6. ติดตามประเมินการบริโภคไขมัน
ในผ้ทู ี่มีระดบั ไขมนั ในเลอื ดสงู
7. กาหนดและดัดแปลงอาหารให้เหมาะสม
กับอาหารในท้องถิ่นของผู้ท่ีเป็นโรคอ้วน
ใหร้ บั ประทานเปน็ ประจา
ผู้ท่ีมีความผิดปกติของระดับไขมันในเลือด ควรให้โภชนบาบัด
ตามหลักการของ Therapeutic Lifestyle Change Diet
(TLC diet) ร่วมกับการลดปัจจัยเส่ียง เช่น เพิ่มการออกกาลังกาย
ลดน้าหนักตัว ลดความเครียด ลดการดื่มสุราและสูบบุหร่ี
จะสามารถลดความเส่ียงต่อการเกิดความผิดปกติของไขมันในเลือด
และโรคหลอดเลือดหัวใจ ซ่ึงเป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศ
และเป็นปญั หาที่มกั พบในผู้ทเี่ ปน็ โรคอว้ นและโรคเบาหวาน
การกาหนดแบบแผน
การบรโิ ภคอาหารสาหรบั
ผทู้ เี่ ปน็ โรคอว้ น
การกาหนดแบบแผนการบริโภคอาหารสาหรับผู้ท่ีเป็นโรคอ้วน
เ ป็ น ห น้ า ท่ี โ ด ย ต ร ง ข อ ง นั ก โ ภ ช น า ก า ร ห รื อ นั ก ก า ห น ด อ า ห า ร
ซ่ึงต้องใช้รายการอาหารแลกเปลี่ยน รายการอาหารแลกเปล่ียน
เป็นเคร่ืองมือและข้อมูลสาคัญท่ีใช้ประกอบในการกาหนดและคานวณ
อาหารสาหรับผู้ท่ีเป็นโรคอ้วน โดยคานึงถึงภาวะโภชนาการและ
บริโภคนิสัย ของผู้ท่ีเป็นโรคอ้วน แต่ละบุคคลเป็นเกณฑ์สาคัญ
ในการกาหนดแบบแผนอาหาร
สรุปสถานการณก์ ารกนิ อาหารและพฤตกิ รรมการกินทป่ี รบั เปลย่ี น
ไปของคนไทย เป็นสิ่งที่ควรมีการรณรงค์ส่งเสริมให้ประชาชนคนไทย
หันกลับไปมีพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสม โดยการให้ความรู้
และคาแนะนาปรึกษาด้านโภชนาการ รวมทั้งติดตามประเมินผล
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ซ่ึงจะลดความเสี่ยง
ต่อการเป็นโรคอ้วนและโรคอ้วนลงพุง หรือ เมตาโบลิกซินโดรม
และสอดคล้องกับนโยบายของรฐั บาลในเร่อื ง “เมอื งไทยแขง็ แรง”
โรคเบาหวาน
โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หาย และมีแนวโน้มว่าผู้ที่เป็น
โรคเบาหวาน จะเพิ่มมากขึ้นทุกปีในทุกกลุ่มอายุของคนไทย เป็นโรคท่ีมัก
พบในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ แต่สิ่งที่น่าวิตกมาก คือปัจจุบันอายุเฉล่ียของ
ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานน้อยลง อัตราการเกิดโรคเบาหวาน ในเด็กเพ่ิมขึ้น
โดยเฉพาะโรคเบาหวานชนิดท่ี 2 โดยสาเหตุใหญ่ของการเป็นเบาหวาน
เกิดจากปัญหาโรคอ้วน ซึ่งมีผลมาจากวิถีการดารงชีวิตของคนไทย
ท่ีเปล่ียนไป ขาดการออกกาลังกาย ลดการทากิจกรรมในชีวิตประจาวัน
และพฤติกรรมการรับประทานอาหารท่เี ปลย่ี นไป
โ ร ค เ บ า ห ว า น เ ป็ น โ ร ค ที่ สั ม พั น ธ์ กั บ อ า ห า ร
อาหารจึงเป็นหัวใจสาคัญท่ีช่วยให้การรักษาได้ผลดียิ่งข้ึน
