45 ข้นัที่4 ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ข้นัที่5 ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................
46 กิจกรรมท้ายบท ค าชี้แจง : ใหน้กัเรียนดูภาพหลกัฐานทางประวตัิศาสตร์ที่กาํหนดให้แลว้บอกชื่อและจาํแนกกลุ่ม หลักฐาน ทางประวัติศาสตร์ และสรุปความรู้ที่ได้ รูปที่ 1 รูปที่ 2 รูปที่ 3 ........................ รูปที่ 4 รูปที่ 5 รูปที่ 6 รูปที่ 7 รูปที่ 8 รูปที่ 9..........................
47 ผู้เรียนได้ประโยชน์อะไรจากการศึกษาวธิีการทางประวตัิศาสตร์ จ าแนกกลุ่มหลกัฐานทางประวตัิศาสตร์
48 ประเด็นส าคัญทางประวัติศาสตร์ไทย สาระส าคัญ ศึกษาเกี่ยวกบัการแนวความคิดเกี่ยวกบัความเป็นมาของชนชาติไทย ปัจจยัที่มีผลต่อการ สถาปนาอาณาจักรไทย บทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ผลการเรียนรู้ทคี่าดหวงั 1. อธิบายความสําคัญ ประเด็นสําคัญทางประวัติศาสตร์ไทย 2. ตระหนกัเห็นคุณค่าถึงความสาํคญั ประเด็นสาํคญั ทางประวัติศาสตร์ไทย ขอบข่ายเนื้อหา 1. แนวความคิดเกี่ยวกบัความเป็นมาของชนชาติไทย 2. ปัจจยัที่มีผลต่อการสถาปนาอาณาจกัรไทย 3. บทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย กจิกรรมการเรียนรู้ 1. ศึกษาจากคู่มือเรียน 2. ทํากิจกรรมท้ายบท 3. ศึกษาจากแหล่งเรียนรู้ สื่อการประกอบการเรียนรู้ 1. คู่มือเรียน 2. กิจกรรมท้ายบท 3. แหล่งเรียนรู้ ประเมินผล 1. ประเมินผลจากการทํากิจกรรมท้ายบท 2. ประเมินผลจากการบันทึกการเรียนรู้ 3. ประเมินผลจากการทดสอบกลางภาคและปลายภาคเรียน
49 บทที่ 3 ประเด็นส าคัญทางประวัติศาสตร์ไทย เรื่องที่ 1 แนวคิดเกี่ยวกับความเป็ นมาของชนชาติไทย แนวคิดเกี่ยวกับถิ่นเดิมของชนชาติไทย ปัจจุบนัการศึกษาเกี่ยวกบัที่มาของชนชาติไทยยงัคงเป็นประเด็นถกเถียงกนัอยู่และยงัไม่มี ข้อสรุปที่แน่นอนวา่ถิ่นเดิมของชนชาติไทยอยทู่ ี่ไหนกนัแน่แต่มีแนวคิดเกี่ยวกบัเรื่องน้ีอยู่5 แนวคิด และควรระลึกเสมอวา่ผลสรุปของการศึกษาถิ่นเดิมของชนชาติไทยอาจเปลี่ยนแปลงหรือ แกไ้ขได้หากมีการคน้พบหลกัฐานใหม่ๆ ที่น่าเชื่อถือ แนวคิดเกี่ยวกบัถิ่นเดิมของชนชาติไทยของนกัวชิาการท้งัไทยและต่างชาติมีรายละเอียด ดงัน้ี 1. แนวคิดถิ่นเดิมของชนชาติไทยอยู่ในบริเวณตอนกลางของจีน น้ีเชื่อวา่ถิ่นเดิมของชนชาติไทยอยใู่นบริเวณที่ปัจจุบนัเป็นมณฑลซื่อชวน ฉ่านซีหูเป่ ย์ อานฮุย หูหนาน เจียงซีแลว้จึงอพยพมาทางตอนใตข้องจีน และค่อยอพยพลงมาสูคาบสมุทรอินโอ จีนและประเทศไทยศาสตราจารย์แตเรียง เดอ ลาคูเปอรี ( Terrien de Lacouperie ) เป็นผรู้ิเริ่ม แนวคิดน้ี นกัวชิาการไทยหลายท่านสนบัสนุน ไดแ้ก่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดํารงรา ชานุภาพ หลวงวิจิตรวาทการ (กิมเหลียงวฒันปฤดา)บริหารเทพธานีและพระยาอนุมานราชธน (ยง เสถียรโกเศศ ) หลักฐานที่ใช้ในแนวคิดน้ีมาจากหลักฐาน 3 แหล่งด้วยกัน ได้แก่หลักฐานประเภท ภาษาศาสตร์ความคลา้ยคลึงกนัดา้นภาษา หลกัฐานเอกสารจีน ที่นกัวิชาการตีความว่า ชนชาติที่ ปรากฏในเอกสารจีนน่าจะเป็นชนชาติไทย แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจุบนันักวิชาการส่วนใหญ่ไม่ ยอมรับแนวคิดดงักล่าวน้ีเนื่องจาก - พ้ืนฐานทฤษฎีมาจากการตีความภาษาในเอกสารจีนร่วมกบัหลกัฐานทางดา้นภาษาและ ความคล้ายคลึงของวัฒนธรรม แต่ว่ามีเหตุผลน้อยเกินไปในด้านความคล้ายของภาษา และ ขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นสิ่งที่สามารถถ่ายทอดกนัระหวา่งกลุ่มชนได้ - จากการค้นพบทางโบราณคดีที่หมู่บา้นซานซิงตุย มณฑลซื่อชน พ.ศ. 2519 พบ ประติมากรรมสําริดขนาดใหญ่จํานวนมากมีท้ังรูปคน ศีรษะและหน้าคน หล่อสําริดหลาย ขนาด เป็ นของปลายสมัยราชวงศ์ชาง ลว้นแต่มีรูปร่างสัณฐานและใชเ้ครื่องนุ่งห่มต่างจากชนชาติ ไทย จึงเป็นหลกัฐานยนืยนัวา่มิไดม้ีถิ่นเดิมอยใู่นบริเวณน้ี
50 2. แนวคิดชนชาติไทยเป็นเชื้อสายมองโกล มีถิ่นเดิมอยู่แถบเทือกเขาอลัไต แนวคิดน้ีเชื่อวา่ชนชาติไทยมีเช้ือสายมองโกล เป็นชาติที่มีความเก่าแก่และเจริญรุ่งเรืองมา ก่อนจีน ถิ่นเดิมน่าจะอยู่ในเขตอบอุ่นเหนือ ต่อมาไดเ้คลื่อนยา้ยมาสู่ประเทศจีนและต้งัอาณาจกัร ของตนข้ึนมาเรียกวา่อาณาจกัรอา้ยลาวจีนเรียกตา้มุง เมื่อประมาณ 1,700 ปีก่อนพุทธศกัราช ต่อมา เมื่อชาวจีนมีความเขม้แขง็ไดข้ยายอิทธิพลเขา้ไปในถิ่นของชาวไทยและแยง่ชิงพ้ืนที่ทาํมาหากิน ทาํ ให้ชาวไทยอพยพไปหาที่ทาํกินแหล่งใหม่เมื่อประมาณ 60 ปีก่อนพุทธศกัราช โดยอพยพลงไปสู่ ทางใตข้องจีน ต่อมาไดม้ีการขยายแนวคิดออกไป โดยนกัประวตัิศาสตร์รุ่นต่อมา ดร.วิลเลียม คลิฟตัน ดอดด์( William Clifton Dodd ) เป็นผรู้ิเริ่มแนวคิดน้ี มีนกัประวตัิศาสตร์รุ่นหลงัไดย้นืยนัและขยายแนวคิด เช่น ขนุวจิิตรมาตรา (รองอาํมาตย์ โท สง่ากาญจนาคพันธ์ ) หลกัฐานที่ใช้ในแนวคิดน้ีมีที่มาจากหลกัฐาน เอกสารของจีน พิจารณาความคล้ายคลึง ด้านภาษาและขนบธรรมเนียมประเพณีว่ามีความคลา้ยคลึงกนัระหว่างชนกลุ่มนอ้ยในไทยกบัจีน หลักฐานทางด้านภาษาจากการตีความคําบางคําในท้องถิ่น ปัจจุบนันกัวชิาการต่างปฏิเสธแนวคิดน้ีเพราะมีเหตุผลและหลกัฐานคดัคา้นหลายประการ เช่น - ที่นกัวิชาการไทยบางท่านเห็นว่า ไต ชื่อเทือกเขาอลัไตเป็นภาษาไทย หมายถึงไท น้นั ศาสตราจารยเ์ฉินหลวี่ฟ่าน แยง้ว่าอลัไตเป็นภาษาทูเจของเผ่าเช้ือสายตุรกีในจีน แปลว่า ทองคํา ท้งัน้ีเพราะเทือกเขาอลัไตอุดมไปดว้ยแร่ทองคาํมิไดเ้กี่ยวขอ้งกบัคาํวา่ ไท แต่อยา่งใด - สภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศของเทือกเขาอลัไตเป็นทุ่งหญา้เหมาะแก่การเล้ียงสัตว์ ไม่เหมาะกบัการดาํรงชีพของชนชาติไทย - พบภาพเขียนสีที่หนา้ผาทางดา้นใตข้องเทือกเขาอลัไตเป็นภาพสัตวต์ ่าง ๆ ภาพคนขี่มา้ล่า สัตว์ภาพการเล้ียงปศุสัตว์ภาพการฟ้อนรํา แสดงให้เห็นความเป็นอยู่และวฒันธรรมของกลุ่มชน เร่ร่อน มิใช่วฒันธรรมของไทย - การอพยพจากเทือกเขาอลัไตตอ้งเดินทางไกลมากผ่านทะเลทรายกวา้งใหญ่ทุรกนัดาร จึงไม่น่าเป็นไปได้หรือถา้เป็นไปไดก้็คงจะเหลือผรู้อดชีวติไม่มากนกั 3. แนวคิดถิ่นเดิมของชนชาติไทยอยู่บริเวณตอนใต้ของจีน แนวคิดน้ีเชื่อวา่ถิ่นเดิมของชนชาติไทยอยบู่ริเวณซ่ึงปัจจุบนัเป็นมณฑลหยนุหนาน เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง และมณฑลกว่างตงของจีน ตอนเหนือเวียดนาม รัฐชานของ พม่า และรัฐอัสสัมของอินเดีย อาร์ซิยอลด์รอสส์คอนคูน ( Archibale Ross Colqhoun ) เป็ นผู้ เสนอแนวคิดน้ีใน พ.ศ. 2426
51 แนวคิดน้ีได้รับการยอมรับสืบต่อมาในหมู่นักวิชาการไทยและต่างประเทศ เช่น พระยา ประชากิจกรจกัรพันตรีเอช.อาร์. เดวีส์( H. R. Davies ) วิลเฮล์ม เครดเนอร์ (Wilhelm Credner ) ศาสตราจารย์วิลเลียม เจ เกดนีย์( William J. Gedney ) ศาสตราจารย์ขจร สุขพานิช รวมท้งั นักวิชาการจีน เช่น ศาสตราจารยเ์จียงอิ้งเหลียง และศาสตราจารยเ์ฉินหลวฟี่่าน หลักฐานที่สําคญัซ่ึงเป็นพ้ืนฐานของแนวคิดน้ีคือ หลักฐานทางด้านมานุษยวิทยากับ หลักฐานทางด้านภาษาศาสตร์ เป็นหลกัฐานที่ไดม้าจากการศึกษาการต้งัถิ่นฐาน วิถีการดํารงชีวิต ในกลุ่มชนที่พูดภาษาตระกูลไทย พบวา่ชนกลุ่มน้ีต้งัถิ่นฐานกระจายเป็นบริเวณกวา้งทางตอนใต้ ของจีน ลกัษณะวฒันธรรมชนชาติไทยจะสัมพนัธ์กนั สรุปไดว้่า แนวคิดน้ีเป็นแนวคิดที่เป็นที่มีหลกัฐานทางโบราณคดีประวัติศาสตร์ นิรุกติ ศาสตร์ สนับสนุน จึงเป็นแนวคิดที่เป็นที่ยอมรับมากที่สุดร่วมกนั ในหมู่นกัวชิาการ 4. แนวคิดถิ่นเดิมของชนชาติไทยอยู่ในคาบสมุทรมลายูและหมูเกาะอนิโดนีเซีย แนวคิดน้ีเชื่อวา่คนไทยมีเช้ือสายมลายูมีถิ่นกาํเนิดในบริเวณหมู่เกาะอินโดนีเซีย ต่อมา อพยพมาทางเหนือยังประเทศไทย และข้ึนไปถึงมณฑลหยุนหนาน รูธ เบเนดิกต์( Ruth Benedict ) เป็นผูเ้สนอแนวคิดน้ีใน พ.ศ. 2485 มีนกัวิชาการไทยสนบัสนุน คือ นายแพทยส์มศกัด์ิพันธุ์สม บุญ หลกัฐานที่สนบัสนุนแนวคิดน้ีคือ ข้อมูลทางด้านมานุษยวิทยา หลักฐานทางการแพทย์ ด้านพันธุศาสตร์การตรวจสอบกลุ่มเลือดและรหสพันธุกรรม ั แนวคิดน้ีไม่เป็นที่ยอมรับ โดยมีเหตุผลและหลักฐานโต้แย้งคือ ไม่มีหลักฐานทาง ภาษาศาสตร์และประวัติศาสตร์สนับสนุน อีกท้งัขดักบัหลกัที่วา่วฒันธรรมยอ่มเคลื่อนยา้ยจากตน้ น้าํทางเหนือลงไปทางใต้ส่วนเรื่องหมู่เลือดไดใ้ช้วิธีการที่ทนัสมยัตรวจสอบพบว่า กลุ่มไทยดาํ และผูไ้ทยชนที่พูดภาษากลุ่มตระกูลไทในเวียดนาม มีหมู่เลือดใกลเ้คียงกบัคนจีน ไม่ใกลเ้คียงกบั คนมาเลเซียและคนเขมร 5. แนวคิดถิ่นเดิมของชนชาติไทยอยู่ในประเทศไทยปัจจุบัน แนวคิดน้ีเชื่อวา่ถิ่นเดิมของชนชาติไทยอยใู่นประเทศไทย ดร.ควอริตซ์ เวลส์ ( Quaritch Wales ) เป็นผูร้ิเริ่มแนวคิดน้ี มีผู้เชี่ยวชาญด้านกายวิภาค ศ า ส ต ร์ใ ห้ ก า ร ส นับ ส นุ น คื อ น า ย แ พ ท ย์สุ ด แ ส ง วิ เ ชี ย ร นอกจากน้ันยัง มี นักวิชาการ คือ ศรีศักร วัลลิโภดม และสุจิตต์วงษ์เทศ พ้ืนฐานขอ้มูลแนวคิดน้ีมาจากการตีความหลักฐานทางโบราณคดีและหลักฐานทาง ประวัติศาสตร์ หลักฐานทางโบราณคดีไดแ้ก่เครื่องมือเครื่องใชใ้นการดาํรงชีพสมยัต่าง ๆ โครง กระดูก ร่องรอยชุมชนที่มีหลกัฐานแสดงกิจกรรมต่าง ๆ ในอดีต โบราณสถาน โบราณวตัถุท้งั สมยัก่อนประวตัิศาสตร์และสมยัประวตัิศาสตร์
52 อย่างไรก็ตาม แนวคิดน้ีถูกคดัคา้นโดยนกัวิชาการบางท่าน เช่น ศาสตราจารยห์ม่อมเจา้ สุทรดิศ ดิศกุล ทรงมีความเห็นว่า โครงกระดูกมนุษยอ์าจแบ่งได้3 แบบ คือ คนผิวขาว คนผิว ดํา และคนผิวเหลือง เมื่อทราบว่าโครงกระดูกที่ขุดพบที่บา้นเก่า เป็ นโครงกระดูกคนผิวเหลือง แล้วถา้จะพิสูจน์วา่เป็นคนไทยก็ตอ้งพิสูจน์ให้ไดว้า่ ไม่ใช่คนชาติผิวเหลืองอื่น ๆ จึงจะลงความเห็น เป็นเช่นน้นั ได้นอกจากน้ียงัทรงเชื่อวา่คงมีคนไทยมาอยูใ่นประเทศไทยปัจจุบนันานแลว้แต่เป็น กลุ่มของชนกลุ่มนอ้ย ต่อมาคนไทยค่อย ๆ เพิ่มมากข้ึน โดยอพยพจากภาคตะวันออกเฉียงใต้ของ จีนตามหลักด้านภาษาศาสตร์
53 เรื่องที่ 2 ปัจจัยที่มีผลต่อการสถาปนาอาณาจักรไทย ปัจจัยที่มีผลต่อการสถาปนาอาณาจักรไทย การสถาปนาอาณาจกัรไทยท้งักรุงสุโขทยักรุงศรีอยธุยากรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ ลว้นเกิดจากปัจจยัที่แตกต่างกนัโดยปัจจยัหลกัๆ ไดแ้ก่ปัจจยัทางภูมิศาสตร์ปัจจยัทางการเมืองและ ประวัติศาสตร์ 1. กรุงสุโขทัย(พ.ศ. 1792 - 2006) ปัจจยัที่มีผลต่อการสถาปนากรุงสุโขทยัไดแ้ก่ 1) ปัจจัยทางภูมิศาสตร์การเลือกที่ต้งัเมืองหลวงในอดีตส่วนใหญ่มกัใกลแ้ม่น้าํแต่เมือง สุโขทยัไม่ไดต้้งัอยรู่ ิมน้าํเพราะแม่น้าํยมอยหู่ ่างจากตวัเมืองสุโขทยัไปประมาณ 13 กิโลเมตรการ เลือกต้งัเมืองหลวงที่สุโขทยัคงเป็นเพราะสุโขทยัเป็นเมืองสาํคญัมาแต่เดิมนอกจากน้ีการที่สุโขทยั ยงัต้งัอยทู่ ่ามกลางเทือกเขาถนนธงชยัเทือกเขาตะนาวศรีและเทือกเขาเพชรบูรณ์ทาํให้อากาศไม่ร้อน มากจนเกินไปและมีลมมรสุมพดัผา่นจึงทาํใหม้ีฝนตกชุกรวมท้งัมีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ 2) ปัจจัยทางการเมืองและประวัติศาสตร์ก่อนการสถาปนาอาณาจกัรสุโขทยัน้นั ในเขต สุโขทัยและศรีสัชนาลัย มีชุมชนที่มีผนู้าํไทยอยกู่ ่อนแลว้เช่นพอ่ขนุศรีนาวนาํถุมเจา้เมืองเชลียง พอ่ ขนุผาเมืองเจา้เมืองราดโอรสของพอ่ขนุศรีนาวนาํถุม และพอ่ขนุบางกลางหาวเจา้เมืองบางยาง (ต่อมาคือพอ่ขุนศรีอินทราทิตย)์ต่อมาเมื่อพ่อขนุศรีนาวนาํถุมสิ้นพระชนมลงขอมสบาดโขลญลํา ์ พง ซึ่งอาจเป็ นขุนนางเขมรได้เข้ายึดเมืองศรีสัชนาลัยสุโขทัย พอ่ขนุผาเมืองและพอ่ขนุบางกลาง หาวไดท้รงช่วยกนัต่อสู้ขบัไล่ขอมสบาดโขลญลาํพงและพอ่ขนุศรีอินทราทิตยส์ถาปนาอาณาจกัร สุโขทยัข้ึนมากล่าวไดว้า่บริเวณสุโขทยัมีพฒันาการทางการเมืองมานานแลว้ก่อนมีการสถาปนา อาณาจกัรดงัพบโบราณสถานที่มีอิทธิพลเขมรซ่ึงสร้างก่อนต้งักรุงสุโขทยัเช่นศาลตาผาแดงพระ ปรางค์วัดศรีสวายและวัดพระพายหลวงเป็ นต้น การสถาปนากรุงสุโขทยั อาณาจกัรสุโขทยัเป็นอาณาจกัรของคนไทยที่ไดร้ับการสถาปนาข้ึนใน พ.ศ. 1792 ก่อน หนา้ที่จะมีการสถาปนาอาณาจกัรสุโขทยัข้ึนมาน้นัสุโขทยัเป็นเมืองเก่าแก่ที่มีความเจริญรุ่งเรืองมา ก่อน จากการตีความในศิลาจารึกหลักที่ 2 (วัดศรีชุม) พอจะสรุปความไดว้า่เมืองสุโขทยัแต่เดิมมี ผู้นําคนไทยชื่อ พอ่ขนุศรีนาวนาํถุม เป็นเจา้เมืองปกครองอยู่ เมื่อพระองคส์ ิ้นพระชนม์ขอมส บาดโขลญลําพงขนุนางขอมไดน้าํกาํลงัเขา้ยดึกรุงสุโขทยัไวไ้ด้พอ่ขนุศรีอินทราทิตย์เมื่อพวกขอม เริ่มเสื่อมอาํนาจลง ในปี พ.ศ. 1780 ได้มีผู้นํา 2 ท่าน คือ พอ่ขนุบางกลางหาว และพอ่ขนุผา เมือง ซ่ึงเป็นผนู้าํคนไทยไดร้่วมมือกนัรวบรวมกาํลงัเขา้ขบัไล่ขอมออกจากดินแดนแถบน้ีและต้งั ตนเป็ น อิสระ พร้อมกบสถาปนากรุงสุโขทัยเป็ นราชธานีขอ ังอาณาจักรไทย และไดส้ถาปนาพอ่ ขนุบางกลางหาวข้ึนเป็นกษตัริยป์กครองกรุงสุโขทยัทรงพระนามวา่พอ่ขนุศรีอินทราทิตยน์บัเป็น
54 ปฐมกษัตริยแ์ห่งราชวงศส์ุโขทยัหรือราชวงศพ์ระร่วง นบัต้งัแต่พ.ศ.1792 เป็ นต้นมา ปัจจัยทเี่อือ้ต่อการสถาปนาอาณาจักรสุโขทยัเป็นราชธานีมีดังนี้ 1. ปัจจัยภายใน ไดแ้ก่การมีขวญัและกาํลงัใจดีของประชาชนเนื่องจากมีผนู้าํที่เขม้แขง็ และมีความสามารถ การมีนิสัยรักอิสระไม่ชอบใหผ้ใู้ดมากดขี่ข่มเหง บังคับและบ้านเมืองมีความ อุดมสมบูรณ์ 2. ปัจจัยภายนอกไดแ้ก่การเสื่อมอํานาจของขอมหลังจากที่พระเจ้าชัยวรมันที่7 สิ้นพระชนมลง์กษตัริยอ์งคต์ ่อมาไม่สามารถรักษาอาํนาจของตนในดินแดนที่ยดึครองมาได้ทําให้ หวัเมืองต่างๆพากนัต้งัตนเป็นอิสระ ระยะเริ่มตน้ของการสถาปนากรุงสุโขทยัเป็นราชธานีโดยเฉพาะในสมยัพอ่ขนุศรีอินทรา ทิตย์บา้นเมืองยงัไม่มนั่คงมากนกัคนไทยยงัอยกู่นัอยา่งกระจดักระจาย บางเมืองยังคงมีอิสระใน การปกครองตนเอง ไม่มีการรวมอาํนาจไว้ณ ศูนยก์ลางเมืองใดเมืองหนึ่งโดยตรง บางคร้ังจึงมีการ ทาํสงครามกนัเพื่อแยง่ชิงอาํนาจและขยายอาณาเขตของเมือง เช่น ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดได้ยก ทัพมาตีเมืองตากเมื่อสิ้นรัชสมยัของพอ่ขนุศรีอินทราทิตย์พระราชโอรสองคใ์หญ่ คือ พอ่ขนุบาน เมือง ไดข้้ึนครองราชย์ สมยัน้ีสุโขทยัไดข้ยายอาํนาจทางการเมืองดว้ยการทาํสงครามกบัหวัเมืองต่าง ๆ โดยมีพระ อนุชาคือ พระรามคําแหง เป็นกาํลงัสาํคญัซ่ึงต่อมาพระองคไ์ดข้้ึนครองราชยส์ืบต่อจากพอ่ขนุ บานเมือง พ่อขนุรามคาํแหงมหาราช ในสมยัพอ่ขนุรามคาํแหง พระองคท์รงเป็นแม่ทพัไปปราบ เมืองต่าง ๆ จนเป็ นที่เกรงขามของอาณาจักรอื่น ๆ ดงัน้นัเมื่อพระองคข์้ึนครองราชยจ์ึงมีหลายเมือง ที่ยอมอ่อนนอ้มเขา้รวมอยกู่บัอาณาจกัรสุโขทยั โดยพอ่ขนุรามคาํแหงมหาราชมิไดส้่งกองทพัไป รบ ทาํใหอ้าณาจกัรสุโขทยัมีอาณาเขตแผข่ยายออกไปกวา้งขวาง ดังปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ 1 ดงัน้ี ทิศเหนือ ครอบคลุมเมืองแพร่น่าน พลัว จนถึงเมืองหลวงพระบาง ทิศใต้ครอบคลุมเมืองคณฑี(กาํแพงเพชร) พระบาง (นครสวรรค์) แพรก(ชัยนาท) สุพรรณบุรีราชบุรี นครศรีธรรมราช จนถึงแหลมมลายู ทิศตะวันออก ครอบคลุมเมืองสระหลวงสองแคว (พิษณุโลก) ลุมบาจาย(หล่มเก่า) สระคา และขา้มฝั่งแม่น้าํโขงไปถึงเมืองเวยีงจนัทน์และเวยีงคาํ ทิศตะวันตก ครอบคลุมเมืองฉอด หงสาวดีจนถึงชายฝั่งทะเลดา้นอ่าวเบงกอล ขณะเดียวกนัพอ่ขุนรามคาํแหงมหาราชทรงใชห้ลกัธรรมในการปกครองเพื่อใหป้ระชาชน ไดอ้ยเู่ยน็เป็นสุข ดว้ยเหตุน้ีจึงทาํใหเ้จา้เมืองต่าง ๆ เหล่าน้ีสาํนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ทําให้ สุโขทัยปราศจากข้าศึกศัตรูในทุกทิศ นบัไดว้า่ ในสมยัพอ่ขนุรามคาํแหงมหาราช เป็นช่วงสมยัที่ อาณาจักรสุโขทัยมีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุดหลงัจากสิ้นรัชสมยัพอ่ขนุรามคาํแหงมหาราช มีกษัตริย์
