93
กฎหมายของบรูไน มีข้อกำหนดในการจำกัด การเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไว้หลาย
ลักษณะ โดย กำหนดไว้ใน Brunei’s Alcohol Laws โดยมี รายละเอียดดังต่อไปนี้ (LAWS OF
BRUNEI CHAPTER 37 EXECISE 1984 Ed. Cap. 37; Jonny, 2013) 1 . ผ ู ้ บ ร ิ โ ภ ค เ ค ร ื ่ อ ง ดื่ ม
แอลกอฮอล์ต้องไม่ใช่มสุ ลิม (Non-Muslim) มาตรการนอกจากจะหมายถึง ชาวบรูไนทีเ่ ปน็ มุสลิมแล้ว
ยังรวมถึงนักท่องเที่ยว หรือบุคคลที่ถือสัญชาติอื่น ๆ ที่เป็นมุสลิมด้วย 2.การจำหน่ายเครื่องดื่ม
แอลกอฮอล์ในบรูไนเป็นสิ่ง ที่ผิดกฎหมาย กล่าวคือไม่ อนุญาตให้มี การ จำหน่ายเครื่องด่ืม
แอลกอฮอล์ในรูปแบบใด ๆ ทั้งสิ้นในประเทศบรูไน ไม่ว่าจะเป็นในลักษณะ การค้าปลีก การค้าส่ง
หรือการจำหน่ายในรา้ น สะดวกซื้อก็จะไม่สามารถพบเหน็ ได้ 3.การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในที่
สาธารณะ ถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ซึ่งหมายความว่า ถึงแม้ว่า บุคคลที่ไม่ใช่มุสลิมจะสามารถบริโภค
เคร่ืองดมื่ ไดก้ ต็ าม แตก่ ไ็ ม่สามารถนำมา บรโิ ภคอยา่ ง เปดิ เผยในทีส่ าธารณะได้ หรอื แม้แต่การเดินถือ
ผลติ ภณั ฑ์โดยใสถ่ งุ ใสท่ีสงั เกตได้ เดนิ ไปใน สถานที่สาธารณะก็นับว่าเป็นสง่ิ ท่ผี ิดกฎหมายใน บรูไน 4.
อายุขั้นต่ำของผูบ้ ริโภคเคร่ืองดื่มแอลกอฮอลต์ ้อง ไม่ต่ำกว่า 17 ปี มาตรการนี้มผี ลบังคบั ใช้กบั มุสลิม
และผทู้ ี่ไมใ่ ช่มุสลิมดว้ ย 5.การนำเครื่องด่มื แอลกอฮอล์เข้ามา ภายในประเทศบรูไนสามารถทำได้ แต่มี
มาตรการในการควบคุมการนำเข้า คือ 5.1 ผู้ถือนำเข้ามาในบรูไนต้องไม่ใช่มุสลิม 5.2 ปริมาณการ
นำเข้ามาในแตล่ ะคร้ัง อนุญาตให้ นำเข้ามาไดใ้ นแตล่ ะครง้ั ไม่เกนิ 2 ขวด และ รวมกนั ตอ้ งมีปริมาณไม่
เกิน 2 ลิตร หรืออาจเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในรูปแบบกระป๋อง จะ อนุญาตให้นำเข้ามาได้ไม่เกิน
12 กระป๋อง (ขนาด 330 มิลลิลิตร) 5.3 การนำเข้าในแต่ละครั้งต้องมีระยะห่างกัน น้อยกว่า 48
ชั่วโมง ซึ่งหมายความว่า ผู้นำเข้าจะสามารถนำเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์เข้ามาในบรูไนได้ต้องมี
ระยะเวลาจาก วันที่นำเข้าไม่น้อยกว่า 2 วัน 5.4 ผู้นำเข้ามาต้องนำมาเพื่อการบรโิ ภค ส่วนตัว โดยไม่
เปน็ การนำไปส่งขายต่อไป ยงั บคุ คลอืน่
ปัจจุบันประเทศบรูไนได้เข้าร่วมความตกลง หุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย –แปซิฟิก
(Trans-Pacific Strategic Economic Partnership: TPP) โดย ความตกลงดังกล่าวจะมวี ัตถุประสงค์
หลักเพื่อลดภาษีใน กลุ่มประเทศสมาชิกลงร้อยละ 90 ภายในปี พ.ศ. 2549 และจะทำให้เป็นร้อยละ
0 ซึ่งจะทำให้การค้าสินค้า (Trade in goods) ซึ่งรวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย ในอัตราภาษีที่ต่ำ
มาก อย่างไรก็ตามด้วยข้อบังคับ กฎหมายตามหลักชารีอะห์ที่เคร่งครัด อาจไม่สามารถทำ ให้จำนวน
หรือปริมาณการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในบรูไนเพิ่มขี้นได้ จากมาตรการการจำกัดการบริโภค
เครอื่ งด่ืม แอลกอฮอลข์ องบรูไนข้างตน้ ทำใหก้ ารบรโิ ภคเคร่ืองด่ืม แอลกอฮอลข์ องผู้ทไ่ี มใ่ ช่มุสลิมและ
กลุ่มนักท่องเที่ยว เป็นไปด้วยความยากลำบาก นัก ท่องเที่ยวต้องการจาก ไปบรูไน มักจะเดินทางไป
ประเทศมาเลเซีย เพ่อื ซือ้ เครือ่ งดืม่ แอลกอฮอล์ บริเวณชายแดน มาเลเซยี - บรไู น ในเมอื งโกตาคินนา
บารูก่อน (Roy,2014) และเมื่อจะเข้า มายังประเทศบรูไนจะต้องแสดงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อ
เจ้าหน้าที่ศุลกากร โดยกรอกแบบฟอร์ม The yellow Brunei customs liquor form จน
นักท่องเที่ยวกล่าว ต่อ ๆ กันว่า ในบรูไนมีเบียร์อยู่เพียง 2 ชนิด ที่สามารถ หาซื้อได้คือ จิงเจอร์เบียร์
(Ginger Beer) และ รูทเบียร์ (Root Beer) ซึ่งทั้งสองประเภทนี้ไม่จัดอยู่ในประเภท ของเครื่องด่ืม
94
แอลกอฮอล์ นักท่องเที่ยวหรือชาวบรูไนท่ี ไม่ใช่มุสลิมเมื่อนำแอลกอฮอล์เข้ามาในบรูไน ซึ่งการ
บริโภคในบรูไนก็ไมส่ ามารถนำมาบรโิ ภคในท่ีสาธารณะ หรือทที่ มี่ บี ุคคลสามารถพบเห็นได้ ดังน้ันหาก
นักท่องเที่ยวหรือผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมต้องการบริโภคเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ จำเป็นต้องบริโภคในเคหะ
สถาน โรงแรม หรอื พน้ื ที่สว่ นตัวเทา่ นนั้
ด้วยกฎหมายซารีอะห์ของบรูไนที่มีมาตรการ ที่ค่อนข้างเข้มงวดมาก ทำให้บรูไนไม่มี
กฎหมายในการ ควบคุมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในขณะขับข่ี ยานพาหนะเป็นกรณีเฉพาะ
บรูไนมีเพียงแต่ข้อ กำหนดให้ผู้ขับขี่ยานพาหนะต้องมีค่าแอลกอฮอล์ใน กระแสเลือด ไม่เกิน 20
มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ (World Health Organization, 2006) รวมทั้งไม่อนุญาตให้มี การโฆษณา
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกรูปแบบด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะมีมาตรการควบคุมอย่าง
เข้มงวดก็ตาม ในความเปน็ จริงยงั มีการลักลอบจำหนา่ ย เครอื่ งดื่มแอลกอฮอล์ในบริเวณชุมชนท่ี ไม่ใช่
มุสลิมอยู่ ซึ่งชาวบรูไน รู้จักในนาม ของ “BYOB” (Bring your own booze) ซึ่งส่วนใหญ่เป็น
รา้ นอาหารชาวจีนท่ี ลกู คา้ สว่ นใหญ่จะนำเคร่อื งด่มื มาบรโิ ภคเอง โดยไม่ต้อง เสยี ค่าเปิดขวด ในขณะท่ี
บางร้านในบรูไน ลักลอบ จำหน่ายเบียร์ โดยนำภาชนะให้บริการเบียร์เป็นแก้วน้ำชา ซึ่งเรียกว่า
“Special tea” (ชาพเิ ศษ) หรอื “Beer in a teapot” (เบยี รใ์ นกาชา) เนื่องจากวัฒนธรรมการ ด่ืมชา
สามารถพบเห็นได้โดยทว่ั ไปในบรไู น รา้ นเหล่านี้ จงึ หลบเลีย่ งการตรวจสอบของเจ้าหน้าท่ี เนื่องจากสี
ของ น้ำชามีความคล้ายคลึงกับสีของเบียร์ (Roy,2014) จากมาตรการ จำกัดการเข้าถึงเครื่องด่ืม
แอลกอฮอล์ของประเทศบรูไนที่มีความเข้มงวดยิ่ง ทำให้ อัตราการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ภายในประเทศมี อัตราค่อนข้างต่ำมาก กล่าวคือบรูไนมีอัตราการบริโภค เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อยู่ที่
0.6 คนต่อลิตรต่อปี ผู้บริโภค เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่วนใหญ่เป็นชายมากกว่าหญิง และกระจุกตัวอยู่
ในชาวบรูไนเชือ้ สายจีน ซึ่งหาก เปรียบเทียบกบั กลุ่มประเทศมุสลมิ ในกลุ่มอาเซียน ด้วยกัน จะพบว่า
ประเทศมาเลเซียมีอัตราการบริโภค เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อยู่ที่ 1.3 คนต่อลิตรต่อปี ส่วนประเทศอิน
โดนิเซียมีอัตราการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อยู่ที่ 0.6 คนต่อลิตรต่อปี (World Health
Organizations, 2014)
บทสรปุ
ประเทศบรูไนนับว่าเป็นประเทศมุสลิมอีกหนึ่ง ประเทศที่มีมาตรการการจำกัดการเข้าถึงการบริโภค
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างเข้มงวด ประกอบกับการมี ระบอบการปกครองแบบกษัตริย์ที่มีอำนาจใน
การ ปกครองประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ที่ให้การสนับสนุน การปกครองประเทศโดยให้หลักกฎหมาย
ชารีอะห์ที่มี บทบัญญัติที่เคร่งครัดต่อหลักของศาสนาอิสลาม มาตรการการจำกัดการเข้าถงึ เครือ่ งด่ืม
แอลกอฮอล์ของ บรูไนมุ่งเน้นไปที่ชาวมุสลิมเป็นหลัก ซึ่งเป็นประชากร ส่วนใหญ่ของประเทศ
กล่าวคือมีมาตรการทางกฎหมาย ที่ไม่อนุญาตให้ชาวมุสลิมบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใน ทุกกรณี
แม้ว่าจะอยู่ในเคหะสถานของตนเองกต็ าม นอกจากนี้กฎหมายยังหา้ มจำหนา่ ยเครือ่ งดื่ม แอลกอฮอล์
ห้ามการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใน พื้นที่สาธารณะ รวมทั้ง การกำหนดอายุขั้นต่ำของ ผู้บริโภค
95
เครอื่ งด่มื แอลกอฮอล์ต้องไม่ตำ่ กว่า 17 ปี สำหรบั นักทอ่ งเท่ียวท่ีเดินทางมาท่องเท่ยี วในประเทศบรูไน
หรือชาวบรูไนที่ไม่ใช่มุสลิม ที่ต้องการบริโภค เครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะถือเข้ามาจากบริเวณชายแดน
ระหว่างประเทศมาเลเซียและบรูไน โดยอนุญาตให้ นำเข้ามาได้ครั้งละ 2 ขวด ซึ่งต้องรวมกันไม่เกิน
กว่า 2 ลิตร หรอื หากเปน็ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์กระป๋องจะ อนญุ าตให้นำเขา้ มาได้ไม่เกนิ 12 กระป๋อง
(ขนาด 330 มิลลิลิตร)โดยการนำเข้าแต่ละครั้งต้องมีระยะเวลาห่าง กันไม่น้อยกว่า 48 ชั่วโมง
ประการสำคญั คอื ผ้นู ำเข้ามา ตอ้ งไมใ่ ชม่ สุ ลมิ ถึงแม้จะมไิ ด้ถือสญั ชาติบรูไนก็ตามขณะเดยี วกนั บรไู นยงั
กำหนดให้ผู้ที่ขับขี่ยานพาหนะ ต้องมีค่าระดับแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดไม่เกินกว่า 80 มิลลิกรัม
เปอร์เซ็นต์ รวมทั้งมีมาตรการห้ามโฆษณาหรือ จัดรายการส่งเสริมการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุก
รูปแบบ
บรรณานกุ รม
Association of South East Asian Nation. (2017). ASEAN Member State.[Online],
Available:http://asean.org/asean/asean
Brunei Darussalam?.[Online], Available: http://dontstopliving.net/how-to-take-alcohol-
into-brunei-darussalam/. (27 May 2017)
LAWS OF BRUNEI CHAPTER 37 EXECISE 1984 Ed. Cap. 37. [Online],
Available:http://www.agc.gov.bn/AGC%20Images/LAWS/ACT_PDF/Chapter37(n)
.pdf.(27 Apr. 2017)
ไทยรฐั ออนไลน์.(2556) บรูไนใช้ ก.ม. อาญาโทษหนัก.[ออนไลน์] เข้าถึงใน
https://www.thairath.co.th/content/378061. (21 ม.ค. 2561)
ศนู ยภ์ าษาและอาเซียนศึกษา ม.เทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์. ประเทศในกลมุ่ อาเซยี น.[ออนไลน์]
เขา้ ถึงใน http://lc.rmutr.ac.th/?page_id=755. (27 Apr. 2017)
อับดุลลอฮ สไุ ลหมัด. ฮกุ ่มของสรุ า. [ออนไลน์] เขา้ ถึงใน
http://www.warasatussunnah.net/Naseehah/Drinks.html. (21 ม.ค. 2561)
96
วิเคราะหบ์ ทความ
