The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ใช้ในการศึกษาหาความรู้ ในเรื่องที่เกี่ยวกับนิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by wee pangjam, 2024-03-12 04:40:16

นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิกก

ใช้ในการศึกษาหาความรู้ ในเรื่องที่เกี่ยวกับนิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก

Keywords: นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฏก

๑๔๐ หลักการข้างต้นนี้เบอร์โล๖๖ได้เสนอไว้คล้ายๆ กันว่า ในการสื่อสาร ผู้ส่งสาร และผู้รับ สาร จะสื่อสารได้มีประสิทธิภาพ จะต้องมีทัศนคติที่ดีต่อตนเอง ต่อคู่สื่อสาร และต่อเนื้อหาสาร ๖.๖ องค์ประกอบของผู้รับสารตามแนวทางพระพุทธศาสนา ในกระบวนการสื่อสาร องค์ประกอบด้านผู้รับสารเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่มีความสำคัญ เนื่องจากผู้รับสารนั้นมีความแตกต่างหลากหลายซึ่งผู้ส่งสารจะต้องทำความเข้าใจหรือรู้จักผู้รับสาร ที่จะทำการสื่อสารด้วย ว่าจะทำการสื่อสารด้วยเนื้อหาใด ด้วยวิธีการอย่างไรเพื่อให้บรรลุ วัตถุประสงค์อะไร นอกจากนี้ในฝ่ายของผู้รับสารเอง จะรับสารอย่างไรเพื่อให้เกิดประโยชน์มาก ที่สุด ตามแนวคิดเกี่ยวกับการสื่อสารในพระพุทธศาสนามีเนื้อความเกี่ยวกับประเด็นเหล่านี้ปรากฏ ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ดังนี้ ๖.๖.๑ ระดับของผู้ส่งสาร สำหรับองค์ประกอบด้านผู้ส่งสารนั้น เนื่องจากในคัมภีร์พระพุทธศาสนา เช่น พระไตรปิฎก ปรากฏผู้ส่งสารโดยมาก คือ พระพุทธเจ้า ทำการสื่อสารกับบุคคลอื่น ด้วยรูปแบบ หรือวิธีการสื่อสารหลากหลายรูปแบบ ทั้งการสื่อสารเชิงวัจนะ การสื่อสารเชิงอวัจนะ หรือทั้งสอง อย่างร่วมกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผู้รับสารที่มีอยู่หลากหลายกลุ่มประเภท ตลอดจนวัตถุประสงค์เฉพาะใน การสื่อสารครั้งนั้นๆ และบริบทที่แวดล้อมอยู่อย่างไรก็ดีในส่วนของหลักการและแนวทางปฏิบัติใน ส่วนขององค์ประกอบด้านผู้ส่งสาร ปรากฏตัวอย่างและหลักธรรมที่สำคัญจำนวนมาก ซึ่งสามารถใช้ เป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ส่งสารในการสื่อสารกับบุคคลอื่น เช่น สัปปุริสธรรม ๗ เกณฑ์ในการ ตรัสวาจาของพระพุทธเจ้า คือ ในธัมมัญญูสูตร๖๗ว่าด้วยบุคคลผู้รู้ธรรม มีเนื้อหากล่าวถึงสัปปุริส ธรรม ๗ ซึ่งได้แก่ (๑) เป็นธัมมัญญู(ผู้รู้จักเหตุ) (๒) เป็นอัตถัญญู(ผู้รู้จักผล) (๓) เป็นอัตตัญญู(ผู้รู้ จักตน) (๔) เป็นมัตตัญญู(ผู้รู้จักประมาณ) (๕) เป็นกาลัญญู(ผู้รู้จักกาลเวลา) (๖) เป็นปริสัญญู(ผู้รู้ จักชุมชน) และ (๗) เป็นปุคคลัญญู(ผู้รู้จักบุคคล) ๖๘ ธรรม ๗ ประการนี้สามารถนามาประยุกต์เป็น คุณสมบัติของผู้ส่งสารได้กล่าวคือ ธรรมข้อธัมมัญญุตา อัตถัญญุตา และอัตตัญญุตา โดยประยุกต์ กล่าวถึงคุณลักษณะด้านความรู้เกี่ยวกับเนื้อหาสารของผู้ส่งสารว่า ต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ทั้งอรรถและ ธรรมในเนื้อหาสารเป็นอย่างดีกล่าวคือ มีความรู้ทั้งแบบแผน๖๙ และความหมาย ความมุ่งหมาย ผล และประโยชน์ของเนื้อหาสารที่จะสื่อสารออกไป รวมทั้งรู้จักตน คือ รู้ฐานะ ภาวะ กำลัง ความรู้ ความสามารถ คุณธรรมที่ตนเองมีอยู่เป็นอยู่๗๐ นอกจากนี้ยังต้องเป็นผู้รู้จักกาลเวลาที่เหมาะสม ระยะเวลาที่ควรหรือที่จะต้องใช้ในการสื่อสาร รวมทั้งต้องรู้จักชุมชน บุคคลที่จะทำการสื่อสารด้วย ๖๖ Berlo, D.K. The Process of Communication : Introduction to Theory and Practice, San Francisco : Rinehart Press, 1960, pp. 41-43. ๖๗ องฺ.สตฺตก. (ไทย) ๒๓/๖๘/๑๔๓-๑๔๖. ๖๘ ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๕๗/๔๐๑, องฺ.สตฺตก. (ไทย) ๒๓/๖๘/๑๔๓-๑๔๖. และพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), “พจนานุกรมพุทธศาสตร์ฉบับประมวลธรรม, หน้า ๒๑๐-๒๑๑. ๖๙ รู้แบบแผนของเนื้อหาสารอยู่ในข้อธัมมัญญุตา คือรู้ธรรม คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาตกะ อัพภูตธรรม เวทัลละ หรือนวังคสัตถุศาสน์ ๗๐ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ฉบับประมวลธรรม, หน้า ๒๑๐. ๑๔๐ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๑๔๑ ว่ามีอัธยาศัย ความสามารถ คุณธรรมอย่างไร ควรจะประพฤติต่อชุมชนบุคคลเหล่านั้นอย่างไร๗๑ เป็นต้น นั่นคือ ผู้ส่งสาร นอกจากจะรู้ความสามารถของตนเองแล้ว ยังต้องรู้จักผู้รับสาร และวิธีการ ที่จะสื่อสารกับผู้รับสารเหล่านั้นโดยคำนึงถึงกาล วัตถุประสงค์และบริบทที่ทำการสื่อสารด้วย ๖.๖.๒ ระดับของการรับสาร พระพุทธเจ้าทรงแยกวิเคราะห์ผู้รับสารตามระดับปัญญา ซึ่งแตกต่างไปจากหลักการ สื่อสารของนักวิชาการตะวันตกที่วิเคราะห์ผู้รับสารตามหลักพื้นฐานง่ายๆ เช่น ลักษณะทาง กายภาพ จิตใจ เช่น หลักทฤษฎีความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individual Defferences theory) ของเดอร์เฟอร์๗๒ ที่ให้ข้อคิดว่าบุคคลมีความแตกต่างกันในด้านบุคลิกภาพ สภาพจิตวิทยา ทัศนคติ ค่านิยม ความเชื่อ แตกต่างกัน เนื่องจากมีการเรียนรู้จากสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน แต่สำหรับ พระพุทธองค์ทรงแบ่งบุคคลที่จะสั่งสอนตามระดับปัญญา ซึ่งลึกซึ้งกว่านักวิชาการตะวันตก พระองค์จะทรงแสดงธรรม (หรือสื่อสาร) ตามความเหมาะสมของบุคคล ทรงมองเห็นว่าบุคคลมี ความสามารถทางปัญญาแตกต่างกันเป็น ๔ ระดับ๗๓ คือ ๑. อุคฆติตัญญูได้แก่ผู้มีภูมิปัญญาที่สามารถเรียนรู้และเข้าใจพระธรรมคำสอนได้ทันที เมื่อได้ฟัง เปรียบเสมือนดอกบัวเจริญเต็มที่ที่ผลิโผล่เหนือระดับน้ำ เตรียมที่จะบานได้ทันทีเมื่อได้รับ แสงจากดวงอาทิตย์ ๒. วิปจิตัญ ญูได้แก่ ผู้สามารถเรียนรู้ได้เมื่อมีการอธิบายขยายความเพิ่มเติม เปรียบเสมือนดอกบัวที่ชูก้านมาถึงระดับพื้นน้ำรอที่จะโผล่พ้นน้าในวันรุ่งขึ้นและเตรียมบานเมื่อ ได้รับแสงตะวัน ๓. เนยยะ คือ ผู้อาจเรียนรู้ธรรมด้วยอาศัยความเพียรอย่างยิ่งยวดทั้งด้วยการฟัง การ คิด การถาม การท่องบ่น เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ ต้องการเวลาในการโผล่ขึ้นสู่พ้นผิวน้ำเพื่อ เบ่งบานในโอกาสต่อไป ๔. ปทปรมะ ได้แก่ ผู้ซึ่งไม่อาจเรียนรู้และเข้าใจในพระธรรมวิเศษ แม้จะฟัง คิด และ ท่องบ่นอย่างไรก็ตามเปรียบเสมือนบัวที่จมติดอยู่ใต้ตม ผู้รับสารที่พระพุทธเจ้าได้ทรงทำการสื่อสารด้วยนั้น สามารถแบ่งได้อีกนัยหนึ่ง คือ เปรียบเข้ากับบัว ๔ เหล่า๗๔ซึ่งอรรถกถาได้กล่าว คือ ๑. บัวที่อยู่ใต้โคลนตมจัดเข้ากับปทปรมะ ๒. บัวที่ยังไม่พ้นน้ำ จมอยู่ในน้ำจัดเข้ากับเนยยะ ๓. บัวที่อยู่เสมอน้ำจัดเข้ากับวิปจิตัญญูและ ๔. บัวที่ ขึ้นพ้นน้ำ ไม่แตะน้าจัดเข้ากับอุคฆติตัญญูอย่างไรก็ตาม ตามที่ปรากฏในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ยังแสดงให้เห็นว่า สังคมยังประกอบไปด้วยผู้รับสารกลุ่มต่างๆ ที่มีความเกี่ยวพันกับการ เปลี่ยนแปลงสังคมอินเดียในสมัยพุทธกาลด้วย ซึ่งสามารถจัดกลุ่มประเภทผู้รับสารเหล่านั้นได้เป็น กลุ่มต่างๆ คือ ๑. กลุ่มผู้รับสารซึ่งเป็นผู้มีศักยภาพในการบรรลุธรรมได้เร็วหรือสามารถสอนให้รู้ได้ง่าย ๗๑ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒๑๐-๒๑๑. ๗๒ De Fleur, 1966, อ้างใน พัชนีเชยจรรยา, เมตตา วิวัฒนานุกูล, และถิรนันท์อนวัชศิริวงศ์, แนวคิดหลักนิเทศศาสตร์, (กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพ์ข้าวฟ่าง จากัด, ๒๕๓๘), หน้า ๑๘๕. ๗๓สุวัฒน์จันทรจำนง, ความเชื่อของมนุษย์เกี่ยวกับปรัชญาและศาสนา, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์สุขภาพใจ, ๒๕๔๐), หน้า ๓๑๕. ๗๔ วิ.ม. (ไทย) ๔/๙/๑๔. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๔๑


๑๔๒ ผู้รับสารกลุ่มนี้เป็นผู้รับสารกลุ่มแรกๆ ที่สามารถเข้าถึงเนื้อหาสารระดับปรมัตถสัจจะที่เป็นแก่น แกนของพระพุทธศาสนาได้อย่างรวดเร็ว๗๕ และได้กลายเป็นผู้ส่งสารที่เป็นกำลังสำคัญในการทำ การสื่อสารกับบุคคลอื่นในสังคมต่อไปอีก ๒. กลุ่มผู้นำหรือผู้ปกครอง ได้แก่ กษัตริย์พระราชา ซึ่งเป็นผู้ปกครองประเทศ แว่น แคว้น หรือเมือง ผู้รับสารกลุ่มนี้เป็นผู้มีอำนาจ เป็นผู้นำในทางอาณาจักร หรือสังคม ชุมชน ซึ่ง ความเป็นผู้มีอำนาจเป็นผู้นำนั้นสามารถบันดาลสิ่งต่างๆ ในอาณาจักร หรือสังคม ชุมชนให้เป็นไป ดังประสงค์ได้นอกจากนี้ผู้รับสารกลุ่มนี้ยังเป็นผู้ที่มีชื่อเสียง เป็นผู้ที่มีผู้รู้จักมาก เมื่อกระทำสิ่งใดไม่ ว่าจะเป็นพระจริยาวัตรส่วนพระองค์หรือต่อสาธารณะก็ตาม ย่อมส่งผลกระทบไปในวงกว้างทั้ง สังคม๗๖ ๓. กลุ่มสาวกคนสำคัญของลัทธิอื่น เป็นผู้รับสารที่สามารถกล่าวได้ว่า เป็นกลุ่มผู้รับสาร ที่เป็นกลุ่มชนชั้นนำในสังคม ผู้รับสารกลุ่มนี้มีทั้งที่เป็นกษัตริย์เสนาบดีคหบดีผู้มีชื่อเสียงมีผู้รู้จัก มาก กุลบุตรของเศรษฐีนักบวช เป็นต้น ผู้รับสารกลุ่มนี้ยังเป็นผู้อุปัฏฐากคนสำคัญหรือเป็นกำลัง สำคัญของผู้รู้นักปราชญ์เจ้าลัทธิต่างๆ ที่มีอยู่ในสังคมด้วย การแสดงความคิดเห็นหรือการกระทำ ต่างๆ ของคนกลุ่มนี้ย่อมเป็นที่สนใจ และมีผลเชิงความคิด หรือการกระทำของคนอื่นๆ ในสังคม ด้วย ๔. กลุ่มคหบดีพราหมณ์ผู้ประกอบพิธีกรรมหรือปฏิบัติตามธรรมเนียมปฏิบัติที่ แพร่หลายอยู่ในสังคมในขณะนั้น ผู้รับสารกลุ่มนี้เป็นคนส่วนใหญ่ของสังคม ซึ่งมีทิฏฐิและวัตรปฏิบัติ เป็นไปตามทิฏฐิของสังคม ตลอดจนธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ ของสังคมที่เป็นอยู่ในขณะนั้น เมื่อทิฏฐิ และวัตรปฏิบัติของผู้รับสารกลุ่มนี้ซึ่งเป็นสมาชิกส่วนใหญ่ของสังคมเปลี่ยนแปลงไป ย่อมส่งผล กระทบให้ทิฏฐิของสังคม ตลอดจนธรรมเนียมปฏิบัติของสังคมเปลี่ยนแปลงไปได้ การแบ่งกลุ่มผู้รับสารออกเป็นกลุ่มต่างๆ ข้างต้น เป็นการแบ่งกลุ่มผู้รับสารที่สะท้อนถึง ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มผู้รับสารกับวิธีการสื่อสาร วัตถุประสงค์และบริบททางสังคมที่แวดล้อม อยู่ซึ่งผู้ส่งสารต้องรู้จักผู้รับสารที่จะทำการสื่อสารด้วย อันจะนำไปสู่รูปแบบวิธีการสื่อสารที่มีความ แตกต่างกันไป๗๗ กล่าวได้ว่า การสื่อสารจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ส่งสารต้องสื่อให้เหมาะสมกับระดับปัญญาที่ แตกต่างกันของผู้รับสาร โดยใช้เทคนิควิธีการสื่อสารที่เหมาะสมกับผู้รับสาร คำสั่งสอนของพระ พุทธองค์ว่าด้วยการสื่อสารในด้านกระบวนการสื่อสาร หลักการพูด การฟัง การเลือกเชื่อ การ วิเคราะห์บุคคล ซึ่งประกอบไปด้วย (๑) อุคฆฏิตัญญู(ผู้เข้าใจได้ในฉับพลัน) (๒) วิปจิตัญญู(ผู้เข้าใจ ต่อเมื่อขยายความ) (๓) เนยยะ (ผู้ที่พอจะแนะนำได้) (๔) ปทปรมะ (ผู้ที่สอนให้รู้ได้เพียงตัวบทคือ พยัญชนะ) ดังที่กล่าวมาล้วนเป็นหลักการที่ล้ำลึกที่สร้างสรรค์ให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพหลัก คำสั่งสอนว่าด้วยการสื่อสารของพระพุทธองค์ยังครอบคลุมถึงหลักจรรยาบรรณและจริยธรรมของ การสื่อสารอีกด้วย เป็นหลักการสื่อสารที่ช่วยให้บุคคลมีความสุข มีความสัมพันธ์ที่ดีและยั่งยืนกับ บุคคลอื่นๆ และเป็นหลักการสื่อสารที่ช่วยให้สังคมทุกระดับทั้งในระดับครอบครัวชุมชน ๗๕ ทัศนีย์เจนวิถีสุข, “การสื่อสารที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสังคมที่ปรากฏในพระไตรปิฎก”, สารนิพนธ์ พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๓), หน้า ๓๑. ๗๖ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๓๙-๔๐. ๗๗ ทัศนีย์เจนวิถีสุข, การสื่อสารเชิงพุทธกับการเปลี่ยนแปลงสังคม, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรดุษฎี บัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๔), หน้า ๑๘๙. ๑๔๒ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๑๔๓ ประเทศชาติและโลก คงไว้ซึ่งสันติสุข ๖.๗ หลักการเลือกใช้ช่องทางการสื่อสารในการเปิดรับข้อมูลข่าวสาร การสื่อสารทำให้สังคมมนุษย์เข้าใจซึ่งกันและกัน เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการทำให้ มนุษย์รวมตัวกันเป็นสังคม โดยมีการสร้างกฎเกณฑ์เพื่อปรับทัศนคติตลอดจนพฤติกรรมของสมาชิก ในสังคมให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข เมื่อกล่าวถึงการสื่อสารตามแนวทางของพระพุทธเจ้านั้น หน้าที่ หลักก็คือ ช่วยให้มนุษย์รู้จักปัญหาและรู้วิธีการแก้ปัญหาด้วยตนเอง แต่การที่จะให้ผู้รับสารเชื่อถือ และยินดีจะปฏิบัติตามนั้นผู้ทำหน้าที่ส่งสารต้องเพียบพร้อมทั้งคุณสมบัติภายในและภายนอก จึง สามารถสร้างความเชื่อถือให้เกิดแก่ผู้รับสารได้ในทางพุทธศาสนาชี้ช่องทางในการรับสารผ่านทาง หูจมูก ลิ้น กาย ใจ พระพุทธองค์ทรงสอนว่าไม่ควรชื่นชมลุ่มหลงมาก เพราะเป็นช่องทางแห่งการ เกิดทุกข์ได้เป็นช่องทางของมาร (สิ่งที่ขัดขวางความดีก่อให้เกิดทุกข์) และทรงกล่าวว่า “ผู้ที่ เพลิดเพลินรูป ชื่อว่าเพลิดเพลินทุกข์ผู้ที่เพลิดเพลินทุกข์เรากล่าวว่า พ้นจากทุกข์ไม่ได้ผู้ที่ เพลิดเพลินสัททะ ฯลฯ คันธะ ฯลฯ รส ฯลฯ โผฎฐัพพะ ฯลฯ ผู้ที่เพลิดเพลินธรรมมารมณ์ชื่อว่า เพลิดเพลินทุกข์ผู้ที่เพลิดเพลินทุกข์เรากล่าวว่า พ้นจากทุกข์ไม่ได้”๗๘ พุทธพจน์นี้ชี้ให้เห็นว่า ผู้ใดชื่นชมในอายตนะต่างๆ เช่น ตา หูจมูก ลิ้น กาย ใจ ชื่นชม รูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ (สิ่งที่ถูกต้องได้) ธรรมะ (สิ่งที่รู้ได้ด้วยใจ) ผู้นั้นชื่อว่าชื่นชมในความ ทุกข์ดังนั้นผู้ที่ชื่นชมทุกข์ก็ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ไปได้พระผู้มีพระภาคยังตรัสอีกว่า รูปที่พึงรู้แจ้ง ทางตาที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ชวนให้รัก ชักให้ใคร่ พาใจให้กำหนัดมีอยู่ ถ้าภิกษุยัง เพลิดเพลิน เชยชมยึดติดรูปนั้นอยู่ เมื่อเธอเพลิดเพลิน เชยชม ยึดติดรูปนั้น ความเพลิดเพลิน ย่อม เกิดขึ้น เรากล่าวว่า เพราะความเพลินเพลิดเพลินเกิด ทุกข์จึงเกิด ฯลฯ รสที่พึงรู้แจ้งทางลิ้นมีอยู่ ฯลฯ ธรรมารมณ์ที่พึงรู้แจ้งทางใจที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ชวนให้รัก ชักให้ใคร่ พาใจให้ กำหนัดมีอยู่ ถ้าภิกษุยังเพลิดเพลิน เชยชม ยึดติดธรรมารมณ์นั้นอยู่ เมื่อเธอเพลิดเพลิน เชยชม ยึด ติดรูปนั้น ความเพลิดเพลิน ย่อมเกิดขึ้น เรากล่าวว่า เพราะความเพลินเพลิดเพลินเกิด ทุกข์จึง เกิด๗๙ พุทธพจน์นี้ชี้ให้เห็นว่า ในที่ใดมีตา มีรูป (สิ่งที่เห็นได้ด้วยตา) มีความรู้แจ้งทางตา มี ธรรมที่พึงรู้แจ้ง ด้วยความรู้แจ้งทางตา ในที่ใดมีหูมีเสียง ฯลฯ มีธรรมะ (สิ่งที่รู้ได้ด้วยใจ) มีความรู้ แจ้งทางใจ มีธรรมะที่พึงรู้แจ้ง ด้วยความรู้แจ้งทางใจในที่นั้น ย่อมเกิดทุกข์ตามมาแน่นอน นอกจากนี้ตา หูจมูก ลิ้น กาย ใจ ยังเป็นช่องทางไปยังทางของนรกได้ด้วย ทรงกล่าวว่า ในนรกทั้ง ๖ ขุมนั้น สัตว์ย่อมเห็นรูปอย่างใดอย่างหนึ่งทางตาได้แต่เห็นได้เฉพาะรูปที่ไม่น่าปรารถนา ไม่เห็น รูปที่น่าปรารถนา เห็นได้เฉพาะรูปที่ไม่น่าใคร่ ไม่เห็นรูปที่น่าใคร่ เห็นได้เฉพาะรูปที่ไม่น่าพอใจ ไม่ เห็นรูปที่น่าพอใจ ฟังเสียงอย่างใดอย่างหนึ่งทางหูได้ฯลฯ ดมกลิ่นอย่างใดอย่างหนึ่งทางจมูกได้ ฯลฯ ลิ้มรสอย่างใดอย่างหนึ่งทางลิ้นได้ฯลฯ ถูกต้องโผฎฐัพพะอย่างใดอย่างหนึ่งทางกายได้ฯลฯ รู้ แจ้งธรรมารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งทางใจได้แต่รู้แจ้งได้เฉพาะธรรมารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา ไม่รู้แจ้ง ธรรมารมณ์ที่น่าปรารถนา รู้แจ้งได้เฉพาะธรรมารมณ์ที่ไม่น่าใคร่ ไม่รู้แจ้งธรรมารมณ์ที่น่าใคร่ รู้แจ้ง ได้เฉพาะธรรมารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ ไม่รู้แจ้งธรรมารมณ์ที่น่าพอใจ๘๐ ๗๘ ส .สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๐/๑๙. ๗๙ ส .สฬา. (ไทย) ๑๘/๖๔/๕๕. ๘๐ ส .สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๓๕/๑๖๙. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๔๓


๑๔๔ พุทธพจน์แสดงให้เห็นว่า ช่องทางการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของกายมนุษย์ทั้ง ๕ ได้แก่ตา หูจมูก ลิ้น ผิวสัมผัส(กาย) ใจ สามารถรับรู้หรือรับเข้าซึ่งข่าวสารที่อาจก่อให้เกิดทุกข์(หรือนรกทาง ใจ) และสุข (หรือสวรรค์ในใจ) บุคคลจึงควรรู้จักเลือกรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ที่สร้างสุข ให้กับตน และควรหลีกเลี่ยงการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ไร้ประโยชน์ที่จะสร้างทุกข์ได้กับตน ซึ่งนับเป็น หลักการเลือกรับรู้เชื่อถือในข้อมูลข่าวสาร ดังที่ทรงตรัสแก่ชาวกาลามะที่ปรากฏในเกสปุตติสูตรว่า ๑) อย่าปลงใจเชื่อด้วยการฟังตามกันมา ๒) อย่าปลงใจเชื่อด้วยการถือสืบๆกันมา ๓) อย่าปลงใจเชื่อด้วยการเล่าลือ ๔) อย่าปลงใจเชื่อด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์ ๕) อย่าปลงใจเชื่อเพราะตรรกะ (การคิดเอาเอง) ๖) อย่าปลงใจเชื่อเพราะการอนุมาน ๗) อย่าปลงใจเชื่อด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล ๘) อย่าปลงใจเชื่อเพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว ๙) อย่าปลงใจเชื่อเพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ ๑๐) อย่าปลงใจเชื่อเพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา๘๑ นอกจากนี้ได้ทรงสอนหลักการให้เกิดความเชื่อต่อเมื่อ “เมื่อเข้าใจด้วยตนเองว่าอะไร เป็นกุศล เป็นสิ่งที่ดีไม่มีโทษ ผู้รู้สรรเสริญ ทำแล้วได้รับประโยชน์และความสุข ก็ควรยอมรับ”๘๒ ๖.๘ พุทธจริยธรรมกับการสื่อสารทางการเมือง การสื่อสารเป็นพฤติกรรมขั้นพื้นฐาน ซึ่งมีความจำเป็นในการดำรงชีวิตของมนุษย์การ สื่อสารเป็นรากฐานของกิจกรรมทางสังคมและการเมืองทุกชนิด มนุษย์ต้องอาศัยการสื่อสารเป็น เครื่องมือในการดำเนินกิจกรรมใด ๆ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ของตนเองและอาศัยการสื่อสารเพื่อให้ การอยู่ร่วมกันกับผู้คนในสังคมเป็นไปโดยปกติสุข วัตถุประสงค์ที่สำคัญซึ่งถือเป็นหลักการใหญ่ ในทางพระพุทธศาสนา คือ ไม่ว่าเมื่อทาการสื่อสารอย่างไรไป การสื่อสารนั้นก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ สุขแก่ชนจำนวนมาก ดังพุทธดำรัสเมื่อคราวที่ทรงส่งพระอรหันตสาวก ๖๐ รูปไปประกาศพระ ศาสนาว่า “ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงจาริกไป เพื่อประโยชน์สุขแก่ชนจำนวนมาก เพื่ออนุเคราะห์ ชาวโลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์” จากการวิเคราะห์เรื่องราวต่างๆ พบว่า การสื่อสารที่เกิดขึ้นนั้นมีความสัมพันธ์กับผู้รับสารที่มีความแตกต่างกัน และบริบทในการ สื่อสารเฉพาะกรณีเป็นกรณีๆ ไปด้วย ดังนั้นลักษณะรูปแบบ หรือวิธีการสื่อสารจึงมีทั้งส่วนที่ สัมพันธ์กับวัตถุประสงค์หลัก คือ เพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชนจำนวนมาก ดังนั้น วิธีการสื่อสารจึง ต้องเป็นวิธีการที่สามารถทำให้ชนทั้งหลายเหล่านั้นสามารถเข้าถึงประโยชน์ตามอุดมการณ์ทาง พระพุทธศาสนาได้เพราะคำว่า “ประโยชน์” ในทางพระพุทธศาสนา หมายถึง ความสุข หรือสิ่งที่ ๘๑ อง.ทุก. (ไทย) ๒๐/๖๖/๒๕๗. ๘๒ ชัยวัฒน์อัตพัฒน์, หลักพุทธศาสนา, หน้า ๑๑๓. ๑๔๔ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๑๔๕ จะทำให้ชีวิตดีขึ้น เจริญขึ้น หรือหมายถึง จุดหมายของชีวิตมนุษย์๘๓และวัตถุประสงค์เฉพาะ คือ วัตถุประสงค์เฉพาะในการสื่อสาร มีความสัมพันธ์กับลักษณะของผู้รับสาร ที่แสดงว่าผู้รับสารมีความ แตกต่างกันตามอัธยาศัย อนุสัย จริต อินทรีย์ที่แก่อ่อนไม่เท่ากัน๘๔ ทำให้ลักษณะ รูปแบบ วิธีการ สื่อสารมีความแตกต่างกันไป ตามลักษณะของผู้รับสาร เป็นต้นว่า สื่อสารหรือแสดงธรรมที่เป็นไป ตามความต้องการของผู้รับสาร หรือแสดงธรรมตามสติปัญญาของผู้รับสาร หรือแสดงธรรมเพื่อถอน รากถอนโคนความคิดเห็นที่ผิดๆ ของผู้รับสาร หรือแสดงธรรมแก่ผู้รับสารที่มีการพัฒนาทางจิต มาถึงระดับที่มีความพร้อมที่จะรับฟังธรรมชั้นสูง๘๕ นอกจากนี้รูปแบบวิธีการสื่อสารยังสัมพันธ์กับ วัตถุประสงค์เฉพาะที่เหมาะสมกับผู้รับสารที่มีความแตกต่างกันนั้น โดยจาแนกวัตถุประสงค์เฉพาะ ได้คือ (๑) เพื่อช่วยให้ผู้ที่ได้อบรมจิตมาแล้วได้บรรลุธรรม (๒) เพื่อแก้ทิฏฐิที่เห็นผิด (๓) เพื่อเปลื้อง ข้อสงสัย (๔) เพื่อแก้ไขหรือเพื่อให้ผู้รับสารปฏิบัติถูกต้องในธรรมเนียมหรือในวัตรปฏิบัติต่างๆ๘๖ จะเห็นได้ว่า พุทธจริยธรรมกับการสื่อสารนั้น จะเป็นตัวแปรหนึ่งที่ทำให้องค์กรการ สื่อสารต่างๆ เป็นไปในทางที่ดีและมั่นคง เช่น ในด้านสังคม และด้านเศรษฐกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการ ดำรงชีพ การแย่งชิงทรัพยากรในระดับต่างๆ ทั้งหมดสามารถนำมาบูรณาการพุทธจริยธรรมเพื่อการ สื่อสารได้๓ ทางคือ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ ๖.๘.๑ พุทธจริยธรรมการสื่อสารทางกาย การแสดงออกทางกายเป็นการแสดงออกที่บ่งบอกถึงการกระทำที่เห็นชัดเจน และ สามารถเข้าถึงผู้รับสารได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกทางท่าทาง และวิธีอื่นๆ อีก มากมาย เช่น ๑) การแสดงออกทางรอยยิ้ม ถือเป็นการสื่อไมตรีจิตไปยังบุคคลรอบข้าง เมื่อมีรอยยิ้ม ทำให้สถานการณ์ที่เคร่งเครียดคลายลง จะเห็นได้จากสื่อต่างๆ ว่าในขณะที่ผู้พูดแล้วแสดงสีหน้า ยิ้ม แย้มไปด้วย จะทำให้การพูดนั้นเต็มไปด้วยอาการยิ้มแย้ม แม้ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดก็จะทำให้ สถานการณ์เบาบางลง แม้ในภาวะวิกฤตก็ทำให้สถานการณ์นั้นยุติลงด้วยดี ๒) การแสดงออกด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นการไม่แสดงออกถึงความสามารถที่ ตัวเองมีอยู่ให้ผู้อื่นทราบเพื่อข่มผู้อื่น หรือเพื่อโอ้อวด การไม่อวดดีไม่อวดรู้ไม่เย่อหยิ่งจองหอง คือ เป็นผู้มีกิริยานอบน้อม อาการอ่อนน้อมถ่อมตนสามารถทำให้ผู้พบเห็นอยากมีปฏิสัมพันธ์ด้วย ๓) การแสดงออกด้วยการเคารพผู้ใหญ่ เป็นจริยธรรมสากลที่ทำให้มีกริยามารยาทที่ น่ารัก ไม่ก้าวร้าว ให้เกียรติผู้ใหญ่ ๔) การแสดงออกด้วยความกตัญญูเพราะเมื่อเราเกิดมาบ้านเมืองมีคุณต่อพวกเรา เรามีความสงบสุข มีความสะดวกสบาย มีที่พักอาศัยดีมีสิ่งแวดล้อมที่ดีเราจึงควรมีความกตัญญูต่อ บ้านเมือง ช่วยกันทำนุบำรุงบ้านเมือง ไม่ยั่วยุให้รัฐบาล นักการเมือง และประชาชนแตกแยกกัน แต่ ๘๓ พระมหาวิโรจน์ วิโรจโน (ผาทา), “การศึกษาวิเคราะห์แนวความคิดเรื่องประโยชน์ในพุทธ ปรัชญาเถรวาท”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย, ๒๕๕๔), หน้า ๔๙. ๘๔ ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๖๙/๒๑๕. ๘๕ ทัศนีย์เจนวิถีสุข, “การสื่อสารที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสังคมที่ปรากฏในพระไตรปิฎก”, สาร นิพนธ์พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต, หน้า ๖๔. ๘๖ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๐๗. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๔๕


