอ่น ไดข้ยายพระราชอาณาเขตของกรุงธนบุรีออกไปจนเกือบ เท่ากบัสมยักรุงศรีอยธุยาก่อนเสียกรุงแก่พม่า พระองคไ์ดร้ับการถวายพระราชสมญัญานามวา่ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช


106 10. พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (ร.1) พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราช ทรงมีพระนามเดิมวา ่ “ด้วง” หรือ“ทองด้วง” เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันพุธที่20 มีนาคม พ.ศ. 2279 เข้าถวายตัวเป็นมหาดเล็กในเจ้าฟ้าอุทุมพร กรมขุนพร พินิต ต่อมาได้เขารับราชการในรัชกาลพระเจ้าเอกทัศ ตาํแหน่งหลวงยกกระบัตรประจําเมืองราชบุรีและปฏิบัติ ราชการที่เมืองราชบุรีจนกรุงศรีอยธุยาเสียแก่พม่าเมื่อ พ.ศ. 2310 ในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หลวง ยกกระบัตรได้รับราชการอยางแข็งขันและมีพระปรีชา ่ สามารถโดยเฉพาะด้านการสงคราม พระราชกรณียกิจส าคัญที่มีต่อการสร้างสรรค์ชาติไทยสามารถสรุปได้ดังนี้ ด้านการเมืองการปกครอง 1. ทรงสถาปนาราชวงศ์จักรีและกรุงรัตนโกสินทร์ให้เป็นราชธานีแห่งใหม่โดยทรงย้าย ราชธานีจากกรุงธนบุรีมาอยูที่กรุงเทพมหานคร ่ 2. โปรดเกล้าฯ ให้ชําระกฎหมายให้ถูกต้องยุติธรรมเรียกวา ่ “กฎหมายตราสามดวง” เพราะ ประทับตราสําคัญ 3 ดวง ได้แก่ตราราชสีห์ของสมุหนายก ตราคชสีห์ของสมุหพระกลาโหม และ ตราบวัแกว้ของกรมท่า 3. ทรงให้ขุดคลองรอบกรุง เช่น คลองบางลําพูทางตะวนัออกคลองโอ่งอ่างทางใต้ทําให้ กรุงรัตนโกสินทร์เป็นเหมือนเกาะที่มีแม่น้าํลอ้มรอบเหมือนกบักรุงศรีอยธุยารวมท้งัสร้างกาํแพง พระนครและป้อมปราการไว้โดยรอบ ปัจจุบันคงเหลือเพียงป้อมพระสุเมรุที่ต้งัอยบริเวณสุดถนน ู่ พระอาทิตย์เชื่อมต่อกบัถนนพระสุเมรุและป้อมมหากาฬที่สะพานผานฟ้ ่ าลีลาศ 4. ทรงเป็นจอมทพั ในการทาํสงครามกบัรัฐเพื่อนบ้านสงครามคร้ังสาํคญัคือ สงครามเกา้ ทพักบัพม่า


107 ด้านเศรษฐกิจ ในตอนต้นรัชกาลที่1 เศรษฐกิจยงัไม่ดีเพราะมีการทาํสงครามกบัพม่าหลายคร้ังการติดต่อ ค้าขายกบัต่างประเทศก็ลดลงมากแต่ในปลายรัชกาลบ้านเมืองปลอดภัยจากสงครามทําให้ ประชาชนมีเวลาประกอบอาชีพส่วนการค้าขายกบัจีนเพิ่มมากข้ึนทาํใหเ้ศรษฐกิจดีข้ึน มีเงินใชจ้าย่ ในการทํานุบํารุงบ้านเมือง สร้างพระนคร สร้างและบูรณปฏิสังขรณ์วดัรวมท้งัสั่งซ้ือและสร้าง อาวุธเพื่อใช้ป้องกนัพระราชอาณาเขต ทาํใหบ้ ้านเมืองและราษฎรเกิดความมนั่คงและมงั่คงั่ ด้านสังคมและวัฒนธรรม 1. โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชวังและวัด ให้มีรูปแบบเหมือนสมัยอยุธยา เพื่อสร้างขวัญ กาํลงัใจแก่ราษฎรให้เสมือนอยในสมัยอยุธยาเมื่ ู่อคร้ัง บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง เช่น โปรดเกล้าฯ ให้ลอกแบบ พระที่นงั่ สรรเพชญ์ปราสาท มาสร้างพระที่นงั่ อมรินทรวินิจฉัยฯ ตอ่มาเกิดเพลิงไหมจึง้ โปรดเกล้าฯ ให้ร้ือแล้วสร้างพระมหาปราสาทข้ึนมาใหม่และ พระราชทานนามวา่ “พระที่นงั่ดุสิตมหาปราสาท”รวมท้งั โปรดเกล้าฯให้สร้างวัดพระศรีรัตนศาสดารามหรือวดัพระแกวไว้ ้ ในเขตพระบรมมหาราชวังเพี่อใช้ ในการประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกบัวดัพระศรีสรรเพชญในสมัยอยุธยา ์ 2. ทรงทํานุบํารุงพระพุทธศาสนา ด้วยการออกกฎหมายคณะสงฆ์เพื่อให้พระสงฆ์อยในู่ พระธรรมวินัย โปรดเกล้าฯให้มีการสังคายนาพระไตรปิฎกให้มีความถูกต้องสมบูรณ์โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดและบูรณปฏิสังขรณ์วดัวาอารามต่าง ๆ เช่น วดัพระเชตุพนวมิลมงัคลาราม (วดัโพธ์ิ) วัดสุทัศนเทพวราราม วัดสระเกศ วัดระฆังโฆสิตาราม วัดสุวรรณดารารามตลอดจน บูรณปฏิสังขรณ์พระพุทธรูปที่ถูกทิ้งร้างตามหวัเมืองต่างๆ แล้วนํามาประดิษฐานไว้ตามวัดวาอาราม ที่สร้างข้ึนใหม่เช่น อัญเชิญพระศรีศากยมุนีจากวิหารหลวงวัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย มาประดิษฐานที่วัดสุทัศนเทพวรารามเป็นต้น 3. ทรงฟ้ืนฟูพระราชพิธีและประเพณีสาํคญัสมยัอยธุยา เช่น จัดให้มีพระราชพิธีบรม ราชาภิเษกและพระราชพิธีสมโภชพระนคร แสดงให้เห็นถึงความมนั่คงของการกอบกูราชธานี ้ ข้ึนมาใหม่เป็นการสร้างขวญักาํลงัใจใหก้บัราษฎรและเป็นการรักษาพระราชพิธีโบราณ พระที่นงั่ดุสิตมหาปราสาท


108 4. ทรงส่งเสริมงานวรรณกรรม โดยพระราช นิพนธ์วรรณคดีหลายเรื่อง เช่น รามเกียรต์ิเพลงยาวรบ พม่าที่ท่าดินแดง โปรดเกล้าฯ ให้แปลหนังสือจีนเป็น ภาษาไทยเช่น สามก๊ก ราชาธิราช แปลโดยเจ้าพระยา พระคลงั (หน)ซ่ึงวรรณคดีเหล่าน้ียงัเป็นที่นิยมมาถึง ปัจจุบัน พระราชกรณียกิจส าคัญที่มีต่อการสร้างสรรค์ชาติไทย สรุปได้ดังนี้ ด้านการเมืองการปกครอง 1. ทรงตรากฎหมายห้ามสูบซ้ือขายฝิ่นใน พ.ศ. 2354 และ พ.ศ. 2362 โดยกาํหนด บทลงโทษแก่ผู้สูบฝิ่นไว้อยางหนัก ่ 2. ทรงปรับปรุงกฎหมายพระราชกาํหนดสักเลกเมื่อพ.ศ. 2353 เพื่อเรียกเกณฑ์ไพร่พลเขา รับราชการ โดยลดเวลาให้ไพร่มารับราชการเพียง 3 เดือน ทําให้ไพร่มีเวลาทาํมาหากินส่วนตัวมาก ข้ึน ด้านสังคมและวัฒนธรรม 1. โปรดเกล้าฯ ให้มีการบูรณปฏิสังขรณ์วัดแจ้งด้วยการสถาปนาโบสถ์และวหิารข้ึนใหม่ เสริมพระปรางค์องค์เดิมให้ใหญ่ข้ึน และพระราชทานนามใหม่วา ่ “วัดอรุณราชวราราม” ทรงให้ แปลบทสวดมนต์จากภาษาบาลีเป็นภาษาไทย เพื่อให้คนทวั่ ไปเขา้ใจคาํสอนต่าง ๆ ได้ง่ายข้ึน 2. ทรงฟ้ืนฟูพระราชพิธีวสิาขบูชาข้ึนมาใหม่เมื่อ พ.ศ. 2360 ตามที่เคยปฏิบตัิกนัมาในสมยั สุโขทัย วัดพระแกวในพระบรมมหาราชวัง ้ สร้างข้ึนในสมยัรัชกาลที่1 11. พระบาทสมเด็จพระพุทธเลศิหล้านภาลัย(ร.2) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีพระนามเดิมวา ่“ฉิม” ทรงเป็นพระราชโอรสใน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและ สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินีเมื่อพระชนมายุได้16 พรรษา ทรงได้รับการสถาปนาข้ึนเป็นสมเด็จพระเจ้า ลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรในคราวที่สมเด็จ พระราชบิดาทรงปราบดาภิเษกข้ึนเป็นปฐมกษัตริย์ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์เมื่อ พ.ศ. 2325


109 ด้านศิลปกรรมและวรรณกรรม 1. ทรงปรับปรุงท่ารําต่าง ๆ ท้งัโขนและละคร ซ่ึงกลายเป็นต้นแบบมาถึงปัจจุบัน ทรง ประพันธ์เพลง “บุหลันลอยเลื่อน” หรือ “บุหลันลอยฟ้า” 2. ทรงพระราชนิพนธ์วรรณกรรมมากมายเช่น ขุนช้างขุนแผน คาวีสังข์ทอง ไกรทอง อิเหนา 3. ทรงแกะสลักบานประตูวิหารพระศรีศากยมุนี ที่วัดสุทัศนเทพวราราม ปัจจุบนัเก็บรักษา ไว้ณ พิพิธภณัฑสถานแห่งชาติพระนคร พระราชกรณียกิจส าคัญที่มีต่อการสร้างสรรค์ชาติไทยมีดังนี้ ด้านศาสนา พระบาทสมเด็จพระนงเกล้ ั่ าเจ้าอยหัวทรงใหู้่ ความสาํคญักบัการทาํนุบาํรุงพระพุทธศาสนาโดยทรงสร้าง และบูรณปฏิสังขรณ์วดัมากข้ึน วดัที่ทรงสร้างมีหลายแห่ง เช่นวัดราชนัดดาราม วัดเทพธิดารามทรงบูรณะ วัดพระเชตุ พนวิมล-มงัคลารามหรือวดัโพธ์ิรวมท้งัให้จารึกความรู้ต่างๆ ลงบนแผน่หินอ่อนประดับไว้ตามศาลารายในวดัโพธ์ิและ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระปรางค์วดัอรุณราชวรารามเพิ่มเติม จนสูงอยางที่เห็นในปั ่ จจุบัน 12. พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว(ร.3) พระบาทสมเด็จพระนงเกล้ ั่ าเจ้าอยหัว มีพระนามู่ เดิมวา ่“พระองค์เจ้าชายทับ” ทรงเป็นพระราช โอรสพระองค์ใหญในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศ ่ หล้านภาลัยและสมเด็จพระศรีสุลาลัย(เจ้าจอม มารดาเรียม) เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2330 พระปรางค์วัดอรุณราชวราราม


110 ในสมยัน้ีมีการก่อต้งัธรรมยตุิกนิกายโดยวชิรญาณเถระ(ต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระจอม เกล้าเจ้าอยหัว)ซึ่งพระสงฆ์ ู่ ในนิกายน้ีจะมีความเคร่งครัดมากเช่น ไม่จับต้องเงิน เดินโดยไม่สวม รองเท้า เป็นต้น รวมท้งัใหค้วามเสมอภาคแก่ผู้ที่นับถือศาสนาอื่น ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในสมยัน้ีมีชาติตะวนัตกเขามา้ติดต่อเพื่อขอทําสนธิ สัญญาทางพระราชไมตรีและการค้ากบัไทยมากข้ึนพระบาท สมเด็จพระนงั่เกลา้เจ้าอยหัวไดู้่ ทรงลงพระนามทําสนธิสัญญา กบั ประเทศองักฤษเมื่อวนัที่20 มิถุนายน พ.ศ. 2369เรียกวา่ “สนธิสัญญาเบอร์นีย์” เป็นสนธิสัญญาฉบับแรกที่ไทยทํากบั ชาติตะวันตก สนธิสัญญาฉบบัน้ีไทยไม่เสียเปรียบใดๆ และภายหลงัต่อมาไทยทาํสนธิสัญญากบัชาติ ตะวันตกอื่นๆ อีกหลายฉบับ และในสมัยรัชกาลที่3 ได้มีการติดต่อกบัสหรัฐอเมริกาอยางเป็ ่น ทางการคร้ังแรกโดยสหรัฐอเมริกาได้ส่งเอ็ดมันด์โรเบิร์ตส์เป็นทูตเข้ามาเจรจาทางการค้ากบัไทย ซ่ึง มีการตกลงและลงนามในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2375 โดยมีสาระสําคัญคล้ายคลึงกบัสนธิสัญญาเบอร์ นีย์ ด้านเศรษฐกิจ พระบาทสมเด็จพระนงเกล้ ั่ าเจ้าอยหู่วัทรงส่งเสริมการค้า กบัต่างชาติท้งัจีนองักฤษ สหรัฐอเมริกาและโปรตุเกส โดยส่งเรือ สาํเภาและเรือกาํปั่นแบบฝรั่งท้งัเรือของราชการและของเอกชน ไปค้าขาย ทําให้มีรายได้เข้าสู่ประเทศ และเงินเหล่าน้นัไดถูก้ นํามาใช้พัฒนาบ้านเมืองในสมยัต่อ ๆ มา


111 13. พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(ร.4) พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้เจา้อยหู่วัเสด็จพระราช สมภพ เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2347 เป็ นพระราชโอรสใน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลา้นภาลยักบัสมเด็จพระศรีสุริ เยนทราบรมราชินีมีพระนามเดิมวา่สมเด็จพระเจา้ลูกยาเธอเจา้ ฟ้ามงกุฎ เมื่อคร้ันพระชนมพรรษาได้21 พรรษา ได้ออกผนวช ตามพระราชประเพณีแต่ผนวชไดเ้พียง 15 วัน พระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหลา้นภาลยัก็เสด็จสวรรคต เมื่อพระบาทสมเด็จ พระนงั่เกลา้เจา้อยหู่วัข้ึนครองราชย์พระองคจ์ึงทรงออกผนวช ต่อจนกระทงั่รัชกาลที่3 เสด็จสวรรคต จึงทรงลาสิกขาและ เสด็จข้ึนครองราชย์เมื่อวนัที่2 เมษายน พ.ศ. 2394 พระราชกรณียกิจที่สาํคญัของพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้เจา้อยหู่วัคือการรักษาเอกราช ของชาติเนื่องจากในช่วงรัชสมยัของพระองคเ์ป็นช่วงที่ชาติมหาอาํนาจตะวนัตกโดยเฉพาะอังกฤษ และฝรั่งเศส เขา้มาล่าอาณานิคมในดินแดนแถบน้ีจึงทําให้พระองค์มีพระราชดําริในการเปิ ด สัมพนัธภาพกบั ประเทศตะวันตกและ นาํมาสู่การทาํสนธิสัญญาเบาวร์ิง ในวนัที่18 เมษายน พ.ศ. 2398 ไม่เพียงเท่าน้นัพระองคย์งัไดท้รงวางรากฐานความเจริญกา้วหนา้แบบอารยประเทศ มากมาย นอกจากน้ีพระองคย์งัทรงมีความสนพระราชหฤทยัในเรื่องวชิาดาราศาสตร์เป็นอยา่งมาก โปรดใหส้ร้างพระที่นงั่ภูวดลทศัไนยข้ึนในพระบรมมหาราชวงัอีกท้งัยงัทรงสถาปนาระบบเวลา มาตรฐานข้ึน และพระราชกรณียกิจที่สาํคญั ในดา้นดาราศาสตร์ก็คือการพยากรณ์ล่วงหนา้วา่จะเกิดสุริยปุราคาเตม็ดวงในวนัที่18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 ซึ่งพระองคท์รงพยากรณ์ไวไ้ดอ้ยา่งแม่นยาํ หลังจากเสด็จฯ กลับจากการทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวงแล้ว พระบาทสมเด็จพระ จอมเกลา้เจา้อยหู่วัไดป้ระชวรดว้ยพระโรคไขม้าลาเรียและเสด็จสวรรคตในวนัที่1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 ขณะพระชนมมายุได้ 64 พรรษา รวมระยะเวลาครองราชยท์ ้งัหมด 17 ปี และด้วยพระปรีชา สามารถทางดา้นวทิยาศาสตร์รัฐบาลไทยจึงไดม้ีมติใหก้าํหนดวนัที่18 สิงหาคมของทุกปี เป็ นวัน วทิยาศาสตร์แห่งชาติและเทิดพระเกียรติใหพ้ระองคท์รงเป็นพระบิดาแห่งวทิยาศาสตร์ ต่อมาในโอกาสวนัพระบรมราชสมภพครบ 200 ปีองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และ วฒันธรรมแห่งสหประชาชาติหรือ UNESCO ไดป้ระกาศยกยอ่งพระเกียรติคุณ ใหพ้ระองคท์รง เป็ นบุคคลสําคัญของโลก สาขาการศึกษา วัฒนธรรม สังคมศาสตร์ มานุษยวิทยา การพัฒนาสังคม และการสื่อสาร ประจําปี พ.ศ. 2546-2547 ภาพจากkingmongkut.com


112 14. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(ร.5) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้เจา้อยหู่วัเป็นพระราชโอรส ในรัชกาลที่ 4 และสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี พระราชสมภพ เมื่อวันที่ 20กนัยายน พ.ศ.2396 มีพระนามเดิมวา่สมเด็จพระเจา้ลูกยา เธอเจา้ฟ้าจุฬาลงกรณ์ทรงไดร้ับการศึกษาข้นัตน้ ในพระบรมมหาราชวงั เมื่อพระชนมายุ 13 พรรษา ทรงเป็ นกรมขุนพินิตประชานาถเสวยราชย์ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 ขณะมีพระชนมพรรษาเพียง 15 พรรษา โดยมีเจ้าพระยาศรีสุริ ยวงศ์(ช่วง บุนนาค) เป็นผูส้าํเร็จราชการแผน่ดิน จนถึง พ.ศ. 2416 ทรง บรรลุนิติภาวะ พระชนมพรรษาครบ 20 พรรษา จึงมีพระราชพิธีบรม ราชาภิเษกคร้ังที่2 ทรงครองราชสมบัติยาวนานถึง 42 ปี สวรรคตเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ.2453 พระราชกรณียกิจส าคัญที่มีต่อการสร้างสรรค์ชาติไทยมีดังนี้ เพื่อใหไ้ทยเจริญกา้วหนา้ทดัเทียมอารยประเทศและรอดพน้จากภยัจกัรวรรดินิยมที่กาํลงั คุกคามภูมิภาคเอเชียตะวนัออกเฉียงใตอ้ยขู่ณะน้นัรัชกาลที่5 ทรงพัฒนาและปรับปรุงประเทศทุก ด้านเช่น การปกครอง ทรงปฏิรูปการปกครองใหม่ตามอยางตะวันตก แยกการปกครองออกเป็ น ่ 3 ส่วน คือการ ปกครองส่วนกลางแบ่งเป็นกระทรวงต่าง ๆ การปกครองส่วนภูมิภาคโดยระบบเทศาภิบาลและการ ปกครองส่วนทอ้งถิ่นในรูปสุขาภิบาลกฎหมายและการศาลใหต้้งักระทรวงยตุิธรรมรับผดิชอบศาล ยุติธรรม เป็ นการแยกอํานาจตุลาการออกจากฝ่ ายบริหารเป็นคร้ังแรกยกเลิกจารีตนครบาลที่ใชว้ธิี โหดร้ายทารุณในการไต่สวนคดีความ ต้งัโรงเรียนกฎหมายข้ึนและประกาศใชป้ระมวลกฎหมาย ลกัษณะอาญาอนัเป็นประมวลกฎหมายฉบบัแรกของไทยการปรับปรุงกฎหมายและการศาลน้ีเป็น ลู่ทางที่ทาํใหป้ระเทศไทยสามารถแกป้ ัญหาสิทธิสภาพนอกอาณาเขตไดใ้นภายหลง ั สังคมและวัฒนธรรม ทรงยกเลิกระบบทาสและระบบไพร่ใหป้ระชาชนมีอิสระในการดาํรงชีวติยกเลิก ประเพณีที่ล้าสมัย และรับเอาวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามา การเงิน การธนาคารและการคลัง ผลจากการทําสนธิสัญญาเบาว์ริงในสมัยรัชกาลที่ 4 ทาํใหเ้ศรษฐกิจการคา้ขยายตวัมีชาว ต่างประเทศเขา้มาทาํกิจการในประเทศไทยมากข้ึน รัชกาลที่5 จึงให้ออกใช้ธนบัตรและมีการ กาํหนดอตัราแลกเปลี่ยนที่แน่นอนเป็นคร้ังแรก ทรงอนุญาตใหธ้นาคารพาณิชยข์องต่างประเทศเขา้ มาต้งัสาขาและสนบัสนุนใหค้นไทยต้งัธนาคารพาณิชยข์้ึน ในด้านการคลัง มีการจัดทํางบประมาณ แผน่ดินเป็นคร้ังแรก และปรับปรุงระบบจดัเก็บภาษีอากรใหม้ีประสิทธิภาพข้ึน


