The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิธีวิทยาการวิจัย Research Methodology

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by chutiman.tasu, 2022-11-06 03:10:12

วิธีวิทยาการวิจัย Research Methodology

วิธีวิทยาการวิจัย Research Methodology

45

แนวทางในการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมอื ในการรวบรวมข้อมลู
อาจทำได้ 2 แนวทาง ไดแ้ ก่

1. แนวทางที่อาศัยเหตุผล จะอาศัยเหตุผลก่อนที่จะนำเครื่องมือไปใช้จริงโดยทั่วไปแล้วอาศัยทฤษฎี
หรอื หลกั เกณฑ์หรือความเห็นของผู้เช่ียวชาญในเรื่องทีจ่ ะวัดหรือศึกษา ถ้าผเู้ ชย่ี วชาญมคี วามเห็นหรือตัดสินว่า
ถูกตอ้ งเหมาะสม หรอื ตรงตามทฤษฎี กน็ ำไปใชเ้ ก็บรวบรวมข้อมูลได้แต่ในกรณีท่เี ป็นแบบทดสอบหรือแบบวัด
และ อาจมีผู้เชี่ยวชาญดา้ นเทคนิคหรือวธิ ีการทดสอบหรือวัด เพื่อพิจารณาว่าเคร่ืองมือนั้นเหมาะสมกับกลุ่มที่
จะไปทดสอบหรือวัดหรือไม่ เช่น ข้อคำถามชัดเจนหรือไม่ เหมาะสมกับระดับหรือกลุ่มคนที่จะนำไปใช้วัด
หรือไม่

2. แนวทางที่อาศัยวิธีการทางสถิติ เป็นการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือโดยอาศัย ค่าตัวเลขหรือ
ค่าสถติ ติ า่ ง ๆ วิธกี ารนี้ตอ้ งนำเคร่ืองมือไปทดลองใช้ แล้วนำมาคำนวณคา่ ต่าง ๆเทียบกับเกณฑ์การยอมรับ ถ้า
อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ก็นำไปใช้เก็บรวบรวมข้อมูลได้แตถ่ ้าไม่อยู่ในเกณฑ์การยอมรับควรนำมาปรับปรุงและ
ทดสอบ ในบางเทคนิคอาจพิจารณาค่าสถิติจากความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญก็ได้ เช่นพิจารณาจากค่าความ
สอดคลอ้ ง เปน็ ต้น

การตรวจสอบคุณภาพของแบบทดสอบหรือแบบวัดเจตคติ
แบบทดสอบหรือแบบวัด เช่น แบบวัดเจตคติเป็นเครื่องมือที่เหมาะสมในการวัดความรู้ทัศนคติหรือ

เจตคติ เน่อื งจากเปน็ เครอื่ งมอื วดั ความรู้ บางคร้ังอาจเรยี กวา่ ขอ้ สอบ

แบบทดสอบมีหลายประเภทใช้วัดความสามารถของบุคคลแบบวัดผลสัมฤทธ์ิ ได้แก่ ข้อสอบวิชาต่าง
ๆ แบบทดสอบอาจใช้ประเมินความรู้ก่อนหรือหลังการฝึกอบรม ผู้สอนหรือผู้รับผิดชอบมักเป็นผู้สร้างและ
พัฒนา บางกรณีก็มีข้อสอบมาตรฐานหรือชุดข้อสอบสำเร็จให้เลือกใช้ แบบวัดความถนัดในการเรียนใช้วัด
ความสามารถหรือสมรรถภาพของบุคคลที่บ่งชี้ถึงศักยภาพในการเรียนมักเป็นแบบทดสอบ มาตรฐานที่สร้าง
และพัฒนาไว้แล้ว แบบวัดความถนัดเฉพาะเป็นการวัดความสามารถเฉพาะทางของบุคคลเช่น ความถนัดทาง
ดนตรี หรือความถนัดทางวิชาชพี

การตรวจสอบความเที่ยงตรง (Validity) ความเที่ยงตรงเป็นเรื่องที่จำเป็นมากเพราะเป็นการเพราะ
เป็นการบ่งชี้ว่าเครื่องมือนี้วัดในสิ่งที่ประสงค์หรือต้องการวัด ถ้าเป็นเครื่องมือมาตรฐานหรือเป็นเครื่องมือที่
สร้างไวก้ อ่ นแล้วมักมีคำอธิบายว่าได้ดำเนนิ การตรวจสอบความเท่ยี งตรงดว้ ยวิธีการใดและผลเป็นอย่างไร โดย
ปกตแิ ล้วเมอื่ สรา้ งข้อสอบหรือข้อคำถามเรียบร้อยแล้ว มกั จะใหผ้ ู้เชย่ี วชาญหรือผู้ชำนาญการหรือผู้ทรงคุณวุฒิ
ในเรือ่ งทศี่ กึ ษาจำนวนหนง่ึ เปน็ ผตู้ รวจสอบ จำนวนผ้เู ชยี่ วชาญไม่ได้มขี ้อกำหนดแนน่ อนอาจมจี ำนวน 1 - 3 คน
(พิตร, 2544 : 222) หรืออาจใช้ 5 - 7 คน (สมคดิ , 2538 : 33) แล้วแต่ความเหมาะสม โดยผเู้ ช่ยี วชาญเหล่านี้
พิจารณาความเที่ยงตรงตามเนื้อหาที่ทำการศึกษาพิจารณาว่าเป็นไปตามจุดมุ่งหมายที่ต้องการวัด ครอบคลุม
ครบถ้วนในประเด็นหรือด้านต่าง ๆ หรือครอบถ้วนตามทฤษฎีซึ่งเป็นการตรวจสอบความเที่ยงตรงตาม
โครงสร้าง เมือ่ ผเู้ ช่ยี วชาญมีความเหน็ วา่ ใช้ได้จงึ ถอื วา่ ชุดข้อคำถามหรอื เคร่ืองมอื ดังกล่าว

46

การตรวจสอบความเชื่อมั่น (Reliabity) ในการหาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบกระทำโดยนำ
แบบทดสอบไปทดลองใช้กับกลุม่ ตัวอยา่ งกลุ่มหน่งึ ซ่ึงมิใชก่ ลุ่มตวั อยา่ งเดียวกบั ทจ่ี ะศึกษาแล้วนำผลหรือข้อมูล
มาวิเคราะห์ดว้ ยวิธีการทางสถิติ การตรวจสอบความเชื่อมนั่ ของแบบทดสอบอาจกระทำได้ หลายวธิ ี เชน่

1. การหาความเชื่อม่ันด้วยวิธีสอบซ้ำ (Test - Retest Method) ดำเนินการโดยนำแบบทดสอบไป
ทดลองใช้กับกลุ่มตวั อย่าง 2 คร้ัง โดยใหม้ ีระยะห่างระหวา่ งคร้ังแรกกบั ครั้งท่ี 2 ใชเ้ วลานานพอที่จะทำให้กลุ่ม
ตัวอยา่ งลมื ข้อคำถามท่ีไดจ้ ากประสบการณจ์ ากครั้งแรก คือประมาณ 1 – 2 สปั ดาห์ (สมคิด, 2538: 33) แล้ว
นำผลจากครั้งแรกและครั้งหลังมาวิเคราะห์เพื่อหาค่าความคงที่ โดยอาศัยค่าสหสัมพันธ์แบบ Pearson -
Product Moment Correlation ถ้าสัมประสิทธิสหสัมพันธ์ หรือ r มีค่ามากหรือใกล้ 1.00 หมายความว่า มี
ความคงที่สูงหรือมีความเชื่อมั่นสูงแสดงว่าถ้าไม่มีอะไรเปลี่ ยนแปลงระหว่างการทดสอบครั้งแรกและการ
ทดสอบครั้งหลัง บุคคลที่ได้ค่าคะแนนเท่าใดในครั้งแรกมีแนวโน้ม ที่จะได้คะแนนในการทดสอบครั้งหลังไม่
ต่างไปจากคะแนนการทดสอบคร้ังแรก เกณฑก์ ารยอมรับมักถือว่าควรมีค่าความเช่ือมนั่ ไมน่ ้อยกว่า .85 (พิตร,
2544: 222)

2. การหาความเช่ือมั่นด้วยวิธีแบ่งครึ่งแบบทดสอบ (Split - Half Method) การหาความเชื่อด้วยวิธี
ทดสอบซ้ำแสดงถึงว่าเมื่อเวลาเปลีย่ นไปหรือในชว่ งเวลาที่ต่างกัน เครื่องมือท่ีมีความเชื่อมัน่ สูงย่อมวัดส่ิงเดิมได้
ค่าไม่แตกต่างไปจากเดิม แต่การหาความเชื่อมั่นด้วยวธิ ีแบง่ ครึ่งแบบทดสอบเป็นการแสดงว่าข้อคำถาม 2 ชุด
ที่เกิดจากการแบ่งครึ่งแบบทดสอบ มีแนวโน้มที่จะไปในทิศทางเดียวกัน (Babbie, 1998 : 132) หรือผู้ที่ได้
คะแนนจากแบบทดสอบครึ่งชุดแรกก็ได้คะแนนสูงในแบบทดสอบครึ่งชุดหลัง วิธีแบ่งครึ่งแบบทดสอบนี้หา
ความเชื่อมั่นโดยการนำไปทดสอบกับตัวอย่างเพียงครั้งเดียว แล้วแบ่งแบบทดสอบออกเป็นสองส่วนหรือสอง
ชุด อาจเป็นข้อคู่หรือข้อคี่ หรือแบ่งเป็นครึ่งแรกและครึ่งหลัง แล้วนำข้อมูลไปคำนวณหาค่า Pearson -
Product Moment Correlation จะได้ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบครึ่งฉบับ จากนั้นใช้สูตรขยาย
Spearman Brown เพ่อื ใหไ้ ดค้ ่าความเชอ่ื มน่ั เต็มทั้งฉบับ

3. การหาความเชื่อมั่นโดยใช้สูตร Kuder – Richardson เป็นการหาความเชื่อมั่นที่สะดวกนิยมใช้
กรณีที่เป็นข้อสอบหรือแบบทดสอบที่มีระบบการให้คะแนนถ้าตอบถูกได้ 1 คะแนน และถ้าตอบผิดได้ 0
คะแนน หรอื ตอบถกู ได้คะแนน ดำเนินการโดยนำแบบทดสอบไปทดลองใช้กับกลมุ่ ตัวอย่างเพียงคร้ังเดียว นำ
ข้อมูลที่ได้มาหาคะแนนเฉลีย่ และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานจากน้ันนำไปเข้าสูตรของ Kuder - Richardson ก็จะ
ไดค้ ่าความเช่อื ม่ันแบบทดสอบ (พิตร, 2544 : 223)

ถ้าค่าความเชื่อมั่นสูงอาจถือได้ว่าข้อคำถามในข้อสอบหรือแบบทดสอบชุดนี้วัดในเรื่องเดียวกันการ
ตรวจสอบความยาก ในกรณีที่เป็นข้อสอบการวิเคราะห์ความยากหรือความง่ายอาจช่วยในการพิจารณา
คัดเลือกข้อสอบแต่ละข้อ การวิเคราะห์ความยากจึงเป็นการตรวจสอบคุณภาพข้อสอบรายข้อ (พิตร, 2544 :
223)

การตรวจสอบความยากมแี นวความคิดว่าข้อสอบที่เหมาะสมไม่ควรยากมากหรืองา่ ยมากสำหรับกลมุ่
ที่จะเขา้ สอบ ถ้ามคี นจำนวนมากทำข้อสอบข้อนน้ั ถูกต้องแสดงว่าข้อสอบข้อดงั กล่าวมีความยากน้อย(ง่ายมาก)
แต่ถ้ามีคนจำนวนน้อยหรือไม่มีผู้ใดทำข้อสอบข้อนั้นถูกต้องแสดงว่ าข้อสอบดังกล่าวยากมากหรือง่ายน้อย
นั่นเอง การทดสอบความยากอาศัยค่า P ซึ่งคำนวณจากข้อมูลที่ได้จากการนำข้อสอบทั้งชุดไปทดลองสอบกบั
กลุ่มตัวอย่างข้อสอบที่ไม่มีผู้ใดทำถูกเลย ค่า P = 0 และข้อสอบที่ทุกคนทำถูกมีค่า P = 1 ดังนั้นข้อสอบที่มี

47

ความยากปานกลางจะมคี า่ P= .50 คอื มผี ทู้ ำถูกรอ้ ยละ 50 ข้อสอบที่ถอื วา่ ง่ายเกินไปมีคา่ P มากกวา่ .90 และ
ข้อสอบท่ถี อื ว่ายากเกินไปมีค่า P นอ้ ยกว่า .10

การตรวจสอบค่าอำนาจจำแนก ในกรณีที่ตอ้ งการจำแนกความสามารถของบคุ คลควรพิจารณาจากค่า
อำนาจจำแนก (r) เปน็ ดัชนีบง่ บอกวา่ ข้อสอบข้อใดจำแนกไดด้ ี หมายความว่า ผูท้ ่ที ำขอ้ สอบข้อดังกล่าวถูกเป็น
สมาชกิ ของกล่มุ เกง่ ถา้ ทำผิดก็เปน็ สมาชกิ ของกลุม่ ไมเ่ กง่ เปน็ ต้น

โดยทั่วไปนิยมเลือกข้อสอบที่มีค่า r สูงกว่า .20 (สมคิด, 2538 : 33) การหาค่าอำนาจจำแนก
ดำเนินการโดยนำข้อสอบทั้งชุดไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่าง ตรวจให้คะแนนแล้วลำดับคะแนนจากสูงมาต่ำ
จากนั้นเลือกจากผู้ได้คะแนนสูงสุดลดหลั่นลงมาจนครบจำนวนร้อยละ 27 ของผู้สอบเรียกกลุ่มนี้ว่ากลุ่มสูง
ขณะเดียวกันก็เลือกจากผู้ได้คะแนนตำ่ สดุ และถัดขึ้นไปจนไดจ้ ำนวนร้อยละ 27 ของผู้สอบทั้งหมดเรียกกลุ่มนี้
วา่ กลุม่ ตำ่ แล้วนำกลุ่มสงู และกลุม่ ตำ่ ไปวิเคราะหร์ ายข้อคำนวณหาร้อยละของจำนวนผทู้ ำถูกทเ่ี ปน็ สมาชิกกลุ่ม
สูงและร้อยละของจำนวนผู้ทำถูกที่เปน็ สมาชิกกลุ่มต่ำของข้อสอบแต่ละข้อจากนั้นนำไปหาคา่ P และ r ต่อไป
(พิตร, 2544 : 223 - 224) นอกจากการใช้เทคนิคร้อยละ 27 อาจใช้เทคนิคร้อยละ 25 หรือร้อยละ 50 ก็ได้
ทัง้ น้ีขนึ้ กับขนาดของกลมุ่ ตวั อยา่ ง

การตรวจสอบคณุ ภาพของแบบสอบถาม

แบบสอบถามเป็นเครื่องมือวิจัยที่ใช้มากในการเก็บรวบรวมข้อมลู จากบุคคลโดยเฉพาะความรู้สึกหรอื
ความคิดเห็น (Blaxter, Hughes and Tight, 1996 : 159) ลักษณะสำคัญของแบบสอบถามคือไม่มีคำตอบที่
ถือวา่ ผิด มักสร้างขน้ึ เพ่อื ใชฉ้ พาะกรณีหรือเฉพาะเร่ือง การตรวจสอบคุณภาพพิจารณาตามความจำเป็น ที่นิยม
กันเป็นการตรวจสอบความเท่ียงตรงและความเช่ือม่ัน

การตรวจสอบความเที่ยงตรงของแบบสอบถาม โดยทั่วไปดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความ
ถูกต้องเหมาะสมของเนื้อหา ข้อคำถามครอบคลุมครบถ้วนตามทฤษฎีหรือแนวคิดและครบถ้วนตาม
วัตถุประสงค์หรือปัญหาของการวิจัย (สมคิด, 2538, 34) บางกรณีอาจมีผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคนิคการสร้าง
แบบสอบถามเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของรูปแบบคำถามและการจัดข้อคำถาม ถ้าเป็นไปได้ควรทำการ
วิเคราะห์แบบสอบถามเป็นรายข้อ (ปัญญา, 2548 : 42 -44) ควรมีการทดลองนำไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างก่อน
นำไปใชจ้ รงิ ก็จะดยี ่ิงขึน้ เพราะเปน็ การตรวจสอบอกี ว่าภาษาที่ใชใ้ นขอ้ คำถามนน้ั ส่ือความหมายได้ตรงกัน

การตรวจสอบความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม เป็นการหาความสอดคล้องภายในโดยพยายามอธิบาย
ว่าขอ้ คำถามแตล่ ะข้อในข้อคำถามชุดหนง่ึ น้ันเป็นเร่ืองเดยี วกันหรอื ทิศทางเดยี วกันในกรณีท่ีข้อคำถามเป็นแบบ
มาตรส่วนประมาณค่า นิยมใช้สัมประสิทธิแอลฟา ( ∝ - Coefficient) เพื่อหาค่าความเชื่อมั่นของ
แบบสอบถาม (พิตร, 2544 : 225) นอกจากนี้แล้วอาจหาความเชื่อมั่นด้วยการสอบซ้ำก็ได้ (สมคิด , 2538 :
34) ถา้ ตอ้ งการแสดงวา่ ใช้วัดก่ีครั้งก็ให้ผลคงท่ี

การตรวจสอบคุณภาพของแบบสมั ภาษณ์

แบบสัมภาษณ์ถ้ามีโครงสร้างที่ชัดเจนจะใกล้เคียงกับแบบสอบถามบางประเภทโดยเฉพาะ
แบบสอบถามที่ใช้คำถามปลายเปิด โดยทั่วไปแล้วก่อนที่จะนำแบบสัมภาษณ์ไปใช้มักจะมีการตรวจสอบความ
เที่ยงตรง โดยอาศัยผู้เชี่ยวชาญพิจารณาข้อคำถามในการสัมภาษณ์ให้ครอบคลุมเนื้อหาครบถ้วน ข้อคำถาม
ถูกต้องเหมาะสม ตรงตามโครงสร้าง และภาษาที่ใช้เหมาะสมกับผู้ให้ข้อมูล (สมคิด, 2538 : 34) อาจนำแบบ
สัมภาษณ์ท่ีผู้เชี่ยวชาญเห็นชอบแล้วไปทดลองสัมภาษณ์กับกลุ่มตัวอย่างเพื่อตรวจสอบความเหมาะสมของ
ภาษาอีกก็ได้ ในส่วนของความเชื่อมั่นนั้นอาจ ทดสอบด้วยวิธีสัมภาษณ์ซ้ำเช่นเดียวกับแบบสอบถามที่ใช้วิธี

