The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

โครงการการพัฒนาเมืองราชบุรีสู่ความเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้บนฐานเศรษฐกิจและวัฒนธรรม The Development of Ratchaburi to be a Learning City on the Basis of Local Economics and Culture เป็นการนำทุนทางวัฒนธรรมของจังหวัดราชบุรีซึ่งครอบคลุมทั้งข้อมูลมรดกวัฒนธรรมและศิลปวัฒนธรรมในพื้นที่จังหวัด มาพัฒนาให้เมืองราชบุรีกลายเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ (Learning City) ในด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดี และศิลปวัฒนธรรม และกลายเป็นเมืองต้นแบบแห่งการศึกษาที่มีข้อมูลอัตลักษณ์ของพื้นที่อย่างลุ่มลึก รวมถึงสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนในพื้นที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างสถาบันของชุมชนให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืนตามทิศทางการพัฒนาเมืองน่าอยู่

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ARC Archaeology, 2022-04-19 05:44:53

โครงการการพัฒนาเมืองราชบุรีสู่ความเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้บนฐานเศรษฐกิจและวัฒนธรรม

โครงการการพัฒนาเมืองราชบุรีสู่ความเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้บนฐานเศรษฐกิจและวัฒนธรรม The Development of Ratchaburi to be a Learning City on the Basis of Local Economics and Culture เป็นการนำทุนทางวัฒนธรรมของจังหวัดราชบุรีซึ่งครอบคลุมทั้งข้อมูลมรดกวัฒนธรรมและศิลปวัฒนธรรมในพื้นที่จังหวัด มาพัฒนาให้เมืองราชบุรีกลายเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ (Learning City) ในด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดี และศิลปวัฒนธรรม และกลายเป็นเมืองต้นแบบแห่งการศึกษาที่มีข้อมูลอัตลักษณ์ของพื้นที่อย่างลุ่มลึก รวมถึงสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนในพื้นที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างสถาบันของชุมชนให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืนตามทิศทางการพัฒนาเมืองน่าอยู่

50

7. ซมุ้ ประตจู นี
ซมุ้ ประตจู นี ตง้ั อยใู่ นเขตสงั ฆาวาสของวดั ชอ่ งลม เชอ่ื กนั วา่ ประตู

ดงั กลา่ วเปน็ สว่ นหนงึ่ ของบา้ นนายฮวงฮะ แซอ่ งึ้ ซง่ึ เปน็ หนงึ่ ในผรู้ ว่ มกอ่ ตงั้
ศาลเจ้ากวนอู หลักฐานสำาคัญที่สนับสนุนข้อสันนิษฐานดังกล่าวคือ
ตวั อกั ษรจนี ทปี่ รากฏอยเู่ หนอื ชอ่ งประตซู งึ่ เขยี นวา่ “ ” คาำ ดงั กลา่ วอา่ นวา่
“ฮวงฮะ” ตามการออกเสยี งแบบภาษาจนี ถิ่นแต้จวิ๋ รูปแบบซมุ้ ประตูแสดง
เอกลกั ษณข์ องงานสถาปตั ยกรรมแบบเฉาซนั่ ของชาวแตจ้ วิ๋ อาทิ โครงสรา้ ง
รบั นา้ำ หนกั หลงั คา การใชห้ นา้ บนั แบบ 5 ธาตุ การประดบั กระเบอื้ งตดั เปน็
ช้นิ เล็ก ๆ

ภาพที่ 1.14 ซ้มุ ประตูจีน

51

8. ศาลเจา้ พอ่ กวนอ ู ราชบรุ ี

ศาลเจา้ พอ่ กวนอเู ปน็ ศาลเจา้ เกา่ แกใ่ นเขตเมอื งเกา่ ราชบรุ ี สรา้ งในสมยั
รชั กาลท่ี 5 โดย สมเดจ็ เจา้ พระยาบรมมหาสรุ ยิ วงศ์ (ชว่ ง บนุ นาค) บรจิ าค
ที่ให้กับกลุ่มชาวจีนโพ้นทะเลเพื่อสร้างศาลเจ้าแห่งนี้ เมื่ออาคารหลังเก่า
ทรดุ โทรมลง จึงรอ้ื และสรา้ งใหมเ่ ปน็ อาคารคอนกรีตเสริมเหลก็ โดยรกั ษา
รูปแบบงานสถาปัตยกรรมแบบเฉาซั่นของชาวแต้จิ๋ว ภายในประดิษฐาน
เจา้ พอ่ กวนอู และตไู้ มข้ นาดใหญเ่ กบ็ ปา้ ยวญิ ญาณของชาวจนี ในเมอื งราชบรุ ี
และป้ายวิญญาณของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)
ด้วยเทศกาลสำาคัญในรอบปีของกลุ่มชาวจีนท่ีศาลเจ้าพ่อกวนอู ราชบุรีจะ
ประกอบไปดว้ ย 8 เทศกาล ไดแ้ ก่ เทศกาลสารทบวั ลอย ถอื เปน็ การเปลยี่ น
ปตี ามปฏทิ นิ จนี โบราณ, เทศกาลตรษุ จนี หรอื เทศกาลขา้ มป,ี เทศกาลงว่ นเซยี ว
จดั หลงั จากตรษุ จนี 15 วนั คอื เทศกาลเดอื นเพญ็ แรกของปี (15 คาำ่ เดอื นอา้ ย),
เทศกาลเชงเมง้ , เทศกาลสารทบะ๊ จา่ ง, เทศกาลสารทจีน (วันข้ึน 15 คา่ำ
เดอื น 7), เทศกาลไหวพ้ ระจนั ทร์ (วันขน้ึ 15 คำ่า เดอื น 8) และเทศกาล
กนิ เจ (ตงั้ แตว่ นั ขนึ้ 1 คา่ำ - 10 คาำ่ เดอื น 9 (ตามปฏิทนิ จีน))

ภาพที่ 1.15 ศาลเจา้ พ่อกวนอู

52

9. พิพิธภณั ฑสถานแห่งชาต ิ ราชบรุ ี
พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ ราชบรุ ี ตามประวตั พิ นื้ ทแ่ี หง่ นเ้ี คยใชเ้ ปน็
จวนทพ่ี กั ของสมเดจ็ เจา้ พระยาบรมมหาศรสี รุ ยิ วงศ์ (ชว่ ง บนุ นาค) ผสู้ าำ เรจ็
ราชการแผน่ ดินในสมัยรัชกาลท่ี 5 ต่อมาในพ.ศ. 2465 สมัยรชั กาลท่ี 6
ไดใ้ ชเ้ ปน็ ศาลาว่าการมณฑลราชบุรี ในพ.ศ. 2476 สมัยรชั กาลท่ี 7 ได้มี
การจดั ระเบยี บบรหิ ารราชการใหม่ ศาลาวา่ การมณฑลจงึ ไดป้ รบั เปลยี่ นมา
เป็นศาลากลางจงั หวดั ราชบุรี จนในพ.ศ. 2524 ไดม้ กี ารยา้ ยศาลากลาง
ไปสรา้ งทแี่ หง่ ใหม่ กรมศลิ ปากรจงึ ขอใชพ้ นื้ ทเี่ พอื่ สรา้ งเปน็ พพิ ธิ ภณั ฑสถาน
แหง่ ชาติ ราชบุรี โดยมพี ิธีเปิดอย่างเป็นทางการเม่อื พ.ศ. 2534 ปจั จุบัน
มีการจัดแสดงเก่ียวกับราชบุรีในด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดี และ
ชาติพนั ธุ์วิทยา

ภาพที่ 1.16 พพิ ิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบรุ ี

53

10. ศาลแขวงราชบุรี

สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ใน ร.ศ.125 หรือ พ.ศ. 2449
ตามทรี่ ะบอุ ยู่บนหน้าบันใต้ตราแผน่ ดนิ ซ่งึ รชั กาลที่ 5 ทรงพระกรณุ าโปรด
เกล้าฯ ให้หม่อมเจ้าประวชิ ชมุ สาย ออกแบบไว้ในพ.ศ. 2416 โดยอิงกับ
หลกั การผกู ตราของทางยโุ รป อาคารหลงั น้ใี นระยะแรกไดใ้ ชเ้ ปน็ ทท่ี าำ การ
ศาลมณฑลราชบรุ ี ต่อมาในพ.ศ. 2476 มีการยกเลกิ ศาลมณฑลราชบรุ ี
แล้วตั้งเป็นศาลจังหวัด อาคารหลังน้ีจึงเป็นท่ีทำาการศาลจังหวัดราชบุรี
จนกระทั่งพ.ศ. 2500 จึงไปประกาศใช้เป็นท่ที าำ การศาลแขวงราชบรุ จี นถึง
ปจั จุบนั ลักษณะอาคารเป็นแบบตะวันตกซึ่งนยิ มสร้างเป็นอาคารราชการ
ในชว่ งวลานน้ั ประต-ู หนา้ ตา่ งทาำ จากไมเ้ ปน็ กรอบวงโคง้ ดา้ นบนประดบั ลายฉลุ
ถัดขนึ้ ไปมคี อสองยกสงู เจาะช่องแสงรูปวงกลมโดยรอบ

ภาพท่ี 1.17 ศาลแขวงราชบรุ ี

54

11. สถานตี า� รวจภธู รเมอื งราชบุรี
ด้านหลังอาคารที่ทำาการสถานีตำารวจภูธรเมืองราชบุรีปัจจุบันมี
อาคารเรือนไม้ยกใต้ถุนสูง 1 หลัง นักวิชาการบางท่านสันนิษฐานว่า
น่าจะสร้างตั้งแต่บริเวณสถานีตำารวจภูธรเมืองราชบุรี ยังเป็นวังในช่วง
รัชกาลท่ี 4 – รัชกาลท่ี 5 รูปแบบตัวอาคารเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน
ร่วมกับการใช้ไม้ อาคารดังกล่าวสะท้อนแรงบันดาลใจจากศิลปะตะวันตก
หลายประการ อาทิ รปู ทรงหนา้ บนั สามเหลยี่ มหนา้ จว่ั แบบเตยี้ หรอื ทเ่ี รยี กวา่
pediment รวมไปถงึ ลายฉลปุ ระดบั ชายคาตลอดแนว

ภาพท่ี 1.18 พิพธิ ภัณฑ์ตำารวจ

55

12. ศาลเจา้ พอ่ หลกั เมอื งราชบรุ แี ละประตเู มอื งโบราณ ราชบรุ ี

ศาลเจา้ พอ่ หลกั เมอื งราชบรุ ี ตง้ั ภายในเขตกาำ แพงเมอื งเกา่ ทส่ี รา้ งขน้ึ
ในสมยั รชั กาลที่ 2 โดยแตเ่ ดมิ เมอื งราชบรุ ตี งั้ อยทู่ างฝง่ั วดั มหาธาตุ เวลานน้ั
มีการทำาสงครามบริเวณทุ่งเขางู หากถอยทัพหนีข้าศึกมาจะทำาให้เข้ามา
โจมตไี ด้ง่าย ทำาให้ในพ.ศ. 2360 รชั กาลท่ี 2 จงึ โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายมา
อยู่อีกฝั่งของแม่น้ำาเพ่ือใช้แม่น้ำาเป็นท่ีป้องกันข้าศึก พร้อมกับการสร้าง
กาำ แพงเมอื งใหม่ ตอ่ มาในพ.ศ. 2440 มกี ารยา้ ยการปกครองกลบั ไปอยฝู่ ง่ั
เมืองในปัจจุบัน เขตพ้ืนท่ีกำาแพงเมืองเก่าถูกใช้เป็นท่ีต้ังของค่ายภาณุรังษี
แตศ่ าลเจา้ พอ่ หลกั เมอื งราชบรุ กี ย็ งั คงอยทู่ เี่ ดมิ ในสว่ นของประตเู มอื งโบราณ
มีหลกั ฐานให้เหน็ อยทู่ างดา้ นทศิ เหนือ และทศิ ใต้ บานประตทู ำาจากแผน่ ไม้
ตอ่ กันโดยใช้หมดุ เหลก็ ยดึ สว่ นสันกาำ แพงประดบั แถวใบเสมา

