The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คติชนสร้างสรรค์ ในกิจกรรมบุญข้าวจี่วาเลนไทน์-มหาวิทยาลัยขอนแก่น-ประจำปี-2563

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kanikl, 2020-06-01 22:55:12

คติชนสร้างสรรค์ ในกิจกรรมบุญข้าวจี่วาเลนไทน์

คติชนสร้างสรรค์ ในกิจกรรมบุญข้าวจี่วาเลนไทน์-มหาวิทยาลัยขอนแก่น-ประจำปี-2563

Keywords: บุญข้าวจี่

“คตชิ นสรา้ งสรรค”์ ในกิจกรรมบญุ ขา้ วจ่ีวาเลนไทน์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่
ประจาปี 2563

นางสาวธนชั ชา สีสองชนั้

วจิ ยั นีเ้ ป็นสว่ นหน่งึ ของรายวชิ า 416 495 สหกิจศกึ ษาทางภาษาและวรรณกรรม
การศกึ ษาตามหลกั สตู รศิลปศาสตรบ์ ณั ฑติ

สาขาวชิ าภาษาไทย คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่



บทคดั ย่อ

วิจยั เร่ือง “คติชนสรา้ งสรรค”์ ในกิจกรรมบุญขา้ วจ่ีวาเลนไทน์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ประจาปี 2563 ผวู้ ิจยั ตอ้ งการจะนาเสนอ การนาประเพณีบุญขา้ วจ่ี ซ่ึงเป็นประเพณีสาคญั ของชาว
อีสาน ตามฮีตสิบสอง ท่ีมีการปฏิบตั สิ ืบทอดกนั มาจนถึงปัจจบุ นั ไดม้ ีการนามาสรา้ งสรรคใ์ นรูปแบบ
ของ “คติชนสรา้ งสรรค”์ โดยมีการนาเอาวัฒนธรรมตะวนั ตกเขา้ มาผสาน ซ่ึงทงั้ สองเป็นกิจกรรม
แห่งความรักท่ีมีความเหมือนกัน คือ แบบอีสานท่ีเนน้ ความรักในครอบครวั และผูค้ นผ่านกิจกรรม
ประเพณีอีสานเป็นแบบจารีต และยงั มีการรบั เอากิจกรรม วนั แหง่ ความรกั แบบสากล โดยท่ีไม่ละทิง้
ความเป็นดงั้ เดมิ และประยกุ ตก์ ิจกรรม วนั แหง่ ความรกั ทงั้ สองงานเขา้ ไวด้ ว้ ยกนั โดยมีวตั ถปุ ระสงค์
เพ่ือศกึ ษาคตชิ นสรา้ งสรรคท์ ่ีปรากฏในกิจกรรมบญุ ขา้ วจ่ีวาเลนไทน์ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น ประจาปี
2563ผลการศกึ ษาพบวา่ กิจกรรมงานบญุ ขา้ วจ่ีวาเลนไทน์ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น มีปัจจยั ท่ีก่อใหเ้ กิด
“คติชนสรา้ งสรรค”์ (creative folklore) ไดแ้ ก่ กิจกรรมการจ่ีขา้ วจ่ี กิจกรรมประกวดภาพถ่ายเซลฟ่ี
กิจกรรมประกวด Miss Midnight Valentine kku 2020 กิจกรรมการเตน้ บาสโลบ กิจกรรมการแสดง
มรสพ และตกั บาตรวาเลนไทน์ สาหรบั การสรา้ งสรรคจ์ ากคติชน (creativity from folklore) มีการ
นาเอาคติชนแบบเดิมมาสรา้ งสรรคใ์ หเ้ กิดความน่าสนใจ ไดแ้ ก่ กิจกรรมประกวดขา้ วจ่ีแฟนซี และ
การแสดงหมอลาหนุ่ “สินไซ” กิจกรรมบญุ ขา้ วจ่ีวาเลนไทน์ ถกู จดั ขนึ้ ภายใตน้ โยบาย ทนุ ทางวฒั นธรรม
(Culture Capital) เป็นกิจกรรมท่ีช่วยใหน้ กั ศกึ ษา หรือคนท่วั ไปท่ีอย่หู ่างไกลวดั ไดเ้ ขา้ รว่ มประเพณี
บุญขา้ วจ่ี ในงานบุญข้าวจ่ีวาเลนไทน์ อีกทั้ง เป็นการฟื้นฟู ค้นหาคุณค่า ความหมายท่ีซ่อนแฝง
การประยกุ ตใ์ ชใ้ หเ้ หมาะสมกบั ยคุ สมยั

คำสำคัญ คตชิ นสรา้ งสรรค์ การผลติ ซา้ การสรา้ งใหม่

กติ ตกิ รรมประกาศ

วิจัยฉบบั นีส้ าเร็จลงไดด้ ว้ ยความเมตตาและความกรุณาเอาใจใส่ของผูช้ ่วยศาสตราจารย์
ดร.อรทยั เพียยุระ อาจารยท์ ่ีปรึกษาวิจยั ครูผูท้ ่ีเช่ือม่นั และคอยใหก้ าลงั ใจ อีกทงั้ ยังอดทนขดั เกลา
ศษิ ยแ์ ละงานวจิ ยั ฉบบั นีจ้ นสาเรจ็ สมบรู ณ์ ผวู้ ิจยั ขอกราบขอบพระคณุ ดว้ ยความเคารพและซาบซงึ้
ใจในพระคณุ ตลอดไป

ขอกราบขอบพระคุณคณาจารยส์ าขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลยั ขอนแก่น ท่ีกรุณามอบความรูต้ ลอด 4 ปีการศกึ ษา และหลกั การทางานท่ีดีใหแ้ ก่ผวู้ ิจยั
โดยเฉพาะผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.มารศรี สอทิพย์ ท่ีกรุณาใหโ้ อกาส คาปรกึ ษา และกาลงั ใจท่ีใหแ้ ก่
ผวู้ จิ ยั เสมอมา

ผูว้ ิจยั ขอกราบขอบพระคณุ ผูช้ ่วยศาสตราจารยเ์ ขม เคนโคก ผูร้ กั ษาการแทนผูอ้ านวยการ
ศนู ยว์ ฒั นธรรม นายวิทยา วฒุ ิไธสง นกั วิชาการวฒั นธรรม นายวรศกั ดิ์ วรยศ นกั วิชาการวฒั นธรรม
นางสาวคณิตตา คลังทอง เจา้ หน้าท่ีบริหารงานท่ัวไป นางสาวบุญยืน เปล่งวาจา ท่ีให้คาปรึกษา
ใหก้ ารสนบั สนนุ ดา้ นอ่ืน ๆ และกาลงั ใจท่ีใหแ้ ก่ผวู้ จิ ยั เสมอมา

ขอกราบขอบพระคุณชาวบา้ นชุมชนสาวะถี ตาบลสาวะถี อาเภอเมืองขอนแก่น จังหวัด
ขอนแกน่ ท่ีเป็นแหลง่ ขอ้ มลู วจิ ยั ในครงั้ นี้

ท้ายสุดนีผ้ ูว้ ิจัยขอขอบพระคุณรุ่นพ่ี เพ่ือน สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตรแ์ ละ
สงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น และ สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์
มหาวิทยาลยั มหาสารคาม ท่ีใหก้ าลงั ใจและช่วยเหลือในเร่ืองต่าง ๆ จนวิจยั ฉบบั นีส้ าเร็จลุล่วงไปได้
ดว้ ยดี โดยเฉพาะ นางสาวปราณพิชญ์ ปรุ มั พกา และนางสาวปัญญศ์ ศธิ ร ภเู ดชกลา้

สารบญั

หนา้
บทคดั ย่อ ……………………………………………………………………………………………. ข
กิตตกิ รรมประกาศ …………………………………………....…………………………………….. ค
สารบญั ……………………………………………………..………………………………………. ง
บทท่ี 1 บทนา ……………………………………………………………………………………….. 9