๑๔๖ ควรกตัญญูต่อบ้านเมืองโดยการส่งเสริม สนับสนุนในการทำให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง ๕) การแสดงออกด้วยการให้ซึ่งปกติเมื่อพูดถึงคำว่า “ให้” เรามักนึกถึงให้สิ่งของ วัตถุ หรือเงินตรา สำหรับการบูรณาการ การให้สามารถแบ่งได้๓ ประการคือ ๑. การให้วัตถุสิ่งของต่างๆ เช่น การให้ปัจจัย ๔ ได้แก่ เสื้อผ้า อาหาร ยารักษาโรค ที่ อยู่อาศัย ในปัจจุบันและสิ่งอานวยความสะดวกเช่น รถยนต์อุปกรณ์เกี่ยวกับการสื่อสาร เป็นต้น ๒. การให้ความรู้ต่าง ๆ อันก่อประโยชน์ให้แก่ส่วนรวม และสังคม เช่น การให้ความรู้ใน ด้านภาษา การให้ความรู้ในแง่ของวิชาการ การให้ความรู้ในด้านการประกอบอาชีพ การให้ความรู้ ในเรื่องของหลักศาสนา ๓. การให้อภัย ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการอยู่ร่วมกันในสังคม ถ้าคนในสังคมรู้จักให้ อภัยกันก็จะไม่เกิดความขัดแย้งแล้วเลยไปที่ความรุนแรง การอยู่ร่วมกันย่อมมีการกระทบกระทั่งกัน ผู้คนในสังคมควรมีการให้อภัยกัน หลักความคิดการให้อภัยต้องมี“ปัญญา” กำกับเสมอ โดยมอง จากความเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตนจนละเลยการให้อภัยก็เพราะเกิดจากความเห็นแก่ตัว การให้อภัย ถือเป็นการไม่เบียดเบียนผู้อื่น ๖) การแสดงออกด้วยความรักความสามัคคีเป็นการแสดงออกทางการกระทำที่ทำให้ ประชากรมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อะลุ่มอล่วยในหลักการ ตักเตือน รับฟัง เคารพความ คิดเห็นของผู้อื่นอย่างมีเหตุผล ๖.๘.๒ การสื่อสารทางวาจา ในการสื่อสารทางการเมืองนั้น คำพูดที่พูดเป็น “คำจริง” คือเป็นความจริง พูดออกมา ต้องมาจากความ “จริงใจ” และเมื่อพูดคำไหนต้องทำตามคำพูดที่ตนเองพูดไว้ที่เรามักเรียกว่า “จริงวาจา” หรือที่เรียกว่า สัจจะวาจา ดังนั้นการสื่อสารทางการเมือง จึงควรประกอบด้วย ๑. ต้องเป็นคำจริง ไม่ใช่คำพูดที่ปั้นแต่งขึ้น ไม่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ไม่ บิดเบือนจากความจริง ไม่เสริมความ ไม่เอาความต้องเป็นเรื่องจริงๆ ที่เป็นประโยชน์ ๒. ต้องเป็นคำสุภาพ เป็นคำพูดไพเราะที่กลั่นออกมาจากใจที่บริสุทธิ์ไม่เป็นคำหยาบ คำด่า คำประชดประชัน หรือคำเสียดสีเป็นต้น ๓. พูดแล้วต้องก่อให้เกิดประโยชน์เกื้อกูล เกิดผลดีทั้งแก่ผู้พูด และผู้ฟังถึงแม้คำพูดนั้น จะจริง และเป็นคำสุภาพแต่ถ้าพูดแล้วไม่เกิดประโยชน์กลับจะทำให้เกิดโทษ ก็ไม่ควรพูด ๔. พูดไปด้วยความรัก ความปรารถนาดีอยากให้ผู้ฟังมีความสุข ๕. พูดถูกกาลเทศะ แม้ใช้คำพูดที่ดีเป็นคำจริง เป็นคำสุภาพเป็นคำพูดที่มีประโยชน์ และพูดด้วยจิตที่เปี่ยมไปด้วยความรัก แต่ถ้าผิดจังหวะไม่ถูกกาลเทศะผู้ฟังยังไม่พร้อมที่จะรับแล้ว จะก่อให้เกิดผลเสียได้เช่น จะกลายเป็นประจานกันหรือจับผิดไป ๖. พูดถูกเวลา ให้ระลึกว่าเวลาไหนควรพูด เวลาไหนยังไม่ควรพูด ควรพูดนานเท่าไร ต้องคาดผลที่จะเกิดขึ้นไว้ด้วย ๗. พูดถูกสถานที่ รู้ว่าในสถานที่เช่นไร เหตุการณ์แวดล้อมเช่นไร จึงควรที่จะพูดหากพูด ออกไปแล้วจะมีผลดีหรือผลเสียอย่างไร เช่นมีความหวังดีอยากเตือนเพื่อนไม่ให้ดื่มเหล้าแต่ไม่เตือน ขณะที่กาลังมาอยู่อย่างนี้นอกจากเขาจะไม่ฟังแล้ว เราเองอาจเจ็บตัวได้“คนฉลาดไม่ใช่เป็นแต่พูด เท่านั้น ต้องนิ่งเป็นด้วย” “คนที่พูดเป็นนั้น ต้องรู้ในสิ่งที่ไม่ควรพูดให้ยิ่งกว่าสิ่งที่ควรพูด” ๘. ไม่พูดจายั่วยุคือไม่พูดให้เกิดความแตกความสามัคคีไม่พูดให้เกิดความเข้าใจผิด หรือพูดเสริมความให้ผู้อื่นแตกแยกกัน ๑๔๖ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๑๔๗ ๖.๘.๓ การสื่อสารทางใจ การสื่อสารทางการเมืองต้องตั้งอยู่ภายใต้จิตสำนึกของความรับผิดชอบสากล คือเป็นสิ่ง ที่ควรระลึกถึงความรับผิดชอบที่มุ่งประโยชน์สุขต่อผู้อื่น เป็นความรับผิดชอบต่อผู้อื่น และต่อสังคม เช่นรัฐ หรือ นักการเมืองควรระลึกเสมอว่าการสื่อสารทางการเมืองควรกระทำบนพื้นฐานความ รับผิดชอบต่อสังคมโดยไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง หรือยั่วยุ เป็นต้น และความรักสากล คือมีใจที่ เปี่ยมไปด้วยความรักแก่ผู้อื่น และต้องการให้ผู้อื่นมีความสุข มีใจที่ทำให้ผู้อื่นมีความสุขโดยไม่หวัง สิ่งตอบแทน จากที่กล่าวเรื่อง “การให้อภัย” ในการสื่อสารทางเพื่อสันติในข้างต้น การให้อภัยยัง สามารถกระทำได้๓ ทาง คือ ทางใจ ทางวาจา และ ทางกาย๘๗ ที่มีความสอดคล้องเชื่อมโยงกัน และกัน ดังนี้ ๑) อภัยทานทางใจ ถือว่าเป็นจุดเริ่มแรกที่จะพัฒนาไปสู่การให้อภัยทานในการจัดการ ความขัดแย้ง โดยการ เปิดใจ เพื่อรื้อถอนสลายการยึดมั่นถือมั่น (ทิฏฐิ) ในตัวตน ยอมรับกับความ เป็นจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งหมายความรวมไปถึง การเปิดใจพร้อมที่จะสำนึกผิดหรือยอมรับผิด ในสิ่งที่ กระทำต่อกัน อภัยทานทางใจนั้น ยังเป็นการฝึกใจ ให้มีความอดทน เป็นอิสระจากความอาฆาต พยาบาทโกรธแค้นทั้งปวง ปรับเปลี่ยนใจให้มีความรักต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันแม้ว่าจะเป็นคู่กรณีใน ความขัดแย้งก็ตาม ซึ่งถือได้ว่าเป็นการเอาชนะใจตนเอง และเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ผู้มีใจ สูง นอกจากนี้ยังถือเป็นการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ที่มีต่อตนเอง และคู่กรณีเปิดใจสลายทั้งความ เป็นผู้ถูกกระทำ และผู้กระทำ สร้างความเชื่อใจต่อความเป็นมนุษย์ด้วยกัน ถือเป็นการสร้างโอกาส กระทำความดีที่ยิ่งใหญ่ให้ตนเอง เป็นการเปิดพื้นที่ของการเรียนรู้ผู้อื่นเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ความเชื่อ และทัศนะที่แตกต่างจากตนเอง เป็นการหันหน้าเข้าหากัน เพื่อจะไปรับฟังอย่างตั้งใจ ฟัง อย่างลึกซึ้ง ถึงข้อมูล ปัญหา ความทุกข์ความเดือดร้อน ความหวาดกลัว ขั้นตอนดังกล่าวนี้ถือว่า เป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุด ซึ่งจะสอดคล้องเชื่อมโยงไปยังวิธีการอภัยทานทางวาจาและทางกาย ต่อไป ๒) อภัยทานทางวาจา เป็นการกล่าวคำพูด ที่มีลักษณะดังนี้คือ (๑) กล่าวคำพูด ที่ สุภาพ ไพเราะ ไม่หยาบคาย (๒) กล่าวคำพูดที่ ซื่อสัตย์จริงใจ เหมาะแก่กาล และเป็นประโยชน์ต่อ ผู้ฟัง (๓) กล่าวคำพูดที่พูดด้วยความปรารถนาดีต่อกัน เป็นคำพูดที่ไม่เบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น ไม่ดูถูก เหยียดหยาม เช่น กล่าวคำพูดที่แสดงให้เห็นว่า ตนเองเหนือกว่าหรือ ยกตนข่มท่าน (๔) กล่าว คำพูดที่ก่อให้เกิดความสมานฉันท์หลีกเลี่ยงการใช้คำพูดที่พูดยุยงให้เกิดการแตกแยกหรือเกิดความ รุนแรง การกล่าวคำว่า “ขอโทษ” ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งของวิธีการอภัยทานทางวาจา โดยเป็นคำที่นิยม มากที่สุด และการกล่าวขอโทษจะต้องมีเจตนารมณ์ในการกล่าวอย่างจริงใจที่พร้อมจะแสดงออกถึง การยอมรับผิด และสำนึกผิดในสิ่งที่ได้กระทำ ๓) อภัยทานทางกาย เป็นวิธีการของอภัยทานที่แสดงออกอย่างชัดเจน เป็นการกระทำ ที่สื่อเชื่อมโยงมาจากอภัยทานทางใจ และวาจา ซึ่งวิธีการของอภัยทานทางกาย จะมีลักษณะการ แสดงออกต่างๆได้หลายประการ คือ การเคารพ และให้เกียรติในความคิดของผู้อื่น โดยการฟังอย่าง ตั้งใจ ในการรับทราบ ข้อมูลเรื่องราวต่างๆ และการฟังอย่างลึกซึ้งนั้น ถือว่าเป็นวิธีการของอภัยทาง กายที่สำคัญ เพราะเป็นการแสดงออกของอภัยทานทางใจ ที่จะบ่งบอกถึงการเปิดใจ ทลายกำแพง ของการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ยอมรับความเป็นจริงในความคิดที่แตกต่างหลากหลาย เป็นการ ๘๗ กษิรา เทียนส่องใจ, “การศึกษาวิเคราะห์อภัยทานเพื่อการจัดการความขัดแย้งในสังคมไทย ปัจจุบัน”, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๑), หน้า ๓๐๔-๓๐๘. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๔๗


๑๔๘ ถ่ายทอด หมุนเวียนในอารมณ์ความรู้สึก ความนึกคิด ของกันและกัน ซึ่งจะนำพาไปสู่ความเข้าใจ ต่อกันได้ในที่สุด นอกจากนี้วิธีการของอภัยทานทางกาย ยังสามารถแสดงออกได้ด้วยภาษากาย ทาง แววตา กิริยาท่าทางที่สุภาพ การยกมือไหว้หรือ การขอขมา ก็ถือว่าเป็นวิธีการของอภัยทานทาง กายด้วยเช่นกัน ประการสุดท้ายที่สำคัญ คือ การเสียสละ แบ่งปัน เพื่อเป็นการชดเชย และเยียวยา ก็จัดว่าเป็นวิธีของอภัยทานทางกาย เพราะความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในหลายสถานการณ์ที่มี องค์ประกอบด้านผลประโยชน์และความต้องการนั้น เป็นสิ่งที่สามารถหาทางออกร่วมกันได้หาก คู่กรณีทั้ง ๒ ฝ่ายพยายามที่จะตระหนักรู้ถึงความอยู่รอดของอีกฝ่ายหนึ่ง โดยการ เสียสละแบ่งปัน ทรัพยากร เงิน สิ่งของต่างๆ ที่สอดรับกับความต้องการของผู้ที่เสียผลประโยชน์จะก่อให้เกิด ความสัมพันธ์ในเชิงบวกขึ้นได้และมีผลต่อคุณค่าภายในจิตใจของแต่ละบุคคลทำให้สามารถดำเนิน ชีวิตได้อย่างมีความสุข๘๘ จากที่กล่าวมาการบูรณาการ “พุทธจริยธรรม” ต่อการสื่อสาร สามารถบูรณาการได้ทั้ง ทางกาย วาจา และใจ ดังนั้น การบูรณาพุทธจริยธรรมเพื่อการสื่อสาร ควรกระทำทั้งภายนอกคือ การกระทำทางกาย และคำพูด ส่วนภายในคือด้านจิตใจอันอยู่บนพื้นฐานของ “ความรักสากล” (Universal Love) และประชากรทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันที่เรียกว่าสิทธิมนุษยชน (human right) อันเป็นรากฐานของประชาธิปไตย คือสื่อสารด้วยความรัก และอดทนอดกลั้นต่อสิ่งที่มากระทบทาง กาย วาจา การสื่อสารทางกายต้องประกอบไปด้วยรอยยิ้ม สื่อสารด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน เคารพผู้ใหญ่กตัญญูต่อแผ่นดิน รู้จักเป็นผู้ให้ทั้งวัตถุให้ความรู้และให้อภัย การให้ทั้ง ๓ ประการที่ กล่าวมาแล้วโดยเฉพาะการ “ให้อภัย” ซึ่งก่อให้เกิดความปรองดอง และสันติในการสื่อสารอย่าง แท้จริง สรุปได้ว่า การสื่อสารทางกายต้องประกอบไปด้วยรอยยิ้ม สื่อสารด้วยความอ่อนน้อม ถ่อมตน เคารพผู้ใหญ่ กตัญญูต่อแผ่นดิน รู้จักเป็นผู้ให้ทั้งวัตถุ ให้ความรู้และให้อภัย แล้วยัง ประกอบด้วยความรับผิดชอบในตนเอง รับผิดชอบต่อผู้อื่น และความรับผิดชอบต่อสังคมรวมไปถึง ความเป็นกลางที่ไม่เลือกข้างที่ต้องมีรากเง้ามาจาก “จริยธรรม” และจริยธรรมเพื่อการสื่อสารจะ บรรลุเป้าหมายได้ก็ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยทางสังคมต้องเป็นอิสระจากอำนาจทุนหรือโลกทัศน์ที่ไม่ได้ ถูกครอบงำด้วยการบริโภคนิยมหรือทุนนิยมที่ก่อให้เกิดสังคม “ทุบโต๊ะ” ในส่วนของ “การสื่อสาร” จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ย่อมขึ้นอยู่กับรัฐ สื่อมวลชน นักการเมือง ประชาชน ว่าจะยึดหลักพุทธจริยธรรม ดังกล่าวมาใช้ในการสื่อสารหรือไม่นั่นเอง ๖.๙ สรุปท้ายบท พุทธจริยธรรม คือ หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาในส่วนที่เป็นจริยธรรม คุณธรรม เป็นระบบความประพฤติที่ครบถ้วนบริบูรณ์มีเนื้อหาสาระครอบคลุมความประพฤติของมนุษย์ที่ ปรากฏทั้ง กาย วาจา ใจ ไม่ว่าจะเป็นความประพฤติระดับต้น ที่เกี่ยวกับการดำรงชีวิตของตนด้วยดี มีการเกื้อกูลแก่กันและกัน ช่วยกันรักษาระบบสังคมที่ตนมีส่วนร่วมในการที่จะให้เกิดประโยชน์ เกื้อกูลแก่การดำเนินชีวิตที่ดีงาม ความประพฤติระดับกลางที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาปรับปรุง คุณภาพทางจิตใจให้มีคุณภาพ มีความตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว มีความกล้าหาญ และพร้อมที่จะเผชิญกับ ความเป็นจริงของชีวิต และโลก และระบบความประพฤติระดับสูง ซึ่งต้องใช้ความรู้ความเข้าใจ คือ ๘๘ กษิรา เทียนส่องใจ, “การศึกษาวิเคราะห์อภัยทานเพื่อการจัดการความขัดแย้งในสังคมไทย ปัจจุบัน”, หน้า ๓๐๘. ๑๔๘ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๑๔๙ ตัวปัญญา โดยใช้ปัญญา พินิจพิจารณามองดูให้รู้จัก และมีความเข้าใจ ความเป็นจริงของชีวิต แล้ว พยายามวางแผนการปฏิบัติหรือจัดระบบให้เหมาะสมในการดำเนินชีวิตของตนและสังคม เพื่อ สร้างสรรค์คุณภาพชีวิต และสังคมให้ดำเนินไปสู่จุดหมายของชีวิตที่ดีงามอย่างแท้จริง บุคคลประกอบด้วยรูปและนาม รูป คือ รูปธรรมหรือร่างกายมนุษย์ซึ่งประกอบด้วย ธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และหมายถึง รูปธรรม ที่เข้ามาสัมผัสทาง ตา หูจมูก ลิ้น กาย ใจ ส่วน ของตา หูจมูก ลิ้น กาย และใจ เรียกว่า อายตนะภายใน ส่วน รูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ และ ธรรมารมณ์เรียกว่า อายตนะภายนอก อายตนะ แปลว่า แดนต่อเชื่อม คือ ตา สัมผัส รูป หูสัมผัส เสียง จมูก สัมผัส กลิ่น ลิ้น สัมผัส รส กายสัมผัส โผฎฐัพพะ หมายถึง สิ่งที่สัมผัสได้ด้วยกาย ได้แก่ ความร้อน ความเย็น ความแข็ง ความอ่อน ใจสัมผัส ธรรมารมณ์หมายถึง สิ่งที่ใจคิดเรื่องราวต่างๆ ที่ระลึกได้เกี่ยวกับสิ่งที่พบหรือรับรู้ทาง หูตา จมูก ลิ้น และกาย และปรากฏขึ้นทางใจ ฉะนั้น การสื่อสารจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ส่งสารต้องสื่อให้เหมาะสมกับระดับปัญญาที่ แตกต่างกันของผู้รับสาร โดยใช้เทคนิควิธีการสื่อสารที่เหมาะสมกับผู้รับสาร คำสั่งสอนของพระ พุทธองค์ว่าด้วยการสื่อสารในด้านกระบวนการสื่อสาร หลักการพูด การฟัง การเลือกเชื่อ การ วิเคราะห์บุคคล ซึ่งประกอบไปด้วย ๑) อุคฆฏิตัญญูผู้เข้าใจได้ในฉับพลัน ๒) วิปจิตัญญูผู้เข้าใจ ต่อเมื่อขยายความ ๓) เนยยะ ผู้ที่พอจะแนะนำได้และ ๔) ปทปรมะ ผู้ที่สอนให้รู้ได้เพียงตัวบทคือ พยัญชนะ ดังที่กล่าวมาล้วนเป็นหลักการที่ล้ำลึกที่สร้างสรรค์ให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพหลักคำสั่ง สอนว่าด้วยการสื่อสารของพระพุทธองค์ยังครอบคลุมถึงหลักจรรยาบรรณและจริยธรรมของการ สื่อสารอีกด้วย เป็นหลักการสื่อสารที่ช่วยให้บุคคลมีความสุข มีความสัมพันธ์ที่ดีและยั่งยืนกับบุคคล อื่นๆ และเป็นหลักการสื่อสารที่ช่วยให้สังคมทุกระดับทั้งในระดับครอบครัวชุมชน ประเทศชาติและ โลก คงไว้ซึ่งสันติสุข กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พุทธจริยธรรมกับการสื่อสารนั้น จะเป็นตัวแปรหนึ่งที่ทำให้องค์กร การสื่อสารต่างๆ เป็นไปในทางที่ดีและมั่นคง เช่น ในด้านสังคม และด้านเศรษฐกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ การดำรงชีพ การแย่งชิงทรัพยากรในระดับต่างๆ ทั้งหมดสามารถนำมาบูรณาการพุทธจริยธรรมเพื่อ การสื่อสารได้๓ ทางคือ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ กล่าวคือ การสื่อสารทางการเมืองทางกาย ต้องประกอบไปด้วยรอยยิ้ม สื่อสารด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน เคารพผู้ใหญ่ กตัญญูต่อแผ่นดิน รู้จักเป็นผู้ให้ทั้งวัตถุ ให้ความรู้และให้อภัย แล้วยังประกอบด้วยความรับผิดชอบในตนเอง รับผิดชอบต่อผู้อื่น และความรับผิดชอบต่อสังคมรวมไปถึงความเป็นกลางที่ไม่เลือกข้างที่ต้องมีราก เง้ามาจาก “จริยธรรม” และจริยธรรมเพื่อการสื่อสารจะบรรลุเป้าหมายได้ก็ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยทาง สังคมต้องเป็นอิสระจากอำนาจทุนหรือโลกทัศน์ที่ไม่ได้ถูกครอบงำด้วยการบริโภคนิยมหรือทุนนิยม เป็นต้น นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๔๙


๑๕๐ บทที่ ๗ การพัฒนาบุคลิกภาพเกี่ยวกับการสื่อสาร (Personality Development Regarding Communication) ๗.๑ ความนำ การพัฒนาบุคลิกภาพในพระพุทธศาสนา คือการประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของ พระพุทธเจ้าเพื่อปรับปรุงบุคลิกภาพภายในจิตที่เป็นมโนทุจริตปรับเปลี่ยนมาเป็นมโนสุจริต เมื่อ บุคลิกภาพภายในได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นจะส่งผลให้บุคลิกภาพภายนอกได้รับการปรับปรุงตามไป ด้วยคือเปลี่ยนแปลงจากกายทุจริต วจีทุจริต มาเป็นกายสุจริต วจีสุจริต ตามบุคลิกภาพภายในที่ ได้รับการปรับปรุง การพัฒนาบุคลิกภาพในพระพุทธศาสนาเป็นการพัฒนาคน ๓ ประการคือการ พัฒนาทางกาย การพัฒนาทางจิต การพัฒนาทางปัญญา และการพัฒนาบุคลิกภาพตามกรอบมงคล ๓๘ และการพัฒนาตามหลักไตรสิกขา อันได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา สามารถจัดสงเคราะห์เข้า ด้วยกันได้อย่างสอดคล้องสมดุล ส่งผลให้กับบุคคลที่ได้รับการพัฒนาบุคลิกภาพได้รับประโยชน์ ๓ ประการคือ ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์(ประโยชน์ในปัจจุบัน) สัมปรายิกัตถประโยชน์(ประโยชน์ในภาย หน้า) และปรมัตถประโยชน์(ประโยชน์สูงสุด) และการพัฒนาบุคลิกภาพในพระพุทธศาสนายังเป็น ประโยชน์ต่อบุคคลอื่นและสังคมทั่วไปด้วย๑ หลักธรรมคำสอนพระพุทธศาสนาเถรวาทมีความสำคัญและสัมพันธ์กับมนุษย์ในทุก แง่มุมของชีวิต การปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าจะส่งผลดีต่อผู้ปฏิบัติ หากผู้ปฏิบัติมีความ ตั้งใจแน่วแน่ มีความอุตสาหะ ใช้เวลาศึกษาภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติจนเข้าใจ เริ่มตั้งแต่การให้ ทาน รักษาศีล การบำเพ็ญภาวนา ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่เอื้อประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตในทุกๆ ด้าน ส่วนการดำเนินชีวิตด้านอื่นๆ ที่เฉพาะเจาะจงเราก็สามารถน้อมนำหลักธรรมข้ออื่นๆ ที่พระ ศาสดาทรงตรัสรู้ธรรมไว้มากถึง ๘๔๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ซึ่งเป็นหลักคำสอนครอบคลุมชีวิตมนุษย์ ให้เราสามารถนำมาประยุกต์ใช้ตามเหตุตามกาล ในด้านการพัฒนาบุคลิกภาพก็เช่นกัน พฤติกรรม ของบุคคลในแต่ละด้านซึ่งเป็นพื้นฐานบุคลิกภาพโดยรวม สามารถปรับปรุงได้ด้วยหลักพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็น การแต่งกาย การแสดงกิริยาท่าทาง การสื่อสาร ความเอาใจใส่ ความซื่อสัตย์ การ เสียสละ การรู้กาลเทศะ การรู้จักควบคุมอารมณ์ เหล่านี้หากได้รับการพัฒนาแล้ว ถึงแม้จะมีสิ่งเร้า มากระทบอายตนะแต่พฤติกรรมที่แสดงออกจะเป็นพฤติกรรมที่มีปัญญาคอยควบคุมจะสามารถ แปลงพฤติกรรมที่แสดงออกมาให้เป็นไปในทางที่พึงประสงค์ได้ อันจะส่งผลให้บุคคลเป็นผู้มี บุคลิกภาพที่ส่งผลดีต่อการดำเนินชีวิตไม่เบียดเบียนผู้อื่น สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างถูกต้องตรง ตามจุดมุ่งหมายเอื้ออำนวยให้เกิดผลดีต่อการดำเนินงาน ก่อประโยชน์ตนและประโยชน์ส่วนรวม ต่อไป ๑ พระพิรุณ วุฑฺฒิธมฺโม, “การพัฒนาบุคลิกภาพในพระพุทธศาสนา”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตร มหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๕). ๑๕๐ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๑๕๑ ๗.๒ ความหมายของบุคลิกภาพ บุคลิกภาพในทางพระพุทธศาสนา หมายถึง ลักษณะเฉพาะของบุคคลที่แสดงออกทาง พฤติกรรมเป็นกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต หรือแสดงออกทางพฤติกรรมเป็นกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ที่มีอยู่ภายในจิต แสดงปรากฏออกมาให้บุคคลอื่นรับรู้ และมีการปรับเปลี่ยนตาม แรงจูงใจจากภายนอกหรือแรงผลักดันจากภายในจิต การแสดงพฤติกรรมให้ปรากฏออกมาจะขึ้นอยู่ กับจริต ๖ ประกอบด้วย ราคจริต โทสจริต โมหจริต สัทธาจริต พุทธิจริต วิตกจริต รวมเรียกว่า บุคลิกภาพ จัดเป็น ๒ ประเภท ดังนี้ ๗.๒.๑ บุคลิกภาพภายนอก บุคลิกภาพภายนอก หมายถึง บุคลิกลักษณะที่เป็นลักษณะเฉพาะของบุคคลผู้ที่มีกาย สุจริต วจีสุจริต หรือ กายทุจริต วจีทุจริต สังเกตได้ง่ายปรากฏให้เห็นชัดเจนตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ได้แก่ รูปร่างหน้าตา ผิวพรรณ กิริยาท่าทาง การแต่งกาย การวางตัว การพูด ผู้ที่มีราคจริตจะเป็นผู้ ที่รักสวยรักงาม ชอบแต่งตัว ประณีตชอบอ่อนหวาน มีกิริยาท่าทางที่สุภาพเรียบร้อย ผู้ที่มีโทสจริต จะเป็นผู้ที่แต่งตัวไม่พิถีพิถัน ชอบส่งเสียงดังโวยวาย และแสดงออกซึ่งกริยาที่ไม่สุภาพ บุคลิกภาพที่ แสดงออกมาให้บุคคลอื่นรับรู้ ในด้านแสดงถึงบุคลิกลักษณะอันงดงาม ในทางพระพุทธศาสนากล่าว ความถึงพร้อมในความงามไว้ดังนี้ ๑) อาทิกัลยานัง งามในเบื้องต้น คืองามด้วยศีล ๒) มัชเฌกัลยานัง งามในท่ามกลาง คืองามด้วยสมาธิ ๓) ปะริโยสานะกัลยานัง งามในที่สุด คืองามด้วยปัญญา ในอรรถกถาอธิบายถึงบุคลิกภาพภายนอกของหญิงที่บุคคลอื่นรับรู้ได้จากการมองเห็น ด้วยตา อันเป็นลักษณะความงามที่เรียกว่า “เบญจกัลยาณี” คือความงาม ๕ ประการ ดังนี้ (๑) ผมงาม ได้แก่ ผมที่มีลักษณะเหมือนกำหางนกยูง เมื่อปล่อยลงมาถูกชายผ้านุ่ง แล้ว ปลายผมจะงอนม้วนกลับขึ้นมาและทรงอยู่อย่างนั้น (๒) เนื้องาม ได้แก่ มีริมฝีปากแดงระเรื่อ เหมือนผลตำลึงสุก (๓) กระดูกงาม ได้แก่ ฟันขาวเรียบไม่ห่างกัน สวยเหมือนเพชร ที่จัดได้เป็น ระเบียบ (๔) ผิวงาม ได้แก่ ผิวพรรณของหญิง หากเป็นคนผิวดำ สีผิวก็จะดำเหมือนสี ดอกบัวขาบ (นิลุบล) และไม่หยาบ ไม่มีจุดด่างดำ หากเป็นคนผิวขาว สีผิวก็จะขาวเหมือนดอก กรรณิการ์ (๕) วัยงาม ได้แก่ หญิงที่คลอดบุตรแล้วตั้ง ๑๐ ครั้ง ก็เหมือนคลอดครั้งเดียวยัง สาวพริ้งอยู่๒ มิคารเศรษฐี คหบดีแห่งกรุงสาวัตถี มีบุตรชื่อว่าปุณณวัฒนกุมาร เมื่อบุตรนั้นเจริญวัย มารดาบิดาต้องการให้แต่งงาน แต่ปุณณวัฒนกุมารยังไม่อยากแต่งงานจึงกล่าวว่า “ถ้าพบหญิงงาม พร้อมตามลักษณะเบญจกัลยาณีเมื่อไรจึงจะแต่งงาน” เศรษฐีจึงส่งพราหมณ์ไปแสวงหาหญิงเบญจ กัลยาณี พวกพราหมณ์เที่ยวแสวงหาไปตามเมืองต่าง ๆ ทั้งเมืองเล็กเมืองใหญ่ จนมาถึงเมืองสาเกต ได้พบนางวิสาขาผู้มีลักษณะภายนอกถูกต้องตามตำราอิตถีครบทุกประการ ในขณะที่นางพร้อมทั้ง ๒ ขุ.ธ.อ (ไทย) ๒๕/๑๔/๑๘. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๕๑


