๔๐ ตักเตือน วิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ อดทนได้ไม่เบื่อหน่าย ไม่เสียอารมณ์แม้บางครั้งอาจถูกต่อต้านจาก ลัทธิภายนอกมาขัดขวางต่องานเผยแผ่ ๖) คมฺภีรญฺจ กถ กตฺตา เป็นผู้พูดคำที่ลึกซึ่งได้ให้ผู้ฟังเขาใจได้ง่าย นักเผยแผ่ที่ดีจะต้อง มีความรู้ในศาสตร์หลาย ๆ อย่าง และต้องฉลาดในการเลือกใช้วิธีเผยแผ่ แบบต่าง ๆ เพื่อให้ เหมาะสมกับผู้ฟัง เพื่อให้เกิดศรัทธาและย่อมปฏิบัติตาม ๗) โน จฏฐาเน นิโยชเย ไม่ชักนำในอฐานะ ไม่ชักนำให้เดินผิดทางไปนอกพุทธดำรัสแต่ ต้องรู้จักชักจูง แนะนำในทางที่ถูกที่ควร๙ นอกจากนี้แสง จันทร์งาม๑๐ ได้กล่าวถึงคุณสมบัติของนักเผยแผ่ที่ดีดังนี้ ๑) มีความกรุณาเป็นพื้นฐานของจิต ๒) ไม่ถือตัวหยิ่งยโส ๓) มีความอดทน ใจเย็น ๔) มีความยุติธรรม ไม่เห็นแก่หน้า ๕) มีความรอบคอบ ๖) มีความประพฤติน่าเคารพบูชา ๗) รู้จักภูมิสติปัญญาของผู้ฟัง สามารถสรุปได้ว่าคุณสมบัติของผู้เผยแผ่ เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ฟังเกิดศรัทธาและยอมปฏิบัติ ตามในคำสอนอย่างน่าอัศจรรย์โดยผู้สอนพึงมีคุณสมบัติที่ปรากฏภายนอก และ คุณสมบัติภายใน ได้แก่ ด้านบุคลิกภาพ หมายถึง รูปร่างหน้าตาและคุณสมบัติภายใน เป็นคุณธรรมที่ผู้เผยแผ่พึง ปฏิบัติและเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในหลักพุทธธรรม เพื่อจะได้สอนให้ถูกประเด็นทั้ง ภาคทฤษฎีดำรงตนอยู่ในองค์คุณของนักเผยแผ่ที่ดีเพื่อยังศรัทธาความ เลื่อมใสและให้การเผยแผ่มี ประสิทธิภาพสูงสุด ๒.๔ จุดมุ่งหมายในการสอนของพระพุทธเจ้า จุดม่งหมายในการสอนเป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงคำนึงถึง เพราะจะนำไปสู่เป้าหมายที่ กำหนดไว้ได้โดยต้องมีเนื้อหาหรือเรื่องที่จะสอน มีตัวผู้เรียนหรือผู้ฟัง และวิธีการสอนครบถ้วนทุก อย่าง พระราชวรมุนีได้แยกเป็นข้อ ๆ ดังต่อไปนี้๑๑ ๒.๔.๑ ทรงสอนเพี่อให้ผู้ฟังได้รู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งที่ควรรู้ควรเห็น จุดมุ่งหมายข้อนี้หมายความว่า ทรงสอนให้รู้แจ้งเห็นจริงเฉพาะเท่าที่จำเป็นสำหรับ สาวกรูปนั้นๆ สิ่งใดที่ทรงรู้แต่เห็นว่าไม่จำเป็นสำหรับผู้ฟังหรือผู้รับการสอน ก็จะไม่สอนสิ่งนั้น ทรง สอนให้รู้แจ้งเห็นจริงเฉพาะเท่าที่รู้และจำเป็นเท่านั้น เช่น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ สีสปา วัน เมืองโกสัมพีครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือใบประดู่ลาย ๒ - ๓ ใบด้วยฝ่าพระหัตถ์แล้ว ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย มาแล้วตรัสถามว่า“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้น ๙ องฺ. สตฺตก. (ไทย) ๒๓ / ๓๗ /๕๗. ๑๐ แสง จันทร์งาม , วิธีสอนของพระพุทธเจ้า, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์กมลการพิมพ์, ๒๕๒๖), หน้า ๒๔ - ๓๐. ๑๑ พระราชวรมุนี(ประยุทธ์ปยุตฺโต), เทคนิคการสอนของพระพุทธเจ้า, หน้า ๒๖ – ๓๐. ๔๐ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๔๑ เป็นไฉนใบประดู่ลาย ๒ - ๓ ใบที่เราถือด้วยผ่ามือกับ ใบที่บนต้นไหนจะมากกว่ากัน ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ใบประดู่ลาย๒ - ๓ ใบ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือด้วยฝ่าพระ หัตถ์มีประมาณน้อย ที่บนต้นมากกว่าพระเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคเจ้าจงตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่เรารู้แล้ว แต่มีได้บอกเธอทั้งหลายก็มี มากเหมือนกัน เพราะเหตุไร เราจึงมิได้บอก เพราะสิ่งนั้น ไม่มีประโยชน์ไม่ใช่จุดเริ่มต้นแห่ง พรหมจรรย์ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย ไม่เป็นไปเพื่อคลายความกำหนัด ไม่เป็นไปเพื่อดับทุกข์ ไม่เป็นไปเพื่อสงบระงับ ไม่เป็นไปเพื่อรู้ยิ่ง ไมเป็นไปเพื่อตรัสรู้ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน เพราะเหตุนั้น เราจึงมิได้บอก สิ่งอะไรเล่าที่เราบอกแล้ว คือ เราได้บอกว่า นี้ทุกข์นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธนี้ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เพราะเหตุไร เราจึงบอก เพราะสิ่งนี้มีประโยชน์ เป็นจุดเริ่มต้นแห่ง พรหมจรรย์เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายความกำหนัด เพื่อดับทุกข์เพื่อสงบระงับ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้เพื่อนิพพาน เพราะเหตุนั้น เราจึงบอกภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น เธอพึงทำความเพียร เพื่อรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา”๑๒ ข้อความโดยสรุป สีสปาสูตร เปรียบสิ่งที่ตรัสรู้มีมากเหมือนใบไม้บนต้น พระพุทธองค์ ตรัสแก่ภิกษุหลายร้อยรูป ณ. ป่าสีสปาวันประดู่ลาย ใกล้กรุงโกสัมพีว่า ความรู้ต่างๆที่ทรงรับรู้มา จาก"สัพพัญญุตญาณ"นั้น มีมากมายเหลือเกิน เหมือนใบไม้ทั้งหมดในป่าใหญ่ แต่ความรู้ที่จะใช้ นำไปสู่ความหลุดพ้นนั้น ประดุจเพียงแค่ใบไม้๒-๓ ใบในกำมือความจริงที่รู้มีมากมายแต่เราไม่ได้ สอน เพราะความรู้เหล่านั้น ไม่เป็นไปเพื่อความเข้าใจจริงอันถ่องแท้ไม่เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ไม่ เป็นไปเพื่อจุดมุ่งหมายของศาสนา คือ "นิพพาน" ๒.๔.๒ ทรงสอนเพื่อให้ผู้ฟังเห็นจริง ได้ทรงแสดงธรรมอย่างมีเหตุผลที่ผู้ฟังพอตรองตามให้เห็นด้วยตนเอง เช่น พระองค์ตรัส กับภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย แม้ว่าภิกษุจะพึงจับชายสังฆาฏิของเราติดตามรอยเท้าเรา ติดตามไปข้างหลัง แต่ภิกษุนั้นมีความละโมบ กำหนดยินดีอย่างแรงกล้าในกาม มีจิตพยาบาท คิด ประทุษร้าย หลงลืมสติไม่รู้ตัว มีจิตไม่ตั้งมั่น กระสบกระสาย ไม่สำรวมในอินทรีย์แท้จริงแล้วภิกษุ นั้นก็ยังชื่อว่าอยู่ห่างไกลเรา เราก็ห่างไกลภิกษุนั้น นั้นเป็นเพราะเหตุไรเพราะภิกษุนั้นยังไมเห็นธรรม เมื่อไม่เห็นธรรม ชื่อว่าไม่เห็นเรา ๒.๔.๓ ทรงสอนเพื่อให้ผู้ฟังได้รับผลแห่งการปฏิบัติตามสมควร ทรงแสดงธรรมมีคุณเป็นมหัศจรรย์สามารถยังผู้ปฏิบัติตามให้ได้รับผลตามสมควรแก่ การลงแห่งการปฏิบัติของตนเช่น ในปรินิพพานสูตร เมื่อจวนจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ทอดพระเนตรเห็นมหาชน นำเครื่องสักการะเป็นอันมากมาบูชา พระจึงตรัสกับพระอานนทว่า “การทำการบูชาอย่างนั้น ไม่เชื่อว่าบูชาพระองค์ด้วยการบูชาอย่างยิ่ง แต่ผู้ใดจะเป็นภิกษุภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาก็ตาม ปฏิบัติธรรมตามสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ ผู้นั้นแหละชื่อว่าบูชาพระองค์ ด้วยการบูชาอย่างยิ่ง ” เมื่อพระตถาคตเจ้าทรงปลงพระชนมาสังขารวาอก ๔ เดือนข้างหน้า พระองค์จะปรินิพพาน ภิกษุหลายพันรูปเที่ยวแวดลอมพระองค์อยู่ ปรึกษากันว่า พวกเราจะทำ อย่างไรหนอ? ภิกษุรูปหนึ่งชื่อธรรมารามไม่เขารวมกลุ่มกับภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุทั้งหลายถามถึง ความรู้สึกเกี่ยวกับ การปรินิพพานของพระศาสดา ท่านมิได้ให้คำตอบแต่ประการใด แต่คิดว่า อีก ๔ เดือนข้างหน้า พระศาสดาจักปรินิพพานแล้ว เราเป็นผู้ที่ยังมีราคะอยู่ เราจะพยายามเพื่อบรรลุพระ ๑๒ สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๑๑๐๑ /๖๑๓. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๔๑
๔๒ อรหัตตผล ในช่วงเวลาที่พระศาสดายังทรงพระชนม์อยู่นั้นเอง เพื่อเป็นการบูชาพระองค์คิดดังนี้แล้ว ท่านก็เป็นผู้เดียวเท่านั้นในอิริยาบถต่างๆ นึกคิด ระลึกถึงธรรมที่พระศาสดาทรงแสดงอยู่ตลอดเวลา ไม่คลุกคลีด้วยภิกษุหลายรูป อยู่รูปเดียวในที่ สงัด ภิกษุทั้งหลายจงกราบทูลพระศาสดาว่า “พระธรรมารามมิได้มีความเยื่อใยในพระองค์เลย” พระพุทธเจ้าให้เรียกพระธรรมรามเข้าเฝ้า ตรัสถามถึงเหตุการณ์กระทำเช่นนั้น เมื่อทรงทราบเหตุผล แล้วก็ทรงอนุโมทนาสาธุการว่า “ดีแล้วๆ ผู้ที่มีความรักเคารพในเรา จึงประพฤติอย่างธรรมารามเถิด ภิกษุทั้งหลายผู้ที่บูชาเราด้วยของหอม ระเบียบดอกไม้หากชื่อว่าบูชาเราจริงไม่ ส่วนผู้ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรมจึง ถือว่าบูชาเราอย่างแท้จริง”๑๓ สรุปได้ว่า จุดมุ่งหมายในการสอนของพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ทรงใช้รูปแบบที่ต่างกัน เพื่อความสะดวกต่อการทำความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการสอนพุทธธรรมของพระพุทธองค์เบื้องต้นได้ ทรงกำหนดรู้จากตัวของบุคคล ที่กำลังรับฟังการสอน ถ้าหากว่าบุคคลมีระดับสติปัญญาน้อย พระองค์ก็จะใช้วิธีสอนธรรมอีกรูปแบบหนึ่ง ถ้าผู้มีสติปัญญาแก่กล้าแล้วก็จะปรับใช้อีกวิธีเพื่อ ประโยชน์แก่การเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้เจริญมั่นคง และวางรากฐานแก่พระสาวกได้เป็นแนวทาง ในประกาศสัทธรรมของพระองค์นอกจากนั้นพระพุทธเจ้าทรงมีหลักในการสอนที่หลากหลาย ดัง จะได้กล่าวต่อไป ๒.๕ หลักการสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ได้ตรัสองค์แห่งธรรมกถึกไว้ว่า “อานนท์การแสดงธรรม ให้คนอื่นฟังมิใช่ สิ่งที่กระทำได้ง่ายผู้แสดงธรรมแก่คนอื่นพึงตั้งธรรม ๕ อย่างไว้ในใจ ” คือ ๑) เราจักกล่าวไปตามลำดับ ๒) เราจักกล่าวยกเหตุผลมาแสดงให้เข้าใจ ๓) เราจักแสดงด้วยอาศัยความเมตตา ๔) เราจักแสดงโดยไม่เห็นแก่อามิส ๕) เราจักแสดงไปโดยไม่กระทบตนและคนอื่น๑๔ ในการแสดงธรรมนั้นผู้ที่เป็นนักเผยแผ่จะกล่าวหรือแสดงธรรมต้องยึดหลักการสอน ๕ ประการดังกล่าวแก่ผู้ฟัง ซึ่งมีอยู่ ๔ ประเภท ตามระดับสติปัญญา กล่าวคือ ๑) อุคฆฏิตัญญูผู้สามารถรู้ได้อย่างฉับพลัน เพียงแต่ยกหัวข้อขึ้นแสดงก็อาจรู้ได้ทันที ๒) วิปจัตญญูผู้สามารถรู้ได้เมื่ออธิบายความอย่างละเอียดแล้วซักถามทบทวน ๓) เนยยะ ผู้สามารถเข้าใจได้เมื่ออธิบายความอย่างละเอียดแล้วซักถามทบทวน ๔) ปทปรมะ ผู้ไม่สามารถเข้าใจอะไรที่ลึกซึ้ง และมีความเห็นผิด อย่างรุนแรง๑๕ สรุปได้ว่า หลักการสอนของพระพุทธเจ้านั้นพระองค์ทรงแสดงธรรมไปตามลำดับกล่าว ยกเหตุผลมาแสดงให้เข้าใจด้วยอาศัยความเมตตาไม่เห็นแก่อามิส โดยไม่กระทบตนและผู้อื่นที่ สำคัญแสดงธรรมตามระดับสติปัญญาแก่ผู้ฟัง ๑๓ พระมหาบุญเลิศ ธมฺมทสฺสี, “ศึกษาวิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระราชวิทยาคม(หลวง พ่อคุณ ปริสุทฺโธ)”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย, ๒๕๔๓), หน้า ๑๕-๑๖. ๑๔ องฺ. ปญจก. (ไทย) ๒๒/๑๕๙/๒๖๓. ๑๕ ที.ม. (ไทย) ๒/๑/๑๔๘ ๔๒ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๔๓ ๒.๖ พุทธลีลาการสอนของพระพุทธเจ้า การสอนของพระพุทธเจ้าแต่ละครั้งมีคุณลักษณะซึ่งเรียกได้ว่าเป็นลีลาในการสอนมี๔ ประการ คือ ๑) สันทัสสนา อธิบายให้เห็นชัดเจนแจ่มแจ้ง เหมือนจูงมือไปดูให้เห็นกับตา ๒) สมาทปนา ชักจูงใจให้เห็นจริงด้วย การชวนให้คล้อยตามจนต้องยอมรับและนำไป ปฏิบัติ ๓) สมุตเตชนา เร้าใจให้แกล้วกล้า บังเกิดกาลงใจ ปลุกใจให้มีอุตสาหะ แข็งขัน มั่นใจว่า จะทำให้สำเร็จ อดทนต่อความเหนื่อยยาก ๔) สัมปหังสนา ชโลมใจให้แช่มชื่น ร่าเริง เบิกบาน ไม่เบื่อ และเปี่ยมด้วยความหวัง เพราะเห็นประโยชน์ในการปฏิบัติ๑๖ ดังนั้น วิธีการสอนเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาทั้ง ๔ ประการ พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ เพื่อปลดเปลื้องความเขลาหรือความมืดมัว เพื่อปลดเปลื้องความประมาท เพื่อปลดเปลื้องความ เกียจคร้านและเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในการปฏิบัติการเผยแผ่ธรรมในแต่ละครั้งต้องประกอบไปด้วย วิธีการทั้ง ๔ ประการ ดังกล่าวมานี้คือ ชี้ให้ชัด ชวนให้ปฏิบัติเร้าให้กล้า ปลุกให้ร่าเริงหรือ แจ่ม แจ้ง จูงใจแกล้วกล้า ร่าเริง ๒.๗ รูปแบบวิธีสอนของพระพุทธเจ้า การสอนคนแม้ในเรื่องเดียวกัน ก็ต้องมีรูปแบบในการสอนหลายๆ แบบจึงจะประสบกับ ความสำเร็จตามต้องการ เพราะคนฟังมีหลายประเภท ต่างจิตต่างความคด สนใจเรื่องที่ตนพอใจ พระพุทธองค์เองเมื่อสอนก็ทรงนำเอาการสอนแบบต่าง ๆ มาสอนตามความเหมาะสมแบบการสอน เหล่านี้คือ ๑) แบบสากัจฉา หรือสนทนา เป็นวิธีที่ทรงใช้บ่อยที่สุดเพราะผู้ฟังได้มีโอกาสแสดง ความคิดเห็นทำให้การเรียนการสอนมีความสนุกสนานไม่รู้สึกว่าตนกำลังเรียนหรือกำลังถูกสอนแต่ กำลังรู้สึกว่าตนกำลังสนทนาปราศรัยกับพระพุทธเจ้าอย่างสนุกสนานในการสนทนานั้น พระองค์ ทรงทำหน้าที่นำสนทนา คือ ทำหน้าที่ในการโยนคำถามให้ขบคิดแล้วต้อนเข้าจุดสรุปอันเป็น ประเด็นที่ต้องการ เช่น ทรงสนทนากับพระโสณโกฬิวิสะ ผู้บำเพ็ญเพียรอย่างหนักในป่าสิตวัน เดิน จงกรมจนเท้าแตกทั้งสองข้างแต่ก็ไม่บรรลุผลที่ต้องการจึงคิดจะลาสิกขาไปเป็นผู้ครองเรือน พระพุทธเจ้า : โสณะ เธอเกิดความคิดเช่นนั้นจริงหรอ ? โสณะ : ถูกแล้ว พระเจ้าข้า พระพุทธเจ้า : เธอคิดอย่างไรเวลาสายพิณของเธอตึงเกินไป หย่อนเกินไป เสียงสายพิณ ของเธอไพเราะกระนั้นหรอ โสณะ : หามิได้พระเจ้าข้า พระพุทธเจ้า : แต่คราวใดสายพิณของเธอไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อน เกินไป ตึงอยู่ในระดับ พอดีเสียงพิณของเธอไพเราะ ใช้การได้ใช่ไหม โสณะ : ถูกแล้ว พระเจ้าข้า วิธีการสนทนานี้พระพุทธองค์ทรงส่งเสริมให้พระสาวกใช้กัน ดังทรงยกย่องว่า “การ สนทนาธรรมตามกาลเป็นอุดมมงคล ” และจะมีศาลาเป็นที่นั่งสนทนาธรรมของพระภิกษุสงฆ์ทุก ๑๖ ที.สี. (ไทย) ๙/๑๙๘/๑๖๑ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๔๓
๔๔ บ่าย เมื่อไม่สามารถตกลงกันได้ในบางเรื่อง พระองค์ก็จะเสด็จมาเอง๑๗ ๒) แบบบรรยาย จะทรงใช้เสมอในที่ประชุมส่วนมากจะเป็นโอกาสที่มีผู้ฟังจำนวนมาก ๆดังที่ทรงแสดงพระธรรมเทศนาในเชตวันมหาวิหาร ในช่วงบ่ายของทุกวันและที่น่าสังเกตคือผู้ฟัง มักจะมีความรู้หรือมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นในขั้นพื้นฐานมาบ้างแล้ว ดังเช่นแสดงแก่ปัญจวัคคีย์ครั้ง แรกทรงใช้วิธีการบรรยาย บรรยายถึงความล้มเหลวของการทรมานร่างกายกับความหมกมนในกาม แล้วชี้ทางสายกลาง คือ มรรค ๘ และอริยสัจจ์๔ เพราะสามารถชี้แจงแสดงเหตุผลได้อย่างละเอียด ๓) แบบตอบปัญหา ในการตอบปัญหาพระองค์ทรงสอนให้พิจารณาดูลักษณะของ ปัญหาและใช้วิธีตอบให้เหมาะผู้ถามอาจถามด้วยวัตถุประสงค์ต่าง ๆ กันบางคนถามเพื่อให้ตอบ คำถามในเรื่องที่สงสัยมานาน บางคนถามเพื่อลองภูมิบางคนถามเพื่อข่มหรือปราบ ให้ผู้ตอบอับ อาย บางคนถามเพื่อเทียบเคียงกับความเชื่อ หรือหลักคำสอนในลัทธิศาสนาของตน พระองค์ตรัสว่า “การตอบปัญหาใด ๆ ต้องดูลักษณะปัญหาและเลือกวิธีตอบให้ถูกต้องเหมาะสม ” จึงทรงจำแนก วิธีตอบปัญหาไว้๔ ประเภท๑๘ คือ (๑) เอกังสพยากรณียปัญหา ปัญหาบางอย่างต้องตอบตรงไปตรงมา ตอบแบบตายตัวไม่ มีเงื่อนไข เช่น ถามว่า จักษุเป็นอนิจจังหรือพึงตอบไปทีเดียวว่าถูกแล้ว (๒) ปฏิจปุจฉาพยากรณียปัญหา ปัญหาที่พึงย้อนถามแล้วจึงแก้เช่น โสตะ ก็เหมือน จักษุพึงย้อนถามว่า ที่ถามหมายถึงแง่ไหน ถ้าบอกว่า ในแง่เป็นเครื่องมอง พึงตอบว่าไม่เหมือนกัน ถ้าถามว่า ในแง่อนิจจัง จึงควรตอบรับว่า เหมือนกัน (๓) วิภัชชพยากรณียปัญหา ปัญหาที่ต้องแยกตอบเป็นประเด็นเป็นเรื่อง ๆ เช่น พระ พุทธองค์ทรงติเตียนตบะใช่หรือไม่อย่ารีบตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ เพราะมีส่วนที่ผิดต้องแยกตอบว่าทรง ติเตียนตบะที่ทรมานตนเอง แต่ทรงสรรเสริญความอดกลั้นว่าเป็นยอดแห่งตบะ เป็นต้น (๔) ฐปนียปัญหา ปัญหาบางอย่างต้องตัดบทไป ไม่ตอบ หรือยับยั้งเสียเพราะถ้าตอบไป จะเป็นปัญหาที่ให้เกิดความทะเลาะ ตอบไปแล้วไม่ทำให้เกิดประโยชน์เช่น ศาสดานั้นสอนอย่างนั้น ศาสดานี้สอนอย่างนี้อยากทราบว่าคำสอนของใครถูก คำสอนของใครผิด พระองค์มักจะตัดบทว่า เรื่องนั้นจงพักไว้ก่อน เราตถาคตจะแสดงธรรมให้ฟัง นี่คือวิธีพักปัญหาของพระองค์ ๔) แบบวางกฎข้อบังคับ โดยใช้วิธีการกำหนดหลักเกณฑ์กฎ และข้อบังคับ ให้สาวก หรือสงฆ์ปฏิบัติหรือยืดถือตัวด้วยความเห็นชอบพร้อมกัน เช่น เมื่อเกิดเรื่องที่เสียหายขึ้นหรือภิกษุ ที่ทำความผิดนำความเสียหายมาสู่หมู่สงฆ์ก็ทรงบัญญัติพระวินัย โดยความเห็นชอบของสงฆ์ ๒.๘ การสอนของพระพุทธเจ้า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นแบบอย่างของผู้ที่มีรูปแบบวิธีสอนที่หลากหลาย ทรงสอนแบบทำนามธรรมให้เป็นรูปธรรม หรือจากง่ายไปหายาก ธรรมะเป็นเรื่องที่มีเนื้อหาลึกซึ้ง ยากที่จะเข้าใจโดยเฉพาะธรรมะขั้นสูงเพราะพระองค์ทรงใช้เทคนิควิธีต่อไปนี้ ๑) การยกอุทาหรณ์และการเล่านิทานประกอบ ทรงยกตัวอย่างประกอบคำ อธิบาย และการเล่านิทานประกอบช่วยให้เข้าใจความได้ง่ายและชัดเจน ดังเช่นเรื่องที่พราหมณ์ทะเลาะกัน ยึดความเห็นของตนเท่านั้นว่าถูก พระพุทธองค์ทรงทราบแล้วจงตรัสว่า ผู้ที่รู้เห็นอะไรแง่มุมเดียวไม่ แคล้วที่จะทะเลาะกันดุจคนตาบอดคลำช้างแล้วเล่าเรื่องคนตาบอด ๙ คนให้ฟัง เป็นต้น ๑๗ เสฐียรพงษ์วรรณปก, พุทธวิธีการสอนจากพระไตรปิฎก, (กรุงเทพมหานคร : เพชรรุ่งการ พิมพ์,๒๕๔๐), หน้า ๕๔. ๑๘ ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๑๒/๒๙๑. ๔๔ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๔๕ ๒) การเปรียบเทียบด้วยข้ออุปมา ทำให้เรื่องที่ลึกซึ้งเขาใจยาก ปรากฏความหมาย เด่นชัดออกมาและเขาใจง่ายขึ้น เช่น ตรัสสอนราหุลว่า ราหุลเห็นน้ำที่เราเหลือไว้ในภาชนะเหนื่อย หนึ่งไหม?ราหุลตอบว่า เห็นพระเจ้าข้า ตรัสต่อไปว่า ดูก่อนราหุล คนที่พูดเท็จทั้งที่รู้มีคุณความดี เหลืออยู่น้อยดุจน้ำในภาชนะนี้แหละ ตรัสแล้วทรงเทน้ำที่เหลือนั้นทิ้ง เป็นต้น ๓) การใช้อุปกรณ์หรือสื่อการสอน พระองค์ทรงใช้สื่อที่อยู่ใกล้ตัวมาสอน เช่น ขณะที่ เดินไปในป่าแห่งหนึ่งมีพระสงฆ์หมู่ใหญ่ตามเสด็จ พระองค์ทรงหยิบใบไม้ขึ้นมากกำหนึ่งแล้วตรัส ถามภิกษุทั้งหลายว่า เห็นใบไม้ในมือตถาคตไหม เห็นพระเจ้าข้า พระสงฆ์ตอบพร้อมกัน นี่คือการใช้ สื่อใกล้ตัวในการสอน ๔) การทำเป็นตัวอย่าง เฉพาะในทางจริยธรรม คือ การทำเป็นตัวอย่าง เช่น ทรง พยาบาลภิกษุไข้และตรัสตอนหนึ่งว่า “ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอไม่มีบิดามารดา ผู้ใดเล่าจะพยาบาล พวกเธอถ้าพวกเธอไม่พยาบาลกันเอง ใครเล่าจะพยาบาล ผู้ใดจะพึงอุปัฏฐากเรา ขอให้ผู้นั้น พยาบาลภิกษุผู้อาพาธเถิด”๑๙ ๕) การเล่นภาษา เล่นคำ และใช้คำในความหมายใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องของความสามารถใน การใช้ภาษาผสมกับปฏิภาณ เช่น กรณีของเวรัญชพราหมณ์เป็นตัวอย่าง ๖) อุบายการเลือกคน และการปฏิบัติรายบุคคล การเลือกคนเป็นอุบายอันสำคัญการ เผยแผ่พระพุทธศาสนา ได้แก่การเริ่มต้นที่บุคคลซึ่งเป็นประมุขหรือหัวหน้าของชุมชนนั้นๆ ๗) การรู้จักจังหวะและโอกาส ผู้สอนต้องรู้จักใช้จังหวะและโอกาสให้เป็นประโยชน์ใน การสอนธรรมะอย่างได้ผล ๘) ความยืดหยุ่นในการใช้วิธีการ ถ้าผู้สอนสอนอย่างไม่มีอัตตา ตัดตัณหา มานะ ทิฏฐิ เสียให้น้อยที่สุดก็จะมุ่งไปยังผลสำเร็จในการเรียนรู้เป็นสำคัญ ๙) การลงโทษและการให้รางวัล การลงโทษในที่นี้คือ การลงโทษตนเองซึ่งมีทั้งทาง ธรรมและทางวินัยอยู่แล้ว มีบทบัญญัติความประพฤติอยู่แล้ว การให้รางวัล คือ การแสดงธรรมไม่ กระทบกระทั่ง ไม่รุกรานใคร เป็นต้น ๑๐) กลวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นเรื่อง ที่เกิดขึ้น ต่างครั้งต่างคราว ย่อมมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไปไม่มีที่สิ้นสุด การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ย่อมต้องอาศัยปฏิภาณคือ ความสามารถในการประยุกต์หลักการและวิธีการต่างๆ มาใช้ให้เหมาะสมเป็นเรื่องเฉพาะคราวไป สรุปได้ว่า วิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้านั้นเป็นต้นตำหรับหลักการ นิเทศศาสตร์กล่าวคือ จะทรงตั้งจุดมุ่งหมายในการสอนว่าทรงกำหนดจุดมุ่งหมายแต่ละครั้งเพื่อ อะไรแล้วก็ทรงเตรียมเนื้อหาหรือเรื่องที่จะสอนไปตามลำดับความยากง่ายไปพร้อมๆ กัน และทรง คำนึงถึงตัวผู้รับการสอนหรือผู้รับสารด้วยว่า เขาจะสามารถเข้าใจและจะนำไปใช้ประโยชน์อย่างไร ซึ่งจะทำให้เกิดความรู้สึกอยากเรียนรู้และสนใจเอาใจใสมีมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพราะรูปแบบและวิธีสอน ก็ทรงมีไว้หลายอย่าง และวิธีการดังกล่าวก็ทำให้การเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าใน ขณะนั้น มีบุคคลทุกชั้นวรรณะเลื่อมใสศรัทธา จนทำให้เกิดการอุปสมบทตาม และสามารถบรรลุ ธรรมเป็นพระอรหันต์เป็นจำนวนมาก ดังที่ปรากฏในพุทธประวัติถึงแม้บางคนจะมิได้อุปสมบท ก็ ตาม แต่ก็ได้น้อมนำหลักพุทธธรรมไปใช้ในการดำเนินชีวิตที่สงบสุขทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว ชุมชน และสังคม ทำให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองทั้งฝ่ายอาณาจักรและศาสนจักรมาโดยตลอด ๑๙ วิ.ม. (ไทย) ๕/๓๖๕/๒๔๐, นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๔๕