113 สาธารณูปโภค ทรงใหส้ร้างถนนเพิ่มเติม ขดุคลองใหม่และลอกคลองเดิม เพื่อใชใ้นการคมนาคมและ ขยายพ้ืนที่เพาะปลูก ทรงริเริ่มใหจ้ดักิจการสาธารณูปโภคหลายอยา่งข้ึนเป็นคร้ังแรกเช่น รถไฟ รถราง โทรเลข ไปรษณีย์ โทรศัพท์ ไฟฟ้า ประปา แพทย์และการสาธารณสุข ทรงปรับปรุงกิจการดา้นน้ีใหเ้ป็นแบบสมยัใหม่เช่น ต้งัโรงพยาบาลวงัหลงั (ศิริราช) สภาอุณาโลมแดง (สภากาชาดไทย) กรมสุขาภิบาล โรงเรียนสอนแพทย์ โรงเรียนผดุงครรภ์และ พยาบาล เป็ นต้น การศึกษา มีการสร้างโรงเรียนหลวง เพื่อใหก้ารศึกษาแก่ราษฎรและทรงส่งพระราชโอรสและพระ บรมวงศานุวงศไ์ปศึกษาต่าง ประเทศจุดมุ่งหมายของการจดัการศึกษาก็เพื่อฝึกคนใหม้ีความรู้ สําหรับเข้ารับราชการ การศาสนา โปรดเกลา้ฯ ใหต้ราพระราชบญัญตัิลกัษณะปกครองสงฆ์จดัต้งัสถานศึกษาสงฆ์คือ มหามกุฏราชวิทยาลัย และให้มีการสังคายนาพระไตรปิ ฎก การทหาร ทรงปรับปรุงหน่วยทหารและอาวธุยทุธภณัฑใ์หท้นัสมยัต้งักรมยทุธนาธิการซ่ึงภายหลงั เปลี่ยนเป็นกระทรวงกลาโหม ต้งัโรงเรียนนายร้อยทหารบก โรงเรียนนายเรือ และตรา พระราชบญัญตัิเกณฑท์หารข้ึนใชเ้ป็นคร้ังแรก ในการปรับปรุงพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ เนื่องจากในขณะน้นัคนไทยมีความรู้ความ เชี่ยวชาญในวทิยาการสมยัใหม่ยงัมีนอ้ยรัชกาลที่5จึงตอ้งทรงจา้งชาวต่างประเทศเขา้มาเป็นที่ ปรึกษาและรับราชการเป็นจาํนวนมาก ส่งวนใหญ่เป็นชาวตะวนัตกเช่น องักฤษ อเมริกนัเยอรมนั ฝรั่งเศส เบลเยยีม เดนมาร์ก ที่เป็นชาวตะวนัออกก็มีอยบู่า้ง เช่น ญี่ปุ่น ลงักา ปรากฏวา่ชาว ต่างประเทศที่จา้งมาทาํงานไดผ้ลดีสร้างคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศไทยเป็นอยา่งมาก บางคน ไดร้ับพระราชทานบรรดาศกัด์ิเป็นถึงพระยา เจา้พระยานอกจากน้ีรัชกาลที่5 ยังทรงเป็ น พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่เสด็จพระราชดาํเนินต่างประเทศ โดยไดเ้สด็จประพาสสิงคโปร์ ขององักฤษและเกาะชวาอาณานิคมของฮอลนัดา ต่อมาเสด็จประพาสอินเดียซ่ึงเป็นอาณานิคมของ องักฤษ ทรงนาํความเจริญของดินแดนเหล่าน้ีมาประกอบในการพฒันาประเทศไทย ใน พ.ศ. 2440 รัชกาลที่1 เสด็จประพาสยุโรปคร้ังที่1ได้เสด็จพระราชดําเนินเยือน ประเทศต่างๆ กวา่ 10 ประเทศ เป็นผลดีต่อฐานะของประเทศไทยในสังคมระหวา่งประเทศ ต่อมา ใน พ.ศ. 2449 -2450ไดเ้สด็จประพาสยโุรปเป็นคร้ังที่2 เพื่อเยยี่มพระราชโอรสที่ศึกษาอยใู่น ประเทศต่างๆ และรักษาพระองคต์ามที่แพทยถ์วายคาํแนะนาํ ในโอกาสเดียวกนัทรงไดเ้จรจาเพื่อ


114 แกไ้ขปัญหาทางการเมืองกบั ประเทศต่าง ๆ ดว้ย แมว้า่รัชกาลที่5 จะทรงพัฒนาประเทศทุก ๆ ด้าน และพยายามผกูมิตรกบั ประเทศมหาอาํนาจต่างๆ แต่ประเทศไทยก็ยงัไม่อาจรอดพน้ภยัจากลทัธิล่า อาณานิคมโดยสิ้นเชิง ดงัเช่นเกิดพิพาทกบัฝรั่งเศสจนถึงข้นั ปะทะกนัที่ปากน้าํสมุทรปราการ ซ่ึงเรียกวา่เหตุการณ์ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) เป็ นต้น รัชกาลที่ 5 ตอ้งทรงยอมเสียดินแดนบางส่วน ใหแ้ก่ฝรั่งเศสและองักฤษ เพื่อรักษาเอกราชและดินแดนส่วนใหญ่ไว้ทาํใหป้ระเทศไทยรอดพน้ จากการเป็ นอาณานิคมเพียงประเทศเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้เจา้อยหู่วัทรงมีพระกรุณาธิคุณต่อประชาชนชาวไทย และประเทศไทยอยา่งใหญ่หลวง จึงทรงไดร้ับพระราชสมญัญาวา่พระปิยมหาราช อนัหมายถึงวา่ ทรงเป็นที่รักยงิ่ของปวงชนชาวไทยและในโอกาสครบรอบ 150 พรรษาแห่งวนัคลา้ยวนัพระราช สมภพ วันที่ 20กนัยายน พ.ศ. 2546 องคก์ารศึกษาวทิยาศาสตร์และวฒันธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก (UNESCO) ไดป้ระกาศยกยอ่งใหพ้ระองคเ์ป็นบุคคลสาํคญัและมีผลงานดีเด่นของ โลกทางสาขาการศึกษา วัฒนธรรม สังคมศาสตร์ มานุษยวิทยา การพัฒนาสังคมและสื่อสาร 15. พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว(ร.6) ถึงแม้รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจา้อยหู่วัจะมีระยะส้ันเพียง ๑๕ ปีเท่าน้นัแต่ไดท้รง ประกอบพระราชกรณียกิจอนัเป็นคุณประโยชน์แก่ ประเทศและประชาชนชาวไทยหลายดา้น ดงัต่อไปน้ี ด้านการศึกษา -จัดการศึกษาระดับอุดมศึกษา โดยทรงพระกรุณาโปรด เกล้าฯ ยกฐานะ โรงเรียนขา้ราชการพลเรือนฯ ข้ึนเป็น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ นับเป็ น มหาวทิยาลยัแห่งแรกของไทย - ทรงตราพระราชบัญญัติประถมศึกษา ปี พ.ศ. ๒๔๖๔ ให้ บิดามารดาส่งบุตรเขา้โรงเรียนโดยไม่เสียค่าเล่าเรียน -โปรดเกล้าฯใหจ้ดัต้งัสถาบนัการศึกษาหน่ึงและพระราชทานนามวา่ โรงเรียนเพาะช่าง ในวนัที่๗ มกราคม ๒๔๕๖ พระองคเ์สด็จพระราชดาํเนินทรงเปิดโรงเรียนเพาะช่างดว้ยพระองคเ์องดว้ย จุดเริ่มตน้น้ีทาํใหป้ระเทศไทยยงัมีช่างฝีมือทางศิลปกรรมไทยไวส้ืบทอดและสร้างสรรคส์ ิ่งดีงาม จนถึงปัจจุบัน


115 ด้านสังคม -ยกเลิกบ่อนการพนนัและ หวยก.ข. ซ่ึงเป็นอบายมุขมอมเมาประชาชน แมว้า่จะเป็น แหล่งรายไดส้าํคญัของรัฐบาลแหล่งหน่ึงก็ตาม -ลดการคา้ฝิ่นซ่ึงเป็นแหล่งรายไดห้ลกัอีกแหล่งหน่ึงของรัฐบาล - ตราพระราชบัญญัติขนานนามสกุล พ.ศ. ๒๔๕๖ เป็นการเริ่มตน้ ให้คนไทยมีนามสกุลใช้ โดยไดท้รงพระราชทานนามสกุลแก่ผทู้ี่ขอมาดว้ย ด้านเศรษฐกิจ-จดัต้งัธนาคารออมสินข้ึน เพื่อให้ ประชาชนรู้จกัออมทรัพย์และเชื่อมนั่ในสถาบนั การเงิน เนื่องจากมีธนาคารพาณิชย์เอกชนที่ฉ้อโกง และตอ้งลม้ละลายปิดกิจการ ทาํใหผู้ฝากเงินได้รับ ้ ความเสียหายอยเู่สมอ - ใชพ้ระราชทรัพยส์ ่วนพระองคซ์ ้ือหุน้ของ ธนาคารสยามกมัมาจล ทุนจาํกดั(ปัจจุบนัคือธนาคารไทยพาณิชย)์ซ่ึงมีปัญหาการเงิน ทาํให้ ธนาคารของคนไทยแห่งน้ีดาํรงอยมู่าได้ - ทรงริเริ่มต้งับริษทั ปูนซีเมนตไ์ทยจาํกดัซ่ึงไดเ้ป็นกิจการอุตสาหกรรมสาํคญัของไทย ต่อเนื่องมาจนปัจจุบนั - ทรงจดัต้งัสภาเผยแผพ่าณิชย์ซ่ึงเป็นหน่วยงานคลา้ยกบัสภาพฒันาการเศรษฐกิจใน ปัจจุบัน -โปรดเกล้าฯ ให้จัดเตรียมแสดงสินค้าไทย คืองานสยามรัฐพิพิธภัณฑ์ที่สวนลุมพินีแต่งาน ตอ้งเลิกลม้ไปเพราะสวรรคตเสียก่อนดา้นการส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตย - ทรงส่งเสริมสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและวพิากษว์จิารณ์ผา่นสื่อมวลชนที่ สาํคญั ในยคุน้นัคือหนงัสือพิมพ์ซ่ึงอาจกล่าวไดว้า่มีเสรีภาพสูงยงิ่กวา่สมยัหลงัพ.ศ. 2475 - ทรงทดลองและฝึ กให้ข้าราชบริพารรู้จักการปกครองระบอบประชาธิปไตยโดยทรงสร้าง เมืองจาํลอง "ดุสิตธานี"ข้ึน เป็นเมืองที่มีพรรคการเมือง,การเลือกต้งั, และการบริหารตามระบอบ ประชาธิปไตย ด้านการแพทย์และสาธารณสุข - ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ฯ ใหต้้งัโรงพยาบาล จุฬาลงกรณ์ และวชิรพยาบาล เพื่อรักษาพยาบาล ประชาชนที่เจ็บไข้ได้ป่ วย - ทรงเปิ ดสถานเสาวภา เมื่อวันที่ 7ธันวาคม พ.ศ. 2465 เพื่อผลิตวคัซีนและเซรุ่ม เป็น ประโยชน์ท้งัแก่ประชาชนชาวไทยและประเทศ ธนาคารออมสินที่สร้างข้ึนในสมัยรัชกาลที่ 6 โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์และ วชิรพยาบาล


116 ใกล้เคียงอีกด้วย - ทรงเปิ ดการประปากรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2575 ด้านการต่างประเทศ เมื่อเกิดมหายุทธสงครามโลกคร้ังที่1 ข้ึน เมื่อปีพ.ศ. 2475 ในตอนต้นของสงคราม ประเทศไทยไดป้ระกาศตนเป็นกลางแต่ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้เจา้อยหู่วั ไดท้รงมีพระ บรมราชโองการประกาศสงครามกบัเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี เมื่อวันที่ 22กรกฎาคม พ.ศ. 2460 เพื่อรักษาสิทธิของประเทศ และเพื่อความเที่ยงธรรมของโลกเป็นส่วนรวม และไดท้รงพระ กรุณาโปรดเกลา้ฯ ใหส้ ่งทหารไทยอาสาสมคัรไปร่วมรบในสมรภูมิดว้ย การเข้าร่วมสงครามในคร้ังน้ีเป็นผลดีแก่ประเทศไทยอย่างยิ่ง ในฐานะผูช้นะสงคราม ประเทศไทยสามารถเจรจากบั ประเทศมหาอาํนาจขอแกไ้ขสนธิสัญญาสิทธิสภาพนอกอาณาเขต และ สนธิสัญญาจาํกัดอาํนาจการเก็บภาษีของประเทศไทย ทาํ ให้ประเทศไทยพ้นสภาพการ เสียเปรียบในด้านการศาล และสามารถดําเนินนโยบายด้านภาษีได้โดยอิสระ ด้านกจิการเสือป่าและลูกเสือ - ทรงจดัต้งักองเสือป่าข้ึนเมื่อวนัที่6 พฤษภาคม พ.ศ. 2454 โดยมีพระราชประสงค์จะ ฝึกอบรมขา้ราชการให้มีระเบียบวินยัมีความสามคัคีมีน้าํใจเป็นสุภาพบุรุษ ประพฤติตนดีรักชาติ ศาสนา พระมหากษตัริย์เป็นกาํลงัของชาติในยามคบัขนั - ทรงจดัต้งักองลูกเสือข้ึนเมื่อ พ.ศ. 2454 เพื่อฝึ กเยาวชนให้มีความสามัคคีมานะอดทน เสียสละเพื่อส่วนรวม และเป็นผชู้่วยรบไดใ้นยามคบัขนั ด้านศิลปวัฒนธรรม - ทรงต้งักรมมหรสพข้ึน เพื่อฟ้ืนฟูศิลปวฒันธรรมไทย - ทรงต้งัโรงละครหลวงข้ึนเพื่อส่งเสริมการแสดงละครในหมู่ขา้ราชบริพาร - ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ออกแบบอาคารสมยัใหม่เป็นแบบทรงไทย เช่น ตึกอกัษร ศาสตร์ ซึ่ งเป็ นอาคารเรียนหลังแรกของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอาคารโรงเรียนวชิราวุธ วิทยาลัย ด้านวรรณกรรมและหนังสือพิมพ์ - ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบญัญตัิการพิมพ์ฉบบัแรกข้ึน เรียกว่า พระราชบัญญัติสมุด เอกสาร และหนังสือพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๖๕ - ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องราวต่างๆ ไวเ้ป็นอนัมาก ท้งัในภาษาไทยและภาษาองักฤษ ท้งัที่ เป็นร้อยแกว้และร้อยกรอง ท้งัที่เป็นสารคดีและนิยาย มีบทละครรําละครร้องละครพูด ท้งัยงัได้ ทรงพระราชนิพนธ์บทความพระราชทานหนังสือพิมพด์ ้วย รวมกว่า 1,000 เรื่อง เป็ นมรดกทาง วรรณกรรมให้ประชาชนชาวไทยได้อ่านและชื่นชมสืบทอดกนัมา จึงได้รับพระสมญัญานามว่า


117 สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า และองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวฒันธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ก็ไดย้กยอ่งพระเกียรติคุณของพระองคเ์ป็นปราชญส์ยาม ด้านการคมนาคม - ทรงปรับปรุงและขยายงานกิจการรถไฟ ใหร้วม กรมรถไฟซึ่งเคยแยกเป็ น 2 กรมเขา้เป็นกรมเดียวกนั เรียกวา่กรมรถไฟหลวง เริ่มเปิดกิจการเดินรถไฟสาย กรุงเทพฯ ถึงเชียงใหม่ทรงเปิดเดินรถด่วนระหวา่งประเทศ สายใตต้ิดต่อกบัรถไฟมลายู(มาเลเซีย) - ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างสะพาน พระราม 6ขา้มแม่น้าํเจา้พระยาเชื่อมทางรถไฟท้งัปวงใน พระราชอาณาจกัรโดยโยงเขา้มาสู่ศูนยก์ลางที่สถานี หัวลําโพง - ทรงจดัต้งักรมอากาศยาน ไดเ้ริ่มการขนส่ง ไปรษณียภณัฑท์างอากาศระหวา่งกรุงเทพฯ ไปยงั นครราชสีมาเป็นคร้ังแรก สะพานพระราม 6 สร้างในสมัยรัชกาลที่ 6 โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัยหรือโรงเรียนมหาดเล็กหลวง สร้ างขึ้น ในสมัยรัชกาลที่ 6 เป็ นโรงเรียนประจ าตามแบบตะวันตก


118 16. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว(ร.7) พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้า เจ้าอยู่หัว(8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2436 -30 พฤษภาคม พ.ศ. 2484) เป็ น พระมหากษัตริย์สยาม รัชกาลที่ 7 ในราชวงศ์จักรีเสด็จพระราช สมภพเมื่อวันพุธ แรม 14 คํ่า เดือน 11 ปี มะเส็ง เวลา 12.25 น. หรือ ตรงกบัวนัที่8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2436 เป็ นพระราชโอรสพระองค์ที่ 76 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้เจา้อยหู่วั เป็ นพระองค์ที่ 9 ในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปี หลวงข้ึนเสวยราชสมบตัิเป็นพระมหากษตัริย์เมื่อวนัที่26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 และทรงสละราชสมบัติเมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 (นบัศกัราชแบบเก่า)รวมดาํรงสิริราชสมบตัิ9 ปี เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 รวมพระชนมพรรษา 47 พรรษา พระราชกรณียกิจส าคัญที่มีต่อการสร้างสรรค์ชาติไทยมีดังนี้ ด้านการทา นุบ ารุงบ้านเมือง เศรษฐกิจ สืบเนื่องจากผลของสงครามโลกคร้ังที่หน่ึง ประเทศทวั่ โลกประสบปัญหาภาวะ เศรษฐกิจ ตกต่าํซ่ึงมีผลกระทบกระเทือนมาสู่ประเทศไทย พระองคไ์ดท้รงพยายามแกไ้ขปัญหา เศรษฐกิจดว้ยวธิีต่าง ๆ เช่น การควบคุมงบประมาณ ตดัทอนรายจ่ายลดอตัราเงินเดือนขา้ราชการ รวมถึงการลดจาํนวนขา้ราชการ ปรับปรุงระบบภาษีการเก็บภาษีเพิ่มเติม ยบุรวมจงัหวดัเลิก มาตรฐานทองคาํเปลี่ยนไปผูกกบัค่าเงินขององักฤษ เป็นตน้รวมท้งัส่งเสริมกิจการสหกรณ์ให้ ประชาชนไดม้ีโอกาสร่วมกนั ประกอบกิจการทางเศรษฐกิจโดยทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ฯ ใหต้รา พระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2471 ข้ึน การสุขาภิบาลและสาธารณูปโภคโปรดใหป้รับปรุงงานสุขาภิบาลทวั่ราชอาณาจกัรให้ ทดัเทียมอารยประเทศ ดา้นการสื่อสารและการคมนาคมน้นั ไดม้ีการอญัเชิญกระแสพระราชดาํรัส ของพระองค์จากพระที่นงั่อมรินทรวนิจฉัย ิ พระบรมมหาราชวังถ่ายทอดเสียงทางวทิยเุป็นคร้ังแรก ของประเทศไทยในพิธีเปิ ดสถานีวิทยุกรุงเทพฯ ที่พระราชวังพญาไท ในส่วนกิจการรถไฟ ขยาย เส้นทางรถทางทิศตะวันออกจากทางจังหวัดปราจีนบุรีจนกระทงั่ถึงต่อเขตแดนเขมร ในปี พ.ศ. 2475 เป็ นวาระที่กรุงเทพมหานครมีอายุครบ 150 ปี ทรงจัดงานเฉลิมฉลองโดย ทาํนุบาํรุงบูรณปฏิสังขรณ์สิ่งสาํคญัอนัเป็นหลกัของกรุงเทพมหานครหลายประการคือ บูรณะวดั พระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวัง, สร้างปฐมบรมราชานุสรณ์และสะพานพระพุทธยอด ฟ้าเชื่อมฝั่งกรุงเทพมหานครและฝั่งธนบุรีเพื่อเป็นการขยายเขตเมืองใหก้วา้งขวางเป็นตน้ สาํหรับใน


