นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก พระมหาวีระชาติ ธีรสิทฺโธ (เพ็งแจ่ม), ดร. สาขาวิชาพระพุทธศาสนา คณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตอุบลราชธานี COMMUNICATION IN THE TRIPITAKA
นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก (COMMUNICATION IN THE TRIPITAKA) ชื่อผู้เรียบเรียง : พระมหาวีระชาติ ธีรสิทฺโธ (เพ็งแจ่ม), ดร. ที่ปรึกษา :พระธรรมวัชรบัณฑิต,ศ.ดร. อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พระวชิรกิจโกศล,ดร. รองอธิการบดีมจร. วิทยาเขตอุบลราชธานี ผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบทางวิชาการ พระครูวุฒิธรรมบัณฑิต,รองศาสตราจารย์ ดร. มจร. วิทยาเขตอุบลราชธานี พระศรีรัตโนบล,ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. มจร. วิทยาเขตอุบลราชธานี พระครูธีรธรรมบัณฑิต,ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. มจร. วิทยาเขตอุบลราชธานี รองศาสตราจารย์ ดร.ประยงค์จันทร์แดง มหาวิทยาลัยพะเยา รองศาสตราจารย์ดร.รัตนะ ปัญญาภา มหาวิทยาลัยราชภัฎอุบลราชธานี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุชาติ บุษย์ชญานนท์ มหาวิทยาลัยราชภัฎอุบลราชธานี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.หอมหวน บัวระภา มหาวิทยาลัยขอนแก่น กองบรรณาธิการ : พระมหาวีระชาติ ธีรสิทฺโธ, ดร. พระมหาสิงห์ณรงค์ สิรินฺทรเมธี, ดร. พิสูจน์อักษร : พระครูอุดมธรรมวัตร,ดร. นางสาววราภรณ์ แก้วคำมูล ดร.จันทร์ศิริพลอยงาม ดร.ปรียาภรณ์ ฤทธาพรหม นางสาวศิริมา ทองบุดร.นิติกร วิชุมา ได้รับการสนับสนุนจาก โครงการพัฒนาบุคลากร : สนับสนุนการผลิตตำรา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ศิลปะจัดรูปเล่ม : พระมหาวีระชาติ ธีรสิทฺโธ,ดร. พระมหาบัณฑิต ปณฺฑิตเสวี พิมพ์ครั้งที่ 1 : 2567 จำนวน : 200 เล่ม จัดพิมพ์โดย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตอุบลราชธานี ตำบลกระโสบ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี 34000 พิมพ์ที่ :หจก.วิทยาการพิมพ์ 1937 เลขที่ 336-338 ถนนผาเมือง ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัอุบลราชธานี 34000 โทรศัพท์045-240692 ราคา 350.00 บาท ข้อมูลทางบรรณานุกรมของหอสมุดแห่งชาติ พระมหาวีระชาติ ธีรสิทฺโธ,ดร. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก-อุบลราชธานี:มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 187 หน้า 1.นิเทศศาสตร์ 2.พระไตรปิฎก 3.ชื่อเรื่อง ISBN : 978-616-300-868-8
ค�ำปรำรภ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตอุบลราชธานีเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ ที่เปิดท�าการเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษา ได้มีการสนับสนุนให้บุคลากรได้สร้างสรรค์ผลงานทางด้าน วิชาการและเผยแพร ่ให้เป็นประโยขน์ต ่อการศึกษาซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของสถาบันการศึกษา ได้เสริมสร้างให้คณาจารย์เข้าสู่ต�าแหน่งทางวิชาการและการผลิตเอกสารหนังสือทางวิชาการ หนังสือเรียน รายวิชานิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก(COMMUNICATION IN THETRIPITAKA) เล่มนี้ใช้ประกอบการเรียนการสอนในสาขาพระพุทธศาสนาคณะพุทธศาสตร์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย ซึ่งพระมหาวีระชาติธีรสิทโธ, ดร. ได้พยายามศึกษาค้นคว้า และเรียบเรียงไว้เพื่ออ�านวย ความสะดวกต่อการศึกษาของนิสิตและผู้สนใจทั่วไป ขออนุโมทนาขอบคุณผู้ทรงคุณวุฒิตรวจผลงานทางวิชาการ และคณะบรรณาธิการตลอดทั้ง ผู้มีส่วนร่วมทุกท่าน ที่ได้เสียสละเวลาพัฒนาเนื้อหารายวิชาเล่มนี้ให้เกิดมีขึ้น อันเป็นสมบัติของมหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยตลอดไป หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือเล่มนี้จะเป็นประโยชน์และแนวคิด เชิงวิชาการแก่คณาจารย์นิสิต นักศึกษาตลอดจนผู้สนใจสืบไป พระวชิรกิจโกศล, ดร. รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตอุบลราชธานี
พระมหำวีระชำติ ธีรสิทฺโธ (เพ็งแจ่ม), ดร. ผู้เรียบเรียง ค�ำน�ำ หนังสือเรื่องนิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎกเล่มนี้ได้จัดท�าขึ้นเพื่อใช้ประกอบการเรียนการสอน ในรายวิชานิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ในหลักสูตรพุทธศาสตร์บัณฑิต คณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตอุบลราชธานี การรวบรวมหนังสือเล ่มนี้ มีทั้งหมด ๗ บท โดยการเรียบเรียงเอาเนื้อหาสาระเกี่ยวกับ ทฤษฎีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับนิเทศศาสตร์ มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับนิเทศศาสตร์ดังที่ ปรากฏในบรรณานุกรมของหนังสือเล ่มนี้ซึ่งผู้เรียบเรียงได้ใช้เป็นแนวทางในการรวบรวมข้อมูล ในการจัดท�าหนังสือเล ่มนี้จนส�าเร็จลุล ่วงไปด้วยดีหวังเป็นอย ่างยิ่งว ่าหนังสือเล ่มนี้จะเป็นประโยชน์ ให้แก ่นิสิตนักศึกษาและผู้สนใจด้านนิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎกเพื่อให้การเรียนการสอนบรรลุผล และเป็นไปตามแนวทางที่ก�าหนดไว้ในหลักสูตร ผู้เรียนควรศึกษาเพิ่มเติมจากหนังสืออ้างอิงและ ต�าราอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับนิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎกเพื่อจะได้มีความรู้ความเข้าใจในรายวิชานิเทศศาสตร์ ในพระไตรปิฎก ได้ลึกซึ่งและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ขอบอบพระคุณรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัยวิทยาเขตอุบลราชธานี และผู้อ�านวยการวิทยาลัยสงฆ์อุบลราชธานีที่ได้ให้การสนับสนุนการผลิตหนังสือเล่มนี้ตลอดทั้งขอบคุณ ผู้ทรงคุณวุฒิเจ้าของเอกสารต�าราทางวิชาการ บทความ เว็บไซต์ต่างๆ ตลอดจนหนังสือเรียนดังที่ปรากฏ ในบรรณานุกรมท้ายบท ซึ่งผู้จัดท�าได้ใช้เป็นแนวทางและข้อมูลในการจัดท�าหนังสือเล่มนี้จนลุล่วงไปได้ด้วยดี หวังเป็นอย ่างยิ่งว ่า หนังสือเรื่องนิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก เล ่มนี้จะเป็นประโยชน์และแนวคิด แก่นิสิต นักศึกษาและผู้สนใจอนึ่งข้อมูลที่น�ามาเรียบเรียงอาจจะไม่ครบถ้วนทั้งหมด หากแต่มีข้อบกพร่อง ผิดพลาดประการใดในส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้ผู้เรียบเรียงก็พร้อมน้อมรับค�าแนะน�าต่าง ๆ เพื่อจะได้ น�าไปปรับปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์ในโอกาสต่อไป
สารบัญ บทที่ หน้า คำนำ ก สารบัญ ข บทที่ ๑ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับนิเทศศาสตร์ ๑ ๑.๑ ความนำ ๑ ๑.๒ ความหมายของนิเทศศาสตร์ ๒ ๑.๓ ขอบข่ายของนิเทศศาสตร์ ๕ ๑.๔ วิวัฒนาการของนิเทศศาสตร์และการสื่อสาร ๑๐ ๑.๕ ความสำคัญของนิเทศศาสตร์และการสื่อสาร ๑๒ ๑.๖ จุดมุ่งหมายของการสื่อสาร ๑๕ ๑.๗ การสื่อสารเชิงพุทธ ๒๖ ๑.๘ สรุปท้ายบท ๓๔ บทที่ ๒ รูปแบบและวิธีการสอนของพระพุทธเจ้า ๓๖ ๒.๑ ความนำ ๓๖ ๒.๒ พุทธวิธีการสอน ๓๗ ๒.๓ คุณสมบัติของผู้สอน ๓๙ ๒.๔ จุดมุ่งหมายในการสอนของพระพุทธเจ้า ๔๐ ๒.๕ หลักการสอนของพระพุทธเจ้า ๔๒ ๒.๖ พุทธลีลาการสอนของพระพุทธเจ้า ๔๓ ๒.๗ รูปแบบวิธีสอนของพระพุทธเจ้า ๔๓ ๒.๘ การสอนของพระพุทธเจ้า ๔๔ ๒.๙ หลักการสื่อสารและการเผยแผ่ธรรมของพระพุทธเจ้า ๔๖ ๒.๑๐ ภาษาที่พระพุทธเจ้าใช้สื่อสาร ๕๑ ๒.๑๑ การสืบทอดภาษาในพระไตรปิฎก ๕๕ ๒.๑๒ สรุปท้ายบท ๖๑
บทที่ ๓ รูปแบบและวิธีการสอนของพระพุทธสาวกในพระไตรปิฎก ๖๓ ๓.๑ ความนำ ๖๓ ๓.๒ บทบาทการเผยแผ่ของสาวกในสมัยพุทธกาล ๖๔ ๓.๓ รูปแบบการเผยแผ่ของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ๗๓ ๓.๔ การเผยแผ่ของพระสงฆ์ในยุคปัจจุบัน ๗๙ ๓.๕ สรุปท้ายบท ๘๒ บทที่ ๔ รูปแบบและหลักการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ๘๔ ๔.๑ ความนำ ๘๔ ๔.๒ ความหมายของการเผยแผ่ ๘๕ ๔.๓ แนวคิดเกี่ยวกับบทบาทของพระสงฆ์ ๘๖ ๔.๔ บทบาทของพระสงฆ์ด้านการเผยแผ่ ๙๒ ๔.๕ วิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสมัยพุทธกาล ๙๓ ๔.๖ คุณสมบัติของผู้สอนในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ๑๐๘ ๔.๗ แนวคิดและเทคนิคการเผยแผ่ธรรมะ ๑๑๑ ๔.๘ สรุปท้ายบท ๑๑๒ บทที่ ๕ วิธีการสื่อสารธรรมในพระพุทธศาสนา ๑๑๔ ๕.๑ ความนำ ๑๑๔ ๕.๒ การเทศน์ ๑๑๔ ๕.๓ โอวาท ๑๒๐ ๕.๔ ธรรมสากัจฉา ๑๒๐ ๕.๕ ปาฐกถา ๑๒๑ ๕.๖ การบรรยาย ๑๒๒ ๕.๗ การอภิปราย ๑๒๒ ๕.๘ สุนทรพจน์ ๑๒๔ ๕.๙ สัมโมทนียกถา ๑๒๕ ๕.๑๐ สรุปท้ายบท ๑๒๙ บทที่ ๖ พุทธจริยธรรมกับการสื่อสาร ๑๓๐ ๖.๑ ความนำ ๑๓๐ ๖.๒ แนวคิดพุทธจริยธรรม ๑๓๑ ๖.๓ พุทธจริยธรรมกับการสื่อสาร ๑๓๓ ๖.๔ กระบวนการและช่องทางการสื่อสารตามแนวทางพระพุทธศาสนา ๑๓๔ ๖.๕ หลักการสื่อสารตามแนวทางพระพุทธศาสนา ๑๓๖ ๖.๖ องค์ประกอบของผู้รับสารตามแนวทางพระพุทธศาสนา ๑๔๐
๖.๗ หลักการเลือกใช้ช่องทางการสื่อสารในการเปิดรับข้อมูลข่าวสาร ๑๔๓ ๖.๘ พุทธจริยธรรมกับการสื่อสารทางการเมือง ๑๔๔ ๖.๙ สรุปท้ายบท ๑๔๘ บทที่ ๗ การพัฒนาบุคลิกภาพเกี่ยวกับการสื่อสาร ๑๕๐ ๗.๑ ความนำ ๑๕๐ ๗.๒ ความหมายของบุคลิกภาพ ๑๕๑ ๗.๓ ลักษณะของบุคลิกภาพ ๑๕๔ ๗.๔ องค์ประกอบของบุคลิกภาพ ๑๕๙ ๗.๕ การพัฒนาบุคลิกภาพตามหลักพระพุทธศาสนา ๑๖๑ ๗.๖ สรุปท้ายบท ๑๗๙ บรรณานุกรม ๑๘๐ ประวัติผู้แต่ง ๑๘๗
๑ บทที่ ๑ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับนิเทศศาสตร์ (Introduction To Communication Arts) ๑.๑ ความนำ ภายหลังที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วพระองค์ได้ทรงเสวยวิมุตติ สุข ในระหว่างนั้นพระองค์ทรงใคร่ครวญอยู่ว่า ธรรมะที่พระองค์ได้ตรัสรู้แล้วนั้น เป็นสิ่งที่ยากยิ่งที่ มนุษย์ปุถุชนจะสามารถเข้าใจได้ เป็นเหตุให้พระองค์ไม่คิดที่จะแสดงธรรมใด ๆ แก่เวไนยสัตว์ แต่ เพราะทรงอาศัยพระมหากรุณาธิคุณในหมู่สัตว์ พระพุทธองค์เป็นนักประชาสัมพันธ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดใน โลก ประโยคแรกที่พระองค์ทรงส่งพระสาวกไปประกาศพระศาสนาว่า “จรถ ภิกฺขเว พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย” ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงจาริกไปอนุเคราะห์ชาวโลก เพื่อประโยชน์ สุขของประชาชนเป็นจำนวนมากเถิด๑การส่งพระสาวกของพระพุทธองค์นั้นเพื่อให้เกิดการพัฒนา คนให้เป็นบัณฑิต ดำเนินชีวิตด้วยปัญญา สร้างคุณค่าให้แก่สังคม มีค่านิยมที่มีสาระ ความหมายก็ คือว่า นำธรรมโอสถไปมอบให้แก่ประชาชนทั้งหลายนั่นเอง ซึ่งยังเป็นปุถุชน ยังมีโรคร้ายในตัวอยู่ คือ กิเลสเครื่องเศร้าหมองของจิต การที่พระพุทธองค์ส่งพระสาวกไปเพื่อกำจัดปัดเป่าเขม่าใจ คือ เป็นการเปิดศักราชในการประชาสัมพันธ์ เพราะได้รับแต่สิ่งที่ดีงาม มีชีวิตที่สงบสุข บริสุทธิ์ หลุดพ้น จากพันธนาการของกิเลส จากคุณลักษณะดังกล่าวที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช้ในการเผย แผ่พระพุทธศาสนานั้นเป็นวิธีการและลักษณะที่แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของการเผยแผ่ พระพุทธศาสนาให้งอกงามในจิตใจของมวลมนุษย์ได้อย่างดี นับตั้งแต่สมัยครั้งพุทธกาลนั้น เหล่าบรรดาพุทธสาวกบรรลุธรรมได้ง่าย เพราะอยู่ใน ภาวะที่เข้าถึงธรรมชาติและความจริงของชีวิตได้ดี แต่เนื่องในภาวการณ์ในปัจจุบันซึ่งเป็นยุค โลกาภิวัฒน์ที่เต็มไปด้วยวัตถุนิยมและความพลวัตรของสังคมที่มีความสลับซับซ้อนด้วยโลกิยะวิสัย มากมาย จึงทำให้มนุษย์เรานั้นสนใจในเรื่องกระแสที่เป็นโลกิยวิสัยมากขึ้น จึงเป็นเหตุให้เกิดการ ละเลยทางด้านการฝึกฝนอบรมจิตใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในความเป็นมนุษย์ไป แต่กลับไปหมกมุ่น หลงใหลในความเป็นวัตถุนิยมที่เจือไปด้วยกิเลสตัณหา ซึ่งพาใจให้หม่นหมอง จนทำให้คุณค่าและ คุณธรรมทางจิตใจที่ดีงามลดน้อยถอยลงไป ในปัจจุบันกระแสโลกาภิวัฒน์ได้แพร่ขยายไหลเข้ามาสู่สังคมไทยอย่างไม่ขาดสาย บาง เรื่องนิยมนำมาปฏิบัติทั้งที่ยังไม่รู้ว่ามีคุณมีโทษอย่างไร ได้ละทิ้งศีลธรรมวัฒนธรรมประเพณี แบบอย่างอันดีงามของชาติ เช่น อินเตอร์เน็ต มักมีภาพที่ล่อแหลมต่อศีลธรรม มีข้อความที่รุนแรง ปัญหาการมั่วสุมเสพยาเสพติด มียาบ้ายาอี เป็นต้น การใช้จ่ายแบบสุรุ่ยสุร่ายเกินตัว นิยมซื้อสินค้า ต่างประเทศที่มีราคาแพง ปัญหาอาชญากรรม ฉกชิงวิ่งราว ลักเล็กขโมยน้อย การคอร์รัปชั่น ครอบครัวแตกแยกขาดความอบอุ่น การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันสมควรของเยาวชน เหล่านี้เป็น ปัญหาที่เกิดขึ้นแบบซ้ำซากในสังคมไทยทั่วไป สิ่งที่ผิดศีลธรรมกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่สังคม ยอมรับ ค่านิยมที่ผิดๆ เหล่านี้ สมควรที่จะต้องรีบแก้ไข เพราะประเทศชาติจะเจริญ หรือเสื่อม ก็ ขึ้นอยู่กับประชาชนในประเทศ ถ้าประชาชนมีคุณภาพ มีศีลธรรม มีความรู้ การสื่อสารเป็น องค์ประกอบสำคัญในการดำรงชีวิตของมนุษย์ อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือในการรักษาและสืบทอดความ เชื่อหรือคำสอนทางศาสนาซึ่งเป็นค่านิยมหลักทางด้านจิตวิญญาณในการดำเนินชีวิตของคนไทย กล ๑ วิ.มหา. (ไทย) ๔/๓๒/๔๐. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑
๒ ยุทธ์การเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าและเหล่าพุทธบริษัท ๔ นั้น ทำให้ พระพุทธศาสนาดำรงอยู่ได้ยาวนาน ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากที่จะต้องทราบว่า การเผยแผ่ พระพุทธศาสนานั้น มีความสำคัญอย่างไร มีวิวัฒนาการอย่างไร และในแง่มุมด้านการสื่อสารนั้น มี การปรับปรุงพัฒนาเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัยอย่างไร จึงทำให้หลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนา สามารถดำรงคงมั่นอยู่ในสังคมไทยได้นานเช่นนี้ ความสามารถ และวิสัยทัศน์กว้างไกล ประยุกต์ ความเป็นอยู่แบบดั่งเดิมให้เข้ากับวิทยาการสมัยใหม่ เลือกสรรสิ่งที่ดีมีประโยชน์ เลิกละสิ่งที่เกิด โทษ ประเทศชาติและพระพุทธศาสนา ย่อมจะเจริญรุ่งเรืองสืบไป แต่ถ้าประชาชนขาดศีลธรรม ประจำใจ ประเทศชาติย่อมจะขาดภาวะผู้นำที่ดี และผู้มีความรู้ความสามารถที่จะสืบทอดมรดกทาง วัฒนธรรม ตลอดถึง การศึกษา เศรษฐกิจ การเมือง สังคม และการปกครอง ย่อมมีคุณภาพด้อยลง ตามลำดับ นิเทศศาสตร์หมายถึง ศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับศิลปะในการสื่อสาร โดยให้ความสำคัญกับ การสื่อสาร จากองค์ประกอบของการสื่อสาร กล่าวคือ ผู้ส่งสาร สาร สื่อ และผู้รับสาร ซึ่งผู้ส่งสาร อาจเป็นตัวบุคคล องค์กร หรือบริษัทก็ได้ข่าวสารจะต้องเป็นเนื้อหาสาระที่ผู้ส่งต้องการที่จะ กระจายให้ประชาชนได้รับทราบ สื่อหรือช่องทาง เป็นการหาวิธีการกระจายข่าวสารต่างๆ ไปสู่ กลุ่มเป้าหมายให้ได้มาก และกว้างไกล ตามวัตถุประสงค์ของผู้ส่ง และผู้รับสาร หรือกลุ่มป้าหมาย จะต้องสามารถรับข่าวสารนั้นได้โดยผู้ส่งสารจะต้องหาวิธีการทำให้ข่าวสารที่ส่งไป ถึงผู้รับสาร ได้มากที่สุด ๑.๒ ความหมายของนิเทศศาสตร์ ๑.๒.๑ ความหมายของนิเทศศาสตร์ ได้มีผู้ให้ความหมายของนิเทศศาสตร์ไว้มากมายในแง่มุมต่าง ๆ กัน เช่น นิเทศศาสตร์(communication arts) เป็นศาสตร์สาขาหนึ่งที่ว่าด้วยการสื่อสารของมนุษย์ที่มี ลักษณะเป็นสหวิทยา (interdiscipline) เกี่ยวข้องกับสาขาวิชาการต่าง ๆ๒ พลตรีศาสตราจารย์พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ซึ่งเป็นบุคคล สำคัญในการบุกเบิกด้านนิเทศศาสตร์ของไทยในยุคต้น ได้ประทานความหมายของนิเทศศาสตร์ไว้ ว่า เป็นวิชาสื่อสารไปยังมวลชนโดยทางใดก็ตามไม่จำเพาะทางหนังสือพิมพ์ เช่น การสื่อสารของ ละครก็เข้าไปอยู่ในนิเทศศาสตร์การสื่อสารมวลชนทางอื่นนอกจากทางหนังสือพิมพ์เช่น ทางวิทยุ และโทรทัศน์ก็เป็นนิเทศศาสตร์เทียบกับคำภาษาอังกฤษว่า “communication arts”๓ นิเทศศาสตร์มาจากคำภาษาอังกฤษว่า communication arts แปลว่า ศาสตร์แห่ง การสื่อสาร ซึ่งหมายรวมถึงการสื่อสารทุกรูปแบบของมนุษย์๔ นิเทศศาสตร์ตรงกับภาษาอังกฤษว่า communication arts จึงเป็นศาสตร์หรือวิชา ที่ว่าด้วยการติดต่อสื่อสาร หมายรวมถึงการติดต่อสื่อสารทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารมวลชน ๒ กิติมา สุรสนธิ. ความรู้ทางการสื่อสาร. พิมพ์ครั้งที่ ๔. (กรุงเทพมหานคร : คณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๔๘), หน้า ๓. ๓ สุรัตน์ตรีสุกล. หลักนิเทศศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ ๔. (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์พ.ศ. พัฒนา. ๒๕๕๐) หน้า ๑๓-๑๔ ๔ ปรมะ สตะเวทิน. หลักนิเทศศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ ๑๐. (กรุงเทพมหานคร: คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย). ๒๕๔๖ หน้า ๑ ๒ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๓ หรือการโฆษณา การประชาสัมพันธ์ตลอดจนการพูดและการแสดง ทั้งนี้เพราะคำว่า “นิเทศ” หมายถึงการชี้แจงหรือการแสดงอยู่แล้วนั่นเอง๕ นิเทศศาสตร์หมายถึง การสื่อสารของมนุษย์ทุกรูปแบบ ทั้งการสื่อสารภายในบุคคล ( intrapersonal communication) ก า ร สื่ อ ส า ร ร ะ ห ว่ า ง บุ ค ค ล ( interpersonal communication) การสื่อสารในกลุ่ม (interpersonal communication) การสื่อสารในองค์กร (group communication)การสื่อสารมวลชน (mass communication) การสื่อสารระหว่างวัฒนธรรม (cross-cultural communication) และการสื่อสาร ระหว่างประเทศ (international communication) คำว่านิเทศศาสตร์จะครอบคลุมถึงอาชีพต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสาร เช่น อาชีพด้านวิทยุโทรทัศน์หนังสือพิมพ์ภาพยนตร์การโฆษณา การ ประชาสัมพันธ์การแสดง การพูด และการเผยแพร่ข่าวสาร เป็นต้น๖ จากความหมายของนิเทศศาสตร์ที่นักวิชาการทางด้านนิเทศศาสตร์ได้อธิบายไว้ใน แง่มุมต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น ชี้ให้เห็นถึงลักษณะสำคัญของนิเทศศาสตร์ดังนี้ ๑. นิเทศศาสตร์เป็นสาขาวิชาหนึ่งที่มุ่งศึกษาถึงเรื่องการสื่อสารทุกรูปแบบของมนุษย์ รวมทั้งปัจจัยต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการสื่อสาร ๒. นิเทศศาสตร์เป็นสาขาวิชาที่ผู้ศึกษาต้องประยุกต์ใช้องค์ความรู้พื้นฐานทั้งทางด้าน ศาสตร์และศิลป์ควบคู่กัน ๓. นิเทศศาสตร์เป็นทั้งวิชาการและวิชาชีพ อาชีพที่ใช้องค์ความรู้ทางด้านนิเทศศาสตร์ ได้แก่อาชีพที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสาร เช่น อาชีพด้านวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์วารสาร หนังสือพิมพ์ภาพยนตร์การโฆษณา การประชาสัมพันธ์การแสดง การพูด และการเผยแพร่ ข่าวสาร ซึ่งใช้ภาษาเป็นสื่อ ๔. นิเทศศาสตร์เป็นศาสตร์ที่มีลักษณะเป็นสหวิทยาการ คือเป็นศาสตร์ที่มีความ เชื่อมโยงกับศาสตร์สาขาอื่น ๆ ต้องอาศัยและประยุกต์ใช้องค์ความรู้จากศาสตร์สาขาอื่น ๆ ที่ เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการสื่อสารของมนุษย์เช่น พฤติกรรมศาสตร์มนุษยศาสตร์สังคมศาสตร์ ภาษาศาสตร์จิตวิทยา ฯลฯ ๕. นิเทศศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ทุกคนต้องเรียนรู้และใช้ในการสื่อสาร ทั้งในการดำเนิน ชีวิตประจำวัน การศึกษา การประกอบอาชีพ และการอยู่ร่วมกันในสังคม ๖. นิเทศศาสตร์เป็นศาสตร์ที่มุ่งเน้นเรื่องการสื่อสารมวลชน เพื่อสร้างสรรค์ความเข้าใจ และความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันระหว่างสมาชิก และนำไปสู่ความสงบเรียบร้อยในสังคมจากลักษณะ สำคัญของนิเทศศาสตร์ดังกล่าวนี้สามารถสรุปเป็นคำนิยามอธิบาย ความหมาย ของนิเทศศาสตร์อาจกล่าวได้ว่านิเทศศาสตร์เป็นสาขาหนึ่งของศิลป ศาสตร์ ที่เน้นการศึกษาพฤติกรรมการสื่อสารระหว่างมนุษย์ในสังคมที่ใช้ภาษาเป็นเครื่องมือในการ ถ่ายทอดข้อความเพื่อจูงใจ สร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์อันดีระหว่างสมาชิก หรือกล่าวสั้นๆ ว่า นิเทศศาสตร์ เป็นศาสตร์แห่งการสื่อสาร ที่มีลักษณะเป็นสหวิทยาการ การศึกษานิเทศศาสตร์ ๕ วิรัช ลภิรัตนกุล. นักประชาสัมพันธ์กับงานประชาสัมพันธ์ในเชิงปฏิบัติยุคสารสนเทศ. พิมพ์ครั้ง ที่ ๓. (กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ๒๕๔๕), หน้า ๒๑. ๖ กิติมา สุรสนธิ. ความรู้ทางการสื่อสาร. พิมพ์ครั้งที่ ๔. (กรุงเทพมหานคร : คณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๔๘), หน้า ๔. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๓
