The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ใช้ในการศึกษาหาความรู้ ในเรื่องที่เกี่ยวกับนิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by wee pangjam, 2024-03-12 04:40:16

นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิกก

ใช้ในการศึกษาหาความรู้ ในเรื่องที่เกี่ยวกับนิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก

Keywords: นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฏก

๙๐ อบรมสั่งสอนหลักธรรมให้แก่ประชาชนเพื่อนำไปประพฤติปฏิบัติตามและอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม ยิ่ง ไปกว่านี้พระภิกษุสงฆ์ยังมีหน้าที่เกี่ยวกับการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาให้แก่ชาวบ้านอีกด้วย พระภิกษุสงฆ์เป็นผู้มีความรู้สูงกว่าชาวบ้านเป็นผู้จัดการศึกษาและเป็นครูเด็กผู้ชายจะถูกส่งไปเป็น ศิษย์วัดหรือสามเณร เพื่อเรียนการอ่าน การเขียน และเรียนวิชาเลขอย่างง่ายๆ รวมทั้งรับการอบรม ทางศีลธรรมและหลักธรรมของศาสนา ทำให้เด็กผู้ชายส่วนมากอ่านออกเขียนได้และมีความรู้ใน ด้านจริยธรรมของสังคม๒๖ ประเวศ วะสีได้เสนอบทบาทของพระสงฆ์และวัดไว้ดังนี้ ๑. พระสงฆ์เป็นผู้สร้างชุมชนสงฆ์ให้เป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้วัตถุประสงค์ของการบวช ก็คือ เพื่อการเรียนรู้ดังนั้น สงฆ์คือชุมชนแห่งการเรียนรู้ซึ่งควรจะเป็น ๓ เรื่องใหญ่ๆ คือ ๑.๑ การเรียนรู้พุทธธรรมให้ลึกซึ้งที่สุดทั้งทางปริยัติและปฏิบัติ ๑.๒ การเรียนรู้สังคมปัจจุบัน ให้รู้เท่าทันสังคมปัจจุบันเพื่อประโยชน์ในการสอน ๑.๓ การเรียนรู้การสื่อสาร ให้เป็นที่สนใจของผู้คน ให้จับใจผู้คนให้มีผลต่อการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือที่เรียกว่า อนุสาสนีปาฏิหาริย์รวมทั้งความสามารถในการใช้เครื่องมือ ติดต่อสื่อสารสมัยใหม่ด้วย ๒. การศึกษาของสงฆ์เป็นเรื่องที่ควรคำนึงถึง กำหนดอยู่ในนโยบายของรัฐบาลใน แผนการศึกษาแห่งชาติมหาวิทยาลัยสงฆ์และมหาวิทยาลัยทางโลกควรจะร่วมกันพัฒนาหลักสูตร สำหรับการศึกษาของสงฆ์ ๓. การทำให้วัดเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนและส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชน ความสำคัญของวัดคือการเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ดังนั้นถ้าวัดเข้มแข็งก็ทำให้โครงสร้างของชุมชน เข้มแข็งด้วย ทั้งนี้เนื่องจากการมีศีลธรรมอันดีงามของสมาชิกในชุมชน ถ้าวัดลอยตัวออกจาก โครงสร้างของสังคมในชุมชน จะทำให้ชุมชนและสังคมอ่อนแอและส่งผลให้สถาบันอื่นๆ รวมทั้ง สถาบันทางศาสนาอ่อนแอไปด้วย ๔. วัดกับการจัดการศึกษา การศึกษาในระบบจากโรงเรียนประถมศึกษาและระดับ มัธยมศึกษา จำนวน ๓๐,๐๐๐ โรงเรียนยังไม่สามารถผลิตคนให้มีความเข้มแข็งทางปัญญา และ ศีลธรรม ในส่วนที่ยังขาดนี้หากวัดสามารถจัดกระบวนการเรียนรู้ที่สามารถพัฒนาคนให้เต็ม ศักยภาพได้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมอย่างแท้จริง ๕. พระสงฆ์กับการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธีเนื่องจากในโลกปัจจุบันมี ความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงในสังคมระดับต่างๆ พระสงฆ์ควรศึกษาให้เข้าใจว่าความรุนแรงนั้น หมายถึงอะไร ขอบเขตแค่ไหน มีกี่ประเภท มีสาเหตุจากอะไรบ้าง มีวิธีป้องกันและแก้ไขอย่างไร วิธี ใดใช้ได้ผล จะพัฒนาวิธีการป้องกันและการป้องกันให้ดีขึ้นอย่างไร ๖. วัดกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกระแสการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเป็นกระแสใหญ่ของโลก ที่มีการระดมศาสตร์ทางด้านต่างๆมาเชื่อมโยง พระสงฆ์จึงต้องพยายามศึกษาให้เข้าใจปัญหา สิ่งแวดล้อมและวิธีการแก้ไข ให้ลึกซึ้งเพื่อจะได้สอนประชาชนได้ถูกต้อง และวัดควรเป็นต้นแบบใน การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแก่ประชาชน ๗. การบริหารจัดการวัด วัดเป็นทรัพยากรอันทรงค่าของประชาชนในสังคม ดังนั้นการ บริหารจัดการวัดที่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่สังคมตามอุดมการณ์แห่งพระพุทธศาสนา เจ้าอาวาส คณะสงฆ์รัฐบาล และผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องให้ความร่วมมือในการจรรโลงพระศาสนาเพื่อสังคม ๒๖ ทินพันธ์นาคะตะ, พุทธศาสนากับสังคมไทย, (กรุงเทพมหานคร : กรมการศาสนา, ๒๕๒๙), หน้า ๕ – ๗. ๙๐ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๙๑ ต่อไป๒๗ พระราชวรมุนี(ประยุทธ์ปยุตฺโต) ได้กล่าวไว้ว่า ตามหลักการทางพระพุทธศาสนา ได้ กำหนดบทบาทหน้าที่ของพระสงฆ์ออกเป็น ๒ ส่วน คือ๒๘ ๑. ความสัมพันธ์ระหว่างพระสงฆ์กับสังคมสงฆ์ระหว่างพระสงฆ์ด้วยกันเองจะเห็นได้ ชัดเจนจากบทบัญญัติต่างๆ ในวินัยของสงฆ์มีการอยู่ร่วมกันเป็นวัด การกำหนดเขตพัทธสีมา อุโบสถ การปวารณา การกรานกฐิน พุทธบัญญัติที่ให้สงฆ์เป็นใหญ่ในกิจการต่างๆ ซึ่งเรียกว่าสังฆ กรรม มีการอุปสมบท การระงับอธิการณ์ตลอดถึงข้อกำหนดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล มีการเคารพกันตามอาวุโส เป็นต้น ๒. ความสัมพันธ์ในสังคมส่วนรวมระหว่างพระสงฆ์กับคฤหัสถ์คือว่า พระสงฆ์ถูก กำหนดให้ต้องฝากชีวิตไว้กับคฤหัสถ์เริ่มแต่อาหารซึ่งพระสงฆ์เป็นอยู่ด้วยบิณฑบาตถืออาหารที่ คฤหัสถ์ถวายตลอดจนปัจจัย ๔ อย่างอื่นๆ และความเป็นอยู่ที่ต้องอาศัยคฤหัสถ์เป็นประจำเป็น ข้อบังคับอยู่ในตัวให้ชีวิตของพระสงฆ์ผูกพันกับสังคมของคฤหัสถ์ นอกจากนั้นยังได้กล่าวอีกว่า การที่พระสงฆ์มีบทบาทอย่างไรนั้น คงอยู่ที่หลักการ อันมี อยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว คือในฝ่ายตนเองก็มีหน้าที่ในการศึกษาปฏิบัติคือ ศึกษาเพื่อให้ ปฏิบัติได้ถูกต้อง และพร้อมทั้งสามารถแนะนำแก่ผู้อื่นได้ด้วย ในฝ่ายความสัมพันธ์กับสังคมคฤหัสถ์ ก็มีหน้าที่ให้การศึกษา การเผยแผ่ และการสงเคราะห์พร้อมกับการปฏิบัติหน้าที่ทางสมณเพศของ ตน รักษาเกียรติและความบริสุทธิ์ของสถาบันสงฆ์ไว้ด้วย๒๙ พุทธทาสภิกขุ ได้กล่าวถึงบทบาทของพระสงฆ์เกี่ยวกับการศึกษาไว้ว่า เดิมนั้น การศึกษาของไทยมีพระสงฆ์เป็นผู้จัดการศึกษาและอาศัยวัดเป็นสถานศึกษา ต่อมาได้เปลี่ยนเป็น แนวคิดการศึกษาแบบตะวันตก แบ่งออกเป็น พุทธิศึกษา พลศึกษา และหัตถศึกษา ในส่วนของจริย ศึกษานั้น ราชการไม่ได้เน้นในการนำมาสอนนักเรียน แต่จะเน้นพุทธิศึกษา พลศึกษา และหัตถ ศึกษา จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ในส่วนของจริยศึกษาที่ว่านั้น หลักสูตรก็เป็นไปเพื่อการท่องจำไม่ได้ฝึก ให้ผู้ศึกษานำไปปฏิบัติเพื่อขัดเกลาความประพฤติและจิตใจของตน๓๐ สรุปได้ว่า พระสงฆ์มีบทบาทหลักๆอยู่ด้วยกันคือ การทำกิจของตนให้ดีที่สุด ได้แก่ การศึกษาประพฤติปฏิบัติธรรม ส่วนหน้าที่ที่มีต่อสังคมก็นับว่ามีอยู่หลายประการ เนื่องจาก พระสงฆ์มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการอาศัยคฤหัสถ์ซึ่งมีส่วนกำหนดหน้าที่ทางสังคมของพระสงฆ์เมื่อ กล่าวถึงในแง่คุณธรรม พระสงฆ์ก็ย่อมมีหน้าที่จะต้องช่วยเหลือผู้อื่นให้รอดพ้นจากความทุกข์ด้วย อาศัยเมตตาและกรุณาธรรมของตน กล่าวคือ นอกจากจะมีหน้าที่ดำเนินกิจกรรมบางอย่างของวัด แล้ว พระภิกษุสงฆ์ยังมีหน้าที่ในการอบรมสั่งสอนหลักธรรมให้แก่ประชาชนเพื่อนำไปประพฤติ ปฏิบัติตามและอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม ยิ่งไปกว่านี้พระภิกษุสงฆ์ยังมีหน้าที่เกี่ยวกับการประกอบ ๒๗ ประเวศ วะสี, พระสงฆ์กับการรู้เท่าทันสังคม, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน, ๒๕๔๐), หน้า ๗๑ – ๘๒. ๒๘ พระราชวรมุนี(ประยุทธ์ปยุตฺโต), การพัฒนาคน, (กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิโกมลคีมทอง, ๒๕๓๐), หน้า ๑๙๔ – ๑๙๕. ๒๙ พระราชวรมุนี(ประยุทธ์ปยุตฺโต), สถาบันสงฆ์กับสังคมไทย, (กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิโกมล คีมทอง, ๒๕๒๗), หน้า ๒๗๔ – ๒๗๕. ๓๐ พุทธทาสภิกขุ, พุทธศาสนากับความสำเร็จของสังคม, (กรุงเทพมหานคร : สุขภาพใจ, ๒๕๑๗), หน้า ๕๖. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๙๑


๙๒ พิธีกรรมทางศาสนาให้แก่ชาวบ้าน ทำหน้าที่เป็นผู้นำด้านพัฒนาชนบท บทบาทในการให้ความรู้ และพัฒนาจิตใจแก่คนในชุมชน การส่งเสริมการศึกษา การช่วยพัฒนาชุมชนในท้องถิ่น การเผยแผ่ ธรรม การส่งเสริมความสามัคคีในหมู่บ้าน ๔.๔ บทบาทของพระสงฆ์ด้านการเผยแผ่ การเผยแผ่ หมายถึง การทำให้หลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนาขยาย กว้างขวางออกไป ทำให้เป็นที่เผยแผ่หลายต่อสาธารณชนเป็นการสื่อสารเพื่อการพัฒนาบุคคล ทางด้านจิตใจให้มีความเคารพเลื่อมใสยาเกรงต่อพระรัตนตรัยน้อมนำเอาหลักธรรมใน พระพุทธศาสนาไปประพฤติปฏิบัติเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ปฏิบัติตามสมควรแก่การปฏิบัตินั้นสม ดังพระดำริที่พระพุทธองค์ส่งพระอรหันต์สาวก ๖๐ รูป ออกไปเผยแผ่พุทธธรรมให้ชาวโลกรับรู้จึงได้ ตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า จรถ ภิกฺขเว จาริก พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสาน แปลว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเที่ยวไปเพื่อประโยชน์และความสุขแก่ชนหมู่ มาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูล และความสุขแก่เหล่าทวยเทพและมนุษย์และให้เกิด ประโยชน์สูงสุด การที่พระองค์ประสงค์ว่า ๓ ประการ ๑. ทิฏฐธรรมมิกัตถะ คือ ประโยชน์ปัจจุบัน ประโยชน์โลกนี้ประโยชน์ขั้นต้น ๒. สัมปรายิกกัตถะ คือ ประโยชน์เบื้องหน้าหรือภพหน้า หรือประโยชน์สูงขึ้น ๓. ปรมัตถะ คือ ประโยชน์สูงสุด จุดหมายสูงสุด คือนิพพาน วิธีที่พระสงฆ์ใช้ในการ เผยแผ่ธรรมะ ในปัจจุบันได้แก่ ๑) การเทศนา ๒) ปาฐกถาธรรม ๓) อภิปรายธรรม ๔) สนทนาธรรม ๕) การสอนสมถะกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน ๖) การใช้สื่อและอุปกรณ์ประกอบการสอนธรรมะ การเผยแผ่พระพุทธศาสนา คือ การทำให้พระพุทธศาสนาขยายวงกว้างออกไปให้ แพร่หลาย ได้แก่ การดำเนินการเพื่อให้หลักคำสอนในพระพุทธศาสนาเผยแพร่ออกไป ทำให้มีผู้ เคารพเลื่อมใสศรัทธาในพระรัตนตรัย น้อมนำเอาหลักคำสอนในพระพุทธศาสนาไปประพฤติปฏิบัติ เพื่อให้เกิดแก่ผู้ปฏิบัติเหล่านั้น เพราะพระพุทธศาสนาบังเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์สุขแก่ชาวโลกหัวใจ สำคัญของการเผยแผ่คำสอนของพระพุทธศาสนา ก็เพื่อประโยชน์สุขแก่ชาวโลก โดยให้เกิด ประโยชน์สุข ตามที่พระพุทธองค์ทรงประสงค์๓ ประการ คือ ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์(ประโยชน์ ในชาตินี้) สัมปรายิกัตถประโยชน์(ประโยชน์ในชาติหน้า) และปรมัตถประโยชน์(ประโยชน์อย่างยิ่ง คือ พระนิพพาน) พระพุทธศาสนิกชนทุกคนมีหน้าที่ เผยแพร่พุทธศาสนาให้กว้างไกลออกไปเพื่อ ประโยชน์สุขของชาวโลก ความวัฒนาสถาพรของพระพุทธศาสนาและความมั่นคงของชาติไทย ผู้ที่ ทำหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนาได้ดีต้องเป็นผู้รู้ศาสนา และปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาได้โดย สมบูรณ์เป็นนิจ การเผยแพร่พระพุทธศาสนามีอยู่ ๒ คำที่ใช้อยู่ คือ คำว่า “เผยแพร่” และ “เผย แผ่” คำว่า “เผยแพร่” เป็นลักษณะของมิชชันนารีคือ มุ่งมั่นจะให้ผู้อื่นยอมรับในศาสนาของตน ซึ่ง เป็นลักษณะของการจูงใจให้อีกฝ่ายหนึ่งหันมานับถือคำสอนนั้นๆ คำว่า “เผยแผ่” หมายถึง การ ประกาศให้ทราบ หากทราบแล้วสนใจก็ไม่เป็นที่รังเกียจ การเผยแผ่เป็นศัพท์ที่มีลักษณะ ๙๒ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๙๓ อะลุ่มอล่วย และแสดงถึงมีความใจกว้าง และไม่ผูกมัดผู้อื่นด้วยด้วยความคิดของตนเอง๓๑ สรุปได้ว่า บทบาทด้านการเผยแผ่ คือ การทำให้พระพุทธศาสนาขยายวงกว้างออกไป ให้แพร่หลาย ได้แก่การดำเนินการเพื่อให้หลักคำสอนในพระพุทธศาสนาเผยแพร่ออกไป ทำให้มีผู้ เคารพเลื่อมใสศรัทธาในพระรัตนตรัย น้อมนำเอาหลักคำสอนในพระพุทธศาสนาไปประพฤติปฏิบัติ เพื่อให้เกิดแก่ผู้ปฏิบัติเหล่านั้น เพราะพระพุทธศาสนาบังเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์สุขแก่ชาวโลกหัวใจ สำคัญของการเผยแผ่คำสอนของพระพุทธศาสนา ก็เพื่อประโยชน์สุขแก่ชาวโลก โดยให้เกิด ประโยชน์สุข ตามที่พระพุทธองค์ทรงประสงค์๓ ประการ คือ ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์(ประโยชน์ ในชาตินี้) สัมปรายิกัตถประโยชน์(ประโยชน์ในชาติหน้า) และปรมัตถประโยชน์(ประโยชน์อย่างยิ่ง คือ พระนิพพาน) พระภิกษุผู้เป็นเจ้าอาวาส และเจ้าคณะทุกชั้น มีหน้าที่จะต้องรับผิดชอบ ด้านการ เผยแผ่พระพุทธศาสนา ๔.๕ วิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสมัยพุทธกาล การเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้กระทำกันหลายรูปแบบ เช่น การแสดงธรรม การสนทนา ธรรม การแนะนำสั่งสอนการปฏิบัติตนให้เป็นที่น่าเลื่อมใส และการตอบปัญหาข้อข้องใจสงสัย เป็น ต้น พระพุทธเจ้าประทานหลักในการเผยแผ่ให้พระสาวก ยึดถือเป็นหลักปฏิบัติในการแสดงธรรม ให้มีเหตุผลต่อเนื่องกันไปโดยลำดับ ชี้แจงให้เข้าใจ ชัดเจนในแต่ละประเด็น แสดงธรรมด้วยจิต เมตตา มุ่งจะให้ประโยชน์แก่ผู้ฟัง ไม่แสดงธรรมเพราะเห็นแก่ลาภสักการะ แสดงธรรมโดยไม่ยกตน ข่มท่านและไม่เสียดสีข่มขู่ผู้อื่น๓๒ วิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสมัยพุทธกาล สามารถโดยสรุปได้ ดังนี้ ๔.๕.๑ วิธีการเข้าหาผู้นำทางศาสนา การเมืองและทางเศรษฐกิจ ภายหลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ออกประกาศพระพุทธศาสนาโดยเริ่มต้นที่ผู้นำศาสนา ด้วยการเสด็จไปโปรดพราหมณ์ปัญจวัคคีย์ผู้คงแก่เรียน มีจิตใจที่มุ่งมั่นเต็มเปี่ยมด้วยความปรารถนา ว่าจักได้บรรลุธรรมตามพระพุทธองค์จนกระทั่งประสบผลสำเร็จ หลังจากนั้นเสด็จไปโปรดชฏิล ๓ พี่ น้องซึ่งมีบริวาร ๑,๐๐๐ คน โดยชฎิล ๓ พี่น้องนี้เป็นเจ้าลัทธิใหญ่ที่นิยมการบูชาไฟและเป็นที่ เคารพนับถือของพระเจ้าพิมพิสารและประชาชนชาวแคว้นมคธเป็นอย่างมาก พระองค์ทรงแสดง ธรรมเทศนาอาทิตตปริยายสูตรและแสดงปาฏิหาริย์เพื่อให้ชฎิลกลุ่มนี้ เข้ามานับถือพระพุทธศาสนา จนประสบความสำเร็จได้บรรลุธรรมและอุปสมบทเป็นภิกษุทั้งหมด๓๓ ต่อจากนั้นพระองค์เสด็จไป หาผู้นำทางการเมือง คือ พระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นพระราชาแห่งแคว้นมคธและข้าทาสบริพารพอเห็น ว่าชฎิลสามพี่น้องที่ตนนับถือได้ประกาศตนเป็นสาวกของพระพุทธองค์แล้วก็คลายทิฐิมานะและ น้อมใจฟังพระธรรมเทศนาโดยความเคารพ ในที่สุดก็ได้ดวงตาเห็นธรรมและหันมานับถือ พระพุทธศาสนา ต่อมาพระเจ้าพิมพิสารได้ถวายวัดเวฬุวันแด่พระสงฆ์โดยมีพระพุทธองค์ทรงเป็น ประมุข๓๔ นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงแสดงธรรมเทศนาสั่งสอนเหล่าผู้นำทางเศรษฐกิจซึ่งเป็นบุคคล ที่มีอิทธิพลต่อสังคมและประเทศชาติด้วยพระองค์เอง ผู้นำทางเศรษฐกิจที่พระองค์เสด็จไปโปรด ๓๑ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(ช่วง วรปุญฺโญ), การเผยแผ่พระพุทธศาสนา, คู่มือพระสังฆาธิ การว่าด้วยเรื่องการคณะสงฆ์และการศาสนา, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์การศาสนา, ๒๕๔๐), หน้า ๑๔๔. ๓๒ อง.ปญจก. (ไทย) ๒๒/๑๕๙/๒๖๓. ๓๓ วิ.ม. (ไทย) ๔/๓๗-๕๔/๔๗-๖๕. ๓๔ วิ.ม. (ไทย) ๔/๕๕-๕๙/๖๕-๗๒. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๙๓


๙๔ คือ ยสกุลบุตรพร้อมบิดามารดา ภรรยาและมิตรสหายรวม ๕๔ คน๓๕ วิธีการเผยแผ่ธรรมะโดยการเข้าหาหัวหน้าผู้เป็นผู้นำทางสังคม การเมืองและเศรษฐกิจ เช่นนี้ นับเป็นวิธีการที่มีความชาญฉลาดและแยบยลในตัวอย่างมาก เพราะคนเหล่านี้ ต่างมีบทบาท และอิทธิพลต่อสังคมอย่างยิ่งทั้งเป็นผู้ที่มีพวกพ้องและบริวารมาก เมื่อคนเหล่านี้ นับถือศาสนาใด ผู้คนในสังคมนั้น ก็มักจะหันมานับถือตามไปด้วย ผู้นำศาสนานั้นบางทีอาจจะมีความสำคัญ หรือ ทรงอิทธิพลต่อจิตใจของประชาชนมากกว่านักปกครอง เพราะนักปกครองมักควบคุมประชาชนด้วย อาวุธหรือ ด้วยอำนาจ ส่วนผู้นำทางศาสนานั้น ควบคุมประชาชนด้วยธรรมะ ฉะนั้น ประชาชนจึงมี ความมั่นคงเลื่อมใสต่อพระและนักบวช นอกจากความเลื่อมใสศรัทธาแล้วยังช่วยอำนวยประโยชน์ ในด้านการทำนุบำรุงพระสงฆ์และพระพุทธศาสนาอย่างดีด้วยการสร้างสิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์ และสร้างวัดวาอารามต่างๆ ๔.๕.๒ วิธีการปฏิวัติหลักคำสอน ระบบการสอนของพราหมณ์นับว่าเก่าแก่ที่สุดตั้งแต่สมัยพระเวทจนถึงสมัยปัจจุบัน วิธี การศึกษานั้นครูสอนกลุ่มลูกศิษย์ในบ้านของครูเอง๓๖ หากย้อนไปในยุคพราหมณะ ซึ่งพิธีบูชายัญ ได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลาย ในยุคนั้น พราหมณ์ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในการประกอบพิธีกรรม จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นที่พึ่งทางจิตใจของประชาชน เมื่อประชาชนเกิดความเดือดร้อนก็พากันไป หาพราหมณ์ เพื่อให้ช่วยเปลื้องทุกข์และไถ่บาปให้เพราะถือว่าพราหมณ์เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่เป็น เสมือนตัวแทนของพระผู้เป็นเจ้า เป็นผู้สวดบทสวดอันศักดิ์สิทธิ์สรรเสริญเทพเจ้า หรือ เป็นกวีที่ ได้รับการดลบันดาลจากเทพเจ้าให้แต่งบทสวดพระเวท๓๗ แต่ในคัมภีร์พระไตรปิฎกมีการระบุว่าฤๅษี ยุคโบราณเป็นผู้แต่งคัมภีร์พระเวท และเป็นปฐมาจารย์และบูรพาจารย์ผู้สอนคัมภีร์พระเวทให้แก่ พราหมณ์๓๘ ซึ่งยึดถือเป็นแหล่งอันสูงสุดในการพิจารณาตัดสินปัญหาในทางปรัชญาและศาสนา รับ การถ่ายทอดมาโดยตรง แล้วนำมาเผยแพร่ด้วยการท่องจำแบบปากเปล่าในเฉพาะหมู่ของพวก พราหมณ์ความรู้เช่นนี้จะเรียนกันเฉพาะหมู่ของบุคคลที่เลือกสรรแล้ว คัมภีร์พระเวทนี้ ก็ยังมีแยก ย่อยลงไปอีกเป็น ฤคเวท ยชุรเวท สามเวท อถรรพเวท๓๙ ภาษาในพระเวทเป็นภาษาร้อยกรองเป็น เรื่องของการสรรเสริญเทพเจ้าต่างๆ๔๐ ๓๕ วิ.ม. (ไทย) ๔/๒๕/๓๑-๔๐. ๓๖ เอส. ดัตต์, การศึกษาในพระพุทธศาสนา, แปลโดย อมร โสภณวิเชฏฐวงศ์, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๓), หน้า ๑. ๓๗ Monier Williams, A Sanskrit English Dictionary, Revised edition, (USA : Oxford University Press, 1920), p. 226. ๓๘ ในคัมภีร์พระไตรปิฎกระบุว่า ฤๅษีผู้เป็นบุรพาจารย์ของพวกพราหมณ์คือ ฤๅษีอัฏฐกะ ฤๅษีวามกะ ฤๅษีวามเทพ ฤๅษีเวสสามิตตะ ฤๅษียมตัคคิฤๅษีอังคีรสะ ฤๅษีภารทวาชะ ฤๅษีวาเสฏฐะ ฤๅษีกัสสปะ ฤๅษีภคุเป็นผู้ แต่งมนตร์เป็นผู้บอกมนตร์ที่พราหมณ์ทั้งหลายในปัจจุบันนี้ขับตาม ม.ม. (ไทย) ๑๓/๔๒๗/๕๓๗. ๓๙ สุนทร ณ รังษี, ปรัชญ าอินเดีย : ประวัติและลัทธิ, พิมพ์ครั้งที่ ๓, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๕), หน้า ๑๓-๑๖. ๔๐ สมัคร บุราวาศ, พุทธปรัชญา : มองพระพุทธศาสนาด้วยทรรศนะวิทยาศาสตร์, พิมพ์ครั้งที่ ๓, (กรุงเทพมหานคร : ศยาม, ๒๕๔๔), หน้า ๒๖. ๒๓ ๙๔ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๙๕ หน้าที่ของพราหมณ์จึงอยู่ที่การประพฤติเคร่งครัดอยู่ในพิธีกรรมและกระทำตนให้เป็นที่ พึ่งของประชาชนในทางด้านจิตใจเท่านั้น พระพุทธเจ้าทรงปฏิวัติทางสังคมชนชั้นที่ชาวชมพูทวีป ยึดถือมานาน หากยกเอาผลงานและพระจริยาของพระพุทธเจ้าขึ้นมาเป็นหลักพิจารณา จะมองเห็น แนวทางการบำเพ็ญพุทธกิจที่สำคัญหลายอย่าง เช่น ทรงพยายาม ล้มล้างความเชื่อถืองมงายใน เรื่องพิธีกรรมอันเหลวไหลต่างๆ โดยเฉพาะการบูชายัญ พระองค์ทรงติเตียนพิธีกรรมนั้นว่าเป็นสิ่งไร้ ประโยชน์เป็นบาป อกุศล เพราะในพิธีกรรมนั้น มีการฆ่าสัตว์อย่างทารุณให้กรรมกรทำงานหนัก และต้องสูญเสียสิ่งต่างๆ ไปโดยเปล่าประโยชน์๔๑ ความเชื่อที่สอนกันมาว่าการทำตนให้ลำบากเป็น ทางแห่งความพ้นทุกข์เป็นการบำเพ็ญตบะตบะมีอำนาจวิเศษเหนืออำนาจพิธีกรรมอื่นใด มีคำ กล่าวไว้ว่า “สรวงสวรรค์อยู่ในนภากาศ นภากาศอยู่เหนือมหาปฐพีมหาปฐพีอยู่เหนือมหาสมุทร มหาสมุทรอยู่เหนือสัจจะ สัจจะอยู่เหนือยัญพิธียัญพิธีอยู่เหนือการบำเพ็ญตบะ”๔๒ พระองค์ทรง สอนย้ำถึงผลเสียหายและความไร้ผลของพิธีกรรมเหล่านั้นทั้งนี้เพราะยัญพิธีเหล่านั้น ทำให้คนมัวแต่ คิดหวังพึ่งเหตุปัจจัยในภายนอก อย่างหนึ่งทำให้คนกระหายทะยานและคิดหมกมุ่นในผลประโยชน์ ทางวัตถุเพิ่มพูนความเห็นแก่ตน ไม่คำนึงถึงความทุกข์ยากเดือดร้อนของเพื่อนมนุษย์และสัตว์อย่าง หนึ่ง ทำให้คนคิดหวังแต่เรื่องอนาคต จนไม่คิดปรับปรุงปัจจุบันอย่างหนึ่ง๔๓ แล้วกลับทรงสอนย้ำ หลักการให้ทาน ให้เสียสละแบ่งปันและสงเคราะห์กันในสังคม เช่น ศาสนาพราหมณ์มีข้อบัญญัติ ทางสังคมหลายด้าน เช่น เรื่องวรรณะ ที่กำหนดให้แต่ละวรรณะมีความแตกต่างกันอย่างเด่นชัด มี การกำหนดให้แต่ละวรรณะยึดถือและปฏิบัติอยู่ในวรรณะของตนเองมิให้สมาคมกับวรรณะอื่นๆ โดยเฉพาะวรรณะศูทรที่ไม่สามารถมีสิทธิ์ในสังคม กำหนดให้วรรณะพราหมณ์เป็นวรรณะประเสริฐ สูงสุด อันถือได้ว่าเป็นการลิดรอนสิทธิ์ของวรรณะนั้นๆ พระองค์ตรัสปฏิเสธแนวคิดดังกล่าวอย่าง สิ้นเชิง และทรงสอนว่า “บุคคลเป็นพราหมณ์เพราะชาติตระกูลก็หาไม่หรือไม่เป็นพราหมณ์เพราะ ชาติตระกูลก็หาไม่บุคคลเป็นพราหมณ์ก็เพราะกรรมหรือไม่เป็นพราหมณ์ก็เพราะกรรม”๔๔ หมายความว่า คนดีหรือชั่วมิใช่ชาติตระกูล แต่ขึ้นอยู่กับการกระทำของผู้นั้น หากทำดีก็เป็นคนดี และหากทำชั่วก็เป็นคนชั่วนอกจากนั้นพระองค์ยังทรงปฏิเสธทางสุดโต่ง ๒ ทาง คือ กามสุขัลลิกานุ โยค คือการหมกมุ่นในกามสุข กับอัตตกิลมถานุโยค คือ การทรมานตนเอง๔๕ พระองค์ทรงเคย ปฏิบัติเช่นนั้นมาก่อนแล้วทรงยืนยันว่าเป็นหนทางที่ผิดไม่ใช่หนทางที่จะนำสัตว์โลกไปสู่ทางบรรลุ ธรรมได้ทรงแนะนำให้ดำเนินในทางสายกลางอันได้แก่มรรคมีองค์๘ หรือ มัชฌิมาปฏิปทา เป็น ทางปฏิบัติที่ไม่เข้มงวดและไม่หละหลวมเกินไป ทรงถือว่าเป็นแนวทางที่ถูกต้องและเหมาะสมที่สุด เป็นหลักประพฤติปฏิบัติหรือระบบจริยธรรมทั้งหมดในพระพุทธศาสนา เป็นคำสอนภาคปฏิบัติที่จะ ช่วยให้การดำเนินสู่จุดหมายตามแนวทางของกระบวนธรรมที่เข้าใจแล้วนั้นเป็นผลสำเร็จขึ้นมาใน ๔๑ เอ็น.หอยสวามีศาสตรี, พัฒนาการของพระพุทธศาสนา, แปลโดย อมร โสภณวิเชฏฐวงศ์, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๓), หน้า ๕. ๔๒ Rhys Davids, Buddhist India, 4th ed., (Delhi : Motilal banarasidass, 1970), p. 243, อ้างใน สมิทธิพล เนตรนิมิตร, “ภาพลักษณ์ของพระสงฆ์ในอริยวินัย : วิถีชีวิตและบทบาทของพระสงฆ์”, รายงาน วิจัย, (สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๔), หน้า ๖๓. ๔๓ พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตฺโต), พุทธธรรม, พิมพ์ครั้งที่ ๑๕, (กรุงเทพมหานคร: สหธรรมิก, ๒๕๕๒) หน้า ๗. ๔๔ ม.ม. (ไทย) ๑๓/๔๖๐/๕๘๑. ๒๔ ๔๕ วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๓/๒๐. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๙๕