ภาพท่ี 1.19
ศาลเจา้ พอ่ หลักเมอื ง (บน)
ประตูเมอื งโบราณ (ล่าง)

56

13. ชมุ ชนมนตรีพฒั นา (ผา้ ทอบ้านไร่)

ชมุ ชนมนตรพี ฒั นา เดิมเปน็ พนื้ ทสี่ วน ลักษณะบ้านส่วนใหญ่เปน็
บ้านไม้ยกพ้ืนสูง ผู้หญิงส่วนใหญ่ในชุมชนมักประกอบอาชีพทอผ้าขาวม้า
โดยรบั จา้ งจากโรงงานทอผา้ ในจงั หวดั ราชบรุ ี ซงึ่ เรมิ่ กอ่ ตงั้ โรงงานโดยกลมุ่
คนจนี ตงั้ แตช่ ว่ ง พ.ศ. 2480 เปน็ ตน้ มา ทางโรงงานจะนาำ วสั ดแุ ละอปุ กรณ์
มาให้ทบี่ า้ น เชน่ ดา้ ยทที่ าำ มาจากฝา้ ยผสมโทเร กไ่ี ม้ทอผา้ เป็นตน้ เมื่อรับ
งานมาแล้วก็จะนั่งทอผ้ากันอยู่บริเวณใต้ถุนบ้าน ซ่ึงจะทอเป็นม้วนขนาด
ใหญ่แลว้ โรงงานจะรับไปตัดแบ่ง บรรจหุ ีบห่อและสง่ ขายทางเรอื ลกั ษณะ
ของผา้ ทอในอดตี เปน็ ลวดลายหมากรกุ สีคร้ึม ไมฉ่ ูดฉาด เนอื้ ผา้ ไมแ่ ขง็
และไมแ่ น่นมาก เพราะใช้ก่ตี าใหญ่

ต่อมาราว พ.ศ. 2500 เม่ือโรงงานทอผ้าได้เปล่ียนแปลงไปใช้
เครื่องจักรในการทอผ้า คนในพื้นที่จึงได้เข้าไปทำางานในโรงงานแทน
ในอดตี โรงงานทอผา้ ตงั้ อยตู่ ดิ กบั โรงเรยี นเบญจมราชทู ศิ ราชบรุ ี ในปจั จบุ นั
นอกจากนั้นยังมีโรงงานทอผ้าอีกหลายแห่งต้ังอยู่ตามแนวเส้นทางรถไฟ
โดยส่วนใหญ่เจ้าของโรงงานทอผ้าเกือบทุกแห่งเป็นเครือญาติกัน และทุก
โรงงานจะใช้ช่ือย่ีห้อ “ตรารถไฟ” เช่นเดียวกันหมด การทอผ้าด้วย
เคร่อื งจกั รขนาดใหญ่ สง่ ผลให้ผา้ มลี ักษณะเนือ้ แน่นและแข็ง เนอื่ งจากเปน็
เคร่อื งทอตาเลก็

จดุ เรมิ่ ตน้ ของกลมุ่ วสิ าหกจิ ชมุ ชนมนตรพี ฒั นาเกดิ ขนึ้ จากการรวม
ตวั ของกลมุ่ สตรใี นชมุ ชนตงั้ แตพ่ .ศ. 2539 โดยเรมิ่ จากการรบั งานเยบ็ ตกุ๊ ตา
หรอื ออกแบบกระเปา๋ ผา้ ยางโฟม ตอ่ มาเทศบาลเมอื งราชบรุ จี งึ ไดส้ นบั สนนุ
และเกดิ ความคดิ ในการดดั แปลงผลติ ภณั ฑผ์ า้ ขาวมา้ ใหน้ าำ มาทาำ เปน็ กระเปา๋
เสื้อ พวงหรดี พวงมาลยั ช่อดอกไม้ ฯลฯ จนกลายเปน็ สินค้าท่มี ชี ่อื เสียง
ของจังหวัดราชบุรี

57

ภาพท่ี 1.20
ร้านขายสินคา้ ผ้าทอกล่มุ วิสาหกจิ ชมุ ชนมนตรพี ัฒนา

58

14. ถนนวรเดช
เป็นถนนเส้นแรกของเมืองราชบุรี ตัดขนานไปกับแม่น้ำาแม่กลอง
สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 5
โดยสมเด็จเจา้ พระยาบรมมหาศรีสรุ ยิ วงศ์ (ชว่ ง บนุ นาค) เมื่อครงั้ ที่ท่าน
เดินทางมาพำานักอยู่ท่ีจังหวัดราชบุรี ในราวพ.ศ. 2410 ในคร้ังนั้น
สมเดจ็ เจา้ พระยา ฯ ไดพ้ า บตุ รหลานและขา้ ราชการผนู้ อ้ ยผใู้ หญเ่ ปน็ จาำ นวน
มากออกมาพักที่เมืองราชบุรี ทา่ นไดพ้ ัฒนาเมอื งราชบุรีโดยการสรา้ งถนน
และอาคารตา่ ง ๆ รวมถงึ ทาำ เนยี บของทา่ นในเขตเมอื งเกา่ ราชบรุ ี ซงึ่ อยฝู่ ง่ั ซา้ ย
ของแมน่ า้ำ แมก่ ลองบรเิ วณคา่ ยภาณรุ งั ษใี นปจั จบุ นั ภายหลงั ไดย้ า้ ยมาสรา้ ง
เมืองใหม่บริเวณฝั่งขวาของแม่น้ำาแม่กลอง โดยสร้างอาคารและถนนไว้
จำานวนมาก (ธรี ศกั ดิ์ ลิขติ วัฒนเศรษฐ, 2562: 18-20)

ภาพที่ 1.21
ถนนวรเดช

59

2. ตา� บลคูบัว อ�าเภอเมอื ง จงั หวดั ราชบรุ ี

ตาำ บลคูบวั ตั้งอยู่ในอาำ เภอเมือง จงั หวดั ราชบุรี โดยเปน็ พนื้ ทตี่ งั้
ของพกิ ดั ทางประวตั ศิ าสตรส์ าำ คญั อยา่ ง เมอื งโบราณคบู วั ปรากฏหลกั ฐาน
ทางโบราณคดเี ปน็ แหลง่ โบราณคดหี ลายแหลง่ มคี วามเกา่ แกจ่ นถงึ ยคุ ทวารวดี
เช่น มณฑปโบราณสมยั ทวารวดี อยูใ่ นวัดโขลงสุวรรณคีรี เป็นตน้ ปัจจุบนั
มชี าวไท-ยวนเขา้ มาตงั้ ถนิ่ ฐานอยเู่ ปน็ จาำ นวนมาก อกี ทงั้ ยงั เปน็ หนงึ่ ในพนื้ ที่
สาำ คญั ทมี่ กี ารจดั ตง้ั ศนู ยก์ ารเรยี นรเู้ กยี่ วกบั ผา้ จก อตั ลกั ษณท์ างวฒั นธรรม
ของชาวไท-ยวนหลากหลายแหง่ ยกตวั อยา่ งเชน่ ศนู ยก์ ารเรยี นรบู้ า้ นแคทราย
ศนู ยก์ ารเรยี นรกู้ ลมุ่ ทอผา้ จกบา้ นยายซอ้ น กาำ ลงั หาญ เปน็ ตน้ โดยคาำ วา่ คบู วั
นั้นมีที่มาจากการที่พื้นที่ดังกล่าวตั้งอยู่ในเขตเมืองเก่าสมัยทวารวดี
ตามลักษณะการตั้งเมืองเก่ามักมีการขุดคลองรอบเมืองเป็นส่ีเหล่ียมผืนผ้า
เพื่อให้เป็นปราการในการป้อมกันเมือง เมื่อผ่านเวลาไปคูคลองดังกล่าว
มดี อกบัวข้นึ อยู่เปน็ จาำ นวนมาก จงึ กลายเป็นทีม่ าของช่ือตำาบลคูบวั

ภาพที่ 1.22 มณฑปโบราณสมยั ทาวรวดี ตั้งอยูใ่ นวัดโขลงคบู ัว

สาำ หรบั กลมุ่ คนทอ่ี าศยั อยใู่ นพนื้ ท่ี จากการสอบถาม อาจารยอ์ ดุ ม
สมพร ชาวไท-ยวนทอ่ี าศยั อยใู่ นพนื้ ทแ่ี หง่ นมี้ าตงั้ แตเ่ กดิ ใหข้ อ้ มลู วา่ กลมุ่ คน
ทอ่ี าศัยอยู่นั้นประกอบไปดว้ ยกนั หลากหลายชาติพนั ธ์ุ เช่น ชาวไทยพน้ื ถนิ่
ชาวไทยเชอ้ื สายจนี ฯลฯ แตอ่ ยา่ งไรกต็ ามพบวา่ กลมุ่ ชาตพิ นั ธท์ุ อ่ี าศยั อยใู่ น
ตาำ บลคบู วั ท่ีมจี าำ นวนประชากรเยอะทสี่ ดุ คอื ชาวไท-ยวน

60

ภาพที่ 1.23 อาจารย์อดุ ม สมพร

(1) ไท-ยวน : การตัง้ ถ่ินฐาน
กลมุ่ ชาวไท-ยวน เปน็ กลมุ่ ชาตพิ นั ธท์ุ แ่ี ตเ่ ดมิ มกี ารตง้ั ถน่ิ ฐานอาศยั อยู่
ณ เมอื งเชยี งแสน จ.เชยี งราย จนกระทง่ั ในพ.ศ. 2347 เกดิ สงครามระหวา่ ง
สยามกบั พมา่ กองทพั พมา่ ไดเ้ ขา้ ยดึ เมอื งเชยี งแสนไวส้ าำ หรบั ซอ่ งสมุ กาำ ลงั พล
กองทพั สยามจงึ เขา้ ปดิ ลอ้ มเมอื งเชยี งแสนอยถู่ งึ 5 เดอื น ประชาชนดา้ นใน
ทนอดอยากไมไ่ หวจงึ ตดั สนิ ใจลอบเปดิ ประตใู หก้ องทพั สยามเขา้ ยดึ เชยี งแสน
คนื จากพมา่ เมอ่ื กองทพั สยามไดร้ บั ชยั ชนะจงึ มกี ารรอ้ื กาำ แพงเมอื งเชียงแสน
และเผาทำางายเมืองทิ้งเพื่อป้องกันกองทัพพม่าจะกลับเข้ามายึดเมืองน้ีอีก
เมอื่ เผาเมอื งเสรจ็ จงึ กวาดตอ้ นชาวไท-ยวนกวา่ 23,000 คน จงึ ถกู แบง่ ออก
เปน็ 5 กลมุ่ อพยพแยกย้ายกันออกไปอย่ตู ามหัวเมืองต่าง ๆ ท้งั เชยี งใหม่
นา่ น ลาำ ปาง เวยี งจนั ทน์ และกรงุ เทพฯ กลมุ่ ทมี่ าอยกู่ รงุ เทพฯถกู แบง่ ออกไป
อยทู่ ส่ี ระบรุ ี และเมอื งราชบรุ ใี นเวลาตอ่ มา ตามตาำ นานหวั หนา้ ชาวไท-ยวน
ผนู้ าำ การอพยพในครง้ั นน้ั มชี อื่ เสยี งปรากฎใหล้ กู หลานเลา่ เรอ่ื งตอ่ สบื ทอดอยู่
หลายคน เช่น ปู้เจ้าฟา้ ปอู่ ินตะ๊ บางคนไดร้ บั บรรดาศักดิ์จากสยามให้เป็น
พระยารัตนกาศ ขุนวเิ ศษสาคร พระยาทด ฯลฯ
โดยชาวไท-ยวนสามารถแบ่งย่อยได้อีกเป็น 2 กลุ่มคือ ยวนข้า
และยวนขอ้ ย ซง่ึ สาำ หรบั กลมุ่ ชาวไท-ยวน ทอ่ี าศยั อยใู่ นบรเิ วณตาำ บลคบู วั นนั้
จะเปน็ ชาวไท-ยวน กลมุ่ ยวนขา้ ซง่ึ จะมกี ารแทนสรรพนามของตนตอ่ ผสู้ งู อายุ
ดว้ ยคำาวา่ ข้า และใช้คาำ สรรนามแทนตนวา่ กู กับผ้ทู ม่ี ีอายุน้อยกวา่

