รายงาน
เรอ่ื ง ววิ ัฒนาการของแบบเรยี นภาษาไทย
โดย
พระจริ ะพงศ์ โอภาเสกสรรค์ รหสั นกั ศกึ ษา ๖๓๑๐๕๔๐๑๓๑๐๐๔
นางสาวนิรชา สธุ นาภรณก์ ลุ รหัสนกั ศกึ ษา ๖๓๑๐๕๔๐๑๓๑๐๒๐
นางสาวพทุ รา ยอดศกั ดช์ิ าย รหัสนักศึกษา ๖๓๑๐๕๔๐๑๓๑๐๒๕
นางสาวภัทรียา ภูผาเวยี ง รหัสนักศึกษา ๖๓๑๐๕๔๐๑๓๑๐๒๖
นางสาวรชั นีพร รกั คีรสี กุลวงศ์ รหัสนักศกึ ษา ๖๓๑๐๕๔๐๑๓๑๐๓๐
เสนอ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
รายงานเลม่ นีเ้ ปน็ ส่วนหน่ึงของรายวิชาววิ ฒั นาการแบบเรยี นภาษาไทย
หลกั สูตรศกึ ษาศาสตรบัณฑติ สาขาวชิ าการสอนภาษาไทย
คณะศึกษาศาสตร์
มหาวิทยาลยั มหามกุฏราชวทิ ยาลัย วทิ ยาเขตลา้ นนา
ภาคการศึกษาท่ี ๑ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๕
ก
คำนำ
รายงานเลม่ นีจ้ ดั ทำขนึ้ เพอ่ื เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา วิวัฒนาการแบบเรียนภาษาไทย รหัสวชิ า GD ๑๐๓๓
เพื่อให้ได้ศึกษาหาความรู้ วิวัฒนาการแบบเรียนภาษาไทย โดยได้ศึกษาผ่านแหล่งความรู้ต่าง ๆ อาทิเช่น หนังสือ
ห้องสมุด และแหล่งความรู้จากเว็บไซต์ต่าง ๆ วิเคราะห์และเพื่อให้เข้าใจเนื้อหาของ วิวัฒนาการแบบเรียน
ภาษาไทยอยา่ งละเอียด
วิวัฒนาการแบบเรียนภาษาไทย แบบเรียนภาษาไทยสมัยอยุธยา แบบเรียนภาษาไทยสมัยรัตนโกสินทร์
ตอนตน้ แบบเรยี นหลวงของพระยาศรีสนุ ทรโวหาร และแบบเรยี นหลัง แบบเรียนหลวง แบบเรียนเร็ว
ขอขอบคุณ อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง ประจำรายวิชาและขอขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายท่ี
สนับสนุน ช่วยเหลือ และให้กำลังใจ จนผลงานประสบผลสำเร็จในครั้งนี้ ผู้จัดทำหวังว่า รายงานเล่มนี้จะมี
ประโยชน์ต่อนักเรียน ผู้อ่าน ที่สนใจในวิวัฒนาการแบบเรียนภาษาไทยหรืออยากหาแนวทางในการวิเคราะห์
วิวัฒนาการแบบเรียนภาษาไทย เพื่อเข้าใจถึงการศึกษาของคนไทยในสมัยก่อน หากผิดพลาดประการใด ผู้เขียน
กราบขอผ้รู ูช้ ว่ ยแนะนำต่อไป
คณะผจู้ ดั ทำ
๑๐ กันยายน ๒๕๖๕
สารบญั ข
เรอ่ื ง
คำนำ หน้า
สำรบญั ก
แผนกำรจดั กำรเรียนรทู้ ี่ ๑ วิวัฒนำกำรแบบเรียนภำษำไทย ข
๑
๑. ควำมหมำยของแบบเรียนภำษำไทย ๑
๒. โครงสร้ำงวิวัฒนำกำรกำรแบบเรยี นภำษำไทย ๒
๓. ควำมแตกต่ำงของแบบเรียนภำษำไทยในแตล่ ะยุค ๑๑
๔. สำเหตุของกำรเปลยี่ นแปลงแบบเรยี นภำษำไทย ๑๓
อำ้ งอิงทำ้ ยบท ๑๕
แผนกำรจดั กำรเรยี นร้ทู ี่ ๒ แบบเรียนภำษำไทยสมยั อยธุ ยำ ๑๖
๑. แบบเรยี นภำษำไทยสมัยอยุธยำ ๑๖
๒. ประวัตคิ วำมเป็นมำของหนังสือจนิ ดำมณี ๑๖
๓. โครงสร้ำงของหนงั สอื จินดำมณี ๑๗
๔. คณุ ค่ำของหนังสือจนิ ดำมณี ๑๙
อ้ำงองิ ทำ้ ยบท ๒๑
แผนกำรจดั กำรเรียนรทู้ ่ี ๓ แบบเรียนภำษำไทยสมยั รตั นโกสินทรต์ อนต้น ๒๒
๑.ประวัตคิ วำมเป็นมำ ๒๒
๒. หนังสอื ประถม ก.กำ และประถม ก.กำ หดั อำ่ น ๒๒
๓. สบุ ินทกุมำร ๒๗
๔. แบบเรียนประถมมำลำ ๒๘
๕. แบบเรยี นประถมจินดำมณเี ลม่ ๑ (ฉบบั พระโหรำธิบดี) ค
๖. แบบเรียนจินดำมณีเล่ม ๒
อ้ำงองิ ท้ำยบท ๒๙
แผนกำรจดั กำรเรียนรู้ท่ี ๔ แบบเรยี นหลวงของพระยำศรสี นุ ทรโวหำร ๓๐
๑. ประวัติควำมเปน็ มำ ๓๒
๒. เน้อื หำแบบเรยี นหลวง ๓๓
๓๓
๒.๑ มูลบทบรรพกจิ ๓๔
๒.๒ วำหนติ ิน์ ิกร ๓๔
๒.๓ อกั ษรประโยค ๓๖
๒.๔ สงั โยคพธิ ำน ๓๗
๒.๕ ไวพจนพ์ จิ ำรณ์ ๓๘
๒.๖ พิศำลกำรันต์ ๓๙
อำ้ งอิงท้ำยบท ๓๙
แผนกำรจัดกำรเรียนรูท้ ี่ ๕ แบบเรียนหลงั แบบเรียนหลวง : แบบเรียนเรว็ ๔๑
๑. ประวตั ิควำมเปน็ มำ แบบเรยี นเรว็ ๔๒
๒. แบบเรยี นเร็ว เล่ม ๑ ตอนต้น ๔๒
๓. แบบเรยี นเร็ว เล่ม ๒ ตอนกลำง ๔๓
๔. แบบเรียนเรว็ เลม่ ๓ ตอนปลำย ๕๑
อำ้ งอิงทำ้ ยบท ๕๗
บรรณำนกุ รม ๖๓
๖๔
แผนการจัดการเรียนรูท้ ี่ ๑
เร่อื ง ววิ ฒั นาการแบบเรยี นภาษาไทย
รายวชิ า ววิ ฒั นาการแบบเรยี นภาษาไทย
สัปดาหท์ ี่ ๑ วนั จันทร์ ที่ ๑๓ เดือน มถิ ุนายน พ.ศ. ๒๔๖๕ เวลา ๓ ชั่วโมง
๑. ความหมายของแบบเรียนภาษาไทย
“แบบเรียน” พจนานุกรมเวบสเตอร์ (Webster) นิยามว่า “แบบเรียนหมายถึงหนังสือท่ีบรรจุเนื้อหา
ตามหลักวิชา และกำหนดขึ้นเพื่อใชเ้ ปน็ หลกั สำหรบั การเรียนการสอนระหวา่ งนักเรียนกับครู”
พจนานุกรม คารเตอร์ วี.กูด (Carter V. Good) นิยาม “แบบเรียนหมายถึงหนังสือท่ีเกยี่ วกับการศึกษา
วิชาใดวิชาหนงึ่ โดยเฉพาะ มกี ารจัดเนื้อหาอย่างเป็นระบบ ม่งุ หมายที่จะใชเ้ ฉพาะการเรียน การสอนในระดบั ใด
ระดบั หนึ่ง และเปน็ ขอ้ มูลท่สี ำคัญในการเรยี นการสอน”
“แบบเรียนคือหนังสือที่มีเน้ือหาความรู้ หลักการและวิธีการเรียนการสอน ที่กำหนดขึ้นเพื่อใช้สำหรับ
การเรียนระดับช้ันใดชั้นหนึ่ง ฉะน้ันหนังสือแบบเรียนจึงหมายถึงหนังสือท่ีใช้ประกอบการเรียนในโรงเรียนทุก
สาขาวิชาการ และส่วนใหญ่จะจำกัดอยู่ในระดบั ประถมศึกษาและมัธยมศึกษา แต่ถ้าเป็นวิทยาการท่ีมีระดับสูง
มกั จะใช้คำว่า ตำรา
ตำราพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน ให้คำนิยามว่า ตำราคือแบบแผนที่ว่าด้วยวิชาการต่าง ๆ ฉะนั้น
ตำรา จึงหมายถึง หนังสือวิทยาการสาขาต่าง ๆ ที่ให้ความรู้เก่ียวกับวิทยาการสาขานั้น ๆ ในระดับสูง คือไม่
จำเปน็ ต้องใชใ้ นชัน้ เรียน และมีครคู อยเป็นพเ่ี ลย้ี งอธิบายความ๑
แบบเรียน หรือ ตำราเรียน น่าจะบัญญัตขิ น้ึ ใชใ้ นสมัยรชั กาลท่ี ๕ เมื่อมีการจัดการศึกษาอย่างเป็นระบบ
ข้ึนเป็นครั้งแรกในประเทศไทย นอกจากคำวา่ “ตำราเรียน” แล้ว ยังมีการใช้คำว่า “สมุดตำราเรียน” แทนคำ
วา่ แบบเรียนในสมยั น้นั ด้วย
แบบเรียน หมายถึง หนังสือท่ีมเี นอื้ หาความรู้ ใช้เป็นแบบสำหรบั การเรียนในโรงเรยี นของนักเรียนตั้งแต่
ระดับประถมศกึ ษาถงึ มัธยมศกึ ษา หากสูงกวา่ ระดบั มธั ยมศกึ ษาจะใช้คำวา่ “ตำราเรียน”
หนังสอื เรียนภาษาไทย หมายถึง หนงั สือท่ีมีเนือ้ หาความร้เู กย่ี วกบั วิชาภาษาไทย ที่มีความสอดคล้องกับ
หลักสตู รการศกึ ษา และเหมาะสมกบั ผเู้ รียนในแตล่ ะระดบั ช้ัน
๑ เบ็ญจวรรณ สุนทรากูล, (๒๕๒๔), ความหมายของคำว่าแบบเรียน (ออนไลน์), [สืบค้นเม่ือ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๕],
จากแหลง่ ท่มี า https://shorturl.asia/qsU7m
๒
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๒๕ ให้ความหมายไว้ว่า “ตำรา น.แบบแผนที่ว่าด้วยหลัก
วิชาต่าง ๆ ตำรับตำราก็ว่า ตำรับ (หรับ) น. ตำราที่กำหนดไว้เป็นเฉพาะแต่ละเรื่องละราย เช่นตำรับหอสมุด
แห่งชาติ ใบสงั่ ยา (ใชเ้ ฉพาะแพทยศาสตร์)” แต่ไม่มคี ำว่าแบบเรียนกำหนดไวใ้ นพจนานุกรมนี้
หนังสือเรียน (Textbooks) คือหนังสือที่มีเนื้อหาตามหลักสูตรท่ีกระทรวงศึกษาธิการกำหนดและ
กระทรวงศึกษาธิการออกใบอนุญาตรับรองวา่ ได้เรยี บเรียงเน้ือหาถูกตอ้ งตามหลักวิชามีความยากงา่ ยเหมาะสม
กบั ระดับชน้ั ลำดับขน้ั ตอนการเรยี นรเู้ หมาะสมตรงตามรายละเอยี ดของลกั ษณะวิชาที่กำหนดไวใ้ นหลกั สูตร ใช้
ภาษาส่ือความหมายและแนวคิดชัดเจนและเหมาะสมกับอั ตราเวลาเรียนที่กำหนดไว้ตามหลักสูตรระดับ
มัธยมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการกำหนดหนังสือเรียนภาษาไทยรายวิชาบังคับไว้ ๕ ชุด คือ หนังสือเรียน
ภาษาไทยชุดทักษะสัมพันธ์ หนังสือเรียนหลักภาษาไทย หนังสือเรียนภาษาไทยชุดทักษะพัฒนา หนังสือเรียน
ภาษาไทยชุดวรรณวิจักษณ์ หนังสือเรียนภาษาไทยชุดภาษาพิจารณ์ นอกจากหนังสือเรียนรายวิชาบังคับแล้ว
ยังมีหนังสือเรียนรายวิชาเลือก เช่น ภาษากับวัฒนธรรม วรรณคดีมรดก การพูด ประวัติวรรณคดี ฯลฯ ซ่ึง
กระทรวงศกึ ษาธิการเปิดโอกาสใหเ้ อกชนเขียน แลว้ พจิ ารณารับรองแล้วจงึ ประกาศให้ใช้ไดเ้ ปน็ ราย ๆ ไป๒
สรุป แบบเรียนคือหนังสือที่มีเนื้อหาความรู้ มีหลักการและวิธีการเรียนการสอน ท่ีกำหนดขึ้นเพื่อใช้
สำหรับการเรียนระดับชั้นใดชั้นหนึ่ง ฉะนั้นหนังสือ แบบเรียนจึงหมายถึงหนังสือที่ใช้ประกอบการเรียนใน
โรงเรียนทุกสาขาวชิ าการ และส่วนใหญ่จะจำกดั อยู่ในระดบั ประถมศึกษาและมัธยมศึกษา แตถ่ ้าเปน็ วทิ ยาการ
ท่ีมีระดบั สงู มกั จะใช้ค่าว่า “ตำรา”
๒. โครงสร้างวิวฒั นาการการแบบเรยี นภาษาไทย
๒.๑ สมยั สุโขทยั
๑) สำนกั สอนหนงั สอื สมัยสโุ ขทยั
การท่ีพ่อขุนรามคำแหงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๘๒๖ นั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้คน
ไทยในสมัยน้ันได้เล่าเรียนอักษรไทยกัน ฉะน้ันจึงต้องมีการเรียนการสอนอักษรไทยกันมากขึ้น ซ่ึงน่าจะ
สนั นษิ ฐานไดว้ า่ สำนกั สอนหนงั สือสมยั สุโขทยั มี ๒ แบบคือ
(๑) สำนักราชบณั ฑิต
ในสมัยสุโขทัยนั้นถึงแม้ว่าไม่พบหลักฐานใด ๆ ท่ีกล่าวถึงการเรียน การสอน แต่พอจะ
สันนิษฐานได้ว่าการเรียนในสมัยนั้นคงจะเป็นแบบต่างสำนักต่างจัดสอนกันเองคือสร้างแบบเรียนเอง
๒ กฤษณา สินไชย, (๒๕๒๔), ความรู้เบื้องตน้ เกี่ยวกับหนังสือเรียน (ออนไลน์), [สบื ค้นเมอ่ื ๓ สิงหาคม ๒๕๖๕], จาก
แหล่งท่มี า https://shorturl.asia/qNyL3
๓
แบบฝึกหัดอ่านเอง การท่ีพ่อขุนรามคำแห่งประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นมาใช้เป็นแรงผลักดันให้ชนชั้นสูงต้องเรียนรู้
ตัวอักษรใหม่ของไทยซ่ึงแต่เดิมคงอ่านอักษรขอม หรืออักษรมอญที่นำมาใช้เขียนภาษาไทยได้ฉะน้ันจึงเช่ือว่า
พ่อขุนรามคำแหงคงโปรดเกล้าฯ ให้สำนักราชบัณฑิตจัดการเรียนการสอนอักษรไทยแก่ชนชั้นสูงในราชสำนัก
รวมถงึ บุตรธิดาขนุ นางดว้ ยแตก่ ารจดั การเรยี นในสมัยนั้นคงไม่เป็นระบบโรงเรยี นเหมือสมัยปัจจบุ นั
(๒) สำนกั เรยี นที่วัด
ประชาชนท่ัวไปที่เรียกว่า ไพร่บ้านไทยเมืองน้ัน ผู้ที่สนใจเล่าเรียนหนังสือคงจะต้องฝากตัว
เป็นศิษย์วัดตามสำนักปู่ครูเพ่ือศึกษาอักษรไทยนอกจากนั้นยังศึกษาศิลปวิทยาการตลอดจนปรัชญาพุทธ
ศาสนาอีกด้วยถึงแม้ไม่พบหลักฐานเก่ียวกับนักเรียนในสมัยน้ันก็ตาม แต่น่าเชื่อถือได้ว่าลูกหลานประชาชน
ทั่วไปประสงค์จะเรียนหนังสือต้องนำมาฝากตวั ไวก้ ับวัดที่เจ้าตัวศรัทธาในเรื่องสำนักเรียนสมัยสุโขทัยน้ีหนังสือ
ประวตั ิกระทรวงศึกษาธิการกล่าวว่า การศึกษาในสมัยสุโขทัยวิชาท่ีเรียน ได้แก่ ภาษาบาลี ภาษาไทย และวิชา
สามัญ ช้ันต้นสำนักเรียนมี ๒ แห่ง คือวัดกับสำนักราชบัณฑิตวัดเป็นที่เรียนของบรรดาบุตรหลานของ
ข้าราชการและประชาชน ท่ัวไปส่วนสำนักราชบัณฑิตนั้นเป็นท่ีเรียนของเจ้านายและบุตรหลานข้าราชการ
ครผู ูส้ อนได้แก่ พระภกิ ษุสงฆแ์ ละราชบัณฑติ ต่าง ๆ๓
๒) วรรณกรรมท่ีใชเ้ รยี นในสมัยสุโขทยั
หนังสือเรียนสมัยสุโขทัยน้ันคงไม่เป็นมาตรฐานเดียวกันเหมือนปัจจุบัน กล่าวคือพระภิกษุผู้สอนจะ
เปน็ ผูเ้ ขียนหนังสือเรยี นขน้ึ ใชก้ บั ลกู ศษิ ย์ของตน ไดแ้ ก่แจกรปู ตวั อักษร (สระ พยญั ชนะวรรณยกุ ต์) บนกระดาน
ดำท่ีเรียกกันว่า เรียน นโม ก.ข. และให้ลูกศิษย์จะอ่านออกเขียนได้หนังสือที่จะให้ลูกศิษย์ฝึกฝนในระดับสูงข้ึน
น่าจะมอี กี เล่มหนึ่งซ่งึ แต่ละสำนักเรียนก็คงใชไ้ มต่ รงกนั
๓) สภุ าษิตพระร่วง (บญั ญัติพระร่วง)
สุภาษิตพระร่วง เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า บัญญัติพระร่วงเป็นมรดกตกทอดมาสู่อนุชนรุ่นหลังโดยวิธีการ
ท่องจำนำมาใช้อบรมสั่งสอนลูกหลานสืบต่อกันหลายช่ัวอายุคน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้สำนวนภาษาท่ีใช้
คลาดเคล่ือนผิดแปลกแตกต่างไปจากสำนวนในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงจวบจนกระทั่งพระบาทสมเด็จ
พระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๓ ได้โปรดให้มีการประชุมจารึก ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์)
และไดม้ ีการประชมุ ชำระสำนวนแล้วจารึกไวท้ ผี่ นังดา้ นใน หน้าพระมหาเจดีย์องคเ์ หนือนบั แต่นั้นมา สำนวนใน
สุภาษิตพระร่วงจึงยุตกิ ารเปลี่ยนแปลงต่อมาได้มีการจัดพิมพ์สุภาษิตพระร่วงไว้ในประชุมจารึกวัดพระเชตุพนฯ
ฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ
๓ เบ็ญจวรรณ สุนทรากูล, (๒๕๑๘), วิวัฒนาการของแบบเรียนภาษาไทย (ออนไลน์), [สืบค้นเมื่อ ๑o สิงหาคม
๒๕๖๕], จากแหลง่ ที่มา https://shorturl.asia/BFzVn
๔
๔) ไตรภมู พิ ระร่วง (เตภูมกิ ถา)
ไตรภูมิพระร่วงเดิมเรียกว่า เตภูมิกถาจัดว่าเป็นวรรณคดีทางศาสนาที่ใช้ภาษาไทยแบบเก่าในสมัย
สุโขทัยวรรณคดีเร่ืองน้ีสะท้อนให้เห็นถึงความเช่ือถือ ศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาจนมีอทิ ธิพลต่อจิตรกร
ทีบ่ รรจงฝากผลงานทางจิตรกรรมฝาผนงั เป็นเรื่องราวเกีย่ วกับพุทธศาสนาปรากฎอยตู่ ามผนังโบสถ์ท่ัวเมอื งไทย
ตราบกระท่งั ทกุ วันนี้
๕) ตำรบั ท้าวศรีจุฬาลกั ษณ์ (นางนพมาศ)
ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์เรยี กอกี ชื่อหน่ึงว่า นางนพมาศ หรือ เรวดีนพมาศ เป็นเรอ่ื งท่ีแต่งขึ้นในสมัย
สุโขทัยแต่ถูกแต่งเติมเสริมต่อในภายหลังอีกมากมายหลายแห่งจนทำให้สำนวนแตกต่างไปจากสำนวนในศิลา
จารึกและไตรภูมพิ ระรว่ งแม้เน้ือหาจะยังมีเค้าเรอื่ งและสำนวนเดิมอยู่บ้างแตเ่ นอื่ งจากเป็นมรดกตกทอดมาด้วย
วิธีการจดจำสืบต่อกันหลายชั่วคนจนทำให้บางช่วงบางตอนขาดหายไปผู้รับช่วงต่อมาจึงแต่งเพิ่มโดยเอา
เรอ่ื งราวทเ่ี กดิ ข้นึ ในสมยั หลงั เตมิ ต่อเขา้ ไปใหค้ รบถว้ นจงึ มหี ลายตอนเปน็ เร่ืองใหมส่ ำนวนใหม่๔
๒.๒ สมัยอยธุ ยา
๑) บทเรียนและวรรณกรรมสมัยอยุธยาตอนต้น
แบบเรียนสำหรบั ใชเ้ รียนภาษาไทยในสมัยอยุธยาตอนตน้ ยังไม่มผี ู้ใดค้นพบจนกระทั่งปัจจุบันน้ี แตม่ ี
วรรณกรรมที่เป็นวรรณคดีสำคัญหลายเรื่อง เช่น ลิลิตโองการแช่งน้ำ ลิลิตยวนพ่าย มหาชาติคำหลวง
ลิลิตพระลอ โคลงทวาทศมาส กาพย์มหาชาติ ฯลฯ ถึงแม้ว่าสมัยนี้จะยังไม่มีหลักฐานการค้นพบหนังสือเรียน
วิชาภาษาไทย แต่ก็นับเป็นสมัยที่วรรณคดีหลายเรื่องมีความงดงามไพเราะซาบซ้ึงใจและมีความพิถีพิถันใช้
ภาษาในการแต่งคำประพันธ์ ซ่ึงแสดงถึงความรุ่งเรืองของภาษาไทย ซ่ึงในที่น้ีจะกล่าวเน้นเพียง ๔ เร่ือง ได้แก่
ลิลิตโองการแช่งน้ำ ลิลิตยวนพ่าย มหาชาติคำหลวง และลิลิตพระลอ ท้ังน้ีเพ่ือให้เป็นแนวทางการวิเคราะห์
วรรณกรรมเรือ่ งอืน่ ๆ ในแบบเรยี นภาษาไทยท่ใี ชป้ ัจจุบันตอ่ ไป
(๑) ลิลิตโองการแชง่ น้ำ
ลิลิตโองการแช่งน้ำ หรือเรียกอีกช่ือหนึ่งว่า “ประกาศแช่งน้ำโคลงห้า” ใช้สำหรับพราหมณ์
สวดหรืออ่านในพระราชพิธถี ือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา (หรือพระราชพิธีศรีสัจปานกาล) เพื่อให้ผู้เข้าดื่มน้ำสาบาน
ซ่ึงเป็นข้าราชการทหารและเจ้าเมืองประเทศราชซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ไม่คิดคด ทรยศ เป็น
ขบถหรือแขง็ เมอื ง อันจะยังผลให้บา้ นเมืองมีความมั่นคง สงบรม่ เย็น เปน็ ปึกแผ่นพระราชพิธีนีไ้ ดย้ กเลิกไปเมื่อ
เปล่ียนระบอบการปกครองใน พ.ศ. ๒๔๗๕ ต่อมาในสมัยรัชกาลท่ี ๙ ได้มีการรื้อฟ้ืนจัดพระราชพิธีน้ีอีกข้ึน