การป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน
เ ป็ น ส่ิ ง ส า คั ญ ใ น ก า ร ดู แ ล รั ก ษ า โ ร ค เ บ า ห ว า น
ดังนนั้ โภชนาการจึงมีบทบาทสาคัญท้ังในการควบคุมระดับ
น้าตาล และลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อน
ของโรคเบาหวาน
ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานควรเห็นความสาคญั ของอาหาร
และโภชนาการ มีการเรียนรู้เกี่ยวกับแบบแผนการบริโภค
อ า ห า ร ก า ร เ ลื อ ก อ า ห า ร ท้ั ง คุ ณ ภ า พ แ ล ะ ป ริ ม า ณ
สามารถดัดแปลงรายการอาหาร และปรับเปลี่ยนทัศนคติ
และพฤติกรรมการบริโภคอาหาร สามารถอ่านฉลาก
โภชนาการและเลือกซื้ออาหารได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
รวมทั้งสามารถดูแลตนเองได้ดี ซึ่งจะลดความรุนแรง
ของภาวะแทรกซอ้ นทอี่ าจเกิดข้ึนได้
โภชนบาบดั ทางการแพทย์
(Medical Nutrition Therapy : MNT)
การรักษาโรคเบาหวานประกอบด้วย
1. การใหโ้ ภชนบาบดั ทางการแพทย์
2. การใช้ยา
3. การออกกาลังกาย
4. การใหค้ วามรู้ดา้ นโภชนาการ
โภชนบาบัดทางการแพทย์ เป็นหลักการท่ีสาคัญและเป็นหลักการแรก
ในการป้องกันและรักษาโรคเบาหวาน รวมท้ังป้องกันหรือชะลอ
ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน ซ่ึงโภชนบาบัดทางการแพทย์
มีความสาคัญในทุกระดับของการป้องกันโรคเบาหวาน ทั้งระดับปฐมภูมิ
(primary prevention)ระดับทุติยภูมิ (secondary prevention)
และระดบั ตติยภมู ิ (tertiary prevention)
โภชนบาบัดทางการแพทย์สาหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานท่ีนาเสนอ
ในท่ีนี้เป็นการสรุปเฉพาะประเด็นหลักสาคัญ ซ่ึงจัดทาโดยสมาคม
เบาหวานสหรัฐอเมริกา (American Diabetes Association)
โดยได้พัฒนาระบบของหลักเกณฑ์ในการเกรด (ADA Evidence
Grading System) สาหรับกาหนดข้อแนะนาด้านโภชนบาบัด
ทา ง กา ร แพ ทย์ต า มระ ดั บ ของ หลั กฐา นท า ง วิ ทย า ศ า ส ต ร์
ทีม่ ี 4 ระดับ คือ A B C และ E โดย
ระดบั A
คือ ระดับท่ีมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ท่ีชัดเจนจากผลการศึกษา
ที่ดาเนินการวิจัยอย่างดี เป็นการศึกษาแบบ Randomized
controlled trials จาก multicenter trial และ meta-
analysis. (Clear evidence from well-conducted,
generalizable, randomized controlled trials:
multicenter trial, and meta-analysis)
ระดบั B
คือ ระดับท่ีมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ท่ีสนับสนุนจากผลการศึกษา
ท่ีดาเนินการวิจัยแบบ cohort และ case-control studies
(Supportive evidence from well-conducted
cohort studies: prospective cohort study, meta-
