The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

โครงการการพัฒนาเมืองราชบุรีสู่ความเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้บนฐานเศรษฐกิจและวัฒนธรรม The Development of Ratchaburi to be a Learning City on the Basis of Local Economics and Culture เป็นการนำทุนทางวัฒนธรรมของจังหวัดราชบุรีซึ่งครอบคลุมทั้งข้อมูลมรดกวัฒนธรรมและศิลปวัฒนธรรมในพื้นที่จังหวัด มาพัฒนาให้เมืองราชบุรีกลายเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ (Learning City) ในด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดี และศิลปวัฒนธรรม และกลายเป็นเมืองต้นแบบแห่งการศึกษาที่มีข้อมูลอัตลักษณ์ของพื้นที่อย่างลุ่มลึก รวมถึงสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนในพื้นที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างสถาบันของชุมชนให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืนตามทิศทางการพัฒนาเมืองน่าอยู่

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ARC Archaeology, 2022-04-19 05:44:53

โครงการการพัฒนาเมืองราชบุรีสู่ความเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้บนฐานเศรษฐกิจและวัฒนธรรม

โครงการการพัฒนาเมืองราชบุรีสู่ความเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้บนฐานเศรษฐกิจและวัฒนธรรม The Development of Ratchaburi to be a Learning City on the Basis of Local Economics and Culture เป็นการนำทุนทางวัฒนธรรมของจังหวัดราชบุรีซึ่งครอบคลุมทั้งข้อมูลมรดกวัฒนธรรมและศิลปวัฒนธรรมในพื้นที่จังหวัด มาพัฒนาให้เมืองราชบุรีกลายเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ (Learning City) ในด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดี และศิลปวัฒนธรรม และกลายเป็นเมืองต้นแบบแห่งการศึกษาที่มีข้อมูลอัตลักษณ์ของพื้นที่อย่างลุ่มลึก รวมถึงสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนในพื้นที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างสถาบันของชุมชนให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืนตามทิศทางการพัฒนาเมืองน่าอยู่

1

“โครงการการพัฒนาคลงั ขอ้ มูลสารสนเทศศิลปวัฒนธรรม
เมืองราชบุรีและการพัฒนาต้นแบบแหล่งเรียนรู้
(Learning City) : เมืองประวตั ิศาสตรแ์ ละศลิ ปวัฒนธรรม”
โดย คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร

ภายใตโ้ ครงการ

โครงการการพัฒนาเมืองราชบรุ สี ูค่ วามเปน็ เมืองแห่งการเรียนรู้
บนฐานเศรษฐกจิ และวฒั นธรรม
The Development of Ratchaburi to be a Learning City on
the Basis of Local Economics and Culture

2

สารบญั

“โครงการการพฒั นาคลงั ขอ้ มลู สารสนเทศศลิ ปวฒั นธรรมเมืองราชบุรี

และการพัฒนาต้นแบบแหล่งเรียนรู้ (Learning City) :

เมืองประวตั ิศาสตร์และศลิ ปวฒั นธรรม” 4

ท่ีตั้งและอาณาเขต 12

ลกั ษณะภมู ิประเทศ 13

ประวัตศิ าสตรจ์ ังหวดั ราชบุร ี 14

การตง้ั ถน่ิ ฐานของผู้คนราชบุร ี 16

กล่มุ ชาติพันธ์ใุ นเมอื งราชบุรี 20
- ชาวไทยพื้นถิ่น

- ชาวไทยเชอื้ สายจีน
- ชาวไท-ยวน
- ชาวไทยมอญ
- ชาวไทย-กะเหรย่ี ง
- ชาวไทยทรงดาำ หรือ ลาวโซ่ง
- ชาวไทยลาวเวียง หรอื ลาวต้ี
- ชาวไทยเช้ือสายเขมร

ภูมิปญั ญาเมืองราชบุร ี 26
- ปูนขาว

- ผ้าจก

3

ชมุ ชนและชาตพิ ันธ์เุ มืองราชบุร ี 28
29
1. เขตพ้นื ท่เี มืองเก่าราชบรุ อี าำ เภอเมือง 59
จงั หวัดราชบุรี 78

- ขอบเขตพื้นที่ 100
- กลมุ่ ชาติพนั ธุใ์ นพืน้ ที่เขตเมืองเกา่ ราชบรุ ี
- พัฒนาการยา่ นการคา้ รมิ น้าำ แม่กลอง ราชบรุ ี
- ธุรกจิ ดงั้ เดิมในยา่ นตลาดเมอื งเก่าเมอื งราชบรุ ี
- สถานทีส่ าำ คัญในพ้นื ท่ีเขตเมอื งเก่าราชบุรี

2. ตาำ บลคบู วั อาำ เภอเมือง จังหวัดราชบรุ ี
- ไท-ยวน : การตั้งถน่ิ ฐาน
- วฒั นธรรมไท-ยวน
- จปิ าถะภณั ฑ์สถานบ้านคบู ัว

: แหลง่ เรียนรวู้ ัฒนธรรมไท-ยวน

3. ชุมชนบ้านโคกพริก
ตาำ บลค้งุ กระถนิ อาำ เภอเมือง จงั หวัดราชบรุ ี

- วิถชี ุมชน
- การตงั้ ถ่ินฐานบรเิ วณริมน้ำา
- เรอื ในความทรงจาำ
- การตัง้ ถิน่ ฐานริมถนน
- ชาตพิ ันธุ์ชมุ ชน
- อาชีพและภมู ิปญั ญาทอ้ งถ่นิ
- ประเพณี พิธีกรรม ความเช่อื ของชุมชน

บรรณานุกรม

4

โครงการการพฒั นาเมอื งราชบรุ สี คู่ วามเปน็ เมอื งแหง่ การเรยี น
ร้บู นฐานเศรษฐกจิ และวัฒนธรรม The Development of Ratchaburi
to be a Learning City on the Basis of Local Economics and
Culture เป็นการนำาทุนทางวฒั นธรรมของจังหวดั ราชบุรีซ่งึ ครอบคลมุ ทงั้
ขอ้ มลู มรดกวฒั นธรรมและศลิ ปวฒั นธรรมในพนื้ ทจ่ี งั หวดั มาพฒั นาใหเ้ มอื ง
ราชบรุ กี ลายเปน็ เมอื งแหง่ การเรยี นรู้ (Learning City) ในดา้ นประวตั ศิ าสตร์
โบราณคดี และศิลปวัฒนธรรม และกลายเปน็ เมืองต้นแบบแห่งการศึกษา
ทม่ี ขี อ้ มลู อตั ลกั ษณข์ องพน้ื ทอ่ี ยา่ งลมุ่ ลกึ รวมถงึ สรา้ งกระบวนการมสี ว่ นรว่ ม
ของชมุ ชนในพ้ืนท่แี ละหนว่ ยงานท่เี กีย่ วข้อง เพ่ือสรา้ งสถาบันของชุมชนให้
มคี วามเขม้ แขง็ และยง่ั ยนื ตามทศิ ทางการพฒั นาเมอื งนา่ อยู่ ทงั้ นี้ การศกึ ษา
ในโครงการพัฒนาเมืองราชบุรีสู่ความเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้บนฐาน
เศรษฐกิจท้องถิน่ และวฒั นธรรม มวี ัตถปุ ระสงค์สาำ คญั 3 ประการ คอื

1. สรา้ งกลไกความรว่ มมอื ระหวา่ งภาคเี ครอื ขา่ ยตา่ ง ๆ ประกอบดว้ ย
สถาบันการศึกษา องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และ
ภาคประชาชน เพอื่ สรา้ งพน้ื ทกี่ ารเรยี นรรู้ ะดบั เมอื งราชบรุ ี (สถาบนั ชมุ ชน)

2. พฒั นาพ้นื ท่กี ารเรยี นรู้ (Learning Space) ในรปู แบบต้นแบบ
พิพิธภัณฑ์มีชีวิต (Living Museum) และต้นแบบตลาดสินค้าท้องถิ่น
เพอ่ื การเรียนรู้ (Local Learning Market)

3. สรา้ งกลไกการเรยี นรู้ ดว้ ยกระบวนการศกึ ษาทอ้ งถนิ่ (Local
Study) เพื่อสร้างองค์ความรู้ที่ยึดโยงกับทรัพยากรและภูมิปัญญาท้องถิ่น
ตอ่ ยอดไปสผู่ ลติ ภณั ฑแ์ ละการบรกิ ารในพนื้ ทเ่ี พอ่ื สรา้ งเศรษฐกจิ ทอ้ งถน่ิ และ
คณุ ภาพชีวติ ของคนในพน้ื ทรี่ าชบรุ ี

ท้ังน้ี โครงการวิจัยนี้จะเป็นจุดเร่ิมต้นสำาคัญท่ีแสดงให้เห็นถึง
อตั ลกั ษณข์ องราชบรุ ี เพอ่ื พฒั นาเมอื งราชบรุ ใี หเ้ ปน็ เมอื งนา่ อยู่ (Livable City)
และเมอื งแหง่ การเรียนรู้ (Learning City) บนฐานของเศรษฐกิจท้องถิน่
และวัฒนธรรมทม่ี คี ุณค่าของจงั หวดั ราชบุรี ซง่ึ มีความสอดคล้องตามแผน
ยทุ ธศาสตรช์ าติ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) และกรอบวจิ ยั ของหนว่ ยบรหิ าร

5

และจดั การทนุ ดา้ นการพฒั นาระดบั พน้ื ที่ (บพท.) ทก่ี าำ หนดทศิ ทางของเมอื ง
ศูนย์กลางท่ีน่าอยู่ ซ่ึงเชื่อมโยงกับทุนสังคมวัฒนธรรมของเมืองเดิม
เพ่ือรกั ษาคณุ ค่าและเพ่ิมมลู ค่า

โครงการ “พัฒนาเมืองราชบุรสี ู่ความเปน็ เมืองแหง่ การเรียนรู้
บนฐานเศรษฐกจิ ทอ้ งถน่ิ และวฒั นธรรม” เปน็ ชดุ โครงการวจิ ยั ทป่ี ระกอบ
ไปด้วยโครงการวิจยั ยอ่ ย 2 โครงการ ไดแ้ ก่

1. “โครงการการพฒั นาคลังข้อมูลสารสนเทศศลิ ปวัฒนธรรม
เมืองราชบุรีและการพัฒนาต้นแบบแหล่งเรียนรู้ (Learning City) :
เมอื งประวัตศิ าสตร์และศิลปวฒั นธรรม” โดยเป็นการศกึ ษาและรวบรวม
ทนุ ทางเศรษฐกจิ สงั คม และวฒั นธรรมของเมอื งราชบรุ ี เพอื่ เปน็ ฐานความ
รู้และพัฒนาแหล่งเรียนรู้สำาหรับการพัฒนาเมืองราชบุรีบนฐานเศรษฐกิจ
ทอ้ งถิน่ และวฒั นธรรม โดยมีกรอบการศึกษาเป็น 2 ส่วน ประกอบดว้ ย
สว่ นแรก รวบรวมขอ้ มลู ทางโบราณคดี ประวตั ศิ าสตร์ และศลิ ปวฒั นธรรม
ของเมืองราชบุรี ส่วนท่ีสอง เป็นการพัฒนาต้นแบบเมืองประวัติศาสตร์
และศิลปวัฒนธรรม เพ่ือสร้างพ้ืนที่แหล่งเรียนรู้ทางการศึกษาที่ย่ังยืน
ตอ่ ผู้คนในพืน้ ท่ีราชบรุ ีและพน้ื ท่ภี ายนอกทวั่ ประเทศ โดยใช้ปฏิบัตกิ ารแบบ
มีส่วนร่วมในการออกแบบท่ีเรียกว่า DeSk Project หรือปฏิบัติการ
“โตะ๊ กลม” ซง่ึ คอื กระบวนการสรา้ งวงสนทนาระดมความคดิ เหน็ ทง้ั ในเรอ่ื ง
การออกแบบอตั ลกั ษณท์ างวฒั นธรรม (Design) การสรา้ งพนื้ ทกี่ ารเรยี นรู้
(Space) และองคค์ วามรูท้ างวัฒนธรรม (Knowledge) เพอ่ื สร้างเครือข่าย
และสถาบนั ทางสงั คมของเมอื งราชบรุ ี โดยใชร้ ปู แบบกระบวนการนาำ Data
Analysis ในการระดมความคิดเห็น และคลังข้อมูลราชบุรีที่มีอยู่มาช่วย
วิเคราะห์ข้อมลู เพอื่ ใหเ้ ห็นกลมุ่ เปา้ หมายหรอื users ในการเข้ามาใชพ้ น้ื ที่
แหล่งเรียนรู้ เพ่ือสร้าง Customer Experience (Knowledge + Skill)
ให้เป็นจุดขาย และสร้างกลยุทธ์โดยใช้ทฤษฎีแรงดึงดูดโดยใช้จุดสนใจร่วม
กนั ของผู้คนให้กลบั มาใช้พ้นื ทอ่ี ยา่ งย่ังยนื

6

นอกจากนนั้ เมอ่ื ไดค้ วามคดิ เหน็ จากผมู้ สี ว่ นไดส้ ว่ นเสยี ในพน้ื ทแ่ี ลว้
จึงนำามาเป็นแนวทางทางการในบูรณาการกับการอบรมเชิงปฏิบัติการใน
เรอ่ื งการสรา้ งความรคู้ วามเขา้ ใจในรากฐานวฒั นธรรมและองคค์ วามรทู้ อ้ ง
ถ่นิ ของพ้นื ทีร่ าชบรุ ี (Local Study) เพ่อื สร้างกลไกการเรยี นรู้ของผ้คู นใน
พน้ื ทส่ี าำ หรบั ความยงั่ ยนื ของเมอื งตน้ แบบประวตั ศิ าสตร์ และศลิ ปวฒั นธรรม
ราชบรุ ี โดยมรี ูปแบบของกิจกรรมใน 2 ดา้ น คือ 1. กจิ กรรมอบรมเชงิ
ปฏบิ ตั กิ ารทางวฒั นธรรมทอ้ งถนิ่ 2. กจิ กรรมอบรมเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารทางการ
ศึกษาท้องถิ่น

นอกจากสร้างกลไกการทำางานโดยเผยแพร่ลงสู่พ้ืนถ่ินแล้วนั้นยัง
จะมกี ารระดมความคดิ เหน็ เพอื่ สรา้ งกระบวนการการตลาดพพิ ธิ ภณั ฑ์ หรอื
Museum Marketing ขึ้นเพ่ือชว่ ยกาำ หนดแนวทางการออกแบบ ให้บรรลุ
ตามวตั ถปุ ระสงค์ท่วี างไว้ โดยใชก้ ารศกึ ษาผใู้ ช้ (Visitor Studies) หรือผทู้ ่ี
เข้าชมและใช้แหล่งพื้นที่การเรียนรู้ให้เข้ามายังพื้นที่และกลับมาใช้พื้นที่ต่อ
เน่ืองและอย่างยั่งยืน รวมท้ังเม่ือได้ทราบถึงพฤติกรรมและกลุ่มเป้าหมาย
ของผู้มาเย่ียมชมแล้ว ข้อมูลดังกล่าวยังเป็นกลยุทธ์ที่สำาคัญในการพัฒนา
สินคา้ ท้องถน่ิ ที่เป็นอัตลกั ษณ์เพือ่ นาำ ไปสใู่ นเชงิ การลงทนุ ตอ่ ไป

2. “โครงการการบรหิ ารจดั การองคค์ วามรจู้ ากศลิ ปวฒั นธรรม
พ้ืนถ่ินเพ่ือพัฒนาส่แู ผนการเรยี นการสอนในระดับการศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน
และเช่ือมแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตในชุมชนต่อยอดคุณค่าสู่สังคมอย่าง
ยง่ั ยนื ” เปน็ การศกึ ษาและทาำ กจิ กรรมตอ่ ยอดจากโครงงานวจิ ยั การพฒั นา
ผลติ ภณั ฑ์สรา้ งสรรค์ จากชดุ โครงการวจิ ยั ในปี 2563 คณะนักวจิ ัยไดม้ ี
ข้อมูลพื้นฐานในเร่ืองของทุนทางวัฒนธรรมท่ีหลากหลายและโดดเด่นของ
เมืองราชบุรี และได้วิเคราะห์ ความหมาย อัตลักษณ์ เทคนิควิธีการ
ของทุนทางวัฒนธรรมผ่านผลิตภัณฑ์ต้นแบบทางศิลปะและการต่อยอดสู่
ผลิตภัณฑ์ชุมชนผ่านกลไกความร่วมมือระหว่างภาคีเครือข่ายต่าง ๆ
ประกอบดว้ ย สถาบนั การศกึ ษา องคก์ ารปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ภาคเอกชน
และภาคประชาชน เพื่อสร้างพ้ืนที่การเรียนรู้ระดับเมืองราชบุรี (สถาบัน
ชมุ ชน) อนั เปน็ ไปตามกรอบวตั ถปุ ระสงคท์ ี่ 1 ของแผนงานวจิ ยั เพอื่ นาำ ไปสู่