๔ เป็นการศึกษากระบวนการสื่อสารของมนุษย์ทั้งหมด รวมถึงองค์ประกอบและปัจจัยต่าง ๆ ที่มี อิทธิพลต่อการส่งข้อความระหว่างกัน ๑.๒.๒ ความหมายของการสื่อสาร นิเทศศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยการศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องการสื่อสารของ มนุษย์หรือกล่าวได้ว่าวิชาการทางด้านนิเทศศาสตร์คือวิชาการทางด้านการสื่อสารนั่นเอง มีผู้ อธิบายความหมายของการสื่อสารไว้ในแง่มุมต่าง ๆ กัน เช่น การสื่อสาร คือ กระบวนการของการถ่ายทอดสาร (message) จากบุคคลฝ่ายหนึ่งซึ่ง เรียกว่าผู้ส่งสาร (source) ไปยังบุคคลอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเรียกว่าผู้รับสาร (receiver) โดยผ่านสื่อ (channel)๗ การสื่อสาร เป็นการถ่ายโอนความหมาย (meaning transfer) ระหว่างผู้สื่อสาร (communicators/ communicants) ซึ่งผู้สื่อสารหมายถึงทั้งผู้ส่งสารและผู้รับสารไม่ว่าจำนวน เท่าใดเพื่อพยายามทำให้พวกเขาเข้าใจในความหมายเดียวกัน๘ การสื่อสาร หมายถึง กระบวนการในการถ่ายทอดหรือแลกเปลี่ยนสารระหว่างคู่สื่อสาร โดยผ่านสื่อ เพื่อให้เกิดความเข้าใจร่วมกัน๙ การสื่อสาร คือ การส่งข้อมูล ความคิด อารมณ์ความชำนาญ และอื่นๆ โดยการใช้ สัญลักษณ์คำ รูปภาพ ตัวเลข แผนภูมิและอื่นๆ๑๐ การสื่อสาร คือ การติดต่อกับบุคคลหรือกลุ่มบุคคล โดยมีจุดประสงค์ที่จะเสนอเรื่องราว ต่าง ๆ อันได้แก่ข่าวสาร ข้อมูล ความรู้สึกนึกคิด ความต้องการตลอดจนความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ ให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลรับรู้๑๑ การสื่อสาร หมายถึง กระบวนการในการสร้างความหมายร่วมกันระหว่างคู่สื่อสาร ซึ่งมี ปฏิสัมพันธ์ต่อกันและกันต่อเนื่องตลอดกิจกรรมการสื่อสาร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้าง ความสัมพันธ์และความเข้าใจระหว่างกัน ๑๒ การสื่อสาร หมายถึง กระบวนการที่บุคคลคนหนึ่งถ่ายทอดสารไปยังอีกบุคคลหนึ่งและ บุคคลหลังมีปฏิกิริยาตอบโต้๑๓ ๗ ปรมะ สตะเวทิน. หลักนิเทศศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ ๑๐. (กรุงเทพมหานคร: คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ๒๕๔๖), หน้า ๓๐. ๘ สุรพงษ์โสธนะเสถียร. ทฤษฎีการสื่อสาร.(กรุงเทพมหานคร: ระเบียงทอง, ๒๕๕๖), หน้า ๓ ๙ สุรัตน์ตรีสุกล. หลักนิเทศศาสตร์. หน้า ๓๗ ๑๐ ณัฏฐ์ชุดา วิจิตรจามรี. การสื่อสารในองค์การ. พิมพ์ครั้งที่ ๒. (กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์., ๒๕๕๔), หน้า ๑๓ ๑๑ จุไรรัตน์ลักษณะศิริและบาหยัน อิ่มสำราญ, (บก). ภาษากับการสื่อสาร. พิมพ์ครั้งที่ ๒. (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยศิลปากร., ๒๕๕๐), หน้า ๓ ๑๒ ภากิตติ์ตรีสุกล, หลักนิเทศศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ ๗. (นนทบุรี: เฟิร์นข้าหลวง พริ้นติ้งแอนด์พับ ลิชชิ่ง. ๒๕๕๔), หน้า ๒๒. ๑๓ อรวรรณ ปิลันธน์โอวาท. การสื่อสารเพื่อการโน้มน้าวใจ. พิมพ์ครั้งที่ ๖. (กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๔), หน้า ๒. ๔ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๕ การสื่อสาร เป็นการกระทำที่ผู้ส่งสารและผู้รับสารพยายามที่จะเข้าใจความหมายของ สารที่ถ่ายทอดให้แก่กัน การที่จะทำให้ผู้ส่งสารและผู้รับสารเกิดความเข้าใจที่ตรงกันได้ผู้ส่งสาร จะต้องมีวัตถุประสงค์ของการสื่อสารที่ชัดเจนและสามารถถ่ายทอดสารได้อย่างกระจ่างชัด และผู้รับ สารสามารถเกิดการรับรู้และเข้าใจสารได้ตรงกับวัตถุประสงค์ของการสื่อสาร๑๔ การสื่อสาร เป็นกระบวนการถ่ายทอดสาร ทั้งที่เป็นข้อเท็จจริง ข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ และความรู้สึกนึกคิด จากบุคคลหรือกลุ่มคนหนึ่ง (ผู้ส่งสาร) ไปสู่อีกบุคคลหรือกลุ่มคนหนึ่ง(ผู้รับ สาร) ผ่านสื่อประเภทต่าง ๆ เพื่อให้ได้รับรู้ตรงกัน เกิดความคิดความเข้าใจร่วมกัน และโน้มน้าวชัก จูงให้เกิดพฤติกรรมตอบสนองในทิศทางเดียวกัน ตามที่ผู้ถ่ายทอดสารคาดหวัง๑๕ จากความหมายของการสื่อสารที่นักวิชาการทางด้านนิเทศศาสตร์และการสื่อสารได้ อธิบายไว้ในแง่มุมต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น สรุปถึงลักษณะสำคัญของการสื่อสาร ได้ว่า ๑. การสื่อสาร เป็นพฤติกรรมการติดต่อกันของมนุษย์โดยใช้ภาษาพูด ภาษาเขียนหรือ ภาษาสัญลักษณ์เป็นสื่อ ๒. การสื่อสาร เป็นกระบวนการถ่ายทอดสารจากผู้ส่งสารผ่านช่องทางต่าง ๆ ไปให้ผู้รับ สารได้รับรู้อาจจะเป็นการสื่อสารทางเดียว การสื่อสารสองทาง หรือการสื่อสารหลายทางก็ได้ ๓. การสื่อสาร เป็นปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่ทำให้เกิดความสัมพันธ์และเกิดความเข้าใจ ร่วมกันของคนในสังคม การสื่อสารที่ดีคือการสื่อสารที่ก่อให้เกิดความคิดความเข้าใจตรงกันและเกิด ความร่วมมือกัน ๔. การสื่อสาร เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และเป็นทักษะชีวิตที่ทุกคนต้องเรียนรู้เพราะทุก คนต้องอยู่ร่วมและติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคม จึงต้องใช้ทักษะในการสื่อสารตลอดเวลา ทั้งการ สื่อสารภายในบุคคล การสื่อสารระหว่างบุคคล การสื่อสารภายในกลุ่ม การสื่อสารระหว่างกลุ่มหรือ ระหว่างองค์กร และการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรม ๕. การสื่อสาร เป็นศิลปศาสตร์ที่ผู้ส่งสารและผู้รับสารที่เป็นคู่สื่อสารต้องใช้ทั้งศาสตร์ และศิลปะในการถ่ายทอดสารระหว่างกัน ๑.๓ ขอบข่ายของนิเทศศาสตร์ จากคำนิยามสั้น ๆ ที่ว่านิเทศศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยการสื่อสาร ซึ่งมีลักษณะ เป็นสหวิทยาการ ขอบข่ายของการศึกษาวิชานิเทศศาสตร์จึงต้องศึกษาหาความรู้ความเข้าใจ ครอบคลุมไปถึงศาสตร์สาขาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการสื่อสารของมนุษย์ด้วย เช่น ความรู้ และทฤษฎีทางด้านพฤติกรรมศาสตร์มนุษยศาสตร์สังคมศาสตร์ภาษาศาสตร์จิตวิทยา แม้กระทั่ง ด้านศิลปวัฒนธรรม และการเมืองการปกครอง เพราะล้วนเกี่ยวข้องกับการสื่อสารของมนุษย์ใน สังคมทั้งสิ้น ไม่ได้ศึกษาเฉพาะเรื่องการสื่อสารเพียงด้านเดียว การอธิบายถึงขอบข่ายของนิเทศ ศาสตร์นั้น เราอาจจะอธิบายในมิติต่าง ๆ ได้๓ มิติได้แก่ นิเทศศาสตร์ในมิติของสาขาวิชาการนิเทศ ศาสตร์ในมิติของสื่อหรือช่องทางการสื่อสาร และนิเทศศาสตร์ในมิติของสาขาวิชาชีพ ๑๔ วรวุฒิภักดีบุรุษ. ศิลปะการใช้ภาษาเพื่องานนิเทศศาสตร์. (กรุงเทพมหานคร : ทริปเพิ้ลเอ็ด ดูเคชั่น, ๒๕๕๒), หน้า ๑๔ ๑๕ แวอาซีซะห์ดาหะยี. ศิลปะการใช้ภาษาเพื่องานนิเทศศาสตร์. (สงขลา : เทมการพิมพ์., ๒๕๕๓), หน้า ๓. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๕
๖ ๑.๓.๑ ขอบข่ายของสาขาวิชาการทางนิเทศศาสตร์ สุรัตน์ตรีสุกล ได้ระบุถึงขอบข่ายของนิเทศศาสตร์หรือการศึกษาด้านการสื่อสารในมิติ ทางด้านวิชาการไว้ว่า ในช่วงทศวรรษที่ ๑๙๗๐ การศึกษาด้านการสื่อสารขยายขอบเขตไป กว้างขวาง และเน้นความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมากขึ้น การสื่อสารระหว่างบุคคลแพร่หลายควบคู่ไป กับการศึกษาเรื่องวาทศาสตร์วาทวิทยา วารสารศาสตร์การสื่อสารมวลชนการถ่ายภาพ การ โฆษณา การประชาสัมพันธ์สารสนเทศ ทฤษฎีข่าวสาร ระบบข่าวสารและการสื่อสาร รวมไปถึงการ สื่อสารเพื่อการพัฒนา กล่าวได้ว่าขอบข่ายของนิเทศศาสตร์ในมิติทางด้านวิชาการ ในฐานะที่เป็น ศาสตร์สาขาหนึ่งนั้น จะมีขอบข่ายครอบคลุมถึงเนื้อหาวิชาการทางด้านการสื่อสารทุกแขนง โดย อาจจำแนกขอบข่ายของนิเทศศาสตร์ออกเป็นสาขาวิชาเฉพาะด้านต่าง ๆ ได้ดังนี้๑๖ ๑. วาทศาสตร์หรือวาทศิลป์(rhetoric) เป็นศาสตร์และศิลปะในการถ่ายทอดสารโดย ใช้การพูดเป็นสื่อ เป็นศาสตร์ที่มีการเรียนการสอนมากว่า ๒,๐๐๐ ปีผู้วางรากฐานการสอนวิชา วาทศิลป์คนสำคัญ คือ อริสโตเติล (Aristotle) นักปราชญ์ชาวกรีกที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นนัก ทฤษฎีการสื่อสารด้านวาทศิลป์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่ง โดยเชื่อว่าความสามารถในการพูดในที่ สาธารณะเป็นคุณสมบัติสำคัญของประชาชนชาวกรีกในการมีส่วนร่วมกิจกรรมทางสังคม และการ ปกครอง จึงพยายามสอนหลักการและการปฏิบัติเพื่อพัฒนาทักษะการพูดเพื่อโน้มน้าวใจผู้ฟัง และ เป็นพื้นฐานของวิชาวาทศาสตร์หรือวาทวิทยาในปัจจุบัน๑๗ ๒. วารสารศาสตร์(journalism) เป็นศาสตร์และศิลปะในการถ่ายทอดสารโดยการ เขียนเป็นสื่อ เป็นสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำสื่อสิ่งพิมพ์โดยเริ่มมีการเรียนการสอนวิชา วารสารศาสตร์เป็นครั้งแรกในมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน เมื่อปีค.ศ. ๑๙๐๕๑๘ วารสารศาสตร์ หมายถึงวิชาการและวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับหนังสือพิมพ์ซึ่งถือเป็นสื่อมวลชนที่กำเนิดก่อน สื่อมวลชนประเภทอื่น๑๙ ๓. การประชาสัมพันธ์(public relations) เป็นศาสตร์และศิลปะในการถ่ายทอดสาร ผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่มุ่งสร้างภาพลักษณ์หรือสร้างทัศนคติที่ดีหรือมุ่งสร้างความเข้าใจและความ ร่วมมือทั้งภายในสมาชิกองค์กรและกับมวลชนผู้รับสาร ๔. การโฆษณา (advertisement) เป็นศาสตร์และศิลปะในการถ่ายทอดสารเพื่อการจูง ใจโน้มน้าวให้ผู้รับสารคล้อยตาม เกิดความนิยมในสินค้า บริการ หรือสถาบัน และให้การสนับสนุน ในกิจกรรมหรือกิจการขององค์กร ๕. วิทยุกระจายเสียง (radio) เป็นศาสตร์และศิลปะในการถ่ายทอดสารทางไกลที่ใช้ เสียงเป็นสื่อ และใช้ระบบการออกอากาศผ่านสถานีวิทยุกระจายเสียงถ่ายทอดสารไปยังผู้ฟังเนื้อหา สารที่ถ่ายทอดผ่านวิทยุกระจายเสียง สามารถนำเสนอในรูปแบบของข่าวสาร สารคดีละครเพลง โฆษณา หรือรูปแบบรายการอื่น ๆ หลากหลายรูปแบบ ๖. วิทยุโทรทัศน์(television) เป็นศาสตร์และศิลปะในการถ่ายทอดสารทางไกลอีก สาขาวิชาหนึ่งที่ใช้ทั้งภาพและเสียงเป็นสื่อ โดยใช้ระบบการแพร่ภาพและเสียงออกอากาศผ่าน สถานีโทรทัศน์ถ่ายทอดสารไปยังผู้ชม เนื้อหาสารที่ถ่ายทอดผ่านวิทยุโทรทัศน์มีหลากหลาย ๑๖ รัตน์ตรีสุกล. หลักนิเทศศาสตร์. หน้า ๒๔. ๑๗ รัตน์ตรีสุกล. หลักนิเทศศาสตร์. หน้า ๒๐ ๑๘ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒๑ ๑๙ กิติมา สุรสนธิ. ความรู้ทางการสื่อสาร. หน้า ๔. ๖ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๗ เช่นเดียวกับสาขาวิชาวิทยุกระจายเสียง แต่จะเน้นการถ่ายทอดสารผ่านการรับรู้ทั้งทางหู(ฟัง) และ ทางตา (ดู) ควบคู่กัน ในขณะที่วิทยุกระจายเสียงจะเป็นเรื่องของการถ่ายทอดสารผ่านการรับรู้ทาง หูเป็นหลัก สาขาวิชาวิทยุโทรทัศน์จึงเกี่ยวข้องกับการสื่อสารโดยใช้ภาพและเสียง ๗. การแสดง (acting) เป็นศาสตร์และศิลปะในการถ่ายทอดสารโดยใช้ตัวละครเป็นสื่อ แสดงเป็นเรื่องราว เพื่อสะท้อนหรือถ่ายทอดเรื่องราว ความคิดความรู้สึก ให้ผู้ชมได้รับรู้และมี ความรู้สึกคล้อยตาม ซึ่งเป็นศาสตร์และศิลปะในการถ่ายทอดเรื่องราวที่มีมายาวนาน และมี ลักษณะเฉพาะของแต่ละสังคม สัมพันธ์กับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของสังคมนั้น ๆ เช่น การสื่อสาร ผ่านการแสดงละครพูด ละครร้อง ละครรำ ลิเก ลำตัด โขน มโนรา หนังตะลุง ซึ่งล้วนมีศาสตร์และ ศิลปะเฉพาะตัว ๘. ภาพยนตร์(film) เป็นศาสตร์และศิลปะในการสะท้อนหรือถ่ายทอดสารโดยใช้ตัว ละครเป็นสื่อเช่นเดียวกับการละคร แต่ใช้ศาสตร์และเทคโนโลยีทางด้านแสง สีเสียง เข้าเป็นส่วน สำคัญ และใช้วิธีการบันทึกการแสดงลงบนแผ่นฟิล์มแทนการแสดงสดอย่างการละคร ๑.๓.๒ ขอบข่ายของสื่อทางนิเทศศาสตร์ นิเทศศาสตร์เป็นสาขาวิชาการที่ว่าด้วยการสื่อสารระหว่างกันของมนุษย์ทุกรูปแบบถ้า พิจารณาขอบข่ายของนิเทศศาสตร์ในมิติของสื่อหรือช่องทางการสื่อสาร จะมีขอบข่ายครอบคลุมถึง สื่อทุกประเภท แบ่งขอบข่ายของสื่อหรือช่องทางการถ่ายทอดสารทางนิเทศศาสตร์ตามลักษณะของ สื่อออกเป็น ๕ ประเภท๒๐ ได้แก่ ๑. การถ่ายทอดสารผ่านสื่อธรรมชาติเป็นการใช้แสง สีเสียง สถานที่ ที่เป็นธรรมชาติ เป็นสื่อในการถ่ายทอดสาร ซึ่งมักจะใช้สื่อถึงอารมณ์ความรู้สึก โดยให้ผู้รับสารได้ชม ได้ฟังหรือได้ สัมผัสกับสภาพธรรมชาติที่ใช้เป็นสื่อนั้น ๒. การถ่ายทอดสารผ่านสื่อบุคคล เป็นการใช้บุคคลเป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดสารสู่ ผู้รับสาร สื่อบุคคลในทางนิเทศศาสตร์ได้แก่ นักแสดง นักร้อง พิธีกร นักจัดรายการ โฆษกศิลปิน พรีเซ็นเตอร์ฯลฯ จึงจัดบุคคลเหล่านี้เป็นนักนิเทศศาสตร์ หรือนักสื่อสารมวลชนประเภท หนึ่ง ๓. การถ่ายทอดสารผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ เป็นการใช้เอกสารสิ่งพิมพ์เป็นสื่อกลางในการ ถ่ายทอดสาร เช่น หนังสือพิมพ์หนังสือ นิตยสาร วารสาร เอกสารสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ที่ใช้เป็นสื่อหรือ เครื่องมือสำหรับถ่ายทอดสารไปยังผู้อ่านที่เป็นผู้รับสาร จึงจัดสื่อสิ่งพิมพ์เป็นสื่อมวลชนประเภท หนึ่งและคนที่ทำงานเกี่ยวกับสื่อสิ่งพิมพ์ก็จัดเป็นนักนิเทศศาสตร์หรือนักสื่อสารมวลชนประเภทหนึ่ง ด้วย ๔. การถ่ายทอดสารผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์เป็นการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นระบบการ สื่อสารทางไกล เช่น วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ภาพยนตร์อินเทอร์เน็ต ฯลฯ เป็นสื่อกลางใน การถ่ายทอดสาร จึงจัดสื่ออิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้เป็นสื่อมวลชนประเภทหนึ่ง และคนที่ทำงาน เกี่ยวกับสื่ออิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวก็เป็นนักสื่อสารมวลชนอีกประเภทหนึ่ง สำหรับการถ่ายทอดสาร ผ่านสื่ออินเทอร์เน็ต หรือสื่อออนไลน์ที่เป็นสื่อใหม่ (new media) ทำให้รูปแบบและเทคโนโลยีการ สื่อสารพัฒนาเป็นการสื่อสารไร้พรมแดน ไร้ขีดจำกัดสามารถนำสารที่เสนอผ่านขอบข่ายสื่อ ธรรมชาติสื่อบุคคล สื่อสิ่งพิมพ์หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์มาถ่ายทอดเป็นสื่อออนไลน์ผ่านระบบ อินเทอร์เน็ตได้ไม่จำกัด เช่น มีสื่อออนไลน์ในรูปของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ๒๐ รัตน์ตรีสุกล. หลักนิเทศศาสตร์. หน้า ๑๐๔. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๗
๘ วิทยุออนไลน์ภาพยนตร์ออนไลน์เป็นต้น ๕. การถ่ายทอดสารผ่านสื่อระคน เป็นการใช้สื่ออื่น ๆ ที่ไม่ได้จัดอยู่ในประเภทหนึ่ง ประเภทใดข้างต้นเป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดสาร เช่น ป้ายประกาศ ป้ายโฆษณา ธงทิว การจัด แสดงผลงานหรือสินค้า การจัดกิจกรรม ณ จุดขาย ฯลฯ สื่อระคนมักจะใช้กับงานโฆษณาหรือการ ประชาสัมพันธ์การตลาด และผู้ทำงานเกี่ยวกับการโฆษณาประชาสัมพันธ์โดยใช้สื่อระคน จึงจัดเป็น นักนิเทศศาสตร์หรือนักสื่อสารมวลชนประเภทหนึ่งเช่นกัน ๑.๓.๓ ขอบข่ายของสาขาวิชาชีพทางนิเทศศาสตร์ กิติมา สุรสนธิได้กล่าวถึงขอบข่ายของนิเทศศาสตร์ในมิติทางด้านวิชาชีพไว้ว่า คำว่า นิเทศศาสตร์จะครอบคลุมถึงอาชีพต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสาร เช่น อาชีพด้านวิทยุโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ภาพยนตร์การโฆษณา การประชาสัมพันธ์การแสดง การพูดและการเผยแพร่ ข่าวสาร เป็นต้น๒๑ และ ปรมะ สตะเวทิน กล่าวถึงผู้ประกอบวิชาชีพนักสื่อสารมวลชนว่า นัก สื่อสารมวลชน คือผู้ทำงานในองค์การสื่อสารมวลชน หรือผู้ทำงานร่วมกับองค์การสื่อมวลชนในการ ผลิตสารขององค์การสื่อมวลชนเพื่อส่งผ่านสื่อมวลชน อันได้แก่ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และภาพยนตร์ไปสู่มวลชนผู้รับสารจึงกล่าวได้ว่าขอบข่ายของ วิชาชีพทางด้านนิเทศศาสตร์หรือวิชาชีพด้านสื่อสารมวลชนนั้นสามารถแยกย่อยออกได้เป็นหลาย แขนง โดยสัมพันธ์กับสาขาวิชาการต่าง ๆ ทางด้านนิเทศศาสตร์และประเภทของสื่อที่ใช้ในการ ประกอบวิชาชีพนักสื่อสารมวลชนด้านนั้น ๆ ทั้งนี้เราอาจจำแนกวิชาชีพทางด้านนิเทศศาสตร์หรือ การสื่อสารมวลชนออกเป็น ๔ กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้๒๒ ๑. กลุ่มวิชาชีพหนังสือพิมพ์และวารสาร เป็นวิชาชีพสื่อสารที่ทำงานเกี่ยวกับการ ถ่ายทอดข้อความผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ ได้แก่ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วารสาร และหนังสือ ซึ่งจะใช้ความรู้ ด้านวารสารศาสตร์เป็นพื้นฐานหลักในการประกอบวิชาชีพ ผู้เชี่ยวชาญด้านหนังสือพิมพ์และ วารสาร ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อมวลชนที่มีบทบาทและความเชี่ยวชาญที่แตกต่างกัน เช่น บรรณาธิการ นักข่าว ช่างภาพ ศิลปิน คอลัมนิสต์ นักเขียน นักภาษาศาสตร์ เป็นต้น ๒. กลุ่มวิชาชีพวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์ เป็นวิชาชีพสื่อสารที่เกี่ยวข้องกับการส่ง ข้อความผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยการถ่ายทอดภาพและ/หรือเสียงจากสถานีไปยังผู้ฟังที่ได้รับ ข้อความ รวมทั้งวิทยุกระจายเสียง และผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อมวลชนวิทยุและโทรทัศน์ในวิชาชีพ วิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์ ได้แก่ นักข่าว นักอ่านข่าว นักวิจารณ์ พิธีกร ผู้จัดรายการ นักร้อง นักแสดง ผู้เขียนบท และผู้กำกับรายการ ผู้กำกับเวที ช่างภาพ ศิลปิน ช่างอิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ แต่ ละฝ่ายมีบทบาทและใช้ความรู้และทักษะที่แตกต่างกัน แต่ทุกฝ่ายจะมีความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงและ มีส่วนร่วมในกระบวนการถ่ายทอดข้อความไปยังผู้รับ ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงถูกพิจารณาว่าเป็น คนงานสื่อสารมวลชน กลุ่มวิชาชีพวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์เป็นทางวิทยานิเทศศาสตร์ที่ ทำหน้าที่ถ่ายทอดสารผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์สามารถถ่ายทอดภาพและหรือเสียงที่ติดตามส่งไปยัง ผู้ฟัง ที่รับสารงานวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์นักข่าวสื่อสารมวลชนจำนวนมากในกลุ่มข่าว กระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์จะประกอบด้วยนักข่าวนักข่าวข่าวนักวิจารณ์ นักข่าวนักจัดรายการ นักร้องนักแสดงส่วนใหญ่เป็นบทที่สำคัญที่สุดและนักร้องเวทีช่างศิลป์ช่างช่าง เทคโนโลยีอื่นๆ ซึ่งแต่ ๒๑ กิติมา สุรสนธิ. ความรู้ทางการสื่อสาร. หน้า ๔. ๒๒ ปรมะ สตะเวทิน. หลักนิเทศศาสตร์.