analysis of cohort studies, case-control
study)
คือ ระดับท่ีมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ท่ีสนับสนุนจากผลการศึกษา
ท่ีไม่ได้ควบคุม เป็นการศึกษาแบบ observational studies หรือ
case reports (Supportive evidence from poorly
controlled or uncontrolled studies: randomized
clinical trials with one or more major or three or
more minor methodological flaws that could
invalidate the results, observational studies, case
reports) ระดบั C
ระดบั E
คื อ ค ว า ม เ ห็ น ข อ ง ผู้ เ ชี่ ย ว ช า ญ ห รื อ
ประสบการณ์ทางคลนิ ิก ของผู้เชี่ยวชาญ
จดุ มงุ่ หมายของการรกั ษา
ด้วยโภชนบาบัด
ทางการแพทย์
เป้าหมายหลักของการรักษาโรคเบาหวาน คือ
การรักษาสมดุลของน้าตาลในเลือดให้ใกล้เคียง
กบั ระดับปกติมากที่สุด ท้ังนี้เพ่ือป้องกันการเกิดโรค
แ ท ร ก ซ้ อ น ต่ า ง ๆ ที่ จ ะ เ กิ ด ข้ึ น ใ น อ น า ค ต
โดยเฉพาะอย่างย่ิงความผิดปกติของไขมันในเลือด
โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง
และโรคไตเรอ้ื รัง
จุดมุ่งหมายของการรักษาด้วยโภชนบาบัดทางการแพทย์
สาหรับผู้ท่ีมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน (pre-diabetes)
เพือ่ ลดความเสย่ี งของการเป็นโรคเบาหวานและโรคหลอดเลอื ดหวั ใจ
โดยส่งเสริมให้เลือกรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ
ร่วมกับการออกกาลังกาย เพ่ือลดน้าหนักตัวให้ได้
อยา่ งต่อเนื่อง
1. เพื่อควบคมุ และรักษา
ระดับน้าตาลในเลือดให้อยูใ่ นระดบั ปกตหิ รือใกลเ้ คยี งกบั ระดบั ปกติ
เทา่ ท่จี ะทาได้
ระดับไขมันในเลือดเพ่ือลดความเสี่ยงของการเกดิ โรคหลอดเลอื ดหัวใจ
ร ะ ดั บ ค ว า ม ดั น โ ล หิ ต ใ ห้ อ ยู่ ใ น ร ะ ดั บ ป ก ติ ห รื อ ใ ก ล้ เ คี ย ง กั บ
ระดับปกตเิ ท่าทจี่ ะทาได้
2. เพ่ือป้องกันหรือชะลอการเกิดภาวะแทรกซ้อนเรื้อรัง
จากโรคเบาหวาน โดยการ ปรับการรับประทานอาหาร
และปรับเปลีย่ นวถิ กี ารดาเนนิ ชวี ติ
3. เพ่ือตระหนักถึงความต้องการด้านโภชนาการ
เ ฉ พ า ะ ข อ ง ผู้ ป่ ว ย แ ต่ ล ะ ร า ย โ ด ย ค า นึ ง ถึ ง ตั ว บุ ค ค ล
วัฒนธรรม ความต้องการ ความชอบ และความเต็มใจ
ในการปรบั เปล่ียนพฤตกิ รรม
4. เพื่อให้ผู้ท่ีเป็นโรคเบาหวานมีความสุขกับการรับประทานอาหาร
และหลีกเลี่ยง หรือจากัดเฉพาะอาหารท่ีมีผลต่อโรคเบาหวาน ตามหลักฐาน
ทางวทิ ยาศาสตรท์ ี่มี
การทจ่ี ะวางแผนและให้โภชนบาบดั ได้ถูกต้องและเหมาะสมกับผู้ที่เป็น
โรคเบาหวาน แต่ละคนนั้นควรมีการประเมินภาวะโภชนาการของผู้ที่เป็น
โรคเบาหวานก่อน รวมทั้งประเมินอาหารท่ีบริโภค เพ่ือเป็นข้อมูลในการวาง
แผนการให้โภชนบาบัดและการให้คาปรึกษาแนะนาต่อไป โดยรวบรวมข้อมูล