ด้วยสภาพทางสังคมและวัฒนธรรมของบรูไนที่ เป็นสังคมมุสลิมที่เคร่งครัดต่อหลักคำสอน
ของศาสนา อิสลาม กล่าวคือ บรูไนนับเป็นประเทศแรกในประเทศ กลุ่มอาเซียนที่นำกฎหมาย
ชารีอะห์ (Islamic criminal law) มาเป็นหลักในการปกครองประเทศ ตั้งแต่ พ.ศ. 2557 โดยมี
กษัตรยิ ์เปน็ ประมุขและเป็นผ้นู ำศาสนา สูงสุดของประเทศ ดังน้ัน ในเร่ืองของมาตรการในการควบคุม
การบรโิ ภคเคร่ืองดื่ม แอลกอฮอล์ของประเทศบรูไน โดยผา่ นกฎหมายท่ีมีช่ือว่า กฎหมายชารีอะห์ ซึ่ง
จะครอบคลมุ การดำเนินชีวิตประจำวนั ของประชาชนในหลายๆ ดา้ น เช่น ครอบครัว ทรพั ย์สิน มรดก
รวมถึง การห้ามบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย ซึ่งมีบทลงโทษค่อนข้าง รุนแรง เช่น การประหาร
ชีวติ ผ้ผู ดิ ประเวณี โดยการขวา้ งปาก้อนหินใส่ (Stoning) การตัดแขนตัดขาสำหรบั ผลู้ ักขโมยของ หรือ
การเฆี่ยนตีผู้ทำแท้ง รวมทั้งการเฆี่ยนตี ผู้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ถึงแม้ว่า มาตรการที่เข้มงวดของ
บรูไน ดังกล่าวจะสร้างกระแสความไม่พอใจให้กับประชาชนส่วนหนึ่ง เป็นชาวบรูไนที่ไม่ใช่มุสลิม ก็
ต้องปฏิบัติตามหลักกฎหมายซารีอะห์ด้วยเช่นกัน จนทำให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การ
สหประชาชาติได้ประกาศแสดง ความไม่เห็นด้วยกับมาตรการทางกฎหมายของบรูไน อย่างไรก็ตาม
กฎหมาย ชารีอะห์ก็ยังบังคับใช้อยู่จนถึงปัจจบุ ัน ทั้งนี้ประเทศบรูไนยงั มุ่งเน้นไปที่ชาวมุสลิมเป็นหลัก
ซึ่งเป็นประชากร ส่วนใหญ่ของประเทศ กล่าวคือมีมาตรการทางกฎหมาย ที่ไม่อนุญาตให้ชาวมุสลิม
บริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใน ทุกกรณีแม้ว่าจะอยู่ในเคหะสถานของตนเองก็ตาม นอกจากน้ี
กฎหมายยังห้ามจำหน่ายเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ ห้ามการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใน พื้นท่ี
สาธารณะ รวมท้งั การกำหนดอายุขน้ั ตำ่ ของ ผู้บรโิ ภคเครอื่ งดื่มแอลกอฮอล์ต้องไมต่ ่ำกวา่ 17 ปี อีกทั้ง
ผู้ที่ขับข่ียานพาหนะ ต้องมีค่าระดับแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดไม่เกินกว่า 80 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์
รวมทั้งมมี าตรการห้ามโฆษณาหรือ จดั รายการส่งเสรมิ การขายเคร่อื งดมื่ แอลกอฮอล์ทกุ รปู แบบ
ผู้วิเคราะหบ์ ทความ
นายสรวชิ ญ์ แซซ่ ่นิ รหสั นิสิต631031442
97
บรไู นดารุสชาลามกบั การป้องกนั และปราบปรามการทจุ ริต
นายโชคสขุ กรกติ ติชยั วทิ ยากรชํานาญการพเิ ศษ
บทคัดย่อ
ประเทศบรูไนดารุสชาลาม (Brunei Darussalam)มีชื่อเป็นทางการว่า "รัฐบรูไนดารุสชา
ลาม" (State of Brunei Darussalam) หรือ "เนการา บรูไนดารุสซาลาม" (Negara Brunei
Darussalam) แปลว่า ดินแดนแห่งความสงบสุข หรือเรียกย่อ ๆ ว่า "บรูไน" (Brunei) มีรูปแบบการ
ปกครองเป็นแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์โดยมีสมเด็จพระราชาธิบดฮี ัจญี ฮัสชานัล โบลเกียห์ มูอิซชดั
ดิน วัดเดาละห์ (His Majesty Sultan Haji Hassanal Bolkiah Mu'izzaddin Waddaulah) ทรง
เปน็ ประมุขของประเทศ มีหน่วยการปกครองแบ่งออกเป็น 4 ระดับ ประกอบดว้ ย 1) เขตการปกครอง
(District) หรือ Daerah ในภาษามลายู เป็นหน่วยงานการปกครองระดับล่างจากกระทรวง แบ่ง
ออกเป็น 4 เขตการปกครองประกอบด้วย เขตการปกครองบรูใน-มูอารา (Brunei-Muara) เขตการ
ปกครองเบอไลต์ (Belait) เขตการปกครองเต็มบูรง (Temburong) และเขตการปกครองตูตง
(Tutong) 2) เทศบาล (Municipality) หรือ perbandaran ในภาษามลา อยู่ในระดับชัน้ เดียวกบั เขต
การปกครอง (District/Daerah)เป็นหน่วยการปกครองท้องถิ่นที่เป็นเมืองหรือชุมชนเมืองการ
บริหารงานขึ้นต่อกระทรวงมหาดไทย 3) ตำบล (Ward) หรือ Mukim ในภาษามลายู เป็นหน่วยการ
ปกครองระดับล่างต่อจากเขตการปกครอง มีกำนันเป็นผู้นำ และ 4) หมู่บ้าน(Village) หรือ
Kampung ในภาษามลายู เป็นหน่วยการปกครองระดับล่างสดุ มีผใู้ หญ่บ้านเปน็ ผู้นำ
ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันหรือการทุจริตและประพฤติมิชอบ ถือเป็นปัญหาสำคัญที่หลาย
ประเทศประสบ ซึ่งมีขนาดและรูปแบบการคอร์รัปชันที่แตกต่างกันออกไป ดังเช่น การรับสินบนของ
ข้าราชการ เพื่อช่วยเหลือพ่อค้าในการหลีกเลี่ยงภาษี การปกปิดทรัพย์สินของผู้ดำรงตำแหน่งทาง
การเมือง หรือการซ้ือเสียง เลือกตั้งของนักการเมือง สำหรับในส่วนของผู้กระทำผิด อาจเป็นการ
กระทำของข้าราชการการเมือง ข้าราชการประจำ หรืออาจมีเอกชนภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ผลกระทบของการคอร์รัปชัน อาจถือว่า ได้สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของ
ประเทศค่อนข้างมาก ดังนั้น ในการบริหารงาน แต่ละประเทศได้ตระหนักถึงผลเสียท่ีเกิดขึ้น จึง
รณรงคใ์ หม้ ีการปอ้ งกันและขจดั ปัญหาการคอร์รปั ชนั กนั อย่างกวา้ งขวาง เพือ่ ใหเ้ กิดการบริหารงานที่มี
ประสิทธิภาพ และกอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชนส์ งู สดุ ตอ่ ประเทศชาติ
สำหรับประเทศบรูไนดารุสซาลามก็ประสบปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันเช่นเดียวกัน ในปี
2525 รัฐบาล สมเด็จพระราชาธิบดีฮัจญี ฮัสซานัล โบลเกียห์ มูอิซซัดดิน วัดเดาละห์ (His Majesty
Sultan Haji Hassanal Bolkiah Mu’izzaddin Waddaulah) ได้บังคับใช้กฎหมายพิเศษ (ป้องกัน
การทุจรติ ) (the Emergency (Prevention of Corruption) Act) รวมทง้ั ไดม้ กี ารจัดต้ังองค์กรพิเศษ
ท่ีเรียกว่า “สำนักงานต่อต้านการทุจริต” (Anti-Corruption Bureau: ACB) ขึน้ เม่ือวันท่ี1
กุมภาพันธ์ 2525 ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดำเนนิ การปอ้ งกัน และปราบปรามการทุจริต นับตั้งแต่ก่อตั้งมา
ประเทศบรูไนดารสุ ซาลามมีภาพลักษณค์ วามโปร่งใสลา่ สุด เม่ือปี 2559 โดยมคี ่าคะแนนดัชนีการรับรู้
98
การคอร์รัปชัน Corruption Perception Index (CPI) เท่ากับ 58 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 อยู่
ในลำดับ 41 จาก 176 ประเทศ และเป็นอันดับ 2 ของอาเซียนต่อจากประเทศ สาธารณรัฐสิงคโปร์
จึงเป็นเรื่องนา่ สนใจที่จะศึกษาว่าเหตุใดประเทศบรูไนดารสุ ซาลามสามารถแก้ไขปญั หา การทจุ ริตคอร์
รปั ชันไดเ้ ปน็ อยา่ งดี
โครงสร้างการบรหิ ารงานของประเทศบรไู นดารสุ ซาลาม แบ่งออกเป็น 3 ฝา่ ย คือ
ฝา่ ยบริหาร
สุลต่านจะดำรงตำแหน่งทง้ั ประมุขของรัฐ และนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรเี ป็นหัวหน้าคณะ
รัฐบาล โดยปจั จุบนั ผ้ดู ำรงตำแหน่งทั้งสุลต่านและนายกรฐั มนตรี (Sultan and Prime Minister) คือ
สมเด็จพระราชาธิบดี ฮัจญี ฮัสซานัล โบลเกียห์ มูอิซซัดดิน วัดเดาละห์ (His Majesty Sultan Haji
Hassanal Bolkiah Mu’izzaddin Waddaulah) สมเด็จพระราชาธบิ ดอี งค์ที่ 29
นอกจากนี้ ยังมี Religious Council ซึ่งสุลต่านเป็นผู้แต่งตั้ง ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาเรื่อง
เก่ียวกับ ศาสนา สภาองคมนตรี (Privy Council) ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาเรื่องเกี่ยวกับการปกครอง
และรัฐธรรมนูญ ส่วน Council of Succession เป็นสภาที่จะตัดสินว่าใคร คือ ผู้สืบทอดตำแหน่ง
สุลต่านคนต่อไป (หากจําเป็น) ไม่มีการเลือกตั้งตำแหน่งสุลต่าน แต่จะเป็นการสืบทอดตามกฎ
มณเฑยี รบาล
ฝา่ ยนิติบญั ญัติ
ตำแหน่งสุลต่านได้รับการแต่งตั้งจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สมาชิก 29 คน) เมื่อวันที่ 2
กันยายน 2548 (ค.ศ. 2005) ต่อมามีการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติบรูไนโดยตรงจาก
ประชาชน เป็นครั้ง สุดท้ายในเดือนมีนาคม 2505 (ค.ศ. 1962) หลงั จากนนั้ มา ได้เปลีย่ นมาเปน็ ระบบ
แต่งตง้ั สมาชกิ สภา นติ ิบัญญตั ิแห่งชาติ ซึง่ สภานติ บิ ัญญัตแิ หง่ ชาติบรูไนประกอบด้วยสมาชิกไม่เกิน 45
คน ซึ่งได้รับการคัดเลือก จากสมเด็จพระราชาธบิ ดี 30 คน ส่วนสมาชิกนิตบิ ญั ญตั ิแห่งชาติอีก 15 คน
เป็นผู้แทนจากเขตการปกครองต่าง ๆ คือ เขตการปกครองบรูไน-มูอารา (Brunei-Muara) เขตการ
ปกครองเบอไลต์ (Belait) เขตการปกครอง เต็มบูรง (Temburong) และเขตการปกครองตูตง
(Tutong) (ข้อมูลบรูไนดารุสซาลาม Negara Brunei Darussalam, 2558) สมาชิกสภานิติบัญญัติ
แห่งชาติน้ี มีวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี มสี มัยประชุม สภานิตบิ ญั ญตั ิแหง่ ชาติอย่างน้อยปลี ะ 1 คร้ัง
สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติสามารถเสนอร่างกฎหมาย แต่ร่างกฎหมายฉบับนั้นจะมีผลบังคับใช้
เปน็ กฎหมายต่อเม่ือสมเด็จพระราชาธบิ ดีทรงให้ความยนิ ยอม โดยทรงลงพระปรมาภิไธยและทรงประ
ทบตราแผน่ ดนิ (ประวัตแิ ละข้อมูลรัฐบาลบรูไนฯ โดยย่อ, 2559)
ฝา่ ยตุลาการ
ประเทศบรูไนดารุสซาลาม เคยเป็นดินแดนในการปกครองของประเทศสหราชอาณาจักร
(อังกฤษ) แรกเริ่มจึงได้รับระบบกฎหมายของประเทศสหราชอาณาจักร (อังกฤษ) มาบังคับใช้แต่ใน
ปัจจุบันได้มีการใช้ ระบบกฎหมายคู่ขนาน อันได้แก่ ระบบศาลยุติธรรม และระบบศาลชารีอะฮ์
(Sharia Court)
99
โครงสร้างศาลของประเทศบรูไนดารสุ ซาลาม ประกอบด้วย ศาลชันต้น ศาลสูง ศาลอุทธรณ์
ศาลฎีกา ในศาลชั้นต้น ประกอบด้วย ศาลแขวง ศาลเยาวชน และศาลคดีมโนสาเร่ โดยทุกศาล
สามารถพิจารณาคดีแพ่ง และคดีอาญาได้ ไม่มีระบบลูกขุน ซ่ึงมีผู้พิพากษา 1 คน เป็นผู้พิจารณาคดี
ยกเว้นในคดีที่มีระวางโทษประหาร ศาลสูงและศาลอุทธรณ์ จะได้รับการพิจารณาจากศาลฎีกา
อย่างไรก็ตาม การอุทธรณ์ในคดีแพ่งสามารถยื่นต่อ คณะกรรมการกระบวนการยุติธรรมของ
องคมนตรี ณ กรุงลอนดอนได้ ถา้ คู่ความทกุ ฝา่ ยเห็นพอ้ งต้องกัน ให้ย่ืนต่อคณะกรรมการกระบวนการ
ยุติธรรมขององคมนตรีก่อนที่จะย่ืนอุทธรณ์ไปยังศาลฎีกาของประเทศบรูไน ดารุสซาลาม (ประเทศ
บรไู นดารุสซาลาม, ม.ป.ป.)