55 ข้ึนครองราชย์อีก 2 พระองค์คือ พญาเลอไทยและพญางวั่นาํถม แต่อาณาจกัรสุโขทยัก็เริ่มเสื่อม อํานาจลง บรรดาเมืองต่าง ๆที่อยภู่ายใตก้ารปกครองของสุโขทยัไดแ้ยกตวัเป็นอิสระและเมือง ประเทศราชที่มีกาํลงัเขม้แขง็ต่างพากนัแยกตวัไม่ข้ึนต่อกรุงสุโขทยัเช่น เมืองพงสาวดีเมือง นครศรีธรรมราช เป็ นต้น นอกจากน้ีในตอนปลายรัชสมยัพญางวั่นาํถมยงัเกิดจลาจลข้ึน อีก เนื่องจากมีการแยง่ชิงราชสมบตัิจนพญาลิไทยเจา้เมืองศรีสัชนาลยัตอ้งยกกาํลงัมาปราบ ทําให้ บ้านเมืองสงบลงหลังทรงปราบจลาจลในกรุงสุโขทัยได้สําเร็จ พญาลิไทยไดป้ราบดาภิเษกข้ึนเป็น กษัตริย์ครองราชสมบัติทรงพระนามวา่ พระมหาธรรมราชาที่ 1 พระองค์ทรงพยายามสร้างอํานาจทางการเมือง เพื่อพัฒนา บา้นเมืองให้เขม้แขง็มาใหม่อยา่งไรก็ตามอาณาเขตของอาณาจกัรสุโขทยัในรัชสมยัพระมหาธรรม ราชาที่ 1 ก็ไดล้ดลงไปมากกวา่คร่ึงเมื่อเทียบกบัสมยัพอ่ขุนรามคาํแหงมหาราช ต่อมาเมื่อสิ้นรัช สมัยของพระมหาธรรมราชาที่ 1 แล้ว มีพระมหากษตัริยข์้ึนครองราชยส์ืบต่อมาอีก3 พระองค์คือ พระมหาธรรมราชาที่ 2 พระมหาธรรมราชาที่ 3 (ไสลือไทย) และพระมหาธรรม ราชาที่ 4 (บรมปาล) แต่ในช่วงเวลาดงักล่าวอาณาจกัรสุโขทยัเริ่มเสื่อมอาํนาจ กรุงสุโขทัย มีกษัตริย์ปกครอง 9 พระองค์ ดังนี้ กรุงสุโขทัย มีกษัตริย์ปกครอง 9 พระองค์ดงัน้ี 1. พอ่ขนุศรีอินทราทิตย์(พ่อขนุบางกลางหาว) 2. พอ่ขนุบานเมือง 3. พอ่ขนุรามคาํแหงมหาราช 4. พญาเลอไทย 5. พญางวั่นาํถม 6. สมเด็จพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไทย) 7. สมเด็จพระมหาธรรมราชาที่ 2 8. สมเด็จพระมหาธรรมราชาที่ 3 (ไสลือไทย) 9. สมเด็จพระมหาธรรมราชาที่ 4 (บรมปาล) 2. กรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. 1893 -2310) ปัจจัยทมี่ีผลต่อการสถาปนากรุงศรีอยุธยาได้แก่ 1) ปัจจัยทางภูมิศาสตร์กรุงศรีอยุธยามีสภาพภูมิศาสตร์ที่เหมาะสมต่อการสถาปนา อาณาจักรเนื่องจากต้งัอยบู่ริเวณที่ราบลุ่มกว้างใหญ่มีแม่น้าํลาํคลองหนองบึงมากและมีความอุดม สมบูรณ์ทาํใหก้ารเกษตรกรรมไดผ้ลดีรวมท้งัมีแม่น้าํสาํคญัหลายสายไหลผา่นคือแม่น้าํลพบุรีทาง เหนือแม่น้าํป่าสักทางตะวนัออกแม่น้าํเจา้พระยาทางตะวนัตกและทางใตก้รุงศรีอยธุยาจึงติดต่อกบั หวัเมืองต่างๆไดส้ะดวกรวมท้งัต้งัอยไู่ม่ไกลจากอ่าวไทยทาํใหก้รุงศรีอยธุยาพฒันาเป็นเมืองท่าที่
56 สาํคญัของภูมิภาคมีการติดต่อคา้ขายกบัดินแดนต่าง ๆ ท้งัที่อยใู่กลเ้คียงเช่นเขมรมอญและดินแดนที่ อยหู่ ่างไกลเช่นอินเดียจีนอาหรับและชาติตะวนัตกทาํให้ไดร้ับวฒันธรรมต่างชาติมาผสมผสานกนั 2) ปัจจัยทางการเมืองและประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยามีพัฒนาการมาจากอาณาจักรละโว้ และสุพรรณบุรีเมื่อพระเจา้อู่ทองมาต้งัเมืองที่กรุงศรีอยธุยาไดท้รงสร้างวงัที่บริเวณเวยีงเหล็กก่อน ต่อมาทรงเห็นวา่บริเวณหนองโสนหรือบึงพระรามในปัจจุบนัมีความเหมาะสมมากกวา่จึงทรงยา้ย วงัไปบริเวณหนองโสนจะเห็นไดว้า่การสถาปนากรุงศรีอยธุยาไดม้ีการพิจารณาท้งัในดา้น ภูมิศาสตร์และมีพฒันาการทางการเมืองการปกครองมาก่อนทาํใหก้รุงศรีอยธุยามีความพร้อมใน การต้งัเป็นอาณาจกัร การสถาปนากรุงศรีอยุธยา ในการศึกษาประวตัิศาสตร์ทาํใหเ้ราทราบวา่บรรพบุรุษของไทยเป็นผสู้ถาปนาอาณาจกัร สุโขทยัข้ึนในบริเวณลุ่มแม่น้าํเจา้พระยาตอนบนและในช่วงเวลาที่อาณาจกัรสุโขทยัเริ่มเสื่อมอาํนาจ ลงอาณาจักรอยธุยาก็สถาปนาข้ึน และดาํรงอยเู่ป็นราชธานีตลอดระยะเวลา 417 ปีจนกระทงั่กรุง ศรีอยุธยาเสียอิสรภาพใหแ้ก่พม่า ในปี พ.ศ.แล้ว สมเด็จพระเจา้ตากสินมหาราชไดก้อบกูเ้อกราช ของไทยคืนมา และสถาปนากรุงธนบุรีข้ึนเป็นราชธานีแห่งใหม่อาณาจกัรธนบุรีดาํรงอยมู่าได้15 ปีก็สิ้นสุดแผน่ดินสมเด็จพระเจา้ตากสินมหาราช ต่อมาในปีพ.ศ. 2325 สมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกมหาราช ทรงสถาปนาพระราชวงศจ์กัรีข้ึนปกครองแผน่ดินและต้งักรุงรัตนโกสินทร์เป็น ราชธานีแห่งใหม่ของไทยสืบต่อมาจนถึงปัจจุบนัน้ี พระเจา้อู่ทองผกู้่อต้งัอาณาจกัรอยธุยาก่อนที่พระเจา้อู่ทองจะเสด็จมาสร้างกรุงศรีอยธุยา เมื่อ พ.ศ. 1893 ไม่ปรากฏหลกัฐานแน่ชดัวา่พระองคม์ ีเช้ือสายมาจากราชวงศใ์ด และมีถิ่นกาํเนิดอยู่ ที่เมืองใด แต่มีขอ้สันนิษฐานวา่พระเจา้อู่ทองสืบเช้ือสายมาจากทางเหนือ ตอนบนของแม่น้าํ เจ้าพระยา ก่อนที่จะอพยพมาสร้างกรุงศรีอยธุยานอกจากน้ียงัมีความคิดเห็นที่แตกต่างออกไปวา่ พระเจ้าอู่ทองซ่ึงเป็นฝ่ายละโวไ้ดอ้ภิเษกสมรสกบัพระราชธิดาของกษตัริยแ์ห่งสุพรรณภูมิเพื่อ จุดมุ่งหมายทางการเมืองที่จะสร้างความมนั่คงใหก้บัอาณาจกัรต่อมาเมื่อเมืองอู่ทองเกิดโรคระบาด เกิดภยัธรรมชาติผู้คนล้มตายเป็ นจํานวนมาก พระเจา้อู่ทองจึงอพยพผคู้นไปยงัทาํเลที่มีน้าํอุดม สมบูรณ์(เชื่อกนัวา่เป็นบริเวณที่เป็นวดัพุทไธสวรรยน์ ปัจจุบนั ) ทรงสร้างเมืองใหม่ที่บริเวณหนอง โสนหรือบึงพระราม แล้วสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็ นราชธานีในปี พ.ศ. 1893 ทรงพระราชทาน นามพระนครวา่ "กรุงเทพทวารวดี ศรีอยุธยา" พระเจา้อู่ทองเสด็จข้ึนครองราชย์เป็ นปฐมกษัตริย์ ต้นราชวงศ์ อู่ทอง ทรงพระนามวา่ "สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1พระเจา้อู่ทอง
57 ทตี่ ้ังของกรุงศรีอยุธยา กรุงศรีอยธุยามีที่ต้งัที่เหมาะสม เนื่องจากมีแม่น้าํสาํคญั ไหลผา่นถึง3 สายไดแ้ก่แม่น้าํ ลพบุรี ไหลจากทางทิศเหนือออ้มไปทางทิศตะวนัตกแม่น้าํป่าสัก ไหลผา่นจากทิศตะวนัออก แม่น้าํ เจ้าพระยา ไหลจากทิศตะวนัตกออ้มไปทางทิศใตแ้ม่น้าํท้งั 3 สายน้ีไหลมาบรรจบกนั ล้อมรอบราชธานีทําให้กรุงศรีอยุธยามีลักษณะเป็ นเกาะที่มีสัณฐานคล้ายเรือสําเภา คนทวั่ ไปจึง เรียกอยธุยาวา่ "เกาะเมือง"อยุธยามีทําเลทางภูมิศาสตร์ที่เหมาะสมกบัการเป็นราชธานีคือ 1. เป็ นที่มีความอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การเพาะปลูก 2. สะดวกแก่การคมนาคม 3. มีความเหมาะสมด้านยุทธศาสตร์ 3. กรุงธนบุรี(พ.ศ. 2310 -2325) ปัจจยัที่มีผลต่อการสถาปนากรุงธนบุรีไดแ้ก่ 1) ปัจจัยทางภูมิศาสตร์เมื่อสมเด็จพระเจา้ตากสินมหาราชสถาปนาราชธานีแห่งใหม่ยงัเป็น ช่วงที่บา้นไม่มนั่คงการเลือกต้งัเมืองที่กรุงธนบุรีจึงคาํนึงถึงปัจจยัทางดา้นความมนั่คงเป็นหลกักรุง ธนบุรีอยใู่นจุดยทุธศาสตร์ที่ดีเพราะอยูร่ ิมแม่น้าํเจา้พระยาและอยไู่ม่ไกลจากอ่าวไทยหากขา้ศึกยก ทัพมาแล้วสู้ไม่ไดก้็สามารถหนีออกทางทะเลได้ 2) ปัจจัยทางการเมือง เมื่อกรุงศรีอยธุยาล่มสลายสมเด็จพระเจา้ตากสินมหาราชไดเ้ป็นผูน้าํ ในการขบัไล่กองทพัพม่าและสถาปนาตนข้ึนเป็นกษตัริยต์ ้งัราชธานีใหม่ที่กรุงธนบุรีเพราะกรุงศรี อยธุยาเสียหายจนยากจะฟ้ืนคืนดงัเดิม การสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี เมื่อพระยาตากกูเ้อกราชไดส้ ําเร็จไดโ้ปรดใหขุ้ดพระบรมศพพระเจา้เอกทศัข้ึนมาถวายพระ เพลิงอยา่งสมพระเกียรติประชาชนต่างก็ยอมรับพระเจา้ตากเป็นพระเจา้แผน่ดิน จึงได้ทรง ปราบดาภิเษกข้ึนเป็นพระมหากษตัริย์ใน พ.ศ. 2311 และยงัไดท้รงเก้ือกูลพระราชวงศ์ของกรุงศรี อยธุยาหลายพระองคท์ ี่ประชวรอยหู่ลงัจากกอบกูเ้อกราชไดแ้ลว้ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงมีพระราชดาํริวา่ กรุงศรีอยุธยามีสภาพทรุดโทรมมาก ไม่สามารถซ่อมแซมฟ้ืนฟูใหก้ลบัคืน สภาพเดิมได้ปราสาทราชมณเฑียร วดัวาอารามพงัยอ่ยยบั จึงทรงตัดสินพระทยัสร้างราชธานีใหม่ ข้ึนที่เมืองธนบุรีซ่ึงมีขอบเขตของราชธานีครอบคลุมสองฝั่งน้าํ โดยมีแม่น้าํเจา้พระยาตดัผา่นกลาง เมือง
58 สาเหตุทยี่้ายเมืองหลวงจากกรุงศรีอยุธยามาอยู่ทกี่รุงธนบุรี 1. กรุงศรีอยุธยาชํารุดเสียหายมาก ไม่สามารถบูรณปฏิสังขรณ์ใหม้ีสภาพเหมือนเดิม ได้ 2. กาํลงัพลของพระองคม์ ีนอ้ย ไม่สามารถรักษากรุงศรีอยธุยาที่เป็นเมืองใหญ่ได้ 3. ข้าศึกรู้ทิศทางที่จะมาตีกรุงศรีอยุธยาดีแล้ว 4. กรุงศรีอยธุยาต้งัอยไู่กลจากปากแม่น้าํมากเกินไป ไม่สะดวกต่อการติดต่อคา้ขายกบั ต่างชาติที่มีจาํนวนเพิ่มข้ึนเรื่อย ๆ สาเหตุที่ทรงเลือกกรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวง 1. กรุงธนบุรีเป็ นเมืองเล็ก เหมาะต่อการป้องกนัรักษา 2. กรุงธนบุรีต้งัอยใู่กลป้ากแม่น้าํทาํใหส้ะดวกต่อการติดต่อคา้ขายกบัต่างชาติและการ ควบคุมการลําเลียงเสบียงอาหาร 3. กรุงธนบุรีต้งัอยใู่กลท้ะเล หากขา้ศึกมีแต่ทพับกไม่มีทพัเรือก็ยากที่จะชนะได้และหาก ต้งัรับไม่ไหวก็สามารถยกพลทางเรือไปต้งัรับที่จนัทบุรีได้ 4. กรุงธนบุรีเป็นแหล่งรวมขวญัและกาํลงัใจของคนได้ดีเพราะต้งัอยไู่ม่ไกลจากกรุงศรี อยุธยา 4. กรุงรัตนโกสินทร์(พ.ศ. 2325 - ปัจจุบัน) ปัจจยัที่มีผลต่อการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ไดแ้ก่ 1) ปัจจัยทางการเมือง ในช่วงปลายสมยัธนบุรีเกิดความไม่สงบข้ึนในบา้นเมืองและเกิด กบฎพระยาสรรค์หลังจากปราบกบฎพระยาสรรค์แล้วสมเด็จพระยามหากษัตริย์ศึกได้สถาปนา ราชวงศจ์กัรีและกรุงรัตนโกสินทร์พร้อมกบัสาํเร็จโทษสมเด็จพระเจา้ตากสินมหาราชตามธรรม เนียมการเมืองในอดีต 2) ปัจจัยทางภูมิศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์ถูกต้งัข้ึนบนฝั่งตะวนัออกของแม่น้าํเจา้พระยา ตรงขา้มกบักรุงธนบุรีการยา้ยเมืองหลวงมายงัที่ใหม่หรือฝั่งกรุงเทพ ฯเพราะมีพ้ืนที่กวา้งขวางกวา่ กรุงธนบุรีซ่ึงเหมาะแก่การขยายบา้นเมืองต่อไปในอนาคตนอกจากน้ีกรุงเทพ ฯยงัมีที่ต้งัที่ดีในการ ติดต่อคา้ขายกบัต่างชาติเพราะอยใู่กลป้ากอ่าวไทย
59 เรื่องที่ 3 การปฏิรูปประเทศในสมัยรัชกาลที่5 การปฏิรูปประเทศสมัยรัชการที่5 ในสมยัพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้เจา้อยหู่วัเป็นยคุ แห่งการล่าอาณานิคมของชาวตะวนัตกโดยเฉพาะอยา่งยงิ่องักฤษ และฝรั่งเศส ทําให้ประเทศเพื่อนบ้านของไทยต้องตกเป็ น อาณานิคมของประเทศท้งัสอง ส่วนประเทศไทยเป็นประเทศเดียว ที่มิไดเ้ป็นอาณานิคมของชาติใด ประเทศมหาอาํนาจต่าง ๆ จึงแข่งขนักนัเพื่อเขา้มามีอิทธิพลเหนือประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้เจา้อยหู่วัจึงไดท้รงดาํเนิน นโยบายทางการทูต เพื่อมิให้ประเทศมหาอํานาจฝ่ ายใดฝ่ ายหนึ่ง ถือเป็นขอ้อา้งในการยดึครองประเทศไทยโดยการเร่งพฒันา ประเทศใหม้ีความเจริญในดา้นต่าง ๆ อยา่งรวดเร็วและศึกษาหา ความรู้ความเขา้ใจในภาษาวฒันธรรม และสถานการณ์ต่าง ๆ ของชาติตะวันตก อนัจะทาํใหก้ารเจรจากบั ประเทศเหล่าน้นัดีข้ึน พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้เจา้อยหู่วัมีแนวความคิดที่มีประโยชน์ต่อการปกครองอยา่งยงิ่ 2 ประการ คือ 1) การศึกษาภาษาต่างประเทศ พระองคท์รงศึกษาภาษาองักฤษอยา่งจริงจงัเพื่อจะไดใ้ช้ เจรจากบั ประเทศมหาอาํนาจกบัส่งเสริมให้ข้าราชการได้ศึกษาหาความรู้ให้สามารถเข้าใจ ภาษาต่างประเทศจะไดไ้ม่เสียเปรียบชาวต่างประเทศ 2) การบริหารราชการแผน่ดิน พระองคท์รงจา้งผูเ้ชี่ยวชาญต่างประเทศมาช่วยราชการดา้น ต่าง ๆ เช่น ครูฝึกทหารครูสอนภาษาองักฤษ ผจู้ดัการท่าเรือผูอ้าํนวยการศุลกากรเป็นต้น เพื่อ พฒันาใหป้ระเทศไทยมีความเจริญในดา้นต่าง ๆ ขณะเดียวกนัก็ฝึกใหข้า้ราชการไทยไดม้ีความรู้ ความสามารถในการปฏิบตัิราชการต่อไปดว้ย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้เจา้อยหู่วัทรงปฏิรูปการปกครอง เพราะทรงเห็นวา่เป็น หนทางหนึ่งที่จะรักษาเอกราชของบ้านเมืองไวไ้ดใ้นช่วงการขยายลทัธิจกัรวรรดินิยมของชาติ ตะวนัตก การปรับปรุงการปกครองใหท้นัสมยัทาํใหช้าวต่างชาติเห็นวา่ ประเทศไทยเป็นประเทศ ที่เจริญแลว้ สามารถปกครองดูแลพฒันาบา้นเมืองได้นอกจากน้ียงัทาํใหเ้ศรษฐกิจดีข้ึน ประชาชน มีความเป็นอยดู่ ีข้ึน ประเทศชาติมีรายไดใ้นการทาํนุบาํรุงบา้นเมืองมากข้ึน ทาํใหส้ายตาของ ชาวต่างชาติมองประเทศไทยต่างจากประเทศเพื่อนบา้นอื่น ๆ และดว้ยการวางวเิทโศบายทางการทูต กบัชาติตะวนัตกอยา่งเหมาะสม ยอมรับวา่ชาวยโุรปเป็นชาติที่เจริญ ให้เกียรติและยกยอ่ง พร้อมกบั เปลี่ยนแปลงวธิีปฏิบตัิบางอยา่ง เพื่อใหเ้ห็นวา่ ไทยไม่ใช่ชนชาติป่าเถื่อน เช่น ใหข้า้ราชการสวมเส้ือ เวลาเขา้เฝ้า นอกจากน้นัยงัยอมผอ่นปรนอยา่งชาญฉลาด แมจ้ะเสียผลประโยชน์หรือดินแดนไป