7

การสร้างหลักสูตรการเรียนการสอนท้ังในระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐานและ
การเรียนรู้ตลอดชีวิตแต่ชุมชน ข้อมูลของศิลปวัฒนธรรมประจำาถ่ินท่ี
ถ่ายทอดไปสูก่ ารพฒั นาผลิตภัณฑ์สรา้ งสรรค์ โดยในแผนปี 64 มีกรอบ
การศกึ ษาวจิ ยั ทม่ี งุ่ เนน้ ในการบรหิ ารจดั การองคค์ วามรเู้ หลา่ นเ้ี พอื่ พฒั นาสู่
กิจกรรมการเรียนรู้ของชุมชน ท้ังเพ่ือเยาวชนในชุมชนเองและเพ่ือคนใน
พน้ื ทแี่ ละตา่ งพนื้ ทท่ี เี่ ขา้ มาเยย่ี มเยอื น โดยแบง่ แผนเปน็ 3 สว่ น ประกอบดว้ ย

สว่ นแรก พฒั นาพนื้ ทกี่ ารเรยี นรู้ (Learning Space) จากการท่ี
คณะนกั วจิ ยั ไดจ้ ดั กจิ กรรมการอบรมเชงิ ปฏบิ ตั ทิ างศลิ ปะหตั ถศลิ ป์ Recharge
กนั นะ Ratcha บรุ รี ว่ มกบั นกั เรยี นโรงเรยี นเทศบาล 5 พหลโยธนิ รามนิ ทร
ภกั ดี จงั หวดั ราชบรุ ี ในวนั ที่ 22 มนี าคม พ.ศ. 2564 ซงึ่ เปน็ สว่ นหนงึ่ ของ
โครงการเดค็ ปี 63 ทผี่ า่ นไปนน้ั เปน็ การทดลองกจิ กรรมโดยการสรา้ งโจทย์
ผา่ นทนุ ทางวฒั นธรรมดา้ นศลิ ปกรรมในทอ้ งถน่ิ ราชบรุ ี ผา่ นกระบวนการ
เรยี นรแู้ ละสรา้ งสรรคท์ างศลิ ปะทเ่ี หมาะสมทจ่ี ะใชเ้ ปน็ สอื่ การสอนทส่ี ามารถ
ถา่ ยทอดความเปน็ อตั ลกั ษณแ์ ละเอกลกั ษณไ์ ด้ รวมถงึ เปน็ การสาำ รวจวธิ กี าร
ทาำ งานกบั บคุ ลากรในพน้ื ทแ่ี ละนอกพน้ื ทตี่ งั้ ของโรงเรยี น เชน่ พน้ื ทแี่ หลง่
เรยี นรจู้ รงิ ในชมุ ชน การประสานงานรปู แบบกจิ กรรมทเี่ หมาะสม วธิ กี าร
บรหิ ารจดั การกจิ กรรมการทาำ เวริ ค์ ชอ็ ประหวา่ งโรงเรยี นและชมุ ชน การสรา้ ง
ผลติ ภณั ฑใ์ หเ้ ปน็ เครอื่ งมอื สอ่ื เรยี นรู้ ผา่ นการทาำ งานกบั กลมุ่ ผปู้ ระกอบการ
ชมุ ชน ศลิ ปนิ ชา่ งพนื้ บา้ น

ส่วนท่ีสอง พิพิธภัณฑ์มีชีวิต (Living Museum) จากกิจกรรม
การทาำ งานพฒั นาพนื้ ทท่ี างศลิ ปะในชมุ ชนผา่ นโครงการวจิ ยั ในปี 2563 แลว้ นนั้
ทางคณะวิจัยเห็นท้ังประเด็นในการเชื่อมโยงเนื้อหา คุณค่า ของศิลป
วฒั นธรรมในพนื้ ท่ี เขา้ กบั วถิ ชี วี ติ และการเรยี นรู้ แกผ่ คู้ นในชมุ ชน ทงั้ ใน
มติ ขิ องการสรา้ งพนื้ ทเี่ รยี นรนู้ อกหอ้ งเรยี นแกบ่ คุ คลทว่ั ไป การปรบั เปลย่ี น
มุมมอง และการพัฒนาพ้ืนท่ีในชุมชน ให้กลายเป็น พิพิธภัณฑ์มีชีวิต
ผา่ นการสาำ รวจพน้ื ทร่ี ว่ มกบั ผมู้ สี ว่ นไดส้ ว่ นเสยี และผคู้ นในชมุ ชน เพอ่ื พฒั นา
พน้ื ทเ่ี หลา่ นน้ั หนงึ่ ในพน้ื ทท่ี ม่ี ศี กั ยภาพ ไมว่ า่ จะเปน็ พพิ ธิ ภณั ฑส์ ถานแหง่ ชาติ
วัดวาอารามที่สำาคัญทางประวัติศาสตร์ พิพิธภัณฑ์แหล่งเรียนรู้ของชุมชน

8

ผปู้ ระกอบการงานหตั ถศลิ ป์ (เซรามกิ ทอผา้ ฯลฯ) รวมถงึ หอ้ งสมดุ ชมุ ชนที่
ตลาดเกา่ โคยก๊ี พนื้ ทเี่ หลา่ นมี้ ศี กั ยภาพอยา่ งสงู ทจี่ ะพฒั นาเปน็ พพิ ธิ ภณั ฑม์ ชี วี ติ
ในชมุ ชน หลายพนื้ ทไ่ี ดท้ าำ หนา้ ทน่ี อ้ี ยแู่ ลว้ และตา่ งมศี กั ยภาพทจี่ ะสรา้ งความ
รว่ มมอื เพอื่ ใหเ้ ปน็ แหลง่ เรยี นรทู้ แ่ี ทรกตวั อยใู่ นชมุ ชนอยา่ งกลมกลนื ตอ่ ไป

สว่ นทส่ี าม การพฒั นาผลติ ภณั ฑต์ น้ แบบเพอ่ื ตลาดสนิ คา้ ทอ้ งถนิ่
เพ่ือการเรียนรู้ (Local Learning Market) เป็นอีกหน่ึงกิจกรรมท่ี
ทางจงั หวดั เทศบาล และชมุ ชน มตี ลาดขายสนิ คา้ ตา่ งๆอยู่ เปน็ ประจาำ ราย
สปั ดาหห์ รอื รายเดอื นอยแู่ ลว้ นอกเหนอื จากการเปน็ ตลาดสนิ คา้ เพยี งอยา่ ง
เดยี ว การเพมิ่ บรบิ ททางวฒั นธรรม เปน็ การสง่ เสรมิ ในการสรา้ งคณุ คา่ และ
มลู คา่ ใหแ้ กอ่ งคค์ วามรศู้ ลิ ปวฒั นธรรมใหแ้ กช่ มุ ชนและผมู้ าเยอื น การพฒั นา
ผลติ ภณั ฑส์ รา้ งสรรคท์ เี่ ชอ่ื มโยงกบั ขอ้ มลู แหลง่ เรยี นรู้ ทต่ี อ่ ยอดจากผลผลติ
ทางศลิ ปวฒั นธรรมของชมุ ชน เปน็ ทศิ ทางทสี่ าำ คญั ตอ่ แนวทางความเปน็ ไป
ไดแ้ กเ่ ศรษฐกจิ ชมุ ชน ภายใตบ้ รรยากาศทางตลาดสนิ คา้ ทอ้ งถนิ่ เปน็ หนง่ึ ใน
ผลลพั ธท์ ท่ี างโครงการวจิ ยั ไดว้ างแผนไว้

เครอ่ื งมอื ทสี่ าำ คญั คอื การอบรมเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารทางศลิ ปะหตั ถศลิ ป์
(Art & Craft LAB) เพอื่ บรู ณาการหลกั สตู รการเรยี นการสอนระดบั การศกึ ษา
ขนั้ พนื้ ฐาน โดยใชก้ รอบความรสู้ าำ คญั ในการทาำ งานบรู ณาการระหวา่ งศาสตร์
รว่ มกนั ทสี่ รา้ งสรรคโ์ ดยคณะนกั วจิ ยั /นกั ศกึ ษา รว่ มกบั ชมุ ชน ผปู้ ระกอบ
การทอ้ งถนิ่ ศลิ ปนิ ทอ้ งถน่ิ และหนว่ ยงานทเ่ี กยี่ วขอ้ ง โดยเฉพาะ โรงเรยี น
ใหม้ สี ว่ นรว่ มในการแสดงความคดิ เหน็ ขอ้ เสนอแนะ ตอ่ การทดลองการผลติ
สอ่ื การเรยี นการสอน เทคนคิ วสั ดุ และวธิ กี าร เพอื่ ตอ่ ยอดคณุ คา่ จากอตั
ลกั ษณช์ มุ ชนแกน่ กั เรยี น เยาวชนคนื สสู่ งั คมอยา่ งยง่ั ยนื เพอื่ สรา้ งความเปน็
ไปไดใ้ นเชงิ เศรษฐกจิ สรา้ งสรรคผ์ า่ นโครงสรา้ งฐานรากเดมิ ของผปู้ ระกอบการ
ชมุ ชน ทอ้ งถน่ิ ราชบรุ ี

9

10

ราชบุรี

1. ท่ีต้ังและอาณาเขต
2. ลักษณะภูมิประเทศ
3. ประวตั ิศาสตรจ์ งั หวัดราชบุรี
4. การตงั้ ถน่ิ ฐานของผคู้ นราชบรุ ี
5. กลุม่ ชาติพนั ธุ์ในเมืองราชบุรี
6. ภูมปิ ัญญาเมอื งราชบรุ ี
7. ชมุ ชนและชาติพนั ธเุ์ มืองราชบุรี

11

เมอื งสาำ คญั ทมี่ คี วามเกา่ แกม่ าตงั้ แตส่ มยั กอ่ นประวตั ศิ าสตรจ์ วบจน
มาถึงปัจจุบัน สังเกตได้ผ่านแหล่งโบราณคดีและสถานที่สำาคัญทาง
ประวัติศาสตร์มากมายที่ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่ นอกจากสถานท่ีสำาคัญ
ทางประวตั ศิ าสตรแ์ ลว้ ในบรเิ วณใกลเ้ คยี งยงั คงปรากฏชมุ ชมทมี่ กี ารตง้ั ถนิ่ ฐาน
มาอย่างยาวนาน สะท้อนให้เห็นว่าตลอดช่วงเวลาการเข้ามาตั้งถิ่นฐาน
ของผู้คน ราชบุรีเป็นเมืองท่ีมีความต่อเน่ืองทางพัฒนาการชุมชนและ
ประวตั ศิ าสตรอ์ ยา่ งไมข่ าดสาย ในหนงั สอื เลม่ นไ้ี ดเ้ ลอื กศกึ ษาผา่ น 3 ชมุ ชน
ซ่งึ เปน็ ตวั อย่างของชุมชนในแตล่ ะช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ คือ

1. ชมุ ชนในเขตพน้ื ทเ่ี มอื งเกา่ เปน็ ตวั อยา่ งชมุ ชนทม่ี อี ยตู่ ง้ั แตอ่ ดตี
จนปจั จบุ นั ปรากฏหลกั ฐานเรมิ่ ตน้ อยา่ งชดั เจนในสมยั รชั กาลท่ี 2 โปรดเกลา้ ฯ
ใหย้ า้ ยเมอื งราชบรุ จี ากฝง่ั ตะวนั ตกของแมน่ า้ำ แมก่ ลองมายงั ฝง่ั ตะวนั ออกในปี
พ.ศ. 2360 จนกระทง่ั สมยั รชั กาลท่ี 5 ในปี พ.ศ. 2437 ไดม้ กี ารยา้ ยเมอื ง
กลับมายังฝั่งตะวันตกของแม่นำ้าแม่กลอง ภายหลังจากช่วงเวลาดังกล่าว
เปน็ ตน้ มาเมืองราชบรุ ไี ด้มีพัฒนาการต่อเนือ่ งจนถึงปัจจบุ ัน

2. ชมุ ชนคบู วั เปน็ ตวั อยา่ งของชมุ ชนโบราณสมยั ทวารวดี ภายใน
ชุมชนมีการค้นพบเมืองโบราณคูบัว มีความเป็นเก่าแก่ราวพุทธศตวรรษ
ที่ 11-15 จดั อยใู่ นกลมุ่ วฒั นธรรมทวารวดี ปรากฏโบราณวตั ถแุ ละโบราณ
สถานกระจายตวั อยทู่ ว่ั พน้ื ทชี่ มุ ชนคบู วั ในเวลาตอ่ ชว่ งตน้ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์
ชุมชนแห่งนี้ยังกลายเป็นท่ีต้ังของชุมชนชาวไท-ยวนท่ีใหญ่ที่สุดในเมือง
ราชบรุ ี

3. ชุมชนบ้านโคกพรกิ เปน็ ตัวอย่างของชมุ ชนก่อนประวัตศิ าสตร์
จากการค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีในยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย
(สมัยโลหะ) เช่น ลูกปัดหิน ลูกปัดแก้ว รวมไปถึงโครงกระดูกมนุษย์
ท่ีมีพิธีกรรมการฝังอย่างมีแบบแผน จึงสันนิษฐานได้ว่าพื้นท่ีแห่งนี้มีการ
ตงั้ ถ่นิ ฐานมาแล้วไมน่ ้อยไปกวา่ 2,000-1,500 ปีกอ่ น

12

1. ท่ีตงั้ และอาณาเขต

จงั หวดั ราชบรุ ี ตง้ั อยรู่ ะหวา่ งรงุ้ ท่ี 13 องศา 10 ลปิ ดาเหนอื ถงึ
13 องศา 45 ลปิ ดาเหนอื และระหวา่ งแวงท่ี 99 องศา 10 ลปิ ดาตะวนั ออก
ถงึ 100 องศา 5 ลปิ ดาตะวนั ออก มเี นอ้ื ทท่ี ง้ั หมด 5,196.462 ตารางกโิ ลเมตร
มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดใกล้เคียงและเขตแดนของสาธารณรัฐแห่ง
สหภาพเมียนมา (ภาพที่ 2-1) ดงั น้ี

ทศิ เหนอื ตดิ ต่อกับ
ทิศใต้ อำาเภอท่ามว่ ง อาำ เภอท่ามะกา และ
ทศิ ตะวันออก อำาเภอเมอื งกาญจนบรุ ี จังหวัดกาญจนบุรี
ตดิ ตอ่ กับ
ทศิ ตะวันตก อำาเภอเขาย้อย จงั หวัดเพชรบรุ ี
ติดต่อกับ
อาำ เภอสามพรานและอาำ เภอเมอื งนครปฐม จงั หวดั นครปฐม
อำาเภอบ้านแพว้ จงั หวัดสมุทรสาคร
อำาเภออมั พวา และอาำ เภอเมอื งสมุทรสงคราม
จังหวัดสมุทรสงคราม
ตดิ ต่อกบั ตาำ บลบางยาคู อาำ เภอเมตตา จงั หวัดทวาย
สาธารณรฐั แห่งสหภาพเมยี นมา

13

2. ลักษณะภูมิประเทศ

ลักษณะภมู ปิ ระเทศของจังหวดั ราชบรุ ี สามารถจาำ แนกตามระดบั
ความสูงของพน้ื ที่ท่มี คี วามแตกต่างกนั ไดเ้ ปน็ 3 ลกั ษณะ ดงั นี้

1) บริเวณชายแดนด้านทิศตะวันตกของจังหวัดที่ติดต่อกับ
สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา มีความยาวประมาณ 60 กิโลเมตร
เป็นส่วนของเทือกเขาตะนาวศรี มีภูเขาใหญ่น้อยสลับซับซ้อนเป็นแนวยาว
ความสงู จากระดบั น้าำ ทะเลเฉลยี่ ระหว่าง 200–300 เมตร ได้แก่ บริเวณ
อำาเภอสวนผึ้งเกือบท้ังหมด อำาเภอบ้านคา และพ้ืนที่บางส่วนของอำาเภอ
จอมบงึ

2) บริเวณตอนกลางของจังหวัด (รวมถึงบริเวณด้านทิศเหนือ
ดา้ นทศิ ใตบ้ างสว่ น และดา้ นทศิ ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ของจงั หวดั ) เปน็ พนื้ ท่ี
ราบลุ่มมีความอุดมสมบูรณ์สูง ลักษณะของดินเป็นดินตะกอนที่ทับถมกัน
มาเปน็ เวลานาน เพราะมแี มน่ า้ำ ไหลผา่ น ความสงู จากระดับนาำ้ ทะเลเฉลี่ย
ระหวา่ ง 1–20 เมตร พน้ื ทีเ่ หมาะแกก่ ารทาำ นา ทาำ สวนและทำาไร่ บริเวณ
นี้ได้แก่ พนื้ ท่บี างสว่ นของอำาเภอบ้านโปง่ อำาเภอโพธาราม อำาเภอปากทอ่
อำาเภอบางแพ และอาำ เภอเมืองราชบุรี

3) บรเิ วณดา้ นทิศตะวนั ออกเฉยี งใตข้ องจังหวัด เปน็ พน้ื ที่ราบต่าำ
ความสงู จากระดบั นำ้าทะเลเฉลยี่ ระหวา่ ง 1–10 เมตร มีนาำ้ ขึน้ ลงตลอดปี
เนอ่ื งมาจากไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากน้าำ ทะเลหนุน พนื้ ที่มีความเหมาะสมอย่างย่งิ
สำาหรับการเพาะปลูกผลิตผลทางการเกษตรบริเวณน้ี ได้แก่ อำาเภอ
ดาำ เนินสะดวกและอาำ เภอวดั เพลง