นอกจากนี้ ประเทศบรูไนดารุสซาลาม มีประชากรส่วนใหญ่นบั ถือศาสนาอิสลาม จึงมีการใช้
กฎหมาย อิสลาม ซึ่งขึ้นอยู่กับกรมกฎหมายอิสลาม กรมนี้มีหน่วยงานย่อยอีก 4 หน่วยงาน (ระบบ
กฎหมายของประเทศ บรูไน, 2560) คือ
1. แผนกมุฟตี มีมฟุ ตเี ป็นหวั หน้าสงู สดุ ด้านกจิ กรรมศาสนาอสิ ลาม เปน็ ผู้ประกาศชี้ขาดหรือ
วินิจฉัยปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนในสังคมมุสลิม ซึ่งปกติแล้วจะมีประเด็นสำคัญ ๆ ที่ถูกถามโดย
หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐบาล มุฟตีเป็นประธานคณะกรรมการศาล และประธานคณะกรรมการด้าน
กฎหมาย (Legal Committee) นอกจากนนั้ มฟุ ตยี งั ดำรงตำแหน่งเป็นสมาชกิ ของสภาศาสนาอิสลาม
อีกด้วย
2. แผนกหัวหน้าพิพากษา แผนกน้ีมีผู้พิพากษาเป็นประธานมีอำนาจหน้าที่ดูแลศาล
ศาสนา 2 แห่ง คอื 1) ศาลผูพ้ ิพากษา มอี ำนาจหนา้ ท่ใี นการตดั สนิ คดคี วามทวั่ ราชอาณาจกร 2) ศาลผู้
พพิ ากษาประจำ เขต มอี ำนาจเฉพาะในเขตใดเขตหน่ึงเท่านั้น ฝา่ ยน้ยี งั มหี น้าทร่ี บั ผดิ ชอบเกีย่ วกับการ
สมรสและการหย่าร้าง อกี ด้วย
3. แผนกศาลศาสนา หรือศาลชารีอะฮ์ (Sharia Court) มีอำนาจหน้าทีใ่ นการให้คำปรกึ ษา
แก่สมเดจ็ พระราชาธิบดใี นเรื่องท่เี กยี่ วกับกิจการมสุ ลมิ สภาน้ีมีคณะกรรมการทเ่ี ปน็ หลกั อยู่ 2 ฝา่ ยคอื
1) คณะกรรมการกฎหมายท่ีมหี นา้ ท่ีฟัตวา (วนิ จิ ฉยั ) ปัญหาตา่ ง ๆ ซ่ึงเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม
คําวินจิ ฉยั ทไี่ ดป้ ระกาศออกมาจะกลายเปน็ กฎหมายทันที ซึง่ มสุ ลิมทุกคนตอ้ งเคารพและปฏบิ ตั ติ าม
2) คณะกรรมการศาล เป็นศาลท่ีรับคำร้องหรือข้อร้องเรียนต่าง ๆ และยังเป็นแหล่งอ้างอิง
ทางกฎหมายสำหรับคดีต่าง ๆ ที่ปรากฏข้ึนในราชอาณาจักร นอกจากน้นั แผนกศาลศาสนายังมีหนา้ ที่
รับผิดชอบให้ความช่วยเหลือแก่คนจน คนทํางานเพื่อศาสนา รายได้หลักของแผนกศาลศาสนานี้ ได้
จากค่าธรรมเนียมต่าง ๆ จากค่าปรับในศาลศาสนา หรือศาลชารีอะฮ์ (Sharia Court) กำไรจาก
ธนาคาร และซะกาต (ZAKAT) ประเภทต่าง ๆ (คำว่า “ซะกาต” แปลว่า การทำให้สะอาดบริสุทธ์ิ
(purification) และการเจริญเติบโต คือ ทานประจำปี หมายถึง ทรัพย์สินส่วนเกินจำนวนหนึ่ง ซ่ึง
มุสลิมต้องจ่ายให้แก่ผู้ที่มีสิทธิได้รบเมื่อครบรอบปี ถา้ มุสลิมคนใดมีทรัพย์สนิ เงนิ ทอง สินค้าท่ีเหลือใน
รอบปีแลวไม่ทำการบริจาค นั้นก็เป็นผู้หนึง่ ทีท่ ําผดิ บัญญัติของอิสลาม และยังถือเป็นการผิดกฎหมาย
ในบางประเทศที่ใช้กฎหมายอิสลาม อีกทั้ง “ซะกาต” เป็นหนึ่งในเสาหลักที่สำคัญของศาสนาอสิ ลาม
คอื หลกั ปฏิบัติของอสิ ลาม (รกุ ่นอิหมา่ ม) มี 5 ประการ คือ การกลา่ วปฏญิ าณ การละหมาด การจ่าย
100
ซะกาต การถือศีลอด และการทำฮัจย์ จะเห็นได้ว่า “ซะกาต” ถือเป็นหลักปฏิบัติในศาสนาอิสลามที่
สำคัญรองลงมาจากการกล่าวคําปฏิญาณและการละหมาด (พื้นฐานเร่ืองซะกาต (การบริจาคภาคบง
คบั ), ม.ป.ป.)
4. แผนกสืบสวน มีอำนาจหน้าที่ด้านการตรวจสอบ สืบสวนข้อเรียกร้อง และดำเนินการ
จบั กุมผกู ระทำผิด มเี จาหนาท่ีอย่ทู ว่ั ประเทศมากกวา่ 70 ทา่ น
ความเป็นมาของการป้องกนั และปราบปรามการทจุ ริต
เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2525 (ค.ศ. 1982) รัฐบาลสมเด็จพระราชาธิบดีฮัจญี ฮัสซานัล โบล
เกียห์ มูอิซซัดดิน วัดเดาละห์ (His Majesty Sultan Haji Hassanal Bolkiah Mu’izzaddin
Waddaulah) ได้บังคับใช้กฎหมายพิเศษ (ป้องกันการทุจริต) (the Emergency (Prevention of
Corruption) Act) โดยมีการจัดตั้งองค์กรพิเศษที่เรียกว่า “สำนักงานต่อต้านการทุจริต” (Anti-
Corruption Bureau: ACB) ขึ้นเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2525 (ค.ศ. 1982) โดยมีภารกิจในการธำรง
ยึดถือหลักคุณธรรมในการให้บริการประชาชน และนำตัวบุคคลที่กระทำทุจริตเข้าสู่กระบวนการ
ยุติธรรม ต่อมาในปี 2527 ได้มีการปรับเปลี่ยนมาใช้ “กฎหมายป้องกนการทุจริต” (Prevention of
Corruption Act) (Background, 2015)
ในช่วงแรกของการก่อตั้ง “สำนักงานต่อต้านการทุจริต” (Anti-Corruption Bureau: ACB)
มเี จ้าหน้าท่ีจำนวนไมม่ าก จะมเี พียงเจา้ หนา้ ที่สบื สวนสอบสวนและเจา้ หน้าท่ีฝ่ายบรหิ ารในขณะน้ัน ผู้
ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการคนแรกของสำนักงาน ในช่วงเวลาดังกล่าวได้ให้ความสำคัญกับ
เจ้าหน้าที่ อาวุโสที่มาจากกองกำลังตำรวจแห่งชาติบรูไน (the Royal Brunei Police Force) โดยมี
สำนักงานชั่วคราว ตั้งอยู่ที่ the Diplomatic Services Office เมืองบันดาร์เสรีเบกาวัน (Bandar
Seri Begawan) ต่อมาย้ายสำนักงานไปตั้งอยู่ที่ Block F5, Berakas, Old Airport Road เมื่อวันที่
25 กุมภาพันธ์ 2525 (ค.ศ. 1982) ต่อมาเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2530 (ค.ศ. 1987) “สำนักงาน
ต่อต้านการทุจริต” (Anti-Corruption Bureau: ACB) ได้ย้ายไปอยู่ที่ชั้น 3 ของตึก RBA พลาซ่า ณ
Jalan Sultan เมืองบันดาร์เสรีเบกาวัน (Bandar Seri Begawan) ต่อมาเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2530
(ค.ศ. 1987) ได้เปิด “สำนักงานต่อต้านการทุจริต” (Anti-Corruption Bureau: ACB) สาขาเพิ่มเติม
คือ “สำนักงานต่อต้านการทุจริต” (Anti-Corruption Bureau: ACB) สาขา Kuala Belait ตั้งอยู่ท่ี
88 Jalan Bendahar และตอ่ มาได้ย้ายไปตั้งอยู่ที่ Simpang 3, Jalan Sungai Pandan เม่ือวันที่ 23
ธันวาคม 2534 (ค.ศ. 1991) ด้วยจำนวนพนักงานและภารกิจที่เพิ่มมากขึ้น “สำนักงานต่อต้านการ
ทุจริต” (Anti-Corruption Bureau: ACB) ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ จึงได้ย้ายกลับไปตั้งอยู่ท่ีเดิม คือ
Berakas, Old Airport Road ตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม 2535 (ค.ศ. 1992) เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
(Background, 2015)
จะเห็นได้ว่า ประเทศบรูไนดารุสซาลามจัดการปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันและความโปร่งใส
ในการบริหารราชการแผ่นดินอยู่ในระดับที่สูงมาก จึงทำให้ค่าคะแนนดัชนีการรับรู้การคอร์รัปชัน
(CPI) ของ ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ในรอบ 7 ปี ตั้งแตป่ ี 2553-2559 จะพบว่า อยู่ในลำดับไม่เกิน
50 ของโลก ซึ่งในปี 2559 ประเทศบรูไนดารุสซาลามมีค่าคะแนนดัชนีการรับรู้การคอร์รัปชัน (CPI)
101
เท่ากบั 58 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 อยู่ในลำดบั 41 จาก 176 ประเทศ จงึ เปน็ เรื่องน่าสนใจที่จะ
ศึกษาว่าเหตใุ ดประเทศบรไู น ดารุสซาลาม จึงสามารถแกไ้ ขปัญหาการทจุ ริตคอรร์ ปั ชนั ได้เป็นอยา่ งดี
หน่วยงานปราบปรามการทจุ รติ
หน่วยงานต่อต้านการทุจริตของประเทศบรูไนดารุสซาลาม เรียกว่า “สำนักงานต่อต้านการ
ทุจริต” (Anti-Corruption Bureau: ACB) โดยก่อตงั้ เม่ือวนั ที่ 1 กมุ ภาพนั ธ์ 2525 (ค.ศ. 1982) ตาม
กฎหมายป้องกัน การทุจรติ (Prevention of Corruption Act) (สำนกั งานคณะกรรมการป้องกันและ
ปราบปรามการทุจริต แห่งชาติ, 2559, น. 38) ตามกฎหมายนี้ ได้กำหนดความผิดฐานทุจริต
บทลงโทษ และอำนาจในการบังคับใช้ ไว้อย่างชัดเจน อันเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อน
ยุทธศาสตร์สำหรับการควบคุมการทุจริตในประเทศ โดย “สำนักงานต่อต้านการทุจริต” (Anti-
Corruption Bureau: ACB) (สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ,
2558, น. 32) เป็นหน่วยงานหลักที่มีภารกิจหลักในการสืบสวนสอบสวน การกระทำความผิดฐาน
ทุจริต แต่ก็ยังมีอำนาจในการสืบสวนสอบสวนการกระทำความผิดอาญาอื่น ๆ ที่พบใน ระหว่างการ
สืบสวนสอบสวนการกระทำความผิดฐานทุจริตด้วย ภายใตก้ ฎหมายดังกล่าว ยังให้มอี ำนาจหน้าที่ ใน
การป้องกันการทุจริต และให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับพิษภัยของการทุจริต ตลอดจนส่งเสริมให้
ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมต่อสู้กับการทุจริต (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการ
ทจุ รติ แห่งชาติ, 2559, น. 38)
โครงสร้างองคก์ ร
“สำนักงานต่อต้านการทุจริต” (Anti-Corruption Bureau: ACB) เป็นหน่วยงานที่มีอธิบดี
เป็น ผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงาน ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีโครงสร้าง (Organizational
Structure, 2015) ดงตอ่ ไปนี้
ผูอ้ าํ นวยการ (Director) กำกบั ดูแลในส่วนงานของเลขาธิการ (Directorate management
secretariat) ส่วนตรวจสอบภายใน (Internal Audit) และหน่วยงานบันทกึ ขอ้ มูล (Record Unit)
รองผอู้ ำนวยการ (Deputy Director) กำกับดแู ลใน 4 สว่ นงาน ดังตอ่ ไปน้ี
1) ส่วนงานการบงั คับใชก้ ฎหมาย (Enforcement Division) ซึ่งประกอบด้วย หน่วยสืบสวน
สอบสวน กลาง Kuala Belait (Kuala Belait Investigation Unit: UKB) หน่วยสืบสวนสอบสวน 1