๙๖ ชีวิตจริง ช่วยให้มนุษย์บรรลุความดีงามที่สูงขึ้นไป๔๖ สามารถดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมนั้นได้อย่างมี ความสุข มีความกลมเกลียวซึ่งกันและกันร่วมแรงร่วมใจในการพัฒนาประเทศได้อย่างสมบูรณ์ ๔.๕.๓ วิธีการปฏิรูปคำสอนดั้งเดิม พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นมาท่ามกลางกระแสวัฒนธรรมและลัทธิต่างๆ โดยเฉพาะศาสนา พราหมณ์จึงทำให้พระพุทธเจ้าต้องมีความเกี่ยวข้องกับถ้อยคำทางศาสนา ด้วยมีความมุ่งมั่นที่จะ ประกาศพระพุทธศาสนาให้มีความมั่นคงอย่างรวดเร็ว จึงไม่ทรงหักล้างคำสอนหรือถ้อยคำของ ศาสนาอื่นอย่างทันทีเช่น คำสอนเรื่องอัตตาหรือตัวตนที่กล่าวถึงความเป็นอมตะ มีอิสระจากความ ชั่วร้าย ไม่อยู่ภายใต้การจำกัดของอายุ๔๗ แต่พยายามให้กลมกลืนเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่รู้ตัวหรือ บางทีก็ใช้วิธีการโอนอ่อนผ่อนตาม คำสอนใดถูกต้องดีงามพระองค์ก็ทรงรับรองว่าถูกต้องดีงามเป็น ของสากลโดยธรรมชาติ๔๘ คำสอนที่ยังไม่ดีพระองค์ก็ปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างมีเหตุผล สิ่งที่ดีงาม พระองค์ทรงยกย่อง๔๙ คำสอนของศาสนาพราหมณ์มีอยู่อย่างไร พระองค์ไม่ทรงหักล้าง แต่จะทรง ปฏิรูปใหม่นำมาใช้ในทางพระพุทธศาสนาเช่น คำว่า พรหม ทางศาสนาพราหมณ์หมายถึง ผู้สร้าง โลก แต่พระองค์ทรงเอามาใช้ในความหมายใหม่ หมายถึง มารดาบิดา๕๐ คำสอนใดที่มีความขัดแย้ง กับพุทธศาสนาทรงชี้แจงแถลงให้เห็นว่าการปฏิบัติเช่นนั้นไม่ใช่แก่นสารพร้อมทั้งแนะนำแนวทาง ปฏิบัติที่ถูกต้องให้เช่น การบูชายัญ ในคำสอนเดิมที่เชื่อว่าการบูชายัญเป็นระบบสื่อสารระหว่าง มนุษย์กับเทพเจ้า มีเครื่องบูชาหลายชนิด เป็นศาสนกิจของพราหมณ์มีมาตั้งแต่ก่อนสมัยพระเวท ซึ่งกิจกรรมที่สำคัญคือการบูชาไฟเป็นการบูชาเทพเจ้า ซึ่งเป็นความเชื่อดั้งเดิมที่กลัวภัยที่ฝังรากลึก ในธรรมชาติของมนุษย์๕๑ โดยมีความเชื่อว่าอัคนีเทพทรงนำเอาเครื่องสังเวยขึ้นไปบนสวรรค์ที่ตา มนุษย์มองไม่เห็น เมื่อขึ้นไปสู่สวรรค์แล้ว องค์อัคนีเทพทรงป้อนเครื่องสังเวยนั้นแก่ทวยเทพผู้เป็น ภราดรทั้งหลาย ด้วยโอษฐ์ของพระองค์เอง ดุจดังแม่นกป้อนเหยื่อแก่ลูกนก๕๒ พระพุทธเจ้าทรง มองเห็นว่าเป็นการสิ้นเปลือง บ่งบอกถึงความโหดร้ายทารุณ๕๓ พระองค์ทรงสอนในความหมายใหม่ ๔๖ พระสมชาย ปโยโค (ดำเนิน), “การประยุกต์ใช้สัมมาวาจาเพื่อการบริหารงานของผู้นำ”, ใน พุทธธรรมกับการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ, พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส บรรณาธิการ, (กรุงเทพมหานคร: บริษัท ๒๑ เซ็นจูรี่จากัด, ๒๕๕๔) : ๔. ๔๗ Chandradhar Sharma. A Critical Survey of Indian Philosophy, 8th ed., (Delhi : Motilal Banarsidass, 1991), p.19. ๔๘ พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม, หน้า ๘. ๔๙ เสถียร โพธินันทะ, ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา, พิมพ์ครั้งที่ ๔, (กรุงเทพมหานคร: สร้างสรรค์บุ๊คส์, ๒๕๔๔), หน้า ๓๘. ๕๐ องฺ.จตกฺก (ไทย) ๒๑/๖๓/๑๐๗. ๕๑ Samuel George Frederick Brandon, A Dictionary of Comparative Religion, (New York : Scribner, 1970), p. 545. ๕๒ Heinrich Zimmer, Philosophies of India, (New York : Meridian Books, 1956), p. 71. ๕๓ พระมหามานพ ปิยสีโล (เจือจันทร์), “การบูชายัญในพระไตรปิฎก”, วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรม หาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๐). ๙๖ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๙๗ หมายถึง การบูชามารดาบิดา สมณพราหมณ์๕๔ เป็นต้น เมื่อทรงอธิบายชี้แจงถึงส่วนดีส่วนบกพร่องของศาสนาพราหมณ์แล้ว ได้เสนอหลักการ ใหม่ที่เป็นหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาล้วนๆ ขึ้นแทนที่และเผยแผ่หลักคำสอนที่เป็นแก่นแท้ ของพระพุทธศาสนาแก่ประชาชนเพื่อให้เข้าใจถึงธรรมชาติแท้จริงของมนุษย์และสรรพ สิ่ง หลักธรรมที่เป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา ได้แก่ ไตรลักษณ์ หรือ สามัญลักษณะ คือ ความเป็น ของไม่เที่ยงความเป็นทุกข์และความเป็นของไม่ใช่ตัวตน ความไม่คงที่แน่นอนของสรรพสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปตามเหตุปัจจัยที่อาศัยกันเกิดขึ้นและเสื่อมสลายไปตามกาลเวลาที่ผ่านไป และหลัก อริยสัจ ๔ ถือได้ว่าเป็นหลักหัวใจสำคัญของพระพุทธศาสนา เป็นหลักธรรมที่สำคัญครอบคลุมคำ สอนทั้งหมดในพระพุทธศาสนา กุศลธรรมทั้งหมดในพระพุทธศาสนารวมอยู่ในอริยสัจทั้งสิ้น พระ พุทธองค์ทรงบรรลุธรรมก็ด้วยหลักธรรมข้อนี้ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเกิดขึ้นและดับไปอย่างมีเหตุ ปัจจัย เป็นหลักธรรมที่พระพุทธองค์ทรงนามาแสดงมากที่สุด ๔.๕.๔ วิธีการใช้ปาฏิหาริย์ต่างๆ เป็นวิธีการเผยแผ่ที่ใช้ความสามารถพิเศษเข้ามาช่วยโดยมีจุดประสงค์เพื่อปราบปราม คนที่แสดงอาการกระด้างกระเดื่องไม่ยอมรับนับถือหรืออยากลองดีให้สิ้นพยศ การแสดงปาฏิหาริย์ นี้ไม่นิยมใช้นักเพราะทรงเล็งเห็นว่าการแสดงฤทธิ์นั้น มีทั้งแง่ดีและไม่ดีในตัวเอง คือผู้ที่มีศรัทธา เลื่อมใสก็ยิ่งยกย่องส่งเสริมมากขึ้น ส่วนผู้ที่ไม่เลื่อมใสอาจจะดูหมิ่นว่าการแสดง ปาฏิหาริย์แบบนี้ไม่ เห็นแปลกอะไรเพราะคนที่เรียนวิชาคันธาริ๕๕ ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน และตรัสว่า “เราเล็งเห็น โทษในอิทธิปาฏิหาริย์อย่างนี้จึงเหนื่อยหน่าย ระอา รังเกียจเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์”๕๖ การแสดง ปาฏิหาริย์นั้นจุดประสงค์ของพระพุทธเจ้าเพื่อปราบปรามคนที่แสดงอาการกระด้างกระเดื่องไม่ ยอมรับนับถือหรืออยากลองดีให้สิ้นพยศ แต่การแสดงปาฏิหาริย์นี้ไม่นิยมใช้นักเพราะทรงเล็งเห็น ว่าการแสดงฤทธิ์นั้นมีทั้งแง่ดีและไม่ดีในตัวเอง คือผู้ที่มีศรัทธาเลื่อมใสก็ยิ่งยกย่องส่งเสริมมากขึ้น ส่วนผู้ที่ไม่เลื่อมใสอาจจะดูหมิ่นว่าการแสดงปาฏิหาริย์แบบนี้ ไม่เห็นแปลกแต่วิธีการที่ทรงโปรดและ ใช้อยู่เสมอคือ อนุสาสนีปาฏิหาริย์๕๗ คือ การสอนอย่างธรรมดา อธิบาย ชี้แจง โต้ตอบกันไปมาโดย ไม่ต้องมีการใช้ฤทธิ์เดชเข้ามาช่วย เป็นวิธีที่ทำให้คนเข้าถึงสัจธรรมได้ตามพุทธประสงค์และมีความ มั่นคงยืนยาวมาถึงปัจจุบัน ๔.๕.๕ วิธีการปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่น เป็นวิธีการปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่นเพื่อเป็นการเผยแผ่ให้ง่ายมากขึ้นทำให้ ผู้ฟังเกิดความรู้สึกว่าผู้เผยแผ่เป็นเสมือนญาติของตนเองจึงเกิดความเต็มใจที่จะรับฟังพระธรรม เทศนาแต่พระพุทธเจ้าทรงห้ามยกพุทธพจน์ขึ้นเป็นภาษาสันสกฤต และทรงปรับอาบัติทุกกฎแก่ พระภิกษุผู้แสดงพุทธพจน์เป็นภาษาสันสกฤต ทรงอนุญาตในการแสดงธรรมด้วยภาษาของตนเอง๕๘ ๕๔ ที.สี. (บาลี) ๙/๓๒๓-๓๕๓/๑๒๕-๑๔๘, ที.สี. (ไทย) ๙/๓๒๓-๓๕๓/๑๒๕-๑๕๐. ๕๕ ที.สี.อ. (ไทย) ๑/๒/๒๓๗. ๕๖ ที.สี. (ไทย) ๙/๔๘๔/๒๑๕. ๕๗ (ไทย) ๙/๔๘๓-๔๘๖/๒๑๔-๒๑๖, ๕๘ ภิกษุเมฏฐะและโกกุฏฐะทูลขอยกพระพุทธพจน์ขึ้นเป็นภาษาสันสกฤต วิ.จู. (บาลี) ๗/๒๘๕/๔๖- ๔๗, วิ.จู. (ไทย) ๗/๒๘๕/๗๑. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๙๗


๙๘ เพราะในสมัยนั้นแต่ละแคว้นต่างมีภาษาของตน แต่ละแคว้นคงใช้ภาษาต่างกัน เสถียร โพธินันทะ กล่าวยืนยันว่า “พระพุทธเจ้ามิได้ใช้ภาษามคธในการเผยแผ่ธรรมะภาษาเดียว เหตุผลคือ (๑) ใน สมัยนั้น แคว้นต่าง ๆ มีภาษาเป็นของตัวเอง คงไม่เข้าใจภาษาอื่นๆ มากนัก (๒) ก่อนพระองค์จะ ออกผนวช ได้ศึกษาศิลปวิทยาการมากมาย จึงเป็นไปได้ว่า พระองค์ย่อมรู้และเข้าใจภาษาอื่นได้โดย ไม่ต้องสงสัย” นั่นก็เพราะว่า ประเทศอินเดียในสมัยนั้น มีภาษาใช้มากมาย แต่ละภาษามีอักษรเป็น ของตัวเอง๕๙ พระพุทธเจ้าทรงใช้ภาษาที่เป็นกลางมีแบบแผน คือ ภาษาที่มาจากตระกูลปรากฤต เพราะเป็นภาษาสามัญที่ประชาชนจำนวนมากสามารถเข้าใจได้เป็นการเปิดโอกาสให้มวลชนทุก ระดับชั้นได้มีโอกาสเข้ามาเลื่อมใสศรัทธา ซึ่งในวัฒนธรรมของอินเดียในสมัยนั้นมีเอกลักษณ์ที่สำคัญ ประกอบด้วย ไม่ยึดมั่นในลัทธิความเชื่อใดๆ โดยเฉพาะ มีลักษณะเป็นสากล โอบอ้อมไว้ด้วยซึ่งนำ ลัทธิความเชื่อเถือ และเคารพในปัจเจกบุคคล๖๐ และคนส่วนใหญ่ในสังคมนั้นยอมรับนับถือแล้ว นำมาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของพวกตน๖๑ พระพุทธศาสนาจึงแพร่หลายไปสู่มวลชนอย่าง รวดเร็วทั้งเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกระดับชั้นได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึงกัน ตรงกันข้ามกับ ศาสนาพราหมณ์ที่จำกัดสิทธิการศึกษาทั้งยังใช้ภาษาสันสกฤตซึ่งถือได้ว่าเป็นภาษาต้องห้ามสำหรับ คนบางวรรณะ ๔.๕.๖ วิธีการเผยแผ่ด้วยบุคลิกภาพ บุคลิกภาพที่ดีนับได้ว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญประการหนึ่งของนักเผยแผ่ นอกเหนือจากคุณสมบัติด้านคุณธรรม บุคลิกภาพที่ดีนับได้ว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญประการหนึ่ง ของนักเผยแผ่นอกเหนือจากคุณสมบัติด้านคุณธรรม เพราะบุคลิกภาพที่สง่างาม น่ามองน่าเลื่อมใส ย่อมเป็นเหตุนำมาซึ่งความเลื่อมใสแก่ผู้พบเห็นได้พระพุทธองค์ทรงมีพระวรกายที่สง่างาม ประกอบด้วยลักษณะมหาบุรุษ ดังที่จังกีพราหมณ์ชมว่า “พระสมณโคดมมีพระรูปงาม น่าดูน่า เลื่อมใส มีพระฉวีวรรณผุดผ่องยิ่งนักดุจพรหม มีพระวรกายดุจพรหม โอกาสที่จะพบเห็นยากนัก”๖๒ การเผยแผ่พระพุทธศาสนานอกจากมีความรู้ความสามารถในการเผยแผ่แล้ว คุณสมบัติของนักเผย แผ่ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่สร้างความศรัทธาให้เกิดขึ้นได้เพราะนักเผยแผ่ที่ดีนั้นแม้จะไม่ออกปากพูดก็ สามารถเผยแผ่พุทธธรรมได้บุคลิกลักษณะที่ดีงามก็ยังความผ่องใสแห่งจิตใจให้เกิดศรัทธาแก่ผู้ที่พบ เห็น พระพุทธศาสนานับเป็นศาสนาที่เกิดขึ้นเพื่อปรับปรุง และแก้ไขสังคมอินเดียในยุคนั้น ให้ดีขึ้นจากสภาพการณ์หลายอย่าง เช่น จากการกดขี่ทางชนชั้นวรรณะของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู การเหลื่อมล้ำทางสังคมที่ชัดเจน การถือชั้นวรรณะอย่างเข้มงวด การใช้สัตว์เป็นจำนวนมากเพื่อ บวงสรวงบูชายัญ ตลอดจนการกดขี่สตรีพุทธศาสนาจึงเสมือนน้ำทิพย์ชโลมสังคมอินเดียโบราณให้ ขาวสะอาดมากกว่าเดิม คำสอนของพุทธศาสนาทำให้สังคมโดยทั่วไปสงบร่มเย็นในกระบวนการนัก คิดของโลกศาสนา พุทธศาสนาได้รับการยกย่องจากทั่วโลกว่า เป็นศาสนาแห่งสันติภาพอย่างแท้จริง เพราะไม่ปรากฏว่ามีสงครามศาสนาเกิดขึ้นในนามของศาสนา หรือเผยแผ่ศาสนาโดยการบังคับผู้อื่น ๕๙ กรุณา-เรืองอุไร กุศลาสัย, อินเดียอนุทวีปที่น่าทึ่ง, พิมพ์ครั้งที่ ๔, (กรุงเทพมหานคร: ศยาม, ๒๕๔๔), หน้า ๗๖. ๖๐ กรุณา-เรืองอุไร กุศลาสัย, ภารตวิทยา, หน้า ๓๑.๖๑ ทองหล่อ วงษ์ธรรมา, ปรัชญาตะวันออก, (กรุงเทพมหานคร: สานักพิมพ์โอเดียนสโตร์, ๒๕๓๖), หน้า ๑๖. ๖๒ ม.ม. (ไทย) ๑๓/๔๒๕/๕๓๔. ๙๘ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๙๙ ให้มานับถือ ให้เสรีภาพในการพิจารณาให้มีปัญญากำกับศรัทธา๖๓ บุคคลผู้เผยแผ่ธรรมหรือสอน ธรรมควรคำนึงอยู่เสมอว่า แม้จะสอนคนในเรื่องเดียวกัน แต่ก็ต้องมีรูปแบบการสอนที่หลากหลาย จึงจะประสบความสำเร็จตามที่ต้องการเพราะผู้ฟังมีหลายประเภท แต่ละประเภทก็จะมีความสนใจ ที่แตกต่างกัน ตามพื้นภูมิความหลังของตน๖๔ ในสมัยพุทธกาลพระพุทธองค์และพระสาวกมีท่าที ค่อนข้างเป็นมิตรกับผู้นับถือศาสนาอื่น ไม่เคยคิดว่าเขาเป็นศัตรูที่ต้องทำร้าย แต่ถือว่าเป็นเพื่อน มนุษย์ที่มีศักดิ์และมีเกียรติเหมือนกัน จึงทรงปฏิบัติต่อผู้นับถือศาสนาอื่นด้วยความปรารถนาดี๖๕ เมื่อศึกษาพระจริยาที่พระพุทธองค์และพระสาวกปฏิบัติจึงเห็นควรที่จะอธิบายถึงการปฏิบัติต่อผู้นับ ถือลัทธิศาสนาอื่นและสามารถเผยแผ่พระพุทธศาสนาสำเร็จอย่างสูง ได้ดังนี้ ๑) การแวะเวียนไปสนทนาแลกเปลี่ยนความเห็น ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาระบุว่า ธรรมดาการเสด็จจาริกของพระพุทธเจ้ามี๒ อย่าง คือ (๑) การเสด็จจาริกอย่างรีบด่วน คือ การ เสด็จจาริกกรณีที่ทรงทอดพระเนตรเห็นบุคคลที่ควรจะตรัสรู้ได้แม้ในที่ไกลจึงเสด็จไปโดยเร็วเพื่อ ประโยชน์แก่การตรัสรู้ของเขา (๒) การเสด็จจริกอย่างไม่รีบด่วน คือ การที่เมื่อพระองค์จะทรง อนุเคราะห์โลก จึงเสด็จไปด้วยการเที่ยวบิณฑบาตตามลำดับบ้านและนิคมทุกวัน ๑ โยชน์บ้าง ๒ โยชน์บ้าง การเสด็จจาริกอย่างไม่รีบด่วนนี้จำแนกเป็น ๒ อย่าง คือ การเสด็จจาริกเป็นประจำ คือ การเสด็จไปตามลำดับบ้าน และการเสด็จจาริกไม่เป็นประจำ คือ การเสด็จไปเพื่อประโยชน์แก่สัตว์ ที่ควรจะให้ตรัสรู้ได้คนเดียวเท่านั้น๖๖ ในการเสด็จจาริกของพระพุทธองค์นั้น มีจำนวนไม่น้อยที่เสด็จไปยังอารามหรืออาศรม ของนักบวชในลัทธิภายนอก พระสูตรในพระไตรปิฏกจำนวนไม่น้อยเกิดจากเหตุการณ์ที่พระพุทธ องค์และพระมหาสาวก แวะเข้าไปหานักบวชนอกศาสนาถึงอารามสนทนาแลกเปลี่ยนความเห็น เพื่อเป็นการรอเวลา ดังพระดำริของพระพุทธองค์ในคราวเสด็จเข้าไปหาโปฏฐปาทปริพาชกก่อนเข้า ไปบิณฑบาตในกรุงสาวัตถีความว่า “ยังเช้าเกินไปที่จะเที่ยวบิณฑบาตในกรุงสาวัตถีทางที่ดีเราควร เข้าไปหาโปฏฐปาทปริพาชกในพระราชอุทยานของพระนางมัลลิกาชื่อเอกสาลกะ ที่จัดไว้เพื่อเป็นที่ ประกาศลัทธิ”๖๗ การแวะไปหานักบวชนอกศาสนาถึงอารามนี้มีก่อให้เกิดประโยชน์เพราะทำให้มี โอกาสได้สนทนากัน การสนทนากันนั้นก็ด้วยหวังว่าจะช่วยให้เขามีความเข้าใจถูกต้องแล้วจะเป็น ประโยชน์แก่เขาตลอดกาลนาน เพราะจะให้เขามีความเข้าใจถูกต้องกลายเป็นคนดีมีสัมมาทิฏฐิไป๖๘ บางคนเกิดศรัทธาออกบวชเป็นภิกษุ บางคนมีใจชื่นชมยินดีพระภาษิตประกาศตนเป็นอุบาสก บาง ๖๓ เสฐียร พันธรังษี, ศาสนาเปรียบเทียบ, พิมพ์ครั้งที่ ๑๐, (กรุงเทพมหานคร: สุขภาพใจ, ๒๕๔๙), หน้า ๑๕๐. ๖๔ เสฐียรพงษ์วรรณปก, พุทธวิธีสอนจากพระไตรปิฎก, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร: อรุณ การพิมพ์, ๒๕๔๒), หน้า ๘๙. ๖๕ พระมหาประกาศิต อาจารปาลี(แก้วกองเกตุ), “การสร้างความปรองดองระหว่างศาสนา”, ใน พุทธธรรมกับการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ, พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส บรรณาธิการ, (กรุงเทพมหานคร: บริษัท ๒๑ เซ็นจูรี่จากัด, ๒๕๕๔) : ๒๓๑. ๖๖ ที.สี.อ. (ไทย) ๑/๑/๕๒๕-๕๘๕.. ๖๗ ที.สี. (ไทย) ๙/๔๐๗/๑๗๕. ๖๘ พุทธทาสภิกขุ, พุทธจริยา, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร: สานักพิมพ์สุขภาพใจ, ๒๕๓๙), หน้า ๑๒๕. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๙๙


๑๐๐ คนไม่ยินดีไม่คัดค้านจบสนทนาก็ลุกแยกย้ายกันไป บางคนหลังจากสนทนากันแล้วได้นิมนต์ พระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์มาฉันภัตตาหารเช้าที่อารามของตนเพื่อสร้างความคุ้นเคย เช่น กรณีสัจจ กะ นิครนถบุตร๖๙ อย่างไรก็ตาม ในการแวะเวียนไปสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันนั้น บางครั้งการ สนทนาเป็นไปด้วยดีเกิดความเข้าใจความคุ้นเคย แต่บางครั้งเรื่องที่สนทนาอีกฝ่ายอาจจะไม่เห็น ด้วย สิ่งที่นิยมปฏิบัติกันทั้งฝ่ายพระพุทธศาสนาและฝ่ายนักบวชในลัทธิภายนอก คือ เมื่อสนทนาจบ แล้วก็จะลุกจากที่นั่งไป แล้วนำคาถามหรือคำสนทนานั้นไปหาคำตอบจากคนอื่น บางครั้งพระภิกษุ หรืออุบาสกไปแวะไปสนทนากับปริพาชก หากเรื่องที่สนทนากันนั้น ตนไม่เห็นด้วย เมื่อจบการ สนทนาแล้วก็ลุกจากมา แล้วนำคำสนทนานั้นมาถามเพื่อรับฟังคำตอบจากพระพุทธเจ้า๗๐ วิธีการ เช่นนี้ ช่วยลดการโต้แย้ง การทะเลาะวิวาทได้มากทีเดียว ๒) การไม่วิจารณ์เจ้าลัทธิอื่น แต่จะมุ่งไปที่การสอนธรรม ในการสนทนากับนักบวชใน ลัทธิภายนอกหรือกับสาวกของนักบวชพวกอื่นนั้น ตามปกติพระพุทธองค์จะไม่วิจารณ์ศาสนาอื่น หรือแม้แต่คนที่นับถือศาสนาอื่น เมื่อมีคนมาทูลถามว่า การที่เจ้าลัทธิชื่อดังบางคนมีความเห็นใน เรื่องต่างๆ นั้น ถูกต้องหรือไม่ พระพุทธองค์เห็นด้วยกับเขาหรือไม่ หรือถามว่า เจ้าลัทธิเหล่านั้น รอบรู้จริงหรือไม่ พระพุทธองค์ก็จะไม่วิจารณ์แต่พระพุทธองค์จะสนพระทัยการแสดงธรรมมากกว่า ความดังกล่าวนี้เห็นได้จากในครั้งที่สุภัททปริพาชก ทูลถามว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ สมณพราหมณ์ที่เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะเป็นอาจารย์ มีชื่อเสียง เกียรติยศ เป็นเจ้าลัทธิประชาชนยกย่องกันว่าเป็นคนดีได้แก่ ปูรณะ กัสสปะ มักขลิโคศาล อชิตะ เกสกัมพล ปกุธะ กัจจายนะ สัญชัย เวลัฏฐบุตร นิครนถ์นาฏบุตร เจ้าลัทธิเหล่านั้น ทั้งหมดรู้ตามที่ ตนกล่าวอ้าง หรือ ไม่ได้รู้ตามที่ตนกล่าวอ้าง หรือ บางพวกรู้บางพวกไม่รู้ พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “สุภัททะ อย่าเลย เรื่องที่เธอถามว่า ‘เจ้าลัทธิเหล่านั้น ทั้งหมดรู้ตามที่ตนกล่าวอ้าง หรือไม่รู้ตามที่ตนกล่าวอ้าง หรือบางพวกรู้บางพวกไม่รู้’ อย่าได้สนใจ เลย เราจะแสดงธรรมแก่เธอ เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดีเราจะกล่าว”๗๑ การไม่วิจารณ์เจ้าลัทธิอื่นนี้แม้ พระมหาสาวกและอุบาสกคนสำคัญก็ถือปฏิบัติในลักษณะเดียวกันนี้พิจารณาจากพุทธจริยาจะเห็น ว่า เมื่อมีคนมาถามปัญหาเกี่ยวกับลัทธิศาสนาอื่น พระพุทธองค์จะไม่ไปตัดสินใคร แต่จะให้คนถาม ปัญหาฟังสิ่งที่พระองค์ได้เห็นได้รู้แล้วให้เขาใช้ปัญญาพิจารณาวินิจฉัยเอง ท่าทีแบบนี้เป็นการให้ สิทธิในการใช้ปัญญาและเป็นลักษณะหนึ่งของการมีเสรีภาพทางปัญญา๗๒ การวิจารณ์ผู้อื่นนี้มีแต่จะ ทำไปสู่ความแตกแยก คนที่ถูกวิจารณ์และสาวกย่อมจะไม่พอใจ ฝ่ายผู้วิจารณ์เองก็เสียเวลาเปล่า จิตใจก็จะขุ่นเคืองฟุ้งซ่าน ไม่สนใจการบำเพ็ญสมณธรรม ๓) การไม่ผูกข าดความดีแ ล ะกา รเข้ าถึ งค วามจ ริง ดังได้กล่าวไว้แล้วว่า พระพุทธศาสนาที่เป็นศาสนาที่มีใจกว้าง การกล่าวถึงความดีพื้นฐานและการเข้าถึงความจริง เบื้องต้นจะไม่ผูกขาดว่ามีแต่ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น ระบุแต่ส่วนที่เป็นสัจธรรม เช่น อริยสัจ ๔ มรรคมีองค์๘ อันเป็นหนทางดำเนินสู่พระนิพพานเป็นต้นเท่านั้นว่ามีเฉพาะในพระพุทธศาสนา ๖๙ ม.มู(ไทย) ๑๒/๓๖๒/๓๖๓-๔๐๐. ๗๐ ส .ม. (ไทย) ๑๙/๒๓๓/๑๖๘. ๗๑ ที.ม. (ไทย) ๑๐/๒๑๓/๑๖๑. ๗๒ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), มองสันติภาพโลกผ่านอารยธรรมโลกาภิวัตน์, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร: มูลนิธิพุทธธรรม, ๒๕๔๒), หน้า ๕-๖. ๑๐๐ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๑๐๑ หากคำสอนของนักบวชในลัทธิภายนอกบางเรื่องมีรายละเอียดบางประการเข้ากันลงกันกับ หลักธรรมในพระพุทธศาสนา ก็รับรอง หากปฏิบัติตามได้ผลก็รับตามความจริง บางอย่างขัดแย้งกัน ก็ว่ากันไปตามเหตุผล ดังพุทธดำรัสตอนหนึ่งว่า สมณพราหมณ์บางพวกเป็นบัณฑิต ทรงภูมิปัญญา มักโต้แย้ง มีท่าทางดังขมังธนูพวก เขาดูเหมือนจะกำจัดทิฐิได้ด้วยปัญญา สมณพราหมณ์เหล่านั้น มีทรรศนะตรงกับเราในบางเรื่อง ไม่ ตรงกันกับเราในบางเรื่อง บางประเด็นที่พวกเขาว่าดีแม้เราก็ว่าดีบางประเด็นที่พวกเขาว่าไม่ดีแม้ เราก็ว่าไม่ดีบางประเด็นที่พวกเขาว่าดีแต่เราว่าไม่ดีบางประเด็นที่พวกเขาว่าไม่ดีแต่เรา ว่าดีบาง ประเด็นที่เราว่าดีสมณพราหมณ์พวกอื่นก็ว่าดีบางประเด็นที่เราว่าไม่ดีสมณพราหมณ์พวกอื่นก็ว่า ไม่ดีบางประเด็นที่เราว่าดีสมณพราหมณ์พวกอื่นกลับว่าไม่ดีบางประเด็นที่เราว่าไม่ดีสมณ พราหมณ์พวกอื่นกลับว่าดี๗๓ หลักการพิจารณากว้างๆ อีกอย่างหนึ่งที่เป็นแนวทางตัดสินคำสอนหรือวิธีปฏิบัติว่าควร ปฏิบัติตาม หรือ ไม่ควรปฏิบัติตาม ให้ดูที่ผลที่เกิดจากการปฏิบัติคำสอนของลัทธิภายนอกบางเรื่อง มีลักษณะคล้ายกับหลักธรรมในพุทธศาสนาก็แสดงผล ความเหมือนและความต่างไว้อย่าง ตรงไปตรงมา เช่น พวกดาบสในคัมภีร์พระพุทธศาสนาที่เป็นกรรมวาทีมีเป้าหมายสูงสุดในการ ปฏิบัติธรรม เมื่อเสียชีวิตแล้วหากฌานสมาบัติไม่เสื่อมไม่ว่าจะปรารถนาหรือไม่ก็ตามจะได้ไปเกิดใน พรหมโลก๗๔ พระพุทธองค์ก็รับว่าเคยปฏิบัติทรงแสดงเป้าหมายสูงสุดในบรรพชาของดาบสเทียบ กับพระพุทธศาสนาไว้ด้วย๗๕ นักบวชในลัทธิภายนอกที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็ยกมาเป็นตัวอย่างใน การแสดงธรรมแก่พุทธบริษัทอยู่เสมอ ในส่วนของการทำความดีเช่น การทำบุญให้ทาน ก็ไม่ทรง ผูกขาดหรือสอนให้ชาวบ้านให้ทานแก่พระพุทธองค์และพระสาวกเท่านั้น แต่เรื่องนี้มักถูกพวก นักบวชในลัทธิภายนอกยกมากล่าวโจมตีเนื่องจากเมื่อพระพุทธศาสนาอุบัติชาวบ้านก็จะหันมา อุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนากันมาก ทำให้นักบวชเหล่านั้น มีลาภสักการะน้อย ท่านเปรียบว่า เหมือนหิ่งห้อยเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ถูกวัจฉโคตรปริพาชกถามว่า ได้ยินว่าพระ พุทธองค์สอนให้ชาวบ้านให้ทานแต่กับพระองค์และพระสาวกเท่านั้นจึงจะมีผลมาก พระองค์ตรัส ตอบว่า นั่นเป็นการกล่าวหาด้วยคำที่ไม่จริง ทรงตรัสว่า ผู้ใดห้ามบุคคลอื่นให้ทาน ผู้นั้นชื่อว่าทำอันตรายแก่วัตถุ ๓ อย่าง คือ ทำอันตรายแก่บุญ ของทายก (ผู้ให้) ทำอันตรายแก่ลาภของปฏิคาหก (ผู้รับ) และในเบื้องต้น ตัวเขาเองย่อมถูกกำจัด และถูกทำลาย และตรัสยืนยันอีกว่า ผู้ใดเทน้ำล้างภาชนะหรือน้ำล้างขันลงที่หมู่สัตว์ซึ่งอาศัยอยู่ที่ บ่อน้ำครำหรือที่บ่อโสโครกด้วยตั้งใจว่า หมู่สัตว์ที่อาศัยอยู่ในที่นั้นจงเลี้ยงชีพด้วยน้ำล้างภาชนะเป็น ต้นนั้น เรากล่าวกรรมที่มีการเทน้ำล้างภาชนะเป็นต้นเหตุว่า เป็นที่มาแห่งบุญ ไม่จำเป็นต้องพูดถึง ในหมู่มนุษย์๗๖ ท่าทีที่กล่าวมานี้ เป็นลักษณะสำคัญอย่างหนึ่งของพระพุทธศาสนาซึ่งจะแตกต่างจาก ลัทธิอื่น เนื่องเจ้าลัทธิและสาวกอื่นส่วนมากมักประกาศวาทะของตนเท่านั้นว่าจริง ถูกต้อง วาทะ ของคนอื่นไม่จริง ผิดพลาด ๗๓ ที.สี. (ไทย) ๙/๓๘๔/๑๖๒. ๗๔ ขุ.เปต.อ. (ไทย) ๒/๒/๓๔๕. ๗๕ ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๑๖/๓๘๑. ๗๖ องฺ.ติก. (ไทย) ๒๐/๕๘/๒๒๒. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๐๑