ดังต่อไปนี้
รปู แบบและลักษณะของอาหารทบ่ี รโิ ภคตามปกติ
พลังงานท่ีได้รบั จากอาหารและการกระจายตัวของโปรตนี ไขมนั และ คารโ์ บไฮเดรต
การบรโิ ภคเน้ือสตั วท์ ่ีมีไขมันสูง และอาหารทม่ี คี อเลสเตอรอลสงู
ปริมาณไขมันและชนดิ ของไขมนั ท่บี ริโภค
ปริมาณใยอาหารทีบ่ รโิ ภค
การบรโิ ภคผัก ผลไม้ ข้าว-ธัญพชื ทีไ่ ม่ขัดสี
การบริโภคถว่ั เมลด็ แหง้ และผลติ ภณั ฑจ์ ากถวั่ เมล็ดแหง้
การบรโิ ภคนา้ ตาลและปรมิ าณนา้ ตาลทีบ่ รโิ ภค
การบรโิ ภคอาหารทีม่ ีโซเดยี มสงู อาหารเค็มจัด อาหารหมักดอง อาหารสาเรจ็ รูป อาหารกระปอ๋ ง
ความถีข่ องการรบั ประทานอาหารนอกบา้ น
การรับประทานวติ ามินและเกลือแร่เสรมิ
การดม่ื สรุ า และการสบู บุหรี่
ผทู้ ่มี ีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน (pre-diabetes)
หรือผู้ท่ีเป็นโรคเบาหวาน ควรได้รับการดูแลด้านโภชนบาบัด
ทา ง ก า ร แ พ ทย์ ที่เ ห มา ะ ส ม แล ะ เ ฉพ า ะ ส า ห รับ แต่ ละ ค น
( individualized MNT) ซึ่ ง เ ป็ น บ ท บ า ท แ ล ะ ห น้ า ท่ี
ความรับผิดชอบโดยตรงของนักกาหนดอาหาร ที่มีความรู้และ
เชี่ยวชาญในการดูแลด้านโภชนาการและโภชนบาบัด (B)
ก า ร ใ ห้ ค ว า ม รู้ แ ล ะ ค eแ น ะ น า ป รึ ก ษ า ใ น ด้ า น อ า ห า ร
และโภชนาการแก่ผู้ท่ีมีความเส่ียงต่อการเป็นโรคเบาหวาน
หรือผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ควรให้เหมาะสมตรงกับความต้องการ
ของผู้ป่วยแต่ละคน ผู้ป่วยมีความเต็มใจในการปรับเปลี่ยน
และสามารถปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมนนั้ ๆ ได้ (E)
การป้องกันโรคเบาหวาน
(การปอ้ งกันระดับปฐมภูมิ : Primary Prevention)
ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคเบาหวานชนิดท่ี 2
โปรแกรมซ่ึงเน้นการปรับเปล่ียนวิถีการดeเนินชีวิต
ซึ่งรวมถึงการลดน้าหนักตัว (7% ของน้าหนักตัว)
การเคล่ือนไหวร่างกาย/ออกกาลังกายอย่างสม่าเสมอ
(150 นาทีต่อสัปดาห์) และการควบคุมอาหาร
โดยลดพลังงานจากอาหารและไขมันท่ีรับประทาน
สามารถลดความเสีย่ งต่อการเป็นโรคเบาหวานได้ (A)
ผู้ท่ีมีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคเบาหวานชนิดท่ี 2 ควรส่งเสริม
ให้รบั ประทานอาหารท่ีมีใยอาหาร (fiber) ให้ไดป้ ระมาณ 14 กรมั
ต่ อ 1 , 0 0 0 กิ โล แ ค ล อ รี ขอ ง พ ลั ง ง า น ท่ี ไ ด้ รั บ ต่ อวั น
รับประทานธัญพืช ข้าว-แป้งและผลิตภัณฑ์ที่ไม่ขัดสี
(whole grain) โดยรับประทานให้ได้ ประมาณคร่ึงหน่ึง
ของธัญพืช และข้าว-แปง้ ที่รบั ประทานต่อวัน (B)
ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูล เพียงพอที่จะสรุปว่ าอาหา ร