60 บา้งแต่ก็เป็นส่วนนอ้ยยงัสามารถรักษาส่วนใหญ่ไวไ้ด้ทาํใหป้ระเทศไทยคงความเป็นชาติที่มีเอก ราชมาได้ตลอด พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้เจา้อยหู่วัทรงมีแนวความคิดในการปฏิรูปการ ปกครองอยู่3 ประการ คือ 1) การรวมอาํนาจเขา้สู่ส่วนกลางมากข้ึน ท้งัน้ีเพื่อมิใหช้าติตะวนัตกอา้งเอาดินแดนไปยดึ ครองอีกถา้อาํนาจของรัฐบาลกลางแผไ่ ปถึงอาณาเขตใด ก็เป็นการยนืยนัวา่เป็นอาณาเขตของ ประเทศไทย 2) การศาลและกฎหมายที่มีมาตรฐาน จากการยอมเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตในรัชกาล ที่ 4 เป็นเพราะประเทศอาณานิคมอา้งวา่ศาลไทยไม่มีคุณภาพ ไม่ไดม้าตรฐาน ดงัน้นัรัชกาลที่5 จึง ทรงพระราชดาํริที่จะปรับปรุงการศาลยตุิธรรมและกฎหมายไทยใหเ้ป็นสากลมากข้ึน 3) การพัฒนาประเทศ พระองคท์รงริเริ่มนาํสิ่งใหม่ๆ เขา้มาใชเ้พื่อพฒันาประเทศในดา้น ต่าง ๆ เช่น สร้างถนน ขดุคูคลองจดัใหม้ีการปกครองไฟฟ้าไปรษณีย์โทรเลขรถไฟ เป็นตน้ การปฏิรูปการปกครองของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้เจา้อยหู่วั ไดก้่อใหเ้กิดการจดั ระเบียบการปกครองที่สําคัญ จําแนกได้ 3 ส่วน คือ 1) การปกครองส่วนกลาง การปรับปรุงการบริหารราชการในส่วนกลางของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้เจา้อยหู่วั รัชกาลที่ 5 คือ ทรงยกเลิกตาํแหน่งอคัรเสนาบดี2 ตาํแหน่งคือ สมุหกลาโหม และสมุหนายก รวมท้งัจตุสดมภ์โดยแบ่งการบริหารราชการออกเป็นกระทรวงตามแบบอารยประเทศ และให้มี เสนาบดีเป็นผวู้า่การแต่ละกระทรวงกระทรวงที่ต้งัข้ึนท้งัหมด เมื่อ พ.ศ.2435 มี 12 กระทรวง คือ (1) มหาดไทย รับผิดชอบหัวเมืองฝ่ ายเหนือและเมืองลาว (2) กลาโหม รับผิดชอบหัวเมืองฝ่ ายใต้ หัวเมืองฝ่ ายตะวันออก ตะวันตก และเมืองมลายู (3) ต่างประเทศรับผดิชอบเกี่ยวกบัการต่างประเทศ (4) วงัรับผดิชอบเกี่ยวกบักิจการในพระราชวงั (5) เมืองหรือนครบาลรับผดิชอบเกี่ยวกบัการตาํรวจและราชทณัฑ์ (6) เกษตราธิการรับผิดชอบเกี่ยวกบัการเพาะปลูกเหมืองแร่ ป่าไม้ (7) คลงัรับผดิชอบเกี่ยวกบัภาษีอากรและงบประมาณแผน่ดิน (8) ยตุิธรรม รับผิดชอบเกี่ยวกบัการชาํระคดีและการศาล (9) ยทุธนาธิการรับผดิชอบเกี่ยวกบัการทหาร (10) ธรรมการรับผดิชอบเกี่ยวกบัการศึกษาการสาธารณสุขและสงฆ์ (11) โยธาธิการรับผดิชอบเกี่ยวกบัการก่อสร้างถนน คลองการช่างไปรษณียโ์ทรเลขและ รถไฟ (12) มุรธาธิการรับผดิชอบเกี่ยวกบัการรักษาตราแผน่ดิน และงานระเบียบสารบรรณ ภายหลงัไดย้บุกระทรวงยุทธนาธิการไปรวมกบักระทรวงกลาโหม และยบุกระทรวงมุรธาธิการ
61 ไปรวมกบักระทรวงวงัคงเหลือเพียง 10 กระทรวง เสนาบดีทุกกระทรวงมีฐานะเท่าเทียมกนัและ ประชุมร่วมกนัเป็นเสนาบดีสภา ทาํหนา้ที่ปรึกษาและช่วยบริหารราชการแผน่ดินตามที่ พระมหากษัตริย์ทรงมอบหมาย เพราะอํานาจสูงสุดเด็ดขาดเป็ นของพระมหากษัตริย์ตามระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้เจา้อยหู่วัยงัทรงแต่งต้งั"สภาที่ปรึกษาในพระองค"์ซ่ึง ต่อมาไดเ้ปลี่ยนเป็น "รัฐมนตรีสภา" ประกอบดว้ยเสนาบดีหรือผแู้ทน กบัผทู้ี่โปรดเกลา้ฯ แต่งต้งั รวมกนัไม่นอ้ยกวา่ 12 คน จุดประสงค์เพื่อให้เป็ นที่ปรึกษาและคอยทัดทานอํานาจพระมหากษัตริย์ แต่การปฏิบตัิหนา้ที่ของสภาดงักล่าวไม่ไดบ้รรลุจุดประสงคท์ ี่ทรงหวงัไว้เพราะสมาชิกส่วนใหญ่ ไม่กลา้โตแ้ยง้พระราชดาํริคณะที่ปรึกษาส่วนใหญ่มกัพอใจที่จะปฏิบตัิตามมากกวา่ที่จะแสดงความ คิดเห็น นอกจากน้ีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้เจา้อยหู่วัยงัทรงแต่งต้งั"องคมนตรีสภา"ข้ึนอีก ประกอบดว้ยสมาชิกเมื่อแรกต้งัถึง 49 คน มีท้งัสามญัชน ต้งัแต่ช้นัหลวงถึงเจา้พระยาและพระ ราชวงศ์องคมนตรีสภาน้ีอยใู่นฐานะรองจากรัฐมนตรีสภา เพราะขอ้ความที่ปรึกษาและตกลงกนั ใน องคมนตรีสภาแลว้จะตอ้งนาํเขา้ที่ประชุมรัฐมนตรีสภาก่อนแลว้จึงจะเสนอเสนาบดีกระทรวงต่าง ๆ 2) การปกครองส่วนภูมิภาค พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยหู่วัทรงมีพระราชดาํริใหย้กเลิกการปกครองหวัเมือง และใหเ้ปลี่ยนแปลงเป็นการปกครองส่วนภูมิภาคโดยโปรดเกลา้ฯ ให้ตราพระราชบญัญตัิลกัษณะ ปกครองท้องที่ ร.ศ.116 ข้ึน เพื่อจดัการปกครองเป็นมณฑลเมืองอาํเภอ ตาํบลและหมู่บา้น ดงัน้ี (1) มณฑลเทศาภิบาล ประกอบดว้ยเมืองต้งัแต่2 เมืองข้ึนไป มีสมุหเทศาภิบาล ที่ พระมหากษตัริยท์รงแต่งต้งัไปปกครองดูแลต่างพระเนตรพระกรรณ (2) เมือง ประกอบดว้ยอาํเภอหลายอาํเภอ มีผวู้า่ราชการเมืองเป็นผูร้ับผิดชอบ ข้ึนตรงต่อ ข้าหลวงเทศาภิบาล (3) อําเภอ ประกอบด้วยท้องที่หลาย ๆ ตําบล มีนายอําเภอเป็ นผู้รับผิดชอบ (4) ตําบล ประกอบด้วยท้องที่ 10 -20 หมู่บา้น มีกาํนนัซ่ึงเลือกต้งัมาจากผใู้หญ่บา้นเป็น ผู้รับผิดชอบ (5) หมู่บา้น ประกอบดว้ยบา้นเรือนประมาณ 10 บา้นข้ึนไป มีราษฎรอาศยัประมาณ 100 คน เป็นหน่วยปกครองที่เล็กที่สุด มีผใู้หญ่บา้นเป็นผูร้ับผิดชอบ ต่อมาในสมยัพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้เจา้อยหู่วั ไดย้กเลิก มณฑลเทศาภิบาลและ เปลี่ยน เมือง เป็ น จังหวัด 3) การปกครองส่วนทอ้งถิ่น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้เจา้อยหู่วัทรงจดัใหม้ีการบริหารราชการส่วนทอ้งถิ่นในรูป สุขาภิบาล ซึ่งมีหน้าที่คล้ายเทศบาลในปัจจุบนัเป็นคร้ังแรกเมื่อ พ.ศ.2440 โดยโปรดเกล้าฯ ให้ตรา
62 พระราชกาํหนดสุขาภิบาลกรุงเทพฯ ร.ศ.116 (พ.ศ.2440) ข้ึนบงัคบัใชใ้นกรุงเทพฯ ต่อมาใน ร.ศ. 124 (พ.ศ. 2448) ไดข้ยายไปที่ท่าฉลอม ปรากฏวา่ดาํเนินการไดผ้ลดีเป็นอยา่งมาก ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้เจา้อยหัวได้โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติจัดการสุขาภิบาล ร. ู่ ศ.127 (พ.ศ.2451) ข้ึน โดยแบ่งสุขาภิบาลออกเป็น 2 ประเภท คือ สุขาภิบาลเมืองและสุขาภิบาล ตาํบล ทอ้งถิ่นใดเหมาะสมที่จะจดัต้งัเป็นสุขาภิบาลประเภทใด ก็ใหป้ระกาศต้งัสุขาภิบาลในทอ้งถิ่น น้นั แมว้า่การปกครองในสมยัรัตนโกสินทร์จะเป็นแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์แต่พระราช กรณียกิจบางประการของพระมหากษตัริยก์ ็ถือไดว้า่เป็นการปูพ้ืนฐานการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยโดยเฉพาะในสมยัพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้เจา้อยหู่วัที่ไดท้รงดาํเนินการ ดงัต่อไปน้ี 1) การเลิกทาส ทรงประกาศเลิกทาสเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2417 นโยบายการเลิกทาสของพระองคน์ ้นั เพื่อใหป้ระชาชนมีสิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาคทดัเทียมกนัอนัเป็นหลกัการสาํคญัของระบอบ ประชาธิปไตย 2) การสนับสนุนการศึกษา ทรงจดัต้งัโรงเรียนเพื่อสนบัสนุนใหค้นไทยไดม้ีโอกาสเล่าเรียน ศึกษาหาความรู้ต้งัทุน พระราชทาน ส่งผมู้ีความสามารถไปศึกษาต่อต่างประเทศจากการสนบัสนุนการศึกษาอยา่ง กวา้งขวางน้ีนบัไดว้า่เป็นรากฐานของการเปลี่ยนแปลงแนวความคิดในการปกครองประเทศสู่ ระบอบประชาธิปไตยในเวลาต่อมา 3) การปฏิรูปการปกครอง ทรงเปิ ดโอกาสให้ข้าราชการมีส่วนรับผดิชอบในการบริหารมากข้ึน ทรงสนบัสนุนการ ปกครองทอ้งถิ่นดว้ยการจดัต้งัสุขาภิบาล ทาํใหป้ระชาชนธรรมดามีส่วนและมีโอกาสเรียนรู้ ประสบการณ์การบริหารการปกครอง ตามหลกัการประชาธิปไตยที่ตอ้งการใหป้ระชาชนมีส่วนใน การปกครองบ้านเมือง
63 เรื่องที่ 4 การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 หลังจากที่รัชกาลที่ 7 ทรงครองราชย์ได้ 7 ปีคณะผูก้่อการซ่ึง เรียกตวัเองวา่ “คณะราษฎร์” ประกอบด้วยทหารบก ทหารเรือ และพลเรือน จํานวน 99 คน ได้ทําการยึดอํานาจและเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราช หรือ “ราชาธิป ไตย” มาเป็ นระบบการปกครองแบบ “ประชาธิปไตย” และได้อัญเชิญรัชกาลที่ 7 ข้ึนเป็นกษตัริย์ ภายใตร้ัฐธรรมนูญ นบัไดว้า่รัชกาลที่7 ทรงเป็ นกษัตริย์องค์แรกในระบอบประชาธิปไตย การยึดอ านาจในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎร ได้ใช้กลลวง นําทหารบกและทหารเรือมารวมตัว กนับริเวณรอบ พระที่นงั่อนนัตสมาคม ประมาณ 2000 คน ต้งัแต่เวลาประมาณ 5 นาฬิกาโดยอา้งวา่ เป็นการสวนสนาม จากน้นันายพนัเอกพระยาพหลพลพยหุเสนาไดอ้่าน ประกาศคณะราษฎร ฉบบั ที่ 1 ณ บริเวณลานพระบรมรูปทรงมา้เสมือน ประกาศยดึอาํนาจการปกครองก่อนจะนาํกาํลงัแยก ยา้ยไปปฏิบตัิการต่อไป มูลเหตุของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 1. ภาวะเศรษฐกิจตกต่าํทวั่ โลก หลงัสงครามโลกรัฐบาลตอ้งการลดรายจ่ายโดยปลด ขา้ราชการบางส่วนออกผถูู้กปลดไม่พอใจ 2.ผทู้ี่ไปเรียนจากต่างประเทศเมื่อกลบัมาแลว้ตอ้งการเปลี่ยนแปลงประเทศให้ทนัสมยั เหมือนประเทศที่เจริญแล้ว 3.ความเหลื่อมล้าํต่าํสูงระหวา่งขา้ราชการและประชาชน จึงตอ้งการสิทธิเสมอภาคกนั 4.ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชยไ์ม่สามารถแกป้ ัญหาพ้ืนฐานชีวิตของราษฎรได้ ลักษณะการปกครองหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475
64 1.พระมหากษัตริย์ทรงเป็ นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ 2.รัฐธรรมนูญเป็ นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ 3.อ านาจอธิปไตย เป็ นของปวงชนชาวไทยและเป็ นอ านาจสูงสุดในการปกครอง ประเทศ 4.ประชาชนใช้อ านาจอธิปไตยผ่านทางรัฐสภา รัฐบาลและศาล 5.ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน 6.ประชาชนเลือกตัวแทนในการบริหารประเทศ ซึ่งเรียกว่า รัฐบาล หรือ คณะรัฐมนตรี 7.ในการบริหารราชการแผ่นดิน แบ่งเป็ น 3 ส่วน คือ -การปกครองส่วนกลาง แบ่งเป็ น กระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ -การปกครองส่วนภูมิภาค แบ่งเป็ น จังหวัด และอ าเภอ -การปกครองส่วนท้องถิ่นแบ่งเป็ นองค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาลสุขาภิบาล และองค์การบริหารส่วนต าบล การเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทยเป็นไปอยา่งสงบไม่รุนแรงเหมือนบางประเทศ อยา่งไรก็ตามลกัษณะการเมืองการปกครอง มิไดเ้ป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์อาํนาจบางส่วนตก อยกู่บัผนู้าํทางการเมือง หรือผบู้ริหารประเทศ มีการขดัแยง้กนั ในดา้น นโยบาย มีการแยง่ชิง ผลประโยชน์เป็นเหตุใหเ้กิดการปฏิวตัิรัฐประหารข้ึนหลายคร้ังระบบการปกครองของไทยจึงมี ลกัษณะกลบัไปกลบัมาระหวา่งประชาธิปไตยกบัคณาธิปไตย(การปกครองโดยคณะปฏิวตัิ)ปฏิวตัิ .....รัฐประหารและกบฏ ในประวัติศาสตร์ไทย ในความขดัแยง้ของอาํนาจและผลประโยชน์(ที่ไม่ใช่อุดมการณ์หรือความคิดเช่นใน สมยัก่อน)ฝ่ายหน่ึงไดน้าํคาํวา่"กบฏ " มาใชอ้ยา่งมนั่ใจและนาํมาใชก้บัฝ่ายที่เป็นผรู้ัฐประหาร และสามารถยึดครองการปกครองรัฐได้เป็ นผลสําเร็จ คาํวา่กบฏ หากจาํไม่ผด มันเป็ นคําที่แสดงความหมายของ " ผู้ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงการ ิ ปกครองจากกลุ่มคนชนช้นั ปกครองหรือรัฐเดิม แต่ไม่ประสบความสาํเร็จในการกระทาํการ ใด ๆ เพื่อการเปลี่ยนแปลงไปสู่จุดมุ่งหมายของตน " การวางยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่หลากหลายในการทําสงครามเพื่อเอาชนะฝ่ายตรงขา้มเป็นสิ่ง ที่ทุกคนตอ้งการแต่ยทุธวธิีที่หลากหลายน้นัมนัไดย้อ้นกลบัและมีผลกระทบใน "ความจริง" ความจริงที่กาํลงัฟ้องใหเ้ห็นวา่จุดมุ่งหมายหรือ"อุดมการณ์"ของการประทว้งที่กล่าวอา้ง น้นั มันได้มี ปรากฏการณ์ขัดแย้งในตัวของมันเองตลอดเวลา ความลกัหลนั่เหล่าน้นักาํลงักดั กร่อน "ความเชื่อมนั่"และ"ศรัทธา" ของผูร้ักประชาธิปไตยที่ไม่ตอ้งการอาํนาจเผด็จการทหาร ใหเ้ห็นความจริงมากข้ึนทุกขณะ
65 ย้อนกลับไปในสมัยสุโขทัย ในฐานะของรัฐ เป็ นราชธานีของบรรพบุรุษที่กลายมาเป็ นคน ไทยในปัจจุบันสายหนึ่ง "การปฏิวตัิคร้ังแรก" เกิดข้ึนเพื่อการชิงอาํนาจระหวา่งกลุ่มขอมพระนคร และกลุ่มขอม-ไท ขอมพระนครคือสมาดโขลญลําพง ขอม-ไท คือพอ่ขุนศรีนาวนาํถม ขอมพระนคร เขา้ยดึอาํนาจจากเจา้นายทอ้งถิ่นคือพอ่ขนุศรีนาวนาํถม หลงัจากการสิ้นสลายของอาํนาจใน ศูนย์กลางที่นครธมหลังสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ขอมพระนครครองอาํนาจในสุโขทยัไดร้ะยะหน่ึงจารึกวดัศรีชุมก็เขียนวา่พ่อขุนบางกลาง หาวและพอ่ขนุผาเมือง รวบรวมไพร่พลที่เมืองบางขลุงทางทิศใตข้องสุโขทยัและเขา้ยึดอาํนาจจาก กษัตริย์สายขอมพระนครได้สําเร็จ เป็นการปฏิวตัิของคนเช้ือสายขอม -ไท - สยาม จึงถือวา่นี่คือเหตุการณ์"ปฏิวตัิรัฐประหารคร้ังแรกของประวตัิศาสตร์ชาติ" ส่วนสมาด โขลญลาํพงก็ยงัไม่นบัวา่เป็น "กบฏ" เพราะสามารถทาํการโค่นลม้ สายพอ่ขนุเจา้เก่าแห่งสุโขทยั ไดเ้ช่นกนั ส่วนการกบฏคร้ังแรกของประวตัิศาสตร์ชาติเป็ นเหตุการณ์ในจารึกหลักที่ 1 นนั่คือการ กบฏของขนุสามชน เจา้เมืองฉอด ที่ยกพลไกรเขา้มาหมายยดึอาํนาจในรัฐสุโขทยัจากพอ่ขนุรามราช (กาํแหง) แลว้ในสมยักรุงศรีอยุธยาล่ะการปฏิวตัิรัฐประหารและการกบฏ เกิดข้ึนคร้ังแรกเมื่อไหร่ การปฏิวตัิคร้ังแรกของกรุงศรีอยธุยาก็เริ่มทนัทีทนั ใดเมื่อพระเจา้อู่ทองสวรรคต พระราเมศวรข้ึน ครองราชย์ก็ถูกขนุหลวงพะงวั่เขา้ยดึอาํนาจรัฐและเนรเทศพระองคไ์ปลพบุรี ด้วยหลักฐาน พงศาวดารในช่วงยคุตน้ของกรุงศรีอยธุยาน้นั ไม่มีบนัทึกและถูกทาํลายไปมากการกบฏคร้ังแรกจึง ตอ้งยกมาอยใู่นสมยัของพระเพทราชา เรียกวา่"กบฏธรรมเสถียร" ซ่ึงธรรมเสถียรมีรูปร่างหนา้ตา คลา้ยกบัเจา้ฟ้าอภยัทศ พระอนุชาของพระนารายณ์ธรรมเสถียรได้รวบรวมผู้คนจากเขตพระนคร ใหม่อยา่งลพบุรีและสระบุรีเขา้ตีกรุงศรีอยธุยาอยา่งลบัๆ แต่บงัเอิญความแตกจึงพา่ยแพใ้นการ ช่วงชิงอาํนาจ ความขัดแยง้อุดมการณ์ความไม่พอในอาํนาจและผลประโยชน์นาํไปสู่การรัฐประหาร"คร้ัง แรก" ในระบอบประชาธิปไตย (แบบคณะราษฎร์ แบบบาง ๆ ) เป็ นการปฏิวัติการเองภายในของ เหล่าผยู้ดึอาํนาจโดยมีพนัโทหลวงพิบูลสงครามเป็นหวัหนา้และผลกัดนั ใหพ้นัเอกพระยาพหลพล พยุหเสนา เป็ นหน้าเสื่อ หน้าไฟ หลงัจากน้นั 4 เดือน ความไม่ชดัเจนในอุดมการณ์ของผยู้ดึอาํนาจไดน้าํไปสู่การก่อการ "กบฏ"คร้ังแรก ดว้ยเพราะความวติกกงัวลในความไม่ชดัเจนน้นัจะก่ออนัตรายต่อสถาบนั พระมหากษัตริย์ และประเทศชาติ พลเอกพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช เสนาบดีกระทรวงกลาโหมในยคุก่อนการ เปลี่ยนแปลงการปกครอง เป็นแกนหลกัสาํคญั ในการก่อการ"ตกัเตือน" ดว้ยกาํลงัทหารจากโคราช