119 เขตหัวเมือง ทรงไดจ้ดัต้งัสภาจดับาํรุงสถานที่ชายทะเลทิศตะวนัตกข้ึน เพื่อทาํนุบาํรุงหัวหินและ ใกล้เคียงให้เป็ นสถานที่ตากอากาศชายทะเล ด้านการปกครอง พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้เจา้อยหู่วัทรงลง พระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรสยาม เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้เจา้อยหู่วั มีพระราชปรารภจะพระราชทานรัฐธรรมนูญ แต่ถูกทกัทว้งจากพระบรมวงศช์ ้นัผใู้หญ่จึงได้ ระงบัไปก่อน ซึ่งหม่อมเจา้พูนพิศมยั ดิศกุล มี ดาํรัสถึงเรื่องน้ีวา่ “ส่วนพระเจา้อยหู่วัเองน้นั [พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้เจา้อยหู่วั] ทรงรู้สึก ยงิ่ข้ึนทุกทีวา่การปกครองบา้นเมืองในสมยั เช่นน้ีเป็นการเหลือกาํลงัของพระองคท์ ี่จะทรง รับผดิชอบไดโ้ดยลาํพงัแต่ผเดียว พระองค์ทรงู้ รู้ดีวา่ทรงอ่อนท้งัในทาง physical และ mental จึงมีพระราชปรารถนาจะพระราชทาน รัฐธรรมนูญใหช้่วยกนัรับผดิชอบใหเ้ตม็ที่อยเู่สมอ” แต่ก็เกิดเหตุการณ์ปฏิวตัิโดยคณะราษฎร ใน วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 โดยพระองค์ทรงยินยอมสละพระราชอํานาจและเป็ นพระมหากษัตริย์ ภายใต้รัฐธรรมนูญ ทรงให้ตรวจตราตัวบทกฎหมายรัฐธรรมนูญที่จะเป็นหลกัในการปกครองอยา่งถี่ ถ้วน ทรงแกไ้ขกฎหมายองคมนตรีด้วยการออกพระราชบัญญัติองคมนตรี เมื่อปี พ.ศ. 2470 โดยให้สภากรรมการองคมนตรีมีอํานาจหนา้ที่ในการให้คาํปรึกษาในการร่างกฎหมาย โดยมี พระราชดาํริใหส้ภาองคมนตรีเป็นที่ฝึกการประชุมแบบรัฐสภากรรมการสภาองคมนตรีอยใู่น ตาํแหน่งวาระละ3 ปีทรงตราพระราชบัญญัติควบคุมการค้าขายอันกระทบถึงความปลอดภัยหรือ ความผาสุกแห่งสาธารณชน พ.ศ. 2471 เพื่อคุ้มครองสวัสดิการของปวงชนชาวไทย โดยมีขอบเขต ครอบคลุมการคา้ขายที่เป็นสาธารณูปโภคและการเงิน เช่น การประปาการไฟฟ้าการรถไฟ การ เดินอากาศการชลประทาน การออมสิน และการประกนัภยัอนัเป็นรากฐานของระเบียบปฏิบตัิที่ ใชก้นัมาจนทุกวนัน้ี มีพระราชดาํริใหจ้ดัระเบียบการปกครองรูปแบบเทศบาลข้ึน เพื่อใหป้ระชาชนในทอ้งถิ่น รู้จกัเลือกตวัแทนเขา้ไปบริหารและจดัการงานต่าง ๆ ของชุมชน โดยโปรดเกลา้ฯ ใหต้รา


120 พระราชบญัญตัิเทศบาลข้ึนแต่มิไดเ้ป็นไปตามพระราชประสงคเ์นื่องจากเกิดการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 ด้านการศาสนาการศึกษา ประเพณีและวัฒนธรรม พระบรมฉายาลักษณ์ขณะทรงซออู้ทรงส่งเสริม การศึกษาของชาติท้งัส่วนรวมและส่วนพระองค์โปรดให้สร้าง หอพระสมุดสําหรับพระนคร เพื่อเปิ ดโอกาสให้ประชาชนเข้า ศึกษาไดอ้ยา่งเสรีทรงต้งัราชบณัฑิตยสภา เพื่อมีหน้าที่บริหาร และเผยแพร่วชิาการดา้นวรรณคดีโบราณคดีและศิลปกรรม ใน ด้านวรรณกรรม โปรด ตราพระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรม และศิลปกรรมใน พ.ศ. 2475 พระราชทานเงินส่วนพระองค์เป็น รางวลัแก่ผแู้ต่งหนงัสือยอดเยี่ยม และใหทุ้นนกัเรียนไปศึกษา วิชาวิทยาศาสตร์จากต่างประเทศการศาสนา ทรงปลูกฝังเยาวชน ให้มีคุณธรรมดีงาม โดยยึดหลักคําสอนของ พระพุทธศาสนาโปรดให้ราชบณัฑิตยสร้างหนงัสือสอนพระพุทธศาสนาสาํหรับเด็ก ซ่ึงนบัวา่ พระองค์เป็ นพระมหากษัตริยพ์ระองคแ์รกที่ทรงสร้างหนงัสือสาํหรับเด็ก ส่วนการศึกษาใน พระพุทธศาสนาน้นั โปรดใหส้ร้างหนงัสือพระไตรปิฎกเรียกวา่ฉบบัสยามรัฐโดยหน่ึงชุดมี จํานวน 45 เล่ม เพื่อเป็นอนุสาวรียเ์ชิดชูพระเกียรติยศของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้เจา้อยหู่วั ในดา้นศิลปวฒันธรรมของชาติน้นัพระองคท์รงสถาปนาราชบณัฑิตยส์ภาข้ึน (เดิมคือ กรรมการหอพระสมุดสําหรับพระนคร) เพื่อจัดการหอพระสมุดสําหรับพระนครและสอบสวน พิจารณาวิชาอักษรศาสตร์ เพื่อจัดการพิพิธภัณฑสถานตรวจรักษาโบราณสถานและโบราณวัตถุ และเพื่อจดัการบาํรุงรักษาวชิาช่างผลงานของราชบณัฑิตสภาเป็นผลดีต่อการอนุรักษแ์ละส่งเสริม ศิลปวฒันธรรมของชาติเป็นอยา่งมากเช่น การตรวจสอบตน้ ฉบับเอกสารโบราณออกตีพิมพ์ เผยแพร่มีการส่งเสริมสร้างสรรคว์รรณกรรมรุ่นใหม่ดว้ยการประกวดเรียบเรียงบทประพนัธ์ท้งัร้อย แกว้และร้อยกรอง ทรงอนุรักษ์ดนตรีไทยไวด้ว้ยพระองคเ์อง ท้งัน้ีเพราะไดท้รงสนพระราชหฤทยัในวชิา ดนตรีไทย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หลวงประดิษฐไพเราะ(ศรศิลปบรรเลง) เข้าถวายการ ฝึ กสอนจนสามารถ พระราชนิพนธ์ทํานองเพลงไทยได้ ถึง 3 เพลง คือ เพลงราตรีประดับดาวเถา เพลงเขมรลออองคเ์ถาและเพลงโหมโรงคลื่นกระทบฝั่ง ทางด้านวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรม ทรงสละทรัพยส์ ่วนพระองคป์ฏิสังขรณ์วัดสุวรรณ ดารารามจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โปรดฯให้เขียนภาพพงศาวดารสมเด็จพระนเรศวรมหาราชไว้ที่ ผนังพระวิหาร


121 ทรงพยายามสร้างค่านิยมใหม้ีสามีภรรยาเพียงคนเดียวโปรดใหต้ราพระราชบญัญตัิแกไ้ขเพิ่มเติม กฎหมายลักษณะผัวเมีย พ.ศ. 2473 ริเริ่มใหม้ีการจดทะเบียนสมรส ทะเบียนหยา่ทะเบียนรับรอง บุตรอนัเป็นการปลูกฝังค่านิยมแบบใหม่ทีละนอ้ยตามความสมคัรใจ นอกจากน้ียงัทรงปฏิบตัิตน เป็นแบบอยา่งโดยทรงมีแต่พระบรมราชินีเพียงพระองคเ์ดียว พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้เจา้อยหู่วั และสมเด็จพระนางเจ้ารําไพพรรณีพระบรมราชินีเสด็จเยือนประเทศเยอรมนีในปีค.ศ. 1934 นอกจากน้ีแลว้เมื่อทรงวา่งจากพระราชภารกิจ พระองคโ์ปรดในการถ่ายภาพนิ่งและถ่าย ภาพยนตร์ทรงมีกลอ้งถ่ายภาพและภาพยนตร์จาํนวนมากที่ทรงสะสมไว้ สะท้อนให้เห็นพระ อุปนิสัยโปรดการถ่ายภาพและภาพยนตร์ภาพยนตร์ทรงถ่ายมีเน้ือหาท้งัที่เป็นสารคดีและที่ใหค้วาม บนัเทิง ในจาํนวนภาพยนตร์เหล่าน้ีเรื่องที่เป็นเกียรติประวตัิของวงการภาพยนตร์ไทยและแสดง พระราชอจัฉริยภาพดีเยยี่มในการสร้างโครงเรื่องกาํกบัภาพ ลาํดบัฉากและอาํนวยการแสดงคือ เรื่องแหวนวิเศษ นบัไดว้า่พระองคเ์ป็นหน่ึงในบุคคลที่บุกเบิกวงการภาพยนตร์ไทยอีกพระองคห์น่ึง นอกจากน้ีทรงสละพระราชทรัพยส์ ่วนพระองคสร้างโรงภาพยนตร์ ์ ศาลาเฉลิมกรุง ซึ่งนับเป็ นโรง ภาพยนตร์ทนัสมยัในสมยัน้นันบัเป็นโรงมหรสพแห่งแรกในเอเชียที่มีเครื่องปรับอากาศระบบไอ น้าํ ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ ในตน้รัชสมยัไดท้รงดาํเนินกิจการสาํคญัที่ทรงเกี่ยวขอ้งกบัต่างประเทศที่คา้งมาต้งัแต่รัช สมยัพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้เจา้อยหู่วัใหส้าํเร็จลุล่วงไป เช่น การใหส้ ัตยาบนัสนธิสัญญาต่าง ๆ นอกจากน้ียงัทรงทาํสัญญาใหม่ๆ กบั ประเทศเยอรมนีหลงัสถาปนาความสัมพนัธ์ข้นั ปกติเมื่อ พ.ศ. 2471 และทาํสนธิสัญญากบัฝรั่งเศสเกี่ยวกบัดินแดนในลุ่มแม่น้าํโขง เรียกวา่ สนธิสัญญาอินโด จีน พ.ศ. 2469โดยกาํหนดให้มีเขตปลอดทหาร 25 กิโลเมตร ท้งัสองฝั่งของแม่น้าํโขงแทนที่จะมี เฉพาะฝั่งสยามแต่เพียงฝ่ายเดียว พระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้เจา้อยหู่วัปฏิบตัิพระราชกรณียกิจนานปัการจึงมีการสร้างพระ บรมราชานุสรณ์หลายแห่งเพื่อเป็นการรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์เช่น วัน พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวคณะรัฐมนตรีไดก้าํหนดใหว้นัที่30 พฤษภาคมของทุกปี ซึ่ง เป็ นวันสวรรคตของพระองค์เป็ น “วนัพระบาทสมเด็จพระปกเกลา้เจา้อยหู่วั” เพื่อเป็ นการเฉลิมพระ เกียรติใหเ้ป็นที่ประจกัษแ์ละเป็นการนอ้มสาํนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองคท์ ี่มีต่อปวงชน ชาวไทยนานัปการ


122 วงัศุโขทัย วงัศุโขทยัต้งัอยมูุ่มถนนขาวและถนนสามเสน โดยสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพระพันปี หลวง โปรดเกลา้ฯ ใหส้ร้างข้ึนเพื่อพระราชทานเป็นของขวญั ในการ อภิเษกสมรสของ สมเด็จพระเจา้นอ้งยาเธอเจา้ฟ้าฯ กรมขุนศุโขไทยธรรมราชา (พระยศขณะน้นั ) กบัหม่อมเจา้หญิงรําไพพรรณีสวัสดิตน์ (พระยศขณะน้นั ) เมื่อปีพ.ศ. 2461 โดยได้รับพระราชทานนามวังจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎ เกลา้เจา้อยหู่วัวา่ “วังศุโขไทย” ถนนประชาธิปก ถนนประชาธิปกเป็นถนนที่เริ่มต้งัแต่สะพานพระพุทธยอดฟ้าถึงวงเวยีนใหญ่ เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร โดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดํารงราชานุภาพทรงต้งัชื่อถนนถวาย พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้เจา้อยหู่วัวา่ “ถนนพระปกเกล้า” หรือ “ถนนประชาธิปก” เพื่อเป็ นการ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปกเกลา้เจา้อยหู่วัที่ทรงสร้างสะพานพระพุทธยอดฟ้าและถนน เพื่อเชื่อมฝั่งพระนครกบัฝั่งธนบุรีโดยพระองคพ์ระราชทานนามถนนน้ีวา่ “ถนนประชาธิปก” สถาบันพระปกเกล้า สถาบนัพระปกเกลา้เป็นสถาบนัพฒันาประชาธิปไตยที่จดัต้งัข้ึนในวโรกาสครบรอบ 100 ปีวนัพระราชสมภพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกลา้เจา้อยูห่วั ผพู้ระราชทานรัฐธรรมนูญแก่ประชาชนชาวไทยโดยไดร้ับพระราชทานพระบรมราชานุญาตจาก พระบาทสมเด็จพระเจา้อยหู่วัภูมิพลอดุลยเดชให้เชิญพระนามของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เจา้อยหู่วัมาเป็นชื่อของสถาบนั มหาวทิยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เป็ นมหาวิทยาลัยเปิ ดโดยใช้ระบบการศึกษาทางไกล ซึ่ง พระบาทสมเด็จพระเจา้อยหู่วัภูมิพลอดุลยเดชทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ฯ พระราชทานชื่อ มหาวทิยาลยัตามพระนามเดิมของพระบาทสมเด็จพระปกเกลา้เจา้อยหู่วัเมื่อคร้ังทรงดาํรงพระ อิสริยยศที่ “กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา” นอกจากน้ียงัพระราชทานพระบรมราชานุญาตใหใ้ช้ พระราชลัญจกรในรัชกาลที่ 7 นาํมาประกอบกบัเจดียท์รงพุม่ขา้วบิณฑซ์ ่ึงเป็นสัญลกัษณ์ของกรุง สุโขทัยเป็ นตราประจํามหาวิทยาลัยด้วย โรงพยาบาลพระปกเกล้า โรงพยาบาลพระปกเกล้า เดิมชื่อโรงพยาบาลจันทบุรีคณะรัฐมนตรีมีมติให้เปลี่ยนชื่อเป็ น โรงพยาบาลพระปกเกลา้เพื่อนอ้มเกลา้ถวายเป็นพระบรมราชานุสรณ์แด่พระบาทสมเด็จ พระปกเกลา้เจา้อยหู่วัเมื่อวนัที่11 กนัยายน พ.ศ. 2496 นอกจากน้ียงัมีการสร้างพระบรมราชานุสาว รีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยหู่วัและตึกต่างๆ เช่น อาคารประชาธิปกอาคารประชาธิปก ศกัดิเดชน์ภายในโรงพยาบาลรวมท้งัมีการจดัต้งัโรงเรียนพยาบาลผดุงครรภแ์ละอนามยัข้ึนที่


123 โรงพยาบาลพระปกเกล้า ปัจจุบัน คือวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้าจันทบุรีและสมเด็จพระนางเจ้า รําไพพรรณีพระบรมราชินียงัไดพ้ระราชทานพระราชทรัพยจ์ดัต้งั “ทุนประชาธิปก” (ต่อมา เปลี่ยนเป็ น มูลนิธิประชาธิปก-รําไพพรรณี) เพื่อสนบัสนุนกิจการของโรงพยาบาลพระปกเกลา้, วิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี และมหาวิทยาลัยราชภัฏรําไพพรรณี พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เจา้อยหู่วัต้งัอยู่ณ อุทยานการศึกษารัชมังคลาภิเษก มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เจ้าอยู่หัว(รัฐสภา)พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้เจา้อยหู่วัต้งัอยหู่นา้ตึก รัฐสภา พระราชวังดุสิตกรุงเทพมหานคร มีขนาดหนึ่ง เท่าคร่ึงพระองคจ์ริง ทรงเครื่องพระบรมราชภูษิตา ภารณ์ฉลองพระองค์ครุยสวมพระชฎามหากฐินปักขน นกการเวกเสด็จประทบัเหนือพระที่นงั่พุดตาญจน สิงหาสน์ พระหตัถว์างเหนือพระเพลาท้งัสองขา้งออกแบบโดยนาวาเอกสมภพ ภิรมย์โดยจะมีพิธี ถวายบังคมพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้เจา้อยหู่วัในวนัที่10 ธันวาคม เป็ น ประจําทุกปี พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว(โรงพยาบาลพระปกเกล้า) พระบรมราชานุสาวรียพ์ระบาทสมเด็จพระปกเกลา้เจา้อยูห่วัต้งัอยหู่นา้อาคารประชาธิปก ศักดิเดชน์ โรงพยาบาลพระปกเกล้าจังหวัดจันทบุรีมีขนาด 2 เท่าของพระองคจ์ริง สูง 3.14 เมตร ฐานสูง 20 เซนติเมตรแท่นฐานสูง 2.60 เมตร โดยมีพันโทนภดล สุวรรณสมบัติ เป็ นประติมา กร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จพระราชดําเนินเป็ นองค์ประธานในการ เปิ ดพระบรมราชานุสาวรีย์เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2551 พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว(มหาวทิยาลัยสุโขทยัธรรมาธิราช) พระบรมราชานุสาวรียพ์ระบาทสมเด็จพระปกเกลา้เจา้อยูห่วัต้งัอยู่ณ อุทยานการศึกษา รัชมงัคลาภิเษก มหาวทิยาลยัสุโขทยัธรรมาธิราช พระบาทสมเด็จพระเจา้อยหู่วัภูมิพลอดุลยเดชทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารเสด็จพระราชดําเนิน แทนพระองค์ทรงเปิ ดเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2536 ในโอกาสครบ 100 ปี วันคล้ายวันพระบรม ราชสมภพ