ท่ีมาและความสาคญั ……………………………………………………………………………. 9
วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจยั ……………………………………………………………………….. 11
ความสาคญั ของการศกึ ษา ……………………………………………………………………… 11
กรอบแนวคดิ ของการวจิ ยั ………………………………………………………………………. 12
ขอบเขตของการวจิ ยั ……………………………………………………………………………. 13
นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ ……………………………………………………………………………….. 14
วิธีการดาเนนิ การของการวจิ ยั ………………………………………………………………….. 15
บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจยั ท่ีเก่ียวขอ้ ง …………………………………………………………….. 17
1.แนวคดิ เก่ียวกบั วฒั นธรรม ประเพณี และคา่ นยิ ม ……………………………………………. 18

1.1 แนวคดิ เก่ียวกบั วฒั นธรรม …………………………………………………………….. 18
1.1.1 ความหมายของวฒั นธรรม …………………………………………………….… 19
1.1.2 ลกั ษณะของวฒั นธรรม …………………………………………………….…….. 23
1.1.3 หนา้ ท่ีของวฒั นธรรม ………………………………………………………….…. 24

หนา้
1.1.5 วฒั นธรรมอีสาน ……………………………………………………………………………… 25

1.2 แนวคิดเก่ียวกบั ประเพณี ……………………………………………………………… 26
1.2.1 ความหมายของประเพณี ……………………………………………………….. 27
1.2.1 ประเภทของประเพณี …………………………………………………………… 27
1.2.3 ประเพณีฮีตสบิ สอง …………………………………………………………….. 28
1.2.4 ประเพณีบญุ ขา้ วจ่ี ………………………………………………………………. 29

1.3 แนวคดิ เก่ียวกบั คา่ นิยม ………………………………………………………………. 31
2. แนวคดิ เก่ียวกบั คตชิ นสรา้ งสรรค์ ……………………………………………………………. 34

2.1 การผลิตซา้ ……………………………………………………………………………. 35
2.2 การสรา้ งใหม่ ……………………………………………………………………..…. . 37
2.3 ประเพณีประดษิ ฐ์ …………………………………………………………………...... 38
3. กิจกรรมบญุ ขา้ วจ่ีวาเลนไทน์ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น ……………………………………..… 38
4. บรบิ ทพืน้ ท่ีการศกึ ษา ………………………………………………………………………… 39
5. วจิ ยั ท่ีเก่ียวขอ้ ง ……………………………………………………………………………….. 40
บทท่ี 3 วธิ ีการดาเนินการวิจยั ………………………………………………………………………. 50
ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง ……………………………………………………………………… 50
เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการวจิ ยั ………………………………………………………………………… 51

หนา้
การเก็บรวบรวมขอ้ มลู ……………………………………………………………………….…... 51
การวิเคราะหข์ อ้ มลู …………………………………………………………………………….… 52
บทท่ี 4 “คตชิ นสรา้ งสรรค”์ ในกิจกรรมบญุ ขา้ วจ่ีวาเลนไทน์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น

ประจาปี 2563 ………………………………………………………………………………… 53
1. “คตชิ นสรา้ งสรรค”์ (creative folklore) ………………………………………………………. 53

1.1 กิจกรรมจ่ีขา้ วจ่ี ……………………………………………………………………….… 54
1.1.1 จดุ บรกิ ารอปุ กรณจ์ ่ีขา้ วจ่ี ………………………………………………………….. 54
1.2.1 ขา้ วจ่ีแบบดงั้ เดมิ ฉบบั ชมุ ชนสาวะถี ……………………………………………..... 55
1.2.3 บรรยากาศของการจ่ีขา้ วจ่ี …………………………………………………………. 55
1.2.4 การจ่ีขา้ วจ่ีถวายพระสงฆ์ …………………………………………………………. 57

1.2 กิจกรรมประกวดภาพถา่ ยเซลฟ่ี …………………………………………………….…... 59
1.2.1 กตกิ าการเขา้ รว่ มกิจกรรม …………………………………………………….…... 59
1.2.2 การคดั เลือกภาพถา่ ยเซลฟ่ี ท่ีไดร้ บั รางวลั ……………………………………….... 60

1.3 กิจกรรมประกวด Miss Midnight Valentine kku 2020 ………………………………... 63
1.3.1 ระเบียบและหลกั เกณฑก์ ารประกวด ……………………………………………… 64
1.3.2 การแตง่ กายของผเู้ ขา้ ประกวด ……………………………………………………. 64
1.3.3 รางวลั ท่ีจะไดร้ บั …………………………………………………………………… 66

1.4 กิจกรรมการเตน้ บาสโลบ ……………………………………………………………...… 67

หนา้
1.5 การแสดงดนตรีและหมอลา ……………………………………………………………... 69

1.5.1 การแสดงดนตรีโดยนกั ศกึ ษาและคนท่วั ไป ……………………………………….. 69
1.5.2 การแสดงหมอลาของชาวบา้ นชมุ ชนสาวะถี ……………………………………… 70
1.6 ตกั บาตรวาเลนไทน์ ……………………………………………………………………... 71
2. การสรา้ งสรรคจ์ ากคตชิ น (creativity from folklore) ………………………………………… 72
2.1 กิจกรรมประกวดขา้ วจ่ีแฟนซี ……………………………………………………………. 72
2.2 การแสดงหนุ่ หมอลา “สนิ ไซ” ……………………………………………………………. 74
3. วิธีคดิ เชงิ “คตชิ นสรา้ งสรรค”์ ในงานบญุ ขา้ วจ่ีวาเลนไทน์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น
ประจาปี 2563 …………………………………………………………………………………… 75
3.1 แนวคดิ เร่อื ง Invented Tradition ……………………………………………………….. 76
3.2 การผลติ ซา้ ในบญุ ขา้ วจ่ีวาเลนไทน์ ……………………………………………………… 77
3.3 การสรา้ งใหมใ่ นบญุ ขา้ วจ่ีวาเลนไทน์ ……………………………………………………. 78
บทท่ี 5 สรุปผลวิจยั และอภิปรายผล ………………………………………………………………… 82
บรรณานกุ รม ……………………………………………………………………………………. 90
รายช่ือผใู้ หข้ อ้ มลู ………………………………………………………………………………… 92
ประวตั ยิ ่อของผศู้ กึ ษา …………………………………………………………………….……… 94

สารบญั ภาพ
หนา้

ภาพท่ี 1 แผนท่ีมหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น ……………………………………………………………. 41
ภาพท่ี 2 การใหค้ วามรูเ้ ก่ียวกบั การจ่ีขา้ วจ่ีและสอนการทาขา้ วจ่ีแบบฉบบั ชมุ ชนสาวะถี ………… 56
ภาพท่ี 3 ผทู้ ่ีเขา้ รว่ มงานรว่ มทากิจกรรมจ่ีขา้ วจ่ี …………………………………………………… 57
ภาพท่ี 4 นกั ศกึ ษามหาวิทยาลยั ขอนแก่นรว่ มกิจกรรมทาขา้ วจ่ี …………………………………... 58
ภาพท่ี 5 การจ่ีขา้ วจ่ีเพ่ือถวายพระสงฆข์ องชาวบา้ นชมุ ชนสาวะถี …………………………….….. 59
ภาพท่ี 6 การประกาศผลรางวลั การประกวดภาพถา่ ยเซลฟ่ี ภายในงานบญุ ขา้ วจ่ีวาเลนไทน์ ……... 63
ภาพท่ี 7 ภาพผทู้ ่ีไดร้ บั รางวลั ลาดบั ท่ี 1-5 ในการประกวด Miss Midnight Valentine kku 2020 … 66
ภาพท่ี 8 การเตน้ บาสโลบของชมรมนกั ศกึ ษาลาว มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ ………………………... 68
ภาพท่ี 9 การแสดงดนตรขี องนกั ศกึ ษามหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ …………………………………….. 69
ภาพท่ี 10 การแสดงหมอลาจากชาวบา้ นชมุ ชนสาวะถี ……………………………………………. 70
ภาพท่ี 11 การทาบญุ ตกั บาตรวาเลนไทน์ ………………………………………………………….. 71
ภาพท่ี 12 การประกวดขา้ วจ่ีแฟนซีของนกั ศกึ ษามหาวิทยาลยั ขอนแกน่ ………………………….. 74
ภาพท่ี 13 การประกวดขา้ วจ่ีแฟนซีของนกั ศกึ ษามหาวิทยาลยั ขอนแกน่ ………………………….. 74
ภาพท่ี 14 การแสดงหมอลาหนุ่ “สนิ ไซ” ตอน “นาคยทุ ธกรรม” โดยคณะห่นุ นวตั ศลิ ป์ มอดนิ แดง … 76