๔๖ ๒.๙ หลักการสื่อสารและการเผยแผ่ธรรมของพระพุทธเจ้า การเผยแผ่พระธรรมคำสอนในสมัยครั้งพุทธกาล เป็นการเผยแผ่แบบตัวต่อตัว คือใครก็ ตามที่สงสัย หรือต้องการแก้ปัญหาในชีวิต บุคคลนั้นก็จะแสวงหาคำตอบด้วยตัวเอง๒๐ พระพุทธศาสนาสมัยนั้น เป็นเพียงสำนักที่เกิดขึ้นมาในท่ามกลางสำนักต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อผู้คนใน สมัยนั้น และเป็นทางเลือกที่ประชาชนที่ต้องการคำตอบชีวิตที่ถูกต้องและเห็นจริง พระพุทธเจ้าได้ เผยแผ่คำสอนด้วยพระองค์เอง โดยการตอบปัญหาชีวิตหรือข้อสงสัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับทุกข์ของ ชีวิต การตรัสรู้ของพระองค์เป็นหลักประกันความเข้าใจชีวิต เป็นทางออกของประชาชนในครั้งนั้น พระองค์ตอบปัญหาโดยตรัสถึงหลักความจริงอันเกี่ยวเนื่องกับชีวิต ที่ผู้คนประสบอยู่ ใครก็ตาม สงสัยเรื่องใด สิ่งใด พระองค์คือ จุดหมายปลายทางของประชาชน แม้แต่เจ้าลัทธิต่าง ๆ ที่ต้องการ ถามปัญหา บ้างถามแบบลองเชิง บ้างท้าทาย สุดท้ายคำตอบ คือ การยอมรับเป็นศิษย์เป็นสาวก ของพระองค์เป็นส่วนมาก ซึ่งในจุดนี้เอง สาวกทั้งหมดจึงไม่ตอบปัญหาด้วยตัวเอง แต่จะพามาเฝ้า พระองค์เพื่อให้พระองค์ตรัสปัญหานั้นให้แจ่มแจ้ง จึงเป็นที่ยอมรับของการเผยแผ่ธรรมแบบใหม่ ขึ้นมาในท่ามกลางสำนักที่อวดอ้างต่าง ๆ นานามากมาย จนมีวรรณะต่าง ๆ ตลอดถึงสาวกของลัทธิ อื่นและประชาชน ต่างก็เลื่อมใสศรัทธาคำสอนของพระองค์อย่างมาก นี่คือความสำเร็จในการเผย แผ่หลักธรรมของพระองค์เพราะมีหลักการที่ชัดเจนและเป็นไปเพื่อประชาชน เป็นไปเพื่อความสงบ สุขของสัตว์ทั้งปวง พร้อมทั้งเทวดา เป้าหมายของการเผยแผ่ มีทั้งระยะเบื้องต้น (การสื่อสาร) ใน ท่ามกลาง (การยอมรับนับถือ) และที่สุด (ทางเข้าสู่พระนิพพาน) ส่วนหลักการและวิธีการ พร้อมทั้ง เป้าหมาย คือจุดเด่นที่แตกต่างจากลัทธิต่าง ๆ ในสมัยนั้นอย่างสิ้นเชิง ความสำเร็จในการเผยแผ่ธรรมะของพระองค์ในสมัยนั้น มีสิ่งที่น่าศึกษาคือ การใช้ภาษา ในการสื่อสาร การใช้วิธีกลมกลืนในภาษาท้องถิ่น การใช้จิตวิทยาง่าย ๆ เพื่อเข้าถึงอารมณ์ความ ต้องการของผู้คน ตามระดับฐานะของคนได้เป็นอย่างดีในสมัยนั้น ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นเหตุผลคือ ครั้งหนึ่ง หลังจากออกจากการเสวยวิมุตติการตรัสรู้ใหม่ ๆ มีพราหมณ์คนหนึ่งชื่ออุปกาชีวกมาถาม ว่า อะไรคือ คุณสมบัติของผู้เป็นพราหมณ์พระองค์ตรัสว่าผู้มีบาปธรรมที่ลอยแล้ว (ชำระ) ไม่มี กิเลส ไม่ยึดติด สำรวมแล้ว ประพฤติพรหมจรรย์จบสิ้นแล้ว ได้ชื่อว่า เป็นพราหมณ์แต่อุปกาชีวกไม่ เข้าใจ นั่นมิใช่เพราะพระองค์มีปัญหาเรื่องภาษา แต่เพราะเป็นเรื่องใหม่ที่ผู้ฟังยังไม่เคยฟังและอุป กาชีวกเองมีนิสัยชอบตวาดคนอื่นเสมอว่า หึหึจึงไม่เชื่อว่า การเป็นพราหมณ์ที่พระองค์ตรัสนั้นจริง แล้วส่ายศีรษะและเดินจากไป วัฒนธรรมของพวกพราหมณ์เวลาเจอกันมักจะซักถามกันเรื่องหลัก คำสอน เจ้าสำนัก เพื่อข่ม เพื่อประกาศคำสอนของตน เพื่อแสวงหาความรู้กันหากฝ่ายตนชนะก็จะ ลำพองว่า เก่ง โดยส่วนมากจะมักชื่นชมสรรเสริญความเป็นพราหมณ์โดยฐานะ ครั้งหนึ่งมีพราหมณ์ ผู้หนึ่งที่ชื่อ โสณทัณฑพราหมณ์ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อถาม แต่พอไปถึง กลับเกิดความประหม่า วิตกว่าจะถามอะไรดีและกลัวว่าจะเกิดความผิดพลาดได้ทำให้เสื่อมเสียชื่อหรือคนอื่นดูหมิ่นได้ พระพุทธเจ้าทรงรู้วาระจิตของพราหมณ์จึงถามก่อนว่า พราหมณ์มีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง พราหมณ์ ตอบว่า (๑) มีชาติดี(๒) ท่องมนต์ได้(๓) มีรูปงาม (๔) มีศีล (๕) เป็นผู้มีความฉลาด พระองค์ตรัส ถามอีกว่า ลดเสีย ๑ ข้อ จะกำหนดว่าเป็นพราหมณ์ได้ไหมพราหมณ์ตอบว่าลดข้อ ๓ เสีย พระองค์ ตรัสอีกว่า ลดให้เหลือ ๓ ได้ไหม พราหมณ์ตอบว่าได้ลดข้อ ๒ พระองค์ตรัสอีกว่า ลดให้เหลือ ๒ ได้ ไหม พราหมณ์ตอบว่า ได้ลดข้อ ๑ เหลือ ๒ ข้อ (มีศีล มีปัญญา) แล้วพระองค์ตรัสถามอีกว่า ถ้า ๒๐ อรทัย พนาราม, “สื่อมวลชนกับการเผยแผ่พระพุทธศาสนา”, วารสารพุทธศาสน์ศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ปีที่ ๑๑ ฉบับที่ ๓, ( ก.ย. –ธ.ค. ๒๕๔๗) : ๖. ๔๖ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๔๗ สองข้อลดให้เหลือหนึ่งได้ไหม พราหมณ์ตอบว่าไม่ได้แล้วพระองค์ทรงรับรองธรรมสองอย่างนี้ว่า คือ คุณธรรมของผู้ที่จะเป็นพราหมณ์๒๑นี่เป็นการหักล้างแนวคิดพวกพราหมณ์ในขณะเดียวกันก็หา ข้อสรุปที่สอดคล้องกันกับหลักคำสอนของพระองค์เองด้วย หรือคำที่พระองค์ปฎิเสธมาตลอดคือ คำ ว่า “อัตตา” เพราะพระองค์จะตรัสถึงตัวพระองค์ว่า “เรา” หรือ “ตถาคต” ไม่ใช้คำว่า “อาตมา” เพราะคำนี้เป็นของพราหมณ์และพระองค์ประกาศคำสอนที่แย้งเรื่องอัตตาหรือสภาวะที่เที่ยงมา ตลอด นอกจากนี้อาจจะเป็นพยานให้กับลัทธิอื่นนำไปยืนยันว่า แม้แต่สมณะยังเห็นด้วยกับแนวคิด (เรื่องอัตตา) ของตนได้แต่ปัจจุบันพระสงฆ์กลับใช้เรียกแทนตัวเอง หรือในอีกตัวอย่างหนึ่งที่ พระองค์จะตรัสอย่างพิสดารหรือเปรียบเทียบให้เห็นเป็นรูปธรรม เช่น ปฏิจจสมุปบาท เป็นเรื่อง ยาก ลึกซึ้ง พระองค์เปรียบว่า เหมือนด้ายของช่างหูที่เกิดเป็นปม เหมือนหญ้ามุงกระต่ายเหมือน หญ้าป้อง หรือพระองค์อุปมาพราหมณ์ที่เรียนจบไตรเพทดังนี้พราหมณ์ที่จบไตรเพท แต่ไม่เคยเห็น พระพรหม และแสดงทางไปกับพระพรหมเหมือนชายหญิงชนบทรักกัน แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร อยู่ ไหน รูปอย่างไร พราหมณ์ที่จบไตรเพท แต่ไม่เคยเห็นพระพรหม และแสดงทางไปกับพระพรหม เหมือนคนที่ไต่บันไดขึ้นปราสาทในทางสี่แพร่ง แต่ไม่รู้ว่า ประสาทนั้นอยู่ไหน พราหมณ์ที่จบไตร เพท แล้วละแนวทางการปฏิบัติให้เป็นพราหมณ์แล้วพากันเรียกขาน ชื่อเทพต่าง ๆ เพื่อจะได้ไปอยู่ กับพระพรหม เปรียบเหมือนคนอ้อนวอนฝั่งน้ำให้เข้ามา ย่อมเข้ามาไม่ได้พราหมณ์ที่จบไตรเพท ยัง หมกมุ่นอยู่ สยบอยู่ บริโภคกามคุณ ๕ อยู่ เพื่อไปอยู่กับพระพรหม เปรียบเหมือนคนต้องการข้าม แม่น้ำ แต้เอาเชือกมัดมือไพล่หลังตัวเอง เพื่อจะข้ามไปฝั่งโน้น พราหมณ์ที่จบไตรเพท ถูกนิวรณ์๕ รัดรึงเอาไว้เพื่อต้องการไปอยู่กับพระพรหม เปรียบเหมือนคนที่ต้องการข้ามแม่น้ำ แต่เอาผ้าคลุม ศีรษะนอนลงแล้วอยากข้ามไปฝั่งโน้น พระพุทธเจ้าตรัสสรุปว่า ภิกษุผู้ไม่มีเครื่องเกาะคือสตรี... ภิกษุผู้มีจิตไม่จองเวร ไม่เบียดเบียน มีจิตไม่เศร้าหมอง ฝึกจิตให้เกิดกำลัง ย่อม เข้าสู่แห่งพรหมได้๒๒ สรุปได้ว่า คุณสมบัติเหล่านี้พระพุทธเจ้าทรงมีเต็มบริบูรณ์อยู่แล้ว ฉะนั้น ไม่น่าจะมี ปัญหาเกี่ยวกับภาษาที่พระองค์ตรัส ถึงกระนั้น ผู้ฟังที่ไม่เข้าใจ มิได้หมายความว่า พระองค์มีพระ ประสงค์กล่าวให้คลุมเครือหรือกล่าวให้ไขว้เขว แต่พระองค์ยืมคำเหล่านั้น มาตรัสถาม ตรัสย้ำ เลย ทำให้ผู้ฟัง (สาวก พราหมณ์) เกิดความสงสัยว่า พระองค์ไม่รู้จริง แต่ที่สุดก็เข้าใจเนื้อหาธรรมนั้นได้ ซึ่งการแก้ปัญหาของพระองค์เป็นไปเพื่อประโยชน์ในลักษณะ ๔ อย่างคือ ๑. ต้องการให้ศึกษาหลัก คำสอนให้แตกฉานจนแกล้วกล้าในธรรม ๒. ปฏิบัติตามธรรมจนสามารถได้รับผลที่ควรได้รับ ๓. แสดงธรรม เผยแผ่ธรรมให้คนอื่นเข้าใจได้ด้วย ๔. ต้องปกป้อง รักษาคำสอน มิให้ถูกบิดเบือน เพื่อ รักษาธรรมเอาไว้ ๒.๙.๑ หลักการที่เป็นอุดมการณ์ พระพุทธเจ้าเป็นเสมือนเจ้าลัทธิใหม่ จึงจำเป็นต้องใช้วิธีกลมกลืนไปกับพิธีเก่า ๆก่อน หรือใช้ภาษาวัฒนธรรมเดิม ๆ ไปด้วย เพราะการใช้ภาษาในการเผยแผ่คำสอนยังใหม่อยู่ จึง จำเป็นต้องอิงภาษาชาวบ้านที่ใช้ในยุคสมัยนั้น แต่พระองค์ก็ให้คำจำกัดความหมายแท้ๆ เอาไว้ เฉพาะของพระองค์เอง เหมือนเป็นการยืมภาษามาใช้ตัวอย่างคำว่า พราหมณ์ความหมายเดิมคือ นักบวชที่ทำพิธีกรรม ส่วนความหมายใหม่ของพระองค์คือ ผู้บริสุทธิ์จากกิเลสหรือเป็นพระอรหันต์ ๒๑ ที.สี. (ไทย) ๙/๓๑๑-๓๑๒/๑๑๘-๑๒๐. ๒๒ พ ร ะ พ ร ห ม คุ ณ าภ ร ณ์, สื่ อ ม ว ล ช น กั บ วั ฒ น ธร ร ม ไท ย, (ก รุงเท พ ม ห า น ค ร : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๓๗), หน้า ๗๙-๘๐. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๔๗
๔๘ การใช้ภาษาแบบเฉพาะง่าย ๆ ซึ่งเป็นการเลี่ยงการโจมตีจากลัทธิอื่น เพราะว่าการจ้องทำลายลัทธิ ใหม่ ๆ นั้น คือ ลักษณะนิสัยของเจ้าลัทธิสมัยนั้น พระองค์จึงใช้ภาษาท้องถิ่น ไม่ได้บัญญัติภาษา ตัวเอง เพื่อป้องกันเป็นจุดอ่อนในการโจมตีในแง่ภาษา การตีความ การใช้ถ้อยคำในการเผยแผ่คำ สอน ถึงกระนั้น พระองค์ยังถูกโจมตีเรื่องนี้เช่นกัน การเผยแผ่ธรรมสมัยนั้น มีการเดินทางไปยังถิ่น ที่ต่าง ๆ ที่ห่างไกลออกไป ทำให้ต้องใช้ภาษาท้องถิ่นเป็นพื้นฐานในเผยแผ่ การจะยึดเอาภาษาใด ภาษาหนึ่งนั้น จึงเหมือนเป็นการท้าทายสังคมอยู่ พระองค์จึงไม่ใช้ภาษาใดเป็นการเฉพาะในการเผย แผ่ พระองค์ใช้ภาษาธรรมะ คือ ภาษากาย ภาษาใจ ภาษาอารมณ์และภาษาธรรมะเป็นพื้นฐาน จะ พบว่าพระองค์เสด็จไปที่ใดสามารถใช้อุปกรณ์นั้น ๆ สอนสาวกได้ดังนั้น จึงไม่มีภาษาสื่อกลางที่ แน่นอน สิ่งใดอยู่ใกล้พระองค์ก็ใช้สิ่งนั้นเป็นสื่ออุปกรณ์การสอนด้วย จึงเป็นเรื่องแปลกกว่าเจ้าลัทธิ อื่น ๆ และเป็นเพราะพระปรีชาสามารถ พร้อมพระปฏิภาณของพระองค์เอง พระองค์เป็นผู้รู้วาระ จิตของบุคคลนั้นเป็นอย่างดีการที่จะสื่ออะไร พระองค์คำนึงถึงหลักจิตวิทยาง่าย ๆ สะท้อนให้เห็น ว่าพระองค์เป็นผู้ที่สังเกต มีพระเนตรที่คมและมีความละเอียดในเรื่องการใช้ภาษาใจหรือภาษาทาง อารมณ์ของผู้ฟังอย่างมาก อย่างไรก็ตาม หากจะยึดเอาหลักการตามที่พระองค์ได้เทศนาสั่งสอนที่ ประทานโอวาทแก่สาวกทั้งหลายในวันมาฆบูชาคงพอจะประมวลได้ดังนี้หลักการที่เป็นอุดมการณ์ที่ ควรยึดในการสั่งสอน มี๔ อย่างคือ ๑) ต้องมีความอดทนอดกลั้นต่ออารมณ์ภายในและภายนอก ๒) ต้องไม่เบียดเบียนผู้อื่น ๓) ต้องอยู่ในที่สงบสงัด ทางกาย วาจาและใจ ๔) ต้องยึดเป้าหมายคือ พระนิพพานเป็นที่สุด๒๓ การเผยแผ่ความคิด คำสอนของเจ้าลัทธิต่าง ๆ ในครั้งพุทธกาล ล้วนแต่มีการต่อสู้กันใน แง่การข่มกัน การโต้แย้ง การหักล้างด้วยคำพูดในเชิงภาษา ปรัชญา การเสนอทางปฏิบัติการกล่าว ร้าย การให้ร้ายกัน ถึงขนาดขู่ทำร้ายกันก็มีเช่น พระพุทธเจ้า ถูกศิษย์จากสำนักอื่น ๆ หวังปลงพระ ชนม์และทำให้พระองค์เสียหาย แม้แต่พวกชฎิลยังเคยคิดประทุษร้ายพระองค์โดยอาราธนาให้ ประทับที่โรงเรือนบูชาไฟ ซึ่งมีงูใหญ่อาศัยอยู่ แต่พระองค์สามารถปราบพยศคนเหล่านั้นได้นั่น เพราะว่า พระองค์ทรงทราบว่า การแสดงออกในแง่ตอบโต้มีแต่ทางเสียอย่างเดียวเนื่องจากว่า พระองค์เองเป็นผู้ใหม่ในแง่การเผยแผ่ธรรมะ หากจะเทียบกับเจ้าลัทธิต่าง ๆ ที่ก่อตัวมานาน ย่อม เสียเปรียบเป็นแน่แท้ ดังนั้น สิ่งที่พระองค์ตระหนักดีคือ วางกรอบ วางหลักการสอนเอาไว้เพื่อป้องกันความ เสียหายแก่คำสอนและสาวกของพระองค์เอง หลักการ ๔ ข้อนั้นคือ เกราะป้องกันเป็นอย่างดีใน ขณะเดียวกัน ก็เป็นการสร้างทัศนะและแนวคิดรูปแบบใหม่ ที่ท้าทายให้ผู้สนใจใฝ่ทางหลุดพ้นใน สมัยนั้นได้เป็นอย่างดีนี่คือ การแก้ปัญหาของพระองค์อย่างชาญฉลาด นอกจากหลักที่กล่าวแล้ว ยัง มีหลักการที่เน้นถึงความสัมพันธ์กับสังคมและการบริหารตนเองคือ ๒.๙.๒ หลักการในแง่ความสัมพันธ์กับสังคมและการบริหารตัวเองมี๖ อย่างคือ หลักการในแง่ความสัมพันธ์กับสังคมและการบริหารตัวเองมี๖ อย่างคือ ๑) การอยู่ที่ใด ก็ไม่กล่าวร้าย ไม่ให้ร้ายใคร ๒. การอยู่ที่ใดก็ไม่ทำร้ายและเบียดเบียนใคร ๓. ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม ต้องมีความสำรวมระวังในปาติโมกข์ตลอด ๔. การบริโภคอาหาร ก็ต้องรู้จักพอเพียงแก่ตนเอง ๕. ไม่ว่าจะไปที่ใดที่นั่นควรเป็นที่สงบสงัดแก่ตัวเอง ๖. ต้องหมั่นฝึกฝนตนเองให้เกิดความสงบอยู่ ๒๓ พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตฺโต), จาริกบุญ จารึกธรรม, พิมพ์ครั้งที่ ๑๐, (กรุงเทพมหานคร : พิมพ์สวย, ๒๕๔๗), หน้า ๑๒๒. ๔๘ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๔๙ ตลอด๒๔ นอกจากหลักการที่กล่าวแล้วนี้พระองค์ยังมิได้วางเฉยในการปรับตัวของสาวกเช่นนั้น พระองค์ยังวางกรอบให้สาวกแสดงท่าทีต่อตัวเองอีก เพื่อปฏิบัติต่อคนอื่นและตัวเอง นี่คือหลักการ ในการแสดงความสัมพันธ์กับคนอื่น ซึ่งอยู่บนพื้นฐานในกรอบของตัวเอง เรียกว่า มีดีก่อนที่จะสอน คนอื่นได้ซึ่งก็เป็นไปอย่างราบรื่นตามที่พระองค์วางกฎเหล่านี้ไว้อย่างไรก็ตาม จะพบว่าหลักการที่ พระองค์วางไว้แล้วนั้น หากสาวกองค์ไหนละเมิด พระองค์ก็ทรงตำหนิหรือลงโทษไว้ด้วย นั่นแสดง ว่า พระองค์เน้นการสร้างแม่แบบที่ดีให้แก่ประชาชน ส่วนในเรื่องการปฏิบัติหากสาวกองค์ใดมัวเมา หรือหลงทางหรือท้อแท้พระองค์ก็ขวนขวายช่วยเหลือให้สาวกเหล่านั้น มีกำลังใจ เช่น พระวักกลิที่ มัวเมาแต่ดูรูปพระองค์พระองค์ก็ทรงเตือน พระโมคคัลลานะขณะปฏิบัติธรรมเกิดนิวรณ์(ง่วงนอน) ครอบงำ พระองค์ก็ทรงหาอุบายแก้จนสามารถบรรลุธรรมเมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว หลักการที่ พระองค์วางไว้กว้าง ๆ สำหรับสาวกที่จะออกไปเผยแผ่ธรรมะ มีใจความย่อ ๆ ใน ๓ ประการ เนื่องจากว่า พระองค์มิได้จำกัดวิธีการเผยแผ่ธรรมะอย่างเคร่งครัดจนเกินไป แต่ให้สาวกพิจารณาใน กรอบกว้าง ๆ ทั้งสามนี้ ๒.๙.๓ หลักการในการปฏิบัติ หลักการกว้างๆ ในแง่การกระทำมี๓ คือ ๑. การไม่ทำบาปทั้งปวง ๒. การทำกุศลให้ถึง พร้อม ๓. การทำจิตให้ผ่องแผ้ว๒๕ นี่คือ หลักการกว้าง ๆ ที่พระองค์ประทานแก่สาวกที่เป็นพระ อรหันต์๑,๒๕๐ องค์ในวันมาฆบูชา เพราะสาวกเหล่านี้ต้องเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ เพื่อเผยแผ่พระ ธรรมคำสอนของพระองค์นี่แสดงให้เห็นว่า พระองค์มิได้จำกัดสิทธิในการเผยแผ่ธรรมะ ในรูปแบบ ใดรูปแบบหนึ่งการเผยแผ่หรือการใช้วิธีต่าง ๆ ในการสั่งสอนนั้น แต่ละองค์ตระหนักในหลักการ กว้าง ๆ ข้างบนนี้ ส่วนวิธีการสื่อสาร การสัมพันธ์กับผู้คนในที่ต่าง ๆ นั้น สาวกทั้งหลายคงใช้ภาษาชาวบ้าน หรือหาก ต้องการเนื้อความที่แท้จริง เพื่อมิให้เกิดความผิดเพี้ยนในหลักที่พระพุทธเจ้าสอน สาวกองค์นั้นจะ หาโอกาสเข้าเฝ้าพระองค์เพื่อให้พระองค์เทศนาธรรมให้ฟังอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม พระองค์ก็ได้วางกรอบแนวการสอน และการเผยแผ่พระธรรมคำสอน เอาไว้แก่พุทธสาวกกลุ่มแรก ๖๐ องค์ซึ่งถือกันว่าเป็นพุทธปณิธานที่จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ เวไนยสัตว์ทั้งปวงอย่างสูงสุด เพื่อให้สาวกได้ทำหน้าที่ของตนตามพุทธประสงค์ที่ว่า “จรถ ภิกฺขเว จาริกํพหุชนหิตาย พหุชนสุขายโลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานํพวกเธอจงเที่ยว จาริก (ไป) เพื่อประโยชน์และความสุขแก่มหาชน เพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูล และความสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์ทั้งหลาย”๒๖ การศึกษาถึงปัญหาเรื่องการใช้ภาษาในครั้งพุทธกาล ว่ามีหรือไม่ พระองค์ใช้ภาษาใดใน การสั่งสอนสาวกและประชาชนทั่วไป และพระองค์ทรงแก้ปัญหานี้อย่างไร ซึ่งจะนำเป็นแบบแผนใน การนำมาเป็นบรรทัดฐานในการแก้ปัญหาในปัจจุบันสืบไป ปัญหาที่เป็นจุดค้นคว้าหาคำตอบคือ พระพุทธองค์ทรงรู้ภาษาต่าง ๆ เหล่านั้นได้อย่างไร หรือใช้ภาษาของคนต่างที่ได้อย่างไร พระองค์ใช้ ภาษาใด เป็นภาษากลางในการถ่ายทอดธรรมะให้คนฟังเข้าใจ เพราะในสมัยนั้น เชื่อว่าแต่ละเผ่า แต่ละแคว้นคงใช้ภาษาต่างกัน เสถียรโพธินันทะ กล่าวยืนยันว่า “พระพุทธเจ้ามิได้ใช้ภาษามคธใน ๒๔ ที.ม. (ไทย) ๑๐/๙๐/๕๐-๕๑. ๒๕ ที.ม. (ไทย) ๑๐/๙๐/๕๐-๕๑. ๒๖ วิ. มหา. (ไทย) ๔/๓๒/๔๐. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๔๙
๕๐ การเผยแผ่ธรรมะภาษาเดียว เหตุผลคือ (๑) ในสมัยนั้น แคว้นต่าง ๆ มีภาษาเป็นของตัวเอง คงไม่ เข้าใจภาษาอื่น ๆ มากนัก (๒) ก่อนพระองค์จะออกผนวช ได้ศึกษาศิลปวิทยาการมากมาย จึง เป็นไปได้ว่า พระองค์ย่อมรู้และเข้าใจภาษาอื่นได้โดยไม่ต้องสงสัย”๒๗ นั่นก็เพราะว่า ประเทศ อินเดียในสมัยนั้น มีภาษาใช้มากมาย กรุณากุศลาสัย กล่าวว่า อินเดียมีภาษาที่ใช้กันอยู่เป็นทางการ ๑๕ ภาษา แต่ละภาษามีอักษรเป็นของตัวเองซึ่งส่วนมากมาจากอักษรเทวนาครี๒๘ ใน ๑๕ ภาษานี้ ท่านยังได้กล่าวว่า ทั้งหมดมีอยู่ ๒ ตระกูลใหญ่ๆ คือ อินเดีย- อารยะ(Indo-Aryan) และทราวิฑ หรื อดราวิเดี่ยน (Dravidian) นอกจากสอง ตระกูลนี้แล้ว ยังมีอีกสองตระกูล คือ จีน-ทิเบต (SinoTibetan) และนิษาท (Nisad) ภาษาที่พูดกันมีสี่ตระกูลใหญ่ ๆ เหล่านี้ต่างก็อยู่คนละแคว้น คนละ ทิศ อินเดีย-อารยะอยู่ภาคเหนือ ตะวันตกเฉียงเหนือ ตะวันตก ภาคกลาง ภาคตะวันออก ทราวิ เดี่ยน อยู่ทางภาคใต้จีน-ทิเบต อยู่ในเทือกเขาหิมาลัย ที่ติดเขตประเทศเนปาล ภูฐาน และชายแดน พม่า ส่วนตระกูลนิษาท อยู่กระจัดกระจายตามป่าเขาลำเนาไพร๒๙ ดังนั้น เป็นไปได้ว่าภาษาแต่ละแค้วนมีความแตกต่างกัน อุปนิสัย ความเชื่อ ความคิด วัฒนธรรมย่อมแตกต่างกัน การที่พระองค์จะเจาะจงในการใช้ภาษาใดนั้น คงลำบากในการใช้ภาษา เพราะพระพุทธศาสนาตอนนั้นเป็นเพียงลัทธิใหม่ เป็นศาสนาน้องใหม่จึงเป็นไปได้ที่พระองค์จะวาง หลักการในเผยแผ่ธรรมเอาไว้แบบกว้าง ๆ และวางท่าทีที่ไม่เป็นปรปักษ์กับลัทธิใดพบว่าหลักการใน การสร้างสัมพันธภาพที่ว่า การไม่พูดให้ร้าย การไม่กล่าวร้าย นั่นคือวิธีการที่ลดแรงกระทบกระทั่ง ได้มากทีเดียว เกี่ยวกับการใช้ภาษาสื่อสารในการเผยแผ่ธรรมะในสมัยนั้น ส่วนลีลาท่าทีที่พระองค์ ใช้สอนหรือเผยแผ่ธรรมะนั้น มีลักษณะพิเศษกว่าสาวก เพราะพระองค์เป็นผู้ชี้ชัด แจ่มแจ้งในธรรม เป็นที่ยุติปัญหาข้อขัดแย้งทั้งหมด ชักนำให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจอย่างมีเหตุผลและยังปลุกเร้าใจให้ เกิดความอยากรู้อยากเห็น บางทีก็เหมือนให้กำลังใจไปด้วย ฉะนั้น ลีลาการสอนของพระองค์มี๔ ประการดังนี้ ๑. “ชี้ชัด” คือ สอนให้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง เห็นจริง ด้วยเหตุผล เรียกว่า สันทัสนา ๒. “เชื้อเชิญ” คือ สอนให้เกิดความอยากรู้อยากเห็น ชักชวนชี้นำให้เกิดการปฏิบัติ เรียกว่าสอนในลักษณะ เอหิปัสสิโก คือเรียกให้มาดูเอง นี้เรียกว่า สมาทปนา ๓. “แช่มชื่น” คือ สอนให้กำลังใจ สอนให้เกิดความแกล้วกล้า ท้าทาย ไม่สอนให้เกิด ความเบื่อหน่าย มีสาวกหลายองค์ที่ปฏิบัติไปแล้วเกิดความท้อแท้เบื่อหน่าย พระองค์ก็ทรงสอนให้ เกิดความเข้มแข็ง ไม่ย่อท้อ สอนให้เกิดความพากเพียรเสมอ เรียกว่า สมุตเตชนา ๔. “ชูชม” คือ สอนให้เกิดแรงจูงใจต่อสู้ชี้ให้เห็นประโยชน์สูงสุดในทางสูงสุดเหมือน สอนให้มุ่งมั่นในอุดมการณ์คือ พระนิพพาน เพื่อให้เกิดความหวังและเกิดความสำเร็จโดยเฉพาะการ เห็นทางดับทุกข์อย่างแท้จริง นี้เรียกว่า สัมปหังสนา๓๐ กล่าวโดยสรุป การเผยแผ่ธรรมะของพระพุทธเจ้า ดำเนินไปในกรอบของสังคม พราหมณ์แต่ได้เสนอแนวคิดใหม่ความหมายและเนื้อหาแบบใหม่ โดยอาศัยภาษาเป็นสื่อในการหัก เหคำสอน ส่วนหลักการที่สอนสาวก เพื่อให้สาวกไปเผยแผ่ธรรมะยังที่ต่าง ๆ พระองค์ได้วางหลักไว้ ๒๗ เสถียร โพธินันทะ, ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา, (กรุงเทพมหานคร: บรรณาคาร, ๒๕๑๓), หน้า ๑๐๓. ๒๘ กรุณา กุศลาสัย, อินเดียทวีปที่น่าทึ่ง, พิมพ์ครั้งที่ ๔, (กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ศยาม, ๒๕๔๔), หน้า ๗๖. ๒๙ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๗๖–๗๗. ๓๐ พระธรรมปิฏก (ป. อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ฉบับประมวลธรรม, พิมพ์ครั้งที่ ๙, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๓), หน้า๑๕๘. ๕๐ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๕๑ อย่างชัดเชนคือ อุดมการณ์๔ ข้อ และหลักการบริหารตนอีก ๖ ข้อ ทั้งนี้เพื่อให้พหุชนเข้าใจรูปแบบ คำสอนใหม่ และยอมรับในภาษาใหม่ด้วย ๒.๑๐ ภาษาที่พระพุทธเจ้าใช้สื่อสาร เป็นที่ประจักษ์ดีว่า ภาษาที่พระพุทธเจ้าใช้ในการเผยแผ่ธรรมะ คือ ภาษามคธ แต่ บางส่วนยังสงสัยว่าจริงหรือไม่ ภาษามคธหรือเรียกอีกอย่างว่า ภาษาบาลีโดยเฉพาะฝ่ายเถรวาทได้ ยึดภาษานี้เป็นหลักในการศึกษาค้าคว้าพระพุทธพจน์เพราะเชื่อว่า น่าเชื่อถือที่สุด นอกจากนั้น ยัง มีภาษาสันสกฤต ซึ่งเป็นภาษาพวกพราหมณ์ที่มีอิทธิพลอยู่ในยุคนั้น จากข้อความก่อนหน้านี้คงพอ ทราบเหตุผลได้ว่า พระพุทธเจ้ามิได้เจาะจงว่า จะใช้ภาษาใดในการเผยแผ่ธรรมะ ส่วนการใช้ภาษา มคธ สันสกฤตและภาษาบาลีนั้น ก็เป็นส่วนหนึ่งในแคว้นบางแคว้นที่ใช้เป็นภาษาพูดกัน พระพุทธเจ้าเป็นที่รู้จักกันกว้างไกล การที่พระองค์เสด็จไปที่ใด พระองค์ทรงใช้ภาษาพื้นเมือง เหล่านั้นในการสื่อสาร แต่อย่างไรก็ตาม ยังเป็นปัญหาว่า พระพุทธเจ้าเน้นการใช้ภาษาอะไรกันแน่ ในการเผยแผ่ธรรมะ แม้จะมีสาวกหรือผู้คนต่างแคว้น ต่างถิ่นมาเลื่อมใสจนยอมรับเป็นสาวกของ พระองค์ก็ตาม สาวกเหล่านี้อาจจะเป็นตัวแทนในการนำเอาภาษาดั้งเดิมของตนไปเผยแผ่ศาสนา ด้วย แต่ถึงกระนั้น ก็ยังต้องการภาษาที่เป็นมาตรฐาน เพื่อเป็นเอกภาพในหลักการสอน นั่นคือ พระพุทธเจ้าตรัสเป็นภาษาใด เมื่อสาวกนำไปถ่ายทอด จะต้องแปลงเป็นภาษาอื่นหรือไม่ ความ ผิดเพี้ยน ความคลาดเคลื่อนอาจจะเกิดขึ้นหรือไม่ด้วยเหตุนี้สาวกในสมัยนั้น จึงตระหนักดีว่าการที่ ตนเองจะถือวิสาสะแสดงธรรมเอง ก็อาจเกิดความผิดเพี้ยนในพุทธประสงค์ของพระองค์จึงตัดสินใจ พาบุคคลที่เลื่อมใส ไปเฝ้าพระพุทธองค์เพื่อทูลถามปัญหา จะได้ฟังด้วยหูดูด้วยตาของตนเองดีกว่า อนึ่ง บางองค์อาจจะไม่ถนัดภาษาในท้องถิ่นที่จรจาริกไป เลยไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดง ธรรมมากนัก จึงกล่าวเพียงย่อ ๆ หรือแค่หัวใจธรรมเท่านั้น เช่น พระอัสสชิในขณะออกบิณฑบาต อุปติสสบุตร ซึ่งเป็นศิษย์ของอาจารย์สัญชัย เห็นท่านอัสสชิแล้วเกิดความเลื่อมใส จึงติดตามท่านไป เพื่อฟังธรรมท่าน อุปติสสบุตรขอร้องให้ท่านแสดงธรรมให้ฟัง แต่พระอัสสชิปฏิเสธ อุปติสสะจึง ขอร้องให้แสดงธรรมเพียงย่อ ๆ สั้น ๆ ท่านจึงกล่าวเพียงสั้น ๆ ว่า ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระ ตถาคตทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และย่อมดับไปเพราะเหตุนั้น๓๑ เพียงแค่นี้ทำให้อุปติสสะ เกิดดวงตาเห็นธรรม นี่แสดงให้เห็นว่า พระธรรมคำสอนของพระองค์ใช้ภาษาที่เข้มข้นสั้น ๆ แต่มี ความกระชับกินใจ ได้ความหมายอย่างลึกซึ้ง แม้สาวกเองยังไม่กล้าขยายเนื้อความออกไปให้พิสดาร อย่างไรก็ตาม การใช้ภาษาในการสื่อสารเฉพาะกลุ่มคน ที่มีภาษาเดียวกันนั้น ย่อมเป็น รากฐานในการเข้าใจในภาษาของตนได้ในสมัยพุทธกาล อาจจะมีภาษาที่อยู่ในตระกูลเดียวกัน มากมาย ที่ใช้ในการสื่อสารธรรมกัน อย่างเช่น ภาษาสันสกฤต ภาษาบาลีหรือภาษามคธ ที่ชาวมคธ สื่อสารกันอยู่ เป็นที่น่าสังเกตอยู่ว่าทำไมคนสมัยนั้น ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า จึงสะดุดในเนื้อหา ธรรมะหรือสะดุดในคำสอนของพระองค์แม้แต่สาวกบางองค์ยังสามารถใช้ภาษาอย่างกลมกลืนกับ เนื้อหาคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างดียิ่ง นั่นแสดงให้เห็นว่า คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นคำสอนที่ ใช้ภาษาที่เป็นจริง ไม่ใช้ภาษาฟุ่มเฟือย ใช้ภาษาเพื่อประโยชน์อย่างยิ่ง ใช้ภาษานำพาไปสู่การดับ ทุกข์แก้ปัญหาได้นั่นเอง ในขณะลัทธิอื่น ๆ ล้วนแต่ใช้ภาษาที่เข้าใจยาก ลื่นไหล วกวน ซับซ้อนเชิง ปรัชญา ภาษาของพระพุทธองค์จึงเหมาะแก่ผู้แสวงหาความจริง ได้สาระแก่นแท้ของการหลุดพ้น ภาษาและเนื้อหาธรรมจึงเกลียวเข้าด้วยกันอย่างสนิท เวลาสื่อออกมาจึงไม่มีอะไรแอบแฝงซ่อนเร้น เรียกว่า ปาก (ภาษา) กับใจ (เนื้อหาธรรม) ตรงกันนั่นเอง ผู้ฟังจึงสามารถจับเอาเนื้อธรรมความจริง ๓๑ แสง จันทร์งาม, วิธีสอนของพระพุทธเจ้า, (กรุงเทพมหานคร : มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๐), หน้า ๔๐. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๕๑