48

สอบซ้ำ หรืออาจตรวจสอบความเชื่อมั่นของคำตอบที่ได้จากการสัมภาษณ์ด้วยการใช้ผู้สั มภาษณ์หลายคน
สัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลคนเดียว แล้วตรวจสอบความสอดคล้องของคำตอบกับผู้สัมภาษณ์คนอื่น ๆ หรืออาจใช้ผู้
สมั ภาษณ์คนเดียว เม่อื ได้ข้อมลู แล้วนำข้อมูลดังกลา่ วให้ผู้ถูกสมั ภาษณ์ยืนยนั คำตอบของตนเองกไ็ ด้

การตรวจสอบคณุ ภาพของแบบสงั เกต

การสังเกตมีการใช้กันมากในการศึกษาเหตุการณ์ ปรากฏการณ์ พฤติกรรม และสภาพทางกายภาพท่ี
ปรากฏ เมื่อผู้วิจัยทำการสังเกตจงึ ควรมีแบบสังเกตหรอื แบบบนั ทกึ ขอ้ มูลจากการสังเกตซึ่งจัดเป็นเครือ่ งมอื ใน
การเก็บรวบรวมข้อมูลประเภทหนึ่ง ในกรณีที่พัฒนาสิ่งประดิษฐ์แบบสังเกตหรือแบบบันทึกข้อมูล อาจทำ
หน้าที่ในการบันทึกข้อมูลจากการสังเกตหรือวัด ซึ่งอาจมีเครื่องมืออื่นใช้ประกอบกันโดยเป็นเครื่องมือที่ทำ
หน้าที่วัดค่าตัวแปรและบันทึกค่าตัวแปรลงในแบบสังเกตหรือแบบบันทึกข้อมูลเช่น ถ้าต้องการแสดงว่า
สิ่งประดิษฐ์ใหม่ทำงานได้เร็ว ในแบบสังเกตหรือแบบบันทึกข้อมูล อาจเป็นการบันทึกระยะเวลาในการทำงาน
ของส่งิ ประดิษฐใ์ หม่เม่ือทำงาน 1 ชน้ิ สำเร็จ โดยอาจตอ้ งบันทึกข้อมลู หลายคร้ัง ในการบนั ทึกแต่ละคร้ังต้องใช้
นาฬกิ าจับเวลาเปน็ เคร่อื งมืออีกช้ินหน่ึงใชว้ ัดค่าตัวแปรระยะเวลา เป็นต้น การตรวจสอบคณุ ภาพของเครื่องมือ
วัด เช่น นาฬิกาเทอร์โมมเิ ตอร์ หรืออื่น ๆ ให้พจิ ารณาจากแนวทางการตรวจสอบคณุ ภาพแบบทดสอบ ไม่วา่ จะ
เปน็ แบบสังเกตทเี่ ป็นแบบบนั ทึกข้อมูล หรือแบบสงั เกตทใี่ ชส้ ังเกตพฤติกรรมตลอดจนสภาพทป่ี รากฏโดยท่ัวไป
นิยมตรวจสอบความเที่ยงตรงตามเนื้อหา หลักการหรือแนวคิดทฤษฎี รวมทั้งให้ครอบคลุมสิ่งที่จะศึกษาโดย
อาศัยความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ อาจนำแบบสังเกตไปทดลองสังเกตก่อนนำไปใช้จริงเพื่อมาปรับปรุงให้
สอดคล้องกับสภาพเป็นจริง ในกรณีของความเชื่อมั่น สามารถดำเนินการควบคู่ไปกับการเก็บรวบรวมข้อมูล
การแสดงว่าสิ่งที่สังเกตหรือข้อมูลจากการสังเกตน่าเชื่อถือ อาจกระทำโดยสังเกตหรือวัดตัวแปรนั้นหลายครง้ั
(สมคิด, 2538: 35) ถ้าเป็นพฤติกรรมก็สังเกตพฤติกรรมเดียวกันแต่หลายช่วงเวลา อีกวิธีการหนึ่งเป็นการ
สังเกตพฤติกรรมเดียวของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง โดยผู้สังเกตหลายคนแล้วนำข้อมูลมาพิจารณาความสอดคล้อง
(พติ ร, 2544 :226 - 227)

สำหรับเครื่องมือที่ในการรวบรวมประเภทอื่นน้นั ให้พจิ ารณาเทียบเคียงกับแบบท่ีนำเสนอมา เช่น ถ้า
มีคำตอบที่ถูก หรือมีทิศทางการให้คะแนน หรือเป็นแบบประเมินผลงานให้พิจารณาดำเนินการในทำนอง
เดียวกับการตรวจสอบคุณภาพแบบทดสอบ ถ้ารวบรวมข้อมูลโดยการเขียนหรือตอบโดยผู้ให้ข้อมูล และไม่มี
คำตอบใดที่ ถือเป็นคำตอบที่ถูก ควรพิจารณาดำเนินการตรวจสอบคณุ ภาพของเครือ่ งมือในการเกบ็ ข้อมูล ใน
ทำนองเดียวกับการตรวจสอบคุณภาพของแบบสอบถาม ถ้ารวบรวมข้อมูลด้วยคำพูดหรือวาจา ก็อาจ
ตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือในการรวบรวมข้อมูล โดยกระบวนการทำนองเดยี วกับการตรวจสอบคุณภาพ
ของแบบสัมภาษณ์ และถ้าเป็นการรวบรวมข้อมูลโดยอาศัยการมอง การดู หรือการเห็น สามารถตรวจสอบ
คุณภาพของเครื่องมือในการรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการทำนองเดียวกันกับการตรวจสอบคุณภาพของแบบ
สังเกตการเลือกใช้เครื่องมือหรือพัฒนาเครื่องมือควรตรวจสอบ ความเที่ยงตรงเป็นอย่างน้อยเพราะเป็นการ
สนับสนุนว่าเครื่องมือที่ใช้นี้วัดในสิ่งที่ต้องการจะวัดไม่ว่าคำตอบหรือค่าที่วัดจะเป็นคุณลักษณะหรื อปริมาณก็
ตาม ในประเดน็ อื่น ๆ นั้น พิจารณาตามความจำเป็น

49

บรรณานุกรม

คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ และสำนกั วิจยั และพัฒนาการอาชวี ศึกษาสำนักงานคณะ
กรรมการการอาชีวศึกษา 2547 วิจัยแผ่นเดียว : เส้นทางสู่คุณภาพ การอาชีวศึกษา ฉบับปรับปรุง.
กรงุ เทพฯ : สำนกั วจิ ัยและพัฒนาการอาชีวศึกษา สำนกั งานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา.

ปญั ญา ธีระวิทยเลิศ. 2548. การวเิ คราะหแ์ บบสอบถามรายขอ้ . วารสารสมาคมนักวิจยั . 10(2):42 –44.
พติ ร ทองช้นั . 2544. การวางแผนการวจิ ัยและการรวบรวมขอ้ มูล. ในมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

บัณฑิตศึกษา สาขาวิชาศึกษาศาสตร์. ประมวลสาระชุดวิชาการวิจัยและการพัฒนาการศึกษานอก
ระบบ. นนทบุรี : มหาวทิ ยาลยั สุโขทัยธรรมาธริ าช.
สมคิด พรมจุย้ . 2538. ชดุ วิชาทางการศกึ ษานอกโรงเรียน เลม่ ท่ี 10 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลเพอ่ื การ
วิจยั . กรงุ เทพฯ : กรมการศกึ ษานอกโรงเรียน.
Babbie, E. 1998. The Practice of Social Research Belmont : Wadsworth Publishing
Company.
Blaxter, L.,C. Hughes, and M. Tight. 1996. How To Research. Buckingham : Open
University press.
Hakim, C. 1982. Secondary Analysis in Social Research : A Guide to Data Scores and
Methods with Examples. London ; George Allen X Unwin.

บทท่ี 6
เสนอแนวคิดในการงานวิทยานพิ นธ์

วจิ ัยเรอื่ ง

การเปรยี บเทียบความคิดสร้างสรรคใ์ นวิชาการวาดเขยี นพ้ืนฐานทใ่ี ช้วิธีสอนตามแนวคดิ การสร้างสรรคค์ วามรู้
กับวิธีสอนแบบปกติ กรณีศึกษาของนักเรยี นระดับช้ันประกาศนียบตั รวิชาชีพ (ปวช.1) วิทยาลยั เทคโนโลยีภาค

ตะวนั ออกเฉียงเหนอื

วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ัย
1. เพื่อเปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียน ก่อนได้รับการสอนโดยใช้วิธีสอนตามแนวคิด

การสรา้ งสรรค์ความรู้ และกอ่ นไดร้ บั การสอนแบบปกติ
2. เพื่อเปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียน ก่อนได้รับการสอนโดยใช้วิธีสอนตามแนวคิด

การสร้างสรรค์ความรู้ และหลังไดร้ บั การสอนตามแนวคิดการสร้างสรรค์ความรู้
3. เพอื่ เปรยี บเทยี บความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียน ก่อนไดร้ ับการสอนโดยใชว้ ิธสี อนแบบปกติ และ

หลังไดร้ บั การสอนแบบปกติ
4. เพอ่ื เปรียบเทยี บความคดิ สรา้ งสรรค์ของนักเรยี น หลงั ไดร้ บั การสอนโดยใช้วธิ สี อนตามแนวคดิ การ

สรา้ งสรรคค์ วามรู้ และหลังได้รับการสอนแบบปกติ

เครื่องมือวจิ ยั /เคร่อื งมือเก็บรวบรวมข้อมูล
1. แผนการจัดการเรยี นรตู้ ามแนวการสร้างสรรคค์ วามรู้ จำนวน 6 แผน 18 คาบ
2. แผนการจัดการเรยี นรู้แบบปกติ จำนวน 6 แผน 18 คาบ
3. แบบทดสอบวดั ความคดิ สร้างสรรค์ จำนวน 4 ฉบบั

ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง
1. ประชากร ได้แก่ นักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.1) ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา

2565 วทิ ยาลัยเทคโนโลยภี าคตะวนั ออกเฉียงเหนือ จังหวดั ขอนแก่น จำนวน 2 หอ้ งเรยี น จำนวนนักเรียน 40
คน

2. กลมุ่ ตัวอยา่ ง ได้แก่ นกั เรยี นระดบั ชน้ั ประกาศนียบตั รวชิ าชพี (ปวช.1) ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา
2565 วทิ ยาลัยเทคโนโลยภี าคตะวันออกเฉียงเหนือ จงั หวดั ขอนแก่น จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวนนกั เรียน 20
คน ซึ่งได้มาโดยวิธีสุ่ม แบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) กลุ่มทดลอง 1 กลุ่ม และ กลุ่มควบคุม 1
กลมุ่ ๆ ละ 10 คน

การหาคุณภาพเครือ่ งมอื
1. แผนการจดั การเรยี นร้ตู ามแนวคดิ การสร้างสรรค์ความรู้ และแผนการจดั การเรียนร้แู บบปกติ เพ่อื

หาคา่ ดัชนีความสอดคลอ้ ง (IOC)
2. แบบทดสอบวดั ความคิดสร้างสรรค์ จำนวน 4 ฉบบั
2.1 หาค่าดชั นคี วามสอดคลอ้ ง (IOC)

51
2.2 หาค่าความเชื่อมั่นแบบสอบซ้ำ (Test-retest method) โดยหาค่าความสัมพันธ์ของ
คะแนนจากแบบทดสอบความคิดสร้างสรรค์ จากการวิจัย โดยใช้ สัมประสิทธ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน
(Pearson product moment Correlation) ( ล้วน สายยศและอังคณา สายยศ. 2536ง : 163-164 )
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง แบบ pretest posttest control group design (ชัยพร พงษ์
พสิ ันต์รัตน์, 2544 : 58)
ตาราง แบบแผนการวิจยั

การรวบรวมข้อมลู
1. ทดสอบก่อนเรียนโดยการนำแบบทดสอบความคิดสร้างสรรค์ฉบับก่อนเรียนไปทดสอบกับ

นักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ กลุ่มที่ได้รับการสอนโดยใช้วิธีสอนตามแนวคิดการสร้างสรรค์ความรู้ และกลุ่มที่
ไดร้ บั การสอนโดยใช้วธิ ีสอนแบบปกติ บนั ทกึ ผลการทดสอบเพือ่ นำมาใชใ้ นการวิเคราะห์ข้อมลู

2. ทำการทดลอง โดยการทำการสอนกับนักเรียนทง้ั สองกลุ่ม กลุ่มทดลองใชว้ ธิ ีสอนตามแนวคิดการ
สรา้ งสรรค์ความรู้ กลมุ่ ควบคมุ ใชว้ ธิ สี อนแบบปกติ จำนวน 6 แผน จำนวน 18 คาบ รวมทัง้ สิ้น 36 คาบ ในภาค
เรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2565

3. ทดสอบหลงั เรียนโดยการนำแบบทดสอบความคิดสร้างสรรค์ฉบับหลังเรียนไปทดสอบกับนักเรียน
กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ กลุ่มที่ได้รับการสอนโดยใชว้ ธิ ีสอนตามแนวคิดการสร้างสรรค์ความรู้ และกลุ่มที่ได้รับการ
สอนโดยใช้วธิ ีสอนแบบปกติ บันทึกผลการทดสอบเพ่ือนำมาใช้ในการวเิ คราะหข์ ้อมูล

52

เคร่อื งมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมลู ได้แก่ แบบทดสอบความคิดสร้างสรรค์ โดยผู้วิจัยเป็นผู้สร้าง
ขึ้น ตามแนวของแบบทดสอบความคิดสร้างสรรค์ตามแนวคิดและทฤษฎี ของนักวิชาการหลาย ๆ ท่าน เป็น
แบบทดสอบที่ใช้วัดความคิดสร้างสรรค์ในวชิ าการวาดเขียนพื้นฐานด้านการวาดภาพจากสิ่งเร้าที่กำหนด โดย
ใช้เวลาในการทดสอบเวลา 60 นาที ประกอบด้วยแบบทดสอบจำนวน 4 ฉบับ ได้แก่ ฉบับที่ 1 ใช้เวลา 10
นาที ฉบับที่ 2 ใช้เวลา 10 นาที ฉบับท่ี 3 ใช้เวลา 30 นาที และฉบับที่ 4 ใช้เวลา 10 นาที วัดความคิด
สร้างสรรค์ ทั้ง 4 ด้าน ประกอบด้วย ความคิดคล่องแคล่ว ความคิดริเริ่ม ความคิดยืดหยุ่น และความคิด
ละเอยี ดละออ แบบทดสอบจำนวน 4 ฉบับ แบบทดสอบนี้ เรยี กวา่ กิจกรรม

การวเิ คราะหข์ อ้ มลู

1. ค่าสถิตพิ ื้นฐาน
1.1 ค่าเฉลี่ย (Mean) (ล้วน สายยศ และ อังคณา สายยศ. 2536ค : 59)
1.2 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ.

2540 : 103)
2. สถติ ทิ ี่ใช้หาคณุ ภาพของเคร่ืองมอื
2.1 แผนการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการสร้างสรรค์

ความรู้ และแผนการจัดการเรียนรูแ้ บบปกติ โดยหาคา่ ดัชนีความสอดคลอ้ ง (IOC)
2.2 แบบทดสอบวัดความคดิ สร้างสรรค์ จำนวน 4 ฉบบั
2.2.1 หาคา่ ดัชนีความสอดคล้อง (IOC)
2.2.2 หาค่าความเชื่อมั่นแบบสอบซ้ำ โดยหาค่าความสัมพันธ์ของคะแนนจาก

แบบทดสอบความคิดสร้างสรรค์ จากการทดลองวิจัยโดยใช้สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ( Pearson
product moment correlation)

3. สถิติท่ใี ชใ้ นการทดสอบสมมติฐาน
3.1 เปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียน ก่อนได้รับการสอนโดยใช้วิธีสอนตาม

แนวคิดการสร้างสรรค์ความรู้ และก่อนได้รับการสอนแบบปกติ โดยการใช้ t-test แบบอิสระต่อกัน (t-test
Independent)

3.2 เปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียน ก่อนได้รับการสอนโดยใช้วิธีสอนตาม
แนวคดิ การสร้างสรรค์ความรู้ และหลังไดร้ ับการสอนตามแนวคิดการสร้างสรรค์ความรู้ โดยการใช้ t-test แบบ
ไม่อิสระตอ่ กัน (t-test dependent)

3.3 เปรยี บเทยี บความความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียน กอ่ นได้รับการสอนโดยใชว้ ิธีสอนแบบ
ปกติ และหลังได้รับการสอนแบบปกติ โดยการใช้ t-test แบบไมอ่ สิ ระตอ่ กนั (t-test dependent)

3.4 เปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียน หลังได้รับการสอนโดยใช้วิธีสอนตาม
แนวคิดการสร้างสรรค์ความรู้ และหลังได้รับการสอนแบบปกติ โดยการใช้ t-test แบบอิสระต่อกัน (t-test
independent)

53

สญั ลกั ษณ์ทีใ่ ชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มูล
เพื่อความเข้าใจตรงกันในการแปลความหมายทางการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้กำหนดสัญลักษณ์

ตา่ งๆ ท่ใี ช้แทนความหมายดงั น้ี

54

บรรณานกุ รม

บำเพ็ญ งว้ิ ทอง (กศ.ม.(หลักสตู รและการสอน)) มหาวิทยาลัยทกั ษณิ , 2550. ศลิ ปะ การศกึ ษาและการสอน
(มธั ยมศกึ ษา) วิจัย.