(Investigation Unit 1) หน่วยสบื สวนสอบสวน 2 (Investigation Unit 2) หนว่ ยสืบสวนสอบสวน 3
(Investigation Unit 3) หนว่ ยสืบสวนสอบสวน 4 (Investigation Unit 4)
2) ส่วนงานบรหิ ารฝา่ ยการเงนิ (Administration & Finance Division)
3) ส่วนงานพัฒนาด้านการป้องกันและพัฒนาคุณธรรม ( Integrity Planning &
Development Division) ซึ่งประกอบด้วย หน่วยชุมชนสัมพันธ์ หน่วยการศึกษา และหน่วยการ
พัฒนาคุณธรรมแห่งชาติ (Community Relations, Education Unit & National Integrity Plan
Unit) หน่วยป้องกันการฟอกเงิน นานาชาติ (International Unit & Anti Money Laundering
Unit)
102
อํานาจหนา้ ที่
ภายใต้ “กฎหมายป้องกันการทุจริต” (Prevention of Corruption Act) กำหนดให้
“สำนักงานต่อต้านการทุจริต” (Anti-Corruption Bureau: ACB) มีอำนาจหน้าที่(สำนักงาน
คณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ, 2558, น. 33) ดังตอ่ ไปน้ี
1. รับและพิจารณาเกี่ยวกับเร่ืองร้องเรียนการกระทำความผิดภายใต้ “กฎหมายป้องกันการ
ทุจรติ ” (Prevention of Corruption Act) หรือความผิดอืน่ ใดท่กี ำหนดไว้
2. สบื หาและสบื สวนสอบสวน
2.1 ความผดิ ท่ตี ้องสงสยั ภายใตก้ ฎหมาย
2.2 ความพยายามที่ตองสงสยว่ากระทาํ ความผิดภายใต้กฎหมาย
2.3 การสมคบท่ตี ้องสงสยในการกระทาํ ความผิดภายใตก้ ฎหมาย
3. ใหค้ วามรู้แก่ประชาชนเกย่ี วกับการทุจรติ และสง่ เสริมให้สาธารณะเข้ามามีส่วนรว่ ม
การดําเนินงานขององค์กร
ในการดําเนินงานของ “สำนักงานต่อต้านการทุจริต” (Anti-Corruption Bureau: ACB) จะ
ใช้ “กฎหมายป้องกันการทุจริต” (Prevention of Corruption Act) ซึ่งเป็นกฎหมายท่ีมีขอบเขต
กว้างขวาง ครอบคลุมทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน มีผลใช้บังคับกับบุคคลผู้ให้ หรือผู้รับสินบน และ
บคุ คลใดที่อย่รู ะหว่าง ผใู้ หแ้ ละผรู้ บั สนิ บน โดยภาระการพสิ จู นเ์ ป็นของผู้ถูกกล่าวหาที่จะต้องแสดงให้
เห็นว่า มีความร่ำรวยมาโดยชอบด้วยกฎหมาย (สำนักงานคณะกรรมการป้องกนและปราบปรามการ
ทจุ ริตแหง่ ชาติ, 2558, น. 34)
ตลอดระยะเวลากวา่ 35 ปี นบั ตัง้ แต่ก่อต้ังเม่อื ปี 2525 “สำนักงานต่อต้านการทุจริต” (Anti-
Corruption Bureau: ACB) ได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนความผิดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต
ไปแล้ว ราว 2,469 คดี (Statistics, 2015) มีผู้ถูกดำเนินคดีในศาล จำนวน 329 ราย ในความผิดฐาน
ทจุ รติ หลอกลวง ยักยอก หรอื กระทำผิดหน้าทท่ี ี่ได้รับมอบหมายให้ดูแลผลประโยชน์ของผู้อ่ืน ศาลได้
พิพากษาลงโทษจําคกุ และปรับผ้กู ระทำความผิด 207 ราย โดยดำเนนิ คดีกบั อดตี รฐั มนตรี ข้าราชการ
รวมทั้งบุคคลในภาคเอกชน สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรฐั บาลบรูไนดารสุ ซาลามในการ
ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และความเข้มแข็งของ “สำนักงานต่อต้านการทุจริต” (Anti-Corruption
Bureau: ACB) แม้ว่าปัจจุบัน เร่ืองร้องเรียนและคดีที่ได้รับมีจำนวนลดลงเรื่อย ๆ แต่อย่างไรก็ตาม
รัฐบาลบรูไนดารุสซาลามก็จะยังคงมุ่นม่ัน ในนโยบายไม่อดทนอดกลั้นต่อการทุจริต (สำนักงาน
คณะกรรมการป้องกนั และปราบปรามการทจุ ริตแหง่ ชาติ, 2558, น. 34-35)
ความร่วมมือระหวา่ งประเทศ
“สำนักงานต่อต้านการทุจริต” (Anti-Corruption Bureau: ACB) ให้ความสำคัญของการ
ทำงาน ร่วมกับหน่วยงานบงั คับใช้กฎหมายของต่างประเทศในการปราบปรามการทุจริตขา้ มชาติ และ
อาชญากรรม ท่ีเกี่ยวข้อง โดยท่ผี ่านมา ไดป้ ระสานความร่วมมืออย่างใกลช้ ิดกับหน่วยงานต่อต้านการ
ทุจริตในต่างประเทศ ในการสืบสวนสอบสวนการทุจริตข้ามพรมแดน ท้ังของประเทศสหพันธรัฐ
103
มาเลเซีย และประเทศสิงคโปร์ (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ,
2558, น. 37-38)
บรรณานุกรม
การเมอื งการปกครอง. (19 กันยายน 2560). สืบคน้ 9 พฤศจิกายน 2560
จาก http://www.apecthai.org
ขอ้ มลู การเมืองการปกครองประเทศบรูไน. (7 พฤษภาคม 2558). สืบคน้ 9 พฤศจิกายน 2560 จาก
http://www.aseanthai.net/ewt_news.php?nid=2945&filename
บรูไนออกกฎหมายคอร์รปั ชั่นฉบับใหมแ่ กป้ ญั หาความฉ้อฉลของหน่วยงานราชการ. (2 ตุ ลาคม
2558). สบื ค้น 9 มกราคม 2560 จาก http://aseanwatch.org
ประวัตแิ ละขอ้ มูลรัฐบาลบรูไนฯโดยยอ่ . (2 กมุ ภาพันธ์ 2559). สืบคน้ 9 พฤศจิกายน 2560 จาก
http://www.aseanthai.net/ewt_news.php?nid=5261
พน้ื ฐานเรื่องซะกาต (การบริจาคภาคบังคับ). (ม.ป.ป.) สืบคน้ 27 ธนั วาคม 2560 จาก
https://islamicfinancethai.com
วเิ คราะหบ์ ทความ
ประเทศบรูไนดารุสซาลามถือเป็นประเทศที่มีการจัดการปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันและ
ความโปร่งใส ในการบริหารราชการแผ่นดนิ อยใู่ นระดับทส่ี ูงมาก โดยรองจากประเทศสิงคโปร์ซึ่งอยู่ใน
ประเทศสมาชิกอาเซียน ด้วยกัน ถึงแม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกบั การป้องกนั และปราบปรามการทจุ รติ
ของประเทศบรูไนดารุสซาลาม ท่ีได้ดำเนินการมาแลว้ 35 ปีน้ัน และเพง่ิ ไดร้ ับการจดั ลำดับคอร์รัปชัน
โลก เมื่อปี 2553-2559 เพียง 7 ปี ซึ่งค่าคะแนนดชั นีการรับรู้การคอรร์ ัปชัน (CPI) ของประเทศบรูไน
ดารุสซาลาม จะพบว่า อยู่ในลำดับไม่เกิน 50 ของโลก ซึ่งในปี 2559 ประเทศบรูไนดารุสซาลามมีค่า
คะแนนดัชนีการรับรู้การคอร์รัปชัน (CPI) เท่ากับ 58 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 อยู่ในลำดับ 41
จาก 176 ประเทศ จึงเป็นประเทศท่ีน่าสนใจว่าเหตุใด การบริหารจัดการปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน
ดังกล่าว จึงทำให้ประเทศบรูไนดารุสซาลามประสบความสำเร็จ เป็นอย่างสูง อันเนื่องมาจากการ
วางรากฐานการศึกษา และสร้างความตระหนักรู้ให้แก่เด็กและเยาวชนของ ประเทศเกี่ยวกับปัญหา
การทุจริตคอร์รัปชันไว้อย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ได้สอดแทรกหลักการ ทางศาสนา
อิสลาม ซึ่งสอนให้มุสลิมทุกคนจะต้องเป็นคนซ่ือสัตย์สุจริตไว้ในหลักสูตรการศึกษา ตั้งแต่ระดับ
แรกเรม่ิ จนถึงระดับมหาวทิ ยาลัย จึงทำใหเ้ ดก็ และเยาวชนของประเทศบรูไนดารสุ ซาลามไดซ้ ึมซับและ
เข้าใจ ถึงผลกระทบของการทุจริตคอร์รัปชันเป็นอย่างดี และเลือกที่จะดำรงตนต้ังอยู่บนความสุจริต
หรือโตขึ้น เปน็ คนดนี ่ันเอง
ผวู้ ิเคราะห์บทความ
นายสรวิชญ์ บญุ ถาวร รหัสนสิ ิต631031443
104
อสิ ลามการเมืองในการบริหารรฐั สุลต่านบรไู นดารุสซาลาม
สามารถ ทองเฝือ
บทคดั ยอ่
นับต้ังแต่ต้น ปี2014 เป็นต้นมา หนึ่งในประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนประเทศหนึ่งน้ันคือ
ประเทศบรูไนดารุสซาลามได้ประกาศให้กฎหมายชารีอะห์หรือกฎหมายอาญาอิสลามที่มีผลบังคับใช้
ในการบรหิ ารจดัการปกครองบ้านเมืองภายในประเทศของตนเองได้อยา่ งท้าทายโดยมิได้หวั่นเกรงต่อ
การกล่าวโจมตีจากประชาคมโลกแต่อยา่ งใด ซ่ึงนับได้วา่ เป็นประเทศในภูมภิ าคเอเชยี ตะวันออกเฉียง
ใต้ท่ียังคงดำรงความเป็นอัตลักษณ์ตามแบบฉบับของตนเองได้อย่างน่าสนใจ ดังน้ันบทความน้ีจึงมี
วัตถุประสงค์เพื่อที่จะศึกษาถึงบทบาทของศาสนาอิสลามกับการเมืองการปกครอง และการบริหาร
กิจการของรัฐภายในประเทศบรูไนดารุสซาลามว่าเป็นอย่างไรและได้นำเอาหลักการใดบ้างที่ทำให้
อิสลามการเมืองภายในประเทศของตนเองสามารถที่จะทำใหเ้ ป็นอัตลักษณ์เฉพาะของบรูไนเองที่เข้า
มามีส่วนเก่ยี วข้องในการบริหารรัฐและการปกครองประเทศได้เร่อื ยมานับตั้งแต่อดตี จนถงึ ปัจจุบันน้ีได้
เพอ่ื ท่ีจะเปน็ แนวทางในการรับรเู้ ร่ืองราวและสร้างการตระหนักรู้ สามารถทจ่ี ะเสริมสรา้ งความรู้เข้าใจ
ทเี่ กย่ี วขอ้ งกับประเทศเพือ่ นบ้านในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนตอ่ ไป
คำสำคญั : อสิ ลามการเมือง/ ชารอี ะห์/การบริหารรฐั / บรไู นดารสุ สลาม
Islamic Polity and in the State Administration of the Sultanate
Brunei Darussalam
Samart Thongfhua
Since the early year of 2014 onwards one of the ASEAN member countries
which unique and difference from another ASEAN countries in the region was declared
the Shariah Law or the Islamic Law for govern and administrative the country, that is
the Sultanate of Brunei Darussalam. The purpose of this article tried to study and
examine the role of Islam how this country can apply the Islamic doctrine to
governance and administrative the country as a unique identity and different from
other that the role of Islam can be involved in politics as well, and for our awareness
and understand the neighboring ASEAN member countries in our region which is a part
of our the ASEAN Community in the near future.