124 พิพิธภัณฑ์ พิพิธภณัฑพ์ระบาทสมเด็จพระปกเกลา้เจา้อยหู่วั บริเวณสี่แยกผา่นฟ้า เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พิพิธภณัฑพ์ระบาทสมเด็จพระปกเกลา้เจา้อยหู่วั เป็ นพิพิธภัณฑ์ในความดูแลของสถาบัน พระปกเกล้า ต้งัที่อาคารกรมโยธาธิการเดิม บริเวณสี่แยกผา่นฟ้า เขตพระนครกรุงเทพมหานคร ซ่ึงสถาบนัพระปกเกลา้ไดบู้รณะเพื่อจดัทาํเป็น พิพิธภณัฑเ์พื่อรวบรวมขา้วของเครื่องใชส้ ่วนพระองคข์องพระบาทสมเด็จพระปกเกลา้เจา้อยหู่วั และสมเด็จพระนางเจา้รําไพพรรณีพระบรมราชินีจดัแสดงภาพถ่ายเอกสารและพระราชประวตัิ ของพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจา้อยูห่วัทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ฯ ใหส้มเด็จพระบรมโอรสาธิ ราชฯ สยามมกุฎราชกุมารเสด็จฯ แทนพระองค์ทรงเปิ ดพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เจา้อยหู่วัอยา่งเป็ นทางการเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2545 พิพิธภัณฑ์อาคารที่ประทับประชาธิปกศักดิเดชน์ พิพิธภณัฑอ์าคารที่ประทบั ประชาธิปกศกัดิเดชน์ต้งัอยใู่นกองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน เป็นอาคารที่พาํนกัของพระบาทสมเด็จพระปกเกลา้เจา้อยูห่วั ในสมยัที่พระองคท์รงรับราชการเป็น นายทหารเหล่าทหารปืนใหญ่(พ.ศ. 2458 ‟ พ.ศ. 2464) สร้างข้ึนเมื่อ พ.ศ. 2463 เป็นบา้นไมช้้นเดียว ั ใตถุ้นสูง หลงัคามุงดว้ยกระเบ้ืองลูกวา่วแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ดา้นหนา้จะมี3 ห้อง คือ ห้องทรงงาน หอ้งบรรทม และห้องพระกระยาหาร ส่วนดา้นหลงัเป็นห้องเตรียมพระกระยาหารและยงัมีชานโล่ง สาํหรับพกัผอ่นภายนอกอาคารน้ีไดร้ับการบูรณะเมื่อ พ.ศ. 2541 เพื่อจัดทําเป็ นพิพิธภณัฑเ์ผยแพร่ พระเกียรติคุณและนอ้มรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ พิพิธภัณฑ์สถานพระปกเกล้าร าไพพรรณี เฉลิมพระเกียรติ พิพิธภณัฑส์ถาน พระปกเกลา้รําไพพรรณีเฉลิมพระเกียรติต้งัอยทู่ ี่วทิยาลยัพยาบาลพระปกเกลา้ จนัทบุรีสร้างข้ึนเพื่อเป็นการนอ้มรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เจา้อยหู่วัและสมเด็จพระนางเจา้รําไพพรรณีพระบรมราชินีที่มีพระมหากรุณาธิคุณแก่ปวงชนชาว ไทยโดยเฉพาะอยา่งยงิ่แก่ชาวจงัหวดัจนัทบุรีและวทิยาลยัพยาบาลพระปกเกลา้จนัทบุรีสมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินทําพิธีเปิ ดแพรคลุมป้ายพิพิธภัณฑ์ ในวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2551


125 พระราชลัญจกร พระราชลัญจกรประจ าพระองค์เรียกวา่พระแสงศรเป็นรูปพระแสงศร 3 องค์วางอยบู่น ราวพาดที่เบ้ืองบนเป็นตรามหาจกัรีบรมราชวงศภ์ายใตพระมหาพิชัยมงกุฎ ้เบ้ืองซา้ยและเบ้ืองขวา ของราวพาดพระแสงศร ต้งับงัแทรกสอดแทรกดว้ยลายกระหนกอยบู่นพ้ืนตอนบนของดวงตราพระ ราชลญัจกรองคน์ ้ีออกแบบโดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ที่ ทรงนําพระบรมนามาภิไธยเดิมของพระบาทสมเด็จพระปกเกลา้เจา้อยหู่วั ไดแ้ก่ประชาธิปกศักดิ เดชน์ซ่ึงคาํวา่ เดชน์แปลวา่ลูกศร มาใชใ้นการออกแบบ ดงัน้นัพระราชลญัจกรประจาํพระองคจ์ึง เป็ นรูปพระแสงศร อันประกอบด้วย พระแสงศรพรหมาสตร์ พระแสงศรประลัยวาต และพระแสง ศรอัคนีวาต ซึ่งเป็ นพระแสงศรที่ใช้ในพระราชพิธีศรีสัจจปานกาล (พระราชพิธีถือ น้าํพระพิพฒัน์สัตยา) 17. พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันท มหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร (20 กนัยายน พ.ศ. 2468 ‟ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489) เป็ นพระโอรสใน สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรม ขุนสงขลานครินทร์(ภายหลังดํารงพระอิสริยยศเป็ น สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรม ราชชนก) และหม่อมสังวาลย์(ภายหลงัดาํรงพระยศ เป็ นสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี) มี พระเชษฐภคินีและพระอนุชาร่วมพระชนกชนนีอีก 2 พระองค์ไดแ้ก่สมเด็จพระเจา้พี่นางเธอเจา้ฟ้ากลัยาณิ วัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์และสมเด็จ


126 พระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช (ภายหลงัทรงข้ึนครองราชสมบตัิเป็นพระบาทสมเด็จพระ ปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช) พระองคเ์สด็จข้ึนทรงราชยเ์ป็นพระมหากษัตริย์ลําดับที่ 8 แห่ง ราชวงศ์จักรีเมื่อวันที่2 มีนาคม พ.ศ. 477ขณะที่มีพระชนมายุเพียง 8 พรรษาและประทบัอยทู่ ี่ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ดังน้นัจึงมีการแต่งต้งัคณะผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์เพื่อทําหน้าที่ บริหารราชการแผน่ดินจนกวา่พระองคจ์ะทรงบรรลุนิติภาวะ พระองคเ์สด็จนิวตัิพระนครคร้ังแรกภายหลงัทรงราชยเ์มื่อวนัที่15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481และคร้ังที่สองเมื่อวนัที่5 ธันวาคม พ.ศ. 2488ก่อนกาํหนดการเสด็จพระราชดาํเนินกลบัไป ทรงศึกษาต่อที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพียง 4 วัน พระองค์เสด็จสวรรคตด้วยทรงต้องพระแสงปื น เมื่อวันที่9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ณ ห้องพระบรรทม พระที่นงั่บรมพิมาน ภายใน พระบรมมหาราชวัง รวมระยะเวลาที่ทรงครองสิริราชสมบตัิท้งัสิ้น 12 ปี พระองค์ทรงมีพระราชกรณียกิจในด้านต่าง ๆ ดังเช่น ด้านการปกครอง พระองคท์รงเยยี่มชาวไทยเช้ือสายจีนเป็นคร้ังแรก ณ สําเพ็ง เพื่อแกไ้ข ปัญหาความขดัแยง้กนัระหวา่งชาวไทยและชาวไทยเช้ือสายจีนที่เกือบจะเกิดสงครามกลางเมือง ด้านศาสนา พระองค์ได้ประกอบพิธีทางปฏิญาณตนเป็ นพุทธมามกะ ณ วัดพระศรีรัตน ศาสดาราม เมื่อวันที่19 พฤศจิกายน พ.ศ.2481 ด้านการศึกษา พระองคไ์ดม้ีพระราชปรารภใหม้ีการผลิตแพทยเ์พิ่มมากข้ึน เพื่อให้เพียง พอที่จะช่วยเหลือประชาชน โรงเรียนแพทยแ์ห่งที่2 (แห่งแรกคือศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัย แพทยศาสตร์)จึงไดถ้ือกาํเนิดข้ึนที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ซึ่งในปัจจุบัน คือคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 18. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 † 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559) เป็ นพระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรีเสด็จสู่ พระราชสมบตัิต้งัแต่วนัที่9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 เป็ นพระมหากษัตริย์ ไทยผู้เสวยราชย์ยาวนานที่สุด พระองค์เป็ นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ และได้ทรง หยดุย้งัการกบฏ เช่น ในคราวปี2524และปี2528กระน้นัก็ไดท้รง แต่งต้งัหวัหนา้คณะยดึอาํนาจหลายคณะเช่น จอมพล สฤษด์ิธนะ รัชต์ในช่วงพุทธทศวรรษที่2500 กบัพลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน ในช่วง ปลายพุทธทศวรรษที่ 2540 และ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในปีพ.ศ. 2557 ตลอดรัชกาลของพระองค์เกิดรัฐประหารโดยกองทพั 14 คร้ัง ] รัฐธรรมนูญ 19 ฉบับและนายกรัฐมนตรี 29 คน


127 ประชาชนชาวไทยจํานวนมากเคารพพระองค์อนึ่ง ตามรัฐธรรมนูญ พระมหากษัตริย์ทรง อยใู่นฐานะอนัเป็นที่เคารพสักการะและผใู้ดจะละเมิดมิได้ส่วนประมวลกฎหมายอาญาวา่การดู หมิ่น หมิ่นประมาท หรืออาฆาตมาดร้ายพระมหากษตัริยเ์ป็นความผิดอาญา[8]คณะรัฐมนตรีหลาย ชุดที่ไดร้ับการเลือกต้งัมาก็ถูกคณะทหารลม้ลา้งไปดว้ยขอ้กล่าวหาวา่นกัการเมืองผใู้หญ่หมิ่นพระ บรมเดชานุภาพ กระน้นัพระองคเ์องไดต้รัสเมื่อปี2548 วา่สาธารณชนพึงวพิากษวิจารณ์พระองค์ ์ ได้[ พระองคท์รงเป็นที่สรรเสริญในประเทศไทยเกี่ยวกบัพระราชดาํริในเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียงโคฟี แอนนัน เลขาธิการสหประชาชาติได้ถวายรางวัลความสําเร็จสูงสุดด้านการพัฒนา มนุษยแ์ด่พระองค์กบัท้งัพระองคย์งัทรงเป็นเจา้ของสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์งานพระราชนิพนธ์และ งานดนตรีจํานวนหนึ่งด้วย ด้านสินทรัพย์ของพระองค์นิตยสารฟอบส์จัดอันดับให้พระองค์เป็ น พระมหากษัตริย์ผู้มีพระราชทรัพย์มากที่สุดในโลกต้งัแต่ปี2551 ถึง 2556 เมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 พระองค์มีพระราชทรัพย์ 30,000 ลา้นดอลล่าร์สหรัฐ(ดูหมายเหตุดา้นล่าง) สาํนกังานทรัพยส์ินส่วน พระมหากษตัริยน์ ้นั ใชส้ินทรัพยเ์พื่อสวสัดิการสาธารณะเช่น เพื่อพฒันาเยาวชน แต่ไดร้ับการ ยกเวน้มิตอ้งจ่ายภาษีและใหเ้ปิดเผยการเงินต่อพระมหากษตัริยแ์ต่พระองคเ์ดียวขณะที่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชก็ไดท้รงอุทิศพระราชทรัพยไ์ปในโครงการ พฒันาประเทศไทยหลายต่อหลายโครงการโดยเฉพาะในทางเกษตรกรรม สิ่งแวดลอ้ม สาธารณสุข การส่งเสริมอาชีพ ทรัพยากรน้าํสวสัดิการทางคมนาคม และสวัสดิการสาธารณะ นบัแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2557 พระองค์เสด็จแปรพระราชฐานไปประทับรักษาพระอาการ พระโรคไข้วัดและพระปัปผาสะอักเสบ ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราชตลอดมาแต่ พระอาการประชวรได้ทรุดลงตามลําดับ จนเสด็จสวรรคตเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 15:52 น. สิริพระชนมายุ88 ปี313 วัน พระราชกรณียกิจส าคัญที่มีต่อการสร้างสรรค์ชาติไทยมีดังนี้ นบัต้งัแต่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จข้ึนครองราชสมบตัิเป็น ประมุขแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 เป็ นต้นมา พระองค์ได้ทรงประกอบพระ ราชกรณียกิจในดา้นต่าง ๆ อนัเป็นประโยชน์แก่ชาวไทยตลอด 70 ปีโดยพระราชกรณียกิจที่สาํคญั ของพระองค์ คือ การเสด็จพระราชดาํเนินเยอืนประชาชนในทอ้งถิ่นต่าง ๆ ของประเทศ ดงัในปฐม พระบรมราชโองการในระหวา่งพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อวนัที่5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 วา่ "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชนชาวสยาม "ในปี พ.ศ. 2539 จากการที่ พระองคท์รงงานเพื่อประชาชนอยา่งหนก จึงได้มีการลงนามโดยประชาชนชาวไทยเพื่อถวาย ั สมัญญานามให้พระองค์ทรงเป็ น "มหาราช"


128 ด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในการจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติอนัเป็นคุณประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดลอ้ม มีหลากหลายมากมาย โดยส่วนใหญ่จะอยใู่นรูปของโครงการอนัเนื่องมาจากพระราชดาํริเป็นโครงการที่พระองค์ทรง วางแผนพฒันา ทรงเสนอแนะใหส้ ่วนราชการร่วมดาํเนินการตามพระราชดาํริโดยร่วมทรงงานกบั หน่วยงานของส่วนราชการ ซ่ึงมีท้งัฝ่ายพลเรือน ตาํรวจ ทหารและประชาชนชาวไทยทวั่ประเทศ โครงการอนัเนื่องมาจากพระราชดาํริที่อยใู่นความรับผดิชอบของ สาํนกังาน กปร. ต้งัแต่ ปี งบประมาณ2525-2540 มีจํานวน 1,955 โครงการแยกออกเป็นประเภทต่าง ๆ ได้8 ประเภท คือ การเกษตร สิ่งแวดลอ้ม สาธารณสุข ส่งเสริมอาชีพ พฒันาแหล่งน้าํคมนาคมสื่อสาร สวสัดิการ สังคม และอื่น ๆ 1. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชกับการจัดการทรัพยากรน ้า จากการเสด็จพระราชดาํเนินไปเยยี่มเยยีนพสกนิกรนบัต้งัแต่ทรงข้ึนครองราชย์ทาํให้ ทรงตระหนกัวา่ภยัแลง้และน้าํเพื่อการเกษตรและบริโภคอุปโภคเป็นปัญหาที่รุนแรงและสาํคญัที่สุด การจดัการทรัพยากรน้าํและการพฒันาแหล่งน้าํเพื่อการเพาะปลูกและบริโภคอุปโภค นบัวา่เป็นงาน ที่มีความสาํคญัและมีประโยชน์อยา่งยงิ่สาํหรับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศในการช่วยให้ เกษตรกรทาํการเพาะปลูกไดอ้ยา่งสมบูรณ์ตลอดปีในปัจจุบนัพ้ืนที่การเพาะปลูกส่วนใหญ่ทุกภาค ของประเทศเป็นพ้ืนที่เพาะปลูกนอกเขตชลประทาน ซ่ึงตอ้งอาศยัเพียงน้าํฝน และน้าํจากแหล่งน้าํ ธรรมชาติเป็นหลกัทาํใหพ้ ืชไดร้ับน้าํไม่สม่าํเสมอตามที่ตอ้งการเป็นผลใหผ้ลผลิตที่ไดร้ับไม่ดี เท่าที่ควร พระองค์ทรงใฝ่พระราชหฤทยัเกี่ยวกบัการจดัการพฒันาแหล่งน้าํเป็นอยา่งยงิ่มี พระราชดาํริวา่น้าํคือปัจจยัสาํคญัต่อมนุษยแ์ละบรรดาสิ่งมีชีวติอยา่งถ่องแท้ดงัพระราชดาํรัส ณ สวนจิตรลดา เมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ.2529 ความตอนหน่ึงวา่ "...หลกัสาํคญัวา่ตอ้งมีน้าํบริโภค น้าํ ใชน้ ้าํเพื่อการเพาะปลูกเพราะวา่ชีวติอยทู่ ี่นนั่ถา้มีน้าํคนอยไู่ด้ถา้ไม่มีน้าํคนอยไู่ม่ได้ไม่มีไฟฟ้าคน อยไู่ด้แต่ถา้มีไฟฟ้าไม่มีน้าํคนอยไู่ม่ได.้.." ในการจดัการทรัพยากรน้าํน้นัทรงมุ่งขจดัปัญหาความ แหง้แลง้อนัเนื่องมาจากสภาพของป่าไมต้น้น้าํเสื่อมโทรม ลกัษณะดินเป็นดินปนทราย หรือการขาด แหล่งน้าํจืด การจดัการทรัพยากรน้าํโดยการพฒันาแหล่งน้าํอนัเนื่องมาจากพระราชดาํริน้นัมีหลกั และวธิีการที่สาํคญัๆ คือการพฒันาแหล่งน้าํจะเป็นรูปแบบใด ตอ้งเหมาะสมกบัรายละเอียดสภาพ ภูมิประเทศแต่ละทอ้งที่เสมอและการพฒันาแหล่งน้าํตอ้งพิจารณาถึงความเหมาะสมในดา้น เศรษฐกิจและสังคมของทอ้งถิ่น หลีกเลี่ยงการเขา้ไปสร้างปัญหาความเดือดร้อนใหก้บัคนกลุ่มหน่ึง โดยสร้างประโยชน์ใหก้บัคนอีกกลุ่มหน่ึงไม่วา่ ประโยชน์ทางดา้นเศรษฐกิจเกี่ยวกบัการลงทุนน้นั จะมีความเหมาะสมเพียงใดก็ตาม ดว้ยเหตุน้ีการทาํงานโครงการพฒันาแหล่งน้าํทุกแห่งจึง พระราชทานพระราชดาํริไวว้า่ราษฎรในหมู่บา้น ซ่ึงไดร้ับประโยชน์จะตอ้งดาํเนินการแกไ้ขปัญหา เรื่องที่ดิน โดยจดัการช่วยเหลือผทู้ี่เสียประโยชน์ตามความเหมาะสมที่จะตกลงกนัเอง เพื่อใหท้าง