๑๐๒ ๔) การให้เสรีภาพทางปัญญา ไม่บีบบังคับให้ศรัทธา พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ เชิดชูเสรีภาพในการใช้ปัญญา ไม่ว่าคำสอนนั้นจะเป็นคำสอนของเจ้าลัทธิหรือหรือศาสดาท่านใด ก็ แนะนำว่า อย่าเพิ่งเชื่อเพียงเพราะเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อถือได้แต่ชี้ชวนให้ใช้ปัญญาพินิจ พิจารณา ไม่ให้ปลงใจเชื่ออะไรง่ายๆ เมื่อได้ไตร่ตรองด้วยเหตุผลอย่างรอบคอบจนรู้ด้วยตนเอง เท่านั้นว่า ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล ธรรมเหล่านี้มีโทษ ธรรมเหล่านี้ผู้รู้ติเตียน ธรรมเหล่านี้ที่บุคคลถือ ปฏิบัติบริบูรณ์แล้วย่อมเป็นไปเพื่อไม่เกื้อกูล เพื่อทุกข์ก็ควรละธรรมเหล่านั้นเสีย เมื่อได้ไตร่ตรอง ด้วยเหตุผลอย่างรอบคอบจนรู้ด้วยตนเองเท่านั้นว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ผู้รู้สรรเสริญ ธรรมเหล่านี้ที่บุคคลถือปฏิบัติบริบูรณ์แล้วย่อมเป็นไปเพื่อเกื้อกูล เพื่อสุข ก็ค่อยขวนขวายเพิ่มพูนปฏิบัติธรรมเหล่านั้น ในการแสดงธรรมก็มุ่งให้เกิดความรู้ความเข้าใจเป็น สำคัญ ไม่ได้หวังจะให้คนฟังทุกคนมาเป็นอันเตวาสิก แสดงธรรมเพราะประสงค์ให้ผู้ฟังละอกุศล ธรรมที่ยังละไม่ได้ที่เศร้าหมอง ที่สร้างภพใหม่เป็นต้นเท่านั้น ส่วนเขาจะมานับถือหรือไม่สู้สำคัญนัก ในการส่งพระสาวกออกไปประกาศพระพุทธศาสนาจึงวางหลักการไว้ว่า ให้พระสาวกจาริกไปเพื่อ ประโยชน์เกื้อกูลเพื่อสุขแก่ชนจำนวนมาก เพื่อเห็นแก่ชาวโลก ไม่ได้มุ่งหวังให้คนทั้งโลกหันมานับถือ มุ่งเพื่อประโยชน์แก่เขาอย่างเดียว ส่วนเมื่อเขาฟังธรรมแล้วจะนับถือหรือไม่นับถือเป็นเรื่องของเขา เป็นเรื่องของการใช้สิทธิในการใช้ปัญญา ๕) ความมีใจกว้างต่อผู้นับถือศาสนาอื่น ในการประกาศาสนา พระพุทธองค์จะทรง จาริกแสดงธรรมแก่คนทุกชั้นวรรณะโดยพิจารณาอุปนิสัยของผู้ฟังเป็นสำคัญ หลักธรรมของ พระองค์มีลักษณะสำคัญอย่างหนึ่ง คือ ความเป็นสากล (ทั้งความคิดและการปฏิบัติ) มีคำสอน เกี่ยวกับความจริง (สัจธรรม) ที่เป็นกลางไม่ขึ้นต่อบุคคล กลุ่ม เหล่า พรรคพวก แม้แต่ตัว พระพุทธศาสนาเอง๗๗ ใครปฏิบัติตามก็ย่อมได้รับผลตามสมควรแก่การปฏิบัติทุกคนเมื่อมีฉันทะ เพียรพยายาม มีเหตุปัจจัยถึงพร้อม ก็สามารถบรรลุพระนิพพานซึ่งเป็นจุดหมายสูงสุดใน พระพุทธศาสนาได้ไม่มีข้อจำกัดว่าจะต้องเป็นคนชาติชั้นวรรณะใด หลังจากแสดงธรรมแล้วหากมีคนศรัทธาประกาศตนเป็นอุบาสกขอถึงพระรัตนตรัยเป็น สรณะ ถ้าผู้นั้นเป็นอุปัฏฐากคนสำคัญของเจ้าลัทธิอื่น ก็จะทรงทัดทานให้คิดให้ดีเสียก่อน เนื่องจาก อาจจะสร้างความไม่พอใจให้แก่นักบวชเจ้าลัทธิเหล่านั้น เช่น สีหเสนาบดีสาวกของนิครนถ์ที่ ประกาศตนเป็นอุบาสกผู้เข้าถึงสรณะจนตลอดชีวิต แต่พระพุทธเจ้าตรัสให้ใคร่ครวญก่อนแล้วจึง ตัดสินใจเถิด คนที่มีชื่อเสียงต้องใคร่ครวญให้รอบคอบก่อนจึงเป็นการดีและทรงสนับสนุนให้อุปถัมภ์ ลัทธิที่เคยนับถือมาก่อน ดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า สีหะ ตระกูลของท่านเคยเป็นที่ต้อนรับพวก นิครนถ์มานาน ดังนั้น ท่านพึงใส่ใจว่าควรให้บิณฑบาตแก่พวกนิครนถ์ผู้เข้าไปตระกูลต่อไปเถิด๗๘ และอุบาลีคหบดีสาวกของนิครนถ์นาฏบุตรอาสามาถามปัญหาพระพุทธเจ้า แต่พอได้ฟังธรรมกลับ เกิดศรัทธาในพระพุทธศาสนา ประกาศขอถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะก็ทรงทัดทานถึง ๓ ครั้งให้ ใคร่ครวญให้ดีเนื่องจากเห็นว่าเป็นคนที่มีชื่อเสียง หากเปลี่ยนใจไปนับถือคนอื่นง่ายๆ คนอื่นจะ ครหาได้พระดำรัสนี้ยิ่งทำให้อุบาลีคหบดีมีใจชื่นชมพระพุทธองค์ยิ่งขึ้น เพราะที่ผ่านมามีแต่คนเอา เรื่องที่ท่านเป็นสาวกไปป่าวประกาศ ต่อมาอุบาลีคหบดีต้องการจะหยุดอุปถัมภ์บำรุงพวกนิครนถ์จึง สั่งคนเฝ้าประตูไม่ให้พวกนิครนถ์เข้ามาในบ้าน ต้องการอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธองค์และสาวก คือ ภิกษุ ภิกษุณีอุบาสก อุบาสิกาแทน พระพุทธองค์จึงตรัสห้ามไว้ว่า “คหบดีตระกูลของท่านเป็นดุจ ๗๗ พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตฺโต),แก่นแท้ของพระพุทธศาสนาและลักษณะแห่งพระพุทธศาสนา, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จากัด, ๒๕๕๔), หน้า ๑๐๒. ๗๘ วิ.ม. (ไทย) ๕/๒๙๓/๑๑๓. ๑๐๒ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๑๐๓ บ่อน้ำของพวกนิครนถ์มานานแล้ว ท่านควรเข้าใจว่า ควรให้บิณฑบาตแก่นิครนถ์เหล่านั้นผู้เข้าไปหา ต่อไปเถิด”๗๙ ถือเป็นวิธีการที่ช่วยลดความขัดแย้งระหว่างศาสนาได้ทางหนึ่ง หากมีนักบวชในลัทธิ ภายนอกบางคนมีศรัทธา อยากมาสนทนาธรรมเพื่อเพิ่มเติมความรู้หรือทำการอุปัฏฐากก็ทรง อนุญาตให้ทำได้เช่น ปิโลติกปริพาชก แม้ท่านจะถือเพศเป็นนักบวชนอกศาสนา แต่ท่านได้รับยก ย่องว่าเป็นสมณะผู้เป็นบัณฑิต กระทำอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าและพระมหาเถระแต่เช้าตรู่ จะถือเอา ไม้๓ ง่ามและเครื่องบริขารมีคนโทน้ำเป็นต้น ออกจากพระเชตวันเดินมุ่งหน้าไปทางพระนครอยู่ไม่ ขาด๘๐ พระอรรถกถาจารย์ได้กล่าวถึงความใจกว้างของพระพุทธศาสนาไว้อีกลักษณะหนึ่ง คือ พระพุทธองค์ทรงเปิดโอกาสให้นักบวชในลัทธิภายนอกประกาศตนเป็นผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ตลอดชีวิตโดยไม่ต้องละเพศบรรพชาเดิม เช่น อดีตชาติของพระพากุลเถระ ในกาลแห่ง พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า ท่านได้บวชเป็นฤษีบรรลุฌานสมาบัติได้ฟังธรรมแล้วตั้งอยู่ในสรณะแต่ไม่ ละบรรพชาของตน ได้ถวายยาแก้โรคลมในพระอุทรแก่พระพุทธเจ้า และในกาลแห่งพระวิปัสสีพุทธ เจ้าท่านบวชเป็นฤษีไปฟังธรรมกถาของพระศาสดาแล้วตั้งอยู่ในสรณะ แต่ไม่อาจละบรรพชาของ ตน ได้ประกอบยาถวายหมู่ภิกษุที่อาพาธเพราะเกสรดอกไม้แล้วแวะเวียนมาเยี่ยมบ้างเป็นครั้ง คราว๘๑ จากที่กล่าวมาจะเห็นว่า ถึงแม้พระพุทธองค์จะออกแบบสังคมสงฆ์ หรือ สังฆะ ขึ้นมา เพื่อให้เป็นชุมชนที่จะเอื้ออำนวยให้มนุษย์ได้เรียนรู้ฝึกฝนพัฒนาตนอย่างเต็มที่ มีพระอุปัชฌาย์ อาจารย์กำกับดูแลการพัฒนาตนของสัทธิวิหาริกและอันเตวาสิกอย่างเป็นระบบ แต่หากนักบวช นอกศาสนาบางคนไม่พร้อมจะเข้ามาเป็นสมาชิกของสังฆะ ถ้าอยากเรียนรู้ธรรมะ ก็ได้รับโอกาสให้ เข้ามาศึกษาธรรมได้โดยไม่ปิดกั้น มองในแง่หนึ่งก็เป็นความงดงามที่พบได้อยากในสำนักของเจ้า ลัทธิอื่น ๖)ร่วมมือกันสร้างสรรค์สังคมในประเด็นที่เห็นร่วมกัน เป็นที่ทราบกันว่าหลักธรรมใน พระพุทธศาสนาแตกต่างจากคำสอนของนักบวชในลัทธิภายนอก แต่หากพิจารณาโดยละเอียดจะ พบว่า มีหลักธรรมพื้นฐานจำนวนหนึ่งที่มีสอนทั้งในพระพุทธศาสนาและในลัทธิศาสนาอื่น เป็น ธรรมที่มีมานานคู่กับโลก สังคมได้ยึดถือปฏิบัติมาก่อนที่ลัทธิศาสนาจะอุบัติขึ้นในโลก หรือบางเรื่อง เป็นสิ่งที่เจ้าลัทธิคนก่อนๆ สั่งสอนแล้วศาสดาที่เกิดภายหลังให้การยอมรับแล้วสอนกันต่อๆ มาคำ สอนนั้นเรียกว่า มนุษยธรรม ที่ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนาก็มีเช่น ศีล ๕๘๒ ความกตัญญู ความเมตตา ธรรมเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้คนทุกศาสนาเห็นชอบร่วมกันจึงได้ถือปฏิบัติไปในแนวเดียวกัน นอกจากนี้ ยังมีธรรมอื่นอีกที่นักบวชทั้งหลายรู้กันว่าล้ำเลิศ รู้กันมานาน รู้กันว่าเป็น อริยวงศ์เป็นของเก่า ไม่ว่าในกาลไหนก็จะไม่ถูกลบล้าง ไม่ถูกสมณพราหมณ์ผู้รู้คัดค้าน ธรรมที่ว่านี้ เรียกว่า “ธรรมบท”เป็นหลักธรรมสากล ๔ ประการ คือ (๑) อนภิชฌา (ความไม่เพ่งเล็งอยากได้ของของเขา) (๒) อพยาบาท (ความไม่คิดร้าย) (๓) สัมมาสติ(ความระลึกชอบ) ๗๙ ม.ม. (ไทย) ๑๓/๖๘/๖๔. ๘๐ ม.มู.อ. (ไทย) ๑/๒/๔๘๕. ๘๑ องฺ.เอกก.อ. (ไทย) ๑/๑/๔๖๖-๔๗๑. ๘๒ ขุ.ชา.สตฺตก.อ. (ไทย) ๓/๕/๓๒๑. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๐๓


๑๐๔ (๔) สัมมาสมาธิ(ความตั้งจิตมั่นชอบ) ๘๓ ธรรม ๔ ประการนี้บุคคลใดปฏิเสธ คัดค้าน ไม่ยกย่องนับถือย่อมถูกมองว่า เป็นผู้บูชา สรรเสริญสมณะหรือพราหมณ์ผู้มีอภิชฌา ผู้มีจิตพยาบาท ผู้มีสติหลงลืมและผู้มีจิตไม่ตั้งมั่น ดังนั้น นักบวชผู้รู้ทั้งหลายจึงไม่ปฏิเสธ ไม่คัดค้าน มีแต่จะยกย่องนับถือธรรมบท ๔ ประการนี้เพราะกลัว การนินทา การกระทบกระทั่งและการกล่าวให้ร้าย หากมีการนำธรรม ๔ อย่างนี้ไปเป็นกรอบในการ ทากิจกรรมหรือนำไปเป็นแนวทางขับเคลื่อนสังคม ย่อมจะได้รับความร่วมมือจากฝ่ายต่างๆ เมื่อได้ ร่วม มือกันขับเคลื่อนสังคมในเรื่องที่ต่างก็เห็นชอบ ย่อมจะมีความสามัคคีเพราะสิ่งที่ทำเป็นสิ่งที่ทุก คนเห็นด้วย การที่ศาสนาทั้งหลายในปัจจุบันร่วมมือกันรณรงค์คัดค้านในประเด็นที่เห็นร่วมว่าจะ เป็นโทษแก่สังคม เช่น การค้าขายน้ำเมา การทำแท้งเสรีการทุจริตคอรัปชั่น ความอยุติธรรม ความ ไม่เป็นธรรมในสังคม ก็น่าจะถือว่าเป็นร่วมมือกันสร้างสรรค์สังคมในประเด็นที่เห็นร่วมกันได้ . ๗) เมื่อเกิดความขัดแย้งต้องแก้ปัญหาด้วยสันติวิธีการเผยแผ่ศาสนาที่มีความเห็นไม่ ตรงกันในสังคมเดียวกัน ย่อมมีการกระทบกระทั่งกันบ้างเป็นธรรมดา อาจมีทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ เมื่อเกิดความขัดแข้งแล้วผู้นำศาสนาหรือผู้รับผิดชอบบ้านเมืองต้องไม่นิ่งดูดาย จะต้องเข้ามา แก้ปัญหาอย่างทันท่วงทีเพราะความขัดแย้งระหว่างศาสนานี้อ่อนไหวมาก หากไม่จัดการให้ดีความ ขัดแย้งจะแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว เนื่องจากศาสนาเป็นเรื่องของสังคม ไม่ใช่เรื่องของบุคคลใด บุคคลหนึ่ง แนวทางปฏิบัติเมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างศาสนามีหลายวิธีแต่แนวทางที่ต้องยึดถือ คือ ต้องแก้ด้วยสันติวิธีและแก้ด้วยทวิถีแห่งปัญญา คือ ต้องไม่ใช้ความรุนแรงทั้งด้วยการกระทำทาง กายหรือทางวาจา ขณะเดียวกันต้องทำความเข้าใจ ชี้แจงให้ทราบเหตุทราบผล ให้เกิดปัญญา มี รายละเอียดดังนี้ (๑) หากมีการกล่าวหาหรือกล่าวให้ร้ายจนอาจเกิดความเข้าใจผิด จะต้องชี้แจงข้อ กล่าวหานั้นด้วยเหตุผลเพื่อให้เกิดความเข้าใจถูกต้อง การกล่าวชี้แจงนี้แม้บางครั้งใจใช้คำรุนแรง ตรงไปตรงมา แต่ก็เพราะความหวังดีหวังให้เกิดประโยชน์คือความเข้าใจถูกต้องตลอดกาลนาน ใน บางกรณีพระพุทธองค์ทรงบันลือสีหนาทประกาศพรหมจรรย์คือลัทธิของพระองค์ท่ามกลางผู้นับ ถือศาสนาอื่น ฟังดูคล้ายๆ กับว่าทรงใช้คำรุนแรง แต่มิได้หมายความว่าทรงอาละวาดในท่ามกลาง หมู่ปรปักษ์เหล่านั้น เหมือนอย่างที่คนมีกิเลสชอบกระทำกัน การบันลือสีหนาทท่ามกลางผู้นับถือ ศาสนาอื่นนั้นเป็นการประกาศที่ทำไปด้วยความหวังดีต่อผู้อื่นด้วยความ ปรารถนาดีแล้วก็ทำอย่าง สุภาพ ทำอย่างมีเหตุผล ทำอย่างมีธรรมะที่ทำความกล้าหาญให้เป็นที่ปรากฏเพื่อจะยืนยันในลัทธิ ของพระองค์๘๔ (๒) หากมีการใช้ความรุนแรงด้วยการวางแผนใส่ร้ายด้วยข้อหาฉกรรจ์เช่น กรณีเดียถีย์ สั่งนักเลงให้สังหารนางสุนทรีปริพาชิกาแล้วใส่ร้ายพระพุทธเจ้า๘๕ กรณีนางจิญจมาณวิกาผู้กล่าวหา ว่าตั้งท้องกับพระพุทธเจ้า๘๖กรณีพวกปริพาชกเห็นพระพุทธเจ้าและสาวกมีลาภสักการะมากจึงมา ด่า๘๗ หรือ ด้วยการใช้กำลังประทุษร้ายถึงแก่ชีวิต เช่น กรณีเดียรถีย์จ้างโจรทำร้ายพระมหาโมคคัล ๘๓ องฺ.จตุกฺก. (ไทย) ๒๑/๓๐/๔๖-๔๗. ๘๔ พุทธทาสภิกขุ, พุทธจริยา, หน้า ๑๒๗-๑๒๘. ๘๕ ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๑/๒/๔/๑๙๕-๒๐๐. ๘๖ ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๑/๒/๓/๒๕๕-๑๖๑. ๘๗ ขุ.อุ. (ไทย) ๒๕/๑๔/๑๙๓-๑๙๔. ๑๐๔ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๑๐๕ ลานะจนมรณภาพ (ปรินิพาน) ๘๘ การชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อทำความเข้าใจก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น ส่วนการ แก้ปัญหาเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยในสังคมเป็นเรื่องของภาครัฐที่ต้องเข้ามาปกป้องคุ้มครอง พระพุทธศาสนา จะใช้วิธีการใดก็ว่าไปตามกฎหมายของบ้านเมืองนั้นๆ พระสงฆ์ไม่มีสิทธิ์ที่จะอ้าง คำสอนใดๆ ในพระพุทธศาสนาไปเป็นหลักฐานสนับสนุนให้เกิดการใช้ความรุนแรงตอบโต้หรือ แม้แต่จะอ้างคาสอนไปสนับสนุนให้เกิดการเบียนเบียนผู้อื่นขึ้นได้๘๙ เมื่อมีผู้นับถือลัทธิอื่นมากล่าวจ้วงจาบพระพุทธศาสนา พุทธบริษัทต้องไม่นิ่งดูดาย ต้องหาทาง พิสูจน์ข้อเท็จจริง หน้าที่นี้พระพุทธองค์วางแนวทางไว้ให้พุทธบริษัททั้ง ๔ ช่วยกันจัดการ ในคัมภีร์ เมื่อกล่าวถึงหลักการคุ้มครองพระพุทธศาสนามักจะมุ่งเน้นไปที่การให้พุทธบริษัทได้ศึกษาปฏิบัติ ธรรมและทำหน้าที่ของพุทธบริษัท ประกอบด้วยหลักการสำคัญ ๔ อย่างคือ (๑) พุทธบริษัทศึกษา ธรรมจนแตกฉานเป็นพหูสูต (๒) พุทธบริษัทปฏิบัติตามธรรมที่ศึกษามาอย่างถูกต้องและได้รับผล แห่งการปฏิบัติ(๓) พุทธบริษัทมีความสามารถถ่ายทอดเผยแผ่ให้กับคนอื่นได้รู้ตาม (๔) พุทธบริษัท มีความสามารถกำราบปรัปวาทให้ราบคาบ ทำหน้าที่ปกป้องพระพุทธศาสนาได้๙๐ การกำราบ ปรัป วาทนี้มีหลักสำคัญอยู่ที่การการชี้แจงอธิบาย หรือ แสดงความจริงให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง๙๑ เมื่อ ทุกฝ่ายเข้าใจความจริงอย่างถูกต้องแล้ว การกล่าวให้ร้ายต่างๆ ก็จะหมดไปเองไม่สามารถทำความ เสียหายแก่พระพุทธศาสนาได้ ๔.๕.๘ นโยบายในการเผยแผ่ พุทธวิธีในการประกาศศาสนาแก่ชาวโลกครั้งแรกทรงมีคนทำงานเพียง ๖ รูป คือ พระองค์กับปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ “พอออกพรรษาแล้วจึงได้มีพระสาวกเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน ๖๐ รูป จึง ส่งออกเผยแผ่ศาสนา”๙๒ โดยพระพุทธเจ้าทรงให้นโยบายในการเผยไว้ว่า “พวกเธอจงจาริกไป เพื่อประโยชน์สุขแก่ชนจำนวนมาก เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่ ทวยเทพและมนุษย์ อย่าไปทางเดียวกันสองรูป จงแสดงธรรมมีความงามในเบื้องต้น ท่ามกลางและ ที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถและพยัญชนะบริสุทธิ์บริบูรณ์ครบถ้วน สัตว์ทั้งหลาย ที่มีธุลีในตาน้อยมีอยู่ ย่อมเสื่อมเพราะไม่ได้ฟังธรรม”๙๓ โดยให้พระสาวกทรงรับเอานโยบายนี้ไป ปฏิบัติเป็นแนวทางเดียวกันด้วยความเสียสละและมุ่งประโยชน์แก่ชาวโลก โดยไม่ย่อท้อต่อความ ทุกข์ยากลำบาก “ในครั้งนั้นคณะเผยแผ่ศาสนาจะได้รับการแต่งตั้งทันทีที่ได้บรรลุธรรม”๙๔ บางครั้ง อาจทำหน้าที่เผยแผ่ศาสนาโดยไม่ต้องให้ใครมอบหน้าที่ให้ เพราะมีสำนึกว่าเป็นภารกิจร่วมกันใน การช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นจากความทุกข์ หากไขรหัสนโยบายของพระพุทธเจ้าก็จะเห็นว่า ๘๘ ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๑/๒/๓/๙๕-๑๐๓.. ๘๙ พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตฺโต), ความสำคัญของพระพุทธศาสนาในฐานะศาสนาประจำ ชาติ, พิมพ์ครั้งที่ ๑๑, (กรุงเทพมหานคร: บริษัท สหธรรมิก จากัด, ๒๕๕๐), หน้า ๔๖. ๙๐ ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๖๘/๑๑๓-๑๑๖. ๙๑ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), มองสันติภาพโลกผ่านภูมิหลังอริยธรรมโลกาภิวัตน์, หน้า ๑๗๕. ๙๒ สิริวัฒน์ คำวันสา, พุทธศาสนาในอินเดีย, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร: พิทักษ์อักษร, ๒๕๔๕), หน้า ๔๔. ๙๓ วิ.ม. (ไทย) ๔/๓๒/๔๐. ๙๔ พุทธทาสภิกขุ, พุทธประวัติฉบับสำหรับยุวชน, (กรุงเทพมหานคร: ธรรมสภาและสถาบันบันลือ ธรรม, ๒๕๕๐), หน้า ๑๒๐. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๐๕


๑๐๖ มีทั้งวัตถุประสงค์ในการเผยแผ่ วิธีการและประโยชน์จากการเผยแผ่ โดยแยกนโยบายการเผยแผ่ ออกเป็นประเด็นได้ดังต่อไปนี้ ก. วัตถุประสงค์ ๑. พวกเธอจงจาริกไป หมายถึง ไม่ให้ยึดติดกับสถานที่ ไม่ทำให้เกิดการสะสม การที่ ทรงให้จาริกไปในที่ต่างๆ ก็เพื่อให้เป็นผู้มักน้อยในปัจจัย ๔ การเดินทางจะทำให้มีความตื่นตัวและมี โอกาสสัมผัสกับประชาชนทุกหมู่เหล่า ทำให้เข้าใจวิถีประชาและสรรพสัตว์ได้ดียิ่งขึ้น ๒. เพื่อประโยชน์สุขแก่ชนจำนวนมาก หมายถึง ทำสิ่งที่เป็นผลดีและมีคุณค่า มี ๓ ระดับ คือ ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ หมายถึง ประโยชน์ในปัจจุบันหรือประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์ สุขที่มองเห็นกันในชาตินี้ เช่น การมีทรัพย์ มียศ มีเกียรติและมีความสุข เป็นต้น สัมปรายิกัตถ ประโยชน์ หมายถึง ประโยชน์เบื้องหน้าหรือประโยชน์ในภพหน้า มีจิตใจงอกงามในคุณธรรมหรือ เป็นผู้ที่สั่งสมคุณงามความดีไว้พร้อม เป็นผู้มีศรัทธา ศีล บริจาคทานและเป็นผู้มีปัญญา เป็นต้น ปรมัตถประโยชน์ หมายถึง ประโยชน์สูงสุด จุดหมายสูงสุดหรือนิพพาน โดยให้ผู้รับการเผยแผ่ได้รับ ประโยชน์ตามแต่ภูมิธรรมของแต่ละคน หรือให้ตั้งอยู่ในศีล สมาธิและปัญญา จนถึงบรรลุนิพพาน อันเป็นเป้าหมายสูงสุด ๓. เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก หมายถึง การเอื้อเฟื้อหรือช่วยเหลือให้พ้นจากความทุกข์ และแนะนำแนวทางดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นแนวทางที่ชี้ให้เห็นว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนา แห่งสังคมสงเคราะห์ ๔. เพื่อประโยชน์เกื้อกูล หมายถึง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีเมตตา มีน้ำใจและหวังดีต่อสรรพ สัตว์ทั้งหลายอย่างไม่มีขอบเขต ปรารถนาให้ได้รับความสุข ปราศจากความทุกข์ ๕. เพื่อความสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์หมายถึง การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเพื่อสร้าง ความสุขให้กับมนุษย์โลกและเทวโลก แสดงว่าพระธรรมฑูตทำหน้าที่ช่วยเหลือทั้งเทวดาและมนุษย์ เพื่อให้มีความสุขทางกายและใจ รวมถึงความสุขจากการสงบระงับและปลอดโปร่งจากการครอบงำ ของกิเลสตัณหา หรือวิมุตติสุข ข. วิธีดำเนินการ ๑. อย่างไปทางเดียวกันสองรูป หมายถึง การเผยแผ่พระพุทธศาสนาไม่จำเป็นต้องใช้ บุคลากรจำนวนมาก ไม่เหมือนกองทัพที่ยิ่งมีไพร่พลมากยิ่งมีความเข้มแข็ง แต่การเผยแผ่พระ ศาสนาเป็นการต่อสู้กับข้าศึกภายใน แม้เพียงคำพูดคำเดียวก็สามารถเปลี่ยนข้าศึกมาเป็นมิตรได้ จึง ทรงให้พระธรรมทูตแยกย้ายกันไปให้เต็มพื้นที่ของชมพูทวีป ต่างคนต่างแยกย้ายกันทำหน้าที่อย่าง เต็มศักยภาพ เป็นการจัดวางตำแหน่งที่ไม่ให้ซ้ำซ้อน “อย่าจาริกไปทางเดียวกัน ๒ รูป”๙๕ ปัจจุบัน จะเห็นได้จากการออกจาริกธุดงค์ นอกจากจะเป็นการฝึกตนแล้วยังเป็นการเผยแผ่พระศาสนาไป ในตัวด้วย ซึ่งเป็นรูปแบบการเผยแผ่เชิงรุกที่มีประสิทธิภาพ ๒. แสดงธรรมมีความงามในเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด หมายถึง แนะนำหลักความ ประพฤติที่ดีงามไปจนถึงการดำเนินชีวิตขั้นประเสริฐสุด โดยนำหลักคำสอนเบื้องต้น คือ ศีล เพื่อทำ ให้สามารถดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขในระดับโลกิยธรรม ความสงบทางจิต (สมาธิ) และปัญญารู้ แจ้งเห็นจริงในอริยสัจ ๔ เป็นเครื่องยืนยันว่าพระพุทธศาสนามีหลักคำสอนหลายระดับ ทั้งระดับ สังคม (ศีล) ไปจนถึงระดับโลกุตรปัญญา แสดงให้เห็นว่าพระพุทธศาสนาใส่ใจสังคม คือ การนำ ธรรมะไปดับทุกข์ทางสังคมและดับทุกข์ทางใจของบุคคลด้วย ผู้เผยแผ่จะต้องประกอบด้วย “วิชา ๙๕ วิ.ม. (ไทย) ๔/๓๒/๔๐. ๑๐๖ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๑๐๗ และจรณะ รู้แจ้งโลก แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ตาม”๙๖ รวมทั้งสอนให้งดเว้นจากอกุศลธรรม และหมั่น ประกอบกุศลอยู่เป็นนิจ ๓. ประกาศพรหมจรรย์ หมายถึง บอกให้ทราบโดยทั่วถึงกันในถึงหลักการและวิถีทาง การครองชีวิตอันประเสริฐ คือ ประกาศเรื่อง ทาน, กรรม, เบญจศีล, อัปปมัญญา, เมถุนวิรัติ (การ เว้นเมถุนธรรม), ไตรสิกขา, อริยสัจ ๔, อริยมรรค, เป็นต้น และประเด็นสำคัญก็คือพระพุทธเจ้า ทรงหมายความถึงตัวพระพุทธศาสนาด้วย และยังมีความหมายในเชิงประชาสัมพันธ์ด้วย ดังพุทธ พจน์ที่ว่า “เราจะไปเมืองหลวงแห่งชาวกาสี ประกาศธรรมจักร ตีกลองอมตธรรมไปในโลกอันมี ความมืดมน”๙๗ เป็นการขับเคลื่อนธรรมะไปอย่างกึกก้องเหมือนเสียงกลองที่เร้าให้ผู้ฟังเกิดความ กระตือรือร้นที่จะรับธรรมะไปปฏิบัติ นอกจากนี้การประกาศยังรวมไปถึงการกระจายข่าวด้วย ดัง ปรากฏว่า “ทวยเทพที่นับเนื่องในหมู่พรหม สดับเสียงของเหล่าเทวดาชั้น ปรนิมมิตวสวัตดี แล้ว กระจายข่าวว่าธรรมจักรอันยอดเยี่ยม พระผู้มีพระภาคทรงประกาศแล้ว ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เขตกรุงพาราณสี”๙๘ จึงสมควรที่ผู้เผยแผ่จะต้องนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาไปประกาศให้กับ เวไนยสัตว์ได้รับรู้ ในสมัยพุทธกาลใช้คำว่าการประกาศพรหมจรรย์ แต่ในเวลาต่อมานิยมใช้คำว่า การเผยแผ่ศาสนา ๔. พร้อมทั้งอรรถและพยัญชนะบริสุทธิ์บริบูรณ์ครบถ้วน หมายถึง เนื้อความ ใจความ ความหมาย ผลและประโยชน์ อันเป็นหลักธรรมที่บริสุทธิ์และส่งผลให้ผู้ปฏิบัติตามถึง พร้อมด้วยความบริสุทธิ์ ค. ประโยชน์จากการเผยแผ่ สัตว์ทั้งหลายที่มีธุลีในตาน้อยมีอยู่ ย่อมเสื่อมเพราะไม่ได้ฟังธรรม หมายถึง เวไนย สัตว์ที่มีกิเลสตัณหาเบาบางพร้อมที่จะเข้าใจอริยสัจธรรมมีอยู่จำนวนมาก แสดงว่าพระองค์ทรง เชื่อมั่นในศักยภาพของมนุษย์ว่าสามารถพัฒนาได้ เพียงแต่ได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างถูกวิธี ซึ่ง เวไนยสัตว์จะได้ประโยชน์อย่างยิ่งจากการเผยแผ่ แต่หากไม่ได้ฟังธรรมแล้วย่อมเสื่อมและเสียโอกาส “การเผยแผ่จึงทำให้รู้ยิ่งทราบ พิจารณา ทำให้กระจ่าง ทำให้แจ่มแจ้งแล้วซึ่งประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่น ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ประโยชน์ในภพปัจจุบัน ประโยชน์ในภพหน้า ประโยชน์อย่าง ยิ่ง”๙๙ ดังนั้น การเผยแผ่พระศาสนาจึงเป็นการให้โอกาสในการพัฒนาศักยภาพของสรรพสัตว์ เพื่อ ยกระดับชีวิตไปสู่ความเป็นอริยะต่อไป นโยบายที่พระพุทธเจ้าวางเอาไว้ยังเป็นแนวทางเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่ถือปฏิบัติสืบ ต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน โดยการเผยแผ่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้โลกมีความสงบสุขและเกิดสันติภาพแก่ มวลมนุษยชาติ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันได้โดยไม่เบียดเบียนกัน ซึ่งมีวิธีดำเนินการด้วยการเดิน เข้าหาประชาชนโดยลำพัง และชี้ทางสว่างให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย อันเป็นการจัดวางตำแหน่งของ ผู้เผยแผ่ไม่ให้ทับซ้อนกัน เพื่อกระจายกำลังไปทั่วทุกภูมิภาค และง่ายต่อการแทรกซึมเข้าไปในทุก สังคม รวมทั้งจะไม่ก่อให้เกิดความหวาดระแวงและสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจต่อเจ้าลัทธิหรือ ผู้ปกครองท้องถิ่นด้วย โดยมุ่งให้มีสัมมาทิฏฐิและจูงเข้าสู่กระแสพระนิพพานอันเป็นเป้าหมายสูงสุด ต่อไป ๙๖ ที.สี. (ไทย) ๙/๒๕๗/๘๙. ๙๗ วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๑/๑๗. ๙๘ วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๗/๒๕. ๙๙ ขุ.จู. (ไทย) ๓๐/๑๔๔/๔๖๔. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๐๗