๔ กรมศิลปากร, (๒๕oo), ประชุมศิลจารึกภาคที่ ๑ จารึกกรุงสุโขทัย (ออนไลน์), [สืบค้นเม่ือ ๑o สิงหาคม ๒๕๖๕],
จากแหล่งที่มา https://shorturl.asia/BFzVn
๕
ภ า ย ใ น พ ร ะ อุ โ บ ส ถ วั ด พ ร ะ ศ รี รั ต น ศ า ส ด า ร า ม จ น ถึ ง ปั จ จุ บั น ส ำ ห รั บ เฉ พ า ะ ผู้ ท่ี ไ ด้ รั บ พ ร ะ ร า ช ท า น
เคร่ืองราชอสิ ริยาภรณ์อนั มศี กั ด์ิรามาธบิ ดี
(๒) ลิลติ ยวนพ่าย
ลิลิตยวนพ่ายเป็นกวีนิพนธ์ท่แี ตง่ ข้ึนเพ่ือเฉลิมพระเกียรติสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ เมอ่ื ครั้ง
ท่ีทรงชนะการศกึ สงครามกับทางเหนือ ยวน คือ พวกโยนก หรอื ชาวลา้ นนายวนพ่าย หมายถงึ ชาวล้านนาพา่ ย
แพ้ในการรบระหว่างไทยกับเชียงใหม่ ถ้าอ่านเรื่องนี้อย่างพินิจพิจารณาแล้วจะพบว่าสำนวนโวหารท่ีใช้เป็น
แบบฉบับของอยุธยาตอนต้น โดยไม่มีการแก้ไขต่อเติมเสริมแต่งเลยท้ังนี้เน่ืองจากต้นฉบับที่ค้นพบยังคงอยู่
อย่างครบถ้วนสมบรู ณ์
(๓) มหาชาติคำหลวง
มหาชาติคำหลวงเป็นวรรณ คดีพุทธศาสนาภาษาไทยที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่ค้นพบและเ ป็น
วรรณคดีคำหลวงเรื่องแรกซ่ึงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภา พทรงกล่าวไว้ในตำนาน
หนังสือมหาชาติว่าการแปลคาถาบาลีมาเป็นไทยเช่นนี้คงมีมานานแล้วแต่คร้ังสุโขทัยหากแต่ฉบับเดิมศูนย์ ไป
เสยี ดังนน้ั การแปลแบบนจี้ งึ มีหลกั ฐานแต่ในสมัยอยธุ ยา
(๔) ลลิ ติ พระลอ
ลลิ ิตพระลอไดร้ บั การยกยอ่ งว่าเป็นยอดวรรณคดปี ระเภทลิลิตจากวรรณคดีสโมสรซึ่งต้งั ขนึ้ ใน
รัชกาลพระบาทสมเด็จพระมลกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ เนื้อเร่ืองในลิลิตพระลอเป็นแบบ
โศกนาฏกรรม มีเหตุการณ์สะเทือนใจ หลากหลายอารมณ์ ท้ังรัก โศก เศร้า ตื่นเต้น การใช้ถ้อยค ำมีความ
ไพเราะเพราะพริ้งซาบซึ้งตรึงใจเป็นอย่างยิ่ง สำนวนที่ใชม้ ีครบทุกรสของวรรณคดีหลายบทหลายตอนมีผู้จดจำ
จนขึ้นใจและยังนำมาใช้กระทั่งถึงทุกวันน้ีเช่น “เสียงลือเสียงเล่าอ้าง อันใด” “ยามไร้เด็ดดอกหญ้า แซมผม”
“ใดใดในโลกล้วนอนิจจัง” เป็นต้น
๒) แบบเรียนและวรรณกรรมสมัยอยธุ ยาตอนปลาย
ในสมัยอยุธยาตอนปลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. ๒๑๙๙ -
๒๒๓๑) เป็นช่วงท่ีมีความเจริญรุ่งเรืองมาก มีการติดต่อค้าขายกับชาวตะวันตก เช่น โปรตุเกสฮอล์แลนด์
อังกฤษ ฝรงั่ เศส เปน็ ต้น พวกบาทหลวงได้เขา้ มาเผยแพร่คริสตศาสนาและได้ตงั้ โรงเรยี นเพือ่ สอนหนังสอื พร้อม
๖
กับสอนศาสนาควบคู่กันไปโรงเรยี นที่ตั้งข้ึนในขณะน้ันไดแ้ ก่ โรงเรียนศรีอยุธยาโรงเรียนมหาพราหมณ์วทิ ยาลัย
คอนสแตนตนิ โรงเรียนสามเณร และวิทยาลัยแห่งชาติ ๕
(๑) วรรณกรรมทีน่ ำมาใช้เรียน
วรรณกรรมในสมัยอยุธยาตอนปลายที่นำมาใช้เรียนนั้นบางเรื่องใช้เรียนตามหลักสูตรใน
พ.ศ. ๒๕๐๓ แล้วไม่ได้นำมาใช้เรียนอีกบางเร่ืองยังนำมาใชเ้ รียนอยู่บางเรื่องไม่ไดใ้ ช้ฉบบั สำนวนในสมัยอยุธยา
แตเ่ อาฉบับสำนวนที่งา่ ยกว่ามาเรียนและอกี หลายเรื่องที่ตัดตอนมาแล้วมีคำอธบิ ายเพ่ือให้เข้าใจเร่ืองท่ีเรียนได้
ดียิ่งข้ึนอย่างไรก็ตามวรรณกรรมที่สำคัญสมัยอยุธยามีเรียนในภาษาไทยระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่เป็นวชิ า
เลอื กเสรี คือ ท.๐๓๑ - ประวัตวิ รรณคดี ๑
(๒) จนิ ดามณี
สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงให้อิสระแก่บาทหลวงในการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ประกอบ
กับมีผู้คนตื่นตัวท่ีจะเรียนรู้หนังสือมากขึ้นจึงทำให้คนนิยมไปเรียนในโรงเรียนของหมอสอนศาสนา หรือคณะ
มิชชันนารีเป็นจำนวนมาก คนไทยได้เปล่ียนศาสนาไปเข้ารีตนับถือศาสนาคริสต์เพ่ือจะเรียนหนังสือและเรียน
ศาสนาควบคู่กันไปด้วยนอกจากนั้น คณะมิชชันนารียังต้องการให้พระมหากษัตริย์ทรงเข้ารีตด้วยแตไ่ ม่ประสบ
ความสำเร็จ๖
(๓) จินดามณี ฉบบั สมยั พระเจา้ บรมโกศ
ตอ่ มาภายหลังไดม้ ีการคน้ พบจินดามณีอีกเลม่ หน่ึงระบปุ ีที่แต่งซึ่งเป็นปแี รกในรชั สมัยพระเจ้า
บรมโกศ ปี พ.ศ. ๒๒๗๕ แตไ่ ม่ไดบ้ อกชือ่ ผู้แต่งไว้ จึงเรยี กชือ่ จินดามณฉี บับนีต้ ามสมัยที่แต่งวา่ “จนิ ดามณฉี บับ
พระเจา้ บรมโกศ”๗
๒.๓ สมัยธนบุรี
กล่าวถงึ พระกรณยี กิจของสมเด็จพระเจ้าตากสนิ มหาราชวา่ ในด้านทางด้านการศกึ ษาน้นั แม้จะ
ยังไม่ได้ทรงฟ้ืนฟูการเล่าเรียนโดยทั่วไปแต่ก็ทรงเห็นความสำคัญและสนับสนุนการเล่าเรียนพระไตรปิฎกของ
พระสงฆ์ ดังน้ันสมัยน้ีจึงยังไม่มีแบบเรียนภาษาไทยเล่มใหม่การเรียนยังใช้หนังสือท่ีเหลือตกทอดมาจากสมัย
อยุธยาตอนปลาย คือหนังสือจินดามณีฉบับพระโหราธิบดีและจินดามณีฉบับสมัยพระเจ้าบรมโกศเป็นหลักใน
๕ ขจร สุขพานิช, (๒๕o๙), หนังสือเรียนและวรรณกรรมสมัยอายุธยา (ออนไลน์), [สืบค้นเมื่อ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๕],
จากแหลง่ ท่ีมา https://shorturl.asia/AKL1b
๖ ภูธร ภูมะธน, (๒๕๒๗), หนังสือเรียนและวรรณกรรมสมัยอยุธยา (พ.ศ. ๑๘๙๓ - ๒๓๑o) (ออนไลน์), [สืบค้นเม่ือ
๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๕], จากแหลง่ ท่ีมา https://shorturl.asia/AKL1b
๗ เบ็ญจวรรณ สุนทรากูล, (๒๕๑๘), วิวัฒนาการของแบบเรียนภาษาไทย (ออนไลน์), [สืบค้นเมื่อ ๑๒ สิงหาคม
๒๕๖๕], จากแหล่งทีม่ า https://shorturl.asia/AKL1b
๗
การสอนให้อา่ นออกเขยี นไดผ้ ้รู หู้ นังสือได้แก่ พระภิกษสุ งฆแ์ ละพวกแม่ทับนายกองท้งั หลายซ่งึ เป็นเหล่าทหารที่
จำต้องเตรียมพร้อมตลอดเวลาท่ีจะออกรบทัพจับศึกพอพักรบก็หาเวลาว่างแต่คำประพันธ์เพ่ือผ่อนคลาย
ความเครียด
ดังน้ัน แม่พระเจ้าตากสินมหาราชหรือเจ้ากรุงธนบุรีทรงเหน็ดเหน่ือยตรากตรำพระวรกายจากการ
สงครามแต่ก็ยังทรงแสดงพระอัจฉริยภาพทางเชิงกวีและมีพระราชนิพนธ์ให้เป็นมรดกไว้ในวงวรรณกรรมไทย
คือ พระราชนิพนธ์รามเกียรติบ์ ทละครรวม ๔ ตอนเป็นจำนวน ๔ เล่มสมุดไทยซงึ่ เขยี นลงสมดุ ไทยดำ ตัวอกั ษร
เป็นเส้นทอง สร้างดว้ ยความประณตี บรรจงเปน็ อย่างยิ่ง
๒.๔ สมัยรัตนโกสินทรต์ อนตน้ (รัชกาลที่ ๑ - ๔)
๑) วรรณกรรมท่ีนำมาใช้เรยี น
เนอ่ื งจากวรรณกรรมทส่ี ำคัญในสมัยรัตนโกสินทรต์ อนต้นมีเป็นจำนวนมาก ท้งั บทพระราชนิพนธต์ ่าง
ๆ วรรณคดีที่เป็นร้อยแก้วและร้อยกรองอีกมากมาย ในท่ีน้ีจะกล่าวถึงเฉพาะกวีและผลงานท่ีนำมาใช้เรียนใน
วชิ าภาษาไทยที่เป็นวิชาบังคบั แกนของระดบั มธั ยมศกึ ษา ดงั นี้
ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
(๑) พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชพระราชนิพนธ์รามเกียรติ์ตอนศึก
ไมยราพและตอนทศกณั ฑล์ ้ม
(๒) เจ้าพระยาพระคลัง (หน) - ราชาธริ าชตอนพลายประกายมาสและสามก๊ก ตอนจูล่ ่งฝา่ ทพั
รับอาเต๊า
(๓) สนุ ทรภู่ - นิราศเมืองแกลง พระอภัยมณีตอนพระอภัยมณีพบศรีสุวรรณกับสินสุนทรและ
เสภาขุนช้างขนุ แผนตอนพลายงามพบพ่อ
(๔) สมเด็จพระเจา้ บรมวงศ์เธอกรมพระยาเดชาดิศร-โคลงโลกนิติ
(๕) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย – เสภาขุนช้างขุนแผน ตอนพลายแก้วแต่งงาน
กบั นางพมิ และกาพยเ์ หช่ มเครอ่ื งคาวหวาน
(๖) นายนรนิ ทรธิเบศร์ (อนิ ) -โคลงนิราศนรินทร์
ระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลาย
(๑) พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหลา้ นภาลยั –อิเหนาและสงั ข์ทอง
(๒) สุนทรภู่ -นริ าศพระบาท
(๓) เจ้าพระยาพระคลงั (หน) –ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดกกัณฑ์กุมาร
๘
(๔) สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชโิ นรส– ลลิ ิตตะเลงพา่ ย “นรชาต”ิ
(๕) หม่อมราโชทัย- นริ าศลอนดอน ตอนคณะทูตถวายราชสาสน์
๒) แบบเรยี นสมัยรตั นโกสินทร์ตอนตน้
พระยาปรยิ ตั ธิ รรมธาดา (แพ ตาละลกั ษมณ)์ ได้เขยี นเร่อื ง “โบราณศกึ ษา” กล่าวถึงหนงั สือที่ใชเ้ รียน
วา่ “วิชาหนังสือซ่ึงได้ศึกษาเล่าเรียนกันมาตามโบราณวิชาน้ันข้าพเจ้าได้คิดรวบรวมเข้าดูตามโบราณตำรา ได้
จำนวนหนงั สอื รวม ๕ เล่ม” ดังนค้ี ือ
(๑) ประถม ก กา
หนังสือประถม ก กา ไม่ได้ระบุชื่อผู้แตง่ และไม่ทราบสมัยท่ีแตง่ พระวรเวทย์พิสฐิ สันนิษฐาน
ว่าน่าจะใชเ้ ป็นแบบเรียนมาต้ังแต่สมัยอยุธยาตอนปลายในแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศและใช้เปน็ แบบเรียน
ในสมัยรัชกาลที่ ๑ ถึง รัชกาลที่ ๕ ก่อนท่ีจะมีแบบเรียนมูลบทบรรพกิจหนังสือประถม ก กามีอยู่หลายฉบับ
ด้วยกัน เมื่อกรมศึกษาธิการพิมพ์แบบเรียนได้นำเอาหนังสือประถม ก กาฉบับที่เจ้าหม่ืนศรีสรรักษ์ (หม่อม
ราชวงศ์จิตร สุทัศน์ ภายหลังเป็นพระยาศรีวรวงศ์) รวบรวมไวม้ าพิมพเ์ ป็นแบบเรียนหนังสือไทยสำหรับชั้นมูล
ศึกษา
(๒) สุบินทกมุ าร
สุบินทกุมาร เรียกได้หลายชื่อ เช่น สุบินคำกาพย์สุบินคำเก่า สุบินกลอนสวดหรือกลอนสวด
สุบิน เป็นต้นเร่ืองสุบินทกุมารน้ีนิยมท่องสวดกันมากและมีการคัดลอกกันเป็นหลายสำนวนหลายฉบับทำให้มี
รายละเอียดแตกต่างกันออกไปแต่ใจความสำคัญของเรื่องยังคงเหมือนกันอยู่สุบินทกุมารหรือสุบินคำกาพย์ไม่
ปรากฏชื่อผู้แตง่ และสมัยที่แตง่ สันนิษฐานว่าน่าจะแต่งในสมัยอยุธยาตอนปลายเน่ืองจากลักษณะการแตง่ เป็น
กาพย์สำหรับสวด ซ่ึงเรียกว่า กลอนสวดหรือกลอนวัดก็ได้กลอนชนิดน้ีนิยมแต่งกันมาต้ังแต่คร้ังกรุงศรีอยุธยา
ตอนปลายจนถงึ รัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรตั นโกสนิ ทร์๘
(๓) ประถมมาลา
หนังสอื ประถมมาลาเปน็ หนังสือแบบเรียนท่สี ำคญั เล่มหน่ึงซึ่งแตง่ ข้ึนในสมัยกรุงรตั นโกสินทร์
ตอนต้นผูแ้ ตง่ คอื พระเทพโมลี (พ่ึงหรอื ผ้ึง) แห่งวัดราชบรู ณะผู้เป็นกวีคนสำคัญและมีส่วนร่วมแตง่ บทประพันธ์
ทจี่ ารึก ณ วดั พระเชตุพนวิมลมังคลารามลกั ษณะการแตง่ การแตง่ เป็นกาพย์หรือเรียกวา่ กลอนสวด มีท้ังกาพย์
ยานี กาพย์ฉบงั และกาพย์สุรางคณางค์เนื้อหาเกี่ยวกบั อักขรวิธโี ดยใช้คำประพันธใ์ ห้มีใจความครบถ้วนสมบูรณ์
มโี คลงอธิบายสมบรู ณ์ การแต่งมุ่งอธิบายหลักเกณฑอ์ ยา่ งสัน้ ๆ ง่าย ๆ ไดก้ ระทดั รัดและชดั เจน
๘ เบ็จวรรณ สุนทรากูล, (๒๕๒๕), หนังสือเรียนและวรรณกรรมสมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตอนต้น (รัชกาลท่ี ๑ -
๔) (ออนไลน์), จากแหลง่ ทีม่ า https://shorturl.asia/AKL1b
๙
(๔) ประถมจนิ ดามณี เล่ม ๑
หนังสือประถมจินดามณี เล่ม ๑ ก็คือจินดามณีฉับพระโหราธิบดีท่ีแต่งในรัชกาลสมเด็จพระ
นารายณ์มหาราชสมัยอยุธยาตอนปลายน่ันเอง ประถมจินดามณี เล่ม ๑ ยังคงใชเ้ ป็นหนังสือแบบเรยี นที่สำคัญ
ของสมยั รัตนโกสนิ ทรต์ อนต้น
(๕) ประถมจินดามณี เลม่ ๒
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงษาธิราชสนิท ทรงแต่งหนังสือประถมจินดามณีเล่ม ๒ ข้ึน
เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงมีพระราชปรารภให้แต่งเพื่อใช้สอนพระราช
โอรสและหมขู่ า้ ราชบริพารรวมเวลาต้งั แตท่ รงพระราชปรารภ จนทรงนพิ นธ์เสร็จ ราว ๖ เดอื นเศษ๙
๒.๕ สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นกลาง (รัชกาลท่ี ๕)
๑) ปจั จยั ทส่ี ำคญั ทกี่ ่อให้เกดิ การจัดการศึกษาระบบโรงเรียน
การจัดการศึกษาระบบโรงเรียนน้ีรัฐบาลต้องใช้งบประมาณอย่างมาก กว่าจะจัดโรงเรียนให้
ประชาชนได้ทั่วถึง อีกท้ังยังไม่มีครูนอกจากพระภิกษุท่ีสอนอยู่ตามพระอาราม รวมทั้งยังหารูปแบบการจัด
การศึกษาที่เหมาะสมยังไม่ได้ และผู้ท่ีมีความชำนาญในการจัดการศึกษาก็มีจำนวนน้อยแต่กระน้ันรัฐบาลของ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯก็ได้พยายามจัดตั้งโรงเรียนให้จงได้ตามพระราชปณิธานซ่ึงมีปัจจัยสำคัญ ๆ
พอสรุปไดด้ ังน้ี
(๑) การได้รับการศึกษาแบบใหม่ของสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯพระองค์เป็นประมุขของชาติที่
ได้รับการศึกษาแบบตะวันตกทั้งทางตรงและทางอ้อม นั่นคือพระองค์เป็นราชโอรสของสมเด็จพระจอมเกล้าฯ
รัชกาลท่ี ๔ ซ่ึงเป็นกษัตรยิ ์สมัยใหม่องค์แรกของไทย รชั กาลท่ี ๔ ทรงปรับตัวให้ทันกับสภาวะการเปลี่ยนแปลง
ท้ังภายในภายนอกประเทศ
(๒) การได้รับแรงกระตุ้นและแบบอย่างจากชาวตะวันตกการท่ีไทยเปิดค้าขายกับชาว
ต่างประเทศสมัยรัชกาลท่ี ๓ เป็นต้นมา ชาวตะวันตกเข้ามาค้าขายและเผยแพร่คริสต์ศาสนาที่กรุงเทพฯ
จำนวนมากข้ึนและกลุ่มมิชชันนารีได้เปิดโรงเรียนบ้างแล้ว เช่นน้ัน โรงเรียนหมอเรโนล์เฮาส์ (พ.ศ. ๒๓๙๕)
ประกอบกับขุนนางไทยเริ่มเข้าใจความเจริญของชาวตะวันตกมากข้ึน ทำให้มีโลกทัศน์กว้างขึ้น การที่
ชาวตะวันตกได้นำวิทยาการใหม่ ๆ เข้ามาเผยแพร่มกี ารตงั้ โรงพิมพ์ ออกหนงั สือพมิ พ์ขา่ วสาร และพมิ พห์ นังสือ
เล่มออกจำหน่าย ซ่ึงเป็นปัจจัยหน่ึงต่อแนวคิดในการจัดต้ังโรงเรียน การที่ชาวยุโรปนำเครื่องพิมพ์เข้ามาน้ัน
๙ ธนิต อยู่โพธ์ิ, (๒๕๒o), หนังสือเรียนและวรรณกรรมสมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตอนต้น (รัชกาลที่ ๑ - ๔
(ออนไลน)์ , จากแหล่งที่มา https://shorturl.asia/AKL1b
๑๐
ชว่ ยให้วิชาการของไทยก้าวหน้ามากในระยะหลงั เช่น มีการพิมพ์หนังสอื แบบเรียน และวรรณกรรมของสุนทรภู่
ทำใหช้ าวไทยเห็นความสำคญั ของการศกึ ษาเลา่ เรียนมากขน้ึ
(๓) ความต้องการเจ้าหน้าท่ีบริหารราชการในการปรับปรุงประเทศประเทศไทยรัชสมัยพระ
จุลจอมเกล้าฯ ถูกชาติตะวันตกคุกคามอย่างหนักในการแสวงหาอาณานิคมซึ่งเหตุการณ์น้ีได้เกิดอยู่รอบบ้าน
แล้วในรัชสมยั พระจอมเกล้า ฯ (ราชกาลที่ ๔) เช่น ไทยเสยี ประเทศเขมรใหแ้ กฝ่ รงั่ เศส
๒) วรรณกรรมสมยั ปฏิรปู การศึกษา
สมัยปฏิรูปการศึกษา เป็นช่วงแห่งการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากเป็นระยะท่ีเร่ิมรับเอาวัฒนธรรม
ตะวันตกเข้ามาซ่ึงมีผลต่อด้านวรรณกรรมของไทยเปน็ อย่างมากแม้วรรณกรรมร้อยกรองท่ีรงุ่ เรืองสูงสุดในสมัย
รัตนโกสินทร์ตอนต้นจะยังคงมีต่อเนื่องถึงสมัยนี้อยู่ก็ตามแต่ในระยะนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นความนิยมวรรณกรรม
ร้อยแก้วแบบตะวันตกมากขึ้นทั้งประเภทบันเทิงคดี (Fiction) ท่ีเป็นนวนิยาย (Novel) และเรื่องส้ัน (Short
Story) กับประเภทสารคดี (Non-fiction) ซ่ึงแต่งเป็นบทความและจดหมาย กวีท่ีมีชื่อเสียงมีมากมาย นับแต่
พระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชบริพารเช่น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมี
พระปรีชาสามารถมากท้ังด้านร้อยแก้วและรอ้ ยกรอง บทพระราชนิพนธ์อันทรงคณุ ค่า เช่น พระราชพิธสี ิบสอง
เดอื น พระราชนิพนธ์ไกลบ้าน ฯลฯ
๒.๖ สมัยรตั นโกสนิ ทร์ตอนปลาย (รชั กาลที่ ๖ - ๙)
การพัฒนาหนังสือแบบเรียนภาษาไทยในสมัยพระราชบัญญัติประถมศึกษาจากการที่ได้มีการพัฒนา