Keywords: Islamic Polity/ Shariah/ Administration/ Brunei Darussalam
105
บทนำ
ช่วงต้น ปี2014 เป็นต้นมามีประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเป็นประเทศเดียว
ในปัจจุบันที่ยังคงใช้ระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ตามแบบฉบับที่เป็นอัตลักษณ์
ของตนเองที่มีความแตกต่างและไม่เหมือนประเทศใดในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านสมาชิกอาเซียน ด้วย
กันเองได้ออกมาประกาศบังคับใช้กฎหมายอิสลามหรือที่เรียกกันว่ากฎหมายชารีอะห์ในการบริหาร
จัดการปกครองบ้านเมืองภายในประเทศของตนเองได้อย่างท้าทายโดยมิได้หวั่นเกรงต่อการกล่าว
โจมตีจากประชาคมโลกแต่อย่างใดโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาติตะวันตกแม้ว่าในช่วงเริ่มแรกของการ
ประกาศใช้กฎหมายชารีอะห์ดังกล่าวน้ีนั้น ชาติตะวันตกได้มีการตำหนิคัดค้านท้วงติงและไม่เห็นด้วย
กับการบังคับใช้กฎหมายชารีอะห์น้ีก็ตาม แต่ในที่สุดแล้วก็ไม่สามารถที่จะยับยั้งถึงจุดยืนของผู้นำ
ประเทศและรัฐบาลของประเทศดังกลา่ วนี้ไดซ้ ่ึงประเทศทีว่ ่านี้นั้นกค็ ือประเทศบรูไนดารสุ ซาลามหรอื
รัฐสุลต่านแหง่ บรูไนนั้นเอง นับได้ว่าเป็นปรากฏการณท์ างการเมืองและการบริหารกิจการบ้านเมืองที่
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งว่าเพราะเหตุใดประเทศนี้จึงสามารถที่จะยืนหยัดอยู่ได้ตามอุดมการณ์ที่เป็นอัต
ลักษณเ์ ฉพาะเพยี งหน่ึงเดียวในกลมุ่ ประเทศสมาชิกอาเซยี นทส่ี ามารถนำหลักการศาสนาอิสลามเข้ามา
ประยุกต์ใช้ในการบริหารกิจการรัฐภายใต้กระแสของการเปลี่ยนแปลงท่ามกลางกระบวนการสร้าง
ประชาธิปไตยของประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกได้อย่างน่าอัศจรรย์ดังนั้น บทความน้ีจึงมีวัตถุประสงค์
เพื่อที่จะศึกษาถึงบทบาทของศาสนาอิสลามกับการเมืองการปกครอง และการบริหารกิจการของรัฐ
ภายในประเทศบรูไนดารุสซาลามว่าเป็นอย่างไรและได้นำเอาหลักการใดบ้างที่ทำให้อิสลามการเมือง
ภายในประเทศของตนเองสามารถท่ีจะทำใหเ้ ปน็ อตั ลกั ษณเ์ ฉพาะของบรไู นเองที่เข้ามามสี ว่ นเก่ียวข้อง
ในการบริหารรัฐและการปกครองประเทศได้เรื่อยมานับต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้ได้เพื่อที่จะเป็น
แนวทางในการรับรู้เรื่องราวและสร้างการตระหนักรู้ สามารถที่จะเสริมสร้างความรู้เข้าใจที่เกี่ยวข้อง
กับประเทศเพื่อนบ้านในการเขาส้ ปู่ ระชาคมอาเซียนตอ่ ไป
สภาพทั่วไป
ด้วยการที่เป็นประเทศที่มีขนาดพ้ืนที่ประมาณ 5,765 ตารางกิโลเมตรต้ังอยู่ทางทิศตะวันตก
เฉียงเหนือของเกาะบอร์เนียวทีม่ ีชายฝัง่ ทางด้านเหนือติดกับทะเลจีนใต้ส่วนดินแดนทางบกที่เหลือถูก
ลอ้ มรอบด้วยรัฐซาราวัคของมาเลเซยี ทำใหไ้ มแ่ ปลกใจท่ปี ระชาชนของประเทศส่วนใหญป่ ระมาณร้อย
ละ 67 เป็นกลุ่มชาติพันธ์มาเลย์รองลงมาคือกลุ่มชาติพันธ์จีนร้อยละ 15กลุ่มชนเผ่าพ้ืนเมืองอีก
ประมาณร้อยละ6 ส่วนที่เหลือก็จะกลุ่มชาติพันธ์อื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นชาวอินเดีย ชาวยุโรป และ
ชาวต่างชาติอื่น ๆ มีอยู่ร่วมกันประมาณร้อยละ 12ของประชากรท้ังหมดในประเทศ (นิชานท์ สิงห
พุทธางกรู , 2556, น. 12)แมว้ ่าในรัฐธรรมนูญของประเทศได้ระบเุ อาไว้ว่าศาสนาประจำชาติคือศาสนา
อิสลามก็ตามแต่ก็ยังให้ความเป็นอิสระแก่ประชาชนที่จะสามารถเลือกนับถือศาสนาอื่นได้ ซ่ึงจะเห็น
ไดว้ ่าประชาชนท่ีอาศัยในบรูไนท่เี ปน็ ชาวพ้ืนเมืองก็ยังคงมลี ัทธิความเช่ือตามกลมุ่ ชนเผ่านั้น ๆ และยัง
มีผู้คนที่นับถือศาสนาพุทธ คริสต์คาทอลิกพอให้เห็นอยู่บ้าง มีภาษาที่ใช้เป็นภาษาราชการก็คือภาษา
มาเลย์และภาษาอังกฤษ เช่นเดียวกันกับประเทศมาเลเซียนั้นเอง อย่างไรก็ตามในพจนานุกรม
106
การเมืองสมัยใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Michael Leifer (2001, น.19) ได้ระบุ ไว้ว่าในช่วง
ศตวรรษท่ี15 และ 16 บรูไนได้ปกครองบริเวณส่วนใหญ่ของเกาะบอร์เนียว (เป็นที่มาของชื่อเกาะ
บรูไน)และภาคใต้ของหมู่เกาะฟิลิปปินส์ดินแดนในครอบครองน้ีเล็กลงมากในหลายศตวรรษต่อมา
ระบบอาณานิคมอังกฤษทำให้อัตลักษณเ์ ฉพาะยังคงอยู่ต่อมาแต่ก็ทำใหส้ ูญเสียดินแดนต่อไปอีก บรูไน
เปน็ ดนิ แดนอารักขาในปี 1888และกว่าจะได้มาซึ่งรัฐบาลท่ีปกครองตนเอง กถ็ ึงปี1959 โดยได้รับโอน
อำนาจการรักษาความม่ันคงภายในเมื่ออังกฤษยกเลิกการให้หลักประกันด้านความม่ันคงโดยอัตโนมัติ
แล้วแทนที่ด้วยการจัดการด้านการป้องกันแบบมีการปรึกษาหารือ บรูไนได้รับอำนาจอธิปไตยอย่าง
สมบูรณใ์ นเดือนมกราคม 1984 เม่อื ไดร้ บั มอบหมายความรบั ผิดชอบด้านการต่างประเทศจากอังกฤษ
นั้นเอง
สำหรับรูปแบบการปกครองและการบริหารประเทศน้ันก็มีลักษณะที่โดดเด่นในระบอบ
สมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือระบอบราชาธิปไตยแบบสุลต่านอิสลามตามแบบมลายูภายใต้รัฐธรรมนูญ
ของประเทศ ซึ่งด้วยสภาพที่ม่ันคงของสถาบันกษัตริย์ที่มีความใกล้ชิดกับสถาบันศาสนา กล่าวคือยึด
มั่นในหลักการศาสนาอิสลามอย่างเคร่งครัดและกับการที่มีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรน้ำ มัน
และก๊าชธรรมชาติที่ถือได้ว่าเป็นทรัพยากรธรรมชาติหลักที่สำคัญของประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้
บรูไนเป็นประเทศที่มีรายได้ประชาชาติสูงที่สุดประเทศหนึ่ง ประชาชนภายใต้รัฐสุลต่านแห่งน้ีจึงมี
ความกินดีอยู่ดีแม้ว่าการบริหารประเทศจะยังคงตกอยู่ในการควบคุมดูแลขององค์สุลต่าน พระ
ราชวงศ์และคณะรัฐบาลที่องค์สุลต่านได้คัดเลือกแต่งต้ังมาก็ตาม (สามารถ ทอง เฝือ, 2550, น.78)
ซึ่งด้วยสภาพดังกล่าวนี้จึงมิได้ทำให้ประชาชนชาวบรูไนมีความรู้สึกอึดอัดหรือไม่พอใจใด ๆ ในการ
บริหารจัดการกิจการบ้านเมืองหรือในการออกกฎหมายต่างๆ ในการบังคับใช้กับพวกเขาอัน
เนื่องมาจากการทีป่ ระชาชนชาวบรไู นมรี ายได้และรฐั เองก็ได้ให้สวัสดิการอย่างเต็มท่ีจึงกลายเปน็ สิ่งที่
ชาวบรไู นมคี วามสุขและยินดีกับส่ิงที่พวกเขาได้รบั ในสิทธิที่ทางรัฐสลุ ต่านของพวกเขามอบให้ซ่ึงอาจดู
แล้วเหมือนกับว่าไม่เป็นไปในรูปแบบประชาธิปไตยเหมือนกับประเทศส่วนใหญ่ในโลกยึดถือและ
ปฏิบัติกันก็ตามสำหรับสิ่งที่เป็นหัวใจหลักของการปกครองและการบริหารประเทศนั้นก็คือหลักการ
ศาสนาอิสลามนั้นเองเหมือนกับที่ Gunn, G. (1997, pp.8-11) ได้กล่าวไว้ว่าการใช้แนวความคิดของ
อิสลามเขา้ มาในประเทศนี้เรมิ่ มีมาตงั้ แตส่ มัยทอ่ี ยู่ภายใตจ้ ักรวรรดนิ ยิ มอังกฤษประมาณ ศตวรรษท่ี 20
เพื่อปลดแอกจากการปกครองของอาณานิคม หลักการศาสนาอิสลามจึงเริ่มนำมาใช้และกลายเป็น
สัญลักษณ์ที่สำคัญของประเทศน้ีภายใต้ดำเนินงานการบริหารและการปกครองดังกล่าว บรูไนจึงนำ
แนวทางอิสลามเพื่อเรียกร้องถึงสถานภาพในการปกครองตัวเองข้ึนในปี1959 และเป็นเอกราชอย่าง
สมบูรณ์ในปี 1984 วิธีการ ดังกล่าวนับเป็นหนทางแหง่ ศาสนาที่บรูไนไดน้ ำมาใชเ้ พื่อปกป้องสถาบนั ท่ี
สำคัญของรัฐในประเทศตนเอง ด้วยเหตุดังกล่าวน้ีอาจกล่าวได้ว่าบรูไนนับเป็นประเทศที่มีความเป็น
หนึ่งทางด้านการเมืองด้วยกับการรักษาโครงสร้างและรูปแบบระบบการบริหารรัฐของตนเอง
ตลอดจน วัฒนธรรมทางการเมอื งและการบริหารภายใต้วัฒนธรรมมลายู มีหลักการศาสนาอิสลามโดย
107
การมีระบบสลุ ตา่ นเป็นผู้นำสงู สุดของประเทศและศาสนาอสิ ลามเปน็ ศาสนาประจำชาติท้ังหมดเหล่านี้
คือแนวทางอย่างดีในการบรหิ ารประเทศและเป็นรัฐสวัสดกิ ารให้กับประชาชนชาวบรูไนนั้นเอง
อสิ ลามการเมืองและหลักการบริหารรัฐตามแนวคดิ “ราชาธปิ ไตยอิสลามมลาย”ู
บรูไนดารุสซาลามเป็นรัฐเล็กๆ ในเกาะบอร์เนียวมีระบบการปกครองแบบ
สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ตามรูปแบบของอิสลามมาเลย์ (Islamic-Malay) ซึ่งตามระบบการปกครอง