๑๐๘ นอกจากนโยบายดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ยังปรากฏว่าพระพุทธเจ้าทรงวางหลักการทาง พระพุทธศาสนาให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เมื่อครั้งทรงประทานโอวาทปาฏิโมกข์แก่พระภิกษุจำนวน ๑,๒๕๐ รูป เนื้อหาโดยสรุปแบ่งออกเป็น ๔ ประเด็นหลัก คือ๑๐๐ ๑. ว่าด้วยอุดมการณ์ของพระพุทธศาสนา คือ นิพพาน ๒. ว่าด้วยหลักการทั่วไปของพระพุทธศาสนา คือ การไม่ทำชั่ว การหมั่นประกอบคุณ งามความดี และการมุ่งฝึกจิตให้ผ่องใส ๓. ว่าด้วยคุณสมบัติของผู้เผยแผ่พระพุทธศาสนา โดยจะต้องเป็นผู้รู้ประมาณในการ บริโภค อยู่อย่างสงัด เคร่งครัดในพระธรรมวินัย และหมั่นฝึกหัดพัฒนาจิตอยู่เสมอ ๔. ว่าด้วยเทคนิคการเผยแผ่พระพุทธศาสนา คือ ผู้เผยแผ่ศาสนาจะต้องไม่ว่าร้ายผู้อื่น ไม่เบียดเบียน มีความอดทน และใช้สันติวิธีในการประกาศพระพุทธศาสนา การเผยแผ่ พระพุทธศาสนาโดยนำนโยบาย อุดมการณ์ หลักการ และเทคนิคมาใช้ในการเผยแผ่ จึงทำให้มี รูปแบบและแผนปฏิบัติการที่ชัดเจน ซึ่งผู้เผยแผ่จะต้องนำมาเป็นแนวทางปฏิบัติร่วมกัน ๔.๖ คุณสมบัติของผู้สอนในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) ได้กล่าวถึงคุณสมบัติผู้สอนว่าต้องมีลักษณะ ๒ ด้านคือ ด้านบุคลิกของผู้สอนท่านยกลักษณะท่าทางกริยา หน้าตาของผู้สอนเสียงที่ใช่ในการสอนหรือการ เผยแพร่โดยยกพระพุทธเจ้าเป็นแบบอย่างในการถ่ายทอด และด้านคุณธรรมต้องมีปัญญาความ ฉลาดรอบรู้มีความประพฤติดีงานเรียบร้อยและมีจิตใจที่ปรารถนาดีอยากให้คนอื่นพ้นความทุกหมด ปัญหาจึงได้ประกาศเผยแพร่หลักธรรมสื่อสารให้ผู้อื่นรู้๑๐๑ วศิน อินทสระยังได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายในการสอนนั้นเพื่อให้ผู้ฟังรู้จริงเห็นแจ้งในสิ่งที่ ควรรู้เห็นเพื่อให้ผู้ฟังตรองตามและเห็นได้จริงเพื่อให้ผู้ฟังได้รับผลแห่งการปฏิบัติได้ตามสมควร๑๐๒ แสง จันท์งาม ยังได้กล่าวถึงคุณสมบัติของนักเผยแพร่ไว้ว่านักเผยแพร่ที่ดีจะต้องมี ความกรุณาไม่ถือตัวหยิ่งยโส เป็นคนใจเย็น อดทน มีความยุติธรรมไม่เห็นแก่หน้าพวกฟ้องมีความ รอบครอบ มีพฤติกรรมที่น่าบูชาและต้องรู้จักภูมิปัญญาของผู้ฟังซึ่งพระพุทธศาสนาถือว่าผ็เผยแพร่ และผู้ฟังมีความสัมพันธ์กันในฐานะกัลยาณมิตรเพราะฉะนั้นการเผยแพร่พุทธธรรมที่ดีจะต้องมี คุณสมบัติที่เป็นองค์คุณของกัลยาณมิตรถึงมี ๗ ประการคือ๑๐๓ ๑.ปิโย เป็นที่รักพอใจ คือเข้าถึงจิตใจ ๒.ครุเป็นที่เคารพ ประพฤติตนเหมาะสมแก่ฐานะ ๓.ภาวนิโย เป็นที่ยกย่องมีความรู้จริง รู้ที่จะฝึกฝนตนเองอยู่เสมอ ๔.วัตตา เป็นนักพูดที่ดีร็จักอธิบายให้ผ็อื่นเข้าใจ ๕.วะจะนักขะโม มีความอดทนต่อถ้อยคำ ไม่เบื่อหน่ายไม่อารมณ์เสีย คือพร้อมที่จะรับ ฟังคำไตร่ถามคำเตือน คำวิจารณ์ ๑๐๐ เสฐียรพงษ์ วรรณปก, พุทธสาวก พุทธสาวิกา, (กรุงเทพมหานคร: ธรรมสภาและสถาบัน บันลือธรรม, ๒๕๔๔), หน้า ๒๖-๒๗. ๑๐๑ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๐-๑๓. ๑๐๒ วศิน อิทสระ. พุทธวีธีในการสอน. (สำนักพิมพ์ธรรมดา. ๒๕๔๕), หน้า ๒๓. ๑๐๓ พระบุญโชค ชยธมฺโม (ส่งแสง) ศึกษารูปแบบและวิธีการเทศน์ของพระสงฆ์ไทยในปัจจุบัน วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๒๕๔๘),หน้า ๓๖. ๑๐๘ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๑๐๙ ๖.คุมภีรัญจะ กะถังกัตตา ฉลาดในวิธีการรู้จักใช้ถ้อยคำให้ผ็ฟังเข้าใจง่ายต้องมีความ รอบรู้ในศาสตร์หลายๆด้าน ๗.โน ฐัฎฐาเนนิโยชะเย ไม่ชักนำในอฐาษนะไม่ชักนำให้ผู้ฟังเข้าใจผิดต้องรู้จักชักจูง แนะนำในทางที่ถูกต้อง สมาน งามสนิท ได้กล่าวไว้ว่า คุณสมบัติของผู้ส่งสสารที่พึงประสงค์ตามแนวแห่ง พุทธะ๑๐๔จำแนกตามที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับหลวงเล่มที่๑๑ ข้อ ๒๒๑ หน้าที่ ๒๒ ระบุถึงผู้มีคุณสมบัติดังกล่าว ซึ่งเรียกว่า สัปปุริสธรรม ๗ ประการ คือ๑๐๕ ๑.ธัมมญุตา เป็นผู้รู้ธรรมหรือหหลักการ หลักความจริง เนื้อหาสาระของเรื่องที่จะ สื่อสาร รู้แจ้งตลอดในทฤษฎีและปฏิบัติในศาสตร์และศิลป์ของตน ๒.อัตถัญญุตา รู้เนื้อหาสาระ ความหมมาย ความมุ่งหมายวัตถุประสงค์ของการสื่อสารที่ แน่นอนและชัดเจน (Goal oriented) ๓.อัตญญุตา รู้จักตนเองรู้ว่าตนคือใคร มีความพร้อมหรือไม่ อย่างไรการรู้จักตนเป็นสิ่ง สำคัญยิ่งเมื่อเรารู้จักตนเองดีแล้วจะนำไปสู่การยอมรับตนเองแล้วจะเผยตน สามารถสื่อสารภายใน ตนเองได้อย่างดียิ่งผู้ที่สามารถสื่อสารภายในตนเองได้ดีจะเป็นผู้ที่สามารถรับรู้วิเคราะห์สังเคราะห์ และมีวิจารณญาณที่สุขุมรอบคอบมีเหตุมีผลทำให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ๔.มัตตัญญุตา รู้จักความประมานรู้จักความพอดีการสื่อสารบ้างอย่างหากมากเกินไป ผู้รับสารก็รับไม่ได้หากน้อยไปก็ไม่เพียงพอหากไม่รู้จักการประมานในการสื่อสารคือส่งสารที่ซ้ำซาก มากหรือน้อยจนเกินไป ๕.กาลัญญุตา รู้จักเวลาผู้ส่งสารต้องรู้จักเวลาในการสื่อสารว่าเวลาไหนควรเวลาไหนไม่ ควรหากผู้ส่งสารไม่รู้จักเวลาในการสื่อสารแม้ว่าจะเป็นการสสื่อสารภายในตนการสื่อสารระหว่าง บุคคลหรือการสื่อสารระหว่างมวลชนนอกจะสื่อสารนั้นจะไม่ประสบความสำเร็จแล้ว บ้างครั้งอาจมี ข้อผิดพลาดหรือบาดหมางใจตามมาหากเราย้อนดูประวัติศาสตร์แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียง ของโลกยังต้องได้รับโทษจากการประกาศสัจธรรมหรือทฤษฎีความรู้ของตนในเวลาที่ไม่เหมาะสม ๖.ปริสัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักชุมชนรู้จักสังคมในทางนิเทศศาสตร์เรียกว่ากลุ่มผู้รับสาร เป้าหมาย การสื่อสารจึงจะประสบความสำเร็จยิ่งรู้จักมากเท่าไหร่การสื่อสารยิ่งมีประสิทธิภาพมาก ยิ่งขึ้นเท่านั้นพระพุทธเจ้าเผยแพร่ธรรมะของพระองค์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพราว่าพระองค์ทรง รอบรู้ผู้รับสารอย่างรู้แจ้งตลอดทรงรู้ไปถึงภูมิหลังหรือกรรมเก่าตั้งแต่ชาติก่อนของผู้รับสารผู้ส่งสาร เป็นปุถุชนธรรมดาก็มีความจำเป็นต้องรู้กลุ่มเป้าหมายว่าเขาเรานั้นเป็นใครต้องรู้จักเพศ อายุ การศึกษาสถานะภาพทางเศรษฐกิจ และสังคม ยิ่งรู้กลุ่มเป้าหมายมาก การสื่อสารยิ่งมีประสิทธิภาพ มาก ๗.ปุคคลโรรัญญุตา รู้จักความแตกต่างระหว่างบุคคล ของผู้รับสารแต่ละคนแต่ละกลุ่มมี ลักษณะจำเพราะเป็นของตนเอง มีจริต มีอัธยาศัย มีศักยภาพการรับรู้สารมากน้อยมากเพียงใดการ ที่ผู้ส่งสารรู้ความแตกต่างระหว่างบุคคลได้นั้นสามมารถแยกแยะผู้รับสารได้ นักวิชาการสื่อสารได้ จำแนกกลุ่มผู้รับสารเป้าหมายออกเป็น ๕ กลุ่มเปรียบเหมือนบัว ๔ เหล่าได้แก่ ๑) กลุ่มบัวพ้นน้ำ เมื่อได้รับแสงอาทิตย์จะแย้มบานทันทีกลุ่มนี้เปรียบเสมือนผู้มีปัญญา ๑๐๔ ณัฐนันท์ ประกายสันติสุข. ประสิทธิผลของการสื่อสารในการเผยแผ่ธรรม หลักสูตรการ พัฒนาจิตให้เกิดปัญญาและสันติสุข, (กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๗), หน้า ๓๙-๔๑. ๑๐๕ ที.ปา.(ไทย) ๑๑/๓๓๐/๓๓๓ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๐๙


๑๑๐ แหลมคมมีปัญญาดีแล้วไม่ต้องการหรืออธิบายอะไรมากเพียงแต่ให้พัวข้อธรรมก็สามารถรู้ได้กลุ่มนี้ เพียงได้รับหัวข้อข่าวสารก็สามารถยังประโยชน์ตนและผู้อื่นสำเร็จได้ ๒) กลุ่มใต้ผิวน้ำ เพียงรอวันจะโผล่พ้นน้ำขึ้นมารับแสงอรุณและแย้มบานในวันรุ่งขึ้น เปรียบเสมือนผู้มีปัญญามากอยู่แล้ให้ข้อมูลข่าวสารเพียงเล็กน้อย ก็เข้าใจยังประโยชน์ได้สำเร็จ ๓) กลุ่มบัวที่จมอยู่กลางน้ำโอกาสที่จะโผล่ขึ้นมาพ้นน้ำเพื่อรับแสงอรุณแล้วแย้มบาน กับการที่ปลาและเตาจะกัดกินเป็นอาหารมีเท่าๆกัน เปรียบเสมือนกลุ่มคนที่เชาว์ ปัญญาปานกลาง หากประคับประครองดีดีโอกาสที่จะประสบผลสำเร็จในชีวิตก็มีมากการสื่อสสารกับกลุ่มเป้าหมาย กลุ่มนี้ต้องละเอียดอ่อนเนื้อหาต้องตรงประเด็นและชัดเจนและถูกต้องเพราะกลุ่มนี้ไม่เปลี่ยนแปลง อะไรง่ายๆ ๔) กลุ่มบัวในโคลนตมคือบัวยังเป็นหนอยังไม่พ้นโคลลนตรมขึ้นมาโอกาศที่จะเป็น อาหารของเต่าและปลามากที่สุดเปรียบเสมือนกลุ่มคนรับสารที่มีปัญญาทึบห่อหุ่มด้วยอวิชชาคือ การไม่รู้แจ้งการสื่อสารกับกลุ่มผู้ส่งสารต้องออกแรงมากจึงประสบความสำเร็จหรือบางครั้งอาจจะ ต้องเลิกลากันไปเฉยๆพระพุทธเจ้าได้ทรงใช้ญาณพิเศษทราบถึงภูมิหลังและอดีตชาติจึงช่วยกลุ่มนี้ ได้บรรลุธรรมะไดเพรากลุ่มเป็นกลุ่ม ปทปรม ผู้มืดมนอย่างยิ่ง เทคนิคการสอนของพระพุทธเจ้าซึ่งทำให้ประชาชนผู้รับสารซึ่งมีปัญญาแตกต่างกันสาม รถเข้าใจและจดจำได้ง่ายที่สุด เนื้อหาหรือเรื่องที่พระองค์ทรงสอนจะมีหลักการสอนคือ๑๐๖ ๑. สอนจากสิ่งที่รู้เห็นเข้าใจง่ายอยู่แล้วไปหาสิ่งที่รู้เห็นเข้าใจยากหรือยังไม่รู้ไม่เห็นไม่ เข้าใจ ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ หลักอริยสัจ ทรงเริ่มสอนจากความทุกข์ ความเดือดร้อนปัญหาของชีวิต ที่ตนเองมีอยู่ทุกคน ต่อจากนั้นจึงสาวหาสาเหตุที่ยากลึกซึ้งและทางแก้ไขต่อไป ๒.สอนเนื้อหาเนื้อเรื่องที่ค่อยลุ่มลึกยากขึ้น ไปตามลำดับชั้นและต่อเนื่องเป็นสายลงไป ๓.ถ้าสิ่งที่สอนเป็นสิ่งที่แสดงได้พึงสอด้วยของจริงให้ผุ้เรียนได้ดู ได้เห็นได้ฟังเองอย่างที่ เรียกว่าประสบการณ์ตรง ๔.สอนตรงเนื้อหาตรงเรื่อง คุมอยู่ในเรื่อง มีจุดไม่วกวน ไม่ไขว้เขว ไม่ออกนอกเรื่องโดย ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องในเนื้อหา ๕.สอนมีเหตุผลตรองเห็นจริงได้ ๖. สอนเท่าที่จำเป็นพอดีสำหรับให้เกิดความเข้าใจ ให้การเรียนรู้ได้ผลไม่ใช่สอนเท่าที่ ตนรู้หรือสอนแสดงภูมิว่าผู้สอนมีความรู้มาก ๗. สอนสิ่งที่มีความหมายควรที่เขาจะเรียนรู้ และเข้าใจเป็นประโยชน์แก่ตัวเขาเองการ เผยแผ่พุทธธรรมเป็นหน้าที่ของพุทธบริษัทที่จะต้องช่วยกัน โดยเฉพาะพระสงฆ์ถือเป็นหน้าที่ของ สมณะ ซึ่งมากล่าวไว้ ในสิงคาลกสูตร๑๐๗ว่าจะต้องทำคือ ห้ามปรามสอนให้เว้นจากความชั่ว แนะนำ สั่งสอนให้ตั้งอยู่ในความดี อนุเคราะห์ด้วยความปรารถนาดีให้ได้ฟังได้รู้สิ่งที่ยังไม่เคยรู้ไม่เคยฟัง ต้อง ชี้แจงอธิบายทำสิ่งที่เคยฟังแล้วให้เข้าใจแจ่มแจ้งบอกทางสวรรค์ สอนวีธีดำเนินชีวิตให้มีความสุข ๑๐๖ ณัฐนันท์ ประกายสันติสุข. ประสิทธิผลของการสื่อสาร ในการเผยแผ่ธรรม หลักสูตรการ พัฒนาจิตให้เกิดปัญญาและสันติสุข ฉบับย่อ พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๗), หน้า ๔๑ ๑๐๗ ที.ปา.(ไทย) ๑๑/๒๔๒/๑๙๙ ๑๑๐ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๑๑๑ ความเจริญ๑๐๘ สรุปจากการศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับการสื่อสารการเผยแผ่พุทธศาสนา พบว่าการเผยแผ่ พุทธธรรมนั้นมุ่งประโยชน์ของผู้รับสารเป็นสำคัญ โดยไม่ใช้เผยแผ่เพื่อหาผลประโยชน์อื่นที่มีวาระ ซ่อนเร้น และสำหรับผู้ที่ทำหน้าที่เผยแผ่พุทธธรรมแล้วจะต้องมี คุณลักษณะที่เป็นที่น่าเลื่อมใสมีศีล คือพฤติกรรมดี ปฏิบัติชอบ มีสมาธิ คือ มีความตั้งใจ มีเป้าหมายเพื่อประโยชน์สูงสุด และมีปัญญา คือมีความรอบรู้ในหลักวิทยาการ วิชาต่างๆทั้งด้านภาคทฤษฎีและฉลาดด้านอารมณ์ ๔.๗ แนวคิดและเทคนิคการเผยแผ่ธรรมะ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นแบบอย่างของผู้ที่มีรูปแบบวิธีสอนที่หลากหลาย ทรงสอนแบบทำนามธรรมให้เป็นรูปธรรม หรือจากง่ายไปหายาก ธรรมะเป็นเรื่องที่มีเนื้อหาลึกซึ้ง ยากที่จะเข้าใจโดยเฉพาะธรรมะขั้นสูงเพราะพระองค์ทรงใช้เทคนิควิธีต่อไปนี้ ๑) การยกอุทาหรณ์และการเล่านิทานประกอบ ทรงยกตัวอย่างประกอบคำ อธิบาย และการเล่านิทานประกอบช่วยให้เข้าใจความได้ง่ายและชัดเจน ดังเช่นเรื่องที่พราหมณ์ทะเลาะกัน ยึดความเห็นของตนเท่านั้นว่าถูก พระพุทธองค์ทรงทราบแล้วทรงตรัสว่า ผู้ที่รู้เห็นอะไรแง่มุมเดียว ไม่แคล้วที่จะทะเลาะกันดุจคนตาบอดคลำช้างแล้วเล่าเรื่องคนตาบอด ๙ คนให้ฟัง เป็นต้น ๒) การเปรียบเทียบด้วยข้ออุปมา ทำให้เรื่องที่ลึกซึ้งเขาใจยาก ปรากฏความหมาย เด่นชัดออกมาและเขาใจง่ายขึ้น เช่น ตรัสสอนราหุลว่า ราหุลเห็นน้ำที่เราเหลือไว้ในภาชนะหน่อย หนึ่งไหม ราหุลตอบว่า เห็นพระเจ้าข้า ตรัสต่อไปว่า ดูก่อนราหุล คนที่พูดเท็จทั้งที่รู้มีคุณความดี เหลืออยู่น้อยดุจน้ำในภาชนะนี้แหละ ตรัสแล้วทรงเทน้ำที่เหลือนั้นทิ้ง เป็นต้น ๓) การใช้อุปกรณ์หรือสื่อการสอน พระองค์ทรงใช้สื่อที่อยู่ใกล้ตัวมาสอน เช่น ขณะที่ เดินไปในป่าแห่งหนึ่งมีพระสงฆ์หมู่ใหญ่ตามเสด็จ พระองค์ทรงหยิบใบไม้ขึ้นมากกำหนึ่งแล้วตรัส ถามภิกษุทั้งหลายว่า เห็นใบไม้ในมือตถาคตไหม เห็นพระเจ้าข้า พระสงฆ์ตอบพร้อมกัน นี่คือการใช้ สื่อใกล้ตัวในการสอน ๔) การทำเป็นตัวอย่าง เฉพาะในทางจริยธรรม คือ การทำเป็นตัวอย่าง เช่น ทรง พยาบาลภิกษุไข้ และตรัสตอนหนึ่งว่า “ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอไม่มีบิดามารดา ผู้ใดเล่าจะพยาบาล พวกเธอถ้าพวกเธอไม่พยาบาลกันเอง ใครเล่าจะพยาบาล ผู้ใดจะพึงอุปัฏฐากเรา ขอให้ผู้นั้น พยาบาลภิกษุผู้อาพาธเถิด”๑๐๙ ๕) การเล่นภาษา เล่นคำ และใช้คำในความหมายใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องของความสามารถใน การใช้ภาษาผสมกับปฏิภาณ เช่น กรณีของเวรัญชพราหมณ์ เป็นตัวอย่าง ๖) อุบายการเลือกคน และการปฏิบัติรายบุคคล การเลือกคนเป็นอุบายอันสำคัญการ เผยแผ่พระพุทธศาสนา ได้แก่ การเริ่มต้นที่บุคคลซึ่งเป็นประมุขหรือหัวหน้าของชุมชนนั้นๆ ๗) การรู้จักจังหวะและโอกาส ผู้สอนต้องรู้จักใช้จังหวะและโอกาสให้เป็นประโยชน์ใน การสอนธรรมะอย่างได้ผล ๘) ความยืดหยุ่นในการใช้วิธีการ ถ้าผู้สอนสอนอย่างไม่มีอัตตา ตัดตัณหา มานะ ทิฏฐิ เสียให้น้อยที่สุดก็จะมุ่งไปยังผลสำเร็จในการเรียนรู้เป็นสำคัญ ๑๐๘ พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตฺโต), ธรรมนูญชีวิตพุทธจริยธรรมเพื่อชีวิตที่ดีงาม,พิมพ์ครั้งที่ ๖๘, (กรุงเทพมหานคร :สำนักพิมพ์ระฆังทอง, ๒๕๔๗), หน้า ๙. ๑๐๙ วิ.ม. (ไทย) ๕/๓๖๕/๒๔๐, นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๑๑


๑๑๒ ๙) การลงโทษและการให้รางวัล การลงโทษในที่นี้ คือ การลงโทษตนเองซึ่งมีทั้งทาง ธรรมและทางวินัยอยู่แล้ว มีบทบัญญัติความประพฤติอยู่แล้ว การให้รางวัล คือ การแสดงธรรมไม่ กระทบกระทั่ง ไม่รุกรานใคร เป็นต้น ๑๐) กลยุทธ์วิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นเรื่อง ที่เกิดขึ้น ต่างครั้งต่าง คราวย่อมมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไปไม่มีที่สิ้นสุด การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ย่อมต้องอาศัย ปฏิภาณคือความสามารถในการประยุกต์หลักการและวิธีการต่างๆ มาใช้ให้เหมาะสมเป็นเรื่อง เฉพาะคราวไป วิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้านั้นเป็นต้นตำหรับหลักการนิเทศศาสตร์ กล่าวคือ จะทรงตั้งจุดมุ่งหมายในการสอนว่าทรงกำหนดจุดมุ่งหมายแต่ละครั้งเพื่ออะไรแล้วก็ทรง เตรียมเนื้อหาหรือเรื่องที่จะสอนไปตามลำดับความยากง่ายไปพร้อมๆ กัน และทรงคำนึงถึงตัวผู้รับ การสอนหรือผู้รับสารด้วยว่า เขาจะสามารถเข้าใจและจะนำไปใช้ประโยชน์อย่างไร ซึ่งจะทำให้เกิด ความรู้สึกอยากเรียนรู้ และสนใจเอาใจใสมีมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพราะรูปแบบและวิธีสอนก็ทรงมีไว้หลาย อย่าง และวิธีการดังกล่าวก็ทำให้การเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าในขณะนั้น มีบุคคลทุก ชั้นวรรณะเลื่อมใสศรัทธา จนทำให้เกิดการอุปสมบทตาม และสามารถบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เป็นจำนวนมาก ดังที่ปรากฏในพุทธประวัติ ถึงแม้บางคนจะมิได้อุปสมบท ก็ตาม แต่ก็ได้น้อมนำ หลักพุทธธรรมไปใช้ในการดำเนินชีวิตที่สงบสุขทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว ชุมชน และสังคม ทำ ให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองทั้งฝ่ายอาณาจักรและศาสนจักรมาโดยตลอด ๔.๘ สรุปท้ายบท ในสมัยก่อนพุทธกาล อิทธิพลของพราหมณ์มีพลวัตต่อวิถีชีวิตของผู้คนยุคนั้นมาก เครื่องมือในการสื่อความหมายและเจตนาจากมนุษย์ไปสู่เทพคือ ภาษาสันสกฤต โดยมีพราหมณ์ เป็นเจ้าพิธีกรรม ต่อมาภาษานี้เอง กลายเป็นภาษาของวรรณะชนชั้นสูงไป ส่วนภาษาที่ชาวบ้านพูด ธรรมะ ด้วยเหตุผล ๓ อย่าง ที่เป็นองค์ประกอบในการเผยแผ่คือ ๑) จากอิทธิพลของพราหมณ์๒) ด้วยการใช้ภาษาชาวบ้าน ๓) ด้วยคุณสมบัติเดิมและคุณสมบัติที่พระองค์ตรัสรู้ทำให้พระองค์ได้พบ วิธีการเผยแผ่ในรูปแบบใหม่ ถึงกระนั้น ด้วยความแปลกใหม่ จึงทำให้ผู้คนสงสัยเนื้อหาธรรมและ วิธีการใหม่ๆ อยู่เสมอ ไม่เว้นแม้แต่พราหมณ์ยังเกิดความอยากรู้อยากเห็น เมื่อมีปัญหาในครั้งนั้น ปัญหาทุกอย่างพระองค์ทรงแก้ไขได้แต่ภายหลังพุทธปรินิพพาน ปัญหากลับเริ่มเห็นเป็นรอยแยก ด้านทัศนะต่างกันอย่างชัดเจน และก็กลายเป็นปัญหาที่ทับถมเรื่อยมา จนกลายเป็นเหตุให้เกิดการ แตกแยกนิกายขึ้น ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่า ไม่มีใครตัดสินเรื่องคำสอน และภาษาพุทธพจน์ได้อย่างหมด จดนั่นเอง ครั้นเมื่อสาวกได้รวบรวมหลักธรรมคำสอน โดยการทำสังคายนามาหลายครั้ง จน กลายเป็นพระไตรปิฎก จากการท่องจำ ก็กลายมาเป็นการจดบันทึกเป็นภาษามคธหรือภาษาบาลี จากยุคสู่ยุค จากการท่องจำ รุ่นแล้วรุ่นเล่า ผ่านวันเวลาที่เนิ่นนาน ทำให้เนื้อหา หลักการคำสอน เหล่านั้น เกิดผิดเพี้ยน เกิดข้อสงสัยว่า ภาษาที่บันทึกกับเนื้อหาที่ถูกบันทึกนี้เป็นพุทธพจน์จริง ๆ หรือไม่ แม้แต่ปัจจุบันมีคนสงสัยมากว่า พระไตรปิฎกเป็นพุทธพจน์หรือไม่ เพราะจากการสังคายนา การจดจำ การรวบรวม ได้ผ่านกาลเวลามานาน ความบกพร่องย่อมเกิดขึ้นได้นอกจากนั้นเกิดการ แต่งคัมภีร์ต่าง ๆ เช่น อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา เพื่ออธิบาย ขยายเนื้อหา ภาษา ให้เข้าใจมากขึ้น ซึ่ง ก็เป็นเหตุให้เกิดการสวมรอยของอรรถกถาจารย์เข้าไปด้วย จนกลายเป็นการบิดเบือนไปก็มีเมื่อ เป็นเช่นนี้จึงมีผลต่อการตีความ การขยายความจึงต้องอาศัยฐานอรรถกถาจารย์เหล่านี้เป็นหลัก เกิดการถกเถียงกันมากขึ้นในเนื้อหา และภาษาของพระองค์ วิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้านั้นเป็นต้นตำหรับหลักการนิเทศศาสตร์ ๑๑๒ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๑๑๓ กล่าวคือ จะทรงตั้งจุดมุ่งหมายในการสอนว่าทรงกำหนดจุดมุ่งหมายแต่ละครั้งเพื่ออะไรแล้วก็ทรง เตรียมเนื้อหาหรือเรื่องที่จะสอนไปตามลำดับความยากง่ายไปพร้อมๆ กัน และทรงคำนึงถึงตัวผู้รับ การสอนหรือผู้รับสารด้วยว่า เขาจะสามารถเข้าใจและจะนำไปใช้ประโยชน์อย่างไร ซึ่งจะทำให้เกิด ความรู้สึกอยากเรียนรู้ และสนใจเอาใจใสมีมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพราะรูปแบบและวิธีสอนก็ทรงมีไว้หลาย อย่าง และวิธีการดังกล่าวก็ทำให้การเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าในขณะนั้น มีบุคคลทุก ชั้นวรรณะเลื่อมใสศรัทธา จนทำให้เกิดการอุปสมบทตาม และสามารถบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เป็นจำนวนมาก ดังที่ปรากฏในพุทธประวัติ ถึงแม้บางคนจะมิได้อุปสมบท ก็ตาม แต่ก็ได้น้อมนำ หลักพุทธธรรมไปใช้ในการดำเนินชีวิตที่สงบสุขทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว ชุมชน และสังคม ทำ ให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองทั้งฝ่ายอาณาจักรและศาสนจักรมาโดยตลอด นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๑๓