๑๕๒ หญิงบริวารออกมาเที่ยวเล่นน้ำกันที่ท่าน้ำ ขณะนั้นฝนตกลงมาอย่างหนัก หญิงบริวารทั้งหลายพา กันวิ่งหลบหนีฝนเข้าไปในศาลา แต่นางวิสาขากลับค่อย ๆ เดินช้า ๆ ตามไป ทำให้เนื้อตัวเปียกปอน ไปหมด พวกพราหมณ์ทั้งหลายรู้สึกแปลกใจประกอบกับต้องการจะเห็นลักษณะฟันของนางด้วยจึง เข้าไปถามนางว่า "ทำไมเธอจึงไม่วิ่งหลบหนีฝนเหมือนกับหญิงอื่น" นางวิสาขากล่าวตอบว่า ชน ๔ จำพวกเมื่อวิ่งจะดูไม่งาม ชน ๔ จำพวกนั้น ได้แก่ ๑. พระราชาทรงรับราชาภิเษก มีเครื่องอาภรณ์ประดับกายอยู่ ถ้าวิ่งเวลาใด จะถูกติ เตียนได้ว่า ทำตัวเยี่ยงสามัญชน ๒. ช้างทรงของพระราชา ที่ควาญประดับเครื่องคชาภรณ์พร้อมให้สมกับตำแหน่ง ถ้าวิ่ง เหมือนสัตว์อื่น ก็เป็นสิ่งที่ไม่งาม ไม่สมควรแก่การเป็นช้างของพระราชา ๓. นักบวชหรือบรรพชิต ผู้ประพฤติดีงาม อยู่ในความสงบ มีจริยวัตรที่สงบเสงี่ยม ถ้า เผลอสติไปวิ่งเข้า จะถูกติเตียนได้ว่าไม่มีความงามตามสมณวิสัย ๔. สตรี ควรรักษากิริยามารยาทให้สมกับเป็นหญิง เพราะความมีมารยาทงามนั้นดุจดั่ง อาภรณ์งดงามประการหนึ่งทีเดียว ผู้หญิงที่ได้รับการประคับประคองดูแลอย่างดีจากบิดามารดา เปรียบดั่งอัญมณีอันหาค่ามิได้ ถ้าวิ่งแล้วเกิดพลาดพลั้งล้มลง ร่างกายได้รับบาดเจ็บ บิดามารดาย่อม เสียใจ เมื่อพราหมณ์ได้เห็นนางวิสาขามีลักษณะของหญิงเบญจกัลยาณีครบถ้วนจึงสวมมาลัย ทองให้นางวิสาขาเป็นการหมั้นหมายและกำหนดวันวิวาหมงคล พราหมณ์ได้กลับไปแจ้งข่าวแก่มิ คารเศรษฐี ท่านเศรษฐีได้เข้าเฝ้ากราบทูลพระเจ้าปเสนทิโกศล พระองค์ได้ไปร่วมงานด้วยตนเอง เพื่อให้เกียรติที่นางยอมมาอยู่แคว้นสาวัตถี ๗.๒.๒ บุคลิกภาพภายใน หมายถึง บุคลิกลักษณะเฉพาะของบุคคลผู้มีมโนสุจริตและมโนทุจริต เป็นลักษณะที่ ซ่อนอยู่ภายใน มองไม่เห็น สัมผัสยาก แต่สามารถศึกษาได้จากการมีปฏิสัมพันธ์ การแสดงออกของ บุคลิกภาพภายในนั้นจะเป็นการแสดงออกด้านอุปนิสัย โดยบุคคลจะแสดงออกแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับจริตของแต่ละบุคคล คือ บุคคลที่มีโมหจริต จะเป็นคนที่โลภอยากได้ของคนอื่นและชอบ ทำตัวถือตนเป็นใหญ่ บุคคลที่มีวิตกจริต จะเป็นคนที่มีนิสัยที่ไม่ชอบตัดสินใจและชอบทำอะไรที่ไม่ เป็นตามกฎระเบียบ บุคคลที่มีศรัทธาจริต จะเป็นคนที่เชื่อคนง่าย ใครพูดอะไรก็เชื่อ ไม่พิจารณาถึง เหตุผล บุคคลที่มีพุทธจริต จะเป็นคนที่มีปัญญามาก ชอบสอนคนอื่น ฉลาดมีความจำที่ดี มองสิ่ง ต่างๆตามความเป็นจริง โดยไม่มีอคติ ในทางจิตวิทยา ได้มีนักจิตวิทยาให้ความหมาย บุคลิกภาพไว้อย่างมากมาย ดังต่อไปนี้ คำว่า “บุคลิกภาพ” ในภาษาอังกฤษ คือ “Personality” มาจากคำในภาษาลาตินว่า “Personna” ซึ่งหมายถึง “Mask” ที่แปลว่า “หน้ากาก” สำหรับตัวละครของกรีกในสมัยโบราณที่ ใช้สวมใส่หน้าเวลาออกแสดงโดยปกติจะแสดงกลางแจ้งเพื่อที่จะแสดงบทบาทตามที่ถูกกำหนด ตัว ละครเมื่อสวมหน้ากากหรือหัวโขนต่าง ๆ เป็นรูปแบบใดแล้ว ก็จะต้องแสดงท่าทางประกอบให้ เหมือนกับหน้ากาก หรือหัวโขนที่ตนสวมอยู่ เช่น สวมหน้ากากเป็นสัตว์ ก็ต้องแสดงท่าทางประกอบ ให้เหมือนกับหน้ากากสัตว์ที่สวมอยู่ด้วย จากคำในภาษาลาติน “Personal” จึงหมายถึงลักษณะ ๑๕๒ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๑๕๓ ตัวละครในนวนิยายบทละคร๓ ดังนั้นคำว่า “Personality” จากความหมายเดิมนั้น จึงถูกโยงนำมาสู่ความเข้าใจว่า บุคลิกภาพของคนนั้นก็เหมือนกับหน้ากากของตัวละคร และลักษณะของตัวละครที่ต้องแสดงออก ตามหน้ากากที่สวมอยู่เพราะในชีวิตประจำวันของแต่ละบุคคลจะต้องมีการแสดงออกในพฤติกรรม ต่าง ๆ ในแต่ละสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป เช่น บางครั้งจะแสดงความดีใจ ชอบใจ ร่าเริง เมื่อ ประสบกับสถานการณ์ที่เป็นความสุขของบุคคลนั้น และในบางครั้งจะแสดงอาการเศร้าเสียใจ โกรธ เกลียด เมื่อประสบกับสถานการณ์ที่นำมาซึ่งความทุกข์ของบุคคลนั้น Longman Dictionary ให้ความหมายของ “Personality” ว่า หมายถึง นิสัย ลักษณะ ท่าทาง ของบุคคลบางคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หมายถึงการแสดงออกทางพฤติกรรมของ บุคคลนั้นต่อบุคคลอื่น๔ ฮิลการ์ดและแอทคินสัน (Hilgard and Atkinson) ให้ความหมายของบุคลิกภาพว่า บุคลิกภาพเป็นรูปแบบต่าง ๆ ของพฤติกรรมและวิธีคิด ซึ่งกำหนดแนวทางการปรับตัวของบุคคลต่อ สิ่งแวดล้อม๕ กันยา สุวรรณแสง กล่าวว่า บุคลิกภาพ หมายถึง แบบแผนพฤติกรรมของบุคคลใด บุคคลหนึ่ง ที่เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปเป็นลักษณะรวมของบุคคลนั้น อันประกอบด้วยพฤติกรรมที่ แสดงออกและลักษณะเฉพาะภายในของบุคคล ซึ่งทำให้บุคคลนั้นมีความแตกต่างจากบุคคลอื่น๖ ศรีเรือน แก้วกังวาน ได้นิยามสรุปความหมายของบุคลิกภาพไว้ว่า“บุคลิกภาพ คือ ลักษณะเฉพาะตัวของบุคคลในด้านต่าง ๆ ทั้งส่วนภายนอกและส่วนภายใน . . . บุคลิกภาพของ บุคคลมีทั้งส่วนร่วมซึ่งเป็นลักษณะสากลของมนุษย์ทุกชาติทุกภาษา และมีส่วนซึ่งเป็นลักษณะที่ เรียกกันว่า เฉพาะตัว”๗ Allport ได้นำคำจำกัดความของบุคลิกภาพที่นักจิตวิทยาให้ไว้ต่าง ๆ กันมาจัดรวบรวม เป็นหมวดหมู่ได้๔ ประเภท ดังนี้ ๑) คำนิยามที่แสดงถึงชีวภาพทางสังคม (biosocial definition) คำนิยามประเภทนี้ให้ ความหมายว่า บุคลิกภาพคือค่านิยมที่เป็นสิ่งเร้าทางสังคมของบุคคล บุคลิกภาพของบุคคลใดก็คือ ปฏิกิริยาโต้ตอบของบุคคลนั้นกับผู้อื่น ๒) คำนิยามทางสรีรภาพ (biophysical definition) พิจารณาว่าบุคลิกภาพมี๒ ด้าน ๓ So Sethaputra, New Model English-Thai Dictionary, (กรุงเทพมหานคร : ไทยวัฒนา พานิช, ๒๕๓๘), หน้า ๑๐๕๘. ๔ Longman, Dictionary of Contemporary English, (England : Clays Ltd. 1995), p. 1053. ๕ วิภาพร มาพบสุข, จิตวิทยาทั่วไป, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ศูนย์ส่งเสริมวิชาการ, ๒๕๔๒), หน้า ๓๖๘. ๖ กันยา สุวรรณแสง, บุคลิกภาพ และการปรับตัว, (กรุงเทพมหานคร : ภาควิชาการศึกษา คณะ ศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, อักษรพิทยา, ๒๕๓๖), หน้า ๓. ๗ ศรีเรือน แก้วกังวาล, ทฤษฎีจิตวิทยาบุคลิกภาพ, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน, ๒๕๓๙), หน้า ๕. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๕๓


๑๕๔ คือคุณสมบัติต่าง ๆ ทางด้านสรีระ และอีกด้านหนึ่งคือคุณสมบัติที่เกิดจากการรับรู้ของบุคคลอื่น ๓) คำนิยามลักษณะรวมๆ โดยทั่วๆ ไป (omnibus definition) ให้ความหมายว่า ทุก สิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับบุคคลซึ่งโดยทั่วๆ ไปนักทฤษฎีบุคลิกภาพจะมีแนวคิดพิจารณาเป็นสิ่งสำคัญ อันดับแรกก่อนรายละเอียดต่าง ๆ ของบุคคล ๔) คำนิยามที่ระบุหน้าที่ของบุคลิกภาพ (integrative หรือ organization function of personality) คือเป็นหมวดหมู่หรือแบบแผนพฤติกรรมต่าง ๆ ของบุคคล นักทฤษฎีอีกหลายคน ได้ให้ความหมายโดยเน้นการทำหน้าที่ของบุคลิกภาพในเรื่องการปรับตัว๘ จะเห็นว่าบุคลิกภาพในทางพระพุทธศาสนามีความหมายสอดคล้องกับบุคลิกภาพใน ทัศนะทางจิตวิทยา กล่าวคือ บุคลิกภาพเป็นคุณลักษณะเฉพาะตัวที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคล ที่แสดงพฤติกรรมออกมาให้บุคคลอื่นรับรู้ พฤติกรรมนี้จะค่อนข้างคงทนถาวร และจะมีการ ปรับเปลี่ยนตามแรงจูงใจจากภายนอกหรือแรงผลักดันจากภายในจิต ๗.๓ ลักษณะของบุคลิกภาพ ลักษณะของบุคลิกภาพของแต่ละบุคคลจะแตกต่างกันไป ในทางพระพุทธศาสนา จำแนกลักษณะบุคลิกภาพของบุคคลตามหลัก จริต ๖ อันเป็นหลักในทางพระพุทธศาสนาที่อธิบาย ความประพฤติอันเป็นปกติประจำอยู่ในสันดาน, พื้นเพของจิต, อุปนิสัย, พื้นนิสัย, แบบหรือ ประเภทใหญ่ๆ แห่งพฤติกรรมของบุคคล ตัวความประพฤติเรียกว่า จริยา บุคคลผู้มีความประพฤติ อย่างนั้นๆ เรียกว่าจริต ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันไป คำว่า “จริต” มีรากศัพท์ของคำมาจากภาษาบาลี คือคำว่า จรฺ แปลว่า เที่ยวไป ประพฤติ เมื่อนำ จร ธาตุ + ต ปัจจัยในกิริยากิตก์ ซึ่งกฎของ ต ปัจจัยมีอยู่ว่า ถ้าลงหลังธาตุตัวใด ให้ลบที่สุดธาตุของศัพท์นั้นเสีย แต่ถ้าไม่ลบที่สุดธาตุ ให้ลง อิ อาคม จึงได้คำว่า จริต ซึ่งจริตใช้เป็น คำคุณศัพท์ เพื่อขยายคำนาม เช่น ราคจริต โทสจริต โมหจริต เป็นต้น หากใช้ในรูปคำนามเพียง ลำพังจะมีรูปเป็น “จริยา” สำเร็จรูปมาจาก จร ธาตุ + ณฺย ปัจจัย โดยใช้อิตถีลิงค์๙ ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค กล่าวถึง “จริต” โดยใช้เป็นคำนาม โดยแสดงเป็นรูปคำว่า ราค จริยา โทสจริยา โมหจริยา สัทธาจริยา พุทธิจริยา และวิตักกจริยา๑๐ ในคัมภีร์วิมุตติมรรค ได้อธิบายถึงคำว่า “จริยา” ว่าหมายถึง จริยา ๑๔ ประการ คือ ราคจริยา โทสจริยา โมหจริยา สัทธาจริยา พุทธิจริยา วิตกจริยา ราคโทสจริยา ราคโมหจริยา โทสโมหจริยา ราคโทสโมหจริยา สัทธาพุทธิจริยา สัทธาวิตกจริยา พุทธิวิตกจริยา และสัทธาพุทธิ วิตกจริยาและได้กล่าวถึงบุคคล ๑๔ ประเภทซึ่งตรงกันกับ ๑๔ จริยาที่กล่าวมา คือ ราคจริต โทสจริต โมหจริต สัทธาจริต พุทธิจริต วิตกจริต ราคโทสจริต ราคโมหจริต โทสโมหจริต ราคโทสโม หจริต สัทธาพุทธิจริต สัทธาวิตกจริต พุทธิวิตกจริต และสัทธาพุทธิวิตกจริต อนึ่ง จริยาอย่างอื่นก็ยัง มีอยู่ เช่น ตัณหาจริยา ทิฏฐิจริยา มานจริยา และในส่วนของ กรณีโลภะและจริตที่เหลือมี ๘ นวลลออ สุภาผล,ทฤษฎีบุคลิกภาพ,(กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ประมวลศิลป์, ๒๕๔๑), หน้า ๔. ๙ พระมหาเทียบ สิริญาโณ (มาลัย), การใช้ภาษาบาลี, (กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย, ๒๕๔๗), หน้า ๒๑๐. ๑๐ วิสุทฺธิ. (ไทย) ๑๖๖. ๑๕๔ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๑๕๕ ความหมายไม่แตกต่างกันจากที่กล่าวมานี้ ซึ่งในคัมภีร์วิสุทธิมรรค ก็ได้มีการกล่าวรายละเอียดของ จริยา ๑๔ ประการนี้ไว้เหมือนกัน แต่ให้ผู้ศึกษาเข้าใจโดยสังเขปว่ามีจริยาเพียง ๖ อย่างตามจริต ๖ เท่านั้น ดังนั้น จริต จึงมีความหมายว่า ความประพฤติปกติ, ความประพฤติซึ่งหนักไปทางใด ทางหนึ่งอันเป็นปกติประจำอยู่ในสันดาน, พื้นเพของจิต, อุปนิสัย, พื้นนิสัย, แบบหรือประเภท ใหญ่ๆ แห่งพฤติกรรมของคน ตัวความประพฤติเรียกว่า จริยา บุคคลผู้มีความประพฤติอย่างนั้นๆ เรียกว่าจริต ๗.๓.๑ ลักษณะของบุคลิกภาพของแต่ละบุคคล อธิบายตามหลัก จริต ๖ ดังนี้ ๗.๓.๑.๑ ลักษณะบุคลิกภาพแบบราคจริต หมายถึง ผู้มีความประพฤติเป็นไปด้วย อำนาจราคะ มีราคะเป็นความประพฤติปกติ, ประพฤติหนักไปทางรักสวยรักงาม พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ได้สรุปความหมายของ ราคจริต ว่า หมายถึง ผู้มีราคะเป็นความประพฤติปกติ, ประพฤติหนักไปทางรักสวยรักงาม๑๑ ลักษณะของบุคคลผู้เป็น ราคจริต ในคัมภีร์วิมุตติมรรคได้อธิบายว่า บุคคลราคจริตจะมองดูรูปเสมือนหนึ่งเขาไม่เคยเห็นมา ก่อน เขามองไม่เห็นข้อเสียของรูปนั้นและไม่ได้พิจารณาสิ่งเหล่านั้น เขาไม่ได้พิจารณาคุณความดีแม้ เพียงเล็กน้อยของรูปนั้น เขาไม่สามารถเป็นอิสระ จากความต้องการในรูปอารมณ์นั้นได้ แม้หลังจาก พิจารณาแล้วเขาก็ยังไม่สามารถที่จะเป็นตัวของตัวเองได้ เขามีกิริยาท่าทางไปแนวทางเดียวกัน พึง ทราบว่าบุคคลนั้นเป็นราคจริตด้วยอาการอย่างนี้๑๒ ส่วนในคัมภีร์วิสุทธิมรรค อธิบายไว้อย่าง สอดคล้องกันว่า คนราคจริตเห็นรูปที่น่ารื่นรมย์ใจสักหน่อย ก็จ้องดูเสียนานเหมือนกับว่าเกิดความ พิศวงติดใจในส่วนดีของรูป แม้จะมีส่วนเสียเล็กน้อยก็ไม่ถือสาอะไร ทั้งที่เห็นกับตา เมือจะจากก็ อยากจะจากไปให้พ้น จากไปทั้งที่มีความอาลัยอยู่ด้วย จากความหมายข้างต้น จึงสรุปลักษณะของ คนราคจริตได้ว่า บุคคลราคจริตจะมีสภาวะจิตที่หลงติดในรูป รส กลิ่น เสียงและสัมผัสจนเป็น อารมณ์ มีลักษณะ บุคลิกดี มีมาด น้ำเสียงนุ่มนวลไพเราะ ติดในความสวย ความงาม ความหอม ความไพเราะ ความอร่อย ไม่ชอบคิด แต่ช่างจินตนาการเพ้อฝัน มีจุดแข็ง คือ มีความประณีต อ่อนไหว และละเอียดอ่อน ช่างสังเกต เก็บข้อมูลเก่ง มีบุคลิกหน้าตาเป็นที่ชอบและชื่นชมของทุก คนที่เห็น วาจาไพเราะ เข้าได้กับทุกคน เก่งในการประสานงาน การประชาสัมพันธ์และงานที่ต้องใช้ บุคลิกภาพ จุดอ่อน คือ ไม่มีสมาธิ ทำงานใหญ่ได้ยาก ไม่มีเป้าหมายในชีวิต ไม่มีความเป็นผู้นำ ขี้ เกรงใจคน ขาดหลักการมุ่งแต่บำรุงบำเรอผัสสะทั้ง ๕ ของตัวเอง คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ชอบ พูดคำหวานแต่อาจไม่จริง อารมณ์รุนแรงช่างอิจฉา ริษยาชอบปรุงแต่ง๑๓ ๗.๓.๑.๒ ลักษณะบุคลิกภาพแบบโทสจริต หมายถึง ผู้มีความประพฤติเป็นไปด้วย อำนาจโทสะ มีโทสะเป็นความประพฤติปกติ, ประพฤติหนักไปทางใจร้อนหงุดหงิด พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้สรุปความหมายของ โทสจริต ว่าผู้มีโทสะเป็น ๑๑ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม, พิมพ์ครั้งที่ ๑๒, (กรุงเทพมหานคร : ราชบัณฑิตยสถาน), หน้า ๑๘๙. ๑๒ พระอุปติสสเถระ, วิมุตติมรรค, หน้า ๕๙. ๑๓ อนุสรณ์ จันทพันธ์ และ บุญชัย โกศลธนากุล, จริต ๖ ศาสตร์ในการอ่านใจคน, พิมพ์ครั้งที่ ๒๙, (กรุงเทพมหานคร : บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด, ๒๕๕๕), หน้า ๘, ๑๐. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๕๕


๑๕๖ ความประพฤติปกติมีลักษณะนิสัยหนักไปทางโทสะ ประพฤติหนักไปทางใจร้อนหงุดหงิด รุนแรง๑๔ ในคัมภีร์วิมุตติมรรค ได้อธิบายอาการของบุคคลโทสจริต ว่าบุคคลโทสจริตมองดูรูปไม่นานราวกับ ว่าเหนื่อยหน่าย เมื่อเขารู้สึกหงุดหงิด เขาจะก่อการทะเลาะวิวาทกับผู้อื่นบ่อยๆ แม้สิ่งใดดีๆ เขาก็ไม่ ชอบใจ เขาปัดทิ้งหมดไม่ว่าอะไร วิถีชีวิตเขาถูกกำหนดโดยโทษ เขามีท่าทีต่ออารมณ์ของทวารอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน พึงทราบว่าบุคคลนั้นเป็นโทสจริตด้วยอาการอย่างนี้๑๕ ส่วนในคัมภีร์วิสุทธิมรรค ได้อธิบายไว้อย่างสอดคล้องกันว่า คนโทสจริต เห็นรูปทีรื่นรมย์ใจสักหน่อยก็ดูนานไม่ได้ ทำ เหมือนกับว่าเหน็ดเหนื่อย เดือดร้อนใจในส่วนที่เสียของรูป แม้ส่วนดีจะมีก็ไม่มอง ทั้ง ๆ ที่เห็นกับ ตา เมื่อจะจากไป ก็อยากจะไปให้พ้น ๆ ไม่มีความอาลัยแม้แต่นิดเดียว๑๖ จากความหมายข้างต้น จึงพอสรุปลักษณะของคนโทสจริต ได้ว่า บุคคลโทสจริต จะมีสภาวะจิตที่โกรธง่าย ฉุนเฉียวง่าย เพียงพูดผิดสักคำ ได้เห็นดีกัน มีลักษณะ จิตขุ่นเคือง โกรธง่าย คาดหวังว่าโลกต้องเป็นอย่างที่ตัวเอง คิด พูดตรงไปตรงมา ชอบชี้ถูกชี้ผิด เจ้าระเบียบ เคร่งกฎเกณฑ์ แต่งตัวประณีต สะอาดสะอ้าน เดิน เร็ว ตรงแน่ว มีจุดแข็ง คือ อุทิศตัวทุ่มเทให้กับการงานมีระเบียบวินัยสูง ตรงเวลา วิเคราะห์เก่ง มอง อะไรตรงไปตรงมา มีความจริงใจต่อผู้อื่นสามารถพึ่งพาได้ พูดคำไหนคำนั้น ไม่ค่อยโลภ มีจิตขุ่นมัว คือ ร้อนรุ่ม ไม่มีความเมตตา ไม่เป็นที่น่าคบค้าสมาคมของคนอื่น และไม่มีบารมี ไม่มีความคิด สร้างสรรค์ สร้างวจีกรรมเป็นประจำ มีโรคภัยไข้เจ็บได้ง่าย ๗.๓.๑.๓ ลักษณะบุคลิกภาพแบบโมหจริต หมายถึง ผู้มีความประพฤติเป็นไปด้วย อำนาจโมหะ มีโมหะเป็นความประพฤติปกติ, ประพฤติหนักไปทางเขลาเหงาซึม เงื่องงง งมงาย พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ได้สรุปความหมายของโมหจริตว่า หมายถึง ผู้มีโมหะเป็นความประพฤติปกติมีลักษณะนิสัยหนักไปทางโมหะ ประพฤติหนักไปทางเขลา เหงาซึม เงื้อง งง งมงาย ใครว่าอย่างไรก็คอยเห็นคล้อยตามไป๑๗ ในคัมภีร์วิมุตติมรรค ได้อธิบายอาการของ บุคคลโมหจริต ว่าบุคคลโมหจริตมองดูรูปดังนี้ คือ ในเรื่องของคุณและโทษของสิ่งใด ๆ ก็ตามเขาจะ เชื่อคนอื่น ใครเห็นว่าอะไรมีค่าหรือน่าชื่นชม เขาก็ว่าตามเพราะเขาไม่รู้เรื่องอะไร เขามีท่าทีต่อ อารมณ์ของทวารอื่น ๆ ในทำนองเดียวกัน ดังนั้น พึงทราบว่าบุคคลนั้นเป็นโมหจริต๑๘ ผู้วิจัยจึงพอ สรุปลักษณะของคนโมหจริต ได้ว่า บุคคลโมหะจริตจะมีจิตที่มักอยู่ในสภาพง่วงเหงาหาวนอนหรือ ซึมเศร้าเป็นอาจิณ มีลักษณะ ง่วงๆ ซึมๆ เบื่อๆ เซ็งๆ ดวงตาดูเศร้าๆ ซึ้งๆ พูดจาเบาๆ นุ่มนวล อ่อนโยน ยิ้ม ง่าย อารมณ์ไม่ค่อยเสีย ไม่ค่อยโกรธใคร ไม่ชอบเข้าสังคม ไม่ชอบทำตัวเป็นจุดเด่น เดินแบบขาดจุดมุ้งหมาย ไร้ความมั่น คง มีจุดแข็ง คือ ไม่ฟุ้งซ่าน เข้าใจอะไรได้ง่ายและชัดเจน มี ความรู้สึก มักตัดสินใจอะไรได้ถูกต้อง ทำงานเก่ง โดยเฉพาะงานประจำ ไม่ค่อยทุกข์หรือเครียดมาก นัก เป็นคนดี เป็นเพื่อนที่น่าคบ ไม่ทำร้ายใคร มีจุดอ่อน คือ ไม่มีความมั่นใจมองตัวเองต่ำกว่าความ เป็นจริงโทษตัวเองเสมอ หมกมุ่นแต่เรื่องตัวเองไม่สนใจคนอื่น ไม่จัดระบบความคิด ทำให้เสมือนไม่ มีความรู้ ไม่มีความเป็นผู้นำ ไม่ชอบเป็นจุดเด่น สมาธิอ่อนและสั้นเบื่อง่ายอารมณ์อ่อนไหวง่าย ๑๔ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๘๙. ๑๕ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๕๙. ๑๖ วิสุทฺธิ. (ไทย) ๑๗๓-๑๘๒. ๑๗ พระอุปติสสเถระ, วิมุตติมรรค, หน้า ๕๙. ๑๘ วิสุทฺธิ. (ไทย) ๑๗๓-๑๘๒. ๑๕๖ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๑๕๗ ๗.๓.๑.๔ ลักษณะบุคลิกภาพแบบสัทธาจริต หมายถึง ผู้มีความประพฤติเป็นไปด้วย อำนาจศรัทธา มีศรัทธาเป็นความประพฤติปกติ, ประพฤติหนักไปทางมีจิตซาบซึ้ง ชื่นบานน้อมใจ เลื่อมใสโดยง่าย พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ได้สรุปความหมายของสัทธาจริต ว่าหมายถึง ผู้มีศรัทธาเป็นความประพฤติปกติ มีลักษณะนิสัยมากด้วยศรัทธา ประพฤติหนักไปทางมีจิตซาบซึ้ง ชื่นบาน น้อมใจเลื่อมใสโดยง่าย จึงพอสรุปลักษณะของคนสัทธาจริต ได้ว่า บุคคลสัทธาจริตจะมี สภาวะจิตที่มีปรัชญาหรือหลักการของตัวเองและพยายามผลักดันให้ตัวเองและผู้อื่นบรรลุถึง จุดหมายนั้น มีลักษณะ ยึดมั่น อย่างแรงกล้าในบุคคล หลักการหรือความเชื่อถือและความศรัทธา คิดว่าตัวเองเป็นคนดี น่าศรัทธา ประเสริฐ กว่าคนอื่น เป็นคนจริงจัง พูดมีหลักการ มีจุดแข็ง คือ มี พลังจิตสูงและเข้มแข็งพร้อมที่จะเสียสละเพื่อผู้อื่น ต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเองและสังคมไปสู่สภาพ ที่ดีกว่าเดิม มีพลังขับเคลื่อนมหาศาล มีลักษณะความเป็นผู้นำ มีจุดอ่อน คือ หูเบา ความเชื่ออยู่ เหนือเหตุผล ถูกหลอกได้ง่าย ยิ่งศรัทธามาก ปัญญายิ่งลดน้อยลง จิตใจคับแคบ ไม่ยอมรับความคิด ที่แตกต่าง ไม่ประนีประนอม มองโลกเป็นขาวและดำ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตนคิดว่าถูกต้อง สามารถทำได้ทุกอย่างแม้แต่ใช้ความรุนแรง ๗.๓.๑.๕ ลักษณะบุคลิกภาพแบบพุทธิจริต (ญาณจริตในพระไตรปิฎก) หมายถึง ผู้มี ความประพฤติเป็นไปด้วยอำนาจปัญญา มีความรู้เป็นความประพฤติปกติ, ประพฤติหนักไปทางใช้ ความคิดพิจารณา พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ได้สรุปความหมายของ พุทธิจริต ว่าหมายถึง ผู้มีความรู้เป็นความประพฤติปกติ มีลักษณะนิสัยความประพฤติหนักไปทางใช้ความคิดพิจารณา และมองไปตามความจริงจึงพอสรุปลักษณะของคนพุทธิจริต ได้ว่า บุคคลพุทธจริต จะมีสภาวะจิตที่ เน้นการใช้ปัญญาในการไตร่ตรอง คิดหาเหตุหาผลมาแก้ปัญหาต่างๆในชีวิต ทั้งชีวิตส่วนตัว ชีวิตการ ทำงานรวมทั้ง มีความสนใจ เรื่องการยกระดับและพัฒนาจิตวิญญาณ ลักษณะ คิดอะไรเป็นเหตุเป็น ผล มองเรื่องต่างๆ ตามสภาพความเป็นจริงไม่ปรุงแต่ง พร้อมรับความคิดที่แตกต่างไปจากของ ตนเอง ใฝ่เรียนรู้ ช่างสังเกต มีความเมตตาไม่เอาเปรียบคน หน้าตาผ่องใส ตาเป็นประกาย ไม่ทุกข์ จุดแข็ง คือ สามารถเห็นเหตุเห็นผลได้ชัดเจน และรู้วิธีการแก้ไขปัญหาต่างๆได้อย่างถูกต้อง อัตตา ต่ำ เปิดใจรับข้อเท็จจริง จิตอยู่ในปัจจุบัน ไม่จมปลักในอดีต และไม่กังวลในสิ่งที่จะเกิดในอนาคต พัฒนาปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอ เป็นกัลยาณมิตร มีจุดอ่อน คือ มีความเฉื่อยไม่ต้องการพัฒนาจิต วิญญาณ ชีวิตราบรื่นมาตลอด หากต้องเผชิญพลังด้านลบ อาจเอาตัวไม่รอด ไม่มีความเป็นผู้นำ จิต ไม่มีพลังพอที่จะดึงดูดคนให้คล้อยตาม ๗.๓.๑.๖ ลักษณะบุคลิกภาพแบบวิตกจริต หมายถึง ผู้มีความประพฤติเป็นไปด้วย อำนาจวิตก มีวิตกเป็นความประพฤติปกติ, ประพฤติหนักไปทางนึกคิด จับจด ฟุ้งซ่าน พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ได้สรุปความหมายของ วิตกจริตว่า หมายถึง ผู้มีวิตกเป็นความประพฤติปกติ มีลักษณะนิสัยความประพฤติหนักไปทางชอบครุ่นคิดวกวน นึกคิด จับจดฟุ้งซ่าน จึงพอสรุปลักษณะของคนวิตกจริต ได้ว่า บุคคลวิตกจริต จะมีสภาวะจิตที่กังวล สับสนและวุ่นวายฟุ้งซ่านแทบทุกลมหายใจ ลักษณะ พูดเป็นน้ำไหลไฟดับ ความคิดพวยพุ่ง ฟุ้งซ่าน อยู่ในโลกความคิด ไม่ใช่โลกความจริง มองโลกในแง่ร้ายว่าคนอื่นจะเอาเปรียบกลั่นแกล้งเรา หน้า จะบึ้ง ไม่ค่อยยิ้ม เจ้ากี้ เจ้าการ อัตตาสูงคิดว่าตัวเองเก่ง อยากรู้อยากเห็นไปทุกเรื่อง ผัดวันประกันพรุ่ง มีจุดแข็ง คือ เป็นนักคิดระดับเยี่ยมยอด มองอะไรทะลุปรุโปร่งหลายชั้น เป็นนัก นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๕๗