61

(2) วัฒนธรรมไท-ยวน

ในแงข่ องวฒั นธรรม จากขอ้ มลู ทไ่ี ดร้ บั จากการศกึ ษาภาคสนามพบวา่
วัฒนธรรมที่มีความเฉพาะและโดดเด่นของชาวไท-ยวนนั้น ไม่สามารถ
สืบทราบได้อย่างแน่ชัดเท่าไรนัก เนื่องจากปัจจัยหลากหลายประการ
ไม่ว่าจะเป็น ผู้ให้สัมภาษณ์ที่มีอายุมากและไม่สามารถจำารายละเอียด
หรอื ประเพณที อ้ งถน่ิ ไดอ้ ยา่ งแนช่ ดั หรอื วฒั นธรรมตา่ ง ๆ ของชาวไท-ยวน
ถูกประสม กลมกลืน ไปกับวัฒนธรรมอื่น ๆ จนไม่สามารถแยกได้ว่า
สงิ่ ใดคอื วฒั นธรรมเฉพาะของชาวไท-ยวน แตอ่ ยา่ งไรกต็ ามกย็ งั มวี ฒั นธรรม
บางสว่ นของชาวไท-ยวน ที่ผู้ใหส้ มั ภาษณส์ ามารถใหข้ อ้ มูลได้ อาทิ

เครื่องนมุ่ หม่ ของชาวไท-ยวน
กลุ่มชาวไท-ยวน มีเคร่ืองนุ่งห่มหรือเคร่ืองแต่งกายท่ีมีรูปแบบ
เฉพาะของกลุม่ ตน โดยเครื่องแตง่ กายของเพศชายจะถูกเรียกวา่ เส้ือแลบ
แดง และกางเกงชักปก อกี ท้ังยังมกี ารคาดกระเปา๋ ยาสูบอยู่ ณ บริเวณเอว
ในส่วนของเพศหญิงจะมีการแต่งท่อนบนด้วยเสื้อแลบแดง คู่กันกับซิ่น
ชนดิ ตา่ ง ๆ เชน่ ซิน่ แล่ ซ่ินตีนจก เป็นตน้

ภาพที่ 1.24 การแต่งกายแบบไท-ยวน

62

ความเชือ่ เรื่องการทา� คลอดของชาวไท-ยวน
สาำ หรบั ความเชอ่ื เรอื่ งการคลอดของชาวไท-ยวนนน้ั เมอื่ หมอตาำ แย
ได้ทำาคลอดให้แก่ทารกแล้ว ก็จะมีการอาบน้ำาให้ทารกด้วยนำ้าร้อนใส่ใบ
มะขามหรอื นาำ้ สม้ ปอ่ ย รวมไปถงึ ในสว่ นของผเู้ ปน็ สามกี จ็ ะทาำ การจดั เตรยี ม
สุมไฟที่เตาเพื่อให้ภรรยาผ่ึงท้องหน้าไฟ ซึ่งชาวไท-ยวนเรียกวิธีการนี้ว่า
“การอยู่ไฟ” โดยวธิ ีการอยูไ่ ฟน้ัน เม่ือภรรยามอี ายุครรภ์ได้ 3 เดือน สามี
จะมหี นา้ ทท่ี จี่ ะตอ้ งออกไปตัดไม้สะแก ทอ่ นละประมาณ 1 เมตร เพ่อื ใช้
สำาหรบั เตรยี มเป็นฝนื สำาหรับวธิ ีการอยไู่ ฟน้ัน มขี ้ึนเพ่อื ใหท้ อ้ งของภรรยา
แหง้ หลังจากคลอดและเพื่อใหม้ ดลกู เข้าอู่ ซง่ึ จะใช้ระยะเวลากว่า 1 เดือน
ในการพักฟื้น โดยในส่วนนี้จะถูกเรียกว่าการอยู่เดือน โดยชาวไท-ยวนมี
ความเชื่อว่าหากภรรยาคนใดอยเู่ ดอื นไมถ่ งึ นั้น ก็จะมีสขุ ภาพอ่อนแอและมี
โรคเร้ือรังตามมาในภายหลงั

ภาพท่ี 1.25 หนุ่ จาำ ลองการทำาคลอดแบบไท-ยวน

ความเชอ่ื เรอื่ งผขี องชาวไท-ยวน
กลมุ่ ชาวไท-ยวน เป็นกลมุ่ ท่ีมคี วามเชอ่ื เรื่องการนบั ถอื ผี ซ่งึ จะมี
ทง้ั ผบี รรพบรุ ษุ และผบี า้ นผเี รอื น โดยในการจดั หอ้ งนอนของชาวไท-ยวนนน้ั
ที่มุมห้องจะมีติดตั้งหิ้งที่ใช้สำาหรับวางถาดเครื่องบูชาผีบ้านผีเรือนและ
ผบี รรพบรุ ษุ รวมไปถึงยงั มกี ารวางโกศใส่กระดกู ของบรรพบรุ ษุ อีกดว้ ย

63

อาหารของชาวไท-ยวน

แกงผำา แกงที่มีส่วนประกอบของ ผำา ผักพื้นบ้านขนาดเล็กท่ี
สามารถพบไดบ้ นแหลง่ นา้ำ นง่ิ มลี กั ษณะสเี ขยี วมรี ปู รา่ งคลา้ ยไขป่ ลา นยิ มกนิ กนั
ในช่วงเดือน 5-6 รสชาติ เคม็ เผด็ มนั ช่วยลดแบคทีเรยี ในลำาไส้ ขบั ลม
แก้ท้องอดื

ภาพที่ 1.26
แกงผำาเอกลักษณอ์ ย่างหน่งึ ของชาวไท-ยวนคบู ัว
ทม่ี าภาพ อาหารพน้ื ถ่นิ ชาตพิ นั ธจ์ุ งั หวดั ราชบรุ ี

การละเลน่ แล่นมะโห้

ในอดตี ชาวไท-ยวน มกี ารละเลน่ ทเี่ รยี กวา่ “แลน่ มะโห”้ หรอื ทแ่ี ปล
ไดว้ า่ การวง่ิ ลกู กระพรวน (แลน่ = วง่ิ , มะโห้ = ลกู กระพรวน) ซง่ึ จะเลน่ กนั ใน
เทศกาลงานขนั โตก ณ ตอนกลางคนื ทมี่ สี ภาพอากาศอาำ นวย โดยจะเปน็ การ
ละเลน่ ทจี่ ะจดั ขนึ้ ใหก้ บั บา้ นทสี่ ามภี รรยามปี ญั หาทะเลาะกนั บอ่ ย เดย๋ี วรกั กนั
เดีย๋ วเลกิ กนั เมอ่ื เรม่ิ มคี นเห็นว่าเด๋ยี วอย่ดู ้วยดัน เด๋ียวเลิกรากนั กจ็ ะจัดให้
มกี ารแลน่ มะโห้ เปน็ ลกั ษณะวงิ่ ใสก่ ระพรวนเพอื่ ใหเ้ กดิ เสยี งดงั เขา้ ไปในบา้ น
หลงั นนั้ ใหเ้ จา้ บา้ นรตู้ วั วา่ คนอนื่ ในชมุ ชนทราบถงึ ปญั หาของสามภี รรยาแลว้
เป็นกุศโลบายกระชับความสมั พนั ธอ์ กี แบบหน่ึง

64

ภาษาไท-ยวน
แตด่ ง้ั เดมิ นน้ั ชาวไท-ยวนในอดตี พดู ภาษาคาำ เมอื ง หรอื ภาษาเหนอื
ในขณะทต่ี วั อกั ษรทใี่ ชค้ อื อกั ษรไท-ยวน แตใ่ นปจั จบุ นั ชาวไท-ยวนแทบไมพ่ ดู
ภาษาเหนือกันแล้ว โดยมีสาเหตหุ ลัก ๆ 3 ประการ 1.การปรับเปลี่ยนวถิ ี
ชีวิตเพือ่ ใหก้ ลมกลืนไปกับสังคมไทย 2. การศึกษาของเด็กรุ่นใหม่ท่ีเข้าไป
ศกึ ษากับระบบโรงเรียน ไมม่ กี ารสอนภาษาถ่นิ 3. ระบบครอบครวั
ท่ีแต่งงานปะปนกับชาวไทยและชาติพันธุอ์ นื่ ๆ

ผา้ ซิ่นตีนจก : ภมู ปิ ัญญาวัฒนธรรมไท-ยวน

ผา้ ซนิ่ ตนี จก เปน็ ผา้ ทมี่ ลี วดลายอนั เปน็ เอกลกั ษณอ์ นั เปน็ ภมู ปิ ญั ญา
ดงั้ เดิมของกลมุ่ ชาตพิ ันธุ์ไท-ยวน โดยคาำ ว่า “ผา้ จก” น้นั มีทมี่ าจากเทคนคิ
การถักทอลวดลายของตัวผ้าที่เรียกว่า “การจก” อันเป็นเทคนิควิธีผู้ทอ
จะทอผา้ และเพม่ิ ลวดลายเขา้ ไปในเวลาเดยี วกนั และเมอื่ ไดผ้ า้ จกทมี่ ลี วดลาย
ตามต้องการแลว้ ผู้ทอกจ็ ะนาำ ไปเย็บตดิ กบั ผา้ ในรูปแบบตา่ ง ๆ แลว้ จึงออก
มาเปน็ ผ้าทใ่ี ชส้ าำ หรับนุง่ หม่ ที่เรียกว่า “ผา้ ซน่ิ ”

คณุ พิมพ์ ชมพเู ทศ ลกู สาวของคุณยายซอ้ นผกู้ ่อต้งั กล่มุ ทอผา้ จก
คุณยายซอ้ น กาำ ลงั หาญในตาำ บลคบู วั ได้กลา่ วว่า ในอดีตชาวไท-ยวนจะใส่
ผ้าซิน่ กนั เปน็ ปกติในชีวิตประจาำ วัน โดยผา้ ซน่ิ ท่ใี สบ่ ่อยทส่ี ุดจะเป็นผา้ ซิ่นแล่
และ ผา้ ซน่ิ ตา เนอ่ื งจากเปน็ ผา้ ซน่ิ ทม่ี ลี ายผา้ ไมไ่ ดม้ คี วามสลบั ซบั ซอ้ นเทา่ ไหรนกั
แตห่ ากในกรณที เี่ ปน็ ผมู้ ฐี านะหรอื ตอ้ งการจะไปรว่ มงานเทศกาลของชมุ ชน
ก็จะมีการสวมใส่ผ้าซิ่นซิ่วหรือผ้าซิ่นตีนจก ซ่ึงเป็นผ้าซิ่นที่มีการเย็บผ้าจก
เขา้ ไปเปน็ สว่ นประกอบภายในเพอื่ ความสวยงาม โดยลายของผา้ จกราชบรุ ี
มีอยู่ด้วยกันทงั้ หมด 8 ลวดลาย ประกอบไปด้วย