9

บทที่ 1

บทนำ

ทมี่ ำและควำมสำคัญ

บุญข้าวจ่ีวาเลนไทน์ เป็นกิจกรรมท่ีแสดงให้เห็นถึงศิลปะ รากฐานของประเพณีและ
วฒั นธรรมของอีสานท่ีถูกหลงลืม ดว้ ยการประยุกตใ์ ชใ้ หเ้ หมาะสมเขา้ กับยุคสมยั มีการผสมผสาน
วฒั นธรรมไทย กับวฒั นธรรมตะวนั ตก เขา้ ดว้ ยกนั อย่างลงตวั โดยผูจ้ ดั ทาไดเ้ ล็งเห็นคณุ ค่างานบุญ
ขา้ วจ่ีวาเลนไทน์ท่ีเป็นเสมือนเคร่ืองมือท่ีช่วยฟื้นฟู อนุรักษ์ขนบธรรมเนียม จารีต ประเพณีและ
วฒั นธรรมอนั ดงี ามในทอ้ งถ่ินใหค้ งอยู่

จารตี หรือ ฮีต คอื ประเพณีท่ีปฏิบตั สิ ืบทอดกนั มา หากผใู้ ดฝ่ าฝืน หรือทาการผิดเพีย้ นไปจาก
เดิมจะถูกลงโทษหรือถูกตาหนิจากคนในสงั คม ฮีต 12 ของชาวอีสาน เป็นเร่ืองของความเช่ือในพุทธ
ศาสนา เป็นประเพณีท่ีคนในสงั คมจะมีโอกาสไดร้ ว่ มกนั ทาบญุ ประจาทกุ ๆเดือนในรอบปี และเป็นการ
สร้างความรัก ความสมัคคีของคนในท้องถ่ินให้คนในชุมชนด้มาพบปะสังสรรคก์ ัน สร้างความ
สนกุ สนานร่นื เรงิ ทงั้ 12 เดือน ในรอบปี

ดงั นั้น ฮีต 12 เป็นรากฐานทางวัฒนธรรมของสังคมอีสานท่ียึดถือปฏิบัติกันมาเป็นเวลา
ยาวนาน ก่อใหเ้ กิดคณุ คา่ ความดี ความงาม และความสามคั คีของคนในชมุ ชน ชว่ ยเช่ือมรอ้ ยคนให้
เขา้ กับวฒั นธรรม ดงั เช่น ประเพณีบญุ ขา้ วจ่ี หรือบุญเดือนสาม ท่ีสะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงความเช่ือ ความ
ศรทั ธาตอ่ พระพทุ ธศาสนา ซ่งึ เป็นการธานบุ ารุงศาสนาภายใตก้ ศุ โลบายโดยใชบ้ ญุ นาพาใหส้ งั คมเกิด
สนั ตสิ ขุ

ตำนำน ควำมเป็ นมำของบุญข้ำวจ่ี ประเพณีของบญุ ขา้ วจ่ีปรากฏในหนงั สือธรรมบทว่า
ในสมยั หนง่ึ นางปณุ ณทาสีไดท้ าขนมแปง้ จ่ี (ขา้ วจ่ี) ท่ีทาจากราขา้ วอย่างละเอียดถวายแดพ่ ระพทุ ธเจา้
และพระอานนท์ นางคดิ ว่าเม่ือพระพทุ ธองคก์ บั พระอานนทร์ บั แลว้ คงไม่ฉัน เพราะอาหารท่ีเราถวาย
ไมใ่ ช่อาหารท่ีดีหรือประณีตอะไร คงจะโยนใหห้ มกู่ า และสนุ ขั กินเสียกลางทางพระพทุ ธเจา้ ทรงทราบ
วาระจิตของนางและเขา้ ใจในเร่ืองท่ีนางปณุ ณทาสีคิด จึงไดส้ ่งั ใหพ้ ระอานนทผ์ เู้ ป็นพุทธอปุ ัฎฐากได้

10

ปูลาดอาสนะลงแล้วประทับน่ังฉันสุดกาลังและในตอนท้ายหลังการ ทาภัตตกิจด้วยขนมแป้งจ่ี
เรียบรอ้ ยแลว้ พระพุทธเจา้ ไดแ้ สดงธรรมใหฟ้ ังจนกระท่งั นางปณุ ณทาสีไดบ้ รรลุโสดาบนั เป็นอริย
อุบาสิกาเพราะมีขา้ วจ่ีเป็ นมูลเหตุ และดว้ ยความเช่ือในพระพุทธศาสนา คนอีสานจึงไดจ้ ัด ให้มี
ประเพณีการทาบุญขา้ วจ่ีทกุ ๆ ปี ไม่ไดข้ าด ด่งั ท่ีปรากฎในผญาซ่ึงมีเนือ้ หาเก่ียวกับเร่ืองนีว้ ่า เม่ือถึง
เดอื นสามไดพ้ ากนั เอาบญุ ขา้ วจ่ี ตงั้ หากธรรมเนียมนีม้ ีมาแทก้ ่อนกาล ไดเ้ ฮ็ดกนั ทกุ บา้ นทกุ ถ่ินเอาบญุ
อยา่ ได้ พากนั ไลเสียฮีตบญุ คองเคา้ (พระอาจารยศ์ รพี ล พิลาสตุ า : เวปไซด)์

วันทาบุญขา้ วจ่ีซ่ึงมักจะเป็นวันเพ็ญเดือนสาม ทุกครวั เรือนในหมู่บา้ นจัดเตรียมข้าวจ่ี
แลว้ นิมนตพ์ ระสงฆม์ ารวมกันท่ีศาลาโรงธรรมญาติโยมจะมาพรอ้ มกันแลว้ อาราธนาศีล ว่าคาถวาย
ขา้ วจ่ีเส็จแลว้ เอาขา้ วจ่ีไปใส่บาตร พระสงฆส์ วดมนตจ์ บแลว้ ญาติโยมยกอาหารคาวหวานไปถวาย
พระฉันเสร็จแลว้ อนุมโทนาเป็นการเสร็จพิธีถวายขา้ วจ่ี ในปัจจุบนั ชาวบา้ นนอกจากจะทาบญุ ขา้ วจ่ี
แล้วยังทาบุญมาฆบูชา เป็นวันสาคัญทางพระพุทธศาสนาอีกวันหน่ึง (สานักวัฒนธรรมจังหวัด
ศรสี ะเกษ : เวปไซด)์

ในเดือนสามของชาวอีสานตามพุทธศาสนาเป็นบุญฮีตเดือนสาม คือบุญขา้ วจ่ี หากกล่าวถึง
กิจกรรมในเดือนเดียวกันทางศาสนาครสิ ต์ คือวนั แหง่ ความรกั ซ่ึงคนไทยหลายคน ทงั้ เด็ก วยั รุน่ หรือ
แมก้ ระท่งั วยั สงู อายุ ก็มกั จะนกึ ถึงวนั วาเลนไทน์ ท่ีมองในเร่ืองความรกั ซ่งึ ประเพณีบญุ ขา้ วจ่ีก็กล่าวถึง
ความรัก ความสมัคคีของครอบครัว ท่ีร่วมวงจ่ีข้าว ได้พูดคุยถามไถ่กัน และยังเป็ นความรัก
ความสมคั คขี องคนในสงั คมอีกดว้ ย

วันวำเลนไทนเ์ กิดขึน้ เพอื่ ระลึกถึงนักบุญเซนตว์ ำเลนไทน์ (Saint Valentine) ผรู้ บั โทษ
ประหารในวนั ท่ี 14 กมุ ภาพนั ธ์ ค.ศ. 270 ซง่ึ ในยคุ นนั้ มีกฎหมายหา้ มไมใ่ หม้ ีการแตง่ งานของครสิ เตียน
แตเ่ ซนตว์ าเลนไทนย์ งั แอบจดั งานแตง่ งานใหก้ บั ค่รู กั ครสิ เตียนจนถกู จบั ขงั และรบั โทษ โดยในขณะท่ี
ถกู คมุ ขงั นนั้ เขาก็พบรกั กบั สาวตาบอดซ่งึ เป็นลกู สาวของผคู้ มุ ดว้ ยความรกั และคาอธิษฐานของเขา
พระเจา้ ไดท้ รงโปรดใหต้ าของสาวคนรกั หายเป็นปกติ แตเ่ ม่ือความนีล้ ว่ งรูถ้ ึงหกู ษัตรยิ ์ เซนตว์ าเลนไทน์
จงึ ถกู ประหารชีวิตดว้ ยการตดั ศรี ษะ ตอ่ มาเม่ือคนท่วั ไปทราบเร่อื งราวจงึ เกิดความประทบั ใจและยดึ ถือ
เอาวนั ท่ี 14 กมุ ภาพนั ธ์ ของทกุ ปีเป็น “วนั แหง่ ความรกั ” น่นั เอง