หน้า ๒๕. ๘ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๙ ละฝ่ายจะทำหน้าที่ตรวจสอบความรู้และทักษะด้านต่างๆ ที่แตกต่างกันออกไป แต่ทุกฝ่ายจะ เชื่อมโยงกันและเฟิร์มแวร์ถ่ายทอดสารไปยังสารรายการนับว่าทำหน้าที่ด้าน สื่อสารมวลชนทั้งหมด ๓. กลุ่มวิชาชีพโฆษณาและประชาสัมพันธ์ เป็นวิชาชีพด้านการสื่อสารที่ทำงานเกี่ยวกับ การโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ได้แก่ สื่อส่วนบุคคล สื่อธรรมชาติ สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อ อิเล็กทรอนิกส์ และสื่อมวลชน เพื่อสร้างภาพลักษณ์สร้างความเข้าใจและชักชวนกลุ่มเป้าหมายให้ ได้รับความไว้วางใจและชื่นชอบต่อองค์กรหรือสินค้าและบริการ การใช้ศาสตร์วาทศาสตร์ ศาสตร์ การโฆษณา และศาสตร์การประชาสัมพันธ์เป็นหลักในการผลิตและส่งข้อความเพื่อการโฆษณาและ ประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางต่างๆ ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนในวิชาชีพโฆษณาและประชาสัมพันธ์ จึงมีบุคลากรที่ผลิตสื่อและบุคลากรถ่ายทอดสื่อ ๔. กลุ่มวิชาชีพภาพยนตร์และการแสดง เป็นวิชาชีพสื่อสารที่มีผลงานเกี่ยวกับการ ถ่ายทอดข้อความหรือเรื่องราวผ่านการแสดงของตัวละครหรือนักแสดง ทั้งโดยการแสดงสดและ บันทึกการแสดงเพื่อถ่ายทอดผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ มุ่งเป้าไปที่การสร้างความบันเทิงหรือให้ความ บันเทิงแก่ผู้ชมเป็นหลัก ผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อสารมวลชนในภาพยนตร์และการแสดง เช่น นักร้อง นักแสดง นักพากย์ นักประพันธ์ นักเขียนบท และผู้กำกับ ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ ช่างภาพ ช่างไฟฟ้า ช่างศิลป์ฯลฯ ขอบข่ายของวิชาชีพทางด้านนิเทศศาสตร์นอกจากจะครอบคลุมถึงผู้ทำงานเกี่ยวกับ การถ่ายทอดสารผ่านสื่อมวลชนใน ๔ กลุ่มใหญ่ๆ ดังกล่าวแล้ว เราอาจจะพิจารณาถึงขอบข่ายของ วิชาชีพนิเทศศาสตร์หรือการสื่อสารมวลชนตามขอบข่ายของบทบาทหน้าที่ ซึ่งปรมะ สตะเวทิน ได้ จัดกลุ่มนักนิเทศศาสตร์นักสื่อสารมวลชนตามขอบข่ายของบทบาทหน้าที่ที่แตกต่างกัน โดยจัดได้ เป็น ๔ กลุ่ม ได้แก่๒๓ ๑. นักสื่อสารมวลชนที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดข่าว เช่น นักข่าว ผู้สื่อข่าว ผู้อ่านข่าวผู้ ประกาศข่าว ฝ่ายข่าว บรรณาธิการข่าว ช่างภาพ ฯลฯ ซึ่งทำงานด้านการสื่อสารมวลชนในกลุ่ม วิชาชีพหนังสือพิมพ์วิทยุกระจายเสียง และวิทยุโทรทัศน์ ๒. นักสื่อสารมวลชนที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้เช่น ผู้เขียนคอลัมน์ความรู้สารคดี ผู้ผลิตรายการความรู้พิธีกร นักจัดรายการ ผู้เขียนบท ซึ่งอาจทำงานด้านการสื่อสารในกลุ่มวิชาชีพ หนังสือพิมพ์และวารสาร วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์รวมทั้งภาพยนตร์และการแสดง ที่มุ่ง ถ่ายทอดสาระความรู้สู่ผู้รับสารเป็นหลัก ๓. นักสื่อสารมวลชนที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดความคิด เช่น บรรณาธิการ คอลัมน์นิสต์ ผู้เขียนบทวิเคราะห์หรือบทวิจารณ์นักวิเคราะห์หรือนักวิจารณ์นักเขียนการ์ตูน ที่มุ่งถ่ายทอดความ คิดเห็นผ่านสื่อมวลชน ซึ่งอาจจะถ่ายทอดผ่านหนังสือพิมพ์และวารสาร วิทยุกระจายเสียงวิทยุ โทรทัศน์ภาพยนตร์หรือการแสดง ๔. นักสื่อสารมวลชนที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดความบันเทิง เช่น นักร้อง นักดนตรีนัก ประพันธ์ผู้เขียนบท นักแสดง นักจัดรายการ พิธีกร ผู้กำกับการแสดง ผู้อำนวยการสร้างช่างภาพ ฯลฯ ที่มุ่งถ่ายทอดความบันเทิงผ่านสื่อสารมวลชน ซึ่งอาจจะถ่ายทอดผ่านหนังสือพิมพ์และวารสาร วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ภาพยนตร์หรือการแสดงบนเวทีซึ่งอาจเรียกโดยรวมว่าคนใน วงการบันเทิง ผู้ประกอบวิชาชีพนิเทศศาสตร์หรือนักสื่อสารมวลชนในแต่ละกลุ่มจะประกอบด้วยนัก นิเทศศาสตร์หรือนักสื่อสารมวลชนหลายประเภท ที่มีหน้าที่แตกต่างกัน คือมีทั้งผู้ทำหน้าที่เป็น ๒๓ ปรมะ สตะเวทิน. หลักนิเทศศาสตร์.หน้า ๒๙-๓๐. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๙
๑๐ นักข่าว นักคิด นักพูด นักเขียน นักจัดรายการ นักแสดง นักโฆษณา นักประชาสัมพันธ์และช่าง เทคนิคต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการถ่ายทอดสารผ่านสื่อมวลชน และต้องใช้ความรู้ความ ชำนาญทางด้านวิชาการนิเทศศาสตร์และการสื่อสารเฉพาะทางแตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ตาม ขอบข่ายของวิชาชีพทางด้านการสื่อสารมวลชน จะมีความสัมพันธ์กับสาขาวิชาการทางด้านนิเทศ ศาสตร์ที่ใช้เป็นหลักในการทำงาน และสัมพันธ์กับหน้าที่ของนักสื่อสารมวลชนในสาขาอาชีพนั้นๆ อาจสรุปความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มนักสื่อสารมวลชนจำแนกตามหน้าที่ ประเภทของวิชาชีพและ ช่องทางที่ใช้ในการถ่ายทอดสารได้ ๑.๔ วิวัฒนาการของนิเทศศาสตร์และการสื่อสาร มนุษย์เราเรียนรู้และใช้ภาษาในการติดต่อสื่อความหมายระหว่างกันมายาวนาน อาจจะ ยาวนานเท่ากับที่มนุษย์ถือกำเนิด เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มตั้งแต่แรกเกิด จึงต้องติดต่อสื่อสารระหว่างกัน โดยใช้ภาษาเสียง ภาษาท่าทาง ภาษาสัญลักษณ์ภาษาพูดภาษา ภาพ ภาษาเขียน ฯลฯ เป็นสื่อถ่ายทอดสารระหว่างกัน วิวัฒนาการเป็นการสื่อสารยุคต่าง ๆ ที่มีการ พัฒนาสื่อ ช่องทางการสื่อสาร และเทคนิควิธีในการสื่อสารต่อเนื่องมาจนถึงการสื่อสารด้วยระบบ อินเตอร์เน็ตในปัจจุบัน ในยุคแรกเริ่มจะเป็นลักษณะของการสื่อสารภายในบุคคลและการสื่อสาร ระหว่างบุคคล เมื่อสังคมเติบโตและมีการจัดระบบสังคม ก็พัฒนาเป็นการสื่อสารภายในองค์กร และ การสื่อสารมวลชน นิเทศศาสตร์หรือศาสตร์ทางด้านการสื่อสาร ได้เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ ๒๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว โดยเน้นเกี่ยวกับการพูดเพื่อการโน้มน้าว กล่าวคือ การเรียนการสอนเกี่ยวกับนิเทศศาสตร์หรือการ สื่อสาร มีมากว่า ๒๐๐๐ ปีในรูปแบบของวาทศาสตร์หรือวาทศิลป์(rhetoric) ซึ่งหมายถึงศาสตร์ และศิลป์การสื่อสาร หรือการพูดเพื่อการโน้มน้าวใจในที่สาธารณะ และผู้วางรากฐานการสอนวิชา วาทศิลป์คนสำคัญ คือ อริสโตเติล (Aristotle) นักปราชญ์ชาวกรีก โดยที่อริสโตเติลเชื่อว่า ความสามารถในการพูดในที่สาธารณะเป็นคุณสมบัติสำคัญของประชาชนชาวกรีกในการมีส่วนร่วม กิจกรรมทางสังคม และการปกครอง เขาจึงริเริ่มสอนหลักการและฝึกปฏิบัติเพื่อพัฒนาทักษะการ พูดเพื่อโน้มน้าวใจผู้ฟัง และได้เขียนหนังสือ The Rhetoric ขึ้นเมื่อ ๓๓๐ ปีก่อนคริสตกาลอธิบาย เกี่ยวกับวิธีการโน้มน้าวใจที่มีประสิทธิภาพ ลักษณะธรรมชาติของผู้ฟัง และลักษณะของสารเพื่อการ โน้มน้าวใจ ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของนิเทศศาสตร์หรือศาสตร์ว่าด้วยการสื่อสาร และวาทศาสตร์ จัดเป็นสาขาวิชาหนึ่งทางด้านนิเทศศาสตร์ในปัจจุบัน๒๔ วิวัฒนาการของวิชาการทางด้านนิเทศศาสตร์หรือการสื่อสาร อาจจัดแบ่งออก เป็นยุค ต่าง ๆ ตามวิวัฒนาการของวิธีการและเทคโนโลยีที่ใช้ในการสื่อสาร ได้แบ่งวิวัฒนาการของการ สื่อสารออกเป็น ๕ ยุคใหญ่ ๆ๒๕ ได้แก่ ยุคที่หนึ่ง เป็นยุคสื่อสารด้วยภาษากาย ภาษาภาพ และ ภาษาเสียง ยุคที่สอง เป็นยุคสื่อสารด้วยภาษาเขียน ยุคที่สาม เป็นยุคสื่อสารที่ใช้การพิมพ์ยุคที่สี่ เป็นยุคสื่อสารที่ใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์และยุคที่ห้า เป็นยุคคอมพิวเตอร์หรือเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่ง สอดคล้องกับ กิติมา สุรสนธิที่ได้แบ่งยุคต่าง ๆ ของการสื่อสารตามลักษณะของสื่อที่ใช้ในการ สื่อสารในแต่ละช่วงออกเป็น ๕ ยุคเช่นกัน ได้แก่ ยุคการสื่อสารด้วยคำพูด ยุคการสื่อสารด้วยการ ๒๔ สุรัตน์ตรีสุกล. หลักนิเทศศาสตร์. หน้า ๒๐. ๒๕ อุบลรัตน์ศิริยุวศักดิ์. สื่อสารมวลชนเบื้องต้น : สื่อมวลชน วัฒนธรรมและสังคม. (กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.,๒๕๕๐), หน้า ๕๐. ๑๐ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๑๑ เขียน ยุคการพิมพ์หนังสือพิมพ์และนิตยสาร ยุคอิเล็กทรอนิกส์และยุคโทรคมนาคม ซึ่งลักษณะ สำคัญของการสื่อสารแต่ละยุคจะมีลักษณะเฉพาะแตกต่างกัน ดังนี้๒๖ ๑. ยุคการสื่อสารด้วยภาษาสัญลักษณ์และภาษาพูด จัดว่าเป็นยุคแรกเริ่มของการ สื่อสารระหว่างมนุษย์มีมาตั้งแต่เมื่อใดไม่สามารถชี้ชัดได้แต่เชื่อว่ามนุษย์รู้จักใช้ภาษาสัญลักษณ์ และภาษาพูดมายาวนาน อาจจะยาวนานเท่ากับที่มนุษย์ถือกำเนิดและได้อยู่อาศัยรวมกันเป็น ครอบครัวเป็นกลุ่มที่ต้องมีการสื่อสารระหว่างกัน การสื่อสารในยุคแรกเริ่มนี้มนุษย์จะใช้คุณสมบัติ ทางกายที่มีติดตัวเป็นสื่อหรือรหัสแทนสารในการสื่อสารระหว่างกัน ได้แก่การใช้ภาษาท่าทางภาษา เสียงหรือภาษาพูด ภาษาภาพ หรือภาษาสัญลักษณ์อื่น ๆ เช่นสัญลักษณ์เสียงกลองสัญลักษณ์ควัน สัญลักษณ์ภาพ ฯลฯ ซึ่งสามารถใช้สื่อสารและเข้าใจความหมายร่วมกันในกลุ่มและเริ่มมีการศึกษา เรื่องการพูดเพื่อการสื่อสารอย่างจริงจังในสมัยของอริสโตเติลกลายเป็นพื้นฐานของสาขาวิชาวาท ศาสตร์ส่วนภาษาภาพหรือภาษาสัญลักษณ์ได้ถูกพัฒนาเป็นภาษาเขียนในยุคต่อมา ๒. ยุคการสื่อสารด้วยภาษาเขียน เป็นยุคที่มนุษย์รู้จักใช้ภาษาเขียนหรือใช้อักษรเป็น สัญลักษณ์สื่อความหมายแทนภาษาเสียงหรือภาษาภาพ มนุษย์เริ่มประดิษฐ์ภาษาเขียนและใช้ภาษา เขียนเมื่อประมาณ ๕,๐๐๐ ปีเป็นการผสมผสานภาษาพูดและภาษาภาพ ในยุคแรกเริ่มจารึกเป็น ภาษาเขียนที่ใช้ระบบอักษร เช่น อักษรโรมัน อักษรจีน อักษรรูมีอักษรไทย อักษรขอมฯลฯ เรียง ร้อยกันเป็นคำที่มีความหมาย ใช้เป็นรหัสสารสำหรับสื่อความหมายแทนสาร และใช้สำหรับการ สื่อสารกันภายในกลุ่มที่เรียนรู้ภาษาเขียนนั้น ๆ รวมทั้งใช้บันทึกเรื่องราวต่าง ๆ การมีภาษาเขียนทำ ให้กระบวนการถ่ายทอดทางสังคมวัฒนธรรมและการสืบทอดความรู้และเรื่องราวต่าง ๆ จากคนรุ่น หนึ่งสู่คนรุ่นหนึ่งเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามในยุคของการสื่อสารด้วย ภาษาเขียนก็มีข้อจำกัดในเรื่องของการเผยแพร่เชิงการสื่อสารมวลชน เพราะสารที่เขียนหรือจารึก ทำได้เฉพาะต้นฉบับแต่ละฉบับ ไม่สามารถทำเผยแพร่ได้ครั้งละมาก ๆ๓. ยุคการสื่อสารด้วยสื่อ สิ่งพิมพ์เป็นยุคที่ใช้เทคโนโลยีการพิมพ์แทนการเขียนด้วยมือ โดยที่ชาวเยอรมันได้คิดประดิษฐ์ ตัวพิมพ์และแท่นพิมพ์แบบเรียงพิมพ์ขึ้นใช้ซึ่งสามารถผลิตงานพิมพ์ได้ครั้งละจำนวนมาก ๆ เพื่อ เผยแพร่หรือแจกจ่ายไปให้กับผู้รับสารหลาย ๆ คนในเวลาเดียวกัน ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการ สื่อสารมวลชน และวิวัฒนาการทางการพิมพ์ก็พัฒนามาตามลำดับ ทำให้เกิดสื่อสิ่งพิมพ์ตามมา หลายประเภท เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วารสาร หรือสื่อสิ่งพิมพ์ลักษณะอื่น ๆ ทำให้เกิด สาขาวิชาวารสารศาสตร์ต่อมา ๔. ยุคการสื่อสารด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์เป็นยุคที่ใช้การถ่ายทอดสารที่เป็นภาพและ หรือเสียงผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ โทรเลข โทรศัพท์วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ ภาพยนตร์ที่อาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าส่งสารผ่านสถานีส่งไปยังเครื่องรับของผู้รับสาร จัดว่าเป็นยุค พัฒนาการสื่อสารสู่ระบบการสื่อสารทางไกล การสื่อสารด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์เกิดเริ่มขึ้นในช่วง ปลายคริสตศตวรรษที่ ๑๙ เมื่อ เฮนริช เฮิรตซ์(Heinrich Rudolph Herts) นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน ค้นพบคลื่นกระแสไฟฟ้าสลับที่ใช้ในการส่งวิทยุและมีผู้พัฒนานำผลการค้นพบนี้มาใช้สร้างระบบส่ง โทรเลขไร้สาย และมีการคิดค้นการสื่อสารผ่านสื่อวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ที่แพร่ สัญญาณภาพและเสียง รวมทั้งค้นพบเทคนิคในการบันทึกเสียงบนแถบแม่เหล็กและการบันทึกภาพ บนแผ่นฟิล์มเกิดเป็นสื่อภาพยนตร์ตามมา สื่ออิเล็กทรอนิกส์ทั้งที่เป็นวิทยุกระจายเสียง วิทยุ โทรทัศน์และภาพยนตร์สามารถถ่ายทอดสู่ผู้ฟังผู้ชมได้กว้างไกล ทำให้การสื่อสารมวลชนเข้าถึง ประชาชนเป็นจำนวนมากยิ่งขึ้น ๒๖ กิติมา สุรสนธิ. ความรู้ทางการสื่อสาร. หน้า ๒๒๔. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๑
๑๒ ๕. ยุคการสื่อสารด้วยเทคโนโลยีโทรคมนาคม เป็นความก้าวหน้าของวิทยาการการ สื่อสารอีกก้าวหนึ่ง ที่ผสมผสานสื่อทุกประเภท ทั้งการพูด การเขียน การพิมพ์ โทรศัพท์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และภาพยนตร์รวมเข้าไว้ด้วยกันเป็นสื่อผสม (multimedia) ด้วย ระบบคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ (information communication technology) ซึ่ง เป็นวิทยาการใหม่ สื่อสารผ่านระบบดาวเทียมถ่ายทอดไปยังผู้รับสารได้ทั่วโลก จนได้ชื่อว่าเป็นยุค การสื่อสารไร้พรมแดน และเป็นยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสารด้วยเทคโนโลยีโทรคมนาคม เป็นวิวัฒนาการสืบเนื่องจากยุคการสื่อสารด้วย สื่ออิเล็กทรอนิกส์ผสมผสานกับระบบคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศดังกล่าวแล้ว ปัจจุบัน สื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่จัดอยู่ในสื่อใหม่ (new media) เช่น เว็บไซต์(website) โซเชียลมีเดีย (social media) เฟสบุ๊คส์(facebook) ไลน์(line) ทวิตเตอร์(twitter) เป็นเครื่องมือและช่องทางที่ผู้ใช้ สามารถใช้เพื่อกำหนดประเด็น (set agenda) ร่วมกับเครื่องมือและช่องทางอื่น และยังมีบทบาทใน การถ่ายทอดสารหรือข่าวสาร โดยเฉพาะสถานการณ์ทางการเมือง ความตื่นเต้นในสื่อใหม่มีทั้งในแง่ การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของจำนวนผู้ใช้การแสดงความคิดเห็นที่ไหลเชี่ยวเหมือนสายน้ำทลายการ ปิดกั้น สร้างปรากฏการณ์การสื่อสารใหม่ๆ สื่อใหม่เป็นเครื่องมือของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม และเป็นส่วนหนึ่งในการเปิดพื้นที่ทางการเมืองอย่างสำคัญ๒๗ ๑.๕ ความสำคัญของนิเทศศาสตร์และการสื่อสาร ในชีวิตประจำวันของมนุษย์ย่อมจะต้องมีการติดต่อสัมพันธ์กับบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใน รูปแบบต่าง ๆ ตลอดเวลา โดยมนุษย์เราอาศัยการสื่อสารเป็นเครื่องมือในการติดต่อสัมพันธ์ ระหว่างกัน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการดำเนินกิจกรรมใด ๆ ของตน และเพื่อให้อยู่ร่วมกับคน อื่นในสังคมด้วยความสุข การสื่อสารเป็นพื้นฐานในการติดต่อระหว่างกันของมนุษย์และเป็น เครื่องมือสำคัญของกระบวนการทางสังคม โดยเฉพาะสังคมยุคปัจจุบันที่มีความสลับซับซ้อน มีผู้คน จำนวนมาก มีการขยายตัวและมีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม อย่างรวดเร็วมีการ ติดต่อเชื่อมโยงกันทั่วโลก ยิ่งต้องอาศัยการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพเป็นเครื่องมือในการสร้างความ เข้าใจ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันมากยิ่งขึ้น ๑.๕.๑ ความสำคัญของการสื่อสารต่อชีวิตประจำวันของมนุษย์ สุรัตน์ตรีสกุล กล่าวถึงความสำคัญของนิเทศศาสตร์และการสื่อสารว่ามีความสำคัญทั้ง ต่อปัจเจกบุคคลและต่อสังคมในแง่มุมต่าง ๆ โดยสรุปเป็น ๔ ด้าน ดังนี้๒๘ ๑. การสื่อสารเป็นเครื่องมือในการตอบสนองความต้องการและความพึงพอใจของ มนุษย์โดยมนุษย์จะใช้การสื่อสารเป็นเครื่องมือในการแสวงหาปัจจัยสี่ในการดำรงชีวิตและสนอง ความต้องการส่วนตน ใช้การสื่อสารเชื่อมโยงตนเองกับสังคม และใช้การสื่อสารเพื่อสนองความสุข ความพึงพอใจของตนเอง ๒. การสื่อสารช่วยให้มนุษย์เข้าใจตนเองและสิ่งแวดล้อมรอบตัว โดยที่มนุษย์พูดหรือ สื่อสารกันเพื่อสร้างความเป็นมนุษย์ให้แก่ตน ในวัยเด็กมนุษย์ใช้การสื่อสารกับบุคคลอื่นเพื่อเรียนรู้ และรู้จักตนเองและสิ่งแวดล้อมรอบตัว เมื่อโตขึ้นการสื่อสารด้วยการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นมาก ขึ้น ทำให้เกิดการเรียนรู้และรู้จักตนเองและโลกรอบตัวมากขึ้น ๒๗ อุบลรัตน์ศิริยุวศักดิ์.สื่อสารมวลชนเบื้องต้น : สื่อมวลชน วัฒนธรรมและสังคม.,หน้า ๗๓. ๒๘ สุรัตน์ตรีสุกล. หลักนิเทศศาสตร์. หน้า ๑๕-๑๙. ๑๒ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๑๓ ๓. การสื่อสารเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างและธำรงรักษาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง กัน โดยที่วัตถุประสงค์สำคัญประการหนึ่งในการสื่อสารของมนุษย์คือ การสร้างเสริมความสัมพันธ์ที่ ดีระหว่างกัน ทั้งนี้เนื่องจากมนุษย์ต้องการความรักและเป็นที่รักของบุคคลอื่น และจะใช้การสื่อสาร เป็นเครื่องมือสำคัญในการให้ได้มาซึ่งความรักความเข้าใจและสร้างสรรค์ ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน ๔. การสื่อสารช่วยสร้างเสริมสุขภาพจิตใจและร่างกายของมนุษย์ให้ดีขึ้น จาก ผลการวิจัยพบว่า การพบปะพูดคุยกับบุคคลอื่นช่วยให้คนมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตดีขึ้น ส่วนคน ที่ไม่ชอบพบปะผู้คนมักมีอาการเครียด มีแนวโน้มป่วยเป็นโรคต่าง ๆ และเสียชีวิตเร็ว ๕. การสื่อสารคือทักษะสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จในวิชาชีพของมนุษย์เนื่องจากใน การทำงานนั้นบุคคลต้องติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่น ต้องมีความสามารถในการแสดงความคิดเห็นให้ผู้อื่น รับรู้และเข้าใจ และสามารถเข้าใจความคิดเห็นของบุคคลอื่นด้วย ซึ่งต้องใช้ทักษะในการสื่อสารที่มี ประสิทธิภาพ ความสามารถในการสื่อสารของบุคคลจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่กำหนดความสำเร็จหรือ ความล้มเหลวในการประกอบอาชีพ ๑.๕.๒ ความสำคัญของการสื่อสารต่อสังคม ๑. การสื่อสารเป็นพื้น ฐานของสังคม โดยธรรมชาติของมนุษย์จัดว่าเป็นสัตว์สังคม อยู่ รวมกันเป็นกลุ่ม พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันและมีความสัมพันธ์ต่อกัน โดยที่มนุษย์จะใช้ภาษาเป็น เครื่องมือในการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน เกิดความสัมพันธ์ต่อกัน และสร้างความเป็นสังคมเดียวกัน ๒. การสื่อสารเป็นทักษะที่จำ เป็นของสังคม สังคมที่สงบสุขต้องอาศัยความสัมพันธ์ที่ดี ของสมาชิก ต้องเรียนรู้ซึ่งกันและกันและตอบสนองความต้องการของกันและกันได้ซึ่งการเรียนรู้ที่ จะอยู่ร่วมกันด้วยความสุขความสมานฉันท์นี้ต้องอาศัยการสื่อสารที่ดีระหว่างกัน ๓. การสื่อสารเป็นเครื่องมือสำคัญในกระบวนการสังคมประกิตหรือกระบวนการขัด เกลาทางสังคม (socialization) การถ่ายทอดความรู้วัฒนธรรม ค่านิยม วิถีชีวิต กฎ ระเบียบ จรรยามารยาทต่าง ๆ ในสังคมจากคนรุ่นหนึ่งสู่คนอีกรุ่นหนึ่งต้องอาศัยการสื่อสารเป็นเครื่องมือใน การถ่ายทอด ๔. การสื่อสารเป็นเครื่องมือในการรายงานความเคลื่อนไหวของสังคมและควบคุมสังคม มีบทบาทในการรายงานความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ในสังคมให้สมาชิกได้รับรู้ ๕. การสื่อสารเป็นเครื่องมือในการถ่ายทอดภูมิปัญญาและมรดกทางวัฒนธรรมของ สังคม โดยที่การสื่อสารเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของคนที่ไม่สามารถแยกออกจากวิถี ชีวิตได้การเรียนรู้การปฏิบัติการถ่ายทอด รวมทั้งการรักษาภูมิปัญญาและมรดกทางวัฒนธรรม เกิดขึ้นโดยอาศัยการสื่อสาร ซึ่งเป็นขอบข่ายของการสื่อสารวัฒนธรรม ๖. การสื่อสารเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาทางสังคม เกิดความเข้มแข็งของ สังคม โดยการสื่อสารทำหน้าที่เผยแพร่ ถ่ายทอดนวัตกรรม ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความรู้ ความคิด ทัศนคติและพฤติกรรมของสมาชิกในสังคม ซึ่งเป็นขอบข่ายของการสื่อสารเพื่อการพัฒนา สังคม ๑.๕.๓ ความสำคัญของการสื่อสารต่อการเมืองการปกครอง ๑. การสื่อสารเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมสนับสนุนการเมืองการปกครอง ทั้งในแง่ของ การให้ความรู้ความเข้าใจ การสร้างทัศนคติการควบคุมพฤติกรรมและการมีส่วนร่วมโดยใช้การ สื่อสารเป็นเครื่องมือ ซึ่งเป็นขอบข่ายของการสื่อสารการเมือง ๒. การสื่อสารเป็นเครื่องมือของรัฐในการบริหารราชการ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๓