๑๑๔ บทที่ ๕ วิธีการสื่อสารธรรมในพระพุทธศาสนา (Methods of Communicating Dhamma in Buddhism) ๕.๑ ความนำ พระสงฆ์ย่อมต้องศึกษาให้เข้าใจถึงการเผยแผ่พระพุทธศาสนา คือ การนำธรรมะไปสู่ ประชาชนเพื่อให้เขาเหล่านั้นปฏิบัติเป็นสัมมาปฏิบัติอันก่อให้เกิดความสงบสุขแก่ตนเองและแก่ สังคมโดยทั่วไป พระสงฆ์ผู้ทำหน้าที่ดังกล่าวนี้เรียกว่า “พระนักเทศน์, พระนักเผยแผ่, พระธรรม จาริก” ซึ่งตรงกับภาษาบาลีว่า“ธมฺมกถิโก” โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันนี้รูปแบบและวิธีการเทศนาก็ ต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับยุคสมัย เพื่อให้การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นไปได้อย่าง สะดวกและเป็นที่ยอมรับของประชาชน ดังนั้น แล้วจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่พระสงฆ์ผู้ทำหน้าที่เผยแผ่ พระพุทธศาสนา ควรเรียนรู้หลักวิธีการสื่อสารธรรมที่ถูกต้อง ๕.๒ การเทศน์ ๕.๒.๑ ความหมายของการเทศน์ คำว่า “ การเทศน์” หมายถึง การยกหัวข้อธรรมขึ้นแสดง เพื่อสั่งสอนประชาชนให้รู้ และเข้าใจ จะได้ละชั่ว ทำดีมีสวรรค์และนิพพานเป็นจุดหมายของชีวิต๑ ความหมายของนักเทศน์ นักเทศน์หมายถึง ผู้เชี่ยวชาญในการแสดงธรรม สามารถยกหลักธรรมขึ้นอธิบายได้ อย่างแจ่มแจ้ง เป็นที่ประทับใจของท่านผู้สดับรับฟัง ทำให้ผู้ฟังมีจิตเลื่อมใสในคำสอนและจดจำไป ประพฤติปฏิบัติเพื่อพัฒนากาย วาจา และใจ ให้บริสุทธิ์สะอาดปราศจากความชั่วร้ายนักเทศน์ หมายถึง พระผู้นำหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ไปแสดงให้ผู้ฟังได้รู้และเข้าใจ โดยผู้ฟัง เหล่านั้นสามารถปฏิบัติให้บรรลุผล ตามสมควรแก่การปฏิบัติ๒ ประเภทของนักเทศน์ โดยปกติจะแบ่งพระนักเทศน์ออกเป็น ๒ ประเภท ดังนี้ ๑. นักเทศน์ปฏิภาณ ไม่อ่านคัมภีร์หรือ นักเทศน์ปากเปล่า คือ นักเทศน์แบบไม่อ่าน หนังสือ แต่ถือหนังสือเทศน์เป็นคัมภีร์ประคองไว้เพื่อเป็นการแสดงความเคารพ การเทศน์แบบนี้ เป็นการแสดงถึงความสามารถของนักเทศน์ที่มีไหวพริบ ปฏิภาณ ความเฉลียวฉลาดในการแสดง ธรรมะนักเทศน์แบบนี้ต้องมีความรู้และได้รับการฝึกฝนตนเองมาเป็นอย่างดี ๒. นักเทศน์อ่านคัมภีร์หมายถึง การเทศน์ไปตามคัมภีร์ที่มีผู้แต่งไว้หรือที่ตนเองแต่งไว้ แล้วเมื่อกล่าวโดยสรุปแล้วไม่ว่าจะเป็นการเทศน์แบบใดก็ตาม ก็มีแนวการพรรณนาความเพียง๒ ลักษณะ คือ ๑ เสนาะ ผดุงฉัตร, วาทศาสตร์ศิลปะเพื่อการพูด. (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย, ๒๕๔๐), หน้า ๑๖๔. ๒ อ้างแล้ว ๑๑๔ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๑๑๕ ๑. ปุคคลาธิษฐานเทศนา พรรณนาโดยยกบุคคลเป็นที่ตั้ง เช่น ยกเรื่องนิทานหรือยก เหตุการณ์มาเล่าประกอบ ๒. ธรรมาธิษฐานเทศนา พรรณนาความโดยเน้นหลักธรรมเป็นที่ตั้ง อธิบายให้เห็น อาการของธรรมะ ส่วนใหญ่จะใช้ภาษาที่เป็นนามธรรม ไม่ยกนิทาน ไม่ยกเหตุการณ์ไม่ยกบุคคลมา เป็นตัวอย่าง๓ ถ้าเทศน์แบบปุคคลาธิษฐาน มีนิทานสาธกและยกเรื่องที่คนสนใจมาประกอบ การ เทศนาจะไม่เป็นยาขม แต่จะเป็นที่นิยมชมชอบ เพราะนิทานจะช่วยในการขยายธรรม จะเป็น เทศนาที่เข้าใจง่าย ฟังง่าย และง่ายต่อการจดจำนำไปประพฤติปฏิบัติจัดเป็นเทศนาที่ยอดนิยมที่ องค์สมเด็จพระบรมศาสดาทรงนำมาแสดงมากที่สุด วัตถุประสงค์ของการเทศน์ การเทศน์แต่ละครั้งผู้เทศน์ต้องตั้งเป้าหมาย หรือจุดมุ่งหมายไว้จะให้ธรรมะอะไรแก่ ผู้ฟังแต่เป้าหมายสูงสุดของเทศน์ขั้นสูงสุด คือ วิมุตติหมายถึง ความหลุดพ้นจากกิเลสจนถึงมรรค ผลนิพพาน แต่การเทศน์จนถึง วิมุตตินั้นเป็นเรื่องยาก ทั้งผู้เทศน์และผู้ฟัง แต่ถึงอย่างไรแล้วผู้เทศน์ ก็ต้องใช้ความสามารถในการเทศน์อย่างจริงจัง รู้จิตใจของผู้ฟังว่าเขาต้องการฟังงอย่างไร ผู้ฟังก็ควร มีอุปนิสัยในการฟังเพื่อถึงวิมุตติเมื่อกระทำได้เช่นนี้แม้จะไม่ถึงวิมุตติตามพุทธประสงค์แต่ผู้เทศน์ก็ ต้องนึกไว้ทุกครั้งที่เทศน์ว่า วิมุตติคือ จุดหมายของการเทศน์เพราะวิมุตติมิใช่มีอย่างเดียวแต่มีถึง ๕ อย่าง คือ ๑. วิกขัมภนนิโรธ (วิกขัมภนวิมุตติ) ดับหรือพ้นจากกิเลสด้วยการข่มไว้เช่นการดับ กิเลสของท่านผู้บำเพ็ญฌาน ถึงปฐมฌาน ย่อมข่มนิวรณ์ไว้ได้ตลอดเวลาที่อยู่ในฌานนั้น ๒. ตทังคนิโรธ (ตทังควิมุตติ) ดับด้วยองค์นั้น ๆ คือ ดับกิเลสด้วยธรรมที่เป็นคู่ปรับหรือ ธรรมตรงกันข้าม เช่น ดับสักกายทิฏฐิด้วยความรู้ที่กำหนดแยกรูป นาม ออกได้เป็นการดับ ชั่วคราวกิเลสยังเกิดขึ้นได้อีก ๓. สมุจเฉทนิโรธ (สมุจเฉทวิมุตติ) คือ ดับด้วยตัดขาด คือ ดับกิเลสสิ้นเด็ดขาดด้วยโล กุตตรมรรค กิเลสย่อมไม่เกิดขึ้นอีก ๔. ปฏิปัสสัทธินิโรธ (ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ) คือ ดับด้วยสงบระงับ หมายถึงอาศัยโลกุต ตรมรรค ดับกิเลสเด็ดขาดไปแล้ว บรรลุโลกุตตรผล กิเลสเป็นอันสงบระงับไปหมดแล้วไม่ต้อง ขวนขวายเพื่อดับ ในขณะแห่งผลนั้น ชื่อว่า ปฏิปัสสัทธินิโรธ ๕. นิสสรณนิโรธ (นิสสรณวิมุตติ) ดับด้วยความปลอดโปร่ง คือ ดับกิเลสสิ้นเชิงดำรงอยู่ ในภาวะที่กิเลสดับแล้วนั้นยั่งยืนตลอดไป ภาวะนั้นชื่อว่า นิสสรณนิโรธ คือ อมตธาตุได้แก่ นิพพาน๔ จุดมุ่งหมายของการเทศน์ ในการเทศน์ทุกครั้งนักเทศน์ทุกคนจะต้องวางจุดหมายของการเทศน์ไว้๒ ชั้น คือ ๑. จุดหมายชั้นสูงสุด ได้แก่ วิมุติคือ เทศน์ให้ผู้ฟังเข้าถึงวิมุติหลุดพ้นจากกิเลสจน บรรลุมรรคผลนิพพาน ๒. จุดหมายชั้นต่ำลงมา คือ ให้ผู้ฟังได้อานิสงส์การฟังธรรมอย่างน้อย ๕ ประการ ๒.๑ อสฺสุตํสุณาติคือ ได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง ๒.๒ สุตํปริโยทเปติคือ เข้าใจชัดสิ่งที่ได้ฟังแล้ว ๒.๓ กงฺขํวิหนติคือ แกล้วกล้าในเรื่องที่ได้ฟังแล้ว ๓ พระมหาสหัส ฐิตสาโร, ธรรมนิเทศ, หน้า ๑๐๕. ๔ เสนาะ ผดุงฉัตร, วาทศาสตร์ศิลปะเพื่อการพูด, หน้า ๑๖๔. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๑๕


๑๑๖ ๒.๔ ทิฏฺฐึอุชุกโรติคือ ไม่เป็นโรคร้ายแรง ๒.๕ จิตฺตมสฺส ปสีทติคือ เป็นผู้มีมิตร๕ ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการเทศน์ เรื่องที่นักเทศน์จะต้องรู้นั้นมีอยู่มากมาย แต่สำหรับเรื่องที่มีความจำเป็นที่จะต้องรู้ก่อน ในเบื้องต้นมีอยู่ด้วยกันอย่างน้อย ๕ เรื่อง คือ ๑. เรื่องการเทศนา ๒. จรรยานักเทศน์ ๓. การสังเกตบุคคล ๔. ประเมินผลเทศนา ๕. รู้คุณค่าสมาธิ๖ ๕.๒.๒ หลักการเทศนาสำหรับนักเทศน์ นักเทศน์ชั้นแนวหน้า ท่านถือหลักว่า “ก่อนจะเทศน์ต้องเตรียม ถ้าไม่เตรียมก็เสีย เหลี่ยมนักเทศน์” การเตรียมตัวของการเป็นนักเทศน์ที่ดีนั้นจะต้องเตรียมสิ่งที่เป็นพื้นฐาน ดังนี้ เตรียมตัว คือ เรียนรู้วิชาการต่างๆ ให้ถูกต้องตามขั้นตอนของจรรยาหรือศาสนพิธีที่เกี่ยวกับการ เทศน์๒. เตรียมใจ คือ ควบคุมใจให้มีสมาธิมีใจปลอดโปร่ง สร้างความเชื่อมั่ง ไม่หวั่นไหวกังวล พรรณนาว่าในใจไปเป็นตอน ๆเตรียมวิจัยผู้ฟัง คือ รู้ลักษณะคนฟัง และเลือกวิธีการเทศนาให้ เหมาะสมกับคนฟังเหมือนกับการป้อนข้าวว่าจะป้อนคำเล็กหรือคำโต ต้องดูขนาดปากของผู้ที่จะ ทานเสียก่อนเตรียมหลักการเทศน์คือ ถ้าต้องการให้เทศนางามในเบื้องต้น ในท่านกลาง และใน ที่สุด ก็ต้องอธิบายตามพุทธวิธี๔ ส. คือ๗ ส.๑ สันทัสสนา คือ เทศน์ได้แจ่มแจ้ง ส.๒ สมาทปนา คือ เทศน์ได้จูงใจ ส.๓ สมุตเตชนา คือ เทศน์ปลุกให้กล้า ส.๔ สัมปหังสนา คือ เทศน์ให้ร่าเริง๘ หลักการเทศน์แบบ ๔ ส. มีความหมาย ดังนี้ ๑. สันทัสสนา คือ เทศน์ได้แจ่มแจ้ง สอนได้แจ่มแจ้ง ดุจเห็นด้วยตาของตนเอง เช่น การสอนของพระพุทธเจ้า ที่ทรงสอนได้แจ่มแจ้งชัดเจน เห็นภาพพจน์ปรากฏเป็นรูปธรรม จนได้ รับคำชื่นชม นิยมยกย่องว่า เทศนาของพระองค์แจ่มแจ้งเหลือเกิน “เหมือนจับภาชนะที่คว่ำให้ หงายเหมือนเปิดของที่ปิดอยูเหมือนการจุดประทีปในที่มืด เหมือนการชี้ทางแก่ผู้หลงทาง” ๒. สมาทปนา คือ เทศน์ได้จูงใจ สอนให้มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ยึดมั่นใน หลักศีลธรรมและค่านิยมที่ดีงาม และเชื่อมั่นในหลักกรรม ๓. สมุตเตชนา คือ เทศน์ปลุกให้กล้า สอนให้มีความพยายามในการปฏิบัติตาม หลักธรรม และศาสนพิธีโดยเฉพาะมีการนำการบริหารจิตและการเจริญปัญญ าไปใช้ใน ชีวิตประจำวัน ๕ อง. ปญฺจก. (ไทย) ๒๒/๒๒๑/๓๖๓. ๖ พระโสภณธรรมวาที, ความรู้พื้นฐานการเทศน์. (กรุงเทพมหานคร : บริษัท ศิลป์สยามบรรจุภัณฑ์ และการพิมพ์จำกัด, ๒๕๔๖), หน้า ๑๐. ๗ พระโสภณธรรมวาที, ความรู้พื้นฐานการเทศน์. หน้า ๑๒.๘ พระธรรมปิฎก, พุทธวิธีในการสอน. (กรุงเทพมหานคร : บริษัท สหธรรมิก จำกัด, ๒๕๔๑),หน้า ๔๕. ๑๑๖ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๑๑๗ ๔. สัมปหังสนา คือ เทศน์ให้ร่าเริง สอนสนุกด้วยลีลาหรรษาร่าเริง ทำให้ผู้ฟังรักที่จะ เรียนรู้เรื่องพระพุทธศาสนาต่อไป ซึ่งจะทำให้เกิดการเรียนรู้พระพุทธศาสนาต่อเนื่องตลอดชีวิตไม่ คิดล้มเลิกการเรียนรู้พระพุทธศาสนา๙ ๕.๒.๓ วิธีการเทศนา จุดสำคัญของการเทศน์อยู่ที่การนำเสนอ จะนำเสนออย่างไรจึงจะเร้าใจผู้ฟังเป็นเรื่อง สำคัญที่นักเทศน์ควรเรียนรู้ซึ่งมีการแนะนำไว้ว่า “ขึ้นต้นให้ตื่นเต้น ตอนกลางให้กลมกลืน สรุปจบ ให้จับใจ” อีกแบบหนึ่ง ท่านกล่าวว่า “ขำขันในตอนต้น ให้เหตุผลในตอนกลางให้ตาสว่างในตอน จบ”๑๐ จะใช้วิธีไหนนักเทศน์เลือกใช้ได้ตามถนัด แต่ต้องเหมาะสมกับกาลเทศะ และบุคคลและ ในการเทศน์นั้นท่านได้วางโครงไว้๓ ตอน คือ ๑. อุเทศ คือ ส่วนของหัวข้อเทศนา ซึ่งประกอบด้วยการเริ่มเรื่อง การปลุกใจให้คน สนใจฟังธรรม และการนำใจความเทศนาเข้าหานิเทศต่อไป ซึ่งมีลำดับความ ดังนี้ - นะโม ๕ ชั้น - อุเทศคาถา - อารัมภบท - เชื่อมความทั้งหมดเข้าสู่นิเทศ ๒. นิเทศ คือ ตอนจำแนกแจกความ อรรถาธิบายขยายความให้ไพเราะเหมาะเจาะ หมดจด ได้รส ได้สาระ ได้ธรรมะแจ่มแจ้ง มีองค์ประกอบในการนิเทศ ดังนี้ - รู้นัยภาษิต - คิดตีความหมาย - กระจายประเด็น - มีลูกเล่นลูกฮา - สาธกเหตุการณ์ - มีนิทานสาธิต - ใส่ภาษิตคำสอน - แทรกกาพย์กลอนที่กินใจ ๓. ปฎินิเทศ คือ ตอนสรุปใจความ ได้แก่การเก็บเนื้อความที่อธิบายบรรยายมาฝากไว้ ให้คิดก่อนจะจบ มีลำดับความ ดังนี้ - สรุปใจความ - ตามด้วยบทให้พร - บทตอนเอวัง๑๑ พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมครบตามขั้นตอนทั้ง ๓ เสมอไป แต่ในส่วนปฏินิเทศ จะทรง ย่อเป็นคาถา เรียกว่า “นิคมคาถา” คาถาย่อความ หรือ คาถารวม เช่น ทรงแสดงชัคคสูตรในตอน จบ โดยทรงแสดงเป็นนิคมคาถาว่า “อรญฺเญ รุกฺขมูเล วา สุญฺญาคาเรว ภิกฺขโว ฯเปฯ ภยํวา ฉมฺ ภิตตฺตํวา โลมหํโส น เหสฺสติ”แปลว่า เมื่อบุคคลไปป่า ไปโคนต้นไม้ไปเรือนร้างว่างเปล่า ได้ระลึก ๙ เรื่องเดียวกัน,, หน้า ๑๒. ๑๐ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๔. ๑๑ พระธรรมปิฎก, พุทธวิธีในการสอน., หน้า ๑๔. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๑๗


๑๑๘ ถึง พระพุทธพระธรรม หรือพระสงฆ์เสมอ เมื่อระลึกอยู่อย่างนี้ความกลัว ความหวาดเสียว ความ สะดุ้งตกใจกลัวจักไม่มี๑๒ ข้อความในนิคมคาถาเพียงเท่านี้ชื่อว่ารวมความสำคัญของชัคคสูตรไว้ หมด ผู้ฟังอาจนำไปปฏิบัติได้ทันทีเมื่อไปที่ใด ถ้าเกิดความกลัวเป็นต้นขึ้นก็จะได้ระลึกถึงคุณพระ รัตนตรัย ทำใจให้สงบได้ ๕.๒.๔ คุณสมบัติของการเป็นนักเทศน์ การเทศนาที่จะงดงามและมีความไพเราะจับใจทั้งในเบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้อง ปลายต้องมีองค์ประกอบพื้นฐาน ๖ ประการ ดังนี้ ๑. ลีลาสวย ๒. รวยสาระ ๓. จังหวะดี ๔. ชี้หลักธรรม ๕. ใจความกระชับ ๖. เหมาะกับเวลา๑๓ คำว่า “ลีลา” หมายถึง จังหวะหรือท่วงทำนองของการเทศน์เพราะการเทศน์จะดีต้อง มีลีลาโดยเริ่มตั้งแต่การขึ้นต้นต้องว่าอย่างมีลีลาที่ช้าและชัด พอเริ่มเข้าสู่เนื้อหาก็เริ่มเพิ่มความไวไป ตามลำดับตามความเหมาะสม และเมื่อเข้าสู่ตอนจบ จึงค่อย ๆ ลดความเร็วลง ลักษณะเช่นนี้เป็น ลีลาส่วนหนึ่งในบรรดาลีลามาตรฐานของการเทศน์ซึ่งยกมาเป็นข้อสังเกตของการเทศน์ลีลา นักเทศน์มี๖ ประการ คือ ไพเราะ เหมาะเจาะ หมดจด ได้รส ได้สาระ ได้ธรรมะชัดเจน ๕.๒.๕ หลักธรรมของนักเทศน์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็นบรมครูเป็นยอดนักเทศน์เหนือกว่า ใคร ๆ ในโลก ถึงอย่างนั้น เมื่อพระองค์จะทรงทำการใด ๆ ก็ทรงถือธรรมเป็นใหญ่ โดยเฉพาะเรื่อง การแสดงพระธรรมเทศนา ก็ทรงว่าไปตามหลักธรรม ด้วยเหตุนี้พระพุทธานุศาสนีของพระองค์จึง ทรงมีอานุภาพเป็นที่ซาบซึ้งตรึงใจของผู้ฟัง นักเทศน์ก็เช่นเดียวกัน จะเทศน์ให้ดีเป็นที่ประทับใจมีผู้ เลื่อมใสศรัทธาเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้สำเร็จ ก็ต้องตั้งอยู่ในหลักธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน รู้จักนำหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้มาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสถานการณ์การที่จะเป็น นักเทศน์ที่ดีนั้นจะต้องมีหลักการหรืออุดมการณ์ประจำใจ เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยบันดาลให้ นักเทศน์ทำงานเพื่อส่วนรวม มีเมตตากรุณา และอุทิศชีวิต เพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาตลอดไป หลักการของนักเทศน์มี๕ ประการ คือ ๑. อนุปุพฺพิกถํหมายถึง เราจักแสดงธรรมไปตามลำดับ ๒. ปริยายทสฺสาวีหมายถึง เราจักแสดงอ้างเหตุ ๓. อนุทยตํปฏิจฺจ หมายถึง เราจักแสดงธรรมอาศัยความเอ็นดู ๔. น อามิสนฺตโร หมายถึง เราจักเป็นผู้ไม่เพ่งอามิสแสดงธรรม ๕. อตฺตานญจ ปรญฺจ อนุปหจฺจ หมายถึง เราจักไม่แสดงธรรมกระทบตนและผู้อื่น๑๔ นอกจากนี้นักเทศน์ก็ควรจะมีอิทธิบาทธรรมประจำใจด้วย เพราะอิทธิบาทธรรมเป็น ๑๒ เสนาะ ผดุงฉัตร, วาทศาสตร์ศิลปะเพื่อการพูด. หน้า ๑๖๔. ๑๓ พระโสภณธรรมวาที, ความรู้พื้นฐานการเทศน์. หน้า ๘. ๑๔ องฺ. ปญฺจก. (ไทย) ๒๒/๑๕๙/๒๖๓. ๑๑๘ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๑๑๙ เครื่องนำไปสู่ความสำเร็จตามที่มุ่งหมายไว้และถือเป็นหลักธรรมที่ควรมีไว้คู่ตัว ซึ่งหลักอิทธิบาท ธรรม ก็คือ ๑. ฉันทะ มีความใฝ่รู้คู่กับใฝ่เรียน ๒. วิริยะ มีความพากเพียรพยายาม ไม่ย่อท้อ ๓. จิตตะ มีความสนใจ ตั้งใจมั่น เอาจริงเอาจัง ๔. วิมังสา ใช่ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญ วิเคราะห์ พื้นฐานของนักเทศน์ จะเป็นนักเทศน์ทั้งทีต้องมีดีครบวงจร คำสั่งสอนจึงจะศักดิ์สิทธิ์นักเทศน์ชั้นแนวหน้าที่ เก่งกล้าสามารถ มีกิติศัพท์เป็นที่ยอมรับของวงการนั้น ส่วนใหญ่แล้วมีพื้นฐานมาดีจากองค์ประกอบ ดังนี้คือ ๑. เป็นศิษย์มีครู ๒. มีความรู้พอเพียง ๓. เสียงดังกังวาน ๔. ปฏิภาณว่องไว ๕. จิตใจสะอาด ๖. มารยาทเรียบร้อย๑๕ คุณสมบัติเหล่านี้คือ พื้นฐานที่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญ ซึ่งจะรับประกันความมี คุณภาพของนักเทศน์ ๕.๒.๖ ข้อควรปฏิบัติพื้นฐานเกี่ยวกับการเทศน์ ในการเทศน์นั้นควรมีข้อปฏิบัติขั้นพื้นฐานที่เป็นวินัย ธรรมเนียม และจรรยา เกี่ยวกับ การเทศน์ที่นักเทศน์ควรจะเรียนรู้ไว้เพื่อการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้องตามแบบแผนของการเป็น นักเทศน์ที่ดีซึ่งข้อควรปฏิบัติพื้นฐานเกี่ยวกับการเทศน์มีดังนี้ วินัยนักเทศน์ นักเทศน์ควรใส่ใจเรื่องวินัยเกี่ยวกับการแสดงธรรม เพราะถือว่าเป็น เรื่องที่มี ความสำคัญ ที่เรียกกันว่า “ธัมมเทสนาปฏิสังยุตต์” มี๑๖ ข้อ ดังต่อไปนี้ ๑. เราจะไม่แสดงธรรมแก่คนที่ไม่เป็นไข้ที่ถือร่มในมือ ๒. เราจะไม่แสดงธรรมแก่คนที่ไม่เป็นไข้ที่มีไม้พลองในมือ ๓. เราจะไม่แสดงธรรมแก่คนที่ไม่เป็นไข้ที่มีศาตราในมือ ๔. เราจะไม่แสดงธรรมแก่คนที่ไม่เป็นไข้ที่มีอาวุธในมือ ๕. เราจะไม่แสดงธรรมแก่คนที่ไม่เป็นไข้ที่สวมเขียงเท้า ๖. เราจะไม่แสดงธรรมแก่คนที่ไม่เป็นไข้ที่สวมรองเท้า ๗. เราจะไม่แสดงธรรมแก่คนที่ไม่เป็นไข้ที่ไปในยาน ๘. เราจะไม่แสดงธรรมแก่คนที่ไม่เป็นไข้ที่อยู่บนที่นอน ๙. เราจะไม่แสดงธรรมแก่คนที่ไม่เป็นไข้ที่นั่งรัดเข่า ๑๐. เราจะไม่แสดงธรรมแก่คนที่ไม่เป็นไข้ที่พันศีรษะ ๑๑. เราจะไม่แสดงธรรมแก่คนที่ไม่เป็นไข้ที่คลุมศีรษะ ๑๒.เรานั่งอยู่บนแผ่นดิน จะไม่แสดงธรรมแก่คนที่ไม่เป็นไข้ที่นั่งอยู่บนอาสนะ ๑๕ พระโสภณธรรมวาที, ความรู้พื้นฐานการเทศน์. หน้า ๗. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๑๙


๑๒๐ ๑๓. เรานั่งอยู่บนอาสนะต่ำ จะไม่แสดงธรรมแก่คนที่ไม่เป็นไข้ที่นั่งอยู่บนอาสนะสูง ๑๔. เรายืนอยู่จะไม่แสดงธรรมแก่คนที่ไม่เป็นไข้ที่นั่งอยู่ ๑๕. เราเดินไปข้างหลัง จะไม่แสดงธรรมแก่คนที่ไม่เป็นไข้ที่เดินไปข้างหน้า ๑๖. เราเดินไปนอกทาง จะไม่แสดงธรรมแก่คนที่ไม่เป็นไข้ที่ไปในทาง๑๖ ๕.๓ โอวาท โอวาท หมายถึง คำกล่าวสอนที่เป็นหลักเป็นประธาน อย่างที่เรียกว่าเป็นหัวใจของ พระพุทธศาสนา เป็นหลักสำคัญให้ยึดถือปฏิบัติกัน๑๗เป็นคำตักเตือน หรือสั่งสอน การให้โอวาทควร ยึดหลักปฏิบัติในการกล่าว ดังนี้ ๑. กล่าวถึงโอกาสที่ให้โอวาท ๒. กล่าวเน้นถึงหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้รับโอวาท ๓. กล่าวถึงความสำคัญของบุคคลกลุ่มนั้นมีต่อสังคม ๔. กล่าวให้ข้อคิดเห็นและแนวปฏิบัติแก่ผู้รับโอวาท ๕. กล่าวแสดงความหวังและให้กำลังใจว่าผู้ฟังจะนำไปปฏิบัติ ๕.๔ ธรรมสากัจฉา ธรรมสากัจฉา หมายถึง การสนทนาธรรมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การอภิปรายปัญหา การแสวงหาเหตุผล คิดค้น คัดค้าน หรือคล้อยตาม เป็นวิธีการสอนที่พระพุทธองค์ทรงนำเอา หลักธรรมมาประยุกต์ในการสอนพุทธบริษัท ในสมัยพุทธกาลภิกษุทั้งหลายมักประชุมสนทนาธรรม กัน ถกปัญหากัน หากปัญหาใครถกกันแล้ว โต้เถียงกันแล้ว ยังตกลงกันไม่ได้พระพุทธองค์ก็มักจะ เสด็จมาทรงเป็นประธานตัดสินชี้ขาด ทำให้ผู้เข้าประชุมได้รับความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง และมัก ปรากฏมีผู้บรรลุธรรมถึงพระอรหันต์ด้วยพุทธวิธีสอนแบบนี้อยู่เสมอ๑๘ การสอนแบบสากัจฉา หรือสนทนานั้น คุณลักษณะซึ่งเรียกได้ว่าเป็นลีลาในการสอน ๔ อย่างดังนี้ ๑. สันทัสสนา อธิบายให้เห็นชัดเจน แจ่มแจ้ง เหมือนจูงมือไปดูให้เห็นกับตา ๒. สมาทปนา ชักจูงให้เห็นจริงด้วย ชวนให้คล้อยตาม จนต้องยอมรับและนำไปปฏิบัติ ๓. สมุตเตชนา เร้าใจให้แกล้วกล้า บังเกิดกาลังใจ ปลุกให้มีอุตสาหะแข็งขัน มั่นใจว่าจะ ทาให้สำเร็จได้ไม่หวั่นระย่อต่อความเหนื่อยยาก ๔.สัมปหังสนา ชโลมใจให้แช่มชื่น ร่าเริง เบิกบาน ฟังไม่เบื่อและเปี่ยมด้วยความหวัง เพราะมองเห็นคุณประโยชน์ที่ตนจะพึงได้รับจากการปฏิบัติอาจกล่าวสั้นๆว่า แจ่มแจ้ง จูงใจ หาญกล้า ร่าเริง หรือ ชี้ชัด เชิญชวน คึกคัก เบิกบาน วิธีนี้น่าจะเป็นวิธีที่ทรงใช้บ่อยไม่น้อยกว่าวิธี ใดๆ โดยเฉพาะในเมื่อผู้มาเฝ้าหรือทรงพบนั้น ยังไม่ได้เลื่อมใสในพระศาสนา ยังไม่รู้ไม่เข้าใจ ๑๖ องค์การเผยแผ่วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร, วิชาการเทศนา, (กรุงเทพมหานคร : หจก. เอมี่เทรด ดิ้ง, ๒๕๔๔), หน้า ๒๐. ๑๗ พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ปยุตฺโต, ตามทางพุทธกิจ, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ ธรรมสภา, ๒๕๓๙) , หน้า ๑๐๕. ๑๘ ประสาร ทองภักดี, พุทธศาสนา –การศึกษาและการสอน, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์อักษร สาส์น, ๒๕๑๓), หน้า ๑๒๒-๑๒๕. ๑๒๐ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๑๒๑ หลักธรรมในการสนทนา พระพุทธเจ้ามักจะทรงเป็นฝ่ายถามนำคู่สนทนาเขาสู่ความเขาใจธรรมและ ความเลื่อมใสศรัทธาในที่สุด แม้ในหมู่พระสาวกพระองค์ก็ทรงใช้วิธีนี้ไม่น้อย และทรงส่งเสริมให้ สาวกสนทนาธรรมกัน๑๙ การสอนแบบสนทนา (สากัจฉา หรือธรรมสากัจฉา) เป็นวิธีที่ทรงใช้บ่อยที่สุด เมื่ออ่าน พระไตรปิฎกแล้วจะเห็นว่าพระองค์ชอบใช้วิธีนี้อาจเป็นด้วยว่าผู้ฟังได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็น ทำให้การเรียนการสอนสนุก ไม่รู้สึกว่าตนกำลัง “เรียน” หรือกำลัง “ถูกสอน” แต่จะรู้สึกว่าตน กำลังสนทนาปราศรัยกับพระพุทธองค์อย่างสนุกสนาน ในการสนทนานั้น พระพุทธองค์จะทรงทำ หน้าที่นาสนทนา คือ ทำหน้าที่ซักถามโยนปัญหาให้ขบคิด แล้วตะล่อมเข้าจุดสรุปเข้าหาประเด็นที่ ต้องการ บางทีเพียงตรัสเป็นนัยๆ คู่สนทนาก็อาจสรุปได้เอง๒๐ สรุปได้ว่า วิธีการสื่อสารธรรมในพระพุทธศาสนาเช่น แบบสากัจฉา หรือสนทนา แบบ บรรยาย แบบตอบปัญหา แบบวางกฎข้อบังคับ เป็นวิธีที่ทรงใช้บ่อยที่สุด เป็นการสนทนาธรรม แลกเปลี่ยนความคิดเห็น การอภิปรายปัญหา การแสวงหาเหตุผล คิดค้น คัดค้าน หรือคล้อยตาม การปุจฉาวิสัชนา การโต้วาทีทางวิชาการ การซักถามและแก้ปัญหา การสอนแบบธรรมสากัจฉา เป็นการสอนเพื่อให้ผู้เรียนรู้จักคิดแก้ปัญหา เป็นคนมีเหตุผล และช่วยให้ผู้เรียนได้แนวคิดทางธรรม และได้ฝึกฝนอย่างจริงจัง ผู้ฟังได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็น ๕.๕ ปาฐกถา ปาฐกถาคือการพูดที่บุคคลคนเดียวแสดงถึงความรู้ความคิดเห็นของตนเองให้ผู้ฟัง จำนวนมาก เป็นการพูดแบบบรรยาย หรืออธิบายขยายความให้ผู้ฟังได้เข้าใจเรื่องที่พูดอย่างแจ่ม แจ้ง ดังนั้นผู้พูดจึงเป็นบุคคลที่มีความรู้และประสบการณ์ด้านต่าง ๆ อย่างเชี่ยวชาญ การพูด ปาฐกถาอาจจะเป็นการพูดเกี่ยวกับวิชาการก็ได้หรือเป็นความรู้ทั่ว ๆ ไป ก็ได้เช่นเดียวกัน แต่ จะต้องมีการกำหนดหัวข้อเรื่องที่จะพูดไว้ล่วงหน้า ผู้ฟังอาจเป็นผู้กำหนดหัวข้อ หรือผู้พูดกำหนดเอง ลักษณะการพูดแบบปาฐกถาไม่ใช่การพูดแบบสอนหรือบรรยายในห้องเรียน แต่เป็นการพูดให้ผู้ฟังรู้ เรื่องต่าง ๆ ในลักษณะการให้ความคิดเห็น การเสนอแนะ และการบอกเล่า ส่วน“ปาฐกถาธรรม” เป็นคำที่คิดขึ้นเพื่อเรียกการแสดงธรรมแบบใหม่ซึ่งต่างจาก “พระธรรมเทศนา” หรือที่เรียกรู้กันว่า “เทศน์”ที่ต้องทำอย่างเป็นพิธีการ พระธรรมกถึกหรือองค์ แสดงธรรมต้องนั่งบนธรรมาสน์เมื่อเริ่มพิธีต้องบูชาพระรัตนตรัย รับศีล กล่าวคำอาราธนาธรรม ผู้ฟังต้องประนมมือตลอดเวลาที่พระเทศน์พระธรรมกถึกต้องถือคัมภีร์เทศน์ ตั้งนะโม ยกหัวข้อธรรม ที่เรียกว่า “นิกเขปบท” เป็นภาษาบาลีขึ้นนำก่อนแล้วจึงแสดงเนื้อหาที่แสดงต้องนำมาจากคัมภีร์ คือพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกาเป็นต้น ทำหน้าที่เหมือน “ทูตอ่านสาส์น” คือความในคัมภีร์ว่าไว้ อย่างไรก็แสดงไปตามนั้นถ้าจะมีคำอธิบายขยายความ คำอธิบายนั้นก็ต้องอ้างอิงจากคัมภีร์ไม่ใช่คิด เอาเองหรือเข้าใจเอาเอง “อัตโนมัตยาธิบาย” คือความคิดเห็นหรือความเข้าใจส่วนตัว หากจะมีก็ น้อยที่สุดรวมความคือ แสดงธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่แสดงธรรมะของข้าพเจ้านิยมจบกระแส ความด้วยคำว่า “เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้” จบแล้วต้องอนุโมทนาเป็นภาษาบาลี คือยะถา-สัพพี ๑๙ พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตฺโต), พุทธวิธีการสอน, (พิมพ์ครั้งที่ ๑๘), (กรุงเทพมหานคร: พิมพ์สวย, ๒๕๕๖), หน้า ๔๗. ๒๐ เสฐียรพงษ์วรรณปก, พุทธวิธีการสอนจากพระไตรปิฎก, (กรุงเทพมหานคร: อาร์ต ฟาร์ม จากัด , ๒๕๔๐), หน้า ๒๕. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๒๑