11

วันวำเลนไทน์ หรือ Valentine's Day ในแต่ละประเทศจะมีประเพณีหรือการปฏิบตั ิท่ี
แตกตา่ งกนั บา้ ง แตโ่ ดยรวมแลว้ จะมีการเฉลิมฉลองและเป็นการแสดงถึงความรกั ท่ีมีระหว่างกนั ตอ่ มา
เม่ือมีความเจริญก้าวหนา้ ทางด้านเทคโนโลยีทางดา้ นการพิมพ์ จึงมีการพิมพบ์ ัตรอวยพรแทนท่ี
จดหมายท่ีเขียนด้วยลายมือ และปัจจุบัน ก็มีการส่งบัตรอวยพรทางออนไลน์เพ่ือแสดงถึง
ความกา้ วหนา้ ของเทคโนโลยีสารสนเทศ ท่ีชว่ ยใหค้ นท่ีตอ้ งการแสดงความรกั ความหว่ งใยถึงคนท่ีรกั ได้
อยา่ งรวดเรว็ ย่งิ ขนึ้ (amerainy.exteen : เวปไซด)์

บุญข้ำวจว่ี ำเลนไทน์ เกิดจากการมองเห็นความสมั พนั ธข์ องความรกั ทงั้ แบบพทุ ธศาสนาและ
สากล จึงมีการรับเอากิจกรรมวันแห่งความรักแบบสากล โดยไม่ละทิง้ ความเป็นดงั้ เดิม โดยการ
ประยกุ ตก์ ิจกรรมวนั แหง่ ความรกั ทงั้ สองงานไวด้ ว้ ยกนั ใหเ้ ขา้ กบั ยคุ สมยั ตามแนวคิด “ ไมห่ ลงของเก่า
ไมเ่ มาของใหม”่

วัตถปุ ระสงคข์ องกำรวิจัย
เพ่ือศึกษาคติชนสรา้ งสรรคท์ ่ีปรากฏในกิจกรรมบุญขา้ วจ่ีวาเลนไทน์ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น

ประจาปี 2563

ควำมสำคัญของกำรศกึ ษำ
1. ทาใหท้ ราบถึงคตชิ นสรา้ งสรรคท์ ่ีปรากฏในบญุ ขา้ วจ่ีวาเลนไทน์
2. ทาใหเ้ หน็ ปัจจยั และกระบวนการ “การสรา้ งสรรค”์ บนฐานคตชิ นแบบดงั้ เดมิ

12

กรอบแนวคิดของกำรวิจัย

แนวคดิ “คตชิ นสร้ำงสรรค”์

งานวิจยั นี้ ผศู้ กึ ษามีความสนใจศกึ ษาการใชค้ ตชิ นในสงั คมรว่ มสมยั ผา่ นประเพณีสรา้ งสรรค์
ซ่งึ ศิราพร ณ ถลาง ไดใ้ ชค้ าศพั ทท์ ่ีเก่ียวขอ้ งขนึ้ ว่า “คตชิ นสรา้ งสรรค”์ (Creative folklore) เพ่ือลอ้ กับ
คาว่า “เศรษฐกิจสรา้ งสรรค”์ (Creative economy) ท่ีอาศยั แนวคิดเร่ืองการพฒั นาเศรษฐกิจโดยการ
สรา้ งมลู คา่ เพ่ิม (value adding) โดยใชท้ นุ ทางวฒั นธรรมท่ีมีอย่เู ดิม ซ่งึ รวมถึงการราเอาระบบคณุ คา่
ระบบความเช่ือ และคติชนท่ีมีอยเู่ ดิมในสงั คมประเพณีมาสรา้ งสรรคใ์ หม่ในสงั คมปัจจบุ นั ศิราพร ณ
ถลาง ไดใ้ หค้ วามหมายคาวา่ “คตชิ นสรา้ งสรรค”์ ไวว้ า่ คตชิ นท่ีมีการสรา้ งใหมห่ รอื ผลิตซา้ ในบริบททาง
สงั คมไทยปัจจบุ นั ในลกั ษณะของการสืบทอดคตชิ นในบริบทใหม่ การประยกุ ตค์ ติชน การ “ตอ่ ยอด”
คติชน การตีความใหม่และสรา้ งความหมายใหม่ หรือการนาคตชิ นไปใชเ้ พ่ือ “สรา้ งมูลค่าเพ่ิม” หรือ
สรา้ งอตั ลกั ษณข์ องทอ้ งถ่ินหรอื อตั ลกั ษณช์ าตพิ นั ธุ์ (ศริ าพร ณ ถลาง,2559 : 18-19)

แนวคิดเร่ืองการสืบทอดวฒั นธรรม และผลิตซา้ วฒั นธรรม วชั ราภรณ์ ดิษฐปา้ น (2558 :
113) ไดก้ ล่าวว่า การสืบทอดวฒั นธรรม (cultural transmission) และผลิตซา้ วฒั นธรรม (cultural
reproduction) เป็นส่วนหน่ึงของพลวตั ทางวฒั นธรรม ไดก้ ล่าวว่า เม่ือวฒั นธรรมบางอย่างมีการสืบ
ทอดสง่ ตอ่ ภายในกล่มุ สงั คมหน่ึง ๆ จากรุน่ ส่รู ุน่ ทาให้ วฒั นธรรมนนั้ ยงั มีชีวิตอย่หู รือมีบทบาทในกล่มุ
สงั คม หรือวฒั นธรรมบางอยา่ งท่ีเคยมีอยู่ ในอดีตถกู รอื้ ฟื้นเลือกสรรขนึ้ มาผลิตซา้ หรือนามาปฏิบตั ใิ หม่
โดยอาจปรบั เปล่ียนรูปแบบบางอย่างเพ่ือใหส้ อดคลอ้ งกับจดุ ม่งุ หมายในปัจจุบนั หรืออาจจะมีการ
ริเร่ิมวิถีปฏิบัติใหม่ โดยนาส่ิงท่ีมีอยู่แล้วในวัฒนธรรมหลักมาตีความใหม่ ทาใหเ้ กิดการผลิตซา้
วฒั นธรรมบางอยา่ งในพืน้ ท่ีใหม่ท่ีไม่เคยมีวิถีปฏิบตั เิ ช่นนนั้ มาก่อน ปรากฏการณท์ ่ีเกิดขึน้ เหล่านีเ้ ห็น
ไดจ้ ากการสืบทอดและการผลิตซา้ ความเช่ือ การผลิตซา้ ทางวฒั นธรรม (cultural reproduction) หรือ
การผลิตใหม่ทาง วัฒนธรรมเพ่ือปรบั ปรุงให้เขา้ กับสถานการณ์ท่ีเปล่ียนแปลงไป เป็นการนาภูมิ
ปัญญาไทย ซ่ึงเป็นตน้ ทนุ ทางวฒั นธรรมท่ีมีอย่แู ลว้ ในสงั คมไทยมาประยกุ ตใ์ ชใ้ หส้ อดคลอ้ งกบั บริบท
ของสงั คมปัจจบุ นั เพ่ือจะเผชิญหนา้ กับกระแสวัตถนุ ิยม บริโภคนิยม พาณิชยน์ ิยม และ อานาจนิยมท่ี

13

ครอบงาสงั คมไทยสมยั ใหม่ สงั คมไทยสามารถจะนาภูมิปัญญามาประยกุ ต์ และ “ผลิตซา้ ” หรือ “ผลิต
ใหม”่ เพ่ือรบั ใชค้ นปัจจบุ นั