๑๔ ๓. การสื่อสารเป็นเครื่องมือของรัฐในการสื่อสารข้อมูลข่าวสารระหว่างหน่วยงานรัฐกับ เอกชน รัฐกับประชาชน ๔. การสื่อสารเป็นเครื่องมือในการปฏิรูประบบราชการและระบบการเมืองให้มี ประสิทธิภาพ ๕. การสื่อสารเป็นเครื่องมือสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีกับนานาประเทศ ในสังคมโลก ทำให้เกิดความร่วมมือในระดับต่าง ๆ ๑.๕.๔ ความสำคัญของการสื่อสารต่อเศรษฐกิจ ๑. การสื่อสารเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารองค์กร ๒. การสื่อสารเป็นเครื่องมือในการถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารทางเศรษฐกิจ ๓. การสื่อสารการตลาดช่วยให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ๔. การสื่อสารเป็นเครื่องมือในการสร้างเครือข่ายทางเศรษฐกิจ แรงงานสัมพันธ์จะเห็นได้ว่าการสื่อสารเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ที่มีความสำคัญต่อ ตัวมนุษย์และต่อการอยู่ร่วมและทำงานร่วมกันในสังคมมนุษย์ เช่น มีความสำคัญต่อการดำเนิน ชีวิตประจำวันมีความสำคัญต่อการควบคุมและถ่ายทอดทางสังคมวัฒนธรรม มีความสำคัญต่อการ ประกอบอาชีพ มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมและธุรกิจ และมีความสำคัญต่อการเมืองการปกครอง ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ กล่าวได้ว่าการสื่อสารมีความสำคัญต่อมนุษย์ทุกคน ในทุก วงการและทุกระดับองค์กร ตั้งแต่ระดับบุคคลไปจนถึงระดับประเทศและระดับนานาชาติการสื่อสาร ที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้มีความเข้าใจต่อกัน เกิดความร่วมมือร่วมใจกัน เกิดการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ที่นำไปสู่การพัฒนา และนำไปสู่ความสุขความสำเร็จทั้งในส่วนบุคคล สังคมประเทศชาติและ นานาชาติดังนั้น การสื่อสารเป็นกระบวนการ (process) ที่มีความสำคัญต่อมนุษย์ทั้งในด้านการ ดำเนินชีวิต สังคม เศรษฐกิจ และการศึกษา จนอาจกล่าวได้ว่าการสื่อสารเป็นฟันเฟืองของ เครื่องจักรกลแห่งสังคมที่ทำให้สังคมดำเนินไปได้ไม่หยุดยั้ง เนื่องจากการสื่อสารเป็นทั้งเครื่องมือ (instrument) และวิธีการ (means)ในการก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใดอย่างหนึ่งทั้งต่อ ปัจเจกชน ต่อองค์กร และต่อสังคม ดังนั้นเราจึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการสื่อสารเป็นสถาบันหนึ่งของสังคมที่มีความจำเป็น อย่างยิ่ง ซึ่งอาจสรุปถึงความสำคัญของนิเทศศาสตร์และการสื่อสารในประเด็นต่าง ๆ ได้เป็นข้อๆ ดังนี้ ๑. การสื่อสาร เป็นเครื่องมือในการดำเนินชีวิตประจำวันของมนุษย์เพราะมนุษย์เป็น สัตว์สังคม อยู่รวมกันเป็นกลุ่มต้องใช้การสื่อสารเป็นเครื่องมือในการติดต่อถ่ายทอดสารระหว่างกัน โดยใช้ภาษาพูด ภาษาเขียน หรือภาษาสัญลักษณ์ ที่รับรู้และเข้าใจร่วมกันในกลุ่มนั้นๆ ในโลก ปัจจุบันที่เป็นโลกยุคข้อมูลข่าวสารและโลกยุคการสื่อสารไร้พรมแดน ความรู้และทักษะในการ สื่อสารก็ยิ่งมีความจำเป็นและเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตประจำวันของทุกคนมากยิ่งขึ้น ๒. การสื่อสาร เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้มนุษย์รับรู้และเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ จากบุคคล หรือแหล่งสารต่าง ๆ ผ่านกระบวนการสื่อสาร ทั้งโดยสื่อบุคคล สื่อสิ่งพิมพ์สื่อวิทยุกระจายเสียง สื่อวิทยุโทรทัศน์และสื่ออินเตอร์เน็ต ทั้งผู้ถ่ายทอดความรู้และผู้เรียนรู้ต่างก็ใช้การสื่อสารเป็น เครื่องมือ ๓. การสื่อสาร เป็นเครื่องมือในการติดต่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล การสื่อสาร ที่ดีจะช่วยตอบสนองความรักความอบอุ่นของบุคคล ทำให้เกิดความเข้าใจต่อกัน เกิดสัมพันธภาพที่ ดีกับคนรอบข้าง นำไปสู่การอยู่ร่วมและทำงานร่วมกับคนอื่นได้อย่างมีความสุขความสำเร็จ ๑๔ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๑๕ ๔. การสื่อสาร เป็นเครื่องมือในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างองค์กร ต่าง ๆ ทั้งใน ท้องถิ่น ในประเทศ และระหว่างประเทศ ทำให้เกิดความเข้าใจ เกิดมิตรภาพ และเกิดความ ร่วมมือกันในการดำเนินกิจการต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ขององค์กร ๕. การสื่อสาร เป็นเครื่องมือในการถ่ายทอดเรื่องราวทางสังคมวัฒนธรรมในสังคม ทำ ให้มีการเรียนรู้และมีการสืบทอดทางด้านสังคมวัฒนธรรมจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งจากกลุ่มหนึ่ง ไปสู่อีกกลุ่มหนึ่ง จากยุคสมัยหนึ่งไปสู่อีกยุคสมัยหนึ่ง ช่วยยึดโยงคนในสังคม และทำให้เกิดการ พัฒนาทางสังคมวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่อง ๖. การสื่อสาร เป็นเครื่องมือในการถ่ายทอดข้อมูล ข้อเท็จจริง ความรู้ภูมิปัญญาทาง วิชาการและวิชาชีพทำให้มีการเรียนรู้และสืบทอดองค์ความรู้และภูมิปัญญาที่ค้นพบอย่างต่อเนื่อง นำไปสู่การพัฒนาทางด้านความรู้และภูมิปัญญาของมนุษย์ ๗. การสื่อสาร เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้สามารถถ่ายทอดความรู้ความคิด อารมณ์ ความรู้สึกที่มีอยู่ในตัวคนออกมาอย่างเป็นรูปธรรม ให้ผู้อื่นได้ยิน ได้เห็น ได้รับรู้ผ่านอวัยวะรับสัมผัส อันได้แก่หูตา จมูก ลิ้น และผิวกาย ในรูปของสัญลักษณ์ที่ใช้สื่อความหมายทั้งที่เป็นวัจนภาษา และอวัจนภาษา ๘. การสื่อสาร เป็นเครื่องมือในการจูงใจ โน้มน้าว กระตุ้น ให้บุคคลเกิดความคิด ความเข้าใจร่วมกัน นำไปสู่ความร่วมมือและเกิดพฤติกรรมตอบสนองในทิศทางเดียวกัน ๙. การสื่อสาร เป็นเครื่องมือในการแสวงหาความสุขความสำเร็จให้ชีวิตเมื่อมีการ สื่อสารกันระหว่างมนุษย์ไม่ว่าระหว่างบุคคล ระหว่างกลุ่ม หรือระหว่างองค์กร ก็ย่อมมีผลลัพธ์หรือ ปฏิกิริยาย้อนกลับเสมอ หากใช้เครื่องมือ ช่องทาง และเทคนิควิธีการสื่อสารมีประสิทธิภาพก็จะทำ ให้เกิดผลลัพธ์ในทางบวก เกิดความคิดความเข้าใจที่ดีนำไปสู่ความร่วมมือร่วมใจและเกิดการ ตอบสนองตามที่คาดหวัง ในทางกลับกันถ้าใช้การสื่อสารที่ไม่มีประสิทธิภาพก็จะเกิดผลลัพธ์ในทาง ลบ นำไปสู่ความขัดแย้งและความล้มเหลวในที่สุด การสื่อสารจึงเป็นทักษะชีวิตที่สำคัญของมนุษย์ ที่ส่งผลต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลวของชีวิตและกิจการต่าง ๆ ที่ดำเนินการ ๑.๖ จุดมุ่งหมายของการสื่อสาร ๑.๖.๑ จุดมุ่งหมายของการสื่อสาร จุดมุ่งหมายทั่วไปในการสื่อสารระหว่างกันของมนุษย์ในทางนิเทศศาสตร์ก็เพื่อ ถ่ายทอดข้อมูลข่าวสาร ความรู้ความคิด และเรื่องราวต่าง ๆ ระหว่างกัน เพื่อให้รับรู้และเข้าใจ ตรงกันนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน วัตถุประสงค์ในการสื่อสารระหว่างกันของมนุษย์มี ๗ ประการดังนี้ ๑. เพื่อบอกกล่าวหรือแจ้งข้อมูลข่าวสารให้ผู้อื่นทราบ (to inform) ๒. เพื่อศึกษาหรือเรียนรู้ตนเอง บุคคลอื่น และโลกภายนอก (to learn) ๓. เพื่อสร้างอิทธิพล หรือเพื่อให้เกิดผลอย่างหนึ่งอย่างใดต่อตนเอง บุคคลอื่น และ สิ่งแวดล้อมรอบตัว (to influence) ๔. เพื่อสร้างสรรค์และรักษาสัมพันธภาพระหว่างกัน (to relate and maintain) ๕. เพื่อสร้างความเพลิดเพลินบันเทิงใจ (to entertain) ๖. เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลกัน (to help) ๗. เพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนา (to develop)๒๙ ๒๙ สุรัตน์ตรีสุกล. หลักนิเทศศาสตร์. หน้า ๔๓. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๕
๑๖ ปรมะ สตะเวทิน ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการสื่อสารว่า วัตถุประสงค์พื้นฐานของ คนเราในการสื่อสารก็เพื่อจะเป็นหน่วยที่มีอิทธิพล (affecting agent) กล่าวคือเราสื่อสารเพื่อมี อิทธิพลต่อผู้อื่น ต่อสิ่งแวดล้อม และต่อตนเอง กล่าวอย่างสั้น ๆ คือ เราทำการสื่อสารเพื่อมีอิทธิพล – ตั้งใจที่จะมีอิทธิพล เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความรู้ทัศนคติพฤติกรรม หรือการเปลี่ยนแปลง สิ่งแวดล้อม การสื่อสารเป็นกระบวนการที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความสัมพันธ์ซึ่งประกอบด้วยบุคคล สองฝ่าย คือผู้ส่งสารและผู้รับสาร ดังนั้นในเรื่องของการพิจารณาวัตถุประสงค์เราจึงต้องพิจารณา วัตถุประสงค์ของทั้งสองฝ่ายควบคู่กันไปด้วย๓๐ กิติมา สุรสนธิกล่าวถึง วัตถุประสงค์ของการสื่อสารว่าการสื่อสารเป็นกิจกรรมที่มีความ ตั้งใจหรือมุ่งก่อให้เกิดผลลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ทั้งในตัวของผู้ส่งสารและผู้รับสาร โดยทั่วไปแล้ว การสื่อสารเป็นการกระทำที่พยายามก่อให้เกิดความร่วมมือกันและความคล้ายคลึงกัน (commonness) ของทั้งสองฝ่ายคือทั้งผู้ส่งสารและผู้รับสาร ซึ่งอาจเป็นความพยายามที่จะมี อิทธิพลเหนือ หรือเอาชนะจิตใจ หรือชักจูงโน้มน้าวใจบุคคลอีกฝ่ายหนึ่งที่กำลังสื่อสารด้วย หรือมุ่ง สื่อสารเพื่อถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารเรื่องราว ให้การศึกษาและสั่งสอนถ่ายทอดมรดกทางสังคม วัฒนธรรม อาจจำแนกวัตถุประสงค์ของการสื่อสารโดยพิจารณาจากจุดมุ่งหมายในการสื่อสารของผู้ ส่งสารหรือผู้รับสารออกเป็น ๓ ลักษณะ ได้แก่วัตถุประสงค์ทั่วไปของผู้สื่อสารวัตถุประสงค์ที่ ต้องการผลจากการสื่อสาร และวัตถุประสงค์ที่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพัฒนาจากการ สื่อสาร๓๑ ๑. วัตถุประสงค์ทั่วไปของผู้สื่อสาร คือวัตถุประสงค์หรือจุดมุ่งหมายที่เป็นความต้องการ และความตั้งใจภายในตัวผู้ส่งสารและผู้เสพสารในการสื่อสารโดยทั่วไป ว่าต้องการส่งสารหรือเสพ สารเพื่ออะไร เป็นวัตถุประสงค์ที่ตอบสนองความต้องการภายในตัวผู้ส่งสารและผู้เสพสารเอง ซึ่งใน การสื่อสารครั้งหนึ่ง ๆ ผู้ส่งสารและผู้เสพสารอาจจะมีวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลาย อย่างพร้อม ๆ กันก็ได้วัตถุประสงค์ทั่วไปในการสื่อสารของผู้ส่งสารและผู้รับสาร ๒. วัตถุประสงค์ที่ต้องการผลจากการสื่อสาร คือวัตถุประสงค์หรือจุดมุ่งหมายในการ สื่อสารของผู้ส่งสารหรือผู้เสพสาร ว่าต้องการให้เกิดผลอย่างไรตามมาจากการสื่อสารนั้น แบ่ง วัตถุประสงค์ที่เป็นผลจากการสื่อสารที่คาดหวังออกเป็น ๒ ประการ ได้แก่๓๒ ๒.๑ วัตถุประสงค์ที่ต้องการให้เกิดผลโดยตรงทันที(consummatory purpose) โดยที่ ผู้ส่งสารหรือผู้รับสารมีจุดมุ่งหมายและต้องการให้เกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่งทันทีจากการสื่อสารครั้ง นั้น ๆ เช่น ผู้ส่งสารต้องการถ่ายทอดเนื้อหาสาระสารสู่ผู้รับสารเพื่อให้รับรู้รับทราบหรือเพื่อให้เกิด ความพึงพอใจ เกิดความบันเทิงใจ ตอบสนองความต้องการของผู้รับสารทันทีโดยตรง หรือผู้รับสาร ต้องการเสพสารเพื่อรับรู้ข้อมูลข่าวสาร หรือเพื่อความบันเทิงจากการรับสารโดยตรง ซึ่งเห็นผลของ การสื่อสารทันทีเมื่อผู้รับสารรับรู้สาร ลักษณะของการสื่อสารที่ต้องการให้เกิดผลโดยตรงทันทีนี้ มักจะเป็นเรื่องเบา ๆ รับรู้และเข้าใจง่าย ทำให้ได้ข้อมูลข่าวสารหรือเกิดอารมณ์ความรู้สึกตามสารที่ รับรู้ได้ทันทีเป็นประเภทข่าวเบา (soft news) หรือเป็นสารที่ให้ความบันเทิงหรือสาระบันเทิง ซึ่ง เป็นเรื่องง่าย ๆ ที่ไม่สลับซับซ้อน ๓๐ ปรมะ สตะเวทิน. หลักนิเทศศาสตร์. หน้า ๓๐ ๓๑ กิติมา สุรสนธิ. ความรู้ทางการสื่อสาร. หน้า ๒๖-๒๗. ๓๒ กิติมา สุรสนธิ. ความรู้ทางการสื่อสาร. หน้า ๓๐. ๑๖ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๑๗ ๒.๒ วัตถุประสงค์ที่ต้องการใช้เป็นเครื่องมือเพื่อให้เกิดผลโดยทางอ้อม(instrumental purpose) โดยที่ผู้ส่งสารหรือผู้รับสารต้องการใช้การสื่อสารเป็นเครื่องมือนำไปสู่ผลที่ต้องการใน อนาคต ไม่ได้ต้องการเห็นผลในทันทีหรือไม่ใช่เพื่อต้องการตอบสนองความต้องการของผู้ส่งสารหรือ ผู้เสพสารในทันทีแต่สาระสารที่สื่อสารเป็นเพียงเครื่องมือที่ทำให้เกิดผลตามมาอย่างช้า ๆ ใน อนาคต การสื่อสารที่มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการใช้เป็นเครื่องมือทำให้เกิดผลทางอ้อมนี้มักจะเป็น เรื่องราวหรือข้อมูลข่าวสารเชิงลึก และเรื่องราวหรือข้อมูลข่าวสารที่ต้องติดตามต่อเนื่อง ซึ่งนำไปสู่ การคิดวิเคราะห์หรือการวิพากษ์วิจารณ์ซึ่งเรียกว่าเป็นประเภทข่าวสารหนัก (hard news) เช่น เรื่องราวข่าวสารทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมืองการปกครอง บทความต่าง ๆ ที่ผู้รับสารต้อง นำไปคิดวิเคราะห์วิพากษ์วิจารณ์หรือนำไปถกแถลงแลกเปลี่ยนกับผู้อื่นต่อซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจาก การสื่อสารนั้น ๓. วัตถุประสงค์ที่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพัฒนาจากการสื่อสาร คือ วัตถุประสงค์หรือจุดมุ่งหมายของการสื่อสาร ที่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพัฒนาขึ้นในตัวของผู้ สื่อสารจากการสื่อสารนั้น โดยเฉพาะเกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวผู้รับสารในด้านความรู้ความคิด ทัศนคติหรือพฤติกรรม เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาทางสังคมวัฒนธรรมและคุณภาพชีวิต โดยมุ่งเปลี่ยนแปลงพัฒนากลุ่มหรือสังคมมากกว่าการเปลี่ยนแปลงเฉพาะในตัวบุคคล แต่ต้องเริ่ม จากการเปลี่ยนแปลงในตัวบุคคล เพราะการเปลี่ยนแปลงพัฒนากลุ่มหรือสังคมต้องเริ่มจากการ เปลี่ยนแปลงความรู้สึกนึกคิดและพฤติกรรมของคนในสังคมเป็นเบื้องต้นองค์กรต่าง ๆ มักจะมี วัตถุประสงค์ในการสื่อสารเพื่อการเปลี่ยนแปลง โดยมุ่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นภายในตัวบุคคล ใน ๓ ด้านด้วยกัน ได้แก่๓๓ ๑. วัตถุประสงค์ที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงในเรื่องของความรู้(knowledge change) เป็นการสื่อสารที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวผู้รับสาร ทางด้านความรู้ความเข้าใจ ให้ดีขึ้น มากขึ้น ถูกต้องขึ้น กว้างขึ้น ลึกซึ้งขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการคิดวิเคราะห์การ เลือก การตัดสินใจ ความรู้สึกนึกคิดและการกระทำในทิศทางที่มีการพัฒนามากขึ้น ๒. วัตถุประสงค์ที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงในเรื่องของทัศนคติ(attitude change)เป็น การสื่อสารที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวผู้รับสาร ทางด้านทัศนคติที่มีต่อสิ่งหนึ่ง สิ่งใดหรือเรื่องหนึ่งเรื่องใด หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์ความรู้สึก ค่านิยมคุณธรรม จริยธรรม ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงพัฒนาทางด้านจิตใจที่อยู่ภายในตัวคน ซึ่งจะนำไปสู่การ เปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพและพฤติกรรมประจำตัวของบุคคลในที่สุด ๓. วัตถุประสงค์ที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงในเรื่องของพฤติกรรม (behavior or performance change) เป็นการสื่อสารที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวผู้รับสาร ทางด้านพฤติกรรม การกระทำ ทักษะการปฏิบัติให้เปลี่ยนแปลงพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นและพึง ประสงค์ วัตถุประสงค์ของการสื่อสารเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพัฒนาด้านความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึกนึกคิด และพฤติกรรมประจำตัวนี้เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ค่อนข้างยากและต้องใช้เวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงทางด้านความรู้สึกนึกคิดหรือจิตใจและด้านพฤติกรรมที่เป็น นิสัยประจำตัว แต่ก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยอาศัยการสื่อสารที่ต่อเนื่องและใช้เทคนิควิธีการ สื่อสารที่เหมาะสม ๓๓ กิติมา สุรสนธิ. ความรู้ทางการสื่อสาร. หน้า ๓๑ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๗
๑๘ ๑.๖.๒ การจำแนกประเภทของการสื่อสาร การจำแนกประเภทของการสื่อสารในทางนิเทศศาสตร์นั้น อาจจัดแบ่งได้หลายรูปแบบ และหลายประเภทที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการจำแนก ซึ่งเกณฑ์ที่ใช้จัดแบ่ง ประเภทแตกต่างกันทำให้มีผลของการจัดแบ่งประเภทแตกต่างกันออกไป แต่โดยทั่วไปการจัดแบ่ง ประเภทของการสื่อสารจะพิจารณาตามหลักเกณฑ์ประการใดประการหนึ่งหรือหลายประการ ต่อไปนี้คือ๓๔ ๑. จำแนกประเภทตามลักษณะของสื่อภาษาที่ใช้แทนสาร อาจจัดแบ่งได้เป็นการ สื่อสารด้วยวัจนภาษา และการสื่อสารด้วยอวัจนภาษา หรือจัดแบ่งประเภทเป็นการสื่อสารด้วย ภาษาพูดหรือภาษาเสียงที่รับรู้สารด้วยการฟัง การสื่อสารด้วยภาษาเขียนหรือภาษาภาพที่รับรู้สาร ด้วยการอ่าน การสื่อสารด้วยภาษาท่าทางหรือภาษากายที่รับรู้สารได้ด้วยการดู ๒. จำแนกประเภทตามประเภทของสื่อที่ใช้เป็นเครื่องมือส่งสาร อาจจะจัดแบ่งประเภท ได้เป็นการสื่อสารโดยการใช้สื่อธรรมชาติสื่อบุคคล สื่อสิ่งพิมพ์สื่ออิเล็กทรอนิกส์และสื่อระคน ๓. จำแนกประเภทตามระยะห่างระหว่างคู่สื่อสาร อาจจัดแบ่งประเภทได้เป็นการ สื่อสารแบบเห็นหน้า และการสื่อสารแบบไม่เห็นหน้า หรือการสื่อสารแบบเผชิญหน้า และการ สื่อสารผ่านสื่อ ๔. จำแนกประเภทตามความแตกต่างระหว่างคู่สื่อสาร เช่น แบ่งเป็นการสื่อสารระหว่าง เชื้อชาติการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรม การสื่อสารระหว่างประเทศ ๕. จำแนกประเภทตามจำนวนผู้สื่อสาร อาจจัดแบ่งประเภทได้เป็นการสื่อสารภายใน บุคคล การสื่อสารระหว่างบุคคล การสื่อสารกลุ่มเล็ก การสื่อสารกลุ่มใหญ่ การสื่อสารในที่ สาธารณะ การสื่อสารในองค์การ การสื่อสารมวลชน ๖. จำแนกประเภทตามสาขาวิชาการ อาจแบ่งประเภทเป็นสาขาวิชาการด้านต่าง ๆ เช่น ประเภทการสื่อสารด้านระบบข่าว ด้านการสื่อสารระหว่างบุคคล ด้านการสื่อสารมวลชน ด้าน การสื่อสารองค์การ ด้านการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรม ด้านการสื่อสารการเมือง ด้านการสื่อสาร การสอน ด้านการสื่อสารสาธารณสุข การจัดแบ่งประเภทของการสื่อสาร โดยใช้เกณฑ์ต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้นเป็นหลักในการ จัดแบ่ง จะเห็นได้ว่าสามารถจัดแบ่งประเภทของการสื่อสารออกเป็นการสื่อสารประเภทต่างๆ หลากหลาย และประเภทของการสื่อสารที่จัดแบ่งโดยใช้เกณฑ์การแบ่งประเภทหนึ่งเป็นหลัก อาจจะจัดเป็นการสื่อสารอีกประเภทหนึ่งในการจัดแบ่งตามเกณฑ์อีกเกณฑ์หนึ่งก็ได้เช่น การที่ นักข่าวรอยเตอร์รายงานข่าวการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จัดเป็นประเภทการสื่อสาร โดยใช้วัจนภาษาและอวัจนภาษา ประเภทการสื่อสารด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์ประเภทการสื่อสาร การเมือง ประเภทการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรม ประเภทการสื่อสารมวลชน เป็นต้น นอกจากนั้น การสื่อสารประเภทต่าง ๆ ที่จัดแบ่งจะมีเป้าหมายหรือจุดมุ่งหมายเฉพาะของการสื่อสารที่แตกต่าง กันออกไปในแต่ละประเภท อาจจะสรุปเป็นแผนภูมิแสดงประเภทการสื่อสารตามเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ใช้ ในการแบ่งได้ ๓๔ ปรมะ สตะเวทิน. หลักนิเทศศาสตร์. หน้า ๓๔ ๑๘ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๑๙ ๑.