บทที่ 7
การตรวจสอบคุณภาพของเครือ่ งมอื ที่ใช้ในการวิจัย

ในการสร้างและพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยที่มีประสิทธิภาพ ที่จะสามารถนำไปใช้ในการเก็บ
รวบรวมข้อมูลที่นำมาวิเคราะห์เพื่อตอบปัญหาการวิจัยได้เป็นอย่างดี จำเป็นจะต้องมีขั้นตอนที่เป็นระบบใน
การสร้างและพัฒนา โดยหลังจากสร้างเครื่องมือเสร็จแล้วจะต้องนำเครื่องมือไปทดลองใช้แล้วนำข้อมูลมา
วิเคราะห์เพื่อหาค่าดัชนีที่บ่งชี้คุณภาพของเครื่องมือนั้นๆ ว่าเป็นอย่างไรที่เป็นขั้นตอนของ “การตรวจสอบ
คุณภาพของเครอื่ งมือท่ีใชใ้ นการวจิ ัย”

ความเที่ยงตรง

1. ความหมายของความเทย่ี งตรง
ความเที่ยงตรง (Validity) มีลักษณะที่เรียกวา่ “Measure What to Measure” ที่หมายถึงเครื่องมือ

วัดในสิ่งที่ต้องการวัด ไม่ใช่ต้องการวัดอย่างหนึ่งแล้วได้สิ่งอื่นมาทดแทนความเที่ยงตรง เป็นความสอดคล้อง
หรอื ความเหมาะสมของผลการวัดกับเน้ือเร่อื ง หรือเกณฑห์ รือทฤษฎีที่เก่ียวกับลักษณะท่ีมุ่งวัด (ศิริชัย กาญจน
วาสี ,2544 : 73)

ความเที่ยงตรง เป็นคุณภาพของเครื่องมือที่สร้างขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพในการทำนายอนาคตของ
พฤตกิ รรม หรอื เปน็ ค่าสหสมั พันธข์ องเครื่องมือที่สร้างขนึ้ กบั องคป์ ระกอบท่ีต้องการวดั ซงึ่ เครอื่ งมือแต่ละอย่าง
จะมีจุดมุ่งหมายเฉพาะอย่าง ดังนั้นเครื่องมือที่มีความเที่ยงตรงในจุดมุ่งหมายหนึ่งไม่จำเป็นต้องมีความ
เที่ยงตรงในจุดมุง่ หมายทัง้ หมด (Wainer and Braun,1988 : 20) สรุปได้ว่าความเที่ยงตรง หมายถึง คุณภาพ
ของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจยั ที่สร้างขึน้ เพื่อใช้วัดในคุณลักษณะ/พฤติกรรม/เนื้อหาสาระท่ีต้องการวัดได้อยา่ ง
ถูกต้อง ครอบคลมุ มีประสทิ ธิภาพ และวัดได้ถกู ต้องตามความเปน็ จริง

2. ธรรมชาตขิ องความเทย่ี งตรง
ในเครื่องมือการวิจัย มีธรรมชาติของความเที่ยงตรงที่นักวิจัยควรพิจารณา ดังน้ี (Gronlund,1985 :

51)
2.1 ความเที่ยงตรง เป็นประเด็นที่อา้ งองิ จากการตีความหมายของผลท่ีได้รบั จากการใช้เครือ่ งมือใน

การเก็บรวบรวมข้อมลู ไมใ่ ชเ่ ป็นความเทย่ี งตรงของเครื่องมอื โดยตรง
2.2 ความเที่ยงตรงเป็นการนำเสนอผลในลกั ษณะของระดบั ว่ามมี ากหรือน้อยที่มคี ่าที่แตกต่างกัน
2.3 ความเที่ยงตรงเป็นคุณสมบัติเฉพาะประเด็น / จุดประสงค์ที่ต้องการเก็บรวบรวมข้อมูลเท่านั้น

แตจ่ ะไมม่ เี ครอ่ื งมือประเภทใดท่มี คี วามเทีย่ งตรงทคี่ รบถ้วน สมบรู ณใ์ นทกุ ประเดน็ หรือจุดประสงค์
2.4 ความเที่ยงตรงเป็นความคดิ รวบยอดเชิงเดี่ยว เป็นค่าของตัวเลขที่ได้มาจากหลักฐานหลากหลาย

แหล่ง หลักการพื้นฐานที่ใช้พิจารณาตีความหมายของความเที่ยงตรง ได้แก่ จุดประสงค์ เนื้อหาเกณฑ์ หรือ
โครงการ เปน็ ต้น

56

3. ประเภทของความเทีย่ งตรง
ในเครื่องมือวิจัยใดๆ จำแนกประเภทของความเที่ยงตรง ดังนี้ (บุญใจ ศรีสถิตย์นรากูร.2547 : 226-

227)
3.1 ความเทีย่ งตรงเชงิ เน้อื หา (Content Validity) เป็นการตรวจสอบสรุปอ้างองิ ถึงมวลเนอ้ื หาสาระ

ความรู้ หรือประสบการณ์ ที่เครื่องมือมุ่งวัดว่ามีความครอบคลุม หรือเป็นตัวแทนมวลความรู้ หรือ
ประสบการณไ์ ด้ดีเพียงไรที่สามารถดำเนินการได้ 2 ขน้ั ตอน คอื ขั้นตอนท่ี 1 จำแนกตวั แปรให้ครอบ คลุมตาม
แนวคดิ หรอื วัตถปุ ระสงค์โดยการสร้างตารางวิเคราะห์ประเด็น/หลักสูตรและขั้นตอนที่ 2 พัฒนาเคร่ืองมือให้มี
ความครอบคลุมตัวแปรและวัตถุประสงค์ และสามารถตรวจสอบได้โดย 1)ให้ผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์นั้น ๆ
ตรวจสอบความเหมาะสมของนิยาม ขอบเขตของเนื้อหา หรือประสบการณ์ที่มุ่งวัด 2) ตรวจ สอบเนื้อหาหรือ
พฤติกรรมบางส่วนว่ามีความสอดคล้องกับเนื้อหาหรือพฤติกรรมทั้งหมดหรือไม่และ 3) เปรียบเทียบสัดส่วน
ของข้อคำถามว่ามีความสอดคล้องกับน้ำหนักความสำคัญของแต่ละเนื้อเรื่องที่มุ่งวดั มากน้อยเพียงไร ดังแสดง
การตรวจสอบความเทีย่ งตรงตามเน้ือหา (Bailey.1987 :67) ในภาพที่ 1.1 (Bailey, 1987 :67)

ภาพที่ 1.1 การตรวจสอบความเทย่ี งตรงตามเน้ือหา

3.2 ความเทย่ี งตรงเชิงเกณฑ์สัมพนั ธ์ (Criterion-related Validity) เปน็ การตรวจสอบสรุปอา้ งอิง
สมรรถนะการดำเนนิ งานของส่ิงทม่ี ุ่งวดั วา่ การวดั ไดผ้ ลสอดคลอ้ งกับการดำเนินงานนั้นเพียงใด ทจี่ ำแนกได้ดังนี้

3.2.1 ความเท่ยี งตรงเชงิ สภาพ (Concurrent Validity) ทใี่ ชเ้ กณฑเ์ ทยี บความ สมั พันธ์ท่ีเปน็
สถานภาพการดำเนินการทเ่ี ป็นอยูจ่ ริงในปัจจุบัน ท่สี ามารถตรวจสอบได้โดยคำนวณค่าสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์
ระหว่างคะแนนท่ีวดั ได้จากเคร่ืองมือนัน้ กับคะแนนทว่ี ดั ได้จากเคร่ืองมือมาตรฐานอนื่ ๆ ทว่ี ดั สงิ่ นั้นได้ในปัจจุบัน
โดยมคี ่าสมั ประสิทธสิ์ หสมั พันธ์ต้งั แต่ 0.80 ขึ้นไปดังแสดงการตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงสภาพในภาพที่ 1.2
(Bailey,1987 :68)

57

ภาพที่ 1.2 การตรวจสอบความเทย่ี งตรงเชิงสภาพ
3.2.1 ความเท่ียงตรงเชิงพยากรณ์ (Predictive Validity) ที่ใชเ้ กณฑเ์ ทียบความสมั พันธเ์ ป็น
ผลสำเรจ็ ของการปฏิบัติงานนัน้ ในอนาคต ทต่ี รวจสอบไดโ้ ดยคำนวณค่าสัมประสิทธ์สิ หสัมพันธ์ระหว่างคะแนน
ที่วัดได้จากเครื่องมือนั้นกับคะแนนที่วัดได้จากเครื่องมือมาตรฐานอื่น ๆ ที่วัดสิ่งนั้นได้ในอนาคต ดังแสดงใน
ภาพที่ 1.3 (Bailey,1987:68)

ภาพที่ 1.3 การตรวจสอบความเทีย่ งตรงเชิงพยากรณ์
3.3 ความเทยี่ งตรงเชิงโครงสรา้ ง (Construct Validity) เปน็ การสรุปอ้างองิ โครงสร้างของสิ่งที่มุ่งวัด
ว่าการวดั ได้ผลตรงตามทฤษฎีของโครงสรา้ งน้ัน ๆ ไดด้ เี พียงไร (Punch,1998: 101) ที่ตรวจสอบได้ โดยศึกษา
ความสัมพันธ์ระหว่างผลที่ได้จากเครื่องมือนั้นกับโครงสร้างและความหมา ยทางทฤษฎีของสิ่งที่มุ่งวัดด้วยวิธี
ตดั สินโดยใช้ผู้เชย่ี วชาญพิจารณา เปรียบเทยี บคะแนนกับกลมุ่ ทไี่ ด้ผลหรือวิธวี เิ คราะห์เมตริกพหลุ กั ษณะ-พหุวิธี
หรอื การวเิ คราะห์องค์ประกอบ เป็นตน้ ดังแสดงวิธกี ารตรวจสอบความเท่ยี งตรงเชิงโครงสรา้ งในภาพที่ 1.4 (ศิ
รชิ ยั กาญจนวาสี,2544 : 92)

58

ภาพที่ 1.4 การตรวจสอบความเท่ียงตรงเชงิ โครงสรา้ ง

4. แนวทางปฏิบตั เิ บ้อื งตน้ ในการสร้างเคร่ืองมือวจิ ยั ใหม้ ีความเที่ยงตรงในการสรา้ งเครื่องมอื วิจัยให้มีความ
เทย่ี งตรง มแี นวทางการปฏบิ ัติเบอ้ื งตน้ ดังนี้ (อาธง สทุ ธาศาสน์,2527 : 100-101)

4.1 ในการกำหนดความหมายของตัวแปรต้องใหม้ คี วามสอดคลอ้ งและครอบคลมุ ประเด็นที่ตอ้ งการ
โดยใชแ้ นวคดิ ทฤษฎีและปรึกษากับผเู้ ชี่ยวชาญ

4.2 การกำหนดขอ้ คำถาม/สรา้ งเคร่ืองมือวิจยั ควรคำนงึ ถงึ หลักตรรกศาสตร์และทฤษฎที ่ีเกยี่ วข้อง
เปน็ กรอบแนวทาง

4.3 ใหผ้ เู้ ชี่ยวชาญได้พิจารณาเบือ้ งต้นในการพิจารณาความเหมาะสมและความครอบคลุม
4.4 ระมดั ระวงั ในความสอดคล้องระหวา่ งข้อคำถามและการกำหนดความหมายของตวั แปรท่ี
ต้องการอยู่ตลอดเวลา

5. การตรวจสอบความเท่ยี งตรงของเครือ่ งมือ
ในการตรวจสอบความเท่ียงตรงของเคร่ืองมือ จำแนก ไดด้ งั นี้
5.1 วิธกี ารตรวจสอบความเท่ียงตรงเชิงเนื้อหา เป็นการตรวจสอบเคร่ืองมือมีความเป็นตัวแทน หรือ

ครอบคลุมเนื้อหาหรือไม่ โดยพิจารณาจากตารางวิเคราะห์เนื้อหา หรือตรวจสอบความสอดคล้องของเนื้อหา
กบั จุดประสงค์ทีก่ ำหนด จำแนกไดด้ ังนี้

5.1.1 วิธีที่ 1 จากการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์นั้นๆ จำนวน 3-7 คนเพื่อลงสรุป
โดยใช้ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับจุดประสงค์ (Index of Item Objective Congruence :
IOC) ทมี่ ีเกณฑใ์ นการพิจารณาใหค้ ะแนน ดังนใ้ี ห้

1 เมอ่ื แนใ่ จวา่ ขอ้ คำถามมคี วามสอดคล้องกับจุดประสงค์
0 เมื่อไมแ่ น่ใจวา่ ขอ้ คำถามมคี วามสอดคล้องกบั จุดประสงค์หรอื ไม่
-1 เมอื่ แน่ใจวา่ ข้อคำถามไม่สอดคล้องกับจุดประสงค์

59

หลังจากนั้นนำคะแนนของผู้เช่ียวชาญมาหาค่าดัชนีความสอดคล้อง โดยใช้สูตรของ โรวิเนลลี และ
แฮมเบิลตนั มสี ตู รการคำนวณ (Rovinelli and Hambleton, 1977 : 49-60)

IOC = ∑



โดยท่ี IOC เป็นคา่ ดชั นคี วามสอดคลอ้ งระหว่างขอ้ คำถามกบั จุดประสงค์
∑ เป็นผลรวมของคะแนนจากการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญ
N เป็นจำนวนผเู้ ชยี่ วชาญ

โดยกำหนดเกณฑ์การพิจารณาระดับค่าดัชนีความสอดคล้อง ของข้อคำถามที่ได้จากการคำนวณจาก
สูตรทีจ่ ะมคี ่าอย่รู ะหว่าง 0.00 ถึง 1.00 มีรายละเอยี ดของเกณฑก์ ารพิจารณา ดงั น้ี

มีคา่ IOC ตง้ั แต่ 0.5 ขึน้ ไป คดั เลอื กข้อสอบขอ้ น้นั ไวใ้ ช้ได้
แต่ถ้าไดค้ ่า IOC ตำ่ กว่า 0.5 ควรพจิ ารณาแกไ้ ขปรบั ปรุง หรอื ตดั ท้ิง
โดยกำหนดรูปแบบของแบบตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเน้ือหาของแบบทดสอบดังแสดงในตารางที่
1.1

ตารางที่ 1.1 รูปแบบของแบบตรวจสอบที่ให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของ
เครอ่ื งมือที่ใชใ้ นการวจิ ัย

จดุ ประสงคท์ /ี่ ข้อคาถาม ผลการพิจารณา
เนอื้ หา
1 ………………………………………. +1 0 -1
1 ………………………………………. 2 ………………………………………. …….. …….. ……..
3 ………………………………………. …….. …….. ……..
2 ………………………………………. 4 ………………………………………. …….. …….. ……..
…….. …….. ……..

ดังแสดงตวั อยา่ งการหาคา่ ดชั นคี วามสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับจุดประสงคใ์ นตวั อย่างท่ี 9.1

60
ตวั อย่างที่ 1.1 การหาความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกบั จดุ มุ่งหมายของผูเ้ ชี่ยวชาญจำนวน 3 คน
ในการพจิ ารณาข้อคำถามข้อที่ 1-4 กบั จุดประสงค์ข้อท่ี 1 มีดงั นี้
วิธีทำ

จากตารางแสดงว่ามีข้อสอบในการหาความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดมุ่งหมายมี ข้อสอบที่
สอดคล้องกบั เกณฑ์ จำนวน 2 ขอ้ คือ ข้อท่ี 1 และขอ้ ที่ 4 ทีส่ ามารถนำไปใชไ้ ด้ (คา่ IOC มากกว่า 0.5)

5.1.2 วิธีที่ 2 วิธีการหาดชั นีความเที่ยงตรงเชิงเนือ้ หาท้ังฉบบั เป็นวิธีการทีป่ ระยุกต์จากแฮม
เบลตนั และคณะ (บุญใจ ศีรสถิตยน์ รากลู ,2547 : 224-225) มดี ังนี้

5.1.2.1 ขั้นที่ 1 นำแบบทดสอบพร้อมเนื้อหาสาระ/โครงสร้างที่ต้องการวัดไปให้
ผู้เชี่ยวชาญได้พิจารณาความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับเนื้อหาสาระ/โครงสร้างท่ีกำหนดเกณฑ์เพือ่ แสดง
ความคดิ เห็น ดงั นี้

ให้ 1 เมื่อพิจารณาว่า ข้อคำถามไม่สอดคลอ้ งกับเนื้อหาสาระ/โครงสรา้ ง
2 เมื่อพิจารณาว่า ข้อคำถามจะต้องได้รบั การปรับปรงุ แก้ไขอยา่ งมาก
3 เม่อื พจิ ารณาวา่ ขอ้ คำถามจะต้องได้รับแก้ไขปรบั ปรงุ เล็กนอ้ ย
4 เมื่อพจิ ารณาว่า ขอ้ คำถามมีความสอดคล้องกบั เน้ือหาสาระ/โครงสร้าง
5.1.2.2 ขั้นท่ี 2 รวบรวมความคิดเหน็ ของผเู้ ช่ียวชาญมาการแจกแจงเป็นตาราง
5.1.2.3 ขั้นท่ี 3 รวมจำนวนข้อคำถามท่ีผู้เช่ยี วชาญทุกคนที่ใหค้ วาม

คดิ เห็นในระดบั 3 และ 4

61
5.1.2.4 ขั้นท่ี 4 หาดชั นีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาจากสตู รคำนวณ

CVI = ∑ 3,4



เม่อื CVI เปน็ ดัชนีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา
∑ 3,4 เปน็ จำนวนข้อที่ผ้เู ช่ียวชาญทุกคนให้ระดบั 3 และ 4
N เป็นจำนวนขอ้ สอบทง้ั หมด

โดยมีเกณฑ์การพิจารณาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาที่ใช้ได้ ตั้งแต่ 0.8 ขึ้นไป (Davis 1992:104) และ
ควรนำข้อคำถามที่ได้จากข้อที่ 1 และ 2 ไปปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้เครื่องมือวิจัยมีความครอบคลุมตัวแปรท่ี
ตอ้ งการศึกษา ดังตัวอยา่ งการหาค่าดชั นีความเทีย่ งตรงเชิงเนื้อหา