กรอบแนวคิดของฮ็อบสบอม เร่ือง “ประเพณีประดิษฐ์” ฮ๊อบสบอม ใชค้ าภาษาองั กฤษว่า
“The invention of tradition” นนั้ เป็นแนวคดิ หน่งึ ทางดา้ นสงั คมศาสตรท์ ่ีใชศ้ กึ ษา วิเคราะหข์ อ้ มูล
วฒั นธรรมของกล่มุ ชนใดกล่มุ ชนหน่ึง โดยมีสาระสาคญั ของแนวคิดก็คือ การนาเอาเร่ืองราวในอดีต
ซ่งึ ในท่ีนีห้ มายถึง ขอ้ มลู ประเพณีมาใชใ้ นบริบทสงั คมปัจจบุ นั อนั ถือเป็นปฏิบตั กิ ารทางสงั คมท่ีมีการ
หยิบยืมเอาประเพณี หรือ วฒั นธรรมในอดีตมาใชเ้ ป็นเคร่ืองมือในการสรา้ งความหมายใหม่ภายใต้
เง่ือนไขของบริบท และสถานการณใ์ นยคุ ปัจจบุ นั การสรา้ งประเพณีท่ีเรียกว่า “ประเพณีประดษิ ฐ์” จึง
ไม่ใช่ประเพณีท่ีเพ่ิงเกิดขึน้ ใหม่เม่ือไม่นานมานีเ้ อง หรืออาจมีการประยุกต์ ดดั แปลง นาเอาเร่ืองราว
เก่าแก่โบราณทางวฒั นธรรมมาประกอบสรา้ งขนึ้ ใหม่ จนทาใหผ้ คู้ นมองเห็นและเช่ือว่าเป็นประเพณีท่ี
มีมาแตโ่ บราณ หรอื มีการสืบทอดมาตงั้ แตค่ รงั้ บรรพชนก็ได้ (ปฐม หงสส์ วุ รรณ, 2558 : 251)

สว่ นคาวา่ “การสรา้ งใหม”่ จะศกึ ษาดวู า่ ในปัจจบุ นั ประเพณีมีการนามาสรา้ งใหม่อยา่ งไร หรือ
มีปรากฏการณใ์ หม่ ๆ เกิดขนึ้ อยา่ งไรในประเพณี คนในสงั คมไดม้ ีการเปล่ียนแปลงกิจกรรม หรือมีการ
เพ่มิ เตมิ กิจกรรมใหม่ ๆ ท่ี ไมเ่ คยเกิดขนึ้ มากอ่ นอยา่ งไร ในบรบิ ทของเศรษฐกิจ การเมือง การท่องเท่ียว
และการสรา้ งมลู ค่า ซ่ึงเป็นไปในลกั ษณะของประเพณีประดิษฐ์ หรือถูกประดิษฐ์ขึน้ ในบริบทสงั คม
ปัจจบุ นั

ขอบเขตของกำรวจิ ัย
งานวิจยั เร่ือง กรณีศกึ ษา การสรา้ งสรรคป์ ระเพณีบญุ ขา้ วจ่ีผา่ นกิจกรรมบญุ ขา้ วจ่ีวาเลนไทน์

มหาวิทยาลยั ขอนแก่น ประจาปี 2563 โดยผศู้ กึ ษาไดศ้ กึ ษาจากการเขา้ ไปมีส่วนรว่ ม ลมั ภาษณผ์ จู้ ดั
งานและผเู้ ขา้ รว่ มงานบญุ ขา้ วจ่ีวาเลนไทน์ ปี พ.ศ.2563 ระหวา่ งวนั ท่ี 13-14 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2563

14

นิยำมศัพทเ์ ฉพำะ

บุญข้ำวจ่ี เป็นบญุ ประเพณีท่ีสาคญั ประเพณีหนง่ึ ในฮีตสิบสองของชาวอีสาน พอถึงเดือนสาม
ซ่ึงเป็นเดือนท่ีมีการเก็บเก่ียวขา้ วเป็นท่ีเรียบรอ้ ยแลว้ ชาวอีสานนิยมทาบญุ ดว้ ยการถวายขา้ วจ่ีแด่
พระสงฆ์ ซ่ึงบญุ นีเ้ รียกว่า “บญุ ขา้ วจ่ี” ซ่ึงเป็นอีกงานบุญประเพณี ท่ีมีความสาคญั และไดป้ ฏิบตั ิสืบ
ทอดกันมาเป็นเวลาชา้ นาน ดงั คากลอนว่า “เดือนสาม คอ้ ย เจา้ หวั คอยปั้นขา้ วจ่ี ขา้ วจ่ีบ่ใส่นา้ ออ้ ย
จวั นอ้ ยเช็ดนา้ ตา” (ปรชี า พิณทอง, 2542 : 5373)

วันวำเลนไทน์ ยึดถือเอาวนั ท่ี 14 กุมภาพนั ธ์ ของทุกปีเป็น “วนั แห่งความรกั ” เพ่ือระลึกถึง
นกั บญุ เซนตว์ าเลนไทน์ (Saint Valentine)

คติชนสร้ำงสรรค์ หมายถึง คติชนท่ีมีการสรา้ งใหม่หรือผลิตซา้ ในบริบททางสังคมไทย
ปัจจบุ นั ในลกั ษณะของการสืบทอดคติชนในบรบิ ทใหม่ การประยกุ ตค์ ติชน การ “ตอ่ ยอด” คตชิ นการ
ตคี วามใหมแ่ ละสรา้ งความหมายใหม่ หรือการนาคติชนไปใชเ้ พ่ือ “สรา้ งมลู คา่ เพ่ิม” หรือ เพ่ือสรา้ งอตั
ลกั ษณข์ องทอ้ งถ่ินหรอื อตั ลกั ษณช์ าตพิ นั ธุ์ (ศริ าพร ณ ถลาง,2559 : 19)

กำรผลิตซำ้ หมายถึง การนาเอาประเพณีมาประกอบสรา้ งในบริบทใหม่ เป็นการธารงรกั ษา
สืบต่อทางความเช่ือและวิถีปฏิบัติต่าง ๆ ท่ีกระทากันมาตงั้ แต่อดีตและมีรากฐานมาจนถึงปัจจุบนั
รวมไปถึงพิธีกรรมดงั้ เดมิ แบบชาวบา้ น ซง่ึ การสืบทอดนีอ้ าจจะมีการดดั แปลงรูปแบบบางอยา่ งจากอด
ตเี พ่ือใหเ้ ขา้ กบั บรบิ ทในสงั คมปัจจบุ นั

กำรสร้ำงใหม่ หมายถึง การศกึ ษาว่าในปัจจบุ นั ประเพณีมีการนามาสรา้ งใหม่อยา่ งไร หรือมี
ปรากฏการณใ์ หม่ ๆ เกิดขึน้ อย่างไรในประเพณี คนในสังคมไดม้ ีการเปล่ียนแปลงกิจกรรม หรือมี
การเพ่ิมเติมกิจกรรมใหม่ ๆ ท่ีไม่เคยเกิดขึน้ มาก่อนอย่างไร ในบริบทของเศรษฐกิจ การเมือง การ
ทอ่ งเท่ียว และการสรา้ งมลู คา่ ซง่ึ เป็นไปในลกั ษณะของประเพณีประดษิ ฐ์ หรือถกู ประดิษฐ์ขนึ้ ในบรบิ ท
สงั คมปัจจบุ นั

15

วิธีกำรดำเนินกำรของกำรวิจัย
1. ขนั้ ตอนการศกึ ษาและรวบรวมขอ้ มลู
1.1 ศกึ ษาแนวคดิ คตชิ นสรา้ งสรรค์
1.2 การศกึ ษาคน้ ควา้ จากเอกสาร โดยศกึ ษาหนงั สือ ตารา บทความ เอกสารงานวิจยั

ท่ี เก่ียวขอ้ ง โดยการนาขอ้ มลู เหลา่ นนั้ มาเรียบเรยี งและสรุปผลวิจยั ตามหวั ขอ้ ท่ีกาหนดไว้
1.3 การสมั ภาษณเ์ ก็บรวบรวมขอ้ มลู ภาคสนามมาวิเคราะห์
1.3.1 ศกึ ษาการสมั ภาษณเ์ จา้ ของโครงการและผทู้ ่ีรบั ผิดชอบในส่วนของ