14

3. ประวตั ศิ าสตร์จงั หวัดราชบรุ ี

เมอื งราชบรุ ปี รากฏหลกั ฐานในสมยั กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ (ยคุ หนิ เกา่ )
ต้ังแต่ประมาณ 12,000 ปมี าแล้วดังมกี ารค้นพบเครื่องมือหนิ กะเทาะและ
การอยอู่ าศยั บรเิ วณเพงิ ผาใกลถ้ า้ำ ฤๅษี เขางู อาำ เภอเมอื ง โดยมกี ารอยอู่ าศยั
ตอ่ เนอื่ งต้ังแต่ยคุ หนิ เกา่ ยุคหินกลาง ยุคหินใหม่ ยคุ โลหะ และขยายพื้นท่ี
ไปยังบริเวณต่าง ๆ ของจังหวัดราชบุรีแบ่งออกเป็น 3 บริเวณ ได้แก่
กลมุ่ แหลง่ โบราณคดใี นพน้ื ทส่ี งู แถบเทอื กเขาตะนาวศรี บรเิ วณดา้ นทศิ ตะวนั ตก
ของจังหวัดราชบุรี ในเขตอำาเภอสวนผ้ึง เป็นแหล่งทรัพยากรและเหมือง
แรด่ บี ุกทส่ี าำ คญั กลุ่มแหล่งโบราณคดีในเขตทีร่ าบสลบั กับภเู ขาโดด ในเขต
อาำ เภอจอมบงึ และอาำ เภอโพธาราม ซงึ่ เปน็ พน้ื ทตี่ อ่ เนอื่ งมาจากทางฝง่ั ตะวนั ตก
สภาพพ้นื ทเี่ ปน็ เนินดินและทร่ี าบใกล้แหล่งนาำ้ และกลุ่มแหลง่ โบราณคดใี น
แถบทรี่ าบลมุ่ แมน่ า้ำ แมก่ ลอง ในเขตอาำ เภอบา้ นโปง่ อาำ เภอเมอื ง และอาำ เภอ
บางแพ ซึ่งเป็นชุมชนบนพื้นที่ราบลุ่มแม่นำ้าแม่กลองที่สำาคัญท่ีมีการติดต่อ
แลกเปลยี่ น คา้ ขายกนั กบั ชมุ ชนอนื่ ๆ ทาำ ใหเ้ กดิ การรวมตวั เปน็ ชมุ ชนขนาดใหญ่
ที่มีความพรอ้ มท้ังด้านประชากร เศรษฐกิจ ทรพั ยากร วัฒนธรรม และ
เทคโนโลยี สง่ ผลตอ่ การพฒั นาไปสกู่ ารสรา้ งเมอื งราชบรุ ใี นสมยั ประวตั ศิ าสตร์
บริเวณพ้ืนท่ีราบลุ่มแม่นำ้าแม่กลอง ได้แก่ การสร้างเมืองโบราณคูบัวและ
แหลง่ โบราณคดถี า้ำ ฤๅษี ถาำ้ ฝาโถ ถา้ำ จนี ถาำ้ จาม บรเิ วณเขางู ในเขตอาำ เภอเมอื ง
ซงึ่ พบรอ่ งรอยการอยอู่ าศยั ชมุ ชนโบราณ ศาสนสถาน และงานศลิ ปกรรม
ตง้ั แตส่ มยั ทวารวดเี ปน็ ตน้ มา ประมาณพทุ ธศตวรรษท่ี 11-15 สมั พนั ธก์ นั
กับเมืองโบราณสมัยทวารวดีแห่งอ่ืน ๆ ในบริเวณภาคกลางและ
ภาคตะวนั ออก เชน่ นครปฐม ลพบรุ ี สพุ รรณบรุ ี สงิ หบ์ รุ ี สระบรุ ี นครนายก
ปราจนี บรุ ี และชลบรุ ี เปน็ ตน้ ภายหลังจากวัฒนธรรมทวารวดีล่มสลาย
พื้นที่บริเวณลุ่มแม่น้ำาแม่กลองจึงได้รับอิทธิพลจากอาณาจักรเขมร
ราวพทุ ธศตวรรษท่ี 16–18 ทาำ ใหป้ รากฏหลกั ฐานเมอื งราชบรุ ี ในเขตอาำ เภอเมอื ง
สันนิษฐานว่าตรงกันกับชื่อเมือง “ชยราชบุรี” ในศิลาจารึกปราสาท
พระขรรค์ และการสรา้ งเมอื งโกสนิ ารายณใ์ นเขตอาำ เภอบา้ นโปง่ สนั นษิ ฐาน
ว่าตรงกันกับช่ือเมือง “ศัมพูกปัฏฏนะ” ในศิลาจารึกปราสาทพระขรรค์
เช่นเดียวกัน ซึ่งพบหลักฐานร่องรอยชุมชนโบราณและการวางผังเมือง

15

รปู สีเ่ หลี่ยม การก่อสรา้ งงานสถาปตั ยกรรมและช้ินส่วนประกอบตกแตง่ ที่
ใชว้ ัสดุหนิ ทรายและศิลาแลง และการพบประติมากรรมที่ไดร้ ับอิทธิพลจาก
เขมร (มโน กลีบทอง, 2544: 42–64)

สมยั สโุ ขทยั เมอื งราชบรุ นี บั เปน็ สว่ นหนง่ึ ของหวั เมอื งในอาณาเขต
ของอาณาจักรสุโขทัยและเป็นเมืองท่าบนเส้นทางการค้าขายระหว่างเมือง
บริเวณลุ่มแม่น้ำาเจ้าพระยาและเมืองตะนาวศรี (เมืองท่าชายฝั่งทะเล
อนั ดามนั ) ดงั ปรากฏขอ้ ความในศลิ าจารกึ หลกั ท่ี 1 (จารกึ พอ่ ขนุ รามคาำ แหง
มหาราช) และยังสัมพันธ์กันกับพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำาเจ้าพระยา บริเวณ
ภาคกลางของประเทศไทย ดงั ปรากฏหลกั ฐานงานศลิ ปกรรม ทัง้ รปู แบบ
เจดีย์และพระพุทธรูปที่มีความคล้ายคลึงกันกับศิลปะสมัยก่อนอยุธยา
ต่อมาในสมัยอยุธยาราวพุทธศตวรรษที่ 19–24 เมืองราชบุรีมีบทบาท
สำาคัญในฐานะเมืองท่าสำาคัญท่ีขนถ่ายสินค้า ท้ังจากภายนอกเข้ามายัง
กรุงศรีอยุธยาและสินค้าส่งออกไปยงั ประเทศอ่นื ๆ ผ่านการตดิ ต่อคา้ ขาย
กับชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามายังอาณาจักรอยุธยา และนอกจากนั้นยัง
เป็นเมืองหน้าด่านสำาคัญที่คอยรับศึกจากพม่า โดยพบหลักฐานงาน
ศลิ ปกรรมในเมอื งราชบรุ ที มี่ คี วามสมั พนั ธก์ นั กบั รปู แบบงานศลิ ปกรรมสมยั
อยธุ ยา เช่น พระปรางคว์ ัดมหาธาตุวรวหิ าร ราชบรุ ี วิหารแกลบวดั เขา
เหลอื เป็นตน้

จนกระทงั่ สมยั ธนบรุ ี ตอ่ เนอ่ื งไปจนถงึ สมยั รชั กาลท่ี 1 กรงุ รตั นโกสนิ ทร์
เมอื งราชบรุ ยี งั คงมฐี านะเปน็ เมอื งหนา้ ดา่ นสาำ คญั ทค่ี อยรบั ศกึ สงครามกบั พมา่
โดยมกี ารกวาดต้อนกลมุ่ ชาวจนี มอญ เขมร ไท-ยวน และลาวกลุ่มต่าง ๆ
เขา้ มาอยู่ผสมผสานกับกลมุ่ คนพน้ื เมืองภายในพ้ืนท่เี มืองราชบรุ ี (เพง่ิ อ้าง,
2544: 65–74) เมือ่ เขา้ ถงึ สมยั รัชกาลท่ี 2 โปรดฯ ให้ย้ายเมอื งราชบุรี
จากฝง่ั ตะวนั ตกของแมน่ าำ้ แมก่ ลองไปอยทู่ างฝง่ั ตะวนั ออก เปน็ เหตใุ หป้ จั จบุ นั
ศาลหลักเมืองราชบุรีตั้งอยู่ในพ้ืนท่ีดังกล่าว ล่วงมาถึงสมัยรัชกาลท่ี 5
ได้โปรดฯ ให้ย้ายเมืองราชบุรีกลับมายังฝั่งตะวันออกดังเดิม นอกจากน้ี
ยังมกี ารสร้างสถานท่รี าชการหลายแหง่ ในพน้ื ทเ่ี ขตเมืองเก่า ซึ่งปรากฏให้
เราได้เห็นในปัจจุบัน ภายหลังจากช่วงเวลาดังกล่าวส่งผลให้เมืองราชบุรี
เตบิ โตขึ้น มพี ัฒนาการต่อเน่อื งยาวนานจนมาถึงปัจจบุ ัน

16

4. การตง้ั ถน่ิ ฐานของผูค้ นราชบุรี

การต้ังถ่ินฐานของชุมชนในเมืองราชบุรีนับว่ามีความต่อเนื่อง
ยาวนานต้ังแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ สมัยทวารวดี สมัยที่ได้รับอิทธิพล
อาณาจักรเขมร สมยั สุโขทัย สมยั อยุธยา สมัยธนบุรี สมยั รตั นโกสินทร์
จนกระทง่ั สมยั ปจั จบุ นั โดยความสาำ คญั อยา่ งมากของเมอื งราชบรุ ใี นมมุ มอง
และมิติของทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นปรากฏในช่วงระยะเวลาต้ังแต่
พุทธศตวรรษที่ 11 – 18 ร่วมสมยั กันกบั สมยั ทวารวดีและชว่ งเวลาทไ่ี ด้
รับอิทธิพลจากอาณาจักรเขมร เมืองราชบุรีตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำาคัญ
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางประวัติศาสตร์ภูมิภาคเอเชียท่ีเชื่อมต่อระหว่าง
ฝง่ั ตะวนั ออกและตะวนั ตก ทง้ั ในดา้ นการเดนิ ทางคา้ ขายเพอื่ เศรษฐกจิ การคา้
การแลกเปล่ียนวัฒนธรรมและเผยแผ่ศาสนา หากพิจารณาเส้นทาง
หมายเลข 2 ปากมังกร – ปากโขงจากเมืองทวาย ประเทศเมียนมา
ไปจนถึงเมืองออกแก้ว ประเทศเวียดนาม ซ่ึงพาดผ่านกลุ่มเมืองโบราณ
สำาคัญถึง 4 ประเทศ ได้แก่ เมียนมา ไทย กัมพูชา และเวียดนาม
โดยเรม่ิ ตน้ ตง้ั แตก่ ลมุ่ เมอื งทวาย (เมยี นมา) กลมุ่ เมอื งสงิ ห์ (ไทย) กลมุ่ เมอื ง
นครปฐม-ราชบุรี (ไทย) กลมุ่ เมอื งศรีมโหสถ-พระรถ (ไทย) กล่มุ เมอื งไผ่
(ไทย) กลมุ่ เมอื งยโศธรปรุ ะ-หรหิ ราลยั (กมั พชู า) กลมุ่ เมอื งเกาะแกร์ – บากนั
– สมั โบรไ์ พรกกุ (กมั พชู า) กลมุ่ เมอื งละแวก (กมั พชู า) กลมุ่ เมอื งเปรยนกเกาะ
(กมั พชู า) กลมุ่ เมอื งกาำ ปอด (กมั พชู า) และกลมุ่ เดลตา้ แมน่ า้ำ โขง ซง่ึ เปน็ ทตี่ งั้
ของเมอื งออกแกว้ (กมั พชู าและเวยี ดนาม) นบั วา่ เมอื งราชบรุ เี ปน็ กลมุ่ เมอื ง
สาำ คญั แหง่ หนง่ึ ภายใตเ้ สน้ ทางประวตั ศิ าสตรท์ เี่ ชอื่ มตอ่ การเดนิ ทางระหวา่ ง
พื้นท่ีทั้ง 2 ฝั่งของมหาสมุทร ซ่ึงเป็นส่วนหน่ึงของเส้นทางเครือข่าย
การค้าและการเดนิ ทางที่สาำ คัญในระดบั ภมู ภิ าคเอเชยี

ขอ้ มลู ทางประวตั ศิ าสตรแ์ ละโบราณคดี งานศลิ ปกรรม ภาษาและ
เอกสารโบราณ กลมุ่ ชาตพิ นั ธแ์ุ ละวถิ ชี มุ ชน ศลิ ปวฒั นธรรม นบั เปน็ ทนุ ทาง
วัฒนธรรมสำาคัญท่ีสามารถนำาไปใช้อนุรักษ์และพัฒนาให้เกิดคุณค่าและ
ความสำาคัญด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ ข้อมูลทุนทางวัฒนธรรมจากการ
ศึกษาที่ผ่านมาของเมืองราชบุรีนั้น นับว่ามีการศึกษาอย่างครอบคลุม

17

หลากหลายมิติ ทง้ั แงม่ ุมประวัตศิ าสตร์และโบราณคดี การตง้ั ถน่ิ ฐานของ
ผคู้ น ภมู นิ าม กลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ แตอ่ ยา่ งไรกต็ ามกลบั เปน็ การศกึ ษาในลกั ษณะ
ของภาพรวมทั้งจังหวัดราชบุรี หรือในบางกรณีอาจเป็นการระบุจำาเพาะ
เจาะจงไปในประเดน็ หรอื พนื้ ทใี่ ดพน้ื ทห่ี นงึ่ เลย อาทิ การสาำ รวจการตง้ั ถน่ิ ฐาน
ทางโบราณคดีบริเวณลุ่มแม่นำ้าแม่กลอง-ท่าจีน พบร่องรอยศาสนสถาน
สมัยบายนภายใต้วิหารหลวง วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ราชบุรี ซึ่งใน
สมยั หลงั มกี ารรอ้ื ทงิ้ และสรา้ งวดั พระศรรี ตั นมหาธาตุ ราชบรุ ี ซอ้ นทบั ลงไป
(พจนก กาญจนจนั ทร, 2556)

การศึกษาภูมินามและการต้ังช่ือหมู่บ้านในจังหวัดราชบุรีจาก
โครงสร้างทางไวยากรณ์และความหมายของภาษาไทยที่สะท้อนมาจาก
ลักษณะภูมิประเทศ พืชพันธุ์ และชีวิตความเป็นอยู่ รวมไปถึงการเลือก
ตัง้ ถิน่ ฐานในพื้นทตี่ ่าง ๆ โดยพบวา่ ชื่อหมูบ่ า้ นในจังหวัดราชบุรที เี่ ก่ยี วข้อง
กับนำ้าและแหล่งนำ้าสามารถพบได้มากท่ีสุด โดยจะให้ความสำาคัญกับพ้ืนที่
อาำ เภอเมืองเปน็ หลัก พบคาำ วา่ หนอง, คลอง, หว้ ย, ราง, บาง, น้ำา, คุง้ ,
สระ, พัง, อ่าง จำานวนถึง 77 ชื่อ รองลงมาช่ือหมู่บ้านเกี่ยวข้องกับ
ที่ดอน พบคาำ วา่ ดอน, เขา, โคก จำานวน 24 ช่อื สอดคล้องกับลกั ษณะ
ทางภูมิประเทศและพืชพันธุ์ธรรมชาติของจังหวัดราชบุรีที่พื้นท่ีทางด้าน
ทศิ ตะวนั ตกเปน็ แนวภเู ขาและทรี่ าบสงู สว่ นตอนกลางลกั ษณะเปน็ ทร่ี าบลมุ่
มีแม่นำ้าแม่กลองไหลผ่าน และทางด้านตะวันออกเป็นพื้นที่ราบต่ำา
(สุจรติ ลักษณ์ ดีผดุง, 2547: 111–130)

การศกึ ษาชาตพิ นั ธว์ุ ทิ ยาในจงั หวดั ราชบรุ ที ผี่ า่ นมานบั วา่ มกี ารศกึ ษา
อยา่ งแพรห่ ลายและกวา้ งขวาง พรอ้ มทงั้ มขี อ้ สรปุ เดยี วกนั วา่ กลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ
ในจังหวัดราชบุรีมีจำานวน 8 กลุ่มกระจายตัวอยู่ในอำาเภอต่าง ๆ ได้แก่
ชาวไทยภาคกลางพ้ืนถิ่น (โพหัก) ชาวไทยจนี ชาวไท-ยวน ชาวไทยมอญ
ชาวไทยกะเหร่ียง ชาวไทยลาวโซ่ง (ไทยทรงดำา) ชาวไทยลาวเวยี ง (ลาวต)้ี
และชาวไทยเขมรลาวเดมิ (มโน กลีบทอง, 2544) (ยนต์ ชมุ่ จิต, 2547)