๑๒๒ แล้วจึงลงจากธรรมาสน์เป็นอันจบการแสดงพระธรรมเทศนา ต่างจาก“ปาฐกถาธรรม” ไม่ต้องมี ธรรมาสน์ ไม่ต้องกล่าวคำอาราธนาธรรม ไม่ต้องรับศีล ผู้ฟังไม่ต้องประนมมือองค์แสดงจะนั่งหรือ ยืนก็ได้ ไม่ต้องถือคัมภีร์ ไม่ต้องตั้งนะโม ไม่ต้องยกนิกเขปบท ถึงเวลาก็พูดไปตามที่ประสงค์จะพูด ไม่จำเป็นต้องอ้างคัมภีร์ ๕.๖ การบรรยาย การพูดแบบบรรยาย คือการพูดถึงรายละเอียดเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้ผู้ฟังเข้าใจ และ ถ่ายทอดความรู้ได้แจ่มแจ้งชัดเจน มีลักษณะเป็นการสื่อสารทางเดียว คือผู้ส่งสารเป็นผู้เสนอหรือ แนะนาเรื่องนั้น ๆ การบรรยาย มีลักษณะเป็นการอบรม หรือสั่งสอนแบบเป็นพิธีการ เพื่อสอน เผยแพร่ หรือฝึกอบรม จุดมุ่งหมายคือทาให้ผู้ฟังคล้อยตาม เชื่อถือด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การจูงใจ การใช้เหตุผล การใช้ทฤษฎีต่าง ๆ ตลอดจนข้อเท็จจริง ผู้ฟังจะได้รับความรู้ข้อมูลข่าวสาร ความ เข้าใจ และอาจเกิดแนวความคิดหรือทัศนคติใหม่ ๆ จากเรื่องราวที่บรรยายนั้น การบรรยายเป็นวิธีการถ่ายทอดความรู้ที่ใช้กันมานานแล้ว และยังได้รับความนิยมอยู่ ทั่วไป การบรรยายที่ดีคือการพูดที่ดึงดูดความสนใจของผู้ฟังได้ตลอดเวลา จูงใจผู้ฟังให้ยอมรับและ เชื่อถือ เนื้อหาที่บรรยายจะต้องเหมาะกับกลุ่มผู้ฟัง และจัดลำดับขั้นตอนของเนื้อหาได้ดีไม่สับสน และวกไปวนมา ข้อความที่บรรยายต้องกระจ่างชัดเจน และประเด็นต่าง ๆ มีการเชื่อมโยงกัน ควร หาตัวอย่างประกอบในตอนต่าง ๆ ที่ควรจะมีตัวอย่างเพื่อความแจ่มแจ้งด้วย ผู้ที่จะบรรยายต้องเตรียมตัวตามทฤษฎีการพูดทั่วไป คือกำหนดหัวข้อเรื่องสำคัญ แล้ว ศึกษาเรื่องนั้นอย่างละเอียด ตามปกติผู้บรรยายมักจะมีความรู้สูงในเรื่องที่จะบรรยายอยู่แล้ว แต่ก็ จะต้องรักษาระดับความสนใจของผู้ฟังอยู่ตลอดเวลา จึงควรศึกษาขั้นตอนการพูด การเรียงลำดับ ความ และการต่อเนื่องของความคิด จะอธิบายเหตุก่อนแล้วไปสู่ผล หรือยกผลขึ้นมาก่อนแล้ว อธิบายสืบไปหาเหตุก็ได้การพูดบรรยายควรใช้ภาษาที่เป็นการสนทนา และผู้บรรยายควรมี ความสามารถในการแสดงออกในด้านต่าง ๆ เช่น น้าเสียง สีหน้า แววตา ท่าทาง ตลอดจน สัมพันธภาพกับผู้ฟังด้วย การบรรยายธรรม หมายถึง กลวิธีทางภาษาที่ใช้สื่อสารเนื้อหาทางธรรม กลวิธีทาง ภาษารูปแบบหนึ่ง ที่สามารถช่วยให้เข้าใจเนื้อหาหลักธรรมได้ชัดเจนขึ้นย่อมเกี่ยวข้องกับการ เชื่อมโยงความ ซึ่งเป็นลักษณะหนึ่งของภาษาระดับข้อความที่มีความเกี่ยวพันระหว่างประโยคหนึ่ง กับอีกประโยคหนึ่ง มีความสัมพันธ์กันทางความหมาย เนื้อความของประโยคต้องมีความต่อเนื่อง และเกี่ยวพันกัน ช่วยให้เนื้อหาประสานสอดคล้องกัน และการใช้คำเชื่อมซึ่งสามารถทำให้ผู้รับสาร เข้าใจสิ่งที่ผู้ส่งสารต้องการจะสื่อสารได้ถูกต้องและชัดเจน เกิดการสื่อสารที่มีประสิทธิผล ๕.๗ การอภิปราย การอภิปรายคือการพูดแสดงความรู้ความคิดเห็น และประสบการณ์ของกลุ่มหนึ่ง เพื่อ ปรึกษาหารือกันและออกความคิดเห็น เพื่อแก้ปัญหาที่มีอยู่ หรือแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดในเรื่อง ที่กำหนดให้ การอภิปรายแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ๒ ประเภท คือ การอภิปรายกลุ่ม ซึ่งมี จำนวนผู้อภิปรายเท่าไรก็ได้แต่ส่วนมากไม่เกิน ๒๐ คน ทุกคนมีส่วนในการพูดและแสดงความ คิดเห็น ผลัดกันพูด ผลัดกันฟัง ไม่มีผู้ฟังที่เป็นบุคคลภายนอก การอภิปรายกลุ่มนี้มักใช้ในการ ประชุมปรึกษาหารือในการดำเนินงานในขอบเขตของผู้ร่วมอภิปราย ในกลุ่มจะมีการแต่งตั้ง ประธานและรองประธานเพื่อทำหน้าที่ควบคุมการอภิปราย และการอภิปรายในที่ประชุมชน ซึ่ง เป็นลักษณะการอภิปรายที่ผู้พูดกลุ่มหนึ่งแสดงความคิดเห็นแก่ผู้ฟัง และเปิดโอกาสให้ผู้ฟังได้ซักถาม ๑๒๒ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๑๒๓ ในเวลาที่กำหนดให้การอภิปรายแบบนี้มักจัดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาส่วนรวม หรือเพื่อเผยแพร่ความคิด ผู้อภิปรายเป็นหมู่คณะ มีจำนวนที่เหมาะสมกับรูปแบบของการอภิปราย และมีผู้ดำเนินการ อภิปรายที่จะคอยควบคุมการอภิปราย การพูดแบบอภิปรายเป็นเรื่องใหญ่ มีเนื้อหาสาระกว้างขวาง และมีผู้ศึกษาไว้หลาย แบบอย่างด้วยกัน ในที่นี้จะกล่าวถึงรูปแบบการอภิปรายอย่างกว้าง ๆ พอเป็นแนวทางดังนี้ (๑) การอภิปรายแบบเป็นคณะ (Panel Discussion) คือการที่คณะของบุคคลซึ่ง ประกอบด้วยผู้ร่วมอภิปราย ๓-๗ คน ร่วมกันอภิปรายปัญหาต่าง ๆ ที่กำหนดขึ้น เป็นการพูด อภิปรายในที่สาธารณะต่อหน้าผู้ฟังจานวนมาก ผู้อภิปรายจะต้องศึกษาหาความรู้หรือค้นคว้าหา หลักฐานข้อเท็จจริงในเรื่องที่จะอภิปราย เพื่อนำมาพูดต่อหน้าผู้ฟัง แต่ละคนจะช่วยกันออกความ คิดเห็นในทรรศนะของตนเอง โดยมีผู้ดำเนินการอภิปรายเป็นผู้จัดลำดับให้พูด นำไปสู่จุดหมายและ ช่วยสรุป ในตอนท้ายจะเปิดโอกาสให้ผู้ฟังซักถาม (๒) การอภิปรายแบบแลกเปลี่ยนความรู้(Symposium) การอภิปรายแบบนี้คล้าย กับแบบเป็นคณะ ต่างกันที่ผู้อภิปรายแต่ละคนจะพูดเรื่องเดียวกัน แต่แบ่งกันพูดคนละตอนตามแต่ จะตกลงกันไว้ก่อน แต่ละคนจะค้นคว้ามาอย่างละเอียด และแสดงความรู้ความคิดเห็นและ ประสบการณ์ของตนตามหัวข้อที่ได้รับมอบหมาย ผู้ดำเนินการอภิปรายจะเป็นผู้ทำหน้าที่ย้ำ ประเด็นสำคัญ ๆ และสรุปความที่ผู้อภิปรายได้พูดไปแล้ว เมื่อพูดอภิปรายจบแล้ว ผู้ดำเนินการ อภิปรายอาจจะเปิดโอกาสให้ผู้ฟังซักถามหัวข้อที่สงสัยข้องใจได้การอภิปรายแบบนี้มักใช้อภิปราย หัวข้อที่เป็นวิชาการด้านต่าง ๆ (๓) การอภิปรายแบบโต้วาที(Debate) การอภิปรายแบบนี้คือการอภิปรายโต้เถียง กันอย่างมีระเบียบตามหัวข้อที่กำหนด มีลักษณะคล้ายการโต้วาทีคือฝ่ายหนึ่งเป็นผู้เสนอ อีกฝ่าย หนึ่งเป็นผู้คัดค้าน มีประธานเป็นผู้รักษาระเบียบการโต้แต่ละฝ่ายต่างยกเหตุผลมาโต้เถียงกันและ หักล้างกัน และยึดข้อเสนอของฝ่ายชนะไปเป็นข้อปฏิบัติการอภิปรายแบบนี้ใช้ในการประชุมที่จะ ตัดสินขั้นสุดท้ายว่าจะต้องเลือกนโยบายหนึ่งนโยบายใดไปปฏิบัติ (๔) การอภิปรายแบบระดมสมอง (Brainstorming) การอภิปรายแบบนี้เป็นการ อภิปรายกลุ่มเพื่อให้สมาชิกในกลุ่มทุกคนได้แสดงความคิดเห็น ความรู้และประสบการณ์ของตน อย่างอิสระและอย่างกว้างขวาง จุดประสงค์คือให้ผู้เข้าร่วมอภิปรายแสดงความคิดเห็นในทาง สร้างสรรค์ในหัวเรื่องที่กำหนดโดยใช้ระยะเวลาสั้น ในขณะที่ร่วมอภิปรายก็แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และประสบการณ์กัน และในที่สุดทุกคนก็ร่วมกันคิดสรุปแนวทางหรือข้อยุติที่เป็นประโยชน์ เพื่อ นำไปใช้ต่อไป (๕) การอภิปรายแบบโต๊ะกลม (Round Table) การอภิปรายแบบนี้เป็นการ ปรึกษาหารือในระหว่างสมาชิก สมาชิกทุกคนมีสิทธิ์ในการอภิปราย มีการจัดโต๊ะเป็นรูปวงกลม เพื่อให้เห็นหน้ากันชัดเจน มีการปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิด การประชุมแบบนี้จะทำให้เกิด ความคิดได้มากเพราะเห็นหน้ากันถนัด มีผู้ดำเนินการอภิปรายแบบเดียวกับการอภิปรายแบบคณะ การอภิปรายแบบนี้ใช้ในการประชุมภายในวงใกล้ชิด และทุกคนมีสิทธิ์พิจารณาเท่าเทียมกัน (๖) การอภิปรายในที่สาธารณะ (Public Forum) การอภิปรายแบบนี้จะมีผู้ฟัง จำนวนมาก และอภิปรายในที่สาธารณะ อาจใช้วิธีการอภิปรายแบบคณะและแบบโต้วาทีร่วมกัน มี การซักถาม การแสดงความคิดเห็นสนับสนุนหรือโต้แย้งกับผู้อภิปราย การตั้งข้อสังเกต หรือจะมี ข้อเสนอแนะก็ได้ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๒๓


๑๒๔ หลักสำคัญของการอภิปราย ๑. เพื่อเสนอปัญหาหรือเรื่องบางอย่าง ๒. ให้คนกลุ่มหนึ่งมาร่วมแสดงความคิดเห็น ๓. ผู้ร่วมอภิปรายเสนอข้อเท็จจริง ๔. หาข้อยุติของปัญหาหรือเรื่องดังกล่าว ๕. ให้ข้อคิดดังกล่าวแก่ผู้ฟัง ๕.๘ สุนทรพจน์ สุนทรพจน์หมายถึง คำพูดที่ดีงาม ไพเราะจับใจ การพูดสุนทรพจน์มักมีในพิธีสำคัญ เช่น พิธีต้อนรับแขกเมืองคนสำคัญ พิธีได้รับตำแหน่งสำคัญเช่น นายกรัฐมนตรีประธานาธิบดีหรือ กล่าวในงานฉลองระลึกถึงบุคคลสำคัญวันสำคัญ ระดับชาติหรือเป็นการกล่าวในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพื่อสร้างสรรค์จรรโลงใจเป็นคำพูดที่แสดงความปรารถนาดีในทางการเมืองการกล่าวสุนทรพจน์ เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง มักได้รับการยกย่องว่าเป็นการพูดชั้นยอด การกล่าวสุนทรพจน์จะมีการเตรียมต้นร่างไว้ก่อน ผู้ที่ทำหน้าที่ร่างมีโอกาสเตรียมตัว จึงควรศึกษาข้อมูลของเรื่องที่จะกล่าวให้ดีผู้กล่าวมักจะอ่านตามต้นร่างนั้นเลย ต้นร่างมักเป็นภาษา พูดที่ดีเป็นถ้อยคำที่มีจังหวะ อาจมีสัมผัสคล้องจองในระหว่างวรรคแต่ไม่ใช่สัมผัสแบบบทกวีเป็น ภาษาพูดที่ไพเราะ ฟังแล้วรื่นหูสุนทรพจน์มักเป็นคาพูดที่กล่าวให้ประชาชนจำนวนมากฟัง จึงต้อง มีการเตรียมตัวให้มาก หลักการเขียนบทสุนทรพจน์ ได้แก่ - พาดหัวข่าว - กล่าวคำถาม - ความสงสัย - ให้รื่นเริง - เชิงกวี - วจีสุภาษิต หลักการเขียนเนื้อเรื่องที่ดีต้องให้เข้าใจ ได้แก่ - เรียงลำดับ - จับประเด็น - เน้นสำคัญ - บีบคั้นอารมณ์ - เหมาะสมเวลา หลักการเขียนสรุปเรื่องที่ดีต้องให้จับใจ ได้แก่ - ตามคำคม - คารมปาก - ฝากให้คิด - สะกิดชักชวน - สำนวนขบขัน๒๑ ๒๑ พระอาจารย์สุเทพ สุเทโว, หลักการเขียนบทสุนทรพจน์, (ราชบุรี: ศูนย์ยุววาทศิลป์วัดพระศรี อารย์, ๒๕๔๓), เอกสารอัดสำเนา. ๑๒๔ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๑๒๕ การที่จะเขียนเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้ผู้อ่านเข้าใจตรงตามต้องการของผู้เขียนนั้น อาจไม่ได้ ผลเท่าที่ควร หากผู้เขียนใช้ภาษาได้ไม่ดีพอหรือขาดความชำนาญในการใช้ภาษา เพราะการเขียน เป็นขบวนการสื่อสารที่เป็นลายลักษณ์อักษร กล่าวคือ ใช้ตัวอักษรหรือตัวหนังสือเป็นสื่อ ไม่มีสิ่งอื่น มาช่วยให้ความกระจ่างเหมือนการพูด ซึ่งมีทั้งน้ำเสียง สีหน้า ท่าทาง เป็นเครื่องมือช่วยให้ผู้ฟัง สามารถติดต่อสื่อสารกันได้อย่างชัดเจน ดังนั้น ก่อนลงมือเขียน ผู้เขียนจึงต้องมีการเตรียมบทสุนทร พจน์ก่อนว่า จะเขียนไปแนวไหน มีจุดมุ่งหมายอย่างไร ผู้เขียนจะต้องรู้และเลือกเรื่องตามความรู้ สติปัญญาและประสบการณ์ของตน สิ่งที่ควรคำนึงถึงกล่าวคือหัวข้อที่เลือกมาเขียนนั้นต้องไม่กว้าง หรือแคบจนเกินไป อาจเป็นเรื่องแปลก น่าสนใจ ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือสามารถหาข้อมูลมา เขียนได้ ๕.๙ สัมโมทนียกถา สัมโมทนียกถา แปลว่า ถ้อยคำอันเป็นที่บันเทิงใจ ใช้เรียกการที่ภิกษุพูดแสดงความ ขอบคุณหรือกล่าวถึงประโยชน์และอานิสงส์ของความดีของบุญกุศลที่ทายกทายิกาได้ทำ เช่น ถวาย อาหาร สร้างกุฎิ สร้างหอระฆัง ไว้ในพระพุทธศาสนาว่า กล่าวสัมโมทนียกถา หรือ เรียกว่า อนุโมทนากถา๒๒ สัมโมทนียกถาเป็นเหตุให้ผู้ทำบุญนั้นเกิดความแช่มชื่นเบิกบาน เกิดความอิ่มใจใน ผลบุญที่ตนทำ และปรารถนาจะทำบุญเพิ่มพูนอีก การกล่าวสัมโมทนียกถาเป็นธรรมเนียมของ พระสงฆ์มาแต่โบราณ โดยกล่าวเป็นภาษาไทย ใช้เวลามากน้อยแล้วแต่ผู้กล่าว พระพุทธเจ้าทรงใช้ปาฏิหาริย์สาม คือ ให้กับท่านยสะกับบิดาที่อยู่ใกล้กัน ทำให้มองไม่ เห็นกันแล้วทรงแสดงอนุปุพพิกถาและอริยสัจ ๔ จนกระทั้งท่านยสะบรรลุอรหัตตผล ส่วนบิดา ท่านยสะบรรลุโสดาปัตติผลและแสดงตนเป็นอุบาสกคนแรกที่ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ จากนั้น มารดากับภรรยาเก่าของพระยสะ ต่างบรรลุเป็นพระโสดาบันและแสดงตนเป็นอุบาสิกาคู่แรกผู้ถึง พระรัตนตรัยเป็นสรณะ ต่อมาทรงแสดงธรรมโปรดเพื่อนพระยสะอีก ๔๕ คน ให้ได้บรรลุอรหัตตผล แล้วจึงทรงส่งพระปัญจวัคคีย์พระยสะและกลุ่มเพื่อนพระยสะ ซึ่งล้วนเป็นพระอรหันต์รวมทั้งหมด ๖๐ รูปออกไปประกาศพระศาสนาเป็นธรรมทูตชุดแรกในพระพุทธศาสนา คุณค่าและประโยชน์ของ การใช้ปาฏิหาริย์สามในการเผยแผ่พระศาสนานั้น จึงเป็นการแสดงให้เห็นความอัศจรรย์ของจิตที่ ฝึกฝนอบรมมาดีแล้ว และการใช้อนุสาสนีปาฏิหาริย์เป็นการทำให้คนมีความรู้สึกอัศจรรย์ใจ เมื่อมี ความอัศจรรย์ใจแล้วก็อยากจะรู้ว่าสิ่งต่อไปที่พระพุทธเจ้าหรือพระสาวกจะแสดงนั้นคืออะไร เกิดจิต ที่จดจ่ออยากรู้จึงทำให้เปิดใจรับสิ่งที่พระองค์แสดงอย่างไม่มีเงื่อนไข เมื่อไม่ปิดกั้นจิตอย่างนั้นแล้ว จึงทำให้ใคร่ครวญตรึกตรองตามหลักธรรมจนเกิดความรู้แจ้งเห็นจริง ปาฏิหาริย์หมายถึง การ กระทำที่กำจัดหรือทำให้ผู้เป็นปฏิปักษ์สิ้นไปและการทำกิเลสให้สิ้นไป ซึ่งเป็นการกระทำที่มีความ อัศจรรย์เกิดขึ้น มีผลเป็นอัศจรรย์และปาฏิหาริย์ในพระพุทธศาสนามี๓ ประการ ดังนี้ ๑) อิทธิปาฏิหาริย์หมายถึง การแสดงอิทธิฤทธิ์ทางจิตใจที่สามารถกระทำสิ่งใดก็ได้ ตามความมุ่งหมายของจิต เช่น กำบังหายตัว เหาะขึ้นไปในบนอากาศ ซึ่งมีการแสดงอิทธิฤทธิ์๒ ลักษณะ คือ “อามิสฤทธิ์เป็นการแสดงอิทธิฤทธิ์เพื่อให้มีความสำเร็จในทางวัตถุและธรรมฤทธิ์การ แสดงฤทธิ์ในทางธรรม ซึ่งเป็นเหตุแห่งความเจริญทางด้านธรรม”๒๓ ๒๒ พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช), พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์, พิมพ์ครั้งที่ ๓, (กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภา, ๒๕๕๑), หน้า ๑๑๐๓. ๒๓ อง.ทุก. (ไทย) ๒๐/๔๐๓/๑๑๗. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๒๕


๑๒๖ ๒) อาเทสนาปาฏิหาริย์มีความอัศจรรย์ในการทายจิตใจของบุคคลอื่นได้อย่างแม่นยำ มีความรอบรู้กระบวนการของจิตใจจนสามารถกำหนดลักษณะอาการเล็ก ๆ รวมถึงความคิด อุปนิสัยและจิตใจของผู้อื่นได้อย่างแม่นยำ ๓) อนุสาสนีปาฏิหาริย์เป็นปาฏิหาริย์ที่เกิดจากความจริง ซึ่งเป็นการลงมือปฏิบัติตาม เช่น การปฏิบัติธรรมแล้วสามารถเข้าถึงซึ่งความสำเร็จในหลักธรรมคำสอน สิ่งเหล่านี้จึงเป็นการ แสดงปาฏิหาริย์เช่นกัน๒๔ อนุสาสนีปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยองค์ประกอบ ๓ อย่าง๒๕ คือ ๑. หลักคำสอน เนื้อหาที่สอนต้องเป็นหลักคำสอนที่สามารถนำไปประพฤติปฏิบัติ หรือต้องเป็นคำสอนที่ผู้รับการสอนพิจารณาแล้วว่าเป็นประโยชน์ในการประพฤติปฏิบัติได้ กล่าว ง่ายๆ คือ ต้องเป็นคำสอนที่เป็นจริงและมีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต ไม่ใช่คำสอนที่กล่าวขึ้นลอยๆ ไม่เป็นจริงและไม่มีประโยชน์ ๒. ตัวผู้สอน เช่น พระพุทธเจ้า พระสาวก หรือครูบาอาจารย์ที่หน้าที่เกี่ยวกับการสอน เป็นต้น การมีหลักคำสอนที่ดีแต่ผู้ทำการสอนมีบุคลิกลักษณะหรือความประพฤติไม่เหมาะสม ก็ไม่ อาจสร้างศรัทธา หรือความเคารพแก่ผู้ที่รับการสอนได้ ด้วยเหตุนี้ผู้ที่ทำหน้าที่สอนจึงเป็นปัจจัย สำคัญอย่างหนึ่งในการที่จะทำให้เกิดอนุสาสนีปาฏิหาริย์ให้เกิดขึ้นได้ คุณสมบัติของสอนที่ดีใน พระพุทธศาสนาจะต้องเป็นผู้มีวิชชาและจรณะ หมายถึงต้องเป็นผู้มีความรู้และประพฤติดีมี คุณธรรม ผู้ที่จะสอนธรรมหรือใช้อนุสาสนีปาฏิหาริย์ให้ได้ผลนั้น คุณสมบัติด้านนี้จะขาดไม่ได้เลย บุคลิกลักษณะของผู้สอนจะต้องสง่างาม และเป็นที่น่าเชื่อถือแก่ผู้พบเห็น ดังเช่นพระพุทธเจ้าที่ พระองค์ทรงประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ ดังที่มีคนเคยชมพระพุทธเจ้าไว้ ดังความว่า “พระ สมณะโคดม มีพระรูปงามน่าดู น่าเลื่อมใส มีพระฉวีวรรณที่ผุดผ่อง วรรณะและพระสรีระดุจดัง พรหม ดูสง่างามนักหนา”๒๖ นอกจากพระวรกายของพระพุทธเจ้าจะทำให้ผู้พบเห็นเกิดความ ศรัทธาแล้ว พระสุรเสียงของพระองค์ที่ตรัสออกมาแต่ครั้ง มีความไพเราะ สละสลวย แจ่มใส สุภาพ อ่อนโยน ทำให้เกิดศรัทธาต่อผู้ฟัง ดังคำสรรญเสริญของอุตตรมานพว่า “พระสุรเสียงที่เปล่งออกมา จากพระโอฐษ์นั้น ประกอบด้วยคุณลักษณะ ๘ ประการ คือ แจ่มใส, ชัดเจน, นุ่มนวล, ชวนฟัง, กลม กล่อม, ไม่พร่า, ซึ้ง, กังวาล”๒๗ พระพุทธเจ้าจึงทรงมีความพร้อมทั้งด้านร่างกายและจิตใจ นอกจาก คุณสมบัติที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของผู้สอนก็คือจิตใจที่บริสุทธิ์ ต้องสอนเพราะต้องการให้คนพ้นทุกข์ ไม่ใช่สอนเพื่อหวังอามิสสินจ้างการประกาศธรรมเผยแผ่ของพระองค์จึงเป็นด้วยความบริสุทธิ์ใจ ๓. รูปแบบในการสอน เนื่องจากหลักวิธีการสอนของพระพุทธเจ้านั้น ทรงใช้วิธีการสอนหลากหลายรูปแบบ เป็นฐานในการสอน เพราะมีพื้นฐานมาจากวัฒนธรรมและสังคมของพราหมณ์อินเดียโบราณที่เป็น ระบบวรรณะ พระพุทธองค์จึงได้นำทั้งเทคนิค วิธีการ ลีลาการสอนที่จะนำหลักพุทธธรรมไป ประยุกต์ใช้เข้ากับสภาพแวดล้อมของสังคม ชุมชน ขนมธรรมเนียม จารีตประเพณีเพื่อให้เข้ากับ ๒๔ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต), พจนานุกรมกรมพุทธศาสน์ฉบับประมวลศัพท์, พิมพ์ครั้งที่ ๑๐, (กรุงเทพมหานคร: บริษัท เอส.อาร์.พริ้นติ้ง แมสโปรดักส์จำกัด, ๒๕๔๖), หน้า ๓๕๖. ๒๕ เรื่องเดียวกัน ๒๖ ม.ม. ๑๓/๖๕๐/๕๙๕ ๒๗ ม.ม. ๑๓/๕๘๙/๕๓๒. ๑๒๖ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๑๒๗ อุปนิสัยและระดับภูมิปัญญาของผู้ฟังในแต่ละกลุ่ม๒๘ ซึ่งมีหลักการสอนทั่วไป๒๙ ดังนี้ ๑) หลักการสอนทั่วไปในเนื้อหาและเรื่องที่สอน การสอนของพระพุทธเจ้าหากมีผู้ฟัง ที่เป็นฆราวาสหรือบุคคลทั่วๆ ไป มาขอฟังธรรม พระพุทธองค์จะทรงสอนหลักทั่วไปที่ง่ายๆ ดังนี้ คือ ๒) การสอนจากสิ่งที่เป็นรูปธรรมไปหานามธรรม พระองค์ทรงสอนจากสิ่งที่รู้เห็น เข้าใจง่ายอยู่แล้วไปหาฟังสิ่งที่เห็นแล้วเข้าใจยากหรือยังไม่รู้ไม่เข้าใจ เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจ สามารถนำไปใช้ในชีวิตของตนและสังคมได้ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือการสอนเรื่องอริยสัจ ทรงเริ่ม สอนจากการชี้ให้เห็นความทุกข์ความเดือดร้อน ปัญหาชีวิตที่คนมองเห็นและประสบอยู่แล้วเป็น ธรรมดาในคนทุกคน ต่อจากนั้น จึงสาวหาเหตุที่ยากยิ่งขึ้นและลึกซึ้งลงไป และชี้แนวทางแก้ไข ต่อไป ๓) การสอนที่ลุ่มลึกลงไปตามลำดับขั้น พระองค์ทรงสอนลุ่มลึกลงไปตามลำดับของ เนื้อหาแห่งธรรมะที่ยึดหลักต่อเนื่องเป็นสายลงไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ทรงเร่งรัดจนเกินไป อย่างที่เรียกว่า สอนเป็นอนุปุพพิกถา ได้แก่“ไตรสิกขา พุทธโอวาท ๓”๓๐ เป็นต้น นอกจากนั้นแล้ว พระพุทธองค์ทรงถือเอาเรื่องการแสดงธรรมไปตามลำดับขั้นว่าเป็นเรื่องสำคัญ ดังคำตรัสกับพระ อานนท์ว่า การแสดงธรรมแก่ผู้อื่นมิใช่ทำได้ง่าย ภิกษุเมื่อจะแสดงธรรมแก่ผู้อื่น พึงตั้งธรรม ๕ ประการไว้ในตนแล้ว จึงแสดงธรรมแก่ผู้อื่นธรรม ๕ ประการ อะไรบ้าง คือ ภิกษุพึงตั้งใจว่า (๑) เรา จักแสดงธรรมไปตามลำดับ (๒) เราจักแสดงอ้างเหตุ (๓) เราจักแสดงธรรมอาศัยความเอ็นดู(๔) เรา จักเป็นผู้ไม่เพ่งอามิสแสดงธรรม (๕) เราจักไม่แสดงธรรมกระทบตนและผู้อื่น อานนท์การแสดง ธรรมแก่ผู้อื่นไม่ใช่ทำได้ง่าย ภิกษุเมื่อจะแสดงธรรมแก่คนอื่น พึงตั้งธรรม ๕ ประการนี้ไว้ในตนแล้ว จึงแสดงธรรมแก่ผู้อื่น๓๑ ๔) การสอนถ้าสิ่งที่สอนเป็นสิ่งที่แสดงได้ก็สอนด้วยของจริง พระองค์ทรงให้ผู้เรียนได้ ดู ได้เห็น ได้ฟังเอง อันหมายถึง ประสบการณ์ตรง ตัวอย่างเช่น ทรงสอนพระนันทะที่ออกบวช ด้วยความไม่เต็มใจ ซึ่งมีจิตใจกังวลและคิดถึงคู่อภิเษกสมรส พระองค์ทรงสอนด้วยการพาไปชม นางฟ้าบนสวรรค์ให้เห็นด้วยตาตนเอง จนได้บรรลุธรรมในที่สุด๓๒ ๒๘ พระมหาสมยศ สุทฺธิสิริ(คุ้มม่วง), “การศึกษาเรื่องเวไนยบุคคลในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท ปาลิคนฺถสมุเห เวเนยฺยปุคฺคลกถาวีม สา”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๙), หน้า ๖๔. ๒๙ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), พุทธวิธีในการสอน, หน้า ๔๐-๔๒, ประยูร วงศ์จันทรา, “พุทธ วิธีการสอนจริยธรรม”, วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย, หน้า ๑๖๐-๑๖๑. ๓๐ อนุปุพพิกถา หมายถึง เรื่องที่กล่าวถึงตามลำดับ ธรรมเทศนาที่แสดงเนื้อความลุ่มลึกลงไปโดย ลำดับ เพื่อขัดเกลาอัธยาศัยของผู้ฟังให้ประณีตขึ้นเป็นชั้น ๆ จนพร้อมที่จะทำความเข้าใจในส่วนปรมัตถ์- พระ วิปัสสีพุทธเจ้าตรัสอนุปุพพิกถาแก่ชนเหล่านั้น คือทรงประกาศ (๑) ทานกถา (๒) สีลกถา (๓) สัคคกถา (๔) กามา ทีนวกถา (๕) เนกขัมมานิสังสกถา :- ที.ม. (ไทย) ๑๐/๗๕/๔๒ ๓๑ องฺ.ปญฺจก (ไทย) ๒๒/๑๕๙ /๒๖๓. ๓๒ บรรจบ บรรณรุจิ, อสีติมหาสาวก, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๘), หน้า ๑๖๑-๑๖๒. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๒๗