๑๕๘ พูดที่เก่ง จูงใจคน เป็นผู้นำหลายวงการ ละเอียดรอบคอบ เจาะลึกในรายละเอียด เห็นความผิดเล็ก ความผิดน้อยที่คนอื่นไม่เห็น มีจุดอ่อน คือ มองจุดเล็กลืมภาพใหญ่ เปลี่ยนแปลงความคิด ตลอดเวลา จุดยืนกลับไปกลับมา ไม่รักษาสัญญา มีแต่ความคิด ไม่มีความรู้สึก ไม่มี วิจารณญาณ ลังแล มักตัดสินใจผิดพลาด มักทะเลาะวิวาท ทำร้ายจิตใจ เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น มีความทุกข์ เพราะเห็นแต่ปัญหา แต่หาทางแก้ไม่ได้ ๗.๓.๒ ลักษณะของบุคลิกภาพของแต่ละบุคคล อธิบายตามคุณลักษณะที่บุคคลอื่น รับรู้จำแนกเป็น ๒ ลักษณะ ดังนี้ ๗.๓.๒.๑ บุคลิกภาพภายนอก (External Personality) หมายถึง ทั้งร่างกายที่ ปรากฏให้เห็นตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ได้แก่ รูปร่างหน้าตา ผิวพรรณ กิริยาท่าทาง การแต่งกาย การ วางตัว การพูด เราสามารถปรับปรุงให้เป็นที่ประทับใจแก่ผู้พบเห็นได้ เช่น เอาใจใส่ต่อร่างกาย แต่ง กายให้เหมาะสม กิริยามารยาท การแสดงออก ๗.๓.๒.๒ บุคลิกภาพภายใน (Internal Personality) คือ ลักษณะที่ซ่อนอยู่ภายใน เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นสัมผัสยาก แต่สามารถศึกษาจากการมีปฏิสัมพันธ์ เช่น ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ความเฉลียวฉลาด ความเป็นมิตรอารมณ์และความรู้สึกนอกจากนั้นแล้ว ในตัวของบุคคลอาจจะมี ลักษณะเด่นของบุคลิกภาพ (Personality Traits) แตกต่างกันออกไป ซึ่งบุคคลอาจจะมีบุคลิกภาพ มากกว่า ๑ ชนิดก็ได้ ลักษณะบุคลิกภาพนี้จะแสดงชัดเจนเมื่อย่างเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ โดยแบ่งออกเป็น ๑๓ ลักษณะ ได้แก่ ๑) บุคลิกภาพมั่นคง (Stable personality) ได้แก่ ผู้มีวุฒิภาวะของพัฒนาการ ทางอารมณ์และบุคลิกภาพ สุขุมเยือกเย็นมีความรับผิดชอบสูง มีเหตุผล มีวิจารณญาณในการ แก้ปัญหาได้เป็นทั้งผู้นำและผู้ตาม มองโลกในแง่ดี ปรับตัวได้ ๒) บุคลิกภาพพึ่งพาผู้อื่น (Dependent personality) เป็นผู้มีบุคลิกภาพอ่อนแอ ช่วยตัวเองไม่ได้ ขาดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ กลัวถูกทอดทิ้ง ๓) บุคลิกภาพชอบหลีกเลี่ยง (Avoidance personality) เป็นผู้ที่ไม่มั่นใจในการ เข้าสังคมและกลัวถูกตำหนิ พยายามหลีกเลี่ยงกิจกรรมทางสังคม กลัวการถูกวิจารณ์ และกลัวการ เสี่ยงภัยต่าง ๆ ๔) บุคลิกภาพดื้อเงียบ (Passive-aggressive personality) ได้แก่ ผู้ที่ชอบ ต่อต้านอย่างเงียบในการแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสมในฐานะสมาชิกครอบครัวหรือในสังคม ไม่ รับผิดชอบในงาน ชอบอ้างเหตุผลเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ๕) บุคลิกย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive-compulsive personality) เป็นบุคคล ลักษณะเจ้าระเบียบเคร่งครัด ไม่ค่อยยืดหยุ่น ไม่เข้มงวดต่อกฎเกณฑ์ ชอบบงการให้ผู้ใกล้ชิดกระทำ ในสิ่งที่ตนต้องการ ไม่ไว้วางใจผู้อื่นว่าจะทำงานได้ดีเสมอตน ๖) บุคลิกภาพหลงตนเอง (Narcissistic personality) ได้แก่ ผู้มีลักษณะชื่นชม ตนเองอย่างมากว่ามีความสามารถและประสบความสำเร็จสูง อ่อนไหวต่อคำวิจารณ์ของผู้อื่น และ ไม่ค่อยเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เป็นคนชอบอิจฉาริษยา ไม่ยินดีในความสำเร็จของผู้อื่น ๗) บุคลิกภาพเรียกร้องความสนใจ (Histrionic personality) เป็นคนเจ้าอารมณ์ ต้องการคำสรรเสริญ การยอมรับและคำปลอบใจจากผู้อื่นเสมอ มีอารมณ์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความเด่นทางเพศของตนดึงดูดความสนใจจากผู้อื่น ๘) บุคลิกภาพแบบก้ำกึ่ง (Borderline Personality) คือ ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับ ๑๕๘ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๑๕๙ ความเป็นตัวของตัวเอง (Identity) มีภาพพจน์ของตัวเองที่ไม่มั่นคง มีปัญหาในการสร้างมนุษย สัมพันธ์ อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย มีลักษณะหุนหันไม่ยั้งคิด ทำตามใจตนเอง อารมณ์แปรปรวน มี ปัญหาในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น ไม่แน่ใจในบทบาทและภาพพจน์ ๙) บุคลิกภาพหุนหันพลันแล่นและก้าวร้าว (Impressive aggressive personality) ไม่มีการวางแผนล่วงหน้าในการกระทำสิ่งต่าง ๆ อารมณ์ร้อน โกรธง่าย ควบคุมตนเองได้น้อย ชอบ กระทำสิ่งต่าง ๆ อย่ารวดเร็วและก้าวร้าวรุนแรง ๑๐) บุคลิกภาพต่อต้านสังคม (Antisocial personality) ชอบก่อเรื่องขัดแย้งกับ ผู้อื่น ไม่สนใจความรู้สึกของผู้อื่น ไม่สนใจกฎระเบียบต่าง ๆ ชอบฝ่าฝืนข้อตกลงของหมู่คณะ หงุดหงิดง่าย ก้าวร้าว เอาแต่ใจตนเอง ขาดความรับผิดชอบ ๑๑) บุคลิกภาพอารมณ์แปรปรวน (Affective personality) ได้แก่ ผู้มีอารมณ์ เปลี่ยนแปลงง่าย เดี๋ยวเศร้าสลับครึกครื้น มีอารมณ์แปรปรวน แสดงออกอย่างเปิดเผย และมักมี ปัญหาในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น ๑๒) บุคลิกภาพระแวง (Paranoid personality) เป็นผู้ชอบสงสัย ไม่ไว้วางใจ ผู้อื่น มองโลกในแง่ร้าย ไม่ค่อยให้อภัยผู้อื่น หากมีข้อขัดแย้งจะโต้ตอบรุนแรงและอาฆาตพยาบาท มักระแวงคู่ครองและผู้ใกล้ชิดว่าไม่ซื่อกับตน ๑๓) บุคลิกภาพแยกตัว (Schizoid personality) ไม่ชอบสังคม เป็นคนเฉย ๆ ไม่ แสดงอารมณ์ ไม่ชอบแสดงความรักสนิทสนมกับผู้อื่น ชอบแยกตัวทำสิ่งต่าง ๆ ตามลำพัง ไม่มีเพื่อน สนิท ชอบฝันกลางวัน๑๙ ๗.๔ องค์ประกอบของบุคลิกภาพ บุคลิกภาพเป็นภาพรวมที่ตัวเราแสดงออกทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว โดยมีคนอื่นมองอยู่หรือ รู้สึกกับสิ่งที่เราแสดงออก ในทางพระพุทธศาสนาองค์ประกอบของบุคลิกภาพ ประกอบด้วย ๔ องค์ประกอบ ได้แก่ บุคลิกภาพทางกาย บุคลิกภาพทางสังคม บุคลิกภาพทางอารมณ์บุคลิกภาพ ทางปัญญา ๗.๔.๑ บุคลิกภาพทางกาย หมายถึง รูปลักษณ์ภายนอกของบุคคล อันเป็นสิ่งแรกที่ ปรากฏแก่สายตาผู้คน เช่น การแต่งกาย การแสดงออกทางสีหน้ากิริยาท่าทาง การพูดจา การ ติดต่อสื่อสาร ๗.๔.๒ บุคลิกภาพทางสังคม หมายถึง รู้จักดำรงตนตามบรรทัดฐานของสังคม เคารพ และปฏิบัติตามกฎระเบียบของสังคม ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เบียดเบียนสติสัมปชัญญะของตนเอง ๗.๔.๓ บุคลิกภาพทางอารมณ์หมายถึง คุณสมบัติ คุณภาพ และสมรรถภาพของจิต ๗.๔.๔ บุคลิกภาพทางปัญญา หมายถึง การแสดงออกทางด้านความคิด การมีเหตุผล การคิดการวินิจฉัยหรือวางแผนต่างๆ การแก้ปัญหาต่างๆ ในทางจิตวิทยา อธิบายถึงลักษณะเฉพาะของบุคคลทั้งภายในและภายนอกที่เป็น ตัวกำหนดพฤติกรรมการแสดงออกตามการรับรู้ของบุคคล จัดเป็น ๕ ลักษณะเรียกว่า บุคลิกภาพ ห้าองค์ประกอบ (The Big Five) ประกอบด้วย ๑๙ บุคลิกดีหนึ่งในวิถีกาญจนา, ประเภทของบุคลิกภาพ, [ออนไลน์], แหล่งที่มา: https:// jbarissawan.wordpress.com [๒๐ มีนาคม ๒๕๖๑]. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๕๙


๑๖๐ ๑) บุคลิกภาพแบบหวั่นไหว (Neuroticism) แสดงถึงความสามารถในการปรับอารมณ์ และการอดทนต่อสิ่งที่ถูกกระตุ้นภายนอกที่ทำให้บุคคลเกิดอารมณ์ในทางลบ บุคคลที่สามารถปรับ และควบคุมการหวั่นไหวได้ดีจะถูกกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อมได้ยาก บุคลิกภาพแบบหวั่นไหวจะ ประกอบด้วยนิสัยย่อย ๖ ด้านดังนี้ (๑) ความวิตกกังวล (anxiety) (๒) ความโกรธ (angry hostility) (๓) ความท้อแท้ (depression) (๔) ความคำนึงถึงแต่ตนอง (self-consciousness) (๕) การกระตุ้น (impulsiveness) (๖) ความเปราะบาง (vulnerability) ๒) บุคลิกภาพแบบแสดงตัว (Extraversion) เป็นองค์ประกอบของบุคลิกภาพที่ สามารถทำนายถึงพฤติกรรมทางสังคมของบุคคลที่แสดงถึงปริมาณความสัมพันธ์ที่มีกับคนอื่นและ ความสามารถในการปรับตัวทางสังคม ถ้าเป็นคนที่มีลักษณะแบบแสดงตัวสูงก็จะมีการสร้าง ความสัมพันธ์กับผู้อื่นมาก ใช้เวลาส่วนมากอยู่ในสังคมชอบพบปะผู้คน ส่วนคนที่มีลักษณะแสดงตัว ต่ำจะสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่นน้อยชอบอยู่กับตัวเองมากกว่าบุคลิกภาพแบบแสดงตัว จะ ประกอบด้วยลักษณะนิสัยย่อย ๖ ด้าน ดังนี้ (๑) ความอบอุ่น (Warmth) (๒) การชอบอยู่ร่วมกับผู้อื่น (Gregariousness) (๓) การกล้าแสดงความคิดเห็น (Assertiveness) (๔) การชอบทำกิจกรรม (Activity) (๕) การชอบแสวงหาความตื่นเต้น (Excitement Seeking) (๖) การมีอารมณ์ด้านบวก (Positive-Emotions) ๓) บุคลิกภาพแบบเปิดกว้างต่อประสบการณ์ (Openness to Experience) เป็น องค์ประกอบภายในบุคลิกภาพที่เกี่ยวข้องกับตัวบุคคล และแสดงถึงความสามารถในการปรับ ความคิด ความเชื่อและการปฏิบัติตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางความคิดและสถานการณ์ โดย องค์ประกอบแบบเปิดกว้างต่อประสบการณ์นั้นประกอบด้วยลักษณะนิสัยย่อย ๖ ด้าน ดังนี้ (๑) เป็นคนช่างฝัน (๒) ซาบซึ้งในความงาม (๓) การเปิดเผยความรู้สึก (๔) การปฏิบัติตน (๕) การมีความคิด (๖) การยอมรับค่านิยม ๔) บุคลิกภาพแบบประนีประนอม (Agreeableness) เป็นองค์ประกอบทางบุคลิกภาพ ที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมระหว่างบุคคลจะแสดงถึงปริมาณการรับฟังผู้อื่นและความสามารถในการ ยอมรับหรือปฏิบัติตัวให้สอดคล้องกับผู้อื่น คนที่มีบุคลิกภาพแบบเห็นด้วยกับผู้อื่นสูงจะเป็นคนที่ ยอมรับฟังคำแนะนำจากคนอื่นได้ง่ายๆ บุคลิกภาพแบบประนีประนอมจะประกอบด้วยลักษณะ ย่อยดังนี้ ๑๖๐ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๑๖๑ (๑) การเป็นผู้ไว้วางใจผู้อื่น (๒) ความตรงไปตรงมา (๓) ความเอื้อเฟื้อ (๔) คามยอมตามผู้อื่น (๕) ความสุภาพถ่อมตน (๖) ความมีจิตใจอ่อนโยน ๕) บุคลิกภาพแบบมีจิตสำนึก (Conscientiousness) แสดงถึงความยากง่ายและความ มากน้อยของจุดมุ่งหมายที่แต่ละบุคคลกำหนดไว้ รวมทั้งความสามารถในการบังคับตัวเองและการมี วินัยในตนเองให้พยายามทำตามเป้าหมายที่วางไว้ได้ครบตามที่ตั้งใจ ถ้าบุคคลใดมีบุคลิกภาพแบบมี จิตสำนึกสูง แสดงว่าเป็นคนที่มีเป้าหมายชัดเจนและเป็นคนมีระเบียบวินัยในตนเองสูงในการทำให้ เป้าหมายที่ตั้งใจไว้ประสบความสำเร็จ บุคลิกภาพแบบมีจิตสำนึกจะประกอบด้วยลักษณะนิสัยย่อย ๖ ด้าน ดังนี้ (๑) การมีความสามารถ (Competence) (๒) ความมีระเบียบ (Order) (๓) การมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ (Dutifulness) (๔) ความต้องการสัมฤทธิ์ผล (Achievement Striving) (๕) ความมีวินัยในตนเอง (Self-Discipline) (๖) ความสุขุมรอบคอบ (Deliberation)๒๐ ๗.๕ การพัฒนาบุคลิกภาพตามหลักพระพุทธศาสนา การพัฒนาบุคลิกภาพ คือ กระบวนการที่ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงการแสดงออกทาง พฤติกรรมของบุคคลให้มีการแสดงออกในทางที่ดีขึ้น เพื่อดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างเป็นสุข มีความมั่นใจ ในตนเอง มีพลังในการทำงาน ในทางพระพุทธศาสนา “พัฒนา” มีความหมายตรงกันกับ “ภาวนา” หมายความว่า การทำให้มีขึ้นเป็นขึ้น, การทำให้เกิดขึ้น, การเจริญ, การบำเพ็ญ๒๑ การพัฒนาตามแนวคิดทางพุทธ ศาสตร์ เป็นการเรียนรู้และการปฏิบัติเพื่อไปสู่ความพอดี หรือการมีดุลยภาพของชีวิต มี ความสัมพันธ์อันกลมกลืนระหว่างการดำเนินชีวิตของบุคคล กับสภาพแวดล้อมและมุ่งการกระทำ ตนให้มีความสุขด้วยตนเอง รู้เท่าทันตนเอง เข้าใจตนเองมากกว่าการพึ่งพาอาศัยวัตถุ อันเป็นแนว ทางการพัฒนาที่ยั่งยืน การพัฒนาบุคลิกภาพตามแนวพระพุทธศาสนาเป็นการเรียนรู้บุคลิกภาพของ ตนเองเพื่อหาทางปรับปรุงให้ดีขึ้น ให้ไปสู่ความพอดี มีความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นและสิ่งแวดล้อม อย่างมีดุลยภาพ เป็นสมาชิกที่ดีมีคุณค่าอย่างแท้จริงของสังคม การที่จะเป็นผู้ที่มีบุคลิกภาพที่ดีมี คุณค่าสมบูรณ์แบบตามความหมายในทางพระพุทธศาสนาต้องมีความมุ่งมั่นจริงจังที่จะพัฒนา ๒๐ Howard, P. J. & Howard, J. M. (2004), The Big Five Quick start: An Introduction to the Five-Factor Model of Personality for Human Resource Professionals. Retrieved on July 2, 2010, [ออนไลน์], แหล่งที่มา: http://drwdjones.biz. [๒๐ มีนาคม ๒๕๖๑]. ๒๑ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์, พิมพ์ครั้งที่ ๑๑, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาวิยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๑), หน้า ๒๘๓. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๖๑


๑๖๒ บุคลิกภาพด้วยหลักการพัฒนาทั้ง ๔ ด้านอย่างต่อเนื่อง คือ การพัฒนาทางด้านกาย การพัฒนา ทางด้านสังคม การพัฒนาทางด้านอารมณ์ การพัฒนาทางด้านปัญญา จนเกิดประโยชน์ต่อการ ดำเนินชีวิต สามารถนำไปใช้แก้ปัญหาได้ในระดับการดำเนินชีวิตประจำวัน ให้ประสบความสำเร็จ ตามเป้าหมาย ทั้งในด้านหน้าที่การงานและครอบครัว หลักพระพุทธศาสนาที่สอดคล้องกับ กระบวนการพัฒนาบุคลิกภาพ คือ หลักภาวนา ๔ ๗.๕.๑ กระบวนการพัฒนาบุคลิกภาพตามหลักภาวนา ๔ จัดแบ่งเป็นสองขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ ๑ เตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่กระบวนการพัฒนาบุคลิกภาพ ก่อนเข้าสู่กระบวนการพัฒนาบุคลิกภาพ บุคคลต้องเริ่มจากมีสัมมาทิฐิ คือมีความ เห็นชอบซึ่งเป็นปัญญาระดับหนึ่ง เป็นความเชื่อและความเข้าใจในหลักการทั่วๆไป โดยเฉพาะความ เชื่อว่าสิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุปัจจัย หรือการถือหลักการแห่งเหตุปัจจัย ซึ่งเป็นความเชื่อที่เป็น ฐานสำคัญของการพัฒนาทำให้มีการพัฒนาต่อไปได้ เพราะหากมีความเชื่อในทางที่ผิดจะเป็นการ ตัดหนทางการพัฒนา ทำให้พัฒนาไม่ได้ ดังนั้นก่อนเริ่มต้นเข้าสู่กระบวนการพัฒนาบุคคลจึงต้องมี ปัญญาในระดับความเชื่อในหลักการที่ถูกต้อง และสัมมาทิฐิซึ่งเป็นพื้นฐานหรือจุดเริ่มต้นการพัฒนา นี้เกิดขึ้นในตัวบุคคลได้โดยปัจจัย ๒ ประการคือ ๑. ปัจจัยภายนอก ได้แก่ ปรโตโฆษะ เช่น พ่อ แม่ ครูอาจารย์ ผู้ใหญ่หรือวัฒนธรรม ที่ ถ่ายทอดอิทธิพลความเชื่อ ความนึกคิด ความเข้าใจ ภูมิธรรมภูมิปัญญา ต่อๆ กันมา ปรโตโฆษะ อาจจะดีหรือชั่วก็ได้ ถ้าปรโตโฆษะมาจากกัลยาณมิตรก็จะนำบุคคลไปสู่สัมมาทิฐิอันจะเป็นพื้นฐาน ของการพัฒนาที่ดีต่อไป ๒. ปัจจัยภายใน ได้แก่ โยนิโสมนสิการ คือ รู้จักคิด รู้จักพิจารณาด้วยตนเอง รู้จักคิดสืบ สาวหาเหตุปัจจัย แยกแยะให้เห็นองค์ประกอบจับแง่ดีมาใช้ประโยชน์ได้ รู้จักโยงให้เห็นองค์รวม สร้างองค์ความรู้ความคิดใหม่ได้ เกิดปัญญาที่เข้าถึงความจริง ได้ประโยชน์และทำการสำเร็จ สนอง ความใฝ่รู้ใฝ่สร้างสรรค์ได้โดยสมบูรณ์ นอกจากปัจจัย ๒ ประการดังกล่าวแล้ว สัมมาทิฐิยังมีองค์ประกอบนำให้เกิดหรือกล่าว ได้ว่าเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อนำสู่การพัฒนาอีก ๗ ประการ ดังนี้ (๑) กัลยาณมิตตตา ความมีกัลยาณมิตร ซึ่งก็คือปรโตโฆษะตามที่ได้กล่าวมาแล้ว อัน หมายถึง บุคคลผู้เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติที่จะสั่งสอน แนะนำ ชี้แจง ชักจูง ช่วยบอกช่องทาง หรือ เป็นตัวอย่างให้ผู้อื่นดำเนินไปในมรรคาแห่งการฝึกฝนอบรมอย่างถูกต้อง๒๒ (๒) ศีลสัมปทา ความถึงพร้อมด้วยศีล เป็นผู้มีวินัย มีชีวิตที่มีระเบียบ มีพฤติกรรมเคย ชินที่ดี ซึ่งเกิดจากการใช้วินัยมาฝึกให้เกิดพฤติกรรมเคยชินที่ดี มีสภาพที่เอื้อต่อการพัฒนาตาม กระบวนการต่อไป (๓) ฉันทสัมปทา ความถึงพร้อมด้วยฉันทะ มีแรงจูงใจที่ถูกต้อง ใฝ่รู้ ใฝ่สร้างสรรค์ ต้องการเข้าถึงความจริงและทำสิ่งทั้งหลายให้ดีงามเป็นเลิศ ฉันทะจะเข้ามาทำหน้าที่ในการกำหนด พฤติกรรมแทนตัณหา ความถึงพร้อมด้านความพึงพอใจ อันมีกุศลจิตเป็นพื้นฐาน มีวิจารณญาณ ควบคุมต่ออินทรีย์ภายใน เมื่อได้รับสัญญาณจากอินทรีย์ภายนอก เช่น เมื่อตาเห็นรูป หูฟังเสียงเป็น ๒๒ องฺ.จตุกฺก. (ไทย) ๒๑/๓๑/๒/๕๐. ๑๖๒ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๑๖๓ ต้น แล้วปฏิบัติตามขั้นตอนการรับรู้อย่างมีสติสัมปชัญญะ คือ ให้มีความพอใจในกุศลการทำสุจริต กรรม ซึ่งมีฉันทะเป็นผู้นำเบื้องต้น และละเว้นอกุศลการทำทุจริตกรรมอันมีตัณหาเป็นตัวนำก่อน เมื่อลงมือปฏิบัติหน้าที่กิจการงานของตนเอง เพื่อความปลอดภัยจากตัวทุกข์นั่นเอง หรือ ให้มีทุกข์ น้อยที่สุด ถ้าเราสามารถปฏิบัติตน ฝึกฝนตนให้มีฉันทสัมปทานี้๒๓ (๔) อัตตสัมปทา ความทำตนให้ถึงพร้อม ให้ถึงความสมบูรณ์แห่งศักยภาพของความ เป็นมนุษย์ มีจิตสำนึกในการที่จะฝึกฝนพัฒนาตนเองอยู่เสมอ (๕) ทิฐิสัมปทา ความถึงพร้อมด้วยหลักการแห่งความเชื่อถือ คือ เชื่อถือในหลักการแห่ง เหตุผลหรือความเป็นไปตามเหตุปัจจัย เป็นผู้ที่คิดหาเหตุผลอยู่ตลอดเวลา มีความเห็นเข้าใจตามนัย เหตุผล หลักการที่เห็นสมข้อที่ถูกใจ ปัจจุบันนิยมเรียกว่า ค่านิยม รวมไปถึงอุดมการณ์แนวทัศนะ ในการมองโลก ที่นิยมเรียกว่า โลกทัศน์และชีวทัศน์ต่าง ๆ ตลอดจนทัศนคติพื้นฐานที่สืบเนื่องจาก ความเห็น ความเข้าใจ และความใฝ่นิยมเหล่านั้น๒๔ (๖) อัปปมาทสัมปทา ความถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท กระตือรือร้น ไม่เฉื่อยชา มี สติ ไม่ปล่อยปละละเลย ไม่พลาดโอกาส มีจิตสำนึกตระหนักในความเปลี่ยนแปลง เห็นคุณค่าของ กาลเวลา รู้จักใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ ทำงานและพัฒนาชีวิตแข่งกับเวลาความไม่ประมาท มีความ เป็นอยู่อย่างมีสติไม่เลินเล่อเผลอสติไม่ปล่อยปละละเลย ระมัดระวังที่จะไม่ทำเหตุแห่งความ ผิดพลาดเสียหาย และไม่ละเลยโอกาสที่จะทำเหตุแห่งความดีงามและความเจริญ เป็นคนรอบคอบ โดยเมื่อกล่าวสรุป คือ ไม่ประมาทใน ๔ สถาน คือ ในการละกายทุจริต ประพฤติกายสุจริต ในการ ละวจีทุจริต ประพฤติวจีสุจริต ในการละมโนทุจริต ประพฤติมโนสุจริต และในการละมิจฉาทิฐิแล้ว ประพฤติสัมมาทิฐิ๒๕ (๗) โยนิโสมนสิการ ความถึงพร้อมด้วยโยนิโสมนสิการ รู้จักคิด รู้จักพิจารณาด้วย ตนเอง รู้จักคิดสืบสาวหาเหตุปัจจัย แยกแยะให้เห็นองค์ประกอบจับแง่ดีมาใช้ประโยชน์ได้ รู้จักโยง ให้เห็นองค์รวมสร้างองค์ความรู้ความคิดใหม่ได้ เกิดปัญญาที่เข้าถึงความจริง ได้ประโยชน์และทำ การสำเร็จ สนองความใฝ่รู้ใฝ่สร้างสรรค์ได้โดยสมบูรณ์ ขั้นตอนที่ ๒ เข้าสู่กระบวนการพัฒนา หลักภาวนา ๔ เป็นหลักคำสอนเรื่องการพัฒนาตนที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการนำมาเป็น แนวทางในการพัฒนาบุคลิกภาพทั้งบุคลิกภาพภายนอกและบุคลิกภาพภายใน เพราะเป็นการ พัฒนาศักยภาพของบุคคลอย่างครอบคลุมทั้ง ๔ ด้าน ทั้งกายใจ สังคม อารมณ์ และปัญญา เพื่อให้ มีผลปรากฏเป็นไปในทางเจริญ การพัฒนาตนหรือการฝึกฝนตน ในทางพระพุทธศาสนาถือว่าเป็น หลักของบัณฑิตผู้ฉลาดผู้มีปัญญาที่จะต้องฝีกฝนตนเองเพื่อความเจริญก้าวหน้าด้วยคุณธรรมต่าง ๆ๒๖ การพัฒนาตามกรอบภาวนา ๔ พัฒนาโยงเป็นระบบเดียวกันอย่างไม่อาจแยกขาดจาก ๒๓ พระธรรมปิฎก, (ป.อ. ปยุตฺโต), ทศวรรษธรรมทัศน์พระธรรมปิฎก หมวดพุทธศาสตร์, หน้า ๑๔๐-๑๔๑. ๒๔ เรื่องเดียวกัน. ๒๕ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๔๐๑ –๔๐๒. ๒๖ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๘๐/๕๓. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๖๓