18

โดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์มอญจะมีการศึกษาวิจัยเป็นจำานวนมาก
เนื่องจากเป็นประชากรกลุ่มใหญ่บริเวณริมแม่น้ำาแม่กลอง ซ่ึงมีการศึกษา
กลุ่มชาติพันธุ์มอญบ้านม่วงเป็นหลัก ท้ังในแง่มุมประวัติศาสตร์ เอกสาร
โบราณ งานศลิ ปกรรม สงั คมวิทยา มานุษยวทิ ยา ความเชื่อและประเพณี
การจัดการพิพธิ ภัณฑ์ และพัฒนาการของพ้นื ท่ี สะท้อนให้เหน็ ถึงบทบาท
และความสาำ คญั ของชมุ ชนมอญบา้ นมว่ งทมี่ คี วามเกา่ แกม่ าตง้ั แตส่ มยั อยธุ ยา
ตอนกลาง และยงั คงปรากฏหลกั ฐานงานศลิ ปกรรม รอ่ งรอยของความเชอื่
และประเพณีมอญด้ังเดิมที่ยังคงสืบต่อมาในสมัยหลัง (มหาวิทยาลัย
ศลิ ปากร, 2536) นอกจากนนั้ พน้ื ทต่ี งั้ แตบ่ า้ นมว่ ง, บา้ นโปง่ อาำ เภอบา้ นโปง่
จนถึงบ้านเจ็ดเสมยี น อาำ เภอโพธาราม ยังเปน็ ชมุ ชนของคนมอญ ชาวไทย
คนลาว คนเขมร และชาวจนี กระจายตวั อยตู่ ามพนื้ ทตี่ ลอดแนวแมน่ าำ้ แมก่ ลอง
ดงั พบหลกั ฐานประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถนิ่ คาำ บอกเลา่ งานศลิ ปกรรม ความเชอ่ื
และประเพณีปรากฏในชุมชนต่าง ๆ รวมไปถึงการเข้ามาต้ังถ่ินฐานของ
กลุ่มคริสต์ศาสนาในช่วงหลังท่ีเข้ามาเผยแผ่ศาสนาให้แต่ละกลุ่มชาติพันธุ์
โดยเฉพาะชาวจีน

19

20

กลมุ่ ชาติพันธใุ์ นเมอื งราชบรุ ี

1. ชาวไทยพ้ืนถ่ิน
2. ชาวไทยเช้ือสายจนี
3. ชาวไท-ยวน
4. ชาวไทยมอญ
5. ชาวไทยกะเหรย่ี ง
6. ชาวไทยทรงดาำ หรือลาวโซ่ง
7. ชาวไทยลาวเวียง หรือ ลาวตี้
8. ชาวไทยเชอ้ื สายเขมร

21

5. กลมุ่ ชาตพิ ันธใุ์ นเมอื งราชบุรี

เมืองราชบุรีเป็นเมืองท่ีมีความสำาคัญมาก จึงพบร่องรอยของ
การอยู่อาศัยและกลุ่มคนที่อพยพเข้ามาอย่างหลากหลาย ดังจะเห็นได้
จากข้อมูลการเสด็จฯ ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เม่ือ พ.ศ. 2416 บริเวณตลาดโรงชา้ งถึงบรเิ วณกองบงั คบั การตาำ รวจภูธร
จงั หวดั ราชบรุ ี และศาลแขวงจงั หวดั ราชบรุ ี ปจั จบุ นั ทรงกลา่ วถงึ ผคู้ นเมอื ง
ราชบุรไี วว้ า่

“...คนในพื้นเมืองเป็นไทย จีนมีเป็นพื้น เขมรและมอญมี
หลายพวกหลายเหล่ามาก มอญเจ็ดเมืองก็อยู่ในแขวง
เมอื งราชบรุ ที ง้ั นน้ั เขมรน้นั เป็นเขมรเชลย แต่ครง้ั แผน่ ดนิ
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ มาก ลาวก็มีบ้าง
แตถ่ งึ ดงั นน้ั คนยงั นอ้ ยกวา่ ทแ่ี ผน่ ดนิ อยู่มาก...”

(สภาจังหวดั ราชบรุ ี, 2534: 90-95)

สะทอ้ นใหเ้ หน็ วา่ เมอื งราชบรุ มี กี ลมุ่ คนหลากหลายเขา้ มาอาศยั อยู่
ต้ังแต่ในอดีต ผ่านการอพยพเข้ามาด้วยหลากหลายวิธี ท้ังที่เต็มใจและ
ถกู บงั คบั มา ทาำ ใหใ้ นปจั จบุ นั ปรากฏกลมุ่ คนในพนื้ ทจี่ งั หวดั ราชบรุ ไี ดด้ งั ตอ่ ไปนี้

1. ชาวไทยพนื้ ถ่ิน

กลุ่มคนดั้งเดิมท่ีอาศัยอยู่ในราชบุรีมาแต่ต้น กระจายตัวอยู่ใน
ทุกพน้ื ทีข่ องจังหวัดราชบรุ ี

2. ชาวไทยเช้อื สายจนี

ถอื วา่ มบี ทบาทสาำ คญั ตอ่ การเปลยี่ นแปลงทางเศรษฐกจิ และสงั คม
ไทยเปน็ อย่างมาก โดยเฉพาะในสมัยรตั นโกสนิ ทรท์ ี่มเี รือกลไฟจาำ นวนมาก
เดินทางระหว่างจีนและไทย ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2343 – 2353
กลมุ่ ชาวจนี แตจ้ วิ๋ ทป่ี ระกอบอาชพี เกษตรกรรมไดเ้ รม่ิ ตง้ั ถนิ่ ฐานลกึ เขา้ ไปจาก
เมอื งทา่ ชายทะเลและเมอื งตามรมิ แมน่ า้ำ แลว้ อาทิ แมน่ าำ้ เจา้ พระยา แมน่ าำ้ ทา่ จนี
แม่นำ้าแม่กลอง (วิลเลียม จี. สกินเนอร์, 2548: 83) การทำาสำามะโน
ประชากรเป็นคร้ังแรก ๆ ในพ้ืนที่นอกพระนคร เมื่อพ.ศ. 2447 ตรงกัน
กับสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พบว่า มีชาวจีนอาศัย

22

อยู่ในพ้ืนที่ราชบุรี จำานวน 38,767 คน มากเป็นอันดับ 2 รองจาก
กรุงเทพฯ แต่อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่า จำานวนเลขดังกล่าวอาจมี
ความคลาดเคลื่อนเป็นอย่างมาก เนื่องจากกลมุ่ คนหนมุ่ -สาวและเดก็ ไมไ่ ด้
ถูกนบั รวมวา่ เปน็ ชาวจนี ทง้ั ๆ ทอ่ี าจมเี ชอ้ื สายมาจากชาวจนี อกี ทงั้ ชาวจนี
มกั จะหลบเลย่ี งการทำาสำามะโนประชากร เน่ืองจากชาวจีนจะต้องเสียภาษี
รายหัว (เพ่ิงอ้าง, 2548: 72-75) นอกจากน้ันมีการสันนิษฐานว่าใน
ชว่ งราวพ.ศ. 2451 จนี แตจ้ ว๋ิ ในสยามมจี าำ นวนมากถงึ รอ้ ยละ 40 จนี ไหหลาำ
รอ้ ยละ 18 จนี แคะและฮกเกยี้ น กลมุ่ ละรอ้ ยละ 16 และกวางตงุ้ รอ้ ยละ 9
(เพิ่งอ้าง, 2548: 52) หากพิจารณาจากแผนท่ีแสดงการรวมกลุ่มของ
ชาวจนี ในภูมิภาคตา่ ง ๆ ของประเทศไทย พ.ศ. 2490 พบว่า จาำ นวนกลมุ่
ชาวจนี ในเมอื งราชบรุ ยี งั นบั วา่ มปี รมิ าณมากและนา่ จะสะทอ้ นใหเ้ หน็ บทบาท
ความสำาคัญของกลุ่มชาวจีนในเมืองราชบุรี โดยเฉพาะการค้าขายหรือ
การทาำ เกษตรกรรมในเขตพนื้ ทเ่ี มอื งเกา่ ราชบรุ ใี นอดตี (เพง่ิ อา้ ง, 2548: 209)

3. ชาวไท-ยวน

เดิมเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ท่ีมีการตั้งถิ่นฐานอาศัยอยู่ในบริเวณ
อาณาจักรโยนกเชียงแสนซ่ึงตั้งอยู่บริเวณทางตอนเหนือของประเทศไทย
จนกระทงั่ ในชว่ งพ.ศ. 2347 พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกไดย้ ก
กองทพั รว่ มกนั กบั กรมหลวงเทพหรริ กั ษ์ พระยายมราช กองทพั เมอื งลา้ นนา
และกองทพั เมอื งเวยี งจนั ทร์ ไปยงั เมอื งเชยี งแสนเพอ่ื ขบั ไลก่ องทพั พมา่ ทต่ี ง้ั ฐาน
อยใู่ นบริเวณดงั กลา่ ว ซง่ึ จากการยกทพั เพื่อเข้าขับไล่ในครง้ั น้ี ได้ส่งผลให้
ชาวเมืองเชียงแสนราว 23,000 คน ต้องถูกกวาดต้อนและอพยพลงมา
โดยกระจายออกไปใน 5 เมอื งไดแ้ ก่ เมอื งเชยี งใหม่ ลาำ ปาง นา่ น เวยี งจนั ทร์
และราชบรุ ี สาำ หรบั ชาวไท-ยวนทม่ี าตง้ั ถนิ่ ฐานอยใู่ นเมอื งราชบรุ ี ถกู แบง่ ออก
เปน็ 2 กลมุ่ ยอ่ ย คอื ยวนขา้ และยวนขอ้ ย โดยกลมุ่ ยวนขา้ จะมกี ารตงั้ ถน่ิ ฐาน
อยใู่ นบรเิ วณตาำ บลคบู วั และมกี ารใชส้ รรพนามในการแทนตวั เองกบั ผสู้ งู อายวุ า่
“ข้า” และใช้สรรพนามคำาว่า “กู” กับผู้ท่ีมีอายุเสมอกันหรือน้อยกว่า
ในสว่ นของกลมุ่ ยวนขอ้ ย จะมกี ารตงั้ ถนิ่ ฐานอยใู่ นบรเิ วณตาำ บลดอนแร่ หว้ ยไผ่
บา้ นใหมน่ ครบาล ดอนแจง ดอนตะโก หนองโพ หนองปาหมอ บางกระโด
หนองอ้อ ฯลฯ และมีการใช้สรรพนามในการแทนตัวเองกับ ผู้สูงอายุว่า

23

“ข้า” และใช้สรรพนามคำาว่า “ข้อย” กับผู้ที่มีอายุเท่ากันหรือน้อยกว่า
รวมไปถึงกลุ่มไท-ยวนในจังหวัดราชบุรียังมีประเพณีที่เรียกว่า “งานปอย
ขันโตก” อันเป็นประเพณีแสดงให้ถึงการเคารพผีบรรพบุรุษท่ีลว่ งลบั ของ
ชาวไท-ยวน โดยประเพณีดังกล่าวจะถูกจัดขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์
ณ บรเิ วณจิปาถะภัณฑสถานบา้ นคบู ัว ในตำาบลคบู วั อำาเภอเมืองราชบุรี
(กนกอร สว่างศรี, มปป: 1151-1159)

4. ชาวไทยมอญ

เดิมมีการตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศพม่า และเร่ิมอพยพเข้าสู่
ประเทศไทยในชว่ งเวลาประมาณพ.ศ. 2127 ซง่ึ เปน็ ชว่ งระยะเวลาหลงั จาก
สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชทรงประกาศอสิ รภาพทเี่ มอื งแคลง โดยในครงั้ นนั้
พระมหาเถรคันฉ่อง พระยาเกยี รติและพระยารามได้นาำ ชาวมอญตามเสด็จ
กลบั มายงั เมอื งกรงุ ศรอี ยธุ ยาเปน็ จาำ นวนมาก รวมไปถงึ ในภายหลงั จากนนั้
ชาวมอญยงั มกี ารอพยพครงั้ ใหญ่ ๆ อกี ถงึ 9 ครงั้ ตง้ั แตส่ มยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา
มาจนถงึ กรุงรตั นโกสนิ ทร์ โดยชาวมอญราชบรุ มี กี ารต้งั ถ่ินฐานอยู่บรเิ วณ
สองฝั่งแม่น้าำ แม่กลองในเขตอาำ เภอโพธารามและบ้านโป่ง ชาวมอญราชบรุ ี
ส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนา และเป็นศาสนิกชนท่ีเคร่งครัด ซึ่งสามารถ
สังเกตได้จากการสร้างวัดข้ึนในชุมชนของตน โดยชาวมอญจะนิยมต้ังชื่อ
วดั ทส่ี รา้ งขน้ึ ตามเมอื งมอญทตี่ นอพยพมา เชน่ วดั ตาล วดั มะขาม วดั นครชมุ น์
เปน็ ตน้ อย่างไรกต็ ามนอกจากศาสนาพุทธ ชาวไทยมอญยังมีความเช่อื ใน
เรื่องของผีและโชคลาง ซึ่งส่งผลให้ชาวไทยมอญในพื้นที่เมืองราชบุรี
มีพิธีกรรมที่ยึดโยงอยู่กับความเชื่อดังกล่าวมากมาย ยกตัวอย่างเช่น
การบชู าผีเรือน พธิ ีรำาผมี อญ การเลีย้ งผีเปน็ ตน้ (วนิดา ตรสี วสั ด์ิ, 2555:
1-28)

5. ชาวไทยกะเหรีย่ ง

เดิมมีการต้ังถิ่นฐานอยู่ในบริเวณทิศตะวันออกของประเทศทิเบต
จนในช่วงเวลาตอ่ มาจึงไดอ้ พยพมายังประเทศจนี พม่า และไทย โดยกลมุ่
ชาวกะเหรยี่ งทต่ี งั้ ถนิ่ ฐานอยใู่ นเมอื งราชบรุ ี ณ บรเิ วณชายแดนใกลเ้ ทอื กเขา
ตะนาวศรี สันนิฐานว่าได้อพยพมาจากเมืองทวายในพม่า ซ่ึงในขณะน้ัน

24

ชาวกะเหรยี่ งไดถ้ กู ประเทศพมา่ รกุ ราน จนตดั สนิ ใจอพยพขา้ มทวิ เขาตะนาวศรี
เข้ามายังเขตชายแดนไทยในอำาเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี จากนั้นจึง
เร่ิมเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ท่ีบ้านเก่ากะเหร่ียงและบ้านหนองกะเหรี่ยงเป็น
อนั ดบั แรก เมอ่ื เวลาผา่ นไปจงึ ชาวกะเหรยี่ งจงึ พากนั โยกยา้ ยทต่ี ง้ั มายงั ลมุ่ นา้ำ
ภาชบี า้ นบอ่ เขตอาำ เภอสวนผง้ึ กง่ิ อาำ เภอบา้ นคา ตาำ บลตะนาวศรี ตาำ บลบา้ นบงึ
ตาำ บลบา้ นคา ตาำ บลปากทอ่ ฯลฯ ชาวกะเหรยี่ งราชบรุ มี คี วามเชอื่ เรอื่ งภตู ผี
และจติ วญิ ญาณ จงึ เปน็ ผลใหป้ ระเพณตี า่ ง ๆ ของชาวกะเหรยี่ งนน้ั จะผกู ตดิ
อยู่กับความเช่ือดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็น ประเพณีเรียกขวัญเด็กแรกเกิด
เรียกขวัญูผู้ป่วย เรียกขวัญตา หรือประเพณีกินข้าวห่อ เป็นต้น
โดยประเพณีกินข้าวห่อ หรือในภาษากะเหร่ียงโปว์ เรียกว่า “อ๊ังหมี่ถ่อ”
เปน็ ประเพณที จ่ี ะจดั ขนึ้ ในชว่ งเดอื นเกา้ ตามปฏทิ นิ จนั ทรคติ โดยชาวกะเหรย่ี ง
จะจัดพิธีดังกล่าวข้ึนเพื่อเรียกขวัญท่ีกระจัดกระจายออกไปยังท่ีต่าง ๆ
กลบั มาใหแ้ กส่ มาชกิ ภายในหมู่บา้ นหรือญาติมิตรท่ีมาเย่ียมเยอื น (กนกอร
สว่างศร,ี มปป: 1151-1159)

6. ชาวไทยทรงด�าหรอื ลาวโซง่

เดิมมีการตั้งถ่ินฐานอยู่ในบริเวณหลวงพระบาง อาณาจักรยวน
และประเทศไทย โดยในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดม้ กี าร
โปรดใหช้ าวลาวโซง่ ทอี่ พยพเขา้ มาใหมใ่ หเ้ ขา้ ไปตง้ั ถน่ิ ฐานอยู่ ณ บรเิ วณบา้ น
หนองปรง อำาเภอเขายอ้ ย จังหวดั เพชรบรุ ี จนกระท่งั ในภายหลังเมือ่ อัตรา
การขยายตวั ของประชากรชาวลาวโซง่ ในบรเิ วณดงั กลา่ วมจี าำ นวนเพมิ่ มากขน้ึ
จึงได้มีการโยกย้ายไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในพื้นท่ีบริเวณใกล้เคียง ซ่ึงส่วนหน่ึง
ก็ได้เข้ามาต้ังถ่ินฐานในเมืองราชบุรี ณ บริเวณอำาเภอจอมบึง อำาเภอ
ดำาเนินสะดวก อำาเภอปากท่อ เป็นต้น ชาวลาวโซ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มี
วิถีชีวิตและอัตลักษณ์อย่างเรียบง่าย ยกตัวอย่างเช่น เครื่องแต่งกายของ
ชาวลาวโซ่งจะมีเส้อื ผา้ ท่ีเป็นสดี าำ และประดับเครือ่ งแต่งกายดว้ ยเคร่ืองเงนิ
ชาวลาวโซ่งมีวัฒนธรรมความเช่ือท่ีเช่ือมโยงอยู่กับการนับถือผีบรรพบุรุษ
โดยจะมีการเซ่นไหว้ผีบรรพชนที่เรียกว่า พิธีเสนเรือน (เพ่ิงอ้าง, มปป:
1151-1159)