66 และหวัเมืองรอบนอกไม่ให้คณะปฏิวตัิตวัเองของคณะราษฎร์เดินนโยบายไปสู่ ลัทธิ"คอมมิวนิสต์"อนัจะเป็นภยัร้ายต่อสถาบนัสูงสุดของชาติและประชาชน "กบฏบวรเดช" จึงถือเป็นกบฏคร้ังแรกของประเทศสยาม หลงัเปลี่ยนแปลงการปกครองมา ไดไ้ม่นาน ซ่ึงความพา่ยแพข้องกบฏบวรเดช ในคร้ังน้นัเป็นบทเรียนสาํคญัของผปู้กครองรัฐสยาม ในสมยัต่อมา ในความชดัเจนของนโยบายและอุดมการณ์ของรัฐบาล ผา่นมากวา่ 75 ปี ของประชาธิปไตย ประเทศไทยของเราผา่นการ " ปฏิวัติ รัฐประหาร" มาแล้ว 10 คร้ัง (รวมท้งัล่าสุดดว้ย)และผา่นการ "กบฏ" มาถึง 12 คร้ัง หากยงัไม่ชดัเจนท้งัยุทธศาสตร์อุดมการณ์และเป้าหมายที่เป็นเอกภาพ และยงัมีความ พยายามใชค้าํวา่"กบฏ"โดยละเลยถึงความหมายไม่สื่อสารใหถู้กตอ้งและใชพ้ร่ําเพรื่อกบั ประชาชนทวั่ ไปผเู้ป็นกลางโดยเน้ือแท้เหตุการณ์ในแผน่ดินเมื่อปีพ.ศ. 2475 การก่อตัวเมื่อปี พ.ศ. 2475 นกัศึกษาไทยที่มาศึกษาที่ฝรั่งเศส จํานวน 7 คน มีท้งัทหารและพลเรือน ไดน้ดั ประชุมกนัที่ กรุงปารีส เพื่อกาํหนดความมุ่งหมายของการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย กติกาของการ เปลี่ยนแปลงการปกครอง ตลอดจนกาํหนดบุคคลิกของผทู้ี่จะมาร่วมคณะต่อไป และไดก้าํหนด หลักการไว้ 3 ประการคือ ประการแรก ทําการเปลี่ยนการปกครองให้มีรากฐานประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์ ภายใตร้ัฐธรรมนูญ เช่นเดียวกบั ประเทศองักฤษ โดยงดเวน้การมีสาธารณรัฐโดยเด็ดขาด ประการที่สอง กาํหนดยดึอาํนาจดว้ยการปฏิวตัิ(COUP D' ETAT) ไม่ใช่การก่อการจลาจล งดเวน้การนองเลือด การทาํทารุณกรรมใด ๆ และไม่ประหตั ประหารกนัเองอยา่งกบฏในฝรั่งเศส ประการที่สาม ร่วมมือกนัทาํการปกครองบริหารประเทศชาติดว้ยความสุจริตใจงดเวน้การ แสวงหาและ สร้างสรรคค์วามมนั่คงเป็นประโยชน์ส่วนตวั ในการประชุมคร้ังแรกน้ีคณะผรู้ิเริ่มเปลี่ยนแปลงการปกครองไม่ไดม้ีการพิจารณากาํหนด ลทัธิการเมืองประการใด มีความมุ่งหมายเพียงใหม้ีรัฐธรรมนูญตามระบอบประชาธิปไตยเป็น จุดหมายปลายทาง ในการประชุม ไดก้าํหนดหลกัการเพื่อดาํเนินการยดึอาํนาจไว้3 ประการ คือ 1. การหาความรู้พิจารณาการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศต่าง ๆ ในทาง ประวตัิศาสตร์เพื่อทราบความมุ่งหมายแผนการดาํเนินการความสาํเร็จและเหตุการณ์แห่งความ ลม้เหลวและเหตุผลเพื่อประกอบการพิจารณาในการดาํเนินการเปลี่ยนแปลงการปกครองต่อไป 2. กาํหนดคุณสมบตัิของบุคคล ที่จะมาร่วมคณะผเู้ปลี่ยนแปลงการปกครอง ซ่ึงจะตอ้ง มีความรู้และวฒุิที่กวา้งขวาง มีรากฐานการศึกษาเพียงพอ นอกจากน้นัจะตอ้งเป็นผทู้ี่มาร่วมดว้ย ความบริสุทธ์ิใจไม่ประกอบดว้ยอคติความพยาบาท เคียดแคน้หรือมุ่งแสวงหาประโยชน์จากการ
67 เปลี่ยนแปลงการปกครองแต่ประการใด และทาํงานเพื่อประโยชน์ประเทศชาติโดยสุจริตใจกบัท้งั จะตอ้งเป็นผทู้ี่มีความประพฤติและสภาพความเป็นอยภู่ายในครอบครัวเป็นหลกัฐานที่พึงไวว้างใจ ได้ 3. ในเรื่องการกาํหนดวธิีการที่จะหาเงินมาเป็นทุนในการดาํเนินการเปลี่ยนแปลงการ ปกครอง ซ่ึงในระยะแรกก็อาศยัการเรี่ยไรเงินส่วนตวักนัเป็นสาํคญั ไม่มีความจาํเป็นตอ้งใชจ้่ายเงิน มาก นอกจากน้ีก็วางแผนที่จะประกอบธุรกิจเพื่อหารายไดเ้ป็นกอบเป็นกาํต่อไป การเริ่มปฏิบัติการในประเทศไทย เมื่อคณะผกู้่อตวัไดท้ะยอยกนัเดินทางกลบั ประเทศไทยเขา้รับราชการตามตาํแหน่ง หนา้ที่ต่าง ๆ แลว้ก็เริ่มดาํเนินเรื่องการเมืองติดต่อกบัเพื่อนร่วมคิดเปลี่ยนแปลงการปกครอง ที่ให้ สัตยป์ฏิญาณกนัมา ต้งัแต่อยูย่ โุรปต่อไป โดยติดต่อกบัผูร้่วมคิดจากปารีสและสวทิเซอร์แลนด์รวม 15 คน ซ่ึงแต่ละคนก็ไดต้ิดต่อกบัผทู้ี่รู้จกัและมีความประทบัใจที่ไม่ดีในเรื่องต่าง ๆ ที่คนไดป้ระสบ มาในรูปแบบต่าง ๆ สรุปแลว้ผรู้ิเริ่มฝ่ายพลเรือน 15 คน ยงัไม่มีอะไรเป็นแก่นสารและดูซบเซาไป เนื่องจากห่างเหินกนัไปนาน ส่วนผรู้่วมคิดฝ่ายทหารมีความเห็นวา่เหตุการณ์บา้นเมืองมนัสุกงอมแล้ว ควรจะ ดําเนินการเปลี่ยนแปลงการปกครองได้ และมีความพร้อมที่จะดําเนินการ เพราะได้เตรียมหาสมัคร พรรคพวกกนัอยตู่ลอดแมผ้กู้่อการสายทหารบางคนจะไม่มีหวัในการเมืองแต่ก็เป็นผูร้ักเพื่อนฝงู เป็นชีวติจิตใจเอาอะไรเอากนั ประกอบกบัหลายคนมีตาํแหน่งหนา้ที่สาํคญั ใชเ้ป็นกาํลงัได้ การวางแผนยึดอ านาจ จากการประสานงานได้ทหารบก 34 คน ทหารเรือ 19 คน และฝ่ ายพลเรือน 45 คน รวม ท้งัสิ้น 98 คน ผรู้่วมคิดเปลี่ยนแปลงการปกครองในประเทศฝรั่งเศสและสวติเซอร์แลนดใ์นการร่วม ประชุมคร้ังแรก7 คน ผู้ที่มาสมัครตอนหลังอีก 9 คน เมื่อไดท้บทวนผลการดาํเนินงานที่ผา่นมารวม 3 ปีพบวา่งานคืบหนา้ไปชา้และซบเซา แต่ก็ยงัมีความสนใจกนัอยเู่ป็นส่วนมาก สาํหรับฝ่ายพลเรือนที่แตกแยกเป็นหลายสายก็ยงัไม่มี ความหมายที่จะเป็นกาํลงัแต่อยา่งใด จึงไดม้ีการนดัประชุมผใู้หญ่ฝ่ายทหารรวม 5 คน มียศเป็ นนาย พันเอก มีบรรดาศกัด์ิเป็นพระยา3 คน ยศนายพนัโท มีบรรดาศกัด์ิเป็นพระ1 คน และยศนายพันตรี มีบรรดาศกัด์ิเป็นหลวง 1 คน 4 คนแรกเรียกกนั ในคร้ังน้นัวา่สี่ทหารเสือในการประชุมไดพ้ ิจารณา สถานการณ์โดยทวั่ ไป กบัแผนการที่จะยดึอาํนาจ ซ่ึงกาํหนดไวต้ามสถานที่และโอกาสต่าง ๆ หลาย ประการซ่ึงมีความเห็นแตกแยกกนัอยู่ นอกจากไดป้ระมาณกาํลงัทหารบก ทางผกู้่อการคนหน่ึงมีเพื่อนคู่คิดที่สาํคญัยศนายพนัโท ซ่ึงอยทู่างหน่วยที่หวงัวา่จะไดก้าํลงัดา้นอาจารยแ์ละนกัเรียนนายร้อย สาํหรับดา้นทหารมา้และรถ รบ ผเู้ขา้ประชุมยศนายพนัตรีรับรองวา่มีความหวงัมนคง เพราะมีนายทหารยศนายพันโทที่เคยสนิท ั่
68 สนมกนัคร้ังอยกู่รุงปารีสบงัคบับญัชาหน่วยอยู่ทางดา้นทหารปืนใหญ่นายทหารผนู้้ีก็รับรองวา่มี เพื่อนฝงูที่ไวว้างใจได้แต่ไม่ยอมบอกชื่อวา่เป็นใคร ทางดา้นนายทหารยศนายพนัโท ซ่ึงคุมอยทู่าง โรงเรียนเสนาธิการทหารบกก็รับรองวา่จะได้นายทหารที่อาจารย์ และนักเรียน จากที่นี่เป็ น ส่วนมาก สาํหรับนายทหารยศนายพนัเอกผหู้น่ึง ที่เขา้ประชุม ยงัรู้สึกขอ้งใจวา่ ไม่มีกาํลงัพอที่จะทาํ การใหญ่ใหส้าํเร็จไดจ้ึงยงัลงัเลอยู่แต่ก็รับรองวา่จะเตรียมการฝึกซอ้มการเคลื่อนไหวกาํลงัไวพ้ร้อม ถา้หน่วยทหารมา้และรถถงันาํขบวน เป็นทพัหนา้ไปไดส้าํเร็จก็จะให้หน่วยทหารปืนใหญ่ซ่ึงมี เพื่อนของตน ซ่ึงสามารถหน่วยทหารปืนใหญ่ติดตามแผนการใหจ้งได้ส่วนผเู้ขา้ประชุมอีกคนหน่ึง ยศนายพนัเอก บอกวา่ตนมีแต่ตวัคนเดียวแต่ก็จะเป็นกาํลงัช่วยวงิ่เตน้ สั่งการในฐานะที่ดูแลเหล่า ทหารปืนใหญ่อยู่ สําหรับด้านทหารเรือ มีการติดต่อประสานงานกบันายทหารเรือยศนายนาวาตรีมี บรรดาศกัด์ิเป็นหลวงเป็นหวัหนา้ฝ่ายทหารเรือแต่ผเู้ดียว ท่านผนู้้ีเป็นอาจารยอ์ยูโ่รงเรียนนายเรือ มี สมคัรพรรคพวกเป็นผบู้งัคบัการเรืออยูห่ลายลาํรวมท้งักองพนัพาหนะเรือ ซ่ึงต่อมาเรียกวา่หน่วย นาวิกโยธิน อีกประมาณเดือนเศษต่อมาไดม้ีการประชุมคร้ังใหญ่ที่วดัแคลายจงัหวดันนทบุรีมี การเช่าเรือกลไฟลาํใหญ่จดัใหเ้ฉพาะผใู้หญ่ฝ่ายทหารเพื่อเดินทางไปยงัวดัดงักล่าว ส่วนพวกพล เรือนต่างคนต่างไป โดยถือโอกาสไปทาํการยงินก ส่วนทางทหารเรือไดไ้ปเรือส่วนตวัและข้ึนไป ทําความรู้จกักบันายทหารช้นัผใู้หญ่ แล้วแยกกลับ ความขัดแย้งในหลักการ ในเรื่องการปรับปรุงกองทัพ มีความเห็นไม่ตรงกนัคือ ฝ่ ายหนึ่งจะให้ยุบกองทัพ กอง พล โดยใหห้น่วยทหารต่าง ๆ ไปข้ึนกบัผบู้งัคบัเหล่า เลิกยศนายพล และเลิกโรงเรียนเสนาธิ การ แต่อีกฝ่ายหน่ึงเห็นวา่ ควรจะละเว้นการใด ๆ ที่จะทําให้กระทบกระเทือนจิตใจนายทหารใน กองทัพ การปรับปรุงจะตอ้งดาํเนินการไปเป็นข้นัๆ วางรากฐานการปกครองกองทพั ใหม้นั่คงเป็น สาํคญั ฝ่ายแรกซ่ึงมีอาวุโสกวา่ ไม่พอใจเห็นวา่ ฝ่ายหลงัที่อ่อนอาวุโสกวา่ควรจะฟังแนวทางของตน เป็ นหลัก เมื่อตกลงกนัไม่ไดก้็ตดับทวา่ ใหย้ตุิกนัเพียงน้ีก่อน แลว้เลิกลากนัไป ฝ่ายอ่อนอาวุโสกวา่ มีความหนกัใจวา่การเปลี่ยนแปลงการปกครองท่าจะไปไม่สาํเร็จ ถา้พลาดพล้งัไปก็ตอ้งเขา้คุกเขา้ ตาราง และโทษถึงประหารชีวิต ถ้าทําตามความคิดในการปรับปรุงกองทัพตามแนวทางของ นายทหารอาวุโสก็จะเกิดความวนุ่วายเพราะฉะน้นัเมื่อทาํการปฏิวตัิไม่สาํเร็จก็ตายถา้ปฏิวตัิสาํเร็จก็ จะเกิดความขดัแยง้ตอ้งฆ่ากนัอีกจึงเห็นวา่น่าจะยบัย้งัการร่วมคิดกบัผทู้ี่มีแนวทางดงักล่าวในเรื่อง น้ีฝ่ายที่เป็นผปู้ระสานงานเห็นวา่ ไดม้ีการดาํเนินการในเรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็ น เวลานาน หากไม่ไดน้ายทหารอาวุโสผมู้ีความเห็นตามแนวทางดงักล่าวก็จะสาํเร็จไดย้ากเพราะจะ ไดก้าํลงัจากท่านผนู้้ีทางดา้นโรงเรียนนายร้อยและโรงเรียนเสนาธิการเป็นสาํคญัจึงไดม้ีการหาทาง ประนีประนอมกนัต่อไป
69 ไดเ้กิดเหตุการณ์ที่เอ้ือประโยชน์แก่คณะผกู้่อการ ฯ เป็นอยา่งมากคือ นายพลเอก พระองค์ เจา้บวรเดช ฯ ที่ลาออกจากราชการทหารไป เพราะขดัแยง้กบัจอมพลสมเด็จเจา้ฟ้ากรมพระ นครสวรรคว์รพินิต ที่ทรงให้ลา้งคาํสั่งเลื่อนยศเงินเดือนนายทหารในกองทพับกเป็นจาํนวนมาก พระองค์เจ้าบวรเดช ฯ จึงวางแผนการที่จะปรับปรุงการบริหารใหม้ีรัฐธรรมนูญข้ึน เป็นแนวคิดที่จะ ทาํฎีกาข้ึนกราบบงัคมทูลขอพระมหากรุณาพระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ฯ ใหพ้ระราชทานรัฐ ธรรนูญ และในการน้ีจอมพลเจา้ฟ้ากรมพระนครสวรรค์ฯ และเจา้นายช้นัผใู้หญ่บางพระองค์ได้ กราบบงัคมทูลทดัทานไวเ้รื่องก็จึงสงบเงียบไป การปรับความเข้าใจ เมื่อเรื่องราวต่าง ๆ เงียบสงบลงไป ฝ่ายผกู้่อการที่มีความเห็นไปตรงไปตรงกนั ในเรื่องการ ปรับปรุงโครงสร้างและการจดัหน่วยทหารก็ไดม้ีการปรับแนวความคิดดว้ยการลดหยอ่นผอ่นเขา้หา กนัคือแทนที่จะใหย้บุเลิกหน่วยบางระดบัหน่วยและยบุเลิกยศนายพลเสียท้งัหมดก็เปลี่ยนเป็ นยุบ เลิกแต่กองทพัคงหน่วยกองพลไว้ส่วนนายพลก็จะลดจาํนวนลงเหลือเพียง 5 คน ส่วนการ ปรับปรุงโดยทวั่ ไป ก็จะไดป้รึกษากนัดว้ยดีต่อไป เป็นที่พอใจกนัท้งัสองฝ่าย อยา่งไรก็ตามในการประชุมพบปะเพื่อปรับความเขา้ใจดงักล่าว ปรากฏวา่ทางตาํรวจกอง พิเศษ ไดเ้ริ่มระแคะระคายและเฝ้าตรวจดูอยใู่นรูปแบบต่าง ๆ คร้ันแลว้วนัหน่ึงผบู้ญัชาการตาํรวจ กองปราบยศนายพนัตาํรวจเอก มีบรรดาศกัด์ิเป็นพระยาไดป้ลอมตวัเป็นชาวนา สะกดรอยผกู้่อการ ฝ่ ายพลเรือน 2 คน จนไดท้ราบเรื่องการคิดเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นที่แน่ชดั ในที่สุดในตน้ เดือนมิถุนายน นายพลตาํรวจโทพระยาอธิกรณ์ประเทศกบัผบู้งัคบัการตาํรวจกองปราบ ไดป้ระมวล เรื่องของผกู้่อการ ฯ วา่กาํลงัคิดการใหญ่และจะลงมือยดึอาํนาจอยา่งแน่นอน จึงไดท้าํหมายจบั ผกู้่อการ5 คน เป็ นนายทหาร 4 คน และพลเรือน 1 คน ไปกราบทูลจอมพลสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระ นครสวรรค์ ฯ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยใหล้งพระนามในหมายเพื่อจะทาํการจบักุมต่อไป แต่ เมื่อพระองคไ์ดท้รงเห็นชื่อผูก้่อการก็ทรงเห็นวา่บุคคลเหล่าน้ีลว้นเป็นเด็ก ๆ ไม่มีความหมาย บาง คนพระองคก์ ็ไดเ้คยรู้จกัต้งัแต่เกิด และเมื่อเป็นนายทหารมหาดเล็กก็เคยรับใชอ้ยูเ่สมอ ส่วนคนอื่น ๆ ก็ดูเป็นตาํแหน่งที่ไม่มีความหมายประการใด ดงัน้นัจึงทรงยบัย้งัการออกหมายจบัมอบเรื่องใหพ้ระ ยามานนวราชเสรีอธิบดีกรมอยัการและพระยาอธิกรณ์ประเทศอธิบดีกรมตาํรวจไปพิจารณากนั ต่อไป เมื่อความทราบถึงผกู้่อการที่เป็นนายทหารช้นัอาวุโสสูงจึงได้มีการเรียกประชุมนายทหาร ช้นัผใู้หญ่มาปรึกษาวางแผนการและกาํหนดวนัลงมือ
70 การปฏิบัติยึดอ านาจการปกครอง จากผลการประชุมวางแผนการ ได้ตกลงมอบหมายให้ นายทหาร 3 นาย ประกอบด้วย นายทหารยศนายพันเอก 1 นาย ยศ นายพันตรี 1 นาย และยศ นายนาวาตรี 1 นาย เป็ นคณะ บัญชาการโดยเด็ดขาด คณะผกู้่อการ ฯ ไดถ้ือโอกาสอนัเหมาะแก่การทาํการในขณะที่เศรษฐกิจการเงิน การคา้ของ ประเทศไทยกาํลงัทรุดโทรม ประชาชนเดือดร้อนในเรื่องการครองชีพ งบประมาณแผน่ดินก็ขาด แคลน ตอ้งดุลขา้ราชการเป็นการใหญ่(คาํวา่ดุลยภาพในคร้ังน้นัเป็ นการปรับจํานวนข้าราชการให้ ลดลงโดยใหอ้อกจากราชการก่อนเกษียณอายเุป็นจาํนวนมากเพื่อลดค่าใชจ้่ายของรัฐบาลลงใหเ้กิด ความสมดุลย)์นบัเป็นโอกาสที่จะไดอ้าศยัมติมหาชนเป็นกาํลงัส่งเสริม สาํหรับการลงมือยดึอาํนาจน้นัไดถ้ือโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ฯ เสด็จแปร พระราชฐานไปหวัหิน เพื่อทอดพระเนตรการทดลองการยิงปืนใหญ่มีนายทหารช้นัผใู้หญ่แม่ทพั นายกองไปร่วมในการประลองอาวธุในคร้ังน้นัดว้ยเป็นส่วนมากแผนสายฟ้าแลบ แผนการรวบรวมกาํลงักรมกองทหารต่าง ๆ เขา้ที่ชุมพลที่ลานพระบรมรูปทรงมา้ ไดน้ ้นั จัดเป็ นแผนการฟ้าแลบ ทาํการจู่โจมโดยกระทนัหนั ไม่ให้มีเวลายบัย้งัชงั่คิด ท้งัน้ีโดยอาศยักองพนั รถรบกบัทหารมา้เป็นทพัหนา้เคลื่อนกาํลงัโดยมีนายทหารยศนายพนัตรีมีบรรดาศกัด์ิเป็นหลวง เป็ นหัวแรงที่สําคัญที่สุด และมีนายทหารยศนายร้อยอีก 3 นาย ซ่ึงประจาํหน่วยรถรบไดเ้ตรียมซอ้ม เครื่องยนตค์ิดปืนกลและเติมน้าํมนัไวพ้ร้อม พอเป่าแตรปลุกเป่าแตรเร่งเร็วและเป็นเหตุสาํคญั ทหารที่ถูกปลุกก็ตาลีตาลานรีบแต่งกายมาเขา้ประจาํแถว มีนายทหารฝ่ายเสนาธิการจาํนวนมาก เท่าที่บนัทึกไวไ้ดม้ี5 คน ยศนายร้อยเอกและมีบรรดาศกัด์ิเป็นหลวง ทุกคนเขา้มาช่วยเร่งรัดให้ ทหารรีบข้ึนรถเขา้ประจาํที่ส่วนนายทหารยศนายพนัเอกเหล่าทหารปืนใหญ่ไดส้ ั่งใหเ้ปิดคลงัอาวธุ จ่ายกระสุนจริง บรรดาผบู้งัคบับญัชาช้นัผบู้งัคบัหมวด และผบู้งัคบักองร้อยต่างก็ยนืงง มองดูการ ปฏิบตัิอนัวปิริตซ่ึงไม่เคยพบ แต่เมื่อเห็นนายทหารช้นัผใู้หญ่ที่เป็นครูบาอาจารย์เขา้มาสั่งการก็ยอม จาํนน พลอยสมทบเขา้ประจาํหน่วยในบงัคบับญัชาของตนดว้ยความสงบ ส่วนนายพนัโทพระ ปฏิยทุธอริยนั่ผบู้งัคบัการกรม ไดม้ีผกู้่อการจาํนวนหน่ึงที่มีอาวธุพร้อมควบคุมตวัมิให้ลงจากบา้น ขบวนการปฏิบัตินําโดยกองพันรถถัง นําโดยนายทหารม้า ยศ นายพันตรีมีบรรดาศกัด์ิเป็น หลวง ติดตามดว้ยกรมทหารปืนใหญ่ในบงัคบับญัชาของนายทหารปืนใหญ่ยศนายพนัเอก มี บรรดาศกัด์ิเป็นพระยาแลว้มีกองพนัทหารช่าง โดยมีนายทหารช่างยศ นายร้อยเอก มีบรรดาศกัด์ิ เป็นหลวง ปิดทา้ยกาํกบัมา การควบคุมกา ลงั แผนการยดึอาํนาจน้นั ไม่ไดมุ้่งหวงัใชก้าํลงัทหารเป็นพลงัสู้รบ แต่มุ่งหมายเพื่อลวงให้ หน่วยทหารต่าง ๆ ในพระนครมาชุมนุมกนัที่ลานพระบรมรูปทรงมา้เป็นการรวมกาํลงักนัมา