กิจกรรมภายในงานบญุ ขา้ วจ่ีวาเลนไทน์ ในวนั ท่ี 13-14 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2563
1.3.2 ดาเนินการสงั เกตแบบมีสว่ นรว่ ม โดยผวู้ ิจยั เขา้ รว่ มงานบญุ ขา้ วจ่ี

วาเลนไทน์ ในวนั ท่ี 13-14 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2563
2. การวเิ คราะหข์ อ้ มลู ผศู้ กึ ษานาขอ้ มลู มาวเิ คราะหต์ ามวตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจยั
2.1ศกึ ษาการสรา้ งสรรคก์ ิจกรรมบญุ ขา้ วจ่ีวาเลนไทนม์ หาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ ประจาปี

2563 ผา่ นรูปแบบการจดั กิจกรรมเพ่ือใหเ้ ขา้ กบั ยคุ สมยั โดย “คตชิ นสรา้ งสรรค”์ (creative folklore)
และ “การสรา้ งสรรคจ์ ากคตชิ น” (creativity from folklore)

2.1.1 กิจกรรมจ่ีขา้ วจ่ี
2.1.2 กิจกรรมประกวดภาพถ่ายเซลฟ่ี
2.1.3 กิจกรรมประกวด Miss Midnight Valentine kku 2020
2.1.4 กิจกรรมประกวดขา้ วจ่ีแฟนซี
2.1.5 กิจกรรมการแสดงหมอลาหนุ่ “สนิ ไซ”
2.1.6 กิจกรรมการเตน้ บาสโลบ จากชมรมนกั ศกึ ษาลาว
มหาวิทยาลยั ขอนแกน่

16

2.1.7 กิจกรรมการแสดงดนตรี
2.1.8 กิจกรรมตกั บาตรวาเลนไทน์
3. ขนั้ สรุปและอภิปราย
3.1 สรุปขอ้ มลู ผลการศกึ ษา
3.2 อภิปรายผลการศกึ ษา
3.3 ขอ้ เสนอแนะ
4. เรยี บเรียงและนาเสนอผลการวจิ ยั

17

บทท่ี 2
เอกสำรและงำนวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วข้อง

ในการศึกษาครงั้ นีผ้ ูศ้ กึ ษาไดเ้ ลือกศกึ ษาเร่ือง กรณีศึกษาการสรา้ งสรรคป์ ระเพณีบญุ ขา้ วจ่ี
ผา่ นกิจกรรมบญุ ขา้ วจ่ีวาเลนไทน์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น ประจาปี 2563 ซ่งึ จดั วา่ เป็นงานบญุ ประเพณี
ท่ีควรคา่ แก่การศกึ ษา มี ความสาคญั ในดา้ นศาสนา วฒั นธรรม มีการประยกุ ตก์ ิจกรรมใหเ้ ขา้ กบั บรบิ ท
รว่ มสมยั และยงั ชว่ ยอนรุ กั ษว์ ิถีแบบดงั้ เดิมใหค้ นรุน่ ใหม่ไดศ้ กึ ษา ตามแนวคิด “ ไมห่ ลงของเก่า ไม่เมา
ของใหม่” โดยศึกษาคติชนสรา้ งสรรคท์ ่ีปรากฏในกิจกรรมบุญขา้ วจ่ีวาเลนไทนแ์ ละปัจจยั ของการ
สรา้ งสรรคก์ ิจกรรมบญุ ขา้ วจ่ีวาเลนไทน์ ผลจากการคน้ ควา้ เอกสารท่ีเก่ียวขอ้ งมีดงั นี้

1. แนวคิดเก่ียวกบั วฒั นธรรม ประเพณี และคา่ นิยม
1.1 แนวคดิ เก่ียวกบั วฒั นธรรม
1.2 แนวคดิ เก่ียวกบั ประเพณี
1.3 แนวคิดเก่ียวกบั คา่ นิยม

2. แนวคดิ เก่ียวกบั คตชิ นสรา้ งสรรค์
2.1 แนวคดิ การผลิตซา้
2.2 แนวคิดการสรา้ งใหม่
2.3 แนวคิดประเพณีประดษิ ฐ์

3. กิจกรรมบญุ ขา้ วจ่ีวาเลนไทน์ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น
4. บรบิ ทพืน้ ท่ีการศกึ ษา
5. วิจยั ท่ีเก่ียวขอ้ ง

18

1. แนวคิดเกย่ี วกบั วฒั นธรรม ประเพณี และค่านิยม

1.1 แนวคิดเก่ียวกบั วฒั นธรรม

จากการศกึ ษาพบว่ามีนกั วชิ าการหลายทา่ นไดใ้ หค้ วามหมายของคาวา่ “วฒั นธรรม” ไวด้ งั นี้

ราชบณั ฑติ ยสถาน (2546 : 521) ใหค้ วามหมายของวฒั นธรรมไวว้ า่ “วฒั นธรรมเป็น ส่งิ
ท่ีทาความเจรญิ งอกงามใหแ้ กห่ มคู่ ณะ เชน่ วฒั นธรรมพืน้ บา้ น วฒั นธรรมชาวเขา คาว่า “วฒั นธรรม”
ในภาษาไทยตามความหมายนีใ้ กลเ้ คียงกบั คาว่า "อารยธรรม" วฒั นธรรมในเชงิ ของอารยธรรม สว่ นคา
วา่ “Culture” ในภาษาองั กฤษ ท่ีแปลว่าวฒั นธรรมนนั้ มาจากภาษาละตนิ คาว่า “Culture” ซง่ึ แยกมา
จาก คา “Colure” ท่ีแปลวา่ การเพาะปลกู สว่ นความหมายท่วั ไปในสากล หมายถึงรูปแบบของ
กิจกรรมมนษุ ยแ์ ละโครงสรา้ งเชิงสญั ลกั ษณท์ ่ีทาใหก้ ิจกรรมนนั้ เดน่ ชดั และมีความสาคญั

พระราชบญั ญัติวฒั นธรรม พทุ ธศกั ราช 2485 ใหค้ วามหมายไวว้ ่า “วฒั นธรรม” หมายถึง
ลกั ษณะท่ีแสดงถงึ ความเจรญิ งอกงาม ความเป็นระเบียบเรียบรอ้ ย ความกลมเกลียวก้าวหนา้ ของชาติ
และศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชน ทางวิทยาการ หมายถงึ พฤตกิ รรมและส่ิงท่ีคนในหมู่ผลิตสรา้ งขนึ้ ดว้ ย
การเรียนรู้จากกันและกัน และร่วมใช่อยู่ในหมู่ของตน (สานักงานเลขาธิการการศึกษา
กระทรวงศกึ ษาธิการ, 2551 : เว็บไซต)์

Jary, D.and Jary, J., (1991 : 101) ไดใ้ หร้ ายละเอียดเก่ียวกบั “วฒั นธรรม” ไวว้ า่
“หนทางทงั้ หมดแห่งการดาเนินชีวิต รวมถึงกฎกติกาแห่งกิริยามารยาท การแต่งกาย ศาสนา พิธีกรรม
ปทสั ถานแห่งพฤติกรรม เช่น กฎหมายและศีลธรรม ระบบของความเช่ือรวมทงั้ ศิลปะ เช่น ศลิ ปะการ
ทาอาหาร”

นิเวศน์ เหมวชิรวรากร (2550 : 55) ไดใ้ หร้ ายละเอียดไวส้ รุปไดว้ า่ “วฒั นธรรม” ก็คือ
ชุดของเร่ืองราวทางวฒั นธรรมน่นั เอง นกั มานุษยวิทยา ช่ือว่า “ไวท”์ ไดต้ งั้ คาถามไวว้ ่า “เร่ืองราว
เหล่านนั้ คืออะไรกนั แน่” เป็นเร่ืองราวทางกายภาพหรือไม่ หรือเป็นเร่ืองราวทางจิตใจ หรือเป็นทงั้ สอง
อย่าง หรือเป็นอตั ลกั ษณ์ ในหนงั สือเร่ือง “วิทยาศาสตรแ์ หง่ วฒั นธรรม” (Science of Culture 2492)
ท่ีสดุ แลว้ ไวท์ จงึ ไดส้ รุปวา่ มนั คอื เร่อื งราว “Sui generic” น่นั คือ การเป็นชนิดของมนั เอง ในการนิยาม