25

7. ชาวไทยลาวเวยี ง หรอื ลาวต้ี

เดมิ มกี ารตง้ั ถน่ิ ฐานอยใู่ นประเทศลาว จนกระทงั่ ในชว่ งงยคุ สมยั ธนบรุ ี
เรื่อยมาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์จึงมีการย้ายถ่ินฐานเข้ามายังประเทศไทย
ในเมอื งราชบรุ ี โดยในระยะเรมิ่ แรกชาวลาวเวยี งมกี ารตง้ั ถนิ่ ฐานอยบู่ รเิ วณ
ริมฝั่งขวาแม่น้ำาแม่กลอง และในระยะต่อมาเมื่ออัตราการเติบโตของ
ประชากรมีมากข้ึนจึงเร่ิมขยายเข้ามาในพ้ืนที่ริมฝั่งซ้ายของแม่นำ้าแม่กลอง
ทางทศิ ตะวนั ตก โดยกระจายออกไปในหลากหลายพน้ื ทที่ มี่ สี ภาพภมู ศิ าสตร์
เหมาะสำาหรบั การดาำ รงวิถีชีวิต ยกตัวอยา่ งเชน่ บา้ นฆ้อง บ้านบ่อมะกรูด
บา้ นดอนทราย บา้ นหนองรี เปน็ ตน้ โดยทม่ี าของชอ่ื ลาวต้ี มสี าเหตมุ าจาก
เวลาทกี่ ลมุ่ คนลาวตพ้ี ดู นน้ั จะมกั จะมคี าำ วา่ “ต”ี้ อยใู่ นทา้ ยประโยค ชาวลาวตี้
เปน็ กลมุ่ ชาตพิ นั ธท์ุ ม่ี คี วามเชอื่ ยดึ โยงอยกู่ บั ผบี รรพบบรุ ษุ โดยจะมปี ระเพณี
มากมายทจ่ี ะแสดงถงึ ความเคารพตอ่ บรรพบรุ ษุ ทล่ี ว่ งลบั ไป ยกตวั อยา่ งเชน่
ประเพณที ำาบุญสารทลาว ประเพณีกวนข้าวเหนียวแดง ประเพณงี านบุญ
ข้าวจ่ี เป็นต้น (เพง่ิ อ้าง, มปป: 1151-1159)

8. ชาวไทยเช้อื สายเขมร

แบ่งออกไดเ้ ป็น 2 กลุ่มย่อย ๆ ตามสำาเนยี งภาษาทใ่ี ช้พูดส่อื สาร
คือ กลุม่ ภาษาเขมรลาวเดมิ และกลุ่มภาษาเขมรทีม่ ีสาำ เนียงเดียวกบั เขมร
ในกัมพูชา โดยกลุ่มภาษาเขมรลาวเดิมเป็นกลุ่มท่ีมีบรรพบุรุษเป็นคนลาว
ซ่ึงถูกกวาดต้อนไปอยู่เมืองเขมร และในเวลาต่อมาก็ได้ถูกกองทัพไทย
กวาดต้อนมายังเมืองราชบุรีอีกครั้งหนึ่ง โดยกลุ่มภาษาเขมรลาวเดิมนั้น
มีภาษาพูดสำาเนียงที่คล้ายกันกับภาษาลาวอีสาน และมีศัพท์สำานวน
บางอย่างคล้ายกับภาษาไทยทางตอนเหนือและอีสาน เช่น พูด = เว้า
ไม่กลัว = บ่หย่าน เป็นต้น ชาวไทยกลุ่มภาษาเขมรลาวเดิมปัจจุบันมี
การต้ังถนิ่ ฐานกระจดั กระจายอย่ทู ัว่ จงั หวัดราชบรุ ี ยกตัวอย่างเชน่ ตำาบล
คุ้งกระถินและตำาบลคุ้งน้ำาวนในเขตอำาเภอเมือง ตำาบลบ่อกระดานและ
ตำาบลดอนทรายในอาำ เภอปากทอ่ เปน็ ต้น ในส่วนของกลุ่มภาษาเขมรทมี่ ี
สำาเนียงเดียวกันกบั เขมรในกมั พชู า ปัจจบุ นั มีการตั้งถนิ่ ฐานอยขู่ า้ งสองฝ่งั
แมน่ าำ้ แมก่ ลองทางตะวนั ออกของเมอื งราชบรุ ี เชน่ ในเขตอาำ เภอเมอื งราชบรุ ี
อาำ เภอปากทอ่ และอาำ เภอโพธาราม เปน็ ตน้ (เพงิ่ อา้ ง, มปป: 1151-1159)

26

6. ภมู ิปญั ญาเมอื งราชบุรี

ทรพั ยากรทอ้ งถน่ิ ถอื เปน็ ทนุ ทางวฒั นธรรมทส่ี าำ คญั อกี ประการหนงึ่
พ้ืนที่อำาเภอเมือง จังหวัดราชบุรีน้ัน “โอ่งมังกร” นับว่าเป็นสิ่งของที่มี
ชื่อเสียงของจังหวัดราชบุรีเป็นอย่างมาก การศึกษาท่ีผ่านมาจะกล่าวถึง
ประวตั คิ วามเปน็ มาของการปน้ั โอง่ มงั กรเมอื งราชบรุ ไี ปในทศิ ทางเดยี วกนั วา่
เริ่มต้นต้งั แต่ พ.ศ. 2476 โดยกลุ่มชาวจีนท่เี ห็นวา่ มดี นิ เหนียวสีแดงมันปู
นา่ จะสามารถนาำ มาใชป้ น้ั โอง่ ได้ และนำาไปสกู่ ารลงทุนกจิ การป้นั โอ่งต่อมา
นอกจากนนั้ ยงั มกี ารศกึ ษาวจิ ยั ในหลายประเดน็ อาทิ ลวดลายของโอง่ มงั กร
ข้ันตอนการทำาโอ่งมังกร (คณะอนุกรรมการวัฒนธรรมจังหวัดราชบุรี,
2554) (ยนต์ ชมุ่ จิต, 2547: 187-195)

“ปนู ขาว” ถอื เปน็ ทรพั ยากรทอ้ งถนิ่ ทส่ี าำ คญั ของจงั หวดั ราชบรุ เี ชน่ กนั
การศึกษาท่ีผ่านมาพบหลักฐานการทำาปูนขาวในจังหวัดราชบุรีต้ังแต่
สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ซงึ่ ปรากฏเตาเผาปนู กระจาย
ตวั อยตู่ ามแนวของแมน่ า้ำ แมก่ ลอง วตั ถดุ บิ ทใี่ ชใ้ นการทาำ ปนู ขาว คอื หนิ ปนู
โดยนาำ มาจากบรเิ วณเทอื กเขางู อาำ เภอเมอื ง และเขาสามงา่ ม อาำ เภอปากทอ่
ส่งผลให้การทำาปูนขาวในจังหวัดราชบุรีได้รับความนิยมมาตั้งแต่อดีต
(เรณู เหมือนจันทร์เชย, 2548) (สำานักงานศึกษาธิการจังหวัดราชบุรี,
2534: 48)

“ผ้าจก” ของชาวไทยวนท่ีได้อพยพเข้ามายังจังหวัดราชบุรีตั้งแต่
สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โดยมีการกล่าวถึง
การต้ังถิ่นฐานของชาวไทยวนแห่งแรกบริเวณตำาบลบ้านไร่ในปัจจุบัน
ก่อนที่จะขยายพนื้ ท่ีไปยังตาำ บลคบู วั ตาำ บลดอนแจง ตาำ บลดอนตะโก ฯลฯ
ในภายหลัง ลวดลายของผ้าจกจะมคี วามแตกตา่ งกนั ไปแตล่ ะตระกลู อาทิ
ตระกลู คบู ัว มีลายดอกเซีย ลายหกั นกคู่ ลายโก้งเก้ง ลายหนา้ หมอน และ
ลายนกคู่ ตระกลู ดอนแร่ มลี ายกาบ ลายกาบดอกแก้ว และลายนกคู่กนิ น้าำ
ฮว่ มเตา้ (กรมศิลปากร, 2509) ยนต์ ชุ่มจิต, 2547: 204-209)

27

ดงั ทก่ี ลา่ วไปแลว้ นน้ั การศกึ ษาทผ่ี า่ นมาเกย่ี วกบั ทนุ ทางวฒั นธรรม
ไดม้ งุ่ เนน้ ไปทภี่ าพรวมของพนื้ ทอ่ี าำ เภอหรอื จงั หวดั ราชบรุ จี งึ ทาำ ใหพ้ น้ื ทเี่ มอื ง
เกา่ ราชบรุ ยี งั ไมเ่ คยถกู ศกึ ษาอยา่ งละเอยี ดและครอบคลมุ ในหลากหลายมติ ิ
มีเพียงแค่การกล่าวถึงประเด็นย่อยเฉพาะตามท่ีมีความสนใจเท่านั้น เช่น
ประวตั ศิ าสตรก์ ารตง้ั ถนิ่ ฐานบรเิ วณพนื้ ทเี่ มอื งเกา่ ราชบรุ ี บรเิ วณ 2 ฝง่ั ของ
แมน่ า้ำ แมก่ ลอง จะเรม่ิ ตน้ ใหค้ วามสาำ คญั ตงั้ แตส่ มยั รตั นโกสนิ ทร์ (มโน กลบี ทอง,
2544) (ยนต์ ชุ่มจติ , 2547) การศึกษางานศิลปกรรมและสถาปัตยกรรม
ในวัดมหาธาตุวรวิหาร ราชบุรี พบหลักฐานการใช้งานพ้ืนที่ศาสนสถาน
โดยไมม่ กี ารทงิ้ รา้ ง ต้ังแตส่ มัยทวารวดตี อ่ เนือ่ งมาจนถึงสมยั รตั นโกสินทร์
(ปตสิ ร เพญ็ สตุ , 2555) หรอื เปน็ เพยี งการจดั ทาำ คมู่ อื นาำ ชมหรอื องคค์ วามรู้
เบ้ืองต้นเกี่ยวกับจังหวัดราชบุรีเท่านั้น ประกอบไปด้วยเน้ือหาข้อมูลทั่วไป
เกยี่ วกบั จงั หวดั ราชบรุ ี ลกั ษณะทางกายภาพ ประวตั คิ วามเปน็ มา ประชากร
สภาพเศรษฐกจิ และสงั คม ความเชอ่ื และประเพณี และสถานทท่ี อ่ งเทย่ี วสาำ คญั
(สดุ ารา สจุ ฉายา, 2541) (มรกต งามภักดี, 2543)

28

ชมุ ชนและชาติพันธุ์
เมืองราชบรุ ี

1. เขตพ้ืนทีเ่ มอื งเก่าราชบุรี อาำ เภอเมือง จงั หวดั ราชบรุ ี
- ขอบเขตพนื้ ท่ี
- กลุม่ ชาตพิ ันธุใ์ นพ้นื ทเ่ี ขตเมืองเก่าราชบรุ ี
- พัฒนาการย่านการค้ารมิ น้ำาแม่กลอง ราชบรุ ี
- ธรุ กจิ ดง้ั เดมิ ในยา่ นตลาดเมืองเกา่ เมืองราชบุรี
- สถานท่สี ำาคญั ในพืน้ ทเี่ ขตเมืองเก่าราชบุรี

2. ตาำ บลคูบัว อาำ เภอเมอื ง จงั หวัดราชบุรี
- ไท-ยวน : การตั้งถ่ินฐาน
- วฒั นธรรมไท-ยวน
- จิปาถะภณั ฑ์สถานบ้านคูบวั : แหล่งเรยี นรู้วัฒนธรรมไท-ยวน

3. ชุมชนบ้านโคกพรกิ ตำาบลคงุ้ กระถนิ อำาเภอเมือง จงั หวดั ราชบรุ ี
- วถิ ชี มุ ชน
- การตงั้ ถิน่ ฐานบรเิ วณรมิ นาำ้
- เรอื ในความทรงจาำ
- การต้งั ถ่ินฐานรมิ ถนน
- ชาตพิ นั ธช์ุ มุ ชน
- อาชีพและภมู ิปัญญาท้องถิ่น
- ประเพณี พธิ ีกรรม ความเช่อื ของชมุ ชน

29

7. ชุมชนและชาติพนั ธุ์เมืองราชบรุ ี

1. เขตพื้นท่เี มอื งเก่าราชบรุ ี อา� เภอเมือง จังหวัดราชบุรี

พน้ื ทเี่ มอื งเกา่ ราชบรุ ปี รากฏหลกั ฐานการตง้ั ถนิ่ ฐานของผคู้ นเรมิ่ ตน้
อย่างชัดเจนในสมัยรัชกาลท่ี 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
โปรดฯ ใหย้ า้ ยเมอื งราชบรุ จี ากฝง่ั ตะวนั ตกของแมน่ าำ้ แมก่ ลองไปยงั ฝง่ั ตะวนั ออก
ใน พ.ศ. 2360 โดยก่อสร้างเมืองใหม่ล้อมรอบด้วยกำาแพงก่ออิฐถือปูน
ขนาด 200 x 800 เมตร ปัจจุบันเป็นที่ต้ังของกรมการทหารช่าง
คา่ ยภาณรุ งั ษี จังหวดั ราชบุรี ต่อมาในสมยั รชั กาลท่ี 4 พระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลองดำาเนินสะดวกเชื่อมต่อ
ระหวา่ งเมอื งสมทุ รสาคร สมทุ รสงคราม และราชบรุ ี โดยใหส้ มเดจ็ เจา้ พระยา
บรมมหาศรีสุริยวงศ์ ขณะน้ันเป็นพระประสาทสิทธ์ิที่สมุหพระกลาโหม
เปน็ ผอู้ าำ นวยการขดุ คลอง ภายหลงั จากทสี่ มเดจ็ เจา้ พระยาบรมมหาศรสี รุ ยิ วงศ์
พ้นจากตำาแหน่งผู้สำาเร็จราชการแทนพระองค์ในพระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านได้เดินทางมาอาศัยอยู่ท่ีเมืองราชบุรี
จนกระทั่งถึงแก่พิราลัยในพ.ศ. 2425 (ยนต์ ชุ่มจิต, 2547: 71-73)
นับว่าท่านเป็นบุคคลสำาคัญท่ีเป็นผู้บุกเบิกพ้ืนที่เมืองเก่าราชบุรี อุปถัมภ์
การสร้างวัดศรีสุริยวงศารามวรวิหาร และได้รับการยกย่องจากชาวจีน
ในเมืองราชบุรี ดังพบหลักฐานป้ายวิญญาณของท่านในตำาแหน่งก่ึงกลาง
และสูงสดุ ภายในศาลเจ้ากวนอู (โรงเจเหลา่ ซนิ เฮงตว้ั )

จนกระทงั่ สมยั รชั กาลท่ี 5 พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่
หัวไดเ้ สดจ็ ฯ มายงั เมืองราชบุรถี ึง 10 คร้ัง ตง้ั แต่ พ.ศ. 2414–2452
ทั้งการเย่ียมราษฎร การเสด็จฯประพาสต้น การเปิดสะพานรถไฟ
จุฬาลงกรณ์ และการนำาทหารมาฝึกท่ีค่ายหลุมดิน โดยในพ.ศ. 2437
ไดม้ กี ารจดั ระเบียบการปกครองตามระบบมณฑลเทศาภิบาล จัดตงั้ มณฑล
ราชบรุ ี ซงึ่ ประกอบด้วยเมอื งราชบรุ ี กาญจนบุรี สมทุ รสงคราม เพชรบรุ ี
ปราณบุรี และประจวบครี ขี นั ธ์ โดยมพี ระยาสุรนิ ทรฦาไชย เปน็ ขา้ หลวง
เทศาภบิ าลคนแรกของมณฑลราชบรุ ี และยา้ ยเมอื งราชบรุ จี ากฝง่ั ตะวนั ออก
ทสี่ รา้ งขนึ้ ในสมยั รชั กาลที่ 2 มายงั ฝง่ั ตะวนั ตกของแมน่ า้ำ แมก่ ลอง ในพ.ศ. 2440

30

ทส่ี รา้ งขน้ึ ในสมยั รชั กาลท่ี 2 มายงั ฝง่ั ตะวนั ตกของแมน่ า้ำ แมก่ ลอง ในพ.ศ. 2440
ทำาให้เกิดการก่อสร้างอาคารราชการขนึ้ ใหม่เปน็ จำานวนมาก และแสดงถึง
รปู แบบงานศลิ ปกรรมตะวนั ตกทเ่ี ขา้ มามอี ทิ ธพิ ลตอ่ การสรา้ งสถาปตั ยกรรม
ในชว่ งเวลาดังกลา่ ว เชน่ ศาลาวา่ การมณฑลราชบรุ ี ทท่ี ำาการศาลมณฑล
ราชบุรี เป็นตน้