71 ควบคุมไวใ้นที่จาํกดัแลว้เรียกประชุมนายทหารที่เป็นผบู้งัคบับญัชาของหน่วยทหารน้นัๆ มา รวมกนั โดยมีคณะนายทหารผรู้่วมคิดในการก่อการ ฯ พกอาวธุครบครันลอ้มกรอบอยโู่ดยไม่ทราบ จาํนวน และไม่รู้วา่ ใครเป็นใครคร้ันเมื่อเขา้มาชุมนุมพร้อมเพรียงกนัแลว้นายทหารยศนายพนัเอก มีบรรดาศกัด์ิเป็นพระยาเป็นผอู้าวุโส เป็นหวัหนา้นาํการก่อการ ฯ โดยอ่านประกาศแถลงการณ์ เปลี่ยนแปลงการปกครองดว้ยเสียงอนัดงัหนกัแน่นเด็ดขาด พอจบก็เปล่งเสียงไชโยดงักึกกอ้งสาม คร้ังแลว้พาคณะนายทหารพร้อมดว้ยกาํลงัหน่วยทหารท้งัสิ้น พงัพระทวารประตูเขา้ยดึพระที่นงั่ อนนัตสมาคม เป็นฐานทพัมีรถถงัควบคุมกาํกบัตามมุมลานพระบรมรูปทรงมา้อยา่งเขม้แขง็กบัมี หน่วยกองพนัพาหนะของทหารเรือในบงัคบับญัชาของนายทหารเรือยศนายเรือโท ขยายแถวหน้า ลานพระบรมรูปทรงมา้จ่ายกระสุนจริงเตรียมพร้อม ที่จะปฏิบตัิการไดท้นัทีนบัวา่เป็นความสาํเร็จ ในการก่อการ ฯ ในเบ้ืองตน้ การจับกุมบุคคลส าคัญ ในข้นัต่อไป ไดอ้อกจบักุมบุคคลสาํคญัที่มีอาํนาจสั่งการต่อตา้นเป็นหลายสาย ท่านที่มี ความสําคัญที่สุดคือ จอมพลสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ ฯ ที่วังบางขุนพรหม โดยจัดรถถัง และรถลาํเลียงที่มีกาํลงัทหารกาํกบัไปดว้ยโดยมีนายทหารยศนายพนัโท ยศนายพนัตรีและยศนาย นาวาตรีมีบรรดาศกัด์ิเป็นหลวงท้งั 3 คน เป็นกาํลงัสาํคญัเขา้ยดึวงับางขนุพรหม รถคนัหนา้ไดเข้า ้ ยดึสถานีตาํรวจ ที่หนา้วงับางขนุพรหม ปลดอาวธุและควบคุมตวัไว้ส่วนรถถงัและรถลาํเลียงอีก1 คนั ไดมุ้่งเขา้วงับางขุนพรหม โดยมีนายทหารยศนายร้อยโท มีบรรดาศกัด์ิเป็นขุนเขา้กาํกบักอง รักษาการณ์นายพลตาํรวจโท พระยาอธิกรณ์ประกาศอธิบดีกรมตาํรวจไดเ้ขา้มาสกดัก้นัชกัปืนพก ออกจะยงินายทหารผนู้าํกาํลงัเขา้มาแต่ถูกนายทหารเรือยศนายนาวาตรีที่กล่าวแลว้ตบปืนกระเด็น ไป แล้วเข้าควบคุมตัวไว้ จากน้นันายทหารผนู้าํกาํลงัเขา้มา ก็มุ่งไปที่ตาํหนกัท่าน้าํ ซึ่งจอมพล สมเด็จกรมพระนครสวรรค์ ฯ เตรียมเสด็จออกไปทางเรือ พอดีเรือตอปิ โดหาญทะเล ซึ่งผกู้่อการ ฯ ฝ่ายทหารเรือสั่งใหม้าลอยลาํคอยควบคุมอยสู่ ั่งทหารเรือเตรียมยงิ ทําให้พระองค์ต้องยอมจํานน โดยนายทหารผนู้าํกาํลงัเขา้มาไดก้ราบทูลรับรองความปลอดภยัและเชิญเสด็จไปประทบัที่พระที่ นงั่อนนัตสมาคม โดยไม่ยอมใหเ้ปลี่ยนฉลองพระองคก์ ่อน ขบวนรถที่พาเสด็จไปได้แวะไปจับนาย พลโท พระยาสีหราชฤทธิไกร ที่บา้นริมวดัโพธ์ิแลว้จึงไปที่พระที่นงั่อนนัตสมาคม สําหรับนายพลตรี พระยาเสนาสงคราม ( ม.ร.ว. อี๋ นพวงศ์ ) ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษา พระองค์ บา้นอยถู่นนนครชยัศรีได้ถูกนายทหารยศนายร้อยโท มีบรรดาศกัด์ิเป็นขุน ยิง บาดเจ็บ ไม่สามารถจะออกจากบา้นมาบญัชาการได้โทรศพัทถ์ูกตดัขาดการติดต่อ ไดเ้ชิญเสด็จ ฯ เจา้นางช้นัผใู้หญ่กกักนัควบคุมตวัผบู้งัคบัการกรม และบุคคลสําคัญใน วงการทหารไว้ ที่กองรักษาการณ์ในพระที่นงั่อนนัต์ฯ
72 การเกบ็อาวุธและยดึโทรศัพท์กลาง ไดส้ ั่งใหเ้ก็บอาวธุกระสุนตามหน่วยทหารต่าง ๆ และเขา้ควบคุมคลงัแสง เกือบจะมีการสู้ รบกนั โดยนายพนัตรีหลวงไกรชิงฤทธ์ิ( พุด วินิจฉัยกุล ) ผู้บังคับกองพันทหารมหาดเล็ก ที่ สะพานมฆัวาน ซ่ึงไดจ้ดัทหารหน่ึงกองร้อยขยายแถวเตรียมยงิต่อสู้แต่เมื่อเห็นวา่หมดทางต่อสู้จึง ไดถ้อนกาํลงักลบัเขา้ที่ต้งัไป การยึดสถานีโทรศัพท์กลางที่วัดเลียบ ตอน 04.00 น. เพื่อทําลายการ ติดต่อสื่อสาร ผกู้่อการ ฯ ฝ่ายพลเรือนจาํนวน 6 คน เป็นผูป้ฏิบตัิโดยมีกาํลงัฝ่ายทหารเรือใหค้วาม คุม้กนั มีการวางแผนตรวจสอบสถานที่ และเตรียมการในรายละเอียดอยา่งดีดงัน้นัจึงใชเ้วลาเพียง 15 นาทีก็สาํเร็จเรียบร้อย เมื่อทางตํารวจเข้ามาสอบถาม ทางฝ่ ายทหารเรือที่นําโดยนายทหารยศ นายเรือเอกมีบรรดาศกัด์ิเป็นหลวง ก็ประกาศวา่ ไดเ้กิดกบฏข้ึนในพระนคร ทางราชการทหารเรือ ไดม้ีคาํสั่งใหม้ารักษาการณ์แล้วได้จับกุมตํารวจเอาไว้ ในดา้น อาวธุและกระสุนน้นัมีเจา้ของร้านปืนท้งัสองพี่นอ้งไดเ้ป็นกาํลงัจดัหาอาวธุให้ ผกู้่อการฯฝ่ายพลเรือนและพลพรรค การด าเนินการฝ่ ายบริหาร ต้งผู้รักษาการพระนคร ัเมื่อคณะทหารไดท้าํการยดึอาํนาจโดยใชพ้ระที่นงั่อนนัตสมาคม เป็ นฐานทัพ ก็ไดแ้ต่งต้งัคณะบุคคลคณะหน่ึง เป็นผูร้ักษาพระนครคือ นายพันเอกพระยาพหลพล พยุหเสนา นายพันเอกพระยาทรงสุรเดช นายพนัเอกพระยาฤทธ์ิอคัรเนย ์แลว้ไดส้่งโทรเลขไป กราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯ ณ พระราชวงัไกลกงัวลหวัหิน ในเรื่องการยึด อํานาจเปลี่ยนแปลงการปกครอง เพื่อขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ เป็ นรากฐานในการปกครอง ประเทศ โดยให้นายนาวาตรี หลวงศุภชลาศัย นําเรือรบหลวงไปเชิญเสด็จ ฯ กลับพระนคร ประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทางด้านการบริหารฝ่ ายพลเรือน ได้เชิญเสด็จ ฯ เสนาบดี และเจา้กระทรวงกบั ปลดักระทรวงมาประชุมที่พระที่นงั่อนนัตสมาคม โดยมีนายพนัเอกพระยา พหลพยหุเสนา เป็นประธาน ไดช้้ีแจงใหท้ ี่ประชุมทราบถึงความมุ่งหมายในการเปลี่ยนแปลงการ ปกครอง ซ่ึงคณะผกู้่อการ ฯ คงต้งัมนั่ในความจงรักภกัดีและเทิดทูนพระมหากษตัริย์กบัจะเคารพ ต่อสัญญาที่รัฐบาลเดิม ไดม้ีขอ้ผกูพนักบัต่างประเทศโดยครบถว้น ขอให้เจา้กระทรวงดาํเนินการ บริหารราชการประจาํไปตามปกติจนกวา่จะมีการประกาศใชร้ัฐธรรมนูญ และโปรดเกลา้ฯ แต่งต้งั รัฐบาลข้ึนมาใหม่ขอใหช้่วยกนัรักษาความสงบใหบ้า้นเมืองอยใู่นสภาพปกติต่อไปดว้ยดีกบัได้ เชิญหนงัสือพิมพท์ุกฉบบัมาช้ีแจงใหดู้และทราบเรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง นอกจากน้ีได้ ทาํหนงัสือเวยีนช้ีแจงสถานการณ์ไปใหส้ถานทูตต่าง ๆ ทราบทวั่กนันอกจากน้ีคณะผูร้ักษาพระ นครฝ่ ายทหารได้ขอพระมหากรุณาให้สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ ฯ เสนาบดี กระทรวงมหาดไทยไดล้งพระนามในคาํประกาศขอใหข้า้ราชการประชาชนต้งัอยดู่ว้ยความสงบ
73 พระวจิารณ์ของพระราชวงศ์ผู้ใหญ่ เมื่อพระราชวงศผ์ใู้หญ่ถูกเชิญเสด็จไปประทบัอยทู่ ี่พระที่นงั่อนนัตสมาคม พระองคไ์ดต้รัส ถามผกู้่อการ ฯ คนหน่ึงซ่ึงพระองคร์ู้จกัดีวา่ที่ยดึอาํนาจน้ีตอ้งการอะไร ประสงคอ์ะไรแลว้จะดีกวา่ ที่เป็นอยเู่ดิมหรือก็ไดร้ับคาํตอบวา่อารยประเทศทวั่ โลกก็มีปาเลียเมน้ตท์วั่ ไป ยกเวน้แต่อบิสซิเนีย พระองคไ์ดต้รัสถามต่อไปวา่พวกผกู้่อการซ่ึงส่วนใหญ่อายยุงันอ้ย ส่วนใหญ่อยใู่นวยัประมาณ สามสิบปีเศษเหล่าน้ีรู้จกัคนไทยดีแลว้หรือเพราะเขาเหล่าน้ีจะตอ้งเผชิญปัญหาเรื่องคน พระ ราชวงศ์จักรีได้ปกครองเมืองมา ๑๕๐ ปีแลว้รู้ดีวา่คนไทยน้ีปกครองกนัอยา่งไรคณะผูก้่อการ ฯ จะ เขน็ครกข้ึนเขาไหวหรือก็ไดร้ับคาํตอบวา่การดาํเนินการจะใหร้าบรื่นไปทีเดียวคงไม่ได้ คงต้องมี การยดึอาํนาจกนัต่อไปอีกหลายยคุเรื่องคอนสติติวชนั่และปาเลียเมนต์ก็จะเริ่มตน้กนัสักวนัหน่ึง ข้อความในในปลิว ไดม้ีการออกใบปลิวของคณะผกู้่อการ ฯ ซ่ึงมีขอ้ความบางตอนที่ รุนแรงอยมู่ากโดยเฉพาะอยา่งยงิ่ในวรรคสุดทา้ยของประกาศยดึอาํนาจมีความวา่ "จะไดน้าํประชาชนไปสู่ความสุขความเจริญอยา่งประเสริฐสุด ซ่ึงเรียกเป็นศพัทว์า่ 'ศรี อารยะ' น้นัก็พึงบงัเกิดแก่ราษฎรถว้นหนา้" การน ารัฐธรรมนูญขึน้ทูลเกล้า ฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจา้อยหู่วั ไดม้ีการนาํรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกัรไทย ฉบบัชวั่คราวข้ึนทูลเกลา้ฯ ถวาย ณ วัง สุโขทัย เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2475 ไดม้ีผเู้ขา้เฝ้าเพื่อการน้ี9 คน คือ นายพลเรือตรีพระยาศรยุทธ เสนีย์ นายพันเอกพระยาทรงสุรเดช นายพันเอกพระยาฤทธิอัครเนย์ นายพันโทพระประศาสน์ พิทยายุทธ นายพันตรีหลวงวีระโยธา หลวงประดิษฐ์มนูธรรม นายร้อยโทจรูญ ณ บางช้าง นายสงวน ตุลารักษ์ นายร้อยโทประยูร ภมรมนตรี ได้โปรดเกล้า ฯ ให้หลวงประดิษฐ์ มนูธรรม นาํรัฐธรรมนูญข้ึนมาทูลเกลา้ฯ ถวายทรง รับสั่งถามวา่ ไดอ้่านรัฐธรรมนูญฉบบัน้ีมาก่อนแลว้หรือยงัก็ไดร้ับคาํตอบวา่ยงัมิไดอ้่าน เพราะมิใช่ หนา้ที่โดยเฉพาะและไดก้ราบทูลต่อไปวา่ทางพระยาทรงสุรเดชไดป้ระชุมกาํชบัไวม้นั่คงแลว้วา่ ใหร้่างรัฐธรรมนูญตามแบบองักฤษ ซ่ึงมีพระมหากษตัริยอ์ยภู่ายใตร้ัฐธรรมนูญ จึงทรงรับสั่งวา่ ถูกตอ้งแลว้ตอ้งการจะให้เป็นเช่นน้นัแต่เรื่องอะไรจึงตอ้งใชค้าํแทนเสนาบดีวา่"คณะกรรมการ ราษฎร" ซึ่งเป็ นแบบรัสเซีย พระยาทรงสุรเดชได้กราบทูลขอพระราชทานสารภาพผิด และขอพระราชทานอภัยที่มิได้ อ่านมาก่อน และขอถวายสัตยว์า่จะไปร่างมาใหม่ใหเ้ป็นไปตามพระราชประสงค์ต่อมาในวนัที่27 มิถุนายน 2475 พระยามโนปกรณ์นิติธาดาไดเ้ป็นผูน้าํรัฐธรรมนูญข้ึนทูลเกลา้ฯ ถวายใหท้รงลงพระ ปรมาภิไธย ณ พระตาํหนกัจิตรลดา ฯ และในวนัเดียวกนัก็ไดม้ีประกาศวทิยเุป็นทางการทวั่ ประเทศ ที่ได้ทรงพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกลา้ฯ พระราชทานรัฐธรรมนูญใหแ้ก่ประชาชนชาว ไทย
74 ต่อมาไดป้ระกาศต้งัคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญฉบบัถาวรข้ึน 8 คน คือ 1. พระยามโนปกรณ์นิติธาดา 2. พระยาเทพวิฑูรย์ 3. พระยาศรีวิสารวาจา 4. นายพลเรือโทพระยาราชวังสัน 5. พระยาปรีดานฤเบศร์ 6. พระยามานนวราชเสวี 7. หลวงประดิษฐ์มนูธรรม 8. นายพันตรีหลวงสินาดโยธารักษ์ การร่างรัฐธรรมนูญใชเ้วลา 2 เดือน 15 วัน เมื่อรวมเวลาตรวจเรื่องอีก 1 เดือน รวมเป็ น 3 เดือนเศษ ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้มีพระราชพิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับ ถาวร เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 พระราชก าหนดนิรโทษกรรม ในวนัที่ผกู้่อการคณะราษฎรได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจา้อยหู่วั เพื่อขอ พระราชทานรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2475 ไดถ้ือโอกาสทูลเกลา้ฯ ถวายพระราชกาํหนด นิรโทษกรรม นบัเป็นบทบญัญตัิฉบบัแรก ที่มีผูร้ับสนองพระบรมราชโองการ มีขอ้ความดงัน้ี " การกระทําของผกู้่อการคณะราษฎรในคร้ังน้ีหากจะเป็นการละเมิดกฎหมายใด ๆ ก็ดีหา้ม มิใหถ้ือวา่เป็นการละเมิดกฎหมาย พระราชกาํหนดน้ีไดป้ระกาศ ณ วันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2475 สรุปการปฏิบัติในข้ันต้น การก่อการคร้ังน้ีสําเร็จลงได้ด้วยการรู้จักใช้โอกาสวางแผนรัดกุม ปกปิ ด ฉับพลันเด็ดขาด ผกู้่อการคณะราษฎร มีจุดหมาย เพื่อให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญการปกครองประเทศ ผกู้่อการคณะราษฎร มิได้พิจารณากาํหนดลทัธิเศรษฐกิจไวแ้ต่เริ่มแรกแต่ประการใด ผกู้่อการคณะราษฎรไม่ไดท้ราบเรื่องการจดัต้งัคณะราษฎรมาก่อน และไม่ทราบเรื่องการ ขนานนามเสนาบดี ผู้บริหารประเทศเป็ นกรรมการราษฎร แบบประเทศโซเวียตรัสเซีย ผกู้่อการคณะราษฎรได้เสนอให้นายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาเป็ นผู้นํา ในฐานะที่ เป็นผอู้าวโุส และไดจ้ดัต้งัผูร้ักษาพระนครฝ่ ายทหาร รวม 3 คน คือ นายพันเอกพระยาพหลพล พยุหเสนา นายพันเอกพระยาทรงสุรเดช และนายพันเอกพระยาฤทธิอัครเนย์
75 สภาผู้แทนราษฎรและคณะรัฐบาล ผกู้่อการคณะราษฎรได้พิจารณาด้วยบุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็ นหัวหน้ารัฐบาล ได้มีการเสนอมหาอํามาตย์โทพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ซึ่งเคยเป็ นผู้พิพากษาศาลฎีกา และเป็ น อาจารยส์อนวชิากฎหมายเป็นประธานคณะราษฎร ซ่ึงจะเสนอต่อสภาผแู้ทนราษฎรต่อไป ได้มีการเลือกสรรสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่สอง จํานวน 70 คน โดยไดแ้บ่งให้ เป็นส่วนของผูก้่อการ ฯ ก่ึงจาํนวน อีกก่ึงหน่ึงได้เลือกจากข้าราชการช้ันผูใ้หญ่ที่บรรดาศกัด์ิ เจ้าพระยา 3 คน ช้นัพระยา 22 คน ส่วนมากเป็นผพู้ ิพากษา ทหารบกและทหารเรือกองทพัละ 3 คน ที่เหลือเป็นผรู้่วมการกบฏ ร.ศ. 130 จํานวน 4 คน นกัหนงัสือพิมพก์บัพอ่คา้อีกจาํนวนหน่ึง ไดเ้ลือกมหาอาํมาตยเ์อกเจา้พระยาธรรมศกัด์ิมนตรีอดีตเสนาบดีกระทรวงธรรมการ เป็น ประธานสภา และนายพลตรีพระยาอินทรวิชิต เป็ นรองประธานสภา การคัดเลือกผู้แทนราษฎรประเภทที่สอง มีปัญหาพอสมควร เพราะคณะผูก้่อการ ฯ มี98 คน ได้รับเลือกเพียง 30 คน สําหรับฝ่ายทหารไดก้าํหนดผูท้ี่จะเป็นไดใ้นระดบัยศนายพนัตรีและนาย นาวาตรีข้ึนไป ความเห็นไม่ตรงกัน ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองผูก้่อการ ฯ บางคนมีความเห็นขดัแยง้กนั ในเรื่องการ ปรับปรุงกองทัพ แต่ในที่สุดก็ประนีประนอมกนัได้ต่อมาเมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองสําเร็จก็เริ่ม กลับไปดําเนินการตามแนวความคิดเดิมของตน โดยจะให้คงเหลือนายพลไว้ 2 นายคือ ตาํแหน่ง ปลดัทูลฉลอง (ปลดักระทรวง)กลาโหม กบัสมุหราชองครักษม์ ีการต้งักรรมการเลือกผูบ้งัคบับญัชา กบัท้งัสั่งการโยกยา้ยหน่วยทหารโดยฉบัพลนัเกิดความวุน่วายในกองทพัเป็นอย่างมากเหตุการณ์ ดงักล่าวทาํให้ท้งัสองฝ่ายที่มีความเห็นไม่ตรงกนัก็เป็นอริแก่กนัเกิดการรวมตวัเป็นกลุ่มเป็นพวก และไดแ้ผข่ยายไปสู่พวกพลเรือนดว้ย ร่างรัฐธรรมนูญ ในการนาํร่างรัฐธรรมนูญเขา้สู่สภาผูแทนราษฎร ้ ไดม้ีเรื่องโตแ้ยง้สําคญัอยู่หลาย ประการ กล่าวคือ ประการแรก เกี่ยวกบับทบญัญตัิที่ระบุให้เจา้นาย และบรมวงศานุวงศ์อยู่เหนือ การเมือง โดยมีเจตจํานงที่จะมิให้เจ้านายมาพัวพัน ตอ้งถูกโจมตีให้เสียศกัด์ิศรีจึงควรให้อยูเ่หนือ การเมือง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯ ทรงเห็นชอบด้วย แต่มีพระราชปรารภว่าไม่ควรจะ บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ให้เป็ นการตัดสิทธิของเจ้านายที่เป็ นพลเมืองไทยคนหนึ่ง แต่จะทรงมี ประกาศเป็ นพระราชนิยม ที่จะมิใหเ้จา้นายเขา้มาเกี่ยวขอ้งในเรื่องการเมือง ประการต่อมาคือการใช้คาํว่า " กรรมการราษฎร " แทนคาํวา่เสนาบดีได้เป็ นเรื่องที่ วพิากษว์จิารณ์กนั โดยเฉพาะผทู้ี่เป็นแกนสาํคญั ในการร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็ นข้าราชการพลเรือน