ที่มี Glycemic index ต่า จะช่วยลดความเส่ียงต่อการ
เ ป็ น โร ค เ บา ห ว า น อย่ า ง ไร ก็ ต า ม คว ร ส่ งเ ส ริ ม
ให้รบั ประทานอาหารที่มี Glycemic index ต่า ซึ่งมักจะ
มีใยอาหารสงู และมีสารอาหารอน่ื ๆ ทส่ี าคญั (E)
รายงานการศึกษาจากการสังเกตการณ์การดื่ม
แอลกอฮอล์ปานกลาง (1-2 ดริ้งค์ ต่อวัน)
อาจลดความเส่ียงต่อการเป็นโรคเบาหวาน
แต่ข้อมูลไม่ได้สนับสนุนในการแนะนาให้ด่ืม
แอลกอฮอล์ในผู้ท่ีมีความเส่ียงต่อการเป็น
โรคเบาหวาน (B)
ยังไม่มีข้อแนะนาด้านโภชนาการและ โภชนบาบัด
ในการป้องกันโรคเบาหวาน ชนิดที่ 1 (E)
แ ม้ ว่ า ปั จ จุ บั น จ ะ ยั ง ไ ม่ มี ข้ อ มู ล เ พี ย ง พ อ ที่ จ ะ แ น ะ น า
การป้องกันโรคเบาหวาน ชนิดท่ี 2 ในเด็ก หลักการในการ
ป้องกันโรคเบาหวานชนิดท่ี 2 ที่ได้ผลในผู้ใหญ่น่าจะสามารถ
นามาประยุกต์ใช้ในเด็กได้เช่นเดียวกัน ถ้าเด็กได้รับพลังงาน
แ ล ะ ส า ร อ า ห า ร เ พี ย ง พ อ กั บ ค ว า ม ต้ อ ง ก า ร ข อ ง ร่ า ง ก า ย
มกี ารเจริญเตบิ โตและพฒั นาตามปกติ (E)
การควบคมุ และรักษาโรคเบาหวาน
(การปอ้ งกนั ระดบั ทุติยภูมิ : Secondary Prevention)
1. อาหารคารโ์ บไฮเดรตในการรักษาโรคเบาหวาน
รูปแบบของการบริโภคอาหารเพ่ือสุขภาพในผู้ป่วยเบาหวาน
ควรส่งเสริมให้รับประทานอาหารท่ีเป็นแหล่งของคาร์โบไฮเดรต
จากผัก ผลไม้ ธัญพืช ข้าว-แป้ง และผลิตภัณฑ์ ท่ีไม่ขัดสี (whole
grain) ถ่วั เมลด็ แห้ง และนมพรอ่ งไขมัน (B)
การจากดั ปรมิ าณคาร์โบไฮเดรตในอาหารน้อยกว่า 130 กรัมต่อวัน
ไมแ่ นะนาในการรกั ษาโรคเบาหวาน (E)
ก า ร ติ ด ต า ม ป ร ะ เ มิ น ก า ร รั บ ป ร ะ ท า น อ า ห า ร ที่ เ ป็ น แ ห ล่ ง
ข อง คา ร์โบ ไ ฮเด รต โด ยใช้วิ ธีกา ร นับ หน่ว ยคา ร์โบ ไฮเด ร ต
(carbohydrate Counting) และการใช้รายการอาหารแลกเปลี่ยน
(ภาคผนวก) ยังคงเป็นวิธีการหลักท่ีสาคัญท่ีช่วยให้การควบคุมน้าตาล
ไดผ้ ลดี (A)
การใชอ้ าหารทีม่ ี glycemic index
และ glycemic load จะได้ประโยชน์
เ พิ่ ม ขึ้ น บ้ า ง ถ้ า พิ จ า ร ณ า เ ฉ พ า ะ
ค า ร์ โ บ ไ ฮ เ ด ร ต ที่ รั บ ป ร ะ ท า น
เพยี งอย่างเดียว (B)
ถ้ า จ ะ ใ ช้ อ า ห า ร ที่ มี น้ า ต า ล sucrose
เป็นส่วนประกอบในแผนการรับประทานอาหารของผู้ท่ี
เป็นเบาหวาน อาจใช้น้าตาลแทนอาหารท่ีเป็นแหล่ง
ของคาร์โบไฮเดรตชนิดอื่นได้ และถ้ารับประทานน้าตาล
เพ่ิมขึ้นนอกเหนือจากแผนการรับประทานอาหารที่ได้
กาหนดไว้ ควรปรับปริมาณอินซูลินท่ีได้รับหรือยา
ท่ีรับประทานให้เพียงพอ และควรคานึงถึงพลังงานท่ีอาจ
ได้รบั มากเกนิ ไปจากน้าตาลดว้ ย (A)
ผู้ ที่ เ ป็ น โ ร ค เ บ า ห ว า น ค ว ร รั บ ป ร ะ ท า น อ า ห า ร