ตอ่ มาในสมยั รชั กาลที่ 6 พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั
ได้เสด็จฯ มายังเมืองราชบุรีหลายครั้ง เพื่อการซ้อมรบและเดินทางไกล
ของกิจการเสือป่า การเสด็จฯ เปิดโรงเรียนและบำาเพ็ญพระราชกุศลวัด
ในเมืองราชบุรีและโปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างอาคารราชการสำาคัญ ได้แก่
สโมสรเสือป่า โรงเรียนเบญจมราชูทิศ และศาลากลางจังหวัดราชบุรี
(ปัจจบุ ันเปน็ ทีท่ าำ การพิพิธภณั ฑสถานแห่งชาติ ราชบุร)ี (เพ่ิงอ้าง, 2547:
74–79) หลงั จากนนั้ เปน็ ตน้ มา พนื้ ทบ่ี รเิ วณฝง่ั ตะวนั ออกของแมน่ าำ้ แมก่ ลอง
จึงได้กลายเปน็ ทต่ี งั้ และศนู ยก์ ลางของเมอื งราชบรุ ตี อ่ เนอื่ งมาจนกระทง่ั ถงึ
ปัจจุบัน โดยปรากฏอาคารสถานที่ราชการ ชุมชนและท่ีอยู่อาศัย
แหลง่ พาณชิ ยกรรม อตุ สาหกรรม การเดนิ ทางและคมนาคม รวมไปถงึ การ
ตดิ ตอ่ คา้ ขายตามเสน้ ทางของแมน่ า้ำ แมก่ ลอง ซง่ึ เชอ่ื มตอ่ ระหวา่ งอาำ เภอตา่ ง ๆ
ในจังหวัดราชบุรี

โดยตามประกาศคณะกรรมการอนรุ กั ษแ์ ละพฒั นากรงุ รตั นโกสนิ ทร์
และเมอื งเกา่ วันท่ี 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เขตพ้นื ที่เมอื งเกา่ ราชบรุ ี
มเี นื้อทร่ี วม 1.57 ตารางกโิ ลเมตร โดยมีอาณาเขตดังน้ี

ทศิ เหนอื จดแนวกึ่งกลางทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4
(ถนนเพชรเกษม) บรเิ วณทางแยกตดั ถนนเพชรเกษม (สายเกา่ )
พกิ ดั X = 588265 และ Y = 1497805 ตอ่ เนอ่ื งไป
ทางทิศตะวันออกตามแนวก่ึงกลางทางหลวงแผ่นดิน
หมายเลข 4 ข้ามแม่น้ำาแม่กลองท่ีสะพานสิริลักษณ์
จนกระท่ังถึงแนวก่ึงกลางแม่นำ้าแม่กลอง บริเวณพิกัด
X = 588990 และ Y = 1497912

31

ทศิ ตะวนั ออก จดแนวกึ่งกลางแม่นำ้าแม่กลองที่สะพานสิริลักษณ์
ทิศใต ้ บริเวณพิกัดX = 588990 และ Y = 1497912
ตอ่ เน่ืองลงมาทางทศิ ใต้ตามแนวกง่ึ กลางแมน่ ำา้ แม่กลอง
กระทงั่ ถงึ บรเิ วณพกิ ดั X = 588892 และ Y = 1497320
และตอ่ เน่อื งไปทางทศิ ตะวันออกเปน็ เสน้ ตรง ผ่านพื้นที่
บรเิ วณคา่ ยภาณรุ งั ษไี ปตามถนนภายในคา่ ยภาณรุ งั ษี
จนกระทง่ั จดทางรถไฟบรเิ วณพกิ ดั X = 589525 และ
Y = 1497283 และตอ่ เนอื่ งตอ่ ไปทางทศิ ตะวนั ออกไป
ตามถนนภายในคา่ ยภาณรุ งั ษี จนกระทง่ั สดุ แนวเขตของ
ค่ายภาณุรังษี บริเวณพิกัด X = 589880 และ
Y = 1497263 และต่อเน่อื งลงมาทางทศิ ใต้ตามแนว
เขตคา่ ยภาณรุ งั ษี กระทงั่ จดแนวตลง่ิ รมิ ฝง่ั แมน่ าำ้ แมก่ ลอง
บรเิ วณพกิ ดั X = 589800 และ Y = 1496945 และ
ตอ่ เนื่องลงมาทางทิศใต้ข้ามแม่น้าำ แม่กลองจนกระทง่ั ถงึ
แนวกงึ่ กลางแมน่ า้ำ แมก่ ลอง บรเิ วณพกิ ดั X = 589800
และ Y = 1496840 และต่อเนื่องไปทางทิศตะวันตก
ตามแนวกึ่งกลางแม่นา้ำ แมก่ ลอง กระทัง่ จดแนวสะพาน
รถไฟข้ามแม่น้าำ แม่กลอง (สะพานจุฬาลงกรณ์) บริเวณ
พกิ ดั X = 589520 และ Y = 1496840 และตอ่ เน่อื ง
ลงมาทางทศิ ใต้ตามแนวเส้นทางรถไฟ กระท่งั จดทางแยก
ตัดถนนไกรเพชร บริเวณพิกัด X = 589508 และ
Y = 1496450

จดแนวกง่ึ กลางถนนไกรเพชรบรเิ วณทางแยกตดั ทางรถไฟ
บรเิ วณพกิ ดั X = 589508 และ Y = 1496450 ตอ่ เนอ่ื ง
ไปทางทิศตะวนั ตกตามแนวก่ึงกลางถนนไกรเพชร และ
ตัดผ่านถนนบ้านปรกเป็นแนวเส้นตรงกระท่ังจด
ซอยศริ ชิ ยั บรเิ วณพกิ ดั X = 588322 และ Y = 1496575

32 จดแนวกึ่งกลางซอยศิริชัย บรเิ วณพกิ ัด X = 588322
และ Y = 1496575 ต่อเน่ืองขนึ้ ไปทางทิศเหนอื ตาม
ทศิ ตะวนั ตก แนวกงึ่ กลางซอยศริ ชิ ยั กระทง่ั จดทางแยกตดั ถนนเจดยี ห์ กั
บรเิ วณพกิ ดั X = 588218 และ Y = 1498670 และ
ตอ่ เนอ่ื งไปทางทิศตะวันตกตามแนวก่งึ กลางถนนเจดยี ห์ กั
กระทง่ั จดทางแยกตัดถนนเขางู และตอ่ เน่อื งขึ้นไปทาง
ทศิ เหนอื ตามแนวกึ่งกลางถนนเขางู กระทง่ั จดทางแยก
ตดั ถนนเพชรเกษม (สายเกา่ ) บรเิ วณพกิ ดั X = 588117
และ Y = 1497476 และตอ่ เนอื่ งไปทางทิศตะวนั ออก
เฉียงเหนือตามแนวก่ึงกลางถนนเพชรเกษม (สายเก่า)
จนกระทง่ั จดทางแยกตดั ทางหลวงแผน่ ดนิ หมายเลข 4
(ถนนเพชรเกษม) บริเวณพิกัด X = 588265 และ
Y = 1497805

ภาพท ่ี 1.2 แผนทแ่ี สดงเขตพืน้ ทเี่ มืองเกา่ ราชบุรี อาำ เภอเมอื ง จงั หวดั ราชบุรี และพน้ื ท่ีเกีย่ วเนอื่ ง
ท่ีมา : สำานักงานนโยบายและแผนทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดล้อม,
“ประกาศคณะกรรมการอนุรกั ษแ์ ละพฒั นากรงุ รัตนโกสนิ ทรแ์ ละเมอื งเกา่
เรอื่ ง ประกาศเขตพ้ืนทีเ่ มืองเกา่ ราชบรุ ี,” 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2560,

เข้าถึงไดจ้ าก http://www.onep.go.th/nced/wp-content/uploads/2016/09/Ratchaburi.pd

33

34

กลุ่มชาติพันธ์ใุ นพ้ืนทเี่ ขตเมืองเก่าราชบรุ ี

จากทไี่ ดก้ ลา่ วไปแลว้ ในตอนตน้ วา่ ในจงั หวดั ราชบรุ มี กี ลมุ่ คนหลากหลาย
ชาตพิ ันธตุ์ ั้งถิ่นฐานกระจายตัวอยู่ตามพื้นทต่ี ่าง ๆ สาำ หรับในพืน้ ท่เี ขตเมอื ง
เกา่ ราชบุรนี ้นั ปรากฏกลมุ่ ชาตพิ นั ธทุ์ ่ีเดน่ ชดั อยดู่ ว้ ยกัน 2 กล่มุ คอื

1. กลมุ่ ชาวไทยดง้ั เดมิ เปน็ กลมุ่ คนดง้ั เดมิ อาศยั อยแู่ ถบบา้ นโพหกั
โดยมปี ระเพณอี าสาเปน็ เอกลกั ษณอ์ ยา่ งหนง่ึ มรี ปู แบบดงั นคี้ อื เมอ่ื ชายหญงิ
ตกลงจะแตง่ งานกัน จะทาำ การหมน้ั ไวป้ ระมาณ 1 ปี ในระหว่างเวลาหม้ัน
นนั้ ฝา่ ยชายตอ้ งมาชว่ ยเหลอื งานของบา้ นฝา่ ยหญงิ ทกุ อยา่ ง ทงั้ งานนอกบา้ น
และงานในบา้ น จนกวา่ จะถงึ พธิ แี ตง่ งาน (พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ ราชบรุ ,ี
2563)

2. กลมุ่ ชาวจนี ชาวจีนท่อี พยพมาอย่ใู นเมอื งราชบรุ มี อี ยู่ดว้ ยกนั
หลายกลมุ่ ไดแ้ ก่ แตจ้ ว๋ิ ไหหลำา ฮากกา แคะ โดยอพยพเขา้ มาหลายครงั้
ชุมชนชาวจีนในจังหวัดราชบุรีถือเป็นชุมชนใหญ่ เป็นรองแค่ชุมชนจีนใน
กรงุ เทพมหานครเพียงเท่าน้ัน (วิลเลยี ม จี. สกินเนอร์ ,2548: 73–74)
ซงึ่ กลุ่มชาวจีนที่มมี ากที่สดุ คือ “แต้จวิ๋ ”

มีการสันนิษฐานว่าการต้ังถิ่นฐานช่วงแรกเร่ิมนั้นอยู่บริเวณตลาด
เก่าตั้งแต่สมัยท่ีเมืองยังต้ังอยู่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำาแม่กลอง ก่อนจะย้ายเมือง
มาอยู่ฝั่งขวาของแม่น้ำาแม่กลองในสมัยของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรี
สุริยวงศ์ (ชว่ ง บุนนาค) ในปัจจบุ ันลกู หลานของชาวจนี อพยพได้ถกู กลนื
กลายไปแทบทง้ั สนิ้ หลายบา้ นเลกิ ใชภ้ าษาจนี ในการสอื่ สารระหวา่ งกนั และ
หนั มาใชภ้ าษาไทยแทน แตย่ งั คงมกี ารพยายามอนรุ กั ษป์ ระเพณดี ง้ั เดมิ ของ
บรรพบรุ ษุ เอาไว้ ซงึ่ สามารถหาชมไดใ้ นชว่ งเทศกาลสาำ คญั ลกั ษณะเดน่ ของ
กลมุ่ ชาวจนี ทอ่ี พยพโยกยา้ ยไปตา่ งบา้ นตา่ งเมอื งคอื “การรวมกลมุ่ ” ดงั คาำ กลา่ ว
ทีว่ ่า “ตีกันไม่ใชแ่ ขก แยกกันไม่ใชจ่ ีน” การรวมกลมุ่ ของชาวจนี จะเป็นไป
อยา่ งเหนียวแนน่ เม่อื เกดิ การรวมกลุ่มแลว้ จึงมีการสรา้ งศาลเจ้า เพ่อื เปน็
ทพี่ งึ่ ทางใจ และเปน็ พน้ื ทสี่ ว่ นกลางในการพบปะสงั สรรคก์ นั ดงั เชน่ ในกลมุ่
ชาวจีนตลาดเก่าราชบุรีก็มีศาลเจ้าพอ่ กวนอูเปน็ สิง่ ยึดเหนี่ยวจิตใจ

35

พฒั นาการยา่ นการค้าริมแม่น้�าแม่กลองเมืองราชบุรี

ตลาดเก่าเมอื งราชบุรีตงั้ อยู่ในบริเวณเขตเมืองเก่าราชบุรี ทางฝง่ั
ตะวันตกของแม่นำ้าแม่กลอง ซ่ึงถือเป็นแหล่งน้ำาสำาคัญท่ีหล่อเล้ียงผู้คนใน
แถบภาคตะวันตก ในฐานะท่ีเป็นเส้นทางคมนาคมและแหล่งน้ำาสำาหรับ
การอปุ โภคบรโิ ภค โดยในพนื้ ทต่ี ลาดเกา่ มลี กั ษณะเปน็ ยา่ นการคา้ ประกอบ
ไปดว้ ย ตกึ แถว หา้ งรา้ น มกี ารคา้ ขายสนิ คา้ ทงั้ บรเิ วณภายในอาคารตกึ แถว
รา้ นคา้ แผงลอย รวมไปถงึ การคา้ ขายบนเรอื หรอื แพในแมน่ าำ้ แมก่ ลอง สนิ คา้
ทน่ี าำ มาคา้ ขายนัน้ มหี ลากหลาย ไม่วา่ จะเป็นผัก ผลไม้ ของป่า เนือ้ สัตว์
อาหารทะเล เสอ้ื ผ้า หรอื ส่งิ ของเคร่อื งใช้ โดยนาำ มาจากพ้ืนที่ต่าง ๆ อาทิ
ดาำ เนนิ สะดวก บางแพ โพธาราม สวนผึง้ หรือจงั หวัดอนื่ เช่น กรงุ เทพฯ
จนั ทบรุ ี ระยอง สมทุ รสงคราม เปน็ ตน้ นอกจากนนั้ ยงั เปน็ ทต่ี ง้ั ทา่ เรอื และ
ท่ารถเมล์ท่ีจะเดินทางไปยังกรุงเทพฯ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร
กาญจนบรุ ี หรอื อำาเภออน่ื ๆ ในเมอื งราชบุรี

รูปแบบสถาปัตยกรรมในตลาดเก่าเมืองราชบุรีมีการปรับเปล่ียน
มาโดยตลอด โดยในระยะแรกนา่ จะเรม่ิ สรา้ งอาคารขน้ึ ตง้ั แตใ่ นสมยั รชั กาลที่ 5
และมกี ารซอ่ มแซม ปรบั เปลย่ี นอาคารอยา่ งตอ่ เนอื่ งจนกระทงั่ ปจั จบุ นั ทาำ ให้
อาคารมรี ปู แบบหลากหลายตง้ั แตก่ ลมุ่ อาคารทแี่ สดงอทิ ธพิ ลศลิ ปะตะวนั ตก
ในยคุ เริม่ แรก และอาคารแนวสมัยใหมห่ รือโมเดริ ์น ซง่ึ สะทอ้ นความนยิ ม
ของแตล่ ะยุคสมัยไดเ้ ป็นอย่างดี

ภาพท่ี 1.3 ยา่ นตลาดเกา่

36

ศรีวิชยั ทรงสวุ รรณ วยั 76 ปี ย้อนความหลงั เม่ือคร้งั ท่เี คยใช้
ชีวิตอยู่ในตลาดแห่งน้ีฟังว่า ในอดีตบริเวณตลาดเป็นป่ารก บ้านเรือนมี
จำานวนไม่มาก โดยมากแล้วนิยมปลูกเปน็ บ้านไม้ต้งั แต่ ทา่ เสา ตั้งห่าง ๆ
กนั เร่อื ยมาจนถงึ ตลาดจะเป็นตึกแถวรา้ นคา้ ถนนหนทางคบั แคบ รถยนต์
หรือรถจักรยานยนต์ก็มีน้อย จึงทำาให้การคมนาคมในขณะนั้นยังไม่เกิด
ปญั หา โดยส่วนใหญจ่ ะสญั จรดว้ ยจกั รยานหรือสามลอ้ ถีบ เหน็ ไดจ้ ากถนน
บรเิ วณตลาดทคี่ บั แคบ เพราะเปน็ ถนนตัง้ แต่ในอดตี ไมม่ ีการขยายเพิ่มเตมิ

สมทิ ธชิ ยั หงษ์ทอง วยั 58 ปี ผเู้ กดิ และเตบิ โตมาจากการอาศยั
อยู่ในตกึ แถวแหง่ นี้อธบิ ายให้ฟงั วา่ ท่ีดินทงั้ หมดของชุมชนคนตลาดนัน้ อยู่
ในความดแู ลของสาำ นกั งานทรพั ยส์ นิ สว่ นพระมหากษตั รยิ ์ ทกุ คนทอี่ าศยั อยู่
ทนี่ ม่ี สี ถานะเปน็ ผเู้ ชา่ แตต่ กึ แถวนถ้ี อื เปน็ มรดกทส่ี ามารถสง่ ตอ่ ใหก้ บั ทายาทได้
หากผู้เช่าไม่ต้องการเช่าต่อหรือเสียชีวิต คู่สมรสหรือลูกหลานก็มีสิทธิเช่า
ตอ่ ได้ หรอื ถา้ ผเู้ ชา่ ไมม่ ที ายาทกส็ ามารถใหญ้ าตพิ น่ี อ้ งมสี ทิ ธใิ นการเชา่ กอ่ น
จนกวา่ ในครอบครวั นนั้ ไมม่ ใี ครตอ้ งการเชา่ ตอ่ จงึ จะประกาศหาผเู้ ชา่ รายใหม่
ซงึ่ ถงึ แมว้ า่ จะเปน็ มรดกแตก่ ต็ อ้ งเสยี คา่ ใชจ้ า่ ยในการดาำ เนนิ การเชน่ เดยี วกนั
อย่างเชน่ ตกึ แถวหลงั น้ีของคุณสมิทธชิ ัยน้นั คุณยา่ ของคุณสมทิ ธิชัยเชา่ ตอ่
จากคุณปู่ คณุ พ่อเชา่ ต่อจากคณุ ย่า เมอ่ื พอ่ เสียชวี ติ จึงขอแบ่งเปน็ สองหอ้ ง
เสยี คา่ โอน 100 เทา่ ของคา่ เชา่ อยา่ งไรกต็ ามผเู้ ชา่ สามารถปรบั ปรงุ อาคาร
ทตี่ นเองเชา่ อยไู่ ด้ แตต่ อ้ งเสยี คา่ ปรบั ในฐานทที่ าำ ลายทรพั ยส์ นิ สว่ นพระมหากษตั รยิ ์
อีกท้ังยังถูกขึ้นค่าเช่าภายหลังจากปรับปรุงเสร็จแล้วอีกด้วย ตึกแถวท่ี
คณุ สมทิ ธชิ ยั อาศยั อยนู่ น้ั เปน็ ตกึ แถวชดุ แรก สรา้ งขนานไปกบั แมน่ าำ้ แมก่ ลอง
คาดวา่ สรา้ งขนึ้ ในราว ร.ศ. 120 หรอื พ.ศ. 2445 คณุ สมทิ ธชิ ยั สนั นษิ ฐาน
วา่ นา่ จะสรา้ งขนึ้ พรอ้ มกบั สะพานจฬุ าลงกรณซ์ ง่ึ เปน็ สะพานขา้ มแมน่ าำ้ แมก่ ลอง
บริเวณสะพานน้ันระบุไว้วา่ สร้างขน้ึ ในปี ร.ศ. 120 ประกอบกบั เมือ่ คร้ัง
ท่ตี ึกแถวหลังตดิ กันมีการปรับปรงุ ผรู้ ับเหมาไดข้ ดุ ลงไปถึงใต้ดินแล้วพบวา่
มเี หรยี ญบาทสมยั รชั กาลท่ี 5 อยทู่ ก่ี น้ หลมุ (สมทิ ธชิ ยั หงษท์ อง, สมั ภาษณ,์
2563) จงึ พออนมุ านไดว้ า่ ตกึ แถวเหลา่ นนี้ า่ จะเรมิ่ กอ่ สรา้ งในชว่ งเวลาดงั กลา่ ว