ดงั แสดงตวั อยา่ งการหาคา่ ดัชนีความเทีย่ งตรงเชิงเนื้อหาทั้งฉบับในตวั อย่างที่ 1.2
ตัวอย่างท่ี 1.2 การหาค่าดัชนีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา/โครงสร้างของแบบทดสอบฉบับหนึ่งที่มีผล
การพิจารณาของผเู้ ชีย่ วชาญ ดงั แสดงข้อมูลในตาราง
วิธีทำ

จากตารางวเิ คราะห์พบวา่ ข้อทผ่ี ู้เช่ียวชาญแสดงความคิดเห็นในระดบั 3 และ 4 ไดแ้ ก่ 1,2,4,5,6 เปน็
จำนวน 5 ขอ้ ดังนั้น

CVI = ∑ 3,4



แทนคา่ CVI = 5 ≈ 0.83
6

แสดงว่าแบบสอบถามฉบบั นี้มีคา่ ความเทยี่ งตรงเชิงเน้ือหาเท่ากบั 0.83 ผ่านเกณฑก์ ารพิจารณา

62

5.2 วิธีการตรวจสอบความเที่ยงตรงเชงิ โครงสร้าง มีวธิ ีการตรวจสอบ ดงั น้ี
5.2.1 การตรวจเชิงเหตผุ ล เปน็ การตรวจสอบเน้ือหาของขอ้ คำถามวา่ สอดคล้องกับกรอบ

แนวความคิด หรือทฤษฏีที่ใช้กำหนดเป็นโครงสร้างในการวัดหรือไม่ โดยจัดทำเป็นตารางโครงสร้างให้
ผเู้ ชีย่ วชาญไดพ้ จิ ารณาตรวจสอบ

5.2.2 การตรวจสอบความสอดคล้องภายใน โดยการหาค่าสัมประสิทธิ์สหสมั พันธ์ระหว่าง
ข้อคำถามแต่ละข้อกับคะแนนรวมของทั้งชุด หรือหาสหสัมพันธ์แบบไบซีเรียลระหว่างกลุ่มที่ได้คะแนนสูง กับ
คะแนนต่ำ ถ้าข้อใดมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์สูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แสดงว่ามีความเที่ยงตรงเชิง
โครงสร้าง (ประชุมสุข อาชวี บำรงุ , 2519 : 117 อ้างองิ ในบญุ ธรรม กจิ ปรดี าบริสุทธิ์, 2534 : 190)

5.2.3 เทคนิควิธีการใช้กลุ่มที่คุ้นเคย (Known-Group Technique) เป็นวิธีการนำ
เครื่องมือชุดที่ต้องการตรวจสอบไปให้กลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่ม (จำนวนสมาชิกเท่ากัน) ได้ตอบคำถามโดยที่กลุ่ม
ตัวอย่างจะมีลักษณะตรงกันข้ามกล่าวคือ กลุ่มแรกจะมีลักษณะสอดคล้องกับสิ่งที่ต้องการในแบบสอบถาม
ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งจะมีลักษณะตรงกันข้ามกับกลุ่มแรก แล้วนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะหเ์ พื่อหาอำนาจจำแนกเป็น
รายข้อโดยใช้การทดสอบค่าที จากสตู ร (Mclver and Carmines, 1981 : 24)

เมอ่ื t เปน็ คา่ อำนาจจำแนกเปน็ รายขอ้
X1 เปน็ ค่าเฉล่ียของกลุม่ ท่ี 1
X2 เปน็ ค่าเฉลย่ี ของกลมุ่ ที่ 2
S12 เปน็ ความแปรปรวนของกล่มุ ที่ 1
S22 เป็นความแปรปรวนของกลุ่มท่ี 2
N เป็นจำนวนคนในกลมุ่ ตัวอยา่ งกลมุ่ ท่ี 1 หรือ 2

โดยค่าอำนาจจำแนกรายข้อที่ได้จะต้องมีค่า t มากกว่า 1.75 จึงจะเป็นข้อคำถามที่มีอำนาจจำแนก
คุณลักษณะของตัวแปรที่ต้องการ และเมื่อนำมาพิจารณาในภาพรวมจะระบุว่าแบบสอบถามฉบับนั้นมีความ
เทีย่ งตรงเชงิ โครงสรา้ ง

5.2.4 การวิเคราะห์องค์ประกอบ ที่เป็นการวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างข้อคำถาม
แต่ละข้อเพื่อระบุลักษณะร่วมกันวา่ ข้อคำถามท้ังหมดประกอบด้วยองคป์ ระกอบอะไรบ้างสอดคล้องกับทฤษฎี
หรือสมมตุ ฐิ านทก่ี ำหนดไว้หรือไม่ ถา้ มคี วามสอดคล้องก็แสดงว่ามีความเทีย่ งตรงเชิงโครงสร้าง

5.2.5 การใช้เมตริกลักษณะหลาก - วิธีหลาย ที่เป็นวิธีการตรวจสอบความเท่ียงตรงเชิงลู่
เข้า (Convergent) ที่เป็นการหาสหสัมพันธ์ระหว่างเครื่องมือที่วัดลักษณะเดียวกันแต่ใช้วิธีการต่างกัน และ
ความเที่ยงตรงเชิงจำแนก (Discriminant) ที่ใช้หาสหสัมพันธ์ระหว่างเครื่องมือที่วัดลักษณะต่างกันแต่วัดด้วย
วธิ ีการเดยี วกัน (Brown,1979 : 135)

5.3 การตรวจสอบความเทีย่ งตรงตามเกณฑ์ มวี ิธีการดังนี้ (บุญธรรม กจิ ปรีดาบรสิ ุทธ์ิ, 2534 : 192-
193)

63

5.3.1 การหาสัมประสิทธิ์ความเที่ยงตรง โดยการหาสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน
(กรณที ่เี ปน็ คะแนน) หรอื สหสัมพนั ธแ์ บบไบซเี รียล (กรณีคะแนนเป็น 2 กรณี อาทผิ ่าน-ไมผ่ า่ น)ระหว่างผลของ
การวดั จากเครื่องมอื ท่ีสรา้ งขึ้นกบั เกณฑท์ ่ีกำหนด(เชงิ พยากรณ์)

5.3.2 การเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างกลุ่ม เป็นการแบง่ กลุ่มตัวอย่างท่ีต้องการนำ
เครื่องมือไปทดลองใช้เป็น 2 กลุ่มตามเกณฑ์ที่กำหนด แล้วน าคะแนนที่ได้มาหาค่าเฉลี่ยและความแปรปรวน
แล้วนำไปเปรียบเทียบด้วยการทดสอบที ถ้าผลการเปรียบเทียบพบว่าแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ โดยกลุ่มที่ได้
คะแนนเฉลี่ยที่สูงกว่าเป็นกลุ่มที่มีลักษณะที่ต้องการ แสดงว่าเครื่องมือนั้นมีความที่ยงตรงตามเกณฑ์สัมพันธ์
(เชงิ สภาพจรงิ )

6. องค์ประกอบทีม่ ีผลตอ่ ความเที่ยงตรง
ในการสร้างเครื่องมือวิจัยให้มีความเที่ยงตรง มีองค์ประกอบที่ควรพิจารณาดำเนินการเพื่อให้เกิด

ความเที่ยงตรง ดงั น้ี
6.1 องค์ประกอบจากเครื่องมือวิจัย เครื่องมือวิจัยที่มคี วามเที่ยงตรง จะต้องมีกระบวนการสร้างท่ดี ี

และมีคำชแ้ี จงทีช่ ัดเจน มีโครงสร้างการใชภ้ าษาที่ง่าย ๆ ไมก่ ำกวมไมม่ ีคำถามนำมีความยากงา่ ยท่ีเหมาะสม มี
รูปแบบการดำเนนิ การทเ่ี หมาะสมและไมม่ จี ำนวนข้อคำถามท่ีนอ้ ยเกินไป

6.2 องค์ประกอบจากการบรหิ ารจัดการและการตรวจให้คะแนน ในการดำเนนิ การจะต้องกำหนดให้
เวลาทเ่ี หมาะสม มแี นวคำตอบท่ไี มเ่ ปน็ ระบบและมีการตรวจใหค้ ะแนนทเ่ี ปน็ ปรนัย

6.3 องค์ประกอบจากผูใ้ ห้ข้อมลู เครอ่ื งมอื วจิ ัยที่มีความเทีย่ งตรงกลุ่มผู้ให้ข้อมลู ต้องมีความแตกต่าง
กันห้ามเดา/คาดคะเนคำตอบ รูปแบบของเครื่องมือวิจัย และความไม่พร้อมทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจของ
ผู้ให้ข้อมลู

6.4 องค์ประกอบจากเกณฑ์ที่ใช้อ้างอิง ในการใช้เกณฑ์อ้างอิงจะต้องมีความเชื่อถือได้ตามประเภท
ความเที่ยงตรง อาทิ ความชัดเจนของเนื้อหาที่มุ่งวัดเป็นเกณฑ์ในการตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา ,
ความเหมาะสมของการคัดเลอื กเกณฑส์ มรรถนะทเี่ ปน็ เกณฑ์ในการตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเกณฑ์สัมพันธ์
และความเหมาะสม/การยอมรับของทฤษฎี/แนวคิด/หลักการที่เกี่ยวข้องกับลักษณะที่มุ่งวดั ทเี่ ป็นเกณฑ์ในการ
ตรวจสอบความเทีย่ งตรงเชิงโครงสร้าง

ความเชอ่ื มน่ั

1. ความหมายของความเช่ือมน่ั

นกั วชิ าการไดน้ ำเสนอความหมายของความเชือ่ มั่น ดงั นี้
ความเชื่อมั่น (Reliability) เป็นคุณสมบัติของเครื่องมือวัดสิ่งที่ต้องการวัดไม่ว่าจะวัดกี่ครั้งหรือวัดใน
สภาพการณ์ที่แตกต่างกันจะได้รับผลการวัดคงเดิม (นงลักษณ์ วิรัชชัย,2543 : 170 ; บุญธรรม กิจปรีดา
บริสุทธ์ิ,2534 :17) ความเชื่อมั่นมีความหมายของความเชื่อมั่นใน 3 ลักษณะดังนี้ 1) ความเชื่อมั่นเป็นความ
คงทคี่ วามเชอื่ ถือได้ และความสามารถที่ทำนายได้ 2) ความเชอื่ มั่นที่เปน็ ความถูกต้องในการวัดสิ่งท่ีต้องการวัด
อยา่ งไม่ผดิ พลาด และ 3) ความเชอ่ื ม่ันเป็นคุณสมบตั ิของการวดั ท่ีไม่มคี วามคลาดเคลื่อนในการวดั ให้ผลการวัด
ทีถ่ กู ตอ้ ง ชดั เจนแน่นอน (Kerlinger,1986 : 405) ความเชื่อมนั่ เป็นสัมประสิทธ์สิ หสัมพนั ธร์ ะหว่างคะแนนชุด
หน่ึงกับคะแนนอีกชุดหน่ึงของเคร่ืองมือวัดลักษณะท่ีเหมือนกันสองชดุ และเปน็ อสิ ระจากกันท่ีได้จากผู้ให้ข้อมูล
กลุ่มเดียวกนั (Ebeland Frishie, 1986 :71) ความเชือ่ มัน่ เป็นคุณภาพของเครือ่ งมือ ที่สามารถใชว้ ัดหลาย ๆ
ครั้ง แล้วได้ผลของการวดั ท่ีมคี วามคล้ายคลึงกัน “ความคงเส้นคงวา” หมายถึง ในการทดสอบครั้งที่ 1 นาย B

64
ได้ลำดับที่ 1 ,นาย A ได้ลำดับที่ 2 และ นาย C ได้ลำดับที่ 3 และในการทดสอบครั้งที่ 2,3,... ผลการทดสอบ
ยังคงมีลำดบั ทคี่ ล้าย ๆ เดมิ ดงั แสดงดังภาพท่ี 1.5

ภาพที่ 1.5 ความเชอื่ มัน่ ของเครอื่ งมือในการวจิ ยั
สรุปไดว้ า่ เครือ่ งมอื ในการวิจยั ท่ีดีจะต้องมีความเชื่อมน่ั ได้วา่ ผลท่ีไดจ้ ากการวัดจะมีความคงที่ ชัดเจน
ไม่เปลี่ยนแปลงไปมา ผลการวัดครั้งแรกเป็นอย่างไร เมื่อวัดซ้ำโดยใช้เครื่องมือวัดผลชุดเดิม จะวัดกี่ครั้งก็จะ
ให้ผลการวดั เหมอื นเดิม ใกล้เคียงกัน หรือสอดคล้องกัน
2. วธิ ีการประมาณคา่ ความเช่ือม่ัน
ในการตรวจสอบความเชอ่ื มนั่ ของเครอ่ื งมือวิจยั มวี ิธีการดังน้ี
2.1 ความเชื่อมั่นแบบวัดความคงท่ี (Measure of Stability) ที่เป็นวิธีการทดสอบซ้ำ (Test-Retest
Method) โดยใชเ้ ครอ่ื งมอื ชดุ เดียวกนั ไปทดสอบกบั ผใู้ ห้ขอ้ มลู กลมุ่ เดยี วกัน 2 ครั้งที่ใช้ช่วงเวลาทตี่ า่ งกันแลว้ นำ
คะแนนที่ได้มาคำนวณหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน(Pearson Product Moment Correlation
Coefficient) ดังแสดงขนั้ ตอนในภาพท่ี 1.6 (ศริ ิชยั กาญจนวาสี,2544 : 37)

ภาพท่ี 1.6 ขั้นตอนวิธกี ารทดสอบซ้ำ
โดยมสี ตู รการคำนวณ ค่าสัมประสทิ ธิ์สหสมั พันธ์แบบเพียร์สนั ดงั น้ี (Best and Kahn,1993 : 304)

65

โดยท่ี ρXY เป็นค่าสมั ประสิทธ์ิสหสมั พนั ธ์ระหว่างคะแนนครัง้ ท่ี 1 และคร้งั ท่ี 2
ΣX เปน็ ผลรวมของคะแนนในครง้ั ท่ี 1
ΣY เปน็ ผลรวมของคะแนนในคร้ังท่ี 2
ΣX2 เป็นผลรวมของคะแนนในคร้งั ที่ 1 แต่ละตัวยกกำลงั สอง
ΣY2 เป็นผลรวมของคะแนนในคร้ังท่ี 2 แตล่ ะตัวยกกำลงั สอง
ΣXY เป็นผลรวมของผลคณู ของคะแนนในคร้ังท่ี 1 และคร้ังท่ี 2
N เปน็ จำนวนผูใ้ หข้ อ้ มูล

ดงั แสดงการคำนวณหาค่าสมั ประสิทธ์ิสหสัมพนั ธแ์ บบเพียร์สันในตัวอย่างที่ 1.3
ตวั อยา่ งที่ 1.3 จากตารางผลการทดสอบจำนวน 2 ครั้งของผสู้ อบจำนวน 5 คน ใหห้ าความเชื่อม่นั ของ
แบบทดสอบฉบับนโ้ี ดยใช้สัมประสทิ ธส์ิ หสัมพนั ธข์ องเพียร์สัน

วิธีทำ

จากสตู ร สัมประสิทธิส์ หสัมพันธแ์ บบเพยี รส์ นั

แสดงว่าแบบทดสอบฉบบั นมี้ ีความเช่อื มน่ั เท่ากบั 0.74
โดยที่ค่าสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่นที่ได้จากการคำนวณจะมีค่าตั้งแต่ -1 ถึง 1 แต่เนื่องจากเป็นการ
คำนวณจากคะแนนเดมิ และคะแนนใหม่ของผู้ให้ขอ้ มูลกลุ่มเดียวกัน ดังนั้นจะได้ความเชื่อมั่นมคี ่าสมั ประสทิ ธิ์
อยู่ระหว่าง 0 ถึง 1 เท่านั้น แต่ประเด็นที่ควรระมัดระวังในการใช้วิธีการนี้ คือ คุณลักษณะที่จะวัดจะต้องมี

66
ความคงที่ และระยะเวลาที่ทดสอบซ้ำจะต้องมีความเหมาะสม กล่าวคือ ไม่เร็วเกินไปเนื่องจากมีผลตกค้าง
(การจดจำ) จากการทดลองครั้งแรก และไมช่ ้าเกินไปท่ีจะมีตัวแปรแทรกซ้อน อาทิ วฒุ ภิ าวะ หรือการเรียนรู้ท่ี
เพ่ิมข้ึน

2.2 ความเชอ่ื มน่ั แบบสมมลู (Measure of Equivalence) หรอื วธิ ีการทดสอบโดยใช้เคร่อื งมอื วิจัยที่
สมมูลกัน (Equivalent-Form Method) เป็นการนำเครื่องมือวิจัย 2 ชุดที่มีความสมมูลกันไปทดสอบกับผู้ให้
ข้อมูลกลุ่มเดียวกันในเวลาเดียวกันแล้วนำคะแนนที่ได้จากเครื่องมือวิจัยทั้ง 2 ชุดมาหาค่าสัมประสิทธิ์
สหสัมพันธ์แบบเพยี รส์ ัน ดงั แสดงขน้ั ตอนในภาพท่ี 1.7 (ศิรชิ ยั กาญจนวาสี,2544 : 39)