๕๒ นั้นได้เร็ว อนึ่ง การที่พระพุทธเจ้าใช้ภาษามคธ อาจเป็นไปได้ว่า แคว้นมคธมีภาษาของตัวเองอยู่แล้ว และแคว้นนี้เป็นแคว้นที่มีอำนาจในการปกครองด้วย ดังนั้น ภาษาบาลีจึงเชื่อว่า มีที่มาจากภาษามาคธีนอกจากนี้ภาษาบาลียังมีส่วนที่ เหมือนกับภาษาปรากฤตอยู่มากทีเดียว ส่วนภาษาบาลีมีส่วนเกี่ยวกันกับภาษามคธนั้น ท่านกล่าวว่า เพราะมาจากภาษาไวทิกะแห่งเดียวกัน แต่แตกต่างกันเล็กน้อยคือ ภาษาสันสกฤต ส่วนมากเป็น ภาษาที่พวกพราหมณ์ใช้กัน ส่วนภาษาปรากฤต คนสามัญใช้กันเพราะไม่ยาก จึงอาจกล่าวได้ว่า พระพุทธศาสนาในพุทธกาล เกิดในท่ามกลางของภาษาต่าง ๆ มากมาย โดยแต่ละแคว้นมีภาษาของ ตัวเอง ภาษาที่พระพุทธเจ้าใช้จึงไม่อาจจะใช้ภาษาใดภาษาหนึ่งเป็นหลัก ดังที่พระองค์เองไม่ อนุญาตให้ยืนยันตามภาษาพุทธพจน์แต่ให้ใช้ตามภาษาท้องถิ่นนั้น ๆ ซึ่งสอดคล้องกับปราชญ์ผู้รู้ใน ศาสนาท่านหนึ่ง คือ เสถียร โพธินันทะ กล่าวในประเด็นนี้ว่า ในสมัยพุทธกาล มีภาษามากมายส่วน ที่พระองค์ใช้ภาษามคธ เพราะมีเหตุผล ๒ ประการคือ (๑) ภาษามคธเป็นภาษาชาวบ้านไม่ยากบาง ทีเรียกภาษานี้ว่า ตันติภาษา แปลว่า ภาษาที่มีแบบแผน คือ มีระบบเป็นไวยากรณ์มีระเบียบมาก ขึ้น (๒) ส่วนที่พระองค์ใช้ภาษาสันสกฤตด้วย เพราะเป็นภาษานักบวช นักเผยแผ่ เป็นภาษาชั้นสูง พวกพราหมณ์เองจึงภูมิใจในภาษาของตัวเองและมีแนวโน้มเหยียดภาษาชาวบ้าน (ภาษามคธ) ด้วย มาในยุคพระพุทธเจ้า พระองค์จึงยึดเอาภาษาธรรมดาหรือภาษาชาวบ้าน ขึ้นมาเป็นภาษาในการ สื่อสาร ภาษามคธจึงได้รับการฟื้นฟูอีกทีเพื่อเผยแผ่ศาสนากับทุกชนทุกชั้นไม่มีวรรณะ๓๒เมื่อกล่าว โดยสรุป พระองค์ใช้ภาษาในลักษณะ ๒ ประการคือ ๑. ใช้ภาษาแบบทางการ (Formal Language) ภาษาที่พบคือ ภาษาที่เป็นคำเดิมหรือ ภาษาที่พวกพราหมณ์ใช้กันอยู่ พระองค์ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างไร เมื่อพวกพราหมณ์นำมากล่าวหรือ สนทนาธรรมด้วยภาษาชั้นสูง (สันสกฤต) พระองค์ทรงใช้ด้วย แต่จะให้ความหมายใหม่ ตามที่ พระองค์สอน โดยมุ่งเน้นที่ความหมายแบบตรงไปตรงมา ได้สาระ ได้ความจริงตามกฎของธรรมเช่น คำว่า อริยะ ความหมายเดิมคือ ลูกของพระพรหม เพราะถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ผู้ประเสริฐ ส่วนความ ใหม่ของพระพุทธเจ้าคือ ความจริงจากชีวิตที่สะท้อนถึงความจริงที่เป็นอยู่อย่างนั้น ไม่มีใครสร้าง ไม่ มีใครกำหนด แต่เป็นไปตามกฎไตรลักษณ์เรียกว่า อริยสัจ ดังนั้น จะพบว่าความหมายของภาษา ทางการ (เดิม) กับความหมายใหม่จึงเกิดขึ้นพร้อมกัน ๒. ใช้ภาษาเชิงเนื้อหา (Material Language) เป็นภาษาที่เปลี่ยนแปลงตามกาล หมายความว่า ไม่ใช่ภาษาตายตัว เป็นภาษาที่ขึ้นอยู่กับผู้พูดเป็นหลัก และสามารถเปลี่ยน ความหมายตามอารมณ์คนพูดได้ด้วย ในพุทธพจน์ของพระองค์มีมากมาย เช่น พระองค์ตรัสกับโจร องคุลิมาลว่า เราหยุดแล้ว แต่ท่านยังไม่หยุด ซึ่งสร้างความสงสัยอย่างมากกับโจรองคุลิมาลจึงแย้ง พระองค์ว่า สมณะมีวาจาเท็จ ท่านก้าวเดินใยตรัสว่าท่านหยุด พระองค์จึงตรัสแก่โจรองคุลิมาล ถึง ความหมายที่แท้จริงว่า เราหยุดจากการทำชั่ว แต่ท่าน (โจร) ยังไม่หยุด ยังคิดจะฆ่าอีก ลักษณะ เช่นนี้นักปรัชญาคนหนึ่งที่ชื่อ วิทกิตสไตน์กล่าวถึงภาษาว่า เหมือนเป็นภาษาแบบเล่นเกม คือ ผู้ฟัง อาจจะไม่รู้ว่าผู้พูดหมายถึงอะไร เพราะเนื้อหาจริง ๆ มิได้อยู่ที่ตัวภาษา แต่อยู่ที่เนื้อหา วัฒนธรรม ของภาษา จึงเป็นภาษาเชิงประหวัด ความจริงอยู่ที่คนพูด นอกจากนี้ความหมายอาจจะเปลี่ยน ตาม กาละ (Time) และเทศะ (Space) ด้วย๓๓ เช่น ภาษาชาวเมือง ภาษาชาวชนบท ให้ถือตามถิ่น ๓๒ เสถียร โพธินันทะ, ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา, หน้า ๙๔-๙๖. ๓๓ สนิท ศรีสำแดง, พระพุทธศาสนากับหลักการศึกษา ภาคทฤษฎีความรู้, (กรุงเทพมหานคร: นีลนาราการพิมพ์, ๒๕๓๔), หน้า ๔๖. ๕๒ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๕๓ นั้นๆเพราะฉะนั้น ภาษาที่พระองค์ใช้ในการสื่อสารจึงน่าจะประกอบด้วย ภาษาท้องถิ่น(ชาวบ้าน) และภาษาชาวเมือง (ทางการ) หากกล่าวโดยเจาะจงภาษาคือ ภาษาปรากฤต ภาษามาคธีและภาษา สันสกฤต เป็นต้น ๒.๑๐.๑ ภาษาดั้งเดิมในท้องถิ่น พระพุทธศาสนาเกิดในท่ามกลางลัทธิต่าง ๆ โดยมีศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูเป็นศาสนา หลักในการเผยแผ่คำสอนอยู่ตอนนั้น ดังนั้น กิจกรรมต่าง ๆ ที่พระพุทธศาสนาประกอบขึ้นมานั้น ล้วนแต่อาศัยฐานทางวัฒนธรรมของพราหมณ์ โดยเฉพาะภาษาในการถ่ายทอดสาระเนื้อหา หลักธรรม ความจริงที่พระพุทธเจ้าประกาศ ส่วนหนึ่ง ได้นำเอาคำศัพท์ต่าง ๆ มาจากพราหมณ์ แล้วนำมาปริวรรตเป็นของตัวเอง ในเนื้อหาเฉพาะชาวพุทธ ภาษาในสมัยนั้น คือสันสกฤตและภาษา มคธหรือภาษาบาลีรากฐานจากความเชื่อเรื่องภาษาเกิดมานานแล้ว โดยเฉพาะภาษาสันสกฤตเป็น ภาษาที่พราหมณ์เชื่อว่า คือ วจนะของพระเจ้าโดยตรง ไม่ใช่คำพูดหรือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น ต่อมาจึง เรียกภาษานั้นว่า “พระเวท” แปลว่า การท่องจำ (เพื่อให้เกิดความรู้) ไม่มีการจดหรือบันทึกเป็น อักษรเด็ดขาด เพราะชาวพราหมณ์ให้ความสำคัญภาษาพูดมากกว่าภาษาเขียน เหตุผลที่ใช้วิธีการ พูดหรือท่องจำ คือ ภาษานี้เป็นวจนะที่เกิดมาจากเสียงหรือลมหายใจของพระเจ้า คือพระพรหม นั่นเอง การท่องจึงเป็นการเผยความจริงเกี่ยวกับพรหมัน การทำให้บรรลุถึงการดับทุกข์๓๔ ดังนั้น ภาษาที่ใช้ในการเผยแผ่ทางศาสนาพราหมณ์ในสมัยนั้น คือ ภาษาสันสกฤต ซึ่ง เป็นภาษาที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นภาษาที่สูง ผู้ที่อ่านได้คือ ผู้นำทางพิธีกรรมเท่านั้น และผู้ที่สืบทอดจะต้อง ท่องจำเอา ส่วนภาษาชาวบ้านนั้นแตกต่างกันแล้วแต่ละแคว้น ในแคว้นที่พระพุทธเจ้าทรงเผยแผ่คือ แคว้นมคธ ดังนั้น ภาษาที่พระองค์ใช้จึงเป็นไปได้ว่าคือ ภาษามคธเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามแต่ละ แคว้นกว้างใหญ่ การที่จะใช้ภาษาเดียวกันคงเป็นไปไม่ได้พระองค์ทรงอนุญาตให้สาวกทั้งหลายของ พระองค์แปลสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสไว้เป็นภาษาถิ่นของตน๓๕ แสดงว่า พระองค์มิได้ให้สาวกนำเอา ภาษาที่พระองค์ตรัสไปถ่ายทอดทีเดียว แต่ให้แปลเป็นภาษาของท้องถิ่นนั้นได้แต่ทุกวันนี้ยังเป็น ปัญหาอยู่ว่า พระพุทธเจ้าใช้ภาษาใดสื่อสารกันแน่ ระหว่าง ภาษาประกฤต สันสกฤตและภาษามคธ หรือภาษาบาลีเพราะพระองค์ใช้วิธีการสอนที่แตกต่างกันหลายแบบ เช่น แบบปฏิรูป แบบปฏิวัติ และแบบที่ตั้งคำสอนขึ้นใหม่ ไม่ว่าจะเป็น ศัพท์ความหมายและพิธีกรรม ที่พระองค์เลือกเอาภาษา บาลีหรือภาษามคธ เพราะว่าภาษาสันสกฤตนั้นเป็นภาษาชั้นสูง ที่พราหมณ์ใช้สื่อสารกัน ส่วนภาษา บาลีเป็นภาษาที่คนสามัญชนพูดกัน แม้แต่พระองค์เองไม่อนุญาตให้สาวกนำพุทธวจนะไปพูดทับ ภาษาอื่น แต่ทรงอนุญาตให้ต่างคนต่างศึกษาเป็นการเฉพาะที่ตนเองถนัดได้ในภาษาของตนเอง หมายความว่า พระองค์ไม่ยึดติดที่ภาษา แต่เน้นที่เนื้อหาธรรมะมากกว่า๓๖ ๒.๑๐.๒ การแก้ปัญหาเรื่องภาษาของพระพุทธเจ้า ๓๔ สมฤดีวิศทเวทย์, “ภาษากับความจริงในพระพุทธศาสนาเถรวาท”, วารสารพุทธศาสน์ศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ฉบับที่ ๑, (ม.ค.-เม.ย., ๒๕๔๖) : ๕๐–๕๑. ๓๕ พระมหาเทียบ สิริญาโณ, “บาลีคือ อะไร?”, เก็บเพชรจากคัมภีร์พระไตรปิฎก, อนุสรณ์ชนมายุ ครบ ๘๔ ปีพระสุเมธาธีบดี, (๒๕๔๕) : หน้า ๒๔๐. ๓๖ วสิน อินทสระ, ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ เจริญกิจ, ๒๕๓๕), หน้า ๓๓๒–๓๓๓. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๕๓
๕๔ การแก้ปัญหาของพระองค์มีมากมายหลายอย่าง ตั้งแต่เฉพาะหน้า กาลเวลาในอนาคต ปัญหาเฉพาะหน้าพระองค์จะตรัสตอบเองด้วยลีลาการสอนที่แตกต่างกัน ไม่ว่า ประชาชน พระ สาวก พราหมณ์พระราชา เทวดา พระพรหม ล้วนแต่ใช้ลีลาการสอนที่แยบยล แยบคายตามจริต ตามพื้นเพนิสัยนั้น ๆ การแก้ปัญหาของพระองค์มีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เช่น การตอบโต้การ ซักถาม การตำหนิการชื่อชม ทุกแห่งที่พระองค์เสด็จไป ย่อมเป็นอุปกรณ์ในการแก้ปัญหาด้วยและ การแก้ปัญหาอีกอย่างคือ การวางหลักการเอาไว้ให้ปฏิบัติตาม เช่น โอวาท ๓ ข้อ หลักอริยสัจ ๔ การตอบปัญหา การแก้ปัญหานี้พระองค์เกือบไม่มีเวลาพักเลย ในหนึ่งวัน พระองค์จะคอย แก้ปัญหาให้เวไนยสัตว์เสมอ ตั้งแต่เช้าตรู่ สาย บ่าย เย็น เที่ยงคืน ล้วนแต่เป็นเวลาที่พระองค์คอย แก้ปัญหาทั้งสิ้นการแก้ปัญหา จึงเป็นงานเผยแผ่ธรรมะไปด้วย นอกจากนี้พระองค์ยังต้องมาคอยแก้ พฤติกรรมของสาวกที่ประพฤติผิดพระธรรมวินัยอีก หลายครั้งที่แก้อรรถธรรมะแก่ พราหมณ์ทั้งหลาย เพื่อปราบพยศเจ้าลัทธิต่าง ๆ จึงทำให้เจ้าลัทธิเหล่านั้น เกิดความอับอายและ เสียความเชื่อถือ ด้วยเหตุนี้เอง จึงเกิดการท้าทาย และจ้องทำลายคำสอน แม้แต่พระวรกาย แต่ พระองค์สามารถแก้ปัญหานี้ได้ศัตรูของพระองค์มีสองทางคือ ทางใน คือพวกมารทั้งหลายเช่น กิเลสมารขันธมาร มัจจุราชมาร และทางนอกเช่น เจ้าลัทธิต่าง ๆ หรือแม้แต่สาวกพระองค์คือ พระ เทวทัตสิ่งที่พระองค์ใช้การตอบโต้ในการแก้ปัญหาคือ การใช้ปัญญา กอปรภาษา อย่างสุขุมลุ่มลึก อดทนกล่าวเรื่องจริง และอิงพระธรรมที่พระองค์ตรัสรู้เท่านั้น ครั้งหนึ่งมีคนด่า พระอานนท์ทูลว่า ทำไมพระองค์ไม่เสด็จหนีพวกที่ด่า พระองค์ถามว่า หากมีคนมาด่าอีกจะทำอย่างไร อีกกรณีหนึ่ง ภรรยาของพราหมณ์คนหนึ่ง กล่าวสรรเสริญพระพุทธเจ้าบ่อย ๆ สามีเกิดความรำคาญ จึงคิดอยาก ไปประวาทะกับพระองค์พอไปถึงก็ทูลถามพระองค์ว่า ฆ่าอะไรเสียได้จึงจะอยู่เป็นสุขพระพุทธเจ้า ตรัสว่า ฆ่าความโกรธ จะเป็นสุข๓๗ จนกลายเป็นคำสอนที่สืบทอดมาถึงปัจจุบัน โดยผ่านทาง พระไตรปิฎก ถึงกระนั้น พระสงฆ์ยังต้องเผยแผ่แก้ปัญหาธรรมอยู่เสมอ ดังที่พระธรรมปิฎกกล่าวถึง การแก้ปัญหาของพระองค์มี๓ ลักษณะคือ ๑. แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อนเช่น พฤติกรรมของตัวเอง แก้ตามจริตของตน เรียกว่า แก้ปัญหาขั้นต้น (ศีล) ๒. การพยายามปรามจิตโดยการอบรมจิตใจ ฝึกจิตให้สงบ ระงับกิเลสให้เบาบางลง เรียกว่า การแก้ปัญหาในระดับขั้นกลาง (สมาธิ) ๓. การเข้าใจระบบธรรมชาติอย่างที่มันเป็น เข้าใจในหลักที่พระองค์ทรงสอนเพื่อให้ แจ้งในหลักคำสอนเช่น อริยสัจ ๔ การแก้ปัญหาเช่นนี้เรียกว่า ระดับขั้นสูงสุด (ปัญญา) ๓๘ ดังนั้น การเผยแผ่ธรรมะ โดยการใช้ภาษาสื่อสารของพระองค์มีหลายรูปแบบ ไม่ว่า ชี้แจง ตอบโต้วางหลักการไว้ใช้คำเดิมแต่เลี่ยงความหมาย โดยสรุปเรียกว่า ลีลาการตอบแบบ ๘ ย.คือ ยอกย้อน แยกแยะ ยืนยัน และหยุดอยู่ จนวิธีการเหล่านี้กลายเป็นทฤษฎีต่อการสืบทอดใน การเผยแผ่คำสอนมายาวนาน โดยผ่านการรวบรวมเป็นระบบกลายเป็นพระไตรปิฎกจนทุกวันนี้ ๒.๑๑ การสืบทอดภาษาในพระไตรปิฎก คำว่า พระไตรปิฎก แปลว่า ๓ ตะกร้า มาจากคำว่า ไตร แปลว่า ๓ ปิฎก แปลว่าตะกร้า หมายถึง ตะกร้าที่บรรจุ ๓ คัมภีร์คือ พระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรม เรียกว่าพระไตรปิฎก ๓๗ สํ.ส. (ไทย) ๑๕/๖๒๖/๖๓๐. ๓๘ พระธรรมปิฎก, พุทธวิธีการสอน, หน้า ๙๕-๙๖. ๕๔ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๕๕ ความเป็นมาของพระไตรปิฎกเกิดมาจากเหตุการณ์หลังพุทธปรินิพพาน โดยมีสาวกเป็นผู้รวบรวม จัดระเบียบคำสอนของพระองค์ให้เกิดเป็นระบบขึ้น สาวกที่สำคัญในการรวบรวมมี๔ องค์คือ พระ อานนท์พระอุบาลีพระโสณกุฎิกัณณะและพระมหากัสสปะ การรวบรวมกระทำโดยวิธีที่เรียกว่า สังคายนา สาเหตุที่ทำได้มาจากสมัยนั้น นิครนถ์นาฎบุตร เจ้าลัทธิ(ศาสนาเชน) ได้สิ้นชีพลง เหล่า สาวกก็เกิดแตกคอกันขึ้น โดยแตกเป็นกลุ่มเล็ก กลุ่มใหญ่ พระจุนทะเถระได้สังเกตเห็นเช่นนี้จึง ปรารภว่า หากพระพุทธองค์ปรินิพพาน กลัวว่าสาวกจะแตกคอกันเหมือน สาวกของนิครนถ์นาฎ บุตร จึงไปบอกพระอานนท์ให้เฝ้าพระพุทธเจ้า เพื่อแก้ปัญหาเช่นนี้ต่อไป๓๙ หลักคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมดจุอยู่ในพระไตรปิฎก มีทั้งหมด ๘๔,๐๐๐ พระ ธรรมขันธ์เรื่องราวต่าง ๆ หลักธรรม วิธีการ การเผยแผ่ข้อคิด แก่นธรรม หลักปฏิบัติในการดำเนิน ชีวิต ฯลฯ ล้วนอยู่ในพระไตรปิฎกทั้งสิน ดังนั้น เปลือก กะพี้แก่น จึงอยู่ด้วยกันซึ่งก็ขึ้นอยู่กับภูมิ ธรรมของมนุษย์ว่าจะเข้าใจ และนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์อย่างไร มีการเปรียบเทียบพระไตรปิฎก เหมือนต้นไม้๔๐ ได้แก่ ๑) ความหลุดพ้น คือ แก่นของไม้๒) ปัญญา คือ กะพี้๓) สมาธิคือ เปลือก ไม้ศีล คือ สะเก็ดไม้ลาภสักการะ คือ กิ่ง ใบ ยอด ของไม้๔๑ ดังนั้น คำสอนที่เปรียบเช่นนั้น ย่อมมี คนที่เข้าถึงบ้างไม่ถึงบ้าง บางครั้งมีการตีความเอาผิด ๆ หรือไม่ยอมรับเลยก็มีด้วยเหตุนี้การ กลั่นกรอง การปรับปรุง การตีความใหม่จึงเกิดขึ้นภายหลังจึงมีการกลั่นกรองธรรมวินัยขึ้น เรียกว่า “การสังคายนา” คือ การรวบรวมคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เกิดความชัดเจน เป็นระบบมากขึ้น ทั้งนี้เพื่อป้องกันหลายทางไม่ว่า สาวก ลัทธิอื่น ๆ คำสอน หลักการ พุทธพจน์ธรรมะ ภาษา หลักการเผยแผ่และการสืบทอด เพื่อมิให้เกิดความเสียหาย หรือเสื่อมสูญไป คำว่า สังคายนา มา จากสองคำ คือ สํแปลว่า พร้อมกัน และคำว่า คายนา แปลว่า การสวด คือ การท่องด้วยปากเปล่า โดยเฉพาะการท่องจำแก่นแท้ของคำสอนของพระองค์เพื่อมิให้หลงลืม การทำสังคายนาเกิดมาแล้ว หลายครั้ง ทั้งในประเทศอินเดียและนอกอินเดีย ผลจากทำการสังคายนามีส่วนช่วยรักษาคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้หนึ่งในนั้นคือ “ภาษา” ภาษาเป็นสายส่งการสืบทอดพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามาจนถึงปัจจุบัน แต่ก่อนมี การสืบทอดกันมาโดยวิธีท่องจำ เรียกว่า “มุขปาฐ” (Oral Tradition) แต่หลังจากการทำสังคายนา ครั้งที่ ๔ เริ่มมีการจดบันทึกไว้เป็นอักษร นี่คือ ต้นกำเนิดการในการเกิดการสืบทอดภาษาอักษรซึ่งมี การตีความ การถือเอาศัพท์การอธิบายของพระอรรถกถาจารย์ฎีกา อนุฎีกา ย่อมมีการตีความ แตกต่างกัน เป็นปัญหาในการถือเอาเป็นมติในความหมายภาษาพุทธพจน์ดังนั้น การที่จะเชื่อหรือ วางใจในมติของผู้รู้เหล่านั้น ย่อมแคบในความเข้าใจได้สิ่งที่ควรจะศึกษาควบคู่ไปด้วยคือ การ ค้นคว้าหามูลเหตุบริบททางวัฒนธรรม สังคม ความเชื่อ การปฏิบัติการแสดงออกของผู้คนอินเดีย ในสมัย “ก่อน ระหว่างและหลัง” พุทธศาสนาด้วย จึงจะเข้าใจเนื้อหา ความหมาย ศัพท์และพุทธ ประสงค์ของการเกิดขึ้นของพระพุทธศาสนา หลักฐานในปัจจุบันที่พอจะสืบค้นหาได้ดีที่สุดคือ จาก พระไตรปิฎก ซึ่งได้รวบรวมเหตุการณ์เรื่องราววัฒนธรรม สังคม ภาษา วิธีการเผยแผ่ของเจ้าลัทธิ และของพระพุทธเจ้าด้วย งานนี้เป็นงานที่ผู้วิจัยเน้นที่ปัญหาการใช้ภาษาในการสื่อสาร ทั้งอดีต (พุทธกาล) และปัจจุบัน จึงต้องวิเคราะห์ตั้งแต่พระไตรปิฏกด้วย ๓๙ ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๑-๓๐๒/๒๔๙-๒๕๑. ๔๐ ม. มู. (ไทย) ๑๒/๓๐๗-๓๑๑/๓๔๐-๓๔๘. ๔๑ สุชีพ ปุญญานุภาพ, พระไตรปิฎก ฉบับประชาชน, พิมพ์ครั้งที่ ๑๖, (กรุงเทพฯ : มหามกุฎราช วิทยาลัย, ๒๕๓๐), หน้า ๕๐. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๕๕
๕๖ ๒.๑๑.๑ ภาษาในพระไตรปิฎก ฝ่ายเถรวาทยืนยันว่า ภาษาบาลีคือภาษาพุทธพจน์เพราะเป็นตันติภาษา ภาษาบาลี อยู่ในกลุ่มเดียวกันกับภาษาปรากฤต (ภาษาปรากฤต เป็นภาษาพื้นเมืองชาวอารยันสมัยกลาง มี๕ ภาษาคือ มหาราษฎร์เศารเสนีมาคธีปราจยา และอวันตี) ภาษามคธีที่พระพุทธเจ้าประกาศพระ ศาสนาต่อมาถูกถ่ายทอดมาทางปากเรียกว่า มุขปาฐ จนมีการทำสังคายนาจึงมีการบันทึกเป็นอักษร อย่างไรก็ตาม มีหลายฝ่ายตั้งเป็นคำถามว่า จริงหรือที่พระพุทธองค์ใช้ภาษาบาลีเป็นภาษาประกาศ พระศาสนา ศ. จำนงค์ทองประเสริฐ กล่าวในงานแปลหนังสือ บ่อเกิดลัทธิประเพณีอินเดียไว้ว่าการ บันทึกพุทธพจน์ลงในใบลาน เป็นพระไตรปิฎกเพิ่งจารึกเมื่อรัชสมัยพระเจ้าวัฏฏคามณี(พ.ศ.๔๕๔– ๔๖๖) นี่เอง คัมภีร์ที่จารึกคือ พระอภิธรรม ท่านกล่าวว่า ภาษาบาลียังไม่ถือว่าเป็นหลักในการ บันทึกในพระไตรปิฎก๔๒ ส่วนเสถียร โพธินันทะ กล่าวยืนยันว่า ข้าพเจ้ายืนยันว่าภาษามคธหรือบาลีคือ ภาษาที่ พระพุทธเจ้าตรัสอย่างแน่นอนไม่มีข้อสงสัยใด ๆ เพราะการทำสังคายนาครั้งแรก ทำที่แคว้นมคธ และภาษามคธในสมัยนั้น มีอิทธิพลมาก และมีคนพูดภาษานี้๔๓ เพราะอะไรภาษามคธจึงกลายมา เป็นภาษาบาลีภาษามคธนั้นมีไวพจน์(คำเหมือน) กันอยู่ ๒ คำ คือ มูลภาษา แปลว่า ภาษาดั้งเดิม และตันติภาษา แปลว่า ภาษาแบบแผนเหมือนกับภาษาบาลีก็มีไวพจน์เช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นไปได้ว่า ภาษาทั้งสองคือ ภาษาอันเดียวกัน ในขณะฉลาด บุญลอย ให้ทัศนะว่า เพราะภาษามาคธีเป็นภาษา เก่าไปเมื่อนำมาใช้ในปัจจุบัน ส่วนเสฐียรพงษ์วรรณปก กล่าวว่า ภาษาบาลีน่าจะมาจากเผ่าอารยัน เป็นภาษาแม่ของชาวอินโด-อารยัน ซึ่งอาจจะเป็นภาษาที่เก่ากว่าภาษาสันสกฤต เพราะเป็นภาษาที่ แบบแผนมีระบบมากกว่าภาษาสันสกฤต๔๔ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีข้อสงสัยเรื่องภาษาทั้งสองก็ตาม ส่วนมาก ปัญหาเกิดภายหลัง พุทธปรินิพพานเช่น ในสมัยลังกา โดยเฉพาะพระอรรถกถาจารย์ต่างตีความเอาเอง วิเคราะห์เอา เองส่วนภาษาที่พระพุทธเจ้าใช้เสถียรพงษ์วรรณปกยืนยันว่า พระองค์ทรงใช้ภาษามาคธีแน่นอน แต่เนื่องจากว่า พระองค์มิใช่เปน็ชาวมคธ ภาษาอาจจะออกเสียงผิดเพี้ยนในสำเนียงเท่านนั้นเอง๔๕ ดังนั้นจึงเป็นไปได้มากว่า ภาษาที่พระพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมคือ ภาษาบาลีหรือภาษามคธคำว่า บาลี มีความหมายหลายอย่างเช่น หมายถึงปริยัติขอบ ริม แถว แนว ธรรม ใบหูคูสะพานหม้อ๔๖ ที่ เรียกว่า บาลีนั้น เพราะเป็นภาษาที่รักษาเค้าความเดิมของตำรานั้น ๆ ไว้เพราะมีแบบแผนที่แน่นอน แข็งแรงดุจขอบสระ เพราะมีการสืบทอดกันมา๔๗ คำว่า บาฬีน่าจะมาจาก “ปาตลีภาษา” ต่อมาจึง ใช้คำว่า “ปาลิ” บางท่านเชื่อว่ามาจากคำว่า “ปงฺกติ” แปลว่าระเบียบแห่งพุทธพจน์บางท่านว่ามา จากคำว่า “ปริยาย” แล้วกลายมาเป็นปลิยายและปาลิยายโดยลำดับ และที่สุดกลายมาเป็น ปาฬิ ท่านผู้รู้วิเคราะห์ว่า ทำไมจึงเรียกเป็นภาษาบาฬีเพราะว่าเป็นภาษาที่บรรจุพระพุทธพจน์ที่เป็น ๔๒ Wm. Theodore de Bary, บ่อเกิดลัทธิประเพณีอินเดีย, แปลโดย จำนงค์ทองประเสริฐ, พิมพ์ ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร : อรุณการพิมพ์, ๒๕๔๐), หน้า ๑๐๔. ๔๓ เสถียร โพธินันทะ, ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา, หน้า ๑๑๑. ๔๔ เสฐียรพงษ์วรรณปก, คำบรรยายพระไตรปิฎก, ๒๕๔๓, หน้า ๒๑๕. ๔๕ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒๑๙. ๔๖ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒๑๒-๒๑๓. ๔๗ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒๑๔. ๕๖ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๕๗ ภาษามคธ ดังนั้น จึงเรียกในอรรถเนื้อหาในพุทธพจน์ว่า เป็นภาษาบาลฬีไป๔๘ภาษาบาลีที่เรารู้จัก ในปัจจุบันนี้คือ อริยกภาษา หมายถึง ภาษาของชาวอริยกะที่เจริญ ภาษาบาลีปรากฏชื่อที่แตกต่าง กันตามหลักดังนี้คือ อัฏฐกถา ฎีกา มีชื่อเรียกว่าอริยกภาสา ธัมมะนิรุติสภาวนิรุติมาคธภาสา ตันติ ภาสา มูลภาสา และปกิตภาสา ภาษาบาลีเป็นชื่อคัมภีร์หนึ่ง ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาเท่านั้น ท่านยังกล่าวอีกด้วยว่า ภาษาบาลีจะพบในยุคหลัง ๆ นี้เอง๔๙ หากจะแปลภาษาพุทธพจน์เป็นภาษา อื่นด้วยจิตที่เป็นกุศล เพื่อรักษาพระพุทธศาสนา เพื่อให้ทราบถึงความหมาย ความจริงที่ลึกซึ้ง ถือ ว่าไม่ผิดหรือเสียหายอะไร๕๐ พระไตรปิฎกเป็นต้นฉบับที่บรรจุพระพุทธพจน์เอาไว้ด้วยภาษาบาลี หรือมคธ ยากที่คนทั่วไปจะเรียนรู้ให้เข้าใจ เพราะว่ามีความลึกซึ้ง ด้วยเหตุนี้จึงมีวิธีการขยายความ ตีความให้กระจ่างด้วยการแต่งคัมภีร์ต่าง ๆ เพื่อให้ได้อรรถสาระเนื้อความที่กว้างขึ้น ซึ่งถือว่าเป็น เครื่องมือในการตีความ เครื่องมือหรือคัมภีร์ในการตีความพอลำดับได้ดังนี้พระบาฬีอรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา มธุคัมภีร์นิ้วก้อย คัณฐีโยชนา ทีปนีนิสยะ สารัตถะ วิสุทธิมรรค มลคลทีปนีและ คัมภีร์ที่เรียกว่า มิลินทปัญหา ถือว่าเป็นการขยายความพุทธพจน์ที่ลึกซึ้งให้กระจ่างเช่นกัน๕๑ ๒.๑๑.๒ การใช้ภาษาพูดในพระไตรปิฎก การพูดหรือการสื่อสารในสมัยพุทธกาล เป็นภาษาหลักในการสื่อสารของพระพุทธเจ้า เพราะเป็นการเผชิญหน้ากับผู้คนที่เข้ามาสอบถามหรือโต้ตอบกับพระองค์ส่วนมากพระองค์จะตรัส เอง การเผยแผ่ธรรมในสมัยนั้นเป็นแบบสื่อบุคคล โดยผ่านการพูด สามารถซักถามประเด็นที่ไม่ เข้าใจกันได้ดังนั้น จึงเป็นสื่อบุคคลที่เหมือนศาลยุติธรรม เพราะเวลาใครหรือสาวกองค์ใดมีปัญหา จะเข้าเฝ้าพระองค์ให้พระองค์ตัดสินให้การตัดสินของพระองค์เป็นการตัดสินโดยอาศัยธรรมเป็นที่ ยุติและเป็นไปเพื่อเป้าหมายสูงสุดคือ การดับทุกข์จึงมีคนสงสัยข้อธรรมมากมาย แต่พระองค์ สามารถชี้แจงได้หมด แม้แต่การตรัสธรรมดาที่เป็นภาษาพูด ที่แฝงได้ด้วยปรมัตถธรรมด้วย เช่น เมื่อครั้งที่พระองค์ตรัสคำว่า “หยุด” แก่โจรองคุลิมาล แต่องคุลิมาลกลับไม่เข้าใจที่พระองค์ตรัส แต่ พอเข้าใจกลับกลายบรรลุธรรมแทน โจรองคุลิมาลกล่าวกับพระพุทธเจ้าว่า “จงหยุดสมณะ จงหยุด ก่อนสมณะ พระพุทธเจ้าตรัสว่า เราหยุดแล้ว องคุลิมาล ท่านเล่า จงหยุดเถิด องคุลิมาลดำริว่า สมณะศากยบุตรเหล่านั้น มักเป็น คนพูดจริง มีปัญญา แต่สมณะรูปนี้เดินไปอยู่เทียว ไฉนกลับพูด ว่า เราหยุดแล้ว องคุลิมาล ถามว่า ดูกรสมณะ ท่านกำลังเดินไป ยังกล่าวว่า เราหยุดแล้ว แล้วท่าน (องคุลิมาล) ยังไม่หยุด ยังกล่าวกะข้าพเจ้าว่า ผู้หยุดแล้ว ว่าไม่หยุด ดูกรสมณะ ข้าพเจ้าขอถาม เนื้อความนี้กะท่าน ท่านหยุดแล้ว เป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า เราวางอาชญาในสรรพสัตว์ ได้แล้ว จึงชื่อว่า หยุดแล้วในกาลทุกเมื่อ ส่วนท่านไม่สำรวมในสัตว์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้น เราจึงหยุด แล้ว ท่านยังไม่หยุด๕๒ คำว่า “หยุด” มีนัยที่แตกต่างกันระหว่างพระพุทธเจ้ากับองคุลิมาล ๔๘ พระธรรมวโรดม, ความรู้เรื่องหนังสือบาลี, (กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ,๒๕๓๑), หน้า ๔–๕. ๔๙ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒-๓. ๕๐ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒๔. ๕๑ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒๖. ๕๒ ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๔๗-๓๔๙/๔๒๑-๔๒๔. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๕๗