37

ธรุ กจิ ดงั้ เดมิ ในยา่ นตลาดเก่าเมอื งราชบุรี

1. นางม้วนจา� หนา่ ยยาไทย
จดุ เรมิ่ ตน้ ของรา้ นขายยาแหง่ นมี้ าจากหมอสนุ ปขู่ องคณุ สมทิ ธชิ ยั
ซ่ึงเปน็ ผใู้ หข้ อ้ มูลในครง้ั นี้ (เพ่งิ อา้ ง,สัมภาษณ์, 2563) คณุ สมทิ ธชิ ยั เล่าวา่
แต่เดิมหมอสุนอาศัยอยู่แถววัดจันทาราม หลังจากน้ันได้อพยพครอบครัว
มาอยหู่ นา้ วดั ชอ่ งลมกอ่ นจะขยบั ขยายมาเชา่ ตกึ แถวหลงั นเ้ี พอื่ ประกอบธรุ กจิ

ภาพที่ 1.4 ร้านยานางมว้ นจำาหนา่ ยยาไทย

ในชว่ งแรกนน้ั หมอสนุ ทาำ อาชพี เป็นช่างทาำ ทอง ตง้ั โตะ๊ รับทาำ ทอง
อย่หู นา้ ร้าน ประกอบกับมี หลาน ๆ มาพกั อาศยั อยดู่ ้วย จงึ สอนหนังสือ
ใหแ้ กเ่ ดก็ ๆ เพอ่ื เตรยี มเขา้ โรงเรยี นควบคกู่ นั ไป แตด่ ว้ ยความสนใจใหศ้ าสตร์
ของการปรงุ ยาไทย จงึ ไปขอเรยี นเรอ่ื งตน้ ไมย้ าไทยกบั หมออยู่ บญุ ประเสรฐิ
หรือท่ีเรียกว่าคุณตาหมออยู่ ซ่ึงเป็นหมอยาท่ีมีชื่อที่สุดในลุ่มนำ้าแม่กลอง
โดยการเรยี นนน้ั หมอสนุ ตอ้ งอาศยั ครพู กั ลกั จาำ เอาเอง และมกี ารบอกสตู ร
ยาบา้ ง แต่เป็นการบอกแบบปากเปล่า ไม่มีการจดเป็นตำาราให้ เมื่อไปขอ
ความรู้กลบั มากต็ อ้ งจาำ และนาำ มาจดบนั ทกึ ไวเ้ ปน็ สตู รของตนเอง เนอื่ งจาก
คนโบราณมักจะหวงวิชา เกรงว่าเรียนไปแล้วจะทำาได้ดีกว่าตน จึงมักจะ
ไมส่ อนกนั แบบตรง ๆ บอกแตเ่ พยี งวา่ พชื สมนุ ไพร ตน้ ดอก ใบ แตล่ ะชนดิ
มีสรรพคุณอย่างไร จนวันหนึ่งท่ีคุณตาหมออยู่มาซื้อของท่ีตลาด

38

แวะดตู าำ รายาของหมอสนุ พบวา่ ตรงตามทบี่ อกไวท้ ง้ั หมด จงึ บอกหมอสนุ วา่
ใหเ้ ลกิ อาชพี ชา่ งทองเพราะเปน็ อาชพี ทสี่ รา้ งแคค่ วามสวยงาม แตถ่ า้ มาขาย
ยาไทยจะได้ช่วยชีวิตคนหมอสุนจึงเลิกอาชีพทำาทองมาประกอบอาชีพหมอ
แผนโบราณเพียงอย่างเดียว

ในอดีตจะเป็นหมอต้องมใี บประกอบวิชาชีพ หมอสนุ จงึ พากเพียร
จากที่จบประถมศึกษาจนสอบใบประกอบวิชาชีพเภสัชกรได้ หลังจากนั้น
จงึ ตง้ั รา้ นยาไทยขน้ึ ชว่ งพ.ศ. 2488 หมอแผนโบราณทจี่ ดทะเบยี นสามารถ
รักษาโรคและจำาหน่ายยาได้ด้วยตนเอง แต่หลังจากน้ันมีกฎหมายออกมา
วา่ ผู้รกั ษาห้ามจาำ หน่ายยา ใครจะขายก็ขายเพียงอยา่ งเดยี ว ใครจะรักษา
กร็ กั ษาเพยี งอยา่ งเดยี ว บา้ นของหมอสนุ จงึ ตอ้ งแยกเปน็ สองหอ้ ง หอ้ งหนง่ึ
คอื หมอสนุ รกั ษาโรค อกี หอ้ งคอื นางมว้ นจาำ หนา่ ยยาไทยซง่ึ เปน็ ทมี่ าของชอ่ื
รา้ นนางมว้ นจาำ หนา่ ยยาไทย แตฝ่ ง่ั ของรา้ นหมอสนุ ไมต่ ดิ ปา้ ยเนอ่ื งจากคน
รู้จักอยู่เป็นทุนเดิม มีป้ายร้านนางม้วนจำาหน่ายยาไทยป้ายเดียวเพ่ือท่ีจะ
เสยี ภาษรี า้ นเดยี ว ตอ่ มามกี ฎหมายบงั คบั ขนึ้ ทะเบยี นเวชกรรมถงึ จะทาำ การ
รักษาได้ หมอสุนจงึ ยตุ กิ ารรักษา เหลือเพียงจาำ หน่ายยาไทย ใช้การพูดคยุ
สอบถามอาการในการจ่ายยา

ภาพที่ 1.5
ปา้ ยร้านหมอสุนและนางมว้ นยาไทย

39

รา้ นยานที้ าำ ยาดว้ ยตนเอง ขายยาเองไมม่ กี ารโฆษณา ไมม่ สี อื่ ใด ๆ
เป็นการบอกกนั แบบปากต่อปาก ร้านจงึ ยงั คงอยูไ่ ด้ ตอนนีอ้ ย่ใู นชว่ งขาลง
ของรา้ นและวงการยาไทยโบราณ เนอื่ งจากกฎหมายบงั คบั ราว พ.ศ. 2558-
2559 รฐั บงั คบั ใหจ้ ดทะเบยี นใหม้ หี อ้ งปรงุ ยาโดยเฉพาะเหมอื นหอ้ งปรงุ ยา
แผนปจั จบุ นั เพอื่ ไมใ่ หม้ กี ารปนเปอ้ื น ตอ้ งมเี ครอื่ งชงั่ ตวงวดั ทเี่ ปน็ มาตราเมตรกิ
มกี ารทาำ บญั ชยี าเขา้ -ออก รา้ นคา้ ยอ่ ยอยไู่ มไ่ ดจ้ งึ เรม่ิ ปดิ ตวั ลง หมอชาวบา้ น
ปดิ ตัวลงเกอื บคร่งึ หนง่ึ ผสู้ งู อายุทเี่ คยปรุงยาได้ เมอื่ เสยี ชีวิต ลูกหลานกไ็ ม่
สามารถปรงุ ยาได้ ตาำ รายาทง้ั หลายกถ็ กู วางไวบ้ นหงิ้ ไมไ่ ดน้ าำ มาใช้ หรอื ผสู้ งู อายุ
ทเี่ คยใชย้ าเมอื่ เสยี ชวี ติ ไปไมไ่ ดบ้ อกลกู หลานวา่ กนิ ยาของรา้ นนลี้ กู คา้ จงึ คอ่ ย ๆ
หายไป แตบ่ างครอบครวั ทปี่ ยู่ า่ ตายายยงั เลยี้ งหลานดว้ ยตวั เอง เมอื่ มอี าการ
เจบ็ ป่วยจะพามาทร่ี ้าน แตร่ ายได้ของร้านยาหายไป 2 ใน 3 สว่ น จากที่
เคยขายไดเ้ ดอื นละ 10,000 บาท ปจั จบุ นั ขายไดเ้ ดอื นละ 4,000-5,000 บาท
ซ่ึงคุณสมิทธิชัยเองรับราชการจึงไม่มีเวลาเพ่ือไปสอบเภสัชกรโบราณ
เพราะทมุ่ เทให้กบั การรบั ราชการไปครง่ึ ชวี ิต

2. โรงโอง่
จากคาำ บอกเล่าของผู้คนพบว่า โรงโอง่ ในเขตเมอื งเกา่ มอี ยู่ 1 โรง
ตงั้ อยตู่ ดิ กบั วดั มหาธาตุ เจา้ ของโรงโอง่ เปน็ ชาวจนี สว่ นชาวไทยเปน็ ลกู จา้ ง
โรงโอ่งน้ีเกิดขึ้นทีหลังโรงโอ่งเถ้าฮงไถ่ ซ่ึงเป็นโรงโอ่งแห่งแรกของจังหวัด
ราชบุรี เพียงแต่อยู่ที่ตำาบลเจดีย์หักซ่ึงออกนอกเขตเมืองเก่า การค้าโอ่ง
สามารถเหน็ ไดต้ ลอดเสน้ ทางรมิ นา้ำ แมก่ ลอง จะมโี อง่ วางเรยี งรายและมเี รอื
ขายโอง่ จอดอยรู่ มิ นาำ้ บรเิ วณหนา้ พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ นอกจากจะขาย
โอ่งแล้วยังมีปูนแดงสำาหรับกินหมากไปขายด้วย โดยปูนแดงน้ีเป็นผลผลิต
มาจากหนิ ปนู ทเี่ ขางู จะนาำ หนิ ไปเผาใหเ้ ปน็ ผงปนู ขาว จากนนั้ ผสมดว้ ยสว่ น
ผสมจนกลายเปน็ เปน็ ปนู แดง เรอื ขายโอง่ และปนู แดงจะลอ่ งไปขายตามรา้ น
คา้ รมิ คลองในจงั หวัดต่าง ๆ ตอ่ มากเ็ ปล่ียนมาใชร้ ถบรรทุกในการขนสง่
แทน
คุณศรีวิชัยเล่าถึงท่ีมาของโอ่งราชบุรีว่า ชาวจีนจากท่ีอื่นย้ายมา
ต้ังถิ่นฐานท่ีราชบุรี เห็นว่ามี “ไม้ตะเกียบ” คือ ไม้เล็ก ๆ ขึ้นเองตาม
ธรรมชาติ เช่น ต้นกระถิน ต้นสะแก จึงตัดแล้วนำามาใช้เป็นเชื้อเพลิงใน

40

การเผาโอง่ นอกจากนย้ี งั มแี หลง่ ดนิ เหนยี วจากตาำ บลตา่ ง ๆ โดยดนิ เหนยี ว
ตอ้ งผสมกับดินหายากซึ่งมาจากแหล่งดนิ ท่อี ่ืน มีชา่ งฝีมอื ในการเขยี นลาย
ลวดลายจากชาวจนี สอนงานใหก้ บั ชาวไทย และทส่ี าำ คญั คอื ราชบรุ มี แี หลง่
ขนส่งคือแม่นำ้าแม่กลอง โรงโอ่งจึงต้ังอยู่ใกล้กับแม่น้ำาเพ่ือความสะดวกใน
การขนส่ง (ศรีวิชัย ทรงสุวรรณ, สัมภาษณ์, 2563) การทาำ โอง่ เปน็ ธรุ กิจ
ที่มีต้นกำาเนิดมาจากกลุ่มชาวจีน เร่ิมต้นจากการทำาที่รองขาตู้กับข้าวและ
พัฒนาขึ้นมาเรื่อย ๆ จนกลายมาเป็นโอ่งมังกรที่เป็นสินค้าเล่ืองช่ือของ
จังหวัดราชบุรี ธรุ กจิ ทาำ โอ่งน้นั เกดิ ข้นึ มาไดเ้ น่อื งจากดนิ ของจงั หวัดราชบุรี
มีความเหมาะสม เหนียว เน้ือเนยี นละเอียด โดยดนิ ท่ีนำามา ปน้ั โอ่งน้ันจะ
ต้องขุดลงไป เน้อื ดนิ จะมีลักษณะคลา้ ยกนั ดนิ รว่ น ไมเ่ ปน็ โคลน แตเ่ มือ่ นาำ
มาผสมน้าำ แล้วจะขน้ เหนยี ว ทาำ ใหข้ ึน้ รูปได้งา่ ย

ในการตั้งโรงโอ่งนั้นมักจะใช้พ้ืนท่ีท่ีเป็นทุ่งกว้าง เน่ืองจากต้องมี
ส่วนที่เป็นโรงโอ่ง และส่วนที่เป็นพ้ืนที่ว่างสำาหรับขุดดินข้ึนมาปั้น ดังน้ัน
การตงั้ โรงโอ่งในลกั ษณะนีจ้ งึ มีความเสย่ี งสงู หากได้พนื้ ท่ที ่ีดินมีคณุ ภาพดี
กจ็ ะเปน็ การลดตน้ ทนุ แตห่ ากไดด้ นิ ทคี่ ณุ ภาพไมต่ ามเกณฑก์ ต็ อ้ งเสยี เงนิ ซื้อ
ดนิ จากทอี่ นื่ มาใชอ้ กี ดงั นน้ั จงึ มบี างโรงทเี่ ลอื กซอื้ ดนิ จากพอ่ คา้ แทนการซอ้ื
ทด่ี ินเพ่อื ใช้ดินในทขี่ องตน

การทำาโอ่งในช่วงเร่ิมต้นจะวาดโอ่งเป็นลายมังกร โดยใช้ดินขาว
ป้ายเป็นรูปร่าง ดินขาวเป็นดินที่มาจากทางภาคเหนือแถบจังหวัดลำาปาง
ลาำ พูน แตใ่ นปัจจุบนั มีการปรับเปลีย่ นตวั มังกรใหเ้ ป็นตัวนนู ขนาดของโอง่
นน้ั ใชป้ บ๊ี เปน็ เกณฑ์ เชน่ โอง่ ใบนจ้ี นุ าำ้ ได้ 10 ปบ๊ี กจ็ ะเรยี กโอง่ ใบนวี้ า่ ขนาด
10 ปบี๊ เปน็ ตน้ ในกระบวนการปน้ั โอง่ ตอ้ งใชแ้ รงงานจำานวนมาก แต่กลุม่
คนที่มีความสำาคัญมากที่สุดคือคนข้ึนรูป เน่ืองจากหากไม่มีคนขึ้นรูปงาน
ในส่วนอนื่ ๆ จะไมส่ ามารถดำาเนนิ ต่อไปได้ ดงั นัน้ คนขึ้นรปู ทฝ่ี ีมือดจี งึ มกั
จะถูกแยง่ ตัวจากโรงโอ่งอ่นื ๆ ดว้ ย โดยแรงงานเม่อื ประมาณ 60 ปีกอ่ น
เปน็ ชาวไทยทง้ั สนิ้ แตใ่ นปจั จบุ นั เปน็ แรงงานจากประเทศพมา่ เปน็ สว่ นมาก

สาำ หรบั แหลง่ ในการซอื้ ขายนนั้ สว่ นมากโรงโอง่ จะเปน็ ผจู้ ดั จาำ หนา่ ยเอง
โดยขนลงเรือท่าเรือบริเวณตลาดเก่าขายให้กับคนในจังหวัดราชบุรี และ
จังหวัดข้างเคียง นอกจากนี้เมื่อประมาณ 60 ปีก่อนจะมีกำานันและ