76 มีบรรดาศกัด์ิเป็นหลวง คงยนืยนัจะใหใ้ชค้าํวา่" กรรมการราษฎร " ให้จงได้ มีผู้เสนอให้ใช้คําอื่น แทน เช่น เลขาธิการว่าการกระทรวง เหมือนอย่างสหรัฐอเมริกา บางท่านเสนอให้ใช้คาํว่า " ประศาสนกามาทย์ และมีท่านหน่ึงซ่ึงเป็นนายทหารบก เสนอให้ใช้คาํว่า " รัฐมนตรี" และมี ผู้สนับสนุน คาํน้ีเป็นคาํโบราณที่แปลว่า ข้าราชการ ผูม้ีอาํนาจในแผ่นดินซ่ึงใช้กันทั่วไปใน อินเดีย มลายู และชวา และคาํว่า รัฐมนตรีน้ีเคยมีใช้กันมาในสมัย พระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้า ฯ ที่เรียกว่า สภารัฐมนตรี มีข้าราชการพลเรือนอีกคนหนึ่ง มีบรรดาศกัด์ิเป็นหลวง ไดต้ ่อวา่ผูท้ี่กล่าววา่กรรมการราษฎร เป็นคาํที่ใช้อยู่เฉพาะ เป็ นรัสเซียคอมมิวนิสต์และบอกว่า เป็ นเรื่ องของคํา ๆ เดียว ไม่เกี่ยวกับลัทธิในที่สุดสภาผู้แทนราษฎรก็ลงมติให้ใช้คําว่า " รัฐมนตรี แทน " กรรมการราษฎร" ด้วยคะแนนเสียง 28 ต่อ7 งดออกเสียง 26 พระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ทางรัฐบาลไดก้าํหนดวนัรัฐธรรมนูญ ฉบบัถาวรในวนัที่10 ธันวาคม 2475 ณ พระที่นงั่ อนันตสมาคม ในวนัพระราชพิธีรับพระราชทานรัฐธรรมนูญ ไดจ้ดัเป็นงานมโหฬารขา้ราชการท้งั ในและนอกราชการ ตลอดจนทูตานุทูต ไดเ้ขา้เฝ้าประจาํตาํแหน่งอยา่งครบครัน สําหรับข้าราชการ พลเรือน ไดย้กเลิกยศอาํมาตย์ดงัน้นัเครื่องแบบที่เคยแต่งอยา่งสง่างาม จึงเปลี่ยนมาเป็นเครื่องแบบ ชุดขาวติดแผงที่คอ เมื่อไดฤ้กษ์พระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีก็ไดน้าํรัฐธรรมนูญข้ึนทูลเกลา้ฯ ถวาย พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ฯ ทรงลงพระปรมาภิไธยในท่ามกลางมหาสมาคม แล้วทรงพระ กรุณาโปรดเกล้าฯ มอบรัฐธรรมนูญให้แก่พระยามโนปกรณ์ฯ งานฉลองรัฐธรรมนูญคร้ังแรก งานพระราชพิธีฉลองรัฐธรรมนูญ ได้มีการหยุดราชการ 3 วัน และจัดให้มีงานมหรสพที่ ท้องสนามหลวง และสวนลุมพินี มีการประดบัโคมไฟกนัทวั่ ไปในพระนคร ตลอดจนต่างจงัหวดั ด้วย ในโอกาสน้ีไดป้ระพนัธ์บทเพลงชาติข้ึน โดยความริเริ่มของนายพนัเอกพระยาทรง สุรเดช เป็ นการกระตุ้นเตือนให้คนไทย สาํนึกในชาติกาํเนิดของตน ในงานฉลองรัฐธรรมนูญไดม้ีเรื่องที่เนื่องมาจากการปกครองแบบใหม่อยูห่ลายเรื่องดว้ยกนั คือ นักเรียนโรงเรียนอัสสัมชัญ ได้หยุดเรียนมาชุมนุมประท้วงระเบียบการของโรงเรียน จีนลาก รถรับจ้างสไตร๊คหยุดงานประท้วงนายจ้างที่เอาเปรียบ และไม่ปรับปรุงรถให้อยูใ่นสภาพที่ใชก้าร ได้ ลูกศิษยว์ดับางแห่งถือหลกัสิทธิเสมอภาคกนั ไม่หุงขา้วให้พระฉนัและมีเรื่องขบขนัเกิดข้ึนใน บางจังหวัด เมื่อมีการฉลองรัฐธรรมนูญกนัมโหฬาร ก็เขา้ใจว่าเป็นการสมโภชบุตรชายคนใหม่ ของพระยาพหล เป็ นต้น
77 เรื่องที่ 5 บทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ในการพัฒนาชาติไทย บทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ในการพัฒนาชาติไทย สถาบนัพระมหากษตัริยม์ีบทบาทสาํคญัอยา่งยงิ่ในการพฒันาชาติไทยมาต้งัแต่อดีตจนถึง ปัจจุบนัดงัตวัอยา่งต่อไปน้ี 1) การป้องกันและรักษาเอกราชของชาติ นบัต้งัแต่อดีตพระมหากษตัริยท์รงอยใู่นฐานะจอมทพัเป็นผนู้าํในการทาํสงครามเพื่อ ป้องกนับา้นเมืองและขยายอาํนาจเช่นสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงประกาศอิสรภาพจากพม่า และทาํสงครามเพื่อสร้างความมนั่คงและขยายอาํนาจของกรุงศรีอยธุยาหรือสมเด็จพระเจา้ตากสิน มหาราชทรงประกาศอิสรภาพจากพม่าและทาํสงครามเพื่อสร้างความมนั่คงและขยายอาํนาจของ กรุงศรีอยุธยาหรือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงเป็ นผู้นําขับไล่พม่าหลงัเสียกรุงศรีอยธุยาคร้ังที่ 2 และสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานีแห่งใหม่ในรัชสมยัพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราชก็ทรงเป็นแม่ทพัสาํคญัมาต้งัแต่สมยัธนบุรีทรงทาํสงครามกบัพม่า สงครามคร้ังใหญ่คือ สงครามเกา้ทพัเมื่อ พ.ศ. 2328 แม่แต่ในสมยัที่ไทยเผชิญภยัคุกคามจากจกัรวรรดินิยมตะวนัตกท้งั พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้เจา้อยหู่วัและพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้เจา้อยหู่วัก็ทรงเป็นผูน้าํ ในการดาํเนินนโยบายต่างๆ เพื่อรักษาเอกราชของชาติโดยใชน้ โยบายทางการทูตสร้าง ความสัมพนัธ์กบัราชสาํนกัต่างชาติเมื่อเผชิญกบัความขดัแยง้กบัชาติตะวนัตกเช่น รัฐบาลไทยใช้ การเจรจาทางการทูตท้งัการเจรจาในเมืองไทยและในฝรั่งเศสในกรณีร.ศ. 112 โดยขุนนางไทยและ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้เจา้อยหู่วัไดท้รงเจรจากบัฝรั่งดว้ยพระองคเ์องเมื่อคราวเสด็จ ประพาสยโุรปคร้ังที่1 พ.ศ. 2440 นอกจากน้ีทรงผกูมิตรกบัรัสเซียเพื่อใหร้ัสเซียช่วยเจรจาไกล่เกลี่ยกบัฝรั่งเศสอีกทางหน่ึง และทรงยอมเสียดินแดนส่วนนอ้ยที่ไม่ใช่ดินแดนไทยเพื่อรักษาดินแดนส่วนใหญ่ไวห้รือในรัชสมยั พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกลา้เจา้อยหู่วัทรงประกาศเขา้ร่วมกบัฝ่ายสัมพนัธมิตรในสงครามโลก คร้ังที่1 (ค.ศ. 1914 -1918) และส่งทหารไทยไปยโุรปดว้ยทาํใหไ้ทยไดป้ระโยชน์จากการเขา้ ร่วมกบัฝ่ายชนะสงครามโดยไดย้กเลิกสนธิสัญญาไม่เป็นธรรมที่เคยทาํกบัชาติตะวนัตกไวใ้นเวลา ต่อมา 2) การสร้างสรรค์วัฒนธรรมไทย บทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ในการสร้างสรรค์วัฒนธรรมไทยจัดวา่มีความสาํคญัอยา่งยงิ่ต่อ การพฒันาชาติไทยดว้ยเช่นกนัโดยสามารถสรุปไดด้งัน้ี 1. ดา้นประเพณีและพิธีสาํคญัต่าง ๆพระมหากษตัริยท์รงมีบทบาทสาํคญั ในการ สร้างสรรคพ์ระราชพิธีและขนบธรรมเนียมประเพณีของชาติไทยมาต้งัแต่อดีตท้งัพระราชพิธีที่ เกี่ยวกบัพระมหากษตัริยโ์ดยตรง เช่น พระราชพิธีราชาภิเษกพระราชพิธีของรัฐเช่น พระราชพิธี จรดพระนงัคลัแรกนาขวญัและพระพระราชพิธีทางศาสนา เช่นพระราชพิธีเสด็จพระราชดาํเนิน
78 ทอดผ้าพระกฐินโดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารควันสําคัญทางพระพุทธศาสนา ล้วนมี พระมหากษัตริย์ดป็ นผู้นําในการปฏิบัติ 2. ด้านศาสนาพระมหากษตัริยไ์ทยทุกยคุทุกสมยัเป็นองคอ์ุปถมัภแ์ละส่งเสริมการ เผยแผพ่ระพุทธศาสนาท้งัการสร้างและบูรณปฏิสังขรณ์ศาสนสถาน การสังคายนาพระไตรปิ ฏก การแต่งวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา เช่น สมเด็จพระมหาธรรมราชาที่1(ลิไทย)ทรงแต่งไตรภูมิ พระร่วงหรือสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงสนบัสนุนใหน้กัปราชญร์าชบณัฑิตร่วมกนัแต่ง หนังสือเรื่องมหาชาติคําหลวง นอกจากน้ีพระมหากษตัริยไ์ทยทรงมีขนัติธรรมทางศาสนาทรงให้ เสรีภาพในการนบัถือศาสนาแก่ราษฎรและทรงสนบัสนุนศาสนาอื่น ๆ เช่นพระราชทานที่ดินให้ สร้างเป็นโบสถค์ริสตแ์ละมสัยดิในศาสนาอิสลามท้งัในสมยัอยธุยาและรัตนโกสินทร์เป็ นต้น 3) ด้านวัฒนธรรมการด าเนินชีวิต ในอดีตราชสํานักเป็ นศูนย์กลางประเพณีและวัฒนธรรมชาวบ้านจะเรียนแบบการประพฤติ ปฏิบตัิของชาววงัเช่น การแต่งกายอาหารนบัต้งัแต่รัชสมยัพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้อยหู่วัเป็นตน้มาพระมหากษตัริยท์รงเป็นผู้นําในการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการดําเนินชีวิต โดยเฉพาะการรับวฒันธรรมแบบตะวนัตกเช่น การใชช้อ้นส้อม การนงั่ โตะ๊เกา้อ้ีการแต่งกายแบบ ตะวนัตก ทาํใหว้ฒันธรรมแบบใหม่แพร่หลายไปสู่ประชาชน คร้ันถึงสมยัพระบาทสมเด็จพระ มงกุฏเกลา้เจา้อยหู่วัทรงปลูกฝังเรื่องชาตินิยมใหค้นไทยมีความรักและจงรักภกัดีต่อ"ชาติศาสน์ กษตัริย"์ซ่ึงกลายเป็นคาํขวญัมาจนถึงปัจจุบนัทรงนาํประเทศเขา้สู่สังคมนานาชาติในทางวฒันธรรม โดยให้คนไทยมีนามสกุลเพื่อแสดงถึงความเป็ นชาติที่มีอารยธรรมมีการใช้คํานําหน้าเด็ก สตรี บุรุษ ทรงเปลี่ยนการนับเวลาตามแบบสากล 24 นาฬิกาและทรงประดิษฐธ์งชาติแบบใหม่เรียกวา่"ธง ไตรรงค"์ใหเ้หมือนกบัธงที่ประเทศส่วนใหญ่ใชก้นั 4) ด้านศิลปกรรม แบ่งออกเป็น 4.1) ด้านวรรณกรรมพระมหากษัตริย์ไทยหลายพระองค์ทรงมีพระปรีชาสามารถ ทางการประพนัธ์เช่นรัชกาลที่1 ทรงพระราชนิพนธ์นิราศรบพม่าที่ท่าดินแดนบทละครเรื่อง รามเกียรต์ิรัชกาลที่2 ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องอิเหนากาพยเ์ห่เรือชมเครื่องคาวหวาน รัชกาลที่5 ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องเงาะป่ า ไกลบ้าน รัชกาลที่ 6 ทรงพระราชนิพนธ์วรรณกรรม มากมายเช่นเทศนาเสือป่า นิทานทองอิน ศกุนตลา มทันะพาธารวมท้งัทรงแปลบทละครของ วิลเลียม เชกสเปี ยร์เช่น เวนิสวานิช โรมิโอและจูเลียต รวมท้งัรัชกาลที่9 ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง พระมหาชนก ทรงแปลเรื่องนายอินทร์ ผู้ปิ ดทองหลังพระติโต (Tito) จากต้นฉบับภาษาอังกฤษ เป็ นต้น 4.2) ด้านสถาปัตยกรรม ประติมากรรม และจิตรกรรมผลงานด้านสถาปัตยกรรม ที่พระมหากษตัริยไ์ทยหลายพระองค์โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างข้ึนมีอยู่มากมาย เช่น ในสมยัอยุธยา สมเด็จพระรามาธิบดีที่1 (อู่ทอง)โปรดเกลา้ฯ ให้สร้างพระปรางคว์ดัพุทไธสวรรย์ตามแบบศิลปะ
79 ลพบุรี สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างพระเจดียใ์หญ่3องคใ์นวดัพระศรีสรรเพชญ์ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากศิลปะสุโขทัย ส่วนในสมยัรัตนโกสินทร์เช่น รัชสมยัที่1โปรดเกลา้ฯ ใหส้ร้างพระบรมมหาราชวงั และวดัพระศรีรัตนศาสดาราม ซ่ึงเป็นผลงานชิ้นเอกดา้นสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมอนัเป็น สมบตัิของชาติมาถึงปัจจุบนั โดยโปรดใหถ้่ายแบบพระบรมมหาราชวงัที่กรุงศรีอยธุยามาสร้าง เช่น พระที่นงั่ดุสิตมหาปราสาท นอกจากน้ีโปรดเกลา้ฯ ใหส้ร้างป้อมปราการเรียงรายไวร้อบพระนคร ป้อมที่เหลือมาถึงปัจจุบัน คือ ป้อมพระสุเมรุและป้อมมหากาฬ รัชกาลที่ 2 โปรดเกล้า ฯ ให้สร้าง พระเจดียใ์หญ่3องคใ์นวดัพระศรีสรรเพชญ์ซ่ึงไดร้ับอิทธิพลจากศิลปะสุโขทยัส่วนในสมยั รัตนโกสินทร์เช่น รัชกาลที่1โปรดเกลา้ฯ ใหส้ร้างพระบรมมหาราชวงัและวดัพระศรีรัตนศาสดา ราม ซ่ึงเป็นผลงานชิ้นเอกดา้นสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมอนัเป็นสมบตัิของชาติมาถึงปัจจุบนั โดยโปรดใหถ้่ายแบบพระบรมมหาราชวงัที่กรุงศรีอยธุยามาสร้าง เช่น พระที่นงั่ดุสิตมหาปราสาท นอกจากน้ีโปรดเกลา้ฯ ใหส้ร้างป้อมปราการเรียงรายไวร้อบพระนคร ป้อมที่เหลือมาถึงปัจจุบนัคือ ป้อมพระสุเมรุและป้อมมหากาฬ รัชกาลที่2โปรดเกลา้ฯ ใหส้ร้างสวนขวาข้ึนใน พระบรมมหาราชวัง เพื่อเป็ นที่ทรงพระสําราญและต้อนรับแขกเมือง ทรงแกะสลักบานประตูวิหาร พระศรีศากยมุนีที่วัดสุทัศนเทพวราราม รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างโลหะปราสาทที่วัดราช นดัดาราม และโปรดเกลา้ฯ ใหส้ร้างและซ่อมแซมพระราชวงัเช่น เปลี่ยนหลงัคาพระที่นงั่ดุสิตมหา ปราสาทและเพิ่มการปิดทองเขา้ไป ร้ือประตูกาํแพงวงัเดิมเป็นประตูที่มียอดมณฑปเป็นไม้ เปลี่ยนเป็นประตูหอรบอยา่งที่เห็นอยใู่นปัจจุบนัและโปรดเกลา้ฯ ใหส้ร้างป้อมปราการเพิ่มเติม โดยเฉพาะอยา่งยงิ่ป้อมที่ต้งัอยทู่างปากอ่าวไทยในสมยัรัชกาลที่5ไดร้ับอิทธิพลจากวฒันธรรม ตะวันตกจึงโปรดเกลา้ฯ ให้สร้างตึกและพระที่นงั่ท้งัแบบตะวนัตกและประยกุตร์ะหวา่งศิลปะ ไทยกบัตะวนัตกเช่น พระที่นงั่อนนัตสมาคม พระที่นงั่จกัรีมหาปราสาท พระที่นงั่วมิานเมฆ เป็น ต้น สาํหรับงานประติมากรรมส่วนใหญ่จะโปรดเกลา้ฯ ใหส้ร้างพระพุทธรูป เช่น สมเด็จพระ รามาธิบดีที่2 โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างพระศรีสรรเพชญ์ประดิษฐานไว้ในวิหารหลวง วัดพระศรีสรร เพชญ์ในสมยัรัตนโกสินทร์เช่น รัชกาลที่2โปรดเกลา้ฯ ใหส้ร้างพระพุทธธรรมิศราชโลกธาตุ ดิลก พระประธานในพระอุโบสถวดัอรุณราชวราราม โดยทรงป้ันพระพกัตร์ดว้ยพระองคเ์อง รัชกาลที่ 9 โปรดเกล้า ฯ ใหส้ร้างพระพุทธรูปบางประทานพร ภ.ป.ร. รวมท้งัทรงสร้างพระพิมพ์ ส่วนพระองค์คือ พระพิมพจ์ิตรลดา เป็นตน้ ในดา้นจิตรกรรม เช่น สมเด็จพระเจา้ตากสินมหาราชโปรดเกลา้ฯ ใหช้่างเขียนเขียนสมุด ภาพไตรภูมิเพื่อใหค้นท้งัหลายประกอบความดีละเวน้ความชวั่รัชกาลที่3 ทรงใหก้ารส่งเสริม ช่างฝีมือทุกชาติงานจิตรกรรมในรัชสมยัน้ีจึงมีอยหู่ลายแห่งที่มีการนาํศิลปะจีนเขา้มาผสม เช่น ประตูพระที่นงั่อิศราวนิิจฉยัในพระราชวงับวรสถานมงคล(พิพิธภณัฑสถานแห่งชาติพระนคร) มี การประดบัลวดลายที่แตกต่างไปจากเดิม คือ มีลายตน้ ไม้ดอกไม้นกแมลงและกิเลน ซ่ึงเป็นสัตว์
80 ในตาํนานของจีนปรากฏอยดู่ว้ยขณะเดียวกนัก็มีการเขียนสีทอง ซ่ึงดดัแปลงมาจากจิตรกรรมของ ไทยมีความโดดเด่น รวมท้งัรัชกาลที่9 ทรงวาดภาพฝีพระหตัถ์ซ่ึงมีท้งัแบบเหมือนจริง (Realism) แบบเอกซ์เพรสชันนิซึม (Expressionism) และแบบนามธรรม (Abstractionism) 4.3) ดา้นนาฏกรรมและการดนตรีนาฏกรรมของไทยเริ่มมีแบบแผนข้ึนในสมยัสมเด็จพระ บรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) โดยได้รับอิทธิพลมาจากละครหลวงของเขมรและโปรดให้มี การเล่นดึกดาํบรรพ์(ซ่ึงต่อมาพฒันาเป็นการแสดงโขน)จนกระทงั่ถึงในสมยัสมเด็จพระเจา้อยหู่วั บรมโกศโปรดการเล่นละครอยา่งมากจึงทรงส่งเสริมการละครจนมีความเจริญรุ่งเรืองคร้ันเมื่อเสีย กรุงศรีอยธุยาแก่พม่าใน พ.ศ. 2310การละครไทยเสื่อมโทรมลง สมเด็จพระเจา้ตากสินมหาราชได้ โปรดเกลา้ฯ ใหน้าํพม่าใน พ.ศ. 2310การละครไทยเสื่อมโทรมลง สมเด็จพระเจา้ตากสินมหาราช ได้โปรดเกล้า ฯ ให้นําละครหญิงของเจ้านครเมื่อคราวเสด็จลงไปปราบชุมนุมเจ้านครเข้ามาเป็ นครู ฝึกร่วมกบัพวกละครที่ทรงรวบรวมจากที่ต่าง ๆ ฝึกหดัเป็นละครหลวงข้ึนใหม่ในสมยั รัตนโกสินทร์นาฏกรรมไดร้ับการฟ้ืนฟูในสมยัรัชกาลที่1และไดร้ับการส่งเสริมให้เจริญกา้วหนา้ ในสมัยรัชกาลที่ 2 ทรงฟ้ืนฟูท่ารําอยา่งโบราณท้งัโขนและละครและปรับปรุงท่ารําต่าง ๆ ดว้ย พระองคเ์อง ทรงส่งเสริมการละคร ซ่ึงกลายเป็นตน้แบบทางการละครที่สืบเนื่องมาถึงปัจจุบนั ใน ดา้นการดนตรีรัชกาลที่2 ทรงชาํนาญการเล่นซอสามสาย ทรงใชซ้อที่พระราชทานนามวา่"ซอ สายฟ้าฟาด" ประพันธ์เพลง "บุหลันลอยเลื่อน" หรือ บุหลันลอยฟ้า" ในสมัยรัชกาลที่ 7 ทรง ประพันธ์เพลงราตรีประดับดาว และในสมัยรัชกาลที่ 9 ทรงประพันธ์เพลงพระราชนิพนธ์ไว้จํานวน มากเช่น พรปีใหม่ลมหนาวใกลรุ้่ง สายฝน เป็นตน้ กล่าวโดยสรุป ในประวตัิศาสตร์ไทยมีประเด็นสาํคญัหลายเรื่องที่น่าศึกษา เช่น ประเด็น เกี่ยวกบัความเป็นมาของชนชาติไทยอาณาจกัรโบราณในดินแดนไทยและอิทธิพลที่มีต่อสังคมไทย ปัจจยัที่มีผลต่อการสถาปนาอาณาจกัรไทย สาเหตุและผลการปฏิรูป การปกครองบา้นเมืองการเลิก ทาสและเลิกไพร่การเสด็จประพาสยโุรปและหวัเมืองสมยัรัชกาลที่5การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 บทบาทของสตรีไทยนอกจากน้ีตลอดประวตัิศาสตร์ไทยจะเห็นไดว้า่ ไทยเป็นชนชาติที่ มีพระมหากษตัริยเ์ป็นผนู้าํในการสร้างความมนั่คงทางการเมืองการปกครอง รวมท้งัการสร้างสรรค์ วฒันธรรมและพฒันาบา้นเมืองใหเ้จริญรุ่งเรือง
81 กิจกรรมท้ายบทที่ 3 1. พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์ใด ทรงมีพระปรีชาสามารถและความกล้าหาญ ทําให้ข้าศึกยกทัพ เข้ามาโจมตีไทยอีกเป็ นเวลาหลายร้อยปี ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. 2. ในสมยัพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้เจา้อยหู่วัทรงต้งัสภาที่ปรึกษาราชการแผน่ดินข้ึน 2 สภ คือ ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. 3. จงบอกสาเหตุที่นาํไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 มาอยา่งนอ้ย 3 ข้อ ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................