129 ราชการสามารถเขา้ไปใชท้ ี่ดินทาํการก่อสร้างได้โดยไม่ตอ้งจดัซ้ือที่ดิน ซ่ึงเป็นพระบรมราโชบายที่ มุ่งหวงัใหร้าษฎรมีส่วนร่วมกบัรัฐบาลและช่วยเหลือเก้ือกูลกนัภายในสังคมของตนเอง และมีความ หวงแหน ที่จะตอ้งดูแลบาํรุงรักษาสิ่งก่อสร้างน้นัต่อไปดว้ย 2. พระบาทสมเด็จพระะปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชกับการจัดการทรัพยากรป่ าไม้ ป่าไมเ้ป็นทรัพยากรธรรมชาติที่เอ้ืออาํนวยประโยชน์ท้งัทางตรงและทางออ้มใหแ้ก่ มวลมนุษยชาติช่วยควบคุมใหส้ภาพดินฟ้าอากาศอยใู่นสภาพปกติรักษาตน้น้าํลาํธาร พนัธุ์ พฤกษชาติและสัตวป์่าอีกท้งัยงัเป็นที่พกัผอ่นหยอ่นใจ ป่าไมเ้ป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่มนุษย์ ไดบ้ริโภคใชส้อยไดป้ระกอบอาชีพดา้นการทาํไม้เก็บของป่าการอุตสาหกรรมไมแ้ปรรูปและ ผลิตภัณฑ์สําเร็จรูปที่ใชว้ตัถุดิบจากไม้และของป่าแต่สภาพปัจจุบนัมีแรงผลกัดนั ใหเ้กิดการบุกรุก ทาํลายป่าไม้เพื่อบุกเบิกพ้ืนที่ทาํการเกษตรลกัลอบตดัไมป้ ้อนโรงงานอุตสาหกรรม และเผา่ถ่าน นอกจากน้ีการเร่งการดาํเนินงานบางโครงการเช่น การก่อสร้างถนน สร้างเขื่อน ฯลฯ ทาํใหม้ีการ ตัดไม้โดยไม่คาํนึงถึงการอนุรักษท์รัพยากรป่าไม้ป่าไมจ้ึงมีเน้ือที่ลดลงตามลาํดบัและบางแห่งอยู่ ในสภาพเสื่อมโทรมอยา่งมาก พระองค์ทรงมุ่งเนน้การอนุรักษแ์ละฟ้ืนฟูป่าไมเ้ป็นแนวทางหลกัในการจดัการ ทรัพยากรป่ าไม้ ด้วยทรงตระหนักถึงความสําคัญของป่ าไม้ โดยเฉพาะอยา่งยงิ่ปัญหาภยัแลง้น้าํ ท่วมฉบัพลนัและการพงัทลายของดินอยา่งรุนแรงจึงมีพระราชหฤทยัมุ่งมนั่ที่จะแกไ้ข ปรับปรุง และพฒันาป่าใหอ้ยใู่นสภาพสมบูรณ์ดงัเดิม พระองค์ทรงเล็งเห็นวา่การจดัการทรัพยากรป่าไม้มีความเกี่ยวโยงกบัการอนุรักษ์ ทรัพยากรแหล่งน้าํจึงทรงเนน้การอนุรักษแ์ละพฒันาป่าตน้น้าํเป็นพิเศษ จากแนวพระราชดาํริของ พระองคก์ ่อให้เกิดโครงการพฒันาและบาํรุงป่าไมจ้าํนวนมากมายทวั่ประเทศโดยเฉพาะป่าไมท้ี่ เป็นตน้น้าํลาํธารใหค้งสภาพอยเู่ดิม เพื่อป้องกนัอุทกภยัต่าง ๆ ที่จะเกิดข้ึน ในขณะเดียวกนัก็ถนอม น้าํไวใ้ชส้าํหรับหล่อเล้ียงแม่น้าํลาํธารดว้ย พระราชกรณียกจิทสี่ าคัญทเี่กยี่วกบัการจัดการทรัพยากรป่าไม้ในด้านการอนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพ ป่ าที่เสื่อมโทรม มีตัวอย่าง คือ 1. ศูนยศ์ึกษาการพฒันาหว้ยฮ่องไคร้อนัเนื่องมาจากพระราชดาํริอาํเภอดอยสะเก็ด จงัหวดัเชียงใหม่เพื่อศึกษาคน้ควา้เกี่ยวกบัรูปแบบที่เหมาะสมของการพฒันาพ้ืนที่ตน้น้าํลาํธาร เพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจรวมท้งัรูปแบบการพฒันาต่าง ๆ ที่ทาํใหเ้กษตรกรพ่ึงตนเองได้โดยไม่ ต้องทําลายสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ 2. โครงการพฒันาพ้ืนที่หว้ยลานอนัเนื่องมาจากพระราชดาํริอาํเภอสันกาํแพงจงัหวดั เชียงใหม่เพื่อบาํรุงฟ้ืนฟูป่าไมท้ี่เป็นตน้น้าํลาํธารใหค้งสภาพอยเู่ดิม อนัจะเป็นประโยชน์ในการ ป้องกนัอุทกภยัและรักษาสภาพแหล่งตน้น้าํลาํธาร 3. ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดําริ จังหวัดเพชรบุรี ได้


130 ประสบผลสาํเร็จอยา่งสูงในดา้นการลดปัญหาการบุกรุกทาํลายป่าการป้องกนัไฟป่าและการจดัการ ทรัพยากรธรรมชาติดว้ยการแสวงหาแนวทางและวธิีการพฒันาแหล่งน้าํเพื่อการปลูกป่าที่เรียบง่าย ประหยดัเหมาะสมกบัราษฎรที่สามารถนาํไปปฏิบตัิได้ด้วยตนเอง โดยการปลูกป่ าทดแทนให้ได้ ประโยชน์อเนกประสงค์ 4. โครงการป่าสาธิตส่วนพระองคพระตําหนักสวนจิตรลดา เพื่ออนุรักษ์ รวบรวมและ ์ ขยายพนัธุ์พฤกษชาติรวมท้งัพืชสมุนไพรเพื่อรักษาความหลากหลายทางชีวภาพของทรัพยากรป่าไม้ 5. โครงการชุมชนพัฒนาป่ าชายเลน ตําบลหัวเขา อําเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา มี วัตถุประสงค์ที่จะทําการพัฒนาชุมชนให้มีความสํานึกในความรู้ความเข้าใจในการใช้ทรัพยากร ชายฝั่ง เป็นการพฒันาและฟ้ืนฟูป่าชายเลนในอีกมิติหน่ึงของการจดัการทรัพยากรธรรมชาติที่อาศยั ความเกี่ยวพนัและเก้ือกูลซ่ึงกนัและกนัของมนุษยก์บัธรรมชาติ 6. โครงการศูนยศ์ึกษาธรรมชาติป่าชายเลนยะหริ่งอาํเภอยะหริ่งจงัหวดั ปัตตานีมี เป้าหมายมุ่งเนน้ ใหเ้กิดประสิทธิภาพในดา้นการจดัการและสงวนรักษาทรัพยากรป่าชายเลน มี เจตนารมณ์ที่จะให้ทุกฝ่ ายมีความรู้ ความเข้าใจของสมดุลระบบนิเวศชายฝั่งและสร้างความร่วมมือ รวมพลงักนัระหวา่งชุมชนและนกัวชิาการที่จะปกปักรักษาและพฒันาป่าชายเลนใหส้ามารถใช้ ประโยชน์อยา่งยงั่ยนื 7. ศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติป่ าพรุสิรินธรอําเภอสุไหงโก-ลก จังหวัด นราธิวาส มี วัตถุประสงค์เพื่อทําการศึกษาคน้ควา้เกี่ยวกบัธรรมชาติและสภาพแวดลอ้มของป่าพรุอนัจะทาํให้ การพฒันาพ้ืนที่พรุเป็นไปอยา่งสอดคลอ้งผสมผสานกนัท้งัในเรื่องการอนุรักษ์และการพฒันาพ้ืนที่ เขตต่าง ๆ ในป่าพรุไดด้าํเนินการไปพร้อมกนัอยา่งไดผ้ลดียงิ่ทาํใหป้่าพรุไดร้ับการใชป้ระโยชน์ อยา่งอเนกประสงค์ควบคู่กบัการสร้างสมดุลของระบบนิเวศ 3. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชกับการจัดการทรัพยากรที่ดิน ในช่วงระยะเวลา 20 ปีที่ผา่นมาการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรและรายไดข้องประเทศ มาจากการขยายพ้ืนที่การเพาะปลูก มากกวา่การเพิ่มผลผลิตต่อหน่วยพ้ืนที่จนถึงขณะน้ีประมาณได้ วา่พ้ืนที่ที่เหมาะสมต่อการเกษตรกรรมไดใ้ชไ้ปจนเกือบหมด และเกษตรกรพยายามหาพ้ืนที่ใหม่ ดว้ยการอพยพโยกยา้ยกระจดักระจายเขา้ไปอยใู่นเขตป่าสงวนแห่งชาติพ้ืนที่ป่าไมถู้กทาํลายเพิ่ม จาํนวนมากข้ึน เพราะมีการใชท้ ี่ดินกนัอยา่งขาดความระมดัระวงัและไม่มีการบาํรุงรักษา ซ่ึงทาํให้ คุณภาพของดินเสื่อมโทรมท้งัดา้นเคมีและกายภาพ ปัญหาเหล่าน้ีหากไม่ไดร้ับการแกไ้ขยอ่มส่งผลกระทบต่อการพฒันาประเทศเป็นอยา่งมาก พระ ปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีแนวพระราชดาํริเพื่อแกไ้ขปัญหาในเรื่องของทรัพยากรที่ดิน ท้งัใน แง่ของปัญหาดินที่เสื่อมโทรม ขาดคุณภาพ และการขาดแคลนที่ดินทาํกินสาํหรับเกษตรกรแนว พระราชดาํริและพระราชกรณียกิจเกี่ยวกบัการจดัการทรัพยากรที่ดินสามารถแบ่งไดเ้ป็น 3 ด้านหลัก ไดแ้ก่


131 1. การจัดและพัฒนาที่ดิน ปัญหาการขาดแคลนที่ดินทาํกินของเกษตรกรเป็นปัญหาสาํคญัยงิ่ในช่วง 4 ทศวรรษที่ ผา่นมา งานจดัและพฒันาที่ดินเป็นงานแรก ๆ ที่พระองค์ทรงใหค้วามสาํคญัทรงเริ่มโครงการ พัฒนาที่ดินหุบกะพง ตามพระราชประสงค์ เมื่อปี พ.ศ.2511 โดยมุ่งแกไ้ขปัญหาการไม่มีที่ดินทาํกิน ของเกษตรกรเป็นสาํคญัดงัพระราชดาํรัสที่วา่ "…มีความเดือดร้อนอยา่งยงิ่วา่ ประชาชนในเมืองไทยจะไร้ที่ดิน และถา้ไร้ที่ดินแลว้ก็จะทาํงานเป็น ทาสเขา ซ่ึงเราไม่ปรารถนาที่จะใหป้ระชาชนเป็นทาสคนอื่น แต่ถา้เราสามารถที่จะขจดัปัญหาน้ี โดยเอาที่ดินจาํแนกจดัสรรอยา่งยตุิธรรม อยา่งมีการจดัต้งัจะเรียกวา่นิคมหรือจะเรียกวา่หมู่หรือ กลุ่ม หรือสหกรณ์ก็ตาม ก็จะทาํใหค้นที่มีชีวติแร้นแคน้ สามารถที่จะพฒันาตวัเองข้ึนมา ได้…"(สํานักงาน กปร., 2531: 94-5) พระราชดาํริแนวทางหน่ึงในการแกไ้ขปัญหาน้ีไดแ้ก่ทรง นําเอาวิธีการปฏิรูปที่ดินมาใช้ในการจัดและพัฒนาที่ดินที่เป็ นป่าเสื่อมโทรม ทิ้งร้างวา่งเปล่า นาํมา จดัสรรใหเ้กษตรกรที่ไร้ที่ทาํกิน ไดป้ระกอบอาชีพ ในรูปของหมู่บา้นสหกรณ์และโครงการจดัและ พฒันาที่ดินในรูปแบบอื่น ๆ ท้งัน้ีโดยใหส้ิทธิทาํกินชวั่ลูกชวั่หลาน แต่ไม่ใหก้รรมสิทธ์ิในการถือ ครอง พร้อมกบัจดับริการพ้ืนฐาน ใหต้ามความเหมาะสม นอกจากน้ียงัมีการจดัพ้ืนที่ทาํกินให้ ราษฎรชาวไทยภูเขา สามารถดาํรงชีพอยไู่ดเ้ป็นหลกัแหล่ง โดยไม่ตอ้งทาํลายป่าอีกต่อไป ในการจดั พ้ืนที่ต่าง ๆ ดงักล่าวน้ีพระบาทสมเด็จพระเจา้อยหู่วัทรงมีหลกัการวา่ตอ้งมีการวางแผนการจดัการ ใหด้ีเสียต้งัแต่ตน้ โดยใชแ้ผนที่และภาพถ่ายทางอากาศช่วยในการวางแผน ไม่ควรทาํแผนผงัที่ทาํ กินเป็นลกัษณะตารางสี่เหลี่ยมเสมอไป โดยไม่คาํนึงถึงสภาพภูมิประเทศแต่ควรจดัสรรพ้ืนที่ทาํกิน แนวพ้ืนที่รับน้าํจากโครงการชลประทาน นนั่คือจะตอ้งดาํเนินโครงการเกี่ยวกบัการพฒันาที่ดินเพื่อ การเกษตรควบคู่ไปกบัการพฒันาแหล่งน้าํเช่น โครงการนิคมสหกรณ์หุบกะพง (ในพระบรม ราชูปถมัภ)์อาํเภอชะอาํจงัหวดัเพชรบุรีโครงการจดัพฒันาที่ดินทุ่งลุยลายอนัเนื่องมาจาก พระราชดําริ อําเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ และโครงการจัดพัฒนาที่ดินตามพระราชประสงค์ "หนองพลับ" อําเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โครงการอนัเนื่องมาจากพระราชดาํริเหล่าน้ีมีวตัถุประสงคท์ ี่สาํคญัคือ(ก) เพื่อนาํ ทรัพยากรธรรมชาติออกมาใชใ้นดา้นการผลิตใหเ้กิดประสิทธิภาพสูงสุด (ข) เพื่อส่งเสริมใหร้าษฎร มีที่ดินสาํหรับประกอบอาชีพและอยอู่าศยั (ค) เพื่อส่งเสริมใหร้าษฎรรู้จกัพ่ึงตนเองและช่วยเหลือ ส่วนรวม ท้งัทางเศรษฐกิจและสังคม ท้งัน้ีบางโครงการมีวตัถุประสงคเ์ฉพาะกิจในการช่วยบรรเทา ความเดือดร้อนในเรื่องที่ทาํกินของราษฎรที่ถูกอพยพออกจากพ้ืนที่ 2. การพฒันาและอนุรักษ์ดิน หลงัจากงานจดัสรรที่ดินทาํกินในระยะแรกแลว้ แนวพระราชดําริในการจัดการ ทรัพยากรดินของพระพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ไดข้ยายขอบเขตไปสู่เรื่อง การพัฒนาและอนุรักษ์ดินเพื่อการเกษตรกรรม เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตทางการเกษตร


132 ใหสู้งข้ึนหรือรักษาไวไ้ม่ให้ตกต่าํเช่น การวจิยัและการวางแผนการใชท้ ี่ดินเพื่อให้มีการใช้ ประโยชน์ที่ดินอยา่งมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกบัลกัษณะสภาพดิน การศึกษาเพื่ออนุรักษ์ บาํรุงรักษาและฟ้ืนฟูดิน วธิีส่วนใหญ่เป็นวธีิการตามธรรมชาติที่พยายามสร้างความสมดุลของ ระบบนิเวศและสภาพแวดลอ้มใหเ้กิดข้ึน เช่น ใหม้ีการปลูกไมใ้ชส้อยร่วมกบัการปลูกพืชไร่เพื่อ ประโยชน์ใหไ้ดร้่มเงาและรักษาความชุ่มช้ืน หรือการปลูกพืชบางชนิดในพ้ืนที่ซ่ึงดินไม่ดีแต่พืช ชนิดน้นั ใหป้ระโยชน์ในการบาํรุงดินให้อุดมสมบูรณ์ข้ึนโดยไม่ตอ้งลงทุนใชปุ้๋ยเคมีพ้ืนที่บางแห่ง ไม่เหมาะสมสาํหรับการปลูกพืชผล ทรงแนะนาํใหใ้ชป้ระโยชน์ดา้นอื่น เช่น ฟ้ืนฟูเป็นทุ่งหญา้เล้ียง สัตว์ เป็ นต้น ในระยะต่อมาพระองค์ทรงใหค้วามสาํคญัมากข้ึนในงานอนุรักษแ์ละฟ้ืนฟูที่ดินที่มี สภาพธรรมชาติและปัญหาที่แตกต่างกนัออกไปในแต่ละภูมิภาคจึงมีพระราชดาํริในการแกไ้ข ปัญหาที่ดินที่เนน้เฉพาะเรื่องมากข้ึน เช่น การศึกษาวจิยัเพื่อแกไ้ขปัญหาดินเคม็ดินเปร้ียว ดินทราย ในภาคกลางและภาคตะวนัออกเฉียงเหนือ ปัญหาดินพรุในภาคใต้และที่ดินชายฝั่งทะเลรวมถึง งานในการแกไ้ขปรับปรุงและฟ้ืนฟูดินที่เสื่อมโทรมพงัทลายจากการชะลา้งหนา้ดิน ตลอดจนการ ทําแปลงสาธิตการพัฒนาที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมในบางพ้ืนที่ที่มีปัญหาในเรื่องดินเสื่อมโทรมดว้ย สาเหตุต่าง ๆ ท้งัน้ีเพื่อใหพ้ ้ืนที่ที่มีปัญหาเรื่องดินท้งัหลาย สามารถใชป้ระโยชน์ทางการเกษตรได้ อีกโครงการต่าง ๆ ในระยะหลงัจึงเป็นการรวบรวมความรู้ท้งัทางทฤษฎีและปฏิบตัิจากหลากหลาย สาขามาใชร้่วมกนั ในการจดัการทรัพยากรธรรมชาติและที่ปรากฏใหเ้ห็นไดอ้ยา่งชดัเจนก็คือ แนวคิดและตวัอยา่งการจดัการทรัพยากรดินในศูนยศ์ึกษาการพฒันาทุกแห่ง พระราชดาํริและพระ ราชกรณียกิจในการดาํเนินงานดา้นการพฒันาและอนุรักษด์ินที่สาํคญัสามารถแบ่งไดเ้ป็น 3 ส่วน คือ ก) แบบจําลองการพฒันาพ้ืนที่ที่มีสภาพขาดความอุดมสมบูรณ์การจดัการทรัพยากร ดินโดยการอนุรักษ์บํารุงรักษาดินที่มีสภาพขาดความอุดมสมบูรณ์ ดินปนทราย และมีปัญหาการชะ ลา้งพงัทลายของดินมีแบบจาํลองอยทู่ ี่ศูนยศ์ึกษาการพฒันาเขาหินซอ้น อนัเนื่องมาจากพระราชดาํริ จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจา้อยหู่วัไดพ้ระราชทานพระราชดาํริใหจ้ดัต้งัข้ึนเพื่อ ทาํการศึกษาคน้ควา้เกี่ยวกบัการสร้างระบบอนุรักษด์ินและน้าํเป็นตวัอยา่งในการป้องกนัการชะ ล้างพังทลายของดิน การขยายพันธุ์พืช เพื่ออนุรักษ์ดินและบํารุงดิน และสนับสนุนให้เกษตรกร เรียนรู้เข้าใจวิธีการอนุรักษด์ินและน้าํการปรับปรุงบาํรุงดิน และสามารถนาํไปปฏิบตัิไดเ้อง โดย ทรงมีพระราชดาํริวา่"…การปรับปรุงที่ดินน้นัตอ้งอนุรักษผ์วิดิน ซ่ึงมีความสมบูรณ์ไวไ้ม่ใหไ้ถ หรือลอกหนา้ดินทิ้งไป สงวนไมย้นืตน้ที่ยงัเหลืออยู่เพื่อที่จะรักษาความชุ่มชื่นของผืนดิน..." ( สํานักงาน กปร., 2542) ข)การแกไ้ขปัญหาดินเปร้ียวดว้ยวธิี"การแกลง้ดิน" พระองค์ทรงรับทราบความ เดือดร้อนของพสกนิกรในภาคใตโ้ดยเฉพาะอยา่งยงิ่เกษตรกรในจงัหวดันราธิวาส ที่ประสบปัญหา