หลกั สตู รในสมยั พระราชบัญญัติประถมศกึ ษา ก่อใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงการใช้หนังสือแบเรียนดว้ ย โดยในช่วง
ต้นยังคงใช้หนงั สือแบบเรียนตามหลักสูตรหลวงเมอื่ ปี พ.ศ. ๒๔๕๖ และมีหนังสือเรียนท่ีใช้คือแบเรียนใหม่และ
แบบสอนอา่ นใหม่ ของเจ้าพระยาธรรมศักด์ิมนตรี ซึง่ ต้องใช้ควบคกู่ ัน ในช่วงปี พ.ศ. ๒๔๕๕ - ๒๔๗๕ กรมราช
บัณฑิต ซึ่งมีหน้าท่ีสร้างรวบรวมและรักษาแบบอย่างสำหรับการศึกษาเล่าเรียนท่ัวไป ได้กำหนดกฎเกณฑ์การ
อนุญาตใช้หนังสือแบบเรยี นสำหรับสอนหนงั สอื ในโรงเรียน ดงั นี้
๑) เป็นหนังสือแบบเรยี นทก่ี รมราชบัณฑิต กระทรวงธรรมการจัดพิมพข์ ึ้น โดยมีตราแผน่ ดินพิมพ์ติด
ไว้ทีห่ นา้ ปก
๒) เป็นหนังสือแบบเรียนท่ีกระทรวงธรรมการอนุญาตให้พิมพ์ใช้ในโรงเรียน หลังจากท่ีผู้เขียนส่ง
ต้นฉบับให้กระทรวงธรรมการตรวจสอบแล้ว
๑๑
๓) เป็นหนังสือแบบเรียนท่ีได้รับอนุญาตจากกระทรวงธรรมการ หลังจากท่ีโรงเรียนพิจารณาเห็นว่า
หนังสือเลม่ นั้นแต่งดีและถกู ต้อง จงึ สง่ ใหก้ ระทรวงธรรมการพจิ ารณาอนญุ าตใช้๑๐
๓. ความแตกต่างของแบบเรียนภาษาไทยในแตล่ ะยุค
๓.๑ สมยั สโุ ขทัย
หนังสือเรียนสมัยสุโขทัยน้ันคงไม่เป็นมาตรฐานเดียวกันเหมือนปัจจุบัน กล่าวคือพระภิกษุผู้สอนจะเป็น
ผู้เขียนหนังสือเรียนขึ้นใช้กับลูกศิษย์ของตน ได้แก่แจกรูปตัวอักษร (สระ พยัญชนะวรรณยุกต์) บนกระดานดำ
ที่เรียกกันว่า เรียน นโม ก. ข. และให้ลูกศิษย์จะอ่านออกเขียนได้ หนังสือที่จะให้ลูกศิษย์ฝึกฝนในระดับสูงข้ึน
น่าจะมอี กี เล่มหน่ึง ซง่ึ แตล่ ะสำนกั เรยี นกค็ งใชไ้ มต่ รงกัน (ไมพ่ บว่าหลงเหลอื อยใู่ นสมยั ตอ่ มา)๑๑
๓.๒ สมัยกรุงศรอี ยธุ ยา
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาน้ันการเรียนการสอนภาษาไทยคงมีลักษณะแบบเดียวกับสมัยสุโขทัยเพราะเหตวุ ่า
ชาวไทยในอยุธยานน้ั ถึงแม้ว่าจะแยกตัวออกมาเป็นอิสระสมัยพระเจา้ อู่ทอง (พ.ศ. ๑๘๙๓) น้นั หาได้สรา้ งสรรค์
วัฒนธรรมของกลุ่มขึ้นมาใหม่ไม่ แต่ยังสืบทอดวัฒนธรรมไทยทางด้านภาษาและตัวอักษรไทยจากอาณาจักร
สุโขทัยท้ังส้ิน ดังปรากฏว่าจารึกลานเงนิ ที่วัดส่องคบหลักเมืองชยั นาทเกา่ (จารึกหลักท่ี ๔๔,๕o และ ๕๑) เป็น
จารกึ ที่มอี ายมุ ากท่ีสุดท่ีพบอยู่ในบริเวณอาณาจักรอยุธยานั้น รูปรา่ งตัวอักษรมีลักษณะแบบเดยี วกบั อกั ษรไทย
ที่ใช้อยู่ในอาณาจักรสุโขทัย ฉะนั้น การเรียนการสอนแบบเรียนในสมัยกรุงศรีอยุธยาคงใช้อักษรไทยแบบ
สุโขทัยน่ันเอง ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย บาทหลวงได้รับการสนับสนุนจากราชสำนักสำคัญ ๆ ใน
ยุโรปมาเผยแพร่พระคริสตศาสนา ในบางรัชสมัยบาทหลวงได้รับการสนับสนุนในการสอนศาสนาแก่ประชาคม
อยุธยาจากราชสำนักไทย ไดจ้ ดั ต้งั สำนักสอนพระคริสธรรม และค่อยพฒั นามาเปน็ โรงเรียน
แบบเรียนท่ีสำคัญในการเรยี นภาษาไทยสมัยกรุงศรีอยธุ ยาน้ีไดแ้ ก่ หนังสือจินดามณี ฉบับพระโหราธิบดี
และ จนิ ดามณี ฉบับสมยั พระเจา้ บรมโกศ
๓.๓ สมัยธนบรุ ี
พระเจ้ากรุงธนบุรีได้พยายามทำนุบำรุงบ้านเมืองในด้านต่าง ๆ ในด้านทางด้านการศึกษาน้ัน แม้จะยัง
ไม่ได้ทรงฟื้นฟูการเล่าเรียนโดยทั่วไปแต่ก็ทรงเห็นความสำคัญและสนับสนุนการเล่าเรียนพระไตรปิฎกของ
๑๐ ทองต่อ กล้วยไม้ ณ อยุธยา, (๒๕๒๗), การศึกษาไทยก่อนพุทธศักราช ๒๔๒๗ (ออนไลน์), [สืบค้นเม่ือ ๑๒
สิงหาคม ๒๕๖๕], จากแหล่งทม่ี า https://shorturl.asia/AKL1b
๑๑ สักราช ชวดสก, (๑๘๖๗), แรกสถาปนาพระพุทธเจ้าเจ้าพระแหงเชิง (ออนไลน์), [สืบค้นเม่ือ ๑๒ สิงหาคม
๒๕๖๕], จากแหลง่ ทม่ี า https://shorturl.asia/AKL1b
๑๒
พระสงฆ์ ดังน้ันสมัยน้ีจึงยังไม่มีแบบเรียนภาษาไทยเล่มใหม่การเรียนยังใช้หนังสือท่ีเหลือตกทอดมาจากสมัย
อยธุ ยาตอนปลาย คอื หนงั สือจินดามณฉี บบั พระโหราธบิ ดีและจนิ ดามณฉี บับสมยั พระเจ้าบรมโกศ
๓.๔ สมยั รตั นโกสินทรต์ อนต้น (รัชกาลที่ ๑ - ๔)
๑) ประถมจนิ ดามณี เล่ม ๑
หนังสือประถมจินดามณี เล่ม ๑ กค็ ือจนิ ดามณีฉับพระโหราธบิ ดีที่แต่งในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์
มหาราชสมัยอยุธยาตอนปลายนั่นเอง ประถมจินดามณี เล่ม ๑ ยังคงใช้เป็นหนังสือแบบเรียนที่สำคัญของสมัย
รตั นโกสนิ ทรต์ อนต้น
๒) ประถมจนิ ดามณี เล่ม ๒
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงษาธิราชสนิท ทรงแต่งหนังสือประถมจินดามณีเล่ม ๒ ขึ้น
เน่ืองจากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๓ ทรงมีพระราชปรารภให้แต่งเพ่ือใช้สอนพระราช
โอรสและหมู่ขา้ ราชบรพิ ารรวมเวลาต้งั แตท่ รงพระราชปรารภ จนทรงนพิ นธ์เสร็จ ราว ๖ เดอื นเศษ
๓) สบุ นิ ทกมุ าร
สุบินทกุมาร เรียกได้หลายช่ือ เช่น สุบินคำกาพย์สุบินคำเก่า สุบินกลอนสวดหรือกลอนสวดสุบิน
เป็นต้นเร่ืองสุบินทกุมารนี้นิยมท่องสวดกันมากและมีการคัดลอกกันเป็นหลายสำนวนหลายฉบับทำให้มี
รายละเอยี ดแตกตา่ งกนั ออกไปแต่ใจความสำคัญของเรอื่ งยงั คงเหมือนกันอยู่
๔) ประถมมาลา
หนังสือประถมมาลาเป็นหนังสือแบบเรียนที่สำคัญเล่มหนึ่งซึ่งแต่งข้ึนในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ตอนต้นผู้แต่งคอื พระเทพโมลี (พึ่งหรอื ผ้งึ ) แห่งวัดราชบูรณะผู้เป็นกวีคนสำคัญและมีสว่ นร่วมแตง่ บทประพันธ์
ที่จารกึ ณ วดั พระเชตุพนวมิ ลมังคลาราม
๕) ประถม ก กา
หนังสือประถม ก กามีอยู่หลายฉบับด้วยกัน เมื่อกรมศึกษาธิการพิมพ์แบบเรียนได้นำเอาหนังสือ
ประถม ก กาฉบับที่เจ้าหมื่นศรีสรรักษ์ (หม่อมราชวงศ์จิตร สุทัศน์ ภายหลังเป็นพระยาศรีวรวงศ์) รวบรวมไว้
มาพมิ พเ์ ป็นแบบเรียนหนงั สอื ไทยสำหรบั ช้นั มลู ศกึ ษา๑๒
๓.๕ สมัยรัตนโกสนิ ทรต์ อนกลาง (รชั กาลท่ี ๕)
การพัฒนาการศึกษาของไทยเข้าสู่ระบบโรงเรียนน้ี อาจเรียกว่าเป็นยุค “การปฏิรูปการศึกษา”
เน่ืองจากมีการเปลี่ยนรูปแบบของการศึกษาอย่างมาก เช่น มีการสอบไล่ มีค้าจ้างครูมีการกำหนดแบบเรียน
๑๒ ศิลปากร กรม, (๒๕o๔), จินดามณีเล่ม ๑ - ๒ เร่ืองจินดามณีฉบับพระเจ้าบรมโกศ (ออนไลน์), [สืบค้นเมื่อ ๑๒
สงิ หาคม ๒๕๖๕], จากแหลง่ ทม่ี า https://shorturl.asia/ew8lg
๑๓
ของการศึกษาอย่างมาก เช่น มีการสอบไล่มีค่าจ้างครู มีการกำหนดแบบเรียนและมีหลักสูตร (ในสมัยแรก ๆ
เรียกวา่ โครงการศึกษา) มีการวัดผลสอบไล่ให้ประกาศนียบัตรซ่ึงแต่เดิมน้ันการศึกษาระบบจารีตของไทยตา่ ง
คนต่างจัดไม่เป็นระบบ สมัยรฐั บาลสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯรัชการที่ ๕ ได้ดำเนนิ นโยบายที่จะพัฒนาประเทศ
เข้าสู่สังคมสมัยใหม่ ตามแนวของชาติตะวนั ตก เช่น ประกาศเลิกระบบทาส ปฏริ ูประบบการปกครองหัวเมือง
เป็นการรวมหัวเมืองประเทศราชช้ันนอกให้เข้ากันเป็นรัฐชาติ และเป็นการกระจายอำนาจส่วนกลางไปสู่หัว
เมืองที่เรียกว่า “หัวเมืองประเทศราช” (ในสมัยก่อน พ.ศ. ๒๔๓๕ เร่ิมปฏิรูปการปกครองหัวเมือง ต่าง ๆ ใน
ภาคเหนอื และภาคอีสานและภาคใต้ บางหัวเมอื งมีเจ้าเมอื งปกครองตนเองในฐานะเป็นประเทศราช มหี นา้ ท่ีส่ง
สว่ ยใหร้ ฐั บาลกลาง การปฏิรูปการปกครองนี้ได้รวมอำนาจการปกครอง มาเป็นของรัฐบาลกลางโดยส่งขา้ หลวง
เทศาภิบาลไปปกครอง ลดอำนาจเจ้าเมืองท้องถ่ินลงไปเป็นการรวมกันเป็นประเทศหรือรัฐชาติที่สมบูรณ์)
นอกจากนี้ยงั ได้ปรบั ปรุงระเบยี บราชการ การเก็บภาษที เี่ รยี กวา่ หอรษั ฎากรพพิ ฒั น์ (ตง้ั เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๗)
๓.๖ สมัยรตั นโกสนิ ทร์ตอนปลาย (รัชกาลที่ ๖ – ๙)
มกี ารประกาศใชพ้ ระราชบัญญัตปิ ระถมศึกษา เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๔ ซึ่งตรงกบั รัชสมยั ของรัชกาลที่ ๖ น้ัน
ประเทศไทยได้ใช้หลักสูตรการศึกษาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๔ อยู่แล้ว หลักสูตรน้ันเรียกว่า “หลักสูตรหลวง”
ประกาศใช้ในสมัยกระทรวงธรรมการ โดยกำหนดให้ผู้เรียนประถมศึกษาต้องเรียนวิชาชีพควบคู่ไปกับวิชา
สามญั รวม ๕ ปี (แบ่งเปน็ ๒ ระดับ คือ ๓ ปี และ ๒ ปี)๑๓
๔. สาเหตขุ องการเปลย่ี นแปลงแบบเรียนภาษาไทย
จากการศึกษาแบบเรียนภาษาไทยตั้งแต่สมัยต้นมาจนถึงสมัยปัจจุบัน๑๔ จะเห็นได้ว่าหนังสือแบบเรียน
ภาษาไทย ได้มีการพัฒนารูปแบบ เน้ือหา และวิธีการเรียบเรียงตลอดมาทุกสมัยท้ังน้ีก็ขึ้นอยู่กับการพัฒนา
ทางด้านหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการเป็นปัจจัยสำคัญ ในสมัยก่อนมีการจัดโรงเรียนที่เป็นระบบ (ก่อน
สมัย รัชกาลที่ ๕)
การพัฒนาแบบเรยี นไทยค่อยเป็นค่อยไปอย่างเชื่องช้า เพราะเหตวุ ่าการศึกษาในสมัยก่อนหน้านน้ั อยู่ใน
ลักษณะวัดเป็นผู้จัดตามความสมัครใจของผู้เรียนหรือผู้ใฝ่ใจจะศึกษา รัฐไม่ได้ใส่ใจในการศึกษาของประชาชน
การศึกษาของไทยจึงอยู่ในวงแคบ ฉะน้ันแบบเรียนจึงไม่มีความสำคัญมากนัก (วัด) หรือขึ้นอยู่กับว่ามีหนังสือ
๑๓ เบ็ญจวรรณ สุนทรากูล, (๒๕๑๘), วิวัฒนาการของแบบเรียนภาษาไทย (ออนไลน์), [สืบค้นเม่ือ ๑๒ สิงหาคม
๒๕๖๕], จากแหลง่ ทีม่ า https://shorturl.asia/AKL1b
๑๔ ธวัช ปุณโณทก, วิวฒั นการหนังสือแบบเรยี นภาษาไทย (ออนไลน์), [สืบคน้ เมอื่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ ๒๕๖๕], จาก
แหลง่ ขอ้ มูล https://shorturl.asia/gbExC
๑๔
แบบเรียนเล่มใดก็ใช้เล่มนั้น เพราะเหตุวา่ ต้นฉบับของหนังสือแบบเรียนน้ันไม่แพร่หลาย เนื่องจากตอ้ งคัดลอก
ด้วยมือทีละเลม่ ซึ่งต้องใช้เวลามาก
ในการศึกษาวิวฒั นาการของการสร้างหนังสือแบบเรียนภาษาไทย แสดงให้เห็นแนวความคิดในด้านการ
จัดการศึกษาของประเทศไทย ท่ีมีการเปล่ียนแปลงไปตามสภาพสังคม ดังจะเห็นได้จากการบรรจุเนื้อหา
ความรู้ ความคดิ แบบสมัยใหม่ รวมถงึ การเปลีย่ นแปลงด้านการเขียนภาษาไทย
วิวัฒนาการจนถึงยุคปัจจุบัน ท่ีมีการนำความรู้ท่ีมีความทันสมัย ความก้าวหน้าทางสังคม วทิ ยาศาสตร์
และเทคโนโลยีมาบรรจุในเนื้อหาแบบเรียน ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับวัยของผู้เรียน ความต้องการของ
สังคม แนวคิดเก่ียวกับการเรียนรู้สมัยใหม่ รวมถึงการมีเนื้อหาวรรณคดีไทย ท่ียังคงเป็นตัดตอนมาจากหลาย
เรอ่ื ง เพ่อื ให้ความรู้ และสง่ เสรมิ คุณธรรม จริยธรรมที่เยาวชนไทยพงึ มใี นยุคปัจจุบนั ๑๕
๑๕ ธวัช ปุณโณทก, วิวัฒนการหนังสือแบบเรียนภาษาไทย (ออนไลน์), [สืบค้นเม่ือ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ ๒๕๖๕], จาก
แหล่งข้อมลู https://shorturl.asia/gbExC
๑๕
เอกสารอา้ งอิง
กฤษณา สนิ ไชย. (๒๕๒๔). ความรู้เบื้องตน้ เกี่ยวกับหนงั สือเรียน (ออนไลน์). [สืบค้นเม่อื ๓ สิงหาคม ๒๕๖๕].
จากแหล่งท่มี า https://shorturl.asia/qNyL3
กรมศิลปากร. (๒๕oo). ประชุมศิลจารึกภาคท่ี ๑ จารึกกรุงสุโขทัย (ออนไลน์). [สืบค้นเมื่อ ๑o สิงหาคม
๒๕๖๕]. จากแหลง่ ทมี่ า https://shorturl.asia/BFzVn
ขจร สุขพานิช. (๒๕o๙). หนังสือเรียนและวรรณกรรมสมัยอายุธยา (ออนไลน์). [สืบค้นเม่ือ ๑๒ สิงหาคม
๒๕๖๕]. จากแหลง่ ท่มี า https://shorturl.asia/AKL1b
ทองต่อ กล้วยไม้ ณ อยุธยา. (๒๕๒๗). การศึกษาไทยก่อนพุทธศักราช ๒๔๒๗ (ออนไลน์). [สืบค้นเมื่อ ๑๒
สิงหาคม ๒๕๖๕]. จากแหล่งท่มี า https://shorturl.asia/AKL1b
ธนิต อยู่โพธิ์. (๒๕๒o). หนังสือเรียนและวรรณกรรมสมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตอนต้น (รัชกาลท่ี ๑ - ๔)
(ออนไลน)์ . จากแหล่งทม่ี า https://shorturl.asia/AKL1b
ธวัช ปณุ โณทก. วิวัฒนการหนังสือแบบเรียนภาษาไทย (ออนไลน์). [สืบค้นเม่ือ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ ๒๕๖๕].
จากแหลง่ ขอ้ มูล https://shorturl.asia/gbExC
เบ็ญจวรรณ สนุ ทรากูล. (๒๕๑๘). วิวฒั นาการของแบบเรยี นภาษาไทย (ออนไลน)์ . [สืบค้นเม่ือ ๑๒ สงิ หาคม
๒๕๖๕]. จากแหล่งทีม่ า https://shorturl.asia/AKL1b
ภูธร ภูมะธน. (๒๕๒๗). หนังสือเรียนและวรรณกรรมสมัยอยุธยา(พ.ศ. ๑๘๙๓-๒๓๑o) (ออนไลน์). [สืบค้น
เมอื่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๕]. จากแหลง่ ทีม่ า https://shorturl.asia/AKL1b
วุฒิชัย มูลศิลป์. (๒๕๑๖). การปฏิรูปการศึกษาในรัชกาลท่ี ๕ (ออนไลน์). [สืบค้นเม่ือ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๕].
จากแหล่งท่มี า https://shorturl.asia/AKL1b
ศิลปากร กรม. (๒๕o๔). จนิ ดามณีเล่ม ๑-๒ เรื่องจินดามณีฉบบั พระเจา้ บรมโกศ (ออนไลน์). [สบื ค้นเม่อื ๑๒
สิงหาคม ๒๕๖๕], จากแหล่งทมี่ า https://shorturl.asia/ew8lg
สักราช ชวดสก. (๑๘๖๗). แรกสถาปนาพระพุทธเจ้าเจ้าพระแหงเชิง (ออนไลน์). [สืบค้นเม่ือ ๑๒ สิงหาคม
๒๕๖๕]. จากแหลง่ ทมี่ า https://shorturl.asia/AKL1b
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ ๒
เรอื่ ง แบบเรยี นภาษาไทยสมยั อยุธยา
รายวชิ า ววิ ฒั นาการแบบเรียนภาษาไทย
สัปดาห์ที่ ๒ วันจันทร์ ที่ ๒๐ เดือน มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๕๖๕ เวลา ๓ ช่ัวโมง
๑. แบบเรียนภาษาไทยสมัยอยธุ ยา
หนังสือจินดามณี เป็นหนังสือแบบเรียนเล่มแรกของไทยที่ปรากฏหลักฐานเหลืออยู่ จนถึงปัจจุบันเป็น
หนังสือที่แต่งขึ้นเพื่อใช้เป็นแบบเรียน หรือตำราที่ใช้ในการเรียนการสอนหนังสือ ไทยครั้งสมัยสมเด็จพระ
นารายณ์มหาราช แห่งกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. ๒๑๙๙ - ๒๒๓๑) สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพประทาน
ความเห็นว่า “ซึ่งสมเด็จพระนารายณ์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระโหราธิบดีแต่งหนังสือจินดามณีขึ้นเนื่องจากมี
สาเหตุว่า เมื่อพวกบาทหลวงฝรั่งเศสแรกเข้ามา สอนศาสนาคริสตังในพระนครศรีอยุธยานั้นได้ตั้งโรงเรียน
สำหรับสอนหนังสือแก่เด็กไทยด้วย อาศัยเหตุนั้น เห็นว่าคงเป็นเพราะสมเด็จพระนารายณ์ ทรงดำริว่า ถ้าฝ่าย
ไทยเองไม่เอาธุระจัด การบำรุงการเล่าเรียนให้รุ่งเรือง ก็จะเสียเปรียบฝรั่งเศส พระโหราธิบดีคงเป็นปราชญ์มี
ชื่อเสียง ว่าเชี่ยวชาญอักษรอยู่ในสมัยครั้งนั้น สมเด็จพระนารายณ์จึงมีรับสั่งให้แต่งตำราสอนหนังสือไทย ขึ้น
ใหม่ ลูกผทู้ ่ีเล่าเรียนหนงั สอื ไทยคงจะเริ่มขึ้นในคร้ังรชั กาลสมเดจ็ พระนารายณ์
ความที่กล่าวนี้ยังมีหลักฐานที่สังเกตได้อีกอย่างหน่ึง ด้วยตัวอย่างหนังสือฝีมืออาลักษณ์ เขียนในครั้งน้นั
เช่นหนังสือสัญญาที่ทำกับฝรั่งเศสยังปรากฏอยู่ว่า ขบวนอักขรวิธีที่ใช้วิปลาศ คลาดเคลื่อนมาก เห็นไ ด้ว่า
ความรู้หนังสือไทยคงตกต่ำมาก จึงจะกลับมาเจริญขึ้นตั้งแต่รัชกาล สมเด็จพระนารายณ์ เพราะฉะนั้นต่อมา
(ตอนปลายรัชกาล) ถึงรัชกาลหลัง ๆ จึงมีผู้รู้หนังสือไทย สันทัดขึ้นเป็นลำดับ จนสามารถแต่งกลอนเล่นเพลง
ยาวกนั ได้ชุกชุม สืบตอ่ มาในสมัยสมเด็จ พระเจ้าบรมโกศ.”