82 ผลงานบุคคลส าคัญในการสร้างสรรค์ชาติไทย สาระส าคัญ ในการสร้างสรรค์ชาติไทยและพัฒนาจนเจริญรุ่งเรืองดงัเช่นทุกวนัน้ีส่วนหนึ่งเป็นเพราะ บุคคลสาํคญัจาํนวนมาก ท้งัพระมหากษตัริยเ์ช้ือพระวงศ์ขนุนาง สามญัชนท้งชาวไทย ัและ ชาวต่างชาติ ได้มีบทบาทสําคัญในการสร้างสรรค์ชาติไทยด้านต่างๆ ท้งัทางดานการปกครอง ้ เศรษฐกิจ สังคม และศิลปวฒันธรรมซ่ึงบุคคลที่หยิบยกมาเป็นตวัอยา่งในที่น้ีลวนทํา ้ คุณประโยชน์ ต่อประเทศชาติมีความซื่อสัตย์ความจงรักภกัดีต่อพระมหากษัตริย์ มีความวิริยะอุตสาหะ มีความรัก และความรับผดิชอบต่อชาติบ้านเมือง สมควรที่คนรุ่นหลังควรยึดถือและนําไปใช้เป็นแบบอยางใน ่ การดําเนินชีวิต ผลการเรียนรู้ทคี่าดหวงั วเิคราะห์ผลงานของบุคคลสาํคญัท้งัชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีส่วนสร้างสรรคว์ฒันธรรม ไทยและประวัติศาสตร์ไทย ขอบข่ายเนื้อหา เรื่องที่ 1 พระมหากษัตริย์ที่มีบทบาทในการสร้างสรรค์ชาติไทย เรื่องที่ 2 พระบรมวงศานุวงศ์ที่มีบทบาทในการสร้างสรรค์ชาติไทย เรื่องที่ 3 ขนุนางและชาวต่างชาติที่มีบทบาทในการสร้างสรรคช์าติไทย กจิกรรมการเรียนรู้ 1. ศึกษาเอกสารการเรียนรู้ 2. ปฏิบตัิกิจกรรมตามที่ได้รับมอบหมายในเอกสารการเรียนรู้ สื่อประกอบการเรียนรู้ 1. คู่มือการเรียนรู้ 2. แบบฝึ กหัด ประเมินผล 1. จากแบบฝึ กหัด 2. จากการทดสอบกลางภาคและปลายภาคเรียน
83 บทที่ 4 ผลงานบุคคลส าคัญในการสร้างสรรค์ชาติไทย เรื่องที่ 1 พระมหากษัตริย์ที่มีบทบาทในการสร้างสรรค์ชาติไทย 1. พ่อขุนศรีอนิทราทติย์ พ่อขุนศรีอนิทราทติย์หรือพระนามเต็ม กมรเตงอัญศรีอินทรบดินทราทิตย์พระนามเดิม "พอ่ขนุบางกลางหาว" เป็นปฐมกษตัริยแ์ห่งราชวงศ์ พระร่วง ตามประวัติศาสตร์ไทย ทรงครองราชย์ ต้งัแต่พ.ศ. 1792 ถึงปีใดไม่ทราบ พระนาม 1. พอ่ขนุบางกลางหาว 2. พอ่ขนุศรีอินทราทิตย์ 3. บางกลางหาว 4. พระร่วง 5. พระอินทราชา 6. อรุณราช 7. ไสยรังคราช หรือไสยรังคราชา 8. ไสยนรงคราช 9. รังคราช หรือสุรังคราช 10. พระร่วง หรือโรจนราช สาํหรับพระนามแรกคือ พ่อขนุบางกลางหาวน้นัเป็นพระนามด้งัเดิมเมื่อคร้ังเป็นเจา้เมือง บางยาง เป็นที่ยอมรับกนัโดยทวั่ ไปวา่พอ่ขนุบางกลางหาวเป็นพระนามสมยัเป็นเจา้เมืองบางยาง โดยแท้จริง พระนามที่สองน้นัเป็นพระนามที่ใชก้นัทางราชการเป็นพระนามที่เชื่อกนัวา่ทรงใชเ้มื่อ ราชาภิเษกแลว้พระนาม "ศรีอินทราทิตย"์มีบ่งอยใู่นศิลาจารึก ส่วนคาํนาํหนา้พระนาม "ศรีอินทราทิตย"์มีคาํเรียกแตกต่างกนัไปวา่ขนุศรีอินทราทิตยบ์า้ง พอ่ขนุศรีอินทราทิตยบ้าง ์ บางกลางหาวศรีอินทราทิตยบ์า้งและบางทีก็เรียกพระเจา้ขนุศรีอินทราทิตย์
84 พระราชกรณียกิจ พอ่ขนุศรีอินทราทิตย์เมื่อคร้ังยงัเป็นพอ่ขนุบางกลางหาวไดร้่วมมือกบัพอ่ขนุผาเมือง เจ้าเมืองราดแห่งราชวงศ์ศรีนาวนําถุม รวมกาํลงัพลกนักระทํารัฐประหารขอมสบาดโขลญลําพง โดยพ่อขุนบางกลางหาวตีเมืองศรีสัชนาลัยและเมืองบางขลงได้และยกท้งัสองเมืองให้พ่อขุนผา เมือง ส่วนพอ่ขนุผาเมืองตีเมืองสุโขทยัได้ก็ไดม้อบเมืองสุโขทยัให้พ่อขุนบางกลางหาว พร้อมพระ ขรรค์ชัยศรีและพระนาม "ศรีอินทรบดินทราทิตย์" ซึ่งได้นํามาใช้เป็ นพระนาม ภายหลังได้คลายเป็ น ศรีอินทราทิตย์การเขา้มาครองสุโขทยัของพระองค์ส่งผลใหร้าชวงศพ์ระร่วงเข้ามามีอิทธิพลในเขต นครสุโขทยัเพิ่มมากข้ึน และไดแ้ผข่ยายดินแดนกวา้งขวางมากออกไป แต่เขตแดนเมืองสรลวงสอง แควก็ยงัคงเป็นฐานกาํลงัของราชวงศศ์รีนาวนาํถุมอยู่ ในกลางรัชสมยัทรงมีสงครามกบัขนุสามชน เจา้เมืองฉอด ทรงชนชา้งกบัขุนสามชน แต่ชา้ง ทรงพระองค์ไดเ้ตลิดหนีดงัคาํในศิลาจารึกว่า "หนีญญ่ายพ่ายจแจ๋น" (หนี-ยอ-ยา่ย-พ่าย-จอ-แจ้น) ขณะน้นพระโอรสองค์เล็ก มีพระปรีชาสามารถ ได้ชนช้างชนะขุนสามชน ภายหลังจึงทรงเฉลิม ั พระนามพระโอรสวา่ รามคําแหง ในยุคประวตัิศาสตร์ชาตินิยม มีคติหน่ึงที่เชื่อกนัว่า พระองคท์รงเป็นผูน้าํชาวสยามต่อสู้กบั อิทธิพลขอมในสุวรรณภูมิทรงไดช้ยัชนะและประกาศอิสรภาพต้งัราชอาณาจกัรสุโขทยัข้ึน และ ทรงเป็นปฐมกษตัริยแ์ห่งราชอาณาจกัรไทยแต่ภายหลงัคติดงักล่าวไดร้ับการพิสูจน์แลว้วา่ ไม่จริง เพราะพระองคไ์ม่ไดเ้ป็นปฐมกษตัริย์อีกท้งัยงัมีพอ่ขนุศรีนาวนาํถุม ครองสุโขทยัอยกู่ ่อนแลว้ พระราชวงศ์ พ่อขุนศรีอนิทราทติย์มีพระราชโอรสและพระธิดารวม 5 พระองค์ไดแ้ก่ 1. พระราชโอรสองคโ์ต (ไม่ปรากฏนาม) เสียชีวติต้งัแต่ยงัทรงพระเยาว์ 2. พอ่ขนุบานเมือง 3. พอ่ขนุรามคาํแหงมหาราช (พระนามขณะที่ยังทรงพระเยาว์ไม่ปรากฏ) 4. พระธิดา (ไม่ปรากฏนาม) 5. พระธิดา (ไม่ปรากฏนาม) แมไ้ม่ทราบแน่นอนวา่พระองคส์ ิ้นพระชนมใ์นปีใด แต่ภายหลงัจากพระองคส์ ิ้นพระชนม์ แลว้พอ่ขนุบานเมือง พระราชโอรสพระองคใ์หญ่ไดส้ืบราชสมบตัิแทน
85 2. พ่อขุนรามค าแหง พ่อขุนรามค าแหงมหาราช หรือ พญาร่วง หรือ พระบาทกมรเตงอัญศรีรามราช เป็ นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 4 ในราชวงศพ์ระร่วงแห่งราชอาณาจักรสุโขทัย เสวยราชย์ ประมาณ พ.ศ. 1822ถึงประมาณ พ.ศ. 1841 พระองค์ทรงเป็ นกษัตริย์พระองค์แรกของไทยที่ได้รับ การยกยอ่งเป็น "มหาราช" ดว้ยทรงบาํเพญ็พระราชกรณียกิจอนัทรงคุณประโยชน์แก่แผน่ดิน ทรง รวบรวมอาณาจกัรไทยจนเป็นปึกแผน่กวา้งขวาง ท้งัยงัไดท้รงประดิษฐ์ตวัอกัษรไทยข้ึน ทาํใหช้าติ ไทยไดส้ะสมความรู้ทางศิลปะวฒันธรรม และวชิาการต่าง ๆ สืบทอดกนัมากวา่เจด็ร้อยปี พระราชประวัติ พระประสูติกาล พ่อขุนรามคาํแหงมหาราชเป็นพระราชโอรสองค์ที่3 ของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์กบันาง เสือง พระเชษฐาองค์แรกสิ้นพระชนม์ต้งัแต่พ่อขุนรามคาํแหง ยงัทรงพระเยาว์พระเชษฐาองค์ที่ สองทรงพระนามตามศิลาจารึกวา่"พระยาบานเมือง" ซ่ึงไดเ้สวยราชยต์ ่อจากพระราชบิดาและเมื่อ สิ้นพระชนมแ์ลว้พอ่ขนุรามคาํแหงมหาราชก็เสวยราชยแ์ทนต่อมา ตามพงศาวดารโยนก พอ่ขนุรามคาํแหงมหาราชแห่งกรุงสุโขทัย พญามังรายมหาราชแห่ง ล้านนาและพญางําเมืองแห่งพะเยา เป็นศิษยร์่วมพระอาจารยเ์ดียวกนัณ สาํนกัพระสุกทนัตฤๅษี ที่เมืองละโว้จึงน่าจะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกนั โดยพญามงัรายประสูติเมื่อ พ.ศ. 1782 พอ่ขนุรามฯ น่าจะประสูติในปีใกลเ้คียงกนัน้ี พระนาม เมื่อพอ่ขุนรามคาํแหงมหาราชมีพระชนมายสุิบเกา้พรรษา ไดท้รงทาํยุทธหัตถีมีชยัต่อขุนสาม ชน เจ้าเมืองฉอด (อยบู่นน้าํแม่สอดใกล้จังหวัดตากแต่อาจจะอยใู่นเขตประเทศพม่าในปัจจุบัน) พระราชบิดาจึงทรงขนานพระนามวา่"พระรามคาํแหง" ซ่ึงแปลวา่"พระรามผกู้ลา้หาญ"
86 ราชบัณฑิตยสถานสันนิษฐานวา่พระนามเดิมของพระองคค์ือ"ราม" เพราะปรากฏพระนาม เมื่อเสวยราชยแ์ลว้วา่"พอ่ขนุรามราช"อน่ึง สมยัน้นันิยมนาํชื่อปู่มาต้งัเป็นชื่อหลาน ซ่ึงตามพระราช นดัดาของพระองคม์ ีพระนามวา่"พระยาพระราม"และในช้นัพระราชนดัดาของพระราชนดัดา ใน เหตุการณ์การแยง่ชิงราชสมบตัิกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. 1962 ตามพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบบัหลวง ประเสริฐอกัษรนิต์ิปรากฏเจา้เมืองพระนามวา่"พระยาบาลเมือง"และ"พระยาราม" การเสวยราชย์ นายตรี อมาตยกุลไดเ้สนอวา่พอ่ขนุรามคาํแหงมหาราชน่าจะเสวยราชย์พ.ศ. 1820 เพราะ เป็ นปี ที่ทรงปลูกต้นตาลที่สุโขทัย ศาสตราจารย์ประเสริฐ ณ นคร ราชบัณฑิต จึงไดห้าหลกัฐานมาประกอบพบวา่กษตัริยไทย ์ อาหมถือประเพณีทรงปลูกต้นไทรตอนข้ึนเสวยราชยอ์ยา่งนอ้ยเจ็ดรัชกาลดว้ยกนัท้งัน้ีเพื่อสร้าง โชคชยัวา่รัชกาลจะอยยู่นืยงเหมือนตน้ ไทรอน่ึง ตน้ตาลและตน้ ไทรเป็นไมศ้กัด์ิสิทธ์ิของลังกาจน ทําหาย พระราชกรณียกิจ รัชสมยัของพอ่ขนุรามคาํแหงมหาราชเป็นยคุที่กรุงสุโขทยัเฟื่องฟูและเจริญข้ึนกวา่เดิมเป็น อนัมากระบบการปกครองภายในก่อใหเ้กิดความสงบเรียบร้อยอยา่งมีประสิทธิภาพ มีการติดต่อ สัมพนัธ์กบัต่างประเทศท้งัในดา้นเศรษฐกิจและการเมือง ประชาชนอยดู่ ีกินดีสภาพบา้นเมือง กา้วหนา้ท้งัทางเกษตรการชลประทาน การอุตสาหกรรม และการศาสนาอาณาเขตของกรุงสุโขทยั ไดข้ยายออกไปกวา้งใหญ่ไพศาล การเมืองการปกครอง เมื่อพอ่ขุนศรีอินทราทิตยท์รงขจดัอิทธิพลของเขมรออกไปจากกรุงสุโขทยัไดใ้นปลายพุทธ ศตวรรษที่ 18การปกครองของกษัตริย์สุโขทัยได้ใช้ระบบปิ ตุราชาธิปไตยหรือ"พ่อปกครองลูก" ดงั ข้อความในศิลาจารึกพอ่ขนุรามคาํแหงวา่คาํพูด"...เมื่อชวั่พอ่กูกูบาํเรอแก่พอ่กูกูไดต้วัเน้ือตวัปลากู เอามาแก่พอ่กูกูไดห้มากส้มหมากหวาน อนั ใดกินอร่อยดีกูเอามาแก่พอ่กูกูไปตีหนงัวงช้างได้ กูเอา ั มาแก่พอ่กูกูไปท่อบา้นท่อเมืองไดช้า้งไดง้วงไดป้ ั่วไดน้างไดเ้งือนไดท้องกูเอามาเวนแก่พอ่กู.." ขอ้ความดงักล่าวแสดงการนบัถือบิดามารดาและถือวา่ความผกูพนัในครอบครัวเป็นเรื่อง สาํคญัครอบครัวท้งัหลายรวมกนัเขา้เป็นเมืองหรือรัฐ มีเจา้เมืองหรือพระมหากษัตริย์เป็ นหัวหน้า ครอบครัว ปรากฏข้อความในศิลาจารึกพอ่ขนุรามคาํแหงวา่พ่อขนุรามคาํแหงมหาราชทรงใชพ้ระราช อาํนาจในการยตุิธรรมและนิติบญัญตัิไวด้งัต่อไปน้ี1) ราษฎรสามารถคา้ขายไดโ้ดยเสรีเจา้เมืองไม่ เรียกเก็บจังกอบหรือภาษีผา่นทาง 2) ผใู้ดลม้ตายลง ทรัพยม์รดกก็ตกแก่บุตรและ3) หากผใู้ดไม่ได้
87 รับความเป็นธรรมในกรณีพิพาท ก็มีสิทธิไปสั่นกระดิ่งที่แขวนไวห้นา้ประตูวงัเพื่อถวายฎีกาต่อ พระมหากษัตริย์ได้ พระองคก์ ็จะทรงตดัสินดว้ยพระองคเ์อง นอกจากน้ีพ่อขนุรามคาํแหงมหาราชยงัทรงใชพุทธศาสนา ้เป็นเครื่องช่วยในการปกครอง โดยได้ทรงสร้าง "พระแท่นมนงัคศิลาบาตร"ข้ึนไวก้ลางดงตาลเพื่อใหพ้ระเถรานุเถระแสดงพระ ธรรมเทศนาแก่ประชาชนในวันพระ ส่วนวนัธรรมดาพระองคจ์ะเสด็จประทบัเป็นประธานให้ เจา้นายและขา้ราชการปรึกษาราชการร่วมกนั เศรษฐกิจและการค้า โปรดใหส้ร้างทาํนบกกัน้าํที่เรียกวา่ “สรีดภงส์” เพื่อนาํน้าํไปใชใ้นตวัเมืองสุโขทยัและ บริเวณใกลเ้คียงโดยอาศยัแนวคนัดินที่เรียกวา่ “เขื่อนพระร่วง” ทาํใหม้ีน้าํสาํ หรับใช้ในการ เพาะปลูกและอุปโภคบริโภคในยาม ที่บา้นเมืองขาดแคลนน้าํ ทรงส่งเสริมการคา้ขายอยา่งเสรีภายในราชอาณาจกัรดว้ยการไม่เก็บภาษีผา่นด่านหรือ“จก อบ” (จงักอบ)จากบรรดาพอ่คา้ที่เขา้มาคา้ขายในกรุงสุโขทยัดงัคาํจารึกบนศิลาจารึกวา่"เจา้เมือง บ่ เอาจกอบในไพร่ลู่ทาง" นอกจากน้ียงัมีหลกัฐานที่ปรากฏวา่พอ่ขนุรามคาํแหงมหาราชทรงส่งเสริม ใหช้าวสุโขทยันิยมการคา้ขายน้นั ปรากฏตามศิลาจารึกตอนหน่ึงวา่"เพื่อนจูงววัไปคา้ขี่มา้ไปขาย ใครจะใคร่คา้ชา้งคา้ ใครจกัใคร่คา้มา้คา้ ใครจกัใคร่คา้เงือนคา้ทองคา้"อนัเป็นการแสดงใหเ้ห็นวา่ ทรงเปิดเสรีทุกประการในการค้าขาย ทาํใหก้ารคา้ขายขยายออกไปอยา่งกวา้งขวางจนปรากฏแหล่ง การคา้สาํคญั ในสุโขทยัไดแ้ก่"ตลาดปสาน"จากศิลาจารึกกล่าววา่"เบ้ืองตีนนอนเมืองสุโขทยัมี ตลาดปสาน" ในดา้นเศรษฐกิจระหวา่งประเทศ พอ่ขนุรามคาํแหงมหาราชทรงเจริญสัมพนัธไมตรีกบั มหาอาํนาจอยา่ง "จีน" โดยนอกจากการเพิ่มพูนสัมพนัธไมตรีตามปกติแลว้ยงัโปรดใหน้าํช่างจาก ชาวจีนมาเพื่อก่อต้งัโรงงานต้งัเตาทาํถว้ยชามท้งัเพื่อใชใ้นประเทศและสามารถส่งออกไปยงั ประเทศใกลเ้คียงไดด้ว้ยถว้ยชามที่ผลิตในยคุน้ีเรียกวา่"ชามสังคโลก" ศาสนาและวัฒนธรรม ทรงคิดประดิษฐอ์กัษรไทยข้ึนใชแ้ทนตวัอกัษรขอมที่เคยใชก้นัมาแต่เดิม เมื่อ พ.ศ. 1826 เรียกวา่ “ลายสือไทย” และได้มีการพัฒนาการมาเป็ นลําดับจนถึงอักษรไทยในยุคปัจจุบัน ทําให้คน ไทยมีอกัษรไทยใชม้าจนถึงทุกวนัน้ี โปรดให้จารึกเรื่องราวบางส่วนที่เกิดในสมยัของพระองค์โดยปรากฏอยใู่นศิลาจารึกสุโขทยั หลักที่ 1 ทาํใหค้นไทยยคุหลงัไดท้ราบ และนกัประวตัิศาสตร์ไดใ้ชศ้ิลาจารึกดงักล่าวเป็นขอ้มูล หลักฐานในการศึกษาค้นคว้าเรื่องราวประวัติศาสตร์สุโขทัย ทรงรับเอาพระพุทธศาสนา นิกายเถรวาท ลัทธิลังกาวงศ์ จากลังกาผา่นเมือง นครศรีธรรมราช มาประดิษฐานที่เมืองสุโขทยัทาํใหพ้ระพุทธศาสนาวางรากฐานมนั่คงใน
88 อาณาจกัรสุโขทยัและเผยแผไ่ ปยงัหวัเมืองต่างๆในราชอาณาจกัรสุโขทยัจนกระทงั่ ไดก้ลายเป็น ศาสนาประจาํชาติไทยมาจนถึงทุกวนัน้ี เมื่อพระพุทธศาสนาไดม้าต้งัมนั่ที่นครศรีธรรมราช พ่อขุนรามคําแหงมหาราชทรงเลื่อมใส ศรัทธาในพระพุทธศาสนาจึงให้นิมนต์พระเถระช้นัผูใ้หญ่จากเมืองนครศรีธรรมราชไปต้งัเผยแผ่ พระพุทธศาสนาที่กรุงสุโขทยัดว้ย และนบัเป็นการเริ่มการเจริญสัมพนัธไมตรีกบัลงักาอีกท้งัทรง ไดส้ดบักิตติศพัท์ของ "พระพุทธสิหิงค์" ซ่ึงเป็นพระพุทธรูปที่เจา้ราชวงศ์ลงักาสร้างข้ึนดว้ยพระ พุทธลักษณะที่งดงาม และมีความศกัด์ิสิทธ์ิจึงทรงให้พระยานครศรีธรรมราช เจา้ประเทศราชแต่ง สาส์นให้ทูตถือไปยังลังกา เพื่อขอเป็ นไมตรีและขอพระราชทานพระพุทธสิหิงค์มาเพื่อเป็ นพระ คู่บา้นคู่เมืองไทยสืบไป อาณาเขต พอ่ขนุรามคาํแหงมหาราชไดท้รงขยายอาณาเขตออกไปอยา่งกวา้งขวางไพศาลคือ ทิศตะวันออก ทรงปราบได้เมืองสรหลวงสองแคว (พิษณุโลก), ลุมบาจาย, สะค้า (สองเมือง หลงัน้ีอาจอยแู่ถวลุ่มแม่น้าํน่านหรือแควป่าสักก็ได)้, ขา้มฝั่งแม่น้าํโขงไปถึงเวยีงจนัทน์และเวยีงคาํ ในประเทศลาว ทิศใต้ทรงปราบไดค้นที(บา้นโคน จงัหวดักาํแพงเพชร), พระบาง (นครสวรรค์), แพรก (ชัยนาท), สุพรรณภูมิ, ราชบุรี, เพชรบุรี, และนครศรีธรรมราช โดยมีฝั่งทะเลสมุทร(มหาสมุทร) เป็ นเขตแดนไทย ทิศตะวันตก ทรงปราบได้เมืองฉอด,มีสมุทรเป็ นเขตแดนไทย ทิศเหนือ ทรงปราบไดเ้มืองแพร่, เมืองน่าน, เมืองพลวั (อาํเภอปัว น่าน), ขา้มฝั่งโขงไปถึง เมืองชวา (หลวงพระบาง) เป็ นเขตแดนไทย ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การใช้ความสัมพันธ์ทางด้านการทูตและความสัมพันธ์ทางด้านวัฒนธรรม โดยเฉพาะ ทางดา้นพระพุทธศาสนาแทนการทาํสงคราม ทาํใหสุ้โขทยัมีแต่ความสงบร่มเยน็ ไม่เกิดสงครามกบั แควน้ต่างๆ ในสมยัของพระองค์และไดห้วัเมืองประเทศราชเพิ่มข้ึนอีกดว้ย ทรงทาํพระราชไมตรีกบั พญามังรายมหาราชแห่งล้านนาและพญางําเมืองแห่งพะเยา โดย ทรงยินยอมให้พญามังรายมหาราชขยายอาณาเขตล้านนาทางแม่น้าํกกแม่น้าํปิงและแม่น้าํวงัได้ อยา่งสะดวกเพื่อใหเ้ป็นกนัชนระหวา่งจีนกบัสุโขทยักบัท้งัยงัไดเ้สด็จไปทรงช่วยเหลือพญามงัราย มหาราชหาชัยภูมิสร้างเมืองเชียงใหม่เมื่อ พ.ศ. 1839 ด้วย ทางอาณาจักรมอญ มีพอ่คา้ชื่อ"มะกะโท" เขา้รับราชการอยใู่นราชสาํนกัของพ่อขนุ รามคําแหงมหาราช มะกะโทได้ผูกสมัครรักใคร่กบั"เจา้เทพธิดาสร้อยดาว" พระธิดาของพอ่ขนุ รามคาํแหงมหาราช แลว้พากนัหนีไปอยเมืองเมาะตะมะู่แลว้จึงขออภยัโทษต่อพอ่ขุนรามคําแหง