19

คาว่า “ชนิด” ไวท์ มุ่งไปท่ี “การสรา้ งสญั ลกั ษณซ์ ่ึงเป็นประเด็นท่ีไม่มีผูใ้ ดตระหนกั ถึงมาก่อน ซ่ึงเขา
เรียกว่า “ซิมโบเลท” (the symbolate) คือ เร่ืองราวท่ีเกิดจากการกระทาท่ีสรา้ งสญั ลกั ษณ์ ดงั นนั้ ไวท์
ได้นิยามว่า “วัฒนธรรม คือ ซิมโบเลทในเชิงของบริบทนอกกาย” คาสาคญั ของนิยามนีจ้ ึงได้แก่
การคน้ พบซิมโบเลท น่ันเอง” การใฝ่ หานิยามท่ีใช้การได้ นักทฤษฎีสงั คมช่ือ วอลเตอร์ กล่าวไวว้ ่า
“วฒั นธรรมเป็นการ แลกเปล่ียนเคา้ รา่ งของประสบการณ์ ซ่ึงรวมถึงแต่ไม่จากัดเฉพาะ ภาษาศาสตร์
ศลิ ปะ ศาสนาและอ่ืนๆ รวมทงั้ นิยามก่อนๆ”

1.1.1 ความหมายของวฒั นธรรม

ราชบณั ฑิตยสถาน (2546 : 827) ไดใ้ หค้ วามหมายไวว้ า่ “วฒั นธรรม” หมายถงึ
ความเจรญิ งอกงาม ซ่งึ เป็นผลจากระบบความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งมนษุ ยก์ บั มนษุ ย์ มนษุ ยก์ บั สงั คม และ
มนษุ ยก์ บั ธรรมชาติ จาแนกออกเป็น 3 ดา้ น คอื “จิตใจ สงั คม และวตั ถ”ุ

Shiffman and Kanuk. (1997 : 406) ไดใ้ หร้ ายละเอียดเก่ียวกบั วฒั นธรรมไว้ สรุปได้
วา่ “วฒั นธรรม” หมายถึงผลรวมทงั้ หมดของความเช่ือเกิดจากการเรียนรู้ คา่ นิยมและ ขนบธรรมเนียม
ประเพณี ซ่ึงเป็นส่ิงท่ีนามาใช้เพ่ือควบคมุ กากับพฤติกรรมของผูบ้ ริโภค ในฐานะท่ีเป็น สมาชิกของ
สงั คมหน่งึ โดยเฉพาะ และไดอ้ ธิบายเพ่ิมเติมไวว้ ่า คาว่า “ความเช่ือ” (Belief) และ “คา่ นิยม” (Value)
ในนิยามหมายถึง ความรูส้ กึ นึกคิดท่ีส่งั สมอยู่ภายในจิตใจ (Accumulated feelings) และเป็นส่ิงท่ี
บุคคลมีมาก่อน กล่าวง่าย ๆ ก็คือ ความเช่ือจะประกอบด้วยความรูส้ ึกนึกคิดทางจิตใจ หรือความ
พรอ้ มท่ีจะกลา่ วออกมาเป็นคาพดู “ผมเช่ือวา่ …” ซ่งึ เป็นการสะทอ้ นความรูเ้ ร่ืองใดเร่ืองหน่ึงของบคุ คล
หรือการประเมินบางส่ิงบางอย่าง (เช่น บคุ คล รา้ นคา้ ผลิตภณั ฑ์ และตราสินคา้ ) ส่วน คา่ นิยม ก็เป็น
ความเช่ือเหมือนกนั แตค่ า่ นยิ มจะแตกตา่ งจากความเช่ือ เน่ืองจากคา่ นยิ มมีลกั ษณะ ดงั นี้

1) เป็นจานวนคอ่ นขา้ งนอ้ ย เม่ือเทียบกบั ความเช่ือ (Relatively few in number)

2) ใชเ้ ป็นแนวทางแสดงพฤตกิ รรมท่ีหมาะสมในแง่ของวฒั นธรรม (A Guide for
culturally appropriate behavior)

3) มีความย่งั ยืนทนทาน (Enduring) ยากตอ่ การเปล่ียนแปลง

20

4) ไมย่ ดึ ตดิ กบั วตั ถโุ ดยเฉพาะ (Not tied to specific objects) หรอื สถานการณ์

5) เป็นท่ียอมรบั อยา่ งกวา้ งขวาง (Widely accepted) โดยสมาชกิ ของสงั คม

ส่วนคาว่า “ขนบธรรมเนียม” (Custom) คือ แบบอย่างของพฤติกรรมท่ีเปิดเผย
(Overt mode of behavior) ท่ีเป็นท่ีนิยม หรือเป็นวิถีทางท่ียอมรบั เพ่ือนาไปประพฤติปฏิบตั ิใน
สถานการณต์ า่ ง ๆ ขนบธรรมเนียมจะประกอบดว้ ยพฤติกรรมท่ีเป็นกิจวตั รหรือพฤติกรรมท่ีปฏิบตั ิเป็น
ประจาวนั พฤติกรรมท่ีเป็นกิจวตั รของผูบ้ ริโภค เช่น การใส่นา้ ตาลและนมในกาแฟ และการใส่นา้ ซอส
(ketchup) ในแฮมเบอรเ์ กอรถ์ ือเป็นขนบธรรมเนียม ดงั นนั้ จงึ กล่าวไดว้ า่ ความเช่ือและคา่ นิยมจะเป็น
ตวั นาทางเพ่ือแสดงพฤติกรรมส่วนขนบธรรมเนียม จะเป็นวิถีทางของการแสดงพฤติกรรมท่ีเป็ นท่ี
ยอมรบั และยดึ ถือปฏิบตั กิ นั มาโดยท่วั ไป

เฉลียว บุรีภกั ดี (2539 : 9) ไดใ้ หค้ วามหมายของวฒั นธรรมไว้วา่ “เป็นวิถีการดาเนิน
ชีวิตทุกดา้ นของคนในสงั คม หมายรวมถึง วิธีการกระทาส่ิงต่าง ๆ ทุกอย่างนบั ตงั้ แต่วิธีกิน วิธีอยู่ วิธี
แตง่ กาย วิธีแสดงอารมณ์ วิธีส่ือความหมาย วธิ ีอยรู่ ว่ มกนั เป็นหม่คู ณะ วิธีแสวงหาความสขุ ทางใจและ
หลกั เกณฑท์ ่ีดาเนินชีวิต วิธีพกั ผ่อน ตลอดจนวิธีจราจรและขนส่ง รวมทงั้ เคร่ืองมือเคร่ืองใช้หรือวตั ถุ
ส่งิ ของตา่ ง ๆ ท่ีนามาใชเ้ พ่ือการเหลา่ นนั้ ก็ถือเป็นสว่ นหน่งึ ของวฒั นธรรมดว้ ย

นิยพรรณ (ผลวฒั นะ) วรรณศิริ (2540,37) ไดใ้ หค้ วามหมายของวัฒนธรรมไวว้ ่า
วฒั นธรรมในความหมายเชิงมนุษยศ์ าสตร์ หมายถึง ความดีงามไมว่ ่าจะเป็นพฤติกรรมของคน หรือ
ส่งิ ของจะตอ้ งแสดงออกถึงความดีงามจงจะเป็นวฒั นธรรม โดยความเป็นจริงสงั คมไทยก็เนน้ ในความ
หมานีแ้ ละในส่วนของความหมายเชิงสังคมศาสตรจ์ ะใหค้ วามหมายไวส้ องสาขาวิชา ประการแรก
นกั สงั คมวิทยาใหค้ วามหมายของวฒั นธรรมว่า เป็นขบวนการอบรม ปลูกฝัง ส่งั สอน เรียนรูถ้ ึงการ
ดารงชีวิตท่ีเป็นรูปแบบเดียวกนั แลว้ เก็บไวเ้ ป็นมรดกตกทอดส่สู มาชิกรุน่ ใหม่ของสงั คมตอ่ ไป ในส่วน
ของนกั มานษุ ยวทิ ยาสว่ นใหญ่ใหค้ วามหมายวฒั นธรรมวา่ วฒั นธรมเป็นพฤติกรรมท่ีกล่นั กรองมาจาก
ความคิดท่ีจะหาวิธีการมาตอบสนองความตอ้ งการพืน้ ฐานของมนุษย์ ไดแ้ ก่ การตอบสนองความ
จาเป็นท่ีมนษุ ยจ์ ะยืนหยดั ในการอยรู่ อดเป็นคนไดใ้ นสงั คม