๕๘ ความหมายของพระองค์คือ หยุดการทำชั่ว ไม่ทำร้ายสัตว์แล้ว เป็นการหยุดทางภาษาอภิปรัชญา ส่วนความหมายขององคุลิมาล คือ การหยุดเดิน หยุดด้วยกิริยาการเคลื่อนไหวทางกายภาพ เป็น ภาษาทางชาวบ้านที่เข้าใจกัน หากพิจารณาจริง ๆ แล้ว ภาษาที่พระพุทธเจ้าตรัสและภาษาที่องคุ ลิมาลพูด เป็นภาษาธรรมดา เป็นบทสนทนากันเหมือนชาวบ้านพูดกัน ไม่ใช่ภาษาร้อยกรองเหมือน ภาษาในพระอภิธรรมปิฎก แต่ความหมายแฝงด้วยปรมัตถธรรม อีกคำที่พระองค์ตรัสแก่พระวักกลิคำว่า “เห็น” ซึ่งมีความหมายที่แฝงปรมัตถธรรม ด้วย คำว่า เห็น เป็นลักษณะการใช้สายตามองสิ่งต่าง ๆ เป็นภาษาพูดธรรมดา การมอง การเห็น ของพระวักกลิเป็นการเห็นรูปพระวรกายของพระพุทธเจ้าด้วยสำคัญว่าเป็นผู้มีรูปงาม จึงไม่มี ความหมายเชิงปรมัตถธรรม ส่วนพระองค์ตรัสแก่พระวักกลิในเรื่องการเห็นแตกต่างจากที่พระ วักกลิอย่างสิ้นเชิง และแฝงไปด้วยความหมายเชิงปรมัตถ์อย่างแท้จริง แม้จะเป็นภาษาพูดธรรมดา แต่เนื้อหามีนัยที่ลึกซึ่ง พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ดูกรวักกลิผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา (ตถาคต)”๕๓นั่น แสดงว่า พระธรรมกับรูปกายภาพของพระองค์คือ อันหนึ่งอันเดียวกัน จุดนี้เองที่ฝ่ายมหายานนำมา อธิบายว่า พระองค์มีคุณสมบัติ๓ ประการในเวลาเดียวกัน เรียกว่า ตรีกาย คือ สัมโภคกาย หมายถึง กายทิพย์ที่ประทับที่พุทธเกษตร นิรมานกาย หมายถึง การอวตารลงมาเกิดเป็นกายเนื้อ ชื่อ สิทธัตถะ ธรรมกาย หมายถึง สุญญตภาวะ คือพระนิพพาน๕๔ ดังนั้น การสื่อสารด้วยการพูด การสนทนาเป็นภาษามนุษย์ที่สื่อสารกันตามปกติแต่ สำหรับผู้สืบทอดความจริง เช่น นักบวช นักเผยแผ่หรือผู้สนใจธรรม สื่อความหมายที่เหนือธรรมดา ภาษาพูดจะกลายเป็นเนื้อธรรมทันทีในขณะเดียวกันภาพพจน์จะกลายเป็นภาพที่น่าเชื่อถือไปด้วย ฉะนั้น นักบวช นักเผยแผ่สารธรรมจึงต้องแสดงบทบาทที่น่าเคารพ ศรัทธา น่าเลื่อมใส ด้วยการพูด การสนทนาในเรื่องจริง เรื่องที่เป็นประโยชน์นอกจากนั้น ผู้สื่อ ผู้พูดไม่ควรไปยึดภาษาพูดของ ชาวโลกด้วย ดังเช่นพระพุทธองค์ตรัสว่า “ภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วอย่างนี้ย่อมไม่วิวาทกับใครๆ โวหารที่ชาวโลกพูดกัน ก็พูดไปตามโวหารนั้น แต่ไม่พึงยึดมั่นด้วยทิฐิ”๕๕ หมายความว่า ใช้ภาษา โลกแต่ไม่ติดในภาษา เหมือนร่างกายที่อาศัยธาตุของโลกกำเนิด แต่ไม่ติดในโลกฉันนั้น จึงพอสรุปได้ ว่า ภาษาพูดในพระไตรปิฎก มีทั้งร้อยแก้วร้อยกรอง เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้า เป็นคำพูดของ สาวก พราหมณ์ต่อมาภายหลังมีการตีความภาษาพูดลงเป็นภาษาเขียน แล้วใส่ทัศนะเข้าไป บางที เกิดปัญหาในการตีความด้วย ๕๓ สํ. ข. (ไทย) ๑๙/๒๑๖/๑๑๗. ๕๔ พระราชธรรมนิเทศ, ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา, หน้า ๒๒๕. ๕๕ ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๐๕/๒๔๓. ๕๘ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๕๙ ๒.๑๑.๓ การใช้ภาษาเขียนในพระไตรปิฎก ภาษา คือ เครื่องมือในการถ่ายทอดความจริงของเจตนา อารมณ์ของมนุษย์เพื่อ สะท้อนความจริง ความต้องการออกมาให้ผู้อื่นรับรู้ความต้องการของตนเอง ภาษามีทั้งทางภาษา พูดด้วยเสียง ภาษาทางกาย คือ ภาษาท่าทางของกาย ภาษาเขียน คือ เขียนด้วยอักษร ภาษา สัญลักษณ์คือภาษาที่บอกด้วยเครื่องหมายทางอ้อม ภาษาใจ คือ ภาษาที่สื่อสารกันด้วยความรู้สึก นึกคิด อารมณ์และภาษาธรรมที่สื่อกันด้วยความจริง ด้วยการเข้าใจ เข้าถึงธรรม ภาษาที่มนุษย์ใช้ สื่อสารกันส่วนมากคือ ภาษาพูดและภาษาเขียน นอกจากเราใช้ภาษาในการสื่อสารแล้ว เรายังใช้ ภาษาในการบันทึก จารึกเรื่องราวต่าง ๆ เป็นหลักฐานภาษาในการถ่ายทอดจากรุ่นไปสู่อีกรุ่นได้ เช่น ภาษาทางศาสนา ภาษาทางประวัติศาสตร์โบราณคดีเรื่องราวต่าง ๆ ที่ถ่ายทอดล้วนแต่อาศัย ภาษาเป็นสื่อในการถ่ายทอดทั้งสิ้น กำชัย ทองหล่อ กล่าวว่า ภาษาเขียนเกิดมาจากการคิดในรูป จินตนาการภายใน (Concept) แล้วย่อรูปออกมาเป็นส่วนที่เล็กลง เช่น เราเห็นสิ่งต่าง ๆ เป็นภาพ ๆ แล้วจำได้เราเห็นดวงจันทร์ดวงอาทิตย์แม่น้ำ ภูเขา เดิมเราก็จำได้แล้วเขียนเป็นภาพนั้น ๆ ภายหลังเราก็อาศัยการเขียนภาพนั้น เป็นสื่อแทนด้วยอักษร๕๖ พระธรรมปิฎกกล่าวว่า ภาษาเกิดมา จากการเห็นการจำได้เรียกว่า สัญญา แล้วเก็บเอาไว้ภายใน แล้วก็สื่อสะท้อนภาพนั้น เช่น เราเห็น “คน” ทุกคนก็จำได้หมายสมมติร่วมกันว่า คน พอพูดทีหลังก็นึกได้ว่า อ้อ! คนนั้นเอง จึงเกิดภาษา ถ้อยคำขึ้น๕๗ ภาษาทางศาสนาจะเรียกอีกอย่างว่า ภาษาธรรมก็ได้เพราะเป็นภาษาของศาสดาที่ตรัส เอาไว้แก่สาวก ทั้งเป็นคำสั่งและคำสอน พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เกิดในท่ามกลางภาษาต่าง ๆ ในประเทศอินเดีย ภาษาที่เชื่อกันว่า เป็นภาษาพุทธพจน์คือ ภาษาบาลีแต่สมัยนั้นไม่มีการจารึก เป็นอักษร มีแต่การท่องจำที่เรียกว่า มุขปาฐ ที่สืบทอดกันมา จนกระทั่งพุทธศาสนาได้เผยแผ่ ออกไปยังที่ต่าง ๆ ทั่วเอเชีย ภาษาอักษรจึงถูกบันทึกไว้เป็นหลักฐาน โดยเฉพาะภาษาใน พระไตรปิฎกที่มีการบันทึกเอาไว้เป็นหลักฐานจนปัจจุบัน ประเทศไทยเป็นประเทศที่นับถือ พระพุทธศาสนามานานและนับถือเอาพระไตรปิฎกเป็นหลักในการเผยแผ่ศาสนาด้วย ภาษาใน พระไตรปิฎกคือ ภาษาบาลีแต่ปัจจุบันมีการแปลภาษาบาลีมาเป็นภาษาไทย เพื่อให้พุทธศาสนิกชน ได้เข้าใจง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม การใช้ภาษาบันทึกในพระไตรปิฎกนั้น ยังเป็นปัญหาอยู่ว่า ภาษาใดที่เป็น ภาษาหลักในการบันทึก มีการบันทึกเมื่อไหร่ มีการแปลเป็นภาษาไทยเมื่อไหร่ และมีปัญหาในการ กาตีความอย่างไรในการถ่ายจากภาษาหนึ่งไปสู่ภาษาหนึ่ง พระพรหมคุณาภรณ์กล่าวว่า พระไตรปิฎกมีการสืบทอดกันมา ๒ ยุคคือ ยุคที่ทองจำ (มุขปาฐะ) และยุคที่จารึกด้วยอักษร๕๘ ในขณะเสถียร โพธินันทะกล่าวว่า ภาษามคธเป็นภาษาที่ใช้จารึกในพระไตรปิฎก เมื่อครั้งที่มีการ ประชุมสงฆ์ในถ้ำสัตตบรรต โดยท่านให้เหตุผลดังนี้การทำสังคายนาทำกันที่แคว้นมคธ ภาษามคธ ๕๖ เกรียงศักดิ์ พลอยแสง, เอ กส า รป ระกอบ ก ารสอนวิช า พัฒ น ากา รภ าษ าไท ย, (กรุงเทพมหานคร: มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๔), หน้า ๑. ๕๗ พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ปยุตฺโต), การสื่อสารเพื่อเข้าถึงสัจธรรม, (กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภา, ๒๕๓๙), หน้า ๒. ๕๘ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), “ความสำคัญและการรักษาพระไตรปิฎก”, เก็บเพชรจากคัมภีร์ พระไตรปิฎก, (สิงหาคม ๒๕๔๕) : ๒๘. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๕๙
๖๐ ในยุคนั้นเป็นภาษาที่มีอิทธิพลและเป็นภาษากลางที่ผู้คนพูดกันมากในสมัยนั้น๕๙ ส่วนการจารึกเป็น ลายลักษณ์อักษรเมื่อการสังคายนาครั้งที่ ๕ พ.ศ. ๕๐๐ โดยมีการบันทึกลงใบลาน แต่ยังใช้ภาษา บาลีภาษาสิงหล ภาษาขอม ภาษาเทวนาครีภาษาพม่า อักษรโรมัน ในแต่ละท้องถิ่น ส่วนการแปล เป็นภาษาไทยนั้น เริ่มในสมัยพระเจ้าติโลกราชแห่งเชียงใหม่ โดยจารึกเป็นอักษรไทยลานนาเมื่อ พ.ศ. ๒๐๒๐ ในรัชกาลที่ ๕ (พ.ศ. ๒๔๓๑–๒๔๓๖) ทรงให้คัดลอกและปริวรรตจากอักษรขอมเป็น ภาษาไทย รวมพิมพ์ ๓๙ เล่ม และในรัชกาลที่ ๘ เมื่อพ.ศ. ๒๔๘๓ ได้แปลจากฉบับบาลีเป็น ภาษาไทย ทำที่วัดสุทัศน์ฯ รวมเป็น ๘๐ เล่ม และพิมพ์จำนวน ๒๕๐๐ ชุด๖๐ต่อมาปี๒๕๓๗ มหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลัยได้ทำการแปลภาษาบาลีเป็นภาษาไทย เมื่อ ๑ ก.พ. ๒๕๓๗ ที่วัดมหาธาตุฯ ในปัจจุบันภาษาที่สามารถศึกษาได้จากพระไตรปิฎกมีหลายภาษา เช่น ภาษาบาลีภาษาโรมัน ภาษาสิงหล พม่า ภาษาอังกฤษและภาษาไทย ภาษาในพระไตรปิฎกเป็นหลักฐานที่สืบมาโดยตรง จากผู้รู้ต่าง ๆ ที่ประมวลคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อต้องการอยากรู้หลักธรรมคำสอนที่พระองค์ ตรัสต้องอาศัยการอ่านพระไตรปิฎก แต่ถึงกระนั้น ชาวบ้านทั่วไปยังไม่สามารถเข้าใจอยู่ดีด้วยเหตุนี้ ภาษาที่อยู่พระไตรปิฎกจึงยาก เป็นปัญหาในการเข้าใจ เมื่อทำใจว่ายาก ภาษาธรรมจึงอยู่ห่าง ชาวบ้าน แม้ภาษาวัด ภาษาพระที่ใช้กันอยู่บ่อย ๆ ก็ตาม ชาวบ้านยังว่ายาก เข้าใจยากอยู่ดีจึงพูด จึงสื่อสารไม่ค่อยถูกภาษาวัด และตรงเนื้อหาธรรมเท่าที่ควร และดูเหมือนว่าปัจจุบันภาษาไทยยังมี ปัญหาในการสื่อสารอีก ศ. กีรติบุญเจือ นักคิดในด้านศาสนาและปรัชญาให้ความเห็นว่า ภาษามคธ เป็นภาษาที่ถูกบันทึกไว้สมัยแรก ๆ แต่นานเข้าภาษามคธกลายเป็นเป็นภาษาโบราณไป ยากที่คนรุ่น ใหม่จะเข้าใจ จึงมีผู้เชี่ยวชาญนิพนธ์ชี้แจงในภาษาให้ละเอียดถึงพุทธประสงค์จริง ๆ จึงเกิดคัมภีร์ อรรถกถา (ขยายบาลี) ขึ้น อย่างไรก็ตาม อรรถกถายังไม่สามารถตีความออกนอกคัมภีร์เดิมไปมาก นัก จึงเป็นเหตุให้เกิดความไม่กระจ่างบางเรื่องในการเข้าใจพระไตรปิฎก จึงได้มีการนิพนธ์งาน ขึ้นมาอีกเรียกว่า ฎีกา (ขยายอรรถกถา) และอนุฎีกา (ขยายฎีกา) ตามลำดับ แต่สุดท้ายก็มีปัญหา อีกและมีการนิพนธ์เครื่องมือมาช่วยอีกทีนั่น คือ ปกรณ์ เพื่อขยายในแง่ภาษา ความหมาย ไวยากรณ์ให้ละเอียดกว่าเดิม๖๑ เมื่อนำใช้ผสมกับภาษาไทยจึงเกิดปัญหา ในขณะภาษาธรรมะต้องอาศัยภาษาไทยสื่อ จึงเกิดปัญหาตามด้วย เพราะเหตุนี้เอง ท่านพุทธทาสจึงปริวรรตภาษาสื่อสารออกมา สองแบบ คือ ภาษาธรรมะ หมายถึงภาษาที่ลึกซึ้ง ที่สื่อความจริงเชิงปรมัตถ์เทียบเท่ากับคำว่าภาษา Metaphysics ส่วนภาษาคน หมายถึง ภาษาที่ชาวบ้านชาวโลกสื่อกันง่าย ๆ เทียบเท่าภาษา Physics๖๒ ภาษาไทยจึงอยู่บนรากฐานมาจากภาษาบาลีสันสกฤต และภาษาธรรม ภาษาวัดจึงอาศัยภาษาไทย สื่อกัน บางทีภาษาสามารถสื่อถึงวัตถุบางอย่างโดยซ่อนนัยเอาไว้เช่น พระพุทธเจ้าตรัสถึงมนุษย์ สัตว์โลกว่า เหมือนดอกบัวสี่เหล่า ดอกบัวแต่ละดอกอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมือนกัน นี่คือ ภาษา สัญลักษณ์หรือเปรียบบุคคลที่ไม่บรรลุธรรมเหมือนไม้ชุ่มด้วยยางที่แช่น้ำ ไม้แห้งชุ่มด้วยน้ำ ไม้แห้ง ไม่ชุ่มน้ำ หรือสอนในลักษณะเปรียบเทียบเช่นเปรียบอายตนะ ๖ เหมือนสัตว์ชนิดต่าง ๆ คือ ตา เหมือนงูหูเหมือนจระเข้จมูกเหมือนนก ลิ้นเหมือนสุนัข กายเหมือนสุนัขจิ้งจอกและเปรียบใจ เหมือนลิง บ้างก็เป็นนิทาน เช่น ทศชาติชาดก บ้างเป็นปรัชญาภาษาในการเล่นคำ เช่น คำว่า หยุด ๕๙ เสถียร โพธินันทะ, ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา, หน้า ๑๑๑. ๖๐ วศิน อินทรสระ, ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา, หน้า ๒๓๐. ๖๑ กีรติบุญเจือ, ศาสนศาสตร์เบื้องต้น, หน้า ๑๒๑. ๖๒ พุทธทาสภิกขุ, พจนานุกรมธรรมของท่านพุทธทาส, (กรุงเทพฯ : ธรรมสภา, ๒๔๔๙), หน้า ๑๘๔-๑๘๕. ๖๐ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๖๑ คำว่า เห็น คำว่า ฝั่งโน้น ฝั่งนี้แม้ปัจจุบันภาษาเหล่านี้กลายมาเป็นการเล่นคำด้วย เช่น คำว่า ยิ่งให้ ยิ่งได้สุขคือ ทุกข์ตายคือ เกิด ว่างคือ เต็ม เสียคือ ได้อายุมากคือ อายุน้อย ความไม่แน่นอนคือ ความแน่นอน ฯลฯ ภาษาเหล่านี้ปรากฏทั้งในพระไตรปิฎกและภาษาที่ผู้คนใช้พูดกันในแต่ละวัน ดังนั้น ภาษาในพระไตรปิฎก แต่ก่อนไม่ได้ถูกบันทึกอาศัยการจดจำกันมา แต่เมื่อคำ สอนถูกบันทึกเป็นอักษร ความเดิมหรือเค้าเก่ายังคงมีอยู่ นั่นหมายความว่า อิทธิพลความเชื่อ สังคม วัฒนธรรม ภาษา ทัศนคติต่าง ๆ สภาพแวดล้อมตอนนั้นยังพอเห็น แต่พอผ่านยุคต่างๆ มา มีการ รวบรวมเรียบเรียงสังคายนากันมา ทำให้เกิดการตีความ อธิบายขยายความออกไปมากขึ้น ทำให้ เกิดการคลาดเคลื่อนในเค้าเดิมไป ในขณะอาจารย์ยุคหลังสอดแทรกทัศนะหรือความเห็นของตนที่ แตกต่างออกไป จนเกิดความซับซ้อนในแง่การเข้าใจ เพราะภาษามีหลายระดับทับซ้อนทั้งของเก่า ของใหม่กลายเป็นปัญหาคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน จึงต้องแปลและตีความจากศัพท์กันบ่อยๆ ภาษาจึง เป็นคำพูด พูดเพื่อให้เกิดความเข้าใจ เข้าถึงความจริงที่ลึกซึ้ง ย่อมเหมือนได้รับแสงสว่างทางปัญญา ๒.๑๒ สรุปท้ายบท พุทธวิธีการเผยแผ่พระธรรมคำสอนในสมัยครั้งพุทธกาล เป็นการเผยแผ่แบบตัวต่อตัว คือ ใครก็ตามที่สงสัย หรือต้องการแก้ปัญหาในชีวิต บุคคลนั้นก็จะแสวงหาคำตอบด้วยตนเอง ซึ่ง พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงปาฏิหาริย์มี๓ อย่าง คือ อิทธิปาฏิหาริย์อาเทศนาปาฏิหาริย์และอนุสาสนี ปาฏิหาริย์โดยตรัสถึงอนุสาสนีปาฏิหาริย์เป็นสำคัญบุคลากร ผู้เผยแผ่มีความรู้ความเข้าใจภาษาที่ ไม่ชัดเจน ไม่รู้จักเลือกใช้ภาษาที่เหมาะสม ปัญหาอุปสรรคที่พบก็คือไม่รู้ความหมายแฝงของคำและ สัญลักษณ์ต่างๆ ปัญหาการแปลจากภาษาหนึ่งเป็นอีกภาษาหนึ่งได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ หรือได้ นัยตรงกับที่เจ้าของวัฒนธรรมต้องการสื่อความหมาย รวมทั้งการขาดความรู้วัฒนธรรมนั้นๆ ปัญหา นี้ยังสามารถแบ่งแยกได้เป็นหลายระดับ เช่น ไม่รู้หรือมีประสบการณ์ที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมนั้นเพียง ผิวเผิน รู้วัฒนธรรมนั้นแบบกว้างๆ หรือรู้แบบครึ่งๆ กลางๆ รู้วัฒนธรรมหลักแต่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับ รูปแบบความสัมพันธ์ทางสังคมซึ่งแตกต่างกันไป นอกจากนั้น ปัญหาอุปสรรคในการสื่อสารต่าง วัฒนธรรมมีสาระสำคัญๆ เช่นสมมติฐานของความเหมือน ความแตกต่างทางภาษา การตีความอวัจ นะภาษาอย่างไม่ถูกต้องการด่วนสรุปและการเหมารวม แนวโน้มในการประเมิน และความวิตก กังวลสูงเป็นต้น การเผยแผ่ผ่านสื่อวิทยุกระจายเสียงคลื่นพระพุทธศาสนา มีความถูกต้องเหมาะสม ตามหลักพระธรรมวินัยในแง่หนึ่ง ตามพุทธพจน์ที่ว่า สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควร หากสิ่ง นั้นเข้ากับสิ่งที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลายหากวิเคราะห์อีกมุมหนึ่ง ตามพระ วินัยว่า ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่บุคคลไม่ใช่ผู้เจ็บไข้สวมรองเท้า โพกศีรษะ คลุมศีรษะก็ถือว่าไม่เหมาะสมเพราะไม่สามารถทราบได้ว่าผู้รับฟังรายการนั้นอยู่ในอิริยาบถใดแต่ เมื่อยุคสมัยผ่านปการเผยแผ่มีความหมายกว้างมากกว่าการแสดงธรรม รวมไปถึงการประชาสัมพันธ์ เกี่ยวกับการกุศลอื่น ๆ ด้วยอีกทั้งการแสดงธรรมผ่านทางสื่อวิทยุกระจายเสียงคลื่นพระพุทธศาสนา ก็มุ่งเน้นให้กลุ่มผู้มีศรัทธาฟังอยู่แล้วส่วนผู้ไม่มีศรัทธาจะได้ยินได้ฝังบ้างก็ไม่ผิด ซึ่งโดยปกติผู้ไม่มี ศรัทธาก็จะไม่ฟังอยู่แล้วจะหมุนไปฝังรายการที่ตนชื่นชอบ ในสมัยก่อนพุทธกาล อิทธิพลของพราหมณ์มีพลวัตต่อวิถีชีวิตของผู้คนยุคนั้นมาก เครื่องมือในการสื่อความหมายและเจตนาจากมนุษย์ไปสู่เทพคือ ภาษาสันสกฤต โดยมีพราหมณ์ เป็นเจ้าพิธีกรรม ต่อมาภาษานี้เอง กลายเป็นภาษาของวรรณะชนชั้นสูงไป ส่วนภาษาที่ชาวบ้านพูด ธรรมะ ด้วยเหตุผล ๓ อย่าง ที่เป็นองค์ประกอบในการเผยแผ่คือ ๑) จากอิทธิพลของพราหมณ์๒) ด้วยการใช้ภาษาชาวบ้าน ๓) ด้วยคุณสมบัติเดิมและคุณสมบัติที่พระองค์ตรัสรู้ทำให้พระองค์ได้พบ วิธีการเผยแผ่ในรูปแบบใหม่ ถึงกระนั้น ด้วยความแปลกใหม่ จึงทำให้ผู้คนสงสัยเนื้อหาธรรมและ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๖๑
๖๒ วิธีการใหม่ๆ อยู่เสมอ ไม่เว้นแม้แต่พราหมณ์ยังเกิดความอยากรู้อยากเห็น เมื่อมีปัญหาในครั้งนั้น ปัญหาทุกอย่างพระองค์ทรงแก้ไขได้แต่ภายหลังพุทธปรินิพพาน ปัญหากลับเริ่มเห็นเป็นรอยแยก ด้านทัศนะต่างกันอย่างชัดเจน และก็กลายเป็นปัญหาที่ทับถมเรื่อยมา จนกลายเป็นเหตุให้เกิดการ แตกแยกนิกายขึ้น ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่า ไม่มีใครตัดสินเรื่องคำสอน และภาษาพุทธพจน์ได้อย่างหมด จดนั่นเอง ครั้นเมื่อสาวกได้รวบรวมหลักธรรมคำสอน โดยการทำสังคายนามาหลายครั้ง จน กลายเป็นพระไตรปิฎก จากการท่องจำ ก็กลายมาเป็นการจดบันทึกเป็นภาษามคธหรือภาษาบาลี จากยุคสู่ยุค จากการท่องจำ รุ่นแล้วรุ่นเล่า ผ่านวันเวลาที่เนิ่นนาน ทำให้เนื้อหา หลักการคำสอน เหล่านั้น เกิดผิดเพี้ยน เกิดข้อสงสัยว่า ภาษาที่บันทึกกับเนื้อหาที่ถูกบันทึกนี้เป็นพุทธพจน์จริง ๆ หรือไม่ แม้แต่ปัจจุบันมีคนสงสัยมากว่า พระไตรปิฎกเป็นพุทธพจน์หรือไม่ เพราะจากการสังคายนา การจดจำ การรวบรวม ได้ผ่านกาลเวลามานาน ความบกพร่องย่อมเกิดขึ้นได้นอกจากนั้นเกิดการ แต่งคัมภีร์ต่าง ๆ เช่น อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา เพื่ออธิบาย ขยายเนื้อหา ภาษา ให้เข้าใจมากขึ้น ซึ่ง ก็เป็นเหตุให้เกิดการสวมรอยของอรรถกถาจารย์เข้าไปด้วย จนกลายเป็นการบิดเบือนไปก็มีเมื่อ เป็นเช่นนี้จึงมีผลต่อการตีความ การขยายความจึงต้องอาศัยฐานอรรถกถาจารย์เหล่านี้เป็นหลัก เกิดการถกเถียงกันมากขึ้นในเนื้อหา และภาษาของพระองค์ ๖๒ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๖๓ บทที่ ๓ รูปแบบและวิธีการสอนของพระพุทธสาวกในพระไตรปิฎก (Teaching Styles and Methods of the Buddha's Disciples in the Tipitaka) ๓.๑ ความนำ ในสมัยพุทธกาล หลังจากที่องค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้อนุตตร สัมมาสัมโพธิญาณแล้ว เมื่อพระองค์จะเสด็จออกเผยแผ่ธรรมที่พระองค์ได้ตรัสรู้แก่เวไนยสัตว์ผู้มี อัธยาศัยควรแก่การรู้พระองค์ทรงอาศัยพระมหากรุณาธิคุณในหมู่สัตว์อย่างหาประมาณมิได้เสด็จ ดำเนินไปทุกหนทุกแห่งเพื่อประกาศสัจธรรมให้เหล่าสัตว์ได้รู้แจ้งในชีวิต และมีการดำเนินชีวิตอย่าง ถูกต้องและถูกทาง จนมีผู้สามารถรู้แจ้งในธรรมที่พระองค์ทรงสั่งสอน สำเร็จเป็นพระอรหันต์ซึ่งเป็น ผู้สิ้นกิเลสโดยสิ้นเชิง จำนวนเบื้องต้นนั้นถึง ๖๐ องค์และเมื่อแรกของการส่งพระสาวกไปเพื่อเผย แผ่ธรรม ยังสถานที่ต่าง ๆ นั้น พระองค์ได้ตรัสให้โอวาทแก่พระสงฆ์ว่าดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราพ้น แล้วจากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์ทั้งที่เป็นของมนุษย์แม้พวกเธอก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่ เป็นของทิพย์ทั้งที่เป็นของมนุษย์พวกเธอทั้งหลายจงเที่ยวจาริกเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่ชน หมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เพื่อเกื้อกูลและความสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์ทั้งหลาย พวกเธออย่าได้ไปทางเดียวกันสองรูป จงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด จง ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะครบบริบูรณ์บริสุทธิ์สัตว์ทั้งหลายจำพวกที่มีธุลีคือ กิเลสในจักษุน้อย มีอยู่ เพราะไม่ได้ฟังธรรมย่อมเสื่อม ผู้รู้ทั่วถึงธรรม จักมีดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เรา ก็จักไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เพื่อแสดงธรรม๑ จะเห็นได้ว่าการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า ที่ทรงมีพระสงฆ์สาวกเป็น กำลังสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา มีบทบาทสำคัญ และเป็นส่วนหนึ่งของพระรัตนตรัยหนึ่ง ในพุทธบริษัท ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจสำคัญดังที่พระองค์ได้ตรัสกับภิกษุทั้งหลาย ดังนั้น การเผยแผ่ พระพุทธศาสนาเพื่อที่จะให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลจะต้องใช้เทคนิค และวิธีการที่ แตกต่างกันออกไปในการนำพุทธธรรมไปประยุกต์ให้เข้ากับสังคม สภาพแวดล้อม ชุมชน จารีต ประเพณีตลอดถึงอุปนิสัยและระดับภูมิปัญญาของผู้ฟังแต่ละคน การที่พระสงฆ์จะนำหลักธรรมคำ สอนของพระองค์ไปเผยแผ่ หรือแสดงออกในรูปแบบต่างๆให้สัมฤทธิผลได้จะต้องอาศัยสิ่งที่สำคัญ อีกประการหนึ่ง คือ เทคนิค หรือวิธีการของผู้สอน หรือผู้เผยแผ่การสอนหรือการสื่อที่จะได้ผลดีนั้น นอกจากจะให้เกิดความรู้ความเข้าใจแล้วจะต้องให้เกิดความรู้สึกเห็นคุณค่า ความสำคัญ จนเกิด ความศรัทธาเลื่อมใสที่จะนำคำสอนหรือสาระไปปฏิบัติตามด้วย ผลสำเร็จอย่างหลังนี้สำคัญมาก และมักทำได้ยากที่สุด เพราะผู้สอนจะต้องใช้ความสามารถภูมิรู้ภูมิธรรมที่ตนมีอยู่ ประกอบด้วย เทคนิค วิธีการเผยแผ่ประกอบการสอนด้วย รวมทั้งภาษา สัญลักษณ์การนำเสนอที่เหมาะสมกับ เหตุการณ์อาทิเดิมพระพุทธเจ้าตรัสห้ามภิกษุมิให้อำนวยพรว่าขอให้อายุยืน เพราะหลักธรรมชาติ เรื่องอายุของคนเป็นไปตามเหตุปัจจัย มิใช่จากคำอวยพร ต่อมาภิกษุไปรับบิณฑบาตแล้ว ไม่อวยพร แก่ญาติโยมกลับถูกต่อว่า ด้วยเหตุนี้เพราะยังมีคนต้องการให้แสดงความปรารถนาดีในชั้นของ มารยาทธรรม ในที่สุดพระองค์ก็ทรงอนุญาตให้ภิกษุอำนวยพรแก่ผู้มาทำบุญได้เพราะการสื่อสาร และวิธีการสื่อของพระต่อมวลชน โดยพระพุทธประสงค์แล้วคือการปฏิบัติหน้าที่โดยธรรม พระภิกษุ รูปหนึ่งๆ สามารถกลายเป็นสื่อมวลชนในรูปแบบวิถีชีวิตและสังคมได้เพราะเป็นสื่อซึ่งเคลื่อนที่ไป ๑ วิ.ม. (ไทย) ๔/๓๒/๓๗. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๖๓
๖๔ มิได้หยุดอยู่ในที่หนึ่งที่ใดมีสารคือธรรมะ โดยมีพระรูปนั้นเป็นผู้ส่งสาร ช่องทางที่ผ่านก็มีทั้งการที่ พระแสดงธรรมหรือการสอนโดยปฏิบัติให้ดูสอนโดยคำพูดหรือเทศนารวมทั้งผ่านประเพณีพิธีกรรม ซึ่งผู้รับสารก็มิได้รับสารทางเดียว ยังสามารถสื่อความคิดเห็นของตนด้วยการซักถามแลกเปลี่ยน ความคิดเห็นได้ด้วย เป็นการสื่อสารสองทาง วิธีการสอน และกุศโลบายต่างๆ จึงมีความจำเป็นใน การสอน เพราะช่วยให้เป็นสื่อ หรือเป็นอุปกรณ์ในการเรียนการสอน และเสริมให้การเรียนรู้เป็นไป อย่างรวดเร็วและดีขึ้น๒ ๓.๒ บทบาทการเผยแผ่ของสาวกในสมัยพุทธกาล การเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้แพร่หลายไปทั่วทุกสารทิศ ทั้งจำนวนผู้เผยแผ่และจำนวน ของผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนาก็มีจำนวนมากยิ่งขึ้น ต้องยอมรับว่าองค์กรที่สำคัญ คือองค์กรผู้เผย แผ่นั้นคือพระสาวกทำให้กองทัพธรรมซึ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นพระธรรมราชา มีพระสารีบุตรเป็นธรรม เสนาบดีมีพระมหาโมคัลลานะเป็นธรรมเสนาซ้าย มีบทบาทสำคัญยิ่งในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา การวิจัยในครั้งนี้จะเลือกนำเสนอพระสาวกที่ได้ทำงานในเรื่องของการเผยแผ่ที่มีบทบาทสำคัญๆ เฉพาะบางรูปเท่านั้นมาเป็นตัวอย่าง เพื่อให้มองเห็นภาพรวมในบทบาทและรูปแบบวิธีการของการ เผยแผ่พระพุทธศาสนา ๓.๒.๑ บทบาทการเผยแผ่ของพระอัญญาโกณฑัญญะ ภูมิหลังของโกณฑัญญพราหมณ์เป็นหนึ่งในจำนวนพราหมณ์๘ คนนั้นและมีอายุน้อย ที่สุดในคณะพราหมณ์ทั้ง ๘ ได้ตรวจดูพุทธลักษณะแล้ว ๗ คนแรกทำนายไว้เป็นสองแนวทางคือ ๑) ถ้าพระราชกุมารดำรงอยู่ในเพศฆราวาสจักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ๒) ถ้าพระกุมารเสด็จออกผนวช จักได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมโพธิญาณ คือเป็นศาสดาเอกของโลก ในต่อมาเมื่อพระสิทธัตถราชกุมารเสด็จออกผนวชแล้วทานโกณฑัญญะจึงได้ไปชักชวน บุตรของพราหมณ์ทั้ง ๗ ผู้ร่วมทำนายพุทธลักษณะให้ออกบวชด้วยกันแต่มีเพียง ๔ คนเท่านั้นคือ ๑. วัปปะ ๒. ภัททิยะ ๓. มหานามะและ ๔. อัสสชิที่ออกบวชตามรวมเป็น ๕ คนเรียกว่าปัญจวัคคีย์เมื่อ ออกบวชแล้วได้เดินทางไปสืบเสาะแสวงหาพระมหาบุรุษตามที่ต่างๆ กระทั่งได้มาพบพระองค์กำลัง บำเพ็ญเพียรอยู่ ณ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมจึงพากันเข้าไปอุปัฏฐากบำรุงทำกิจต่างๆ ด้วยความหวัง ว่าเมื่อพระมหาบุรุษได้ตรัสรู้แล้วจักแสดงธรรมให้ตนตรัสรู้ตามบ้าง ในขณะนั้นพระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยาอย่างยิ่งยวดจนพระวรกายซูบผอม เพราะมหาบุรุษทรงเสวยจากมากไปหาน้อยจนพระวรกายซูบผอมจนมีหนังเหยีอดแห่งติดกระดูก และกาลเวลาล่วงเลยไปได้ ๖ ปีก็ไม่ได้บรรลุมรรคผลตามที่พระพุทธองค์ทรงมุ่งหวังไว้ พระพุทธ องค์ทรงพิจารณาว่าการทำทุกกรกิริยาเช่นนี้ไม่ไช้หนทางแห่งการตรัสรู้เป็นอย่างแน่จึงเลิกวิธีการ ทรมานตนนั้นเสีย พระพุทธองค์จึงทรงหันกลับมาเสวยพระกระยาหารทำให้มีพระวรกายกลับเป็น ปกติดังเดิมและทรงเริ่มบำเพ็ญความเพียรทางจิต ซึ่งพระพุทธองค์ทรงเชื่อว่าจักเป็นหนทางที่จะ สามารถตรัสรู้ได้๓ ฝ่ายนักบวชปัญจวัคคีย์ไม่ทราบพระประสงค์ต่างพากันคิดว่าพระมหาบุรุษทรง บำเพ็ญทุกกรกิริยาซึ่งเป็นการกระทำที่ทำได้ยากยิ่งมาตั้ง ๖ ปียังไม่บรรลุธรรมอะไรมาบัดนี้กลับ กลายเป็นคนมักมากเสียแล้วหนทางที่จะบรรลุมรรคผลคงไม่มีแน่นอนจึงหมดความเลื่อมใสแล้วพา กันหลีกหนีไปอยู่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันเมืองพาราณสี เมื่อพระมหาบุรุษได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมา ๒ ธรรมเกียรติกันอริ, โลกของสื่อ,(กรุงเทพมหานคร:บริษัท ที.พี.พริ้นท์จากัด,๒๕๔๒),หน้า ๔๖. ๓ ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๓๒-๓๓๕/๔๐๑-๔๐๕. ๖๔ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๖๕ สัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าแล้วทรงดำริถึงบุคคลผู้สมควรได้ฟังเทศนาครั้งแรกของพระองค์อันดับ แรกทรงรำลึงถึงอาจารย์สองท่านคืออาฬารดาบสและอุทกดาบสแต่ทั้งสองก็ได้สิ้นชีพไปก่อนแล้ว จากนั้นทรงรำลึกถึงนักบวชปัญจวัคีย์ที่ปรนนิบัติบำรุงพระองค์ในคราวที่ทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยาว่า เป็นผู้มีสติปัญญาแก่กล้าพอที่จะแสดงธรรมโปรดได้เมื่อทรงทราบว่าขณะนี้พวกเขาพักอยู่ที่ป่าอิสิป ตนมฤคทายวันจึงเสด็จดำเนินไปจนถึงที่ปัญจวัคคีย์พักอยู่ ฝ่ายนักบวชปัญจวัคคีย์ครั้นเห็นพระพุทธองค์กำลังเสด็จมาแต่ไกลจึงนัดหมายกันว่าพระ สมณโคดมได้คลายความเพียรกลับกลายเป็นผู้มักมากกำลังเสด็จมาที่นี้เราทั้งหลายไม่พึงอภิวาทไม่ พึงลุกขึ้นยืนต้อนรับและไม่พึงรับบาตรและจีวรจักปูลาดอาสนะไว้เท่านั้นหากพระองค์ประสงค์ก็จะ ประทับนั่งเอง ครั้นพระพุทธองค์เสด็จมาถึงนักบวชทั้ง ๕ พากันลืมถ้อยคำที่ได้นัดหมายกันไว้กลับลุก ขึ้นต้อนรับอย่างนอบน้อมแต่ยังพากันใช้คำทักทายว่า “อาวุโส” และเรียกพระองค์ว่า “โคดม” ซึ่ง เป็นคำที่แสดงความไม่เคารพพระพุทธองค์ทรงห้ามแล้วตรัสว่าพวกเธออย่าได้กล่าวอย่างนี้เลยบัดนี้ เราตถาคตได้ตรัสรู้อมตธรรมแล้วเธอทั้งหลายจงตั้งใจฟังเถิดเราจักแสดงธรรมให้ฟังเมื่อพวกเธอ ปฏิบัติตามธรรมที่เราสอนไม่นานจักบรรลุอมตมธรรมแต่พวกนักบวชปัญจวัคคีย์ยังไม่เชื่อพระพุทธ องค์จึงทรงตรัสซ้ำถึง ๓ ครั้งในที่สุดจึงมีพระดำรัสเตือนสติให้นักบวชปัญจวัคคีย์ระลึกถึงความหลัง ว่า “ท่านทั้งหลายจำได้หรือไม่ว่าวาจาเช่นนี้เราเคยกล่าวกับพวกท่านหรือไม่”นักบวชปัญจวัคคีย์ คล้อยตามพระดำรัสระลึกได้ว่าพระพุทธองค์ไม่เคยตรัสเช่นนี้มาก่อนจึงตั้งใจฟังธรรมเทศนาโดย ความเคารพพระพุทธองค์จึงแสดงพระธรรมเทศนาชื่อธัมมจักกัปปวัตตนสูตรซึ่งเป็นเทศนากัณฑ์ แรก ในเวลาจบพระธรรมเทศนาธรรมจักษุ (ดวงตาเห็นธรรม) ได้เกิดแก่โกณฑัญญะว่า “สิ่งใดสิ่ง หนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นทั้งหมดย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา” พระพุทธองค์ทรง ทราบว่าโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมสำเร็จเป็นพระโสดาบันจึงทรงเปล่งพระอุทานว่า “อัญญา สิวตโภโกณฑัญโญ อัญญาสิวตโภโกณฑัญโญโกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ” ด้วยพระดำรัสนี้พระโกณฑัญญะจึงมีคำนำหน้าชื่อว่าอัญญาโกณฑัญญะตั้งแต่นั้นมา หลังจากที่ได้ ดวงตาเห็นธรรมแล้วโกณฑัญญะได้กราบทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัยพระพุทธองค์ประทาน อุปสมบทให้ด้วยพระดำรัสว่า “เธอจงเป็นภิกษุมาเถิดธรรมอันเรากล่าวดีแล้วเธอจงประพฤติ พรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด” พอจบพระวาจาโกณฑัญญะ ก็อุปสมบทสำเสร็จเป็น ภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนาและการบวชด้วยวิธีนี้เรียกว่าเอหิภิกขุอุปสมปทา (ตรงกับวันเพ็ญ อาสาฬหมาสขึ้น ๑๕ คำเดือน ๘ ในวันต่อๆ มาพระพุทธองค์ได้ทรงแสดงธรรมโปรดนักบวชอีก ๔ ท่านในกลุ่มปัญจวัคคีย์ คือ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิจนได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน และอุปสมบททั้งหมด พระพุทธองค์ทรงพิจารณาเห็นว่าภิกษุปัญจวัคคีย์มีบารมีแก่กล้าพอที่จะ บรรลุธรรมเบื้องสูงแล้วจึงตรัสเรียกทั้งหมดมาทรงพร้อมแสดงธรรมเทศนาชื่ออนัตตลักขณสูตรโปรด เมื่อจบพระธรรมเทศนาปัญวัคคีย์ทั้ง ๕ ก็ได้บรรลุพระอรหัตผลขณะนั้นมีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก ๖ รูป รวมกับพระพุทธองค์ด้วย ต่อมาเมื่อพระพุทธองค์ได้ส่งพระสาวกไปประกาศพระศาสนาในทิศต่างๆ ท่านอัญญา โกณฑัญญะรับภาระไปประกาศพระศาสนาที่ตำบลโทณวัตถุซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่านและได้ชักชวน ปุณณมันตานีบุตรมาณพบุตรของนางมันตานีน้องสาวของท่านให้ออกบวช พระอัญญาโกณฑัญญะ เถระออกบวชเมื่อมีอายุมากแล้วและมีประสบการณ์รอบรู้ในสรรพสิ่งพระบรมศาสดาจึงแต่งตั้งให้ ดำรงตำแหน่งเอตทัคคะในด้านผู้รัตตัญญูคือผู้รู้ราตรีนานหมายถึงผู้มากด้วยประสบการณ์ เมื่อ พระอัญญาโกณฑัญญะเห็นพระอัครสาวกทั้งสองกระทำความเคารพนบนอบตนจึงประสงค์จะหลีก ไปจากพระพุทธสำนักท่านเห็นว่าปุณณมาณพบวชแล้วจักเป็นยอดแห่งธรรมกถึกในพระศาสนาจึง นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๖๕