65

1. ลายดอกเซีย 2. ลายโกง้ เกง้ ซ่อนเซีย

3. ลายกาบซอ่ นหัก 4. ลายกาบ

66 6. ลายโก้งเก้ง

5. ลายหนา้ หมอน

7. ลายหกั ดอกแก้ว (หกั ดาำ ) 8. ลายหกั นกคู่

67
ภาพท่ี 1.27 ผา้ ซิน่ บางสว่ นของคณุ พมิ พ์ ชมพูเทศ

ภาพที่ 1.28 คุณพมิ พ์ ชมพเู ทศ

68

อยา่ งไรกต็ ามดว้ ยยคุ สมยั ทเ่ี ปลย่ี นไป ผา้ ซน่ิ กลายเปน็ เครอ่ื งนงุ่ หม่
ที่ไดร้ บั ความนยิ มนอ้ ยลง ด้วยความตอ้ งการที่จะอนุรกั ษภ์ ูมปิ ญั ญาท้องถนิ่
ของชาวไท-ยวนอยา่ งผ้าจกเอาไว้ อาจารย์อุดม สมพร จงึ ได้เร่มิ รวบรวม
องคค์ วามรทู้ เ่ี กย่ี วกบั ผา้ จกไวใ้ นพ.ศ. 2535 และหลงั จากนนั้ จงึ มกี ารกอ่ ตงั้
ศนู ยก์ ารเรยี นรตู้ า่ ง ๆ ขนึ้ เพอื่ ใหค้ นรนุ่ หลงั สามารถศกึ ษาเรยี นรภู้ มู ปิ ญั ญา
เก่ียวกับผ้าจกได้ โดยศูนย์การเรียนรู้ท่ีถูกก่อตั้งขึ้นเป็นแห่งแรกนน้ั มชี อ่ื วา่
“ศนู ยก์ ารเรยี นรวู้ ดั แคทราย” จากนน้ั จงึ มกี ารสรา้ งศนู ยก์ ารเรยี นรอู้ น่ื ๆ เพมิ่ เตมิ
เช่น ศนู ย์การเรยี นรูว้ ัดคูบวั ศนู ยก์ ารเรียนรูบ้ า้ นปา้ มณี แตอ่ ยา่ งไรก็ตาม
อกี หนง่ึ ศนู ยก์ ารเรยี นรทู้ ส่ี รา้ งขนึ้ มาขนานกนั ในขณะท่ี อาจารยอ์ ดุ ม สมพร
กาำ ลงั รวบรวมองค์ความรู้เรอื่ งผา้ จก นั้นคอื ศูนย์การเรยี นรกู้ ลุม่ ทอผ้าจก
คุณยายซ้อน กำาลังหาญ ทค่ี อยให้ความรูเ้ ก่ยี วกบั การทอผา้ จกกับผทู้ ่สี นใจ
ในบริเวณใกล้เคียง โดยในปัจจุบันนอกจากคุณพิมพ์ ชมพูเทศแล้ว ยังมี
คุณทองอยู่ กาำ ลงั หาญ ลูกสาวคนโตของคุณยายซอ้ ม กาำ ลังหาญ สบื ทอด
การทอผ้าจกต่อมาดว้ ย

ภาพท่ี 1.29 คณุ ทองอยู่ กำาลงั หาญ
ลกู สาวคนโตของคุณยายซ้อน กำาลังหาญ พสี่ าวคุณพมิ พ์

69

คณุ จริ าภา สขุ เกษม ลกู สาวของคณุ มณผี เู้ ปน็ เจา้ ของศนู ยก์ ารเรยี นรู้
บา้ นปา้ มณี และปจั จบุ นั เปน็ เจา้ ของรา้ นผา้ มณที ต่ี ง้ั อยู่ ณ ตาำ บลคบู วั ได้ให้
ข้อมูลผ้าจกในจังหวัดราชบุรีนั้นถูกทำาขึ้นในหลากหลายตำาบล ซึ่งในแต่ละ
ตาำ บลกจ็ ะมเี อกลกั ษณท์ แ่ี ตกตา่ งกนั ออกไป โดยในสว่ นของผา้ ซนิ่ ตนี จกคบู วั
จะมกี ารใชด้ า้ ยสเี บญจรงค์ หรอื สแี ดง ดาำ เหลอื ง เขยี ว นา้ำ ตาล ในการทอผา้
และในบริเวณส่วนหัวซิ่นจะมีการเย็บผ้าดิบสีแดงและขาวติดอยู่เพื่อ
ความสะดวกในการสวมใส่ อกี ทง้ั ในบรเิ วณดา้ นลา่ งหรอื ตนี ซน่ิ จะมกี ารเยบ็
ลายหอ้ ยตดิ ไว้ 1 ลาย ตอ่ ดว้ ยผา้ สเี หลอื งทเี่ รยี กวา่ “เลบ็ เหลอื ง” อกี หนงึ่ ทอ่ น
อยา่ งไรกต็ ามดว้ ยความตอ้ งการในตวั ผา้ ซน่ิ ทเ่ี ปลย่ี นไปตามยคุ สมยั กไ็ ดท้ าำ ให้
ผา้ ซิน่ ตนี จกมลี ักษณะเปลีย่ นไป ดงั นี้

ความแตกตา่ งระหวา่ งซิ่นตีนจกในอดีตกบั ปัจจบุ นั

- ผ้าซ่นิ มีขนาดส้นั - ผา้ ซิน่ มขี นาดยาวขนึ้
- สีที่ใช้ในการทอผ้าจกมีเพียง - สที ีใชใ้ นการทำาผ้าจกมีมากขนึ้
สเี บญจรงค์ (5 ส)ี ใชส้ ธี รรมชาติ - ใช้สีสงั เคราะห์
ยอ้ มด้ายท่ีจะนาำ มาทอ - ลายประยุกต์
- ลายด้ังเดิม (8 ลวดลาย) (มีมติ ,ิ ดเู ปน็ รปู เปน็ ทรงมากขึน้ )
- ใช้วตั ถุดิบเป็นฝา้ ยผสมไหม - วตั ถุดบิ มเี พียงไหมเทา่ นนั้
- ลายแน่นกวา่
- มกี ารเยบ็ ผา้ ใหต้ ดิ กนั ดว้ เทคนคิ
ท่เี รียกวา่ “เย็บขอดหัวแมงดา”
- มีการเย็บผ้าดิบขนาดเล็กไว้ที่
บริเวณดา้ นในของหัวซ่นิ ซึ่งเชอื่
กันวา่ จะสามารถป้องกนั คณุ ไสย
ท่จี ะมาทาำ ร้ายผ้ทู ส่ี วมใส่ได้

70

ภาพท่ี 1.30 คณุ จริ าภา แสดงตัวอย่างผา้ ซ่นิ ตีนจก

คณุ จิราภากล่าวเสรมิ ว่า การทอผา้ จก 1 ผนื จะต้องเกิดจากผ้ทู อ
เพียง 1 คนเท่านั้น เน่ืองจากช่างทอแต่ละคนจะมีทักษะและนำ้าหนักมือ
ทแี่ ตกตา่ งกนั ออกไป โดยเมอ่ื ไหรท่ ช่ี า่ งขนึ้ “ก”ี่ หรอื เครอื่ งทใี่ ชส้ าำ หรบั ทอผา้ นน้ั
จะต้องอย่ทู ี่กต่ี วั นั้นจนกวา่ จะเยบ็ ผา้ จก 1 ผนื เสร็จจงึ จะสามารถเปลยี่ นให้
ชา่ งคนอน่ื มาทาำ ผา้ สว่ นอน่ื ๆ ตอ่ ได้ และสาำ หรบั อปุ กรณใ์ นการทาำ ผา้ จกนนั้
จะประกอบไปดว้ ย

71

1) กี่ : เครื่องทอผ้าพื้นถิ่น มี 3 ประเภทด้วยกัน คือ กี่ลาว
กโ่ี บราณทไี่ มไ่ ดร้ บั ความนยิ มแลว้ ในปจั จบุ นั กไี่ ท-ยวน กข่ี นาดเลก็ ใชส้ าำ หรบั
ทอกนั ในบ้าน และกเ่ี จก๊ กี่ขนาดใหญใ่ ชส้ าำ หรบั ทอผา้ ในโรงงาน

ภาพที่ 1.31 กห่ี ลงั ใช้ในการทอผา้ อยภู่ ายในรา้ นผา้ มณี

2) ไหม : ใช้สำาหรับทำาเปน็ ด้ายเพ่อื ใชใ้ นการทอ

ภาพที่ 1.32 ตวั อยา่ งด้ายทตี่ งั้ อยู่ภายในร้านผ้ามณี

72

3) เส้นยนื : เส้นแนวตง้ั ใช้สาำ หรบั ขนึ้ เป็นผ้า
4) เสน้ พงุ่ : เส้นแนวนอนใชส้ าำ หรบั จกขนึ้ มาเป็นลวดลาย
5) เขม็ จก : เขม็ ที่ใชส้ ำาหรบั จกผา้ จากเสน้ พงุ่ ในอดตี ใช้ขนเมน่ ใน
การทาำ แตเ่ นอื่ งดว้ ยบรบิ ททางกฎหมายทเี่ ปลย่ี นไปกไ็ ดท้ าำ ให้ ปจั จบุ นั มกี ารใชไ้ ม้
หรอื เขม็ ถกั เน็ตต้งิ นาำ มาเหลาและใช้สำาหรบั จกผา้ แทน

ภาพที่ 1.33 เข็มจกจากขนเมน่ ทีค่ ณุ จริ าภาไดร้ ับตกทอดมาจากคณุ แม่

(3) จปิ าถะภณั ฑส์ ถานบา้ นคบู วั : แหลง่ เรยี นรวู้ ฒั นธรรมไท-ยวน
จิปาถะภัณฑ์สถานบ้านคูบัว พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นท่ีก่อต้ังโดย
อาจารย์ อุดม สมพร ซ่ึงมีเชื้อสายไท-ยวน มาตั้งแต่กำาเนิด ต้ังอยู่ใน
วดั โขลงสวุ รรณครี ี ณ ตาำ บลคบู วั อาำ เภอเมอื ง จงั หวดั ราชบรุ ี เปน็ พพิ ธิ ภณั ฑ์
ที่จัดแสดงโบราณวัตถุที่ได้รับการขุดค้นจากโบราณสถานเมืองโบราณคูบัว
รวมไปถงึ เปน็ สถานทจ่ี ดั แสดงภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ ของชาวไท-ยวน ยกตวั อยา่ ง
เช่น ผา้ จกโบราณลวดลายต่าง ๆ ทีม่ ีความเป็นเอกลักษณข์ องชาวไท-ยวน
อีกทั้งยังเป็นแหล่งเก็บรวบรวมข้อมูลท่ีให้ความรู้ด้านประวัติศาสตร์และ
มานุษยวิทยา ไม่ว่าจะเป็นวิถีชีวิตหรือความเช่ือของชาวไท-ยวนในอดีต
ปัจจบุ ันจิปาถะ-ภณั ฑ์สถานมหี ้องจดั แสดงดว้ ยกนั ท้งั หมด จาำ นวน 9 ห้อง
จดั แสดง ซึ่งครอบคลมุ ประเดน็ ท้งั หมดที่ได้กลา่ วไปในข้างต้น