จากขอ้ วนิ จิ ฉยั ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ แสดงใหเ้ หน็ วา่ การทีก่ วสี มยั สมเดจ็ พระนารายณ์
ไดส้ รา้ งผลงานทางวรรณกรรมมากข้นึ น้นั หนังสอื แบบเรยี นจินดามณ๑ี
๒. ประวัตคิ วามเปน็ มาของหนังสอื จินดามณี
สมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นราชธานี ก่อนรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ยังไม่มีแบบเรียนไทยเป็น
แบบแผนแน่นอน การศึกษาทั่วไปตกอยู่กับวัด ราษฎรมักพาบุตรหลานไปฝากพระภิกษุเพื่อเรียนหนังสือไทย
และบาลีตามสมควรเพื่อเตรียมตัวไว้เมื่อเติบใหญ่จะได้สะดวกแก่การอุปสมบท ในสมัยนั้น วัดเป็นโรงเรียน
พระภิกษุเป็นครูและที่เรียนคือกุฏิพระรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเป็นสมัยที่มีความเจริญรุ่งเรือง
ทางการศึกษามากเพราะมีการติดต่อกับชาวต่างชาติชาวตะวันตก โดยเฉพาะบาทหลวงฝรั่งเศสซึ่งเดินทางเข้า
มาสอนศาสนาคริสต์ในกรุงศรีอยุธยาได้ตั้งโรงเรียนสอนหนังสือแก่เด็กไทยด้วย ดังนั้น ในรัชกาลดังกล่าวจึงมี
การเรียนการสอนทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ นั่นคือนอกจากภาษาบาลีสันสกฤตและเขมรแล้ว ยังมี
๑ ธนิต อยู่โพธิ์. “บันทึกเรื่องหนังสือจินดามณี” จินดามณีเล่ม ๑ – ๒. (ศิลปาบรรณาการ, ๒๕๑๒) หน้า ๑๔๙ -
๑๕๐ อา้ งถึง สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานภุ าพ “บันทกึ สมาคมวรรณคดี” ปีที่ ๑ เล่ม ๕ พ.ศ. ๒๔๗๕,
๑๗
ภาษาฝร่งั เศส มอญและจนี อีกด้วย สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช ทรงพระราชดำรวิ า่ ถ้าไมเ่ อาธรุ ะจดั การศึกษา
ใหร้ งุ่ เรืองกจ็ ะเสยี เปรยี บฝร่งั เศสทเี่ ข้ามาตั้งโรงเรยี นสอนหนงั สือและเผยแพรศ่ าสนาคริสต์ พระองคท์ รงเกรงว่า
คนไทยจะหันไปเข้ารีตและนิยมแบบฝรั่ง จึงมีรับสั่งให้พระโหราธิบดี แต่งตำราเรียนหนังสือไทยขึ้นมาเล่มหนึ่ง
เพอ่ื คนไทยจะไดม้ ีแบบเรียนของตนเอง น่ันคอื “จินดามณี” ซง่ึ เป็นแบบเรียนเล่มแรกของไทย
จินดามณี แต่งโดย พระมหาราชครู กวีในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (ครองราชย์ปี พ.ศ
๒๑๙๙ – ๒๒๓๑) เป็นหนังสือแบบเรยี นเกา่ แก่มาตัง้ แต่สมัยกรุงศรีอยุธยา มีเนื้อหาครอบคลุมเรื่อง การใช้สระ
พยัญชนะ วรรณยุกต์ การแจกลูก การผันอักษร อักษรศัพท์ อักษรเลข การสะกดการันต์ การแต่งคำประพันธ์
ชนิดต่าง ๆ และกลบท ปรากฏกลบท อยู่ ๖๐ ชนิด (แต่บางข้อมูลเชื่อว่าอาจจะแต่งก่อนหน้านั้นนับร้อยปี คือ
แต่งในรัชสมัยของสมเด็จพระเอกาทศรถ) และจากการที่จินดามณีของพระโหราธิบดี เป็นแบบเรียนไทยมา
ก่อนจนเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของแบบเรียนไทย ทำให้หนังสือแบบเรียนไทยในยุคต่อมาหลายเล่มใช้ชื่อตามว่า
“จินดามณี” เช่นเดียวกัน เช่น จินดามณีฉบับความแปลก จินดามณีครั้งแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศ จินดามณี
ฉบบั กรมหลวงวงษาธิราชสนทิ จนิ ดามณฉี บบั พิมพ์ของหมอสมทิ และจินดามณฉี บับพิมพข์ องหมอบรดั เล
สรุป จินดามณี เป็นชื่อของหนังสือแบบเรียนในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ประพันธ์ขึ้นเมื่อปี
พ.ศ. ๒๒๑๕ โดยพระโหราธิบดี พระราชครูในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช หนังสือจินดามณีถือเปน็ แบบเรียน
ในสมยั อยธุ ยาตอนปลายมาจนถึงสมยั รัตนโกสินทร์ตอนตน้ ๒
๓. โครงสรา้ งของหนงั สือจินดามณี
จินดามณี เป็นชื่อของหนังสือแบบเรียนในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ประพันธ์ขึ้นเมื่อปี พ.ศ.
๒๒๑๕ โดยพระโหราธิบดี พระราชครูในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช หนังสือจินดามณีถือเป็นแบบเรียนใน
สมัยอยธุ ยาตอนปลายมาจนถึงสมยั รัตนโกสินทร์ตอนตน้ นอกจากนจี้ ินดามณยี ังถอื ว่าเป็นต้นแบบหนังสือเรียน
เล่มแรกของไทยที่มีเนื้อหาครอบคลุมและใช้ได้อย่างเป็นมาตรฐาน โดยในสมัยนั้นหนังสือจินดามณีมีไว้สำหรับ
ผู้ที่จะถวายตัวเข้ารับราชการ หรือผู้ที่ฝึกหัดเป็นกวี ดังนั้น จินดามณี อันแปลความได้ว่า แก้วสารพัดนึก จึงมี
ความหมายโดยนัยว่า ใครทเ่ี รียนหนงั สือจินดามณีจนแตกฉาน ย่อมจะประสบความสำเรจ็ และมีชวี ิตร่งุ โรจน์
หนังสือจินดามณีได้มีการปรับปรุงแบบเรียนเพื่อให้มีความสอดคล้องกับยุคสมัย โดยยังคงยึดต้นแบบ
จากหนังสือจินดามณีของพระโหราธิบดีเป็นมาตรฐานไว้ ยุคหลัง ๆ มาจึงมีแบบเรียนไทยเกิดขึ้นใหม่อีกหลา ย
เลม่ ในชอื่ จินดามณี ดังต่อไปนี้
- จินดามณี เลม่ ๑ ฉบบั พระโหราธิบดี
- จินดามณี เล่ม ๒ ฉบับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงษาธิราชสนิท
- บนั ทกึ หนงั สือเรอ่ื งจินดามณี ของนายธนิต อยู่โพธ์ิ (อดีตอธิบดกี รมศิลปากร)
- จนิ ดามณฉี บบั พระเจ้าบรมโกศ โดยนายขจร สขุ พานชิ นำมาจากกรงุ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ
ต้นฉบับของหนังสือจินดามณี มีเนื้อความมากมายหลายอย่าง ซึ่ง นายธนิต อยู่โพธิ์ (อดีตอธิบดีกรม
ศิลปากร) ได้รวบรวมเนื้อหาในหนังสือจินดามณีแต่ละฉบับไว้ และได้แบ่งความแตกต่างของเนื้อเรื่องไว้ ๔
ประเภท จำแนกได้ดงั น้ี
๒ นงเยาว์ แข่งเพ็ญแข, (๒๕๖๑), แบบเรียนเล่มแรกของไทย “หนังสือจินดามณี” (ออนไลน์), [สืบค้นเมื่อ ๒๗
กรกฎาคม ๒๕๖๕], จากแหล่งขอ้ มูล https://www.silpa-mag.com/history/article_33105
๑๘
๑) จินดามณี ฉบับความแปลก กล่าวคือ มีข้อความแปลกจากฉบับอื่น โดยมีทั้งฉบับสมุดไทยดำ
เส้นรง ที่สมเด็จฯ กรมพระยาราชานุภาพประทานให้หอสมุดแห่งชาติ และฉบับที่เป็นสมบัติเดิมของหอสมุด
แหง่ ชาตอิ ยแู่ ลว้
๒) จนิ ดามณี ฉบับความพ้อง จนิ ดามณีฉบบั ความพอ้ งมหี ลายเล่มสมดุ ไทย โดยเป็นของท่หี อสมุด
ฯ ซื้อไว้บ้าง มีผู้บริจาคให้บ้าง ซึ่งส่วนใหญ่เนื้อความจะคล้ายคลึงกับจินดามณีเล่มแรก ที่พระโหราธิบดีเป็น
ผู้ประพนั ธ์ แตก่ ็มเี นอ้ื หาทแ่ี ตกต่างกันบา้ งในบางเลม่
๓) จินดามณี ฉบับพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงวงษาธิราชสนิทพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวง
วงษาธิราชสนทิ ทรงพระนพิ นธ์ในปี พ.ศ. ๒๓๙๒ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจา้ อยหู่ ัว
๔) จินดามณี ฉบับพิมพ์ของหมอบรัดเล จินดามณีฉบับนี้เป็นฉบับสำรวมใหญ่ คือ รวมตำรา
แบบเรียนภาษาไทยหลายเล่มมาพิมพ์ไว้ด้วยกัน เช่น ประถม ก.กา แจกลูก จินดามณี ประถมมาลา และ
ปทานุกรม โดยหนังสือจินดามณีในฉบับนี้ยังได้แทรกเรื่องคำอธิบายต่าง ๆ ทั้งคำราชาศัพท์ และเครื่องหมาย
วรรคตอนในภาษาองั กฤษเป็นหนึ่งในเน้อื หาของหนงั สอื จินดามณดี ว้ ย
หนังสือจินดามณีมีเนื้อหาการเรียนการสอนพื้นฐานด้านอักขรวิทยา เช่น อักษรศัพท์ ว่าด้วยคำที่มัก
เขียนผิด ความหมายของคำศัพท์ที่ยืมมาจากภาษาบาลี-สันสกฤต และเขมร ยกตัวอย่างเช่น อักษรตัว ส, ศ, ษ
รวมไปถึงคำทีใ่ ช้ไม้ม้วน ไม้มลาย เป็นต้น นอกจากนีใ้ นหนังสือจินดามณียงั มีบทประพันธ์ประเภทบทร้อยกรอง
ต่าง ๆ อกี ทัง้ ยังมเี นือ้ หาทีอ่ ธบิ ายการเขียนโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอนตา่ ง ๆ พรอ้ มตัวอย่างฉนั ทลกั ษณ์นัน้ ๆ
ทั้งนี้ข้อมูลจากสำนักหอสมุดแห่งชาติ ได้ระบุรายละเอียดเนื้อหาของหนังสือจินดามณีแยกไว้เป็น
หมวดหมู่ โดยจำแนกได้ ดังน้ี
- รา่ ยนำมนสั การพระสุรัสวดี
- รวมรวมคำศัพท์ที่มีเสียงพ้องกันแต่เขียนต่างกัน เช่น บาตร บาท บาศ เป็นต้น โดยมีทั้งศัพท์
ไทย บาลี สันสกฤต และเขมร รวมกนั เรยี ก “ศัพท์อกั ษร”
- ฉันท์ นมัสการพระรัตนตรยั
- อธิบายและยกตัวอย่าง “นามศัพท์” หรือ “ศัพท์พนาม” ที่ใช้ตัวอักษร ษ ศ ส สะกด และใชไ้ ม้
ม้วน ๒๐ คำ ไมม้ ลาย ๘๐ คำ
- การใช้ ฤ ฤา ฦ ฦา ในการแตง่ คำประพันธ์
- เคร่อื งหมายแปดสง่ิ ที่เสมียนพงึ รู้
- เลขอกั ษร
- อธิบายการแต่งคำประพันธ์ตามคัมภีร์วุตโตทัย และกาพย์สารวิลาสินี โดยแสดงแผนผังและ
ยกตัวอย่างจากวรรณคดีเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งได้เขียน “ธรง” เป็นกาพย์สุรางคนางค์สำหรับให้จำคณะทั้งแปดที่
กำหนดไวใ้ นการแต่งฉนั ท์
- โคลงรหัสอักษร เชน่ โทนับ ๓ และโทนบั ๕
- อกั ษรสามหมู่ วา่ ดว้ ยการแจกลูกและผนั อักษรตามมาตราตวั สะกด
- คำว่า “อักขระ” และฐานกรณ์หรือทเี่ กิดของเสียง
ทั้งนี้ หนังสือจินดามณีนั้นใช้เป็นแบบเรียนไทยมานาน๓ กระทั่งพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย
อาจารยางกูร) ได้แต่งหนังสือมลู บทบรรพกิจเป็นแบบเรียนหลวงสมัยรัชกาลที่ ๕ ขึ้น จึงได้เลิกใช้หนังสอื จินดา
มณไี ป
สรุปจินดามณีมีเนื้อหาเก่ียวกับการสอนพืน้ ฐานด้านอักขรวิทยา และการประพันธ์บทร้อยกรองประเภท
ต่าง ๆ ครอบคลุมเรื่องการใช้สระ พยัญชนะ วรรณยุกต์ การแจกลูก (ประสมคำและผันวรรณยุกต์) การผัน
๑๙
อักษร อักษรศัพท์ อักษรเลข การแต่งคำประพันธ์ชนิดต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังมีการรวบรวมคำที่เขียนผิดบ่อย
เช่น คำพ้องรูป พ้องเสียง คำยืมจากภาษาต่างประเทศ การใช้ไม้ม้วน (ใ) ไม้มลาย (ไ) ตัวอย่างคำที่ใช้ ส, ศ, ษ
ไปจนถงึ การอธิบายฉนั ทลักษณ์ในโคลงกลอนแต่ละประเภท๓
๔. คณุ ค่าของหนงั สือจนิ ดามณี
๔.๑ คณุ ค่าด้านสงั คม
๑) จินดามณีเป็นแบบเรียนเล่มแรก และเป็นแบบอย่างให้นักปราชญ์สมัยต่อมาเขียนแบบเรียน
ภาษาไทยขึน้
๒) สมเด็จพระนารายณ์จึงโปรดฯ ให้มีการแต่งหนังสือภาษาไทยข้ึนเพือ่ สั่งสอนให้เด็กไทยรกั ชาติ
และศาสนาของตนเอง
๓) แต่งเพื่อเป็นแบบเรียนสำหรับให้เหล่ากุลบุตรกุลธิดาสนใจเล่าเรียนภาษาไทย โดยจะสั่งสอน
สอดแทรกไว้ในหนังสือ ให้ตระหนักและเห็นความสำคัญของการศึกษา (ตามที่ยกตัวอย่างไว้ข้างต้น ในหัวข้อ
จุดประสงคข์ องการประพันธ)์
๔) ได้ทราบว่าในสมัยอยุธยาได้มีการติดต่อค้าขายกับชาติตะวันตก โดยเฉพาะประเทศฝรั่งเศส
ซึ่งมีบันทึกไว้ในจดหมายเหตุเกี่ยวกับชาติตะวันตกที่มีการเปิดโรงเรียนสอนศาสนาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์
มหาราช
๕) มีการนำคริสต์ศาสนามาเผยแผ่ โดยเริ่มจากการจัดตั้งสำนักสอนพระคริสต์ธรรมและค่อย
พัฒนามาเป็นโรงเรียน คือ เร่ิมสอนพระครสิ ตธ์ รรมแก่เยาวชน ควบคกู่ บั การสอนภาษาตา่ งประเทศ
๖) ประชาชนมอี สิ ระในการประกอบอาชีพ และนับถือศาสนา
๔.๒ คณุ ค่าดา้ นเนื้อหาสาระ
๑) จนิ ดามณเี ปน็ แบบเรียนเลม่ แรกไทย ประพันธ์โดยพระโหราธิบดี เป็นแบบเรียนที่มีคุณค่ามาก
โดยเนื้อหาสามารถแบ่งได้เป็นสองเรื่องใหญ่ ๆ ได้แก่อักษรศาสตรแ์ ละวรรณคดีหากผู้ใดได้ศึกษาแบบเรยี นเล่ม
นีก้ ็จะไดร้ ับความเข้าใจ และความรู้ทีแ่ ตกฉานดา้ นภาษาไทยในระดบั หนง่ึ
๒) เป็นหนังสือที่ใช้สำหรับอ้างอิงที่ดีที่สุด และใช้ในการศึกษาเปรียบเทียบหลักเกณฑ์การใช้
ภาษาไทยโบราณกบั ยุคปัจจบุ ัน
๒.๑) ดา้ นอักษรศาสตร์
(๑) ได้ทราบวา่ ลกั ษณะรปู ของคำในอดีตแตกต่างกนั กับปจั จุบัน แตค่ วามหมายยังคงเดิม
(๒) ได้ทราบวา่ ลักษณะรปู ของคำในอดีตแตก่ ับปัจจบุ ันมีการเขยี นท่เี หมอื นกัน
(๓) ได้ทราบว่าในสมัยที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงครองราชย์สมบัติ และก่อนหน้า
รัชกาลของพระองคย์ งั ไมม่ เี ครอ่ื งหมายบางอยา่ งใช้
ก. รูปวรรณยุกต์ ตรี และจัตวา เพราะในสมัยนั้นมีเพียงแค่รูปวรรณยุกต์เอก (พินทุ
เอก/ไม้ค้อนหางหวั ) และรูปวรรณยกุ ตโ์ ท (พินทโุ ท) เพยี งเท่าน้ัน
ข. ไมม่ ีรูปการันต์ใช้ เชน่ พระโพธสิ ตั ว์ พระอินทร์ แตรสังข์
(๔) ได้ทราบว่าคำไทยที่ใช้ไม้ม้วน มี ๒๐ คำมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
หรอื อาจจะมีใช้กันกอ่ นหน้าน้ัน
(๕) ไดท้ ราบวา่ มกี ารจำแนกออกเป็น ๓ หมู่ ตง้ั แตส่ มยั สมเดจ็ พระนารายณ์
๓ Kapook. (๒๕๖๒), จินดามณี ตำราเรยี นของไทยในสมัยอยุธยา ตน้ แบบอกั ษรภาษาในปจั จบุ นั (ออนไลน)์ , [สบื ค้น
เมื่อ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๕], จากแหล่งข้อมูล https://education.kapook.com/
๒๐
มหาราช หรืออาจะเป็นก่อนหน้านั้น จินดามณี (๒๕๕๑ : ๒๒) ได้มีการประพันธ์ไว้ว่า
จำแนกอกั ษรเปน็ ๓ หมู่
(๖) ได้ทราบว่ามีการแจกลูก คือการนะอักษรมาประสมกับสระเพื่อให้เกิดพยางค์สำหรับ
ใชใ้ นการออกเสียง เชน่ ก กา กิ กี กึ กุ กู เก แก ไก ใก โก เกา กำ กะ และผันอกั ษร คือการผันเสียงวรรณยุกต์
เชน่ ขา ข่า ข้า
(๗) ได้ทราบว่ามีตัวสะกดใช้อย่างเช่นปัจจุบันคือ กก กด กบ (คำตาย) กน กม กง เกอย
เกอว
๒.๒) ด้านวรรณคดี มีการอธบิ ายวิธใี นการแต่งคำประพนั ธ์ประเภทร้อยกรองตา่ งๆ อาทิ โคลง
กาพย์ ฉนั ท์ กลอน และได้มีการยกตวั อย่างจากบทประพนั ธ์ของวรรณคดีในอดีตมาเป็นตัวอยา่ งประกอบด้วย
๓) เป็นแบบอย่างให้นักปราชญส์ มัยตอ่ มาเขยี นแบบเรยี นภาษาไทยขน้ึ ไม่ว่าจะเปน็ แบบเรยี น
ประถม ก กา และประถมมาลา ซึ่งเป็นแบบเรียนที่มีการประพันธ์ขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นนั้น ก็
ได้นำแบบเรียนจินดามณีมาเป็นแบบอย่างในการประพันธ์แบบเรียน และใช้ในการเรียนมาจวบจนสมัย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจา้ อยู่หวั เหตุทมี่ ีการยกเลกิ แบบเรยี นจนิ ดามณี
ประถม ก กา และประถมมาลา เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชการที่ ๕) ทรง
พระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูล) ประพันธ์แบบเรียนหลวง
ขึ้นเพอ่ื ใช้ประกอบการเรียนในโรงเรียนหลวง แต่เน้ือหาในแบบเรยี นหลวง กย็ ังคงมีใจความคล้ายกบั
“จินดามณ”ี แตอ่ าจะมีการปรับแตง่ เพ่ิมเติมเนอ้ื หาให้เปน็ ไปตามยคุ สมยั
๔.๓ คุณคา่ ดา้ นวรรณศิลป์
๑) มกี ารเลน่ คำ
๒) การเลน่ สมั ผสั
๓) มกี ารบรรยาย พรรณนาใหเ้ ห็นภาพชดั เจน
สรุปจนิ ดามณีเป็นวรรณกรรมมีคณุ ค่าต่อสังคมไทยหลายประการ ในดา้ นสังคม จนิ ดามณเี ปน็ ต้นแบบใน
การเขียนแบบเรียนภาษาไทยในเวลาต่อมา และถือเป็นการบันทึกประวัติศาสตร์ในสมัยพระนารายณ์มหาราช
ทั้งเรื่องศาสนาและการค้าขายกับชาติตะวันตก ส่วนด้านเนื้อหา จินดามณีได้ปูพืน้ ฐานในด้านภาษาศาสตร์และ
วรรณคดีให้กบั คนไทย อีกทั้งยงั เป็นหนงั สืออา้ งองิ ท่ดี ใี นเปรียบเทยี บภาษาไทยโบราณกับยุคปจั จบุ นั นอกจากน้ี
จินดามณียังมีคุณค่าด้านวรรณศิลป์ ทั้งการเล่นคำ สัมผัสอักษร สัมผัสสระ รวมถึงมีบรรยายโวหารและ
พรรณนาโวหารท่ีชัดเจน๔
๔ Fatinee, (๒๕๖๐), วรรณคดีจนิ ดามณี (ออนไลน)์ , [สืบค้นเมอ่ื ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๕], จากแหล่งข้อมูล https://
jindamani.blogspot.com/?m=1
๒๑
เอกสารอ้างองิ
ธนิต อยู่โพธ์.ิ “บันทกึ เรอื่ งหนังสอื จินดามณี” จินดามณีเลม่ ๑ – ๒. (ศิลปาบรรณาการ, ๒๕๑๒) หนา้ ๑๔๙ -
๑๕๐ อา้ งถึง สมเดจ็ กรมพระยาดำรงราชานภุ าพ “บนั ทึกสมาคมวรรณคดี” ปีที่ ๑ เลม่ ๕ พ.ศ. ๒๔๗๕.
นงเยาว์ แข่งเพ็ญแข. (๒๕๖๑). แบบเรียนเล่มแรกของไทย “หนังสือจินดามณี” (ออนไลน์). [สืบค้นเมื่อ ๒๗
กรกฎาคม ๒๕๖๕]. จากแหล่งข้อมลู https://www.silpa-mag.com/history/article_33105
Kapook. (๒๕๖๒). จินดามณี ตำราเรียนของไทยในสมัยอยุธยา ต้นแบบอักษรภาษาในปัจจุบัน (ออนไลน์).