133 ดินเปร้ียวทาํใหเ้พาะปลูกไม่ไดผ้ล พระองคจ์ึงทรงมีพระราชดาํริใหท้าํการศึกษาวิจยัและพัฒนาดิน พรุเพื่อแกไ้ขปัญหาดินเปร้ียว ณ ศูนยศ์ึกษาการพฒันาพิกุลทองจงัหวดันราธิวาส โดยมี วตัถุประสงคห์ลกัในการศึกษาและพฒันาพ้ืนที่พรุซ่ึงเป็นดินเปร้ียวใหเ้ป็นดินที่มีคุณภาพ สามารถ ทาํการเพาะปลูกได้พระองคท์รงแนะนาํใหใ้ชว้ธิี"การแกลง้ดิน"คือเริ่มจากการแกลง้ดินใหเ้ปร้ียว สุดขีด ดว้ยการทาํใหด้ินแหง้และเปียกสลบักนัเพื่อเร่งปฏิกิริยาทางเคมีของดินพรุที่มีสารประกอบ ของกาํมะถนัที่จะทาํใหด้ินมีสภาพเป็นกรดจดัเมื่อดินแหง้จากน้นัก็จึงทาํการปรับปรุงดินที่เป็นกรด จดัน้นัดว้ยวธิีการต่าง ๆ ที่จะลดความเป็นกรดลงมาใหอ้ยูใ่นระดบัที่จะปลูกพืชเศรษฐกิจเช่น ขา้ว ได้ ค) "หญา้แฝก"กบัการอนุรักษด์ินและฟ้ืนฟูพ้ืนที่เสื่อมสภาพ พ้ืนที่ดินในประเทศไทยที่ ต้งัอยใู่นบริเวณที่มีความลาดชนัเช่นพ้ืนที่เชิงเขาอยใู่นสภาพเสื่อมโทรมเนื่องมาจากการชะลา้ง พังทลายของดิน ทาํใหเ้กิดการสูญเสียธาตุอาหารในดินและความอุดมสมบูรณ์ของดิน พระองค์มี พระราชดาํริในการที่จะป้องกนัการเสื่อมโทรมและการพงัทลายของดินโดยใชว้ถิีธรรมชาติคือการ ใช้หญ้าแฝก เมื่อวันที่22 มิถุนายน พ.ศ.2534 ไดพ้ระราชทานพระราชดาํริเกี่ยวกบัหญา้แฝกเป็นคร้ัง แรกกบัดร.สุเมธ ตนัติเวชกุลเลขาธิการสาํนกังาน กปร. ในขณะน้นัวา่ ใหท้าํการศึกษาทดลองปลูก หญา้แฝกเพื่อป้องกนัการชะลา้งพงัทลายของดิน และอนุรักษ์ความชุ่มช้ืนไวใ้นดิน เพราะข้นัตอน การดาํเนินงานเป็นวธิีการแบบง่าย ๆ ประหยดัและที่สาํคญัคือเกษตรกรสามารถดาํเนินการเองได้ โดยไม่ตอ้งใหก้ารดูแลภายหลงัการปลูกมากนกัและไดพ้ระราชทานพระราชดาํริอีกหลายคร้ัง เกี่ยวกบัการนาํหญา้แฝกมาใชป้ระโยชน์ในลกัษณะต่าง ๆ การดาํเนินโครงการต่าง ๆ ดงักล่าวน้ีทรง เนน้อยเู่สมอวา่กระบวนการพฒันาที่ดินท้งัหมดน้ีจะตอ้งช้ีแจงใหร้าษฎร ซ่ึงเป็นผไู้ดร้ับประโยชน์ มีส่วนร่วมและลงมือลงแรงดว้ย(สาํนกังาน กปร., 2542) ตวัอยา่งของการจดัการทรัพยากรดินดว้ยการอนุรักษด์ินและฟ้ืนฟูพ้ืนที่เสื่อมสภาพ โดยการป้องกนัการเสื่อมโทรมและการชะลา้งพงัทลายของดินดว้ยการปลูก"หญา้แฝก" พืชจาก พระราชดําริที่ทําหน้าที่เป็นกาํแพงที่มีชีวติในการอนุรักษแ์ละคืนธรรมชาติสู่แผน่ดิน ไดแ้ก่ โครงการฟ้ืนฟูดินเสื่อมโทรมเขาชะงุม้จงัหวดัราชบุรีซ่ึงเป็นส่วนหน่ึงของศูนยศ์ึกษาการพฒันา หว้ยทรายจงัหวดัเพชรบุรีและไดม้ีการนาํมรรควธิีน้ีไปศึกษาวจิยัและนาํไปสาธิตในทอ้งที่ต่าง ๆ ที่มีศูนย์ศึกษาการพฒันาฯ ต้งัอยู่รวมท้งัโครงการอนัเนื่องมาจากพระราชดาํริอื่น ๆ เช่น โครงการ พฒันาหญา้แฝกในโครงการพฒันาดอยตุง เพื่อใหเ้กษตรกรไดร้ับทราบและนาํไปปฏิบตัิใหบ้งัเกิด ผลดีแก่ตวัเกษตรกรเองและสังคมโดยรวม 3. การด าเนินการเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดิน "ป่ าเตรียมสงวน" ทรงมีพระราชดาํริวา่ ปัญหาการบุกรุกเขา้ไปครอบครองที่ดินของรัฐโดยราษฎรที่ไม่มี ที่ดินทาํกินเป็นหลกัแหล่งจะทวคีวามรุนแรงข้ึน จึงทรงพระราชทานแนวทางการจดัการทรัพยากร


134 ที่ดินและป่าไม้สาํหรับที่ดินป่าสงวนที่เสื่อมโทรมและราษฎรไดเ้ขา้ไปทาํกินอยแู่ลว้น้น ัรัฐน่าจะ ดาํเนินการตามความเหมาะสมของสภาพพ้ืนที่น้นัๆ เพื่อใหก้รรมสิทธ์ิแก่ราษฎรในการทาํกินได้ อยา่งถูกตอ้งตามกฎหมายแต่มิไดเ้ป็นการออกโฉนดที่จะสามารถนาํไปซ้ือขายได้เพียงแต่ควรออก ใบหนงัสือรับรองสิทธิทาํกิน (สทก.)แบบสามารถเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทใหส้ามารถทาํกินได้ ตลอดไป และดว้ยวธิีการน้ีจะช่วยใหร้าษฎรมีกรรมสิทธ์ิที่ดินเป็นของตนเองและครอบครัวโดยไม่ อาจนาํที่ดินน้นั ไปขายและจะไม่ไปบุกรุกพ้ืนที่ป่าสงวนอื่น ๆ อีกต่อไป (สาํนกังาน กปร., 2531: 96) พระองคท์รงมีพระราชดาํริเพิ่มเติมวา่ควรมีการประกาศเกี่ยวกบั ป่าสงวน ในกรณีที่ สภาพป่ายงัไม่เสื่อมโทรมมากนกั โดยเจา้หนา้ที่ควรวางมาตรการป้องกนัมิใหม้ีการทาํลายป่าและ ควรช้ีแจงใหป้ระชาชนทราบถึงความสาํคญัของการมีป่า ท้งัน้ีการที่ใหเ้รียกวา่"ป่าเตรียมสงวน" น้นัก็เพื่อป้องกนัมิใหม้ีผบูุ้กรุกเขา้มาจบัจองที่ดินในป่าแต่หากเรียกวา่"ป่าสงวน"แลว้ผทู้ี่อาศยัอยู่ ในป่ามาเป็นเวลานานแลว้จะถูกกล่าวหาวา่บุกรุกป่าสงวนและถูกไล่ที่ซ่ึงจะเป็นปัญหาต่อทาง ราชการมากข้ึน (สุพตัรา, 2540: 126) โดยในส่วนของราษฎรที่อาศยัอยใู่นป่ามาเป็นเวลานานแลว้ก็ใหด้าํเนินการใหไ้ดร้ับ เอกสารสิทธ์ิที่เรียกวา่สทก. เช่นเดียวกนัแนวทางน้ีจะทาํใหไ้ดป้ระโยชน์ทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกนัจะช่วยลดความขดัแยง้ในการใชท้รัพยากรและปัญหาทางสังคม ซ่ึงถือไดว้า่เป็นแนว ทางการจัดการทรัพยากรที่ดิน ป่าไม้และน้าํ ไปพร้อมกนัอยา่งชาญฉลาด จากแนวพระราชดาํริในการจดัการทรัพยากรที่ดินดงัไดก้ล่าวท้งั 3 ส่วน จึงไดม้ีการ ดาํเนินงานในหลาย ๆ ทอ้งที่กระจายอยทู่วั่ประเทศโดยเฉพาะโครงการอนัเนื่องมาจากพระราชดาํริ น้นัแทบทุกโครงการมกัจะมีเรื่องการพัฒนาจัดสรรปรับปรุงบํารุงดิน และการใช้ประโยชน์ที่ดินให้ เหมาะสมแทรกอยดู่ว้ยเสมอเป็นผลใหเ้กษตรกรทวั่ ไปมีความรู้ความสามารถในดา้นการจดัการและ พฒันาทรัพยากรที่ดินดว้ยการปรับปรุงบาํรุงดินและอนุรักษด์ินและน้าํจนทาํใหพ้ ้ืนที่ในหลาย ๆ แห่งเกิดความชุ่มช้ืนและอุดมสมบูรณ์ทาํใหก้ารผลิตทางการเกษตรมีประสิทธิภาพสูงข้ึน อนั หมายถึงรายไดแ้ละมาตรฐานความเป็นอยขู่องเกษตรกรเหล่าน้ียอ่มดีข้ึนดว้ย(สาํนกังาน กปร., 2531: 96) 4. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชกับการจัดการทรัพยากรประมง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงตระหนกัดีวา่ ประชาชนในชนบท ยงัขาดสารอาหารโปรตีนซ่ึงจาํเป็นต่อการเจริญเติบโตของร่างกายและสัตวน์ ้าํจาํพวกปลาน้าํจืดเป็น แหล่งอาหารราคาถูกที่ใหส้ารอาหารโปรตีน ประกอบกบัสามารถหาไดใ้นทอ้งถิ่นชนบททวั่ ประเทศ จึงทาํใหป้ลาเป็นอาหารที่สาํคญัและเป็นอาหารหลกัของราษฎรในชนบท แต่การที่จาํนวน ประชากรเพิ่มข้ึนอยา่งรวดเร็วประกอบกบัแหล่งน้าํธรรมชาติมีความเสื่อมโทรม ทาํให้ปริมาณการ ผลิตปลาจากแหล่งน้าํเหล่าน้ีไม่เพียงพอกบัความตอ้งการโดยเฉพาะสาํหรับประชาชนที่ยากจนใน ชนบท แนวพระราชดําริและพระราชกรณียกิจในดา้นการจดัการทรัพยากรประมง มีดงัต่อไปน้ี


135 1. โครงการส่วนพระองคส์วนจิตรลดา มีบ่อเพาะเล้ียงปลานิลและมีพนัธุ์ปลา พระราชทาน มีบ่อเพาะพนัธุ์จาํนวน 6 บ่อ สามารถผลิตลูกปลานิลพระราชทานในปีพ.ศ.2538 จํานวน 42,485 ตัว (สํานักพระราชวัง, 2539:25) พระองค์ไดพ้ระราชทานพนัธุ์ปลาไปทวั่ประเทศ บ่อยคร้ังที่ทรงปล่อยปลาลงตามแหล่งน้าํต่าง ๆ ดว้ยพระองคเ์องเพื่อใหม้ีทรัพยากรสัตวน์ ้าํเพิ่มมาก ข้ึน 2. งานศึกษาวจิยัดา้นการจดัการทรัพยากรประมงน้าํจืด พระองค์ทรงโปรดใหม้ีกิจกรรม การทดลองค้นคว้าวจิยัทางดา้นการประมง ณ ศูนยศ์ึกษาการพฒันาอนัเนื่องมาจากพระราชดาํริท้งั 6 แห่งโดยทรงเนน้ ใหท้าํการศึกษาการพฒันาดา้นการประมง ซ่ึงมิใช่การศึกษาวจิยัทางดา้นวชิาการ ช้นัสูงแต่ตอ้งศึกษาในดา้นวิชาการที่จะนาํผลมาใชใ้นทอ้งที่และสามารถปฏิบตัิไดจ้ริง เป็นสะพาน เชื่อมโยงระหวา่งการคน้ควา้เชิงวชิาการช้นัสูงกบัการนาํความรู้ที่คน้พบมาใชใ้หเ้กิดประโยชน์ใน การประกอบอาชีพของประชาชน เพื่อให้เกษตรกรทวั่ ไปที่ไม่มีความรู้มากนกัสามารถนาํไปปฏิบตัิ ได้ พระองค์ยงัทรงห่วงใยถึงการทาํประมงของราษฎรและทรงตระหนกัถึงความจาํเป็นในการ จัดการทรัพยากรประมงจึงโปรดใหม้ีกิจกรรมการทดลองวจิยัทางดา้นการจดัการทรัพยากรประมง ณ ศูนยศ์ึกษาการพฒันาหว้ยฮ่องไคร้ฯ โดยใหจ้ดัระเบียบในดา้นการบริหารการจบั ปลาไม่ใหม้ีการ แก่งแยง่และเอาเปรียบกนัและไม่ทาํลายพนัธุ์ปลา ทาํใหป้ระชาชนไดป้ระโยชน์อยา่งยงั่ยนื โดยการ จดัต้งัเป็นกลุ่มและใหป้ระชาชนมีส่วนร่วมในการจดัการ(สาํนกังาน กปร., 2531: 52) 3. งานด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรประมง พระองค์ทรงสนพระราชหฤทัยในด้านการ จดัการทรัพยากรประมง โดยทรงมุ่งมนั่ในงานดา้นการฟ้ืนฟูและอนุรักษท์รัพยากรประมงควบคู่ไป กบัโครงการพฒันาแหล่งน้าํอนัเนื่องมาจากพระราชดาํริซ่ึงกระจายครอบคลุมพ้ืนที่อยา่งกวา้งขวาง ทวั่ประเทศเช่น โครงการส่งเสริมการเล้ียงปลาในศูนยศ์ึกษาการพฒันาปลวกแดงจงัหวดัระยอง - ชลบุรี (ทบวงมหาวิทยาลัย, 2540: 101-2) ดว้ยการสงวนพนัธุ์และเพาะพนัธุ์สัตวน์ ้าํพร้อมเร่งรัด ปล่อยพนัธุ์ปลาชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะอยา่งยงิ่ปลาโตเร็วที่เหมาะสมในแต่ละทอ้งที่ลงในแหล่งน้าํ ต่าง ๆ เพื่อใหม้ีสัตวน์ ้าํชนิดต่าง ๆ เป็นแหล่งอาหารโปรตีนของประชาชนไวบ้ริโภคตลอดไป ใน กรณีที่ปลาบางชนิดซ่ึงเป็นปลาที่หายากและมีแนวโนม้วา่จะมีจาํนวนลดนอ้ยลงจนอาจสูญพนัธุ์ได้ เช่นปลาบึก ซ่ึงเป็นปลาในสกุล Catfish ที่ใหญ่ที่สุดในโลกและมีอยแู่ต่เฉพาะในแม่น้าํโขงเท่าน้นั พระองคก์ ็ทรงห่วงใยและทรงใหท้าํการคน้ควา้หาวธิีการที่จะอนุรักษพ์นัธุ์ปลาชนิดน้ีไวใ้หไ้ด้ พร้อมท้งัทรงใหก้าํลงัใจแก่ผูค้น้ควา้ตลอดเวลาจนในที่สุดก็สามารถผสมเทียมพนัธุ์ปลาชนิดน้ีได้ สําเร็จ (สํานักงาน กปร., 2531: 52) 4. การจดัการทรัพยากรประมงที่เกี่ยวกบัการพฒันาการเพาะเล้ียงสัตวน์ ้าํชายฝั่งไดท้รง มอบหมายใหห้น่วยงานที่เกี่ยวขอ้งทาํการศึกษาวจิยัตามแนวพระราชดาํริเพื่อหาแนวทางการ เพาะเล้ียงกุง้กุลาดาํอยา่งยงั่ยนืรวมท้งัการใชป้ระโยชน์ทรัพยากรชายฝั่งแบบอเนกประสงคแ์ละ เก้ือกูลกนัณ "ศูนยศ์ึกษาการพฒันาอ่าวคุง้กระเบน"จงัหวดัจนัทบุรีโดยไดม้ีการพฒันาพ้ืนที่ป่าชาย


136 เลนเสื่อมโทรมเป็นพ้ืนที่เพาะเล้ียงกุง้กุลาดาํแบบพฒันาผสมผสานกบัการอนุรักษแ์ละปลูกป่าชาย เลนทดแทนเพื่อให้เกิดการใชท้รัพยากรอยา่งยงั่ ยืน นอกจากน้ีพระองค์ยงัทรงมีพระราชดาํริในการจดัการทรัพยากรชายฝั่งเพื่อแกไ้ขปัญหา สิ่งแวดลอ้มที่เกิดจากการเพาะเล้ียงกุง้กุลาดาํและความขดัแยง้ระหวา่งนาขา้วกบันากุง้ โดยทรง โปรดเกลา้ฯ ใหจ้ดัทาํ "โครงการพฒันาพ้ืนที่ลุ่มน้าํปากพนงั"จงัหวดันครศรีธรรมราช เพื่อให้มีการ เพาะเล้ียงกุง้กุลาดาํโดยไม่ก่อใหเ้กิดปัญหาดว้ยการกาํหนดเขตการเพาะเล้ียงกุง้กุลาดาํใหเ้ป็น สัดส่วน และใหม้ีการสร้างเขื่อนป้องกนัไม่ใหน้ ้าํเคม็เขา้มาทาํความเสียหายใหก้บันาขา้วและยงัทรง แนะนาํใหม้ีการบาํบดัน้าํเสียจากการเพาะเล้ียงกุง้กุลาดาํก่อนที่จะปล่อยทิ้งลงสู่แหล่งน้าํรวมท้งัการ จดัทาํระบบชลประทานน้าํเค็ม และคลองระบายน้าํเสียแยกจากกนั ในบริเวณโครงการฯ วธิีการน้ีทาํ ใหป้ ัญหาสิ่งแวดลอ้มถูกทาํลายจากการเพาะเล้ียงกุง้กุลาดาํลดลงอนัจะนาํไปสู่การพฒันาการ เพาะเล้ียงกุง้กุลาดาํอยา่งยงั่ยนื 5. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช กบัการจดัการทรัพยากรการผลิต ทางการเกษตรแนวพระราชดาํริเกี่ยวกบัการจดัการทรัพยากรการผลิตทางการเกษตรมุ่งที่จะพฒันา ประสิทธิภาพการผลิตทางการเกษตรภายใตข้อ้จาํกดัของสภาพภูมิศาสตร์และทรัพยากรธรรมชาติ รวมท้งัตวัเกษตรกรเองดว้ยการจัดการทรัพยากรธรรมชาติต่าง ๆ ไม่วา่จะเป็นป่าไม้ที่ดิน แหล่งน้าํ ฯลฯ มุ่งใหอ้ยใู่นสภาพที่จะมีผลต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตใหม้ากที่สุด แนวพระราชดาํริที่ สําคัญ คือ การที่ทรงเน้นในเรื่องของ การทดลอง ค้นคว้าและวจิยัหาพนัธุ์พืชใหม่ๆ ท้งัพืช เศรษฐกิจและพืชเพื่อการปรับปรุงบาํรุงดิน รวมถึงพืชสมุนไพร ตลอดจนการศึกษาเกี่ยวกบัการ ป้องกนัและกาํจดัโรคและแมลงศตัรูพืช และแนวทางการจดัการทรัพยากรระดบัไร่นา เพื่อแนะนาํ ให้เกษตรกรนําไปปฏิบัติได้ราคาถูกและใชเ้ทคโนโลยทีี่ง่ายและไม่สลบัซบัซอ้น ซ่ึงเกษตรกรจะ สามารถรับไปดําเนินการเองได้ และที่สําคัญคือจะตอ้งเหมาะสมกบัสภาพสังคมและสภาพแวดล้อม ของทอ้งถิ่นน้นัๆ ดว้ยอยา่งไรก็ตามการทาํให้เกษตรกรสามารถพึ่งตนเองได้โดยเฉพาะในด้าน อาหารก่อนเป็ นพระราชประสงค์อันดับแรก พระราชด าริและพระราชกรณียกิจที่ส าคัญและสมควรได้รับการกล่าวถึงเกี่ยวกับการผลิตทาง การเกษตร ได้แก่ 1. ทฤษฎีการพัฒนาการเกษตรแบบ "พึ่งตนเอง" และ "เศรษฐกิจพอเพียง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระราชดําริในการจัดการ ทรัพยากรระดบัไร่นาเพื่อการพฒันาการเกษตรแบบพี่งตนเอง (Self Reliance) มาต้งัแต่ปีพ.ศ.2517 โดยทรงเนน้ ให้เกษตรกรสามารถพ่ึงตนเองและช่วยเหลือตนเองเป็นหลกัสาํคญัและมีพระราช ประสงคเ์ป็นประการแรกคือการทาํใหเ้กษตรกร สามารถพ่ึงตนเองไดใ้นดา้นอาหารก่อน เป็น อนัดบัแรกเช่น ขา้ว พืชผกัผลไม้ฯลฯ แนวพระราชดาํริที่สาํคญัอีกประการหน่ึงคือการที่ทรง พยายามเนน้มิใหเ้กษตรกรพ่ึงพาอยกู่บัพืชเกษตรแต่เพียงชนิดเดียวเพราะมีความเสี่ยงที่จะเกิดความ