73

ภาพที่ 1.34 ดา้ นหนา้ จิปาถะภัณฑ์

ในช่วงแรกจัดต้ังจิปาถะภัณฑ์สถาน อาจารย์อุดมได้ให้ข้อมูลว่า
เดิมท่ีตนมีความต้องการที่จะจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมและจัดแสดง
วฒั นธรรมทเ่ี กยี่ วกบั ผา้ ทงั้ หมดในบรเิ วณภมู ภิ าคตะวนั ตก ทวา่ ดว้ ยอปุ สรรค
ด้านพ้ืนท่ีที่ทำาให้คาดว่าตนคงไม่สามารถบริหารจัดการให้ดำาเนินไปตาม
ขอบเขตทตี่ งั้ ไวไ้ ด้ อ.อดุ มจงึ เปลย่ี นทศิ ทางของการจดั ตงั้ พพิ ธิ ภณั ฑเ์ สยี ใหม่
โดยกำาหนดขอบเขตให้อยู่ในพื้นที่การเก็บรวบรวมวัฒนธรรมผ้าจกของ
ชาวไท-ยวนแทน รวมไปถึงเพิ่มเติมข้อมูลเก่ียวกับวัฒนธรรมวิถีชีวิตของ
ชาวไท-ยวน ขอ้ มลู ทางดา้ นประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถนิ่ และความเชอื่ ในพน้ื ท่ี และ
ของสะสมจากตนและผู้ท่ีต้องการบริจาคเพ่ือให้มาจัดแสดง อาจารย์อุดม
ไดเ้ ลง็ เหน็ วา่ การรเิ รมิ่ จดั ตง้ั จปิ าถะภณั ฑส์ ถานบา้ นคบู วั ในครง้ั น้ี จะเปน็ การสรา้ ง
ขนึ้ เพือ่ เปน็ แหล่งเรยี นร้ทู างวัฒนธรรมของชาวไท-ยวน ที่จะสามารถรักษา
ส่งต่อ และสร้างความตระหนักให้แกช่ าวไท-ยวนสืบตอ่ ไป

เม่ือหมุดหมายในการจัดต้ังพิพิธภัณฑ์ท้องถ่ินมีความแน่นอนและ
คงทีแ่ ล้ว ในพ.ศ. 2545 อาจารย์อุดม สมพร และผูม้ ีสว่ นรว่ มจากหลาก
หลายหน่วยงานไมว่ า่ จะเป็นจากภาครฐั หรือกลมุ่ คนในพ้ืนท่ี จึงไดเ้ ริ่มจัด
ตง้ั จปิ าถะภณั ฑ์สถานขน้ึ โดยกอ่ นหนา้ นใ้ี น พ.ศ. 2543 ตนไดเ้ คยประกาศ

74

เพื่อขอรับบริจาควัตถุหรือส่ิงของต่าง ๆ เพ่ือนำามาจัดแสดงก่อนหน้าแล้ว
จนกระทั่งในพ.ศ. 2548 พิพิธภัณฑ์ท้องถ่ินจิปาถะภัณฑ์สถานบ้านคูบัว
จึงเปดิ ข้ึนอยา่ งเปน็ ทางการ

สำาหรับส่วนจัดแสดง ภายในจิปาถะภัณฑ์สถานบ้านคูบัวน้ันมี
ห้องจดั แสดงท้ังหมด 9 หอ้ งจดั แสดงด้วยกนั ซ่ึงประกอบไปดว้ ย

1) ห้องคนอาำ นวยการ : หอ้ งจัดแสดงท่ีรวบรวมข้อมูล ประวตั ิ
ความเปน็ มาของอาจารยอ์ ดุ ม สมพร ตง้ั แตป่ ระวตั สิ ว่ นตวั ประวตั กิ ารศกึ ษา
และผลงานการทำางานทางดา้ นชุมชนท้งั หมด

ภาพที่ 1.35 ภายในหอ้ งคนอำานวยการ
เล่าเรือ่ งราวของอาจารย์อุดม สมพร

2) หอ้ งทวารวดี : ห้องจัดแสดงโบราณวัตถุทขี่ ดุ ค้นขน้ึ ในบรเิ วณ
โบราณสถานเมอื งโบราณคบู วั ยกตัวอย่างเช่น เครือ่ งปัน้ ดินเผา

3) ห้องเฉลิมพระเกียรติ: ห้องจัดแสดงผ้าจก วัฒนธรรมท่ีเป็น
อตั ลกั ษณ์ของชาวไท-ยวน ซึ่งมีลวดหลายทีห่ ลากหลายและเปน็ เอกลกั ษณ์
เฉพาะตวั

4) ห้องชาติพันธุ์ : ห้องจัดแสดงข้อมูลทางชาติพันธุ์ ตั้งแต่
ประวัติการต้ังถิ่นฐาน วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของผู้คนในพื้นท่ีราชบุรี
ยกตวั อยา่ งเชน่ ชาวไท-ยวน ชาวไทยพนื้ ถนิ่ ชาวไทยเชอ้ื สายจนี ชาวกะเหรยี่ ง ฯลฯ

75

5) หอ้ งเครอ่ื งมอื อปุ กรณท์ อผา้ : หอ้ งจดั แสดงอปุ กรณท์ ใี่ ชส้ าำ หรบั
ทอผา้ ของชาวไท-ยวน ยกตัวอยา่ งเช่น กีท่ อผา้ พืชสาำ หรบั ผสมสี เป็นตน้

ภาพท่ี 1.36 ภายในห้องเครือ่ งมือ

6) หอ้ งองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาำ บลคบู วั : หอ้ งจดั แสดงหนุ่ ขผี้ ง้ึ ของ
ผมู้ สี ว่ นรว่ มในการประชมุ เพอื่ จดั ตงั้ จปิ าถะภณั ฑส์ ถานบา้ นคบู วั และจดั แสดง
ผู้นาำ ทางจิตวิญญาณของชุมชน

ภาพท่ี 1.37 ภายในห้ององคก์ ารบริหารส่วนตาำ บลคบู ัว

76

7) ห้องอุปกรณค์ รวั – ห้องคลอด : หอ้ งจัดแสดงอปุ กรณท์ าำ ครัว
ของชาวไท-ยวนในอดีต ไม่ว่าจะเป็น เตา เคร่ืองถ้วย รวมไปถึงยังเป็นที่
จดั แสดงตวั อย่างการทำาคลอดของชาวไท-ยวนในอดตี

ภาพที่ 1.38 ห้องจาำ ลองครวั ของชาวไท-ยวน

8) หอ้ งโถงจปิ าถะชั้นล่าง : ห้องจดั แสดงอุปกรณ์ ข้าวของเครื่อง
ใช้สำาหรับการดำาเนินวิถีชีวิตของชาวบ้านในอดีต รวมไปถึงยังจัดแสดง
ทรพั ยส์ นิ สว่ นตวั ของอาจารยอ์ ดุ ม สมพร เชน่ รถยนตโ์ บราณ มอเตอรไ์ ซค์
โบราณ

ภาพท่ี 1.39
รถยนต์รุ่นเกา่ ของอาจารย์อดุ ม

77

9) ห้องโถงจปิ าถะช้นั บน : ห้องจัดแสดงอุปกรณ์และเครอื่ งใช้ใน
อดตี ของผ้ทู ม่ี ีความประสงคบ์ ริจาคสงิ่ ของจัดแสดงให้แกพ่ ิพิธภัณฑ์ อาทิ
เหรียญเงนิ นาฬิกา เปน็ ตน้

ปจั จบุ นั (ตลุ าคม 2564) จปิ าถะภณั ฑส์ ถานบา้ นคบู วั ปดิ ใหบ้ รกิ าร
มาตงั้ แตพ่ .ศ. 2562 เนอื่ งดว้ ยสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโรคโควดิ – 19
ซึ่งในช่วงเวลาที่ปิดให้บริการ ทางอาจารย์อุดม สมพร จะเป็นผู้อยู่ดูแล
พิพิธภัณฑ์แห่งน้ีมาโดยตลอด และกำาลังเตรียมการทำาทะเบียนวัตถุให้แก่
ส่ิงของจัดแสดงในพิพิธภณั ฑ์

78

3. ชมุ ชนบา้ นโคกพรกิ ตา� บลคงุ้ กระถนิ อา� เภอเมอื ง จงั หวดั ราชบรุ ี

บ้านโคกพริก อยู่ในอาณาเขตของตำาบลคุ้งกระถิน อำาเภอเมือง
ราชบรุ ี จงั หวดั ราชบรุ ี หา่ งจากตวั เมอื งราชบรุ ปี จั จบุ นั ไปทางทศิ ตะวนั ตกเฉยี งใต้
ประมาณ 7 กิโลเมตร และห่างจากตัวเมืองโบราณคบู ัวไปทางทิศตะวนั ตก
ประมาณ 2-5 กโิ ลเมตร โดยมเี สน้ ทางนา้ำ เชอ่ื มต่อกนั (ภาพท่ี 2-3)

ตาำ บลคงุ้ กระถนิ มอี าณาเขต ติดต่อกบั อำาเภออ่ืน ๆ ดงั นี้

ทิศเหนอื ตดิ ตอ่ กบั ตาำ บลบางปา่ อาำ เภอเมอื งราชบรุ ี

จงั หวดั ราชบรุ ี ทางแมน่ ำ้าแม่กลอง

ทิศใต้ ตดิ ต่อกับตาำ บลเกาะศาลพระ อาำ เภอวัดเพลง

จงั หวัดราชบุรี ทางคลองแควออ้ ม

มคี ลองแควออ้ มกนั้ ซง่ึ เปน็ สายนา้ำ แยกจากแมน่ า้ำ แมก่ ลอง

ทศิ ตะวนั ออก ตดิ ต่อกบั เขตตำาบลคุง้ นำา้ วน อาำ เภอเมืองราชบุรี

จังหวัดราชบุรี

ทศิ ตะวันตก ตดิ ตอ่ กับตาำ บลบา้ นไร่ อำาเภอเมอื งราชบุรี และ

ตาำ บลบา้ นปราโมทย์ อำาเภอบางคนที

จังหวดั สมทุ รสงคราม ดา้ นคลองตาจา่

ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศโดยทวั่ ไปของตาำ บลคงุ้ กระถนิ เปน็ พนื้ ทร่ี าบลมุ่
มแี ม่นา้ำ แม่กลองซง่ึ เปน็ ลาำ นา้ำ สำาคัญไหลหล่อเล้ียงพน้ื ท่ี ทางตอนเหนอื ของ
ตาำ บลมแี อง่ นา้ำ และลาำ คลองสาขาหลายสาย ไหลแยกจากแมน่ าำ้ แมก่ ลอง เชน่
คลองแควออ้ ม คลองท่าหลมุ เมือง คลองห้าบาท คลองชุ่มช้ืน เป็นตน้

ลกั ษณะพน้ื ทบ่ี า้ นโคกพรกิ พน้ื ทร่ี าบลมุ่ มบี า้ นเรอื นราษฎรและทอ้ งรอ่ ง
สวนผลไมเ้ ปน็ สว่ นใหญ่ ด้านทศิ ตะวันออกมคี ลองแควออ้ ม (ภาพท่ี 2-4)
ซง่ึ เปน็ แมน่ าำ้ แมก่ ลองสายเกา่ ไปจนถงึ สามแยกคลองตาจา่ โดยคลองแควออ้ ม
เช่อื มตอ่ กับจงั หวัดสมทุ รสงครามและออกสแู่ มน่ ำา้ แม่กลองสายปจั จบุ ัน