ภาพท่ี 1.7 วิธีการทดสอบแบบสมมูล
เครื่องมือวิจัยที่สมมูลกัน/คู่ขนาน หมายถึง เครื่องมือวิจัย 2 ชุดที่คู่ขนานกันหรือเท่าเทียมโดยมี
โครงสร้างการวัดและเนื้อหาเดียวกันมีค่าเฉลี่ยและความแปรปรวน ความเชื่อมั่นและความคลาดเคลื่อน
มาตรฐานของคะแนนที่ได้จากใกล้เคียงกันและเพื่อให้เกิดความสมดุลในการนำไปใช้อาจจะต้องแบ่งให้ร้อยละ
50 ทำเครื่องมือชุด A ก่อนชุด B และอีกร้อยละ 50 ทำเครื่องมือวิจัยชุด B ก่อนชุด A ค่าสัมประสิทธ์ิ
สหสัมพันธ์ทไ่ี ด้จะมคี า่ อยูร่ ะหว่าง 0 ถึง 1
2.3 ความเชอื่ มัน่ แบบวดั ความคงท่ีและสมมูลกนั (Measure of Stability and Equivalence) หรือ
วิธีทดสอบซ้ำด้วยเครื่องมือที่สมมูล เป็นการทดสอบผู้ให้ข้อมูลกลุ่มเดียวกัน 2 ครั้งในเวลาที่ต่างกันโดยใช้
เครื่องมือการวิจัยที่มีความสมมูลกัน แล้วนำคะแนนที่ได้จากแบบทดสอบทั้ง 2 ฉบับหาค่าสัมประสิทธิ์
สหสัมพนั ธแ์ บบเพียร์สนั ดังแสดงขัน้ ตอนในภาพท่ี 1.8 (ศริ ชิ ยั กาญจนวาสี,2544 : 40)

ภาพท่ี 1.8 วธิ ีการทดสอบแบบซ้ำและสมมูล

67
สำหรับองค์ประกอบที่ส่งผลต่อวิธีการนี้ก็คือ คุณลักษณะที่จะวัดต้องคงที่ การใช้ช่วงเวลา สอบซ้ำที่
เหมาะสม และความสมมลู กันของเครื่องมอื วิจยั และวิธกี ารที่สมดลุ ในการจดั การดำเนนิ การ
ท้ัง 2 ฉบับ
2.4 ความเช่ือม่นั แบบวดั ความสอดคล้องภายใน (Measure of Internal Consistency) หรือวิธีการ
ตรวจสอบความสอดคล้องภายใน (Internal Consistency Method) เป็นวธิ ีการประมาณค่าความเชื่อม่ันของ
เครื่องมือวิจัยที่ใช้การทดสอบเพียงครั้งเดียว, เครื่องมือวิจัยชุดเดียวและผู้ให้ข้อมูลกลุ่มเดียวแล้วนำผลไป
วิเคราะห์ความเป็นเอกพันธ์เนื้อหา (Homogeneity) ของเครื่องมือว่าวัดเนื้อหาสาระเดียวกันเพียงใด โดยถ้า
วัดเนื้อหาสาระเดียวกันเม่ือทำการวัดซ้ำจะได้ผลการวัดที่สอดคล้องกัน โดยมีวิธีการตรวจสอบความสอดคล้อง
ภายในทีใ่ ช้ ดงั นี้

2.4.1 วิธีการแบบแบ่งครึ่งแบบทดสอบ (Split-half Method) เป็นการนำแบบทดสอบ
ฉบับเดียวไปทดสอบกบั ผู้สอบกลุ่มเดียว แล้วแบ่งข้อสอบออกเปน็ 2 ส่วนที่มีความสมมูลกันมากที่สุด (จำแนก
ตามข้อคู่ ข้อค่ี, จับฉลาก, จับคู่ตามเนื้อหาแล้วแยกเป็น 2 ฉบับ) นำมาตรวจให้คะแนนแล้วนำคะแนนทีไ่ ด้จาก
แบบทดสอบทั้ง 2 ส่วน มาหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สันได้ค่าสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่นครึ่งฉบับ
จะต้องนำไปค่าที่ได้คำนวณหาสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่นทั้งฉบับของสเปียร์แมน บราวน์ (Spearman-Brown)
ดงั แสดงข้นั ตอนในภาพที่ 1.9 (ศิริชัย กาญจนวาสี,2544 : 42)

ภาพที่ 1.9 วิธีการทดสอบการแบง่ คร่ึงแบบทดสอบ
การหาคา่ ความเช่ือมนั่ ท้ังฉบบั ของสเปยี ร์แมน – บราวน์ (Spearman-Brown) คำนวณค่าสมั ประสิทธ์ิ
ความเช่ือมั่นไดด้ งั สตู รคำนวณ (Mehrens and Lehmann,1984 : 195)

68

ดังแสดงการคำนวณหาค่าสมั ประสทิ ธสิ์ หสมั พนั ธแ์ บบสเปียร์แมน - บราวน์ในตวั อย่างที่ 1.4
ตัวอย่างที่ 1.4 จากตารางผลการทดสอบทแ่ี บ่งเป็นข้อมูลครึ่งแรก ครงึ่ หลงั ของผสู้ อบจำนวน 5 คน ใหห้ า
ความเช่ือม่นั ของแบบทดสอบฉบบั น้ีโดยใชส้ ัมประสิทธส์ิ หสมั พนั ธ์ของสเปยี รแ์ มน

วิธีทำ

จากสตู ร สัมประสิทธ์สิ หสมั พันธ์แบบเพียรส์ ัน

แสดงวา่ แบบทดสอบฉบับนม้ี ีความเช่ือม่นั ทั้งฉบับเท่ากบั 0.85

69
2.4.2 วิธีสัมประสิทธแ์ิ อลฟาของครอนบาค (Cronbach’s Alpha Method) เปน็ การแบ่ง
เครื่องมือวจิ ัยออกเปน็ k ส่วน และเมื่อคำนวณความแปรปรวนของคะแนนแต่ละส่วนและความแปรปรวนของ
คะแนนรวมสามารถนำไปใชป้ ระมาณค่าความเชื่อมั่นแบบความสอดคล้องภายในทนี่ ำเสนอในช่ือ “สมั ประสทิ ธ์ิ
แอลฟาของครอนบาค (α-Coefficient)”(Cronbach,1951 อ้างถึงใน ล้วน สายยศ และองั คณา สายยศ,2538
: 200) มีสูตรคำนวณ

ดังแสดงตัวอยา่ งการคำนวณค่าความเชอ่ื ม่ันด้วยสมั ประสทิ ธ์แิ อลฟาของครอนบาคใน ตวั อยา่ งท่ี 1.5

70

ตวั อย่างท่ี 1.5 ความเช่ือมั่นของแบบทดสอบโดยใชส้ ัมประสิทธิแ์ อลฟาของครอนบาค
วธิ ที ำ

ดังนั้นความเชื่อม่ันของแบบทดสอบฉบบั นี้เท่ากบั 0.80

ในการหาสมั ประสิทธ์ิแอลฟาจะให้ค่าความเชื่อม่ันของเคร่ืองมือวจิ ัยได้ดี กต็ อ่ เมอื่ เคร่ืองมือวิจัยชุดนั้น
ได้วัดคุณลักษณะเพียงคุณลักษณะเดียวเท่านั้น และจำนวนข้อหรือองค์ประกอบแต่ละองค์ประกอบในฉบับมี
ความเท่าเทียมกันจะทำให้ได้ค่าความเชื่อมั่นที่ใกล้เคียงกับความเช่ือมั่นที่แท้จริงของเครื่องมือการวิจัย และ
เปน็ วธิ กี ารท่ไี ด้รับความนยิ มเน่อื งจากเกบ็ ข้อมลู กลุ่มผ้ใู ห้ข้อมูลคร้งั เดยี วและใช้ได้อย่างหลากหลายท้ังเครื่องมือ
ทใ่ี ห้คะแนนแบบ 0,1 หรือแบบถ่วงน้ำหนกั หรอื แบบมาตรสว่ นประมาณคา่ หรือแบบทดสอบแบบอตั นยั

2.4.3 วธิ ขี องคเู ดอร์ - รชิ ารด์ สัน (Kuder-Richardson Method) เปน็ วธิ ีการทพ่ี ัฒนา โดย
คูเดอร์และริชาร์ดสัน ที่เป็นการแก้ปัญหาของการประมาณค่าความเชื่อมั่นที่ใช้วิธีการแบ่งครึ่งแบบทดสอบท่ี
แตกต่างกนั จะใหค้ ่าความเช่ือม่นั ทแ่ี ตกตา่ งกนั และใชส้ ำหรบั แบบทดสอบที่ให้คะแนนแบบ 0,1 เท่านน้ั จำแนก
เปน็ สตู รคำนวณ ดังน้ี

71
2.4.3.1 สตู รของคเู ดอร์ - รชิ ารด์ สัน 20 (KR-20) ทข่ี อ้ สอบแต่ละขอ้ ไมจ่ ำเป็นต้องมี
ความยากเท่ากัน แต่ควรมีจำนวนข้อสอบอย่างน้อย 20 ข้อ โดยมีสูตรคำนวณ (Mehrens and
Lehmann,1984 : 276)

โดยที่สูตรการคำนวณ KR-20 จะมีความคล้ายกับสูตรการหาสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค
เน่อื งจาก piqi ของ KR-20 ก็คือความแปรปรวนของคะแนนรายขอ้ (Si2) ของสัมประสทิ ธแิ์ อลฟาของครอนบาค
นน่ั เอง

2.4.3.2 สูตร KR-21 เป็นสูตรการคำนวณค่าสัมประสิทธิ์ความเชือ่ มั่นทีม่ ีข้อตกลง
เบื้องต้นว่าข้อสอบแต่ละข้อต้องมีความยากเท่ากัน ทำให้สูตรการคำนวณมีความซับซ้อนน้อยลงแต่สูตรการ
คำนวณ KR-21 จะให้ค่าความเชื่อมั่นที่ต่ำกว่าการคำนวณด้วยสูตร KR-20 มีสูตรคำนวณ (Mehrens and
Lehmann,1984 : 276)

72
ตัวอย่างที่ 1.6 จากตัวอย่างที่ 1.5 แสดงผลการตอบข้อสอบจำนวน 6 ข้อ ของผู้เรียนจำนวน 10 คน ที่มี
คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 2.90 และส่วนเบี่ยงเบนทั้งฉบับเท่ากับ 2.02 ให้หาความเชื่อมั่นของแบบทดสอบโดยใช้
สตู ร KR-20 และ KR-21

ดงั นนั้ ความเชื่อมน่ั ของแบบทดสอบฉบบั นเ้ี ท่ากบั 0.76
2.4.4 วิธกี ารวิเคราะหค์ วามแปรปรวนของฮอยท์ (Hoyt’s Analysis of Variance) โดย
การแปลผลการสัมภาษณ์ของผู้สัมภาษณ์มาเป็นคะแนนที่ได้ แล้วนำมาแจกแจงเป็นตาราง 2 ทางระหว่างผู้
สัมภาษณ์กับผู้ใหส้ มั ภาษณ์ แล้ววิเคราะห์ความแปรปรวนและหาค่าความเชื่อมั่นจากสูตรคำนวณ(Hoyt,1941
อา้ งองิ ใน ศริ ิชัย กาญจนวาสี,2544 : 51)

ดังแสดงการวิเคราะหค์ วามแปรปรวนของฮอยส์ ใน ตัวอย่างที่ 1.7

73

ตวั อยา่ งท่ี 1.7 จากผลการสมั ภาษณ์ผู้ใหส้ มั ภาษณจ์ ำนวน 5 คนของผสู้ ัมภาษณ์ 3 คน

วธิ ที ำ มีขนั้ ตอนดงั น้ี

ดังนนั้ ในการสมั ภาษณค์ รงั้ นี้มีความเชือ่ มนั่ เทา่ กบั 0.96

2.4.5 ความเชื่อมัน่ ของการจัดสมั ภาษณโ์ ดยใชส้ ัมประสิทธ์ิคอนคอแรนท์ของเคนดอล
(Kendall) ในกรณที ่ีมผี ู้สมั ภาษณม์ ากกวา่ 2 คนข้นึ ไป มีสตู รการคำนวณ (วิเชียร เกตสุ ิงห์, 2530 :124-125)

เมอ่ื W เปน็ สัมประสทิ ธข์ิ องการจัดอันดับ
S เป็นผลรวมทงั้ หมดของอันดับของสิ่งของแต่ละชนิดท่ีเบีย่ งเบนออกจากคะแนนอันดบั เฉล่ยี

k เป็นจำนวนผจู้ ดั อันดบั
n เปน็ จำนวนสิ่งของทจี่ ัดอนั ดับ
ดงั แสดงตวั อย่างการหาความเชือ่ มั่นของการจดั อันดบั /การสังเกตใน ตัวอย่างท่ี 1.8

74
ตวั อยา่ งท่ี 1.8 ในการจดั อนั ดับความพึงพอใจในการสอนของครูผูส้ อน 6 คน โดยนักเรยี น 3 คนได้ผลดงั
ตาราง ความเชื่อมัน่ ของการจัดอันดับวิธีการสอนของครูทั้ง 6 คน

ดงั นั้นความเชือ่ มั่นของการจดั อนั ดับความพงึ พอใจในวิธสี อนของครผู สู้ อนทัง้ 6 คนของนกั เรยี น 3 คน
เท่ากบั 0.80

2.4.6 การหาความเชื่อมั่นของการสังเกต ในการสังเกตใดๆ มีวิธีการหาความเชื่อมั่นของ
การสังเกต โดยใช้วิธีการหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Intra and Inter Observer Reliability) ของสกอตดัง
สูตรคำนวณ (วเิ ชยี ร เกตุสิงห์,2530 : 125)

โดยที่ π เป็นดัชนคี วามสอดคล้องระหวา่ งผสู้ ังเกต
P0 เป็นความแตกตา่ งระหว่าง 1.00 กับผลรวมของสดั สว่ นของความแตกต่าง

ระหว่างผู้สงั เกต 2 คน (รวมทั้งข้อหรือทุกลักษณะของการสังเกต)
Pe เป็นผลบวกของกำลงั สองของค่าสดั ส่วนของคะแนนจากลักษณะ
ท่สี งั เกตได้สงู สดุ กบั ค่าทสี่ ูงรองลงมา โดยจะเลือกเอาจากผลของการสงั เกตคนใดคนหนึ่งก็ได้
ดังแสดงตวั อยา่ งการหาความเชอ่ื มนั่ ดัชนคี วามสอดคล้องของสกอตใน ตวั อย่างท่ี 1.9

75
ตัวอยา่ งท่ี 1.9 จากการสังเกตคุณลักษณะ 4 คณุ ลักษณะของผ้เู รยี นในหอ้ งหนงึ่ ของครผู ู้สอน 2 คน ดัง
ปรากฏผลในตารางข้อมลู การสงั เกต

ดงั นน้ั ดชั นีความสอดคล้องของการสงั เกต (ความเชอ่ื มั่น) เท่ากบั 0.77
3. องค์ประกอบท่ีมผี ลต่อสัมประสิทธ์ิความเช่ือมนั่ การหาสัมประสิทธขิ์ องความเช่ือม่ันใดๆ ท่ีได้ค่าสัมประสิทธิ์
ต่ำ หรือสูง จะขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ ต่อไปนี้ (Crocker and Algina,1986 อ้างอิงใน ศิริชัย กาญจน
วาสี,2544: 60-65)

3.1 ความเป็นเอกพันธ์ของกลุ่มผู้ให้ขอ้ มูล (Group Homogeneity) ในกลุ่มผูใ้ ห้ข้อมูลท่ีมีลักษณะท่ี
ใกล้เคียงกันเมื่อนำคะแนนมาหาสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่นจะได้ค่าที่ต่ำกว่าสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่นที่ได้จาก
กลุ่มผใู้ ห้ข้อมูลที่มลี ักษณะที่หลากหลายคละกนั (ววิ ธิ พันธ์) และขนาดของกลุ่มผู้ให้ขอ้ มลู ควรมีประมาณ 6-10
เท่าของจำนวนข้อสอบจึงจะไดค้ วามเช่ือมั่นท่เี ปน็ จรงิ

3.2 ความยาวของแบบทดสอบ (Test Length) การเพิ่มจำนวนข้อสอบที่มีความคู่ขนานกับข้อสอบ
เดิมที่มีอยูจ่ ะทำใหค้ ่าสมั ประสทิ ธิ์ความเชื่อมั่นของแบบทดสอบฉบับน้ัน ๆ มีค่าที่สูงขึ้นดังแสดงในภาพที่ 1.10
(Alen and Yen,1979)

76

ภาพที่ 9.10 ความสัมพันธร์ ะหว่างความยาวของแบบทดสอบและความเช่ือมนั่
3.3 ความสัมพันธ์ระหว่างข้อสอบ (Interitem Correlation) แบบทดสอบฉบับใดที่มีความเป็นเอก
พนั ธข์ องคุณลักษณะหรือเนื้อหาแสดงวา่ แบบทดสอบฉบับน้ันมคี วามสัมพันธ์ระหว่างข้อสอบสูง อันจะส่งผลต่อ
คา่ สัมประสิทธ์คิ วามเชือ่ มน่ั ของแบบทดสอบฉบับนน้ั
3.4 กำหนดเวลาที่ใช้ในการแบบทดสอบ (Time Limit) แบบทดสอบที่สร้างและพัฒนาเป็นอย่างดี
และได้กำหนดเวลาที่ใชใ้ นการทดสอบทีเ่ หมาะสมกับแบบทดสอบจะได้ค่าสัมประสิทธิ์ความเช่ือมั่นที่สูง แต่ถ้า
ให้เวลาทจ่ี ำกัดหรือมากเกินไปจะทำให้สัมประสทิ ธ์ิความเช่อื มนั่ มีแนวโน้มลดลง
3.5 วิธีการที่ใช้ในการประมาณค่าสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่น (Method of Estimating Reliability)
ในการเลือกใช้วิธีการประมาณค่าสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่นมีหลายวิธีและแต่ละวิธีจะมีความเหมาะสมกับ
แบบทดสอบที่มีลักษณะและจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกัน อาทิ แบบทดสอบความเร็วไม่ควรใช้วิธีการแบ่งครึ่ง
แบบทดสอบหรือวิธีตรวจสอบความสอดคล้องภายในเพราะจะได้ค่าความเชื่อมั่นที่สูงกว่าปกติ และวิธี
สมั ประสิทธ์ิแอลฟาควรใช้กบั แบบทดสอบทีว่ ดั เพียงคุณลกั ษณะเดยี วมากกว่าหลากหลายคุณลักษณะ หรือสูตร
ของสเปยี ร์แมน - บราวน์จะใหค้ ่าสัมประสิทธ์ิความเช่ือมั่นต่ำหรือสงู กว่าความเป็นจริงถ้าข้อสอบไม่มีความเป็น
คขู่ นาน เปน็ ต้น (Kerlinger,1981 :110)
4. แนวทางปฏบิ ัติเบื้องตน้ ในการสรา้ งเคร่ืองมือใหม้ ีความเชือ่ มัน่ ในการสร้างเครือ่ งมือวจิ ยั ให้มีความเชื่อม่นั มี
แนวทางปฏบิ ตั เิ บื้องต้น ดังนี้ (อาธง สทุ ธาศาสน์,2527 : 97-98 ; Kerlinger,1986 :415)
4.1 เขยี นขอ้ คำถามท่ีตอ้ งการใหช้ ัดเจน ไม่คลุมเครอื ทอ่ี าจจะกอ่ ให้เกิดความเข้าใจที่ไม่สอดคลอ้ งกัน
4.2 เขียนข้อคำถามให้มีจำนวนข้อมากที่สุด แล้วตัดข้อคำถามที่มีคุณภาพต่ำออกภายหลังการหา
คุณภาพของเครือ่ งมือ