[สบื คน้ เมอื่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๕]. จากแหลง่ ข้อมลู https://education.kapook.com/
Fatinee. (๒๕๖๐). วรรณคดีจินดามณี (ออนไลน์). [สืบค้นเมื่อ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๕]. จากแหล่งข้อมูล
https://jindamani.blogspot.com/?m=1
รายงานประจาสปั ดาหท์ ่ี ๓
เร่อื ง แบบเรยี นภาษาไทย สมัยรตั นโกสนิ ทร์ตอนตน้
รายวิชา วิวัฒนาการแบบเรยี นภาษาไทยเรอ่ื ง
สัปดาหท์ ่ี ๓ วนั พุธ ที่ ๒๙ เดือน มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๕๖๕
๑.ประวัตคิ วามเป็นมา
ราชอาณาจักรรัตนโกสนิ ทร์ เป็นราชอาณาจกั รทสี่ ใ่ี นยคุ ประวัตศิ าสตรข์ องไทย เร่ิมต้ังแตก่ ารย้ายเมืองหลวง
จากฝั่งกรุงธนบุรี มายังกรุงเทพมหานคร ซึ่งต้ังอยู่ทางตะวันออกของแม่น้าเจ้าพระยา พระบาทสมเด็จพระพุทธ
ยอดฟ้าจฬุ าโลก ปฐมกษตั ริย์แหง่ ราชวงศ์จักรี เสดจ็ ขน้ึ ครองราชสมบัติ เมือ่ วนั ท่ี ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ ครึ่งแรก
ของสมัยน้ี เป็นการเพิ่มพูนอ้านาจของอาณาจักร ถูกขัดจังหวะด้วยความขัดแย้งเป็นระยะกับพม่า เวียดนามและ
ลาว
สว่ นคร่งึ หลังน้นั เป็นการเผชญิ กับประเทศเจา้ อาณานคิ ม อังกฤษและฝรงั่ เศส จนท้าให้ไทยเปน็ เพียงประเทศ
เดยี วในเอเชียตะวันออกเฉียงใตท้ ่ีไม่ตกเป็นอาณานิคมของตะวันตก ผลกระทบจากภยั คกุ คามน้ัน น้าให้อาณาจักร
พัฒนาไปสู่รัฐชาติสมัยใหม่ที่รวมอ้านาจเข้าสู่ศูนย์กลาง โดยมีพรมแดนที่ก้าหนดร่วมกับชาติตะวันตก สมัยน้ีมี
พัฒนาการทางเศรษฐกิจและสังคมท่ีส้าคัญ ด้วยการเพิ่มการค้ากับต่างประเทศ การเลิกทาส และการขยาย
การศึกษาแก่ชนชั้นกลางที่เกิดข้ึน อย่างไรก็ตาม ไม่มีการปฏิรูปทางการเมืองอย่างแท้จริงกระท่ังระบอบสม
บรู ณาญาสิทธิราชถกู แทนท่ีด้วยระบอบราชาธปิ ไตยภายใตร้ ฐั ธรรมนญู ในการปฏวิ ตั สิ ยาม พ.ศ. ๒๔๗๕
การศึกษายังคงเป็นลักษณะเดยี วกับสมัยกรุงศรอี ยุธยามีวัดเป็นสถานทใ่ี หค้ วามรู้แก่ประชาชนการเรียนการ
สอนสุดแล้วแต่พระอาจารย์และภูมิปัญญาของศิษย์หนังสือท่ีใช้เรียนปรากฏจากหนังสือโบราณศึกษาว่ามี ๕ เล่ม
คือ ประถม ก กา สุบินทกุมาร ประถมมาลา ประถมจินดามณี เล่ม ๑ และประถมจินดามณี เล่ม ๒ หนังสือ
ดังกล่าว ต้องเรียนเป็นช้ัน ๆ เริ่มต้นด้วยประถม ก กา ก่อนแล้วจึงอ่านสุบินทกุมาร และเรียนประถมมาลา
ตอ่ จากนัน้ เรียนประถมจนิ ดามณี เล่ม ๑ ประถมจินดามณี เล่ม ๒
๒. หนังสือประถม ก.กา และประถม ก.กา หดั อ่าน
แบบเรียนประถม ก กา ไม่ได้ระบชุ ือ่ ผู้แต่ง และไม่ทราบสมยั ท่แี ตง่ พระวรเวทย์พิสฐิ สันนิษฐานว่า น่าจะใช้
เป็นแบบเรียนมาต้ังแต่สมัยอยุธยาตอนปลายในแผ่นดนิ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ และใช้เป็นแบบเรยี นในสมัยรชั กาล
ท่ี ๑ ถึง รัชกาลที่ ๕ ก่อนที่จะมีแบบเรียนมูลบทบรรพกิจ หนังสือประถม ก กา มีอยู่หลายฉบับด้วยกัน เมื่อกรม
ศึกษาธิการพิมพ์แบบเรียนได้นาเอาหนังสือประถม ก. กา ฉบับที่เจ้าหม่ืนศรีสรรักษ์ (หม่อมราชวงศ์จิตร สุทัศน์
ภายหลังเป็นพระยาศรวี รวงศ)์ รวบรวมไว้มาพมิ พ์เป็นแบบเรียนหนังสือไทยสาหรบั ช้นั มูลศึกษา1
1 วรเวทย์ พิสิฐ, (2543), แบบเรยี นประถม ก กา ฉบบั เจา้ หมื่นศรีสรรกั ษ์, (ออนไลน)์ , [ สบื คน้ เมือ่ ๒๙ มิถนุ ายน
๒๕๖๕ ], จากแหล่งท่มี า https://bit.ly/3aS97kS
๒๓
๒.๑ เน้อื หาแบบเรียนประถม ก. กา ฉบบั เจา้ หมนื่ ศรสี รรกั ษ์
๑) การเรียนพยญั ชนะ
แบบเรียนประถม ก กา แบ่งพยัญชนะท้ัง 44 ตัว ออกเป็น 6 ตอน ตามฐานที่เกิดของอักษร
โดยเรียกเป็น ตอน ก ตอน จ ตอน ฎ ตอน ด ตอน บ และ ตอน ย เพ่ือให้ง่ายแก่การจาด้วยตัวพยัญชนะท่ีมีการ
ออกเสียงใกล้เคยี งกนั ดงั นี้
ตอน ก คอื ก ข ฃ ค ฅ ฆ ง มีพยญั ชนะ 7 ตวั
ตอน จ คอื จ ฉ ช ซ ฌ ญ มพี ยัญชนะ 6 ตัว
ตอน ฎ คอื ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ มีพยญั ชนะ 6 ตัว
ตอน ด คือ ด ต ถ ท ธ น มพี ยัญชนะ 6 ตัว
ตอน บ คือ บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ ม มีพยญั ชนะ 7 ตวั
ตอน ย คอื ย ร ล ว ศ ษ ส ห ฬ อ ฮ มีพยัญชนะ 11 ตวั
๒) การเรียนสระ
มี 16 ตัว ได้แก่ ออ อา อิ อี อึ อือ อุ อู เอ แอ ไอ ใอ โอ เอา อา อะ และเพิ่มสระภาษา
สนั สกฤตเข้ามา 4 ตัว ได้แก่ ฤ ฤา ฦ ฦา รวมทง้ั หมด 20 ตัว จะเห็นไดว้ ่า การเรียงสระในสมัยก่อนจะเร่ิมจาก ออ
มาก่อน อะ แตแ่ บบเรียนในปัจจุบันจะเริ่มจาก อะ มากอ่ น ออ
๓) ไตรยางศ์ อกั ษร 3 หมู่
แบบเรียนประถม ก กา แจกพยัญชนะทั้ง 44 ตวั ออกเป็นอักษรกลาง สงู ต่า หรอื ที่เรียกว่า
อกั ษรสามหมู่ ดงั นี้
อกั ษรกลาง 9 ตวั คือ ก จ ฎ ฏ ด ต บ ป อ
อักษรสูง 11 ตวั คือ ข ฃ ฉ ฐ ถ ผ ฝ ศ ษ ส ห
อกั ษรตา่ 24 ตวั คอื ค ฅ ฆ ง ช ซ ฌ ญ ฑ ฒ ณ ท ธ น พ ฟ ภ ม ย ร ล ว ฬ ฮ
พยัญชนะท้ัง ๓ หมู่น้ีเรียกว่า ไตรยางศ์ ในการแจกลูกแม่ ก กา คือคาท่ีไม่มีตัวสะกดให้ออก
เสียงตามอักษรกลาง สูง ต่า ยกตัวอย่างเช่น ก กา กิ กี กึ กื กุ กู และ ข ขา คิ ขี คึ ขื ขุ ขู เป็นต้น จะสังเกตได้ว่า
คาข้างต้นมีเสียงหนักเบาต่างกันแต่คาหน้าสองตัวคือ ก กา และ ข ขา มีเสียงเบาเท่ากันของสระออและสระอา
ส่วนตวั อกั ษรอ่นื ๆ กม็ ีการแจกลกู แบบเดียวกันและใหอ้ อกเสียงหนกั เบาถกู ต้องเชน่ นที้ กุ ตวั
๔) การผันอกั ษร
วรรณยุกต์ทีใ่ ชใ้ นการผนั อกั ษร 3 หมู่ คือ ไมเ้ อก ไม้โท ไม้ตรี ไมจ้ ัตวา แตล่ ะหมจู่ ะมวี ิธกี ารผัน
และรปู การอ่านที่แตกตา่ งกันออกไป ดังน้ี
(1) อักษรกลางมีพยัญชนะ 9 ตัว คือ ก จ ฎ ฏ ด ต บ ป อ ผันด้วยวรรณยุกต์ ไม้เอก
ไม้โท ไมต้ รี ไมจ้ ตั วา ดว้ ยวธิ กี ารผนั ขน้ึ ลงตามเสียงสูงและเสียงทุ้มคลา้ ยรปู หนา้ จวั่ โดยมเี สยี งสามญั เป็นเสยี งต้งั ตน้
(2) อักษรสูงมีพยัญชนะ 11 ตัว คือ ข ฃ ฉ ฐ ถ ผ ฝ ศ ษ ส ห ผันด้วยวรรณยุกต์
ไมเ้ อก ไมโ้ ท มีวิธีการผนั ขนึ้ ลงตามเสยี งไมเ้ อก ไม้โท คล้ายรูปหางโคโดยยึดตัวแรก เสียงสามัญเป็นเสียงสูง และไล่
จากเสียงเอกลงมาเสียงโท
๒๔
(3) อักษรต่ามีพยัญชนะ 24 ตัว คือ ค ฅ ฆ ง ช ซ ฌ ญ ฑ ฒ ณ ท ธ น พ ฟ ภ ม ย ร
ล ว ฬ ฮ ผนั ด้วยวรรณยุกต์ ไมเ้ อก ไม้โท มีวิธีการผันข้ึนลงตามเสียงสูงและเสียงทมุ้ คลา้ ยรปู งากุญชร เสียงสามัญ
เป็นเสยี งกลาง เสียงเอกจะมีเสียงทุ้มและเสียงโทจะมีเสยี งข้นึ จะเหน็ ได้ว่าการผนั จะสลับกบั อกั ษรกลาง
๕) การเรยี นอกั ษรนา
อกั ษรนา คอื การนาพยัญชนะ 2 ตัวมาประสมเขา้ กับสระตวั เดียวกนั ในหนังสอื ประถม ก กา
ปรากฏการอา่ นออกเสียง 2 แบบ คือ อา่ นออกเสียงสองพยางค์และอ่านออกเสยี งพยางค์เดียว ดงั น้ี
(1) อ่านออกเสียงสองพยางค์ คือ อักษรสูงนาอักษรต่าท่ีไม่มีอกั ษรสูงเปน็ คู่กนั (อกั ษร
เดีย่ ว) ได้แก่ ง ญ ย ณ น ม ร ล ฬ ว โดยอา่ นพยางค์หน้าออกเสียงกึ่งสระอะ พยางค์หลังอ่านออกเสียงตามสระท่ี
ประสมคู่กบั ห นา เชน่ แสม อ่านว่า สะ-แหม, สมอ อ่านว่า สะ-หมอ, ฉนา อ่านว่า ฉะ-หนา, สง่า อ่านวา่ สะ-หง่า
และอักษรกลางนาอกั ษรต่า อา่ นออกเสยี งเหมอื นกนั กับตวั อย่างข้างต้น เช่น เตา่ ตนุ อา่ นว่า เตา่ -ตะหนุ
(2) อ่านออกเสียงพยางค์เดียว คือ ตัว ห นา ซ่ึง ห เป็นอักษรสูง ฉะนั้นการอ่านออก
เสยี งจึงสงู ตาม ห แต่จะไม่อ่านออกเสียง ห ด้วย เช่น ไหว ไหว้ ไหม ใหม่ ไหม้ ใหล ใหญ่ เป็นต้น และการใช้ตัว อ
นาแทน ห นาอา่ นออกเสยี งเหมือนกัน มีทั้งหมด 4 คา คอื อยา่ อยู่ อย่าง อยาก
๖) การเรียนอักษรกลา้
ประถม ก กา กล่าวถึงอักษรสูง อักษรกลาง อกั ษรต่า มีบางตัว คือ ข ฉ ถ ผ ศ ษ ส ก จ ต ป
ค ท พ ควบกับตัว ร ล ว อ่านออกเสียงประสบกับสระเป็นเสียงเดียวกัน มีการแจกลูกและผันด้วยวรรณยุกต์
ไมเ้ อก ไม้โท ไม้ตรี ไมจ้ ตั วา ตามพยญั ชนะตัวต้นท่ปี ระสมกัน เช่น ขวา สวา จรา ปลา กล้า ใกล้ แปร๋ ปร๋อ คว้าไขว่
ไพล่เพล โพลเ้ พล้ เปน็ ต้น
๗) คาเทยี บแม่ ก กา และแมอ่ นื่ ๆ
ประถม ก กา กล่าวถึงคาเทียบมาตราตัวสะกดท่ีผสมพยัญชนะอยู่ข้างหลัง มีท้ังหมด 8 แม่
ไดแ้ ก่ แม่ก กา ไมม่ ีตัวสะกดตามทา้ ย แม่กก แม่กง แม่กด แม่กน แมก่ บ แม่กม และแมเ่ กย ในหนังสอื ปรากฏการ
แจกลกู มาตราตวั สะกดในแม่ต่าง ๆ ดังน้ี
(1) แม่ ก กา ไม่มีตัวสะกดตามท้าย จะออกเสียงสูง กลาง ต่า ขึ้นอยู่กับการผสมสระ
และการผันวรรณยุกต์ ยกตัวอย่างการแจกลูกแม่ ก กา ในการผันสระ เช่น ก กา กิ กี กึ กื กุ กู เก แก ไก ใก โก
เกา กา กะ เป็นต้น ยกตัวอย่างการแจกลูกแม่ ก กา ในการผันวรรณยุกต์ เช่น ก ก่ ก้ ก๊ ก๋ กา ก่า ก้า ก๊า ก๋า แก
แก่ แก้ แก๊ แก๋ เป็นต้น จะสังเกตเห็นว่าสระและวรรณยุกต์มีอิทธิพล ต่อการออกเสียงสูง กลาง ต่า ในแม่ ก กา
อย่างเหน็ ได้ชัด
(2) แม่กก เป็นคาตายสะกดด้วย ก.ไก่ มีตัวพยัญชนะท่ีสามารถใช้แทนตัวสะกดในแม่
กก คอื ก ข ค ฆ การผันวรรณยกุ ตใ์ ชไ้ ม้โท ไม้ตรี ไมจ้ ตั วา ยกตัวอย่างการแจกลกู เช่น กก กัก กาก กิก กีก กึก กืก
กุก กกู เกก แกก โกก กอก กวก เกียก เกอื ก เกอก เปน็ ตน้
(3) แม่กง สะกดด้วย ง.งู สามารถผันตามเสียงอักษรสูง กลาง ต่า ดังที่กล่าวมาแล้วใน
การผันอักษรยกตัวอย่างการแจกลูก เชน่ กง กงั กาง กิง กีง กึง กืง กุง กูง เกง แกง โกง กอง กวง เกยี ง เกือง เกิง
เกอง เปน็ ตน้
๒๕
(4) แม่กด เป็นคาตาย สะกดด้วย ด.เด็ก ไม่ผันวรรณยุกต์ แต่มีตัวสะกดที่สามารถใช้
แทนหลายตัวคือ จ ช ซ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ด ต ถ ท ธ ศ ษ ส ยกตัวอย่างการแจกลูก เช่น กด กัด กาด กีด กึด กืด กุด
กดู เกด แกด โกด กอด กวด เกยี ด เกือด เกดิ เกอด เป็นตน้
(5) แม่กน สะกดด้วย น.หนู สามารถผันตามเสยี งสงู กลาง ต่า ดังที่กล่าวมาแลว้ ในการ
ผนั อักษร มีตัวสะกดท่ีสามารถใช้แทน 6 ตวั คือ ญ ณ น ร ล ฬ เช่น เพียร ตาล บุญ ยกตัวอย่างการแจกลูก เช่น
ขน ขนั ขาน ขนิ ขนี ขึน ขืน ขุน ขูน เขน แขน โขน ขอน ขวน เขยี น เขือน เขนิ เขอน เป็นต้น
(6) แม่กบ เปน็ คาตาย สะกดด้วย บ.ใบไม้ ไมม่ ีการผัน มตี ัวสะกดท่ีสามารถใช้แทน คือ
บ ป พ ฟ ภ เช่น ทัพ ธูป ยกตัวอย่างการแจกลูก เช่น ขบ ขับ ขาบ ขิบ ขีบ ขึบ ขืบ ขุบ ขูบ เขบ แขบ โขบ ขอบ
ขวบ เขือบ เขบิ เขอบ เปน็ ต้น
(7) แม่กม สะกดด้วย ม.ม้า ผันตามเสียงอกั ษรสูง กลาง ต่า ดงั ที่กลา่ วมาแลว้ ในการผัน
อักษรไม่สามารถใช้ตัวสะกดอ่นื แทนได้ แต่บางคาใช้นฤคหติ แทน ยกตัวอยา่ งการแจกลูก เช่น คม คมั คาม คมิ คีม
คมึ คืม คมุ คมู เคม แคม โคม คอม ควม เคียม เคือม เคอม เปน็ ตน้
(8) แม่เกย สะกดด้วย ย.ยักษ์ หรือเขียนเป็นแม่เกอย ในหนังสือเล่มน้ีเป็นการนาเอา
มาตราตัวสะกดแม่เกอวในปัจจุบัน เข้ามาในมาตราตัวสะกดแม่เกอยด้วย กล่าวคือ ในมาตราตัวสะกดน้ีสามารถ
สะกดไดท้ ้ัง ย.ยักษ์ และ ว.แหวน สลับกนั ตามการออกเสียง ยกตัวอย่างการแจกลูก เชน่ เกย,เกอว ออกเสยี งสะกด
เป็น กัย กาย กาว กวิ กีว กึย กืย กยุ กูย เกว แกว โกย กอย กวย เกียว เกอื ย เกยี เกียะ เกอื ะ เกอ เกอะ กวั กัวะ
เกะ แกะ โกะ เกาะ เปน็ ต้น ในมาตราตวั สะกดแม่เกยอักษรสงู และอกั ษรตา่ จะผันวรรณยุกต์ได้แคไ่ ม้เอกและไม้โท
สว่ นอักษรกลางจะผันวรรณยกุ ต์ได้ครบท้ังเสียง ไม้เอก ไม้โท ไมต้ รี ไม้จตั วา และยกแต่ตัวที่มีสัญชะนี (คาตาย) 8
ตัว คอื เกยี ะ เกือะ เกอะ กวั ะ เกะ แกะ โกะ เกาะ นอกเหนอื จาก 8 ตวั นจี้ ะผนั ไดเ้ พยี ง 5 คาตามการผนั อักษร
๘) หมวดคาตาย
อกั ษรคาตายเปน็ คาทีส่ งั เกตได้จากการออกเสียงคาเปน็ คาสั้นไมล่ ากยาว เช่น กิน จกุ จิก
เป็นตน้ จะอ่านออกเสียงสูงตา่ ตา่ งกนั ตามมาตราตัวสะกด โดยผู้แต่งแบ่งหมวดคาตายออกเป็น 3 ส่วน คอื คาตาย
ในแม่ ก กา คาตายในแมก่ ก กด กบ และคาตายในแมเ่ กย
๙) ตวั ร แทรก
ประถม ก กา กล่าวถึงการใช้ตัว ร คู่กับพยัญชนะตัว ท ตัว จ ตัว ศ ตัว ส โดยจะไม่อา่ นออก
เสยี งตัว ร แต่จะออกเสียงพยัญชนะท่เี ป็นอกั ษรนาเทา่ นน้ั โดยตวั ท กลา้ กบั ตัว ร ใหเ้ ขียนคกู่ นั เปน็ ทร มีข้อสงั เกต
คือ ไม่อา่ นออกเสียง ท แต่ให้อ่านออกเสยี ง ซ
๑๐) คาใชไ้ มม้ ว้ น
ประถม ก กา กล่าวถึง คนโบราณไดก้ าหนดคาที่ใชไ้ ม้ม้วนไว้ 20 คา ได้แก่ คาว่าใฝ่ฝัน สมใจ
ให้ทานภายใน ผ้าใหม่ สดใส ใครไปมา จะใคร่ได้ ยองใย ว่ิงใด ของใช้ หลงใหล ใส่ไคล้หญิงสะใภ้ เป็นใบ้ ภายใต้
ผ้ใู หญ่ ทางใกล้ มิใช่ ดอกแกมใบ
นอกจากน้ียังมีการใชไ้ มม้ ลายในคาที่มาจากภาษามคธ โดยมีข้อสังเกตคือ คาในภาษามคธมัก
มีตัว ย สะกด เช่นคาวา่ ไชยชนะ เมอื งไทย อะสงไขย เปน็ ต้น
๒๖
คาทแ่ี ผลงจากคาทีใ่ ชไ้ มม้ ้วนและไม้มลายมาใช้ไม้หันอากาศแทน แต่ยงั คงอ่านออกเสียงเป็นไม้
ม้วนหรือไมม้ ลาย โดยมีตวั ย เปน็ ตัวสะกด เช่นคาว่า พระวนิ ัย ปัจจยั พิสมัย วนิ จิ ฉยั เป็นต้น
๑๑) คาการันต์
ประถม ก กา กล่าวถึงคาการันต์ว่าเปน็ ตัวหนงั สือที่มไี มท้ ณั ฑฆาต (-์) อยู่ข้างบนพยัญชนะท้าย
คา โดยจะไม่อา่ นออกเสียง ดังต่อไปนี้ ตัวอย่าง เช่นคาวา่
พระสงฆ์ ประสงค์ หอยสังข์ พระองค์ พระหตั ถ์ แก่นจนั ทร์ เปน็ ตน้
12) ร หนั
ประถม ก กา กล่าวถึง การสะกดด้วยตัว รร (2 ตัว) เรียกว่า ร หัน ให้อ่านออกเสียงไม้หัน
อากาศ หากไม่มีตวั สะกดต่อท้าย ร หัน ใหเ้ ขา้ ใจวา่ ตอ้ งสะกดตามดว้ ยแมก่ น ตัวอย่าง เชน่ คาวา่
สรร อา่ นวา่ สัน
เลือกสรร อา่ นว่า เลือก-สนั
อัศจรรย์ อา่ นวา่ อัด-สะ-จัน
นอกจากน้ี ผแู้ ตง่ ไดอ้ ธิบายว่า คาที่มตี ัว ร และตัว ห นาหนา้ ตวั สะกด จะไมอ่ ่านออกเสยี งตวั ร
และตัว ห เช่นคาวา่ มารค อ่านว่า มาก, นารถ อ่านว่า นาด, พรหม อา่ นว่า พรม, พราหมณ์ อา่ นวา่ พราม เปน็ ต้น
ส่วนคาตอ้ งอ่านออกเสยี งตวั สระกดด้วย กลา่ วคือ เปน็ คาท่ีไม่ปรากฏพยัญชนะและสระแต่ใหอ้ า่ นออกเสียง สระอะ
เช่นคาวา่ กลั ยา อา่ นว่า กัน-ละ-ยา, เจรจา อ่านว่า เจ-ระ-จา, นพเก้า อ่านวา่ นบ-พะ-เกา่ , บุษบา อ่านวา่ บุด-สะ-
บา, เทศนา อ่านว่า เทด-สะ-หนา เป็นต้น และคาทมี่ ตี ัว ร สะกด แตใ่ ห้อ่านออกเสียงเป็นตัวอ สะกด กล่าวคือ ตัว
ร จะเป็นตวั สะกดในคานน้ั แต่จะอ่านออกเสียงตัว อ โดยที่ตวั อ ไม่ปรากฏรปู ในคาน้นั เช่น คาวา่ พร อ่านว่า พอน
, ถาวร อ่านวา่ ถา-วอน, สโมสร อ่านว่า สะ-โม-สอน, พระนคร อ่านว่า พระ-นะคอน, อาภรณ์ อ่านว่า อา-พอน.
เปน็ ต้น2
สรุปความได้ว่าแบบเรียนหนังสือไทย ประถม ก กา ฉบับหม่ืนศรีสรรักษ์ (หม่อมราชวงศ์จิตร สุทัศน์) แต่ง
ข้นึ ใน ร.ศ.125 และตีพิมพ์เป็นแบบเรียนหลวงสาหรบั พระภิกษุสงฆ์เพื่อใช้ประกอบการสอนหนังสือแก่ศิษย์ตาม
วัดท่ัวไปเป็นแบบเรียนสาหรับชั้นมูลศึกษา รวบรวมเนื้อหาท้ังหมดในแบบเรียนประถม ก กา ฉบับเดิมนามา
ดัดแปลงและสรุปสาระส่วนสาคัญอันเป็นพ้ืนฐานที่ผู้เรียนชั้นมูลศึกษาควรรู้ ให้เป็นเนื้อหาในเล่มเดียวกัน โดย
รวบรวมเนื้อหาและวธิ ีการนาเสนอท่ีจะทาให้ผู้เรียนเข้าใจง่ายและง่ายแก่การจา ได้แก่ การจาแนกพยัญชนะและ
สระ การจาแนกอกั ษรตามเสียง การแจกลูกมาตราตวั สะกดต่าง ๆ การผันอกั ษร อกั ษรนา อักษรกล้า สระ ฤ ฤา ฦ
ฦา หมวดคาตาย การใช้ อ นาแทน ห นา การใช้ตัว ร ผนั การใช้ ร หัน คาการนั ต์ คาที่ตอ้ งออกเสยี งตัวสะกดและ
คาท่ีถูกกาหนดให้ใช้ไม้ม้วน คือเป็นแบบเรียนช้ันมูลศึกษาในยุคอดีตท่ีใช้หลักของการสะกดคาแจกลูก และเรียบ
เรียงจากง่ายไปสู่ยาก เพ่ือเป็นพื้นฐานการอ่านเขียนสาหรับผู้เร่ิมเรียน ซ่ึงในท่ีนี้คือพระภิกษุสงฆ์และลูกศิษย์วัด
นั่นเอง
2 ภาสพงศ์ ผวิ พอใช้ และ ธันยาการต์ บุง้ ทอง, (2564), การวิเคราะห์แบบเรยี นประถม ก.กา ฉบบั เจ้าหมืน่ ศรีสร
รกั ษ์, Journal of Roi Kaensarn Academi, ปที ่ี 6 (ฉบับท่ี 11), ๓๓๔ - ๓๔๘.