79
ภาพท่ี 1.40 คลองแยกไปยังเมืองโบราณคบู วั
ภาพท่ี 1.41 คลองแควอ้อม (แมน่ า้ำ แมก่ ลองสายเก่า)

80

วิถีชุมชน ชุมชนบ้านโคกพริก ต�าบลคุ้งกระถิน อ�าเภอเมือง
จังหวดั ราชบุรี

ชุมชนบ้านโคกพริก ตั้งอยู่ในเขตตำาบลคุ้งกระถิน อำาเภอเมือง
จงั หวัดราชบรุ ี เปน็ ชมุ ชนทมี่ บี า้ นเรอื นของผูค้ นบางสว่ นอาศัยอยูร่ ิมแมน่ ้าำ
เน่ืองจากมีคลองแควอ้อมเป็นคลองท่ีเคยเป็นทางสัญจรหลักในอดีต และ
บางสว่ นอาศัยอยรู่ ิมถนนสายหลักภายในตำาบลแล้ว เน่ืองจากปจั จบุ ันผู้คน
ใช้ทางสัญจรหลักเป็นทางถนนแทน ภายในชุมชนมีบ้านเรือนผู้คนกับ
สวนมะพร้าวสลับกันไป

ชุมชนบ้านโคกพริก ตำาบลคุ้งกระถิน เป็นบริเวณที่พบแหล่ง
โบราณคดียุคก่อนประวัตศิ าสตร์ (สมัยโลหะ) ท่ีสาำ คญั แหง่ หน่ึงของจังหวดั
ราชบรุ ี คอื แหลง่ โบราณคดบี า้ นโคกพรกิ กาำ หนดอายไุ ดป้ ระมาณ 2,000–
1,500 ปมี าแล้ว ทำาให้ชุมชนบา้ นโคกพริก เปน็ ที่ร้จู กั จากพื้นทภี่ ายนอก
มากขนึ้

ชมุ ชนบา้ นโคกพรกิ อยใู่ นเขตตาำ บลคงุ้ กระถนิ ซงึ่ แบง่ การปกครอง
ออกเป็น 9 หมูบ่ า้ น ได้แก่

หมู่ที่ 1 บา้ นคงุ้ กระถนิ
หมู่ที่ 2 บา้ นคลองบาำ หรุ
หมทู่ ี่ 3 บา้ นบางศรเี พชร
หมทู่ ่ี 4 บ้านต้นมะขวิด
หมู่ท่ี 5 บ้านบางหวาย
หมทู่ ี่ 6 บา้ นทา้ ยเกาะ
หมทู่ ี่ 7 บ้านเกาะลอย
หมทู่ ่ี 8 บา้ นหนา้ วัดเกาะศาลพระ
หม่ทู ี่ 9 บา้ นคลองตาจ่า

81

ภาพที่ 1.42 แผนทแ่ี สดงทีต่ งั้ และอาณาเขตตำาบลคุง้ กระถิน
อำาเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี

ทีม่ า : กองการศกึ ษา องค์การบรหิ ารสว่ นตาำ บลคุ้งกระถนิ

82

การตงั้ ถิ่นฐานบรเิ วณรมิ น้า�

การตงั้ ถน่ิ ฐานของผคู้ นในชมุ ชนตาำ บลคงุ้ กระถนิ นนั้ มกั จะอาศยั อยู่
บริเวณริมน้ำา เนื่องจากแม่น้ำาและคลองเป็นเส้นทางหลักในการคมนาคม
ผคู้ นจงึ มกั ปลกู บา้ นรมิ แมน่ าำ้ ลาำ คลอง ดงั จะเหน็ ไดว้ า่ รมิ แมน่ า้ำ แมก่ ลองและ
คลองแควออ้ มยงั มแี บบบ้านเก่าหลงเหลอื อยู่ ในอดีตรมิ คลองฝง่ั คงุ้ กระถนิ
จะเต็มไปด้วยบ้านเรือนที่มีลักษณะยกพื้นสูงไม่มากนัก ป้องกันหน้าฤดูน้ำา
มฝี ากนั้ บา้ นลอ้ มสดี่ า้ น หนา้ จว่ั สงู ใชก้ ระเบอื้ งดนิ เผา หรอื ใบจากมงุ หลงั คา
แต่สำาหรับปัจจุบันบางบ้านริมแม่น้ำาจะดีดบ้านยกพื้นให้สูงข้ึน และเปลี่ยน
มุงหลังคาเป็นวัสดุท่ีมีความคงทน สำาหรับบางบ้านจะเก็บรักษาจ่ัวบ้านไว้
ในบรเิ วณ ลกั ษณะบา้ นรมิ นา้ำ จะปลกู บา้ นอยตู่ ดิ กนั ในขณะทฝ่ี ง่ั ตาำ บลบา้ นไร่
จะพบบา้ นรมิ นา้ำ นอ้ ยหลงั เพราะความเจรญิ เขา้ ถงึ อกี ฝง่ั ของคลองแควออ้ ม
สว่ นบรเิ วณทา้ ยเกาะศาลพระ เปน็ เกาะกลางนำา้ ในคลองแควออ้ ม ปัจจบุ ัน
เหลอื ครอบครัวปกั หลักเพียงไม่ก่ีหลังคาเรอื น

การเปลยี่ นแปลงของแมน่ าำ้ แมก่ ลองสง่ ผลตอ่ การตงั้ บา้ นเรอื นทอี่ ยู่
อาศัยและการหาอาหารดำารงชีพรวมถึงกิจกรรมสันทนาการท่ีเปลี่ยนไป
ต้ังแต่แมน่ ำ้าแมก่ ลองกวา้ งขนึ้ เน่ืองจากประมาณ พ.ศ. 2509 มสี มั ปทาน
ขุดทรายจากแมน่ ้ำาแมก่ ลอง ทาำ ให้ลาำ นำ้ากว้างข้ึนและลกึ ขึน้ นอกจากนก้ี าร
เปล่ียนแปลงของระดับนำ้าในลำาคลองแควอ้อมก็ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลง
การสญั จรและใช้ชวี ิตประจำาวนั ดว้ ย

83

ภาพที่ 1.43 ลำาคลองแควออ้ มในปัจจบุ ัน
ทางซ้าย คือ ตาำ บลคงุ้ กระถิน
สว่ นทางขวา คือ ตำาบลบ้านไร่

ภาพท่ี 1.44 บรเิ วณทา้ ยเกาะศาลพระ เปน็ เกาะกลางนาำ้ ในคลองแควออ้ ม

84
ภาพที่ 1.45 สภาพเรือนไมท้ ี่ต้งั รมิ คลองแควออ้ มในปัจจบุ นั

85

เรือในความทรงจา�

วถิ ชี วี ติ ของคนในตาำ บลคงุ้ กระถนิ ในอดตี มคี วามผกู พนั กบั นาำ้ ทาำ ให้
บ้านเรอื นของชาวบา้ นบางหลงั คาเรือน ยังคงเก็บรักษาเรอื ทเ่ี คยใชง้ านใน
อดีตไว้ให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ถึงวิถีชีวิตของบรรพบุรุษ ผ่านความทรงจำา
ของคนได้ โดยเรอื ท่ชี าวบา้ นมักใช้งานแบ่งประเภทได้ดังน้ี

เรอื ขนาดเล็ก ได้แก่ เรอื บด เรอื ขุด ใช้สาำ หรบั พายในระยะใกล้
บรรจคุ นไดป้ ระมาณ 2 คน รวมถงึ เรอื ประเภทรบั จา้ ง ไดแ้ ก่ เรอื พาย และ
เรอื หางยาว ทใี่ ชร้ บั สง่ คนเขา้ ตวั เมอื ง โดยราคาเรอื รบั จา้ งแบบเรอื พายขา้ มฝง่ั
เรม่ิ ตงั้ แต่ 50 สตางค์

เรือขนาดกลาง ได้แก่ เรือมาด ใชส้ าำ หรบั บรรทุกสิ่งของได้ เชน่
เรอื มาดบรรทกุ มะมว่ ง เรอื เปด็ ถา้ นาำ ไปตดิ เครอื่ งยนตก์ ส็ ามารถจะบรรทกุ
ของในพน้ื ทส่ี วนหรอื บรรทกุ ของเขา้ บา้ นได้ เรอื สาำ ปน้ั เรอื นอนทอ้ ง ใชเ้ ปน็
พาหนะสำาหรับสัญจรไป–มา หรือบรรทุกส่ิงของล่องทางนำ้าได้ เรืออีแป
และเรืออปี ้าน

เรอื ขนาดใหญ่ ไดแ้ ก่ เรอื เอยี้ มจนุ๊ ใชส้ าำ หรบั บรรทกุ สนิ คา้ ขนาดหนกั
ไว้สำาหรับบรรทุกมะพร้าวไปขายในกรุงเทพฯ เรือโยง เป็นเรือขนาดใหญ่
สามารถบรรทกุ ทรายและหนิ ได้

ภาพที่ 1.46 เรือนอนทอ้ ง เรอื สำาป้นั และเรอื ขุด (เรยี งลาำ ดบั จากซ้ายไปขวา)

86

เส้นทางเรือคา้ ขาย สาำ หรบั พ่อคา้ แมค่ า้ ทีเ่ ขา้ มารับซือ้ ผลผลติ จาก
ในพ้ืนท่ีคุ้งกระถิน หรือชาวบ้านท่ีจะนำาของออกไปจำาหน่ายจะใช้เส้นทาง
แมน่ าำ้ แมก่ ลองเปน็ หลกั โดยผา่ นทางประตนู าำ้ คลองบางนกแขวก คลองดาำ เนนิ สะดวก
ประตูน้ำาบางยาง ประตูนำ้าท่าจีน ประตูน้ำากระทุ่มแบน คลองภาษีเจริญ
ทางวดั ปากนา้ำ เขา้ สคู่ ลองบางหลวง และคลองบางกอกใหญแ่ ละเขา้ สแู่ มน่ า้ำ
เจ้าพระยา เพ่อื เขา้ ส่กู รงุ เทพฯ

87

การต้ังถ่ินฐานริมถนน

เม่ือการประกอบอาชีพเกษตรกรรมเปล่ียนจากการทำานาข้าว
เปน็ การทำาสวนมะพรา้ ว พ้ืนทป่ี ลูกบ้านแต่ละหลงั จึงขยับออกมาอยหู่ ่างกนั
เพื่อดูแลสวนของครอบครัวตนเป็นหลัก โดยมีร่องสวนมะพร้าวล้อมรอบ
บรเิ วณบา้ น พนื้ ทถี่ ดั จากนาขา้ วเขา้ ไปในแผน่ ดนิ จะปรากฏเปน็ สวนมะพรา้ ว
ปลูกขนานกันไป กลา่ วไดว้ า่ สวนมะพรา้ วในพน้ื ทีค่ งุ้ กระถิน มีมายาวนาน
อย่างน้อย 50 ปีโดยประมาณ

ส่วนพนื้ ที่ทางด้านตอนใต้ของคงุ้ กระถิน บริเวณพ้นื ท่ีหมู่ 8 และ
หมู่ 9 มกี ารปลกู มะพรา้ วกนั เปน็ หลกั ตง้ั แตเ่ ดมิ เปน็ ระยะเวลามากกวา่ 70 ปี
ลกั ษณะการตง้ั บา้ นเรอื นจะอยหู่ า่ งกนั มสี วนมะพรา้ วลอ้ มรอบ ใชก้ ารสญั จร
ทางน้ำาเป็นหลัก ผ่านคลองตาจ่าและคลองไทยบำารุง ในอดีตการปลูก
มะพร้าวจะนิยมปลูกมะพร้าวใหญ่ท้ังหมดเพ่ือนำาไปทำากะทิ แตกต่างจาก
ปัจจุบนั ท่นี ยิ มปลกู มะพร้าวน้ำาหอม