77

4.3 ถ้าข้อคำถามใดจำเป็นตอ้ งมีคำอธิบายเพิ่มเติมก็ให้เพิม่ เตมิ อย่างชดั เจน
4.4 ระมัดระวังการใช้เครื่องมือในสถานการณ์ปกติ มิฉะนั้นข้อมูลที่ได้อาจจะไม่สอดคล้องกับความ
เป็นจริง

5. ความสัมพันธ์ระหว่างความเที่ยงตรงและความเชื่อมั่นของเครื่องมือวิจัย (Fraenkel and Wallen,
1993:147) มดี งั น้ี

5.1 เคร่อื งมอื วดั ผลท่ไี มม่ คี วามเทย่ี งตรงย่อมไมม่ ีความเชื่อมนั่ (รูปที่ 1)
5.2 เครอ่ื งมอื วดั ผลมีความเท่ียงตรงสูงขึ้นย่อมจะมีความเชือ่ มน่ั สูงข้นึ (รปู ที่ 2)
5.3 เครือ่ งมือวดั ผลบางประเภทมคี วามเชอื่ ม่ันปานกลางแตจ่ ะมคี วามเท่ยี งตรงต่ำ (รปู ที่ 3)
5.4 เคร่อื งมือวดั ผลบางประเภทมีความเช่ือม่ันสูงแต่จะมีความเที่ยงตรงต่ำ (รูปท่ี 4)
5.5 เครอ่ื งมือวดั ผลทต่ี ้องการคือเครอื่ งมือที่มคี วามเที่ยงตรงสูงและความเชอ่ื ม่นั สูง (รปู ท่ี 5)

ดังแสดงความสมั พันธใ์ นภาพท่ี 1.11 (Fraenkel and Wallen, 1993:147)

ภาพที่ 1.11 ความสมั พนั ธ์ระหว่างความเชือ่ ม่ันกับความเที่ยงตรง

6. เกณฑ์พจิ ารณาค่าความเชือ่ มั่นของเครอ่ื งมือวจิ ัย
ค่าความเชื่อมั่นของเคร่ืองมือในการวิจัย มีเกณฑ์สำหรับพิจารณาว่าเป็นความเชือ่ มั่นที่ใช้ได้ในการนำ

เครอ่ื งมอื น้นั ๆ ไปใช้ มดี งั น้ี (Burns and Grove,1997 : 327)
6.1 เครื่องมอื ที่ใชว้ ดั การท าหน้าท่ีของอวัยวะตา่ ง ๆ ในรา่ งกายของมนุษย์ควรมีความเชื่อมั่นเท่ากับ

0.95 ขน้ึ ไป
6.2 เครื่องมือที่มีมาตรฐานทั่ว ๆ ไปควรมีความเชื่อมั่นเท่ากับ0.8 แต่ถ้าเป็นเครื่องมือที่สร้างและ

พัฒนาข้ึนควรมีความเชือ่ มน่ั อย่างนอ้ ย 0.70
6.3. เครื่องมือที่ใชว้ ัดเจตคติ ความรสู้ กึ ควรมคี วามเช่อื มนั่ ตงั้ แต่ 0.70 ขน้ึ ไป
6.4 เครื่องมอื ที่ใช้ในการสงั เกต ควรมีค่าความเช่ือมั่นตงั้ แต่ 0.80 ข้นึ ไป

78

คุณภาพของเครอ่ื งมือในการวจิ ัย

ในการสรา้ งและพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการวจิ ยั นอกจากจะนำมาหาความเทีย่ งตรง และความเชื่อมั่น
แล้วในการสร้างและพฒั นาเครื่องมือยังมีคณุ ภาพของเครื่องมือวจิ ัยทีค่ วรพจิ ารณา ดังน้ี
1. อำนาจจำแนก

1.1 ความหมายของอำนาจจำแนก
อำนาจจำแนก (Discrimination) หมายถึง คุณภาพของเครื่องมือที่ที่สร้างขึ้นแล้วสามารถ

จำแนกกลุ่ม/บุคคลแยกออกจากกันเป็นกลุ่มตามลักษณะที่ตนเองเป็นอยู่/เกณฑ์ของความรอบรู้ได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ (บุญเชดิ ภญิ โญอนันตพ์ งษ.์ มปป.135-139)

อำนาจจำแนก เป็นค่าที่แสดงประสิทธิภาพของข้อสอบแต่ละข้อในการจำแนกกลุ่มผู้สอบ
ออกเปน็ กล่มุ เกง่ และกลุม่ ออ่ น คำนวณหาค่าไดด้ งั สูตรคำนวณ

โดยที่ r เปน็ คา่ อำนาจจำแนกของข้อสอบแตล่ ะข้อ
PH เปน็ จำนวนผตู้ อบถูกในกลุ่มสงู
PL เป็นจำนวนผู้ตอบถูกในกลุ่มต่ำ

n เปน็ จำนวนผ้ตู อบทง้ั หมดในกลมุ่ สงู หรอื กลุ่มต่ำ (มจี ำนวนเทา่ กนั )

1.2 การหาค่าอำนาจจำแนก
1.2.1 กรณีแบบทดสอบ เป็นการนำแบบทดสอบไปทดลองใช้กับนักเรียน มีสูตรการคำนวณ

ดงั นี้
1.2.1.1 กรณคี ำตอบขอ้ สอบเปน็ ตัวถกู มีสตู รการคำนวณ

เมือ่ r เปน็ ค่าอำนาจจำแนกของข้อสอบ

RH เปน็ จำนวนคนที่ตอบถูกของกลุม่ สูง
RL เป็นจำนวนคนที่ตอบถูกของกลุ่มต่ำ
NH เป็นจำนวนคนในกล่มุ สูง (จำนวนคนในกลุ่มสูงและกลุ่มต่ำเท่ากัน)

เกณฑ์ในการพิจารณาอำนาจจำแนกของข้อสอบมหี ลักเกณฑ์ ดังน้ี

1) ค่าอำนาจจำแนกของข้อสอบจะมีค่าอยู่ระหว่าง 1 ถึง -1 มีรายละเอียดของเกณฑ์

การพิจารณาตัดสิน ดังนี้ (Ebel,1978 : 267)

ได้ 0.40 ≤ r เปน็ ขอ้ สอบทม่ี ีอำนาจจำแนกดมี าก

0.30 r ≤ 0.39 เปน็ ขอ้ สอบทม่ี ีอำนาจจำแนกดี

0.20 ≤ r ≤ 0.29 เปน็ ข้อสอบท่มี อี ำนาจจำแนกพอใช้ ปรบั ปรุงตัวเลือก

r ≤ 0.19 เป็นขอ้ สอบทม่ี ีอำนาจจำแนกตำ่ ควรตดั ท้ิง

79

2) ถ้าค่าอำนาจจำแนกมีค่ามากๆ เข้าใกล้ 1 แสดงว่าข้อสอบข้อนั้นสามารถจำแนกคน
เกง่ และคนออ่ นออกจากกนั ไดด้ ี

3) ถ้าค่าอำนาจจำแนกที่ได้มีค่าเป็นลบ จะเป็นข้อสอบที่ไม่ดีไม่สามารถจำแนกกลุ่ม
ผู้สอบ
ในลักษณะกลุ่มเก่งตอบผิดและกลุ่มต่ำตอบถูกที่อาจเนื่องมาจากคำถามที่ไม่ชัดเจน/เฉลยคำตอบผิด/ตรวจให้
คะแนนที่คลาดเคล่อื น หรอื ขอ้ สอบยากมาก

4) ถา้ ค่าอำนาจจำแนกเปน็ ศูนย์ แสดงวา่ ข้อสอบข้อนน้ั ไมส่ ามารถจำแนกคนเกง่ และคน
อ่อนแยกออกจากกันได้

5) ข้อสอบที่มีค่าอำนาจจำแนกต้ังแต่ 0.2 ขึ้นไปจึงจะเป็นขอ้ สอบที่มีอำนาจจำแนกที่ดี
และข้อสอบท่มี อี ำนาจจำแนกทด่ี ีจะมีสดั ส่วนของคนเกง่ ปานกลาง และออ่ น เทา่ กับ 16 : 68 : 16

1.2.1.2 กรณคี ำตอบขอ้ สอบเปน็ ตัวลวง มสี ูตรการคำนวณ

เมอ่ื r เปน็ ค่าอำนาจจำแนกของข้อสอบ
RH เป็นจำนวนคนทต่ี อบถูกของกล่มุ สงู
RL เปน็ จำนวนคนท่ตี อบถูกของกลมุ่ ต่ำ
NH เป็นจำนวนคนในกลุ่มสูง(จำนวนคนในกลมุ่ สูงและกลุ่มต่ำเท่ากัน)

เกณฑพ์ จิ ารณาอำนาจจำแนกของตวั ลวงท่ีดจี ะต้องมีอำนาจจำแนกตงั้ แต่ 0.05 ข้นึ ไปจงึ จะเป็นตัวลวง
ทมี่ อี ำนาจจำแนกทด่ี ี

1.2.2 กรณีแบบสอบถาม เป็นการนำแบบสอบถามไปทดลองใช้แล้วนำมาคำนวณตามวิธี
ของ Normal Deviate Rating โดยใช้เทคนิค 25 % ของกลุ่มสงู และกล่มุ ต่ำ ทว่ี ิเคราะห์อำนาจจำแนกเปน็ ราย
ข้อด้วยการทดสอบทีทมี่ สี ูตรการคำนวณ (Mclver and Carmines,1981:24)

80

เกณฑ์พิจารณาอำนาจจำแนกจากการคำนวณค่าที่ โดยพิจารณาว่าถ้าค่าทีมีค่าตั้งแต่ 1.75 ขึ้นไป
แสดงว่าขอ้ คำถามขอ้ นัน้ มอี ำนาจจำแนกสงู มีความเช่ือมน่ั ในการนำไปใช้

1.3 ประโยชนข์ องอำนาจจำแนก มดี ังน้ี
1.3.1 ใชเ้ ป็นเกณฑ์ในการปรับปรุงขอ้ สอบเปน็ รายตวั เลือก ว่าควรจะปรับปรุงทต่ี วั เลือกตัวใด

ในแต่ละขอ้
1.3.2 เป็นเกณฑใ์ นการจดั ข้อสอบแบบคูข่ นาน ทแี่ ต่ละข้อทวี่ ัดในจุดประสงค์เดยี วกนั ในแต่ละ

ฉบบั ตอ้ งมอี ำนาจจำแนกเทา่ กนั หรือใกลเ้ คียงกัน

2. ความยาก
2.1 ความหมายของความยาก
ความยาก (Difficulty) หมายถึง เป็นคุณภาพของเครื่องมือที่เป็นแบบทดสอบ ที่แสดงสัดส่วนของ

ผสู้ อบทีต่ อบขอ้ น้ันไดถ้ ูกตอ้ งต่อผสู้ อบทงั้ หมด ตามความมุ่งหมายและหลกั เกณฑ์ดังสูตรคำนวณ

หรอื ในกรณีที่จำแนกเปน็ กลุ่มสงู และกล่มุ ต่ำจะคำนวณได้จากสูตร

โดยท่ี p เปน็ ค่าความยากของข้อสอบแต่ละข้อ
RH เปน็ จำนวนผู้สอบทต่ี อบถูกในกลุ่มสูง
RL เป็นจำนวนผู้สอบทตี่ อบถูกในกลุ่มต่ำ
NH เป็นจำนวนผู้สอบทต่ี อบในกลุ่มสูง
NL เป็นจำนวนผสู้ อบทต่ี อบในกลุ่มต่ำ

2.2 เกณฑพ์ ิจารณาค่าความยาก
เกณฑก์ ารพจิ ารณาระดับค่าความยากของข้อสอบแต่ละข้อที่ไดจ้ ากการคำนวณจากสูตรท่ีจะมีค่าอยู่
ระหว่าง 0.00 ถงึ 1.00 ที่มีรายละเอยี ดเกณฑข์ องเกณฑ์ในการพิจารณาตัดสินดงั น้ี

ได้ 0.80 ≤ p ≤ 1.00 เป็นข้อสอบท่งี ่ายมาก ควรตดั ทงิ้ หรือนำไปปรับปรุง
0.60 ≤ p ≤ 0.80 เป็นข้อสอบทค่ี อ่ นขา้ งงา่ ย ใช้ไดด้ ี
0.40 ≤ p ≤ 0.60 เป็นข้อสอบทคี่ วามยากงา่ ยปานกลาง ดีมาก
0.20 ≤ p ≤ 0.40 เปน็ ขอ้ สอบทีค่ อ่ นขา้ งยาก ใช้ได้ดี
p ≤ 0.20 เปน็ ขอ้ สอบท่ียากมาก ควรตัดทง้ิ หรือนำไปปรบั ปรงุ
โดยทีข่ อ้ สอบท่จี ะสามารถนำไปใช้ในการวัดผลท่ีมีประสิทธภิ าพจะมีค่าความยากอยู่ระหว่าง 0.20 ถึง
0.80

81

2.3 ประโยชนข์ องคา่ ความยากของข้อสอบ มีดังนี้
2.3.1 จัดข้อสอบเรียงเปน็ ฉบบั โดยเรยี งลำดบั จากข้อง่ายไปยาก
2.3.2 เปน็ เกณฑใ์ นการจัดแบบทดสอบแบบคู่ขนาน ที่มคี วามยากงา่ ยเทา่ กนั หรอื ใกลเ้ คียงกนั
2.3.3 ชว่ ยปรบั ปรงุ คุณภาพของขอ้ สอบเป็นรายตวั เลอื กว่าจะปรบั ปรงุ ที่ตวั เลอื กใด

3. ความมปี ระสิทธภิ าพ
ความมีประสิทธิภาพ (Efficiency) หมายถงึ การใชป้ ระโยชนจ์ ากเครื่องมือทม่ี ีจำนวนน้อยแต่มีคุณค่า

เท่ากบั จำนวนมาก ๆ มหี ลักเกณฑใ์ นการพจิ ารณาความมปี ระสิทธภิ าพ ดังน้ี
3.1 การใช้จำนวนข้อคำถามน้อย ๆ ที่มีความครอบคลุมเนื้อหา/ประเด็นเท่ากับการใช้จำนวนข้อ

คำถามมาก ๆ ข้อ
3.2 การใช้เวลาน้อยในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู แตส่ ามารถได้ข้อมูลเทา่ กบั การใช้เวลามาก
3.3 การใช้งบประมาณในการสร้าง/เก็บข้อมูลจำนวนน้อย ๆ แต่ได้ผลที่คุ้มค่ามากกว่าการใช้

งบประมาณทม่ี ากกวา่

4. ความเปน็ ปรนยั
เครอื่ งมือในการวิจัยที่มีความเป็นปรนัย จะต้องมีลักษณะ 3 ประการ ดังน้ี (นงลักษณ์ วิรชั ชยั ,2543 :

186-187)
4.1 ความเป็นปรนัยของเครื่องมือวัด เป็นลักษณะของเครื่องมือที่มีความชัดเจนที่จะนำไปใช้ได้

ถูกต้องและมีความเข้าใจที่สอดคล้องกัน อาทิ แบบสอบถามที่มีความเป็นปรนัยของเครื่อง มือ หมายถึง
แบบทดสอบนั้นมีข้อคำถามชัดเจน อ่านง่าย สื่อความหมายที่มีความเข้าใจที่สอดคล้องกันโดยไม่ต้อง
ตีความหมาย

4.2 ความเป็นปรนัยของกฎเกณฑ์การให้คะแนน เป็นลักษณะของกฎเกณฑ์การให้คะแนนที่มีความ
ชัดเจนในลกั ษณะท่ตี อ้ งการวดั โดยกำหนดให้ผู้ใดตรวจใหค้ ะแนนก็จะให้คะแนนในลกั ษณะเดยี วกนั

4.3 ความเป็นปรนัยของการแปลความหมายคะแนน ที่เป็นความชัดเจนในการนำคะแนนที่ได้จาก
การให้คะแนนไปใชไ้ ดอ้ ย่างสอดคลอ้ งกัน

5. ความหมายในการวดั
ความหมายในการวัด (Meaningfulness) หมายถึง ข้อคำถามที่กำหนดในเครื่องมือวัดเมื่อวัดแล้ว

จะต้องมีความหมายที่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงมากที่สุด โดยพิจารณาจากประเด็นที่ต้องการศึกษาท่ี
จำแนกเป็นรายละเอียดย่อย ๆ ที่แสดงความแตกต่างกัน หรือการใช้ข้อมูลระดับนามบัญญัติหรือระดับ
เรียงลำดับที่ไม่มีความหมายในเชิงปริมาณ แต่มีความพยายามที่จะนำข้อมูลเหล่านั้นมาบวก ลบ คูณและหาร
เหมอื นกบั ขอ้ มูลในระดบั ช่วงหรอื อัตราสว่ น ซ่ึงทำให้ข้อมูลท่ไี ดไ้ มม่ คี วามหมายในการวัด

6. ความสามารถในการนำไปใช้
ความสามารถในการนำไปใช้ (Usability) หมายถึง เครอื่ งมือท่ีดีจะตอ้ งสามารถนำไปใช้ในสถานการณ์

ท่ตี อ้ งการใชไ้ ด้ดี (Gronlund,1985 : 109-111) มีดังนี้
6.1 นำไปใชไ้ ดง้ า่ ย สะดวกไม่ยุ่งยากไม่ซับซอ้ น สามารถปฏบิ ตั ไิ ด้ง่ายทงั้ ผู้ดำเนนิ การและผู้ใหข้ อ้ มลู

82

6.2 ใชเ้ วลาท่ีเหมาะสม ไมน่ อ้ ยหรอื มากเกินไป เพราะถา้ เวลามากเกินไป อาจจะทำให้เกิดความเบ่ือ
หน่าย ขาดแรงจูงใจในการตอบ แต่ถ้าเวลาน้อยเกินไปจะทำให้ผู้ให้ข้อมูลเกิดความเครียดวิตกกังวล หรือให้
ข้อมูลแบบเรง่ รีบ

6.3 ใหค้ ะแนนงา่ ย สะดวก รวดเร็วและยตุ ิธรรม
6.4 คุ้มค่ากบั เวลา แรงงานและงบประมาณ
6.5 แปลผลท่ีไดง้ า่ ยและสะดวกในการนำไปใช้

83

บรรณานุกรม

สมชาย วรกิจเกษมสกลุ .(๒๕๕๓). การวดั และประเมนิ ผลการศึกษา.พิมพค์ รั้งท่ี ๓. อุดรธานี : อกั ษรศลิ ป์
การพมิ พ์.