๖๖ กลับไปตำบลบ้านพราหมณ์ชื่อโทณวัตถุให้ปุณณมาณพหลานชายบรรพชาแล้วจึงให้ปุณณมาณพอยู่ ในสำนักของพระพุทธเจ้าท่านเองก็เข้าไปเฝ้าพระศาสดากราบทูลขออนุญาตพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเสนาสนะใกล้บ้านไม่เป็นสัปปาะยะสำหรับข้าพระองค์ข้าพระองค์ไม่อาจอยู่ เกลื่อนกล่นจักไปอยู่สระฉัททันตะพระเจ้าข้า” พระบรมศาสดาตรัสอนุญาตท่านถวายบังคมแล้วไป ยังที่นั่นอาศัยโขลงช้างอยู่ถึง ๑๒ ปีแล้วปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุณที่นั่นเอง ต่อมา เสด็จถึงพระเชตวันมหาวิหารประทับนั่งบนพระพุทธอาสน์ทรงแสดงธรรมท่ามกลางภิกษุสงฆ์เพื่อ ทรงแสดงว่าโกณฑัญญะบุตรเราเป็นยอดในบรรดาเหล่าภิกษุผู้แทงตลอดธรรมก่อนใครจึงทรง สถาปนาท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ๔ หลักพุทธธรรมที่ทรงสอดแทรกในการแสดงธรรม ได้แก่ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรซึ่งเป็น เทศนากัณฑ์แรก ผลของการแสดงธรรม คือ ในเวลาจบพระธรรมเทศนาธรรมจักษุ (ดวงตาเห็น ธรรม) ได้เกิดแก่โกณฑัญญะว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นทั้งหมดย่อมมีความ ดับไปเป็นธรรมดา” และทรงแสดงอนัตตลักขณสูตรคือพระสูตรที่แสดงลักษณะ คือ เครื่องกำหนด หมายว่าเป็นอนัตตา เป็นพระสูตรที่มีความสำคัญที่สุดพระสูตรหนึ่ง เนื่องจากหลังจากที่พระโคตม พุทธเจ้าได้ทรงแสดงพระสูตรนี้แล้ว ได้บังเกิดพระอรหันต์ในพระบวรพุทธศาสนา ๕ องค์ รวมพระ พุทธองค์เป็น ๖องค์ ซึ่งพระสูตรนี้ มีใจความเกี่ยวกับ ความไม่ใช่ตัวตนของ รูป คือ ร่างกาย เวทนา คือ ความรู้สึกสุขทุกข์หรือเฉย ๆ สัญญา คือ ความจำได้หมายรู้ สังขาร คือ ความคิดหรือเจตนา วิญญาณ คือ ความรู้อารมณ์ทางตา หู เป็นต้น หรือเรียกอีกประการหนึ่งว่า อายตนะทั้ง ๖ อันได้แก่ สัมผัสทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ๕ หลังจากพระอัญญาโกณฑัญญะได้บรรลุพระอรหันต์แล้ว ท่านได้รับหน้าที่ดูแลทางด้าน การส่ง เสริมพระพุทธศาสนาเรื่อยมา หน้าที่นี้คืออยู่ในคณะพระธรรมจาริกรุ่นแรกที่พระพุทธเจ้า ทรงได้ส่งไป ประกาศพระพุทธศาสนา ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด ๖๐ รูป จะเห็นว่างานพระธรรมทูตนั้นเป็น งานยิ่งใหญ่ให้แก่ทางประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนาซึ่งขณะนั้นท่านพระอัญญาโกณฑัญญะได้ บวชเป็นพระอรหันต์และพระสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา ทันทีที่โกณฑัญญะได้ดวงตาเห็น ธรรมนั้นพระพุทธเจ้าทรงปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่งทรงเห็นว่ามีผู้สามารถรู้แจ้งเห็นจริงตามพระองค์ แล้ว จึงทรงเปล่งอุทานว่า “อัญญาสิวะตะโภ โกณฑัญโญ โกณฑัญญะผู้เจริญได้รู้แล้วหนอ อัญญาสิ วะตะโภ โกณฑัญโญ โกณฑัญญะ ผู้เจริญได้รู้แล้วหนอ” ความปิติโสมนัสของพระพุทธองค์นั้นซึ่ง แสดงออกมาอย่างได้รับชัยชนะเป็นอย่างยิ่ง ชัยชนะในที่นี้ก็คือชัยชนะในอาสวะกิเลสทั้งหลายซึ่งจะ สามารถนาเวไนยสัตว์ทั้งหลายข้ามฝั่งแม่น้ำแห่งทุกข์ทั้งปวงได้และเพื่อให้พ้นจากสังสารวัฏคือ เวียน ไหว้ตาย เกิด เพื่อค้นหาการบรรลุมรรคผลต่อไป พระอัญญาโกณฑัญญะ ท่านเดินทางกลับไปยังบ้านเกิดท่านได้โปรดบรรดาญาติให้หัน มาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และบุตรของน้องสาวชื่อ “ปุณณะ” เลื่อมใสในท่านมากถึงขั้นยอม ออกบวชตาม๒ เพราะพระอัญญาโกณฑัญญะได้สร้างทายาทไว้กับพระพุทธศาสนาสืบต่อไป พระอัญญาโกณฑัญญะซึ่งเป็นพระสงฆ์และพระอรหันต์องค์แรกในพระพุทธศาสนาอีก ด้วย และได้ให้เกียรติร่วมเป็นธรรมจาริกรุ่นแรก ถือว่าเป็นหน้าตาสำคัญอย่างยิ่งของ พระพุทธศาสนาที่จะออกไปเผยแผ่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ขจรขจายไปทั่วสารทิศและ ๔ วิ.ม.(ไทย) ๔/๒๕-๒๘/๓๑-๓๔ ๕ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก. “๔๕ พรรษาของ พระพุทธเจ้า”, (กรุงเทพมหานคร : มหามกุฏราชวิทยาลัย. ๒๕๕๑), หน้า ๒๑. ๖๖ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๖๗ พระปัญจวัคคีย์ทั้งหมดได้รวมอยู่ในคณะ ๖๐ รูปนั้นด้วยทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาจนถึง ปัจจุบัน ๓.๒.๒ บทบาทการเผยแผ่ของพระอุรุเวลกัสสปะ พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นส่งสาวกไปประกาศศาสนาในที่ต่างๆแล้วได้พระองค์ก็เสด็จไป ยังกรุงราชคฤห์โดยมีพระประสงค์จะประดิษฐานพระศาสนาในกรุงราชคฤห์และทรงดำริว่าการที่จะ ประกาศศาสนาให้แพร่หลายได้นั้นต้องทำให้ชฏิลซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชาวเมืองหันมายอมรับ นับถือเสียก่อนจึงได้เสด็จพระดำเนินไปยังสำนักของอุรุเวลกัสสปะและตรัสขอพักแรมในอาศรม พระพุทธเจ้าได้ทรงประทับอยู่อาศรมของอุรุเวลกัสสปะนี้เป็นเวลา ๒ เดือนเต็มแล้วได้ทรงแสดง ฤทธิ์ต่างๆนานาเพื่อทำลายทิฏฐิความถือตัวของอุรุเวลกัสสปะแต่ไม่ได้ผลเพราะว่าพระองค์จะแสดง ฤทธิ์อย่างไรอุรุเวลากัสสปะก็ยังถือตัวอยู่อย่างเดิมพระพุทธองค์จึงได้ตรัสเตือนตรงๆว่า “อุรุเวลกัสส ปะท่านหาได้เป็นพระอรหันต์ไม่และลัทธิที่นับถืออยู่นี้ก็ยังห่างไกลความเป็นพระอรหันต์ยิ่งนักถึง กระนั้นท่านก็ยังดื้อดึงหลอกตัวเองและผู้อื่นว่าเป็นพระอรหันต์แต่ถ้าหากท่านจักเชื่อฟังและปฏิบัติ ตามคำของเราตถาคตไม่นานก็จะได้บรรลุอรหันต์แน่นอน” อุรุเวลกัสสปะได้ฟังดังนั้นแล้วก็เกิด ความสลดสังเวชใจยิ่งนักจึงก้มลงกราบแทบพระบาทพระบรมศาสดาแล้วพาบริวารถอดชฎาและ บริขารพร้อมเครื่องอุปกรณ์บูชาไฟลอยลงแม่น้ำแล้วทูลขออุปสมบท พระบรมศาสดาทรงอุปสมบท ให้ด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา หลังจากอุปสมบทให้ชฏิลทั้งหมดแล้วพระบรมศาสดาได้นำภิกษุ ๑,๐๐๓ รูปเสด็จไป พำนัก ณ ตำบลคยาสีสะทรงพิจารณาเห็นความแก่กล้าแห่งอินทรีของภิกษุเหล่านั้นแล้วจึงได้ตรัส เรียกให้ภิกษุทั้งหมดมาประชุมกันจากนั้นได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนาชื่ออาทิตตปริยายสูตรสูตร ที่ว่าด้วยการอุปมากิเลสเหมือนไฟที่เผาลันจิตใจซึ่งเหมาะกับอุปนิสัยของชฏิลที่นับถือการบูชาไฟ ภิกษุเหล่านั้นส่งใจไปตามกระแส่แห่งพระธรรมเทศนาจิตก็หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะสำเร็จเป็นพระ อรหันต์พร้อมกันทั้งหมด๖ เมื่อประทับอยู่ ณ ตำบลคยาสีสะพอสมควรแล้วทรงเห็นว่าเป็นเวลาที่ควรแก่การ ประกาศศาสนาในกรุงราชคฤห์แล้วจึงได้พาบริวารทั้งหมดเดินทางไปยังกรุงราชคฤห์โดยเข้าพำนัก ที่ลัฏฐิวันอุทยานสวนตาลหนุ่มของพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าพิมพิสารครั้นได้ทรงทราบว่าขณะนี้ พระพุทธเจ้าพร้อมบริวารมาพำนักที่อุทยานพระองค์จึงพาอำมาตย์ราสชมนตรีพร้อมชาวเมือง ๑๒ นหุต (หนึ่งแสนสองหมื่นคน) เข้าเผ้าขณะนั้นชาวเมืองทั้งหลายต่างแสดงอาการที่ไม่เคารพบ้างก็ ประกาศชื่อโคตรของตนบางคนก็คุยเสียงดังเพราะยังมีความสงบสงสัยอยู่ระหว่างพระพุทธเจ้ากับ พระอุรุเวลกัสสปะนั้นใครเป็นศิษย์ใครเป็นอาจารย์กันแน่พระพุทธเจ้าทรงทราบถึงความคิดของคน เหล่านั้นจึงตรัสให้พระอุรุเวลกัสสปะทำชนเหล่านั้นให้หายสงสัย ลำดับนั้นพระอุรุเวลกัสสปะได้เข้าฌานสมาบัติเหาะขึ้นไปบนอากาศและกลับลงมา กราบที่พระบาทของพระพุทธเจ้า๓ครั้งแล้วพระบรมศาสดาว่าพระบรมศาสดาเป็นอาจารย์ของท่าน ท่านเป็นศิษย์ของพระบรมศาสดาของเมืองทั้งหลายเห็นดังนั้นก็สิ้นสงสัยมีใจอ่อนน้อมต่อพระพุทธ องค์จากนั้นทรงแสดงธรรมชื่ออนุปุพพิกถาและอริยสัจ๔เมื่อจบพระธรรมเทศนาพระเจ้าพิมพิสาร พร้อมกับบริวารอีก ๑๑ นหุต (หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นคน) ได้บรรลุโสดาบันอีกหนึ่งนหุตได้แสดงตนเป็น อุบาสกอุบาสิกาถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึงตลอดชีวิต พระอุรุเวลกัสสะพร้อมน้องชายทั้งสอง ได้เป็นกำลังสำคัญช่วยในการประดิษฐานระ ๖ วิ.ม. (ไทย) ๔/๓๗-๕๔/๔๗-๖๕ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๖๗
๖๘ พุทธศาสนาให้มีความมั่นคงและเจริญรุ่งเรืองในมคธรัฐได้สำเร็จและด้วยเหตุที่พระอุรุเวลกัสสปะ เมื่อออกบวชแล้วมีบริวารมากถึง ๑,๐๐๐ พระพุทธเจ้าจึงทรงยกย่องไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะคือเลิศ กว่าภิกษุทั้งหลายด้านผู้มีบริวารมากดังนี้ ท่านทั้ง ๓ เมื่อดำรงชีวิตอยู่พอควรแก่อัตภาพแล้วก็ได้ดับ ขันธ์นิพพานตามวาระแต่หลักฐานเกี่ยวกับการดับขันธ์นิพพานว่าท่านนิพพานเมื่อไรที่ไหนอย่างไร นั้นไม่ปรากฏ ท่านได้รับยกย่องเป็นผู้เลิศทางมีบริษัทบริวารมาก๗ หลักพุทธธรรมที่ทรงสอดแทรกในการแสดงธรรม ได้แก่อาทิตตปริยายสูตรพระสูตรว่า ด้วยสิ่งทั้งปวงเป็นของร้อนมีใจความโดยย่อว่า “สิ่งทั้งปวงคือจักขุ (นัยน์ตา) โสตะ (หู) ฆานะ (จมูก) ชิวหา (ลิ้น) โผฏฐัพพะ (อารมณ์ที่พึงถูกต้องด้วยกาย) มโน (ใจ) เป็นของร้อนร้อนเพราะไฟคือราคะ โทสะและโมหะร้อนด้วยทุกข์มีชาติชราและมรณะเป็นต้น๘ พระอุรุเวลกัสสปะได้รับยกย่องในทางผู้มีบริวารมาก (ที่เป็นพระอรหันต์๑,๐๐๒ องค์) เนื่องจากท่านเป็นผู้ประกอบด้วยพรหมวิหารธรรม อันเป็นธรรมสำหรับผู้ใหญ่ใช้ปกครองดูแลบริวาร ให้มีความสุข ซึ่งประกอบด้วย ๑. เมตตา ความรักใคร่ ปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข ๒. กรุณา ความสงสาร ปรารถนาจะช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ๓. มุทิตา ความพลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี ๔. อุเบกขา ความวางเฉย ไม่ดีใจไม่เสียใจเมื่อผู้อื่นถึงความวิบัติ ๓.๒.๓ บทบาทการเผยแผ่ของพระสารีบุตร พระสารีบุตรเถระเป็นพระมหาสาวกผู้ที่มีบทบาทสำคัญอีกรูปหนึ่งคือเป็นพระอัคร สาวกเบื้องขวาและเป็นแม่ทัพในการประกาศพระพุทธศาสนามีปัญญาแตกฉานและมีความรอบรู้ใน ธรรมจนได้รับยกย่องให้เป็นเอตทัคคะด้านผู้มีปัญญามากและเป็นพระธรรมเสนาบดีในตอนที่ท่าน ดำรงเพศเป็นคฤหัสถ์ท่านได้พบกับพระอัสสชิเถระบิณฑบาตผ่านมาพอดีเกิดความเลื่อมใสพระอัสส ชิแสดงธรรมให้ฟังแต่พระเถระกล่าวว่าเรายังเป็นผู้ใหม่ไม่อาจกล่าวสอนธรรมที่ลึกซึ้งพิสดารได้ได้ กล่าวธรรมแก่อุปติสสะแต่ย่อๆว่า “ธรรมเหล่าใดมีเหตุเป็นแดนเกิด (เกิดแต่เหตุ) พระตถาคตทรง แสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้นพระมหาสมณะตรัสสอนอย่างนี้”๙ จบ แล้วอุปติสสะ ได้ธรรมจักษุบรรลุโสดาปัตติผลแล้ว ได้สอบถามถึงที่ประทับของพระพุทธเจ้าครั้น ทราบว่าขณะนี้พระพุทธองค์ประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหารจึงกราบอาราธนานิมนต์ให้พระ เถระล่วงหน้าไปเผ้าพระพุทธเจ้าก่อนส่วนท่านได้กลับมาแสดงธรรมให้โกลิตะฟังตามสัญญาที่ให้กัน ไว้ทำให้โกลิตะได้ธรรมจักษุบรรลุโสดาปัตติผลเช่นกัน ครั้นในวันที่ ๗ ตั้งแต่วันบวชท่านพระมหาโมคคัลลานะเข้าไปอาศัยบ้านกัลลาวาลคาม แคว้นมคธกระทำสมณธรรมอยู่เมื่อถูกถีนมิทธะครอบงำพระศาสดาทรงทำให้สังเวชใจบรรเทาถีน มิทธะเสียได้กำลังฟังธาตุกรรมฐานที่พระตถาคตประทานอยู่ทีเดียวทำกิจแห่งมรรค๓เบื้องสูงให้ สำเร็จถึงที่สุดแห่งสาวกบารมีญาณแม้พระสารีบุตรเถระล่วงเลยเวลาไปครึ่งเดือนตั้งแต่บวชเข้าไป อาศัยกรุงราชคฤห์อยู่ในถ้ำสุกรขาตากับพระศาสดาหลังจากพระสารีบุตรอุปสมบทได้ ๑๕ วันขณะที่ พระพุทธเจ้าทรงแสดงเวทนาปริคคหสูตรโปรดทีฆนขปริพาชกผู้เป็นหลานของท่านณถ้ำสุกรขาตา ๗ องฺ.เอกก. (ไทย) ๒๐/๒๒๔/๒๙. ๘ วิ.ม. (ไทย) ๔/๕๔/๖๔-๖๕ ๙ ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๑/๘๔-๙๐. ๖๘ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๖๙ ภูเขาคิชฌกูฏเมืองราชคฤห์ท่านได้ถวายงานพัดอยู่ด้วยจึงพิจารณาไปตามกระแสพระธรรมเทศนาที่ พระพุทธองค์แสดงด้วยสติปัญญาแล้วเมื่อจบพระธรรมเทศนาจิตของท่านก็หลดพ้นจากอาสวะได้ บรรลุพระอรหัตตผลส่วนทีฆนขปริพาชกได้ธรรมจักษุแล้วแสดงตนเป็นอุบาสกตลอดชีวิต เมื่อพระ ตถาคตประทับอยู่ในกรุงราชคฤห์นั่นแลกิจแห่งสาวกบารมีญาณของพระอัครสาวกทั้งสองได้ถึงที่สุด แล้วก็ในเวลาต่อมาอีกพระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวันได้ทรงสถาปนาพระมหาสาวกทั้งสองไว้ ในตำแหน่งเอตทัคคะว่า “สารีบุตรเป็นยอดของภิกษุสาวกของเราผู้มีปัญญามากมหาโมคคัลลานะ เป็นยอดของภิกษุสาวกของเราผู้มีฤทธิ์” ครั้นบรรลุพระอรหัตตผลสำเร็จเป็นพระอริยบุคคลใน พระพุทธศาสนาแล้วพระพุทธองค์ประกาศย่องให้เป็นเอตทัคคะด้านผู้มีปัญญามากเพราะเหตุที่ท่าน มีสติปัญญามากสามารถแสดงธรรมจักรและอริยสัจ๔ ให้พิสดารเหมือนพระพุทธองค์แสดงเองและ ทรงแต่ตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นพระอัครสาวกเบื้อขาวคู่กับพระมหาโมคคัลลานะซึ่งเป็นพระอัคร สาวกเบื้องซ้าย นอกจากนี้พระสารีบุตรเถระยังได้รับการประกาศยกย่องจากพระบรมศาสดาใน หลายด้านได้แก่ ๑. เป็นพระธรรมเสนาบดีคือท่านเป็นกำลังสำคัญในการประกาศเผยแพร่พระธรรมคำ สอนเรียกว่าแม่ทัพธรรม ๒. เป็นผู้อนุเคราะห์เพื่อนบรรพชิตคือได้เอื้อเฟื้อแก่ภิกษุด้วยกันเปรียบเหมือนมารดา ผู้ให้กำเนินที่สามารถแนะนำให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลได้คู่กันพระมหาโมคคัลลานะซึ่งเปรียบเทียบ แม่นผู้เลี้ยงดูทารกที่เกิดแล้วนั้นย่อมแนะนำให้ตั้งอยู่ในคุณเบื้องสูงขึ้นไปอีก ๓. มีความกตัญญูกตเวทีกล่าวคือท่านได้ฟังธรรมครั้งแรกจากพระอัสสชิเถระครั้นเวลา นอนก็จะนอนเมื่อทราบว่าพระเถระอยู่ที่ไหนก็จะนอนหันศีรษะไปทางทิศที่พระเถระนำนักอยู่เป็น การรำลึกถึงอาจารย์อีกครั้งหนึ่งราธพราหมณ์ผู้ตกยากอยากบวชแต่ไม่มีใครบวชให้พระพุทธเจ้าตรัส ถามพระสาวกทั้งหมดว่ามีใครที่ระลึกถึงคุณของราธพราหมณ์ได้บ้างท่านจึงกราบทูลว่าเคยได้รับ ภิกษา ๑ ทัพพีจากพราหมณ์นั้นพระพุทธองค์รับสั่งให้พระเถระบวชให้แก่ราธพราหมณ์๑๐ ๓.๒.๔ บทบาทการเผยแผ่ของพระอานนท์ พระอานนท์ เป็นพระสาวกองค์หนึ่งในบรรดาพระสาวกที่มีชื่อเสียง พระอานนท์มีความ โดดเด่นแตกต่างไปจากพระสาวกรูปอื่นๆ ในยุคเดียวกัน เช่น เป็นผู้มีรูปงาม น่าเลื่อมใส ใฝ่ต่อ การศึกษา ช่างคิด ช่างสังเกต ช่างถาม สุภาพอ่อนโยน รักการประหยัด มีจิตเมตตาอนุเคราะห์ผู้ อาพาธ และเป็นผู้ที่ได้บรรลุอรหัตตผลที่แปลกกว่ารูปอื่น คือ ในระหว่างอิริยาบถทั้ง ๔ พร้อมทั้ง ได้รับการสรรเสริญจากพระพุทธเจ้าว่า เป็นผู้มีบุญ สมบูรณ์ด้วยอภิหาร และบารมีธรรม ๑๐ ประการ และได้รับยกย่องในตำแหน่งเอตทัคคะ ๕ ประการ ได้แก่ เป็นพหุสูตร เป็นผู้มีสติ เป็นผู้มี คติ เป็นพุทธอุปัฏฐาก มีบทบาทสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา โดยเฉพาะวิธีการแสดงธรรม สนทนาธรรมโต้ตอบปัญหาธรรม สามารถทำให้ผู้ฟังเกิดความซาบซึ้งในธรรมนั้นอย่างถูกต้อง และมี บทบาทในการทูลถามเรื่องเกี่ยวกับการอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต สาวก ตลอดถึงความแตกต่างแห่งบารมีธรรมที่ทรงสร้างสมอบรมมา เรื่องเกี่ยวกับพระธรรมที่มี ความลึกซึ้ง ยากแก่การทำความเข้าใจให้กระจ่างแจ้งแก่ผู้ฟัง เรื่องเกี่ยวกับพระภิกษุ ภิกษุณี ถึงข้อที่ ควรประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย เรื่องเกี่ยวกับอุบาสก อุบาสิกา ผู้ถวายการอุปถัมภ์ จะปฏิบัติให้เหมาะสมกับอาชีพการงาน เรื่องที่ควรปฏิบัติต่อบุคคลที่มิได้นับถือพระพุทธศาสนา พอ สรุปเป็นข้อๆ ดังนี้ ๑๐ วิ.ม. (ไทย) ๔/๖๐-๖๓/๗๒-๗๙ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๖๙
๗๐ ๑) แสดงธรรมเพื่อระงับความกำหนัดที่รบกวนจิตแก่ภิกษุวังสะ ๒) แสดงธรรมเรื่องบุคคลผู้มีราตรีเจริญแก่ภิกษุทั้งหลาย ๓) แสดงธรรมเรื่องสัมมาทิฏฐิแก่ภิกษุฉันนะ ๔) แสดงธรรมเรื่องกามคุณแก่ภิกษุทั้งหลาย ๕) แสดงธรรมเรื่องเครื่องผูกแก่พระกามภู ๖) แสดงธรรมเรื่องพยากรณ์การบรรลุพระอรหันต์แก่ภิกษุทั้งหลาย ๗) แสดงธรรมเรื่องการเสวยอายตนะแก่ภิกษุทั้งหลาย ๘) แสดงธรรมเรื่องที่แคบแก่พระอุทายี ๙) แสดงธรรมเรื่องบุคคลผู้ทุศีลแก่ภิกษุทั้งหลาย ๑๐) แสดงธรรมเรื่องสิ่งที่ไม่เป็นธรรม ไม่เป็นประโยชน์ สิ่งที่เป็นธรรมเป็นประโยชน์แก่ ภิกษุทั้งหลาย ๑๑) แสดงธรรมเรื่องสิ่งที่เป็นยอด ๕ ประการ กับพระภัททชิ ๑๒) แสดงธรรมแก่ภิกษุณี เช่น เรื่องการรู้คุณวิเศษ เรื่องอาพาธ เป็นต้น ๑๓) แสดงธรรมแก่อุบาสก เช่น เรื่องของการจุติของเทวดาแก่วิฑูฑภเสนาบดีเรื่องพระ เสขะแก่พระเจ้ามหานามะ เรื่องธรรมอย่างเอกแก่ทสมคฤหบดีตอบปัญหาธรรมของพระเจ้าปเสนทิ โกศล เรื่องสติปัฏฐาน ๔ แก่สิริวัฑฒน์คฤหบดี เป็นต้น ๑๔) แสดงธรรมแก่อุบาสกา เช่น เรื่องคติภายภาคหน้าแก่มิศาลาอุบาสิกา เป็นต้น ๑๕) แสดงธรรมแก่บุคคลทั่วไป เช่น เรื่องบัญญัติการละราคะ โทสะ และโมหะแก่ฉัน นะปริพาชก เรื่องสวากขาตธรรมแก่คฤหบดีแก่สาวกของอาชีวก เรื่องการไม่ประพฤติพรหมจรรย์ และเรื่องการประพฤติพรหมจรรย์ที่ไม่น่าพอใจแก่ปริพาชกทั้งหลาย เป็นต้นมีหลายเรื่องที่พระ อานนท์ใช้เป็นหลักในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างที่เห็นชัดเจนคือ เป็นผู้ตอบปัญหาธรรมแก่ พระมหากัสสปะในครั้งที่ทำสังคายนาครั้งแรกและได้เป็นผู้ทูลถามปัญหาต่างๆ เมื่อพระพุทธองค์ยัง ทรงพระชนม์อยู่ เช่น เรื่องเกี่ยวกับพระธรรม มีเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเป็นต้น๑๑ ๓.๒.๕ บทบาทการเผยแผ่ของพระมหาโมคคัลลานะ พระมหาโมคคัลลานะ๑๒ เป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระพุทธเจ้าที่มีผลงานในการ เผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างโดดเด่นจึงควรนำเอาผลงานของท่านมาเป็นตัวอย่างในการเป็นรูปแบบ ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา พระมหาสุชาญ โรจนญาโณ๑๓ ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับบทบาทของพระมหาโมคคัลลานะ เถระในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา สรุปได้ว่า ท่านมีผลงานการเผยแผ่อยู่ ๔ ด้าน คือ ๑) การแสดงธรรมแก่พุทธบริษัท ๑๑ พระมหาจิตติภัทร อจลธมฺโม,“การศึกษาบทบาทของพระอานนท์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต , (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๗), หน้า ๕๖ - ๗๐. ๑๒ ขุ.ธ. (ไทย) ๓๒/๖๗๖-๗๑๗/๒๘-๒๙. ๑๓ พระมหาสุชาญ โรจนญาโณ , “การศึกษาบทบาทของพระมหาโมคคัลลานะในการเผยแผ่ พระพุทธศาสนา ”, วิทยานิพนธ์พุทธศาตรมหาบัณฑิต , (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราช วิทยาลัย, ๒๕๔๐), หน้า ๕๔. ๗๐ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๗๑ ๒) การแสดงธรรมแก่เทพบุตร เทพธิดา และบุคคลทั่วไป ๓) การเป็นสมณทูตในเทวโลกและยมโลก ๔) การแสดงฤทธิ์ ส่วนวิธีการเผยแผ่นั้น ท่านใช้วิธีแบบสนทนาแบบบรรยาย แบบถามตอบปัญหา และ แบบการใช้ฤทธิ์ ซึ่งถือว่าแตกต่างไปจากสาวกรูปอื่นๆ มีตัวอย่างที่ท่านแสดงฤทธิ์ โดยใช้เป็นสื่อใน การแสดงธรรมในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ดังนี้ ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าตรัสเรียกพระมหาโมคคัลลานะเข้าเฝ้าแล้วตรัสสั่งให้ไปสั่งสอน ภิกษุทั้งหลายที่จิตใจฟุ้งซ่าน อวดตัว ปากกล้า ขาดสติ อยู่ที่ปราสาท ท่านรับพระพุทธบัญชาแล้วใช้ อิทธิฤทธิ์ทำให้ปราสาทสั่นสะเทือนหวั่นไหวด้วยหัวแม่เท้า กล่าวคือ เอาปลายนิ้วเท้าเกี่ยวยอด ปราสาททำให้ปราสาทเอนไปตั้งอยู่ข้างหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายตกใจกลัว จึงไปรวมตัวกัน และได้ฟัง ธรรมจากพระพุทธเจ้า ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าได้เห็นอุปนิสัยแห่งการบรรลุธรรมของเจ้าลัทธิอัคคิทัตตะ แล้วจึง ส่งพระมหาโมคคัลลานะไปปราบ เมื่อพระมหาเถระไปถึงแล้วท่านก็ได้ใช้ฤทธิ์บันดาลให้ฝนตกและ ปราบนาคชื่ออหิฉัตตะจนยอมสยบ ให้ประจักษ์แก่สายตาของอัคคิทัตตะพร้อมกับบริวาร จนคน เหล่านั้นเกิดความยอมรับในความสามารถ มีผลทำให้พุทธบริษัทและบุคคลทั่วไป ที่ยังไม่มีความ เลื่อมใสให้มีความเลื่อมใส และที่มีความเลื่อมใสอยู่แล้วก็เลื่อมใสมากยิ่งขึ้น ทำให้พระพุทธศาสนา รุ่งเรืองและมั่นคง ๓.๒.๖ บทบาทการเผยแผ่ของพระมหากัสสปเถระ พระมหากัสสปเป็นพระมหาเถระรูปหนึ่งที่มีความสำคัญมาก ในบรรดาพระสาวก ทั้งหลาย ท่านได้รับการไว้วางใจจากพระพุทธองค์โดยสามารถผลัดเปลี่ยนจีวรกับพระพุทธเจ้าได้ มี เพียง พระสาวกรูปเดียวเท่านั้นที่สามารถทำอย่างนี้ได้ และท่านได้รับยกย่องว่า “เป็นผู้ทรงธุดงค์” ผลงานด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา มีดังนี้ พระมหาจรูญ ปญฺญาวโร (อินทร์ยงค์) ๑๔ ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับ “การศึกษาบทบาทของ พระมหากัสสปเถระในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเถรวาท” สรุปไว้ว่า บทบาทการเผยแผ่ของท่าน จะเป็นการสนทนาธรรมบ้าง แสดงธรรมบ้าง และตอบปัญหาร่วมกันกับพระสาวกรูปอื่นๆ หรือแม้ กระทั้งอุบาสก อุบาสิกา และบุคคลทั่วไป เช่น สนทนาเรื่องผู้ทำให้ป่างามกับพระสารีบุตร แสดง ธรรมเรื่องการพยากรณ์พระอรหัตตผลแก่ภิกษุทั้งหลาย แต่การประกาศศาสนาของท่านก่อนพุทธ ปรินิพพานนั้น ส่วนใหญ่แล้วตัวท่านจะเน้นในทางปฏิบัติ มากกวาการแสดงธรรมหรือสนทนาธรรม ถือเอาการปฏิบัติเป็นแบบอย่างของภิกษุ ไม่เน้นการพูด จนได้รับยกย่องว่า “เป็นนักถือธุดงค์เป็น วัตร” หลังจากพุทธปรินิพพาน งานการเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่ท่านทำ คือ การทำสังคายนา ครั้งแรก อันเป็นเหตุให้เกิดการมีสังคายนาครั้งอื่นๆ และพระพุทธศาสนาได้แพร่หลาย ก็เพราะมี การสังคายนานี้เอง ท่านได้ทำงานที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ คือ การรักษาและการธำรงไว้ซึ่งพุทธพจน์ โดยเฉพาะ คือไม่มีการเปลี่ยนแปลงคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะถือว่าคำสอนเดิมที่พระพุทธองค์ ทรงวางรากฐานเอาไว้ดีแล้ว จึงไม่มีการถอนสิกขาบทเล็กๆ น้อยๆ เกิดเป็นพระพุทธศาสนาเถรวาท ๑๔ พระมหาจรูญ ปญฺญาวโร (อินทร์ยงค์) , “การศึกษาบทบาทของพระมหากัสสปเถระ ในการเผย แผ่พระพุทธศาสนาเถวาท ”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต , (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙), หน้า ๗๓. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๗๑