๖.๓ ประเภทของการสื่อสารจำแนกตามสื่อภาษา สื่อที่เป็นภาษาเป็นสื่อที่ใช้เป็นรหัสสาร เพื่อส่งให้ผู้รับสารรับสัมผัสหรือรับรู้สารได้ทางหู ตา หรืออวัยวะรับสัมผัสได้สื่อภาษาที่ใช้เป็นรหัสสารแบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภท คือ วัจนภาษา ได้แก่ ภาษาพูดและภาษาเขียน กับอวัจนภาษา ซึ่งอาจเป็นภาษาเสียง ภาษาภาพ ภาษากาย ภาษา กลิ่น ภาษารส ที่สามารถสื่อสารให้ผู้รับสารรับรู้และเข้าใจได้เช่น เสียงสูงต่ำ หนักเบา เสียงดนตรี (ภาษาเสียง) กริยา สีหน้า ท่าทาง การสัมผัส การเต้นระบำ การแสดง (ภาษากาย) การวาดภาพ รูป คนติดยา รูปหัวใจ (ภาษาภาพ) กลิ่นหอม กลิ่นเหม็น กลิ่นไหม้กลิ่นผลไม้กลิ่นน้ำหอม (ภาษากลิ่น) รสหวาน รสขม รสเค็ม (ภาษารส) ๓๕ ประเภทของการสื่อสารถ้าพิจารณาถึงภาษาที่ใช้เป็นสื่อในการสื่อสารเป็นเกณฑ์ในการ จำแนกประเภท จะสามารถแบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภทใหญ่ ๆ คือ การสื่อสารด้วยวัจนภาษาและ การสื่อสารด้วยอวัจนภาษา ๑. การสื่อสารด้วยวัจนภาษา (verbal communication) หมายถึงการสื่อสารที่ใช้ ภาษาพูดหรือภาษาเขียนเป็นสื่อในการถ่ายทอดสาร โดยที่ผู้ส่งสารจะถ่ายทอดสารด้วยการพูดหรือ การเขียน และผู้รับสารจะรับรู้สารด้วยการฟังหรือการอ่าน ดังนั้นทักษะสำคัญสำหรับคู่สื่อสารใน การการสื่อสารด้วยวัจนภาษาได้แก่ ทักษะการฟัง ทักษะการพูด ทักษะการอ่าน และทักษะการ เขียน ๒. การสื่อสารด้วยอวัจนภาษา (nonverbal communication) หมายถึง การสื่อสารที่ ใช้ภาษาสัญลักษณ์อื่น ๆ ที่มีความหมาย นอกเหนือจากคำพูดหรือคำเขียนที่เป็น วัจนภาษา ได้แบ่งอวัจนภาษาออกได้เป็น ๗ ประเภท ได้แก่ เทศภาษา กาลภาษา เนตรภาษา อาการภาษา สัมผัสภาษา วัตถุภาษา และปริภาษา๓๖ ๒.๑ เทศภาษา (proxemics) หมายถึง ลักษณะของสถานที่ ระยะห่างของการนั่งและ ตำแหน่งที่นั่ง เทศภาษาเหล่านี้จะเป็นตัวบ่งบอกถึงลักษณะพฤติกรรม ความสัมพันธ์ความสำคัญ ของบุคคล ตลอดจนวัฒนธรรมของบุคคลในการสื่อสาร เช่น ถ้าเราสนทนากับเพื่อนที่สนิทสนมกัน ระยะห่างของเราจะมีน้อย แต่ถ้าเราสนทนากับบุคคลที่เราไม่ค่อยสนิทสนมจะมีระยะห่างมากกว่า ๒.๒ กาลภาษา (chronemics) หมายถึง เวลาที่การรับส่งสารเกิดขึ้น หรือเวลาที่ใช้ ในการรับส่งสาร ได้แก่ช่วงเวลา ระยะเวลา การตรงต่อเวลา การให้ความสำคัญต่อเวลา เวลาในแต่ ละช่วงจะสื่อความหมายแตกต่างกัน เช่น การมีเสียงโทรศัพท์ดังในยามวิกาลจะทำให้ผู้รับรู้สึกวิตก กังวล ตื่นเต้น หรือหวาดกลัว เพราะโดยปกติแล้วในยามวิกาลจะไม่นิยมโทรศัพท์ถึงกันยกเว้นกรณีมี เรื่องด่วนหรือเรื่องสำคัญมาก ๒.๓ เนตรภาษา (oculesics) หมายถึง อวัจนภาษาที่เกิดจากการใช้ดวงตา หรือสายตา เพื่อสื่ออารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของผู้พูด ในการสนทนากันทั้งผู้พูดและผู้ฟังมักจะมองหน้ากัน เวลา มองหน้านั้นจุดสำคัญคือดวงตา ความรู้สึกภายในของมนุษย์มักแสดงออกมาทางดวงตาและเป็นการ แสดงที่ชัดเจนที่สุดยากที่จะกลบเกลื่อน ลักษณะของการใช้สายตาของบุคคลในการสื่อสารระหว่าง กันจะแตกต่างกันไปตามสภาพอารมณ์หรือวัตถุประสงค์เช่น ผู้พูดมีอารมณ์โกรธไม่พอใจ สายตา ๓๕ แวอาซีซะห์ดาหะยี. ศิลปะการใช้ภาษาเพื่องานนิเทศศาสตร์. (สงขลา : เทมการพิมพ์. ๒๕๕๓), หน้า ๘. ๓๖ สวนิต ยมาภัย. “อวัจนภาษา”. การใช้ภาษาไทย. (ฉบับปรับปรุง) หน่วยที่ ๑-๘. พิมพ์ครั้งที่ ๓. (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ๒๕๔๐) หน้า ๓๖. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๙
๒๐ จะดูแข็งกร้าว เย็นชา ๒.๔ อาการภาษา (kinesics) หมายถึง อวัจนภาษาในรูปของการเคลื่อนไหวร่างกาย เพื่อสื่อความหมาย ได้แก่การเคลื่อนไหวศีรษะ แขน ขา มือ ท่าทาง เป็นต้น อาการภาษาที่มนุษย์ ใช้กันอยู่จะมีแตกต่างกันตามลักษณะธรรมชาติของบุคคล การศึกษาอบรม ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรมของสังคม เช่น สังคมไทยพบกันจะยกมือไหว้เป็นอาการภาษาที่สื่อถึงความเคารพ ทักทาย สังคมตะวันตกจะสัมผัสมือเป็นการทักทาย ๒.๕ สัมผัสภาษา (haptics) หมายถึง อวัจนภาษาที่ใช้อาการสัมผัสเป็นตัวสื่อความรู้สึก อารมณ์ตลอดจนความหมายจากผู้ส่งสารไปยังผู้รับสาร สัมผัส ภาษา ที่มนุษย์ใช้ย่อมแตกต่างกัน ตามลักษณะธรรมชาติของมนุษย์การเลี้ยงดูและวัฒนธรรมของสังคมในแต่ละสังคมสังคมตะวันตก ใช้สัมผัสภาษาในวงกว้างกว่าสังคมตะวันออก เช่น สังคมตะวันตกจะทักทายด้วยการสัมผัสมือแม้ว่า จะเพิ่งรู้จักกัน การโอบกอดในที่สาธารณะไม่ได้เป็นเรื่องแปลกสำหรับสังคมตะวันตก แต่สำหรับ สังคมตะวันออกหรือสังคมไทยนั้น การใช้สัมผัสภาษามีขอบเขตจำกัดกว่าเช่น การโอบกอดแสดง ความรักจะไม่นิยมแสดงในที่สาธารณะ เป็นต้น ๒.๖ วัตถุภาษา (objectics) หมายถึง อวัจนภาษาที่เกิดจากการเลือกวัตถุมาแสดงเพื่อ สื่อความหมายหรือส่งสารที่ต้องการสื่อ วัตถุภาษาในที่นี้หมายรวมถึงเสื้อผ้าเครื่องประดับ เครื่องใช้ ต่าง ๆ เป็นต้น เสื้อผ้าที่แต่ละคนนำมาใช้ในการแต่งกายไม่ว่าจะเป็นรูปทรงขนาด สีลักษณะของผ้า ล้วนเป็นอวัจนภาษาที่บ่งบอกความหมายบางประการอยู่ในตัว ลักษณะและราคาของผ้าก็จะบ่ง บอกถึงฐานะของผู้สวมใส่ด้วย ๒.๗ ปริภาษา (paralanguage) หมายถึง อวัจนภาษาที่เกิดจากการใช้น้ำเสียงประกอบ คำพูด น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นไม่ใช่ถ้อยคำ แต่แนบสนิทโดยรอบของถ้อยคำจนยากที่จะแยกออก จากถ้อยคำได้น้ำเสียงในการสื่อสารระหว่างบุคคล ได้แก่ความสูงต่ำของเสียง จังหวะช้าเร็วในการ พูด ความดังหรือเบาของเสียง น้ำเสียงเหล่านี้จะเป็นตัวสื่อให้รู้ว่าผู้พูดมีอารมณ์หรือความรู้สึกเช่นใด เช่น การพูดเสียงดังแสดงถึงความมีอำนาจหรือต้องการใช้อำนาจ ส่วนการพูดเสียงเบาแสดงถึง ความไม่มั่นใจ เป็นต้น ๑.๖.๔ ประเภทของการสื่อสารจำแนกตามลักษณะของสื่อ การจำแนกประเภทของการสื่อสารโดยใช้ลักษณะของสื่อที่ใช้ในการสื่อสารเป็นเกณฑ์ ในการจัดประเภท ได้สรุปการจัดแบ่งประเภทของสื่อตามลักษณะของสื่อออกเป็น ๕ ประเภท ได้แก่ สื่อธรรมชาติสื่อบุคคล สื่อสิ่งพิมพ์สื่ออิเล็กทรอนิกส์และสื่อระคนซึ่งสามารถอธิบายรายละเอียด ได้ดังนี้๓๗ ๑. การสื่อสารด้วยสื่อธรรมชาติเป็นการถ่ายทอดสารโดยใช้สภาพธรรมชาติเป็นสื่อแทน สาร เช่น สภาพธรรมชาติของคลื่นลม ดินฟ้าอากาศ ทะเล ภูเขา ดอกไม้แสง เสียง เป็นต้นสื่อ ธรรมชาติดังกล่าวจะมีลักษณะเป็นอวัจนภาษา คือไม่ได้เป็นคำพูดหรือคำเขียน แต่มีความหมายที่ใช้ สื่อสารเข้าใจกันได้สื่อธรรมชาติส่วนใหญ่จะสื่อให้รับรู้หรือเกิดอารมณ์ความรู้สึกตามสภาพ ธรรมชาตินั้น ตัวอย่างเช่น ในการถ่ายทำภาพยนตร์จะใช้สื่อธรรมชาติประกอบ ฉากดอกไม้ผีเสื้อ ๓๗ ภากิตติ์ตรีสุกล, หลักนิเทศศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ ๗. (นนทบุรี: เฟิร์นข้าหลวง พริ้นติ้งแอนด์พับ ลิชชิ่ง. ๒๕๕๔), หน้า ๘๑. ๒๐ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๒๑ และแสงแดดสื่อถึงความเบิกบานสดใส ฉากเมฆฝนและคลื่นลมที่รุนแรงสื่อถึงอันตรายหรือความน่า สะพรึงกลัว ฉากความมืดและนกเค้าแมวของยามค่ำคืนสื่อถึงความวังเวงน่ากลัว ทำให้ผู้ชมเกิดการ รับรู้และเกิดอารมณ์ความรู้สึกได้ตรงกัน โดยไม่ต้องใช้คำพูดหรือคำเขียนสื่อสาร ๒. การสื่อสารด้วยสื่อบุคคล เป็นการถ่ายทอดสารโดยการใช้บุคคลเป็นสื่อ เช่นการใช้ พิธีกร ผู้บรรยาย พรีเซนเตอร์ดารา ฯลฯ สื่อบุคคลนอกจากจะเป็น ผู้ถ่ายทอดเนื้อหาสาระสารไป ยังผู้รับสารโดยใช้ภาษาพูดและหรือภาษาท่าทางแล้ว ตัวบุคคลเองนั้นเองก็เป็นสื่อที่มีความหมาย แทนสารที่ต้องการสื่อด้วย เช่น การใช้ชายหนุ่มที่มีหุ่นบึกบึนกำยำสื่อถึงความแข็งแรงหรือ พละกำลัง การใช้หญิงสาวผมยาวสลวยสื่อถึงประสิทธิภาพของยาสระผมที่โฆษณา การใช้พิธีกร สื่อสารด้วยสำเนียงท้องถิ่น (ภาษาถิ่นใต้ภาษาถิ่นเหนือ ภาษาถิ่นอีสาน) สื่อถึงความเป็นภูมิภาค การใช้ดาราวัยรุ่นที่มีภาพลักษณ์ดีสื่อถึงพฤติกรรมที่พึงประสงค์ เป็นต้น ผู้รับสารจะรับรู้สารที่ สื่อสารผ่านสื่อบุคคลได้ด้วยการฟังและการดู ๓. การสื่อสารด้วยสื่อสิ่งพิมพ์เป็นการถ่ายทอดสารโดยการใช้เอกสารสิ่งพิมพ์เป็นสื่อ เช่น หนังสือพิมพ์หนังสือ วารสาร จุลสาร นิตยสาร หรือเอกสารสิ่งพิมพ์ในรูปแบบอื่น ๆ ผู้รับสาร จะรับรู้สารที่สื่อสารผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ได้ด้วยการอ่านและการดู ๔. การสื่อสารด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เป็นการถ่ายทอดสารโดยการใช้เครื่อง อิเล็กทรอนิกส์เป็นสื่อ โดยส่งผ่านช่องทางวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ ภาพยนตร์และ อินเทอร์เน็ต ซึ่งจัดเป็นสื่อใหม่ ผู้รับสารสามารถรับรู้สารที่สื่อสารผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้ด้วยการ ฟัง การอ่าน การดู ๕. การสื่อสารด้วยสื่อระคน เป็นการถ่ายทอดสารโดยการใช้เครื่องมือหรือสื่ออื่น ๆ ที่ไม่ สามารถจัดอยู่ในสื่อทั้ง ๔ ประเภทข้างต้นได้การสื่อสารด้วยสื่อระคน เช่น ศิลาจารึก สื่อพื้นบ้าน เป็นต้น ๑.๖.๕ ประเภทของการสื่อสารจำแนกตามระยะทางระหว่างคู่สื่อสาร การจำแนกประเภทของการสื่อสารตามระยะทางระหว่างคู่สื่อสารเป็นเกณฑ์ในการจัด ประเภท จะพิจารณาถึงการอยู่ใกล้ไกลระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสาร จัดประเภทของการสื่อสาร จำแนกตามระยะทางระหว่างคู่สื่อสารออกเป็น ๒ ประเภท คือ การสื่อสารแบบเผชิญหน้าหรือการ สื่อสารแบบเห็นหน้า และการสื่อสารผ่านสื่อหรือการสื่อสารแบบไม่เห็นหน้า๓๘ ๑. ก ารสื่อส ารแบบเผชิญ หน้ าห รือก ารสื่อส ารแบบเห็นหน้ า (face-to-face communication) เป็นการสื่อสารที่ผู้ส่งสารและผู้รับสารอยู่ใกล้กัน มองเห็นหน้าและกริยาท่าทาง ซึ่งกันและกัน ได้ยินเสียงซึ่งกันและกัน สื่อสารในเวลาและสถานที่เดียวกัน และแสดงปฏิกิริยาตอบ โต้กันได้โดยตรงในขณะที่ทำการสื่อสารนั้นโดยไม่ต้องส่งสารผ่านสื่ออื่นใด ตัวอย่างการสื่อสารแบบ เผชิญหน้า เช่น การสนทนาพูดคุยกันต่อหน้า การประชุมสัมมนา การเรียนการสอนในห้องเรียน ซึ่ง จะเป็นลักษณะที่ผู้ส่งสารและผู้รับสารสามารถสื่อสารตอบโต้กันได้โดยตรงและทันทีทันใด ๒. การสื่อสารผ่านสื่อหรือการสื่อสารแบบไม่เห็นหน้า(interposed communication) เป็นการสื่อสารที่ผู้ส่งสารและผู้รับสารอยู่ห่างไกลกัน หรืออยู่คนละที่ส่งสารและรับสารคนละที่หรือ คนละเวลากัน โดยที่ไม่ได้พบปะเห็นหน้ากัน ไม่สามารถสื่อสารโต้ตอบระหว่างกันได้โดยตรงแต่ผู้ส่ง สารและผู้รับสารต้องอาศัยการสื่อสารผ่านสื่อต่าง ๆ เช่น การเขียนจดหมายถึงกัน การสื่อสารผ่าน สื่อสิ่งพิมพ์การสื่อสารผ่านทางโทรศัพท์และโทรเลขที่เป็นสื่อโทรคมนาคม การสื่อสารทาง วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์หรืออินเตอร์เน็ตที่เป็นสื่ออิเล็กทรอนิกส์เป็นต้น ๓๘ ปรมะ สตะเวทิน. หลักนิเทศศาสตร์. หน้า ๓๘ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๒๑
๒๒ ๑.๖.๖ ประเภทของการสื่อสารจำแนกตามจำนวนผู้สื่อสาร การจำแนกประเภทของการสื่อสารตามจำนวนผู้สื่อสาร เป็นการจำแนกประเภทของ การสื่อสาร โดยใช้จำนวนของผู้ส่งสารและผู้รับสารเป็นเกณฑ์พิจารณาในการจัดแบ่งประเภท จำนวนของผู้สื่อสารในกระบวนการสื่อสารอาจจะมีจำนวนผู้สื่อสารเพียงคนเดียวโดยไม่มีคู่สื่อสารก็ ได้เรียกว่าการสื่อสารภายในบุคคล หรือเป็นคู่สื่อสารที่มีจำนวนตั้งแต่สองคนขึ้นไปจนถึงหลาย ๆ คนก็ได้ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายและรูปแบบของการสื่อสารครั้งนั้น ๆ หรือเรื่องนั้น ๆ ว่าต้องการ สื่อสารระหว่างคนใดหรือกลุ่มใด การจัดประเภทของการสื่อสารจำแนกตามระยะทางระหว่างคู่ สื่อสารออกเป็นหลายประเภทด้วยกัน แต่อาจสรุปรวมได้เป็น ๕ ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่๓๙ ๑. การสื่อสารภายในบุคคล (intrapersonal communication) เป็นการสื่อสารที่ เกิดขึ้นภายในตัวบุคคลคนเดียว ไม่มีคู่สื่อสารแต่ตัวบุคคลนั้นจะเป็นทั้งผู้ส่งสารและผู้รับสาร โดยที่ การสื่อสารภายในบุคคลนี้จะเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นจากการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง คือระบบสมอง เริ่มตั้งแต่การที่บุคคลรับสัมผัส สิ่งต่าง ๆ รอบตัวผ่านหูตา จมูก ลิ้น ผิวกาย แปล ความหมายของสิ่งที่รับสัมผัสโดยอาศัยประสบการณ์เดิม เกิดการรับรู้ความคิด และอารมณ์ ความรู้สึกขึ้นในตัว นำ ไปสู่พฤติกรรมตอบสนองต่อสิ่งที่รับสัมผัสและรับรู้นั้นการสื่อสารภายใน บุคคลจะเป็นพื้นฐานของการสื่อสารประเภทอื่น ๆ ด้วย๔๐ ๒. การสื่อสารระหว่างบุคคล (interpersonal communication) เป็นการสื่อสาร ระหว่างบุคคลอย่างน้อยสองคนหรือมากกว่าที่เป็นคู่สื่อสารกัน โดยฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ส่งสารและอีกฝ่าย หนึ่งเป็นผู้รับสาร และคู่สื่อสารจะมีการผลัดเปลี่ยนกันเป็นผู้รับสารและผู้ส่งสารในกระบวนการ สื่อสารนั้น เช่น การสื่อสารโดยจดหมาย การโทรศัพท์การพูดคุยสนทนา การปรึกษาหารือระหว่าง กัน เป็นต้น การสื่อสารระหว่างบุคคลจะเป็นการสื่อสารแบบเห็นหน้าหรือเผชิญหน้าและมี ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันเป็นส่วนใหญ่ จะมีลักษณะของความเป็นส่วนตัวสูง และมีความสัมพันธ์ ใกล้ชิดระหว่างคู่สื่อสารอยู่ในตัวด้วย อย่างไรก็ตามระดับความสัมพันธ์และลักษณะการสื่อสาร ระหว่างคู่สื่อสารจะมีความแตกต่างกันออกไปในรายละเอียด เช่น การสื่อสารระหว่างบุคคลทั่วไป ระหว่างเพื่อน ระหว่างครูกับนักเรียน ระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ หรือระหว่างแม่กับลูก จะแตกต่างกัน ในลักษณะการสื่อสารและระดับความสัมพันธ์ระหว่างคู่สื่อสาร ๓. การสื่อสารกลุ่ม (group communication) เป็นการสื่อสารระหว่างบุคคลจำนวน มากกว่า ๒ คน ที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มหรือเป็นทีม อย่างเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการโดยมี วัตถุประสงค์ที่จะทำงานหรือดำเนินกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งร่วมกันในสมาชิกกลุ่มนั้น ๆ การ สื่อสารกลุ่มอาจจะเป็นการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจ เพื่อจูงใจ เพื่อเสนอความคิดเห็น หรือเพื่อ สั่งการ ลักษณะของการสื่อสารกลุ่มจะเป็นการสื่อสารถึงกันโดยตรงระหว่างคู่สื่อสาร มี ความสัมพันธ์กับโครงสร้างและบทบาทของสมาชิกในกลุ่ม เช่น ผู้นำ สมาชิก ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบใน แต่ละส่วนของงานกลุ่ม และสมาชิกในกลุ่มจะมีความสัมพันธ์กันโดยบทบาทหน้าที่มากกว่าโดยส่วน ตัวอย่างประเภทการสื่อสารระหว่างบุคคล การสื่อสารกลุ่มอาจจะแบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภทย่อย ๆ ได้แก่ ๓๙ ปรมะ สตะเวทิน. หลักนิเทศศาสตร์. หน้า ๓๖ ๔๐ สุรัตน์ตรีสุกล. หลักนิเทศศาสตร์. หน้า ๔๔. ๒๒ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๒๓ ๓.๑ การสื่อสารกลุ่มเล็ก (small group communication) เป็นการสื่อสารกลุ่มเล็กๆ ที่มีจำนวนสมาชิกไม่มาก สามารถสื่อสารโต้ตอบกันระหว่างสมาชิกในกลุ่มได้โดยตรงแบบตัวต่อตัว มีลักษณะเป็นการสื่อสารสองทางที่ทุกคนหมุนเวียนเป็นผู้รับสารและผู้ส่งสารในกระบวนการสื่อสาร นั้น และจะมีลักษณะเป็นการสื่อสารแบบไม่เป็นทางการ หรือแบบกึ่งทางการมากกว่าแบบเป็น ทางการ เช่น การสื่อสารในครอบครัว กลุ่มผู้บริหารองค์กร กลุ่มคณะกรรมการหรือทีมงานต่าง ๆ ที่ เป็นกลุ่มขนาดเล็กมีจำนวนสมาชิกประมาณ ๓ – ๑๒คน๔๑ ๓.๒ การสื่อสารกลุ่มใหญ่ (large group communication) เป็นการสื่อสารกลุ่มที่ มีสมาชิกมากกว่ากลุ่มเล็ก ไม่เอื้อต่อการสื่อสารโต้ตอบกันโดยตรงแบบตัวต่อตัวระหว่างสมาชิก จะมี ลักษณะเป็นการสื่อสารทางเดียวที่ฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ส่งสารและอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้รับสารค่อนข้างชัดเจน แต่ก็สามารถสื่อสารตอบโต้ระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสารได้ระดับหนึ่ง เช่น มีการซักถามหรือร่วม แสดงความคิดเห็นจากผู้รับสารได้บ้าง ตัวอย่างเช่น การอภิปรายหรือการปาฐกถา การบรรยายหรือ การสอนกลุ่มใหญ่การประชุมกลุ่มใหญ่ เป็นต้น ๔. การสื่อสารในองค์การ (organization communication) เป็นกระบวนการ แลกเปลี่ยนข่าวสารระหว่างบุคคลในองค์กรทุกระดับ ทุกหน่วยงาน โดยบุคคลที่สื่อสารระหว่างกัน ในองค์กรนั้นจะมีความสัมพันธ์ระหว่างกัน ภายใต้สภาพแวดล้อม บรรยากาศ และบริบทขององค์กร นั้น ๆ๔๒ การสื่อสารในองค์การนอกจากจะมีวัตถุประสงค์ทั่วไปเพื่อให้สมาชิกได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ เกี่ยวข้องกับสมาชิกหรือเกี่ยวข้องกับองค์กรแล้ว ยังมีวัตถุประสงค์เฉพาะที่ต้องการให้เกิดผลลัพธ์ อย่างใดอย่างหนึ่งจากการสื่อสารครั้งนั้นโดยตรงทันทีหรือต้องการใช้การสื่อสารเป็นเครื่องมือ นำไปสู่ผลที่ต้องการในระยะยาว การสื่อสารในองค์การจะใช้รูปแบบการสื่อสารทุกรูปแบบและทุก ประเภท ทั้งที่เป็นการสื่อสารภายในบุคคล การสื่อสารระหว่างบุคคล การสื่อสารกลุ่ม รวมทั้งการ สื่อสารมวลชน เพราะการดำเนินกิจการขององค์กรจะเกี่ยวข้องกับตัวบุคคล กลุ่มต่าง ๆ ในองค์กร รวมทั้งเรื่องของสังคมภายนอก และการสื่อสารในองค์การจะมีการใช้สื่อและช่องทางการสื่อสาร หลากหลาย ทั้งสื่อธรรมชาติสื่อบุคคล สื่อสิ่งพิมพ์สื่ออิเล็กทรอนิกส์และสื่อระคน รูปแบบการ สื่อสารในองค์การจะมีทั้งแบบการสื่อสารทางเดียว และการสื่อสารสองทาง ๕. การสื่อสารมวลชน (mass communication) เป็นการสื่อสารที่ผู้ส่งสารถ่ายทอด สารผ่านสื่อมวลชน (mass media) ไปยังประชาชนหรือมวลชนทั่วไปให้รับรู้ทุกคนสามารถเข้าถึง ข้อมูลข่าวสารที่ถ่ายทอดนั้นได้โดยทั่วไป ไม่จำเพาะเจาะจงเฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือเฉพาะ องค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่เป็นข้อมูลข่าวสารที่เป็นสาธารณะและเป็นที่สนใจของประชาชน ๑.๖.๗ ประเภทของการสื่อสารจำแนกตามสาขาวิชาการ การจำแนกประเภทของการสื่อสารตามสาขาวิชาการ เป็นการจำแนกประเภทของ การสื่อสารโดยที่เกณฑ์ทางด้านวิชาการเป็นหลักในการแบ่ง โดยพิจารณาถึงเนื้อหาวิชาการว่า เกี่ยวข้องกับสาขาวิชาใดในทางนิเทศศาสตร์และการสื่อสาร แบ่งประเภทของการสื่อสารตาม สาขาวิชาการออกเป็น ๘ ด้าน ได้แก่๔๓ ๑. ด้านระบบข่าว (information system) ระบบข่าวสารเป็นสาขาวิชาการหนึ่งของ ๔๑ สุรัตน์ตรีสุกล. หลักนิเทศศาสตร์. หน้า ๔๕. ๔๒ กิติมา สุรสนธิ. ความรู้ทางการสื่อสาร. หน้า ๔๑. ๔๓ กิติมา สุรสนธิ. ความรู้ทางการสื่อสาร. หน้า ๕๒. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๒๓