๑๖๔ กันได้ เนื่องจากแต่ละด้านมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงเป็นระบบเดียวกันเกื้อกูลซึ่งกันและกัน เช่น บุคคลที่ไม่มีความโกรธ ไม่มีความเครียด ย่อมมีจิตใจดีงามอันเกื้อกูลต่อสุขภาพกายให้เป็นผู้ที่มี สุขภาพกายดีรู้จักเกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมในทางที่เป็นประโยชน์เท่ากับเป็นการเกื้อกูล ความสัมพันธ์ต่อส่วนรวม เมื่อจะพัฒนาปัญญาก็จะมีผลเกื้อกูลให้มีสมาธิได้เร็ว ไม่ว้าวุ่นสับสน ผู้ที่มี สมาธิดีจิตใจสงบก็จะส่งผลให้ไม่มีความเครียด มีจิตใจดีงาม ส่งผลต่อกันเช่นนี้เรื่อยไปตามหลัก ปัจจัยสัมพันธ์ ๑. การพัฒนาบุคลิกภาพตามหลักกายภาวนา กระบวนการพัฒนาทางด้านกายหรือกายภาวนาเป็นการฝึกกายให้สัมพันธ์กับ สิ่งแวดล้อมทางกายภาพอย่างเกื้อกูลและได้ผลดีใช้อินทรีย์ในการรับรู้ คือ ตา หู(และลิ้น) ในการ รับกระทบจากสิ่งแวดล้อมอย่างมีสติให้ได้รับความรู้และคุณค่าที่ดีงาม ไม่ลุ่มหลง ไม่เห็นแก่ความ สนุกสนานบันเทิงเพลิดเพลิน ฝึกให้รู้จักเลือกเฟ้นในการเสพบริโภคใช้ทรัพยากรอย่างไม่ลุ่มหลงมัว เมาไม่ติดในคุณค่าเทียม ใช้สอยด้วยปัญญาเพื่อใช้คุณค่าแท้ใช้อย่างเป็นปัจจัยที่สร้างสรรค์รู้จักใช้ ชีวิตที่ดีมีความสุขอย่างเกื้อกูลกันกับธรรมชาติ๒๗ การพัฒนาความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทาง กายภาพในทางพระพุทธศาสนาเรียกส่วนของร่างกายที่สัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม ในการดำรงชีวิต ว่าอินทรีย์หรืออายตนะ เป็นเครื่องมือสื่อสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม อินทรีย์ทั้งหมด เหล่านี้เรียกว่า ทวาร เป็นช่องทางการรับรู้ข้อมูลต่างๆ เป็นประตูของความรู้ที่เรียกว่าการรับรู้ เหตุ ที่เรียกอายตนะเพราะเป็นแดนต่อระหว่างชีวิตกับโลกและเหตุที่เรียกอินทรีย์เพราะทำงานเป็นใหญ่ ในหน้าที่ของตัว เช่น ตาเป็นอินทรีย์ในการเห็น หูเป็นอินทรีย์ในการฟัง จมูกเป็นอินทรีย์ในการดม กลิ่น ลิ้นเป็นอินทรีย์ในการลิ้มรส และกายเป็นอินทรีย์ในการรับสัมผัส มนุษย์ติดต่อกับโลกภายนอก ด้วยพฤติกรรมที่แสดงออกทางประตู หรือ ทวาร มี ๓ อย่าง คือ กาย วาจา ใจ การเกี่ยวข้อง สัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมมีช่องทางหรือทวาร ๒ ประเภทคือ ๑) ช่องทางที่จะรับรู้ ๖ ทาง คือ ตา หูจมูก ลิ้น กาย ใจ ๒) ช่องทางที่จะกระทำ ๓ ทาง คือ กาย วาจา ใจ หน้าที่ของอินทรีย์หรืออายตนะหรือทวารแยกเป็น ๒ อย่างคือ รับรู้ข้อมูลข่าวสารและ รับความรู้สึก ถ้ามนุษย์ใช้อินทรีย์เพื่อรับรู้ข้อมูลข่าวสารเป็นไปในทางการเรียนรู้เรียกว่าเป็น การศึกษาจะก่อให้เกิดการพัฒนาไปเรื่อยๆ ปัญญาก็จะเกิด แต่ถ้ามนุษย์ใช้อินทรีย์เพื่อ การรับ ความรู้สึกเป็นส่วนใหญ่ เรียกว่าด้านเสพคือใช้อินทรีย์เพื่อเสพสนองความรู้สึก อยู่กับความรู้สึก สบายไม่สบาย สุข ทุกข์ ชอบใจ ไม่ชอบใจ ไม่เกิดการพัฒนา ปัญญาก็จะไม่เกิด ความสุขก็จะถูก จำกัดอยู่กับสิ่งที่ชอบใจซึ่งจะแตกต่างกับคนที่ใช้อินทรีย์เพื่อศึกษาที่จะสามารถพัฒนาขอบเขต ความสุขกว้างขวางออกไป ดังนั้น กายภาวนา จึงความหมายว่าเป็นการพัฒนาปัญจทวาริกกาย คือ กายด้านผัสสทวาร ๖ หรืออินทรีย์ ๖ (ตา หู จมูก ลิ้น ผิวกาย ใจ) หมายความอย่างเดียวกับการ พัฒนาอินทรีย์ กายภาวนาก็คืออินทรียภาวนา๒๘ คือพัฒนาอินทรีย์ ๖ ฝึกการใช้อินทรีย์ ๖ ได้แก่ ๒๗ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), การพัฒนาที่ยั่งยืน, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์มูลนิธิพุทธ ธรรม, ๒๕๔๑), หน้า ๒๕๕. ๒๘ พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ.ปยุตฺโต), พุทธธรรม ฉบับปรับขยาย, พิมพ์ครั้งที่ ๓๙, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๗), หน้า ๓๕๖. ๑๖๔ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๑๖๕ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ใช้สำหรับสัมพันธ์หรือเป็นทางเชื่อมต่อกับโลกภายนอก ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อารมณ์ อันเป็นช่องทางที่เข้าไปสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมทางวัตถุและ ทางธรรมชาติทั้งหมด ในการฝึกพัฒนากาย หรือฝึกพัฒนาอินทรีย์นั้น คือ ฝึกให้มีอินทรีย์สังวร สำรวมอินทรีย์ ๖ เพื่อเป็นเครื่องมือให้เกิดความแข็งแกร่งของศีล เพื่อสนับสนุนจิตให้มีพลังงานที่ มั่นคงและเป็นทางให้เจริญปัญญาได้ดีอีกด้วยในมหาอัสสปุรสูตร พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่าการฝึก สำรวมอินทรีย์เป็นกิจที่ควรทำให้ยิ่งขึ้นไป ดังนี้ “เธอทั้งหลายควรสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราทั้งหลายจักเป็นผู้คุ้มครองทวารแล้วใน อินทรีย์ทั้งหลาย เห็นรูปทางตาแล้วไม่รวบถือไม่แยกถือ จักปฏิบัติเพื่อความสำรวมจักขุนทรีย์ซึ่ง เมื่อไม่สำรวมแล้วก็จะเป็นเหตุให้ถูกบาปอกุศลธรรม คือ อภิชฌาและโทมนัสครอบงำได้จักรักษา จักขุนทรีย์ถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์…ฟังเสียงทางหู..ฯลฯ รู้ธรรมทางใจ..”๒๙ วัตถุประสงค์ในการพัฒนา (พัฒนาอินทรีย์๖) มีวัตถุประสงค์เพื่อฝึกฝนใน ด้านการใช้ งาน คือ ทำให้อินทรีย์เหล่านั้น มีความเฉียบคม มีความละเอียด มีความไว มีความคล่อง มีความ ชัดเจน คล้ายกับการฝึกทักษะและเพื่อฝึกฝนในด้านการเลือกสิ่งที่มีคุณค่าและมีประโยชน์มากที่สุด ขณะเดียวกันก็มีวิธีหลีกเว้นจากสิ่งที่เป็นภัย เป็นโทษหรือสิ่งไม่ดีต่าง ๆ ไม่ให้ทะลักเข้ามาสู่อินทรีย์ ภายใน โดยมีใจเป็นตัวรับรู้ทั้งหมด จะต้องป้องกันไว้ก่อน อุปสรรคในการพัฒนากาย หรือ อินทรีย์๖ เมื่อบุคคลไม่สำรวมกาย หรือไม่สำรวม อินทรีย์๖ มีตา หูเป็นต้น ย่อมเสพอารมณ์ที่มากระทบด้วยตัณหา จึงเกิดทุกข์เพราะอาศัย อินทรีย์นั่นเอง โดยตัณหา๓๐ เกิดได้๖ ทาง รูปตัณหา ความทะยานอยากได้รูป สัททตัณหา ความ ทะยานอยากได้เสียง คันธตัณหา ความทะยานอยากได้กลิ่น รสตัณหา ความทะยานอยากได้รส โผฏฐัพพตัณหา ความทะยานอยากได้การถูกต้องด้วยกาย ธัมมตัณหา ความทะยานอยากได้อารมณ์ ของใจ๓๑ กระบวนการสำหรับพัฒนากาย คือ กระบวนการที่สามารถจะพัฒนาตนเอง ให้เป็นผู้ถึง ดับความทุกข์ได้ตามลำดับ โดยมีขั้นตอนการดับทุกข์ตามลำดับดังนี้ ขั้นที่ ๑ อินทรีย์ภายใน + อินทรีย์ภายนอก+วิญญาณ = ผัสสะ ขั้นที่ ๒ เวทนา (การเสวยอารมณ์) ขั้นที่ ๓ ปัญญา (โยนิโสมนสิการ) อธิบายกระบวนการสำหรับพัฒนากาย ว่า เมื่อบุคคลเสพอารมณ์ภายนอกผ่านประสาท สัมผัสภายใน เช่น ตาเห็นรูป จะปรากฏวิญญาณ คือ สภาพรับรู้ข้อมูลทันทีหลังจากนั้นก็จะเกิดการ สัมผัส คือ ถูกต้องกัน แล้วเกิดเวทนา คือ การเสพหรือเสวยอารมณ์ที่ได้รับมานั้น ต่อจากนั้น ปัญญา หรือโยนิโสมนสิการก็จะทำการตัดตัณหา คือ ความอยากในขณะนั้นเช่นกันเพื่อป้องกันไม่ให้สภาพ จิตใจหลงใหลไปตามกระแสแห่งตัณหา จึงเป็นสายดับทุกข์นั้นเอง ขณะที่บุคคลเสพอารมณ์ที่มา กระทบอินทรีย์ภายในด้วยปัญญา ย่อมเป็นเหตุให้เกิดความดับทุกข์ได้โดยเป็นการใช้โยนิโส มนสิการควบคุมอินทรีย์ให้ทำงานอย่างไม่ตกเป็นทาสแห่งตัณหา ก็จะเป็นการนำสู่การดับทุกข์ ตามลำดับ คือ สามารถจะสกัดกั้นตัณหาไว้ได้ด้วยปัญญา กระบวนการสายดับทุกข์เมื่อพิจารณา ๒๙ ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๒๑/๔๕๕. ๓๐ ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๒๓/ ๓๑๘. ๓๑ องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๖๒/๑๓๗-๑๓๘. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๖๕


๑๖๖ จากจุดเริ่มต้น คือ การคบสัตบุรุษคนดีเป็นกัลยาณมิตร การฟังธรรม ความมีศรัทธา ไล่ไปจนสุดสาย ดับทุกข์จนถึง วิชชาและวิมุตติก็เป็นผลสืบเนื่องจากความสำรวมอินทรีย์ เป็นหนึ่งของ องค์ประกอบเหล่านั้นด้วย อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงวิชชาและวิมุตติซึ่งเป็นผลสูงสุดในการพัฒนากาย โดยมี ความสัมพันธ์กับหลักธรรมที่เกี่ยวข้อง คือ วิชชาและวิมุตตินั้น เกิดขึ้นมาได้ด้วยอาศัยโพชฌงค์สติ ปัฏฐาน สุจริต ความสำรวมอินทรีย์ความมีสติสัมปชัญญะ การมนสิการโดยแยบคาย ความมีศรัทธา การฟังธรรม และการคบสัตบุรุษเป็นเหตุเริ่มต้นของวิชชาและวิมุตตินั่นเอง โดยพิจารณาจากเหตุไป หาผล ดังนี้ การคบสัตบุรุษ การฟังธรรม ความมีศรัทธา การมนสิการโดยแยบคาย สติสัมปชัญญะ ความสำรวมอินทรีย์๖ สุจริต ๓ สติปัฏฐาน ๔ โพชฌงค์๗ วิชชาและวิมุตติ๓๒ เหตุปัจจัยที่เป็นอุปการะต่อการพัฒนากาย (๑) ป้องกันด้วยการเห็น หมายถึง การเข้าไปหา เข้าไปพบเห็น สัตบุรุษ คือ คนมีความ ประพฤติดีสัตบุรุษ หมายถึง ผู้มีสัปปุริสธรรม ๗ ประการ ได้แก่ เป็น ผู้รู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้จัก ประมาณ รู้จักกาลอันควรและไม่ควร รู้จักชุมชนสังคมนั้น และรู้จักบุคคลโดยความแตกต่างกันทั้ง ทางจริตนิสัย และคุณสมบัติที่จะฝึกฝนได้หรือไม่ เพราะถ้าขาดการเห็นสัตบุรุษ ไม่เข้าใจหลักธรรม ของท่าน ไม่พิจารณาถึงธรรมที่ควรมนสิการ และไม่ควรมนสิการ ย่อมจะเกิดอาสวะ๓๓ (๒) ป้องกันอาสวะด้วยการบริโภคปัจจัย หมายถึง การจะใช้สอยปัจจัย ๔ คือ เครื่องนุ่ม ห่ม อาหาร ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค จะต้องพิจารณาโดยแยบคายก่อนจึงบริโภค คือ อย่าใช้ สอยเพื่อสนองต่อตัณหา๓๔ (๓) ป้องกันอาสวะด้วยการบรรเทา หมายถึง ให้พิจารณาโดยแยบคายภายในใจ โดยไม่ ยอมรับอกุศลวิตกมาสู่ใจของตน ได้แก่ ไม่รับกามวิตก คือ ความคิดในเรื่องกามคุณ ๕ ที่น่ารักน่า พอใจ ไม่รับพยาบาทวิตก ได้แก่ ความคิดในเรื่องแผนการทำร้ายคนอื่น และ ไม่รับวิหิงสาวิตก ได้แก่ ความคิดชนิดเบียดเบียนคนอื่นด้วยวิธีการต่าง ๆ ให้พินาศไป และละบาปอกุศลทั้งปวงที่ เกิดขึ้นแก่ตน แต่พยายามละอีกต่อไปถ้ายังไม่หมด๓๕ (๔) ป้องกันอาสวะด้วยการเจริญ หมายถึง เมื่อพิจารณาโดยแยบคายแล้ว พึงเจริญ โพชฌงค์คือ ฝึกให้เป็นคนมีสติรู้จักเลือกเฟ้นธรรมะ มีความเพียร แล้วได้ปีติมีความสงบทางกาย (กายปัสสัทธิ) มีความสงบทางใจ (จิตปัสสัทธิ) หรือมีสมาธินั่นเอง แล้วข้อสุดท้าย คือ ให้มีอุเบกขา ความวางเฉยต่ออารมณ์โดยอาศัยความวิเวก วิราคะ นิโรธ ให้น้อมไปเพื่อความสละทิ้ง จนกว่าจะ หายความเร่าร้อน ความคับแค้นใจ๓๖ อานิสงส์ของการสำรวมอินทรีย์ คือเมื่ออินทรียสังวรบริบูรณ์เต็มที่แล้ว ก็จะเกิดธรรม ๓๒ องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๖๑/ ๑๓๕–๑๓๖. ๓๓ ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๗–๒๑/๑๘–๒๑. ๓๔ ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๓/๒๒–๒๓. ๓๕ ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๖/๒๕. ๓๖ ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๗/๒๕–๒๖. ๑๖๖ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๑๖๗ อื่นส่งต่อกันเป็นลำดับจนถึงวิมุตติ ทวารทั้งหลาย คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อันรักษาดีแล้ว จะทำ ให้เป็นผู้รู้ประมาณในอาหาร สำรวมในอินทรีย์ทั้งหลาย ประสบสุขทั้งทางกายและทางใจ เป็นผู้ที่มี ร่างกายอันไฟทุกข์และไฟกิเลสไหม้ไม่ได้ อยู่ทั้งกลางวันและกลางคืนย่อมอยู่เป็นสุข การสำรวมทาง กาย การสำรวมทางวาจา การสำรวมทางใจ การสำรวมทุกอย่างเป็นความดีเป็นผู้มีความละอายต่อ บาปเรียกว่า ผู้รักษาตัวรอด ตรงกันข้ามกับผู้ไม่สำรวมอินทรีย์จิตของผู้นั้นจะไม่มีโอกาสสงบสุข จะ ถูกอินทรีย์หนึ่งๆ ต่างฉุดกระชากไปในอำนาจของตนข้างนั้นทีข้างนี้ทีอยู่จนตลอดเวลาเปรียบเทียบ คล้ายลูกบอลที่นักกีฬาแย่งกันอยู่อย่างไม่รู้หยุด และหากอินทรีย์ใดได้อารมณ์มีกำลังแรงกล้ากว่า ก็ ส่งไปสู่อารมณ์นั้น เปรียบเหมือนบุรุษจับสัตว์หกชนิด อันมีที่อยู่อาศัยต่างกัน มีที่เที่ยวหากินต่างกัน มาผูกด้วยเชือกอันมั่นคง คือจับงูมาผูกด้วยเชือกเหนียวเส้นหนึ่ง จระเข้ นก สุนัขบ้าน สุนัขจิ้งจอก และลิงมาผูกด้วยเส้นหนึ่ง ๆ แล้วผูกเข้าด้วยกันเป็นปมในท่ามกลางแล้วปล่อย สัตว์เหล่านั้นหกชนิด มีที่อาศัยและที่เที่ยวต่าง ๆ กัน ก็ยื้อแย่งฉุดดึงกัน เพื่อจะไปสู่ที่อาศัยที่เที่ยวของตน งูจะเข้าจอม ปลวก จระเข้จะลงน้ำ นกจะบินขึ้นไปในอากาศ สุนัขจะเข้าบ้าน สุนัขจิ้งจอกก็จะไปป่าช้า และลิงก็ จะไปป่า ครั้นเหนื่อยล้ากันทั้งหกสัตว์แล้ว สัตว์ใดมีกำลังมากกว่าก็จะลากสัตว์นอกนั้นติดตามไป ตามอำนาจของสัตว์นั้น และเช่นเดียวกันผู้ใดไม่อบรมกายคตาสติ ไม่เจริญให้มาก ตา ก็จะฉุดลาก เอาไปในรูปที่น่าพอใจ รูปไม่น่าพอใจก็เป็นของปฏิกูล หูก็จะฉุดลากเอาไปหาเสียงที่น่าฟัง เสียงที่ไม่ น่าฟังก็กลายเป็นปฏิกูลไป จมูกก็จะฉุดไปสู่กลิ่นที่น่าสูดดม กลิ่นไม่น่าสูดดมก็เป็นปฏิกูลไป ลิ้นก็จะ ฉุดลากไปในรสที่ชอบใจ รสที่ไม่ชอบใจย่อมเป็นปฏิกูล กายก็จะฉุดลากไปในสัมผัสที่เอิบอาบใจ สัมผัสที่ไม่เอิบอาบใจ ก็เป็นสิ่งปฏิกูล และใจก็จะฉุดไปในธรรมารมณ์ที่ถูกใจ ธรรมารมณ์ที่ไม่ถูกใจก็ เป็นปฏิกูล การพัฒนาด้านกายนี้จัดอนุโลมอยู่ในการพัฒนาระดับศีล เพราะลำพังเพียงกายอย่าง เดียว ไม่มีศีลควบคุมแล้ว พระพุทธศาสนาไม่ถือเป็นการพัฒนาทางกาย แต่ตรงกันข้ามถ้าพัฒนา กายด้านเดียวแล้ว อาจเป็นการส่งเสริมให้เกิดตัณหาความทะยานอยาก เพื่อให้ได้วัตถุมาบำรุงกาย ให้เจริญ โดยพระพุทธศาสนาไม่พิจารณาการพัฒนากายแยกต่างหากจาก จริยธรรม เพราะลำพัง ความเจริญทางกายอย่างเดียว ย่อมไม่มีความหมายเป็นสิกขา และตามปกติจะเอียงไปทางเป็นการ สนับสนุนให้ตัณหา ได้เครื่องมือที่จะเสพแสวงหายื้อแย่งโลกามิส๓๗ ซึ่งเป็นสายตรงข้ามกับการศึกษา คือ ไตรสิกขาเพื่อพัฒนาฝึกปรือตนเองให้เจริญยิ่งขึ้น หากไม่พัฒนาเรื่องกายให้ชัดเจนหรือชำนาญ แล้ว ก็ย่อมตกเป็นเครื่องมือของวัตถุนิยมไปโดยหลีกเลี่ยงได้ยาก โดยเฉพาะในสังคมปัจจุบัน ที่ใช้ สื่อมวลชนสาขาต่าง ๆ เช่น สื่อทางโทรทัศน์สื่อทางหนังสือพิมพ์สื่อทางอินเตอร์เน็ต มอมเมาให้ผู้ ไม่ฝึกฝน พัฒนาตนเองต้องเสียคน เสียความดีของตนไปด้วย การไม่พัฒนากายหรืออินทรีย์ให้รู้เท่า ทันจึงเกิดปัญหาตามมาทางสังคมหลายประการ เช่น กรณีพี่ชายข่มขืนน้องสาวของตนเอง เพราะ ขณะนั้นพี่ชายกำลังดูเว็บไซต์อนาจารอยู่ จึงไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมความต้องการทางเพศของ ตนได้จึงได้ทำผิดศีลธรรมอย่างน่าสลดใจยิ่งนัก๓๘ ๒. การพัฒนาบุคลิกภาพตามหลักศีลภาวนา กระบวนการพัฒนาตามหลักศีลภาวนา เป็นความพยายามในการจัดการสังคมในด้าน การอยู่ร่วมกัน ด้านการมีชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม อย่างมีระเบียบวินัย อยู่ร่วมกับผู้อื่นด้วยดี ไม่ ๓๗ ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๕/๔๘/๒๗๒ ๓๘ แม่ชีศันสนีย์เสถียรสุด, เพื่อนทุกข์ ๒, (กรุงเทพมหานคร: แปลนพริ้นติ้ง, ๒๕๔๔),หน้า ๗๐-๗๑. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๖๗


๑๖๘ ก่อการเบียดเบียน ไม่ทำความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นหรือแก่สังคม ประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลต่อ ผู้อื่น ประกอบอาชีพสุจริตด้วยความขยันหมั่นเพียร โดยมี “ศีล” เครื่องมือสำหรับจัดการเรื่องของ ความสัมพันธ์ในสังคม ศีลในทางพระพุทธศาสนาไม่ใช่เพียงแค่การยกเว้นการเบียดเบียนกันทางกาย วาจา เท่านั้น แต่หมายถึงอาชีวะด้วย ได้แก่ สัมมาวาจา วาจาชอบ สัมมากัมมันตะ การกระทำชอบ สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ เป็นอันว่าการพัฒนาศีลก็คือการพัฒนาการอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยดี มี ระเบียบวินัย อยู่ในกฎเกณฑ์กติกา มีชีวิตเกื้อกูลเป็นประโยชน์ ศีล แปลว่า ปกติ ผู้ที่มีศีลจึงหมายถึงผู้ที่เป็นคนปกติ เป็นมนุษย์ที่ปกติ ความปกตินั้น เป็น พื้นฐานของความสงบเรียบร้อยของทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งสิ่งที่มีชีวิต และสิ่งไม่มีชีวิต แต่เมื่อใดเกิด ความไม่ปกติขึ้น ความยุ่งยาก ความเดือดร้อนหรือเสียหายย่อมเกิดขึ้นตามมา ถ้ามีความเป็นปกติ การดำเนินชีวิตก็มีแต่ความสงบสุข สังคมก็อยู่อย่างปกติ เรียบร้อย แต่วันใดที่คนปกติกลายเป็นคน ไม่ปกติไป เมื่อนั้นความทุกข์ ความเดือดร้อนย่อมเกิดขึ้น ทั้งต่อตนเองและบุคคลที่อยู่รอบข้างด้วย อะไรคือความเป็นปกติของมนุษย์ และอะไรคือความผิดปกติของมนุษย์ศีล ๕ คือปกติของความ เป็นมนุษย์ หรือมนุษยธรรม คือธรรมที่ทำให้เป็นมนุษย์ ผู้ที่ผิดศีลก็ชื่อว่า เป็นคนที่ผิดปกติไป ศีล เป็นเครื่องควบคุมให้ตั้งกายกรรม วจีกรรม ไว้ด้วยดีหมายความว่า รักษากายให้ตั้งอยู่ในสุจริต ๓ รักษาวาจาให้ตั้งอยู่ในวจีสุจริต ๔ ไว้เป็นปกติศีล เข้าไปรับรองกุศลกรรมไว้หมายความว่า เมื่อ บุคคลมีศีลดีแล้ว คุณธรรมอื่น ๆ ที่ดีงาม เช่น ขันติเมตตา สัจจะ สันโดษ วิริยะ ปัญญา เป็นต้น ก็ เกิดขึ้นมาตามลำดับ๓๙ ในระหว่าง ศีล สมาธิ ปัญญา นั้น ศีลถือเป็นไตรสิกขาข้อแรกที่พุทธศาสนาแนะนำให้ ประพฤติปฏิบัติ ทั้งในระดับบุคคลและระดับสังคม การดำเนินชีวิตภายใต้กรอบแห่งศีล ๕ ถือเป็น ศีลขั้นมูลฐานที่ทุกคนสามารถปฏิบัติได้ เพื่อใช้เป็นบันไดที่จะนำไปสู่การสร้างคุณค่าทางจิตวิญญาณ ในระดับสูงต่อไป พุทธศาสนาโดยเฉพาะนิกายเถรวาทถือว่า หากปราศจากการรักษาศีล การทำ สมาธิในระดับสัมมาสติและสัมมาสมาธิจะไม่สามารถบรรลุได้เลย เพราะศีลและสมาธิคือทางที่ นำไปสู่ปัญญา เมื่อไม่สามารถมีสัมมาสมาธิ ก็ย่อมไม่บรรลุปัญญา อันหมายถึงความรู้แจ้งใน สภาวธรรมสูงสุดได้อย่างสมบูรณ์ ในส่วนรวม ศีลเป็นเครื่องช่วยให้สมาชิกในชุมชนอยู่ร่วมกันอย่าง กลมกลืน ศีลจึงเป็นเครื่องมือในการพัฒนาสังคมให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ การที่สังคม ปัจจุบันประสบปัญหาต่างๆ มากมาย ก็เนื่องจากสมาชิกในสังคมขาดศีล หรือหย่อนในกฎศีลธรรม ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องศีล ส่วนใหญ่มักจะเกี่ยวกับค่านิยมของคนใน สังคมที่ยึดว่าอะไรคือสิ่งที่ถือว่าถูก ผิด หรืออะไรเรียกว่า บุญ หรือ บาป๔๐ "ศีล" คือ ข้อปฏิบัติตนขั้นพื้นฐานในทางพระพุทธศาสนา เพื่อควบคุมความประพฤติ ทางกายและวาจาให้ตั้งอยู่ในความดีงามมีความปกติสุข เพื่อประโยชน์ขั้นพื้นฐานคือความสุขและไม่ มีการเบียดเบียนกันในสังคม ประโยชน์ของศีลในขั้นพื้นฐานคือทำให้กาย วาจา ใจ สงบไม่ เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ทำให้สามารถที่จะทำให้จิตสงบได้ง่ายในการทำสมาธิ ในระดับของ ๓๙ พระธรรมธีรราชมหามุนี, (โชดก ญาณสิทฺธิ), วิปัสสนาญ าณโสภณ, พิมพ์ครั้งที่ ๓, (กรุงเทพมหานคร : ศรีอนันต์การพิมพ์, ๒๕๔๖), หน้า ๗๔ - ๗๕. ๔๐ สุวัฒน์ จันทรจำนง, แก่นพุทธธรรม, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์รุ่งเรืองสาส์นการพิมพ์, ๒๕๔๖), หน้า ๑๗๒. ๑๖๘ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๑๖๙ บรรพชิต ศีลจะมีจำนวนมาก เพื่อกำกับให้พระภิกษุสงฆ์สามเณรสามารถครองตนในสมณภาวะได้ อย่างสมบูรณ์ และเอื้อต่อการประพฤติพรหมจรรย์ในขั้นสูงต่อไปได้ ลักษณะของศีล คือ มีการรักษากาย วาจาให้เรียบร้อยดีงาม หน้าที่ของศีล คือ มีการ กำจัดความทุศีล ผลปรากฏของศีล คือ มีความสะอาดกาย วาจา ใจ (กายโสเจยฺยํวจีโสเจยฺยํมโนโส เจยฺยํ) ส่วนเหตุเกิดของศีล คือ หิริ(ละอายชั่ว) และโอตตัปปะ (กลัวบาป) ๔๑ นอกจากนั้น ศีล ครอบคลุมไปถึง การไม่ละเมิดระเบียบวินัย หรือการไม่เจตนาล่วงเกินเบียดเบียนผู้อื่น ถ้ามองใน ด้านการกระทำ ศีล จึงหมายถึง ความไม่ละเมิด และการไม่เบียดเบียน สาระของศีลอยู่ที่ความ สำรวม หมายถึง การสำรวมระวังคอยปิดกั้น หลีกเว้นไม่ให้ความชั่วเกิดขึ้นนั่นเองเป็นศีล และสภาพ จิตของผู้ไม่คิดจะละเมิด ไม่คิดเบียดเบียนใครนั่นแหละเป็นตัวศีล๔๒ ศีลที่ทำให้เกิดสภาพความ เป็นอยู่ที่เกื้อกูลแก่การปฏิบัติกิจต่าง ๆ เพื่อเข้าถึงจุดหมายที่ดีงามโดยลำดับ ไปจนถึงจุดหมายสูงสุด ของชีวิต ในกิมัตถิยสูตร กล่าวถึงสาระสำคัญของกุศลศีล ว่าสามารถเป็นเหตุให้ดับทุกข์ได้โดยพระ อานนท์ได้ทูลถามพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับผลแห่งศีลที่เป็นกุศล และพระองค์ได้ตรัสตอบว่าศีลที่เป็น กุศล ทำให้สามารถดับทุกข์ได้มีลำดับการพัฒนา ได้แก่ ศีลที่เป็นกุศล เป็นเหตุให้เกิดอวิปปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ) อวิปปฏิสาร เป็นเหตุให้เกิดปราโมทย์ปราโมทย์เป็นเหตุให้เกิดปีติปีติเป็น เหตุให้เกิดปัสสัทธิปัสสัทธิเป็นเหตุให้เกิดสุข สุข เป็นเหตุให้เกิดสมาธิสมาธิเป็นเหตุให้เกิด ยถาภูตญาณทัสสนะ ยถาภูตญาณทัสสนะ เป็นเหตุให้เกิดนิพพิทาและวิราคะ นิพพิทาและวิราคะ เป็นเหตุให้เกิดวิมุตติญาณ ทัสสนะ วิมุตติญาณทัสสนะ เป็นธรรมสูงสุด๔๓ ศีลสำหรับฆราวาส จัดเป็น ๒ ระดับ ดังนี้ ๑. ศีลในแง่ธรรม หมายถึง หลักความประพฤติระดับกายวาจาและอาชีวะที่นำมา แนะนำสั่งสอน โดยเน้นที่ปัจเจกชนเป็นสำคัญ ในขั้นนี้มีความหมายไปถึง อธิศีลสิกขา ซึ่งหมายถึง การฝึกความประพฤติสุจริตทางกาย วาจา และอาชีวะ ได้แก่ รวมเอาองค์มรรค สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ เข้ามาว่าโดยสาระก็คือ การดำรงตนด้วยดีในสังคม รักษาระเบียบ วินัย ปฏิบัติหน้าที่และความรับผิดชอบทางสังคมให้ถูกต้อง มีความสัมพันธ์ทางสังคมที่ดีงามเกื้อกูล ประโยชน์ช่วยรักษาและส่งเสริมสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะในทางสังคม ให้อยู่ในภาวะเอื้ออำนวย แก่การที่ทุก ๆ คนจะสามารถดำเนินชีวิตที่ดีงาม หรือ ปฏิบัติตามมรรคกันได้ด้วยดีกล่าวโดยย่อ อธิศีลสิกขา คือ ความประพฤติด้านศีล ตัวอย่างพุทธพจน์ที่แสดงเรื่องศีลในแง่ธรรม สำหรับคฤหัสถ์ ผู้ครองเรือนที่แสดงถึงบทบาทของศีลและปัญญาของบุตรธิดาต่อบิดามารดา ดังนี้ “บุตรธิดาที่สามารถยังมารดาบิดาผู้ทุศีล ผู้ไม่มีศรัทธาให้ตั้งมั่นในศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญาได้การกระทำอย่างนั้น ชื่อว่า บุตรได้ตอบแทนแก่มารดาบิดา”๔๔ ๒. ศีลในแง่ที่เป็นวินัย หมายถึง กฎระเบียบข้อบังคับที่กำหนดวางกันขึ้นเป็นบัญญัติ ทางสังคม เพื่อกำกับความประพฤติของบุคคล ตามความมุ่งหมายเฉพาะของหมู่ชน หรือ ชุมชนนั้น โดยมากมุ่งเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติตามธรรมให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และผู้ฝ่าฝืนต้องได้รับโทษตาม ๔๑ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๗๕ - ๗๖. ๔๒ พระธรรมปิฎก, (ป.อ.ปยุตฺโต), พุทธธรรมฉบับปรับปรุงและขยายความ, หน้า ๗๖๗. ๔๓ องฺ.เอกาทสก. (ไทย) ๒๔/๑/๑-๓. ๔๔ องฺ.ทุก. (ไทย) ๒๐/๓๔/๗๘. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๖๙