๒๗
๓. สบุ นิ ทกุมาร
สบุ ินทกุมารหรอื สบุ ินคากาพย์ ไม่ปรากฏชื่อผ้แู ตง่ และสมัยท่ีแตง่ สันนษิ ฐานวา่ น่าจะแต่งในสมยั อยุธยาตอน
ปลาย เน่ืองจากลักษณะการแต่งเป็นกาพย์สาหรับสวด ซึ่งเรยี กวา่ กลอนสวดหรือกลอนวัดก็ได้ กลอนชนิดน้ีนิยม
แต่งกันมาต้ังแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาตอนปลายจนถึงรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สุบินทกุมารมีหลายช่ือ เช่น
สบุ ินคากาพย์ สุบินคาเก่า สุบินกลอนสวดหรือกลอนสวดสุบิน เป็นต้น นิยมท่องสวดกนั มากและมีการคัดลอกกัน
เป็นหลายสานวน หลายฉบับ ทาให้มีรายละเอียดแตกต่างกันออกไป แต่ใจความสาคัญของเร่ืองยังคงเหมือนกัน
อย3ู่
๓.๑ เน้อื หาแบบเรียนสบุ ินทกมุ าร
หนังสอื สบุ ินทกุมารมีโครงเรื่องเด่นเหมาะแก่การปลกู ฝ่ังคตธิ รรมให้แก่เดก็ แล้วอีกประการหนึ่งการที่
มีตัวเอกของเร่ืองเป็นเด็กย่อมมีส่วนเร้าใจให้เด็กชื่นชอบ และบทบาทของตัวละครน้ันที่วนเวียนอยู่ในเร่ืองของ
ครอบครัว คือ พ่อ แม่ ลูก ฉะนนั้ เด็ก ๆ ซ่ึงสามารถเขา้ ถึงเรื่องราวได้ดกี ว่าเพราะเป็นเร่ืองใกลต้ วั อีกประการหน่ึง
ของตวั เอกคอื สุบินทกมุ ารนัน้ น่าจะเป็นแบบอย่างของเดก็ ทใ่ี ฝใ่ นกศุ ล
มีเรือ่ งราวโดยสรปุ ว่า สุบินเปน็ ลูกชายพรานป่า พ่อตายจากไปต้ังแต่เลก็ ๆ แม่อยากให้สบุ ินยดื อาชีพ
พรานป่า แต่สุบินเลื่อมใส่ในพุทธศาสนาจึงบวชเป็นเณร แม่ไมพ่ อใจเพราะยากจนไม่มีใครช่วยประกอบอาชีพ วัน
หนึ่งนางเหนื่อยหลับไปพระยายมได้นาวิญญาณของนางไปนรก แต่ผลบุญของเณรสุบินช่วยนางได้ พระยายมจึง
ต้องนาวิญญาณมาคืนร่าง นางจาความได้จึงเล่าให้เณรสุบินฟัง เณรเทศน์โปรดมารดาในท่ีสุดนางจึงบวชเป็นชี
ทราบเร่ืองถงึ พระเจ้ากรุงสาวตั ถีและชาวบา้ นทุกคนจึงพากนั เข้าวัดทาบุญ คร้ันโตขนึ้ พระเจ้ากรุงสาวตั ถีจงึ บวชพระ
ใหเ้ ณรสุบิน ด้วยอานสิ งส์นี้สามารถช่วยพ่อซึ่งตกนรกได้ไปเสวยสุขในสวรรคไ์ ด้ สว่ นแมช่ ีผเู้ ปน็ มารดาก็ไปสู่สวรรค์
เชน่ กัน4
เน้ือหาสุบินทกุมาร พบว่าแก่นของเรื่องน้ันมุ่งท่ีจะให้แนวคิดแก่ผู้อ่านในทางกุศลธรรม ตาม
หลักการของพุทธศาสนา จึงเห็นว่าเรื่องสุบินทกุมารเป็นวรรณกรรมของชาววดั อย่างแท้จริง คือให้ทัศนะอันกว้าง
แก่ผู้ใฝ่ในศาสนา ที่จะยึดแนวในการประพฤติปฏิบัติตามกุศลกรรม ฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกประหลาดอะไรที่
วรรณกรรมเร่อื งน้ีเจริญรุ่งเรื่อง และแพรก่ ระจายอย่ใู นกลุ่มชาวบ้านและชาววัด เด็ก ๆ ทีใ่ ฝใ่ จในการศึกษาจะต้อง
เล่าเรียนจากสานักวัดในสมัยโบราณ ครูซึ่งเป็นพระภิกษุจึงนาเร่ืองสุบินท กุมารมาเป็นหนังสืออ่านเสริม
ประสบการณแ์ ละคงประสบความสาเรจ็ อยา่ งยิ่ง คือเดก็ ๆ ชอบอ่าน มคี วามฟงั ใจทจ่ี ะอ่านเร่ืองนี้ เพราะวา่
3 บา้ นจอมยุทธ, (๒๕๔๓), หนงั สือเรยี นภาษาไทยท่คี วรร้จู กั สบุ ินทกุมาร, (ออนไลน์), (สบื คน้ เม่อื ๒๙ มถิ ุนายน
๒๕๖๕), จากแหล่งทีม่ า https://shorturl.asia/SFtr7
4 มานานกุ รมวรรณคดีไทย, (๒๐๑๕), สบุ ินคากาพย์, (ออนไลน์), [สบื ค้นเม่อื ๒๙ มถิ ุนายน ๒๕๖๕], จากแหล่งที่มา https:
//shorturl.asia/Dj1Ua
๒๘
1) แต่งเปน็ กลอนสวด มีลีลาจงั หวะคล้องจองสั้น ๆ เหมือนกบั กลอนประกอบการเล่นของเด็ก
เช่น จาจมี้ ะเขอื เปราะ หรอื รรี ีข้าวสาร หรอื แมงมมุ เอย๋ ขยุม้ หลงั คา เปน็ ต้น
2) ตัวเอกของเรื่องคือ สุบินทกุมาร เป็นเด็กและมีใจใฝ่คาสนาอย่างม่ันคง เป็นวีรบุรุษใน
ดวงใจของเด็ก ๆ ที่อา่ นหนังสอื อันเปน็ สง่ิ เร้าความสนใจแก่เดก็ นักเรยี นที่อ่านอกี ด้วย
3) ตัวละครส่วนใหญ่เป็นบุคคลในครอบครัว ซ่ึงเด็กนักเรียนท่ีอ่านย่อมมีจินตนาการและมี
ความรับร้ใู นเรื่องราวได้ดี
๔) สอดแทรกหลักธรรม ซึ่งชาวบ้านชาววัดพึงใจท่ีจะส่ังสอนกลบุตรของตนเองอยู่แล้ว จึงมี
ความพงึ ใจที่จะให้บุตรหลานของตนได้ศกึ ษา
สรปุ ความได้วา่ แบบเรยี นสบุ ินทกุมาร ไมเ่ พยี งแตเ่ ป็นธรรมนยิ าย แต่ยงั เหมาะกับความสนใจของเดก็ ๆ ได้ดี
และเร้าใจใหเ้ ด็ก ๆ สร้างวีรบุรุษประจาใจของตนในทางดี ทางกุศลตามโลกทรรศน์ของคนไทยสมัยกอ่ น ทั้งทเี่ ป็น
ชาวเมอื ง ชาวบ้านและชาววัด
๔. แบบเรียนประถมมาลา
๔.๑ ประวัติผู้แต่งแบบเรียนประถมมาลา
ผแู้ ต่งแบบเรียนประถมมาลาเป็นพระภิกษุ มีนามเดิมว่า ผ้ึง หรือ พึ่ง ดารงสมณศักดเิ์ ป็น พระราชาคณะที่
พระเทพโมฬีสถิต ณ วัดราชบูรณะ ประมาณสมัยรัชกาลท่ี ๓ พระเทพโมฬี เป็นกวที มี่ ีภมู ชิ ั้นสูงและมีความสามารถ
ดา้ นการแตง่ บทกลอนได้อย่างไพเราะ สละสลวย
๔.๒ ประวัติแบบเรยี นประถมมาลา แบบเรยี นประถมมาลาก็เป็นหนังสือแบบเรียนไทยสมัยโบราณอีกเล่ม
หน่ึง เนื้อหาภายในเก่ียวกับคาสุภาษิตสั่งสอนการเล่าเรียนในสมัยก่อน หนังสือประถมมาลาแม้เป็นหนังสือ
แบบเรียนซงึ่ นับว่าเปน็ หนงั สือชนิดตารา ผู้แต่งตอ้ งหาโวหารและถ้อยคาอนั จะพงึ นามาใช้อย่างจากัด เช่น คากลอน
ตอนแม่ ก กา ก็ต้องใช้คาแต่ในพวก ก ข ก กา หรือในแม่กน ก็ต้องหาคามาใช้ได้แต่ในแม่กน ก กา ก ข เป็นต้น
แม้กระนั้นกย็ งั สามารถแตง่ กลอนไดไ้ พเราะและชดั เจน5
หนงั สือประถมมาลาเป็นหนังสอื แบบเรยี นสมยั โบราณ โดยจะใชส้ าหรับผ้ทู อ่ี ่านออกแล้ว ผ้ทู จี่ ะเรยี นหนังสือ
เลม่ นจี้ ะตอ้ งเรยี น ประถม ก กา เสียกอ่ น เนอ้ื หาภายใน เกี่ยวกับ โคลง ฉนั ท์ กาพย์ กลอน สาหรบั หดั อา่ น
๔.๓ ลักษณะการแต่ง
การแต่งเป็นกาพย์ หรือเรียกว่า กลอนสวด มีท้ังกาพย์ยานี กาพย์ฉบัง และกาพย์สุรางคณางค์ เนื้อหา
เกี่ยวกับอักขรวิธี โดยใช้คาประพันธ์ให้มีใจความครบถ้วนสมบูรณ์ มีโคลงอธิบายสมบูรณ์ การแต่งมุ่งอธิบาย
หลักเกณฑ์อยา่ งสนั้ ๆ ง่าย ๆ ได้กะทัดรดั และชัดเจน
5 ครูบรรเพญ็ , (ม.ป.ป), หนังสอื ประถมมาลา, (ออนไลน์), [สืบคน้ เมื่อ ๒๙ มถิ ุนายน๒๕๖๕], จากแหล่งท่มี า https://
sho
rturl.asia/dkNti
๒๙
๔.4 สาระสาคัญ
เน้ือหาเรียบเรียงไวอ้ ย่างสัน้ ๆ ให้สอดคล้องกับหนังสือจินดามณฉี บับพระโหราธิบดี เนื้อหาแบ่งเป็น ๒ ตอน
คือ
๑) กฎเกณฑ์ทางอกั ขรวธิ ี อธิบายกฎเกณฑต์ ่าง ๆ และสอดแทรกคาสอนไว้อธิบายหลักการเขียนอา่ น
คาไทย ไตรยางค์ การใช้เครื่องหมายและหลักไวยากรณ์ภาษาบาลี
๒) หลกั การแต่งคาประพันธ์ อธิบายโคลงสสี่ ภุ าพ มตี วั อย่างโคลงกระท้แู ละโคลงกลบท6
สรุปความได้ว่าแบบเรียนประถมมาลาเป็นแบบเรียนกฎเกณฑ์อักขรวิธี (หลักการเขียนการอ่าน) มีเนื้อหา
สอดคล้องกับหนังสือจินดามณี ฉบับพระโหราธิบดี เป็นแบบเรียนที่ช่วยในเร่ืองการจาให้เด็กได้เป็นอย่างดี
เพราะว่าเปน็ กลอนสวด ซ่งึ มลี าจังหวะเหมาะแกก่ ารทอ่ งจา
๕. แบบเรียนประถมจนิ ดามณี เล่ม ๑ (ฉบับพระโหราธิบด)ี
เป็นแบบเรียนเล่มแรก แต่งโดยพระโหราธิบดี ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช คาว่า จินดามณี
หมายถึง แกว้ สารพัดนึก ผู้แต่งใช้ชื่อนี้เพื่อใหม้ ีความหมายว่า ผู้ใดได้เรียนหนังสือนีแ้ ล้วจะแตกฉานทางภาษาไทย
เหมือนมแี กว้ สารพัดนึก
หนังสือจินดามณี เป็นหนังสือแบบเรียนเพ่ือสอนอ่านและเขยี น การสอนมุง่ เพื่อการเขยี นคาศัพท์ต่าง ๆ ให้
ถกู ต้อง พร้อมทั้งการผนั เสียง เมือ่ อา่ นเขยี นได้ถกู ต้องแล้วจึงแตง่ คาประพันธ์ และรหัสต่าง ๆ ซึ่งเป็นศาสตร์ช้ันสูง
ในสมัยนั้น เช่น รหัส ได้แก่ อักษรเลขไทยนับ ๓ เปน็ ต้น ผู้ที่จะถอดข้อความจะต้องร้รู หัสต่าง ๆ เช่น ตัวอักษรที่มี
รหสั เปน็ ตวั เลขหรือการชักตวั อกั ษรจากคาประพันธ์เพ่อื นามาประสมใหเ้ ปน็ ข้อความตดิ ตอ่ กนั และอา่ นได้ความ
จินดามณีมีหลายฉบับ แบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ คือ จินดามณีฉบับความแปลก คือ ฉบับท่ีมีข้อความ
สว่ นมากแปลกไปจากจนิ ดามณีฉบบั อื่น ๆ จินดามณฉี บบั ความพ้อง คอื ฉบับทม่ี ีข้อความพอ้ งกันเปน็ สว่ นมาก มีท่ี
แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย จินดามณีฉบับพระนิพนธ์ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท และจินดามณีฉบับหมอบรัดเลย์
เหตุที่มีหลายฉบับ อาจเป็นเพราะเป็นหนังสือแบบเรียนที่สาคัญมาก มีการคัดลอกกันต่อ ๆ มา ผู้คัดลอกได้เขียน
คาอธิบายเพิ่มเติมบ้างหรือนาข้อความจากหนังสืออื่นมาแทรกบ้าง สันนิษฐานว่าท่ีใช้เป็นแบบเรียนนั้น คงเป็น
จินดามณฉี บับความพ้อง เพราะมจี านวนมากฉบับกว่าจนิ ดามณีฉบบั อนื่ ๆ7
6 บ้านจอมยุทธ, (๒๕๔๓), หนงั สอื เรยี นภาษาไทยท่คี วรรูจ้ กั ประถมมาลา, (ออนไลน์), [สบื ค้นเมอื่ ๒๙ มิถุนายน
๒๕๖๕]จากแหลง่ ท่ีมา https://shorturl.asia/Mlv8Z
7 MTHAI. (๒๗๑๘), หนังสือจนิ ดามณีแบบไทยเล่มแรกสมัยอยธุ ยา, (ออนไลน์), [สืบค้นเมื่อ ๒๙ มถิ ุนายน ๒๕๖๕],
จากแหล่งที่มา https://shorturl.asia/kIxPp
๓๐
ธนิต อยู่โพธ์ิ ได้ชาระสอบสวนและทาเชิงอรรถข้อความท่ีแตกต่างกันพร้อมกับแบ่งประเภทของหนังสือ “จินดา
มณ”ี ไว้ 4 ประ เภท ดังนี้
1) “จินดามณี” ฉบบั ความแปลก คือ เป็นฉบับท่ีมีข้อความแปลกไปจาก “จินดามณี” ฉบับอื่น ๆ มี
อยู่ 2 ฉบับคือ ฉบับสมเด็จพระเจา้ บรมวงศ์เธอกรมพระยาดารงราชานุภาพ ประทาน 1 เลม่ (หมายเลขที่ ๑) และ
ฉบับท่เี ปน็ สมบัตเิ ดิมของหอสมุดแห่งชาติ 1 เลม่ (หมายเลขที่ 1/ก) ท้งั สองเลม่ น้ีเป็นสมุดไทยดาเสน้ รง
2) “จินดามณี” ฉบับความพ้อง คือ ฉบับที่มีข้อความพ้องกันเป็นส่วนมาก มีหลายเล่มสมุดไทย
หอสมุดแห่งชาติซ้ือไว้บ้าง มีผู้ให้บ้าง เข้าใจว่าบางเล่มตรงกับท่ีหมอสมิทเคยได้ไปทาต้นฉบับพิมพ์จาหน่ายที่โรง
พิมพ์ครูสมิทบางคอแหลม จ.ศ. 1232 (พ.ศ. 2413)
3) “จินดามณี” ฉบับพระนิพนธ์กรมหลวงวงษาธิราชสนิท คือฉบับท่ีเป็นบทนิพนธ์ใหม่สมัย
รัตนโกสนิ ทร์ เป็นคาโคลง กรมหลวงวงษาธิราชสนิท ทรงแต่งตามรบั สัง่ ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
เพอื่ ใหก้ ลุ บตุ รและกลุ ธดิ าไดเ้ ล่าเรียน โดยยดึ ถอื เอา “จนิ ดามณี” ของพระโหราธิบดเี ปน็ หลกั ในการแตง่
4) “จนิ ดามณี” ฉบับหมอบรัดเลย์ รวบรวมพิมพ์จาหน่าย คือฉบับที่มีทั้งประถม ก กา แจกลูก กับ
ประถมมาลาและปทานุกรม พิมพ์รวมอยู่ในเล่มเดยี วกัน “จินดามณี” ฉบับหมอบรดั เลย์รวบรวมนี้ ต่อมาโรงพิมพ์
พานชิ ศุภผล ได้เอามาพิมพจ์ าหน่ายอีกเมอ่ื ร.ศ. 124 (พ.ศ. 2448)8
สรุปความได้ว่าแบบเรยี นแบบเรียนประถมจินดามณี เลม่ ๑ เป็นแบบเรียนไทยเล่มแรกและเป็นแม่บทของ
แบบเรยี นสมัยต่อมาอกี หลายเล่มท่ีแพร่หลายตัง้ แต่สมยั อยุธยาและรัตนโกสินทร์ตอนตน้
๖. แบบเรียนจนิ ดามณี เล่ม ๒
จินดามณี เป็นช่ือของหนังสือแบบเรียน ซ่ึงพระโหราธิบดีเรียบเรียงข้ึนในสมัยรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์
มหาราช และใช้เปน็ แบบเรียนสืบเนื่องมาจนถึงรตั นโกสนิ ทรต์ อนตน้
ในรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระน่ังเกลา้ เจ้าอยู่หวั ทรงพระราชปรารภว่า พระราชโอรสที่ทรงพระเยาว์ไม่
ทรงมคี วามรู้เชยี่ วชาญในเชิงอักษรศาสตร์ และกวีนพิ นธ์ กรมหลวงวงษาธริ าชสนิทจึงทรงพระนพิ นธจ์ ินดามณีเล่ม
2 ขึ้น เพื่อใชเ้ ป็นหนงั สือแบบเรียน โดยหลงั จากแจกนมัสการแล้ว เป็นการแจกลูกอักษร 3 หมู่ โดยละเอียดทุกตัว
และทกุ มาตราตวั สะกด ไดแ้ ก่ แม่ ก กา กก กด กง กน กม และ เกย การแจกอกั ษรควบกล้า การผันวรรณยุกต์ ซ่ึง
เน้อื หาสาระดงั กล่าวมีความละเอยี ดกว่าหนังสือจินดามณเี ล่ม 1
หนังสือจินดามณีฉบับกรมหลวงวงษาธิราชสนิท นอกจากจะมีการแจกลูกอักษรโดยละเอียดแล้ว ยังมี
คุณลักษณะโดดเด่นอีกประการหนงึ่ คอื ความงามเชิงวรรณศิลปท์ ป่ี รากฏอยูใ่ นคาประพันธท์ ุกชนิดตงั้ แต่ตน้ จนจบ
๖.๑ สาระสาคัญและเนอื้ หาของหนงั สือจินดามณี
8 ธนติ อยู่โพธิ์, (2562), ความเปน็ มาแบบเรียนไทย, (ออนไลน์), [สบื คน้ เมอ่ื ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๖], จากแหลง่ ท่ีมา
https://kuza.me/y1qvM
๓๑
จินดามณีเปน็ การสอนพ้ืนฐานอักขรวธิ ีไทยและเน้นเร่ืองการประพันธ์ร้อยกรองแบบต่าง ๆ ซ่ึง
กวีในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นมักต้องศึกษากลวิธกี ารประพันธ์จากหนังสือเล่มน้ี โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็น 4 ตอน
ดงั นี้
ตอนที่ 1 ว่าด้วยอักขรวิธี การแจกลูก การผันอักษรสูง อักษรกลาง อักษรตา่ และการ
ประสมอกั ษร
ตอนท่ี 2 ว่าด้วยการประพันธ์โคลงแบบต่าง ๆ
ตอนที่ 3 เป็นคาประพันธ์ข้ึนต้นด้วย “ร่ายกาพย์” 1 บท ตามด้วยโคลงส่ีสุภาพ 33
บท เนอื้ หาเปน็ การชมพระนคร ยอพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจา้ อย่หู ัว และมูลเหตุที่ทรงพระนิพนธ์
จินดามณเี ลม่ 2
ตอนที่ 4 เปน็ สุรางคนางค์ 28 จานวน 5 บท (วรรคละ 4 คา บทละ 7 วรรค) แล้วนา
คาในแต่ละวรรคไปต้ังเป็นกระทู้นาบาทโคลงสี่สุภาพ 35 บท เนื้อหาเป็นสุภาษิตสั่งสอนข้อปฏิบัติของผู้ที่จะเป็น
ข้าราชการ โดยความตอนนี้สามารถเรียกได้อีกอย่างหน่ึงว่า โคลงสุภาษติ จนิ ดามณี ตอ่ จากสุภาษิตเปน็ บทสรปุ ขอ
พร และบอกศกั ราช แต่งเป็นโคลงสสี่ ุภาพอีก 6 บท9
สรปุ ความไดว้ า่ แบบเรียนจินดามณีเล่ม ๒ กย็ ังคงมีลกั ษณะเชน่ เดียวกบั แบบเรยี นเลม่ อื่น ๆ ท่ปี รากฏอยูแ่ ล้ว
9 จฬุ าวทิ ยานกุ รม, (๒๕๕๔),จินดามณีเลม่ ๒, (ออนไลน์), [สืบคน้ เม่อื ๒๙ มิถนุ ายน ๒๕๖๕], จากแหล่งที่มา https://
shorturl.asia/6HrZT
๓๒
เอกสารอ้างอิง
ครบู รรเพ็ญ. (ม.ป.ป). หนังสือประถมมาลา. (ออนไลน์). [สบื ค้นเมอื่ ๒๙ มิถนุ ายน ๒๕๖๕]. จากแหลง่ ที่มา https:
//shorturl.asia/dkNti
จุฬาวิทยานุกรม. (๒๕๕๔). จินดามณีเล่ม ๒. (ออนไลน์). [สืบค้นเมื่อ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๕]. จากแหล่งที่มา
https://shorturl.asia/6HrZT
ธนิต อยู่โพธ์ิ, (2562). สารวจหนังสือ “แบบเรียน” ยุคสุโขทัยถึงคณะราษฎร การศึกษาเจริญช้า เกี่ยวกับ
แบบเรียนไหม. (ออนไลน)์ . [สบื คน้ เมือ่ ๒๙ มถิ ุนายน ๒๕๕๖]. จากแหลง่ ท่ีมา https://kuza.me/y1qvM
บา้ นจอมยทุ ธ. (๒๕๔๓). หนังสือเรยี นภาษาไทยท่คี วรร้จู กั สบุ นิ ทกมุ าร. (ออนไลน)์ . (สืบคน้ เมอ่ื ๒๙ มิถุนายน
๒๕๖๕). จากแหล่งทม่ี า https://shorturl.asia/SFtr7
บ้านจอมยุทธ. (๒๕๔๓). หนังสือเรียนภาษาไทยท่ีควรรู้จักประถมมาลา. (ออนไลน์). [สืบค้นเม่ือ ๒๙ มิถุนายน
๒๕๖๕]. จากแหล่งทม่ี า https://shorturl.asia/Mlv8Z
ภาสพงศ์ ผวิ พอใช้ และ ธนั ยาการต์ บงุ้ ทอง. (2564). การวิเคราะหแ์ บบเรียนประถม ก.กา ฉบับเจา้ หม่ืนศรสี ร
รักษ์. Journal of Roi Kaensarn Academi. ปที ี่ 6 (ฉบบั ท่ี 11). ๓๓๔ - ๓๔๘.
มานานกุ รมวรรณคดีไทย. (๒๐๑๕). สุบินคากาพย์. (ออนไลน)์ . [สบื ค้นเมื่อ ๒๙ มถิ ุนายน ๒๕๖๕]. จากแหลง่ ทมี่ า
https://shorturl.asia/Dj1Ua
วรเวทย์ พสิ ิฐ, (2543). แบบเรียนประถม ก กา ฉบับเจา้ หมนื่ ศรีสรรกั ษ์. (ออนไลน์). [สืบค้นเมื่อ ๒๙ มถิ ุนายน
๒๕๖๕]. จากแหล่งทม่ี า https://bit.ly/3aS97kS
MTHAI. (๒๗๑๘). หนงั สอื จนิ ดามณแี บบไทยเลม่ แรกสมยั อยธุ ยา. (ออนไลน์). [สืบคน้ เมือ่ ๒๙ มถิ ุนาย ๒๕๖๕].