๒๔ การสื่อสาร ที่มุ่งศึกษาถึงระบบการสื่อสารที่เกี่ยวข้องกับถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารในสังคม มีเนื้อหา สาระเกี่ยวกับแนวคิด ทฤษฎีและรูปแบบในการพัฒนาระบบการสื่อสารและระบบการจัดการด้าน ข่าวให้มีประสิทธิภาพ ทั้งในระดับกลุ่ม ระดับองค์กร ระดับสถาบัน ระดับประเทศ และระดับ นานาชาติซึ่งในระบบข่าวจะครอบคลุมตั้งแต่ระบบแหล่งข่าว ระบบการจัดหาจัดเก็บข้อมูลข่าวสาร จากแหล่งข่าว ระบบการสื่อข่าวหรือส่งข่าว ระบบการกระจายข่าว ฯลฯ ซึ่งความรู้ความเข้าใจใน เนื้อหาสาระด้านระบบข่าวนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการสื่อสารประเภทต่าง ๆ ได้โดยเฉพาะ อย่างยิ่งทางด้านการสื่อสารมวลชน ๒. ด้านการสื่อสารระหว่างบุคคล (interpersonal communication) การสื่อสาร ระหว่างบุคคลเป็นสาขาวิชาหนึ่งของการสื่อสาร ที่มุ่งศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการสื่อสารระหว่าง บุคคล ทั้งที่เป็นการสื่อสารระดับบุคคล การสื่อสารในกลุ่ม และการสื่อสารในองค์การ ซึ่งเป็นการ สื่อสารที่มีคู่สื่อสาร คือมีผู้ส่งสารและผู้รับสารในกระบวนการสื่อสารนั้นชัดเจน และคู่สื่อสารจะมี ความสัมพันธ์ระหว่างกัน เนื้อหาสาระด้านการสื่อสารระหว่างบุคคลจะเกี่ยวข้องกับแนวคิด ทฤษฎี รูปแบบของการสื่อสารระหว่างบุคคล องค์ประกอบและปัจจัยต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการสื่อสาร ระหว่างบุคคล พฤติกรรมการสื่อสารของผู้ส่งสารและผู้รับสาร เครื่องมือและสื่อภาษาที่ใช้ในการ สื่อสาร ทั้งวัจนภาษาและอวัจนภาษา รวมทั้งการสื่อสารเพื่อสร้างสรรค์ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ๓. ด้านการสื่อสารมวลชน (mass communication) การสื่อสารมวลชนเป็นสาขาวิชา หนึ่งของการสื่อสารที่ศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการถ่ายทอดสารจากผู้ส่งสารไปสู่ผู้รับสารจำนวนมาก หรือสู่มวลชนมีความแตกต่างหลากหลายทั้งด้านเพศ วัย การศึกษา เชื้อชาติศาสนา อาชีพ ฯลฯ ให้ ได้รับรู้สารพร้อม ๆ กัน โดยที่ผู้ส่งสารไม่ได้เป็นคู่สื่อสารกับผู้รับสารโดยตรง และไม่ได้เป็นที่รู้จักกัน เป็นส่วนตัว ข้อมูลข่าวสารด้านการสื่อสารมวลชนมีลักษณะเป็นข้อมูลข่าวสารสาธารณะ ถ่ายทอด ผ่านสื่อสารสาธารณะที่ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ตามความต้องการและความสนใจ มี ลักษณะเป็นการสื่อสารทางอ้อมผ่านสื่อต่าง ๆ เช่น สื่อสารผ่านหนังสือพิมพ์ หนังสือ นิตยสาร วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ภาพยนตร์หรืออินเตอร์เน็ตหน่วยผู้ส่งหรือถ่ายทอดสารด้านการ สื่อสารมวลชนมักจะอยู่ในรูปขององค์กรที่มีระบบ เนื้อหาสาระทางวิชาการทางด้านสื่อสารมวลชน จะเกี่ยวข้องกับแนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับการสื่อสารมวลชนหรือการสื่อสารสาธารณะ ระบบและ รูปแบบต่าง ๆ ของงานสื่อสารมวลชน โครงสร้างและบทบาทหน้าที่ขององค์กรสื่อสารมวลชน ตลอดจนช่องทางและเทคนิควิธีต่าง ๆ ที่ใช้ในการผลิตงานสื่อสารมวลชน ๔. ด้านการสื่อสารองค์การ (organization communication) การสื่อสารองค์การเป็น สาขาวิชาหนึ่งของการสื่อสาร ที่ศึกษาเกี่ยวกับระบบ รูปแบบ และพฤติกรรมการสื่อสารภายใน องค์กร ทั้งที่เป็นการสื่อสารระหว่างบุคคลที่เป็นสมาชิกในองค์กร การสื่อสารระหว่างกลุ่ม ต่าง ๆ ภายในองค์กร การสื่อสารระหว่างองค์กรกับสมาชิก รวมทั้งการสื่อสารระหว่างองค์กรกับ สาธารณชนภายนอก เนื้อหาสาระของการสื่อสารองค์กรจะกว้างขวางครอบคลุมการสื่อสาร ประเภทต่าง ๆ อาทิการสื่อสารโดยวัจนภาษาและอวัจนภาษา การสื่อสารผ่านสื่อธรรมชาติสื่อ บุคคล สื่อสิ่งพิมพ์สื่ออิเล็กทรอนิกส์และสื่อระคน การสื่อสารภายในตัวบุคคล การสื่อสารระหว่าง บุคคล การสื่อสารกลุ่ม การสื่อสารมวลชน ฯลฯ ซึ่งนำไปสู่พฤติกรรมการสื่อสารขององค์กรและ สมาชิกที่ก่อให้เกิดความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสมาชิกภายในองค์กรและความสัมพันธ์ ระหว่างองค์กรกับสาธารณชนภายนอก ๕. ด้านการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรม (intercultural communication) การสื่อสาร ระหว่างวัฒนธรรมเป็นสาขาวิชาการหนึ่งทางด้านการสื่อสารที่ศึกษาเกี่ยวกับการสื่อสารระหว่างคู่ สื่อสารที่ผู้ส่งสารและผู้รับสารมีพื้นฐานทางสังคมวัฒนธรรมแตกต่างกัน เช่น แตกต่างกันในเรื่องของ ๒๔ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๒๕ เชื้อชาติศาสนา ประเพณีวัฒนธรรม หรือวิถีชีวิต ซึ่งมีผลต่อการรับรู้และความคิดความเข้าใจในสาร ที่ถ่ายทอดระหว่างกัน การสื่อสารในสังคมพหุวัฒนธรรม ซึ่งประกอบด้วยผู้คนที่มีพื้นฐานทางสังคม วัฒนธรรมที่หลากหลายแตกต่างกัน เป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อน ถ้าคู่สื่อสารไม่มีความรู้ความ เข้าใจถึงพื้นฐานทางสังคมวัฒนธรรมของซึ่งกันและกัน ก็จะเกิดปัญหาการสื่อสารขึ้นและนำไปสู่ ความขัดแย้ง ทั้งในระดับบุคคล กลุ่ม สังคม ประเทศ หรือระหว่างประเทศ แทนที่การสื่อสารจะทำ ให้เกิดความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ขอบข่ายเนื้อหาสาระของการสื่อสารระหว่าง วัฒนธรรมจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของพื้นฐานและระบบของสังคมวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของคนใน พื้นที่หรือประเทศหรือภูมิภาคต่าง ๆ ที่ต้องติดต่อสัมพันธ์กันแบบสังคมพหุวัฒนธรรม เรื่องของการ เลื่อนไหลถ่ายทอดวัฒนธรรมระหว่างกันและผลกระทบจากการเลื่อนไหลทางวัฒนธรรมรวมทั้งเรื่อง ของการถ่ายทอด อนุรักษ์สืบสาน และเผยแพร่ทางด้านวัฒนธรรมในสังคมทุกระดับ ๖. ด้านการสื่อสารการเมือง (political communication) การสื่อสารการเมืองเป็น สาขาวิชาการหนึ่งทางด้านการสื่อสารที่ศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการสื่อสาร ทั้งในส่วนของผู้ส่งสาร เนื้อหาสาระสาร สื่อที่ใช้ในการสื่อสาร และตัวผู้รับสาร ที่มีอิทธิพลต่อการรับรู้ความคิดความเข้าใจ ทัศนคติค่านิยม วัฒนธรรม ตลอดจนพฤติกรรมทางการเมืองการปกครองของประชาชนในสังคม รวมทั้งการเผยแพร่หรือถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ทางด้านการเมืองการปกครอง และการมีส่วน ร่วมของประชาชนในทางการเมืองการปกครองด้วย การสื่อสารการเมืองจึงมีลักษณะเป็นการ สื่อสารมวลชน และเป็นการสื่อสารสาธารณะที่ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและมีส่วนร่วมใน กระบวนการสื่อสารการเมืองได้ ๗. ด้านการสื่อสารการสอน (instructional communication) การสื่อสารการสอน เป็นสาขาวิชาการหนึ่งทางการสื่อสารที่ศึกษาเกี่ยวกับการสื่อสารระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนใน กระบวนการเรียนการสอน มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับการนำศาสตร์ทางด้านการสื่อสารทั้งในเรื่องของ การใช้สื่อภาษา สื่อธรรมชาติสื่อบุคคล สื่อสิ่งพิมพ์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในกระบวนการ เรียนการสอนของครูและนักเรียน ทั้งในเรื่องของการวางระบบการสอน เทคโนโลยีการสอน การ ผลิตและการใช้สื่อการสอน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ นักเรียน สามารถรับรู้และเรียนรู้ในเรื่องที่ครูถ่ายทอดได้อย่างดีรวมทั้งเรื่องของการให้ผู้สอนและผู้เรียน สามารถใช้ระบบและกระบวนการสื่อสารในการเรียนการสอนได้ ๘. ด้านการสื่อสารสาธารณสุข (health communication) การสื่อสารสาธารณสุขเป็น สาขาวิชาหนึ่งทางการสื่อสารที่ศึกษาเกี่ยวกับการนำศาสตร์ทางด้านการสื่อสารไปใช้พัฒนางานด้าน การสาธารณสุข โดยการใช้การสื่อสารถ่ายทอดข้อมูลข่าวสาร ความรู้ความเข้าใจทัศนคติค่านิยม ความเชื่อ ที่เกี่ยวกับการสาธารณสุขหรือสุขภาพสู่ผู้รับสาร เพื่อโน้มน้าวจูงใจให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงความคิดความเข้าใจ ทัศนคติและพฤติกรรมทางด้านการสาธารณสุข เป็นการสื่อสารที่ จะนำไปสู่การป้องกันแก้ไขปัญหาและพัฒนาด้านการสาธารณสุขซึ่งเกี่ยวข้องทั้งในส่วนของสุขภาพ ส่วนบุคคลและการสาธารณสุขที่เป็นส่วนรวม ประเภทของการสื่อสารที่จำแนกตามสาขาวิชาการ นอกจากจำแนกตามสาขาวิชาการ ต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังขยายขอบข่ายคลอบคลุมไปยังสาขาวิชาการอื่น ๆ ได้ทุกสาขาวิชาเช่น การสื่อสารการเกษตร การสื่อสารการตลาด การสื่อสารสิ่งแวดล้อม การสื่อสารสุขภาพ การสื่อสาร ศาสนา ฯลฯ ทั้งนี้เพราะบทบาทหน้าที่ของสื่อในการสื่อสารเพื่อการพัฒนาด้านสังคมเศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง มีความเด่นชัดยิ่งขึ้นในยุดเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารเข้าไปมี บทบาทสำคัญในการพัฒนาในทุกสาขาวิชาการและวิชาชีพ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๒๕
๒๖ ๑.๗ การสื่อสารเชิงพุทธ การสื่อสารเชิงพุทธเป็นการสื่อสารที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสังคม มีหลักการและ แนวทางปฏิบัติที่สำคัญ คือ สื่อสารด้วยสติบนพื้นฐานของความเข้าใจและเคารพในตนเองและผู้อื่น บนหลักการของเหตุและผลตามความเป็นจริงก่อให้เกิดปัญญา สร้างสรรค์และนำไปสู่การกระทำที่ดี งามทั้งต่อตนเองและผู้อื่น เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เริ่มจากภายในตนเองของบุคคล แล้วกระจายไปสู่ สังคม ๑.๗.๑ ความหมายของการสื่อสารเชิงพุทธ จากหลักการและแนวทางปฏิบัติในทางพระพุทธศาสนา และวัตถุประสงค์ในการสื่อสาร เพื่อมุ่งให้เกิดประโยชน์ตามหลักการทางพระพุทธศาสนา นำมาขยายความความหมายของการ สื่อสารเชิงพุทธ ได้ดังนี้ การสื่อสารเชิงพุทธ หมายถึง การสื่อสารที่อยู่บนพื้นฐานของความเชื่อมั่นในศักยภาพ ในตนเองและของแต่ละบุคคล เชื่อมั่นในกฎของการกระทำซึ่งเป็นไปตามเหตุปัจจัยทำการสื่อสารทั้ง การสื่อสารกับตนเอง และการสื่อสารกับบุคคลอื่นที่เป็นการสื่อสารเชิงวัจนะและเชิงอวัจนะ ด้วย การเพียรสื่อสารไปในทางที่ดี เพียรระวังที่จะไม่ทำการสื่อสารไปในทางที่ไม่ดี ด้วยสติ ด้วยปัญญาใน แต่ละขณะที่ทำการสื่อสาร เพื่อให้ตนเองและผู้อื่นมีความสุข หรือเพื่อทำให้ชีวิตดีขึ้น เจริญขึ้นทั้งใน ส่วนที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม มีวิถีการดำเนินชีวิตที่ดีงาม และอยู่ร่วมกันในสังคมโดยไม่ เบียดเบียนกันไม่ว่าจะต่อตนเองหรือผู้อื่น๔๔ ๑.๗.๒ คุณลักษณะของการสื่อสารเชิงพุทธ จากความหมายของคำว่า การสื่อสารเชิงพุทธ นำมาพิจารณาคุณลักษณะโดยทั่วไปของ การสื่อสารเชิงพุทธได้ดังนี้ ๑. เป็นการสื่อสารที่ผู้สื่อสารทำการสื่อสารบนพื้นฐานของความเข้าใจและเคารพในกัน และกัน และรับผิดชอบในการสื่อสารของตน ๒. เป็นการสื่อสารที่อยู่บนหลักการของเหตุและผลตามความเป็นจริงที่เป็นเหตุปัจจัยซึ่ง กันและกัน ๓. เป็นการสื่อสารที่แต่ละบุคคลสามารถฝึกฝนได้ด้วยตนเอง โดยเริ่มที่ตนเองจากการ สื่อสารภายในตนเองหรือการสื่อสารกับตนเองก่อนเป็นลำดับแรก ๔. เป็นการสื่อสารที่ประกอบด้วยสติ อยู่กับปัจจุบัน รู้เท่าทันสิ่งทั้งหลายตามความเป็น จริงด้วยความเห็นที่ถูกต้อง ความคิดที่ถูกต้อง และสมาธิที่ถูกต้อง ไม่ว่าผู้ทำการสื่อสารจะอยู่ใน ฐานะของผู้ส่งสารหรือผู้รับสาร และไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารกับตนเองหรือการสื่อสารกับบุคคลอื่น ๕. เป็นการสื่อสารที่ก่อให้เกิดปัญญา ๖. เป็นการสื่อสารที่มุ่งแต่ประโยชน์ ไม่ว่าการสื่อสารนั้นจะเป็นการสื่อสารกับตนเอง หรือการสื่อสารกับบุคคลอื่น ๔๔ นายวรพันธุ์ แย้มหงษ์ปภา, “การสื่อสารทางสังคมเพื่อพัฒนากระบวนการเรียนรู้ขององค์กรทาง พระพุทธศาสนา”, ดุษฎีนิพนธ์หลักสูตรปริญญาพุทธศาสตรดุษฏีบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๖๑), หน้า ๒๕. ๒๖ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๒๗ ๗.เป็นการสื่อสารในทางบวกนำไปสู่การกระทำที่ดีงามทั้งต่อตนเองและผู้อื่น๔๕ ๑.๗.๓ วิธีการสื่อสารเชิงพุทธ วิธีการสื่อสารเชิงพุทธ สามารถพิจารณาได้ทั้งในการสื่อสารกับตนเอง และการสื่อสาร กับบุคคลอื่น ดังนี้ ๑. วิธีการสื่อสารกับตนเองที่เป็นการสื่อสารเชิงพุทธ วิธีการสื่อสารกับตนเอง หรือการสื่อสารภายในตนเองที่ปรากฏในคัมภีร์ทาง พระพุทธศาสนามีหลายลักษณะ ได้แก่ การคิดในรูปแบบต่างๆ การนึก การระลึกได้ การรู้สึก การมี สติ การรู้อยู่ พิจารณาเห็น การระลึกถึงหรือระลึกได้ การเจริญสติ การกำหนดสติ การเข้าใจตนเอง การรู้จักตนเอง และการตระหนักรู้วิธีการสื่อสารกับตนเองที่เป็นการสื่อสารเชิงพุทธ ที่มีลักษณะเป็น การใช้ความคิดนั้น จะไม่เป็นการคิดในลักษณะของการปรุงแต่งไปเรื่อยๆ หรือการฝันกลางวัน แต่ เป็นการคิดในลักษณะต่างๆ ได้แก่ การคิดแบบอุปมาเปรียบเทียบ การตั้งคำถามกับตนเอง การ หารือหรือปรึกษากับตนเองการสอน การให้โอวาทหรือเตือนตนเอง การมนสิการ การพิจารณา การ ใคร่ครวญ เป็นต้น การที่บุคคลจะไม่ทำการสื่อสารกับตนเองด้วยการคิดในลักษณะของการปรุงแต่ง ไปเรื่อยๆ นั้นต้องมีสติกับกับอยู่เสมอ ส่วนที่มีลักษณะเป็นการนึก การระลึกได้ จะเป็นการนึก หรือระลึกถึงแต่สิ่งหรือ เรื่องราวที่ดีงาม ที่เป็นบุญ กุศล ก่อให้เกิดความรู้สึกที่ดีงาม เป็นสุข หรือเป็นมูลเหตุให้กระทำสิ่งที่ดี งาม สำหรับการสื่อสารกับตนเองในลักษณะของความรู้สึกต่างๆ ก็เช่นกันที่จะไม่เป็นความรู้สึกที่ เป็นไปในทางที่ไม่ดี เช่น รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ อิจฉาริษยา เศร้าโศกเสียใจ เป็นต้น แต่เป็นความรู้สึกที่ เป็นไปในทางที่ดีเช่น รู้สึกภาคภูมิใจในตนเอง เข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น สงบ ปลอดโปร่งเบิก บาน แจ่มใสกระตือรือร้น เป็นต้น และสื่อสารกับตนเองอย่างมีสติอยู่เสมอ ๒. วิธีการสื่อสารกับบุคคลอื่นที่เป็นการสื่อสารเชิงพุทธ วิธีการสื่อสารกับบุคคลอื่น ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารเชิงวัจนะหรือเชิงอวัจนะ การสื่อสาร ทางเดียวหรือการสื่อสารสองทางด้วยวิธีการสื่อสารรูปแบบใด เช่น บรรยาย อภิปราย อุปมาอุปไมย สนทนา สากัจฉา โต้ตอบ ถามคำถาม ตอบคำถาม หรือสื่อสารด้วยภาษาท่าทาง เช่น ภาษากาย ต่างๆเป็นต้น ก็ดี การสื่อสารกับบุคคลอื่นที่เป็นการสื่อสารเชิงพุทธนั้น เป็นการสื่อสารที่คำนึงถึง หลักการและแนวทางปฏิบัติในการสื่อสารกับบุคคลอื่น ทั้งในฐานะที่เป็นผู้ส่งสารและผู้รับสาร ตาม แนวคิดเกี่ยวกับการสื่อสารในพระพุทธศาสนาในการอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการละเว้นการสื่อสารที่ เป็นการกระทำทางกายและวาจาที่เป็นไปในทางที่ไม่ดี เบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่น แต่เป็นการ สื่อสารที่เป็นการกระทำทางกายและวาจาที่เป็นไปในทางที่ดี มุ่งให้เกิดประโยชน์และไม่เบียดเบียน ทั้งตนเอง ผู้อื่นและส่วนรวม โดยสื่อสารกับบุคคลอื่นด้วยวิธีการสื่อสารต่าง ๆ อย่างสร้างสรรค์ ประกอบด้วยสติ เป็นเหตุเป็นผลตามความเป็นจริง เข้าใจและเคารพในกันและกัน และรับผิดชอบ ในการสื่อสารของตนทั้งวิธีการสื่อสารกับตนเองและการสื่อสารกับบุคคลอื่นที่เป็นการสื่อสารเชิง พุทธ มีวิธีการที่สำคัญ คือ สื่อสารด้วยสติ โดยอาศัยการสำรวมเป็นเครื่องมือ เมื่อเป็นผู้ส่งสารต้อง สำรวมและมีสติระลึกรู้ว่า จะสื่อสารสารใดออกไป เพื่อประโยชน์อะไร ในเวลาหรือสถานการณ์ใดที่ เหมาะสมกล่าวคือ ในการสื่อสารกับบุคคลอื่นก็ย่อมต้องมีการสื่อสารกับตนเองเกิดขึ้นด้วย โดยเป็น การกระทำที่เกิดขึ้นก่อนการการสื่อสารกับบุคคลอื่น เช่น ก่อนที่บุคคลจะพูดย่อมมีการคิดเกี่ยวกับ ๔๕ ทัศนีย์ เจนวิถีสุข, “การสื่อสารเชิงพุทธกับการเปลี่ยนแปลงสังคม”. วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎี บัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๕). หน้า ๑๓ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๒๗
๒๘ สิ่งที่จะพูดมาก่อน การสื่อสารเชิงพุทธ คือ ให้คิดในทางที่ดีหรือพิจารณาไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะพูด เกี่ยวกับเรื่องนั้นหรือตั้งสติให้ดีก่อนที่จะพูดอะไรออกไป เมื่อเป็นผู้รับสารต้องสำรวมและมีสติระลึก รู้ ในการรับสารหรือสิ่งที่เข้ามากระทบ กล่าวคือ ใส่ใจในการรับรู้ เช่น ตั้งใจฟัง เมื่อได้ยิน หรือรับรู้ สารใด ให้รับรู้อย่างมีสติ คิด พิจารณา ไตร่ตรองให้ดีก่อน โดยอย่าเพิ่งด่วนสรุป หรือปลงใจเชื่อใน สิ่งที่ได้รับรู้สารนั้นๆ ๑.๗.๔ ทิศทางการสื่อสารเชิงพุทธ ทิศทางการสื่อสารเชิงพุทธไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารกับตนเองหรือการสื่อสารกับบุคคล อื่นการสื่อสารเชิงวัจนะหรือเชิงอวัจนะ ที่เป็นการสื่อสารทางเดียวหรือการสื่อสารสองทางก็ตาม เมื่อพิจารณาในประเด็นทิศทางการสื่อสาร เป็นการพิจารณาทิศทางในเชิงคุณค่าของการกระทำ ที่ว่าเป็นไปในทิศทางที่ดี เป็นกุศล หรือทิศทางที่ไม่ดี เป็นอกุศล สำหรับทิศทางการสื่อสารเชิงพุทธ เป็นไปในทิศทางที่ดี เป็นกุศล เท่านั้น เป็นทิศทางการสื่อสารที่ก่อให้เกิดปัญญา เมื่อสื่อสารกับ ตนเอง เช่นมนสิการ ก็เป็นแต่โยนิโสมนสิการเท่านั้น ไม่เป็นอโยนิโสมนสิการ เมื่อสื่อสารกับบุคคล อื่น เช่นสนทนา ก็สนทนาแต่เนื้อหาที่ก่อประโยชน์ ที่ดี ดังพุทธดำรัสในกามสูตร (สูตรที่ ๘)ว่าด้วยผู้ ต้องการประโยชน์ว่า“วาจาที่ดีควรปล่อย แต่วาจาที่ไม่ดีไม่ควรปล่อย” ๔๖ ๑.๗.๕ วัตถุประสงค์และเป้าหมายของการสื่อสารเชิงพุทธ การสื่อสารเชิงพุทธ เป็นการสื่อสารที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดปัญญา ที่สามารถ ทำให้ ชีวิตดีขึ้น มีความสุข นำไปสู่การแก้ปัญหา ดังนั้นเป้าหมายของการสื่อสารเชิงพุทธ จึงได้แก่ การมี ชีวิตที่มีความสุข ประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิต ดำเนินชีวิตที่ดีงามอย่างมีเป้าหมาย สามารถ แก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง และอยู่ร่วมกันในสังคมโดยไม่เบียดเบียนกันไม่ว่าจะต่อตนเองหรือ ผู้อื่น อันเป็นประโยชน์ในระดับโลกิยะที่เป็นประโยชน์ในโลกนี้ ๑.๗.๖ ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารเชิงพุทธ จากความหมายและคุณลักษณะต่างๆ ของการสื่อสารเชิงพุทธ บ่งบอกถึงปัจจัยที่สำคัญ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีทั้งปัจจัยภายนอก และปัจจัยภายใน ดังนี้ ก. ปัจจัยภายนอก ปัจจัยภายนอกที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารเชิงพุทธ ได้แก่ อายตนะภายนอกที่เข้ามา กระทบปรโตโฆสะและกัลยาณมิตร ๑. อายตนะภายนอก ปัจจัยภายนอกที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสาร ได้แก่ สิ่งเร้าหรือสิ่งกระตุ้นภายนอกที่เกี่ยวกับ การเห็น การได้ยินได้ฟัง การได้กลิ่น การรู้รส การสัมผัสทางกาย การสัมผัสหรือรับรู้ทางใจ ที่ในทาง พระพุทธศาสนาเรียกว่า อายตนะภายนอก ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ (หรือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และสิ่งหรือเรื่องราวที่กระทบหรือสัมผัสทางใจ) อายตนะภายนอก เหล่านี้มีมากมายที่เข้ามากระทบบุคคลหรือผู้รับสารตลอดเวลา ดังเช่น ในวันหนึ่ง ๆ บุคคลย่อมได้ เห็นสิ่งต่างๆ ได้ยินเสียง ลิ้มรสในขณะกินหรือดื่ม สัมผัสกับสิ่งที่มากระทบทางกายไม่ว่าจะเป็น สัมผัสจากบุคคล วัตถุสิ่งของตลอดจน อุณหภูมิ หรือแม้แต่สายลมที่มากระทบรวมทั้งสิ่งหรือ เรื่องราวที่มากระทบหรือสัมผัสทางใจ เช่น เรื่องราวของบุคคล เรื่องเกี่ยวกับกิจหน้าที่การงาน ๔๖ สํ.ส. (ไทย) ๑๕/๗๘/๘๔. ๒๘ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๒๙ ความรู้สึกสุข ทุกข์ทางใจ ทั้งที่เคยเกิดขึ้นแล้ว เป็นอดีต หรือที่ยังไม่เกิดขึ้น เป็นอนาคต๔๗ เป็นต้น ๒. ปรโตโฆสะ ปรโตโฆสะ หรือเสียงจากผู้อื่นหรือการได้สดับจากบุคคลอื่น หมายถึง การได้รับเนื้อหา สารจากแหล่งสารหรือผู้ส่งสาร ปรโตโฆสะอาจเป็นไปในทางที่ดี ก่อให้เกิดประโยชน์ หรือหรือ เป็นไปในทางที่ไม่ดี ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์หรือก่อให้เกิดโทษก็ได้ แต่ในทางพระพุทธศาสนามุ่งถึงปร โตโฆสะ ที่หมายถึง การฟังธรรมที่เป็นสัปปายะหรือเป็นที่สบายเหมาะแก่ตนเท่านั้น มิได้หมายถึง การฟังอสัทธรรมจากผู้อื่น ทั้งนี้เพราะปรโตโฆสะในความหมายดังกล่าวเป็นหนึ่งในปัจจัยให้เกิด สัมมาทิฏฐิดังนั้น ในการสื่อสารเชิงพุทธ จึงมุ่งหมายแต่เฉพาะที่เป็นปรโตโฆสะหรือการได้รับเนื้อหา สารที่ดีก่อให้เกิดประโยชน์จากแหล่งสารหรือผู้ส่งสาร๔๘ ปรโตโฆสะ เป็นปัจจัยฝ่ายภายนอก ที่ครอบคลุมถึง การสั่งสอน แนะนำ การถ่ายทอด การโฆษณา คำบอกเล่า ข่าวสาร ข้อเขียน คำชี้แจง คำอธิบาย การเรียนรู้จากผู้อื่น ซึ่งกล่าวได้ว่า เป็นปัจจัยทางสังคม ในที่นี้หมายเอาเฉพาะส่วนที่ดีงามถูกต้อง ปัจจัยภายนอก คือ ปรโตโฆสะนี้ กล่าวได้ว่าคือ การได้รับเนื้อหาสารที่ดี ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนจากแหล่งสารหรือผู้ส่งสาร ๓. กัลยาณมิตร พระพุทธองค์ได้ตรัสยกย่องความมีกัลยาณมิตร หรือมิตรดี ไว้ในที่หลายแห่งเช่น “เพราะพูดถึงองค์ประกอบภายนอก เราไม่เห็นองค์ประกอบอื่นแม้อย่างหนึ่งที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ มากเหมือนความมีกัลยาณมิตรนี้ ความมีกัลยาณมิตรย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์มาก ฯลฯ ความมี กัลยาณมิตรย่อมเป็นไปเพื่อความดำรงมั่น ไม่เสื่อมสูญ ไม่หายไปแห่งสัทธรรม” ๔๙และ “เมื่อมี กัลยาณมิตร กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้นก็เกิดขึ้น และอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมไป” พระพุทธ องค์ทรงเปรียบกัลยาณมิตรเป็นตัวนำ เป็นบุพนิมิตเพื่อความเกิดขึ้นแห่งอริยมรรคมีองค์ ๘ ดุจดั่ง แสงอรุณที่เกิดขึ้นมาก่อนอาทิตย์อุทัย และเมื่อภิกษุเมื่อมีกัลยาณมิตร พึงหวังได้ว่าจะเจริญ อริยมรรคมีองค์ ๘ทำอริยมรรคมีองค์ ๘ ให้มาก กล่าวได้ว่า แหล่งสารที่ส่งสารไปยังผู้รับสารนั้น ต้องเป็นแหล่งสารหรือเป็นผู้ส่งสารที่ดี เมื่อบุคคลทำการสื่อสารกับแหล่งสารหรือผู้ส่งสารที่ดี ย่อมได้รับสารที่ดีที่ก่อประโยชน์แก่ตนเอง อีกนัยหนึ่งในกระบวนการสื่อสารกับบุคคลอื่น เมื่อบุคคลเป็นผู้ส่งสารก็ต้องทำหน้าที่เป็นผู้ส่งสารที่ดี เป็นกัลยาณมิตรแก่ผู้รับสารด้วย กล่าวโดยรวมเกี่ยวกับปัจจัยภายนอก กล่าวถึงปัจจัย ๓ ประการ ได้แก่ (๑) สิ่งเร้าหรือ สิ่งกระตุ้นทั้งหลาย (๒) สารที่ปรากฏหรือมากับสิ่งเร้านั้น หรือเนื้อหาสาร (๓) ผู้ส่งสาร ในทัศนะ ของพระพุทธศาสนาและในการสื่อสารเชิงพุทธ พิจารณาว่า สิ่งเร้าหรือสิ่งกระตุ้นทั้งหลายเหล่านั้น เป็นของกลางๆ ที่มีอยู่เป็นปกติ แต่สารที่ปรากฏหรือมากับสิ่งเร้า หรือเนื้อหาสารนั้น ต้องเป็นสารที่ ดีก่อให้เกิดปัญญาและประโยชน์ โดยถูกส่งหรือถูกสื่อสารออกมาจากผู้ส่งสารที่ดี ข. ปัจจัยภายใน ปัจจัยภายในที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารเชิงพุทธ ได้แก่ อายตนะภายใน การทำหน้าที่ ของจิต และโยนิโสมนสิการ ๔๗ วิ.ม. (ไทย) ๔/๒/๔. ๔๘ พระธรรมกิตติวงศ์(ทองดีสุรเตโช). พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ชุดคำวัด. (กรุงเทพมหานคร : วัดราชโอรสาราม. ๒๕๔๘), ๑๑๓. ๔๙ องฺ.สตฺตก. (ไทย) ๒๓/๓๗/๕๗. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๒๙