๑๒๘ ๕) การสอนตรงเรื่องและเนื้อหาต่างๆ พระองค์ทรงสอนตรงเนื้อหา คุมอยู่ในเรื่อง มี จุดหมาย ไม่วกวน ไม่ไขว้เขว ไม่ออกนอกเรื่อง ได้แก่ การสอนไตรสิกขา เป็นข้อปฏิบัติที่เป็นหลัก สำหรับศึกษา คือ ฝึกอบรมเรื่อง กาย วาจา จิตใจและปัญญา ให้ไปบรรลุจุดหมายสูงสุด ทรง เริ่มต้นตั้งแต่การสอนเรื่องอธิศีลสิกขา หมายถึง ข้อปฏิบัติฝึกอบรมในเรื่องความประพฤติด้วยกาย วาจาและใจของผู้ฟังอย่างบริสุทธิ์อธิจิตสิกขา หมายถึง ข้อปฏิบัติฝึกอบรมจิตเพื่อให้เกิดคุณธรรม เช่น สมาธิอย่างสูง และอธิปัญญาสิกขา หมายถึง ข้อปฏิบัติฝึกอบรมปัญญาเพื่อให้เกิดความรู้แจ้ง อย่างสูง๓๓ ๖) การสอนมีเหตุผลให้ผู้ฟังตรองตามเห็นได้การสอนที่ทรงแสดงธรรมมีเหตุมีผล ให้ ผู้ฟังได้ตรองตามเห็นได้จริง ที่เรียกว่า สนิทานธัมมเทสนา คือ ทรงแสดงธรรมมีเหตุผล ทรงสั่งสอนชี้ แจ้งให้เห็นเหตุผลไม่เลื่อนลอย ยึดหลักการสอนระหว่างความยากเกินไปกับความง่ายเกินไป ทรงยึด หลักสายกลาง คือเน้นให้ผู้ฟังใช้ปัญญาพิจารณาด้วยตนเอง ๗) การสอนเท่าที่จำเป็นและเหมาะสมกับผู้เรียน พระองค์ยึดหลักการสอนเท่าที่ จำเป็นและเหมาะกับผู้เรียนด้วยเหตุผลเพื่อให้การเรียนรู้ได้ผลอย่างจริงจัง ไม่ทรงสอนผู้เรียนด้วย ภูมิปัญญาที่พระองค์ตรัสรู้มาทั้งหมดหรือสอนแสดงภูมิว่าผู้สอนมีความรู้มาก แต่ทรงยกเฉพาะ ความรู้ในส่วนที่พอเหมาะพอดีกับวุฒิภาวะของผู้เรียนมาสอน๓๔ ดังเมื่อครั้งที่ประทับอยู่ในป่าประดู่ลายใกล้เมืองโกสัมพีได้ทรงหยิบใบไม้ประดู่ลาย เล็กน้อยใส่พระหัตถ์แล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ใบประดู่ลายในพระหัตถ์กับในป่า ในไหนมี มากกว่ากัน ซึ่งภิกษุทั้งหลายตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ในป่ามีมากกว่า จากนั้นจึงตรัสว่า สิ่งที่ พระองค์ตรัสรู้แต่มิได้ทรงสอน เหมือนใบประดู่ลายในป่า ส่วนที่ทรงสอนน้อยเหมือนใบไม้ประดู่ลาย ในพระหัตถ์ด้วยเหตุผลที่ว่า ความรู้ที่พระองค์ตรัสรู้ทั้งหมดไม่เป็นประโยชน์ไม่ใช่หลักการดาเนิน ชีวิตที่จะนาพาให้พ้นทุกข์อย่างถาวร คือ พระนิพพานได้๓๕ ๘) การสอนในสิ่งที่มีความหมาย การสอนของพระพุทธองค์จะสอนในสิ่งที่มี ความหมาย ให้ผู้เรียนเรียนรู้และเข้าใจเพื่อประโยชน์ต่อตัวผู้เรียนเอง โดยมีเมตตาหวังประโยชน์ แก่สัตว์โลกในการที่จะตรัสวาจาทรงยึดหลัก ๖ ประการ คือ ๑) ถ้าคำพูดใดที่ไม่จริง ไม่ถูกต้อง ไม่ เป็นประโยชน์ไม่เป็นที่รักชอบใจของผู้อื่น ไม่ตรัส ๒) ถ้าคำพูดใดจริง ถูกต้อง แต่ไม่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นที่รักชอบใจของผู้อื่น ไม่ตรัส ๓) ถ้าคำพูดใดจริง ถูกต้อง เป็นประโยชน์ไม่เป็นที่รักชอบใจ ของผู้อื่น ทรงเลือกกาลตรัส ๔) ถ้าคำพูดที่ไม่จริง ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นประโยชน์ถึงเป็นที่รักชอบใจ ของผู้อื่น ไม่ตรัส ๕) ถ้าคำพูดใดจริง ถูกต้อง แต่ไม่เป็นประโยชน์ถึงเป็นที่รักชอบใจของผู้อื่น ไม่ ตรัส และ ๖) ถ้าคำพูดใดจริง ถูกต้อง เป็นประโยชน์เป็นที่รักชอบใจของผู้อื่น ทรงเลือกกาลตรัส ลักษณะที่พระองค์เป็นในเรื่องนี้คือ ทรงเป็นกาลวาที(พูดถูกกาลเวลา) สัจจวาที(พูดเรื่องที่เป็น จริง) อัตถวาที(พูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์) ธรรมวาที(พูดในสิ่งที่เป็นธรรมะ) และวินัยวาที(พูดใน เรื่องที่เป็นวินัย) ๓๖ ๓๓ พระพรหมคุณาภรณ์, พจนานุกรมพุทธศาสตร์ฉบับประมวลธรรม, หน้า ๑๐๗. ๓๔ ประยูร วงศ์จันทรา, “พุทธวิธีการสอนจริยธรรม”, วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยหอการค้า ไทย, หน้า ๑๖๑. ๓๕ ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๑๐๑/๖๑๓. ๓๖ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), พุทธวิธีในการสอน, หน้า ๔๒, ๑๒๘ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๑๒๙ สรุปได้ว่า อนุสาสนีปาฏิหาริย์ เป็นการสอนหรือการแนะนำหลักธรรมคำสอนของ พระพุทธศาสนา ให้ผู้ที่รับคำแนะนำนั้นนำไปปฏิบัติ หรือพิจารณาตาม จนสามารถดับทุกข์ แก้ปัญหาในชีวิตของตนเองหรือสามารถกำจัดกิเลสอันเป็นเหตุทำให้จิตใจเศร้าหมอง เมื่อบุคคลผู้รับ คำสอนประพฤติปฏิบัติตามคำสอนนั้น ได้รับผลแห่งการปฏิบัติ เช่นสอนว่าอบายมุขหรือทางแห่ง ความเสื่อม อนุสาสนีปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยองค์ประกอบ ๓ อย่าง ได้แก่ ๑. หลักคำสอน เนื้อหาที่สอนต้องเป็นหลักคำสอนที่สามารถนำไปประพฤติปฏิบัติ หรือต้องเป็นคำสอนที่ผู้รับการสอนพิจารณาแล้วว่าเป็นประโยชน์ในการประพฤติปฏิบัติได้ ๒. ตัวผู้สอน เช่น พระพุทธเจ้า พระสาวก หรือครูบาอาจารย์ที่หน้าที่เกี่ยวกับการสอน การมีหลักคำสอนที่ดีแต่ผู้ทำการสอนมีบุคลิกลักษณะหรือความประพฤติไม่เหมาะสม ก็ไม่อาจสร้าง ศรัทธา หรือความเคารพแก่ผู้ที่รับการสอนได้ผู้ที่ทำหน้าที่สอนจึงเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งในการ ที่จะทำให้เกิดอนุสาสนีปาฏิหาริย์ให้เกิดขึ้นได้คุณสมบัติของสอนที่ดีในพระพุทธศาสนาจะต้องเป็น ผู้มีวิชชาและจรณะ หมายถึงต้องเป็นผู้มีความรู้และประพฤติดีมีคุณธรรม ๓. หลักวิธีการสอน พระพุทธเจ้าทรงใช้วิธีการสอนหลากหลายรูปแบบเป็นฐานในการ สอน เพราะมีพื้นฐานมาจากวัฒนธรรมและสังคมของพราหมณ์อินเดียโบราณที่เป็นระบบวรรณะ พระพุทธองค์จึงได้นำทั้งเทคนิค วิธีการ ลีลาการสอนที่จะนาหลักพุทธธรรมไปประยุกต์ใช้เข้ากับ สภาพแวดล้อมของสังคม ชุมชน ขนมธรรมเนียม จารีตประเพณีเพื่อให้เข้ากับอุปนิสัยและระดับภูมิ ปัญญาของผู้ฟังในแต่ละกลุ่มพระองค์ทรงสอนจากสิ่งที่รู้เห็นเข้าใจง่ายอยู่แล้วไปหาฟังสิ่งที่เห็นแล้ว เข้าใจยากหรือยังไม่รู้ไม่เข้าใจ เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจสามารถนำไปใช้ในชีวิตของตนและสังคม ได้ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือการสอนเรื่องอริยสัจ ทรงเริ่มสอนจากการชี้ให้เห็นความทุกข์ความ เดือดร้อน ปัญหาชีวิตที่คนมองเห็นและประสบอยู่แล้วเป็นธรรมดาในคนทุกคน ต่อจากนั้น จึงสาว หาเหตุที่ยากยิ่งขึ้นและลึกซึ้งลงไป และชี้แนวทางแก้ไข ๕.๑๐ สรุปท้ายบท รูปแบบและวิธีการสื่อสารธรรมในพระพุทธศาสนา เทศนาของพระสงฆ์ไทยในปัจจุบัน มีปัจจัยหลายประการที่มีความสำคัญ อันจะนำไปสู่หลักแห่งการเผยแผ่พุทธธรรม โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งรูปแบบและวิธีการเผยแผ่ที่มีความหลากหลาย ทันสมัย เข้ากับยุค เข้ากับเหตุการณ์อันเป็น ปัจจัยที่สนับสนุนให้ผู้เผยแผ่ประสบความสำเร็จในการเผยแผ่พุทธธรรม นักเทศน์หรือผู้เผยแผ่ จัดได้ว่าเป็นบุคลากรที่มีความสำคัญต่อสื่อสารธรรมใน พระพุทธศาสนา ทั้งนี้เนื่องจากเป็นกำลังสำคัญที่จะนำเอาหลักพุทธธรรมนั้นเผยแผ่ไปสู่ประชาชน ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการเข้าถึงประชาชนในทุกเพศ ทุกวัย ทุกอาชีพ ดังนั้นการนำเอา รูปแบบ และวิธีการเทศนาที่มีความเหมาะสมกับยุคปัจจุบันมาใช้จึงเป็นเรื่องสำคัญของนักเทศน์ หรือผู้เผยแผ่ที่จะต้องเรียนรู้หลักต่าง ๆเหล่านี้ให้เกิดความชำนาญ อย่างไรก็ตาม การศึกษาและเรียนรู้ศาสตร์ที่เกี่ยวกับสื่อสารธรรมในพระพุทธศาสนา หรือผู้เผยแผ่นั้น จะต้องไม่ลืมไปว่าหลักและวิธีการที่มีความสำคัญยิ่งไปกว่านั้น คือ รูปแบบและ วิธีการเผยแผ่พุทธธรรมตามแบบแผนของพระพุทธศาสนา อันจะกล่าวถึงหลักการและแนวทางการ เผยแผ่พุทธธรรมที่มีพระพุทธเจ้าทรงกระทำไว้เป็นแบบแผนหรือแบบอย่างที่เหมาะสมแก่บุคคลรุ่น หลัง ดังนั้นการเผยแผ่พุทธธรรมในปัจจุบันก็ต้องยึดตามหลักของพระพุทธเจ้าด้วย นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๒๙


๑๓๐ บทที่ ๖ พุทธจริยธรรมกับการสื่อสาร (Buddhist Ethics and communication) ๖.๑ ความนำ เทคโนโลยีการสื่อสารที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในสังคมยุคดิจิตอล ทำให้เกิด ปรากฏการณ์การใช้ประโยชน์จากสื่อออนไลน์กันมากขึ้น การสื่อสารในยุคเก่าประกอบด้วยสื่อ กระแสหลักเช่นสื่อหนังสือพิมพ์วิทยุและโทรทัศน์ที่ผ่านมาสื่อดังกล่าวได้รับความสนใจจาก ประชาชนผู้รับสารเป็นอย่างมาก เนื่องจากช่องทางการรับรู้ข่าวสารยังถูกจำกัดในวงแคบโดยเฉพาะ สื่อหนังสือพิมพ์ซึ่งถือว่าเคยเป็นสื่อที่ทรงอิทธิพลมากที่สุด เทคโนโลยีการสื่อสารที่มีความก้าวหน้า ไปไม่หยุดยั้งนี้มีความสัมพันธ์กับสังคมอย่างใกล้ชิด เมื่อมีการปฏิวัติด้านเทคโนโลยีการสื่อสารแบบ ใหม่ๆ ขึ้นจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในลักษณะใหม่ๆ ซึ่งเป็นการสื่อสารในแนวดิ่งทำ ให้ภาพลักษณ์ในการสื่อสารของไทยในสายตาของประชาชนทั่วไปมีลักษณะเป็น "การสื่อสารที่มี เป้าหมายเพื่อการครอบงำ”๓๗ ทำให้ประชาชนมีปฏิกิริยาตอบโต้การสื่อสารเป็น ๒ ลักษณะคือ กลัว และหลีกเลี่ยงที่จะสื่อสาร กับ เบื่อและเกิดการเมินเฉยที่จะติดตามข่าวสาร๓๘ ซึ่งปฏิกิริยาทั้งสอง แบบนี้ล้วนส่งผลเสียกับระบบสังคมที่ประชาชนต้องมีส่วนร่วมในการตัดสินในทางการเมืองทั้งสิ้น อย่างไรก็ตามการสื่อสารยังถูกใช้เป็นเครื่องมือที่เป็นอุปกรณ์และวิธีการใช้อุปกรณ์ในการสื่อสาร เพื่อเชื่อมโยงระหว่างประชาชนทั้งรูปแบบของการสื่อสารทางการเมืองทั้งแนวระนาบ และแนวดิ่ง ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงการสื่อสารจากสื่อยุคเก่าเช่น หนังสือพิมพ์วิทยุและโทรทัศน์ ได้มีวิวัฒนาการไปสู่สื่อยุคใหม่ซึ่งเป็นสื่อในโลกสังคมออนไลน์ทำให้การสื่อสารยุคเก่าโดยเฉพาะสื่อ หนังสือพิมพ์ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอข่าวสารผ่านสังคมออนไลน์กันมากขึ้น เพื่อให้ทัน ต่อสถานการณ์โลกในปัจจุบัน การสื่อสารผ่านสื่อออนไลน์นั้นมีประโยชน์นานัปการ ในขณะเดียวกัน ก็อาจก่อให้เกิดโทษมหันต์ได้เช่นกัน หากผู้ใช้สื่อดังกล่าวโดยเฉพาะสื่อมวลชนไทย ขาดซึ่งจริยธรรม หรือจรรยาบรรณในการนำเสนอข่าวสารนั้นๆ สื่อมวลชนที่ดีควรต้องมีความรับผิดชอบต่อผู้รับสาร และสังคม จริยธรรมในการใช้สื่อออนไลน์โดยเฉพาะสื่อมวลชนซึ่งใช้เป็นเครื่องมือเสริมในการ สืบค้นและต่อยอดองค์ความรู้ข้อมูลให้มีความหลากหลายถูกต้องและสมบูรณ์เพื่อการนำเสนอ ควร มีความตระหนักในการใช้ถ้อยคำ การใช้คำราชาศัพท์ให้ถูกต้อง ถี่ถ้วน สมบูรณ์รอบด้านและต้องมี หลักฐานยืนยันได้ที่สำคัญต้องคำนึงถึงผลกระทบจากการสื่อสาร ไม่เสนอเนื้อหาหมิ่นประมาท ไม่ อคติไม่ว่าจะเป็นเรื่อง สถาบัน ศาสนา ชาติพันธุ์และวัฒนธรรมที่แตกต่าง การยกระดับคุณธรรมจริยธรรมของสังคมไทย เพื่อการปฏิรูปสังคมพบว่า สังคมไทยมี ปัญหาจริยธรรมในระดับมากถึงมากที่สุด สาเหตุสำคัญมาจาก ครอบครัวขาดตัวแบบที่ดีระบบ การศึกษาขาดประสิทธิภาพไม่สามารถปลูกฝังเยาวชนให้มีจิตสำนึกได้และศาสนาไม่ได้ทำหน้าที่ ปลูกฝังถ่ายทอดคุณธรรมจริยธรรมแก่บุคคลอย่างจริงจัง นอกจากนี้ยังพบว่าสังคมไทยโดยรวมมี ๓๗ พัสนัย นุตาลัย, “การสื่อสารทางการเมืองของชนชั้นกลาง”, วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย), ๒๕๔๐, หน้า ๑๙. ๓๘ อุบลรัตน์ศิริยุวศักดิ์, สื่อสารมวลชนเบื้องต้น สื่อมวลชน วัฒนธรรม และสังคม, (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย), ๒๕๔๗, หน้า ๘. ๑๓๐ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๑๓๑ ความอ่อนแอไม่มีระบบป้องกันและควบคุมพฤติกรรมของคน ระบบกฎหมายและระบบการลงโทษ ทางสังคมไม่สามารถทำให้คนเกรงกลัวและหลาบจำ๓๙ ๖.๒ แนวคิดพุทธจริยธรรม ๖.๒.๑ ความหมายของพุทธจริยธรรม พุทธจริยธรรมเป็นหลักคำสอนในการประพฤติปฏิบัติตนเองในชีวิตประจำวัน หลัก พื้นฐานมาจากพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ เพื่อให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข เป็น จริยศาสตร์หรือจริยธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงปฏิบัติและทรงสอนให้พุทธศาสนิกชนดำรงชีวิตอยู่ ด้วยปัญญา ไม่ให้ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความประมาท ให้ชาวพุทธตื่นอยู่เสมอและให้เป็นอยู่ด้วยความ เบิกบานกายเบิกบานใจ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามพุทธจริยธรรมจึงเป็นหลักธรรมหรือจริยธรรมในทาง พระพุทธศาสนาที่ช่วยในการสร้างความสุขและความเจริญให้กับสังคมได้ ดังจะได้อธิบายเนื้อหา ต่อไปนี้ หลักพื้นฐานในทางพุทธจริยธรรมนั้นมีไว้เพื่อความสงบเรียบร้อยของสังคม เพื่อควบคุม ความประพฤติเบื้องต้น ๒ ทางคือ กาย และวาจา โดยในแต่ละทางบ่งบอกถึงพฤติกรรมที่มีอยู่ ๒ ทางคือ ดี และชั่ว ซึ่งมาจากมูลเหตุที่เป็นตัวการให้เกิดความประพฤตินั้นคือ กุศลมูล และอกุศลมูล ดังนั้นพื้นฐานทางจริยธรรมที่จะกล่าวถึงก็คือ เบญจศีล เบญจธรรม จริยธรรม ๑๐ ประการ และทิศ ๖ อื่นใดเลยมาทำความเข้าใจเรื่องวิธีกรรมก่อนการรักษาศีลเสียก่อน สิ่งที่เหมือนกันหรือสิ่งที่มีจุดกำเนิดที่เหมือนกันของสรรพสิ่งที่มีอยู่ ที่เป็นอยู่ และสิ่งที่ ดำเนินไปอยู่หรือเปลี่ยนแปลงไปอยู่ของธรรมชาติ หรือสสารอย่างมีระบบและเป็นจริงอย่างแน่นอน ตายตัว ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดก็ตามหลักการของพุทธจริยธรรม คือ ให้ละความชั่ว ให้ทำความดี และให้ทำกายใจของตนเอง ให้บริสุทธิ์ผ่องใส ปราศจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองใจ การที่คนละความ ชั่ว ทำความดี ทำกายใจของตนให้บริสุทธิ์ เป็นการกระทำเพราะรักตัวเอง เพราะฉะนั้น กฎของ พุทธจริยธรรมจึงเป็นกฎ การรักตัวเอง โดยมีปรัชญาของพุทธจริยธรรมที่มีพื้นฐานอยู่บนปรัชญา แบบวัตถุนิยมที่เป็นจริยศาสตร์แบบสุขนิยม ทรรศนะพุทธจริยธรรมในพุทธปรัชญาเถรวาทนั้น มี ลักษณะสำคัญ ๓ ประการ คือ (๑) การไม่ทำความชั่ว (๒) กระทำแต่ความดี (๓) ทำจิตใจให้ บริสุทธิ์๔๐จากการกระทำทั้งหลายทั้งปวง ซึ่งเป็นขั้นแรกในการทำให้เจริญ ซึ่งมี ๓ ประการคือ ๑. สัมปัตตวิรัติ เว้นสิ่งประจวบเฉพาะหน้า, เว้นเมื่อประสบซึ่งหน้า หรือเว้นได้ทั้งที่ ประจวบโอกาส คือ ไม่ได้ตั้งเจตนาไว้ก่อน ไม่ได้สมาทานสิกขาบทไว้เลยแต่เมื่อประสบเหตุที่จะทำ ชั่ว นึกคิดพิจารณาขึ้นได้ในขณะนั้นว่า ตนมีชาติตระกูล วัยหรือคุณวุฒิอย่างนี้ ไม่สมควรกระทำ กรรมเช่นนั้น แล้วงดเว้นเสียได้ไม่ทำผิดศีล ๒. สมาทานวิรัติ เว้นด้วยการสมาทาน คือ ตนได้ตั้งเจตนาไว้ก่อน โดยได้รับศีล คือ สมาทานสิกขาบทไว้แล้ว ก็งดเว้นตามที่ได้สมาทานนั้น ๓. สมุจเฉทวิรัติ หรือ เสตุฆาตวิรัติ เว้นด้วยตัดขาด หรือด้วยชักสะพานตัดตอนเสียที เดียว, เว้นได้เด็ดขาด คือ การงดเว้นความชั่ว ของพระอริยะทั้งหลาย อันประกอบด้วยอริยมรรคซึ่ง ๓๙ เพ็ญแข ประจันปัจจนึก, การยกระดับคุณธรรม จริยธรรมของสังคมไทยเพื่อการปฏิรูปสังคม : แนวทางและการปฏิบัติ, (สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, ๒๕๕๑), หน้า ๒. ๔๐ ที.ม. (ไทย) ๑๐/๙๐/๕๐. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๓๑


๑๓๒ ขจัดกิเลสที่เป็นมูลเหตุแห่งความชั่วนั้นๆ เสร็จสิ้นแล้ว ไม่เกิดมีแม้แต่ความคิดที่จะประกอบกรรมชั่ว นั้นเลย วิรัติ ๒ อย่างแรก ยังไม่อาจวางใจได้แน่นอน วิรัติข้อที่ ๓ จึงจะแน่นอนสิ้นเชิง๔๑ พุทธจริยธรรม หมายถึง หลักเกณฑ์ทางจริยธรรม ที่ผู้รู้มีพระพุทธเจ้าเป็นต้นได้ทรงวาง ไว้เพื่อเป็นมาตรฐานความประพฤติของมนุษย์เริ่มตั้งแต่พื้นเบื้องต้น ท่ามกลาง และระดับสูง เพื่อให้ มนุษย์ได้ดำเนินชีวิตอันดีงามตามอุดมคติเท่าที่มนุษย์จะเข้าถึงได้เพื่อความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ มี สติปัญญา มีความสุขสมบูรณ์ที่สุด เพราะจริยศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยอุดมคติของชีวิตหรือความ ดีอันสูงสุดเพื่อให้ถึงความดีงามอันสูงสุดนั้นจะต้องมีปฏิปทา สำหรับดำเนินคือเป็นการสร้างเหตุเพื่อ การบรรลุผล ถ้าต้องการผลอันสูงสุดก็ต้องสร้างเหตุให้สมควรแก่เหตุ พระพุทธศาสนาเป็นกัมมวา ทะ กิริยวาทะ และวิริยวาทะ กล่าวถึงการกระทำและความเพียรว่าเป็นเบื้องต้นของความสำเร็จผล ทั้งปวงไม่ประสงค์ให้ใครได้ดีหรือประสบความสำเร็จลอยๆหรือด้วยการอ้อนวอน แต่ให้สำเร็จด้วย การกระทำของตัวเราเอง เป็นศาสนาที่ต้องทำเอง (A Self do it Religion) เพราะอุดมคติคือสิ่งที่ดี ที่สุดที่ชีวิตควรจะได้ ชีวิตธรรมดากับชีวิตในอุดมคตินั้นต่างกัน คนเราเกิดมาไม่ใช่เพื่อทำงานอย่าง เดียวแต่ควรจะเกิดมาและมีชีวิตอยู่เพื่อจะได้สิ่งที่ดีที่สุดที่ชีวิตควรจะได้ไม่ใช่เพื่อจะรวยไม่ใช่เพื่อ เกียรติยศ ชื่อเสียง หรือการอยู่ดีกินดี แต่ควรมีชีวิตอยู่เพื่อความดับทุกข์และเพื่อนิพพาน๔๒ ๖.๒.๒ ความสำคัญของพุทธจริยธรรม พุทธจริยธรรมช่วยในการดำเนินชีวิตในสังคมมีการเปลี่ยนในทางที่ดีงาม ก้าวหน้าและ เป็นกุศลที่ดี การนำจริยศาสตร์ใช้ในการดำเนินชีวิตเป็นจำเป็นสำหรับตัวเองและชุมชน๔๓ โดยเฉพาะนำหลักพุทธจริยธรรมเป็นแนวทางแห่งการประพฤติปฏิบัติทางพระพุทธศาสนา ที่ทำให้ผู้ ที่ประพฤติปฏิบัติตามเกิดความสุขทั้งทางกายและใจ โดยหลักทั่วไปของพุทธจริยธรรม คือการงด เว้นจากสิ่งที่ชั่ว และมุ่งกระทำแต่สิ่งที่ดีงาม ทางกาย วาจา ในเบื้องต้น และใจ ในระดับสูง เพื่อให้ เกิดจิตใจที่บริสุทธิ์ ขจัดกิเลสที่เข้ามาในจิตใจได้อย่างเด็ดขาด เพื่อมุ่งสู่มรรคผล และนิพพาน โดย สรุปแล้วพุทธจริยธรรม มีใจความสำคัญอยู่ ๓ ประการ คือ ๑. สพฺพปาปสฺส อกรณํ การไม่ทำบาปทั้งปวง ๒. กุสลสฺสูปสมฺปทา การทำกุศลให้ถึงพร้อม ๓. สจิตฺตปริโยทปนํ การทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว ๑. การไม่ทำบาปทั้งปวง (สพฺพปาปสฺส อกรณํ) ได้แก่ การไม่ประพฤติผิด ในทุจริตธรรม ๓ อย่างคือทางกายทางวาจาและทางใจแต่ควรประพฤติสุจริตธรรมแทน มีสุจริตทางกาย คือไม่ทำ บาปด้วยกายมี ๓ อย่าง คือไม่ฆ่าสัตว์ ๑, ไม่ลักทรัพย์ ๑, ไม่ประพฤติในกาม ๑, นี่จัดเป็นสุจริตทาง กายวจีสุจริต คือการไม่ทำบาปด้วยวาจา ๔ คือ การไม่พูดเท็จคือพูดโกหก ๑, การไม่พูดด่าคือคำ หยาบ ๑, การไม่พูดส่อเสียดคือพูดแทงใจคน ให้เจ็บช้ำน้ำใจ ๑, การไม่พูดเพ้อเจ้อ คือ พูดทีเล่นที จริงไร้สาระ ๑, นี่จัดเป็นสุจริตทางวาจามโนสุจริต คือ การไม่ทำบาปด้วยใจมี ๓ คือ การไม่คิด พยาบาทคิดปองร้ายใคร ๑, การไม่คิดโลภอยากได้ของๆเขา ๑, การไม่คิดเห็นผิดจากธรรมนองและ ครองธรรม ๑, นี่จัดเป็นสุจริตทางใจรวมการไม่ทำบาปทั้งหมดนี้คือ สุจริตธรรม คือไม่ควรประพฤติ ในทุจริตธรรมทางกาย ทางวาจา และทางใจ ที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับสุจริตธรรม ควรประพฤติแต่ ๔๑ พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม, (กรุงเทพมหานคร: มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖), หน้า ๑๐๑. ๔๒ วศิน อินทสระ,จริยศาสตร์,(กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย,๒๕๑๘),หน้า๓๔-๓๕ ๔๓ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๙. ๑๓๒ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๑๓๓ สุจริตธรรมไว้เสมอ จะทำให้จิตเป็นบุญเป็นกุศล รวมถึงวิธีการละความชั่วหรืออกุศลมูล ๓ คือ โลภะ ความโลภ โมหะ ความหลง และโทสะ ความโกรธ และแสดงวิธีในการละอกุศลมูลทั้ง ๓ ไว้ว่า ในการละความโลภ ทั้ง ๓ ระดับคือ อย่างหยาบ อย่างกลางและอย่างละเอียด ด้วยการให้ทาน การ รู้จักประมาณ และด้วยการใช้หลักโยนิโสมนสิการ วิธีละความโกรธ ด้วยวิธีการพิจารณาถึงโทษของ ความโกรธ การให้อภัย และการแผ่เมตตา และวิธีละความหลงด้วยการพัฒนาจิตและปัญญา ๒. การทำกุศลให้ถึงพร้อม (กุสลสฺสูปสมฺปทา) คือ การรู้ในการดำริชอบ เพื่อไม่ให้จิต เกิดอกุศล พระพุทธองค์จึงได้ทรงให้เรา ๑) ดำริในการออกจากกาม ๒) ดำริในการไม่มุ่งร้าย ๓) ดำริ ในการไม่เบียดเบียน เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเหตุให้จิตเกิดอกุศล มีโลภ โกรธ หลง ครอบงำจิตอยู่คำว่า กาม ได้แก่อารมณ์หรือความรู้สึกยินดียินร้าย ที่มีต่อการได้รับรู้ใน รูป เสียง กลิ่น สัมผัส และธัม มารมณ์ ที่ชวนให้รัก, ชักให้เกิดความใคร่,พาใจให้ไหลหลง, เมื่อเกิดยินดียินร้ายต่อการรับรู้ขึ้นแล้ว จึงเรียกว่าเกิดกิเลสกาม, คำว่าดำริในการไม่มุ่งร้าย ได้แก่อาการที่คิดเห็นอยู่ในใจที่ชอบมองคนในแง่ ร้ายอยู่เสมอๆ ด้วยการคิดว่าร้ายคนอื่นในใจ, คำว่าดำริในการไม่เบียดเบียน ได้แก่อาการที่คิดเห็น ในทางพยาบาทปองร้ายคนอื่นอยู่เสมอๆ จึงเป็นที่มาแห่งการเบียดเบียนทำร้ายได้ และเป็นที่มาของ หัวข้อธรรมในการภาวนาได้ที่เรียกว่า ธัมมะภาวนา ได้แก่ “ อย่ายินดียินร้าย...อย่าว่าร้ายใคร...อย่า คิดร้ายใคร...” เมื่อเราได้นำมาท่องภาวนาไว้เสมอๆ ในชีวิตประจำวัน ก็จะทำให้เกิดสติระลึกรู้ไม่ให้ บาปและอกุศลจิตเกิดขึ้น จิตของเราก็จะเกิดเป็นกุศลจิตกุศลธรรม จึงควรมีความเพียรชอบในการ ท่องธัมมะภาวนาไว้เสมออย่างน้อยให้ได้ ๓๐ ครั้งต่อวัน เพื่อเป็นการทำกุศลให้ถึงพร้อมไว้ในจิตของ ตน,๓. การชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้ว (สจิตฺตปริโยทปนํ) หมายถึง มีความเพียรชอบในการ เจริญสติด้วยธัมมะภาวนา จนจิตมีสติทำความสงบนิ่งได้แล้ว ก็ควรที่จะมีการตามดูรู้เห็นจิตของตน ไว้เสมอ อย่าให้จิตมาร มาคอยดลจิตดลใจ ให้จิตนึกไปในสิ่งที่ล่วงไปแล้ว(ได้แก่ความจำได้หมายรู้ใน สัญญาขันธ์) หรือที่อยากจะทำสิ่งต่างๆ เพราะจะทำให้จิตหลงคิด จนเกิดเป็นความฟุ้งซ่าน ให้เรา พิจารณาถึงความไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ในสิ่งที่กำลังนึก-คิดนั้น เพราะเป็นเหตุให้จิตเกิดทุกข์ ความ ยึดถือในสิ่งที่นึก-คิดนั้นจัดเป็นสมุทัย คือใจเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ ควรละความยึดมั่นถือมั่น ใน การนึก-คิดนั้นเสีย เมื่อเรารู้พิจารณาทำได้อย่างนี้ไว้ตลอดก็จัดเป็นผู้รู้ชำระจิตของตน จะทำให้จิต ของเรามีความขาวรอบยิ่งขึ้น มีความผ่องใสมีสติปัญญา ควรต่อการบรรลุในคุณธรรมที่สูงยิ่งๆ ขึ้น ไป จนบรรลุในพระนิพพานได้๔๔ ๖.๓ พุทธจริยธรรมกับการสื่อสาร พุทธศาสนาเป็นศาสนาของพระพุทธองค์ซึ่งกำเนิดมานานกว่า ๒,๕๐๐ ปีในชมพูทวีป หรือประเทศอินเดีย ภายหลังจากที่เจ้าชายสิทธัตถะได้เสด็จออกผนวชจากศากยวงศ์จุดมุ่งหมาย ของพระองค์ก็เพื่อแสวงหาทางหลุดพ้นจากความทุกข์โดยใช้เวลาแสวงหาความรู้ถึง ๖ ปีจึงตรัสรู้ อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณที่ทรงค้นพบทางหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปีจึงได้พระนามว่า พุทธะ พระพุทธเจ้าได้ทรงอาศัยพระมหากรุณาธิคุณอัน ยิ่งใหญ่ในหมู่สัตว์เสด็จจาริกไปเพื่อเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนที่ตรัสรู้แก่เวไนยสัตว์ทั้งหลาย ใน เบื้องต้นนั้น พระพุทธองค์ได้เสด็จไปแสดงธรรมจักกัปปวัตตนสูตร แก่หมู่ปัญจวัคคีย์ณ ป่าอิสิปตน มฤคทายวันทำให้ปัญจวัคคีย์ได้ดวงตาเห็นธรรมตามที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน ต่อจากนั้น ทรง แสดงธรรมแก่ยสกุลบุตรและสหาย จึงทาให้บังเกิดมีพระอรหันตสาวกในพระพุทธศาสนาจานวน ๔๔ วศิน อินทสระ,จริยศาสตร์, หน้า ๑๐๕-๑๒๐. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๓๓