จากแหลง่ ที่มา https://shorturl.asia/kIxPp
แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ๔
เร่อื ง แบบเรยี นหลวงของพระยาศรสี นุ ทรโวหาร
วชิ าววิ ัฒนาการแบบเรียนภาษาไทย
สปั ดาหท์ ี่ ๔ วันจันทร์ ท่ี ๑๘ เดือน กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๕ เวลา ๓ ชว่ั โมง
๑. ประวตั ิความเปน็ มา
แบบเรียนภาษาไทยเท่าที่ปรากฏหลักฐานขึ้นคร้ังแรกในสมัยอยุธยา รัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ชื่อวา่ จินดามณี ตาราวา่ ด้วยระเบยี บทางภาษาไทย แต่งโดยพระโหราธบิ ดี ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ มีแบบเรียน
ภาษาไทยเท่าที่พบ ๓ เล่ม ประกอบด้วย ประถม ก กา ประถมมาลา สันนิษฐานว่าแต่งในสมัย
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ และอักษรนิติ ซ่ึงสันนิษฐานว่าแต่งขึ้นในสมัย
พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หวั รัชกาลที่ ๔
ตอ่ มาเมือ่ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเล่าเรียนหลวงข้ึน
นั้น จึงทรงให้พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจาริยางกูร) เรียบเรียงแบบเรียนหลวงข้ึน ๑ ชุด ประกอบด้วย
หนงั สอื จานวน ๕ เล่ม คือ มลู บทบรรพกจิ วาหะนติ น์ิ ิกร อักษรประโยค สังโยคพิธาน พิศาลการันต์ และภายหลัง
จึงไดเ้ รียบเรยี งเพ่ิมอกี หน่งึ เรอื่ ง คอื ไวพจน์พจิ ารณ์ รวมเปน็ ๖ เล่ม เมอื่ แลว้ เสรจ็ พระเจ้าราชวรวงศ์เธอกรมหมื่น
อกั ษรสาสนโสภณจึงไดน้ าต้นฉบบั ดงั กลา่ วข้ึนทูลเกลา้ ฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ พระท่ี
นั่งเก๋งราชฤาดี และโปรดเกล้าฯ ให้ลงพิมพ์ที่โรงพิมพ์หลวงในพระบรมมหาราชวัง จานวน ๒,๐๐๐ ฉบับ โดยมี
วัตถปุ ระสงค์ คือ เพือ่ ไวส้ าหรบั เป็นแบบให้กุลบุตรศกึ ษาเรียนหนังสอื ไทย เป็นเครื่องเรืองปัญญา ให้ได้ความฉลาด
รใู้ ชอ้ ักษรแลไมเ้ อกโท ใหถ้ ูกถ้วนชานาญชัดเจน กวา้ งขวางเปน็ คุณแก่ราชการสืบไป
ตาราชดุ นี้นบั ได้วา่ เปน็ แบบเรยี นภาษาไทยเบ้ืองต้นอย่างเป็นทางการท่ีมีการเรียบเรียงข้ึนและกาหนดให้ใช้
อย่างแพรห่ ลาย เม่อื มีการสอบไล่หนังสือไทยครั้งแรกใน พ.ศ. ๒๔๒๗ ก็กาหนดให้ศึกษาจากแบบเรียนดังกล่าวน้ี
ดังประกาศการเรียนหนังสือสมัยรัชกาลท่ี ๕ ซึ่งออก ณ วันศุกร์ เดือนสามขึ้นสองค่า ปีระกา สัปตศก จุลศักราช
๑๒๔๗ (พ.ศ. ๒๔๒๘)๑
๑ The Kommon, (๒๕๖๕), มูลบทบรรพกิจ แบบเรียนหลวงเล่มแรกในสมัยรัตนโกสินทร์, (ออนไลน์), [สืบค้นเม่ือ ๒
สงิ หาคม ๒๕๖๕], แหล่งทม่ี า https://www.thekommon.co/mulabot
๓๔
๒. เนอ้ื หาแบบเรียนหลวง
หนังสือแบบเล่าเรียนหลวงดังกล่าวน้ี เข้าใจกันว่าพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจาริยางกูร) อาจจะได้
เค้าโครงมาจาก จินดามณี โดยคาดว่า มูลบท ได้ใช้เรียกเป็นชื่อย่อของตาราเรียนท้ังห้าตอนน้ี ในเนื้อเร่ืองแต่ละ
ตอน จะมีเน้อื ความสอนวธิ อี า่ น และเขียนหนังสือไทย โดยหนงั สอื ทงั้ ๖ เล่ม ประกอบดว้ ย
มลู บทบรรพกิจ วา่ ดว้ ย สระ และพยญั ชนะ
วาหะนติ น์ิ ิกร วา่ ดว้ ย อักษรนา
อกั ษรประโยค วา่ ดว้ ย อกั ษรควบและการใชบ้ ุรพบท กับ แก่ แต่ ต่อ
สงั โยคพิธาน ว่าดว้ ย พยัญชนะทีส่ ะกดในมาตราแม่กน กก กด กบ
ไวพจน์พิจารณ์ ว่าด้วย คาพ้องเสยี ง
พศิ าลการนั ต์ ว่าดว้ ย การใชก้ ารนั ต์และการใชว้ รรณยกุ ต์ ตรี จัตวา และไม้ไต่คู้
๑) มูลบทบรรพกจิ
เป็นแบบเรยี นหนังสือไทยพื้นฐานเบอ้ื งตน้ ซ่ึงเมอ่ื เรียนจบแล้วจะอ่านเขียนหนังสือไทยขั้นต้นได้เป็นอย่างดี
นาไปสู่การเรียนรู้ในขั้นต่อไปได้ง่าย ดังนั้น มูลบทบรรพกิจจึงเป็นข้ันตอนท่ีมีความสาคัญสูงสุดหนังสือ
มลู บทบรรพกิจ เริ่มตน้ ดว้ ยการแสดงรูปสระ พยัญชนะ วรรณยุกต์ และเครอื่ งหมายพเิ ศษต่าง ๆ
พยัญชนะแบง่ ออกเป็น ๓ หมู่ คอื อักษรสูง อกั ษรกลาง และอักษรต่า จากน้ันนาอักษรไปประสมเสียงตาม
สระเป็น แม่ ก กา แล้วผันด้วยวรรณยุกต์ แจกด้วย แม่ กน แล้วผันด้วยวรรณยุกต์ แจกในแม่ กง แล้วผันด้วย
วรรณยกุ ต์ แจกดว้ ยแม่ กก แม่ กด แม่ กบ ทั้ง ๓ แม่น้ี เป็นคาตาย ผันด้วยวรรณยุกต์ เอก โท ไม่ได้ การมี ห นา
อกั ษรตา่ ใน แม่ กก กด กบ แจกในแมก่ ม แล้วผนั ดว้ ยวรรณยกุ ต์ แจกดว้ ยแมเ่ กย แลว้ ผันดว้ ยวรรณยกุ ต์
เน้อื หาของมลู บทบรรพกจิ ประกอบดว้ ย ปกนอกทีบ่ อกข้อมลู รายละเอียดการพิมพ์ ถัดมามีภาพประกอบ ๓
ส่วน สว่ นแรก คอื ภาพของพระยาศรสี ุนทรโวหาร (นอ้ ย อาจารยางกรู ) ผู้แต่ง สว่ นที่สอง เป็นชุดพยัญชนะ ๔๔ ตัว
ก-ฮ พรอ้ มรูปภาพประกอบ สว่ นทีส่ าม เป็นภาพตวั พมิ พ์พยญั ชนะทงั้ ๔๔ ตัวเรียงกนั อีกครง้ั โดยแบ่งเปน็ วรรค คือ
ก-ง/ จ-ญ/ ฎ-ณ/ ด-ฟ และเศษวรรค ภ-ฮ เน้ือหาต่อมาคือท่ีมาของแบบเรียน ตามด้วยบทนาเป็นโคลงส่ีสุภาพ
จานวน ๑๐ บท กลา่ วถงึ วัตถุประสงคแ์ ละบทไหว้ครู
ตามดว้ ยเนอ้ื หาในแบบเรียนวา่ ด้วย สระ และพยัญชนะ เรียงพยัญชนะตามวรรคโดยเรียกว่าตอน แบ่งเป็น
ตอน ก ๗ ตอน จ ๖ ตอน ฎ ๖ ตอน ด ๖ ตอน บ ๘ ตอน ย ๑๑ รวมเป็น ๔๔ ตัวนี้ รวมเข้ากับสระเรียกว่าอักษร
๓๕
ตอ่ ไปกล่าวถงึ อกั ษรสงู อกั ษรกลาง และอักษรต่า เคร่ืองหมายต่าง ๆ และช่ือรูปสระ เช่น “สระ อา คือลากข้าง
… สระเอ คอื ไม้นาอนั หน่งึ สระแอ คอื ไม้นาสองอัน”
ต่อไปเปน็ การประสมพยัญชนะกลุ่มอักษรสูงกับสระให้อ่านไปจนครบทุกตัว แล้วให้ผันอักษรมีคาอธิบาย
สน้ั ๆ เม่ือผู้เรยี นประสมพยัญชนะและสระในมาตราต่าง ๆ จนครบพยัญชนะแล้ว ก็ผันวรรณยุกต์ตามแบบอักษร
สามหม่จู นครบอกั ษรทงั้ หมด แลว้ จึงตอ่ ด้วยไมม้ ้วน ไม้มลาย และอกั ษรนา
พออ่านคล่องแต่ละมาตราแล้วจึงให้อ่านกาพย์พระไชยสุริยาตรงตามมาตราน้ัน ๆ เรียกว่า “คากลอน
สาหรับสอนอ่านเทยี บ” ซึ่งทุกคาเปน็ การผสมพยัญชนะกับสระเท่าน้ัน เม่ือมีการผสมแบบนี้เรียกว่า แม่ ก.กา แต่
ถา้ มีตวั สะกดตงั้ แต่แม่ กก จนถึงแมเ่ กย กจ็ ะมีคาอ่านเทียบเปน็ แม่เปน็ หมวดไปอีกจนจบเรื่องพระไชยสรุ ยิ า
อน่งึ กาพยพ์ ระไชยสุริยาน้ี สนุ ทรภแู่ ตง่ ขน้ึ เมอ่ื ประมาณ พ.ศ. ๒๓๘๓ – ๒๓๘๕ ขณะบวชเปน็ พระอยู่ที่วัด
เทพธดิ าราม โดยแตง่ เปน็ กาพย์ซึง่ แทรกความรเู้ ก่ยี วกับภาษาไทย ในเรอื่ งของมาตราตัวสะกดแมต่ า่ ง ๆ เช่น แม่กก
กง กน กด กบ และเกย เป็นต้น นอกจากนั้นยังสอดแทรกคติธรรมต่าง ๆ ท่ีเป็นประโยชน์ เม่ือนามาใส่ไว้ใน
มูลบทบรรพกิจ จึงทาให้ผู้เรียนได้ทั้งการฝึกทักษะด้านภาษา และได้อ่านเร่ืองราวต่าง ๆ ไปพร้อมกัน ทาให้เกิด
ความสนกุ ในการเรยี น
ถือได้ว่า มูลบทบรรพกิจ เป็นแบบเรียนภาษาไทยพ้ืนฐาน ซ่ึงเม่ือเรียบจบจะสามารถอ่านและเขียน
ภาษาไทยข้ันต้นได้เปน็ อยา่ งดี และเหมาะสาหรบั ใหผ้ ้สู อนใชเ้ ป็นแบบเรียนเบอ้ื งต้น ดงั โคลงในมลู บทบรรพกจิ ท่วี ่า
๏ จบมลู บทเบอื้ ง บรรพกจิ
เปน็ ปฐมควรสถิต ที่ตน้
เปน็ แบบสง่ั สอนศษิ ย์ สายสบื ไวน้ า
ควรทส่ี ีกลับอนั อตั อั้นออกขยาย
ซงึ่ เมื่อพื้นฐานทางดา้ นภาษาแข็งแรงแล้วกจ็ ะทาใหส้ ามารถเรยี นรู้ข้นั ตอนตอ่ ไปได้โดยง่ายและรวดเรว็ วา่ กัน
ว่าการเรยี นภาษาไทยทมี่ ีพน้ื ฐานการแจกลกู สะกดคาผันวรรณยกุ ตต์ ามแบบการสอนของมูลบทบรรพกิจเป็นแม่บท
นั้น หากผู้เรียนฝึกฝนจนชานาญต้ังแต่วัยอ่านออกเขียนได้ก็จะจดจาได้ติดตัวตลอดไปจนโต สามารถอ่านเขียน
ภาษาไทยไดอ้ ยา่ งคล่องแคลว่ และถูกตอ้ ง๒
๒ The Kommon, (๒๕๖๕), มูลบทบรรพกิจ แบบเรียนหลวงเล่มแรกในสมัยรัตนโกสินทร์, (ออนไลน์), [สืบค้นเมื่อ ๒
สิงหาคม ๒๕๖๕], แหลง่ ทม่ี า https://www.thekommon.co/mulabot
๓๖
หลักสูตรการเรียนการสอนภาษาไทยน้นั มีการเปลย่ี นแปลงไปตามยุคสมัย แต่เรามักพบปัญหาว่า เด็กและ
เยาวชนจานวนไมน่ ้อยไมส่ ามารถอ่านออกเสยี ง หรอื สะกดคาในภาษาไทยบางคาได้ รวมไปถึงการสะกด การใชส้ ระ
และการผันวรรณยุกต์ แม้ว่าภาษาน้ันจะเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่มนุษย์สร้างขึ้น และสามารถปรับเปลี่ยน
แปรผนั ไปตามวถิ ีของสงั คม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า ภาษา ท้ังภาษาพูด และภาษาเขียน คือเครื่องมือส่ือสารท่ี
สาคญั การใช้ภาษาท่ีถกู ต้อง เหมาะสม จะชว่ ยสร้างความเขา้ ใจและสื่อความหมายได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพมากข้นึ
๒) วาหนติ ์ินิกร
วาหนิต์ินิกร เป็นแบบเรยี นว่าดว้ ยการผันอกั ษรนา คือ การผันอักษรสูงนาอักษรต่า และการผันอักษรกลาง
นาอักษรต่า อธิบายว่า อักษรสูงในภาษาไทยมีเพียง ๑๑ ตัว และต้องการให้มีเสียงสูงเพิ่มขึ้น จึงต้องมีวิธีการใช้
อกั ษรสงู นาอกั ษรตา่ ให้ออกเสียงเป็นเสียงสูงด้วย อักษรสูง ๑๐ ตัวแรก ( ข ฃ ฉ ฐ ถ ผ ฝ ศ ษ ส) สามารถ “จูง”
เสียงของอักษรต่าได้ ๗ ตัว (ว น ม ย ร ล ว) เม่ืออักษรสูง ๑๐ ตัว จึงเรียกอักษรต่า ๗ ตัว ที่ว่านี้ อักษรสูงจะมี
เสียงเสมือนหน่ึงประวิสรรชนีย์ และเสียงอักษรต่าจะถูกจูงให้เป็นอย่างเสียงของอักษรสูง ส่วนอักษรสูงตัวที่ ๑๑
(คือตวั ห) น้ันเม่อื ใชเ้ ป็นอักษรนาจะมเี สียงสระกากับ แตจ่ ะทาหนา้ ท่ี “จงู ” เสยี งอักษรต่าได้อย่างเดียว อักษรต่าที่
ตัว ห จะจงู เสยี งไดน้ ี้มี ๑๐ ตวั คือ ง ญ ณ น ม ย ร ล ว ฬ
มคี าชีแ้ จงไว้ด้วยวา่ อกั ษรนาเหลา่ นี้ เม่อื แจกรูปแล้วมิใช่ว่าจะมีที่ใช้เสมอไป บางทีก็ไม่มีที่ใช้เลย เช่น ข นา
ง หรือบางทกี ็มเี พียง ๒ – ๓ คา เชน่ ฉ นา ง มใี ช้ในคาวา่ ฉงน ฉงาย หรอื ถ นา ง กม็ เี พียงในคาว่า แถง ไถง ถงาด
ถงม เทา่ นั้น
หนังสือวาหนิติ์นิกรแจกอักษรนาในมาตราต่าง ๆ ตั้งแต่แม่ ก กา จนถึง แม่เกอว ครบทุกตัวการท่ีแจกคา
ไทยทม่ี อี ักษรนาทกุ ตวั ตงั้ แตต่ วั ข ถงึ ตัว ศ ษ ส เชน่ น้ี เป็นการสอนผ้เู รียนให้รู้คาในภาษาไทยแมน่ ยาขึ้นมาก
อย่างไรก็ตาม มีข้อท่ีควรสังเกตเกี่ยวกับ ศ ส นา ร หลาย เช่น สราพก (ปัจจุบันสะกด ศราพก) ศรีสวัสด์ิ
บอ่ สระ สราญราย์ กาสรวญ (ปจั จบุ ันสะกด กาสรวล) สรงสนาน กอ่ สรา้ ง แสร้งทา และอ่ืน ๆ อีก เพราะในปัจจุบัน
เราไมอ่ ่านคาที่ยกมาอยา่ งเป็นอกั ษรนาเสมอไป
ศราพก และ สราญ เราอา่ นว่า สะ-รา-พก และ สะ-ราน โดยทีต่ วั ศ ส ไม่ได้ “จูง” เสียงวรรณยุกต์ของตัว ร
เลย
ศรีสวัสดิ์ บอ่ สระ กาสรวล สรงสนาน กอ่ สรา้ ง แสร้งทา เราไม่ออกเสียงตัว ร เลย
๓๗
หนงั สอื วาหนติ ์นิ กิ ร (และอักษรประโยค) ไม่อธิบายวา่ คาทย่ี กมาขา้ งต้นนี้แตกตา่ งจากหลักท้ังไปที่วางไว้เมื่อ
แจกอักษรสงู ทัง้ สิบตัวทีน่ าอักษรต่า ๗ ตัวครบแล้ว ก็ยกตัวอย่างตัว ห นาอักษรต่า ๑๐ ตัว (ง น ม ย ร ล ว ญ ณ
ฬ) และยกตัวอยา่ งประสมสระแตล่ ะตวั พร้อมท้งั ใหค้ าอธบิ ายไว้ในตอนทา้ ยด้วยวา่ คาไหนบา้ งที่มีใช้ในภาษาไทย
หลังจากอกั ษรสงู นาอักษรต่าแล้ว กพ็ ดู ถึงอักษรกลางนาอักษรต่าต่อไป แต่ไม่แจกลูกครบทุกรูปอย่างอักษร
สงู นาอักษรต่า และในตอนทา้ ยของแต่ละตวั จะยกคาที่มใี ชใ้ นภาษามาแจงไวใ้ หเ้ หน็ ดว้ ย
มขี ้อควรสังเกตวา่ ตัวอยา่ งทีย่ กขึ้นในกลุ่มที่เป็นอักษรนาน้ัน ท่ีเป็นอักษรควบก็มีปนอยู่มาก นักเรียนยังคง
ตอ้ งอาศยั ครูเปน็ ผชู้ ้ีวา่ คาไหนเป็นอกั ษรนาหรืออกั ษรควบ
๓) อกั ษรประโยค
เปน็ เร่ืองของอักษรควบ ร ล ว ท่ีมใี ชใ้ นภาษาไทย หนงั สอื ชดุ นเ้ี รยี กอักษรทคี่ วบกนั นี้วา่ อกั ษรประโยค และ
ใช้คาว่า ประโยค ในความหมายท่ีเราใช้ว่า ควบ ในปัจจุบัน เช่น ใช้ว่า ร ล ว เป็น ตัวประโยค (คือเป็น ตัวควบ) ที่
สามารถนาไป ประโยค (คือ ควบ) กับอักษรอื่นได้ หรือ “อักษรสูง ๑๐ ตัว ประโยคได้ทุกตัว” (อักษรสูง ๑๐ ตัว
สามารถ ควบ กบั ตวั ร ล ว ไดท้ ุกตัว)
หนังสือที่กาหนดไว้เลยว่า ในจานวนอักษรกลาง ๙ ตัว มีเพียง ๔ ตัวเท่าน้ัน (ก จ ต ป) สามารนาไป
ประโยค กับตัว ร ล ว ได้ ส่วนอักษรต่ามีเพียง ๔ ตัว (ค ซ ท พ) เท่านั้นท่ีจะประโยค กับตัว ร ล ว ได้ แต่ตัว ซ
ควบน้นั ไมม่ ีใช้
ตัวอย่างคาอกั ษรประโยคทีย่ กมาในหนงั สอื นหี้ ลายคาเปน็ ประเภททเ่ี ราเรียกวา่ อกั ษรนา
ตวั อยา่ งอักษรควบ (หรือ “อักษรประโยค”) ที่ยกมาครบทุกเสียงมี กร กล กว, จร จล จว, ตร ตล ตว, ปร
ปล ปว และตอนทา้ ยของแต่ละตอนมีบอกด้วยวา่ ภาษาไทยใช้ ศัพท์ทเ่ี ป็น อักษรประโยค ศัพท์ใดบ้าง บางทีก็มีปน
กันที่อักษรนาและอกั ษรควบ เชน่
จ ควบ ร แมก่ ง ๓ คา คือ ความจรงิ ผกาแจรง จรงุ ใจ
ต ควบ ล แมก่ ง ๕ คา คอื รมิ ตลง่ิ ตกตลึง เสาตลุง เตลงพากย แตลงแกง
ป ควบ ล แม่กด ๖ คน คอื ปลดชรา เปลือ้ งปลด ปลดปลดิ พระปลัด ของปลาด วันปลอด
ท ควบ ล แม่กง ๑ คน คอื ทลวง
ท ควบ ว แมเ่ กย ๑ คา คือ ทวาย
๓๘
(คาที่ยกตัวอยา่ งมาข้างต้นสะกดตัวตามหนังสืออักษรประโยค ในปัจจุบันเราสะกดคาเหล่านี้เป็น ตกตะลึง
เสาตะลุง ตะเลงพากย์ ตะแลงแกง ทะลวง ทะวายและทวาย และในการออกเสียง คาเหล่านี้เป็นอักษรนาก็มี
เป็นอักษรควบกม็ ี)
ที่ควรสงั เกตอกี อยา่ งหน่งึ กค็ ือ ในปัจจุบนั ตามหลักของพระยาอุปกิตศิลปสาร คาประเภทท่รี ปู เป็นอักษรควบ
แต่เราไม่ออกเสียง ร ควบ ก็ดี หรืออ่านเสียงเป็นอย่างอ่ืน เช่น ทร เป็น ซ ก็ดีเหล่านี้เรียกว่าควบไม่แท้
แตแ่ บบเรียนวาหนิติน์ ิกรและอักษรประโยคไมก่ ลา่ วถึงวธิ อี า่ นคาประเภทนเี้ ลย
ในตอนจบของอักษรประโยค ได้ยกพระบรมราชาธิบายของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่าด้วย
การใช้ กับ แก่ แต่ ต่อ และมกี ารยกตัวอยา่ งเพิม่ เติมไวด้ ้วย
๔) สงั โยคพธิ าน
สังโยคพิธาน กล่าวถึงตัวสะกดในแม่ กน กก กด กบ ว่าแต่ละแม่หรือแต่ละมาตราจะมีตัวสะกดตัวใดบ้าง
มโี คลงซึ่งบอกจานวนตัวสะกดในแตล่ ะแมไ่ ว้ด้วย
กนหกกกหกแจ้ง จากดั
กดอัษฎารัศ รวบไว้
กบเจด็ ปากแจงจัด จาจด เทอญพอ่
สองแมก่ งกมไซร้ สกดใชง้ อมอ
ตวั สะกดในแม่กนนั้นมีจากัดอยเู่ พยี ง ๖ ตัวอักษร แมก่ กมี ๖ ตัว แม่กดมี ๑๘ ตัว แม่กบมี ๗ ตัว ส่วนแม่กง
แมก่ ม สองแมน่ นั้ สะกดด้วยตวั ง และ ตวั ม เทา่ นนั้
(อษั ฎารัศ แปลว่า สบิ แปด รูปที่ใช้ แผลงจากบาลี อฏฐารส ให้มีรูปคล้ายสันสกฤต แต่คาสันสกฤตท่ีแท้จริง
นน้ั สะกด อษฎาทศ)
หนังสือเล่มนี้ประมวลคาศัพทท์ ี่อยูใ่ นแมห่ รือมาตราเดียวกันแต่ใช้ตัวสะกดต่างกัน คาประเภทน้ีท่ีอ่านอย่าง
เดยี วกนั (พอ้ งเสยี ง) น้ันมีมาก แตผ่ ูเ้ รยี นจะตอ้ งรู้วา่ ควรจะสะกดตวั อย่างไรเปน็ การสอนให้รคู้ าไทยมากขึ้นและรู้วิธี