๗๒ ที่สามารถรักษาคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้ได้ ด้วยวิธีการเผยแผ่นั้นพระมหากัสสปเถระใช้วิธีการ เหมือนกับพระพุทธเจ้าและพระมหาสาวกรูปอื่น ๆ คือเริ่มจากการสนทนาเป็นจุดสำคัญ ๓.๒.๗ พระอัสสชิเถระ ช่วงเวลาที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณและสั่งสอนธรรมได้๑ พรรษา ตอนนั้นพระองค์สั่งสอนจำสามารถทำให้สาวกที่สำเร็จเป็นพระอรหันถึง ๖๐ รูป และทรงส่งพระ สาวกชุดนั้นไปประกาศศาสนา ซึ่งบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลายเหล่านั้น มีพระอัสสชิซึ่งเป็นหนึ่งใน บรรดาพระปัญจวัคคีย์ร่วมอยู่ด้วย ท่านเป็นพระสาวกรูปหนึ่งที่ไม่ได้เน้นเรื่องการพูด แต่เน้นในเรื่อง ของการสำรวม โดยทำให้ดูเป็นตัวอย่าง จนได้บุคลากรที่มีคุณภาพถึง ๒ คน คือพระสารีบุตร และ พระมหาโมคคัลลานะซึ่งเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวาและเบื้องซ้ายต่อมา ดังมีเรื่องตัวอย่างต่อไปนี้ เช้าวันหนึ่ง พระอัสสชิได้ออกไปบิณฑบาต ณ กรุงราชคฤห์ระหว่างทาง อุปติสส ปริพาชกเดินทางกลับมาจากสำนักสัญชัยปริพาชก พอพบพระเถระเข้าก็เกิดศรัทธาเลื่อมใส เพราะ ท่านเดินด้วยอาการสำรวมอินทรีย์เหลียวซ้ายแลขวาอย่างระมัดระวัง คือ การก้าวไป การถอยกลับ การแลดูการเหลียวดูการคู้และการเหยียดแขน น่าเลื่อมใส มีนัยน์ตาทอดลงต่ำ สมบูรณ์ด้วย อิริยาบถ๑๕ อุปติสสปริพาชกคิดว่า “นักบวชแบบนี่เราไม่เคยเห็นมาก่อน คงจะเป็นพระอรหันต์องค์ หนึ่งในบรรดาพระอรหันต์ที่มีอยู่ในโลกนี้” และอยากทราบว่าใครเป็นศาสดาของทาน แต่เห็นว่า ไม่ใช่เวลาที่จะถาม จึงได้เดินติดตามไปข้างหลัง เมื่อพระอัสสชิบิณฑบาตเสร็จแล้วเตรียมจะฉัน ภัตตาหารจึงเข้าไปอุปัฏฐากและไดสนทนาปราศรัยกับพระอัสสชิอย่างอ่อนน้อม “อินทรีย์ของท่าน ช่างผ่องใสผิวพรรณผุดผ่อง ท่านบวชอุทิศใคร ใครเป็นศาสดาของทาน หรอท่านชอบใจธรรมของ ใคร?” พระอัสสชิ: มีท่านพระมหาสมณะผู้เป็นศากยะบุตรเสด็จออกผนวชจาก ศากตระกูลเรา บวชอุทิศเฉพาะพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นเป็นศาสดาของเรา และเรา ชอบใจธรรมของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น” อุปติสสปริพาชก : ก็พระศาสดาของท่านตรัสอย่างไร สอนอย่างไรพระอัสสชิ: ท่าน เรา เป็นผู้บวชใหม่ บวชไม่นาน เพิ่งเขามาสู่ธรรมวินัยนี้ไม่สามารถแสดงธรรมแก่ท่านโดยพิสดารได้แต่ จักกล่าวแต่ใจความ โดยย่อแก่ท่าน อุปติสสปริพาชก : เอาเถอะ ผู้มีอายุจะน้อยหรือมากก็ตาม จงกล่าวแต่ใจความ แก่ ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องการแต่ใจความอย่างเดียวเท่านั้นท่านจะทำพยัญชนะให้มากไปทำไม พระอัสสชิ: ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุพระตถาคตตรัสเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความ ดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีปกติตรัสอย่างนี้ หลังจากพระอัสสชิกล่าวจบ อุปติสสะก็ได้ดวงตาเห็นธรรมว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความ เกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นทั้งหมด ล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา”๑๖ และได้ถามถึงพระพุทธเจ้า ทราบว่า พระพุทธองค์ประทับอยู่ที่วัดเวฬุวันมหาวิหาร จึงตามไปส่งพระเถระ แล้วมุ่งหน้าไปสู่ สำนักของปริพาชกเพื่อลาอาจารย์สัญชัย จากเรื่องนี้จัดได้ว่า วิธีการเผยแผ่ของพระอัสสชิท่านใช้ วิธีการสื่อทางอาการสำรวมเพื่อสร้างศรัทธาให้เกิดแก่ผู้พบเห็น ไม่จำเป็นต้องพูดอย่างเดียว แต่ อาศัยกิริยาอาการแสดงออกเป็นเครื่องมือในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และได้ผลดีเกินคาดอีกด้วย สรุปได้ว่า หลังจากบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว พุทธสาวกทั้งหลายต่างก็ประพฤติปฏิบัติ ๑๕ วิ.ม. (ไทย) ๔/๖๐/๗๒. ๑๖ ขุ.จู.(ไทย) ๓๐/๒๒ /๑๓๐–๑๓๑. ๗๒ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๗๓ ตามปฏิปทาที่ตนเองถนัด การช่วยกันเผยแผ่พระพุทธศาสนาหรือโดยการปลีกวิเวกไปตามสถานที่ที่ ตนเองปรารถนาตามลาพังบ้างเที่ยวจาริกไปตามสถานที่ต่าง ๆ กับพระภิกษุบริวารบ้าง ตามเสด็จ พระพุทธองค์เพื่อรับสนองงานที่ตนเองมีความสามารถบ้าง ปฏิบัติตามหลักธรรมที่ตนเองยึดถือและ ถือปฏิบัติเป็นวัตรบ้าง พระสาวกถือว่าเป็นผู้ที่ได้มอบมรดกอันล้าค่าแก่พุทธศาสนิกชนให้ได้ศึกษา และถือเป็นแบบอย่างในการประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยที่พระพุทธองค์ทรงได้วางหลักไว้ โดยยึดถือเอาแบบอย่างของบรรดาพุทธสาวกเป็นอนุสสติที่ให้คุณค่าต่อการประพฤติปฏิบัติคุณงาม ความดียิ่ง ๆ ขึ้นไป หากพระองค์ปราศจากซึ่งพระพุทธสาวกแล้ว การแสดงธรรมเทศนาก็ดี บทบัญญัติที่เรียกว่าสิกขาบทก็ดีก็จะไม่ปรากฏขึ้นให้ได้รู้ได้เห็นอย่างชัดเจนเหมือนดังปัจจุบัน และ ไม่มีผู้ใดรับรองหรือถ่ายทอดพุทธจริยาของพระพุทธองค์ที่ได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณให้ ดำรงคงอยู่คู่สังคมโลกดังนั้นการศึกษาวิธีการบรรลุธรรมของเหล่าพุทธสาวกจึงสมควรได้รับ การศึกษาวิเคราะห์ในประเด็นอื่น ๆ ให้กว้างขวางออกไป เพื่อเป็นแบบอย่างให้อนุชนคนรุ่นหลังได้ ถือเป็นแนวแห่งการประพฤติปฏิบัติเพื่อที่จะเพิ่มพูนความดีงามให้เกิดขึ้นในการดำเนินชีวิตสืบไป หลักการในการสื่อสารของพระพุทธเจ้านั้นเมื่อพระพุทธองค์มีพระประสงค์จะประกาศ เผยแผ่พระพุทธศาสนาแก่ประชนชนจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเสนอสัทธรรมความเชื่อเดิมที่เขามีอยู่ ให้หมดสิ้นไปเสียก่อนแต่การที่จะเอาชนะลัทธิต่างๆที่ประชาชนมีความเชื่อฝังใจอยู่แล้วมิใช่ทำได้ ง่ายเลยจะต้องมีรูปแบบหรือวิธีการที่แยบยลจึงจะสามารถให้คนเลิกนับถือลัทธิอันเป็นความเชื่อเดิม ของเขาแล้วให้เขามานับถือพระพุทธศาสนานั้นๆ หมายความว่าพระพุทธเจ้าจะต้องมีศักยภาพที่ เหนือกว่าเจ้าลัทธิทั้งหลายเหล่านั้นจึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงแนวความเชื่อแนวความคิดดั่งเดิมของ เขาได้พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ชาญฉลาดในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก เมื่อทรงเห็น โอกาสว่าคำสอนส่วนใดพอที่จะประยุกต์เข้ากันได้กับความเชื่อดั่งเดิมของประชาชนซึ่งเป็นส่วนที่ดี อยู่แล้ว พระพุทธองค์ก็จะอนุโลมตามและบางส่วนก็ยังบกพร่องอยู่บ้างก็ทรงนำมาแก้ไขเพิ่มเติมให้ดี ขึ้นกว่าเดิม หากส่วนใดที่เป็นการสอนให้คนหลงผิด หลงงมงาย ไร้สาระ หาประโยชน์ไม่ได้พระพุทธ องค์ก็จะทรงแก้ไขเปลี่ยนแปลงทั้งหมดพร้อมกันนั้นยังมีการนำเสนอหลักการแนวใหม่ที่ยังไม่เคยมี ใครทำมาก่อนให้ประชาชนได้ทราบนั่นก็คือหลักแห่งอริยสัจ ๔ อันเป็นหลักคำสอนที่ประเสริฐที่สุด ในโลกซึ่งเป็นหลักความจริงหนึ่งเดียวของพระพุทธเจ้า แปลว่า ภาวนา มรรค ควรเจริญ คือการ ฝึกอบรมปฏิบัติตามเพื่อหลักธรรมคำสอนจนให้ถึงความพ้นแห่งทุกข์คือพระนิพพาน ๓.๓ รูปแบบการเผยแผ่ของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา การเผยแผ่ หมายถึง การทำให้ขยายออกทำให้กว้างออกไป ๑๗ดังนั้น การเผยแผ่ หลักธรรมจึงหมายถึง การทำให้หลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาขยายกว้างขวางออกไป เผย แผ่กว้างขวางออกไปทำให้เป็นที่แผ่หลายเป็นที่รู้จักต่อสาธารณะชนหรืองานในหน้าที่ของพระสงฆ์ที่ นำหลักธรรมในพระพุทธศาสนาออกอบรมสั่งสอนพุทธศาสนิกชน ตามอำเภอ ตำบล หมู่บ้านต่าง ๆ ในหลายรูปแบบ๑๘ เป็นการสื่อสารเพื่อการพัฒนาบุคคลทางด้านจิตใจให้มีความเคารพเลื่อมใสยำ เกรงในพระรัตนตรัย น้อมนำเอาหลักธรรมในพระพุทธศาสนาไปประพฤติปฏิบัติเพื่อให้เกิด ประโยชน์แก่ผู้ปฏิบัติตามสมควรแห่งการปฏิบัตินั้น เพราะพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มุ่งเพื่อ ๑๗ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน, (กรุงเทพมหานคร: อักษรเจริญทัศน , ๒๕๒๕), หน้า ๔๕๙. ๑๘ พระครูปลัดเจริญ ฐิตปุญฺโญ (ยากรณ์) , “การศึกษาชีวิตและผลงานของพระราชพุทธญาณ (กุศล คนฺธวโร)”, หน้า ๕๘. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๗๓
๗๔ ประโยชน์สุขแก่ชาวโลก เป็นศาสนาแห่งสันติภาพของโลกและสันติภาพแห่งโลกสากล๑๙สมดังพระ ดำริที่จะส่งพระอรหันตสาวก ๖๐ รูป ออกไปเผยแผ่พุทธธรรมให้ชาวโลกได้รับรู้จึงตรัสกับภิกษุ ทั้งหลายว่า “ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเที่ยวไป เพื่อประโยชน์ และความสุขแก่ชนหมู่มากเพื่อ อนุเคราะห์ชาวโลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูล และความสุขแก่เหล่าทวยเทพและมนุษย์๒๐ และให้เกิด ประโยชน์สูงสุดตามที่พระองค์ทรงประสงค์ ๓ ประการ๒๑คือ ๑. ทิฏฐธรรมิกัตถะ คือ ประโยชน์ปัจจุบัน, ประโยชน์โลกนี้, ประโยชน์ของตน ๒. สัมปรายิกตถะ คือ ประโยชน์เบื้องหน้าหรือในภพหน้า, ประโยชนสูงขึ้นไป ๓. ปรมัตถะ คือ ประโยชน์สูงสุด, จุดหมายสูงสุด คือ พระนิพพาน” การเผยแผ่หลักธรรมในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้ามีวิธีดำเนินการในการประสานมนุษย์ สัมพันธ์โดยตระหนักในเหตุ ๓ ประการ๒๒อยู่เสมอและในทุก ๆ กรณีที่พระพุทธองค์ทรงดำเนินการ คือ ๑) ทรงคนหาพื้นเพเดิมของเขา ๒) ทรงวิจัยถึงความต้องการของเขา ๓) ทรงรู้วิธีเข้าถึงจิตใจ ของเขาจึงกล่าวได้ว่าการเผยแผ่ของพระพุทธเจ้าทำกันหลายรูปแบบ เช่น การแสดงธรรม การ สนทนาธรรม การแนะนำสั่งสอน การปฏิบัติตนให้เป็นที่น่าเลื่อมใส และการตอบปัญหาข้อข้องใจ สงสัยโดยที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประทานหลักในการแสดงธรรมให้มีเหตุผลต่อเนื่องกันไปโดยลำดับ ชี้แจงให้เข้าใจชัดเจนในแต่ละประเด็นแสดงธรรมด้วยจิตเมตตา มุ่งให้ประโยชน์แก่ผู้ฟัง ไม่แสดง ธรรมเพราะเห็นแก่ลาภสักการะ แสดงธรรมไม่ยกตนข่มท่าน และไม่เสียดสี่ข่มขู่ผู้อื่น๒๓ ให้เกิดความ กระทบกระเทือน ทั้งนี้ เพราะพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่สอนมุ่งประโยชน์ต่อมหาชนสอนด้วย เหตุผลเป็นศาสนาเดียวที่มีในโลกที่องค์ผู้ประดิษฐานและผู้เผยแผ่ไม่ได้สอนให้เชื่ออย่างงมงาย พระพุทธเจ้าได้ตรัสอยู่เสมอว่าให้คิดตรึกตรองให้ดีก่อนแล้วจึงเชื่อ ให้เชื่อภายหลังที่เข้าใจเหตุผลดี ไม่ใช้ให้เชื่อเสียก่อนแล้วจึงเข้าใจภายหลัง หลักใหญ่ของพระพุทธศาสนานั้นอยู่ที่เหตุผล ผลทุก ประการย่อมมาจากเหตุ ถ้าไม่มีเหตุก็ไม่มีผลด้วยเหตุดังนี้ บทบาทการเผยแผ่มีเหตุผลที่ดีจึงประกาศ ให้ทราบมีลักษณะอะลุ่มอล่วยแสดงถึงการมีใจกว้างไม่ผูกมัดผู้อื่นด้วยความคิดของตนอีกทั้งการเผย แผ่พุทธธรรมนับว่าเป็นหัวใจของการสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาให้วัฒนาสถาพร สามารถแบ่งเป็น ยุคพุทธกาลและยุคปัจจุบันได้ดังนี้ ๓.๓.๑ รูปแบบการเผยแผ่ของพระสงฆ์ในยุคพุทธกาล การดำเนินงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาตั้งแต่ครั้งพุทธกาลเป็นต้นมาถือเป็นการ ดำเนินงานอย่างมีแบบแผนงานตามระบบอย่างเป็นระเบียบจึงทำให้พระพุทธศาสนาประดิษฐาน มั่นคงมาจนถึงทุกวันนี้ซึ่งข้อนี้อาจทำให้ดูเสมือนเป็นความสมบูรณ์พร้อมของพระศาสนาจนละเลยที่ จะศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับศาสตร์สมัยใหม่ทำให้ตกอยู่ในความประมาท เพราะไม่อาจสร้างจุดดึงดูด ความสนใจให้เกิดขึ้นกับคนรุ่นใหม่ได้ การเรียนรู้เพื่อทีจะนำศาสตร์สมัยใหม่มาปรับประยุกต์ใช้กับ หลักการเผยแผ่พระพุทธศาสนาจึงเป็นประโยชน์โดยตรงต่อการกำหนดนโยบายการวางแผนงาน ๑๙ พระพิพิธธรรมสุนทร. คม ชัด ลึก เล่ม ๒, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง , ๒๕๔๗), หน้า ๔๑. ๒๐ วิ.ม. (ไทย) ๔/๓๒/๔๐. ๒๑ ขุ.จู.(ไทย) ๓๐/๖๗๓/๓๓๓. ๒๒ ปิ่น มุทุกันต์, มุมสว่าง, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์คลังวิทยา, ๒๕๑๓), หน้า ๒๐๕–๒๐๖. ๒๓ อง.ปญฺจก. (ไทย) ๒๒/๑๕๙/๒๖๓. ๗๔ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๗๕ และแผนยุทธศาสตร์ ให้สอดคล้องกับสังคมยุคปัจจุบัน สถาบันการศึกษา องค์กร และหน่วยงาน ต่างๆ จึงมีความตื่นตัวในการดำเนินงานโดยใช้แผนกลยุทธ์ให้เป็นกลไกสำคัญเพื่อให้เกิดการกระตุ้น และเสริมสร้างแรงจูงใจใฝ่สมฤทธิ์ฉะนั้น ก่อนการดำเนินงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา ผู้ปฏิบัติงาน ควรกำหนดยุทธศาสตร์การเผยแผ่อันประกอบด้วยแผนงาน โครงการ และกิจกรรมการเผยแผ่อย่าง เป็นระบบปฏิบัติงานในระยะยาว เช่น บุคลากรผู้อุทิศตนเพื่อการเผยแผ่อย่างจริงจังมีน้อย และไม่มี การดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง หลักการวิเคราะห์สถานการณ์ดังกล่าว สามารถนำไปพิจารณาได้ทั้งสิ่ง ที่อยู่ไกลตัวออกไปและสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว ทั้งนี้เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่จะลงมือปฏิบัติการจริงกล ยุทธ์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนามีหลายวิธีจะใช้วิธีใดขึ้นอยู่กับความถนัดและลักษณะของผู้รับซึ่ง วิธีที่พระภิกษุสงฆ์ใช้ในการเผยแผ่ธรรมะในปัจจุบัน ได้แก่ ๓.๓.๑.๑ การเทศนา การเทศนา คือ การถ่ายทอดธรรมะอันเป็นคำสั่งสอนทางศาสนาด้วยการแสดงชี้แจงให้ ฟัง เป็นการเผยแผ่ศาสนาแบบหนึ่งที่ใช้กันมาแต่สมัยพุทธกาล การเทศน์ ในสมัยพุทธกาลไม่มีพิธี การแต่อย่างใด เพียงผู้แสดงนั่งอยู่ในสถานที่สมควรและผู้ฟังมีลักษณะตั้งใจฟังก็สามารถแสดงได้ ในขณะที่การเทศนานั้น อาจมีลักษณะลีลาต่างกันไปบ้าง ตามแต่อุปนิสัยของแต่ละบุคคล สำหรับ พระพุทธเจ้าแล้วบางครั้งจะทรงใช้คาถาประพันธ์ หรือร้อยแก้วธรรมดาในประเทศไทย การเทศน์ กลายเป็นส่วนประกอบสำคัญในพิธีกรรมต่าง ๆ ของชาวไทยมาช้านาน เช่น วันขึ้นบ้านใหม่ วัน แต่งงาน ไปจนถึงงานศพและมีข้อปลีกย่อยในการประกอบพิธีกรรมมากมาย เช่น ต้องมีการ อาราธนาศีล อาราธนาธรรม การจุดเทียนส่องธรรม เป็นต้น พระสงฆ์ไทยแต่โบราณก็มีการดัดแปลง โดยเพิ่มทำนองให้น่าสนใจ เรียกว่า เทศน์แหล่ ปัจจุบันอาจแบ่งการเทศน์ตามจำนวนผู้เทศน์ได้เป็น เทศน์เดี่ยว (เทศน์รูปเดียว) และเทศน์สองธรรมมาสน์ขึ้นไป (เทศน์แบบปุจฉา-วิสัชนาใช้ผู้เทศน์ ๒ รูปขึ้นไป) คำว่า เทศน์ หรือการเทศน์แบบพิธีการ ในความรู้สึกส่วนใหญ่ของคนไทยมักจะเข้าใจว่า เป็นพิธีกรรมการสอนที่เป็นทางการ เน้นพิธีการ และมีรูปแบบตายตัว ที่ผู้เทศน์ไม่สามารถใช้ลูกเล่น หรือใช้อุปกรณ์ เช่น ภาพ หรือสื่อประสมมาใช้เพื่อประกอบการเทศน์ได้ ทำให้ในปัจจุบันพระสงฆ์ ได้มีปรับเปลี่ยนวิธีการเทศน์ด้วยวิธีอื่นๆ เพื่อให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป เช่น การเทศน์ในพิธีการ โดยไม่ใช้สำนวนโบราณ การสอนธรรมะผ่านสื่อต่างๆ การแต่งหนังสือ การแต่งเพลงธรรมะ เป็นต้น ซึ่งสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากกว่า เพราะส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้ทำนองแบบเทศน์พิธีการและอาจมี มุกสอดแทรกลงไปทำให้น่าสนใจมากขึ้น ๓.๓.๑.๒ ปาฐกถาธรรม คือ การบรรยายธรรมะให้ผู้อื่นฟังโดยทั่วไปจะยืนพูดและผู้พูด จะต้องมีลีลาในการพูด เพื่อโน้มน้าวจิตใจผู้ฟังเป็นพิเศษ เป็นวิธีการแสดงธรรมแบบใหม่ ๓.๓.๑.๓ อภิปรายธรรม คือ การชี้แจงหรือแสดงความคิดเห็นในหลักธรรมข้อใดข้อ หนึ่งให้ผู้อื่นเข้าใจ เป็นการเผยแผ่อีกรูปแบบหนึ่ง ๓.๓.๑.๔ สนทนาธรรม คือ การพูดจาในหลักธรรมเพื่อนำไปประยุกต์ใช้แก้ไขปัญหา ชีวิตโดยยึดหลักทางสายกลาง ๓.๓.๑.๕ การสอนสมถะกรรมฐานหรือวิปัสสนากรรมฐาน คือ การสอนให้นั่งสมาธิ ภาวนาเพื่อให้ใจเป็นสมาธิหรือเข้าใจสภาวะตามความเป็นจริงของสังขารตามหลักไตรลักษณ์ พระ บางรูปสอนทั้งพระภิกษุสามเณรและอุบาสกอุบาสกา มีการบวชชีพราหมณ์ บางรูปสอนตาม โรงเรียนแนะนำครูและนักเรียนให้ฝึกกรรมฐาน ๓.๓.๑.๖ การใช้สื่อและอุปกรณ์ประกอบการสอนธรรมะ เช่น การเขียนหนังสือธรรมะ การบันทึกเทปธรรมะ หรือวีดีโอเพื่อจำหน่ายจ่ายแจกไปในกลุ่มคนที่ไม่มีเวลาศึกษาธรรมะด้วย นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๗๕
๗๖ ตนเองหรือมีการใช้ภาพยนตร์ สไลด์ วีดีโอ และรูปภาพ มาเป็นอุปกรณ์การสอนธรรมะโดยใช้เครื่อง คอมพิวเตอร์ เป็นเครือขายในการผลิตสื่อและอุปกรณ์ประกอบการสอนธรรมะโดยมีญาติโยมให้ ความอุปถัมภ์๒๔เห็นได้ว่า พระพุทธศาสนาตั้งแต่ครั้งพุทธกาลเป็นต้นมาถือเป็นการดำเนินงานอย่าง มีแผนงานตามระบบ จึงทำให้พระพุทธศาสนาประดิษฐานมั่นคงมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งข้อนี้อาจทำให้ดู เสมือนเป็นความสมบูรณ์พร้อมของพระศาสนาจนละเลยที่จะศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับศาสตร์ สมัยใหม่ ทำให้ตกอยู่ในความประมาท เพราะไม่อาจสร้างจุดดึงดูดความสนใจ ให้เกิดขึ้นกับคนรุ่น ใหม่ได้ การเรียนรู้เพื่อทีจะนำศาสตร์สมัยใหม่มาปรับประยุกต์ใช้กับหลักการเผยแผ่พระพุทธศาสนา จึงเป็นประโยชน์โดยตรงต่อการกำหนดนโยบายการวางแผนงาน และแผนยุทธศาสตร์ ให้สอดคล้อง กับสังคมยุคปัจจุบัน สถาบันการศึกษา องค์กร และหน่วยงานต่างๆ จึงมีความตื่นตัวในการ ดำเนินงานโดยใช้แผนยุทธศาสตร์ให้เป็นกลไกสำคัญเพื่อให้เกิดการกระตุ้นและเสริมสร้างแรงจูงใจ ใฝ่สมฤทธิ์และการเผยแผ่พระพุทธศาสนามีหลายวิธี จะใช้วิธีใดขึ้นอยู่กับความถนัดและลักษณะของ ผู้รับ ซึ่งวิธีที่พระภิกษุสงฆ์ใช้ในการเผยแผ่ธรรมะในปัจจุบัน ซึ่งต้องอาศัยคุณสมบัติของพระสงฆ์ใน การเผยแผ่ที่พึงประสงค์ตามแนวทางแห่งพุทธะซึ่งได้ระบุถึงคุณสมบัติดังกล่าวที่เรียกว่า สัปปุริส ธรรม ๗ ประการ๒๕ ได้แก่ ๑. ธัมมัญญุตา คือ เป็นผู้รู้ธรรมคือหลักการ หลักความจริง เนื้อหาสาระของเรื่อง สามารถจะสื่อสาร รู้แจ้งแทงตลอดในทฤษฎีและปฏิบัติในศาสตร์และศิลป์ของตน ๒. อัตถัญญุตา คือ รู้จักเนื้อหาสาระ ความหมาย ความมุ่งหมาย และวัตถุประสงค์ของ การสื่อสารที่แน่นอนชัดเจน ๓. อัตตัญญุตา คือ รู้จักตนเองรู้ว่าตนคือใคร มีความพร้อมหรือไม่อย่างไรการรู้จัก ตนเองเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง เมื่อเรารู้จักตนเองดีแล้วจะมีการยอมรับตนเองแล้วจะเปิดเผยตนเอง สามารถสื่อสารภายในตนเองได้อย่างดียิ่งผู้ที่สามารถสื่อสารภายในตนเองได้ดีจะเป็นคนที่สามารถ รับรู้วิเคราะห์ สังเคราะห์ และมีวิจารณญาณที่สุขุมรอบคอบ มีเหตุ มีผล ทำให้การสื่อสารมี ประสิทธิภาพยิ่ง ๔. มัตตัญญุตา คือ รู้จักประมาณและรู้จักความพอดีการสื่อสารบางอย่างหากมาก เกินไปผู้รับสารก็รับไม่ได้หากน้อยเกินไปก็ไม่เพียงพอแก่ผู้รับ การรู้จักประมาณในการสื่อสาร คือไม่ ส่งสารซ้ำซากมากเกินไปน้อยเกินไป ๕. กาลัญญุตา คือ รู้จักกาลเวลา ผู้ส่งสารต้องรู้จักเวลาในการสื่อสารว่าเวลาไหนควร เวลาไหนไม่ควร หากผู้ส่งสารไม่รู้จักเวลาในการสื่อสาร แม้ว่าจะเป็นการสื่อสารภายในตนเองการ สื่อสารระหว่างบุคคลหรือการสื่อสารของมวลชน นอกจากการสื่อสารนั้นจะไม่ประสบความสำเร็จ แล้วบางทีอาจมีอุปสรรค์ต่างๆ ตามมาอีกด้วย การรู้จักเวลาจึงเป็นคุณสมบัติประการหนึ่งของผู้ส่ง สารตามแนวทางแห่งพุทธะ ๖. ปริสัญญุตา คือ รู้จักชุมชน รู้จักสังคม ในทางนิเทศศาสตร์เรียกว่ากลุ่มผู้รับสาร กลุ่มเป้าหมาย ผู้ส่งสารต้องรู้จักกลุ่มเป้าหมาย การสื่อสารจึงจะประสบความสำเร็จยิ่งรู้จักมาก ๒๔ บุญศรี พานจิตต์ และคณะ , "รายงานการวิจัย เรื่อง ความสำเร็จในการปฏิบัติภารกิจของวัด : ศึกษาเฉพาะกรณีวัดสวนแก้ว อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี” (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย , ๒๕๔๕), หน้า ๒๑–๒๓. ๒๕ สมาน งามสนิท , ผู้ส่งสารที่พึงประสงค์ตามแนวพุทธะ : ครบรอบ ๑๐ ปี สาขาธรรมนิเทศ มหาวิทยาลัยสโขทัย-ธรรมาธิราช, (นนทบุรี: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ๒๕๓๗), หน้า ๙๓-๙๕. ๗๖ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๗๗ เท่าไรการสื่อสารยิ่งจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น พระพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมะของพระองค์ได้ อย่างมีประสิทธิภาพนั้น เพราะว่าพระองค์ทรงรอบรู้ผู้รับสารได้อย่างแจ่มแจ้ง แทงตลอด ทรงรู้ไป ถึงภูมิหลังหรือกรรมเก่าแต่ชาติก่อนของผู้รับสาร ผู้ส่งสารที่เป็นปุถุชนธรรมดาก็มีความจำ เป็นต้องรู้ กลุ่มเป้าหมายว่าเป็นใคร ต้องรู้จักเพศ อายุ การศึกษา สถานภาพ ทางเศรษฐกิจและสังคมยังรู้ กลุ่มเป้าหมายมากการสื่อสารก็มีประสิทธิภาพมาก ๗. ปุคคลปโรปรัญญุตา คือ รู้จักความแตกตางระหว่างบุคคลว่าผู้รับสารแต่ละคนมี ลักษณะจำเพาะเป็นของตนเอง มีจริต มีอัธยาศัย มีศักยภาพในการรับสารมากน้อยเพียงใดการที่ผู้ ส่งสารรู้ความแตกต่างระหว่างบุคคลได้นั้น ทำให้สามารถแยกแยะผู้รับสารได้บุคคลผู้ประกอบด้วย สัปปุริสธรรมทั้ง ๗ ประการนี้ ชื่อว่าเป็นผู้ประกอบด้วย สังฆคุณครบทั้ง ๙ ประการ ๒๖ ได้แก่ ๑) เป็นผู้ปฏิบัติดี ๒) เป็นผู้ปฏิบัติตรง ๓) เป็นผู้ปฏิบัติถูกทาง ๔) เป็นผู้ปฏิบัติสมควร ๕) เป็นผู้สมควร ได้รับของที่เขานำมาถวาย ๖) เป็นผู้ควรแก่การต้อนรับ ๗) เป็นผู้ควรแก่การทักษิณา คือ ควรแก่ ของทำบุญ ๘) เป็นผู้ควรแก่การอัญชลี คือ การกราบไหว้ ๙) เป็นนาบุญอันยอดเยี่ยมของโลก หรือ เป็นแหล่งปลูกฝังและเผยแผ่ความดีที่ยอดเยี่ยมของโลกคุณสมบัติของนักเผยแผ่ ซึ่งกำหนดตาม แนวทางของหลักสัปปุริสธรรม ๗ ประการดังกล่าว จัดเป็นคุณสมบัติที่พึงพิจารณากำหนดให้เกิดมี พร้อมในตัวบุคคลผู้ทำหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนา และเมื่อนำหลักการหลาย ๆ ส่วนมารวมกัน จากการศึกษาหลักและวิธีการเผยแผ่หลักธรรม ในส่วนที่เกี่ยวกับความหมายและความสำคัญของ การเผยแผ่กลยุทธ์พุทธวิธีในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา หลักการและแนวคิดเกี่ยวกับ การเผยแผ่ หลักธรรม,กลยุทธ์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและคุณสมบัติของนักเผยแผ่ที่พึงประสงค์ตาม แนวทางแห่งพุทธะ สรุปได้ว่า วิธีการเผยแผ่หลักธรรมในครั้งพุทธกาลพระพุทธเจ้าทรงใช้วิธีการเผยแผ่แบบ ประยุกต์เข้ากับสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ จารีตประเพณี ซึ่งในแต่ละท้องถิ่นจะมีความแตกต่าง กันมากมาย ไม่ว่าจะทรงใช้วิธีไหนก็ตาม เช่น ทรงใช้อุบายในการเลือกบุคคลรอจังหวะหรือโอกาส เป็นต้น พระพุทธองค์มิได้จำกัดบุคคลในการเทศน์สอนว่าเป็นชนชั้นวรรณะใด เพศใดอาชีพใด หรือ อายุวัยใดทรงแสดงธรรมแก่บุคคลทุกระดับไม่จำกัดขอบเขตหากเขามีความสามารถที่จะรับรู้ธรรม ได้ ก็ทรงให้โอกาสเสมอ จนมีพุทธศาสนิกชนทุกชนชั้น หลักธรรมได้แทรกซึมอยู่ในบุคคลทุกกลุ่ม ทุกวัย ทุกเพศ ทุกสาขาอาชีพ สิทธิเสรีภาพของบุคคลได้ถูกเปิดออกโดยหลักการของ พระพุทธศาสนาประชาชนส่วนมากได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนาในการดำเนินชีวิตไม่ว่าจะทรงใช้ วิธีไหนก็ตาม เช่นทรงใช้อุบายในการเลือกบุคคล รอจังหวะหรือโอกาส เป็นต้น พระสงฆ์จึงเป็นส่วน หนึ่งที่ช่วยปลูกฝังคุณธรรมให้เกิดขึ้นแก่คนในชุมชน สั่งสอนให้คนเป็นคนดี คุณสมบัติของผู้เผยแผ่ เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ฟังเกิดศรัทธาและยอมปฏิบัติตามในคำสอนอย่างน่าอัศจรรย์ นอกจากนี้ปัจจัยที่มี ผลต่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนานอกจากรูปแบบและวิธีการเผยแผ่แล้วสภาพแวดล้อมทาง ภูมิศาสตร์ เช่น ลมฟ้าอากาศ วิถีดำเนินชีวิตของประชาชนในแต่ละท้องถิ่น อัธยาศัย การศึกษา ความเชื่อ ทัศนคติ จารีตวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นอุปสรรคต่อการเผยแผ่ งานทางพระพุทธศาสนาเพราะฉะนั้น พระสงฆ์ผู้เผยแผ่นอกจากปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามธรรมวินัย แล้วจำเป็นที่ต้องมีความชำนาญและความสามารถในหลายๆด้านประกอบกันโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณสมบัติของพระสงฆ์หรือตัวผู้สื่อเอง ซึ่งนับเป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งในการสร้างศรัทธาให้เกิดแก่ผู้ฟัง ที่ได้พบและได้การเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่เกิดขึ้นทั้งปัญหาและอุปสรรคจากภายใน ปัญหาและ อุปสรรคจากภายนอกซึ่งในกระบวนการต่าง ๆ ที่ได้กล่าวอ้างมาในเบื้องต้น ผู้วิจัยจะได้นำหลักและ ๒๖ อง.ติก. (ไทย) ๒๐/๗๑/๒๘๓. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๗๗