137 เสียหายสูง เนื่องจากความแปรปรวนของราคาและความไม่แน่นอน ของธรรมชาติทางออกก็คือ นอกจากจะปลูกพืชหลายชนิดแลว้เกษตรกรควรจะตอ้งมีรายไดเ้พิ่มข้ึนนอกเหนือไปจากภาค เกษตรเช่น การส่งเสริมอุตสาหกรรมในครัวเรือนของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพพิเศษ ในสมเด็จพระ นางเจา้สิริกิต์ิพระบรมราชินีนาถ ซ่ึงดาํเนินงานสนบัสนุนงานของพระบาทสมเด็จพระเจา้อยหู่วัใน ปัจจุบัน (สํานักงาน กปร., 2542) 2. ทฤษฎีใหม่ : แนวทางการจัดการที่ดินและน ้าเพื่อการเกษตรที่ยั่งยืน ปัญหาการขาดแคลนที่ดินทาํกินของเกษตรกรเป็นปัญหาสาํคญัยงิ่ในปัจจุบนัและ การประกอบอาชีพทางการเกษตรโดยเฉพาะในเขตที่ใชน้ ้าํฝนทาํนาเป็นหลกัเกษตรกรจะมีความ เสี่ยงสูง เป็นเหตุให้ผลผลิตขา้วอยใู่นระดบัต่าํ ไม่เพียงพอต่อการบริโภค ดว้ยพระอจัฉริยะในการ แกป้ ัญหาจึงไดพ้ระราชทาน "ทฤษฎีใหม่" ใหด้าํเนินการในพ้ืนที่ทาํกินที่มีขนาดเล็ก ประมาณ 15 ไร่ดว้ยวธิีการจดัการทรัพยากรระดบัไร่นาอยา่งเหมาะสม ดว้ยการจดัสรรการใชป้ระโยชน์ในที่ดิน โดยใหม้ีการจดัสร้างแหล่งน้าํในที่ดินสาํหรับการทาํการเกษตรแบบผสมผสานอยา่งไดผ้ลเพื่อให้ เกษตรกรสามารถเล้ียงตวัเองได้ใหม้ีรายไดไ้วใ้ชจ้่ายและมีอาหารไวบ้ริโภคตลอดปี(กรมวชิาการ, 2539: 77) ซ่ึงไดด้าํเนินการอยา่งแพร่หลายในปัจจุบนัเพื่อการผลิตทางเกษตรกรรมที่ยงั่ยนืสาํหรับ เกษตรกรชาวไทย พระองค์ไดท้รงมีพระราชดาํรัสวา "่ …ถึงบอกวา่เศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎี ใหม่สองอยา่งน้ีจะทาํความเจริญแก่ประเทศได้แต่ตอ้งมีความเพียรแลว้ตอ้งอดทน ตอ้งไม่ใจ ร้อน…" (สํานักพระราชวัง, 2542: 31) พระองค์ไดท้รงทาํการศึกษาและวจิยัเชิงปฏิบตัิเกี่ยวกบัทฤษฎีใหม่มาเป็นเวลานาน ต้งัแต่ปี พ.ศ.2532 ในพ้ืนที่ส่วนพระองคข์นาด 16 ไร่2 งาน23 ตารางวาใกล้วัดมงคล ตําบลห้วยบง อาํเภอเมืองจงัหวดัสระบุรีและทรงมอบใหมู้ลนิธิชยัพฒันาที่ทรงจดัต้งัข้ึนมาเพื่อเสริมโครงการ ของรัฐ ท้งัน้ีก่อนที่จะทรงนาํเอกสารออกเผยแพร่อยา่งเป็นทางการในปีพ.ศ.2537 น้นัทรงใหจ้ดัต้งั "ศูนยบ์ริหารพฒันา" ตามแนวพระราชดาํริอยใู่นความรับผดิชอบของมูลนิธิชยัพฒันา เพื่อเป็น ตน้แบบสาธิตการพฒันาดา้นการเกษตรโดยประสานความร่วมมือระหวา่งวดัราษฎรและรัฐ ทาํการ เผยแพร่อาชีพการเกษตรและจริยธรรมแก่ประชาชนในชนบท โดยทรงหวงัวา่หากประสบ ความสําเร็จก็จะใชเ้ป็นแนวทางสาธิตในทอ้งที่อื่น ๆ ต่อไป ท้งัน้ีในส่วนของการพฒันาดา้น การเกษตรน้นัก็คือแนวคิดและมรรควธิีที่รู้จกักนั ในนาม "เกษตรทฤษฎีใหม่" (อาํพล,2542: 3-4) พระราชดาํริ"ทฤษฎีใหม่" เป็นแนวทางหรือหลกัการในการจดัการทรัพยากรระดบัไร่ นาคือที่ดินและน้าํเพื่อการเกษตรในที่ดินขนาดเล็กใหเ้กิดประโยชน์สูงสุด ในการดาํเนินการทฤษฎี ใหม่ไดพ้ระราชทานข้นัตอนดาํเนินงาน ดงัน้ี ขั้นที่ 1 ทฤษฎีใหม่ข้นัตน้ สถานะพ้ืนฐานของเกษตรกรคือ มีพ้ืนที่นอ้ยค่อนขา้ง ยากจน อยใู่นเขตเกษตรน้าํฝนเป็นหลกั โดยในข้นัที่1 น้ีมีวตัถุประสงคเ์พื่อสร้างเสถียรภาพของการ ผลิต เสถียรภาพดา้นอาหารประจาํวนัความมนั่คงของรายได้ความมนั่คงของชีวติและความมนั่คง


138 ของชุมชนชนบท เป็นเศรษฐกิจพ่ึงตนเองมากข้ึน มีการจดัสรรพ้ืนที่ทาํกินและที่อยูอ่าศยั ใหแ้บ่ง พ้ืนที่ออกเป็น 4 ส่วน ตามอตัราส่วน 30:30:30:10 ซ่ึงหมายถึง พ้ืนที่ส่วนที่หน่ึงประมาณ 30% ให้ ขดุสระเก็บกกัน้าํเพื่อใชเ้ก็บกกัน้าํฝนในฤดูฝนและใชเ้สริมการปลูกพืชในฤดูแลง้ตลอดจนการ เล้ียงสัตวน์ ้าํและพืชน้าํต่าง ๆ (สามารถเล้ียงปลา ปลูกพืชน้าํเช่น ผกับุง้ผกักะเฉด ฯ ไดด้ว้ย) พ้ืนที่ ส่วนที่สองประมาณ 30% ให้ปลูกข้าวในฤดูฝน เพื่อใช้เป็ นอาหารประจําวันในครัวเรือนให้เพียงพอ ตลอดปีเพื่อตดัค่าใชจ้่ายและสามารถพ่ึงตนเองได้พ้ืนที่ส่วนที่สามประมาณ 30% ให้ปลูกไม้ผล ไม้ ยนืตน้พืชผกัพืชไร่พืชสมุนไพร ฯลฯ เพื่อใชเ้ป็นอาหารประจาํวนัหากเหลือบริโภคก็นาํไป จาํหน่ายและพ้ืนที่ส่วนที่สี่ประมาณ 10% ใชเ้ป็นที่อยอู่าศยัเล้ียงสัตว์และโรงเรือนอื่น ๆ (ถนน คนั ดิน กองฟาง ลานตาก กองปุ๋ ยหมัก โรงเรือน โรงเพาะเห็ด คอกสัตว์ ไม้ดอกไม้ประดับ พืชผักสวน ครัวหลังบ้าน เป็ นต้น) ทฤษฎีใหม่ข้นักา้วหนา้เมื่อเกษตรกรเขา้ใจในหลกัการและไดล้งมือปฏิบตัิตามข้นัที่ หน่ึงในที่ดินของตนเป็นระยะเวลาพอสมควรจนไดผ้ลแลว้เกษตรกรก็จะพฒันาตนเองจากข้นั"พอ อยพู่อกิน"ไปสู่ข้นั"พอมีอนัจะกิน" เพื่อใหม้ีผลสมบูรณ์ยิ่งข้ึน จึงควรที่จะตอ้งดาํเนินการตามข้นัที่ สองและข้นัที่สามต่อไปตามลาํดบั (มูลนิธิชัยพัฒนา, 2542) ขั้นที่2 ทฤษฎีใหม่ข้นักลาง เมื่อเกษตรกรเขา้ใจในหลกัการและไดป้ฏิบตัิในที่ดินของ ตนจนไดผ้ลแลว้ก็ตอ้งเริ่มข้นัที่สองคือให้เกษตรกรรวมพลงักนั ในรูปกลุ่ม หรือ สหกรณ์ร่วมแรง ร่วมใจกนัดาํเนินการในดา้น 1. การผลิต เกษตรกรจะตอ้งร่วมมือในการผลิตโดยเริ่มต้งัแต่ข้นัเตรียมดิน การหา พนัธุ์พืช ปุ๋ยการหาน้าํและอื่น ๆ เพื่อการเพาะปลูก 2. การตลาด เมื่อมีผลผลิตแลว้จะตอ้งเตรียมการต่าง ๆ เพื่อการขายผลผลิตใหไ้ด้ ประโยชน์สูงสุด เช่น การเตรียมลานตากขา้วร่วมกนัการจดัหายงุ้รวบรวมขา้วเตรียมหาเครื่องสีขา้ว ตลอดจนการรวมกนัขายผลผลิตใหไ้ดร้าคาดีและลดค่าใชจ้่ายลงดว้ย 3. ความเป็นอยู่ในขณะเดียวกนัเกษตรกรตอ้งมีความเป็นอยทู่ ี่ดีพอสมควรโดยมี ปัจจยัพ้ืนฐานในการดาํรงชีวิต เช่น อาหารการกินต่าง ๆ กะปิน้าํปลา เส้ือผา้ที่พอเพียง 4. สวสัดิการแต่ละชุมชนควรมีสวสัดิการและบริการที่จาํเป็น เช่น มีสถานีอนามยัเมื่อ ยามป่วยไข้หรือมีกองทุนไวใ้หกู้ย้มืเพื่อประโยชน์ในกิจกรรมต่าง ๆ 5. การศึกษา มีโรงเรียนและชุมชนมีบทบาทในการส่งเสริมการศึกษา เช่น มีกองทุนเพื่อ การศึกษาเล่าเรียนใหแ้ก่เยาวชนของชุมชนเอง 6. สังคมและศาสนา ชุมชนควรเป็ นศูนย์กลางในการพัฒนาสังคมและจิตใจ โดยมี ศาสนาเป็ นที่ยึดเหนี่ยว กิจกรรมท้งัหมดดงักล่าวขา้งตน้จะตอ้งไดร้ับความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวขอ้งไม่วา่ ส่วนราชการองคก์รเอกชน ตลอดจนสมาชิกในชุมชนน้นัเป็นสาํคญั


139 ขั้นที่ 3 ทฤษฎีใหม่ข้นักา้วหนา้เมื่อดาํเนินการผา่นพน้ข้นัที่สองแลว้เกษตรกรจะมี รายไดด้ีข้ึน ฐานะมนั่คงข้ึน เกษตรกรหรือกลุ่มเกษตรกรก็ควรพฒันากา้วหนา้ไปสู่ข้นัที่สามต่อไป คือ ติดต่อประสานงาน เพื่อจดัหาทุน หรือแหล่งเงิน เช่น ธนาคาร หรือบริษทัหา้งร้านเอกชน มาช่วย ในการทาํธุรกิจการลงทุนและพฒันาคุณภาพชีวติท้งัน้ีท้งัฝ่ายเกษตรกรและฝ่ายธนาคารกบับริษทั จะไดร้ับประโยชน์ร่วมกนักล่าวคือเกษตรกรขายขา้วไดใ้นราคาสูง (ไม่ถูกกดราคา) ธนาคารกบับริษทัสามารถซ้ือขา้วบริโภคในราคาต่าํ (ซ้ือขา้วเปลือกตรงจากเกษตรกร และมาสีเอง)เกษตรกรซ้ือเครื่องอุปโภคบริโภคไดใ้นราคาต่าํเพราะรวมกนัซ้ือเป็นจาํนวนมาก(เป็น ร้านสหกรณ์ซ้ือในราคาขายส่ง) ธนาคารกบับริษทัจะสามารถกระจายบุคลากร(เพื่อไปดาํเนินการในกิจกรรมต่าง ๆ ใหเ้กิดผลดียงิ่ข้ึน) ในปัจจุบนัน้ีไดม้ีการนาํเอาเกษตรทฤษฎีใหม่ไปทาํการทดลองขยายผล ณ ศูนยศ์ึกษา การพฒันาและโครงการอนัเนื่องมาจากพระราชดาํริรวมท้งักรมวิชาการเกษตรได้ดําเนินการจัดทํา แปลงสาธิต จํานวน25 แห่งกระจายอยทู่วั่ประเทศ นอกจากน้ีกรมพฒันาชุมชน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กองบัญชาการทหารสูงสุด กองทัพภาค กระทรวงกลาโหม และกระทรวงศึกษาธิการไดม้ีการดาํเนินงานใหม้ีการนาํเอาทฤษฎีใหม่น้ีไปใช้ อยา่งกวา้งขวางข้ึน 3. เกษตรยั่งยืนและระบบเกษตรธรรมชาติ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเน้นความสําคัญในการจัดการ ทรัพยากรระดบัไร่นาในลกัษณะที่จะมุ่งใชป้ระโยชน์จากธรรมชาติซ่ึงจะมีความสอดคลอ้งกบั วธิีการที่สาํคญัของพระองคอ์ีกประการหน่ึงคือการประหยดัทรงเนน้ความจาํเป็นที่จะลดค่าใชจ้่าย ในการทาํมาหากินของเกษตรกรลงใหเ้หลือนอ้ยที่สุด โดยอาศยัพ่ึงพิงธรรมชาติเป็นปัจจยัสาํคญั วธิีการของพระองคม์ ีต้งัแต่การสนบัสนุนใหเ้กษตรกรใชโ้คกระบือในการทาํนามากกวา่การใช้ เครื่องจกัรใหม้ีการปลูกพืชหมุนเวยีน โดยเฉพาะพืชตระกูลถวั่เพื่อลดค่าใชจ้่ายเรื่องปุ๋ย หรือกรณีที่ จาํเป็นตอ้งใชปุ้๋ยก็ทรงสนบัสนุนใหเ้กษตรกรใชปุ้๋ยธรรมชาติแทนปุ๋ยเคมีซ่ึงมีราคาแพง รวมท้งัให้ หลีกเลี่ยงการใชส้ารเคมีต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และคุณภาพของดินในระยะยาว ทําให้ ราษฎรอยใู่นชุมชนและสภาพสิ่งแวดลอ้มที่ดีและมีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีข้ึน ซ่ึงเป็นหลกัการ สาํคญัของ "การเกษตรยงั่ยนื"(กรมวชิาการเกษตร,2539: 170-1) ระบบเกษตรยงั่ยนืควรมีลกัษณะการจดัการทรัพยากรการผลิตทางการเกษตรที่ เลียนแบบระบบนิเวศของป่ าธรรมชาติ คือมีความหลากหลายทางชีวภาพ มีกลไกควบคุมตัวเอง มี การพ่ึงพาปัจจยัการผลิตจากภายนอกนอ้ยที่สุดตามความจาํเป็น สาํหรับการป้องกนัและกาํจดั ศตัรูพืชพยายามลดการใชส้ารเคมีโดยการใชว้ธิีการจดัการศตัรูพืชแบบผสมผสาน กล่าวคือควรให้


140 ความสาํคญักบัระบบการปลูกพืชที่เก้ือกูลกนัเพื่อสร้างความสมดุลตามธรรมชาติในระบบ การเกษตร (สุพัตรา, 2540: 76-7) ในปัจจุบนัมีการทดลองวธิีการเกษตรยงั่ยนืในพ้ืนที่ศูนยส์มเด็จพระศรีนครินทราบรม ราชชนนี จังหวัดเพชรบุรี ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนฯ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองฯ ศูนย์ ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ฯ เป็นตน้มีกิจกรรมต่าง ๆ ที่เป็นไปตามแนวพระราชดาํริและ สอดคลอ้งกบัหลกัการของเกษตรยงั่ยนืที่สาํคญั ไดแ้ก่ระบบการปลูกพืชหมุนเวยีน ระบบ การเกษตรแบบผสมผสาน ระบบวนเกษตร และระบบเกษตรธรรมชาติ 6. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชกบัการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ปัญหาเรื่องสิ่งแวดลอ้มเป็นปัญหาที่มีความสาํคญัที่มกัจะเกิดควบคู่กบัการพฒันา เศรษฐกิจและความเจริญกา้วหนา้ซ่ึงเป็นปัญหาร่วมกนัของทุกประเทศกล่าวคือการพฒันายงิ่ รุดหนา้ปัญหาคุณภาพสิ่งแวดลอ้มและภาวะมลพิษก็ยงิ่ก่อตวัและทวคีวามรุนแรงมากยงิ่ข้ึน ประเทศ ไทยก็เป็นประเทศหน่ึงที่กาํลงัประสบกบั ปัญหาดงักล่าวอยใู่นขณะน้ีท้งัน้ีเพราะการพฒันา เศรษฐกิจในช่วงที่ผา่นมาไดใ้หค้วามสาํคญักบัความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโดยการนาํเอา ทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ประโยชน์แต่ไม่ไดม้ีการวางแผนการจดัการที่เหมาะสมรองรับปัญหาที่จะ เกิดข้ึน ทาํใหท้รัพยากรธรรมชาติที่เหลืออยมู่ ีสภาพเสื่อมโทรมลงและปัญหาต่าง ๆ ดา้น สิ่งแวดลอ้มก็เพิ่มข้ึน ปัญหาเหล่าน้ีส่งผลกระทบต่อความเป็นอยขู่องประชาชนและระบบนิเวศจึง ทรงให้มีการดําเนินโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดาํริซ่ึงส่วนใหญ่จะเป็นวธิีการที่จะทาํนุบาํรุง และปรับปรุงสภาพทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ม ใหด้ีข้ึนในดา้นต่าง ๆ โดยในดา้นการแกไ้ข ปัญหาสิ่งแวดลอ้มน้นัทรงเนน้งานการอนุรักษแ์ละฟ้ืนฟูสภาพสิ่งแวดลอ้ม โดยเฉพาะอยา่งยงิ่ใน เรื่องของปัญหาน้าํเน่าเสีย พระราชดาํริพระราชกรณียกิจและโครงการอนัเนื่องมาจากพระราชดาํริ ดา้นสิ่งแวดลอ้มที่สาํคญั ไดแ้ก่หลกัการ"น้าํดีไล่น้าํเสีย" หลกัการบดัน้าํเสียดว้ยผกัตบชวา ทฤษฎี การบาํบดัน้าํเสียดว้ยการผสมผสานระหวา่งพืชน้าํกบัระบบการเติมอากาศ ทฤษฎีการบาํบดัน้าํเสีย ดว้ยระบบบ่อบาํบดัและวชัพืชบาํบดัและ"กงัหนัน้าํชยัพฒันา" ซ่ึงมีสาระโดยสรุปดงัน้ีคือ 1. ทฤษฎี"น้าํดีไล่น้าํเสีย"ไดท้รงนาํหลกัการบาํบดัน้าํเสียโดยการทาํใหเ้จือจางตาม แนวทฤษฎีการพฒันาอนัเนื่องมาจากพระราชดาํริ"น้าํดีไล่น้าํเสีย"โดยใชห้ลกัการตามธรรมชาติ แห่งแรงโนม้ถ่วงของโลกเป็นการใชน้ ้าํคุณภาพดีมาช่วยบรรเทาน้าํเน่าเสีย ดงัพระราชดาํรัส เกี่ยวกบัการใชพ้ ้ืนที่ในอําเภอธัญบุรี เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ.2532 "…แต่3,000 ไร่นนั่มนัอยสูู่ง จะนาํน้าํโสโครกจากที่นี่ไปที่โนน้ตอ้งสูบไปไม่ไหวแต่วา่จะทาํเป็นบึงใหญ่ที่จะเก็บน้าํไดส้าํหรับ เวลาหนา้น้าํมีน้าํเก็บเอาไว้หนา้แลง้ก็ปล่อยลงมา ส่วนหน่ึงอาจปล่อยลงมาสาํหรับลา้งกรุงเทพ ได้ เจือจางน้าํโสโครกในคลองต่าง ๆ…" (สาํนกังานคณะกรรมการสิ่งแวดลอ้ม, 2534: 31-2) อีกท้งัไดพ้ระราชทานแนวพระราชดาํริโดยรับน้าํจากแม่น้าํเจา้พระยา ส่งเขา้ไปตาม