๓๐ ๑. อายตนะภายใน สิ่งที่เป็นช่องทางแห่งการติดต่อให้ถึงกัน หรือการสัมผัสรับรู้กัน หรือเป็นเครื่องมือที่ บุคคลใช้เป็นช่องทางติดต่อระหว่างตนเองกับโลกภายนอกหรืออายตนะภายนอก เรียกว่า อายตนะ หรือ สื่ออายตนะที่ใช้ติดต่อกับอายตนะภายนอก เรียกว่า อายตนะภายใน ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ (อายตนะภายในเหล่านี้กล่าวในสถานะโดยทั่วไปว่า อยู่ในสภาวะที่ใช้การได้ตามปกติ) ๒. การทำหน้าที่ของจิต การทำหน้าที่ของจิตในการรับรู้ที่เกิดขึ้นจากการสัมผัสกันระหว่างอายตนะภายนอก หรืออารมณ์ กับอายตนะภายใน หรือทวาร เนื่องจากจิตเป็นธรรมชาติที่รู้หรือทำหน้าที่เห็น ได้ยิน รู้ กลิ่น รู้รส รู้สึกต่อการสัมผัสถูกต้องทางกาย และรู้สึกนึกคิดทางใจ การเกิดขึ้นของวิญญาณ หรือจิต คือการรับรู้นั้นเกิดขึ้นเมื่ออารมณ์มากระทบหรือเรียกว่าผัสสะกับทวาร ซึ่งหลังจากทำหน้าที่ในการ รับรู้แล้วจิตยังทำหน้าที่ต่อไปในการพิจารณาอารมณ์ เสพอารมณ์ และยึดหน่วงอารมณ์ เก็บสะสม วิบากขั้นตอนต่างๆ เหล่านี้ เป็นขั้นตอนในกระบวนการสื่อสารกับตนเอง การสื่อสารเชิงพุทธ พิจารณาว่าการสื่อสารกับตนเองที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารในลักษณะของการคิด หรือ รู้สึก มีสติ นึกได้เป็นต้นนั้น ต้องดำเนินไปในทิศทางที่ดี ที่ถูกต้อง เป็นกุศล เช่น เมื่อคิด ก็ต้องเป็น การคิดในรูปแบบที่ดี เช่น โยนิโสมนสิการ เป็นต้น ๓. โยนิโสมนสิการ โยนิโสมนสิการเป็นปัจจัยภายในตัวบุคคล โดยถือเป็นคุณเครื่องภายในทั้งนี้ เพราะ โยนิโสมนสิการ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ให้เกิดสัมมาทิฏฐิและเนื่องจากโยนิโสมนสิการเป็นธรรม ๑ ใน ๔ ประการ ที่บุคคลเจริญ ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญแห่งปัญญาได้ปัญญา เป็นผู้มี ปัญญามาก มีปัญญากว้างขวาง มีปัญญาลึกซึ้ง มีปัญญาไพบูลย์ มีปัญญาร่าเริง มีปัญญาแล่นไป มี ปัญญาเฉียบแหลม และมีปัญญาชำแรกกิเลส โยนิโสมนสิการจึงเป็นวิธีการแห่งปัญญา พระพุทธ องค์ทรงสรรเสริญโยนิโสมนสิการว่า “เราไม่เห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่งที่เป็นเหตุให้กุศลธรรมที่ยังไม่ เกิดขึ้นก็เกิดขึ้น หรือเป็นเหตุให้อกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วเสื่อมไปเหมือนโยนิโสมนสิการนี้ เมื่อ มนสิการโดยแยบคาย กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้นก็เกิดขึ้น และอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมไป กล่าวโดยสรุปเกี่ยวกับปัจจัยภายในของการสื่อสารเชิงพุทธได้ว่า กล่าวถึงส่วนของผู้รับ สารเป็นสำคัญ โดยมีองค์ประกอบ ๓ ประการ คือ (๑) เครื่องรับสิ่งเร้าหรือสิ่งกระตุ้นจากภายนอก (และสิ่งเร้าภายใน ในกรณีที่เป็นการสื่อสารกับตนเอง คือ สิ่งหรือเรื่องราวที่ปรากฏขึ้นทางใจของ บุคคล แม้ในยามที่มิได้รับสิ่งเร้าหรือสิ่งกระตุ้นจากภายนอก) (๒) กระบวนการรับรู้สิ่งเร้านั้น (๓) ลักษณะหรือ ทิศทางในกระบวนการรับรู้เรื่องเร้า ตามแนวคิดในพระพุทธศาสนาและการสื่อสารเชิง พุทธพิจารณาว่า เครื่องรับสิ่งเร้าทั้งหลายนั้นเป็นของกลาง ๆ สิ่งสำคัญอยู่ที่กระบวนการรับรู้และ ลักษณะหรือทิศทางในกระบวนการรับรู้สิ่งเร้านั้นว่ามีลักษณะอย่างไร เป็นไปในทิศทางเช่นใด การ สื่อสารเชิงพุทธมีหลักการที่ให้ความสำคัญกับกระบวนการรับรู้อย่างถูกต้องประกอบด้วยสติ เป็นไป ในทิศทางที่ถูกต้อง ดีงาม ก่อให้เกิดปัญญา ๑.๗.๗ กุศโลบาย (เทคนิค) การแสดงธรรม ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมเด็จพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นแบบอย่างของผู้ที่มีเทคนิควิธีสอน ที่หลากหลาย ทรงสอนแบบทำนามธรรมให้เป็นรูปธรรม หรือจากง่ายไปหายาก ธรรมะเป็นเรื่องที่มี เนื้อหาลึกซึ้ง ยากที่จะเข้าใจ โดยเฉพาะธรรมะขั้นสูง เพราะพระองค์ทรงใช้เทคนิควิธีต่อไปนี้ ๓๐ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๓๑ ๑) การยกอุทาหรณ์และการเล่านิทานประกอบ ทรงยกตัวอย่างประกอบคำอธิบายและ เล่านิทานประกอบ ช่วยให้เข้าใจความได้ง่ายและชัดเจน เช่น เรื่องที่พราหมณ์ทะเลาะกันยึด ความเห็นของตนเท่านั้นว่าถูก พระพุทธองค์ทรงทราบแล้วจึงตรัสว่า ผู้ที่รู้เห็นอะไรแง่มุมเดียวไม่ แคล้วที่จะทะเลาะกัน ดุจคนตาบอดคลำช้าง แล้วเล่าเรื่องคนตาบอด ๙คนให้ฟังเป็นต้น ๒) การเปรียบเทียบด้วยข้ออุปมา ทำให้เรื่องที่ลึกซึ้งเข้าใจยาก ปรากฏความหมาย เด่นชัดออกมาและเข้าใจง่ายขึ้น เช่น ตรัสสอนราหุลว่า ราหุล เห็นนํ้าที่เราเหลือไว้ในภาชนะหน่อย หนึ่งไหม ? ราหุลตอบว่า เห็นพระเจ้าข้า ตรัสต่อไปว่า ดูก่อนราหุล คนที่พูดเท็จทั้งที่รู้ มีคุณความดี เหลืออยู่น้อยดุจนํ้าในภาชนะนี้แหละ ตรัสแล้วทรงเทนํ้าที่เหลือหน่อยหนึ่งนั้นทิ้ง เป็นต้น ๓) การใช้อุปกรณ์หรือสื่อการสอน พระองค์ทรงใช้สื่อทุกอย่างที่อยู่ใกล้ตัวมาสอน เช่น ขณะที่เดินไปในป่าแห่งหนึ่ง มีพระสงฆ์หมู่ใหญ่ตามเสด็จ พระองค์ทรงหยิบใบไม้ขึ้นมากำหนึ่ง แล้ว ตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า เห็นใบไม้ในมือตถาคตไหม เห็นพระเจ้าข้า พระสงฆ์ตอบพร้อมกัน นี่คือ การใช้สื่อใกล้ตัวในการสอน ๔) การทำเป็นตัวอย่าง เฉพาะในทางจริยธรรม คือ การทำเป็นตัวอย่าง เช่น ทรง พยาบาลภิกษุไข้ ๕) การเล่นภาษา เล่นคำ และใช้คำในความหมายใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องของความสามารถใน การใช้ภาษาผสมกับปฏิภาณ เช่น กรณีของเวรัญชพราหมณ์ เป็นตัวอย่าง ๖) อุบายการเลือกคน และการปฏิบัติรายบุคคล การเลือกคนเป็นอุบายอันสำคัญการ เผยแผ่พระพุทธศาสนา ได้แก่ การเริ่มต้นที่บุคคลซึ่งเป็นประมุขหรือหัวหน้าของชุมชนนั้น ๆ เพื่อ การเผยแผ่พระพุทธศาสนา ๗) การรู้จักจังหวะและโอกาส ผู้สอนต้องรู้จักใช้จังหวะและโอกาสให้เป็นประโยชน์ใน การสอนธรรมะอย่างได้ผล ๘) ความยืดหยุ่นในการใช้วิธีการ ถ้าผู้สอนสอนอย่างไม่มีอัตตา ตัดตัณหามานะ ทิฏฐิ เสียให้น้อยที่สุด ก็จะมุ่งไปยังผลสำเร็จในการเรียนรู้เป็นสำคัญ ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า “เราย่อม ฝึกฝนด้วยวิธีอ่อนละมุนละไมและทั้งรุนแรงปนกันไปบ้าง ๙) การลงโทษและการให้รางวัล การลงโทษในที่นี้ คือ การลงโทษตนเองซึ่งมีทั้งทาง ธรรมและทางวินัยอยู่แล้ว มีบทบัญญัติความประพฤติอยู่แล้ว การให้รางวัล คือ การแสดงธรรม ไม่ กระทบกระทั่ง ไม่รุกรานใคร เป็นต้น ๑๐) กลวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นต่างครั้ง ต่างคราว ย่อมมี ลักษณะที่แตกต่างกันออกไปไม่มีที่สิ้นสุด การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าย่อมต้องอาศัยปฏิภาณ คือ ความสามารถในการประยุกต์หลักการ วิธีการ และเทคนิควิธีการต่าง ๆ มาใช้ให้เหมาะสมเป็นเรื่อง เฉพาะคราวไป ๑.๗.๘ ผู้ส่งสารตามแนวทางพระพุทธศาสนา สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(ประยุทธ์ ปยุตฺโต) กล่าวว่า ความจริง ผู้สอนหรือเป็นนัก เผยแผ่ที่ดีต้องสร้างบุคลิกภาพที่น่าเคารพเลื่อมใสแก่ผู้ที่พบเห็นหรือผู้ฟังจะเห็นว่า พระพุทธเจ้าทรง เป็นผู้มีพระพุทธลักษณะทั้งทางด้านความสง่างามแห่งพระวรกายที่งดงาม มีพระสุรเสียงที่โน้มนำ จิตใจควรแก่ศรัทธาปสาทะทุกประการ ทรงมีพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ และอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ พระฉวีวรรณผุดผ่องดังทอง น่าดู น่าเลื่อมใส ส่วนพระสุรเสียงก็ไพเราะ สุภาพ สละสลวย แจ่มใส ชัดเจน นุ่มนวลชวนฟัง กลมกล่อม ไม่พร่า ซึ้ง กังวาน ดุจเสียงพรหม สำเนียงใส ไพเราะดุจการเวกพระพุทธศาสนาถือว่าผู้เผยแผ่กับผู้ฟัง หรือผู้สอนกับผู้เรียนนั้นมีความสัมพันธ์กัน นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๓๑
๓๒ ในฐานะกัลยาณมิตร นักเผยแผ่พุทธธรรมที่ดีจึงมีลักษณะคุณสมบัติซึ่งเป็นองค์ของกัลยาณมิตร ดังนี้๕๐ ๑) ปิโย เป็นที่รักเป็นที่พอใจ คือ เข้าถึงจิตใจ สร้างความรู้สึกสนิทสนมเป็นกันเองชวน ให้ผู้ฟังอยากสนใจที่จะซักถาม ๒) ครุ เป็นที่เคารพ คือ มีความประพฤติเหมาะแก่ฐานะ ชวนให้เกิดความอบอุ่นใจเป็น ที่พึ่งได้อย่างปลอดภัย ๓) ภาวนีโย เป็นที่ยกย่อง คือ มีความรู้จริง ทรงภูมิปัญญาแท้จริงและเป็นผู้ฝึกฝน ปรับปรุงตนเองอยู่เสมอ เป็นที่ยกย่องน่าเอาอย่าง ทำให้ผู้ฟังเกิดศรัทธาได้ ๔) วัตตา เป็นนักพูด โดยเลือกใช้วิธีการเผยแผ่ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่ออธิบายให้ผู้ฟัง เข้าใจ ๕) วะจะนักขะโม เป็นผู้อดทนต่อถ้อยคำ คือ พร้อมที่จะรับฟังคำไต่ถามคำล่วงเกิน คำ ตักเตือน วิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ อดทนได้ไม่เบื่อหน่าย ไม่เสียอารมณ์ แม้บางครั้งอาจถูกต่อต้านจาก ลัทธิภายนอกมาขัดขวางต่องานเผยแผ่ ๖) คัมภีรัญจะ กะถัง กัตตา เป็นผู้พูดคำที่ลึกซึ่งได้ ให้ผู้ฟังเข้าใจได้ง่าย นักเผยแผ่ที่ดี จะต้องมีความรู้ในศาสตร์หลาย ๆ อย่าง และต้องฉลาดในการเลือกใช้วิธีเผยแผ่แบบต่าง ๆ เพื่อให้ เหมาะสมกับผู้ฟัง เพื่อให้เกิดศรัทธาและยอมปฏิบัติตาม ๗) โน จัฏฐาเน นิโยชะเย ไม่ชักนำในทางไม่ใช่ฐานะ ไม่ชักนำให้ผู้ฟังให้เดินผิดทางไป นอกพุทธดำรัส แต่ต้องรู้จักชักจูง แนะนำในทางที่ถูกที่ควรอีกอย่างหนึ่ง คำสอนในทาง พระพุทธศาสนามุ่งเน้นสอนให้คนมีธรรมะหรือใช้หลักธรรมะที่มีในคำสอนไปประพฤติปฏิบัติ เพื่อ เป็นกรอบแห่งการประพฤติดีทางกาย วาจา ซึ่งเป็นบุคลิกภายนอก และทางใจที่ถ่ายทอดออกมา เป็นพฤติกรรมทางกาย วาจาที่เป็นกุศล ซึ่งจะเป็นที่ยอมรับของผู้คนและสังคม บุคคลที่จะมี คุณสมบัติที่ดีสำหรับการสื่อสารเป็นที่น่าเชื่อถือของคนฟังนั้น ในพระไตรปิฎกได้ระบุถึงหลักธรรม สำหรับการประพฤติตนให้เป็นคนดีน่าเลื่อมใส เรียกว่า สัปปุริสธรรมมี ๗ ประการ ได้แก่ ๑) ธัมมัญญุตา เป็นผู้รู้ธรรมะ คือ หลักการ หลักความจริง เนื้อหาของเรื่องที่จะสื่อสาร รู้แจ้งแทงตลอดในทฤษฎีและปฏิบัติในศาสตร์และศิลป์ของตน ๒) อัตถัญญุตา รู้จักเนื้อหาสาระ ความมุ่งหมาย วัตถุประสงค์ของการสื่อสารที่แน่นอน ชัดเจน ๓) อัตตัญญุตา รู้จักตนเอง ว่าตนคือใคร มีความพร้อมหรือไม่ พร้อมอย่างไร การรู้จัก ตนเองเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเรารู้จักตนเองแล้วจะนำไปสู่การยอมรับตน แล้วจะเปิดเผยตน สามารถสื่อสารภายในตนเองได้อย่างดียิ่ง ผู้ที่สามารถสื่อสารภายในตนเองได้ดี จะเป็นผู้ที่รับรู้ วิเคราะห์สังเคราะห์ และมีวิจารณญาณที่รอบคอบ มีเหตุ มีผล ทำให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพ ๔) มัตตัญญุตา รู้จักประมาณ รู้จักความพอดี การสื่อสารบางอย่างหากมีมากเกินไป ผู้รับสารก็รับไม่ได้ หากน้อยไปก็ไม่เพียงพอ การรู้จักประมาณในการสื่อสาร คือไม่ส่งสารที่ซํ้าซาก คือ มาก เกินไป หรือน้อยจนเกินไป ๕) กาลัญญุตา รู้จักเวลา ผู้ส่งสารต้องรู้เวลาในการสื่อสารว่า เวลาไหนควร เวลาไหนไม่ ควร หากผู้ส่งสารไม่รู้จักเวลาในการสื่อสาร แม้ว่าจะเป็นการสื่อสารภายในตนเอง การสื่อสาร ระหว่างบุคคล หรือการสื่อสารมวลชน นอกจากการสื่อสารนั้นจะไม่ประสบผลสำเร็จแล้ว บางครั้ง ๕๐ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต), เทคนิคการสอนของพ ระพุทธเจ้า. (กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิพุทธธรรม, ๒๕๓๑). หน้า ๒๖. ๓๒ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๓๓ อาจมีข้อพิพาทตามมา ๖) ปริสัญญุตา รู้จักชุมชน รู้จักสังคม ในทางนิเทศศาสตร์ เรียกว่า กลุ่มผู้รับสาร เป้าหมายผู้ส่งสารต้องรู้จักกลุ่มเป้าหมายการสื่อสาร จึงจะประสบความสำเร็จ ยิ่งรู้มากเท่าไรการ สื่อสารก็ยิ่งมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นเท่านั้น พระพุทธเจ้าเผยแผ่พระธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะว่าพระองค์ทรงรอบรู้ผู้รับสารอย่างรู้แจ้งตลอด มีจริต มีอัธยาศัย มีศักยภาพในการรับสาร มากน้อยเพียงใด การที่ผู้ส่งสารรู้ความแตกต่างระหว่างบุคคลได้นั้น ทำให้แยกแยะผู้รับสารได้ ๑.๗.๙ กลุ่มผู้รับสารตามแนวทางพระพุทธศาสนา นักวิชาการสื่อสารชาติตะวันตกได้จำแนกกลุ่มผู้รับสารเป้าหมายออกเป็น ๕ กลุ่ม คือ กลุ่มที่เห็นด้วยอย่างยิ่ง กลุ่มที่เห็นด้วย กลุ่มเป็นกลาง กลุ่มที่ไม่เห็นด้วย และกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยอย่าง ยิ่งส่วนในทางพระพุทธศาสนา จำแนกกลุ่มเป้าหมายในการรับสารไว้ ๔ กลุ่ม เปรียบเหมือนบัว ๔ เหล่าได้แก่ ๑) กลุ่มบัวพ้นนํ้า เมื่อได้รับแสงอาทิตย์จะแย้มบานทันที กลุ่มนี้เปรียบเทียบเสมือนคนผู้ มีปัญญาเฉียบแหลม มีปัญญาดี ไม่ต้องการเนื้อหา หรือการอธิบายอะไรมากมาย เพียงแต่ให้หัวข้อ ธรรมะก็รู้ได้ กลุ่มนี้เพียงได้รับหัวข้อข่าวสารก็สามารถยังประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นให้สำเร็จได้ ๒) กลุ่มบัวใต้ผิวนํ้า เพียงรอวันจะโผล่พ้นนํ้ารับแสงอรุณแล้วแย้มบานในวันรุ่งขึ้น เปรียบเสมือนผู้มีปัญญามากอยู่แล้วให้ข้อมูลข่าวสารเล็กน้อยก็จะเข้าใจยังประโยชน์ให้สำเร็จ ๓) กลุ่มบัวที่จมอยู่กลางนํ้า โอกาสที่จะโผล่นํ้ารับแสงอรุณแล้วแย้มบานกับการที่ปลา เต่ากัดกินเป็นอาหารมีเท่ากัน เปรียบเสมือนกลุ่มคนมีปัญญาปานกลาง หากประคับประคองดี โอกาสจะประสบผลสำเร็จในชีวิตมีมาก ๔) กลุ่มบัวในโคลนตม คือ บัวที่ยังเป็นหน่อยังไม่พ้นโคลนตมขึ้นมา โอกาสที่จะเป็น อาหารเต่าและปลามีมากที่สุด เปรียบเสมือนผู้รับสารที่มีปัญญาทึบ ห่อหุ้มด้วยอวิชชา คือ ความไม่ รู้แจ้ง การสื่อสารกับกลุ่มนี้ ผู้ส่งสารต้องออกแรงมากจึงประสบผลสำเร็จ หรือบางครั้งอาจเลิกรากัน ไปเฉย ๆ พระพุทธเจ้าทรงใช้ญาณพิเศษเพื่อทราบถึงภูมิหลังอดีตชาติ จึงช่วยกลุ่มนี้ให้บรรลุธรรมะ ได้เพราะกลุ่มนี้เป็นกลุ่ม ปทปรมะ คือ ผู้มืดมนอย่างยิ่ง ๑.๗.๑๐ องค์ประกอบของสารที่ควรจะเป็นตามแนวทางพระพุทธศาสนา องค์ประกอบด้านสาร ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญยิ่ง จะต้องประกอบด้วยคุณสมบัติ ๕ ประการ คือ ๑) สัจจะได้แก่เรื่องที่จะเสนอต่อมวลชนต้องเป็นเรื่องจริงเสนอหรือส่งสารตามความจริง ๒) ตถตา เรื่องที่จะเสนอหรือส่งสารนั้นต้องเป็นเรื่องแท้ เสนอตามสภาพที่แท้จริงไม่ คาดเดา ไม่แต่งแต้มใส่สีใส่ไข่ ๓) กาละ เรื่องที่จะเสนอนั้นต้องเหมาะสมกับกาลเวลา ๔) ปิยะ เรื่องที่จะเสนอนั้นต้องเป็นเรื่องที่คนชอบ ชื่นชมของผู้รับสาร ๕) อัตถะ เรื่องที่จะเสนอนั้นต้องเป็นประโยชน์ต่อส่วนร่วม สรุปได้ว่า พุทธวิธีในการสื่อสารของพระพุทธองค์จะเป็นไปตามหลักนิเทศศาสตร์ ซึ่ง วิธีการหรือเทคนิคดังกล่าว พระองค์จะทรงตั้งจุดมุ่งหมายในการสื่อสารว่า ทรงกำหนดจุดมุ่งหมาย แต่ละครั้งเพื่ออะไร แล้วก็ทรงเตรียมเนื้อหา เนื้อเรื่อง ที่จะทรงสอนไปตามลำดับความยากง่ายไป พร้อมๆ กันกับทรงคำนึงตัวผู้รับสารด้วยว่า เขาจะสามารถเข้าใจและนำไปใช้ประโยชน์อย่างไร ซึ่ง จะทำให้เกิดความรู้สึกอยากเรียนรู้ และสนใจเอาใจใส่มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพราะวิธีการสื่อสารก็ทรงมี ความหลากหลายรูปแบบและวิธีการดังกล่าวแล้ว จึงทำให้ในระยะแรกที่ทรงประกาศพระศาสนานั้น นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๓๓