๗๘ วิธีการสอนของพระพุทธเจ้า ตลอดจนกระบวนการต่าง ๆ ที่พระพุทธเจ้าและพระสาวกในสมัย พุทธกาลมาเป็นกรอบในการอธิบายกลยุทธ์ รูปแบบและวิธีการเผยแผ่หลักธรรม ต่อไป วิธีการเผยแผ่หลักธรรมในครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงใช้วิธีการเผยแผ่แบบประยุกต์ เข้ากับสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ทางสังคม จารีต ประเพณีในแต่ละท้องถิ่นที่มี ความแตกต่างกันมากมายทรงใช้อุบายในการเลือกบุคคล รอจังหวะหรือโอกาสการสอนของ พระพุทธเจ้าในแต่ละครั้งจะมีคุณลักษณะซึ่งเรียกได้ว่าเป็นลีลาการสอน ๔ รูปแบบ คือ (๑) สันทัสสนา ชี้แจงให้เห็นชัดคือจะสอนอะไรก็ชี้แจงจำแนกแยกแยะอธิบายและ แสดงเหตุผลให้ชัดเจนจนผู้ฟังเข้าใจแจ่มแจ้งเห็นจริงในสิ่งที่สอน (๒) สมาทปนา ชวนให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ (๓) สัมปหังสนา เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า คือ ปลุกเร้าใจให้กระตือรือร้นเกิดความ อุตสาหะ และ (๔) สมุตเตชนา ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริง คือ บำรุงจิตใจให้แช่มชื่นเบิกบาน โดย ชี้ให้เห็นผลดีหรือคุณประโยชน์ที่จะได้รับและทางที่จะก้าวหน้าบรรลุผลสำเร็จยิ่งขึ้นไป พระพุทธเจ้าทรงมีพระสงฆ์สาวกเป็นกำลังหลักในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา การเผย แผ่พระพุทธศาสนาได้กระทำกันหลายรูปแบบ เช่น การแสดงธรรม การสนทนาธรรม การแนะนำสั่ง สอนการปฏิบัติตนให้เป็นที่น่าเลื่อมใส และการตอบปัญหาข้อข้องใจสงสัย เป็นต้น โดยที่ พระพุทธเจ้าประทานหลักในการเผยแผ่ให้พระสาวกยึดถือเป็นหลักปฏิบัติในการแสดงธรรมให้มี เหตุผลต่อเนื่องกันไปโดยลำดับ ชี้แจงให้เข้าใจชัดเจนใน แต่ละประเด็นแสดงธรรมด้วยจิตเมตตามุ่ง จะให้ประโยชน์แก่ผู้ฟัง ไม่แสดงธรรมเพราะเห็นแก่ลาภสักการะ แสดงธรรมโดยไม่ยกตนข่มท่าน และไม่เสียดสีข่มขู่ผู้อื่นพระสงฆ์สาวกส่วนใหญ่เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติสมควร และยึดมั่น ในคุณธรรมของผู้แสดงธรรมจึงสามารถเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ พระพุทธศาสนาแพร่หลายออกไปทั่วชมพูทวีปและเจริญรุ่งเรืองมั่นคงสืบเนื่องจนถึงยุคสมัยปัจจุบัน พระสงฆ์จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยปลูกฝังคุณธรรมให้เกิดขึ้นแก่คนในชุมชน สั่งสอนให้คนเป็นคนดี คุณสมบัติของผู้เผยแผ่เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ฟังเกิดศรัทธาและยอมปฏิบัติตามในคำสอนอย่างน่าอัศจรรย์ โดยผู้เผยแผ่พึงมีคุณสมบัติที่ปรากฏภายนอกและคุณสมบัติภายใน ได้แก่ ด้านบุคลิกภาพ หมายถึง รูปร่างหน้าตาและคุณสมบัติภายใน เป็นคุณธรรมที่ผู้เผยแผ่พึงปฏิบัติเพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ในหลักธรรมเพื่อจะได้สอนให้ถูกประเด็นทั้งภาคทฤษฎีเพื่อยังศรัทธาความเลื่อมใสและให้การเผย แผ่มีประสิทธิภาพสูงสุดอุดมการณ์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนานั้นต้องเลื่อมใสศรัทธาในพระ รัตนตรัยน้อมนำเอาหลักธรรมในพระพุทธศาสนาไปประพฤติปฏิบัติเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ปฏิบัติ เหล่านั้นเพราะพระพุทธศาสนาบังเกิดขึ้นมาเพื่อประโยชน์สุขแก่ชาวโลก นอกจากนี้ปัจจัยที่มีผลต่อ การเผยแผ่พระพุทธศาสนา นอกจากเทคนิคและวิธีการเผยแผ่แล้ว สภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ เช่น ลมฟ้าอากาศ วิถีดำเนินชีวิตของประชาชนในแต่ละท้องถิ่น อัธยาศัย การศึกษา ความเชื่อ ทัศนคติ จารีตวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นอุปสรรคต่อการเผยแผ่งานทาง พระพุทธศาสนาเพราะฉะนั้นพระสงฆ์ผู้เผยแผ่นอกจากปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามธรรมวินัยแล้วจำเป็น ที่จะต้องมีความรู้ พระสงฆ์หรือตัวผู้สื่อสารเองซึ่งนับเป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งใหญ่ในการสร้างศรัทธา ให้เกิดแก่ผู้ฟังที่ได้พบเห็น ๗๘ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๗๙ ๓.๔ การเผยแผ่ของพระสงฆ์ในยุคปัจจุบัน งานพระธรรมทูตเป็นงานพัฒนาทรัพยากรบุคคลและเป็นงานที่เป็นรากฐานแห่งความ มั่นคงของพระพุทธศาสนาและประเทศชาติ แนวการปฏิบัติงานของพระธรรมทูต ได้แก่ การเทศน์ การบรรยาย การสนทนา ธรรมีกถา นำฝึกปฏิบัตินำเป็นพุทธมามกะ ๓.๔.๑ งานพระธรรมทูต เป็นงานที่นำพุทธบริษัทและประชาชนทั่วไป ให้เกิดความคิดถึงคุณค่าของธรรมะและ ความจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติธรรม สามารถนำธรรมะมาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้อง รวมทั้ง สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ในด้านเศรษฐกิจ สังคม การปกครอง และสิ่งแวดลอม งานพระธรรมทูต เป็นงานพัฒนาทรัพยากรบุคคลและเป็นงานที่เป็นรากฐานแห่งความมั่นคงของพระพุทธศาสนาและ ประเทศชาติ แนวการปฏิบัติงานของพระธรรมทูต ได้แก่ การเทศน์ การบรรยาย การสนทนา ธร รมีกถา นำฝึกปฏิบัตินำเป็นพุทธมามกะ เยี่ยมเยียน นำพัฒนาท้องถิ่น สาธิต และนำจัดกิจกรรม พระธรรมกิตติวงศ์(ทองดีสุรเตโช) ได้กล่าวถึงนิยามของพระธรรมทูตว่า “ เมื่อบวชเข้า มาแล้วก็สวมหมวกหนึ่งใบแรกคือเป็นพระในพระพุทธศาสนาเป็นสมาชิกของพระพุทธศาสนา เป็น ลูกของพระพุทธเจ้า เป็นภิกษุรูปหนึ่งในคณะสงฆ์ไทย เป็นภิกษุรูปหนึ่งในวัดนี่เรียกว่าพอบวชก็เป็น เลยมีมาก ต่อมาอาจจะได้เป็นครูสอนนักธรรม ครูสอนบาลี ก่อนจะมาเป็นครูสอนนักธรรม อาจจะ มาเป็นนักเรียนก่อน ต่อมาก็ได้รับการแต่งตั้งและได้รับมอบหมายงานอื่น ๆ อีกตอนนี้ก็เป็นพระ ธรรมทูต โดยทางปฏิบัติพระธรรมทูตก็คือผู้แทนของพระพุทธเจ้า ทูตก็คือผู้แทนทางธรรมหรือ ผู้แทนธรรมะ ก็คือผู้แทนของพระพุทธเจ้านั้นเอง ทำหน้าที่แทนพระพุทธเจ้าเหมือนพระพุทธเจ้า ตรัสรู้แล้ว เสด็จจาริกเที่ยวสั่งสอนชาวบ้านจนกระทั่งมีพระสาวกเกิดขึ้น และส่งพระสาวกไป ประกาศพระศาสนาในที่ต่าง ๆ พระสาวกที่ถูกส่งไปประกาศพระศาสนานั้น เราเรียกกันว่า “พระ ธรรมทูต” นั้นก็คือพระที่ทำหน้าที่เป็นทูตหรือเป็นผู้แทนของพระพุทธเจ้า”๒๗ และท่านยังได้ กล่าวถึงหลักในการเผยแผ่ธรรมของพระธรรมทูตไว้ว่า “ท่านทั้งหลายในขณะนี้ มีหน้าที่เป็นพระ ธรรมทูตก็คือเป็นผู้แทนของพระพุทธเจ้า เมื่อเป็นผู้แทนของพระพุทธเจ้าในฐานพระธรรมทูตมี หน้าที่ในการเผยแผ่ธรรม พระธรรมทูตมีหน้าที่หลักก็คือการเผยแผ่ธรรมการเผยแผ่ธรรมมีหลายวิธี วิธีแรกที่พระพุทธเจ้าทรงปฏิบัติก็คือการเทศน์ และถือว่าเป็นวิธีหลักที่พระพุทธเจ้าทรงถือปฏิบัติ ด้วยพระองค์เองมาโดยตลอด ๔๕ ปี การเทศน์ ก็คือการแสดงธรรมการชี้แจง การบอกกล่าว นี้เรียก กันว่าเทศน์ สมัยปัจจุบัน เราก็นำวิธีการเทศน์นั้นมาปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคเข้ากับสมัย การเทศน์ นั้นก็ยังคงอยู่ แต่ว่าหนักไปทางพิธีการ และเป็นพิธีการที่ศักดิ์สิทธิ์ นั้นคือการเทศน์แบบเดิม ปรับเปลี่ยนมาเป็นปาฐกถา เรียกว่า “ปาฐกถาธรรม ” พูดธรรมะ เปลี่ยนเป็นบรรยายธรรม ก็คือ พูดธรรมะ เปลี่ยนเป็นอภิปรายธรรม ก็คือการบรรยายธรรมเหมือนกัน แต่บรรยายหลายคน ปรับเปลี่ยนเป็นการเทศน์ปุจฉา-วิสัชชนา สองธรรมาสน์ สามธรรมาสน์ ปรับเปลี่ยนไปตามยุค ตาม สมัย”ท่านพระธรรมทูตทุกรูปผู้มีความเสียสละ โดยมีความตั้งใจทำหน้าที่เป็นทูตของพระพุทธเจ้า และพระศาสดา นับได้ว่าต้องทำหน้าที่สำคัญและหนัก ซึ่งน่าเห็นใจ หน้าที่ของท่านนั้นอุปมาดังผู้ถือ คบเพลิงด้วยมือขวา เพี่อให้เกิดแสงสว่าง แล้วตะกายขึ้นสู่ภูเขาที่สูงชัน โดยมีมือซ้ายโอบอุ้มทารก น้อย ซ้ำมีเด็กโตเดินตามไปด้วยอย่างใกล้ชิดเพื่อหนีภัย คือสัตว์ร้ายที่ตามติดมา ถ้าโชคดีหนีพ้น โดย ปีนป่ายไปจนถึงยอดอมตบรรพต ก็จะถึงแดนอันเกษมจากภัยทั้งปวง ถ้าโชคร้ายย่อมวิบัติอย่างน่า ๒๗ พระธรรมกิตติวงศ์(ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙ ราชบัณฑิต), พระธรรมทูตคือใคร, [ออนไลน์] แหล่งที่มา: http://www.ddhad.org/?name=knowledge&file=readknowledge&id=18 [๒๐ เม.ย. ๒๕๖๑]. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๗๙
๘๐ สงสาร ด้วยต้องตกภูเขา และถูกสัตว์ร้าย ตามติดแล้วทำร้าย เป็นอันตราย ทั้งตนเองและทั้งเด็ก น้อยสองคนด้วย ซึ่งเด็กน้อยทั้งสองนั้น ได้แก่ อุบาสก และอุบาสิกา ผู้หวังพึ่งต่อพระธรรมทูตผู้ถือ คบเพลิงนำทางนั้นเอง๒๘ สามารถสรุปได้ว่า พระธรรมทูตจำต้องเป็นผู้ฉลาด รอบคอบ ไม่ประมาท สามารถทำกิจ ตามหน้าที่โดยชอบเพื่อประโยชน์ตนและผู้อื่นให้สมกับหน้าที่เพื่อขึ้นสู่อมตบรรพตให้พ้นภัยทั้งตน และผู้ติดตามโดยสวัสดี มีความตั้งใจทำหน้าที่เป็นทูตของพระพุทธเจ้าและพระศาสดา ต้องมีความ เสียสละอดทน ต้องทำหน้าที่สำคัญและหนักเพี่อให้เกิดแสงสว่างและสันติสุข๒๙ ๓.๔.๒ หน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล (อ.ป.ต.) เป็นกิจกรรมของคณะสงฆ์ไทย ตามระเบียบมหาเถรสมาคม ว่าด้วยการตั้งหน่วยอบรม ประชาชนประจำตำบล พ.ศ. ๒๕๑๘ มีความมุ่งหมายที่จะพัฒนาท้องถิ่นระดับตำบลลงสู่หมู่บ้าน โดยให้พระภิกษุในชนบทได้มีบทบาทเป็นแกนนำในการส่งเสริมวัดให้เป็นศูนย์กลางของชุมชน พัฒนาท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชนนั้น ๆ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสร้างสิ่งที่เป็นคณะ ประโยชน์แก่ประชาชนตามหัวข้ออบรม ดังนี้ ๑) ศีลธรรมและวัฒนธรรม ๒) สุขภาพและอนามัย ๓) สัมมาชีพ ๔) สันติสุข ๕) ศึกษาสงเคราะห์ ๖) สาธารณสงเคราะห์ ๗) กตัญญูกตเวทิตาธรรม ๘) สามัคคีธรรม การประชุมอบรมประชาชนตามวัตถุประสงค์ ดังกล่าว จะดำเนินการโดยวิธีใดวิธีหนึ่งก็ ได้ตามสมควรแก่กรณี คือ (๑) การอบรมทั่วไป ได้แก่การประชุมประชาชนทั่วไปในตำบลนั้น โดยเชิญวิทยากรมา อธิบายชี้แจงแนะนำในทางวิชาการและการปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ขอใดขอหนึ่งของหน่วยอบรม (๒) การอบรมเฉพาะกรณี ได้แก่การประชุมประชาชนเพียงบางส่วน เฉพาะที่เกี่ยวข้อง กับเรื่องที่เกิดขึ้นแก่ประชาชนส่วนนั้นๆ โดยวิธีการชี้แจงแนะนำซ้อมความเขาใจในเรื่องนั้นๆ (๓) การอบรมเฉพาะบุคคล ได้แก่การจัดให้บุคคลมาพบปะสังสรรค์ เพื่อแลกเปลี่ยน ความคิดเห็นหรือชี้แจงแนะนำ ซ้อมความเข้าใจในเรื่องเกี่ยวกับบุคคลนั้น ๓.๔.๓ งานสอนศีลธรรมและอบรมจริยธรรมนักเรียนตามโรงเรียนต่างๆ เพื่อมุ่งให้นักเรียนมีทัศนคติที่ดีต่อสถาบันพระพุทธศาสนา สามารถปฏิบัติตนตามหน้าที่ ชาวพุทธได้อย่างถูกต้องเหมาะสมและน้อมนำหลักพุทธธรรมไป ปฏิบัติในการดำเนินชีวิตประจำวัน เพื่อพัฒนาตนเองและสังคม ซึ่งในปัจจุบัน มีการสอนศีลธรรมในสถานศึกษาต่างๆ เชิญชวนเยาวชน ๒๘ อ้างแล้ว. ๒๙ วัดตระพังทอง, ระเบียบมหาเถรสมาคม ว่าด้วยการตั้งหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล พ.ศ. ๒๕๑๘, [ออนไลน์] แหล่งที่มา : http://www.traphangthong.org/index.php? [๒๐ เม.ย. ๒๕๖๑]. ๘๐ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๘๑ มาเรียนธรรมศึกษาตรี โท เอก ในวัด เปิดสอนธรรมศึกษาภายในวัด และกำหนดให้เป็นวิชาบังคับ สำหรับเด็กได้ศึกษาตั้งแต่เยาว์วัย มีการวัดผลโดยวิธีต่างๆ วัดพฤติกรรม ทั้งให้ถือเป็นวิชาที่สำคัญ ที่สุด และเมื่อจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น นักเรียนทุกคนจะต้องสอบธรรมศึกษาเอกให้ได้ จัดระบบ การศึกษาให้มีหลักสูตร ที่มีการเรียนการสอน พระพุทธศาสนาในสถานศึกษา ทั้งโรงเรียนและ มหาวิทยาลัยอย่างเป็นรูปธรรม ให้เด็ก เยาวชน และประชาชน ศึกษาพระพุทธศาสนาให้เข้าใจแล้ว นำความรู้ที่ศึกษานั้นไปปฏิบัติให้เกิดผล สนับสนุนให้โรงเรียนทำกิจกรรมส่งเสริมการให้ความรู้ ความเขาใจเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะเน้นหนักในเรื่องการปฏิบัติธรรมควบคู่กันไปด้วย จัดเป็นหลักสูตรนอกโรงเรียนให้กับผู้นำท้องถิ่น หรือองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น รวมทั้งบุคลากร ภายในวัด ได้แก่ จัดอบรมแก่นแท้ ของพระพุทธศาสนาให้ไวยาวัจกรอย่างมีระบบ โดยเฉพาะ ส่งเสริมให้เข้าวัดและเรียนธรรมะประกาศตนเป็นพุทธมามกะในสถานศึกษา นำนักเรียนไปทำพิธี ทางพระพุทธศาสนาในวันสำคัญต่างๆที่วัดกำหนดให้การรับราชการต้องผ่านการสอบภาคความรู้ ความสามารถทั่วไปของการสอบคัดเลือก ก.พ. ให้มีการสอบวัดระดับของความรู้ด้านคุณธรรม จริยธรรม๓๐ ๓.๔.๔ การเผยแผ่ทางวิทยุและโทรทัศน์ ปัจจุบันการเผยแผ่พุทธธรรมได้รับการ ส่งเสริมสนับสนุนใหม่การใช้สื่อทุกประเภท สนับสนุนให้หน่วยงานองค์กรทางพระพุทธศาสนาเผยแผ่พระพุทธศาสนา โดยจัดรายการธรรมะทาง สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย วิทยุชุมชน และวิทยุโทรทัศน์ สถานีวิทยุกระจายเสียง กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ เช่น กำหนดช่วงระยะเวลา การออกอากาศรายการส่งเสริม คุณธรรมจริยธรรม ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ช่วงเวลาของเด็กและเยาวชน รายการสนทนาธรรม แก่น สารชีวิต๓๑ ๓.๔.๕ วารสาร นิตยสารเผยแผ่ธรรม วารสารและนิตยสาร เป็นสื่อมวลชนที่สำคัญประเภทหนึ่ง ที่ให้ทั้งข่าวสารความรู้ ความคิด และความบันเทิงแก่ผู้อ่านอย่างกว้างขวาง และยังทำหน้าที่ ในการบันทึกความเป็นไปใน สังคมในช่วงเวลาหนึ่งได้เป็นอย่างดี และมีส่วนช่วยกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพัฒนาด้านต่างๆ เนื่องจากวารสารและนิตยสารเป็นแหล่งรวบรวมและเผยแพร่ความรู้ความคิด ในรูปของการเสนอ บทความทางวิชาการ ข่าว ภาพ ความคิดเห็น บทวิจารณ์อย่างหลากหลาย มีการจัดทำออกมาอย่าง ต่อเนื่อง และเผยแพร่ความรู้ที่ทันสมัย ไปสู่กลุ่มผู้อ่านที่เป็นประชาชนทั่วไปได้กว้างขวางกว่า สิ่งพิมพ์ประเภทหนังสือ จึงมีคุณค่าต่อการศึกษาอย่างสูง๓๒ การจัดทำวารสาร นิตยสารเผยแผ่ธรรม จึงเป็นวิธีการสำคัญวิธีหนึ่งในการเผยแผ่พุทธธรรมให้เขาถึงประชาชนอย่างกว้างขวาง และ แพร่หลาย อีกทั้งยังเป็นเสมือนบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธธรรมที่สามารถนำมาอ้างอิงในโอกาส ต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ๓๐ กรมการศาสนา, รายงานการสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง รูปแบบการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม ในสังคมไทย, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม กรมการศาสนา, ๒๕๕๑), หน้า ๑๕ – ๑๖. ๓๑ อ้างแล้ว, หน้า ๑๖. ๓๒มนูญ ไชยสมบูรณ์, วารสาร & นิตยสาร, [ออนไลน์] แหล่งที่มา : http://www.gotoknow.org [๒๓ ต.ค. ๒๕๖๑]. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๘๑
๘๒ ๓.๔.๖ งานเผยแผ่ต่างประเทศ ในปัจจุบันมีการดำเนินงานพระธรรมทูตสายต่างประเทศ ภายใต้การดูแลของ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โดยกองวิเทศสัมพันธ์ ร่วมกับสมัชชาสงฆ์ไทยใน สหรัฐอเมริกา และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มีการจัดโครงการอบรมพระธรรมทูตสาย ต่างประเทศ เพื่อถวายความรู้ทั้งภาควิชาการและภาคปฏิบัติแก่พระสงฆ์ ในการทำหน้าที่เป็นพระ ธรรมทูตสายต่างประเทศ ก่อนเดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจในต่างประเทศ รวมทั้งสนับสนุนกิจการ เผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศในหลายรูปแบบ เช่น การเยี่ยมเยือน เจริญความ สัมพันธไมตรีการจัดสัมมนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ทั้งในสหรัฐอเมริกาและประเทศอินเดีย โดย เปิดอบรมถวายความรู้เป็นประจำทุกปี โดยพระสงฆ์ที่เข้ารับการอบรมถวายความรู้ จะเป็นกำลัง สำคัญทำหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างแดน เจริญรอยตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และที่สำคัญเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมทูต เพิ่มพูน ความรู้ ประสบการณ์ศาสตร์ใหม่ๆ และความเปลี่ยนแปลงของโลก สร้างเอกภาพและสามัคคีธรรม ให้แก่งานพระธรรมทูตต่างประเทศ พระภิกษุเหล่านี้หลังจากผ่านการอบรมตามหลักสูตรจะเดินทาง ไปปฏิบัติศาสนกิจอยู่ในทวีปเอเชีย, ทวีปยุโรป และโดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกานั้น มี พระภิกษุสงฆ์ผู้เป็นพระธรรมทูตผู้ปฏิบัติศาสนกิจเผยแผ่พระพุทธศาสนาอยู่เป็นจำนวนมาก และใน แต่ละปีผู้แทนมหาเถรสมาคมผู้แทนสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ผู้บริหารของมหาวิทยาลัย พร้อมด้วยญาติโยมได้เดินทางไปเยี่ยม ติดตาม ประชุมปรึกษาหารือ กำหนดแนวทางในการเผยแผ่ พระพุทธศาสนา เป็นประจำทุกปี๓๓ สรุปได้ว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงประทานหลักในการแสดงธรรมให้มีเหตุผลต่อเนื่องกันไป โดยลำดับ ชี้แจงให้เข้าใจชัดเจนในแต่ละประเด็น แสดงธรรมด้วยจิตเมตตา มุ่งให้ประโยชน์แก่ผู้ฟัง ไม่แสดงธรรมเพราะเห็นแก่ลาภสักการะ แสดงธรรมไม่ยกตนข่มท่าน และไม่เสียดสี่ข่มขู่ผู้อื่น ให้เกิด ความกระทบกระเทือน ทั้งนี้ เพราะพระพุทธศาสนาเป็นศาสนา ที่สอนมุ่งประโยชน์ต่อมหาชน สอน ด้วยเหตุผล เป็นศาสนา เดียวที่มีในโลก ที่องค์ผู้ประดิษฐานและผู้เผยแผ่ ไม่ได้สอนให้เชื่ออย่างงม งาย พระพุทธเจ้าได้ตรัสอยู่เสมอว่า ให้คิดตรึกตรองให้ดีก่อนแล้วจึงเชื่อ ให้เชื่อภายหลังที่เข้าใจ เหตุผลดี ไม่ใช้ให้เชื่อเสียก่อน แล้วจึงเข้าใจภายหลังหลักใหญ่ของพระพุทธศาสนานั้นอยู่ที่เหตุผล ผลทุกประการย่อมมาจากเหตุ ถ้าไม่มีเหตุก็ไม่มีผลด้วยเหตุดังนี้ บทบาทการเผยแผ่มีเหตุผลที่ บทความทางวิชาการ ข่าว ภาพ ความคิดเห็น บทวิจารณ์อย่างหลากหลาย มีการจัดทำออกมาอย่าง ต่อเนื่อง และเผยแพร่ความรู้ที่ทันสมัย ไปสู่กลุ่มผู้อ่านที่เป็นประชาชนทั่วไปได้กว้างขวางกว่า สิ่งพิมพ์ประเภทหนังสือ จึงมีคุณค่าต่อการศึกษาอย่างสูง๔๗ การจัดทำวารสาร นิตยสารเผยแผ่ ธรรม จึงเป็นวิธีการสำคัญวิธีหนึ่งในการเผยแผ่พุทธธรรมให้เขาถึงประชาชนอย่างกว้างขวาง และ แพร่หลาย อีกทั้งยังเป็นเสมือนบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธธรรมที่สามารถนามาอ้างอิงในโอกาส ตาง ๆ ได้เป็นอย่างดี ๓.๕ สรุปท้ายบท หลังจากบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว พุทธสาวกทั้งหลายต่างก็ประพฤติปฏิบัติตาม ปฏิปทาที่ตนเองถนัด การช่วยกันเผยแผ่พระพุทธศาสนาหรือโดยการปลีกวิเวกไปตามสถานที่ที่ ตนเองปรารถนาตามลำพังบ้างเที่ยวจาริกไปตามสถานที่ต่าง ๆ กับพระภิกษุบริวารบ้าง ตามเสด็จ ๓๓ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, พระธรรมทูตสายต่างประเทศ มจร., [ออนไลน์] แหล่งที่มา : http://www.mcu.ac.th/site/news_in.php?group_id=1&NEWSID=7084 [๒๓ ต.ค. ๒๕๖๑] ๘๒ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๘๓ พระพุทธองค์เพื่อรับสนองงานที่ตนเองมีความสามารถบ้าง ปฏิบัติตามหลักธรรมที่ตนเองยึดถือและ ถือปฏิบัติเป็นวัตรบ้าง พระสาวกถือว่าเป็นผู้ที่ได้มอบมรดกอันล้าค่าแก่พุทธศาสนิกชนให้ได้ศึกษา และถือเป็นแบบอย่างในการประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยที่พระพุทธองค์ทรงได้วางหลักไว้ โดยยึดถือเอาแบบอย่างของบรรดาพุทธสาวกเป็นอนุสสติที่ให้คุณค่าต่อการประพฤติปฏิบัติคุณงาม ความดียิ่ง ๆ ขึ้นไป หากพระองค์ปราศจากซึ่งพระพุทธสาวกแล้ว การแสดงธรรมเทศนาก็ดี บทบัญญัติที่เรียกว่าสิกขาบทก็ดีก็จะไม่ปรากฏขึ้นให้ได้รู้ได้เห็นอย่างชัดเจนเหมือนดังปัจจุบัน และ ไม่มีผู้ใดรับรองหรือถ่ายทอดพุทธจริยาของพระพุทธองค์ที่ได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณให้ ดำรงคงอยู่คู่สังคมโลกดังนั้นการศึกษาวิธีการบรรลุธรรมของเหล่าพุทธสาวกจึงสมควรได้รับ การศึกษาวิเคราะห์ในประเด็นอื่น ๆ ให้กว้างขวางออกไป เพื่อเป็นแบบอย่างให้อนุชนคนรุ่นหลังได้ ถือเป็นแนวแห่งการประพฤติปฏิบัติเพื่อที่จะเพิ่มพูนความดีงามให้เกิดขึ้นในการดำเนินชีวิตสืบไป หลักการในการสื่อสารของพระพุทธเจ้านั้นเมื่อพระพุทธองค์มีพระประสงค์จะประกาศ เผยแผ่พระพุทธศาสนาแก่ประชนชนจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเสนอสัทธรรมความเชื่อเดิมที่เขามีอยู่ ให้หมดสิ้นไปเสียก่อนแต่การที่จะเอาชนะลัทธิต่างๆที่ประชาชนมีความเชื่อฝังใจอยู่แล้วมิใช่ทำได้ ง่ายเลยจะต้องมีรูปแบบหรือวิธีการที่แยบยลจึงจะสามารถให้คนเลิกนับถือลัทธิอันเป็นความเชื่อเดิม ของเขาแล้วให้เขามานับถือพระพุทธศาสนานั้นๆ หมายความว่าพระพุทธเจ้าจะต้องมีศักยภาพที่ เหนือกว่าเจ้าลัทธิทั้งหลายเหล่านั้นจึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงแนวความเชื่อแนวความคิดดั่งเดิมของ เขาได้พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ชาญฉลาดในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก เมื่อทรงเห็น โอกาสว่าคำสอนส่วนใดพอที่จะประยุกต์เข้ากันได้กับความเชื่อดั่งเดิมของประชาชนซึ่งเป็นส่วนที่ดี อยู่แล้ว พระพุทธองค์ก็จะอนุโลมตามและบางส่วนก็ยังบกพร่องอยู่บ้างก็ทรงนำมาแก้ไขเพิ่มเติมให้ดี ขึ้นกว่าเดิม หากส่วนใดที่เป็นการสอนให้คนหลงผิด หลงงมงาย ไร้สาระ หาประโยชน์ไม่ได้พระพุทธ องค์ก็จะทรงแก้ไขเปลี่ยนแปลงทั้งหมดพร้อมกันนั้นยังมีการนำเสนอหลักการแนวใหม่ที่ยังไม่เคยมี ใครทำมาก่อนให้ประชาชนได้ทราบนั่นก็คือหลักแห่งอริยสัจ ๔ อันเป็นหลักคำสอนที่ประเสริฐที่สุด ในโลกซึ่งเป็นหลักความจริงหนึ่งเดียวของพระพุทธเจ้า แปลว่า ภาวนา มรรค ควรเจริญ คือการ ฝึกอบรมปฏิบัติตามเพื่อหลักธรรมคำสอนจนให้ถึงความพ้นแห่งทุกข์คือพระนิพพาน พระพุทธเจ้าได้ทรงประทานหลักในการแสดงธรรมให้มีเหตุผลต่อเนื่องกันไปโดยลำดับ ชี้แจงให้เข้าใจชัดเจนในแต่ละประเด็น แสดงธรรมด้วยจิตเมตตา มุ่งให้ประโยชน์แก่ผู้ฟัง ไม่แสดง ธรรมเพราะเห็นแก่ลาภสักการะ แสดงธรรมไม่ยกตนข่มท่าน และไม่เสียดสี่ข่มขู่ผู้อื่น ให้เกิดความ กระทบกระเทือน ทั้งนี้ เพราะพระพุทธศาสนาเป็นศาสนา ที่สอนมุ่งประโยชน์ต่อมหาชน สอนด้วย เหตุผล เป็นศาสนา เดียวที่มีในโลก ที่องค์ผู้ประดิษฐานและผู้เผยแผ่ ไม่ได้สอนให้เชื่ออย่างงมงาย พระพุทธเจ้าได้ตรัสอยู่เสมอว่า ให้คิดตรึกตรองให้ดีก่อนแล้วจึงเชื่อ ให้เชื่อภายหลังที่เข้าใจเหตุผลดี ไม่ใช้ให้เชื่อเสียก่อน แล้วจึงเข้าใจภายหลังหลักใหญ่ของพระพุทธศาสนานั้นอยู่ที่เหตุผล ผลทุก ประการย่อมมาจากเหตุ ถ้าไม่มีเหตุก็ไม่มีผลด้วยเหตุดังนี้ บทบาทการเผยแผ่มีเหตุผลที่บทความ ทางวิชาการ ข่าว ภาพ ความคิดเห็น บทวิจารณ์อย่างหลากหลาย มีการจัดทำออกมาอย่างต่อเนื่อง และเผยแพร่ความรู้ที่ทันสมัย ไปสู่กลุ่มผู้อ่านที่เป็นประชาชนทั่วไปได้กว้างขวางกว่าสิ่งพิมพ์ประเภท หนังสือ จึงมีคุณค่าต่อการศึกษาอย่างสูง การจัดทำวารสาร นิตยสารเผยแผ่ธรรม จึงเป็นวิธีการ สำคัญวิธีหนึ่งในการเผยแผ่พุทธธรรมให้เขาถึงประชาชนอย่างกว้างขวาง และแพร่หลาย อีกทั้งยัง เป็นเสมือนบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธธรรมที่สามารถนามาอ้างอิงในโอกาสตาง ๆ ได้เป็นอย่างดี นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๘๓