89 มหาราช ขอพระราชทานนาม และขอยินยอมเป็ นประเทศราชของกรุงสุโขทยัซ่ึงพอ่ขนุรามคาํแหง ไดพ้ระราชทานนามวา่"พระเจา้ฟ้ารั่ว" ทางทิศใต้ ได้ทรงอาราธนาพระมหาเถรสังฆราชผู้เรียนจบพระไตรปิ ฎกมาจาก นครศรีธรรมราช ใหม้าเผยแพพุ่ทธศาสนาในกรุงสุโขทยั ส่วนดา้นเมืองละโวน้้นัทรงปล่อยใหเ้ป็นเอกราชอยู่เพราะปรากฏวา่ยงัส่งเครื่องบรรณาการ ไปจีนอยรู่ะหวา่ง พ.ศ. 1834ถึง พ.ศ. 1840 ท้งัน้ีพอ่ขนุรามคาํแหงมหาราชก็คงจะไดท้รงผกูไมตรี กบัเมืองละโวไ้ว้นอกจากน้ีพอ่ขนุรามคาํแหงมหาราชเองก็ทรงส่งราชทูตไปจีนสามคร้ังเพื่อเจริญ สัมพันธไมตรี ประดิษฐกรรม พอ่ขนุรามคาํแหงมหาราชทรงประดิษฐอ์กัษรไทยข้ึนใชเ้มื่อ พ.ศ. 1826 ตัวหนังสือไทยของ พอ่ขนุรามคาํแหงมหาราชมีลกัษณะพิเศษกวา่ตวัหนงัสือของชาติอื่นซ่ึงขอยมืตวัหนงัสือของอินเดีย มาใช้กล่าวคือ พระองคไ์ดท้รงประดิษฐพ์ยญัชนะ สระและวรรณยกุต์เพิ่มข้ึนใหส้ามารถเขียน แทนเสียงพูดของคาํในภาษาไทยไดทุ้กคาํกบัท้งัไดน้าํสระและพยญัชนะมาอยใู่นบรรทดัเดียวกนั โดยไม่ตอ้งใชพ้ยญัชนะซอ้นกนัทาํใหเ้ขียนและอ่านหนงัสือไทยไดง้่ายและสะดวกมากข้ึน วรรณกรรม วรรณกรรมสมยัพอ่ขนุรามคาํแหงมหาราชสูญหายไปหมดแลว้คงเหลือแต่ศิลาจารึกพอ่ขนุ รามคําแหง (พ.ศ. 1835) ซ่ึงแมจ้ะมีขอ้ความเป็นร้อยแกว้แต่ก็มีสัมผสัคลอ้งจองทาํใหไ้พเราะ ซาบซ้ึงตรึงใจเช่น คาํพูด...ในน้าํมีปลา ในนามีขา้ว...ลู่ทางเพื่อนจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย...เห็นข้าว ท่านบ่ใคร่พิน เห็นสินท่านบ่ใคร่เดือด นบัเป็นวรรณคดีเริ่มแรกของกรุงสุโขทยัซ่ึงตกทอดมาถึงปัจจุบนั โดยอยา่งไรก็ดีในช่วง ต้งัแต่พ.ศ. 2520 เป็ นต้นมา มีขอ้สงสัยทางวชิาการวา่ศิลาจารึกดงักล่าวจะมิไดท้าํข้ึนในสมยัพอ่ขนุ รามคาํแหงมหาราช และมีผเู้สนอวา่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้อยหู่วัผทู้รงพบศิลาน้นัเมื่อ เสด็จจาริกธุดงค์เป็นผทู้รงทาํศิลาน้นัข้ึนเพื่อเหตุผลทางการเมืองในการสร้างประวตัิศาสตร์ชาติไทย ใหช้าติตะวนัตกเห็นวา่มีและรุ่งเรืองมาอยา่งยาวนาน เป็นการป้องปัดภยัการล่าอาณานิคมในสมยั น้นัท้งัน้ีขอ้ สงสัยน้ีกาํลงัเป็นที่ถกเถียงกนัอยู่
90 3. พระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไท) พระมหาธรรมราชาที่1 หรือ พระบาทกมรเตงอัญศรีสุริยพงศ์รามมหาราชาธิราช, พระบาทกมรเตงอัญฦๅไทยราช , พระยาลือไทย หรือ พระยาลิไทย(ครองราชย์พ.ศ. 1890 - พ.ศ. 1919) พระมหากษตัริยอ์าณาจกัรสุโขทยัราชวงศพ์ระร่วงลาํดบัที่6 เป็ นพระโอรสพระยาเลอ ไทยและพระราชนัดดาของพอ่ขนุรามคาํแหงมหาราช พระราชประวัติ พระยาลิไทยเป็ นกษัตริย์องค์ที 6 แห่งอาณาจักรสุโขทัยข้ึนครองราชยต์ ่อจากพระยางวั่ นําถุม เดิมทรงปกครองเมืองศรีสัชนาลัย ในฐานะองค์อุปราชหรือรัชทายาทเมืองสุโขทัย เมื่อปีพ.ศ. 1882 เมื่อพระยาเลอไทยเสด็จสวรรคตใน พ.ศ. 1884 พระยางวั่นาํถุมไดข้้ึนครองราชยจ์นเสด็จ สวรรคตในพ.ศ. 1890 พระยาลิไทยโดยตอ้งใชก้าํลงัทหารเขา้มายดึอาํนาจเพราะที่สุโขทยัเกิดการ กบฏการสืบราชบลัลงัก์ไม่เป็นไปตามครรลองครองธรรม พระยาลิไทยยกทพัมาแยง่ชิงราชสมบตัิ ได้และข้ึนครองราชยใ์น พ.ศ. 1890 ทรงพระนามวา่พระบาทกมรเตงอญัศรีสุริยพงษ์รามมหาธรรม ราชาธิราช ในศิลาจารึกมกัเรียกพระนามเดิมวา่"พญาลิไทย" หรือเรียกยอ่วา่พระมหาธรรมราชาที่1 พระราชกรณีกิจ การศาสนา พระยาลิไทยทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอยา่งมากนโยบายการปกครองที่ใช้ ศาสนา เป็นหลกัรวมความเป็นปึกแผน่จึงเป็นนโยบายหลกัในรัชสมยัน้ีดว้ยทรงดาํริวา่การจะขยาย อาณาเขตต่อไปเช่นเดียวกบั ในรัชการพ่อขนุรามคาํแหง พระอยักาก็จกัตอ้งนาํไพร่พลไปลม้ตายอีก เป็ นอันมาก พระองค์จึงทรงมีพระราชประสงคท์ ี่จะปกครองบา้นเมืองเช่นเดียวกบัพระเจา้อโศก
91 มหาราชที่ทรงปกครองอินเดียใหเ้จริญไดด้ว้ยการส่งเสริมพระพุทธศาสนาและสั่งสอนชาวเมืองให้ ต้งัอยใู่นศีลธรรมอนัจะเป็นวิธีรักษาเมืองใหย้งั่ยนือยไู่ด้ ทรงสร้างเจดีย์ที่เมืองนครชุม (กาํแพงเพชร) ผนวชในพระพุทธศาสนาเมื่อ พ.ศ. 1905 ที่วัด ป่ามะม่วงการที่ทรงออกผนวช นบัวา่ทาํความมนั่คงใหพุ้ทธศาสนามากข้ึน ดงักล่าวแลว้วา่หลงั รัชสมัยพอ่ขนุรามคาํแหงมหาราชแลว้บา้นเมืองแตกแยกวงการสงฆเ์องก็แตกแยกแต่ละสาํนกัแต่ ละเมืองก็ปฏิบตัิแตกต่างกนัออกไป เมื่อผูน้าํทรงมีศรัทธาแรงกลา้ถึงข้นัออกบวช พสกนิกรท้งัหลาย ก็คลอ้ยตามหนัมาเลื่อมใสตามแบบอยา่งพระองค์กิตติศพัทข์องพระพุทธศาสนาในสุโขทยัจึงเลื่อง ลือไปไกล พระสงฆช์ ้นัผใู้หญ่หลายรูปไดอ้อกไปเผยแพร่ธรรมในแควน้ต่าง ๆ เช่น อโยธยา หลวง พระบาง เมืองน่าน แมแ้ต่พระเจา้กือนาธรรมิกราชแห่งอาณาจักรล้านนาก็นิมนตพ์ระสุมณเถระ จากสุโขทยัไปเพื่อเผยแพร่ธรรมที่ลา้นนา นอกเมืองสุโขทัยทางทิศตะวันตก ทรงอาราธนาพระสามิสังฆราชจากลังกาเข้ามาเป็ น สังฆราชในกรุงสุโขทยัเผยแพร่เพิ่มความเจริญใหแ้ก่พระศาสนามากยงิ่ข้ึน ทรงสร้างและบูรณะวดั มากมายหลายแห่งรวมท้งัการสร้างพระพุทธรูปเป็นจาํนวนมากเช่น พระพุทธชินสีห์พระศรี ศาสดาและพระพุทธรูปองค์สําคัญองค์หนึ่งของประเทศคือ พระพุทธชินราช ปัจจุบันประดิษฐาน อยทู่ ี่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร พระยาลิไทย ทรงปราดเปรื่องในความรู้ในพระพุทธศาสนา ทรงมีความรู้แตกฉานใน พระไตรปิ ฎก พระองคไ์ดท้รงแบ่งพระสงฆอ์อกเป็น 2 ฝ่ ายคือฝ่ าย "คามวาสี" และฝ่ าย "อรัญวาสี" โดยใหฝ้่ายคามวาสีเนน้หนกัการสั่งสอนราษฎรในเมืองและเนน้การศึกษาพระไตรปิ ฎก ส่วนฝ่าย อรัญวาสีเน้นให้หนักด้านการวิปัสสนาและประจาํอยูต่ามป่าหรือชนบท ดว้ยทรงเป็นองคอ์ุปถมัภ์ พระศาสนาตลอดพระชนมช์ีพ ราษฎรจึงถวายพระนามวา่"พระมหาธรรมราชา" พระยาลิไท ไดส้ร้างและบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในพระธาตุช่อแฮ(วดัพระธาตุช่อแฮพระ อารามหลวงอาํเภอเมืองจงัหวดัแพร่ ปัจจุบนั ) เมื่อปีพ.ศ. 1902 นอกจากศาสนาพุทธแล้ว พญาลิไทยยังทรงอุปถัมภ์ศาสนาพราหมณ์ด้วยโดยทรงสร้าง เทวรูปขนาดใหญ่หลายองคซ์ ่ึงยงัเหลือปรากฏใหศ้ึกษาในพิพิธภณัฑสถานแห่งชาติใน กรุงเทพมหานครและที่พิพิธภณัฑสถานแห่งชาติจังหวัดพิษณุโลก ภาษาและวรรณคดี ด้านอักษรศาสตร์ทรงพระปรีชาสามารถนิพนธ์หนังสือไตรภูมิพระร่วง ที่นับเป็ นงานนิพนธ์ ที่เก่าแก่ที่สุดเรื่องหน่ึงในประวตัิศาสตร์ไทย ดว้ยทรงเชี่ยวชาญในพระไตรปิ ฎกจึงทรงนิพนธ์ถึง เรื่องราวเกี่ยวกบัพระพุทธศาสนา ประเพณีในพระพุทธศาสนาโลกมนุษย์สวรรค์และนรก
92 นอกจากพระเจา้ลิไทยจะทรงนิพนธ์วรรณคดีเล่มแรกของไทยแลว้ยงัทรงดดัแปลงการเขียน หนงัสือไทยที่พอ่ขนุรามคาํแหงทรงสร้างไว้โดยกาํหนดใหม้ีสระขา้งบน ขา้งล่าง ข้างหน้า ข้างหลัง รวมท้งัแกไ้ขรูปพยญัชนะให้อ่านเขียนสะดวกข้ึน การสร้างเมือง ทรงทาํนุบาํรุงบา้นเมืองใหเ้จริญหลายประการเช่น สร้างถนนพระร่วงต้งัแต่เมืองศรีสัชนา ลัยผา่นกรุงสุโขทยัไปถึงเมืองนครชุม (กาํแพงเพชร) บูรณะเมืองนครชุม ทรงสร้างเมืองสองแคว (พิษณุโลก) เป็ นเมืองลูกหลวงโดยการยา้ยเมืองซ่ึงเคยอยที่สองแควู่ ซ่ึงเดิมอยทู่างใต้(วดัจุฬามณีในปัจจุบนั )แต่ยงัคงเรียกวา่เมืองสองแควตามเดิม ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ นบัแต่พระยาลิไทยไดค้รองราชยม์า 2 ปีพระเจา้อู่ทองผู้ครองกรุงศรีอยุธยา ได้ให้ขุนหลวง พระงวั่ยกทพัมาตีเมืองชยันาท หวัเมืองช้นั ในของกรุงสุโขทยัดว้ยขณะน้นักรุงสุโขทยัอ่อนแอจาก ทุพภิกขภัย ข้าวกล้าในนาเสียหาย ชาวเมืองอดอยาก ต่อมาพระยาลิไทยไดส้่งทูตไปเจรจาใหก้รุงศรีอยธุยาคืนเมืองชยันาทแต่โดยดีและจะ ยนิยอมใหเ้ป็นประเทศอิสระและมีไมตรีกนัเช่นเดียวกบัขอมที่ครองเมืองลพบุรีกรุงศรีอยธุยาเห็น ควรดว้ยเกรงวา่ขอมจะร่วมมือกบักรุงสุโขทยัจดัทพักระหนาบมาตีกรุงศรีอยธุยาจึงคืนเมืองชยันาท ให้พระยาลิไทย หลงัจากสัมพนัธไมตรีระหวาง ่ 2 กรุงดําเนินมาได้ราว 10 ปีเมื่อพระเจา้อู่ทองสวรรคต ไมตรี ระหวา่งกรุงสุโขทยักบักรุงศรีอยธุยาก็เริ่มตึงเครียดข้ึน และเมื่อขนุหลวงพระงวั่(พระบรม ราชาธิราช)ไดร้าชสมบตัิครองกรุงศรีอยธุยาก็ไดก้รีธาทพัไปตีกรุงสุโขทยัสงครามระหวา่ง 2 กรุง ดําเนินไปถึง 6 ปี เศษ ขุนหลวงพระงวั่ก็ไม่อาจเอาชยัทพัพระยาลิไทยกรุงสุโขทยัได้ 4. พระราชประวตัิพระเจ้าอู่ทอง พระมหากษตัริยแ์ห่งราชวงศอ์ู่ทอง จดหมายเหตุโหรระบุวา่พระเจา้อู่ทองเสด็จพระ ราชสมภพในปี พ.ศ. 1857 ได้ทรงสถาปนาเมืองหลวง ข้ึนในบริเวณที่หนองโสนเมื่อจ.ศ. 712 ปี ขาล โทศก วนัศุกร์ข้ึน 6 คํ่า เดือน 5 เวลา 3 นาฬิกา 9 บาท ตรงกบั วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 1893 เมื่อครองราชย์ได้รับ เฉลิมพระปรมาภิไธยวา่ สมเด็จพระรามาธิบดีศรี สุนทรบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ถึงปี ระกา พ.ศ. 1912 เสด็จสวรรคต อยูใ่นราชสมบตัิ20 ปี
93 พระราชกรณียกิจ การสงครามกับเขมร ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 พระองคท์รงเจริญสัมพนัธไมตรีกบัแวน่แควน้ต่าง ๆ มากมายแมก้ระทงั่ขอม ซ่ึงก็เป็นมาดว้ยดีจนกระทงั่กษตัริยข์อมสวรรคต พระราชโอรสนาม พระ บรมลาํพงศ์ทรงข้ึนครองราชย์ซ่ึงพระบรมลําพงศ์ก็แปรพกัตร์ไม่เป็นไมตรีดงัแต่ก่อน สมเด็จพระ รามาธิบดีที่ 1 จึงให้สมเด็จพระราเมศวรยกทพัไปตีกมัพูชาและใหสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ้ 1 (ขนุหลวงพะงวั่) ทรงยกทพัไปช่วยจึงสามารถตีเมืองนครธมแตกได้พระบรมลาํพงศส์วรรคตใน ศึกคร้ังน้ีสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 จึงแต่งต้งั ปาสัต พระราชโอรสของพระบรมลําพงศ์เป็ น กษัตริย์ขอม ตรากฎหมาย สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ทรงประกาศใช้กฎหมายถึง 10 ฉบบั ในรัชสมยัของพระองค์ไดแ้ก่ พระราชบัญญัติลักษณะพยาน พระราชบัญญัติลักษณะอาญาหลวง พระราชบัญญัติลักษณะรับฟ้อง พระราชบัญญัติลักษณะลักพา พระราชบัญญัติลักษณะอาญาราษฎร์ พระราชบัญญัติลักษณ์โจร พระราชบญัญตัิเบด็เสร็จวา่ดว้ยที่ดิน พระราชบัญญัติลักษณะผัวเมีย พระราชบญัญตัิลกัษณะโจรวา่ดวยโจร ้ ในประวตัิศาสตร์บางแหล่งบอกวา่มีมากกวา่น้ีแต่เท่าที่หาหลกัฐานได้มีเพียงเท่าน้ีเท่าน้นั การศาสนา ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ให้สร้างวดัต่าง ๆ เช่น วัดพุทไธศวรรย์(สร้างปี พ.ศ. 1876) วดัป่าแกว้ (สร้างปี พ.ศ. 1900) และวัดพระราม (สร้างปี พ.ศ. 1912) พระโอรส สมเด็จพระราเมศวร พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 2 แห่งกรุงศรีอยธุยา
94 5. พระราชประวัติสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระราชสมภพ ที่ทุ่งพระอุทยัหรือในปัจจุบนัเรียกวา่ทุ่งหนัตราโดย เมื่อคร้ังสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่๒ (เจ้าสามพระ ยา) จะยกกองทัพลงไปตีเมืองพระนครหลวง (นคร ธรรม) น้นั ไดร้วมพลและต้งัพลบัพลา เพื่อประกอบ พิธีกรรมตดัไมข้่มนามที่ทุ่งพระอุทยัขณะน้นัพระ อัครชายาซึ่งเป็ นพระราชธิดาของสมเด็จพระมหา ธรรมราชาที่ ๓ (ไสลือไท)กษตัริยแ์ห่งพระราชวงศ์ พระร่วงกาํลงัทรงพระครรภอ์ยู่ไดอ้อกไปส่งเสด็จ ได้ประสูติสมเด็จพระบรมไตรนาถที่พลับพลาน้นั เมื่อปี กุน จุลศักราช ๗๙๗ พ.ศ. ๑๙๗๔ ซ่ึงในยวนพา่ย โคลงด้นัระบุวา่แถลงปางพระมาตรไท้สมภพ ท่านนาแดนด่าํบลพระอุทยัทุ่งกวา้ง ทรงเจริญพระชันษาที่เมืองพิษณุโลก พระองค์ทรงครองราชย์ 40 ปี เป็ นเวลานานที่สุดใน บรรดาพระมหากษตัริยแ์ห่งราชวงศส์ุพรรณภูมิแห่งอาณากรุงศรีอยธุยาโดยเป็นพระราชโอรสใน พระเจ้าสามพระยาและก็ยงัเป็นพระนดัดาในสมเด็จพระอินทราชา มีพระราชมารดาเช้ือสายราชวงศ์ พระร่วง พระนามมีความหมายถึง "พระพุทธเจา้" หรือ"พระอิศวร" มีผทู้ี่เขา้ใจวา่คงเป็นพระสหาย มาต้งัแต่วยัเยาวช์ื่อ"ยุทธิษฐิระ" ซึ่งตอนหลังกลายมาเป็ นผู้ชักนําศึกเข้ามา หลังการข้ึนครองราชย์ แลว้ก็เสด็จมาประทบัที่อยธุยาในช่วงแรกของการครองราชย์อีกคร่ึงหน่ึงเสด็จมาประทบัที่ พิษณุโลกเชื่อวา่คงเป็นไปเพื่อการควบคุมดูแลหวัเมืองทางดา้นเหนือและคานอาํนาจของอาณาจกัร ทางเหนือ คืออาณาจักรล้านนาซ่ึงกาํลงัมีความเขม้แขง็และตอ้งการแผอ่าํนาจลงมาทางใต้ในยคุ ของพระเจ้าติโลกราช สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เสด็จสวรรคตเมื่อปี พ.ศ. 2031 เมื่อพระชนมายุ 57 พรรษา ทรงครองราชย์ได้40 ปียาวนานที่สุดของอาณาจักรอยุธยา และเป็ นลําดับ 3 ของพระมหากษัตริย์ ไทยต้งัแต่อดีตจนถึงปัจจุบนัพระองคป์ระทบัอยทู่ ี่กรุงศรีอยุธยาประมาณ 20 ปี ที่เหลือทรงประทับ ที่เมืองพิษณุโลกตลอดรัชกาล