ภาพท่ี 1.47 ร่องสวนมะพร้าวนา้ำ หอมในปัจจุบนั มีลกั ษณะตน้ เต้ีย ลูกดก
ทมี่ า: https://www.google.co.th/maps/

88

ส่วนพัฒนาการของถนนเส้นหลัก ในอดีตเป็นเส้นทางที่เกิดจาก
การเดินลัดเลาะตามบา้ นเรอื น แล้วกลายเปน็ เสน้ ทางมขี นาดพอให้เกวยี น
ผ่านได้ โดยทางเกวียนในอดตี เรียกว่า “คนั พนงั ” มีตน้ กอไผ่ขนึ้ อยูร่ มิ ทาง
นนั้ ในลกั ษณะปา่ ไผ่ หากเปน็ ชว่ งฝนตกหนกั จะทาำ ใหพ้ นื้ ดนิ นนั้ เละเปน็ โคลน
อกี ทงั้ ววั ทเี่ ดนิ ยา่ำ กท็ าำ ใหเ้ สน้ ทางเละเปน็ โคลนเชน่ กนั ในอดตี การสญั จรทาง
พนื้ ราบไมส่ ะดวกเทา่ กบั การใชค้ มนาคมทางนาำ้ จนกระทง่ั มกี ารพฒั นาเสน้
ทางและสรา้ งถนนตัง้ แต่พ.ศ. 2525 เปน็ ต้นมา

การเดนิ ทางสัญจรในอดตี ในบรเิ วณนี้ มีรถสองแถวหลายเจา้ และ
หลายคนั ใชเ้ วลาวิ่งรถรอบละ 1 ชั่วโมง เสน้ ทางจากวดั เกตุเข้าสูต่ ัวเมือง
ราชบุรี มีวิธีการจอดรอเพ่อื เรียกลกู คา้ ขึน้ รถจากบา้ นริมนาำ้ ท่อี ยไู่ กล ราคา
เรมิ่ ตงั้ แต่ 3–5 บาท จากนนั้ มกี ารขน้ึ ราคาเรอ่ื ย ๆ จนถงึ 15 บาท กระทง่ั
เลกิ กิจการไปในท่สี ดุ

89

ชาติพนั ธ์ชุ ุมชน

พ้ืนท่ีตำาบลคุ้งกระถิน เป็นท่ีอยู่อาศัยของกลุ่มคนหลากหลายเช้ือ
ชาตทิ ป่ี กั หลกั ในบรเิ วณรมิ แมน่ าำ้ แมก่ ลอง และคลองแควออ้ ม มกี ลมุ่ คนหรอื
ชาตพิ นั ธ์ุ 4 กลมุ่ หลกั ไดแ้ ก่ ชาวไทย ชาวจนี คนลาว และคนไทยเขมร-ลาวเดมิ
แตเ่ ดมิ คนแตล่ ะกลมุ่ จะแยกคงุ้ กนั อยู่ โดยชาวจนี จะอยกู่ ระจายกนั อยา่ งรอบ ๆ
พ้ืนท่ี โดยสร้างบ้านอยู่ในพื้นท่ีเดียวกันของคนภายในตระกูลเดียวกันหรือ
ตระกลู ทใี่ กลช้ ดิ เชน่ คงุ้ ตสี จี ะเปน็ ทอ่ี ยอู่ าศยั ของชาวจนี อพยพ คงุ้ บางศรเี พชร
จะเปน็ ทอี่ ยขู่ องลาวรวมทง้ั บรเิ วณรอบวดั ศาลเจา้ และรมิ คลองลาว (ปจั จบุ นั
ถมคลองกลายเปน็ ถนน) และมชี าวไทยกระจายอยใู่ นเกอื บทกุ พน้ื ทที่ ง้ั รมิ นา้ำ
และบริเวณสวนมะพรา้ ว

1) กล่มุ ชาวไทยด้ังเดิม มีการอย่อู าศัยกระจายท่ัวพ้ืนที่ มวี ถิ ีชวี ิต
ลกั ษณะเดยี วกบั ชาวไทยภาคกลางทว่ั ไป อาชพี หลกั ในอดตี คอื การทาำ นาโดย
ใช้วัวเป็นตัวช่วยหลักและการทำาสวนมะพร้าว หากไม่ใช่เจ้าของที่นาหรือ
เจา้ ของสวนกจ็ ะประกอบอาชพี รบั จา้ งทางเกษตรกรรม ปจั จบุ นั กระจายอยู่
ทวั่ ตาำ บลคุ้งกระถนิ ประกอบอาชพี เกษตรกรรม รบั ราชการ หรอื ค้าขาย

2) กลมุ่ ชาวจนี อพยพ มกี ารอยอู่ าศยั กระจายตวั กนั ในหลายบรเิ วณ
ไดแ้ ก่ ถนนฝง่ั ตรงขา้ มสาำ นกั งานองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาำ บล (อบต.) เรยี กวา่
คุ้งตีสี ซ่ึงเป็นย่านท่ีอยู่อาศัยของกลุ่มชาวจีนท่ีอพยพมาจากเมืองจีน
มีประมาณ 7–8 หลังคาเรือน อาศัยอยู่บริเวณปากคลองแยกไปตำาบล
บา้ นไร่ มสี ายตระกลู แซห่ ลกั คอื “แซอ่ ง้ึ ” ประกอบอาชพี คา้ ขาย และ “แซส่ ”ี
ประกอบอาชีพตสี ี การตสี เี ป็นการการแยกข้าวออกจากรวงก่อนทจ่ี ะสง่ ไป
ให้โรงสีสีข้าวเปลือก ปัจจุบันเลิกกิจการไปหมดแล้ว คุณนิกร แสดงพยุง
ชาวไทยเช้ือสายจีนที่อาศยั อยูใ่ นคุ้งตีสี เลา่ วา่ กง๋ ของตนทำาอาชีพพายเรือ
ขายของเดก็ เลน่ และไอศกรมี ในแถบคลองแควออ้ มไปถงึ บรเิ วณเมอื งราชบรุ ี

นอกจากนย้ี งั มกี ลมุ่ ชาวจนี อพยพทอี่ าศยั ในบรเิ วณพน้ื ที่ หมู่ 7 หมู่ 8
และหมู่ 9 โดยกลุม่ ชาวจนี ท่อี พยพมาต้งั ถนิ่ ฐานอยบู่ ริเวณในพื้นทอี่ นั เปน็
เขตตอ่ แดนกับจังหวัดสมทุ รสงคราม ทีม่ คี ลองตาจา่ เปน็ ลาำ คลองแบ่งแยก
เขตจงั หวดั พนื้ ทตี่ าำ บลบางยรี่ งคท์ างตอนใตข้ องคลองตาจา่ ตดิ กบั คลองไทย
บำารุง ประกอบอาชีพรับจ้างและค้าขาย กลุ่มชาวจีนสายตระกูล “แซ่ตัน”

90

อาศัยในพื้นท่ีอยู่บนเกาะศาลพระ ก่อนจะย้ายมาอาศัยแถบบริเวณหมู่ 6
ของอาำ เภอคงุ้ กระถนิ กลมุ่ คนชาวจนี อพยพอกี กลมุ่ อาศยั ในพน้ื ทบ่ี รเิ วณทาง
ตอนใต้ของวัดศาลเจ้า กลุ่มคนชาวจีนอาศัยรวมกับกลุ่มคนลาว เช่น
นามสกลุ เรืองเล็บครฑุ ผู้สร้างโรงเรียนวดั ศาลเจา้ (เรอื งเล็บครฑุ ) เป็นต้น

ภาพท่ี 1.48 อาคารเรยี นหลังแรกของโรงเรยี นวัดศาลเจ้า (เรอื งเลบ็ ครฑุ )

3) กลุ่มชาวลาวศรเี พชร ลาวเวียง หรือลาวบ้อ มีการอยู่อาศัยใน
พ้ืนทใ่ี นหมู่ 4 ซอย 2 เดิมมปี ระมาณ 6–7 หลงั คาเรือน ตอ่ มาไดก้ ระจาย
ไปอย่ทู ีอ่ ่ืน ตามลกั ษณะการแต่งงานออกไปอยู่กับครอบครวั เช่น คณุ จวน
คงทน อายุ 97 ปี ชาวไทย เล่าวา่ ตนแตง่ งานกบั ชาวลาวทอี่ ยูอ่ าศัยใน
พ้ืนที่คุ้งบางศรีเพชร โดยคนบริเวณน้ันเรียกตนเองว่า “ลาวศรีเพชร”
ไดย้ ้ายออกจากบ้านเดิมมาอยู่อาศยั บรเิ วณคุง้ ตีสีหมู่ 4 และประกอบอาชพี
ทาำ นา ปัจจบุ นั บา้ นของคุณจวน มีการตอ่ เติมเพิม่ เตมิ และร้ือถอนยุง้ ฉาง
เก็บข้าวไปแล้ว ปัจจุบันยังคงเหลือโครงฝาบ้านเดิมไว้ และรักษาอุปกรณ์
เคร่ืองใชใ้ นอดีตไว้ เรือสำาปั้น คนั ไถสำาหรับใช้ไถนา ระหัดวดิ นำา้ ล้อเกวียน

91

ภาพท่ี 1.49 เรือสาำ ปนั้
ภาพท่ี 1.50 คันไถสาำ หรบั ใชไ้ ถนา

92

4) กลุ่มชาวไทยเขมร-ลาวเดิม บรรพบุรุษอพยพมาจากฝั่ง
พระตะบอง ประเทศกมั พชู า เขา้ มาอยอู่ าศยั บรเิ วณรมิ นาำ้ รมิ คลองแควออ้ ม
ประกอบอาชีพจักสาน ตะกร้า กระบุง แล้วนำาออกไปขายท่ีภาษีเจริญ
การนาำ สนิ คา้ ไปขายแตล่ ะครง้ั จะใชเ้ วลาเปน็ เดอื น จากนน้ั คนไทยเขมร-ลาว
เดิมเปลี่ยนมาประกอบอาชีพทาำ นา และทาำ สวน

93

อาชีพและภมู ปิ ัญญาท้องถิ่น

เน่ืองจากในอดีต ใช้การสัญจรทางน้ำาเป็นหลัก คนในพื้นท่ีจึง
ประกอบอาชพี ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั ทางนาำ้ และทาำ เกษตรกรรมเปน็ หลกั คอื การทาำ นา
โดยสายพนั ธข์ุ า้ วทป่ี ลกู ไดแ้ ก่ พนั ธเ์ุ หลอื งออ่ น พนั ธเ์ุ หลอื งปะทวิ มกี ารแปรรปู
ผลิตภัณฑ์ข้าว สอดคล้องกับวถิ ชี ุมชนในอดตี เชน่ การเกิดขน้ึ ของค้งุ ตีสี
ของชาวจีน โรงสีขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ได้แก่ โรงสียายเน้ียว
ที่คลองแควออ้ ม และโรงสเี ถา้ แกไ่ ซที่อยูใ่ กล้วดั ใหม่

ภาพที่ 1.51 โรงสที ีต่ ั้งอยรู่ มิ คลองแควอ้อม ฝั่งตำาบลบา้ นไร่
ดำาเนินกิจการต้งั แตอ่ ดตี ถงึ ปัจจบุ นั