แบบนี้สุลตา่ นเปน็ ทั้งประมุขพร้อม ๆ กบั การเป็นประมุขทางศาสนา ดังนั้นสุลต่านฮัสซานัล โบลเกียร์
เป็นท้ังผู้นำสูงสุดทางศาสนาและประมุขทางการบริหารการปกครองประเทศ สุลต่านคัดเลือก
คณะรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของชาติซึ่งส่วนใหญ่เป็นสมาชิกภายในครอบครัวและคนใกล้ชิด
(จรัญ มะลูลีม กิติมา อมรัทต และพรพิมล ตรีโชติ, 2539, น.234) อาจกล่าวได้ว่า กระบวนการทาง
การเมืองของประเทศบรูไนดารุสซาลามไม่มคี วามซับซ้อนอะไรมาก จากประเทศทม่ี ีอาณาเขตไม่กว้าง
และมีประชากรไม่ถึงคร่ึงล้าน จึงเป็นเรื่องไม่ยากที่จะควบคุมและ ดูแลบริหารจัดการบ้านเมืองกอร
ปกับบรูไนดารุสซาลามได้จัดสวัสดิการและการกระจายรายได้อย่างทั่วถึง ปัญหาภายในจึงไม่ค่อยได้
เห็นมากนัก ขณะที่กระบวนการอิสลามทางการเมืองข้ึนอยู่กับเจตนารมณ์ขององค์สุลต่านเป็นสำคัญ
แต่ในแง่ของโครงสร้างทางการเมืองพบว่าอิสลามมี อิทธิพลอย่างสูงต่อการกำหนดทิศทางทาง
การเมอื งและการบริหารประเทศของบรไู นดารสุ ซาลาม
สำหรับอุดมการณท์ างการเมืองและการบรหิ ารกจิ การแหง่ รัฐสลุ ต่านบรูไนดารสุ ซาลามนั้น ได้
เน้นย้ำถึงอุดมการณ์หรือแนวคิดที่เรียกกันว่า “Melayu Islam Beraja” (MIB) ซึ่งเป็นอุดมการณ์
แห่งรัฐอันประกอบไปด้วย ภาษาและวัฒนธรรมมลยู ศาสนาอิสลามและการเมืองการปกครองใน
ระบอบราชาธิปไตยซึ่งสมเด็จพระราชาธิบดีหรือองค์สุลต่านทรงเป็นผู้ปกครอง ซึ่งองค์สุลต่านฮัส
ซานัล โบลเกียห์ ได้นำแนวความคิดน้ีมาเป็นอุดมการณ์หลักในการบริหารและปกครองประเทศ โดย
ได้ให้คำอธิบายเอาไวว้ ่ามันเป็นความพยายามกลับไปสู่รากฐานของชาติอุดมการณน์ ี้เตม็ ไปด้วยหน้าที่
ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นในการใช้เพื่อปกป้องศาสนาอิสลามแบบเคร่งครัดตามหลักคัมภีร์และจากภัย
คุกคามภายนอกและเพ่ือสร้างความชอบธรรมแก่ระบบสมบูรณาญาสทิ ธิราชย์ของบรูไนเอง โดยมีการ
เชือ่ มโยงแนวความคิดแบบอนุรักษ์นิยมของอิสลามกับวัฒนธรรมด้ังเดมิ แบบมลายูที่มรี าชาธิปไตยเป็น
ศูนย์กลางอีกท้ังเป็นการกำหนดให้เป็นหลักสูตรการศึกษาที่นับเป็นวิชาบังคับของประเทศทั้งระดับ
โรงเรียนและระดับอุดมศึกษาอีกด้วย Melayu Islam Beraja (MIB) ภายใต้ โครงสร้างแห่งการดำ
เนินการภายใต้แนวทางแห่งกฎหมาย
ต้ังแต่เดือนกรกฎาคมปี1990 ในการครองอำนาจภายใต้ระบบสุลต่านของประเทศบรูไน
เนื่องในโอกาสครบรอบ 44 ปีน้ันการนำเสนอแนวความคิดและมีการเปิดประเด็นอุดมการณ์ของรัฐ
ภายใต้ “Melayu Islam Beraja (MIB)” หรือ Malay Islam Monarchy “ราชาธิปไตยอิสลามมลายู”
ได้มีการแถลงออกมาอย่างชัดเจนเหมือนท่ีได้นำเสนอไวข้างต้น การนำเสนอแนวความคิดดังกล่าวนั้น
ไม่ไดเ้ ป็นนวตักรรมใหม่แห่งการบริหารการปกครองของประเทศภายใต้แนวทางการบรหิ ารกิจการ รัฐ
สลุ ตา่ นแหง่ น้ีทว่ามนั คือสงิ่ ทเี่ กิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องตั้งแตป่ ระเทศได้รบั เอกราชจากอาณานิคม เพราะ
108
มันคือพ้ืนฐานแห่งรัฐท่ีประเทศบรูไนได้นำเสนอและปรับใช้กันมาโดยตลอดอย่างยาวนาน อุดมการณ์
ดังกลา่ วไดม้ ีการนำเสนอและวางเปน็ หลักการผ่านระบบการปกครองอย่างเปน็ ทางการของประเทศมา
ต้ังแต่ต้น ด้วยหลักการของแนวความคิดดังกล่าวบรูไนจึงกลายเป็นประเทศที่ดำเนินการผ่าน
แนวความคิดชาติพันธุ์ของประชาชนผ่านวัฒนธรรมของชาวมาเลย์เป็นหลักภายใต้หลักการปกครองที่
ยึดถอื ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาของประเทศและการเคารพภักดีภายใตเ้ งื่อนไขแห่งระบบราชาธิปไตย
ในการปกครองประเทศการใช้แนวความคิดดังกล่าวภายใต้โครงสร้างแห่งรัฐด้วยการใช้ราชาธิปไตย
อิสลามมลายู “Malay Islamic Monarchy” หรือ Malayu Islam Beraya (MIB) เป็นเครื่องมือของ
รัฐภายใต้ระบบสุลต่านในการปกครองภายใต้แนวความคิดหลักการของระบบการปกครองแบบ
อสิ ลามดว้ ยการใชว้ ัฒนธรรมมาเลย์และรูปแบบการปกครองผ่านประเพณแี หง่ ระบบราชาธิปไตย
การเกดิ ขนึ้ ของแนวความคิด MIB น้ันเปน็ แนวความคิดพ้ืนฐานของบรูไนนับตั้งแต่การเกิดข้ึน
ของระบบสุลต่านในประเทศประมาณศตวรรษที่ 14และได้นำมาเกี่ยวพันกับหลักกฎหมาย ของ
ประเทศภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญครั้งแรกที่ได้มีการร่างข้ึนในปี1959 โดยการเชื่อมโยงและระบุไป
ถึงภาษาประจำชาติของประเทศนั่นก็คือ ภาษามาเลย์เป็นหลักศาสนาประจำชาติคือศาสนาอิสลาม
และการปกครองในระบบสุลตา่ นนับเปน็ แนวทางการปกครองท่สี ำคัญทส่ี ุดใช้ในการบรหิ ารการจัดการ
ของรัฐ” (Government of Brunei Darussalam, 1988, p.21) แนวความคิดพื้นฐานเหลา่ นี้ได้มีการ
ดำเนนิ การเรอ่ื ยมาจนกระทั่งประเทศได้รบั อิสรภาพจากอาณานิคม ในปี1984และ สุลต่านได้ประกาศ
ว่าประเทศบรูไนนั้นคือ Negara Melayu Islam Beraja (a Malay Islamic Monarchical State)
(เมืองแห่งวัฒนธรรมมลายูภายใต้ศาสนาอิสลามโดยมีองคส์ ลุ ต่านเป็นผู้ปกครองสูงสุดแห่งรัฐ) ซึ่งในปี
1984 สุลต่านไดก้ล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับอิสรภาพของประเทศบรูไนว่าเป็นประเทศที่มีอำนาจ
อธิปไตยเป็นของตัวเอง เป็นอิสระจากการเป็นประเทศอาณานิคมของจักรวรรดิและเป็นประเทศ
ประชาธิปไตยเชื้อสายมาเลย์ที่ดำรงไว้ภายใต้หลักการแห่งอิสลามในระบอบการปกครองแบบสุลต่าน
และการอบรมจริยธรรมและคุณธรรมของพลเมืองในประเทศใต้คำสอนและหลกั การอิสลาม
รัฐราชาธิปไตยอิสลามมลายู หรือ Negara Melayu Islam Beraja (a Malay Islamic
Monarchical State) น้ันมอี งคป์ ระกอบต่าง ๆ ภายใต้แนวความคิดท่เี รารู้จักกันดีว่าได้ให้ความสำคัญ
กับคุณคา่ ทางดา้ นวิถวี ัฒนธรรมมลายูมีศาสนาอิสลามเป็นแนวทางในการดำเนินชวี ติ ของพลเมือง และ
มีระบอบการปกครองของประเทศนั้น ภายใต้ระบบราชาธิปไตยโดยมีสุลต่านเป็นประมุขสูงสุด ดังท่ี
Siddique (1985, p.101)ได้กล่าวอ้างถึงพระราชดำรัสขององค์สุลต่านเอาไว้ในการประชุมสุด ยอด
คนหนุ่มสาวมุสลิมที่ได้จัดขึ้นในเดือนมีนาคม 1984 ที่พระองค์ได้ทรงนำเสนอและมุ่งเน้นความสำคญั
ของศาสนาอิสลามไว้อย่างน่าสนใจว่า “ข้าพเจ้าขอขอบคุณอัลลอฮฺที่ได้กำหนดให้ประเทศบรูไนดารุส
ซาลามเป็นประเทศอิสลามตั้งแต่ศตวรรษท่ี14 ด้วยเหตุผลดังกล่าวบทบาทของศาสนาอิสลามน้ันได้
เข้ามามีความสำคัญกับวิถีชีวิตของพวกเราจนถึงปัจจุบันผ่านการพยายามของสุลต่านคนแรกของเรา
ในประเทศนี้และนี่คือความตั้งใจของข้าพเจ้าในการที่จะสนับสนุนให้รัฐบาลของข้าพเจ้าเพื่อใช้
แนวทางอิสลามในการดำเนินการด้วยแนวทางของอะลิสสุนนะวัลญามาอะฮ์ (Ahli Sunnah Wal
109
Jamaah กลมุ่ ผู้ศรทั ธาที่เจรญิ รอยตามแนวทางของท่านศาสดานบีมฮู ัมมัด) เพือ่ ใช้เป็นแนวทางในการ
ดำเนินชีวิตและเป็นพ้ืนฐานในการบริหารกิจการงานของรัฐบาลภายใต้กิจการของรัฐ” ดังน้ันแนวคิด
ของ MIB น่ันก็คอื ปรัชญาการบรหิ ารการจัดการของรฐั ในประเทศบรูไนดารุสซาลามน้ันเอง
กฎหมายอสิ ลามกบั การบริหารรัฐของบรไู น
อันที่จริงแล้วกฎหมายอิสลามหรือกฎหมายชารีอะห์ (Shari’ah) นั้นคือประมวลข้อกฎหมาย
ทม่ี าจากหลักคำสอนของศาสนาและหลักนิติศาสตร์พนื้ ฐานของศาสนาอิสลาม โครงสรา้ งทางกฎหมาย
จะครอบคลุมวิถีการดำเนินชีวิตของบุคคลและสาธารณชนตลอดจนครอบคลุมด้านต่าง ๆ ใน
ชีวติ ประจำวนั ทงั้ ระบบการปกครอง ระบบเศรษฐกจิ ระบบการดำเนนิ ธุรกจิ ระบบการธนาคาร ระบบ
ธุรกรรมหรอื ทำสัญญาความสัมพันธ์ในครอบครวั หลกั การอนามัยปัญหาของสังคมและอ่นื ๆ ด้วยเหตุ
น้ี บ ท บ า ท ข อ ง ห ล ั ก ชา ร ีอ ะห ์ หร ื อ ก ฎห ม าย อ ิ สลา ม นั้ นจ ึง ม ี อ ยู่ ใ ห้ เห ็น เ สม อ ใ น พ ฤ ต ิก ร รม ก ารใช้