ที่มีใยอาหารให้หลากหลายเช่นเดียวกับคนปกติท่ัวไป
อ ย่ า ง ไ ร ก็ ต า ม ยั ง ไ ม่ มี ห ลั ก ฐ า น ห รื อ ข้ อ มู ล เ พี ย ง พ อ
ท่ีจะแนะนาให้ผู้ท่ีเป็นโรคเบาหวาน รับประทานอาหาร
ทม่ี ีใยอาหารสงู กวา่ คนปกตทิ ่วั ไป (B)
น้าตาลแอลกอฮอล์และสารให้ความหวานท่ีไม่ให้พลังงาน
(nonnutritive sweeteners) สามารถรับประทาน
ได้อย่างปลอดภัย ถ้ารับประทานในปริมาณที่แนะนา
โดยสานักงานคณะกรรมการอาหารและยา FDA (A)
2. อาหารไขมนั คอเลสเตอรอล
ในการรักษาโรคเบาหวาน
ผู้ท่ีเป็นโรคเบาหวานมีความเส่ียงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
เท่ากับผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจแต่ไม่ได้เป็นเบาหวาน
ดังน้ันผู้ที่เป็นโรคเบาหวานควรจากัดการรับประทานอาหาร
ท่ีมีไขมันอม่ิ ตวั ใหน้ อ้ ยกว่า 7% ของพลังงานท่ีไดร้ บั (A)
ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานควรจากัดการรับประทานอาหารท่ีมีไขมัน
ทรานซ์ใหน้ ้อยลง (E)
ผู้ ที่ เ ป็ น โ ร ค เ บ า ห ว า น ค ว ร จ า กั ด ก า ร รั บ ป ร ะ ท า น อ า ห า ร
ท่มี คี อเลสเตอรอลให้นอ้ ยกว่า 200 มิลลกิ รมั ตอ่ วนั (E)
รับประทานปลาอย่างน้อย 2 หน่วยบริโภค (เท่ากับ 6
ส่วนแลกเปล่ียน) ต่อสัปดาห์หรือมากกว่า เพ่ือให้ได้รับ
กรดไขมันไม่อ่ิมตัว หลายตาแหนง่ ชนดิ กรดโอเมก้า 3 (B)
รายละเอียดของการควบคุมอาหารเพื่อลดความเส่ียง
ต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ จะนาเสนอในหัวข้อต่อไป
คอื เร่อื งโรคหวั ใจและหลอดเลอื ด
ผูท้ ่ีเป็นโรคเบาหวานและมีการทางานของไตที่ยังปกติ
ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอ ท่ีจะแนะนาให้ลดปริมาณ
โปรตีนจากอาหารท่ีรบั ประทานตามปกติ
ดั ง นั้ น ยั ง ค ง แ น ะ น า ใ ห้ รั บ ป ร ะ ท า น โ ป ร ตี น
ในปริมาณปกติ คือ 15-20% ของพลังงานที่ได้รับ
(E)
ผทู้ ี่เป็นโรคเบาหวานชนิดท่ี 2 การรับประทานโปรตีน
ไมท่ าให้ระดับของกลโู คสในเลอื ดเพ่มิ ข้นึ แต่มีผลในการ
เ พ่ิ ม ก า ร ต อ บ ส น อ ง ข อ ง อิ น ซู ลิ น ใ น เ ลื อ ด
ดังน้ันอาหารที่ให้โปรตีน จึงไม่ควรใช้ในการรักษา
ภาวะน้าตาลต่าเฉียบพลัน หรือป้องกันภาวะน้าตาล
ต่าในชว่ งกลางคนื (A)
อาหารที่มีโปรตีนสูงยังไม่แนะนาให้ใช้ในการลดน้าหนักตัว
ในผู้ท่ีเป็นโรคเบาหวาน เน่ืองจากผลระยะยาวของการ
รับประทานโปรตีนมากกว่า 20% ของพลังงานที่ได้รับ
ในการรกั ษาโรคเบาหวานและการเกิดภาวะแทรกซ้อนยังไม่ทราบ
แน่ชัด แม้ว่าการรบั ประทานโปรตีนสูง อาจช่วยลดน้าหนักตัวได้
ในระยะส้ันและทาให้คุมน้าตาลได้ดีข้ึน แต่ยังไม่มีข้อมูลที่บ่งถึง
ประโยชน์ ระยะยาวของการรบั ประทานอาหารที่มโี ปรตีนสูง (E)