๑๗๐ ความรับผิดชอบต่อชุมชน หรือ สังคมนั้นอีกชั้นหนึ่ง ต่างจากผลทางจิตใจตามกฎธรรมชาตินั่นคือ วิธีฝึกคนให้มีศีล ซึ่งเป้าหมายของวินัยที่เป็นศีล๔๕ ได้แก่ศีลระดับสังคมสงฆ์มีเป้าหมายที่สำคัญอยู่ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความดีงามที่เป็นไปโดยความเห็นชอบร่วมกันของสงฆ์ความผาสุกแห่งสงฆ์ กำราบคนหน้าด้าน ไม่รู้จักอาย ความอยู่ผาสุกแห่งเหล่าภิกษุผู้มีศีลดีงาม ปิดกั้นความเสื่อมเสีย ความทุกข์ความเดือดร้อนที่จะมีในปัจจุบัน บำบัดความเสื่อมเสีย ความทุกข์ความเดือดร้อนที่จะมี ในภายหลัง ความเลื่อมใสยิ่งขึ้นไปของคนที่ยังไม่เลื่อมใส ความเลื่อมใสยิ่งขึ้นไปของคนผู้เลื่อมใส แล้ว ความดำรงมั่นแห่งสัทธรรม และส่งเสริมความเป็นระเบียบเรียบร้อย สนับสนุนวินัยให้หนัก แน่น๔๖ ศีล ๕ หรือเบญจศีล เป็นศีลขั้นพื้นฐานของศีลทั้งปวง กล่าวคือ ศีลทุกประเภทไม่ว่าจะ เป็นศีลของอุบาสก อุบาสิกา สามเณร หรือพระภิกษุ ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งศีล ๕ ข้อนี้ กำหนด เป็นศีลสำหรับผู้ครองเรือนทั่วไปควรรักษา เป็นศีลที่ควรรักษาให้เป็นปกติ ประกอบด้วย ๑) ปาณาติปาตา เวรมณี เว้นจากการปลงชีวิต, เว้นจากการฆ่าการประทุษร้ายกัน ๒) อทินนาทานา เวรมณี เว้นจากการถือเอาของที่เขามิได้ให้, เว้นจากการลักโกง ละเมิดกรรมสิทธิ์ ทำลายทรัพย์สิน ๓) กาเมสุมิสฉาจารา เวรมณี เว้นจากการประพฤติผิดในกาม, เว้นจากการล่วงละเมิด สิ่งที่ผู้อื่นรักใคร่หวงแหน ๔) มุสาวาทา เวรมณี เว้นจากการพูดเท็จ โกหก หลอกลวง ๕) สุราเมรยมัฌชปะมาทัตถานา เวรมณี เว้นจากน้ำเมา คือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้ง แห่งความประมาท, เว้นจากสิ่งเสพติดให้โทษ๔๗ อานิสงส์ของการรักษาศีล ๕ ผู้ที่รักษาศีลข้อที่ ๑ ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เศษของบุญจะน้อมนำมาเกิดเป็นมนุษย์ผู้มี พลานามัยดี แข็งแรง ปราศจากโรคภัย อายุยืนยาม ไม่มีศัตรูมาเบียดเบียน ไม่มีอุบัติเหตุต่างๆ ที่จะ ทำให้บาดเจ็บหรือสิ้นอายุขัยก่อนวัยอันควร ผู้ที่รักษาศีลข้อที่ ๒ ไม่ถือเอาทรัพย์ของผู้อื่นที่เจ้าของมิได้เต็มใจให้ เศษของบุญจะ น้อมนำมาเกิดเป็นมนุษย์ในตระกูลที่ร่ำรวย การทำมาหาเลี้ยงชีพประสบความสำเร็จ พบช่อง ทางการทำมาค้าขายดีมั่งมีทรัพย์สินเงินทอง ทรัพย์สมบัติไม่วิบัติหายนะไปด้วยภัยต่างๆ เช่น อัคคีภัย วาตภัย โจรภัย ฯลฯ ผู้ที่รักษาศีลข้อที่ ๓ ไม่ล่วงประเวณีในคู่ครองหรือคนในปกครองของผู้อื่น เศษของบุญ จะน้อมนำมาเกิดเป็นมนุษย์ที่ประสบโชคดีในความรัก มักได้พบกับรักแท้ที่จริงจังและจริงใจไม่ต้อง อกหักผิดหวังในความรัก มีบุตรธิดาที่ว่านอนสอนง่าย ไม่ดื้อด้าน ไม่ถูกผู้อื่นฉุดคร่าอนาจารไปทำให้ เสียหาย บุตรธิดาย่อมเป็นอภิชาตบุตรนำเกียรติยศชื่อเสียงมาสู่วงศ์ตระกูล ผู้ที่รักษาศีลข้อที่ ๔ ไม่กล่าวคำเท็จ เศษของบุญจะน้อมนำมาเกิดเป็นมนุษย์ที่มีเสียง ๔๕ พระธรรมปิฎก, (ป.อ.ปยุตฺโต), พุทธธรรมฉบับปรับปรุงและขยายความ, หน้า ๗๖๘. ๔๖ องฺ.ทสก. (บาลี) ๒๔/๓๑/๗๔ ๔๗ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม, พิมพ์ครั้งที่ ๑๒, (กรุงเทพมหานคร : ราชบัณฑิตยสถาน), หน้า ๒๓๘. ๑๗๐ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๑๗๑ ไพเราะ พูดจามีน้ำมีนวลชวนฟัง มีเหตุมีผล มีโวหารปฏิภาณไหวพริบในการเจรจา จะเจรจาความ สิ่งใดก็มีผู้ฟังและเชื่อถือ สามารถว่ากล่าวสั่งสอนบุตรธิดาและศิษย์ให้อยู่ในโอวาทได้ดี ผู้ที่รักษาศีลข้อที่ ๕ ไม่ดื่มสุราเมรัย เครื่องหมักดองของมึนเมา เศษของบุญจะน้อมนำ ให้มาเกิดเป็นมนุษย์ผู้ที่มีสมอง ประสาม ปัญญา ความคิดแจ่มใส จะศึกษาเล่าเรียนสิ่งใดก็แตกฉาน และทรงจำได้ง่าย ไม่หลงลืมฟั่นเฟือนเลอะเลือน ไม่เสียสติวิกลจริต ไม่เป็นโรคสมอง โรคประสาท ไม่ปัญญาทราม ไม่ปัญญาอ่อน ศีล ๕ เป็นคุณธรรมพื้นฐาน เป็นเครื่องช่วยควบคุมกายวาจาของมนุษย์ให้เรียบร้อย เพื่อ ให้มนุษย์อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสุขพอสมควร หากมีผู้ใดทำผิดศีลข้อใดข้อหนึ่ง หรือ หลายข้อแล้ว ก็จะแสดงพฤติกรรม หรือการกระทำที่ผิดปกติของมนุษย์ออกมา ซึ่งจะก่อให้เกิด ความสับสนวุ่นวายเกิด ความเดือดร้อนทั้งต่อตนเอง หมู่คณะ และสังคมส่วนรวม ศีล ๕ เกิดขึ้น จากสามัญสำนึกของมนุษย์ ที่ปรารถนาจะอยู่ในสังคมได้อย่างสงบสุข ปลอดภัย โดยไม่ต้อง หวาดระแวงหรือกลัวอันตราย หรือกลัวว่าจะถูกเบียดเบียนทำร้าย ไม่ว่าจากใคร หรือด้วยวิธีใดก็ ตาม การนำหลักศีล ๕ มาประยุกต์พัฒนาพฤติกรรมของบุคคลในสังคม ที่แสดงออกมาทาง กาย วาจา และใจ ก็เพื่อพัฒนาคุณธรรมและคุณงามความดีในตัวบุคคลให้เป็นผู้ที่ประกอบด้วย เมตตา กรุณา มีสัจจะ มีความซื่อสัตย์สุจริต มีหิริโอตตัปปะ และเป็นผู้ที่แสดงพฤติกรรมทางกาย วาจา และใจ โดยใช้สติปัญญาตัดสินปัญหาต่างๆ มากกว่าการใช้อารมณ์หรือกิเลสตัณหาต่างๆ เป็น ตัวตัดสินใจในการดำเนินชีวิต การพัฒนาตนเองเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งในการดำรงชีวิตใน สังคมปัจจุบัน และเราไม่อาจหยุดที่จะพัฒนาตนเองได้แม้ในท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลงของ สังคมที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว๔๘ สุขภาพกาย สุขภาพใจ จะต้องได้รับการพัฒนาตามกระแสของโลกได้ อย่างถูกต้อง ในทางพระพุทธศาสนาสอนว่าคนเราทุกคนเกิดมาต่างมีทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น แต่ใน ระหว่างที่คนยังมองไม่เห็นทุกข์หรือความทุกข์ยังไม่ได้บีบคั้นให้รู้สึกสำนึก ก็เรามักจะใช้ชีวิตไป ในทางที่ประมาทและไม่สนใจว่าความประมาทนั้นทำให้ชีวิตต้องตกต่ำหรือหายนะไปอย่างไร๔๙ การ นำหลักศีล ๕ มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันจำทำให้บุคคลมีกายวาจา และใจที่ดีงาม และเป็น การส่งเสริมพัฒนาศักยภาพความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ “บุคลิกที่ดี” คือ พฤติกรรมที่แสดงออกมาทาง กาย วาจา และใจ ในรูปแบบของการ กระทำที่ประกอบด้วยคุณธรรมและจริยธรรมเป็นพฤติกรรมที่ตั้งอยู่ในคุณงามความดีมีเมตตา กรุณา มีหิริโอตตัปปะ มีความซื่อสัตย์สุจริต ต่อตนเองและผู้อื่น ไม่กระทำให้ตนเองและผู้อื่นใน สังคมต้องเดือดร้อน รู้จักยับยั้งช่างใจ ใฝ่ในการกระทำความดีรู้จักรับผิดชอบชั่วดีรู้จักยั้งยั้งช่างใจ ในความโลภ ความโกรธ ความหลง ครอบงำจิตใจจนเป็นทุกข์และรู้จักอดทนอดกลั้นต่อกิเลสอยู่ บ้าง รู้จักใช้ปัญญาที่ประกอบด้วยเหตุผล มากกว่าใช้อารมณ์ในการตัดสินปัญหา รากเหง้าของการ พัฒนาพฤติกรรมให้ดียิ่งขึ้นไปก็คือ การนำหลักศีลที่ต้องประกอบด้วยธรรมหลายๆ อย่างมา ประพฤติปฏิบัติกล่าวคือ คือ (๑) ต้องเป็นผู้มีเจตนาตั้งใจเว้น ๔๘ สมิต อาชวนิจกุล, การพัฒนาตนเอง ภาค ๒, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร : ทิพย์อักษร, ๒๕๓๕), หน้า ๘. ๔๙ สมิต อาชวนิจกุล, การพัฒนาตนเอง ภาค ๒,, หน้า ๑๙. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๗๑


๑๗๒ (๒) ต้องเป็นผู้มีเจตสิก คือ ความงดเว้น (๓) ต้องเป็นผู้มีความสังวรด้วยสติ (๔) ต้องเป็นผู้มีความไม่ก้าวล่วงกิเลสอย่างหยาบ ทางกายวาจา ธรรมเหล่านี้จัดว่าเป็นศีลทุกข้อ อันจะนำผู้ปฏิบัติห่างไกลจากอบายมุขต่างๆ กล่าวคือ ๑) เจตนาที่ชื่อว่าศีล คือ ผู้ปฏิบัติพึงตั้งใจ งดเว้นจากกายวาจาทุจริต เพราะตั้งใจงดเว้น กายวาจาทุจริตจึงละอกุศลคือ ความทุศีลได้เช่น เวลาที่งดเว้นทุจริต เจตนาก็ต้องมีเจตสิกคือความ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ก็ต้องมีสังวรคือสติก็ต้องมีความไม่ก้าวล่วงกิเลสอย่างหยาบก็ต้องมีเพราะ เวลานั้นจิตเป็นกุศล ธรรมเหล่านี้ก็จะต้องเป็นไปร่วมกัน แต่ว่าในวาระนั้น จะกล่าวว่างดเว้นด้วย ธรรมอะไร กล่าวคือ การงดเว้นนั้นมีอะไรเป็นประธาน เช่น ถ้าผู้ปฏิบัติงดเว้นด้วยเจตนาเป็น ประธาน เช่นตั้งใจรักษาศีล ชื่อว่า เจตนา เป็นประธาน ส่วนธรรมที่เหลือจำพวกเจตสิก หรือความ สำรวม หรือความไม่ก้าวล่วงเหล่านี้ก็เข้าร่วมสนับสนุนด้วยในเวลาที่อารมณ์เป็นกุศล ๒) เจตสิกที่ชื่อว่าศีล คือ ผู้ประพฤติปฏิบัติต่อเจตสิกศีล กล่าวคือ บุคคลนั้นไม่ได้มี เจตนาตั้งใจเว้นไว้ก่อน แต่เมื่อมีวัตถุที่จะให้ล่วงศีลแล้วก็งดเว้นได้ไม่ล่วงศีล เพราะมีวิรติ(ความยินดี) คือ สัมมาวาจาสัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น เช่น จะพูดปดก็เว้นไม่ พูด อย่างนี้เรียกว่า เป็นสัมมาวาจา ทำให้กล่าววาจาตามความเป็นจริง หรือ สัมมาวาจา เป็นต้น ซึ่ง จัดว่าเป็นการเว้นเฉพาะหน้า ซึ่งเรียกว่า เจตสิกศีล๕๐ ๓) สังวรที่ชื่อว่าศีล คือ ผู้ประพฤติปฏิบัติต่อสังวรศีล กล่าวคือ เพราะมีสติเป็นเครื่องกั้น กระแสของกิเลสไม่ให้ทำชั่ว ทางกายวาจาจะต้องมีสติสำรวมอยู่เสมอ บาปก็เกิดขึ้นไม่ได้ชื่อว่า เป็น สังวรศีล ส่วนการที่เราล่วงศีลก็เกิดจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่เรายั้งไม่อยู่จึงทำให้เป็น เหตุให้เกิดบาป แต่ถ้ามีสติสำรวมอยู่บาปก็เกิดขึ้นไม่ได้จึงจัดว่า เป็นสังวรศีล เหตุเกิดสังวร ๕ อย่าง คือ ๑. ปาฏิโมกข์สังวร คือ ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ และ ศีล ๒๒๗ และศีล ๕ ศีล ๘ เป็น ปาฏิโมกข์ของคฤหัสถ์ ๒. สติสังวร คือ มีสติสังรวมระวังในอินทรีย์ทั้ง ๖ ด้วยการรู้เท่าทันอารมณ์ที่ เกิดขึ้นทาง ตา หูจมูก ลิ้น กาย ใจ ที่กำลังเป็นปัจจุบันเพื่อปิดกลั้นกระแสของกิเลส ๓. ญาณสังวร คือ ต้องมีสติสัมปชัญญะ เจริญสติปัฏฐานรู้สภาวธรรมตามความ เป็นจริงว่ารูปหรือว่านาม ย่อมจะห้ามทิฏฐิที่เป็นอนุสัยกิเลสไม่ให้เกิดขึ้นในอารมณ์นั้นๆ ๔. ขันติสังวร คือ ความอดทนอดกลั้นต่อความเย็นร้อน และความลำบากต่างๆ อานิสงส์ของศีล คือ เป็นเครื่องมือฝึกหัดขัดเกลากิเลสอย่างหยาบให้เบาบางลง ปรับ การแสดงออกทางกายวาจาให้เกื้อกูลแก่สภาพความเป็นอยู่และอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยกันด้วยดี ศีล เป็นความจำเป็นพื้นฐานสำหรับพัฒนาชีวิตให้พร้อมที่จะเป็นที่รองรับกุศลธรรมทั้งหลาย เป็น พื้นฐานของสมาธิให้ถึงพร้อมในคุณธรรมทางจิตใจ ๓. การพัฒนาบุคลิกภาพตามหลักจิตภาวนา กระบวนการพัฒนาทางด้านอารมณ์ตามหลักจิตภาวนา เป็นกระบวนการจัดการกับ อารมณ์ให้คนเราสามารถควบคุมอารมณ์ได้ มีการแสดงออกทางอารมณ์ในทางที่เป็นคุณ ทำจิตใจให้ ๕๐ ปราโมทย์น้อยวัฒน์, อนุปุพพิกถา และอริยสัจ, (กรุงเทพมหานคร: จัดพิมพ์โดยชมรมอนุรักษ์ ธรรม), หน้า ๑๐๐. ๑๗๒ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๑๗๓ เจริญงอกงามขึ้นในคุณธรรม ความดีงามความเข็มแข็งมั่นคง เบิกบานผ่องใสสงบสุข ว่าด้วยจิตใจที่ มีคุณภาพ มีความเชื่อความรู้ตรงตามความเป็นจริงตามเหตุปัจจัย มีความเชื่อมั่นในการทำความดีมี พรหมวิหาร ๔ มีความเสียสละ จิตใจโอบอ้อมอารีและมีหิริโอตตัปปะ จิตมีสมรรถภาพมีฉันทะ เพียรพยายาม มีสติไม่เสื่อมถลำไปทางเสื่อม มีสมาธิสงบ ตั้งมั่นมีพลังเหมาะควรแก่การงาน จิตมี สุขภาพดีมีความสุขรู้เท่าทันตามความเป็นจริงเป็นอิสระ มีท่าทีต่อความสุขด้วยการพัฒนาที่ประณีต และสูงขึ้นไปจนได้รับความรู้สึกเป็นอิสระ๕๑ และเพราะเหตุที่มีจิตเป็นตัวรับรู้อารมณ์ การพัฒนา ทางอารมณ์จึงต้องพัฒนาที่จิตฝึกฝนที่จิตอบรมที่จิต ให้จิตรู้เท่าทันอารมณ์ จิตที่ยังมิได้อบรมนั้นแม้ จะเป็นธรรมชาติรู้ ก็ยังเป็นรู้ผิด รู้หลงอยู่ เพราะยังมีอวิชชาคือความไม่รู้ในสัจจะที่เป็นตัวความจริง การพัฒนาจิต หมายถึง อธิจิตตสิกขาในไตรสิกขานั่นเอง ซึ่งหมายถึง การฝึกปรือในด้านคุณภาพ และสมรรถภาพของจิต ได้แก่รวมเอาองค์มรรคข้อสัมมาวายามะ สัมมาสติและสัมมาสมาธิเข้ามา ว่าโดยสาระก็คือ การฝึกให้มีจิตใจเข้มแข็ง มั่นคง แน่วแน่ ควบคุมตนได้ดีมีสมาธิมีกำลังใจสูง ให้ เป็นจิตที่สงบ ผ่องใส เป็นสุข บริสุทธิ์ปราศจากสิ่งรบกวนหรือทำให้เศร้าหมอง อยู่ในสภาพเหมาะ แก่การใช้งานมากที่สุด โดยเฉพาะการใช้ปัญญาอย่างลึกซึ้ง และตรงตามความเป็นจริง๕๒ การพัฒนาอารมณ์ เป็นการอบรมจิตเพื่อเสริมสร้างจิตให้พรั่งพร้อมด้วยคุณสมบัติทั้ง ๓ ด้าน กล่าวคือ ๑) คุณภาพจิต ได้แก่ พวกคุณธรรม ต่างๆ คือ สร้างเสริมจิตใจให้ดีงาม เป็นจิตใจที่สูง ประณีต ให้มีเมตตา ความรัก ความเป็นมิตร ความปรารถนา ประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น มีกรุณา อยาก ช่วยเหลือผู้อื่นให้พัน ทุกข์ มีจาคะ มีน้ำใจเผื่อแผ่ โอบอ้อมอารี มีคารวะ ความ เคารพ เห็น ความสำคัญของผู้อื่น มัทวะ ความอ่อนโยน กตัญญู ความรู้คุณค่าแห่งการกระทำของผู้อื่น เป็นต้น เหล่านี้เป็นเรื่องของคุณภาพจิต ๒) สมรรถภาพจิต หรือความสามารถของจิต เช่น ความมีสติดี มีวิริยะ ความเพียร พยายามสู้งาน มีขันติ ความอดทนและทนทาน มีสมาธิ จิตใจแน่วแน่ มีสัจจะ มีความจริงจัง เอาจริง เอาจัง มีอธิษฐาน ความเด็ดเดี่ยวต่อความมุ่งหมาย มีความหนักแน่นเข้มแข็งมั่นคงของจิตใจที่จะ ทำงานให้ได้ผลสมบูรณ์ โดยเฉพาะงานทางปัญญาคือการคิดพิจารณาให้เห็นความจริงแจ่มแจ้ง ชัดเจน ๓) สุขภาพจิต คือ มีจิตที่มีสุขภาพดี มีจิตใจที่เป็นสุข สดชื่นร่าเริง เบิกบาน ปลอด โปร่ง สงบ ผ่องใส พร้อมที่จะยิ้มแย้มได้ มีปีติ ความเอิบอิ่มใจ มีปราโมทย์ ความแช่มชื่นใจ มีปัสสัทธิ ความผ่อนคลาย ไม่คับข้องขุ่นมัว ไม่หม่นหมองหดหู่เหี่ยวแห้งหรือโศกเศร้า อะไรต่างๆ เหล่านี้เรียกว่า สุขภาพจิต ในที่นี่เรื่องเน้นย้ำอย่างหนึ่ง ก็คือเรื่อง สุขภาพจิต การศึกษาจะต้อง สร้างคนให้มีความสุข เพราะว่าความสุขเป็นแก่นของจริยธรรม ในทางพระพุทธศาสนานั้น คนจะมี จริยธรรมได้ต้องมีความสุขเป็นหลักด้วย ถ้าคนไม่มีความสุขแล้วจะมีจริยธรรมได้ยาก พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) กล่าวว่า “ถ้าจะพิจารณาคิดเรื่องอะไร ก็อยู่กับสิ่งนั้นสิ่ง เดียว สิ่งอื่นเข้ามาแทรกมากวนไม่ได้อย่างนี้เรียกว่า สมาธิ…สมาธิเป็นเรื่องของจิต คือ ทำจิตให้ สงบ แต่พอสงบแล้วจิตก็ใส ก็เลยใช้ปัญญาได้ดีมองเห็นอะไรได้ชัดเจน”๕๓ ๕๑ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), การพัฒนาที่ยั่งยืน, หน้า ๑๒๕-๑๒๗. ๕๒ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), พุทธธรรมฉบับปรับปรุงและขยายความ, หน้า ๙๑๕. ๕๓ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), ทศวรรษธรรมทัศน์พระธรรมปิฎก หมวดพุทธศาสตร์, หน้า ๑. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๗๓