ชีวิตประจำวันของมุสลิมแต่ละคนต้ังแต่เกิดจนตาย ก่อนจะยกมาเป็นระดับครอบครัว ระดับท้องถิ่น
และระดับชาติ
กฎหมายอิสลามหรือชารีอะห์น้ันมีความมุ่งที่จะคุ้มครองมนุษย์ใน 5 ประการด้วยกัน ได้แก่
ศาสนา ชีวิต สติปัญญา เชื้อสาย และทรัพย์สิน รวมถึงรักษาสิทธิส่วนบุคคลและสิทธิประโยชน์
ส่วนรวมตลอดจนการจัดระเบียบสังคมทุกระดับให้เป็นไปตามครรลองที่ถูกต้องและเป็นธรรม การ
ปฏิบัติตามกฎหมายอิสลามมีผลทำให้บุคคลมีความเป็นปกติสุขและสังคมโดยรวมเกิดความสงบ
เรียบร้อย กฎหมายชารีอะหน์ ี้น้ันได้สาระมาจากพระคัมภรี ์อัลกุรอานและแนวทางของท่านศาสดานบี
มุฮัมมัดที่ช้ีนำทุกคนให้พึงปฏิบัติต่อพระเจ้าพึงปฏิบัติต่อตัวเองและพึงปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
โดยนำอัลกุรอานมาใช้อ้างอิงเป็นหลักฐานลำดับแรก หากพบตัวบทปรากฏอย่างชัดเจนก็ไม่จำ เป็น
ต้องค้นหาหลักฐานจากอัสสุนนะห์หรือแนวปฏิบัติของท่านศาสดานบีมูฮัมมัด แต่ถ้าไม่พบหลักฐาน
จากอัลกุรอานหรือพบหลักฐานแต่หลักฐานไม่ชัดเจนหรือพบหลักฐานแต่หลักฐานไม่มีรายละเอียด
มาก สามารถไปค้นหาจากอัสสุนนะห์เพื่อนำมาประกอบการตัดสินปัญหา หรือขยายเพิ่มเติมได้โดย
แหล่งทมี่ าทง้ั สองนเี้ ป็นสงิ่ ที่ไมอ่ าจเปลี่ยนแปลงแก้ไขแม้กาลเวลาจะผ่านไป
ก่อนหน้านี้บรูไนยังคงใช้หลักกฎหมายอังกฤษเนื่องจากในอดีตน้ันอยู่ภายใต้อารักขาของ
ประเทศอังกฤษมาเป็นระยะเวลายาวนาน สำหรับชาวมุสลิมใช้กฎหมายชารีอะห์แทนกฎหมายแพ่งใน
หลายสาขา โดยรฐั ธรรมนูญของบรูไนในปจั จบุ ันได้กำหนดให้สมเดจ็ พระราชาธบิ ดหี รือองค์สุลต่านน้ัน
ทรงเป็นองค์อธิปัตย์น้ันก็หมายถึงว่า พระองค์ทรงเป็นท้ังประมุขและนายกรัฐมนตรีซ่ึงสมเด็จ
พระราชาธบิ ดหี รือสลุ ต่านองค์ปัจจุบันก็คือฮัสซานัล โบลเกียห์ ซ่งึ ทรงเปน็ สมเด็จพระราชาธิบดีองค์ท่ี
29 ของรฐั สลุ ต่านแห่งบรูไนดารุสซาลามนี้ที่ได้ทรงขึ้นครองราชย์มาต้ังแต่ปี1967 เปน็ ตน้ มาน้ันยังทรง
ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอีกด้วย
นอกจากน้ีแล้วองค์สุลต่านพระองค์น้ีได้ทรงวางแผนบริหารกิจการบ้านเมืองด้วยหลักการทางศาสนา
อิสลามเป็นพิเศษ เพื่อปลูกฝังให้ลูกหลานของชาวบรูไนยึดถือวัฒนธรรมอันดีงามตามแบบแผนของ
ศาสนาอิสลาม ซึ่งองค์สุลต่านเองก็ทรงเป็นแบบอยา่ งของมุสลิมทีด่ ีอยู่เสมออีกด้วย (วิทย์บณั ฑิตกุล,
110
2555, น.32) อย่างไรก็ตามเจตนารมณ์ของการบรหิ ารกจิ การบ้านเมืองภายใต้การนำขององค์สุลต่าน
ฮัสซานัล โบลเกียห์ แห่งบรูไนดารุสซาลามนั้นได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่อีกครั้งหน่ึงในช่วงต้นปี2014
กล่าวคือองค์สุลต่านหรือสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนพระองค์นี้ทรงประกาศให้กฎหมายอาญา
อิสลามใหเ้ ริ่มมผี ลบังคับใช้ในระยะแรกอย่างเป็นทางการต้ังแต่วันท1่ี พฤษภาคม 2014 เปน็ ต้นมา ซ่ึง
ตามรัฐธรรมนูญของบรูไนนั้นองค์สุลต่านทรงมีพระราชอำนาจในการมีพระราชวินิจฉัยให้บังคับใช้
กฎหมายไดเ้ พ่ือให้เกิดสันตสิ ุขแก่ประชาชนชาวบรูไนนั้นเองและกฎหมายอาญาอิสลามของบรูไนนี้น้ัน
ไม่ได้มาทดแทนกฎหมายอาญาท่ัวไปที่มีอยู่เดิมแต่อย่างใด กล่าวคือจะบังคับใช้ควบคู่กันกับกฎหมาย
อาญาทวั่ ไป โดยเม่อื พบผู้กระทำความผิดจะมีกระบวนการพิจารณาว่าจะถูกดำเนนิ คดีดว้ ยกฎหมายใด
ในพระราชดำรัสขององค์สุลต่านหรือสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนในพิธีประกาศบังคับใช้
กฎหมายอาญาอิสลามเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2014 (จดหมายข่าวบันดาร์ฯ.Vol.5/2014) มีใจความ
ตอนหนึ่งว่าการบงั คบั ใช้กฎหมายดังกล่าวนี้น้ันถอื เปน็ การฟ้ืนฟูกฎหมายอาญาอิสลามซ่ึงครั้งหนึ่งเคยมี
การบังคับใช้มาแล้วในบรูไนเมื่อหลายศตวรรษที่ผ่านมาและเป็นหน้าที่ของพระองค์ที่จะต้องทำใหม่
การบังคับใช้กฎหมายของอัลลอห์จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งใจดำเนินการเพื่ออัลลอห์โดยไม่
ลังเลใจ นอกจากนี้ยังทรงมีพระราชดำรัสต่อประเด็นเสยี งวิพากษ์วิจารณ์จากส่ือต่างชาติและกลุ่มสิทธิ
มนุษยชนว่าบรูไนไม่เคยมองผู้อื่นหมายถึงต่างชาติในแง่ลบต่อการทำกระทำใด ๆ ของผู้นั้นเพราะถือ
เป็นสิทธิ์ในการเลือกและบรูไนไม่ได้คาดหวังที่จะให้ผู้อื่นยอมรับและเห็นด้วยกับบรูไน แต่ผู้อ่ืนก็ควร
เคารพในสิทธิในการเลือกบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวของบรูไน ดังที่บรูไนให้ความเคารพต่อสิทธิของ
ผู้อืน่ การบงั คบั ใช้กฎหมายอาญาอิสลามเป็นไปตามพระประสงค์ของอัลลอห์ซ่ึงถือเป็นท่ีสุดไม่มีความ
เกี่ยวข้องกับทฤษฎีใด ๆ ทั้งน้ีทรงยินดีที่ประชาชนชาวบรูไนให้การสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมาย
อาญาอิสลามในบรไู นให้การสนับสนุนการบังคับใชก้ ฎหมายอาญาอสิ ลามในบรไู นอย่างเต็มรปู แบบ
สำหรับระยะเวลาในการบังคับใช้กฎหมายอาญาอิสลามหรือชารีอะห์ในบรูไนน้ัน มีการ
ดำเนนิ การเปน็ 3 ระยะด้วยกนั (จดหมายข่าวบันดารฯ์ .Vol.4/2014) ซง่ึ จะทยอยบังคบั ใช้เป็นระยะๆ
จนเสร็จสมบูรณ์ภายในสองปีดังน้ีคือในระยะแรกคือเมื่อกฎหมายชารีอะห์น้ีมีผลบังคับใช้เป็นท่ี
เรียบร้อยแล้ว (1 พฤษภาคม 2014) กล่าวคือหกเดือนหลังจากการประกาศในราชกิจจานุเบกษา
กฎหมายนี้จะบังคับใช้ในคดีที่ว่าด้วยความผิดทั่วไปในความผิดสถานเบา ตัวอย่างเช่น การที่ผู้ชาย
มุสลิมไม่ไปละหมาดวันศุกร์การไม่เคารพวัตรปฏิบัติของมุสลิมในเดือนรอมฎอน การประพฤติไม่
เหมาะสมในที่สาธารณะ โดยจะยังไม่บังคับใช้กับความผิดที่มีบทลงโทษด้วยการเฆี่ยนหรือ ประหาร
ชีวิต แต่ที่มีบทลงโทษปรับหรือจำคุก และในระยะที่สอง คือ หลังจาก 12 เดือนของวันที่ ประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษา (ณ ที่นี้คือตั้งแต่วันที่1 พฤศจิกายน 2014) จะบังคับใช้กับความผิดที่มีบทลงโทษ
ตามท่ไี ดร้ ะบเุ อาไว้ในคัมภีร์อัลกรุ อานและแนวทางของท่านศาสดานบีมูฮัมมดั หรือ อัสสนุ นะห์แต่ยังไม่
บงั คบั ใช้กับความผดิ ท่ีมโี ทษประหารชีวติ ตัวอย่างเช่น ความผดิ ประเภทลักขโมย มีบทลงโทษด้วยการ
ตัดมือเปน็ ตน้ สำหรับในระยะทสี่ าม หลังจาก 24 เดือนของวันทีป่ ระกาศในราชกจิ จานุเบกษา (ณ ที่น้ี
คือต้ังแต่วันท่ี1 พฤศจิกายน 2015)จะมีผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งรวมถึงความผิดที่มีโทษ
111
ประหารชีวิตด้วย ซ่ึงถือว่าเป็นความผิดร้ายแรงอาทิเช่น ปลน ผิดประเวณีการมีเพศสัมพันธ์ระหว่าง
ชายกบั ชายหรอื หญิงกับหญิง การฆา่ ผู้อื่นโดยเจตนา ซ่ึงประเภทความผิดเหลา่ นี้น้ันจะมโี ทษถึงขั้นการ
ประหารชีวติ เป็นตน้
กฎหมายชารีอะห์ของบรูไนได้กำหนดกรอบการบังคับใช้และประเภทของความผิดให้กับ
ประชาชนในบรูไนเอาไว้ 3 กลุ่มด้วยกัน (จดหมายข่าวบันดาร์ฯ.Vol.4/2014) ได้แก่กลุ่มที่1 บังคับใช้
เฉพาะเพียงชาวมุสลิมเท่าน้ัน เช่น การละทิ้งศาสนาอิสลาม การเคารพบูชาลัทธิหรือเทพเจ้าอื่น
นอกเหนือจากศาสนาอิสลาม การไม่ถือศีลอดในเดือนรอมฎอน เป็นต้น กลุ่มท่ี2 บังคับใช้ทั้งชาว
มุสลิมและผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม เช่น ความผิดในการลักขโมยการปล้น การฆาตกรรม การทำร้ายร่างกาย
ผู้อื่น การดูหมิ่นศาสดามูฮัมหมัดและคัมภีร์อัลกุรอาน การไม่เคารพวัตรปฏิบัติของชาวมุสลิมในเดือน
รอมฏอน เชน่ การดื่มหรือรับประทานอาหารในทส่ี าธารณะในชว่ งกลางวันของเดือนรอมฎอน การด่ืม
สุราในที่สาธารณะการประพฤติไม่เหมาะสมในที่สาธารณะ เช่นการสัมผัสและการแสดงความรักด้วย
การกอดหรือจุมพิต เป็นต้น สำหรับในกลุ่มที่3 คือความผิดที่ผู้ทีไม่ใช่มุสลิมต้องรับโทษด้วยหากมี
ความเกี่ยวโยงกับมุสลิม เช่น การผิดประเวณีกับชายหรือหญิงที่เป็นมสุ ลิม การอยู่ใกล้ชิดกับชายหรือ
หญิงที่เป็นชาวมุสลิมในสถานที่ลับตาคน เป็นต้น อย่างไรก็ตามประมวลกฎหมายอาญาอิสลามนับว่า