141 คลองต่าง ๆ เช่น คลองบางเขน คลองบางซื่อคลองแสนแสบ คลองเทเวศร์และคลองบางลาํภูเป็น ต้น โดยกระแสน้าํจะไหลแผก่ระจายขยายไปตามคลองซอยที่เชื่อมกบัแม่น้าํเจา้พระยาอีกดา้นหน่ึง ดงัน้นัเมื่อทาํการปล่อยน้าํให้ไหลเวยีนจากปากคลองไปปลายคลองไดอ้ยา่งเหมาะสม ก็ยอ่มจะช่วย เจือจางน้าํเน่าเสียไดม้ากโดยเฉพาะในช่วงฤดูแลง้ (สาํนกังาน กปร., 2540: 101) 2. การบาํบดัน้าํเสียดว้ยผกัตบชวา พระองค์ทรงสนพระราชหฤทัยในการปรับปรุง คุณภาพของแหล่งน้าํที่มีอยแู่ลว้เช่น บึงและหนองต่าง ๆ เพื่อทาํเป็นแหล่งบาํบดัน้าํเสีย โดยหน่ึงใน จาํนวนน้นัไดแ้ก่โครงการบึงมกักะสันอนัเนื่องมาจากพระราชดาํริมีหลกัการบาํบดัน้าํเสีย ตามแนว ทฤษฎีการพัฒนาโดยการกรองน้าํเสียดว้ยผกัตบชวา 3. การบาํบดัน้าํเสียดว้ยการผสมผสานระหวา่งพืชน้าํกบัระบบเติมอากาศ ดว้ยทรง ห่วงใยในปัญหาน้าํเน่าเสียที่เกิดข้ึนในหนองหนองหาน จงัหวดัสกลนคร ซ่ึงเป็นแหล่งรับน้าํเสีย จากครัวเรือนในเขตเทศบาลเมืองสกลนคร ที่มีสภาพเกินขีดความสามารถในการรองรับของเสีย พระองค์ทรงพระราชทานแนวพระราชดาํริทฤษฎีการบาํบดัน้าํเสียดว้ยการผสมผสานระหวา่งพืช น้าํกบัระบบการเติมอากาศ ณ บริเวณหนองสนม-หนองหาน จังหวัดสกลนคร ซึ่งเป็ นการ ผสมผสานระหวา่งวธิีธรรมชาติกบัเทคโนโลยแีบบประหยดั โดยมีกรมประมงร่วมกบักรม ชลประทานดาํเนินการศึกษาและก่อสร้างระบบบาํบดัน้าํเสียในบริเวณดงักล่าวโดยมีระบบบาํบดั ดว้ยพืชน้าํซ่ึงเป็นวธิีการบาํบดัน้าํเสียดว้ยวธิีธรรมชาติในพ้ืนที่84.5 ไร่และไดม้ีการก่อสร้างแลว้ เสร็จเมื่อปี พ.ศ.2537 (สาํนกังานคณะกรรมการทรัพยากรน้าํแห่งชาติ, 2539:222) 4. การบาํบดัน้าํเสียดว้ยระบบบ่อบาํบดัและวชัพืชบาํบดั โครงการวจิยัและพฒันา สิ่งแวดลอ้มแหลมผกัเบ้ียอนัเนื่องมาจากพระราชดาํริตาํบลแหลมผกัเบ้ียอาํเภอบา้นแหลม จงัหวดั เพชรบุรีพระบาทสมเด็จพระเจา้อยหู่วัทรงตระหนกัถึงปัญหาภาวะมลพิษที่มีผลต่อการดาํรงชีพของ ประชาชน อันเนื่องมาจากชุมชนเมืองต่าง ๆ ยงัขาดระบบบาํบดัน้าํเสียและการกาํจดัขยะมูลฝอยที่ดี และมีประสิทธิภาพ จึงทรงใหม้ีการดาํเนินการตามโครงการดงักล่าวข้ึนในพ้ืนที่1,135 ไร่โดยเป็น โครงการศึกษาวจิยัวธิีการบาํบดัน้าํเสียกาํจดัขยะมูลฝอยและการรักษาสภาพป่าชายเลนดว้ยวธิี ธรรมชาติ 5. กงัหนัน้าํชยัพฒันา ในปัจจุบนัสภาพมลภาวะทางน้าํมีความรุนแรงมากยงิ่ข้ึน จึง จาํเป็นตอ้งใชเ้ครื่องกลเติมอากาศเพิ่มออกซิเจนเพื่อการบาํบดัน้าํเสีย พระองค์ทรงสนพระราช หฤทยัเกี่ยวกบัอุปกรณ์การเติมอากาศและทรงคน้คิดทฤษฎีบาํบดัน้าํเสียดว้ยวธิีการเติมอากาศ โดย ใชว้ธิีทาํใหอ้ากาศสามารถละลายลงไปในน้าํเพื่อเร่งการเจริญเติบโตและการเพาะตวัอยา่งรวดเร็ว ของแบคทีเรียจนมีจาํนวนมากพอที่จะทาํลายสิ่งสกปรกในน้าํใหห้มดสิ้นไปโดยเร็ว ตามแนวทฤษฎี การพฒันาอนัเนื่องมาจากพระราชดาํริ"กงัหนัน้าํชยัพฒันา" ซ่ึงเป็นรูปแบบสิ่งประดิษฐท์ ี่เรียบง่าย ประหยดัเพื่อใชใ้นการบาํบดัน้าํเสียที่เกิดจากแหล่งชุมชนและแหล่งอุตสาหกรรม และไดม้ีการ นาํไปใชง้านทวั่ประเทศ(สาํนกังานคณะกรรมการทรัพยากรน้าํแห่งชาติ,2539:218-9)


142 6. การกาํจดัน้าํเสียโดยวธิีธรรมชาติทรงมีพระราชดาํริใหท้าํการศึกษา ทดลองวจิยัดูวา ่ จะใชป้ลาบางชนิดกาํจดัน้าํเสียไดห้รือไม่ปลาเหล่าน้ีน่าจะเขา้ไปกินสารอินทรียใ์นบริเวณแหล่งน้าํ เสีย ซ่ึงปรากฏวา่ ปลาบางสกลุมีอวยัวะพิเศษในการหายใจเช่น ปลากระดี่ปลาสลิด เหมาะแก่การ เล้ียงในน้าํเสียและชอบกินสารอินทรีย์จึงช่วยลดมลภาวะในแหล่งน้าํวธิีการน้ีสามารถนํามาใช้ ประโยชน์ในการกาํจดัน้าํเสียได้ซ่ึงจะมีตน้ทุนต่าํและสามารถเพิ่มผลผลิตสัตวน์ ้าํไดอ้ีกทางหน่ึง (สํานักงาน กปร., 2531: 52) ด้วยพระอัจฉริยภาพและพระปรีชาสามารถในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดลอ้ม องคก์ารอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ(The Food and Agriculture Organization : FAO) ไดทู้ลเกลา้ฯ ถวายเหรียญสดุดีพระเกียรติคุณในดา้นการพฒันาการเกษตร(Agricola Medal) แด่พระองค์ เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ.2538 ในฐานะที่ทรงบาํเพญ็พระราชกรณียกิจอุทิศพระองค์ เพื่อประโยชน์สุขของปวงชนชาวไทยโดยเฉพาะผู้ซ่ึงประกอบอาชีพเพาะปลูก บาํรุงรักษาน้าํและ บาํรุงรักษาป่า ซ่ึงทรงยดึหลกั"สนบัสนุนการพฒันาแบบยงั่ยนืเพื่อความมนั่คงในอนาคต" เป็นหลกั ปฏิบตัิเพื่อใหป้ระจกัษช์ดัเจนจากความสาํเร็จในดา้นการพฒันาโดยองคก์ารฯ สดุดีพระองคว์า่ทรง พระปรีชาสามารถเกี่ยวกบัความยตุิธรรมของสังคม ซ่ึงไดป้รากฏเห็นเป็นตวัอยา่งจากนโยบายเรื่อง การแบ่งที่ดินทาํกินเพื่อเกษตรกรและผทู้าํนุบาํรุงรักษาป่า ทรงวริิยะอุตสาหะในเรื่องการกกัเก็บน้าํ ใหเ้พียงพอเพื่อประกนัผลผลิตอาหารการอนุรักษส์ ันปันน้าํและป้องกนัการกดัเซาะผวิดิน ทรง สนบัสนุนเผยแพร่การเกษตรสมบูรณ์ซ่ึงรวบรวมแหล่งน้าํเพื่อการเพาะปลูกและขยายพนัธุ์สัตวใ์ห้ เจริญเติบโตข้ึน ตลอดจนการบาํรุงผวิดิน ทรงมีพระอุตสาหะอนัสูงส่งในการสงวนรักษาพนัธุ์พืช ซ่ึงเป็นสิ่งจาํเป็นอยา่งยงิ่ต่อมนุษยชาติในการคน้ควา้เรื่องอาหาร ท้งัน้ีเนื่องจากทรงมีสายพระเนตร อันกว้างไกลในการที่จะทําใหโ้ลกปราศจากความหิวโหยและประชาชนมีอาหารเพียงพอต่อการ ดํารงชีวิต ด้านการแพทย์ ในการเสด็จพระราชดาํเนินไปทรงเยยี่มราษฎรตามทอ้งที่ต่าง ๆ ทุกคร้ังจะทรงพระกรุณา โปรดเกลา้ฯ ใหม้ีคณะแพทยท์ ี่ประกอบดว้ยผูเ้ชี่ยวชาญในแต่ละสาขาจากโรงพยาบาลต่าง ๆ และ ลว้นเป็นอาสาสมคัรท้งัสิ้น โดยเสด็จพระราชดาํเนินไปในขบวนอยา่งใกลช้ิด พร้อมดว้ยเวชภณัฑ์ และเครื่องมือแพทย์ครบครัน พร้อมที่จะให้การรักษาพยาบาลราษฎร ผู้ป่ วยไข้ได้ทันที นอกจากน้นัยงัมีโครงการทนัตกรรมพระราชทาน ซ่ึงเป็นพระราชดาํริที่ใหท้นัตแพทย์ อาสาสมัคร ได้เดินทางออกไปช่วยเหลือบาํบดัโรคเกี่ยวกบั ฟัน ตลอดจนสอนการรักษาอนามยัของ ปากและฟัน แก่เด็กนกัเรียนและ ราษฎรที่อาศยัอยใู่นทอ้งที่ทุรกนัดารและห่างไกลจากแพทยท์วั่ทุกภาคโดยใหก้าร บริการรักษาโรคฟัน โดยไม่คิดมูลค่าในการแพทยเ์คลื่อนที่


143 สําหรับการเสด็จพระราชดําเนินทรงเยยี่มวดัทุกแห่ง ซ่ึงนบัเป็นศูนยก์ลางของชุมชนใน ชนบท โดยจะพระราชทานกล่องยาแก่วดัเพื่อพระภิกษุใชเ้มื่อเกิดอาพาธและเพื่อแจกจ่ายแก่ราษฎร ผปู้่วยเจบ็ ในหมู่บา้นน้นัๆ ส่วนในการเสด็จพระราชดาํเนินไปเยยี่มหน่วยทหาร ตาํรวจและ อาสาสมคัร ที่ออกไปต้งัฐานปฏิบตัิการในทอ้งที่ทุรกนัดารก็จะพระราชทานสิ่งของที่จาํเป็นต่าง ๆ รวมท้งัยารักษาโรคสาํหรับใชใ้นหมู่เจา้หนา้ที่และใชใ้นการรักษาพยาบาลและเพื่อแจกจ่ายแก่ ราษฎรในท้องที่ที่มาขอความช่วยเหลืออนัจะทาํใหเ้จา้หนา้ที่ฝ่ายปราบปราม และประชาชนใน พ้ืนที่ปฏิบตัิการไดม้ีความเขา้ใจอนัดีต่อกนัรู้จกัช่วยเหลือซ่ึงกนัและกนั ทางดา้นหน่วยแพทยห์ลวงที่จะตอ้งตามเสด็จพระราชดาํเนินไป ณ ที่ประทบัแรมทุก แห่งน้นัจะมีเจา้หนา้ที่ใหก้ารรักษาพยาบาลราษฎร ผู้มาขอรับการรักษาไม่ตอ้งเสียค่าใชจ้่ายแต่ ประการใด นอกจากน้นัหน่วยแพทยห์ลวงยงัจดัเจา้หน้าที่ออกเดินทาง ไปรักษาราษฎรผู้ป่ วยเจ็บ ตามหมู่บา้นที่อยหู่ ่างไกลออกไปอีกดว้ยโดยไดร้ับความร่วมมือจากเจา้หนา้ที่ฝ่ายปกครอง ซ่ึงเป็นผู้ แนะนาํสถานที่และร่วมเดินทางไปดว้ย สาํหรับราษฎรผเู้จบ็ ป่วยรายที่มีอาการหนกัหรือจาํเป็นที่ จะตอ้งไดร้ับการตรวจรักษาเพิ่มเติมน้นัก็จะทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ฯให้ข้าราชบริพารที่ตามเสด็จ พระราชดําเนิน ทําการบนัทึกรายชื่ออาชีพ ที่อยและอาการโดยละเอียด โดยตรวจสอบความถูกต้อง ู่ กบัเจา้หนา้ที่ฝ่ายปกครองและมีสาํเนาใหร้ับทราบเพื่อติดต่อประสานงานต่อไป ในการพิจารณาส่ง ผปู้่วยไปรับการักษาต่อตามความเห็นของแพทย์ผู้ทําการตรวจ ด้านการศึกษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงตระหนกัดีวา่การพฒันาการศึกษา ของเยาวชนน้นัเป็นพ้ืนฐานอนัสาํคญัของประเทศชาติจึงทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ฯ พระราชทาน พระราชทรัพยจ์ดัต้งัมูลนิธิอานนัทมหิดลใหเ้ป็นทุนสาํหรับการศึกษาในแขนงวชิาต่าง ๆ เพื่อให้ นักศึกษาได้มีทุนออกไปศึกษาหาความรู้ต่อในวชิาการช้นัสูงในประเทศต่าง ๆ โดยไม่มีเงื่อนไขขอ้ ผกูพนัแต่ประการใด เพื่อที่จะไดน้าํความรู้น้นัๆ กลบัมาใชพ้ฒันาประเทศชาติใหเ้จริญกา้วหนา้ ต่อไป H.M.K picture นอกเหนือไปจากน้ีแลว้ทรงมีพระราชดาํริใหด้าํเนินการจดัทาํสารานุกรม ไทยสาํหรับเยาวชนข้ึน สารานุกรมชุดน้ีมีลกัษณะพิเศษที่แตกต่างจากสารานุกรมชุดอื่น ๆ ที่ไดเ้คย จดัพิมพม์าแลว้กล่าวคือเป็นสารานุกรมอเนกประสงคท์ ี่บรรจุเรื่องราวต่าง ๆ ที่เป็นสาระไวค้รบทุก แขนงวชิาโดยจดัแบ่งเน้ือหาของแต่ละเรื่องออกเป็นสามระดบัเพื่อที่จะใหเ้ยาวชนแต่ละรุ่น ตลอดจนผใู้หญ่ที่มีความสนใจสามารถที่จะศึกษาค้นคว้าหาความรู้ได้ตามความเหมาะสมของพ้ืน ฐานความรู้ของแต่ละคน โดยมีวทิยากรผทู้รงคุณวฒุิในแต่ละสาขาวชิา การอุทิศเวลาและความรู้เพื่อสนองพระราชดาํริโดยร่วมกนัเขียนเรื่องต่าง ๆ ข้ึน แบ่ง ออกเป็ น 4 สาขาวิชา คือวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์


144 ทรงก่อต้งักองทุนนวฤกษ์ในมูลนิธิช่วยนกัเรียนที่ขาดแคลน ในพระบรมราชูปถัมภ์เพื่อ ช่วยใหน้กัเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ไดม้ีโอกาสเขา้รับการศึกษาในระดบั ประถมศึกษาและระดบั มธัยมศึกษา ท้งัยงัพระราชทานพระราชทรัพยส์ ่วนพระองค์เป็นทุนริเริ่มในการก่อสร้างโรงเรียน ตามวัดในชนบท สาํหรับที่จะสงเคราะห์เด็กยากจนและกาํพร้า ใหไ้ดม้ีสถานที่สาํหรับศึกษาเล่า เรียน โดยอาราธนาพระภิกษุเป็นครูสอนในวชิาสามญัต่าง ๆ ที่ไม่ไดข้ดัต่อพระธรรมวินยัตลอดจน ช่วยอบรมศีลธรรมแก่เด็กนกัเรียน ท้งัน้ีเป็นพระราชประสงคท์ ี่จะใหเ้ด็กนกัเรียน ไดเ้กิด ความสัมพันธ์ระหวา่งศาสนากบัการศึกษาควบคู่กนัไป อนัจะทาํใหเ้ยาวชนของชาตินอกจากจะมี ความรู้ดา้นวชิาการแลว้ยงัจะทาํใหม้ีจิตใจที่ดีที่ต้งัมนั่อยใู่นศีลธรรม เพื่อที่จะไดเ้ป็นพลเมืองดีของ ประเทศชาติต่อไป ในอนาคต โรงเรียนร่มเกลา้ก็เป็นสถานศึกษาในระดบัมธัยมศึกษา ในหลายจังหวัดที่เกิดข้ึนจาก พระราชดําริที่จะใหท้หารออกไปปฏิบตัิภารกิจในทอ้งที่ทุรกนัดารไดท้าํประโยชน์ต่อชุมชน และมี ส่วนช่วยเหลือประชาชนในดา้นการศึกษาตามโอกาสอนัควรโดยพระราชทานพระราชทรัพยส์ ่วน พระองค์ใหท้หารจดัสร้างโรงเรียนข้ึนในจงัหวดันครพนม จงัหวดัสกลนครจงัหวดันราธิวาส จังหวดัปราจีนบุรีและจงัหวดัแม่ฮ่องสอน เป็นตน้เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนสถานศึกษา สาํหรับเยาวชน และยงัเป็นการส่งเสริมความเขา้ใจอนัดีระหวา่งเจา้หนา้ที่ทหารที่ไปปฏิบตัิภารกิจ ในพ้ืนที่น้นัๆ กบัราษฎรเจา้ของทอ้งที่อีกโสตหน่ึงดว้ย ซ่ึงในการดาํเนินงานจดัสร้างโรงเรียน ทาง ฝ่ายทหารไดต้ิดต่อประสานงานกบัเจา้หนา้ที่ฝ่ายปกครองและฝ่ายศึกษาธิการเพื่อเลือกสถานที่ต้งั โรงเรียนที่เหมาะสมกบัความจาํเป็นที่สุด ซ่ึงปรากฎวา่ราษฎรในทอ้งที่ที่มีการสร้างโรงเรียน ไดพ้า กนัร่วมอุทิศแรงกายช่วยในการก่อสร้าง ตลอดจนอุทิศทุนทรัพยส์มทบเป็นทุนในการจดัซ้ืออุปกรณ์ ต่าง ๆ ที่จะนาํไปใชใ้นการก่อสร้างโรงเรียน เพื่อเป็นการโดยเสด็จพระราชกุศลดว้ยและเมื่อการ ก่อสร้างโรงเรียนแลว้เสร็จ พระองค์ไดเ้สด็จพระราชดาํเนินไปทรงเปิดโรงเรียนเหล่าน้นัพร้อมท้งั พระราชทานนามวา่ โรงเรียนร่มเกลา้ซ่ึงในปัจจุบนัมีท้งัโรงเรียนระดับประถมศึกษา และระดับ มัธยมศึกษา ด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศ โดยที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็ นประมุขของประเทศ ได้ เสด็จพระราชดาํเนินเยือนประเทศต่าง ๆ หลายประเทศ ท้งัในทวปีเอเชีย ทวปียโุรป และทวปี อเมริกาเหนือเพื่อเป็นการเจริญทางพระราชไมตรีระหวา่งประเทศไทยกบับรรดามิตรประเทศ เหล่าน้นัที่มีความสัมพนัธ์อนัดีอยแู่ลว้ ใหม้ีความสัมพนัธ์แน่นแฟ้นยงิ่ข้ึน ทรงนาํความปรารถนาดี ของประชาชนชาวไทยไปยงัประเทศต่าง ๆ น้นัดว้ย ทาํให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จกักนัอยา่งกวา้งไกล มากยงิ่ข้ึน นบัวา่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยอยา่งมหาศาลและประเทศต่าง ๆ ที่เสด็จพระราช ดาํเนินไปทรงเจริญทางพระราชไมตรีน้นัมีดงัน้ี


Click to View FlipBook Version