๑๗๔ อานิสงส์ของผู้ที่มีการพัฒนาทางอารมณ์ คือ มีจิตใจเจริญงอกงามพรั่งพร้อมด้วย คุณสมบัติทั้ง ๓ ด้าน จิตมีความผ่องแผ้วสว่างบริสุทธิ์ จิตสว่าง อารมณ์ผ่องใส ไม่โกรธง่าย ไม่เครียด เมื่อต้องใช้ความคิดก็จะคิดแบบมีเหตุมีผล การที่จิตผ่องแผ้วถือเป็นโอสถทิพย์ที่สำคัญต่อร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายสร้างและหลั่งฮอร์โมนในร่างกายที่เป็นปกติทำให้ร่างกายสมดุล เมื่อร่ายกายสมดุล บุคคลนั้นจะอายุยืน คนที่มีอารมณ์ดี ไม่เครียด จะอายุยืนยาว การมีจิตที่ผ่องใสเสมือนหนึ่งมียา อายุวัฒนะขนานเอกไว้ในตัวเอง ทำให้คนรักใคร่ สนิทสนม ให้ความดูแลเอาใจใส่ และเป็นการ ทำลายความริษยา เป็นคนประเสริฐเพราะละนิวรณ์ อุปาทาน สังโยชน์ หนักแน่นในกตเวทิตา ว่า นอนสอนง่าย เพราะไม่มีมานะ ไม่เย่อหยิ่ง จองหอง ละความโศกเศร้าในวัฏฏะ สมบูรณ์ในไตรสิกขา เป็นผู้พร้อมด้วยเสบียงแห่งมรรค ผล นิพพาน สิ้นสงสารในเรื่องชีวิต ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด ๔. การพัฒนาบุคลิกภาพตามหลักปัญญาภาวนา กระบวนการพัฒนาทางด้านปัญญา เป็นการฝึกอบรมกระบวนการคิดพิจารณาพินิจ พิเคราะห์ สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นโดยใช้หลักเหตุและผล พระพุทธศาสนาสอนให้พัฒนาปัญญาเพื่อให้ รู้เท่าทันสิ่งต่างๆ การศึกษาอบรมหากมีแต่สอนให้ปฏิบัติ โดยยึดหมวดศีลและสมาธิด้วยความไม่รู้ หรือตกอยู่ในอวิชชา ย่อมจะนำไปสู่ความคิดความเชื่อที่ผิดๆ การคิดโดยการใช้เหตุผลย่อมเป็นทาง นำไปสู่การเกิดปัญญาในทางสัมมาทิฏฐิ (การมองเห็นถูกต้อง มีความเห็นถูกต้อง ทฤษฎีถูกต้อง และ มีความเข้าใจถูกต้อง) ไม่ว่าจะเป็นการคิดในทางวิทยาศาสตร์ หรือในกระบวนการคิดทางจิต วิญญาณก็ตาม เช่นเดียวกัน ในทางพุทธศาสนา แนวความคิดแบบวิเคราะห์ถือว่าเป็นแนวทางที่จะ นำไปสู่การพัฒนาปัญญา เพื่อทำความเข้าใจกับชีวิตว่าสรรพสิ่งทั้งหลายต่างอยู่อย่างพึ่งพาอาศัยซึ่ง กันและกัน มนุษย์จึงไม่สมควรมีหรือใช้อภิสิทธิ์ในการเบียดเบียนธรรมชาติเพื่อแสวงหาประโยชน์ ส่วนตน ปัญญาในสัมมาทิฏฐิ บังเกิดขึ้นได้จากปัจจัย ๒ ประการ คือ ๑) ปัจจัยภายนอก เรียกว่า ปรโตโฆสะ หมายถึง การรับฟังคำสั่งสอน การเล่าเรียนหา ความรู้ด้วยการสนทนาซักถาม ฟังคำบอกเล่าชักจูงจากผู้ที่เป็นกัลยาณมิตร ครูอาจารย์ ตำรา และ สื่อต่างๆ ๒) ปัจจัยภายใน เรียกว่า โยนิโสมนสิการ หมายถึง การใช้ความคิดพินิจพิเคราะห์ พิจารณาสืบสาวหาเหตุผล แยกแยะสิ่งนั้นๆ ให้เห็นตามสภาวะและความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย เพื่อ นำมาวิเคราะห์แก้ไขปัญหา การที่จะบรรลุเป้าหมายจากการคิดวิเคราะห์ขึ้นอยู่กับปัจจัย ๒ ประการ คือ ภูมิหลัง กับ ระดับของสติปัญญาในการมองเห็นปัญหา ปัญญาในสัมมาทิฏฐิ มีธรรมที่ส่งเสริมให้เกิด คือ อิทธิบาท ๔ ซึ่งถือว่าเป็นคุณธรรมที่ นำไปสู่ความสำเร็จ ๔ ประการ มีดังนี้ ๑) ฉันทะ ความพอใจ ความต้องการ ความใฝ่ใจที่จะทำที่จะเรียนรู้ในสิ่งที่ถูกต้อง ๒) วิริยะ ความเพียร ความพยายามในการแสวงหาแนวทางสัมมาทิฏฐิ ๓) จิตตะ ความคิด การตั้งจิตรับรู้ในสิ่งที่ทำ ด้วยการใช้ความคิดอย่างเป็นระบบ ๔) วิมังสา การไตร่ตรอง การทดลอง การพิจารณาด้วยเหตุผล ความรู้ที่เข้าใจสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง ความรู้ที่สามารถ สืบสาวเหตุปัจจัยของสิ่งต่าง ๆ ความรู้ที่สามารถคิด พิจารณาวินิจฉัยได้เลือกเฟ้นกลั่นกรองได้ เชื่อมโยงประสานได้ทำให้เอาสุตะหรือข้อมูลข่าวสารวิชาการต่าง ๆ ไปใช้งาน สามารถจัดสรร ๑๗๔ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๑๗๕ จัดการทำสิ่งต่าง ๆ ให้สำเร็จได้ความรู้อย่างนี้เรียกว่า ปัญญา๕๔ หมายถึง ความรู้ทั่ว ปรีชาหยั่งรู้ เหตุผล ความรู้เข้าใจชัดเจน ความรู้เข้าใจหยั่งแยกได้ในเหตุผล ดีชั่ว คุณโทษ ประโยชน์มิใช่ ประโยชน์เป็นต้น และรู้ที่จะจัดแจง จัดสรร จัดการ ความรอบรู้ในกองสังขารมองเห็นตามเป็น จริง”๕๕ ปัญญานั้น เป็นเครื่อง วินิจฉัยสุตะ คือ ความรู้ที่เข้ามานั้นเป็นข้อมูลดิบ เป็นของดิบ ยังไม่รู้ ว่าเป็นอย่างไร มีคุณค่าอย่างไร จะเอาไปใช้อย่างไร ถ้าคนไม่มีปัญญา ความรู้นั้นก็เอามากกองไว้เฉย ๆ ไม่รู้ว่าจะเอาไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร แต่คนที่มีปัญญาจะสามารถวินิจฉัยได้เลือกเฟ้นได้ว่า ถ้า เราจะทำอะไรให้สำเร็จสักอย่างหนึ่ง จะต้องเอาความรู้นี้ไปใช้ไปทำอย่างไร ไปดัดแปลงอย่างไร เอา ความรู้นั้นไปยักเยื้องใช้งานทำการแก้ไขปัญหาจัดทำสิ่งต่าง ๆ ให้สำเร็จผลตามต้องการได้ การมี ปัญญาที่พัฒนาแล้ว จะทำให้รู้สิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริง เช่น การมีปัญญาพิจารณารู้ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ตามความเป็นจริง ปราศจากการยึดถือว่าเป็นตัวเรา ของเรา๕๖ ส่วน ในแง่ของอธิปัญญาสิกขา หมายถึง การฝึกปรือปัญญาให้เกิดความรู้ความเข้าใจสรรพสิ่ง ทั้งปวง ตามความเป็นจริง จนกระทั่งหลุดพ้น มีจิตใจเป็นอิสระ ผ่องใส เบิกบานโดยสมบูรณ์ รวมเอาองค์ มรรค ข้อสัมมาทิฐิและสัมมาสังกัปปะ สองอย่างแรกเข้ามา ว่าโดยสาระก็คือ การฝึกอบรมให้เกิด ปัญญาบริสุทธิ์ที่รู้แจ้งชัดตรงตามสภาพความเป็นจริง ไม่เป็นความรู้ความคิด ความเข้าใจที่ถูก บิดเบือนเคลือบคลุม ย้อมสีอำพราง หรือ พร่ามัว เป็นต้น เพราะอิทธิพลของกิเลสมีอวิชชาและ ตัณหาเป็นผู้นำที่ครอบงำอยู่ การฝึกปัญญาเช่นนี้ต้องอาศัยการฝึกจิตให้บริสุทธิ์เป็นพื้นฐาน แต่ใน เวลาเดียวกัน เมื่อปัญญาที่บริสุทธิ์รู้เห็นตามเป็นจริงนี้เกิดขึ้นแล้ว ก็กลับช่วยให้จิตนั้น สงบ มั่นคง บริสุทธิ์ผ่องใสแน่นอนยิ่งขึ้น๕๗ ปัญญาจำแนกโดยการพัฒนา มี ๓ ทาง ดังนี้ ๑) สัญญา ความกำหนดได้หมายรู้ได้แก่ ความรู้ที่เกิดจากการกำหนด หมาย หรือจำ ได้หมายรู้ซึ่งบันทึกไว้เป็นแบบเทียบเคียง และเป็นวัตถุดิบของการรู้และการคิดต่อ ๆ ไป สัญญาที่ เกิดขึ้นตามปกติในกระบวนการรับรู้อาจจะแตกต่างกันได้เป็นความรู้หลายระดับตั้งแต่รู้คลุมเคลือ ไปจนถึงรู้ชัดเจน ตั้งแต่บางแง่ถึงรู้สมบูรณ์รู้พลาดถึงรู้ถูกต้อง ซึ่งเป็นเพียงเรื่องการรับรู้และไม่รู้ เท่านั้น จึงเป็นเรื่องของการพัฒนาความรู้โดยตรง ๒) ทิฐิความเห็น หมายถึง ความเข้าใจโดยนัยเหตุผล คือ ความรู้ที่ได้ข้อสรุปอย่างใด อย่างหนึ่ง และมีความยึดถือไว้กับตัวตน อาจเป็นความรู้ที่มาจากแหล่งภายนอก แต่ได้คิดกลั่นกรอง ยอมรับ หรือ สรุปเข้ามาเป็นของตนเอง โดยพระสารีบุตรอธิบายไว้ในมาคันทิยสูตร แสดง ความหมายของคำว่า “ทิฐิ” ว่าหมายถึง สัมมาทิฐิเท่านั้น มี๑๐ ประการ ได้แก่ ทานที่ให้แล้วมีผล ยัญที่บูชาแล้วมีผล การเซ่นแล้วมีผล ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วมีอยู่ โลกนี้มีโลกหน้ามีมารดา มีคุณ บิดามีคุณ สัตว์ที่เป็นโอปปาติกะมีอยู่ สมณะพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบรู้แจ้งโลกนี้และ ๕๔ พระธรรมปิฎก, (ป.อ.ปยุตฺโต), ความสุขที่แท้จริง, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภา, ๒๕๔๓), หน้า ๑๘. ๕๕ พระธรรมปิฎก, (ป.อ.ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน์ฉบับประมวลศัพท์, หน้า ๑๖๔. ๕๖ สํ.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๒/๓๔–๓๗. ๕๗ พระธรรมปิฎก, (ป.อ.ปยุตฺโต), พุทธธรรมฉบับปรับปรุงและขยายความ, หน้า ๙๑๕. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๗๕


๑๗๖ โลกหน้าด้วยตนเอง แล้วสอนให้ผู้อื่นรู้แจ้งมีอยู่ในโลก๕๘ ๓) ญาณ คือ ความรู้ความหยั่งรู้ความรู้บริสุทธิ์ความรู้ตรงตาม มลภาวะ หรือปัญญา ที่ทำงานออกผลเป็นเรื่อง ๆ หรือมองเห็นตลอดสายในด้านหนึ่ง ๆ ญาณเป็นความรู้ระดับสุดยอด ของปัญญามนุษย์และเป็นผลสำเร็จสำคัญของมนุษย์ด้วยเหตุว่า ญาณ สามารถผลักดันให้มนุษย์ สำเร็จขั้น โพธิญาณ ซึ่งหมายถึง ความตรัสรู้เช่น การที่ พระพุทธเจ้าตรัสรู้เราเรียกว่า สัมมา สัมโพธิญาณ เป็นศัพท์เฉพาะพระองค์นอกจากนี้ยังมีวิธีจำแนกความรู้อย่างอื่นอีก จัดเป็น ข้อปลีกย่อยลงไป คือ นำความรู้หมวดต่าง ๆ ในเบื้องต้นที่กล่าวแล้วนั้น มาคลุกเคล้าเข้าหมวดกัน ปัญญาจำแนกโดยการลักษณะ มี ๕ ลักษณะ ดังนี้ (๑) ความรู้ที่ได้จากการบอกกล่าว เล่าลือ ตรับฟัง เล่าเรียน ถ่ายทอด (๒) ความรู้ที่ได้จากการคิดเหตุเหตุผล คือ ตรรก อนุมาน การตริตรองตามเหตุผล (๓) ความรู้ตามแบบแผนตำรา เช่น ความรู้จาก พระไตรปิฎก (๔) ความรู้ที่พิจารณาเห็นสมหรือยอมรับเข้าเป็นทิฏฐิหรือทฤษฎีของตน (๕) ความรู้ที่ได้ด้วยรู้แจ้งชัดประจักษ์กับตัว คือ ความรู้ที่ได้เห็นจริง ได้รู้จริง ได้ชั่ง เหตุผลแล้ว ได้ไตร่ตรองแล้ว ได้ทำให้แจ่มชัดปรากฎชัดแล้ว๕๙ เหตุปัจจัยให้เกิดปัญญาตามนัยแห่งปัญญาสูตร คือ การอาศัย พระศาสดา หรือ เพื่อนพรหมจารีที่น่าเคารพรัก เข้าไปไต่ถามเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธพจน์ฟังธรรมแล้วทำความสงบ กายและใจ มีศีล เป็นพหูสูตร ปรารภความเพียร ไม่พูดเรื่องติรัจฉานกถา เห็นความเกิดและความ ดับแห่งเบญจขันธ์๖๐ เหตุปัจจัยให้เกิดปัญญาตามหลักปัญญาวุฒิธรรม ลำดับขั้นตอน การศึกษา ภาคทฤษฎีและลงมือปฏิบัติตาม เริ่มตั้งแต่วงนอกไปหาวงใน คือ ผู้ฝึกฝนพัฒนา อบรมตน จะต้อง อาศัยบุคคลผู้เป็นกัลยาณมิตรก่อน แล้วตั้งจิตใจฟังธรรมะของท่าน จากนั้นก็พิจารณาใคร่ครวญไป ตามกระแสแห่งธรรมะที่ฟังอยู่นั้น เมื่อฟังจับสาระได้แล้วก็นำมาปฏิบัติตามสมควรแก่ความเพียร ทางจิต และปัญญาความรอบรู้จึงเรียกวิวัฒนาการแห่งปัญญา นี้ว่า เป็นปัญญาวุฒิธรรม ซึ่งมี๔ ประการ คือ (สัปปุริสังเสวะ) การคบหาสัตบุรุษ หรือการคบคนดีเสวนาคนดี(ธัมมัสสวนะ) การฟัง คำแนะนำสั่งสอนของสัตบุรุษนั้น (โยนิโสมนสิการ) การพิจารณาไตร่ตรองโดยแยบคายหรือรู้จักคิด ให้ถูกวิธี(ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ) การนำไปปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลัก ตามความมุ่งหมาย๖๑ อานิสงส์ของการพัฒนาทางปัญญา การอบรมปัญญานี้มีอานิสงส์หลายร้อยประการ การจะประกาศอานิสงค์แห่งปัญญาภาวนามิใช่เป็นสิ่งที่ทำได้โดยง่ายเลย บุคคลผู้อบรมปัญญา จน สามารถทำลายกิเลสนานาชนิดได้สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลตั้งแต่โสดาบัน จนถึงอรหันต์ขีณาสพสิ้น อาสวะทั้งมวล ชื่อได้ว่าสางรกชัฏ สางความยุ่งเหยิงแห่งชีวิตต่างๆ เป็นผู้เลิศในโลกพร้อมทั้งเทวโลก กำจัดกิเลสนานาประการ มีสักกายทิฏฐิ และสังโยชน์เบื้องสูง มีรูปราคะและอรูปราคะ เป็นต้น สามารถถูกกำจัดเสียได้ด้วยปัญญาภาวนา ปัญญาภาวนานอกจากทำลายกิเลสดังกล่าวแล้ว ยังทำให้ ๕๘ ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๗๔/๒๒๓–๒๒๔. ๕๙ ขุ.ม. (บาลี) ๒๙/๗๒๘/๔๓๖ ๖๐ องฺ.อฏฐฺก. (ไทย) ๒๓/๒/๑๙๖ - ๒๐๐ ๖๑ องฺ.จตุกฺก. (ไทย) ๒๑/๒๔๘/๓๖๗ - ๓๖๘ ๑๗๖ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๑๗๗ บุคคลผู้ทำลายกิเลสได้ มีโอกาสได้เสวยรสแห่งอริยผล มีโสดาปัตติผล มีอรหันตตผล ๗.๕.๒ ผลของการพัฒนาบุคลิกภาพตามหลักภาวนา ๔ พระผู้มีพระภาคเจ้า ชื่อว่า ทรงอบรมพระองค์แล้ว ทรงเป็นภาวิตัตต์หรือ พระองค์ที่ ทรงเจริญหรือพัฒนาแล้ว เป็นอย่างไร คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอบรมพระวรกาย อบรมศีล อบรมจิตใจ อบรมปัญญา (ขยายความต่อไปอีกว่าทรงเจริญโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการแล้ว) ๖๒ ภาวนา เป็นคำในภาษาบาลีที่มีรูปกิริยาศัพท์เป็น ภาเวติมีความหมายตรงกับคำว่า วฑฺเฒติซึ่งก็คือ วัฒนา หรือ การพัฒนา ที่ใช้ในภาษาไทย คำว่า ภาวนา ในคำสอนของ พระพุทธศาสนา หมายถึงการทำให้มีขึ้นเป็นครึ่ง, การทำให้เกิดขึ้น, การเจริญ,การบำเพ็ญ, การ ฝึกอบรม, การพัฒนาเพื่อทำสิ่งที่ยังไม่มีให้มีขึ้น ๖๓โดยมีความหมายครอบคลุมถึงการปฏิบัติตน ทั้งหมดที่เป็นไปเพื่อการพัฒนาคุณธรรมภายในตน๖๔ คุณสมบัติของบุคคลที่ได้รับการพัฒนาดีแล้วในทางพระพุทธศาสนาท่านใช้ว่าภาวิตกา โย ภาวิตสีโล ภาวิตจิตโต ภาวิตปัญโญ คือคำว่า ภาวนา เวลาใช้เป็นคุณศัพท์เป็น ภาวิตะ ภาวิตกา โย ผู้มีกายที่เจริญแล้วหรือฝึกอบรมแล้ว ภาวิตสีโล ผู้มีศีลที่ฝึกอบรมแล้วหรือเจริญแล้วภาวิตจิตโต ผู้มีจิตที่เจริญแล้วหรือมีจิตที่ฝึกอบรมแล้ว ภาวิตปัญโญ ผู้มีปัญญาที่เจริญแล้วหรือปัญญาที่ฝึกอบรม แล้ว ถ้าเป็นคำนาม ๔ อันนี้ก็คือ ๑. กายภาวนา คนเป็นภาวิตกาโย ตัวการกระทำเป็นกายภาวนา ๒. ศีลภาวนา คนเป็นภาวิตสีโล ตัวกระทำเป็นจิตภาวนา ๓. จิตภาวนา คนเป็นภาวิตจิตโต ตัวกระทำเป็นจิตภาวนา ๔. ปัญญาภาวนา คนเป็นภาวิตปัญโญ ตัวกระทำเป็นปัญญาภาวนา๖๕ ๗.๕.๓ การพัฒนาบุคลิกภาพโดยทั่วไป ๑) การพัฒนาบุคลิกภาพทางกาย ควรใช้เครื่องแต่งกายที่สะอาดเรียบร้อย ให้เหมาะสม กับรูปร่างของตน ไม่นำสมัยจนเกินไป บุคลิกภาพทางกายเป็นสิ่งประทับใจครั้งแรก นอกจากการ ดูแลตนเอง เรื่องการแต่งกายและความสะอาด ควรตรวจสอบตนเองเกี่ยวกับภาษาและกิริยาท่าทาง ๒) การพัฒนาบุคลิกภาพทางสติปัญญา ความรู้สึกนึกคิด เจตคติและความสนใจเมื่อ บุคคลคิดว่าตนเองมีความสามารถด้านใดเป็นพิเศษก็พัฒนาด้านนั้น รวมทั้งสะสมความรอบรู้หรือ ความสนใจด้านอื่นๆ ด้วย เช่น มีส่วนร่วมในการทำงานของสโมสร สมาคม และองค์การต่างๆ ร่วม ในการกีฬาการละเล่น หรือในกิจกรรมต่างๆเป็นต้นเพราะจะทำให้มีความคิดและความสนใจที่กว้าง ขึ้น ทำให้มีเพื่อนใหม่เพิ่มความมั่นใจในตนเอง ๖๒ ขุ.จู. (ไทย) ๓๐/๑๘/๑๑๕. ๖๓ พระธรรมปิฏก (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ฉบับประมวลศัพท์, พิมพ์ครั้งที่ ๙, (กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖), หน้า ๒๐๓. ๖๔ พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ. ปยุตฺโต), หลักแม่บทของการพัฒนาตน, พิมพ์ครั้งที่ ๑๕, (กรุงเทพมหานคร: มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖), หน้า ๑๐, ๑๕. ๖๕ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรมกับการพัฒนาชีวิต, (กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภา, ๒๕๔๐), หน้า ๕๑. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๗๗


๑๗๘ ๓) การพัฒนาบุคลิกภาพทางอารมณ์วิธีการที่ดีก็คือไม่ปล่อยให้มีอารมณ์พลุ่งพล่าน เพราะจะทำให้บุคคลก้าวร้าวหยาบคายต่อเพื่อนร่วมงาน ต่อผู้บริหาร ลูกค้า และบุคคลทั่วไป ๔) การพัฒนาบุคลิกภาพทางสังคม ปัจจัยเบื้องต้นที่จูงใจ ให้บุคคลอื่นๆ อยากคบหา สมาคมด้วย เช่น กิริยาท่าทาง น้ำเสียง ภาษาพูด การแต่งกาย และการวางตน เป็นต้น ปัจจัยที่จะ ทำให้มิตรภาพยั่งยืนมาจากคุณสมบัติที่อยู่ภายในตัวบุคคล เช่น น้ำใจที่ให้ผู้อื่น ความไม่เห็นแก่ตัว ความซื่อสัตย์ความบริสุทธิ์ใจ การรู้จักใจเขาใจเรา ความเป็นคนตรงต่อเวลา เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ บุคคลควบคุมตนเองให้ประพฤติปฏิบัติได้และเมื่อทำไปนานๆ ก็จะเกิดความเคยชิน และกลายเป็น ลักษณะประจำตัว ๗.๕.๔ การเสริมสร้างบุคลิกภาพ ๑) การมองต้องพยายามใช้สายตาด้วยความสุภาพเรียบร้อย เพราะสายตาสามารถบอก ถึงความรัก ความเกลียดชัง ความเมตตาปรานีความโกรธแค้น ความเคารพนับถือ หรือความ เหยียดหยาม ดูหมิ่นดูแคลนได้ระวังในการใช้สายตาอย่าให้เกิดความเข้าใจผิดหรือรู้สึกติดลบได้ ๒) การแต่งกายต้องคำนึงถึงความสะอาดเรียบร้อย ทุกครั้งที่เลือกเครื่องแต่งกายหรือ กำลังจะแต่งกาย ถูกต้องและเหมาะสมกับกาลเทศะ แต่งกายให้พอดีอย่าให้มากเกินไปหรือน้อย เกินไป เพราะการแต่งกายบ่งบอกความพิถีพิถันและเอาใจใส่ตัวเอง ช่วยทำให้ดูดีหรือดูแย่ได้ ๓) การพูด ศิลปะในการพูดต้องพูดให้ชนะใจผู้ฟัง ใช้คำพูดที่มีเหตุผล สุภาพ ไพเราะ มี น้ำเสียงชวนฟัง เสียงดังฟังชัด ฉะฉาน และใช้คำพูดที่เหมาะสมกับผู้ฟังโดยคำนึงถึงเพศ อายุระดับ การศึกษา อาชีพ ความสนใจพิเศษของผู้ฟัง สถานที่ เวลา และโอกาส ๔) การเดินเดินให้มีท่าทางสง่าและเรียบร้อย โดยเดินให้ตัวตรง อกผายไหล่ผึ่งเพื่อให้ดู สง่า เวลาเดินให้ก้าวเท้ายาวพอประมาณ และสอดคล้องกับเสื้อผ้าหรือรองเท้าที่สวมใส่ ว่าก้าวแค่ ไหนจึงดูคล่องแคล่วและปลอดภัย ต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียงดังจนเกินไป เพราะเสียงฝีเท้าจะไป รบกวนผู้อื่น ไม่เดินฝ่ากลางวงที่ผู้อื่นยืนสนทนากัน ๕) การแสดงท่าทางให้เป็นธรรมชาติสง่า ท่าทางที่ดีจะต้องมาจากพื้นฐานของความ สงบ สำรวม ให้เกียรติทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น ควรมีท่าทางประกอบเพื่อให้ดูผ่อนคลาย และเสริมใน สิ่งที่พูดหรือเล่า ต้องระวังท่าทางที่ไม่สวยงาม เวลาพูดหรือทำอะไรก็ตาม อย่ามีการแสดงท่า ประกอบมากเกินไปจนน่าเกลียด หรือแสดงท่าที่ไม่สุภาพ ๖) การทำงานต้องทำด้วยท่าทางคล่องแคล่ว ด้วยความชำนาญ และให้ได้ผลงานดีเด่น ทำด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ อย่าให้น้อยไปกว่าความสามารถที่เรามีหรือทำได้ความน่าชื่นใจของ ผู้ร่วมงานหรือหัวหน้างานทุกคนก็คือ การมีเพื่อนร่วมงานหรือลูกน้องที่ทำงาน "เต็มความสามารถ" อยู่ตลอดเวลา นั่นคือบุคลิกแห่งความสำเร็จ ๗) การรักษาสุขภาพร่างกายต้องระวังสุขภาพให้ดีอย่าให้มีโรค ผู้ที่ป่วยออดๆ แอดๆ จะดูเป็นคนขี้โรค ซึ่งน่าเป็นห่วงมากกว่าน่าชื่นชม ดูอ่อนแอ ไม่คล่องแคล่ว โรคบางโรคส่งผลถึง ความซีดเซียว ห่อเหี่ยว หม่นหมอง จึงขาดสง่าราศีการดูแลสุขภาพให้ดีคือต้นทุนของการพัฒนา บุคลิกภาพที่สำคัญเช่นกัน๖๖ ๖๖ ก า ร เ ส ริ ม ส ร้ า ง บุ ค ลิ ก ภ า พ , [อ อ น ไ ล น์ ], แ ห ล่ ง ที่ ม า : https://sites.google.com/site/orachajannum/ 8-1 [๒๓ มีนาคม ๒๕๖๖]. ๑๗๘ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๑๗๙ ๗.๖ สรุปท้ายบท พระพุทธศาสนาเชื่อว่า บุคลิกภาพของบุคคลสามารถพัฒนาได้ด้วยหลักภาวนา ๔ อัน เป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาซึ่งมุ่งเน้นให้บุคคลเรียนรู้และปฏิบัติเพื่อปรับปรุง เปลี่ยนแปลงไปสู่ความพอดี ความมีดุลยภาพในชีวิต ก็เพื่อให้มีผลปรากฏกล่าวคือ การเปลี่ยนแปลง บุคลิกภาพใน ๒ ด้าน ได้แก่ ๑. บุคลิกภาพภายนอก และ ๒. บุคลิกภาพภายใน ให้เป็นไปในทางที่ดี ขึ้นให้มีการแสดงออกทางพฤติกรรมในเชิงบวก จากเดิมที่พฤติกรรมแสดงออกตามตัณหาเมื่อเข้าสู่ กระบวนการพัฒนาตามหลักพระพุทธศาสนาจะปรับเปลี่ยนให้บุคคลใช้ปัญญาเป็นตัวนำการ แสดงออกทางพฤติกรรมให้มีบุคลิกภาพที่สัมพันธ์เกื้อกูลกับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ หรือทางวัตถุ ให้รู้จัก “กิน อยู่ดูฟัง” เป็น สามารถเสพสิ่งเหล่านี้ในทางที่เป็นคุณ มิให้เกิดโทษ รู้จักควบคุมไม่ให้ เกิดความต้องการที่เกินความจำเป็น มีความสัมพันธ์ที่เกื้อกูลกับสิ่งแวดล้อมทางสังคม ตั้งอยู่ใน กฎระเบียบ เพื่อให้การตอบสนองความต้องการของตนไม่ไปเบียดเบียนหรือก่อความเดือดร้อน เสียหายกับผู้อื่น สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นและเกื้อกูลกันได้ด้วยดี รูปลักษณ์ทางกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญาและพฤติกรรม ที่รวมเรียกว่าบุคลิกภาพของบุคคลนั้น การเรียนรู้จะส่งผลให้บุคคลมีการ ปรับตัวและเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพไปที่ละน้อย การปรับตัวจึงมีความสัมพันธ์กับพัฒนาการทางบุคลิกภาพเป็นอย่างมาก การพัฒนา ใดๆก็ตามจะประสบผลสำเร็จตามความมุ่งหมายได้ต้องมีความมุ่งมั่นจริงจังและดำเนินการพัฒนา อย่างต่อเนื่อง ต้องมีการพัฒนาในหลายขั้นตอนจนกว่าจะบรรลุจุดหมายสุดท้าย คือ มีปัญญาที่รู้เท่า ทันโลกและชีวิต ดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง มีสุขภาพจิตใจที่ดีงาม มีความสุข เป็นอิสระและเข้าถึง จุดหมายสูงสุดของชีวิต เมื่อใดบุคคลมีการเจริญภาวนาครบ ๔ ประการ สามารถพัฒนาตนครบทั้งสี่ ด้านบริบูรณ์ทางพระพุทธศาสนาท่านเรียกว่าเป็นสัตบุรุษ๖๗ ในด้านการประกอบกิจหน้าที่การงานก็ สามารถดำเนินการได้ประสบความสำเร็จ สามารถควบคุมความประพฤติทางกายและวาจาให้ตั้งอยู่ ในความดีงาม เป็นผู้ที่มีความสำรวมกาย มีสติควบคุมความประพฤติทางกายให้ตั้งอยู่ในความดีงาม เป็นผู้ที่มีความสำรวมวาจา เลือกพูดจาด้วยถ้อยคำที่สุภาพ มีศีลเป็นข้อปฏิบัติให้ตั้งมั่นอยู่ในความดี ไม่ใช้วาจาในทางเบียดเบียนผู้อื่น มีความเพียรพยายามฝึกฝนการระงับโทษทางวาจา ไม่ดูหมิ่น เหยียดหยามผู้อื่นให้ได้รับความอับอาย เป็นผู้ที่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ สามารถ ควบคุมอารมณ์ไม่ให้แสดงพฤติกรรมออกมาในทางก่อให้เกิดปัญหา สามารถจัดการให้พฤติกรรมมี การแสดงออกที่เหมาะสมได้ มีจิตใจที่สูง ประณีต มีเมตตา มีความรัก มีความเป็นมิตร ปรารถนา ประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น มีความรับผิดชอบเอาใจใส่ในงาน พร้อมที่จะเสียสละเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ในการ ช่วยเหลืองานต่างๆ เป็นอย่างดีด้วยความเต็มใจ ไม่เบียดเบียนผู้อื่นมีความซื่อสัตย์ต่อตนเองต่อผู้อื่น และต่อหน้าที่ในความรับผิดชอบ ๖๗ พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม ฉบับปรับขยาย, พิมพ์ครั้งที่ ๓๙, หน้า ๓๕๖. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๗๙


บรรณำนุกรม ๑. ภำษำไทย ก.ข้อมูลปฐมภูมิ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปฎกภำษำบำลี ฉบับมหำจุฬำเตปฏก�. ๒๕oo. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๕. ________. พระไตรปฎกภำษำไทย ฉบับมหำจุฬำลงกรณรำชวิทยำลัย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙. มหามกุฏราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกพร้อมอรรถกถา แปล ชุด ๙๑ เล่ม. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหามกุฏ ราชวิทยาลัย, ๒๕๓๕. ข.ข้อมูลปฐมภูมิ กรมการศาสนา. รำยงำนกำรสัมมนำทำงวิชำกำร เรื่อง รูปแบบกำรส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมในสังคมไทย. กรุงเทพมหานคร : ส�านักพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม กรมการศาสนา. ๒๕๕๑. กิติมา สุรสนธิ. ควำมรู้ทำงกำรสื่อสำร. พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพมหานคร : คณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์. ๒๕๔๘ กรุณา กุศลาสัย. อินเดียทวีปที่น่ำทึ่ง, พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพมหานคร: ส�านักพิมพ์ศยาม, ๒๕๔๔ กาญจนา แก้วเทพ. สื่อสำรมวลชน ทฤษฎีและแนวทำงกำรศึกษำ. พิมพ์ครั้งที่ ๒, กรุงเทพนคร : จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. ๒๕๔๓ เกรียงศักดิ์ พลอยแสง. เอกสำรประกอบกำรสอนวิชำ พัฒนำกำรภำษำไทย, กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬา ลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๔๔ กษิรา เทียนส่องใจ. “กำรศึกษำวิเครำะหอภัยทำนเพื่อกำรจัดกำรควำมขัดแย้งในสังคมไทยปจจุบัน”. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๕๑ ก่องแก้ว เจริญอักษร. กำรพัฒนำบุคลิกภำพตำมแนวพุทธ. กรุงเทพมหานคร: ส�านักพิมพ์จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๕. กันยา สุวรรณแสง. บุคลิกภำพ และกำรปรับตัว. กรุงเทพมหานคร: ภาควิชาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. อักษรพิทยา. ๒๕๓๖. ขนิษฐา วิเศษสาธร และมุกดา ศรียงค์. จิตวิทยำสังคมและมนุษยสัมพันธ. กรุงเทพมหานคร : คณะครุศาสตร์ อุตสาหกรรมและวิทยาศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง. ๒๕๒๖ คนึงนิตย์ จันทบุตร. สถำนะและบทบำทของพระพุทธศำสนำในประเทศไทย. กรุงเทพมหานคร : ภาพพิมพ์. ๒๕๓๒ จ�านงค์ อดิวัฒนสิทธิ์. แนวคิดเชิงพุทธเกี่ยวกับกำรพัฒนำประชำกร : สังคมวิทยำตำมแนวพุทธศำสตร. กรุงเทพมหานคร : ส�านักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กรมการศาสนา. ๒๕๓๐ จุไรรัตน์ ลักษณะศิริ และบาหยัน อิ่มส�าราญ. ภำษำกับกำรสื่อสำร. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยศิลปากร. ๒๕๕๐ เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี. สมบัติของผู้ดี, พิมพ์ครั้งที่ ๔. พระนคร : โรงพิมพ์คุรุสภา. ๒๔๙๘ ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์. ศำสนำ, กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. ๒๕๑๘ ๑๘๐ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