เขยี นไทยทถ่ี ูกตอ้ ง
แม่กน มตี วั สะกด ๖ ตวั คอื ญ ณ น ร ล ฬ๓
๓ วสิ ุทธ์ บุษยกุล, (๒๕๖๕), แบบเรียนภาษาไทยของพระยาศรสี ุนทรโวหาร (นอ้ ย อาจารยางกูร), (ออนไลน์), [สืบค้นเม่ือ
๒ สิงหาคม ๒๕๖๕], แหลง่ ท่ีมา http://wachum.com/dewey/400/thaitext1.html
๓๙
แม่กก มีตัวสะกด ๖ ตัว (เม่ือหักตัว ฃ-ขวด และ ฅ-คน ท่ีเราไม่ใช้ออกแล้ว เหลือเพียง ๔ ตัว
คอื ก ข ค ฆ
แม่กด มีตวั สะกด ๑๘ ตวั คอื ตวั จ ฉ ช ซ ฌ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ด ต ถ ท ธ ศ ษ ส
แม่กบ มีตัวสะกด ๗ ตัว คือ บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ
ตวั อย่างทยี่ กมาสาหรบั ตวั สะกดแต่ละแม่น้นั มชี ้แี จงไวแ้ ต่ตน้ ว่ายกมาเพียงบางคาเทา่ น้ัน ไม่สามารถยกมาจน
ครบได้ อยา่ งไรก็ตาม คาทย่ี กมา กท็ าใหผ้ ้เู รียนมคี วามรศู้ พั ท์ต่าง ๆ ที่มีใช้ในภาษาไทยได้มากพอสมควร การเรียน
ตอ้ งอาศยั ครูเปน็ ผ้แู นะนา
การใชต้ ัว ศ ษ ส สะกดนัน้ ได้ยกบทประพันธท์ ่ีมใี นจนิ ดามณีมาอา้ ง
๕) ไวพจนพ์ จิ ารณ์
เรื่องน้ีเป็นเรื่องที่ว่าด้วยถ้อยคาท่ีเขียนต่างกัน แต่ออกเสียงเหมือนกัน ความหมายต่างกัน และรวมท้ังคา
ทเ่ี ขยี นตา่ งกัน ออกเสียงส้ันบ้าง ยาวบ้าง รวบรวมไว้เป็นพวก ๆ เรียกว่า ปะ กระ ณะ ไวพจน์ เช่น เกาด้วยเล็บ-
เด่ียวกาว มือเทา้ ท้าวแขน ต่อจากนัน้ จึงเปน็ การรวบรวมคาทส่ี ะกดต่างกัน ออกเสยี งเหมือนกันความหมาย ต่างกัน
เลือกเฉพาะคาที่ออกเสียงเหมือนกันทั้งหมด ๒๓ ไวพจน์ ต้ังแต่ กอ ไวพจน์ ถึง ออ ไวพจน์ เช่น ปูนปัน ปัญญา
ไม้ปีก ปักษา ปักษี สุกรปักษ์ กาหปีกษ์ ปะระปักษ์ เป๋าปัด ปัจจัย ปัจจุบัน ปวัดยุบัน ปัจเจกโพธิ ปัจจาสไสมย
ปัจจสไสมย สวรรยาธบิ ัติ ไอสวรรยาชิบตั ิ ปัศสาสวาต ปัศสาวะ จบ ปอ ไวพจนท์ ่ี ๑๓
๖) พิศาลการันต์
เรือ่ งน้ีเกย่ี วกับถ้อยคาทมี่ ีเครอ่ื งหมาย ทัณฑมาต ( ข์ ) บนตัวอักษรข้างท้ายคาที่ไม่ต้องการออกเสียง อักษร
น้ันไม่ใช้ตัวสะกดทั้งน้ีเพื่อคงรูปคาท่ีมาจากบาลีสันสกฤต และภาษาอื่น ๆ อีกบ้าง เรียงลาดับ ก การันต์ ถึง ห
การันตร์ วม ๒๕ การันต์ดังตวั อยา่ ง
ป การันต์ ได้แกค่ าวา่ พระทรงศิลปธ์ นศู ิลป์ แสนกลั ป์
ร การนั ต์ ไดแ้ ก่คาวา่ วรจักร นาเบอร์ สิงคโปร์ ออฟฟศิ เิ ซอร์
นอกจากนี้ยังมีคาท่ีเขียนด้วยไม้ตรีจัตวาไต่คู้และการใช้เครื่องหมายบางชนิด เช่น ตีนกา (┼) ใช้สาหรับ
เคร่ืองหมายอักษรท่เี ขียนตก
๔๐
ศาสตราจารยว์ ัช ปุณณทก ได้สรุปหนังสือแบบเรยี นหลวงไว้อย่างนาสนใจว่า
มูลบทบรรพกิจ เป็นหนงั สอื แบบเรียนได้ดีที่สุด เป็นหนังสือใช้สอนนักเรียนที่เร่ิมเรียน โดยจัดลาดับ
ตั้งแตง่ า่ ยไปยาก
วาหนิต์ินิกร เป็นหนังสือแบบเรียนฝึกการอ่านได้ เป็นแบบเรียนผันอักษรนา คือ การผันอักษรสูง
นาอักษรตา่ และอักษรกลางนาอักษรตา่ โดยจัดตามลาดบั ตวั อกั ษร
อักษรประโยค เป็นหนังสือแบบเรียนฝึกการอ่านได้ เป็นแบบเรียนการผันอักษรควบกล้า
คอื การผนั อกั ษรสองตัวทอี่ ยสู่ ระเดียวกนั อักษรที่เป็นตัวประโยค คอื ร ล ว ซ่ึงนามาควบกับอักษรบางตัวแล้วแจก
แม่ต่าง ๆ พร้อมด้วยการผันเสียงวรรณยุกต์ การที่ต้องแยกออกมาเป็นอีกตอนหน่ึง เพราะมีวิธีผันต่างกับ
วาหนิตน์ิ ิกร
สังโยคพิธาน เป็นหนังสือกฎเกณฑ์ว่าด้วยอักขรวิธี หนังสือว่าด้วยเรื่องตัวสะกดในแม่ต่าง ๆ
โดยเฉพาะ คาทีม่ าจากภาษาบาลี เพราะมีตัวสะกดตา่ งกบั คาไทย แม่ กน มอี กั ษร ญ ณ น ร ล ฬ เป็นตัวสะกด
ไวพจน์พิจารณ์ เป็นหนังสือค้นคว้าเพื่อประโยชน์ในการแต่งคาประพันธ์ คือ คาที่เขียนต่างกันแต่
อา่ นออกเสียงเหมอื นกันตวั เดียวกันแตส่ ะกดต่างกนั อา่ นออกเสยี งอย่างเดยี วกัน ต่างแต่เสยี งสน้ั เสียงยาว
พศิ าลการันต์ เปน็ หนังสอื พจนานุกรมคาท่เี ขียนยากเฉพาะคาท่ีมีตัวการันต์ คือ ตัวที่อยู่ข้างท้ายและ
ไม่ออกเสียง ไม่เป็นตัวสะกด คาที่มีตัวการันต์เป็นคาที่มาจากภาษาบาลี หรือภาษาอ่ืน ๆ ในการเขียน
มีเครอื่ งหมาย (ข์) ไว้เปน็ ทสี่ งั เกต๔
๔ จันจิรา จิตตะวิริยะพงษ์, (๒๕๕๐), แบบเรียนภาษาไทยโบราณ : การศึกษาเชิงวิเคราะห์, (ออนไลน์), [สืบค้นเมื่อ ๒
สิงหาคม ๒๕๖๕], แหลง่ ท่ีมา hlitps://shortutl.asia/JumWZ
๔๑
เอกสารอ้างอิง
จนั จิรา จติ ตะวิริยะพงษ์. (๒๕๕๐). แบบเรียนภาษาไทยโบราณ : การศึกษาเชงิ วิเคราะห์. (ออนไลน์). (สืบค้นเมื่อ ๒
สิงหาคม ๒๕๖๕). แหลง่ ทีม่ า hlitps://shortutl.asia/JumWZ
วิสุทธ์ บษุ ยกลุ . (๒๕๖๕). แบบเรยี นภาษาไทยของพระยาศรสี นุ ทรโวหาร (นอ้ ย อาจารยางกูร). (ออนไลน์). (สืบค้น
เม่ือ ๒ สิงหาคม ๒๕๖๕). แหลง่ ทมี่ า http://wachum.com/dewey/400/thaitext1.html
The Kommon. (๒๕๖๕). มลู บทบรรพกิจ แบบเรยี นหลวงเลม่ แรกในสมยั รตั นโกสินทร์. (ออนไลน)์ . (สบื ค้นเมื่อ ๒
สงิ หาคม ๒๕๖๕). แหล่งที่มา https://www.thekommon.co/mulabot
The Kommon. (๒๕๖๕). มลู บทบรรพกจิ แบบเรียนหลวงเล่มแรกในสมัยรัตนโกสนิ ทร์. (ออนไลน)์ . (สืบค้นเม่ือ ๒
สิงหาคม ๒๕๖๕). แหลง่ ทีม่ า http://wachum.com/dewey/400/thaitext1.html
แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ๕
เร่ือง แบบเรยี นหลังแบบเรยี นหลวง : แบบเรยี นเร็ว
รายวิชา วิวฒั นาการแบบเรียนภาษาไทย
สปั ดาห์ที่ ๕ วัน พธุ ที่ ๓ เดอื น สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๕
๑. ประวัตคิ วามเป็นมา แบบเรยี นเรว็
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ๑ ทรงนิพนธ์ขึ้นในสมัยที่ยังเป็นกรมหมื่นดำรงราชานุภาพ ในสมัย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั หนังสือชุดนี้ใช้แทนแบบเรยี นหลวง ชุดของพระยาศรีสุนทรโวหาร
(นอ้ ย อาจารยางกรู ) เนือ่ งจากแบบเรยี นหลวงม่งุ สอนแต่กระบวนการอักขรวิธี กวา่ จะเรียนจบตอ้ งใชเ้ วลาถงึ ๓
ปี น้อยคนนักที่จะเรียนจบ ส่วนมากจะออกจากโรงเรียนไปก่อน จึงต้องคิดแบบเรียนขึ้นใหม่
แบบเรียนเร็วนี้ สอนให้นักเรียนอ่านออกเขียนได้และแต่งหนังสือได้ เมื่อครูจะใช้หนังสือนี้สอน จะต้อง
เปลี่ยนแปลงวิธีสอนคือ ไม่ใช้วิธีให้เด็กท่องจำทั้งหมด ให้ท่องจำเฉพาะตอนที่จำเป็นเท่านั้น นอกจากนั้นยังมุ่ง
หมายให้นักเรียนรู้จักเครื่องหมายต่าง ๆ ด้วยตนเอง เมื่อเด็กพออ่านออกเขียนได้แล้ว ก็สอนไวยากรณ์ ทั้งนี้
เพือ่ ให้เด็กมคี วามสามารถเขยี นเป็นเร่ืองราวได้ แบบเรยี นเรว็ มี ๓ เล่ม คือ
แบบเรียนเร็ว เล่ม ๑ เป็นหนังสือสอนอ่าน เริ่มตั้งแต่ตัวพยัญชนะ การประสมสระ การอ่านคำง่าย ๆ
ตง้ั แต่คำ ๆ เดยี ว คำหลายคำ จนถึงการอ่านประโยค
แบบเรียนเร็ว เล่ม ๒ เป็นหนังสือสอนอ่าน เขียน และการใช้คำ มีตัวอย่างคำท่ีใชไ้ ม้ม้วน ไม้มลาย คำ
ที่ใชต้ ัว ฆ ญ ณ ธ คำการนั ต์ และคำพ้อง
แบบเรยี นเร็วเล่ม ๓ แบ่งออกเป็น ๓ ภาค คอื
ภาคที่ ๑ ว่าด้วยชนิดต่าง ๆ ของคำ แบ่งคำออกเป็น ๗ ชนิด คือ คำชื่อ คำกริยา คำคุณ
คำวิเศษณ์ คำต่อ คำออกเสียง และคำแทนชื่อ ประโยคคือ การนำคำหลาย ๆ คำมารวมกันแล้วได้ความแบ่ง
ออกเปน็ ๒ สว่ นบา้ ง ๓ สว่ นบ้าง
ภาคที่ ๒ ว่าด้วยวธิ ีแต่งประโยค คำแต่งจะแต่งได้ทั้งส่วนชื่อผู้ทำ ส่วนกริยาและส่วนชือ่ ผู้ถูก
ทำ นอกจากจะนำคำมาแตง่ แลว้ ได้ ยงั ผูกเปน็ ประโยคความรวมก็ได้
ภาคที่ ๓ เป็นภาคเกบ็ ใจความ วธิ เี ก็บ คอื ลดคำท่ีนำมาแต่งออกเสยี ให้เหลือแตค่ วามสำคัญ
๑ วิชาการ,กรม, (๒๕๒๐), ความเป็นมาของแบบเรียนไทย, ห้างหุ้นส่วนจำกัด จงเจริญการพิมพ์, [สืบค้นเมื่อ ๗
สิงหาคม ๒๕๖๕], จากแหล่งข้อมูล https://www.baanjomyut.com/library_6/thai_language_courses_and_books
/12_6. html
๔๓
๒. แบบเรียนเรว็ เล่ม ๑ ตอนต้น๒
บทท่ี ๑
๑. เน้ือหา
การอ่านคาํ พยัญชนะอักษรกลางประสมสระอะ อา อิ อี อึ อื อุ อู ไม่มีตวั สะกด
๒. แนวทางการจัดกิจกรรม
๒.๑ การสอนการอ่านและการเขียนคํา ควรเริม่ ตน้ จากการใหน้ กั เรียนรู้จัก
๒.๒ การอ่านและเขียนคําพยัญชนะอักษรกลางประสมสระอะ อา อิ อี อึ อื อุ อู ไม่มีตัวสะกด
ควรสอนให้นักเรียนรู้จักพยัญชนะอักษรกลาง ซึ่งประกอบด้วย ก จ ด ต บ ป อ (ฎ และ ฏ ให้ขึ้นอยู่ในดุลย
พนิ ิจของครูผ้สู อนว่าจะสอนหรือไม)่ พยญั ชนะไทย ก - ฮ ท้ัง ๔๔ ตัว
๒.๓ การฝกึ เขียนพยัญชนะอักษรกลาง จะทาํ ให้นกั เรยี นจําพยัญชนะอกั ษรกลางได้ดยี ่งิ ขึน้
๒.๕ การฝกึ เขียนสระอะ อา อิ อี อึ อื อุ อู จะทําใหน้ กั เรียนจาํ รูปสระได้ดีย่ิงขน้ึ
๒.๖ การอ่านสะกดคําพยัญชนะอักษรกลางประสมสระอะ อา อิ อี อึ อื อุ อู ไม่มีตัวสะกด หาก
ต้องการให้นกั เรียนจําสระได้ให้นักเรียนอ่านจากซา้ ยไปขวา แต่ถ้าต้องการให้นักเรียนจําพยัญชนะ ให้นักเรยี น
อ่านจากขา้ งบนลงมาขา้ งลา่ ง หรืออ่านจากขา้ งลา่ งขึน้ ไปข้างบนเปน็ แถว ๆ
๒.๗ การฝึกอ่านและเขยี นคํา ทง้ั การอา่ นเป็นคํา อ่านจากเรื่อง การเขียนคําการวาดภาพระบายสี
ฯลฯ จะชว่ ยพัฒนาความสามารถในการอา่ นและการเขียนใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพยิ่งขนึ้
บทที่ ๒
๑. เน้อื หา
การอา่ นผันวรรณยุกต์คําพยัญชนะอักษรกลางประสมสระอา อี อื อู ไมม่ ีตวั สะกด
๒. แนวทางการจัดกจิ กรรม
๒.๑ การสอนการผันวรรณยกุ ต์ ควรเริม่ ต้นจากการใหน้ กั เรยี นรูจ้ กั รปู ช่อื และเสยี งของวรรณยุกต์
๒.๒ การฝกึ เขียนรปู วรรณยุกต์จะทาํ ให้นกั เรียนจาํ รูปวรรณยุกตไ์ ด้ดีย่ิงขนึ้
๒.๓ การสอนผนั วรรณยุกต์คําพยัญชนะอักษรกลางประสมสระอา อี อื อู ไมม่ ตี วั สะกด ควรสอน
ผนั วรรณยกุ ต์ทีละเสยี ง จนครบทุกเสียง
๒ สถาบันภาษาไทย, หนังสือคู่มือแนวทางการจัดการเรียนการสอนแบบเรียนเร็วใหม่ เล่ม ๑ ตอนต้น ช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ ๑ (ออนไลน์), (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด, ๒๕๕๘), หน้า ๒ -
๑๐
๔๔
๒.๔ การฝึกอ่านและเขียนคํา ท้ังการอา่ นเปน็ คํา อ่านจากเรอื่ ง การเขยี นคาํ การวาดภาพระบายสี
ฯลฯ จะช่วยพฒั นาความสามารถในการอ่านและการเขยี นยิ่งข้ึน
บทที่ ๓
๑. เนอ้ื หา
การอ่านคาํ พยัญชนะอักษรสงู ประสมสระอะ อา อิ อี อึ อื อุ อู ไม่มีตัวสะกด
๒. แนวทางการจัดกิจกรรม
๒.๑ การอ่านและเขียนคาํ พยญั ชนะอักษรสงู ประสมสระอะ อา อิ อี อึ อื อุ อู ไม่มีตัวสะกด ควร
สอนให้นักเรียนรู้จักพยัญชนะอักษรสูง ซึ่งประกอบด้วย ข ฉ ถ ผ ฝ ส ห (ฃ ฐ ศ และ ษ ให้ขึ้นอยู่ในดุลยพินิจ
ของครูผู้สอนวา่ จะสอนหรือไม่)
๒.๒ การฝึกเขยี นพยญั ชนะอักษรสูง จะทําให้นกั เรยี นจําพยญั ชนะอกั ษรสูงได้ดียิ่งขน้ึ
๒.๓ การอา่ นคําพยัญชนะอักษรสูงประสมสระอะ อา อิ อี อึ อื อุ อู ไม่มตี วั สะกด หากตอ้ งการให้
นักเรียนจําสระได้ให้นักเรียนอ่านจากซ้ายไปขวา แต่ถ้าต้องการให้นักเรียนจําพยัญชนะ ให้นักเรียนอ่านจาก
ขา้ งบนลงมาขา้ งลา่ ง หรอื อา่ นจากข้างลา่ งขึ้นไปข้างบนเป็นแถว ๆ
๒.๔ การฝกึ อา่ นและเขียนคํา ทั้งการอา่ นเป็นคาํ อา่ นจากเรื่อง การเขยี นคําการวาดภาพระบายสี
ฯลฯ จะช่วยพฒั นาความสามารถในการอา่ นและการเขยี นย่งิ ข้ึน
บทท่ี ๔
๑. เนอื้ หา
การอ่านผันเสียงวรรณยุกตค์ ําท่พี ยัญชนะต้นเป็นอกั ษรสงู
๒. แนวทางการจดั กจิ กรรม
ตัวอยา่ งกจิ กรรมที่ ๑
ใหน้ ักเรยี นทบทวนฝกึ อ่านออกเสียงพยัญชนะอักษรสูง ข ฉ ถ ผ ฝ ส ห ทีละตัว
ตวั อย่างกจิ กรรมท่ี ๒
ให้นกั เรียนฝึกอ่านสะกดคําพยญั ชนะอกั ษรสงู ประสมสระอา อี อื อู จนแมน่
ตัวอยา่ งกิจกรรมท่ี ๓
ให้นักเรยี นฝึกอา่ นผนั เสยี งวรรณยกุ ตค์ าํ พยญั ชนะอักษรสูงประสมสระอา อี อื อู ทลี ะคาํ
ตัวอย่างกจิ กรรมท่ี ๕
๔๕
ใหน้ ักเรียนคัดหรือเขียนคําท่อี า่ นจากหนังสือแบบเรยี นเร็ว
บทท่ี ๕
๑. เนือ้ หา
การอ่านคําที่พยัญชนะต้นเป็นอักษรต่ำประสมด้วยสระอะ อา อิ อี อึ อื อุ อู
๒. แนวทางการจัดกิจกรรม
ตวั อยา่ งกิจกรรมที่ ๑
ให้นกั เรียนฝึกอา่ นออกเสียงพยัญชนะอักษรต่ำ ค ง ช ซ ท น พ ฟ ม ย ร ล ว ฮ ทีละตวั
ตัวอย่างกิจกรรมท่ี ๒
ใหน้ ักเรียนฝึกอ่านสะกดคําพยญั ชนะอักษรต่ำประสมสระอะ อา อิ อี อึ อื อุ อู ทลี ะคาํ
ตวั อยา่ งกิจกรรมท่ี ๓
ให้นกั เรยี นอ่านคาํ ตามข้ันตอนต่อไปน้ี
๑. ครอู า่ นนาํ ใหน้ ักเรยี นอ่านตามทีละคํา
๒. ให้นกั เรยี นอา่ นพร้อมกันทง้ั ชน้ั
๓. ให้นักเรยี นฝกึ อ่านทลี ะคน
ตวั อย่างกิจกรรมท่ี ๔
ใหน้ ักเรียนฝึกอ่านเร่อื งต่อไปนี้
นาดมี รี าคา บดิ ามีนา มีวัว
มคี วาย มคี นั ไถ บิดามานา
ตามาหาบดิ า มาหายา ตาปะบิดา บิดามยี าดี
บดิ าพาตา มาหายาดดี ีตามวี าจาดี มาซิ
มาหาตา ด.ช.วรี ะ กะ ด.ช.ชาลมี ีกิรยิ าดี
มาหาตา
ตัวอย่างกจิ กรรมที่ ๕
ให้นกั เรียนคัดหรอื เขยี นคาํ ทอ่ี ่านจากหนงั สอื แบบเรียนเร็วใหม่ เล่ม ๑ ตอนต้น
๔๖
บทท่ี ๖
๑. เนื้อหา
การอ่านผนั เสียงวรรณยุกตค์ าํ ทพี่ ยญั ชนะตน้ เปน็ อักษรต่ำ
๒. แนวทางการจดั กิจกรรม
ตวั อยา่ งกิจกรรมที่ ๑
ใหน้ ักเรียนทบทวนฝกึ อา่ นออกเสยี งพยญั ชนะอักษรต่ำ ค ง ช ซ ท น พ ฟ ม ย ร ล ว ฮ
ทลี ะตวั
ตัวอยา่ งกจิ กรรมท่ี ๒
ใหน้ ักเรยี นฝึกอา่ นสะกดคาํ พยัญชนะอักษรต่ำประสมสระอา อี อื อู จนแมน่
ตวั อยา่ งกจิ กรรมท่ี ๓
ใหน้ กั เรียนฝึกอา่ นผันเสยี งวรรณยกุ ตค์ ําพยญั ชนะอกั ษรต่ำประสมสระอา อี อื อู ทีละคาํ
ตัวอย่างกจิ กรรมท่ี ๕
ใหน้ ักเรียนฝกึ อ่านเร่ือง “บดิ า ด.ช.วีระ กะ ด.ช.ชาลี”
บทที่ ๗
๑. เนือ้ หา
การอ่านออกเสียงคําท่มี พี ยญั ชนะต้นเปน็ อักษรกลางประสมสระอะ อา อิ อี อึ อื อุ อู มีตัวสะกด
๒. แนวทางการจัดกิจกรรม
๒.๑ การสอนอ่านคําท่ีประสมสระและมตี ัวสะกดควรเริ่มจากการประสมสระก่อน จากนน้ั จึงสอน
ใหอ้ า่ นสะกดคํา คาํ ทมี่ พี ยัญชนะต้นท่เี ป็นอักษรกลางจนครบทุกตัว
๒.๒ การฝึกอา่ นและเขียนคํา ทงั้ การอ่านเปน็ คํา อ่านจากเรือ่ ง การเขยี นคาํ การวาดภาพระบายสี
ฯลฯ จะช่วยพฒั นาความสามารถในการอา่ นและการเขียนให้มีประสิทธภิ าพยง่ิ ขึน้ โดยแบบฝกึ ที่ให้อ่านเป็นคํา
น้นั ถ้านกั เรียนยังอา่ นไม่คล่องอาจให้อ่านสะกดคํากอ่ น เม่ือคล่องแล้วต้องให้ฝึกอ่านเปน็ คําเพื่อไม่ให้เคยชินว่า
ตอ้ งสะกดคําทุกครงั้
๒.๓ การสอนอ่านผันวรรณยุกต์คําพยัญชนะอักษรกลางประสมสระอะ อา อิ อี อึ อื อุ อู มี
ตวั สะกด ควรสอนผันวรรณยุกตท์ ลี ะเสียง จนครบทกุ เสยี ง