41

ผู้ใหญ่บ้านจากแถบภาคอีสานนำาข้าวสารมาแลกกับโอ่ง เพ่ือนำาไปโอ่งไป
บรรจุนำ้าฝนไวใ้ ชใ้ นยามขาดแคลน สว่ นโอง่ ทเี่ ปน็ ตามด คอื เปน็ โอง่ ทม่ี เี ศษ
ทรายมาผสม เมอ่ื นาำ ไปเผาแลว้ ทรายจะหลดุ ออก เกดิ เปน็ รรู วั่ ขนาดเลก็ มาก
โอง่ พวกนจ้ี ะถกู เรยี กกนั วา่ โอง่ สอง คอื โอง่ ตกเกรด แตย่ งั มตี าำ หนไิ มม่ ากนกั
คนมอญจะรบั โอง่ ชนดิ นไี้ ปขาย วธิ กี ารหารรู วั่ นน้ั จะใชค้ อ้ นขนาดเลก็ เคาะจนทวั่
หรอื บางคนจะนาำ โอง่ ลงไปหมนุ ในแมน่ าำ้ เพอ่ื ดวู า่ มนี าำ้ เขา้ ตรงไหน และนาำ โอง่
ไปอุดรรู ั่วดว้ ยชัน หรอื ทาดว้ ยแชล๊ค (Shellec) พอแห้งก็จะนาำ โอ่งลาำ เลยี ง
ใส่เรือ ล่องไปขายโดยมงุ่ หน้าไปทางปทมุ ธานี ซง่ึ ระหว่างทางน้ันกจ็ ะแวะ
ขายโอง่ ไปเรอื่ ย ๆ จนหมด และจะนาำ สนิ คา้ จากแถบนน้ั กลบั มาขายทร่ี าชบรุ ี
(สมิทธิชยั หงษ์ทอง, สัมภาษณ,์ 2563) แต่ในปัจจุบันบทบาทของโอง่
ได้เปลี่ยนไป ผู้คนไม่นิยมนำาโอ่งมาใช้ในการรองน้ำาฝนกันแล้ว เน่ืองจากมี
การทาำ ระบบประปาท่ีสามารถส่งน้ำาใหก้ ับผู้คนได้แทบทกุ ครวั เรอื น โอง่ ใน
ปจั จบุ นั จงึ แปรสภาพเปน็ ของประดบั ตกแตง่ สง่ ผลใหร้ ปู แบบโอง่ ในปจั จบุ นั
มีการพัฒนาไปอยา่ งหลากหลาย

3. โรงค่ัวกาแฟ

โรงค่ัวกาแฟเป็นอีกธุรกิจหน่ึงท่ีพบได้ในพ้ืนท่ีเมืองราชบุรีในอดีต
โดยจากการบอกเลา่ พบวา่ โรงคว่ั กาแฟเปน็ ธรุ กจิ ของชาวจนี ในอดตี พน้ื ทต่ี ง้ั
โรงควั่ อยบู่ รเิ วณตลาดหนา้ วดั ศรสี รุ ยิ วงศารามวรวหิ าร ชอื่ รา้ นกาแฟตงั้ จา้
เต็กเซีย คุณศรีวิชัยเล่าถึงขั้นตอนการทำากาแฟผงว่า เมื่อได้กาแฟมาเป็น
กระสอบตอ้ งเทเมลด็ ออกมาเลอื ก คดั เศษกรวดออก จากนนั้ ตง้ั กระทะสองใบ
ใบที่หนงึ่ ใส่น้าำ ตาลกบั น้าำ ตง้ั ไฟเค่ียวใหล้ ะลาย อีกใบหน่ึงคัว่ เมลด็ กาแฟเมอื่
สกุ จงึ เทเมล็ดกาแฟลงในกระทะนำ้าตาล คลุกผสมให้เข้ากันเทเมล็ดกาแฟท่ี
คลุกนำา้ ตาลแล้วใส่กระบะ เกล่ียให้ท่วั เพ่ือผ่งึ ใหเ้ ยน็ แล้วจงึ นาำ เข้าเครือ่ งโม่
ให้เป็นกาแฟผง จากนั้นบรรจุใส่ปี๊ป นำาไปส่งตามร้านขายกาแฟ ใช้ชงกับ
นมข้นหวาน นมสด ช่วงน้ันมีโรงคั่วกาแฟหลายโรงแต่ร้านกาแฟ
ต้ังจ้าเต็กเซีย มีลูกค้าสั่งมากท่ีสุดเพราะเป็นเมล็ดกาแฟแท้ไม่มีเจือปน
(ศรวี ิชยั ทรงสุวรรณ, สมั ภาษณ์, 2563)

42

4. ตลาดสนามหญา้ : พ้ืนทตี่ ่อขยายจากตลาดเกา่ เมืองราชบรุ ี

ความเจริญเติบโตของย่านการค้าริมแม่นำ้าแม่กลองท่ีตลาดเก่า
เมืองราชบรุ ีนัน้ ทำาใหก้ ลายเป็นท่ตี ้งั ของศนู ย์ราชการ ตลาดคา้ ขายสินคา้
สถานีขนส่ง รวมไปถึงธุรกิจความบันเทิงอย่างโรงภาพยนตร์ราชบุรีรามา
ซงึ่ ตง้ั อยบู่ นถนนถนนนยิ มทศั นา ตดิ กบั กาำ แพงสถานตี าำ รวจภธู รเมอื งราชบรุ ี
คณุ ศรวี ชิ ยั เลา่ วา่ เดมิ โรงภาพยนตรแ์ หง่ นม้ี ชี อ่ื วา่ นยิ มทศั นา ตงั้ ชอ่ื ตามถนน
บริเวณใกล้เคียง ต่อมาได้เปลี่ยนช่ือเป็นราชบุรีภาพยนตร์ และเปลี่ยนมา
เปน็ ราชบุรีรามา มีคุณสุธรรม เงยไพบูลย์ เป็นผู้จัดการโรงภาพยนตร์
ไดเ้ ชา่ พน้ื ทจ่ี ากเจา้ ของทดี่ นิ แลว้ เปดิ เปน็ “วกิ ” หรอื โรงภาพยนตรข์ น้ึ ซงึ่ เปน็
โรงภาพยนตรแ์ หง่ แรกของจงั หวดั ราชบรุ ี และเปน็ “แหลง่ ความบนั เทงิ แหง่ เดยี ว”
ของจังหวัดราชบุรีในขณะนั้น นอกจากฉายภาพยนตร์แล้วยังมีการแสดง
มหรสพมากมาย ได้แก่ วงดนตรี ละครและลิเก เปน็ ตน้

การเกิดข้ึนของโรงภาพยนตร์ราชบุรีรามา ทำาให้เกิดการค้าขาย
เพ่อื รองรบั คนที่มารอดูภาพยนตร์ คอื ตลาดสนามหญา้ เนอื่ งจากตลาด
เมอื งราชบรุ จี ะเลกิ ไปตง้ั แต่ 18.00 - 19.00 น. เมอ่ื มคี นมารอดภู าพยนตร์
กเ็ รม่ิ มบี รรดาพอ่ คา้ แมค่ า้ มาขายของกนิ ทลี่ านสนามหญา้ บรเิ วณหอนาฬกิ า
ซงึ่ แตเ่ ดิมน้ันบรเิ วณหนา้ หนา้ หอนาฬิกาเป็นสนามหญา้ โลง่ ๆ ใช้เปน็ พืน้ ที่
นงั่ พกั ผอ่ น ผคู้ า้ จะตงั้ แผงลอยเพอ่ื ขายอาหารสาำ เรจ็ รปู ในชว่ งเยน็ ในขณะนนั้
มีการฉายภาพยนตรเ์ พยี งรอบเดยี วคอื เวลา 23.00 น. คนจะเร่มิ ทยอยกนั
มารอดหู นงั เรอ่ื ย ๆ ขายกันจนถงึ ภาพยนตรจ์ บก็เกบ็ ตลาด แตต่ ่อมาก็ได้
พัฒนาเป็นตลาดโตร้ ุ่ง

43
ภาพท่ี 1.6 ตลาดสนามหญ้า

44

สถานทีส่ า� คญั ในพ้ืนท่เี ขตเมืองเกา่ ราชบรุ ี

1. วดั เกาะนมั มทาปทวลญั ชาราม

วดั เกาะนมั มทาปทวลญั ชาราม เปน็ วดั ทต่ี งั้ อยบู่ นเกาะในแมน่ าำ้ แมก่ ลอง
พระมหาผ่อง เจ้าอาวาสวัดเกาะนัมมทาปทวลัญชาราม ได้เล่าว่าใน
ชว่ งสงครามโลกคร้ังที่ 2 สมัยน้นั ท่านยังเปน็ เณร มที หารญีป่ นุ่ เข้ามาใช้
พื้นท่ีวดั เป็นท่กี ักกนั เชลยศกึ สงครามฝ่ายสมั พนั ธมิตร และยังใชเ้ ป็นสสุ าน
ของบรรดาพวกเชลยศึกดว้ ย ทหารญี่ปุ่นจงึ ได้อาราธนาพระใหอ้ อกจากวัด
ไปจาำ วดั อยทู่ ว่ี ดั ศาลเจา้ แทน ภายหลงั จากสงครามจบลง เคยมชี าวออสเตรเลยี
องั กฤษ และฮอลนั ดา มาตามหาทฝ่ี งั ศพของบรรดาญาติ ๆ ดว้ ย แตก่ ไ็ มพ่ บ
งานศิลปกรรมภายในวดั เช่น อโุ บสถสรา้ งขน้ึ ราว พ.ศ. 2509 ภายใน
ประดษิ ฐานพระพุทธรปู สมยั รตั นโกสนิ ทรท์ ี่มอี ายุราวพทุ ธศตวรรษที่ 25

ภาพที่ 1.7 อุโบสถวดั เกาะนมั มทาปทวลญั ชาราม

45

2. วดั สัตตนารถปรวิ ัตรวรวิหาร

วัดสัตตนารถปริวัตรวรวิหาร สร้างเม่ือพ.ศ. 2414 เดิมชื่อว่า
วัดเขาสัตตนารถ เพราะตัง้ อยู่ที่บนเขานอกเมอื ง ต่อมาในสมัยรัชกาลท่ี 5
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ชว่ ง บุนนาค) ทำาผาติกรรมเพ่อื ใช้
เปน็ พน้ื ทส่ี รา้ งพระราชวงั จงึ ไดม้ กี ารสรา้ งวดั ขน้ึ ทดแทนและเปลยี่ นชอื่ ใหมเ่ ปน็
วดั สตั ตนารถปรวิ ตั ร ในชว่ งสงครามโลกครง้ั ท่ี 2 พน้ื ทวี่ ดั ไดถ้ กู ใชเ้ ปน็ ทต่ี ง้ั
คา่ ยของทหารญปี่ นุ่ ดว้ ย งานศลิ ปกรรมสว่ นใหญเ่ ปน็ การผสมผสานระหวา่ ง
งานแบบไทยประเพณแี ละแบบตะวนั ตก เชน่ พระอโุ บสถมลี กั ษณะทวั่ ไปเปน็
แบบไทยประเพณีแต่ที่บัวหัวเสาพาไลรอบพระอุโบสถทำาลายใบอะแคนตัส
แบบตะวันตก นอกจากน้ียังมีพระพุทธรูปที่สำาคัญ ได้แก่ หลวงพ่อโต
พระพุทธรูปปางมารวิชัยสมัยอยุธยา และพระนอนภายในพระวิหาร
สมยั รตั นโกสินทร์

ภาพที่ 1.8 อโุ บถสวดั สัตตนารถปรวิ ตั รวรวหิ าร

46

3. สะพานจุฬาลงกรณ์
สะพานจฬุ าลงกรณ์ เปน็ สะพานรถไฟทสี่ รา้ งขน้ึ เพอื่ ขา้ มแมน่ า้ำ แมก่ ลอง
เปิดใชใ้ นพ.ศ. 2444 สมัยรชั กาลที่ 5 ตอ่ มาในสมัยสงครามโลกครัง้ ท่ี 2
สะพานจุฬาลงกรณ์เป็นหนึ่งในเป้าหมายสำาคัญของฝ่ายสัมพันธมิตรที่จะ
ทำาลาย เน่ืองจากฝ่ายญี่ปุ่นใช้เพ่ือการขนส่งกำาลังพลและเป็นเส้นทางหลัก
สู่ภาคใต้ จนในพ.ศ. 2488 ฝา่ ยสัมพนั ธมิตรไดท้ ้งิ ระเบดิ ทาำ ให้สะพานขาด
ใช้การไม่ได้ ทหารญ่ีปุ่นจึงได้จ้างคนราชบุรีเป็นคนงานสร้างสะพานเบ่ียง
ด้วยไมข้ ้นึ ทดแทน แตด่ ว้ ยสะพานไม่แขง็ แรงพอเปน็ เหตใุ ห้หัวรถจักรไอนาำ้
ที่ใช้ทดสอบตกลงไปในแม่น้ำาแม่กลองด้วย ปัจจุบันสะพานจุฬาลงกรณ์
เปน็ สะพานโครงเหลก็ รปู สเี่ หลย่ี มคางหมู จาำ นวน 3 ชว่ ง ซง่ึ ถอื เปน็ รปู แบบ
ทนี่ ยิ มสรา้ งในสมยั น้ัน

ภาพท่ี 1.9 สะพานจฬุ าลงกรณ์

47

4. วัดมหาธาตุวรวิหาร ราชบุรี

วัดมหาธาตุวรวิหาร ราชบุรี เป็นศาสนสถานท่ีเกา่ แก่อีกแหง่ หนง่ึ
ในเมืองราชบุรี จากหลักฐานงานศิลปกรรมที่ปรากฏน่าจะเริ่มสร้างขึ้น
ราวพทุ ธศตวรรษท่ี 18 มรี ปู แบบเปน็ ปราสาทในวฒั นธรรมเขมร โดยยงั คง
เหลอื แนวกำาแพงทีก่ อ่ ด้วยศิลาแลงให้เหน็ อยู่ ตอ่ มาราวพุทธศตวรรษที่ 20
(สมยั อยธุ ยาตอนตน้ ) วดั มหาธาตไุ ดร้ บั การบรู ณปฏสิ งั ขรณค์ รง้ั ใหญ่ มกี าร
สร้างปรางค์ประธานขึ้นในตำาแหน่งใหม่ โดยย้ายไปทางด้านทิศตะวันตก
ของปราสาทประธานเดมิ ในวฒั นธรรมเขมร และจากความเปน็ วดั มหาธาตุ
ประจำาเมืองราชบุรที ำาให้ยงั คงมกี ารซอ่ มแซมอยเู่ รื่อยมาจนกระท่งั ปจั จุบัน

ภาพท่ี 1.10 พระปรางคว์ ัดมหาธาตุ

48

5. วดั ศรีสรุ ิยวงศารามวรวหิ าร
วัดศรีสุริยวงศารามวรวิหาร สร้างโดยสมเด็จเจ้าพระยาบรม
มหาศรสี รุ ยิ วงศ์ (ชว่ ง บนุ นาค) ผสู้ าำ เรจ็ ราชการแผน่ ดนิ และสมหุ พระกลาโหม
ในรัชกาลที่ 5 โดยมีดำาริให้เป็นวัดประจำาตระกูลบุนนาค เริ่มสร้างใน
พ.ศ. 2417 ภายหลงั การสรา้ งวดั สตั ตนารถปรวิ ตั รวรวหิ าร งานศลิ ปกรรม
ภายในวดั สว่ นใหญเ่ ปน็ การนาำ รปู แบบศลิ ปะตะวนั ตกเขา้ มาตกแตง่ เปน็ หลกั
ทง้ั ในสว่ นของอโุ บสถทม่ี รี ะเบยี งทางเดนิ ทาำ เปน็ ซมุ้ วงโคง้ การเขยี นลายผนงั
ด้านนอกอาคารเป็นลายเลียนแบบหิน หนา้ บนั เปน็ ตราพระราชลญั จกร
ไอยราพต อญั เชญิ พระจลุ มงกฎุ ดา้ นหลงั อโุ บสถมเี จดยี ท์ รงระฆงั ยกฐานสงู
ทอี่ อกแบบให้มีซมุ้ วงโค้งเชน่ เดียวกบั อโุ บสถ

ภาพที่ 1.11 อุโบสถวดั ศรสี รุ ยิ วงศารามวรวิหาร

49

6. วัดชอ่ งลม (พระพุทธรปู แกน่ จนั ทน์)

วัดช่องลม แต่เดิมน้ันเป็นวัดขนาดเล็ก รัชกาลท่ี 5 เคยเสด็จ
ประพาสต้นผา่ นมาท่ีวดั และพระราชทานทรพั ย์สว่ นพระองคส์ รา้ งอุโบสถ
ใหม่เนื่องจากเกิดเพลิงไหม้ ต่อมาในพ.ศ. 2479 เจ้าอาวาสในสมัยนั้น
เหน็ วา่ อโุ บสถมขี นาดเลก็ จงึ สรา้ งใหมใ่ หใ้ หญข่ นึ้ ดงั ในปจั จบุ นั งานศลิ ปกรรม
ที่สำาคัญ เช่น หลวงพ่อแก่นจันทน์ ถือเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำา
เมืองราชบุรี พระเศียรเป็นเศียรพระพุทธรูปสมัยทวารวดีเดิม เคยอยู่ที่
วัดมหาธาตุมาก่อน ส่วนพระวรกายทำาจากไม้แก่นจันทน์ จิตรกรรม
บริเวณคอสองที่ศาลาดินและศาลาการเปรียญเขียนขึ้นในช่วงครึ่งหลัง
พทุ ธศตวรรษที่ 25 เปน็ เรือ่ งพทุ ธประวัตแิ ละทศชาติ

ภาพท่ี 1.12 อโุ บสถวดั ชอ่ งลม

ภาพท่ี 1.13 หลวงพอ่ แกน่ จนั ทน์


Click to View FlipBook Version