ชัยวัฒน์ อัตพัฒน์. หลักพุทธศำสนำ. กรุงเทพมหานคร : คณะมนุษย์ศาสตร์ มหาวิทายลัยรามค�าแหง. ๒๕๒๓ ณัฏฐ์ชุดา วิจิตรจามรี. กำรสื่อสำรในองคกำร. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพมหานคร: ส�านักพิมพ์มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์. ๒๕๕๔ ณัฐนันท์ ประกายสันติสุข. ประสิทธิผลของกำรสื่อสำรในกำรเผยแผ่ธรรม หลักสูตรกำรพัฒนำจิตให้เกิด ปญญำและสันติสุข. กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ๒๕๔๗ เดือน ค�าดี. ศำสนศำสตร. พิมพ์ครั้งที่ ๒, กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. ๒๕๔๕ ทองหล่อ วงษ์ธรรมา. ปรัชญำตะวันออก. กรุงเทพมหานคร: ส�านักพิมพ์โอเดียนสโตร์. ๒๕๓๖ ทินพันธ์ นาคะตะ. พุทธศำสนำกับสังคมไทย. กรุงเทพมหานคร : กรมการศาสนา. ๒๕๒๙ ทัศนีย์ เจนวิถีสุข. “การสื่อสารเชิงพุทธกับการเปลี่ยนแปลงสังคม”. วิทยำนิพนธปริญญำดุษฎี บัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๕๕ ________.“การสื่อสารที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสังคมที่ปรากฏในพระไตรปิฎก” . สำรนิพนธพุทธศำสตร ดุษฎีบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๕๓ ธรรมเกียรติ กันอริ. โลกของสื่อ, กรุงเทพมหานคร : บริษัท ที.พี.พริ้นท์ จ�ากัด. ๒๕๔๒ นวลลออ สุภาผล. ทฤษฎีบุคลิกภำพ. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ประมวลศิลป. ๒๕๔๑. บุญศรี พานจิตต์ และคณะ. “ความส�าเร็จในการปฏิบัติภารกิจของวัด : ศึกษาเฉพาะกรณีวัดสวนแก้ว อ�าเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี ”. รำยงำนกำรวิจัย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. ๒๕๔๕ บรรจบ บรรณรุจิ. อสีติมหำสำวก. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๔๘ ประสาร ทองภักดี. พุทธศำสนำ –กำรศึกษำและกำรสอน. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์อักษรสาส์น. ๒๕๑๓ ปิน มุทุกันต์. มุมสว่ำง. กรุงเทพมหานคร : ส�านักพิมพ์คลังวิทยา. ๒๕๑๓ ปรมะ สตะเวทิน. หลักนิเทศศำสตร. พิมพ์ครั้งที่ ๑๐. กรุงเทพมหานคร: คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ประภาพิศ สัญชาติเจตน์. จิตวิยำสังคม, กรุงเทพมหานคร : ม.ป.ท., ๒๕๒๔ ประเสริฐ แย้มกลิ่นฟุง. สถำนภำพและบทบำท. กรุงเทพมหานคร : คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ๒๕๑๖ ปราชญา กล้าผจญ. พฤติกรรมผู้น�ำทำงกำรศึกษำ. กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยรามค�าแหง. ๒๕๔๐ ประเวศ วะสี. พระสงฆกับกำรรู้เท่ำทันสังคม. กรุงเทพมหานคร : ส�านักพิมพ์หมอชาวบ้าน. ๒๕๔๐ ปราโมทย์ น้อยวัฒน์. อนุปุพพิกถำ และอริยสัจ. กรุงเทพมหานคร: จัดพิมพ์โดยชมรมอนุรักษ์ธรรม มปพ. พุทธทาสภิกขุ. พจนำนุกรมธรรมของท่ำนพุทธทำส. กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภา, ๒๔๔๙ ________. ภำษำคน ภำษำธรรม เรำมำ “กิน” เวลำกันเถิด. กรุงเทพมหานคร : สุขภาพใจ ๒๕๓๗ ________. พุทธศำสนำกับควำมส�ำเร็จของสังคม. กรุงเทพมหานคร : สุขภาพใจ. ๒๕๑๗ ________. พุทธจริยำ. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพมหานคร: ส�านักพิมพ์สุขภาพใจ. ๒๕๕๓ ________. พุทธประวัติฉบับส�ำหรับยุวชน. กรุงเทพมหานคร: ธรรมสภาและสถาบันบันลือธรรม. ๒๕๕๐ พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ. ปยุตโต) . พุทธวิธีในกำรสอน. กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภาและสถาบัน บันลือธรรม. ๒๕๔๗ ________.“ความส�าคัญและการรักษาพระไตรปิฎก”. เก็บเพชรจำกคัมภีรพระไตรปฎก. กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภาและสถาบันบันลือธรรม. ๒๕๔๕ ________. เทคนิคกำรสอนของพระพุทธเจ้ำ. กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิพุทธธรรม, ๒๕๓๑ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๘๑


________. สื่อมวลชนกับวัฒนธรรมไทย. กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. ๒๕๓๗ ________. จำริกบุญ จำรึกธรรม. พิมพ์ครั้งที่ ๑๐. กรุงเทพมหานคร : พิมพ์สวย. ๒๕๔๗ ________. พจนำนุกรมพุทธศำสตร ฉบับประมวลธรรม. พิมพ์ครั้งที่ ๙, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๔๓ ________. กำรสื่อสำรเพื่อเข้ำถึงสัจธรรม. กรุงเทพมหานคร: ธรรมสภา. ๒๕๓๙ ________. กำรพัฒนำคน. กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิโกมลคีมทอง. ๒๕๓๐ ________. สถำบันสงฆกับสังคมไทย. กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิโกมลคีมทอง. ๒๕๒๗ ________. พุทธธรรม, พิมพ์ครั้งที่ ๑๕. กรุงเทพมหานคร: สหธรรมิก. ๒๕๕๒ ________. มองสันติภำพโลกผ่ำนอำรยธรรมโลกำภิวัตน. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิ พุทธธรรม. ๒๕๔๒ ________. แก่นแท้ของพระพุทธศำสนำและลักษณะแห่งพระพุทธศำสนำ. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ชุมนุม สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จ�ากัด. ๒๕๕๔ ________. ควำมส�ำคัญของพระพุทธศำสนำในฐำนะศำสนำประจ�ำชำติ. พิมพ์ครั้งที่ ๑๑. กรุงเทพมหานคร: บริษัท สหธรรมิก จ�ากัด. ๒๕๕๐ ________. ธรรมนูญชีวิตพุทธจริยธรรมเพื่อชีวิตที่ดีงำม.พิมพ์ครั้งที่ ๖๘. กรุงเทพมหานคร : ส�านักพิมพ์ ระฆังทอง. ๒๕๔๗ ________. ตำมทำงพุทธกิจ. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ธรรมสภา. ๒๕๓๙ ________. พจนำนุกรมกรมพุทธศำสน ฉบับประมวลศัพท. พิมพ์ครั้งที่ ๑๐. กรุงเทพมหา นคร: บริษัท เอส.อาร์.พริ้นติ้ง แมสโปรดักส์ จ�ากัด. ๒๕๔๖ ________. พจนำนุกรมพุทธศำสตร ฉบับประมวลธรรม. กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๔๖ ________. พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงและขยำยควำม. พิมพ์ครั้งที่ ๖. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๓๘ ________. ทศวรรษธรรมทัศนพระธรรมปฎก หมวดสังคมศำสตรและมนุษยศำสตร. กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภา, ๒๕๔๓. ________. กำรพัฒนำที่ยั่งยืน. กรุงเทพมหานคร: ส�านักพิมพ์มูลนิธิพุทธธรรม. ๒๕๔๑. ________. ควำมสุขที่แท้จริง. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพมหานคร: ธรรมสภา. ๒๕๔๓. ________. ควำมส�ำคัญของพระพุทธศำสนำ ในฐำนะศำสนำประจ�ำชำติ. พิมพ์ครั้งที่ ๙. กรุงเทพมหานคร: มูลนิธิพุทธธรรม. ๒๕๔๐. พระธรรมวโรดม. ควำมรู้เรื่องหนังสือบำลี. กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๓๑ พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช). พจนำนุกรมเพื่อกำรศึกษำพุทธศำสน. พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภา. ๒๕๕๑ ________. พจนำนุกรมเพื่อกำรศึกษำพุทธศำสตร อธิบำยศัพทและแปลควำมหมำยค�ำวัดที่ชำวพุทธควรรู้. พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภาและสถาบันลือธรรม, ๒๕๕๓. พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ). วิปสสนำญำณโสภณ. พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพมหานคร : ศรีอนันต์ การพิมพ์. ๒๕๔๖. พระโสภณธรรมวาที. ควำมรู้พื้นฐำนกำรเทศน. กรุงเทพมหานคร : บริษัท ศิลปสยามบรรจุภัณฑ์และ การพิมพ์ จ�ากัด. ๒๕๔๖ ๑๘๒ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


พระมหาเทียบ สิริญาโณ. “บำลีคือ อะไร?”. เก็บเพชรจากคัมภีร์พระไตรปิฎก. อนุสรณ์ชนมายุครบ ๘๔ ป พระสุเมธาธีบดี. ๒๕๔๕ พระมหาบุญเลิศ ธมฺมทสฺสี . “ศึกษาวิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระราชวิทยาคม (หลวงพ่อคุณ ปริสุทฺโธ)”. วิทยำนิพนธพุทธศำสตรมหำบัณฑิต, บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬา ลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๔๓ พระมหาบูรณะ ชาตเมโธ (โพธิ์นอก). “การศึกษาอิทธิพลของอายตนะ (สื่อ) ที่มีต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต”. วิทยำนิพนธพุทธศำสนำมหำบัณฑิต (ธรรมนิเทศ). บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬา ลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๓. พระมหาจิตติภัทร อจลธมฺโม.“การศึกษาบทบาทของพระอานนท์ในการเผยแผ่ พระพุทธศาสนา”. วิทยำนิพนธพุทธศำสตรมหำบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย. ๒๕๓๗ พระมหาสุชาญ โรจนญาโณ . “การศึกษาบทบาทของพระมหาโมคคัลลานะในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา”. วิทยำนิพนธพุทธศำตรมหำบัณฑิต . บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย. ๒๕๔๐. พระมหาจรูญ ปฺญาวโร (อินทร์ยงค์). “การศึกษาบทบาทของพระมหากัสสปเถระ ในการเผยแผ่พระพุทธ ศาสนาเถวาท”.วิทยำนิพนธพุทธศำสตรมหำบัณฑิต . บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬา ลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๓๙. พระสมชาย ปโยโค (ด�าเนิน). “การประยุกต์ใช้สัมมาวาจาเพื่อการบริหารงานของผู้น�า”. ในพุทธธรรมกับ กำรพัฒนำสังคมและเศรษฐกิจ. พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส บรรณาธิการ. กรุงเทพมหานคร : บริษัท ๒๑ เซ็นจูรี่ จ�ากัด. ๒๕๕๔ พระมหามานพ ปิยสีโล (เจือจันทร์). “การบูชายัญในพระไตรปิฎก”. วิทยำนิพนธอักษรศำสตรมหำบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ๒๕๔๐ พระมหาประกาศิต อาจารปาลี (แก้วกองเกตุ). “การสร้างความปรองดองระหว่างศาสนา”. ในพุทธธรรม กับกำรพัฒนำสังคมและเศรษฐกิจ. พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส บรรณาธิการ. กรุงเทพมหานคร: บริษัท ๒๑ เซ็นจูรี่ จากัด. ๒๕๕๔ พระบุญโชค ชยธมฺโม (ส่งแสง). “ศึกษารูปแบบและวิธีการเทศน์ของพระสงฆ์ไทยในปจจุบัน”. วิทยำนิพนธ พุทธศำสตรมหำบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๒๕๔๘ พระพิพิธธรรมสุนทร. คม ชัด ลึก เล่ม ๒. กรุงเทพมหานคร : ส�านักพิมพ์เลี่ยงเชียง . ๒๕๔๗ พระมหาศักดิ์พิชิต ฐานสิทฺโธ (ชัยดี). “ศึกษาบทบาทการเผยแผ่พุทธธรรมของพระวิสุทธาธิบดี (วีระ ภทฺทจารี)”. วิทยำนิพนธพุทธศำสตรมหำบัณฑิต, บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย. ๒๕๔๙ พระมหาสุภา อุทฺโท. “บทบาทพระสงฆ์ในทษวรรษหน้า (๒๕๔๑ - ๒๕๖๐)”. วิทยำนิพนธพัฒนำชุมชน มหำบัณฑิต. คณะสังคมศาสตร์ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. ๒๕๔๑ พระมหาสมยศ สุทฺธิสิริ (คุ้มม่วง). “การศึกษาเรื่องเวไนยบุคคลในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท ปาลิคนฺถสมุเห เวเนยฺยปุคฺคลกถาวีม สา”, วิทยำนิพนธพุทธศำสตรมหำบัณฑิต, บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๔๙ พระมหาวิโรจน์ วิโรจโน (ผาทา). “การศึกษาวิเคราะห์แนวความคิดเรื่องประโยชน์ในพุทธปรัชญาเถรวาท”. วิทยำนิพนธพุทธศำสตรมหำบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย. ๒๕๕๔ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๘๓


พระอาจารย์สุเทพ สุเทโว. หลักกำรเขียนบทสุนทรพจน. ราชบุรี : ศูนย์ยุววาทศิลป วัดพระศรีอารย์. ๒๕๔๓ พัชนี เชยจรรยา. เมตตา วิวัฒนานุกูล. และถิรนันท์ อนวัชศิริวงศ์.แนวคิดหลักนิเทศศำสตร. กรุงเทพมหานคร : ส�านักพิมพ์ข้าวฟาง จ�ากัด. ๒๕๓๘ พัสนัย นุตาลัย. “การสื่อสารทางการเมืองของชนชั้นกลาง”.วิทยำนิพนธปริญญำมหำบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๐. เพ็ญแข ประจันปจจนึก. กำรยกระดับคุณธรรม จริยธรรมของสังคมไทยเพื่อกำรปฏิรูปสังคม : แนวทำง และกำรปฏิบัติ. ส�านักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. ๒๕๕๑ พัชนี วรกวิน. จิตวิทยำสังคม. กรุงเทพมหานคร : วัฒนาพานิชย์. ๒๕๒๖ พัทยา สายหู. กลไกของสังคม. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ๒๕๒๙ ไพบูลย์ ช่างเรียน. สำรำนุกรมศัพททำงสังคม. กรุงเทพมหานคร : แพร่วิทยา. ๒๕๑๖ ภากิตติ์ ตรีสุกล. หลักนิเทศศำสตร. พิมพ์ครั้งที่ ๗. นนทบุรี : เฟิร์นข้าหลวง พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง. ๒๕๕๔ มนูญ ไชยสมบูรณ์. วำรสำร & นิตยสำร, [ออนไลน์] แหล่งที่มา : http://www.gotoknow.org [๒๓ เม.ย. ๒๕๖๖]. มานพ นักการเรียน. “พระพุทธศำสนำกับโลกยุคปจจุบัน” รวมเรื่องและบทความ. กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๔๔ มุกดา ศรียงค์. บุคลิกภำพสมบูรณ. กรุงเทพมหานคร: ส�านักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามค�าแหง, ๒๕๓๔. แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุด. เพื่อนทุกข ๒. กรุงเทพมหานคร : แปลนพริ้นติ้ง, ๒๕๔๔. ราชบัณฑิตยสถาน. พจนำนุกรม ฉบับรำชบัณฑิตยสถำน. กรุงเทพมหานคร: อักษรเจริญทัศน. ๒๕๒๕. วสิน อินทสระ. ประวัติศำสตรพระพุทธศำสนำ, พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์เจริญกิจ. ๒๕๓๕ ________. จริยศำสตร. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย. ๒๕๑๘ วีรยุทธ์ วิเชียรโชติ และนวลเพ็ญ วิเชียรโชติ. “จิตวิทยำกำรเรียนรู้ตำมแนวพุทธศำสตร” ในกำรศึกษำ ตำมแนวพุทธ. เล่ม ๒, กรุงเทพมหานคร : สมาคมการศึกษาแห่งประเทศไทย. ม.ป.ป. วรพันธุ์ แย้มหงษ์ปภา. “การสื่อสารทางสังคมเพื่อพัฒนากระบวนการเรียนรู้ขององค์กรทางพระพุทธศาสนา”. ดุษฎีนิพนธหลักสูตรปริญญำพุทธศำสตรดุษฏีบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย. ๒๕๖๑ วิรัช ลภิรัตนกุล. นักประชำสัมพันธกับงำนประชำสัมพันธในเชิงปฏิบัติยุคสำรสนเทศ. พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ๒๕๔๕ วรวุฒิ ภักดีบุรุษ. ศิลปะกำรใช้ภำษำเพื่องำนนิเทศศำสตร. กรุงเทพมหานคร : ทริปเพิ้ลเอ็ดดูเคชั่น. ๒๕๕๒ วิภาพร มาพบสุข. จิตวิทยำทั่วไป. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ศูนย์ส่งเสริมวิชาการ. ๒๕๔๒. วัดตระพังทอง. ระเบียบมหาเถรสมาคม ว่าด้วยการตั้งหน่วยอบรมประชาชนประจ�าต�าบล พ.ศ. ๒๕๑๘. [ออนไลน ] แหล่งที่มา : http://www.traphangthong.org? [๒๐ เม.ย. ๒๕๖๖]. วราคม ทีสุกะ. สังคมวิทยำสำหรับผู้เริ่มเรียน. กรุงเทพมหานคร : ไทยวัฒนาพานิชย์. ๒๕๓๔ วศิน อิทสระ. พุทธวีธีในกำรสอน. ส�านักพิมพ์ธรรมดา. ๒๕๔๕ วสิน อินทสระ. ประวัติศำสตรพระพุทธศำสนำ. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์เจริญกิจ. ๒๕๓๕ วิศิษฎ์ พงศ์พัฒนจิต. คู่มือกำรเผยแผ่พระพุทธศำสนำ. กรุงเทพมหานคร: ส�านักงานพระพุทธศาสนา แห่งชาติ. ๒๕๓๕ แวอาซีซะห์ ดาหะยี. ศิลปะกำรใช้ภำษำเพื่องำนนิเทศศำสตร. สงขลา : เทมการพิมพ์., ๒๕๕๓ ๑๘๔ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


ศรีเรือน แก้วกังวาล. ทฤษฎีจิตวิทยำบุคลิกภำพ. กรุงเทพมหานคร : ส�านักพิมพ์หมอชาวบ้าน, ๒๕๓๙. ________. จิตวิทยำบุคลิกภำพร่วมสมัยและจิตบ�ำบัด. กรุงเทพมหานคร : ส�านักพิมพ์หมอชาวบ้าน, ๒๕๕๘. สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก. “๔๕ พรรษำของพระพุทธเจ้ำ”. กรุงเทพมหานคร : มหามกุฏราชวิทยาลัย. ๒๕๕๑ สมาน งามสนิท . ผู้ส่งสำรที่พึงประสงคตำมแนวพุทธะ : ครบรอบ ๑๐ ป สำขำธรรมนิเทศ มหำวิทยำลัย สุโขทัย-ธรรมำธิรำช. นนทบุรี : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ๒๕๓๗. สุรพงษ์ โสธนะเสถียร. ทฤษฎีกำรสื่อสำร. กรุงเทพมหานคร: ระเบียงทอง. ๒๕๕๖ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). เทคนิคกำรสอนของพระพุทธเจ้ำ. กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิ พุทธธรรม. ๒๕๓๑ สุรัตน์ ตรีสุกล. หลักนิเทศศำสตร. พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพมหานคร : พ.ศ. พัฒนา.๒๕๕๐ สุวัฒน์ จันทรจ�านง. ควำมเชื่อของมนุษยเกี่ยวกับปรัชญำและศำสนำ. กรุงเทพมหานคร : ส�านักพิมพ์ สุขภาพใจ. ๒๕๔๐ เสฐียรพงษ์ วรรณปก. พุทธวิธีกำรสอนจำกพระไตรปฎก. กรุงเทพมหานคร : เพชรรุ่งการพิมพ์ ๒๕๔๐ ________. พุทธสำวก พุทธสำวิกำ. กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภาและสถาบันบันลือธรรม. ๒๕๔๔ เสนาะ ผดุงฉัตร. วำทศำสตร ศิลปะเพื่อกำรพูด. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๔๐ เสถียร โพธินันทะ. ประวัติศำสตรพระพุทธศำสนำ. พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพมหานคร: สร้างสรรค์บุคส์. ๒๕๔๔ เสฐียร พันธรังษี. ศำสนำเปรียบเทียบ. พิมพ์ครั้งที่ ๑๐. กรุงเทพมหานคร: สุขภาพใจ. ๒๕๔๙ แสง จันทร์งาม. วิธีสอนของพระพุทธเจ้ำ. กรุงเทพมหานคร : มหามกุฏราชวิทยาลัย. ๒๕๔๐ ________. พุทธศำสนวิทยำ. พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพมหานคร: บรรณาคาร. ๒๕๓๕ สนิท ศรีส�าแดง. พระพุทธศำสนำกับหลักกำรศึกษำ ภำคทฤษฎี ควำมรู้. กรุงเทพมหานคร : นีลนารา การพิมพ์. ๒๕๓๔ สมฤดี วิศทเวทย์. “ภาษากับความจริงในพระพุทธศาสนาเถรวาท”. วำรสำรพุทธศำสนศึกษำจุฬำลงกรณ มหำวิทยำลัย. ฉบับที่ ๑. (ม.ค.-เม.ย., ๒๕๔๖) สุชีพ ปุญญานุภาพ. พระไตรปฎก ฉบับประชำชน. พิมพ์ครั้งที่ ๑๖. กรุงเทพมหานคร : มหามกุฎราชวิทยาลัย. ๒๕๓๐ สุรีย์ มีกิจผล. พุทธประวัติ. กรุงเทพมหานคร : บริษัท คอมฟอร์ม จ�ากัด. ๒๕๔๑ สวนิต ยมาภัย. “อวัจนภาษา”. กำรใช้ภำษำไทย. ฉบับปรับปรุง) หน่วยที่ ๑-๘. พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ๒๕๔๐ วิศิษฎ์ พงศ์พัฒนจิต. คู่มือกำรเผยแผ่พระพุทธศำสนำ. กรุงเทพมหานคร: ส�านักงานพระพุทธศาสนา แห่งชาติ. ๒๕๓๕ สิริวัฒน์ ค�าวันสา. พุทธศำสนำในอินเดีย. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพมหานคร: พิทักษ์อักษร. ๒๕๔๕ สิทธิ์ บุตรอินทร์. พระพุทธศำสนำ. กรุงเทพมหานคร: ไทยวัฒนาพานิช. ๒๕๓๓ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุฺโญ), กำรเผยแผ่พระพุทธศำสนำ, คู่มือพระสังฆำธิกำรว่ำด้วย เรื่องกำรคณะสงฆและกำรศำสนำ, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์การศาสนา, ๒๕๔๐ สุนทร ณ รังษี. ปรัชญำอินเดีย : ประวัติและลัทธิ. พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพมหานคร : ส�านักพิมพ์จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. ๒๕๔๕ สมัคร บุราวาศ. พุทธปรัชญำ : มองพระพุทธศำสนำด้วยทรรศนะวิทยำศำสตร. พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพมหานคร : ศยาม. ๒๕๔๔ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๘๕


สมิทธิพล เนตรนิมิตร. “ภาพลักษณ์ของพระสงฆ์ในอริยวินัย : วิถีชีวิตและบทบาทของพระสงฆ์”. รำยงำน วิจัย, สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๕๔ สุวัฒน์ จันทรจ�านง. แก่นพุทธธรรม. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์รุ่งเรืองสาส์นการพิมพ์. ๒๕๔๖ สมิต อาชวนิจกุล. กำรพัฒนำตนเอง ภำค ๒. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพมหานคร : ทิพย์อักษร, ๒๕๓๕. องค์การเผยแผ่วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร. วิชำกำรเทศนำ, กรุงเทพมหานคร : หจก. เอมี่เทรดดิ้ง. ๒๕๔๔ อรวรรณ ปิลันธน์โอวาท. กำรสื่อสำรเพื่อกำรโน้มน้ำวใจ. พิมพ์ครั้งที่ ๖. กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. ๒๕๕๔ อุบลรัตน์ ศิริยุวศักดิ์. สื่อสำรมวลชนเบื้องต้น : สื่อมวลชน วัฒนธรรมและสังคม. กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย., ๒๕๕๐ อรทัย พนาราม. “สื่อมวลชนกับการเผยแผ่พระพุทธศาสนา”. วำรสำรพุทธศำสนศึกษำ จุฬำลงกรณ มหำวิทยำลัย. ปที่ ๑๑ ฉบับที่ ๓. ( ก.ย. –ธ.ค. ๒๕๔๗) เอส. ดัตต์. กำรศึกษำในพระพุทธศำสนำ. แปลโดย อมร โสภณวิเชฏฐวงศ์. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ มหามกุฏราชวิทยาลัย. ๒๕๔๓ เอ็น.ไอยสวามี ศาสตรี. พัฒนำกำรของพระพุทธศำสนำ. แปลโดย อมร โสภณวิเชฏฐวงศ์. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย. ๒๕๔๓ อุบลรัตน์ ศิริยุวศักดิ์.สื่อสำรมวลชนเบื้องต้น สื่อมวลชน วัฒนธรรม และสังคม. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ๒๕๔๗ อนุสรณ์ จันทพันธ์ และ บุญชัย โกศลธนากุล. จริต ๖ ศำสตรในกำรอ่ำนใจคน. พิมพ์ครั้งที่ ๒๙. กรุงเทพมหานคร : บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จ�ากัด. ๒๕๕๕ ๒. ภำษำต่ำงประเทศ Berlo D.K. The Process of Communication : Introduction to Theory and Practice. San Francisco : Rinehart Press. 1960 Chandradhar Sharma. A Critical Survey of Indian Philosophy. 8th ed., Delhi : Motilal Banarsidass. 1991 Heinrich Zimmer. Philosophies of India. New York : Meridian Books. 1956 Longman. Dictionary of Contemporary English. England: Clays Ltd.. 1995. Monier Williams. A Sanskrit English Dictionary. Revised edition, USA : Oxford University Press. 1920 Rhys Davids. Buddhist India. 4th ed.. Delhi : Motilal banarasidass. 1970 So Sethaputra. New Model English-Thai Dictionary. Bangkok: Thaiwattanapranit, 1995 Samuel George & Frederick Brandon, A Dictionary of Comparative Religion, New York : Scribner, 1970 ๑๘๖ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


ประวัติผู้เรียบเรียง ชื่อ-นำมสกุล : พระมหาวีระชาติ ธีรสิทฺโธ, (เพ็งแจ่ม), ดร. Phramaha Weerachat Dhirasiddho (Pengjam),PHD. ที่อยู่ปจจุบัน : วัดค�าขวาง เลขที่ ๓๓๓ หมู่ที่ ๕ ต�าบลค�าขวาง อ�าเภอวารินชาราบ จังหวัดอุบลราชธานี ๓๔๑๙๑ โทรศัพท์ ๐๘๑ ๗๐๖๐๓๖๓, Email:[email protected] ประวัติกำรศึกษำ : ทำงธรรม นักธรรมเอก : แม่ธรรมสนามหลวง เปรียญธรรม : ป.ธ.๔ (เปรียญธรรม ๔ ประโยค), กองบาลีสนามหลวง ประวัติกำรศึกษำ : ทำงโลก ประกาศนียบัตร : ป.วน.(วิปสสนาภาวนา), มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรราชวิทยาลัย ปริญญาตรี : ค.อ.บ. (วิศวกรรมอุตสาหการ), สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตพระนครเหนือ ปริญญาโท : พธ.ม. (พระพุทธศาสนา), มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรราชวิทยาลัย ปริญญาเอก : พธ.ด. (พระพุทธศาสนา), มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรราชวิทยาลัย สถำนที่ท�ำงำน มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรราชวิทยาลัย วิทยาเขตอุบลราชธานี ต�าบลกระโสบ อ�าเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ๓๔๐๐๐ โทรศัพท์ ๐๘๐ ๗๒๔๗๖๕๘ ๑. หนังสือ/ต�ำรำ/เอกสำรกำรสอน จ�ำนวน 2 เล่ม ๑.๑. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑.๒. วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา ๒. งำนวิจัย ๕ เรื่อง ๒.๑. การพัฒนาเครือข่ายการจัดการกลุ่มงานหัตถกรรมหล่อทองเหลืองบ้านปะอาว ต�าบลปะอาว อ�าเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ๒.๒. การพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อความมั่นคงของชุมชนตามหลักมัชฌิมาปฏิปทา ๒.๓. วิเคราะห์หลักไตรศาสตร์เพื่อเสนอแนวทางปองกันและแก้ไขปญหาพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ ของวัยรุ่นในอ�าเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๘๗


๒.๔. ศึกษาภาวะผู้นาของเจ้าอาวาสที่มีต ่อประชาชนในตาบลโพธิ์ศรี อ�าเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ๒.๕ รูปแบบการเสริมสร้างสุขภาวะเชิงพุทธส�าหรับผู้สูงอายุ ต�าบลเมืองเก่า อ�าเภอเมืองเก่า จังหวัดขอนแก่น ๓.บทควำมในวำรสำรต่ำง ๆ จ�ำนวน ๑๐ เรื่อง ๓.๑. ปริญญาบัตรกับการศึกษาของบัณฑิต ๓.๒. การพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อความมั่นคงของชุมชนตามหลักมัชฌิมาปฏิปทา ๓.๓. ศึกษาภาวะผู้น�าของเจ้าอาวาสที่มีต ่อประชาชนในต�าบลโพธิ์ศรี อ�าเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ๓.๔. ศึกษาการปฏิบัติวิปสสนาภาวนาในปุณโณวาทสูตร ๓.๕. แนวทางในการเจริญวิปสสนาภาวนาในสัมมาทิฏฐิสูตร ๓.๖. จริยธรรมทางธุรกิจเพื่อความยั่งยืนของธุรกิจบริการอู่ซ่อมรถยนต์ ๓.๗. การด�าเนินชีวิตของพระสงฆ์ไทยในสังคมปจจุบัน ๓.๘. วิจารณ์หนังสือ : Book Review 45 พรรษาของพระพุทธเจ้า ๓.๙. ศึกษาการปฏิบัติวิปสสนาภาวนาในอากังเขยยสูตร ๓.๑๐. รูปแบบการเสริมสร้างสุขภาวะเชิงพุทธสาหรับผู้สูงอายุ ต�าบลเมืองเก่า อ�าเภอเมืองเก่า จังหวัดขอนแก่น ๔.ด้ำนอบรม ๔.๑.โครงการอบรม “สร้างนักวิจัยรุ่นใหม่” (ลูกไก่) ๔.๒.โครงการพัฒนาบุคลากรและนิสิตเพื่อเป็นพระวิปสสนาจารย์ประจ�ามหาวิทยาลัย รุ่นที่ ๓ ๔.๓.โครงการเพิ่มทักษะ (Upskills) การสอนรายวิชา พระพุทธศาสนาและพุทธปรัชญาส�าหรับ คณาจารย์ ๔.๔.โครงการเพิ่มทักษะ (Upskills) การสอนรายวิชา พระไตรปิฎกวิเคราะห์พระพุทธศาสนากับ ศาสตร์สมัยใหม่ส�าหรับคณาจารย์ ๔.๕.โครงการพัฒนาศักยภาพการวิจัยส�าหรับนักวิจัยรุ่นใหม่ BRI NEW GEN#1 ๑๘๘ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


Click to View FlipBook Version