๑๓๔ ๖๐ รูป พระองค์ทรงส่งพระสาวกทั้งหมดไปเผยแผ่ธรรมะ (สื่อสารธรรมะ) ในที่ต่างๆ โดยไม่ซ้ำกัน โดยพระพุทธโอวาทว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเที่ยวไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ คนเป็นจำนวนมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายจงแสดงธรรมที่งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง และงามในที่สุด จง ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถะ พร้อมทั้งพยัญชนะ อันบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง๔๕ จากพระพุทธโอวาทนี้เอง ถือเป็นกุญแจเปิดประตูสู่การเดินทางเพื่อการสื่อสารเผยแผ่ พุทธธรรมแก่พุทธบริษัททั้ง ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณีอุบาสก และอุบาสิกา ช่วยกันทาหน้าที่ในการเผย แผ่และสืบทอดพระธรรมคาสอนของพระพุทธเจ้าให้แผ่ขยายไปทั่วทุกทิศ พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ เน้นหลักของเหตุและผล แม้อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ได้กล่าวว่า ศาสนาในอนาคตนั้นเป็นศาสนาของ จักรวาล จะต้องมองข้ามพระเจ้าที่เป็นตัวตนหรือลัทธิต่างๆ จะต้องมาจากประสบการณ์จิต วิญญาณ ต้องมาจากความเป็นธรรมชาติเป็นเหตุผล เป็นวิทยาศาสตร์และศาสนาที่ตรงกับคำ จำกัดความนี้มากที่สุด ก็คือ ศาสนาพุทธ และถ้าจะมีศาสนาใดซึ่งจะเข้ากันได้กับแนวคิดของ วิทยาศาสตร์ศาสนานั้นก็คือ ศาสนาพุทธ๔๖ ซึ่งแสดงให้เห็นคุณค่าความเป็นเหตุผลและหลักการ ของพุทธศาสนา หลักคำสอนของพุทธศาสนาได้รับการยกย่องว่าเป็นวิทยาศาสตร์และเป็นศาสนาที่ มีหลักคำสอนครอบคลุมถึงเรื่องการสื่อสารของมนุษย์ทั้งในด้านการรับรู้การพูด การฟัง การเปิดรับ การสื่อสาร การคิดและการเชื่อ ซึ่งในที่นี้จึงพยายามจะรวบรวมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ที่ เกี่ยวข้องกับหลักการสื่อสาร แต่คงจะเน้นไปที่การสื่อสาร ประเภทการสื่อสารระหว่างบุคคลและ การสื่อสารด้วยการพูดเป็นหลักใหญ่ เพราะในยุคพระพุทธองค์ยังไม่มีเทคโนโลยีการสื่อสารเกิดขึ้น หลักการสื่อสารตามแนวศาสนาพุทธนี้หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์ต่อการนำไปประยุกต์ใช้ให้การ สื่อสารเพียบพร้อมไปด้วยคุณภาพและคุณธรรม ๖.๔ กระบวนการและช่องทางการสื่อสารตามแนวทางพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาได้อธิบายองค์ประกอบของชีวิตที่บัญญัติเรียกว่า “สัตว์” “บุคคล” ใน ที่นี้หมายถึง มนุษย์หรือบุคคล ออกเป็นส่วนประกอบ ๕ ประเภท ทางธรรมว่า เบญจขันธ์๔๗ คือ ๑. รูป ได้แก่ ส่วนประกอบฝ่ายรูปธรรมทั้งหมด ร่างกายและพฤติกรรมทั้งหมดของ ร่างกาย หรือสสารและพลังงานฝ่ายวัตถุ พร้อมทั้งคุณสมบัติและพฤติการณ์ต่างๆ ของสสาร พลังงานเหล่านั้น ๒. เวทนา ได้แก่ความรู้สึกสุข ทุกข์หรือเฉยๆ ซึ่งเกิดจากผัสสะทางประสาททั้ง ๕ และ ทางใจ ๓. สัญญา ได้แก่ ความกำหนดได้หรือหมายรู้ในทางนิเทศศาสตร์เรียก การรับรู้คือ กำหนดรู้อาการเครื่องหมายลักษณะต่างๆ อันเป็นเหตุให้จำอารมณ์นั้นๆได้ ๔. สังขาร ได้แก่องค์ประกอบหรือคุณสมบัติต่างๆ ของจิตมีเจตนาเป็นตัวนำ ซึ่งแต่งจิต ให้ดีหรือชั่วหรือเป็นกลางๆ ตริตรึกนึกคิดในใจและแสดงออกทางกายทางวาจา หรือเป็น เครื่องปรุง ของจิตของความคิดซึ่งนำไปสู่ปัญญาได้ ๔๕ ที.ม. (ไทย) ๑๐/๕๒/๕๓. ๔๖ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์กับความศรัทธาในพระพุทธศาสนา” กัลยาณมิตร, พฤศจิกายน , ๒๕๔๔ หน้า ๑๘๔. ๔๗ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโต), พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงและขยายความ, พิมพ์ครั้งที่ ๖, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๘), หน้า ๑๖. ๑๓๔ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๑๓๕ ๕. วิญญาณ ได้แก่ความรู้แจ้งอารมณ์ทางประสาททั้ง ๕ และทางใจ คือ การเห็นการได้ ยิน การได้กลิ่น การรู้รส การรู้สัมผัสทางกาย และการรู้อารมณ์ทางใจ กล่าวโดยสรุปแล้ว บุคคลประกอบด้วยรูปและนาม รูป คือ รูปธรรมหรือร่างกายมนุษย์ ซึ่งประกอบด้วยธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และหมายถึง รูปธรรม ที่เข้ามาสัมผัสทาง ตา หูจมูก ลิ้น กาย ใจ ส่วนของตา หูจมูก ลิ้น กาย และใจ เรียกว่า อายตนะภายใน ส่วน รูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ และธรรมารมณ์เรียกว่า อายตนะภายนอก อายตนะ แปลว่า แดนต่อเชื่อม คือ ตา สัมผัส รูป หูสัมผัส เสียง จมูก สัมผัส กลิ่น ลิ้น สัมผัส รส กายสัมผัส โผฎฐัพพะ หมายถึง สิ่งที่ สัมผัสได้ด้วยกาย ได้แก่ความร้อน ความเย็น ความแข็ง ความอ่อน ใจสัมผัส ธรรมารมณ์หมายถึง สิ่งที่ใจคิดเรื่องราวต่างๆ ที่ระลึกได้เกี่ยวกับสิ่งที่พบหรือรับรู้ทาง หูตา จมูก ลิ้น และกาย และ ปรากฏขึ้นทางใจ๔๘ พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ. ปยุตโต) ได้กล่าวถึง กระบวนการรับรู้ของมนุษย์ตามหลัก พระพุทธศาสนา สรุปให้เห็นง่าย ๆได้ดังนี้๔๙ อายตนะ + อารมณ์+ วิญญาณ = ผัสสะ เวทนา ช่องทางรับรู้สิ่งที่ถูกรับรู้ความรู้การรับรู้ความรู้สึกต่ออารมณ์ จากกระบวนการรับรู้หรือส่วนของช่องสารในการสื่อสารของมนุษย์นั้น พระพุทธศาสนา กล่าวว่ามีช่องทางในการรับรู้โดยผ่านทางประสาทสัมผัสทั้ง ๕ คือ ตา หูจมูก ลิ้น ผิวสัมผัส ที่เป็น ช่องทางสำหรับการรับเข้า และส่งออกของการสื่อสาร ในขณะเดียวกันการรับรู้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะ การรับรู้แต่เพียงรูปธรรมเท่านั้น พระพุทธศาสนายังทรงเสนอล้ำไปถึงการรับรู้ผ่านนามธรรมที่จับ ต้องไม่ได้อันได้แก่ การรับรู้ทางใจไว้ด้วย ซึ่งความรู้ที่รับรู้มาจากทางมโนทวารหรือใจนี่เอง ที่เรียก ตามแนวอภิธรรมว่า ธรรมหรือธรรมารมณ์๕๐ ประกอบด้วยเวทนาขันธ์(ความรู้ต่อเวทนา) สัญญา ขันธ์สังขารขันธ์อนิทัสสนอัปปฎิฆรูป (รูปที่เห็นไม่ได้กระทบหรือถูกต้องไม่ได้) และอสังขตธาตุ หรือนิพพาน สำหรับในหลักการสื่อสารทั่วๆไป ในยุคพระพุทธองค์ยังไม่มีสื่อและเทคโนโลยีสมัยใหม่ ในการสื่อสาร มีเพียงการสื่อสารด้วยการพูดและการเขียนเท่านั้น หลักการสื่อสารที่พระองค์ทรงสั่ง สอนจึงเน้นไปที่การพูด การฟังแต่หลักการต่างๆที่พระองค์ทรงสั่งสอนดังที่จะกล่าวต่อไปนี้สามารถ นำไปพัฒนาประยุกต์ใช้ได้กับการสื่อสารในทุกรูปแบบ เช่น การรายงานข่าว การโฆษณา การ ประชาสัมพันธ์เป็นต้น ๖.๕ หลักการสื่อสารตามแนวทางพระพุทธศาสนา ศาสนาพุทธเป็นศาสนาของพระพุทธองค์ซึ่งกำเนิดมานานกว่า ๒๕๐๐ ปีหลักคำสอน ของพระพุทธองค์ได้ครอบคลุมถึงเรื่องการสื่อสารของมนุษย์ทั้งในด้านการรับรู้การพูด การฟัง การ คิดและการเชื่อ ซึ่งหลักการสื่อสารตามแนวพระพุทธศาสนาสามารถนามาประยุกต์ใช้ได้ในการ สื่อสารยุคปัจจุบัน จัดเป็นหลักการสื่อสารที่ก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการสื่อสาร และส่งเสริมให้เกิด จริยธรรมในการสื่อสาร พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนหลักการสื่อสารที่เห็นได้ชัดเลย คือ หลักของการ พูดมีหลายประการ ได้แก่ ๔๘ วีรยุทธ์วิเชียรโชติและนวลเพ็ญ วิเชียรโชติ, “จิตวิทยาการเรียนรู้ตามแนวพุทธศาสตร์” ในการศึกษา ตามแนวพุทธ, เล่ม ๒, (กรุงเทพมหานคร : สมาคมการศึกษาแห่งประเทศไทย, ม.ป.ป.), หน้า ๕๔๓-๕๔๘. ๔๙ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโต), พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงและขยายความ,พิมพ์ครั้งที่๖,หน้า ๓๗. ๕๐ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๔๖. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๓๕


๑๓๖ ๖.๕.๑ การพูดที่ดีและไม่ดี ในพาลบัณฑิตสูตรพระพุทธเจ้าทรงแสดงถึงคุณสมบัติสำคัญประการหนึ่งของบัณฑิต คือ มีการพูดถ้อยคำที่ดีที่ตนเคยพูดมาเป็นปกติซึ่งวจีกรรมหรือการพูดของบัณฑิตจะเป็นวจีกรรมที่ สุภาพดีงาม ซึ่งมีลักษณะ ๔ ประการ๕๑ คือ ๑. พูดคำจริงคือคำพูดแน่นอนและคงที่ รักษาคำพูดไม่เปลี่ยนแปลงไปมา ๒. พูดคำสมานไมตรีคือ พูดคำผูกไมตรีและพูดคำประสานสามัคคีพูดแนะนำคนที่ยัง ไม่รู้จักให้รู้จักกันและพูดชักนำคนที่รู้จักกันให้ชอบพอกัน พูดชักจูงคนที่ชอบพอกันให้สนิทสนมกัน ๓. คำไพเราะ คือ คำพูดที่ดูดดื่มและคำพูดอ่อนหวาน ถ้อยคำออกมาจากน้ำใจใส สะอาดของผู้พูด พูดเร้าใจ ผู้ฟังให้เห็นควรถือเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ซึ่งจัดเป็นคำพูดดูดดื่ม พูดให้ กำลังใจ ทำให้ผู้ฟังชื่นบาน ๔. พูดคำพูดที่มีประโยชน์ซึ่งพระพุทธองค์ทรงสอนว่าคำพูดมีประโยชน์คือ คำพูดมี เหตุผล มีหลักฐานยืนยัน ผู้อื่นคัดค้านไม่ได้ พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงลักษณะของการสื่อสารด้วยการพูดที่ไม่ดีของคนพาลในจตุก นิบาตอังคุตตรนิกายว่ามีลักษณะดังนี้คือ ๑. คนพาลชอบเผยโทษของคนอื่น ๒. คนพาลไม่ชอบเผยคุณงามความดีของคนอื่น ๓. คนพาลไม่ชอบเผยโทษของตน ๔. คนพาลชอบอวดคุณงามความดีของตน นอกจากนี้คนพาลยังมีลักษณะในการสื่อสาร คือ ชอบแนะนำสิ่งที่ไม่ควรแนะนำ ไม่รู้จัก อุบายแนะนำ และแม้พูดดีๆก็โกรธ๕๒ พระพุทธองค์ยังได้สอนเรื่องการพูดไว้ในหลักสัมมาวาจาหรือวาจาชอบหรือเจรจาชอบ (Right speech) ซึ่งเป็นศีลพื้นฐานสำหรับบุคคลทั่วไป ซึ่งให้ปฏิบัติดังนี้ ๑. ละมุสาวาท เว้นการพูดเท็จ ให้พูดสัจจวาจา พูดคำจริง ๒. ละปิสุณาวาจา เว้นการพูดส่อเสียด ให้พูดสมัคคกรณีวาจา พูดคำสมานสามัคคี ๓. ละผรุสวาจา เว้นการพูดคำหยาบ ให้พูด สัณหวาจา พูดคำอ่อนหวานสุภาพ ๔. ละสัมผัปปลาปะ เว้นการพูดเพ้อเจ้อ ให้พูดอัตถสัณหิตาวาจา พูดคำมีประโยชน์๕๓ อธิบายได้ว่า บุคคลไม่ควรพูดคำเท็จทำให้คนอื่นเสียหาย ไม่พูดส่อเสียดให้คนอื่นเข้าใจ ผิดทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่พูดคำหยาบให้เกิดความเสียหายกับผู้อื่น และไม่พูดเพ้อเจ้อไร้ สารประโยชน์การสื่อสารด้วยสัมมาวาจา ย่อมก่อให้เกิดความเข้าใจกัน ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของ การสื่อสารและเป็นเครื่องชี้วัดประสิทธิภาพความสำเร็จของการสื่อสารไว้วางใจ มีจิตใจสงบ๕๔ ๕๑ ชัยวัฒน์อัตพัฒน์, หลักพุทธศาสนา, (กรุงเทพมหานคร : คณะมนุษย์ศาสตร์มหาวิทายลัยราม คาแหง, ๒๕๒๓), หน้า ๑๖๕-๑๖๖. ๕๒ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๖๓. ๕๓ พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตโต),พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงและขยายความ, หน้า ๗๖๘-๗๖๙. ๕๔ ฉัตรสุมาลย์กบิลสิงห์,ศาสนา,(กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๑๘), หน้า๓๑. ๑๓๖ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๑๓๗ ๖.๕.๒ บุคคลไม่ควรพูดปดหรือพูดเท็จ หลักการสื่อสารที่สำคัญเด่นชัดที่สุดตามแนวพระพุทธศาสนาก็คือ การห้ามพูดเท็จ ซึ่ง ทรงกำหนดไว้ในศีล ๕ ข้อที่ ๔ ว่า “มุสาวาทา เวรมณีสิกฺขาปท สมาทิยามิ” พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า “ภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลล่วงละเมิดธรรมอย่างหนึ่งแล้ว เรา ขอบอกว่า บาปกรรมอะไรๆ อย่างอื่นที่เขาจะไม่ทำนั้นย่อมไม่มีธรรมอย่างหนึ่ง คืออะไร คือ สัมป ชานมุสาวาท (กล่าวเท็จทั้งที่รู้อยู่)”๕๕ พุทธพจน์แสดงให้เห็นถึง การพูดปดทั้งๆที่รู้นับประสาอะไร กับเรื่องอื่นๆ หรือมีบาปกรรมอะไรบ้างที่ผู้นั้นจะทำไม่ได้นอกจากนี้พระพุทธองค์ยังได้ตรัสว่า “เพราะเหตุเพียงการพูดจาคล่องแคล่ว หรือเพราะมีผิวพรรณงดงาม แต่ยังมีความริษยา ตระหนี่ และโอ้อวด บุคคลก็หาชื่อว่าคนดีได้ไม่” ๕๖ ขณะเดียวกันทรงกล่าวถึงคุณค่าของการเว้นจากการพูด เท็จว่า “...บุคคลประกอบด้วยธรรม... เป็นผู้เว้นขาดจากการพูดเท็จ ย่อมดำรงอยู่ในสวรรค์เหมือน ได้รับอัญเชิญไปประดิษฐานไว้”๕๗ คำว่า มุสา แปลว่า ความเท็จ ได้แก่ การโกหก ซึ่งแสดงออกได้๒ วิธีคือ ทางวาจา ได้แก่ พูดโกหกชัดๆ และทางกาย คือ การแสดงออกให้คนอื่นเข้าใจผิด เช่น เขียนจดหมายโกหก รายงานเท็จ ทำหลักฐานปลอมทำเครื่องหมายให้คนอื่นหลงเชื่อ สั่นศีรษะในเรื่องควรรับ พยักหน้า รับในเรื่องที่ควรปฏิเสธล้วนถือว่าผิดศีลข้อนี้ผิดทั้งทางกายและวาจา ซึ่งการมุสานั้น มี๗ แนวทาง ด้วยกันคือ ๑. ปด ได้แก่ โกหกชัดๆ ไม่รู้ไม่เห็น ๒. ทนสบถสาบาน ทำผิดจริง แต่กล้าสาบานว่าไม่ได้ทำ ไม่ได้พูด ๓. ทำเล่ห์กระเท่ เช่น ทำเป็นคนพิการเพื่อให้คนเข้าใจผิดแล้วให้ทาน ๔. มายา แสดงอาการลวงคนอื่น เช่น เจ็บน้อย แต่แกล้งทำเป็นเจ็บหนักมาก ๕. ทำเลศนัย พูดเล่นสำนวนให้คนฟัง เข้าใจผิด ๖. เสริมความ เรื่องมีมูลน้อยแต่พูดให้มากมายขึ้นกว่าข้อเท็จจริง ๗. อำความ เรื่องมีมูลมาก แต่พูดให้น้อย เช่น รายงานเหตุการณ์ข้อเท็จจริงเพียง บางส่วน เพื่อปกปิดข้อบกพร่อง๕๘ องค์ประกอบของมุสาวาทา ๑. เรื่องนั้นไม่จริง ๒. มีจิตคิดจะพูด ๓. มีความพยายามในการพูด ๔. มีเจตนาที่จะพูดให้คนอื่นเข้าใจผิด จะเห็นได้ว่า ศีลข้อนี้สำคัญอยู่ที่เจตนา คือ มีความจงใจที่จะพูดให้คนอื่นเข้าใจผิด ส่วน คนอื่นจะเชื่อหรือไม่ ไม่สำคัญ โทษของการละเมิดศีลข้อนี้ได้แก่ ๑. การพูดเท็จเป็นการทำลายตนเอง ๒. การพูดเท็จเป็นการทำลายประโยชน์ของคนอื่น ๕๕ ขุ.อิติ. (ไทย) ๒๕/๒๕/๓๖๘. ๕๖ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๒๖๒/๑๑๔. ๕๗ อง.ปญจก. (ไทย) ๒๒/๑๔๕/๒๔๒. ๕๘ ชัยวัฒน์อัตพัฒน์, หลักพุทธศาสนา, หน้า ๕๘-๕๙. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๓๗


๑๓๘ ๓. การพูดเท็จย่อมอาจทำลายชาติบ้านเมืองได้ ๔. คนพูดเท็จย่อมไม่มีใครเชื่อ เหตุผลในการห้ามไม่ให้พูดเท็จ ก็เพื่อประโยชน์ดังต่อไปนี้ ๑. เพื่อป้องกันการทาลายประโยชน์ของคนอื่น ๒. เพื่อให้คนอยู่ร่วมกันด้วยความซื่อสัตย์ต่อกัน ๓. เพื่อความสามัคคีในหมู่คณะ ๔. คนไม่พูดเท็จมีคำสัตย์ย่อมได้รับการเชื่อถืออย่างสูง อานิสงส์แห่งการรักษาศีล มุสาวาทา ๑๔ ประการ ได้แก่ ๑. มีอินทรีย์ทั้ง ๕ ผ่องใส ๒. มีวาจาไพเราะ สละสลวย ๓. มีไรฟันเสมอชดและขาวสะอาด ๔. ไม่อ้วนจนเกินไป ๕. ไม่ผอมจนเกินไป ๖. ไม่สูงจนเกินไป ๗. ไม่เตี้ยจนเกินไป ๘. ปากหอมเหมือนดอกบัว ๙. ได้แต่สัมผัสอันเป็นสุข ๑๐. มีบริวารชนล้วนแล้วแต่ขยันขันแข็ง ๑๑. มีถ้อยคำที่เชื่อถือได้ ๑๒. มีลิ้นบางแดงอ่อนเหมือนกลีบบัว ๑๓. มีใจไม่ฟุ้งซ่าน ๑๔. ไม่เป็นอ่าง ไม่เป็นใบ้๕๙ ๖.๕.๓ บุคคลไม่ควรพูดมาก พระพุทธองค์สอนว่าบุคคลไม่ควรที่จะพูดมากโดยกล่าวว่าคนพูดมากมีโทษ ๕ ประการ ได้แก่ ๑. ย่อมพูดเท็จ ๒. ย่อมพูดส่อเสียด (คือยุให้แตกร้าวกัน) ๓. ย่อมพูดคาหยาบ ๔. ย่อมพูดเพ้อเจ้อ ๕. หลังจากตายแล้ว ย่อมไปเกิดในอบาย ทุคติวินิบาต นรก ๖.๕.๔ บุคคลควรพูดด้วยปัญญา พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนว่าควรพูดด้วยมันตา (ปัญญา) ได้แก่ ๑. ไม่พูดเท็จ ๒. ไม่พูดส่อเสียด ๓. ไม่พูดคำหยาบ ๔. ไม่พูดเพ้อเจอ ๕. หลังจากตายแล้ว ย่อมไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์๖๐ ๖.๕.๕ บุคคลไม่ควรพูดมากแล้วไม่ทา แต่ควรพูดน้อยแล้วทา พระพุทธองค์ทรงสอนว่า “คนที่กล่าวพุทธพจน์แม้มาก แต่มัวประมาท ไม่ทำตามพุทธ พจน์นั้น ย่อมไม่ได้รับผลแห่งความเป็นสมณะ เหมือนคนรับจ้างเลี้ยงโคได้แต่นับโคให้คนอื่น ฉะนั้น ส่วน คนที่กล่าวพุทธพจน์แม้น้อยแต่ประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรมเป็นปกติละ ราคะ โทสะ และ โมหะได้แล้ว รู้ชอบ มีจิตหลุดพ้นดีแล้วไม่ยึดติดในโลกนี้และโลกหน้า เขาย่อมได้รับผลแห่งความ ๕๙ ชัยวัฒน์อัตพัฒน์, หลักพุทธศาสนา, หน้า ๖๐. ๖๐ อง.ปญจก. (ไทย) ๒๒/๒๑๔/๓๕๗. ๑๓๘ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก


๑๓๙ เป็นสมณะ”๖๑ กล่าวได้ว่า คนที่พูดถ้อยคำมีประโยชน์แม้มาก แต่เป็นผู้ประมาท ไม่ทำตามถ้อยคำ นั้น ผู้นั้นย่อมไม่ได้มีส่วนแห่งคุณธรรมที่ทาให้เป็นสมณะ เหมือนคนเลี้ยงโค นับโคให้ผู้อื่น แต่ไม่มี ส่วนแห่งน้ำนมโค ส่วนคนที่พูดถ้อยคำมีประโยชน์แม้น้อย แต่ประพฤติตามธรรม ละราคะ โทสะ และโมหะได้รู้อยู่โดยชอบ มีจิตหลุดพ้นแล้วด้วยดีไม่ถือมั่นในโลกนี้หรือโลกอื่น ย่อมเป็นผู้มีส่วน แห่งคุณธรรมทำให้เป็นสมณะได้ ๖.๕.๖ บุคคลควรระมัดระวังการพูดจา พระพุทธองค์ทรงเปรียบเทียบไว้ว่า “ผรุสวาจา (คำหยาบ) เป็นเหมือนผึ่งเครื่องตัดตน ของคนพาลผู้กล่าวคำชั่ว ย่อมเกิดที่ปากของคนพาล ผู้ใดสรรเสริญคนที่ควรติเตียน หรือติเตียนคนที่ ควรสรรเสริญ ผู้นั้นชื่อว่าสั่งสมความผิดไว้ด้วยปาก ย่อมไม่ประสบความสุข เพราะความผิดนั้น”๖๒ เปรียบได้กับคนที่เกิดมีขวานเกิดมาในปากด้วย คนพาลเมื่อกล่าวคำชั่ว ชื่อว่าใช้ขวาน นั้นฟันตัวเอง เหมือนกับไม่รู้ว่าผู้ใดควรสรรเสริญ ผู้ใดควรติจึงชื่อว่าใช้ปากเลือกเก็บความชั่วเอาไว้ ซึ่งย่อมจะไม่ได้ประสบความสุขเพราะความชั่วนั้นๆ เลย ๖.๕.๗ คุณสมบัติของผู้รับสาร/หลักการฟังที่ดี พระพุทธองค์ได้กล่าวถึงประโยชน์ของการฟังในสิ่งที่ดีมีประโยชน์โดยได้ชี้ถึงอานิสงส์ ในการฟังธรรม ๕ ประการ๖๓คือ ๑. ได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง ๒. เข้าใจชัดสิ่งที่ได้ฟังแล้ว ๓. บรรเทาความสงสัยเสียได้ ๔. ทำความเห็นให้ตรง ๕. จิตของผู้ฟังธรรมย่อมเลื่อมใส นอกจากนี้พระพุทธองค์ได้ทรงสอนแนะนำกระตุ้นเตือนในการทำหน้าที่ของบุคคลให้ดี เกี่ยวกับการฟัง การสนทนา ปรึกษาสอบถาม ซึ่งประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ๖๔ ดังนี้ ๑. ไม่นึกหมิ่นเรื่องที่เขาพูด ๒. ไม่นึกหมิ่นผู้พูด ๓. ไม่นึกหมิ่นตัวเอง ๔. ใจไม่ฟุ้งซ่าน ฟังธรรมโดยมีจิตหนึ่งเดียว ๕. มนสิการโดยแยบคาย (โยนิโสมนสิการ ซึ่งเป็นตัวการในการทำหน้าที่ทางปัญญาให้ เกิดความรู้ความเข้าใจ ทั้งในการรับรู้การเผชิญสถานการณ์และการสัมพันธ์เกี่ยวข้องปฏิบัติต่อทุก กรณีและยังได้ตรัสอีกว่าในการฟังนั้นควรจะปฏิบัติดังต่อไปนี้ ๑. ไม่ฟังโดยมีความรู้สึกลบหลู่ ๒. ไม่ฟังโดยมีจิตแข่งดี ๓. ไม่ฟังโดยคอยจ้องจับผิด มีจิตกระทบกระทั่งต่อผู้แสดง (ผู้พูด) ๔. ไม่คิดหมายว่าเข้าใจแล้วในสิ่งที่ยังไม่เข้าใจ๖๕ ๖๑ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๑๙-๒๐/๓๐. ๖๒ อง.ทสก. (ไทย) ๒๔/๘๙/๒๐๑. ๖๓ อง.ปญจก. (ไทย) ๒๒/๒๐๒/๓๔๔. ๖๔ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโต), พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงและขยายความ, หน้า ๖๔๗. ๖๕ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโต), พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงและขยายความ, หน้า ๖๔๗. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑๓๙


Click to View FlipBook Version