สมชาย วรกิจเกษมสกุล.(๒๕๕๓). ระเบียบวิธีการวิจัยทางพฤตกิ รรมศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์.
พิมพค์ รั้งที่ ๒.อดุ รธานี : อักษรศิลป์การพมิ พ.์

สมชาย วรกิจเกษมสกุล.(๒๕๕๔).สถิตปิ ระยุกตเ์ พอ่ื การวจิ ัยทางพฤติกรรมศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์.
อุดรธานี : อกั ษรศิลป์การพมิ พ์.

สมชาย วรกจิ เกษมสกลุ .(๒๕๕๔).การสร้างแบบทดสอบวิชาคณิตศาสตร.์ อดุ รธานี : คณะครุศาสตร์
มหาวิทยาลยั ราชภัฏอดุ รธาน.ี

อดุ ม จำรสั พนั ธ์ ชาตรี นาคะกุล ชาติชาย มว่ งปฐม และ สมชาย วรกจิ เกษมสกุล.(๒๕๔๕) ชุดวิชาการ
วจิ ัยเพือ่ การพฒั นา. กรุงเทพฯ : สำนกั งานสภาสถาบันราชภฏั ฯ

บทท่ี 8
ลักษณะเครื่องมือท่ใี ช้สำหรบั การวิจยั

ในปัจจุบันมักพบว่ามีงานวิจัยหลายเรื่องที่ผู้วิจัยไม่สามารถเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับงานวิจัย
ของตนเองได้และไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่า เครื่องมือที่ผู้วิจัยใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลการคือเครื่องมือ
ชนิดใด แต่อย่างไรก็ตามผู้วิจัยสามารถใช้เครื่องมือหลายประเภทในการเก็บรวบรวมข้อมูลคุณลักษณะใด
ลักษณะหนึ่ง และสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลหลายครั้ง หลายบุคคลในเวลาเดียวกันหรือแตกต่างกันก็ได้ เพ่ือ
เป็นการตรวจสอบว่าข้อมูลที่ถูกเก็บรวบรวมโดยเครื่องมือ เวลาหรือบุคคลที่แตกต่างกัน ข้อมูลที่เก็บรวบรวม
มาได้ยังคงเหมือนเดิมหรือไม่ ส่วนคุณลักษณะของเครื่องมือที่ดีนั้นเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเช่นกันเพราะถ้า
เครอื่ งมือขาดคุณลกั ษณะทด่ี ีแล้ว อาจสง่ ผลต่อความถกู ตอ้ งของข้อมลู ท่ีผู้วิจยั เกบ็ รวบรวมมาได้

คุณลักษณะของเครื่องมอื ทีด่ ี

เครื่องมือที่ใช้ในการวัดผลการศึกษาแต่ละชนิดมีทั้งข้อดีและข้อจำกัดในการใช้ ดังนั้น การสร้าง
เครอื่ งมือแต่ละชนิดจึงต้องมีการควบคุมคุณลักษณะสำคญั หลายประการ เพอื่ ใหไ้ ด้เคร่ืองมือท่ีดี มีจุดอ่อนน้อย
ที่สุด คุณลักษณะสำคัญของเครื่องมือทุกชนิดที่จะต้องพิจารณามี 4 ประการ (ล้วน สายยศ และอังคณา สาย
ยศ. 2543:21-32, บุญเรียง ขจรศลิ ป์. 2543: 161-172. Neuman. 2007 : 115-116) ดงั น้ี

1. มีความเที่ยงตรง (validity) เป็นคุณลักษณะของเครื่องมือที่ทำให้ได้ผลการวัดตรงตามจุดมุ่งหมาย
ในการวัดหมายความว่า เครื่องมือนั้นวัดลักษณะที่ต้องการได้จริง ถ้าเป็นคุณลักษณะของแบบทดสอบวัดผล
สัมฤทธิ์ทางการเรียนธรรมดา ก็ต้องการเพียงว่า แบบทดสอบนั้นสามารถวัดได้ครอบคลุมเนื้อหาที่เรียน วัดได้
ตรงจดุ ประสงค์ของการเรยี นรู้ ทส่ี ำคัญวัดเน้ือหาทุกเรือ่ งโดยมสี ดั สว่ นจำนวนขอ้ ทดสอบมาก-น้อยเหมาะสมกับ
เน้ือหาท่ีเนน้ ตา่ งกัน

2. ความเชื่อมั่น (reliability) เป็นคุณลักษณะของเครื่องมือที่ทำให้ได้ผลการวัดคงที่แน่นอนหรือ คง
เส้นคงวากล่าวได้ว่า ถ้านำเครื่องมือนั้นไปวัดซ้ำอีกกี่ครั้งก็ตาม ก็จะให้ผลการวัดเหมือนเดิม หรือคลาดเคลื่อน
จากเดิมน้อยมากถ้าไม่มีตัวแปรแทรกซ้อน การควบคุมการสร้างเครื่องมือศึกษาใหม้ ีความเชื่อมัน่ ต้องคำนึงถึง
สิง่ สำคัญต่อไปน้ี

2.1 ต้องสร้างเครื่องมือให้มีความเท่ียงตรงตามจุดประสงค์ทต่ี ้องการก่อน จะช่วยให้เครื่องมือนั้น
มคี วามเช่อื มั่นสูงด้วย

2.2 จำนวนของข้อคำถาม หรือคุณลักษณะที่ต้องการศึกษาต้องมีมากเพียงพอหรือวัดได้
ครอบคลมุ จงึ จะช่วยใหม้ คี วามเช่ือม่ันสูง

2.3 ข้อคำถามทุกข้อ องค์ประกอบของคุณลักษณะที่วัดต้องมีความชัดเจนทุกด้านหรือเรียกว่ามี
ความเป็นปรนยั จงึ จะสง่ เสรมิ ใหม้ คี วามเชือ่ มั่นสงู

2.4 ถา้ เป็นแบบทดสอบ ต้องประกอบด้วยขอ้ คำถามทยี่ ากง่ายพอเหมาะ ไมม่ คี ำถามทย่ี ากเกินไป
หรอื คำถามทง่ี า่ ยเกินไป เพราะหากคำถามเหล่านจี้ ำแนกความสามารถของบุคคลไม่ได้ จะมผี ลตอ่ ความเช่ือม่ัน
ของแบบทดสอบ

นอกจากความเชื่อมั่นจะขึ้นอยู่กับคุณภาพของเครื่องมือหลายประการดังกล่าวแล้ว ยังขึ้นอยู่กับ
องค์ประกอบอ่นื อีก เช่น ยังขนึ้ อยู่กบั จำนวนขอ้ สอบหรือข้อคำถาม จำนวนกลมุ่ ทีท่ ดลองใช้ เวลาทใ่ี ช้ในการวัด

85

มากหรือน้อยเกินไป ความพร้อมของผู้ที่รับการสอบวัด วิธีปฏิบัติของผู้เก็บข้อมูล ตลอดจนสภาพแวดล้อมท่ี
เอ้อื อำนวย

3. มีความเป็นปรนัย (objectivity) เป็นคุณลักษณะที่ทำให้เครื่องมือมีความชัดเจนในแง่การนำไปใช้
3 ประการ

3.1 ข้อคำถามหรือรายการวัดที่กำหนดไว้มีความชัดเจน ทุกคนอ่านแล้วมีความเข้าใจตรงกัน ใช้
ภาษางา่ ยชดั เจนรัดกมุ ไมม่ ีความบกพร่องทางภาษา

3.2 การตรวจให้คะแนนมีความแน่นอนชัดเจน มีวิธีที่ชัดเจนในการจัดกระทำกับข้อมูล หรือ
กำหนดคา่ เปน็ ตัวเลขให้กบั ขอ้ มลู มีเกณฑ์การตรวจให้คะแนนที่เป็นมาตรฐานเดียวกนั สำหรบั คนตรวจทกุ คน

3.3 การแปลความหมายมีความชัดเจน ผลการสรุปและประเมินเป็นที่ยอมรับได้ของทุกฝ่ายที่
เกี่ยวข้อง ซึ่งหมายถึงว่าผลที่ได้มาน้ันสอดคล้องกับคุณลักษณะที่เป็นจริง ทุกฝ่ายแปลความหมายของคะแนน
ได้ตรงกนั

4. มีประสทิ ธภิ าพ (efficiency) เป็นคุณลักษณะของเครอื่ งมือท่ีพจิ ารณาในแง่ประโยชน์ใชส้ อย ดงั น้ี
4.1 จดั รปู แบบไดเ้ หมาะสม มีคำชีแ้ จงหรือแนวดำเนินการที่ชัดเจน ออกแบบใหเ้ กดิ ความสะดวก

ต่อผู้ใช้
4.2 มีรูปแบบที่สะดวกต่อการจัดกระทำกับข้อมูล ซึ่งทำให้สะดวกในการวิเคราะห์ และแปล

ความหมายของข้อมูลดว้ ย
4.3 มีความกะทัดรัด คือ กำหนดรายการที่จะวัดเท่าที่จำเป็น ไม่มากเกินไป แต่ให้ผลการวัด

เท่ียงตรง และเชือ่ ถอื ได้
4.4 มีความประหยัดหลายด้าน เช่น ประหยัดวัสดุในการสร้างเครื่องมือ ประหยัดเวลาในการ

นำไปวดั พฤติกรรม ประหยดั แรงงานในการจัดกระทำกบั ขอ้ มลู และวเิ คราะหข์ อ้ มลู
4.5 ไม่มีความบกพร่องทางด้านภาษาซึ่งทำให้การสื่อความผิดพลาดไปในกรณีที่เป็นเครื่อง มือ

ประเภทแบบทดสอบ อาจจะตอ้ งการคุณลกั ษณะสำคัญเพิ่มอกี ดงั น้ี
5. มีความยาก (difficulty) หมายถึง ข้อทดสอบแต่ละข้อ หรือข้อทดสอบรวมทั้งฉบับต้องไม่ยาก

เกินไป หรอื ง่ายเกินไปสำหรบั กลมุ่ ผู้สอบ
6. มีอำนาจจำแนก (discrimination) หมายถึง ข้อทดสอบแต่ละข้อหรือข้อทดสอบรวม ทั้งฉบับจะ

สามารถจำแนกระดบั พฤตกิ รรมทางปัญญาทแี่ ตกต่างกนั ของผสู้ อบได้
7. มีความยุติธรรม (fair) หมายถึง แบบทดสอบที่ไม่ทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างผู้ตอบ

เชน่ แบบทดสอบที่คอ่ นข้างยากทัง้ ฉบับ แบบทดสอบท่ีใช้ทกั ษะบางอยา่ ง หรอื แบบทดสอบท่ีมแี นวทางการเดา
ดังนั้นแบบทดสอบที่ยุติธรรม จะต้องสร้างให้ครอบคลุมเนื้อหาคือ สร้างตามตารางวิเคราะห์เนื้อหา และ
จุดประสงคข์ องการเรียนรู้ และปฏิบตั ิตามหลักการสรา้ งแบบทดสอบชนดิ นัน้

8. ถามลึก (searching) หมายถงึ แบบทดสอบท่ีมคี ำถามวดั ความคดิ หลายระดับ ไม่ใช่ มีแตค่ ำถามวัด
ความรคู้ วามจำอยา่ งเดียว

9. มีลักษณะจูงใจ (examplary) หมายถึง แบบทดสอบที่มีลักษณะชวนให้ผู้สอบคิดหรือตอบไปจน
ตลอดฉบับโดยการเรียงจากคำถามง่ายไปหาคำถามยาก หรือให้มรี ูปแบบทีแ่ ปลกใหมด่ ึงดูดความสนใจ

จากคุณลักษณะที่ดีของเครื่องมือดังกล่าวจะเห็นได้ว่า เครื่องมือแต่แต่ละชนิดจะมีลักษณะที่บ่งช้ี
คุณภาพของเครื่องมอื ท่ีแตกตา่ งกัน ในการสร้างและพัฒนาเครื่องมือแต่ละชนดิ ผวู้ ิจยั จงึ ต้องศกึ ษาคุณลักษณะ
ของเครื่องมือแต่ละชนิดให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้และชัดเจน ทั้งกระบวนการสร้างและการหาคุณภาพ
ของเคร่ืองมือ เพราะคณุ ภาพของเครอื่ งมือจะมผี ลต่อคุณภาพและความเที่ยงตรงภายในของงานวิจยั ดว้ ย

86

แบบสอบถามสามารถรับและส่งได้หลายวิธีทั้งการรับ-ส่งทางไปรษณีย์ด้วย แต่การส่งไป-ส่งกลับทาง
ไปรษณยี ์อาจทำให้ล่าช้า สญู หายหรือไดร้ ับกลับคืนไม่ครบ ซ่ึงโดยท่ัวไปแลว้ ผวู้ ิจัยควรจะได้รับเคร่ืองมือท่ีใช้ใน
การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลกลบั คืนมาไมน่ ้อยกว่าร้อยละ 80 ของเครื่องมอื ทสี่ ง่ ไป จึงจะสามารถวเิ คราะห์ข้อมลู ได้

การรวบรวมขอ้ มลู และเคร่ืองมือในการรวบรวมข้อมลู

วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล และเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลมีความสัมพันธ์กัน กล่าวคือ
เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลต้องสอดคล้องกับวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล เช่น ถ้าวิธีการเก็บรวบรวมข้อมลู
เป็นการสัมภาษณ์ผู้มาใช้บริการร้านค้าของวิทยาลัย ซึ่งเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลได้จากผู้ให้ข้อมูล ที่อ่าน-
เขียนได้ และอ่าน-เขียนไม่ได้ เครื่องมือที่เหมาะสมจึงเป็นแบบสัมภาษณ์ความพึงพอใจการบริการของร้านค้า
ของวทิ ยาลยั หากใชแ้ บบทดสอบอาจไม่เหมาะสมกับลกั ษณะตัวแปรทป่ี ระสงค์จะวัด หรอื ถา้ ใชแ้ บบสอบถามก็
อาจประสบข้อจำกัดในเรื่องของการอ่าน-เขียน แม้ว่าจะสามารถวัดตัวแปรในลักษณะเดียวกันกับแบบ
สมั ภาษณก์ ็ตาม

วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลสำหรับการวิจัยในชั้นเรียน 14 วิธี ได้แก่ การสอบถาม การสัมภาษณ์ การ
สังเกต การวัดความรู้สึก หรือความเชื่อ การเขียนอนุทิน การสนทนากลุ่ม การทำสังคมมิติ การประเมิน
พฤติกรรม การประเมินผลงาน การศึกษาเอกสาร และการบันทึกภาพและเสียง (คณะศึกษาศาสตร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และสำนักวิจัยและพัฒนาอาชีวศึกษาสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
2547 : 17-19) วิธีการเหล่านี้ สามารถนำมาเป็นแนวทางในการพิจารณา เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล
ในลักษณะโครงการ ได้ดังตารางที่ 1.1

ตารางที่ 1.1 เครือ่ งมอื ท่ใี ช้เกบ็ รวบรวมข้อมลู ในการวจิ ัย

วธิ กี ารเก็บ เคร่อื งมือ การนำเครอื่ งมอื ไปใช้

รวบรวมข้อมูล วัดความสามารถด้านสติปัญญา อาจจะใช้แบบทดสอบ
หรือข้อสอบที่มีอยู่แล้วหรือสร้างใหม่ โดยให้ผู้ให้ข้อมูล
1. แบบทดสอบ แบบทดสอบ เขียนค าตอบจะได้ข้อมูลเชิงปริมาณ เช่น ข้อสอบแบบ
อัตนัย ขอ้ สอบแบบปรนยั
2. แบบสงั เกต แบบสังเกต ใช้ในการรวบรวมข้อมูลโดย สังเกตพฤติกรรมของคนหรือ
สัตว์แล้วบันทึกในแบบสังเกต ซึ่งควรรายการที่จะสังเกต
แบบบันทกึ ข้อมูล กำหนดเอาไว้การสังเกตจะได้ผลดีถา้ ทำโดยผู้ถูกสงั เกตไม่
รู้ตัว จะได้ข้อมูลเชิงคุณภาพแต่สามารถแปลงเป็นข้อมูล
เชิงปริมาณได้ในกรณีที่เป็นการสังเกตสภาพทาง
ภูมิศาสตร์หรือโครงสร้างทางวัตถุ เช่น ศึกษาสภาพชมุ ชน
การจัดร้านค้า หรือการจัดสำนักงาน ผู้สังเกตจะบนั ทึกสิง่
ที่สังเกตพบหรอื เหน็ ลงในแบบสังเกต และมักมีการบันทึก
แผนที่ หรือแผนผังด้วย
เป็นการสังเกตอันเนื่องจากการชั่ง ตวง วัด และนับแบบ
บันทึกข้อมูลนี้ใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่น เช่น เครื่องช่ัง