เป็นกฎหมายที่ถูกบัญญัติไว้ในคัมภีร์อัลกุรอานโดยให้ความสำคัญเป็นอย่างย่ิงกับกระบวนการพิสูจน์
ความผิดของผู้กระทำผิดที่มีบทลงโทษร้ายแรงจะเน้นพยานบุคคลซึ่งเห็นการกระทำความผิดด้วยตา
อย่างชัดเจนจะต้องไม่ใช่เป็นการคาดเดา หากในกรณีเงื่อนไขของการพิสูจน์หลักฐานความผิดไม่
ครบถ้วนตามหลกั การศาสนาอสิ ลาม ความผิดดังกลา่ วกจ็ ะถกู นำไปสู่การพิจารณาด้วยกฎหมายท่ัวไป
สำหรับจำนวนของพยานบุคคลสำหรับการพิสูจน์ความผิดในด้านต่าง ๆ ได้กำหนดเอาไว้
แตกต่างกันไปแล้วแต่เฉพาะกรณีตัวอย่างเช่น การลักขโมย ปล้น ฆ่า หรือการกล่าวหาผู้อ่ืนว่ากระทำ
ผดิ ประเวณกี ารดื่มสรุ า และการละทิง้ ศาสนาอสิ ลามจะตอ้ งมปี ระจักษ์พยานท่ีมีความยุตธิ รรมเพศชาย
จำนวน 2 คน ในกรณีความผิดเรื่องการข่มขืน การผิดประเวณีการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายกับชาย
หรือหญิงกับหญิงจะต้องมีประจักษ์พยานที่มีความยุติธรรม เพศชาย 4 คน แต่หากเป็นความผิดกรณี
การทำร้ายร่างกายนอกเหนือที่จะต้องประจักษ์พยานที่เป็นเพศชาย 2 คนที่มี ความยุติธรรมแล้วก็จะ
รวมถึงคำให้การของผู้ถูกกระทำ หรือเหยื่ออีกด้วยในส่วนของบทลงโทษนั้นโดยทั่วไปแล้วจะแบ่งได้
ออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือ ประเภทแรก เป็นบทลงโทษที่มีการกำหนดเอาไว้ในคัมภีร์อัลกุรอาน
และอัสสุนนะห์แนวทางของท่านศาสดานบีมูฮัมมัดซ่ึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงบทลงโทษได้อาทิเช่น
บทลงโทษในความผิดฐานลักขโมยผิดประเวณีเปลี่ยนศาสนา ฆ่าคนตายโดยเจตนา เป็นต้น ซ่ึง
บทลงโทษประเภทนี้ในกฎหมายชารีอะห์จะเรียกว่าบทลงโทษ Hudud สำหรับบทลงโทษอีกประเภท
หนึ่งเรยี กกันตามกฎหมายชารีอะหว์ ่าบทลงโทษ Ta’zir ซ่งึ เปน็ บทลงโทษที่ไม่ได้มีการกำหนดเอาไว้ใน
คัมภีร์อัลกุรอานและอัสสุนนะห์โดยบทลงโทษ ประเภทน้ีขึ้นกับดุลพินิจของศาลในการพิจารณาและ
กำหนดบทลงโทษผู้กระทำผิด ดังนั้นอาจกล่าว ได้ว่าบทลงโทษท้ังสองประเภทข้างต้นนั้นย่อมมีท้ัง
รนุ แรงและไมร่ นุ แรงแตกต่างกันซ่ึงขนึ้ อยู่กับว่าเปน็ ความผิดทีร่ นุ แรงมากน้อยเพยี งไหนน้ันเอง
112
ในกฎหมายอาญาอิสลามของบรูไนท่ีบังคับใช้มาตั้งแต่วันท1ี่ พฤษภาคม 2014 น้ันได้กำหนด
บทลงโทษสำหรับความผิดร้ายแรงเอาไว้หลายความผิดด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น การลักขโมยมี
บทลงโทษด้วยการตัดมือการผิดประเวณีกับผู้ที่แต่งงานมีสามีหรือภรรยามโี ทษปาหินจนเสียชีวิต หาก
ผิดประเวณีกับผู้ท่ียังไม่แต่งงานหรือแต่งงานแล้วแต่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์กับคู่สมรส มีโทษด้วยการ
เฆี่ยน 100 ครั้ง และจำคุก1 ปี การดื่มสุรา มีโทษเฆี่ยน 40ครั้งหากผู้กระทำผิดน้ันเป็นมุสลิมแต่
สำหรับผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมดื่มสุราในที่สาธารณะมีโทษแค่ปรับเท่าน้ัน อย่างไรก็ตามในระยะแรกของการ
บังคบั ใชก้ ฎหมายอาญาอิสลามของบรไู นนั้นบทลงโทษในลักษณะดังกล่าวนี้ยังไมไ่ ด้ถูกนำมาใช้แต่คาด
ว่าในปลายปี2015 ซึ่งเป็นระยะที่ 3ของการบังคับใช้กฎหมายนี้จะถูกนำมาบังคับใช้อย่างแน่นอน ซ่ึง
หากบรูไนบังคับใช้กฎหมายอาญาอิสลามอย่างเต็มรูปแบบได้ตามที่กำหนดจะเป็นประเทศมุสลิม
ประเทศแรกในโลกที่มีการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวอย่างเต็มรูปแบบ ในขณะที่ประเทศมุสลิมใน
ตะวันออกกลาง ซ่ึงแม้มีกฎหมายชารีอะห์มาช้านานแล้วก็ตาม แต่การบังคับใช้อย่างจริงจังและระดับ
การบงั คบั ใช้จะแตกตา่ งกนั ไปโดยยังไม่มีประเทศใดเลยท่ีมกี ารบังคบั ใช้กฎหมายนี้อย่างเต็มรปู แบบ
นอกจากนี้พร้อมกันกับการบังคับใช้กฎหมายอาญาอิสลามหรือชารีอะห์ของบรูไนในคร้ั งนี้
บรูไนก็ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายภายใต้เขตอำนาจของศาลชารีอะห์หรือศาลศาสนาจำนวน 3
ฉบับได้แก่พระราชบัญญัติสภาศาสนาและศาลยุติธรรม (Religious Council and Kadis Courts
Act) มาตรา 77 พระราชบัญญตั ศิ าลศาสนา (The Syariah Courts Act) มาตรา 184 และกฎระเบยี บ
ว่าด้วยหลักฐานศาลศาสนา (Syariah Courts Evidence Order) และยังได้มีการต้ังคณะกรรมการ
ควบคุมดูแลกฎหมายอาญาอิสลามหรือกฎหมายชารีอะห์ 2 คณะด้วยกันได้แก่คณะกรรมการ
ดำเนินงานสำหรับการบังคับใช้กฎหมายตามราชกิจจานุเบกษาและคณะกรรมการเพื่อตอบค ำถาม
เกีย่ วกบั กฎหมายอาญาอิสลามหรอื กฎหมายชารอี ะห์นี้นั้นเอง
บรรณานกุ รม
จรญั มะลูลีม กติ ิมา อมรัทต และพรพิมล ตรีโชติ. (2539). ไทยกับโลกมุสลมิ : ศกึ ษาเฉพาะกรณี
ชาวไทยมุสลิม. กรุงเทพฯ: สถาบันเอเชียศึกษา.
นิชานท์ สงิ หพุทธางกูร. (2556).ระบบการปกครองท้องถนิ่ ของประเทศเนอการาบรูไนดารสุ ซสลาม,
กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกลา้ .
วทิ ย์ บณั ฑติ กุล. (2555). เนการาบรไู นดารุสซาลาม, กรุงเทพฯ: สำนักพมิ พ์สถาพรบุ๊คส์.
สามารถ ทองเฝอื . (2550). “เนการาบรไู นดารุสซาลาม” ในวารสารเอเชียรายปี2550/2007,
กรงุ เทพฯ: สถาบนั เอเชยี ศึกษา จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สถานเอกอคั รราชทูต ณ บันดารเ์ สรีเบกาวัน ,จดหมายข่าวบันดารฯ์ . ฉบับเดอื นเมษายน 2557
(Vol.4/2014).
สถานเอกอัครราชทตู ณ บันดารเ์ สรเี บกาวัน.จดหมายขา่ วบันดาร์ฯ. ฉบบั เดอื นพฤษภาคม 2557
(Vol.5/2014).
113
Braighlinn,G. (1992). Ideological Innovation under Monarchy: Aspects of
Legitimation Activity in Contemporary Brunei. Amsterdam: VU University.
Michael Leiter. (2001). Dictionary of the Modern Politics of South-East Asia.
3rdedition. London: Routledge.
Siddique. (1985). Negara Brunei Darussalam : A New Nation but an Ancient
Country. Southeast Asian Affairs. Singapore : Institute of Southeast Asian
Studies.
วเิ คราะหบ์ ทความ
หลังจากที่ทางการบรูไนที่นำโดยองค์สุลต่านสมเด็จพระราชาธิบดีฮัสซานัล โบลเกียร์ได้นำ
พาประเทศของพระองค์เข้าสู่การบังคับใช้กฎหมายชารีอะห์ซ่ึงเป็นการจัดระเบียบสังคมและการ
บริหารกิจการบ้านเมืองโดยยึดหลักการที่มาจากคัมภีร์อัลกุรอานและแนวทางของศาสดานบีมูฮัมมัด
นำมาบังคับใช้ภายในประเทศ ทำให้รัฐบาลบรูไนเองไดถ้ ูกวพิ ากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมากจากท้ังภายใน
และนอกประเทศแม้กระทั่งชาวบรูไนเองได้ทำการวิพากษ์วิจารณ์ผ่านส่ือสังคมออนไลน์เพราะพวกเขา
ไม่สามารถคดั คา้ นไดอ้ ยา่ งเปดิ เผย ในขณะทขี่ ้าหลวงใหญส่ ทิ ธมิ นุษยชนแหง่ สหประชาชาตไิ ด้ประณาม
กฎหมายชารีอะห์นั้นกับวิชาการและสื่อมวลชนต่างประเทศ ให้ความเห็นว่าสาเหตุที่องค์สุลต่าน
สมเด็จพระราชาธบิ ดีแหง่ บรูไนดารสุ สลามพระองคน์ ี้ทรง ประกาศใชก้ ฎหมายดังกล่าวอาจมาจากการ
ที่ทรงพระชนมพรรษามากขึ้น ทำให้ทรงเคร่งครัดในศาสนาอิสลามมากข้ึน นอกจากน้ีโดยที่ได้เกิด
เหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในหลายประเทศในตะวันออกกลางในชว่ งท่ีผา่ นมาการประกาศใช้
กฎหมายในลักษณะเขม้ งวดมโี ทษรุนแรงของบรูไนน้ีอาจเพ่ือเป็นการป้องปรามสิ่งท่ีอาจเป็นภัยคุกคาม
ต่อความมั่นคงและความสงบภายในประเทศนั้นเอง แต่อย่างไรก็ตามประชาชนชาวบรูไนเองก็คงมี
ความปรารถนาและมีความต้องการที่อยากจะเห็นประเทศของตนเองมีความสงบสุขและสันติสุขอย่าง
แท้จริงให้เกิดข้ึนทั้งในโลกนี้และในโลกหน้าอีกด้วยเหมอื นกับคำขวัญประจำชาตขิ องบรูไนเองที่กลา่ ว
เอาไว้ว่า “Always in service with God’s guidance” หรือ “น้อมรับใช้ตามแนวทางของพระเจ้า
(อลั ลอห)์ ” น้ันเอง
ผวู้ ิเคราะหบ์ ทความ
นางสาวอสั รนี า สืบพงษ์ รหสั นสิ ติ 631031451