ตอ่ มาความนิยมในการทาำ นาเริ่มลดลง คนในพืน้ ทเี่ ปลี่ยนมาปลกู
มะพรา้ วและกล้วยเปน็ หลักด้ังเดมิ ทำาให้พน้ื ที่นาขา้ วหายไป และกลายเป็น
สวนมะพรา้ วมากขน้ึ คนในพน้ื ทที่ ไ่ี มม่ สี วนมะพรา้ ว จะทาำ อาชพี เปน็ ประกอบ
อาชพี รบั จ้างในสวนมะพร้าว หรอื รับจ้างทาำ เกษตรกรรมประเภทอนื่ เช่น
จะมเี รอื เขา้ มารบั ลกู จา้ งไปตดั ผกั หรอื รบั จา้ งในสวนมะพรา้ วในพนื้ ทอี่ นื่ นอก
ตาำ บลคงุ้ กระถนิ เชน่ แทงดนิ ในรอ่ งสวนมะพรา้ วเพอื่ ใหค้ นั คลองรอ่ งลกึ ขนึ้
ขน้ึ ต้นมะพรา้ ว สอยมะพร้าว นอกจากนี้ยังมลี ง้ มะพรา้ ว เป็นกจิ การทรี่ ับ
ซอ้ื มะพร้าวจากสวนหรือแหล่งต่าง ๆ แลว้ นำาไปแปรรูปเปน็ ผลผลติ ตา่ ง ๆ
เช่น การผลิตน้ำากะทิ

94

ภาพท่ี 1.52 กิจการล้งมะพร้าวของคณุ ไชยา–สมคดิ เจริญทรัพย์

ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ มคี วามสมั พนั ธก์ บั วถิ ชี วี ติ และการประกอบอาชพี
ของคนในพน้ื ท่ี เชน่ เครื่องมือเครือ่ งใชท้ ี่เก่ยี วข้องกบั การทาำ เกษตรกรรม
การทาำ นา เช่น คันไถ แอก ระหัดวดิ น้าำ เรอื สาำ ป้ัน ล้อเกวยี น ยุ้งฉาง
เครอ่ื งสโี บราณ ขอ้ ง คราด ซง่ึ ปจั จบุ นั ยงั หลงเหลอื อยเู่ พยี งไมก่ หี่ ลงั คาเรอื น

ภาพที่ 1.53 อปุ กรณท์ าำ นา ได้แก่ ข้อง คราด

95
ภาพที่ 1.54 เคร่อื งสีข้าว
ภาพที่ 1.55 กลอ้ งเพลา เปน็ ส่วนหนงึ่ ของเกวียน

96

ภมู ปิ ญั ญาการปนี ขนึ้ ต้นมะพรา้ ว มกี ารใช้อปุ กรณ์ ไดแ้ ก่ “ปอก”
ทาำ จากทางใบกล้วยมารูดออก ชุบนำ้าทิ้งไว้หนึ่งคืน ข้างละ 5 เส้น แล้วนำา
มาขดั รวมกนั กลบั หวั ทา้ ยมดั ใหเ้ ปน็ หว่ งกลม กอ่ นจะผกู ไวท้ ป่ี ลายขาทงั้ สอง
ขา้ ง เพอื่ ใช้ในการข้ึนตน้ มะพรา้ ว ปอกนีจ้ ะใช้ไดเ้ พียง 3–4 วนั เนอ่ื งจาก
วสั ดจุ ะแหง้ กรอบตามเวลา ไม่ยืดหยุ่นพอ เม่ือเก็บลูกมะพรา้ วลงมาแลว้ จะ
ปล่อยให้ลูกมะพร้าวลงสู่คลองก่อนจะทำาการ “ตามะพร้าว” คือการเอา
มะพร้าวจากในคลองข้ึนสู่ท้องร่อง จากน้ันจะมีคนมาหาบผลมะพร้าว
ออกจากทอ้ งรอ่ งไปทถี่ นน โดยใชห้ าบสองขา้ งบรรทกุ ลกู มะพรา้ วไดข้ า้ งละ
สูงสุด 20 ลูก นำาไปวางไว้บนถนน ก่อนจะย้ายลูกมะพร้าวทั้งหมด
ลงคลองใหญ่โดยใช้วธิ ีการ “จกิ ” คอื การนาำ ลูกมะพร้าวมาผูกรวมกนั และ
ทาำ ให้แนน่ โดยการนำาเชือกพนั รอบ แลว้ ผกู โยงลูกมะพร้าวทงั้ หมดกับเรอื
ติดเคร่ืองยนต์ ออกไปทางคลองไทยบำารุง และคลองแควอ้อม แล้วเข้า
กรุงเทพฯ

ผลผลิตท่ีทำาจากมะพร้าว คือ นำ้าตาลปี๊บ เร่ิมกิจการมาตั้งแต่
พ.ศ. 2531 ในอดีตมีโรงทาำ นำา้ ตาล จำานวน 3 แห่ง ปัจจุบันเหลอื เพียง
แห่งเดียว คือ กิจการของคุณประยงค์ ชื่นใจหวัง ซ่ึงสืบทอดวิธีการทำา
น้ำาตาลมาจากครอบครัวในจังหวัดสมุทรสงคราม ได้มาริเริ่มทำากิจการ
นา้ำ ตาลภายในครอบครวั ในพนื้ ทบ่ี รเิ วณซอยนายก โดยมกี ารรบั ซอ้ื นา้ำ ตาลสด
มาจากชาวบ้าน เป็นนาำ้ ตาลทไ่ี ดม้ าจากจ่นั ของต้นมะพร้าว

97
ภาพที่ 1.56 กิจการโรงทาำ นา้ำ ตาลของคุณประยงค์ ชนื่ ใจหวัง

98

การสานลำาแพน เป็นอาชีพของผู้หญิงในพ้ืนท่ีบ้านโคกพริก
ทมี่ ชี ว่ งเวลาวา่ งจากการทาำ นา การสานลาำ แพนมลี กั ษณะเหมอื นเสอ่ื ขนาดใหญ่
ทำาจากไม้ไผ่ ซ่ึงเป็นวัสดุท่ีหาได้ในพื้นท่ี จะมีพ่อค้าเข้ามารับเสื่อไปขาย
ตอ่ มาไมม่ คี นสืบตอ่

ประเพณี พิธีกรรรม ความเชอื่ ของชมุ ชน

วดั สาำ คญั ประจาำ ชมุ ชน มจี าำ นวน 4 วดั ไดแ้ ก่ วดั ศาลเจา้ วดั บางศรเี พชร
วดั เกาะลอยอดุ มเอกธาราม และวดั เกตนุ อ้ ยอมั พวนั โดยชมุ ชนกบั วดั ในพน้ื ท่ี
ตาำ บลคงุ้ กระถนิ มคี วามสมั พนั ธก์ นั ตง้ั แตใ่ นอดตี จนถงึ ปจั จบุ นั วดั เปน็ สถาน
ทปี่ ระกอบพธิ กี รรมทางศาสนา และเปน็ ศนู ยร์ วมใจของคนในชมุ ชนทอี่ ยใู่ น
ละแวกใกล้เคียง เม่อื ถงึ วนั สาำ คญั ทางศาสนาต่าง ๆ ชาวบ้านจะไปวดั เพอื่
ทาำ บุญตักบาตร เคารพอฐั ิของบรรพบรุ ษุ ผูล้ ว่ งลับไปแล้ว อีกท้งั เปน็ พืน้ ท่ี
สำาหรับจัดกิจกรรมบันเทิง หรือการแสดงมหรสพที่ทำาให้คนมารวมตัวกัน
ในอดตี เช่น ลเิ ก

นอกจากนย้ี ังมีวัดอ่นื ๆ ในพนื้ ทีต่ าำ บลบา้ นไร่ทีจ่ ดั กจิ กรรมต่าง ๆ
เช่น วัดใหม่ และวัดเวยี งทุน จัดงานลอยกระทง วัดปราโมทย์ จดั งานแข่ง
เรอื

นอกจากความเชื่อทางพุทธศาสนา คนในพื้นที่ยังให้ความเคารพ
แก่ศาลทต่ี ้งั อย่บู นโคกประดับอฐิ ในอดีตมีต้นขอ่ ยใหญอ่ ยู่ใหร้ ม่ เงา โดยมี
ความเชอื่ วา่ มหี ลวงปพู่ รมอฐิ เจ้าแม่บารมี และเจ้าแม่นลิ มณี เปน็ เจา้ แม่
สองสาวโสดทีค่ ุ้มครองพ้นื ทโ่ี คกประดับอิฐ

ประเพณีสำาคัญของชุมชนจะสัมพันธ์กับวิถีชีวิตและการประกอบ
อาชพี ทำานา เช่น

ประเพณีไหว้ข้าวอุ้มท้อง เรียกว่าพิธีรับท้องข้าว จะจัดช่วงท่ีต้น
ข้าวเร่มิ ต้งั ทอ้ งเพื่อบอกกลา่ วส่งิ ศักด์ิสทิ ธ์ขิ อให้ไดผ้ ลผลิตดใี นปีน้ัน

สารทลาว คือ การทำาบญุ ทว่ี ดั และการกวนกระยาสารท จดั ขน้ึ
กลางเดือนสบิ เม่อื เกี่ยวข้าวเสรจ็ สน้ิ แลว้ ชาวนาจะนำาขา้ วใหม่สว่ นหนึ่งใน
ปนี น้ั มาหงุ เพอื่ ถวายใหแ้ กพ่ ระสงฆ์ และนาำ อกี สว่ นหนง่ึ ไปแบง่ ปนั ใหก้ บั เพอื่ น
บา้ นคนอน่ื ทไี่ มไ่ ดท้ าำ นา โดยคนลาวจะนาำ ขา้ วใหมม่ ากวนกระยาสารท หรอื
เรยี กวา่ “พญาสารท” เพ่ือถวายพระสงฆ์ และบรโิ ภคภายในครวั เรอื น

99

การลงแขกท�านา เป็นการร่วมมือกันทำางานของคนในชุมชน
โดยแตล่ ะครอบครวั จะสง่ ตวั แทน 2–3 คน มาชว่ ยกนั ทาำ นาครง้ั ละ 5–6 ไร่
แลว้ สลบั เปลยี่ นกนั ไปเรอ่ื ย ๆ เจา้ ของทน่ี าจะตอ้ งนาำ ขนม ขา้ ว ใหเ้ ปน็ สงิ่ ของ
ตอบแทนแกผ่ ู้ทม่ี าลงแรงช่วยกันตัง้ แตเ่ รม่ิ การเกีย่ วขา้ ว หรอื นวดขา้ ว

พธิ กี รรมขนึ้ คณุ พระ เปน็ พธิ กี รรมสาำ หรบั ลกู สาวทเ่ี ขา้ สพู่ ธิ แี ตง่ งาน
โดยจะตอ้ งไปบอกกลา่ วหงิ้ คณุ พระในพนื้ ทข่ี องบา้ นหลงั หนง่ึ ในเชา้ วนั รงุ่ ขน้ึ
หลงั เสรจ็ พธิ แี ตง่ งาน ตอ้ งจดั เตรยี มดอกลนั่ ทม ผลไม้ และผา้ เหลอื งไปไหวบ้ ชู า

ในอดีต การประกอบพธิ กี รรม และการทาำ กจิ กรรมต่าง ๆ ของ
ชมุ ชน จะมีคนเข้ารว่ มทุกเชื้อชาติ ทั้งชาวไทย ชาวจนี คนลาว แตป่ จั จบุ ัน
จะแบ่งแยกกัน เนื่องจากเรื่องการเมืองในพ้ืนท่ีลานกิจกรรมของตำาบล
คุ้งกระถินเคยต้ังอยู่บริเวณศาลข้างท่ีทำาการสำานักงานองค์การบริหาร
ส่วนตาำ บล (อบต.) แตป่ จั จุบันไดร้ อ้ื ถอนออกไปหมดแล้ว


Click to View FlipBook Version