87

น้ำหนัก นาฬิกาจับเวลาเป็นต้น การชั่งอาจเป็นการชั่ง

น้ำหนักไก่ หรือตวงอาหารสำหรับเลี้ยงไก่ การวัดขนาด

ของบุคคล เพื่อสร้างแบบเสื้อเปีนต้น ข้อมูลที่บันทึกเป็น

ข้อมลู เชิงปรมิ าณ

3. แบบสัมภาษณ์ แบบสมั ภาษณ์ ใช้ในการรวบรวมข้อมูลโดยการสนทนา สอบถามปาก

เปล่า โดยมีการบันทึกข้อมูลในแบบสัมภาษณ์ซึ่งควร

กำหนดประเด็นการสัมภาษณ์ไว้ล่วงหน้า ข้อมูลที่ได้เป็น

ทง้ั ข้อมูลเชงิ ปริมาณและขอ้ มูลเชิงคุณภาพ

4. แบบสอบถาม แบบสอบถาม เกบ็ รวบรวมขอ้ มูลทเ่ี ปน็ ความคิดเหน็ ความตอ้ งการสภาพ

ปัญหา เป็นต้น โดยให้ผู้ตอบเขียนหรือเลือกคำตอบ ซ่ึง

คำตอบนี้ไม่มีถูกหรือผิดอาจจะถามนักเรียนผู้ปกครอง

หรือเพื่อนครูข้อมูลที่ได้เป็นทั้งข้อมูลเชิงปริมาณและ

ขอ้ มูลเชิงคุณภาพ

5. แบบประเมิน แบบประเมินการ ใช้ในการรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมหรือการปฏิบัติของ

การปฏบิ ตั ิ ปฏิบัติ บุคคล โดยผู้วิจยั เปน็ ผบู้ ันทกึ ในการประเมนิ เป็นข้อมูลเชิง

ปรมิ าณและคณุ ภาพ

6. การวัดวามร้สู ึก แบบวดั เจตคตหิ รือ ใช้วัดความเชอ่ื หรือการเหน็ คณุ คา่ ในเรื่องใดเรื่องหนึง่

หรือความเชอ่ื แบบวัดทศั นคติ

7. การเขยี นอนุทิน แบบบนั ทกึ อนุทิน ใช้ในการรวบรวมข้อมูลโดยบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ

ความรู้สึกที่เกี่ยวข้องกับบุคคล บทเรียน สิ่งแวดล้อมและ

อนื่ ๆ เปน็ ข้อมูลเชิงคณุ ภาพ

8. การสนทนากลุ่ม แบบบันทกึ ประเดน็ ใช้ในการรวบรวมความคิดเห็นกลุ่มเล็ก (ไม่เกิน 15 คน)

(Focus Group) การสนทนา เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเรื่องหนึ่ง ซึ่งผู้วิจัยควรกำหนด

ประเด็นการสนทนาไว้ล่วงหน้า เช่น การเชิญ

ผู้ประกอบการร้านขายของมาสนทนากลุ่มเก่ียวกับปัญหา

การดำเนินงาน

และหาแนวทางแกไ้ ข จะไดข้ อ้ มลู เชงิ คณุ ภาพ

9. การทำสังคมมติ ิ แบบวดั สังคมมิติ ใช้ในการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสมาชิกในกลุ่ม เพ่ือ

ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของกลุ่ม โดยให้สมาชิกกลุ่มเป็น

ผตู้ อบในแบบสังคมมติ ิ เปน็ ขอ้ มูลเชงิ คุณภาพ

10. การประเมิน แบบประเมนิ ใช้ในการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของบุคคลโดย

พฤติกรรม พฤติกรรม ให้บุคคลดังกล่าวเขียนคำตอบในแบบประเมินเป็นข้อมูล

เชงิ ปรมิ าณและเชิงคุณภาพ

11. การประเมิน แบบประเมินผลงาน ใช้ในการพิจารณาผลงาน หรือชิ้นงาน โดยผู้วิจัยหรือ

ผลงาน กรรมการพิจารณาผลงานเป็นผู้บันทึกหรือให้คะแนน

ตาม

เกณฑ์ท่ีกำหนด เป็นเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ

88

12. การศึกษา แบบบันทึกลักษณะ ใช้ในการรวบรวมข้อมูลจากเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
เอกสาร ต่าง ๆ เพื่อศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ประวัติจากแฟ้มผลงาน หรือ

13. การบันทึก รายงานผลการดำเนินงานเป็นข้อมูลเชิงปริมาณและเชิง
ภาพและเสียง คุณภาพ

กล้องถ่ายรูป กล้อง ใช้ในการบันทึกภาพและเสียงในประเด็นหรือหัวข้อที่
บันทึกภาพ วีดิทัศน์ ต้องการแล้วนำมาวิเคราะห์ เพื่อหาคำตอบเป็นข้อมูลเชิง
เทปบันทึกเสียง คุณภาพ

แบบสอบถาม

เป็นรูปแบบของคำถามเป็นชุด ๆ ที่ได้ถูกรวบรวมไว้อย่างมีหลักเกณฑ์และเป็นระบบเพื่อใช้วัดสิ่งที่
ผู้วิจัยต้องการจะวัดจากกลุ่มตัวอย่างหรอื ประชากรเป้าหมายให้ได้มาซึ่งข้อเท็จจริงทั้งในอดีตปัจจุบันและการ
คาดคะเนเหตุการณ์ในอนาคต แบบสอบถามประกอบด้วยรายการคำถามที่สร้างอย่างประณีตเพื่อรวบรวม
ข้อมูลเกี่ยวกับความคิดเห็นหรือข้อเทจ็ จริง โดยส่งให้กลุ่มตัวอย่างตามความสมคั รใจ การใช้แบบสอบถามเปน็
เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลนั้น การสร้างคำถามเป็นงานที่สำคัญสำหรับผู้วิจัยเพราะว่าผู้วิจัยอาจไม่มี
โอกาสได้พบปะกบั ผู้ตอบแบบสอบถามเพื่ออธิบายความหมายต่าง ๆของข้อคำถามที่ต้องการเก็บรวบรวม

แบบสอบถาม เปน็ เครอ่ื งมอื วิจัยชนดิ หนง่ึ ที่นยิ มกนั มาก เพราะการเก็บรวมรวมข้อมูลสะดวกและ
สามารถใช้วัดได้อย่างกว้างขวาง การเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามสามารถทำได้ด้วยการสัมภาษณ์ด้วยตัวเอง
หรอื ให้ผตู้ อบตอบด้วยตนเอง

หลกั การสรา้ งแบบสอบถาม

1. สอดคล้องกบั วตั ถปุ ระสงคก์ ารวจิ ัย
2. ใช้ภาษาทีเ่ ข้าใจง่าย เหมาะสมกับผู้ตอบ
3. ใชข้ ้อความทส่ี ้นั กะทดั รดั ได้ใจความ
4. แต่ละความถามควรมีนัย เพียงประเด็นเดยี ว
5. หลีกเล่ียงการใช้ประโยคปฏิเสธซอ้ น
6. ไมค่ วรใชค้ ำย่อ
7. หลีกเลย่ี งการใชค้ ำที่เป็นนามธรรมมาก
8. ไม่ชนี้ ำการตอบใหเ้ ป็นไปแนวทางใดแนวทางหนึ่ง
9. หลีกเลย่ี งคำถามทีท่ ำให้ผตู้ อบเกิดความลำบากใจในการตอบ
10. คำตอบท่มี ใี ห้เลือกตอ้ งชัดเจนและครอบคลมุ คำตอบทีเ่ ป็นไปได้
11. หลกี เลี่ยงคำท่ีสือ่ ความหมายหลายอยา่ ง
12. ไม่ควรเป็นแบบสอบถามที่มีจำนวนมากเกินไป ไม่ควรให้ผู้ตอบใช้เวลาในการตอบแบบสอบถาม
นานเกินไป
13. ขอ้ คำถามควรถามประเด็นทเี่ ฉพาะเจาะจงตามเป้าหมายของการวิจัย
14. คำถามต้องน่าสนใจสามารถกระตุ้นให้เกดิ ความอยากตอบ

89

90

ขั้นตอนการสร้างแบบสอบถาม

1. กำหนดวัตถุประสงคข์ องการสรา้ งแบบสอบถาม
2. ระบุเน้อื หาหรือประเดน็ หลกั ทจ่ี ะถามใหค้ รอบคลมุ วัตถปุ ระสงคท์ จี่ ะประเมิน
3. กำหนดประเภทของคำถามโดยอาจจะเปน็ คำถามปลายเปดิ หรือปลายปดิ
4. รา่ งแบบสอบถาม โครงสร้างแบบสอบถามอาจแบง่ เปน็ 3 ตอน คอื

• ตอนท่ี 1 ข้อมูลเบอื้ งตน้ /ขอ้ มูลท่ัวไป
• ตอนที่ 2 ขอ้ มูลหลกั เก่ยี วกับเร่อื งทจ่ี ะถาม
• ตอนที่ 3 ข้อเสนอแนะ
5. ตรวจสอบข้อคำถามว่าครอบคลุมเรื่องทีจ่ ะวัดตามวัตถปุ ระสงค์หรือไม่
6. ให้ผ้เู ชียวชาญตรวจสอบความเที่ยงตรงเนอ้ื หาและภาษาทีใ่ ช้
7. ทดลองใช้แบบสอบถามเพ่ือดคู วามเป็นปรนยั ความเชื่อมั่นและเพ่ือประมาณเวลาทใ่ี ช้
8. ปรับปรงุ แกไ้ ข
9. จัดพมิ พ์และทำคมู่ ือ

การตรวจสอบคณุ ภาพของเคร่ืองมือ

เม่ือไดส้ รา้ งเคร่ืองมือรวบรวมข้อมลู แล้วเครื่องมือต้องมีคุณภาพที่ดี เพื่อข้อมูลท่ีเก็บรวบรวมวิเคราะห์
แล้วนำเสนอข้อมูลมีความน่าเชื่อถือเมื่อนำไปใช้เพื่อการตัดสินใจผิดพลาดน้อยที่สุด คุณภาพของเครื่องมือ
รวบรวมพิจารณาคุณลักษณะ ดังนี้

1. ความเที่ยงตรง (Validity)
2. ความเชื่อมน่ั (Reliability)
3. ความยากงา่ ยและอำนาจจำแนก (Difficulty and Discrimination)
4. ความเปน็ ปรนัย (Objectivity)
5. ความมปี ระสทิ ธภิ าพ (Efficiency)
6. ความไว (Sensitivity)
7. ความเป็นมิตเิ ดียว (Unidimensionality)
8. ความง่ายในการใช้ (Simplicity)
คณุ ลักษณะของเคร่ืองมือท่ดี ี 8 ประการขา้ งตน้ ความเทยี่ งตรง และความเช่ือม่ัน เป็นคุณลักษณะท่ีมี
ความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งของเครื่องมือวิจัย ส่วนอีก 6 คุณลักษณะ จะเป็นคุณลักษณะรอง ดังนั้นการ
ตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือวิจัยทุกสาขาวิชาจึงเน้นให้ความสำคัญกับการหาความเที่ยงตรงและความ
เชื่อม่นั

91

การวิเคราะห์ความเท่ียงตรงดว้ ยวธิ ีการวเิ คราะห์ดชั นคี วามสอดคล้อง
เป็นการหาความเท่ียงตรงตามเนื้อหารายจดุ ประสงคห์ รือวัตถุประสงค์กบั ข้อคำถาม หรือ การหาดัชนี

ความสอดคล้องระหว่างคำถามรายข้อกับวัตถุประสงค์หรือจุดประสงค์ที่ต้องการวัด จะใช้สูตร IOC (Index
ofItem-Objective Congruence) ซึง่ เคร่ืองมอื รวบรวมข้อมูลท่ีสร้างข้นึ เอง ก่อนนำไปใช้ต้องมกี ารหาคุณภาพ
ของเคร่ืองมือรวบรวมขอ้ มูล เบือ้ งตน้ อยา่ งงา่ ย ๆ ดงั น้ี

1. นำเคร่ืองมอื รวบรวมข้อมลู กับวัตถปุ ระสงค์ใหผ้ ้เู ช่ียวชาญหรือผ้รู ู้ดา้ นการวดั ผลและเนื้อหา 3-5 คน
พจิ ารณาว่าเคร่อื งมอื สอดคล้องกบั วตั ถุประสงค์หรือไม่ โดยกำหนดคะแนนความเหน็ ดังนี้

+1 แน่ใจวา่ ขอ้ คำถามของเคร่อื งมือน้นั สอดคลอ้ งกับวตั ถปุ ระสงค์
0 ไม่แนใ่ จวา่ ข้อคำถามของเคร่ืองมือนั้นสอดคล้องกับวตั ถุประสงค์
-1 แน่ใจวา่ ขอ้ คำถามของเคร่ืองมือนั้นไมส่ อดคล้องกับวตั ถุประสงค์
นำคะแนนของผูเ้ ชี่ยวชาญแต่ละคนมาคำนวณจากสูตร

เมอ่ื IOC แทน ดัชนคี วามสอดคลอ้ งระหว่างเครือ่ งมือนัน้ กับวัตถปุ ระสงค์
∑ แทน ผลรวมของคะแนนความคดิ เหน็ จากผเู้ ชยี่ วชาญ
n แทน จำนวนผเู้ ช่ียวชาญ
2. กำหนดเกณฑ์การยอมรับว่าเครือ่ งมอื น้นั สอดคล้องกับวัตถุประสงคจ์ ากค่า IOC ถา้ ผ้เู ชยี่ วชาญ 3

ท่าน ควรใชค้ ่า IOC ตั้งแต่ 0.5 ข้นึ ไป ถ้ามผี ูเ้ ช่ยี วชาญ 5 ท่าน ควรใช้ค่า IOC ตัง้ แต่ 0.7 ขึน้ ไป

92

3. จัดทำแบบประเมินให้ผูเ้ ช่ยี วชาญประเมนิ พร้อมข้อเสนอแนะ ดังตัวอย่าง

ช่ือผู้เชี่ยวชาญ……………………………………………………………………………………………………………………….....…..
วตั ถุประสงค์การวิจัยท่ี…………………………………………………………………………………………………………….........

ขอ้ คำถามที่ คะแนนของผเู้ ช่ยี วชาญ ข้อเสนอแนะ
-1 0 +1
1
2

4. นำเครอ่ื งมอื รวบรวมข้อมูลทไ่ี ดจ้ ากการประเมนิ ของผผู้ เู้ ช่ียวชาญมาทำการวิเคราะหด์ งั ตวั อยา่ ง

ตารางการวิเคราะห์ดัชนีความสอดคล้องระหว่างเครื่องมือนั้นสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ (IOC) ให้ผู้เชี่ยวชาญ
ทงั้ ดา้ นการวัดผลและเนือ้ หาพจิ ารณาเครื่องมอื รวบรวมข้อมูล ได้ดงั น้ี

วัตถุประสงค์ท่ี ข้อท่ี คะแนนของผเู้ ชี่ยวชาญ คะแนนเฉลย่ี
(IOC)
ผูเ้ ชย่ี วชาญที่ ผู้เช่ียวชาญท่ี ผเู้ ช่ียวชาญท่ี คะแนนรวม
123

ตวั อยา่ ง

แบบประเมินการอบรมเกี่ยวกับการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณก่อนใช้ ได้นำไปให้ผู้เชี่ยวชาญ

ประเมนิ 5 คน โดยวตั ถุประสงค์ข้อท่ี 1 มีขอ้ คำถาม 5 ขอ้ ผลคะแนนการประเมนิ ของผเู้ ช่ยี วชาญดังน้ี

วัตถปุ ระสงค์ ขอ้ ผ้เู ชี่ยวชาญ คะแนนของผู้เชีย่ วชาญ ผู้เชย่ี วชาญ คะแนน คะแนน
ท่ี ที่ ที่ 1 ท่ี 5 รวม เฉล่ยี
ผู้เชีย่ วชาญ ผเู้ ชี่ยวชาญ ผู้เชยี่ วชาญ (IOC)
ที่ 2 ท่ี 3 ท่ี 4

1 1 0 1 1 -1 2 0.40

2 1 -1 0 0 0 0 0

1 3 1 1 1 0 1 4 0.80

4 1 1 0 1 1 4 0.80

5 0 1 1 1 1 4 0.80

จากข้อมูล พิจารณาข้อใดที่มีความเทีย่ งตรงเชงิ เน้ือหา ท่ีวเิ คราะห์ดัชนคี วามสอดคล้อง
ผลสรุป จากคา่ IOC ข้อท่ีคา่ IOC > 0.7 ได้แกข่ อ้ 3,4 และ 5 สำหรบั ข้อที่ 1 ต้องนำไปปรับปรงุ และ ขอ้ ท่ี 2
ต้องพิจารณาข้อเสนอแนะข้องผู้เชี่ยวชาญอีกถา้ มี ถ้าไมม่ ขี ้อเสนอแนะใหแ้ กไ้ ขต้องตดั ท้ิง

93
การวิเคราะห์ความเช่ือมนั่ ตรงดว้ ยวิธขี องครอนบคั

เป็นวิธีการที่นิยมใช้กันมากโดยเฉพาะการวิจัยทางสังคมศาสตร์ที่ใช้แบบสอบถาม ซึ่งสามารถ
ตรวจสอบให้คะแนนลักษณะใดก็ได้ เช่น คำตอบ 0 หรือ 1 และแบบให้ประเมนิ คา่ เป็น 1,2,3,4,5 เปน็ ต้น แล้ว
นำมาหาคา่ ความเชื่อมั่น ดงั น้ันสตู รตอ่ ไปนี้

โดยท่ี

94

ตัวอย่าง
สมมุติว่าแบบประเมินเจตคติต่อการจัดประชุมการน าเสนอการใช้เทคโนโลยีการศึกษา เพื่อพัฒนาการศึกษา
โดยแบบประเมนิ 5 ข้อ โดยแบบประเมนิ ใชร้ ะดับการประเมิน 5,4,3,2,1 โดยเกบ็ ข้อมูลจากกลุ่มทดลองใช้แบบ
ประเมนิ จำนวน 5 คน ไดผ้ ลการวเิ คราะห์ดงั นี้


Click to View FlipBook Version