๘๔ บทที่ ๔ รูปแบบและหลักการเผยแผ่พระพุทธศาสนา (Styles and Principles of Propagating Buddhism) ๔.๑ ความนำ การเผยแผ่หลักธรรมคำสอนเป็นหัวใจสำคัญของศาสนาทุกศาสนา ซึ่งการเผยแผ่ หลักธรรมคำสอนนั้นต้องคำนึงถึงสถานภาพของตัวบุคคลผู้รับทั้งในด้านพื้นฐานความรู้และความคิด สภาพแวดล้อม หรือโอกาสที่เหมาะสมจึงจะประสบความสำเร็จดังเช่นเมื่อแรกตรัสรู้นั้น สมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงใคร่ครวญอย่างรอบคอบว่าจะทรงเทศนาโปรดผู้ใด ณ ที่ไหนและเมื่อใด ทรง ตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุแล้วได้เห็นสัตว์ทั้งหลายมีคุณสมบัติต่างๆกัน เช่น ผู้มีธุลีในตาน้อยและ มี อินทรีย์แก่กล้าและอ่อน มีอาการดีและทราม สอนให้รู้ได้ง่ายและสอนยาก บางคนไม่รู้คุณดีหรือชั่ว เป็นต้น๑ทรงพิจารณาธรรมที่ตรัสรู้หาผู้ที่จะรู้ตามได้ยาก ทำให้พระองค์ทรงท้อพระทัย แต่เมื่อ พิจารณาเห็นความจำเป็นที่จะต้องแสดงธรรมแก่มหาชน โดยเปรียบเทียบบุคคลกับบัว ๔ เหล่าคือ อุคฆฏิตัญญูผู้สามารถรู้ได้อย่างฉับพลัน เพียงแต่ยกหัวข้อขึ้นแสดงก็อาจ รู้ได้ทันทีวิปจิตัญญูผู้ สามารถรู้ได้เมื่ออธิบายความอย่างละเอียดแล้วซักถาม ทบทวน เนยยะ ผู้สามารถเข้าใจได้เมื่อ อธิบายความอย่างละเอียดแล้วซักถามทบทวน ปทปรมะ ผู้ไม่สามารถเข้าใจอะไรที่ลึกซึ้งและมี ความเห็นผิดอย่างรุนแรง๒ จากพระดำรินี้เอง ทำให้พระองค์นำหลักธรรมที่ทรงตรัสรู้มาแสดงต่อมา ได้พระสาวก คือ ปัญจวัคคีย์พระยสและสหาย ๔ องค์และสหายที่บวชตามอีก ๕๐ คน รวมได้พระสาวกที่เป็น พระอรหันต์ทั้งหมด ๖๐๓ (พระอรหันต์ในยุคแรกมีทั้งสิ้น ๖๑ องค์) พระอรหันต์ทั้งหมดจำนวน ๖๐ รูป ที่แยกย้ายกันไปสถานที่ต่างๆรูปเดียว ไม่ไปเกินกว่านั้น เพื่อประกาศหลักธรรมที่ได้ศึกษาและ ปฏิบัติมาให้ประชาชนได้รับรสพระธรรม ถือว่าเป็นพระธรรมทูตชุดแรกของพระพุทธศาสนาตั้งแต่ นั้นเป็นต้นมาสำหรับพระพุทธเจ้าได้เข้าไปประกาศศาสนาให้บุคคลที่มีแนวคิดชี้นำสังคมในแคว้น มคธคืออุรุเวลกัสสปะ และพระราชาแคว้นมคธคือ พระเจ้าพิมพิสาร และเผยแผ่หลักคำสอน ได้ ประสบความสำเร็จตลอด ๔๕ พรรษาด้วยการสั่งสอนเวไนยสัตว์บรรลุธรรม หรือตั้งอยู่ในฐานะ อุบาสก อุบาสิกา หรือผู้ถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง มีจำนวนมากมายมหาศาล แสดงให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าทรงมีวิธีในการสอนที่ประสบผลสำเร็จ จนได้พระนามยกย่องว่า เป็นศาสดาของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย๔ การเผยแผ่พระพุทธศาสนาโดยมีพระสงฆ์เป็นกำลังสำคัญนั้น ในอดีตพระสงฆ์เป็นผู้มี บทบาทสำคัญต่อวิถีชีวิตของประชาชนในสังคมเป็นอย่างมาก พระสงฆ์เป็นสถาบันหลักของชาติ จัด การศึกษาสั่งสอนกุลบุตรกุลธิดา นำพาพุทธศาสนิกชนปฏิบัติธรรม พัฒนาสังคมให้ร่มเย็น แต่ใน ปัจจุบันภารกิจที่พระสงฆ์เคยทำมาถูกลดบทบาทลง องค์กรและสถาบันทางสังคมต่างๆ ได้เข้ามาทำ หน้าที่แทนพระสงฆ์ เช่นการจัดการศึกษา เป็นต้น เมื่อบทบาทในการเผยแผ่พุทธธรรมลดลง ๑ วิ.ม. (ไทย) ๔/๙/๑๔. ๒ องฺ.จตุกฺก. (ไทย) ๒๑/๑๓๓/๑๘๓. ๓ วิ.ม. (ไทย) ๔/๓๑/๓๙. ๔ วิ.มหา. (ไทย) ๑/๒/๒. ๘๔ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๘๕ พระสงฆ์ส่วนใหญ่ทำหน้าที่เพียงเป็นผู้นำทางพิธีกรรมทำวัตร สวดมนต์ รับกิจนิมนต์ในงานต่างๆ เป็นต้น บทบาทของพระสงฆ์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยอาศัยคุณสมบัติความบริสุทธิ์ความ เสียสละ และความมีสติปัญญาแนะนำสั่งสอนประชาชน ให้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ ในการดำรงชีวิตมา โดยตลอด ส่วนในด้านสังคมก็ได้แนะนำ สั่งสอน และสร้างจิตสำนึก นำทางสู่ความหลุดพ้นจากความ ทุกข์ทั้งทางกาย และจิตใจสั่งสอนให้มนุษย์มั่นใจในศักยภาพของมนุษย์ว่าเป็นผู้ฝึกฝนให้พัฒนามีวิสัย แห่งการพัฒนาไปอย่างสูงสุด โดยอาศัยการศึกษาอบรม๕ มีความกรุณาเป็นพื้นฐานของจิต ไม่ถือตัว หยิ่งยโส มีความอดทน ใจเย็น มีความยุติธรรม ไม่เห็นแก่หน้า มีความรอบคอบ มีความประพฤติน่า เคารพบูชา และรู้จักภูมิสติปัญญาของผู้ฟัง นอกจากนั้น พระสงฆ์มีบทบาทหน้าที่โดยตรงในการ เยียวยาทางจิตใจ คือเป็นที่พึ่งบวรสอนธรรมนำปฏิบัติพัฒนาปรึกษากิจ แต่ปัญหาติดอยู่ที่ว่า พระสงฆ์ขาดความเข้าใจในวิธีการสอน๖ ๔.๒ ความหมายของการเผยแผ่ พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาโดยตลอด ก็ด้วยพุทธวิธีการสอนอันเนื่องมาจาก พระ บุคลิกภาพอันหาที่เปรียบมิได้ขององค์พระพุทธเจ้า ตลอดจนในหมู่อริยสาวกทั้งหลายที่พากัน เสียสละตามแบบอย่างขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แยกย้ายไปเผยแผ่พุทธธรรมตาม หมู่บ้านและชุมชนต่างๆ จนประชาชนเกิดความเลื่อมใสศรัทธาเปลี่ยนมานับถือและปฏิบัติตามพระ ธรรมคำสอนของพระองค์ได้อย่างรวดเร็ว “การเผยแผ่” ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ได้กล่าวไว้ว่า “การเผยแผ่” หมายถึง ทำให้ขยายออกไป ทำให้ขยายกว้างขวางออกไป๗ คำว่า เผยแผ่ และเผยแพร่ มีความหมายต่างกันคือ “การเผยแผ่” ในทาง พระพุทธศาสนา หมายถึง การเปิดเผยของดี ที่คนยังไม่ได้รู้ ยังไม่ได้เห็น ให้ได้รู้ให้ได้เห็นทั่วกัน ส่วนคำว่า “เผยแพร่” หมายถึง การขยาย หรือกระจายออกไปในวงกว้าง คือ สิ่งนั้นไม่ได้ปกปิด แต่ มีอยู่ในขอบเขตจำกัด การเผยแผ่เป็นการสื่อสารให้กับคนที่ไม่รู้ได้รู้ คนที่ยังไม่เห็นได้เห็น๘ ชาร์ลส์ อี ออสกูด๙ ได้ให้ความหมายไว้ว่า การสื่อสารเกิดขึ้นเมื่อฝ่ายหนึ่ง คือ ผู้ส่ง สารที่มีอิทธิพลต่ออีกฝ่ายหนึ่งให้เข้าใจตรงกัน ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Communication หมายถึง กิจกรรมหรือกระบวนการให้ข้อมูลข่าวสารแก่ผู้อื่นหรือแก่สิ่งที่มีชีวิต ด้วยสัญญาณ เช่น การพูด กิริยาท่าทางหรือสัญญาณวิทยุ เป็นต้น ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ได้ทรงให้อุดมคติของนักเผยแผ่ไว้ว่า “ภิกษุ ทั้งหลาย จงเที่ยวจาริกไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่มหาชน เพื่อความเอ็นดูแก่โลก เพื่อ ๕ สิทธิ์บุตรอินทร์,พระพุทธศาสนา,(กรุงเทพมหานคร:ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๓๓), หน้า ๓๑. ๖ แสง จันทร์งาม,พุทธศาสนวิทยา,พิมพ์ครั้งที่ ๓,(กรุงเทพมหานคร:บรรณาคาร, ๒๕๓๕), หน้า ๑๒ ๗ ราชบัณฑิตสถาน, พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร: ๒๕๒๖), หน้า ๔๗๘. ๘ วิศิษฎ์ พงศ์พัฒนจิต, คู่มือการเผยแผ่พระพุทธศาสนา, (กรุงเทพมหานคร: สำนักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาติ, ๒๕๓๕), หน้า ๒๑. ๙ พระมหาศักดิ์พิชิต ฐานสิทฺโธ (ชัยดี), “ศึกษาบทบาทการเผยแผ่พุทธธรรมของพระวิสุทธาธิบดี (วี ระ ภทฺทจารี)”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย, ๒๕๔๙), หน้า ๕๑. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๘๕
๘๖ ประโยชน์ เพื่อความเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย”๑๐ พระองค์ทรงดำเนินการ เผยแผ่พระพุทธศาสนา อย่างมีระบบ มีขั้นตอน มีการวางแผน มีการจัดองค์กร มีการนำหรือการ จัดการบุคลากร และมีการดูแลควบคุมบุคลากรหรือพุทธสาวก การบวชในพระพุทธศาสนาตระหนัก ชัดว่า “พรหมจรรย์ (การบวช) ไม่ได้มีไว้สำหรับแสวงหาลาภสักการะ และคำสรรเสริญ ไม่ได้มีไว้ เพียงเพื่อ ศีล สมาธิ และปัญญาเท่านั้น แต่มีไว้เพื่อเจโตวิมุตติ หรือความหลุดพ้นแห่งจิต”๑๑ เป้าหมายของพระพุทธศาสนาคือ การเดินทางไปสู่ความดับทุกข์ ด้วยการดำเนินชีวิตอย่างมีสติ สามารถทำงานได้อย่างมีความสุข คือผู้บริหารและผู้ใต้บังคับบัญชามีความสุขกับการทำงาน โดย ทำงานเพื่องานมิใช่ทำงานเพื่อแสวงหาความมีตัวตนอวดความมั่งมี ดังนั้น การเผยแผ่ หมายถึง การนำเอาหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไปถ่ายทอด ให้ประชาชนได้รับทราบในรูปแบบต่างๆ ให้เข้าใจและนำไปประพฤติปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง จาก คนกลุ่มหนึ่งไปสู่อีกคนกลุ่มหนึ่ง จากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง ความสำคัญของการเผยแผ่ พระพุทธศาสนา เพื่อประโยชน์ และความสุขแก่มหาชนทั้งหลาย มิได้ดำเนินไปเพื่อการแสวงหา ลาภสักการะ และคำสรรเสริญ แต่ดำเนินไปเพื่อความดับทุกข์ ๔.๓ แนวคิดเกี่ยวกับบทบาทของพระสงฆ์ ๔.๓.๑ ความหมายของบทบาท พระมหาสุภา อุทฺโท ให้ความหมายไว้ว่า บทบาท คือ พฤติกรรมที่บุคคลแสดงออก หรือลงมือปฏิบัติตามคาดหวังของผู้อื่น ตามสถานภาพ และตำแหน่งที่ตนดำรงอยู่ในขณะนั้นๆ๑๒ ขนิษฐา วิเศษสาธร และมุกดา ศรียงค์กล่าวว่า บทบาท หมายถึง การประกอบ พฤติกรรมตามตำแหน่ง ความคาดหวัง หรือตามหน้าที่แสดงจริง๑๓ ประภาพิศ สัญชาติเจตน์กล่าวว่า บทบาท หมายถึง การปฏิบัติหน้าที่หรือการ แสดงออกของคน ซึ่งคนอื่นคาดคิดหรือคาดหวังว่าเขาจะทำเมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ทางสังคม อย่างหนึ่ง๑๔ ประเสริฐ แย้มกลิ่นฟุ้ง กล่าวว่า บทบาทเป็นตำแหน่งทางสังคม ที่มีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน แสดงบทบาทโดยคุณสมบัติและกิจกรรมของบุคคลที่ครองตำแหน่งนั้น ๆ ส่วนทางด้านการแสดง บทบาท หรือการมีปฏิสัมพันธ์Social Structure บทบาทเป็นผลต่อเนื่องที่เกิดจากแบบแผนการ กระทำของบุคคลที่ได้เรียนรู้จากสถานการณ์ในสังคม๑๕ ปราชญา กล้าผจญ ได้ให้ความหมายบทบาทไว้ว่า สิ่งที่บุคคลจะต้องปฏิบัติให้ สอดคล้องกับตำแหน่งหรือหน้าที่การงานที่ได้รับมอบหมาย เป็นการแสดงพฤติกรรมตามอำนาจ ๑๐ วิ.ม. (ไทย) ๔/๓๒/๔๐. ๑๑ ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๒๕/๓๗๓. ๑๒ พระมหาสุภา อุทฺโท, “บทบาทพระสงฆ์ในทษวรรษหน้า (๒๕๔๑ - ๒๕๖๐)”, วิทยานิพนธ์ พัฒนาชุมชนมหาบัณฑิต, (คณะสังคมศาสตร์: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๔๑), หน้า ๙.๑๓ ขนิษฐา วิเศษสาธร และมุกดา ศรียงค์, จิตวิทยาสังคมและมนุษย์สัมพันธ์, (กรุงเทพมหานคร : คณะครุ ศาสตร์อุตสาหกรรมและวิทยาศาสตร์สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง, ๒๕๒๖), หน้า ๙. ๑๔ ประภาพิศ สัญชาติเจตน์, จิตวิยาสังคม, (กรุงเทพมหานคร : ม.ป.ท., ๒๕๒๔), หน้า ๘๙. ๑๕ ประเสริฐ แย้มกลิ่นฟุ้ง, สถานภาพและบาทบาท, (กรุงเทพมหานคร : คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๑๖), หน้า ๑๘. ๘๖ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๘๗ หน้าที่การงานที่ได้รับมอบหมาย เป็นการแสดงพฤติกรรมตามอำนาจหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ให้ เหมาะสมสอดคล้องกับความคาดหวังของผู้ที่มอบหมายอำนาจนั้น๑๖ พัชนีวรกวิน ได้กล่าวว่า บทบาท ก็คือ แบบแผนของพฤติกรรมซึ่งเป็นไปตามตำแหน่ง หรือสถานภาพของบุคคล อันเกิดจากความคาดหวังของบุคคลในสังคมนั้นๆ และบทบาทอาจ เปลี่ยนไปได้ตามตำแหน่งที่เปลี่ยนไป๑๗ พัทยา สายหูให้ความหมายของบทบาทไว้ว่า บทบาท คือ การกระทำต่างๆ ตาม “บท” ที่กำหนดไว้ให้ผู้แสดงต้องทำ ตราบใดที่ยังอยู่ใน “บท” นั้น เปรียบได้เหมือน “บท” ของตัว ละครที่กำหนดให้ผู้แสดงในละครเรื่องนั้นๆ เป็นตัวอะไร มีบทบาทที่จะต้องแสดงอย่างไร”๑๘ ไพบูลย์ช่างเรียน ได้อธิบายว่า บทบาทของคนในสังคมย่อมขึ้นกับสถานภาพที่ตน ครองอยู่ และคุณสมบัติส่วนตัวของบุคคล บทบาทของบุคคลจึงแตกต่างไปตามลักษณะของ สถานภาพ อุปนิสัย ความคิด ความรู้ความสามารถ มูลเหตุจูงใจ การอบรมขัดเกลาความพอใจ๑๙ วราคม ทีสุกะ กล่าวว่า บทบาท คือสิ่งที่เราทำ หรือหน้าที่ที่เราต้องทำ เมื่อเราเป็น อะไรสักอย่างหนึ่ง สิ่งที่เราทำต้องมาคู่กับสิ่งที่เราเป็นสถานภาพ๒๐ สรุปได้ว่า บทบาทก็คือ พฤติกรรมที่แสดงออกตามสถานของบุคคลในสังคม บทบาท เป็นแบบแผน ความต้องการ เป้าประสงค์ความเชื่อ ทัศนคติค่านิยมและการกระทำของสมาชิกที่ ชุมชนคาดหวังว่าจะต้องเป็นตามลักษณะของตำแหน่งนั้นๆ หรืออาจกล่าวสั้นๆ ว่าบทบาทคือสิทธิ หน้าที่ในการกระทำของบุคคลหนึ่งที่มีต่อบุคคลอื่นในสังคมตามสถานภาพของตนเอง ๔.๓.๒ แนวคิดเกี่ยวกับบทบาทของพระสงฆ์ ๑. ความหมายของพระสงฆ์ จากการทบทวนเอกสารที่เกี่ยวข้องกับพระสงฆ์พบว่า มีนักวิชาการได้ให้ความหมายไว้ ดังนี้ มานพ นักการเรียน ได้กล่าวไว้ว่า พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา แบ่งออกเป็น ๒ ประเภทด้วยกัน คือ๒๑ ๑. อริยสงฆ์หมายถึง สาวกของพระพุทธเจ้าผู้ทรงบรรลุมรรคผลตั้งแต่ระดับต้นจนถึง ขั้นสูงสุดแบ่งออกได้๔ ระดับ ได้แก่ ๑๖ ปราชญา กล้าผจญ, พฤติกรรมผู้นาทางการศึกษา, (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยรามคำแหง , ๒๕๔๐), หน้า ๓๔. ๑๗ พัชนีวรกวิน, จิตวิทยาสังคม, (กรุงเทพมหานคร : วัฒนาพานิชย์, ๒๕๒๖), หน้า ๕๒. ๑๘ พัทยา สายหู, กลไกของสังคม, ( กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๙), หน้า ๔๗. ๑๙ ไพบูลย์ช่างเรียน, สารานุกรมศัพท์ทางสังคม, (กรุงเทพมหานคร : แพร่วิทยา, ๒๕๑๖), หน้า ๒๙-๓๐. ๒๐ วราคม ทีสุกะ, สังคมวิทยาสำหรับผู้เริ่มเรียน, (กรุงเทพมหานคร : ไทยวัฒนาพานิชย์, ๒๕๓๔), หน้า ๒๙. ๒๑ มานพ นักการเรียน, “พระพุทธศาสนากับโลกยุคปัจจุบัน” รวมเรื่องและบทความ, (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๔), หน้า ๒ – ๓. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๘๗
๘๘ ๑.๑ พระโสดาบัน หมายถึง ผู้ละกิเลส ๓ อย่าง คือ ๑. สักกายทิฎฐิ(ความเห็นเป็นเหตุ ถือตัวตน) ๒. วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย) ๓. สีลัพตปรามาส (การยึดถือศีลและกิจวัตรอย่างงมงาย หรือไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง) พร้อมทั้งมีศีล สมาธิและปัญญาพอประมาณ ๑.๒ พระสกทาคามีหมายถึง ผู้ละกิเลส ๓ อย่างข้างต้นได้พร้อมทั้งมีศีล สมาธิและ ปัญญาพอประมาณ และยังทาราคะ โทสะ โมหะให้เบาบางลงได้ด้วย ๑.๓ พระอนาคามีหมายถึง ผู้ละกิเลสเพิ่มขึ้นอีก ๒ อย่าง คือ ๑. กามราคะ (ความกาห นัดยินดีในกามารมณ์) และ ๒. ปฏิฆะ (ความกระทบกระทั่งแห่งจิต ความโกรธ) พร้อมทั้งมีศีล สมาธิและปัญญาพอประมาณ ๑.๔ พระอรหันต์หมายถึง ผู้ละกิเลสที่ละเอียดได้อีก ๕ อย่าง คือ ๑. รูปราคะ (ความ ติดใจในรูปธรรม) ๒. อรูปราคะ (ความไม่ติดใจในรูปธรรม) ๓. มานะ (ความถือตัวหรือสำคัญตนว่า เป็นอย่างนั้นอย่างนี้) ๔. อุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่าน) ๕. อวิชชา (ความไม่รู้จริง) พร้อมทั้งมีศีล สมาธิ และปัญญาบริบูรณ์ ๒. สมมติสงฆ์หมายถึง กุลบุตรผู้บวชเข้ามาเป็นภิกษุยังเป็นปุถุชนอยู่เช่นสามัญชน ทั่วไป แต่อบรมบ่มนิสัย พัฒนาฝึกตนเอง ปฏิบัติเพื่อความสะอาด สว่าง สงบแห่งจิตใจ สมมติสงฆ์นี้ จะต้องมีภิกษุตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไปในการประกอบสังฆกรรมในแต่ละประเภท สรุปได้ว่า พระสงฆ์หมายถึง สาวกที่ถือเพศบรรพชิตของพระพุทธเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบและปฏิบัติถูกต้องตามพระธรรมวินัย เป็นผู้นำคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตน ได้ศึกษามาอย่างดีแล้วไปสั่งสอนประชาชนให้ปฏิบัติตาม และเป็นผู้สืบทอดอายุพระพุทธศาสนาให้ ดำรงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ทั้งนี้ต้องได้รับการบรรพชาและอุปสมบทตามพุทธบัญญัติด้วย ดังนั้น พระสงฆ์จึงมี๒ ประเภท อันได้แก่สมมติสงฆ์และอริยสงฆ์ ๒. บทบาทของพระสงฆ์ พระสงฆ์ในระยะแรกๆ มีหน้าที่หลักจะต้องทำคือ การศึกษาในเรื่อง ศีล สมาธิปัญญา เพื่อบรรลุมรรคผลในทางพระพุทธศาสนา การบรรลุมรรคผลของท่านเหล่านั้นในตอนแรกเกิดจาก การแสดงธรรมของพระพุทธเจ้า เมื่อพระอรหันต์สาวกเกิดขึ้นชุดแรก ๖๐ รูป งานอันเป็นหน้าที่ของ พระสงฆ์คือ “สั่งสอนบุคคลอื่นให้ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยด้วย” ก็เกิดขึ้นโดยพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้รับสั่งให้ท่านเหล่านั้นมาประชุมกัน ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสีแล้วรับสั่งแก่ ท่านเหล่านั้นว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราและเธอทั้งหลายพ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของ ทิพย์ทั้งที่เป็นของมนุษย์พวกเธอจงเที่ยวจารึกไปเพื่อประโยชน์และความสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่อ อนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย จงแสดงธรรมอัน งามในเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์อันสมบูรณ์ด้วยอรรถและพยัญชนะ สัตว์ ที่มีธุลีในจักษุน้อยมีอยู่หากไม่ได้ฟังธรรมจักเสื่อมจากธรรม ผู้ที่อาจจักรู้ทั่วถึงธรรมจักมีดูกรภิกษุ ทั้งหลาย แม้เราเองก็จะไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เพื่อแสดงธรรม”๒๒ นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา งานเผยแผ่ศาสนาได้กระจายไปสู่กลุ่มบุคคล ทั้งจำนวนคนที่ ทำงานและคนที่หันมานับถือพระพุทธศาสนา จนกลายเป็นกลุ่มบุคคลที่เรียกว่าบริษัท ๔ อัน ประกอบด้วย ภิกษุ ภิกษุณีอุบาสก อุบาสิกา ในช่วงตอนต้นสมัยพุทธกาลจากทรงเริ่มปฐมเทศนา ไม่ถึงปีเฉพาะพระพุทธองค์เพียงองค์เดียว ทรงแสดงธรรมให้คนสำเร็จอริยผลเป็นพระอริยบุคคล เข้ามาบวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก พระสงฆ์มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการอาศัยคฤหัสถ์ซึ่งมีส่วนกำหนดหน้าที่ทางสังคมของ ๒๒ วิ.มหา. (ไทย) ๔/๓๒/๔๐ ๘๘ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก
๘๙ พระสงฆ์เมื่อกล่าวถึงในแง่คุณธรรม พระสงฆ์ก็ย่อมมีหน้าที่ต้องช่วยเหลือผู้อื่นให้รอดพ้นจากความ ทุกข์ด้วยอาศัยเมตตาและกรุณาธรรมของตน พุทธพจน์ที่ตรัสสั่งสอนเกี่ยวกับหน้าที่ของพระสงฆ์มี อยู่มาก เช่น ในพหุการสูตรพระพุทธเจ้าทรงแสดงการพึ่งพากันระหว่างบรรพชิตและคฤหัสถ์ว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย พราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลายเป็นผู้มีอุปการะมากแก่เธอทั้งหลาย บำรุงเธอ ทั้งหลายด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร แม้เธอทั้งหลายก็จงเป็นผู้มี อุปการะมากแก่พราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย จงแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุดจงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิงแก่ พราหมณ์และคฤหบดีเหล่านั้นเถิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย คฤหัสถ์และบรรพชิตทั้งหลาย ต่างอาศัยซึ่ง กันและกันด้วยอำนาจอามิสทานและธรรมทาน อยู่ประพฤติพรหมจรรย์นี้เพื่อต้องการสลัดโอฆะ เพื่อจะทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบด้วยประการอย่างนี้”๒๓ คนึงนิตย์จันทบุตร ได้จำแนกบทบาทของพระสงฆ์ไว้๓ ประการ คือ ๑) การพัฒนา คุณภาพพลเมืองด้านคุณธรรมและจริยธรรม ๒) การสงเคราะห์ประชาชน เช่น การให้ความสะดวก ในการบำเพ็ญกุศลแก่ประชาชนตามประเพณีที่เกี่ยวกับชีวิต งานประเพณีส่วนร่วม และงาน เทศกาลต่างๆ ๓) การช่วยเหลือทางราชการ โดยเฉพาะการรักษาความปลอดภัยของชาติและ กิจการทางสังคมกับจิตวิทยา เป็นต้น ๒๔ จำนงค์อดิวัฒนสิทธิ์ได้กล่าวถึงบทบาทของพระสงฆ์ในการพัฒนาคุณภาพประชากร ไว้๓ ประการ คือ๒๕ ๑) การสร้างคนให้ได้รับการศึกษา ในสมัยก่อนการศึกษาของไทยยังขึ้นอยู่กับ วัดและวัง วังเป็นสถาบันการศึกษาของเจ้านายและขุนนางชั้นสูง ส่วนวัดเป็นสถาบันการศึกษาของ สามัญชน ถึงแม้ปัจจุบันรัฐจะแยกการศึกษาออกจากสถาบันสงฆ์แต่สถาบันสงฆ์ก็ยังมีบทบาทใน การเสริมสร้างคนให้ได้รับการศึกษาอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ยากจนและด้อยโอกาสทาง การศึกษาได้รับผลประโยชน์อย่างมากจากการเอื้ออานวยหรือการบริการของสถาบันสงฆ์๒) การ สร้างคนให้มีคุณธรรม การอบรมสั่งสอนคนให้มีคุณธรรมเป็นหน้าที่หลักของสถาบันสงฆ์ทีเดียว เป็น ที่ยอมรับกันว่าการที่สังคมไทยมีความสงบสุขพอสมควรตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพราะบทบาทของ พระสงฆ์ในการอบรมสั่งสอนให้ประชาชนปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามหลักศีลธรรม และให้บุคคลละเว้น จากความชั่วและอบายมุขต่างๆ และ ๓) เสริมสร้างความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น เช่น เป็น ผู้นำในการพัฒนาชุมชน พัฒนาสิ่งแวดล้อม พัฒนาอาชีพ สร้างถนนหนทาง บ่อน้ำ สาธารณสุขและ โรงเรียน เป็นต้น รวมทั้งระดมกำลังชาวบ้านให้มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือเด็กกำพร้า คนยากไร้และช่วยให้ผู้ติดยาเสพติดพ้นจากการเป็นทาสยาเสพติด เป็นต้น ทินพันธ์นาคะตะ ได้กล่าวถึงบทบาทของพระสงฆ์ว่า สำหรับหน้าที่หลักของพระภิกษุ สงฆ์ก็คือ การศึกษาประพฤติปฏิบัติธรรม ส่วนหน้าที่ที่มีต่อสังคมก็นับว่ามีอยู่หลายประการ กล่าวคือ นอกจากจะมีหน้าที่ดำเนินกิจกรรมบางอย่างของวัดแล้ว พระภิกษุสงฆ์ยังมีหน้าที่ในการ ๒๓ ขุ.อิติ.(ไทย) ๒๕/๑๐๗/๔๘๖ ๒๔ ค นึงนิตย์จันทบุตร, สถานะและบทบ าท ขอ งพ ระพุ ท ธศาสน าในป ระเท ศไท ย, (กรุงเทพมหานคร : ภาพพิมพ์, ๒๕๓๒), หน้า ๕๒.๒๕ จำนงค์อดิวัฒนสิทธิ์, แนวคิดเชิงพุทธเกี่ยวกับการพัฒนาประชากร : สังคมวิทยาตามแนวพุทธ ศาสตร์, (กรุงเทพมหานคร : สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติกรมการศาสนา, ๒๕๓๐), หน้า ๓๓๗. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๘๙