๓๔ มีบุคคลในทุกชั้นวรรณะ เลื่อมใสศรัทธาอุปสมบทตาม และสามารถบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์เป็น จำนวนมาก และแนวคิดเกี่ยวพุทธวิธีหรือเทคนิคการสื่อสารของพระพุทธเจ้านี้ ถือว่าเป็นเทคนิค หรือกลยุทธ์อีกอย่างที่พระภิกษุสงฆ์ได้นำมาใช้ในการเทศน์สอนธรรมะทั่วไป เป็นการสื่อสารเพื่อเผย แผ่ธรรมะไปยังผู้รับสาร โดยใช้หลักการพุทธวิธีหรือวิธีการเผยแผ่ในทางพระพุทธศาสนา เช่นเดียวกัน ๑.๘ สรุปท้ายบท นิเทศศาสตร์ เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยการสื่อสาร มุ่งศึกษาพฤติกรรมการสื่อสาร กระบวนการสื่อสาร สื่อและเทคนิควิธีการสื่อสาร รวมทั้งปัจจัยต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการสื่อสารของ มนุษย์เพื่อนำไปสู่การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพและสร้างสรรค์วิชาการทางด้านนิเทศศาสตร์แยก ย่อยออกเป็นหลายสาขาวิชา โดยสัมพันธ์กับลักษณะงานและสื่อหรือช่องทางในการสื่อสาร สาขาวิชาการเฉพาะด้านในทางนิเทศศาสตร์ ได้แก่สาขาวิชาวาทศาสตร์วารสารศาสตร์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ภาพยนตร์การแสดง การโฆษณา การประชาสัมพันธ์โดยที่ผู้ ประกอบวิชาชีพทางด้านนิเทศศาสตร์ หรือนักสื่อสารมวลชนจะมีหน้าที่ในการถ่ายทอดสารสู่ ประชาชนผ่านช่องทางต่าง ๆ ทั้งที่เป็นสื่อบุคคล สื่อสิ่งพิมพ์สื่ออิเล็กทรอนิกส์สื่ออินเตอร์เน็ต และ สื่อระคน แต่ทั้งนี้ก็จะมีบทบาทหน้าที่แตกต่างกันออกไปตามลักษณะงาน เช่น เป็นนักข่าว นักเขียน นักจัดรายการ นักร้อง นักแสดง นักโฆษณา นักประชาสัมพันธ์รวมถึงช่างเทคนิคต่าง ๆ เช่น ช่างภาพ ช่างศิลป์ช่างอิเล็กทรอนิกส์ฯลฯ ที่ทำงานในวงการสื่อสารมวลชนความรู้ความเข้าใจและ ทักษะทางด้านนิเทศศาสตร์หรือการสื่อสารนอกจากจะมีความจำเป็นสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพ ทางด้านนิเทศศาสตร์หรือการสื่อสารแล้ว ยังมีความจำเป็นสำหรับทุกคนที่จะต้องเรียนรู้ฝึกหัด และพัฒนา เพราะการสื่อสารเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ทุกคนต้องใช้เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร ในชีวิตประจำวัน ในการศึกษา และในการประกอบอาชีพ การสื่อสารเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของชีวิตมนุษย์ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่มีการ ติดต่อสัมพันธ์ระหว่างกันอยู่ตลอดเวลา ทั้งในชีวิตประจำวัน การประกอบอาชีพ การอยู่ร่วมกันใน สังคมและการดำเนินชีวิตโดยทั่วไป จุดมุ่งหมายทั่วไปของการสื่อสารระหว่างกันของมนุษย์ทั้งใน ฐานะผู้ส่งสารและผู้รับสารเพื่อถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ และเพื่อความบันเทิงใจ จุดมุ่งหมายสำคัญประการหนึ่งของการสื่อสารนอกเหนือจากเพื่อการรับรู้รับทราบ ก็คือเพื่อสร้าง ความเข้าใจกันและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันระหว่างคู่สื่อสาร นอกจากนั้นในการสื่อสารผู้ส่งสารยังมี จุดมุ่งหมายที่จะให้ผู้รับสารเกิดการเปลี่ยนแปลงพัฒนาในด้านความรู้ความคิด หรือด้านทัศนคติ หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในทิศทางที่พึงประสงค์หรือคาดหวังด้วย การสื่อสารมีหลายรูปแบบหลายประเภท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้เป็นหลักในการจัด ประเภท เช่น จัดแบ่งตามประเภทของสื่อภาษา เป็นการสื่อสารด้วยวัจนภาษา และการสื่อสาร ด้วยอวัจนภาษา จัดแบ่งประเภทตามจำนวนคนในกระบวนการสื่อสาร เป็นการสื่อสารภายในบุคคล การสื่อสารระหว่างบุคคล การสื่อสารกลุ่ม การสื่อสารในองค์การ การสื่อสารมวลชน หรือจัดแบ่ง ตามระยะทางระหว่างคู่สื่อสาร เป็นการสื่อสารแบบเห็นหน้าหรือการสื่อสารแบบเผชิญหน้าและการ สื่อสารแบบไม่เห็นหน้าหรือการสื่อสารผ่านสื่อ เป็นต้น ทั้งนี้การสื่อสารแต่ละประเภทที่จัดจำแนก ตามเกณฑ์ต่าง ๆ ดังกล่าวจะมีจุดมุ่งหมายทั่วไปเพื่อการถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารจากผู้ส่งสารสู่ผู้รับ สาร ในขณะเดียวกันก็จะมีจุดมุ่งหมายเฉพาะของการสื่อสารแต่ละประเภทด้วย เช่นการสื่อสาร ภายในบุคคล การสื่อสารระหว่างบุคคล การสื่อสารกลุ่ม การสื่อสารในองค์การ และการ สื่อสารมวลชน การสื่อสารระหว่างวัฒนธรรม การสื่อสารการเมือง หรือการสื่อสารสาธารณสุขจะมี ๓๔ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๓๕ จุดมุ่งหมายเฉพาะที่แตกต่างกันออกไปตามรูปแบบและลักษณะเฉพาะของการสื่อสารประเภทนั้นๆ พุทธวิธีในการสื่อสารของพระพุทธองค์จะเป็นไปตามหลักนิเทศศาสตร์ ซึ่งวิธีการหรือ เทคนิคดังกล่าว พระองค์จะทรงตั้งจุดมุ่งหมายในการสื่อสารว่า ทรงกำหนดจุดมุ่งหมายแต่ละครั้ง เพื่ออะไร แล้วก็ทรงเตรียมเนื้อหา เนื้อเรื่อง ที่จะทรงสอนไปตามลำดับความยากง่ายไปพร้อมๆ กัน กับทรงคำนึงตัวผู้รับสารด้วยว่า เขาจะสามารถเข้าใจและนำไปใช้ประโยชน์อย่างไร ซึ่งจะทำให้เกิด ความรู้สึกอยากเรียนรู้ และสนใจเอาใจใส่มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพราะวิธีการสื่อสารก็ทรงมีความ หลากหลายรูปแบบและวิธีการดังกล่าวแล้ว จึงทำให้ในระยะแรกที่ทรงประกาศพระศาสนานั้นมี บุคคลในทุกชั้นวรรณะ เลื่อมใสศรัทธาอุปสมบทตาม และสามารถบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์เป็น จำนวนมาก และแนวคิดเกี่ยวพุทธวิธีหรือเทคนิคการสื่อสารของพระพุทธเจ้านี้ ถือว่าเป็นเทคนิค หรือกลยุทธ์อีกอย่างที่พระภิกษุสงฆ์ได้นำมาใช้ในการเทศน์สอนธรรมะทั่วไป เป็นการสื่อสารเพื่อเผย แผ่ธรรมะไปยังผู้รับสาร โดยใช้หลักการพุทธวิธีหรือวิธีการเผยแผ่ในทางพระพุทธศาสนา เช่นเดียวกัน นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๓๕
๓๖ บทที่ ๒ รูปแบบและวิธีการสอนของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎก (Teaching Styles and Methods of the Buddha in the Tipitaka) ๒.๑ ความนำ มนุษย์มีวัฒนธรรมที่มีการถ่ายทอดมายาวนาน มนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์คาดว่า เกิดก่อนเมื่อ ค.ศ. ๓๕,๐๐๐ปีได้สื่อแสดงความคิด ความอ่านความรู้สึกออกมาทางสัญลักษณ์และ ภาษาภาษาเป็นพื้นฐานในการคิด การแสดงออก ทำให้ผู้อื่นได้รับรู้ถึงความรู้สึกภายในความคิด๑ ตลอดถึงทัศนคติของคนอื่นว่าคิดอย่างไรและมีกระบวนการคิดอย่างไร ตัดสินอย่างไร ใน กระบวนการสื่อสาร สื่ออย่างไร การสื่อสาร การพูด การแสดงความรู้สึก ความคิดออกมา นั่นคือ การสะท้อนให้เห็นถึงเบื้องลึกในความคิด ความอ่าน และการลำดับเรียบเรียงมาเป็นสัญลักษณ์ที่ เรียกว่า ภาษา โดยผ่านกระบวนการที่เรียกว่า “สื่อ” ที่สะท้อนความคิด ความเชื่อ ความเข้าใจ ออกมาให้ผู้อื่นรู้แต่ทว่าในสังคมไทยในปัจจุบัน มีความหลากหลายทางด้านวัฒนธรรมต่าง ๆ ได้แผ่ ปกคลุมด้านความคิด ความอ่านและพฤติกรรมของคนไทย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ อิงต่างชาติมากขึ้น ฉะนั้น พฤติกรรมที่แสดงมาจึงถูกวัฒนธรรมที่มีอิทธิพลครอบงำ เป็นเหตุให้การ สื่อสารกันระหว่างกันแต่เดิมเปลี่ยนไป เกิดการลอกเลียนแบบต่างชาติมากขึ้น โดยขาดจิตสำนึกถึง ผลกระทบต่อความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ในครั้งพุทธกาล การเผยแผ่พระธรรมคำสอนได้เริ่มขึ้นจากพุทธกิจของพระพุทธเจ้า การเผยแผ่ธรรมจึงเกิดจากพระโอษฐ์ของพระองค์โดยตรง จึงมีสาวกมากมายที่ฟังธรรมของพระองค์ แล้วบรรลุธรรม ในขณะเดียวกัน ใครก็ตามที่มีปัญหาหลักธรรมข้อโต้แย้ง หลักการ วิธีการหรือ แม้แต่สอน จะเข้าเฝ้าทูลถามพระองค์และด้วยพระปัญญาของพระองค์ท่าน ผู้คนจึงอยากยุติข้อ ข้องใจ และข้อสงสัยมากมายกับพระองค์ดังนั้น จะเห็นว่า การตอบของพระองค์จึงเป็นข้อยุติเป็น การตรัสที่เต็มไปด้วยสารธรรม แม้สาวกที่อยู่ไกลก็ไม่กล้าตอบบางประเด็นได้จึงพามาเฝ้าพระพุทธ องค์เพื่อให้ตรัสเรื่องที่สงสัยนั้น เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว สาวกทั้งหลายอาศัยหลักธรรมคำ สอนที่พระองค์ตรัสนั้น เป็นตัวแทนของพระองค์โดยอาศัยการจดจำ การท่องจำ เรียกว่า “มุข ปาฐะ” (Oral Tradition) จนกลายเป็นประเพณีสืบทอดกันมายาวนานเรียกว่า การสื่อสารผ่านการ ท่องจำในตัวบุคคลนั่นเอง หลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานนานหลายร้อยปีสาวกได้สืบทอดการ ท่องจำเช่นนี้มาเรื่อย ๆ โดยการกลั่นกรองการทำสังคายนามาหลายครั้ง ดังนั้นการสื่อสารเป็น องค์ประกอบสำคัญในการดำรงชีวิตของมนุษย์อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือในการรักษาและสืบทอดความ เชื่อหรือคำสอนทางศาสนาซึ่งเป็นค่านิยมหลักทางด้านจิตวิญญาณในการดำเนินชีวิตของคนไทย กล ยุทธ์การเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าและเหล่าพุทธบริษัท ๔ นั้น ทำให้ พระพุทธศาสนาดำรงอยู่ได้ยาวนาน ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากที่จะต้องทราบว่า การเผยแผ่ พระพุทธศาสนานั้น มีความสำคัญอย่างไร มีวิวัฒนาการอย่างไร และในแง่มุมด้านการสื่อสารนั้น มี การปรับปรุงพัฒนาเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัยอย่างไร จึงทำให้หลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนา สามารถดำรงคงมั่นอยู่ในสังคมไทยได้นานเช่นนี้ ดังนั้น เวลาพูดหรือสนทนากัน จึงไม่สามารถสื่อสารกันได้อย่างตรงเจตนากันและกัน ๑ กาญจนา แก้วเทพ, สื่อสารมวลชน ทฤษฎีและแนวทางการศึกษา, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพนคร : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๓), หน้า ๔๕. ๓๖ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๓๗ เพราะมีเนื้อหาและเจตนาแอบแฝงอยู่ภายในใจ โดยเฉพาะภาษาทางศาสนา ซึ่งต้องอาศัยความ เข้าใจในหลักภาษา และความหมายก่อนสื่อสาร ภาษาธรรมะที่คนไทยได้ฟังนั้น มีหลายคำที่ซ้ำซ้อน กับภาษาที่คนทั่วไปใช้แต่แปลกันคนละทาง (ความหมาย) โดยมากใช้ในความหมายทางรูปธรรม ส่วนภาษาธรรมะกลับใช้ในทางนามธรรม๒ ในปัจจุบัน ความเจริญก้าวหน้าด้านสื่อต่าง ๆ พัฒนาขึ้น วัฒนธรรมต่างประเทศแผ่เข้ามา จึงมีผลต่อการดำเนินชีวิตของคนไทย ทำให้การสื่อสารของผู้คน เกิดการเลียนแบบหรือใช้ภาษาต่างประเทศมาปนกับภาษาไทยมากขึ้น และกลับถือกันว่าโก้เก๋เท่ มี ความทันสมัย จึงส่งผลให้เกิดผลต่อการเผยแผ่ทางศาสนา โดยเฉพาะการสั่งสอนของพระสงฆ์ เพราะคนฟังไม่พยายามเข้าใจในภาษาธรรมะหรือภาษาพระ คนเราไม่เข้าใจธรรมะก็เพราะว่าภาษา เป็นอุปสรรค แม้จะได้ยินได้ฟังมาจากแต่ไม่สามารถเข้าใจลึกซึ้ง ท่านมองว่า ภาษามี๒ ระดับคือ ภาษาโลก และภาษาธรรมะ ภาษาโลก คือ ภาษาคน เป็นภาษาของคนที่ไม่รู้ธรรมะ พูดกันอยู่ตาม ประสาคนที่ไม่รู้ธรรมะ ส่วนภาษาธรรมะคือ ภาษาเหมือนกันแต่ว่าเห็นธรรมะในส่วนลึกหรือเห็น ธรรมะที่แท้จริง สื่อออกมาด้วยความรู้สึกตรงตามความเป็นจริง ท่านขยายภาษาทั้งสองตามภาษา สมัยใหม่ คือ ภาษาโลกหรือภาษาคน คือ เป็นภาษาทาง Physics ที่เป็นเพียงวัตถุคือPhysical way of Speaking. ส่วนภาษาธรรมะคือ ภาษาที่เป็น Meta-physics คืออยู่เหนือโลก มีวิธีพูดเป็น Meta-Physical way of Speaking๓ จากคุณลักษณะดังกล่าวที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช้ในการเผยแผ่ พระพุทธศาสนานั้นเป็นวิธีการและลักษณะที่แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของการเผยแผ่ พระพุทธศาสนาให้งอกงามในจิตใจของมวลมนุษย์ได้อย่างดีซึ่งทำให้พระธรรมคำสั่งสอนของพระ พุทธองค์ดำรงอยู่มาได้หลายพันปีนับตั้งแต่สมัยครั้งพุทธกาลนั้น เหล่าบรรดาพุทธสาวกบรรลุธรรม ได้ง่าย เพราะอยู่ในภาวะที่เข้าถึงธรรมชาติและความจริงของชีวิตได้ดีแต่เนื่องในภาวการณ์ใน ปัจจุบันซึ่งเป็นยุคโลกาภิวัฒน์ที่เต็มไปด้วยวัตถุนิยมและความพลวัตรของสังคมที่มีความ สลับซับซ้อนด้วยโลกิยวิสัยมากมาย จึงทำให้มนุษย์เรานั้นสนใจในเรื่องกระแสที่เป็นโลกิยวิสัยมาก ขึ้น จึงเป็นเหตุให้เกิดการละเลยทางด้านการฝึกฝนอบรมจิตใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในความเป็น มนุษย์ไป แต่กลับไปหมกมุ่นหลงใหลในความเป็นวัตถุนิยมที่เจือไปด้วยกิเลสตัณหา ซึ่งพาใจให้ หม่นหมอง จนทำให้คุณค่าและคุณธรรมทางจิตใจที่ดีงามลดน้อยถอยลงไป นี่คือ ปัญหาในการ สื่อสารของสังคมยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะชาวพุทธ ๒.๒ พุทธวิธีการสอน พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในชมพูทวีปหรือประเทศอินเดียในสมัยพุทธกาล เป็นดินแดน ที่มีความเจริญในด้านศาสนาและปรัชญาเป็นอย่างมาก เป็นยุคที่ชมพูทวีปเต็มไปด้วยนักปราชญ์ ศาสดาเจ้าลัทธิต่างๆ เป็นอันมาก แต่ละท่านล้วนมีชื่อเสียง มีความสามารถ ผู้ที่มาเผชิญพระองค์มี ทั้งมาดีและมาร้าย มีทั้งที่แสงหาความรู้มาลองภูมิและที่ต้องการมาข่มมาปราบ๔ ๒ เดือน คำดี, ศาสนศาสตร์, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, ๒๕๔๕), หน้า ๒๖๑-๒๖๒. ๓ พุทธทาสภิกขุ, ภาษาคน ภาษาธรรม เรามา “กิน” เวลากันเถิด, (กรุงเทพมหานคร : สุขภาพ ใจ, ๒๕๓๗), หน้า ๑๐–๑๑. ๔ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโต) , พุทธวิธีในการสอน, (กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภาและสถาบัน บันลือธรรม, ๒๕๔๗), หน้า ๒. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๓๗
๓๘ พระพุทธศาสนาได้อุบัติขึ้นมาในท่ามกลางแห่งเจ้าลัทธิเหล่านั้น ด้วยการตรัสรู้อนุตตร สัมมาสัมโพธิญาณของพระพุทธเจ้า ดุจพระองค์ได้จุดประทีปดวงใหญ่ให้สว่างไสวขึ้นในระหว่าง ท่ามกลางแห่งดวงไฟเล็กๆ อีกมากมายหลังจากพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ เจ้า และเสวยวิมุตติสุขเมื่อสัปดาห์ที่ ๗ ผ่านไป พระองค์เสด็จจากร่มไม้ราชายตนะ กลับไปยังต้นอช ปาลนิโครธ ทรงคำนึงถึงการที่จะทรงแสดงธรรมโปรดประชาชน ในขั้นแรกพระองค์ทรงมีความ ขวนขวายน้อย เกิดความท้อในการที่จะแสดงธรรมโปรดสัตว์เพราะทรงเห็นว่าธรรมที่ทรงค้นพบ ด้วยการตรัสรู้นั้น เป็นสิ่งอันล้ำลึกยากแก่ผู้ที่ยังยึดติดในกามคุณจะรู้ได้แต่ก็ทรงตระหนักในหลัก ความจริงว่า มนุษย์แตกต่างจากสัตว์ทั้งปวง มนุษย์เป็นเวไนยสัตว์คือ เป็นสัตว์ที่แนะนำสั่งสอนได้ แต่ถึงกระนั้นมนุษย์ก็ยังมีระดับของความแตกต่างในความพร้อมทางด้านสติปัญญา ความรู้ ความสามารถ และคำอาราธนาของท้าวสหัมบดีพรหมว่า “ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตพระศาสดา จงแสดงธรรมเถิด สัตว์ที่มีธุลีในดวงตาน้อยที่มีอยู่เมื่อไม่ได้ฟังธรรมย่อมเสื่อม แต่เมื่อได้ฟังธรรมจัก เจริญ” พระองค์จึงได้ทรงพิจารณาเห็นสัตว์เปรียบเหมือนดอกบัว ๓ ประเภท๕ คือ บัวใต้น้ำ บัว เสมอน้ำ และบัวเหนือน้ำ มีที่มีความแตกต่างกันจึงตรัสว่า “ ประตูทั้งหลายแห่งอมตะนครเราเปิด สำหรับท่านแล้วละขอเหล่าสัตว์ที่มีโสตประสาทจงปล่อยศรัทธาออกมาเถิด”๖ หลักการในการ สื่อสารของพระพุทธเจ้านั้นเมื่อพระองค์มีพระประสงค์จะประกาศเผยแผ่พระพุทธศาสนาแก่ประชน ชนจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเสนอสัทธรรมความเชื่อเดิมที่เขามีอยู่ให้หมดสิ้นไปเสียก่อนแต่การที่จะ เอาชนะลัทธิต่างๆที่ประชาชนมีความเชื่อฝังใจอยู่แล้วมิใช่ทำได้ง่ายเลยจะต้องมีรูปแบบหรือวิธีการ ที่แยบยลจึงจะสามารถให้คนเลิกนับถือลัทธิอันเป็นความเชื่อเดิมของเขาแล้วให้เขามานับถือ พระพุทธศาสนานั้นหมายความว่าพระพุทธเจ้าจะต้องมีศักยภาพที่เหนือกว่าเจ้าลัทธิทั้งหลาย เหล่านั้นจึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงแนวความคิดเดิมของเขาได้พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ชาญฉลาดใน การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก เมื่อทรงเห็นว่า คำสอนส่วนใดพอที่จะประยุกต์เข้ากันได้ กับความเชื่อเดิมของประชาชน ซึ่งเป็นส่วนที่ดีอยู่แล้ว พระองค์ก็จะอนุโลมตาม และบางส่วนก็ยัง บกพร่องอยู่บ้าง ก็ทรงนำมาแก้ไขเพิ่มเติมให้ดีขึ้นกว่าเดิม หากส่วนใดที่เป็นการสอนให้คนหลงผิด หลงงมงาย ไร้สาระ พระองค์ก็จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงทั้งหมด พร้อมกันนั้นยังมีการเสนอหลักการแนว ใหม่ที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน ให้ประชาชนได้ทราบ นั่นก็คือหลักแห่งอริยสัจ ๔ เป็นต้น พระพุทธเจ้าทรงมีหลักการและวิธีการในการสื่อสารเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างดียิ่ง คือ ก่อนที่ พระองค์จะทำการเผยแผ่หลักธรรมคำสอนนั้น ได้เตรียมการถึง ๒ ครั้ง ครั้งแรกก่อนที่จะส่งพระ อรหันตสาวก ๖๐ รูป ไปช่วยประกาศเผยแผ่พระพุทธศาสนา ครั้งทั้ง ๒ เมื่อวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ หรือวันจาตุรงคสันนิบาต ที่พระอรหันต์สาวก ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกันที่เวฬุวันมหาวิหาร แคว้นมคธ ในครั้งนั้นพระองค์ทรงประทานหลักการ อันเป็นหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาที่ เรียกว่าโอวาทปาติโมกข์เพื่อให้พระสงฆ์สาวกนำไปเผยแผ่แก่ประชาชน ในโอวาทปาติโมกข์นั้น พระองค์ทรงใช้สื่อบุคคลช่วยในการส่งสาร และทรงเน้น คุณสมบัติของผู้ส่งสารโดยประกาศหลักการว่าขันติคือความอดกลั้นเป็นตบะอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้า ทั้งหลายตรัสพระนิพพานว่าเป็นยอดผู้ทำร้ายผู้อื่นไม่จัดว่าเป็นบรรพชิต ผู้เบียดเบียนสัตว์อื่นไม่ชื่อ ว่าสมณะ ผู้เป็นสมณะไม่กล่าวร้ายผู้อื่น ไม่ทำร้ายผู้อื่น พึงสำรวมในปาติโมกข์รู้จักประมาณในการ ๕ ตามนัยอรรถกถามี๔ เหล่าคือ อุคฆฏิตัญญูวิปจิตัญญูเนยย ปทปรมะ ก็เปรียบเหมือนดอกบัว ๔ เหล่านั้นแล, ตามนัยพระไตรปิฎกมีเพียง ๓ เหล่า, อ้างรายละเอียดใน ที.ม. (ไทย) ๒/๑/๑๔๘. ๖ วิ. ม. (ไทย) ๔/๘/๑๒-๑๔. ๓๘ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๓๙ บริโภคอาหาร และที่นั่งที่นอนอันเป็นสงัดไม่พลุกพล่าน พึงละความชั่ว ประกอบความดีหมั่น ประกอบความเพียรเพื่อชำระจิต๗ วิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระองค์จึงเริ่มมีขึ้นทั้งหลักการ และหลักปฏิบัติแตกต่างกันไปตามกาลเทศะ และบุคคลที่จะทรงสั่งสอน พระราชวรมุนี(ประยุทธ์ปยุตฺโต) ๘ กล่าวว่า สิ่งที่ควรทำความเข้าใจอีกอย่างหนึ่ง ได้แก่ ลักษณะงานสอนซึ่งแตกตางกันตามประเภทวิชา อาจแยกได้เป็น ๒ ประเภท คือ วิชาประเภทชี้แจง ขอเท็จจริง เช่น ภูมิศาสตร์ประวัติศาสตร์เป็นต้น การสอนวิชาประเภทนี้หลักสำคัญอยู่ที่ทำให้ เกิดความเข้าใจในข้อเท็จจริง การสอนจึงมุ่งเพียงหาวิธีการให้ผู้เรียนเข้าใจตามที่สอนให้เกิดพาหุ สัจจะเป็นส่วนใหญ่ ส่วนวิชาอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวด้วยคุณค่า ในทางความประพฤติโดยเฉพาะ วิชาศีลธรรมและวิชาจริยธรรมทั่วไป การสอนที่จะได้ผลดีนอกจากให้เกิดความเข้าใจแล้วจะต้องให้ เกิดความรู้สึกมองเห็นคุณค่าความสำคัญ จนมีความเลื่อมใสศรัทธาที่จะนำไปประพฤติปฏิบัติด้วย สำหรับวิชาประเภทนี้ผลสำเร็จอย่าหลงเป็นสิ่งสำคัญมาก และมีก็ทำได้ยากกว่าผลสำเร็จอย่างแรก เพราะต้องการคุณสมบัติขององค์ประกอบในการสอนทุกส่วน นับตั่งแต่คุณสมบัติส่วนตัวของผู้สอน ไปทีเดียวยิ่งในงานประดิษฐานพระพุทธศาสนาที่จะให้คนจำนวนมากยอมรับด้วยแล้วก็ยังเป็นเรื่อง สำคัญมากฉะนั้น การพิจารณาเทคนิคและวิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า จึงเริ่มตั่ง แต่คุณสมบัติ ๒.๓ คุณสมบัติของผู้สอน ผู้สอนหรือนักเผยแผ่ที่ดีต้องสร้างบุคลิกภาพที่น่าเคารพเลื่อมใสแก่ผู้ที่พบเห็นหรือผู้ฟัง จะเห็นว่าพระพุทธเจ้าทรงมีพระลักษณะทั้งทางด้านความสง่างามแห่งพระวรกาย ที่งดงาม มีพระสุ รเสียงที่โน้มนำจิตใจควรแก่ศรัทธา ปสาทะทุกประการ ทรงมีพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ และอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ พระฉวีวรรณผุดผ่องดั่งทอง น่าดูน่าเลื่อมใส ส่วนพระสุรเสียงก็ ไพเราะ สุภาพ สละสลวย แจ่มใส ชัดเจน นุ่มนวล ชวนฟัง กลมกล่อม ไม่พร่า ซึ้ง กังวานดุจเสียง พรหม สำเนียงใสไพเราะดุจนกการเวก พระพุทธศาสนาถือว่าผู้เผยแผ่กับผู้ฟัง หรือผู้สอนกับผู้เรียนนั้น มีความสัมพันธ์กันใน ฐานะกัลยาณมิตร นักเผยแผ่หลักธรรมที่ดีจึงมีลักษณะคุณสมบัติซึ่งเป็นองค์ของกัลยาณมิตร ดังนี้ ๑) ปิโย เป็นที่รักเป็นที่พอใจ คือ เข้าถึงจิตใจ สร้างความรู้สึกสนิทสนมเป็นกันเอง ชวน ให้ผู้ฟังอยากสนใจที่จะซักถาม ๒) ครุ เป็นที่เคารพ คือ มีความประพฤติเหมาะแก่ฐานะ ชวนให้เกิดความอบอุ่นใจ เป็น ที่พึ่งได้อย่างปลอดภัย ๓) ภาวนีโย เป็นที่ยกย่อง คือ มีความรู้จริง ทรงภูมิปัญญาแท้จริง และเป็นผู้ฝึกฝน ปรับปรุงตนเองอยู่เสมอ เป็นที่ยกย่องน่าเอาอย่าง ทำให้ผู้ฟังเกิดศรัทธาได้ ๔) วตฺตา เป็นนักพูด โดยอาจจะเลือกใช้วิธีการเผยแผ่ในรูปแบบต่างๆ เพื่ออธิบายให้ ผู้ฟังเข้าใจ ๕) วจนกฺขโม เป็นผู้อดทนต่อถ้อยคำ คือ พร้อมที่จะรับฟังคำไต่ถาม คำล่วงเกินคำ ๗ สุรีย์มีกิจผล, พุทธประวัติ, ( กรุงเทพมหานคร : บริษัท คอมฟอร์ม จำกัด, ๒๕๔๑), หน้า ๑๐๘. ๘ พระราชวรมุนี(ประยุทธ์ปยุตฺโต), เทคนิคการสอนของพระพุทธเจ้า, (กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิ พุทธธรรม, ๒๕๓๑), หน้า ๖ – ๒๖. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๓๙