21

เฌอมาลย์ ราชภัณฑารักษ์ (2542, 47) ไดใ้ ห้ความหมายของวัฒนธรรมไวว้ ่า
วฒั นธรรม หมายความรวมถงึ ทกุ ส่ิงทกุ อยา่ งท่ีมนษุ ยค์ ดิ ประดิษฐ์ขนึ้ มา เพ่ือชว่ ยในการดารงชีวิตอยู่ใน
โลก อาจจะเป็นวตั ถสุ ่ิงของต่าง ๆ ท่ีมนุ ษยใ์ ชส้ อย ตลอดจนความรู้ เเตเ่ ทคนิควิธีการตา่ ง ๆ ท่ีช่วยให้
มนุษยส์ ามารถทาเกษตรกรรมเเละอุตสาหกรรม รวมถึงกฎ ขอ้ บงั คบั ความประพฤติต่าง ๆ ขนธรรม
เนียมประเพณี ค่านิยม จริยธรรม ศาสนา ความเช่ือ ศิลปหตั กรรม เป็นตน้ ส่ิงท่ีมนุษยค์ ิดขึน้ มานี้
จะเป็นวัฒนธรรมได้ ก็ต่อเม่ือคนส่วนใหญ่ในกลุ่มสังคมเดียวกันเห็นชอบเเละนาไปใช้ร่วมกัน
วฒั นธรรมจงึ เป็นเเบบเเผนชีวิตความเป็นอย่ขู องคนในสงั คมหน่งึ ซ่งึ คนในสงั คมเห็นว่าดีหรือไมก่ ็ตาม
เเตถ่ า้ คนในสงั คมนนั้ ยอมรบั ท่ีจะเป็นอยดู่ ว้ ยชีวิตเเบบนนั้ เเลว้ นนั้ ก็คือวฒั นธรรม

รพีพรรณ สวุ รรณณฐั โชติ (2550, 4) ไดใ้ หค้ วามหมายของวฒั นธรรมไวว้ า่ วฒั นธรรม
มีความหมายครอบครุมถงึ ทกุ ส่งิ ทกุ อยา่ งท่ีมนุ ษยส์ รา้ งขนึ้ กาหนดขนึ้ เป็นเเบบอยา่ งในการดาเนินชีวิต
ของมนษุ ยใ์ นกลมุ่ ใดกลมุ่ หนง่ึ หรอื สงั คมใดสงั คมหน่งึ

อภิญญา เฟ่ื องฟูสกลุ (2543, 31) ไดใ้ หค้ วามหมายของวฒั นธรรมไวว้ ่า วฒั นธรรม
เป็นเร่อื งของเเบบเเผนพฤตกิ รรมทางสงั คม ซ่งึ อาจเป็นพฤตกิ รรมธรรมดาในชีวิตประจาวนั รวมทงั้ เร่ือง
ของระบบสญั ลกั ษณต์ า่ ง ๆ ท่ีไม่ไดห้ มายถึงสญั ลกั ษณท์ างศิลปะ เเตเ่ ป็นสญั ลกั ษณข์ องปฏิสมั พนั ธ์
ทางสงั คมท่ีพบไดใ้ นชีวติ ประจาวนั เชน่ การไหวใ้ นสงั คมไทย หรือการจบั มือของสงั คมตะวนั ตก

จานงค์ อติวัฒนสิทธิ์ เเละคณะ (2549,16) ไดใ้ หค้ วามหมายของวัฒนธรรมไวว้ ่า
วัฒนธรรม หมายถึง เเบบเเผนในการดาเนินชีวิตของกลุ่ม ซ่ึงสมาชิกในสังคมหน่ึงไดย้ ึดถือเป็น
เเบบเเผนของชีวิตรว่ มกนั วฒั นธรรมจงึ เป็นท่ีเสมือนเคร่ืองหมายหรือตราประจากลมุ่ ท่ีคนอ่ืนเห็นเเลว้ รู้
ไดท้ นั ที เชน่ ภาษา เคร่อื งเเตง่ กาย ชบนธรรมเนียมประเพณีท่ีเหมือนกนั สาหรบั คนในกลมุ่ นนั้

ยศ สนั ตสมบตั ิ (2544 : 11-13) ไดใ้ หแ้ นวคดิ ไวว้ า่ ลกั ษณะพืน้ ฐานท่ีเป็น
ความหมายรว่ มของวฒั นธรรม มีดงั นี้

1) วฒั นธรรมเป็นความคดิ รว่ มของมนษุ ยใ์ นสงั คมหน่งึ ๆ

22

2) วฒั นธรรมเป็นส่ิงท่ีมนษุ ยส์ รา้ งขนึ้ และสามารถเรยี นรูจ้ ากกนั และกนั ได้ สืบทอด
ไดโ้ ดยผ่านกระบวนการทางสงั คม วฒั นธรรมทงั้ ในดา้ นวิธีคิด และวิถีปฏิบตั ิจากมนษุ ยร์ ุน่ หน่งึ ไปสู่อีก
รุน่ หน่งึ วฒั นธรรมไม่ใชส่ ่ิงสืบทอดทางสายโลหิตหรือทางชีวภาพพนั ธกุ รรม

3) วฒั นธรรมยงั มีพืน้ ฐานมาจากการส่ือผา่ นระบบสญั ลกั ษณ์ เชน่ ภาษา พิธีกรรม

งานศลิ ปะ

4) วฒั นธรรมเป็นผลรวมขององคค์ วามรูแ้ ละภมู ปิ ัญญา

5) วฒั นธรรม คือกระบวนการ ท่ีมนษุ ยก์ าหนดนิยามความหมายใหก้ ับชีวิต และ
ส่ิงตา่ ง ๆ รอบตวั

6) วฒั นธรรมเป็นส่ิงท่ีไม่หยดุ น่ิง มีพลวตั ร เคล่ือนไหว ปรบั ตวั และเปล่ียนแปลง
อยตู่ ลอดเวลา

ไพฑรู ย์ มีกศุ ล (2550 : 5-7) ไดใ้ หร้ ายละเอียดและความหมายของวฒั นธรรมไว้
สรุป ไดว้ า่ วฒั นธรรมประกอบไปดว้ ยองคป์ ระกอบสาคญั ดงั นี้

1) สญั ลกั ษณ์ หมายถึง การใชส้ ่ิงหนง่ึ มาส่ือความหมายแทนถงึ อีกส่งิ หน่งึ ท่ี
ตอ้ งการ กลา่ วถึง สญั ลกั ษณม์ ีประโยชนค์ อื ชว่ ยใหเ้ ราสามารถส่ือสารกนั ไดส้ ะดวก สามารถวางแผน
ทางานรว่ มกนั และสามารถถ่ายทอดความคดิ ท่ีเป็นนามธรรมได้

2) ภาษา เป็นอีกรูปหน่งึ ของสญัลักษณ์ ท่ีแสดงออกดว้ ยการพดู การฟัง และการ
เขียน มนุษยจ์ ดั เป็นสตั วป์ ระเภทเดียวท่ีสามารถใชภ้ าษาได้ ความสามารถทางภาษาของมนษุ ยท์ าให้
เรา แตกตา่ งจากสตั วอ์ ยา่ งมาก เพราะเราสามารถสรา้ งสรรคอ์ ารยธรรมใหเ้ กิดขนึ้ และเจรญิ ก้าวหนา้ ได้
ไม่ หยดุ ยงั้ ในขณะท่ีสตั วไ์ มม่ ีภาษาทาใหพ้ วกมนั ไมส่ ามารถพฒั นาอารยธรรมได้

3) ค่านิยม วฒั นธรรมเป็นความคิดรวบยอดท่ีตดั สินว่าส่ิงใดมีค่าหรือไม่มีค่านนั้
พืน้ ฐานมาจากคา่ นยิ มอีกสว่ นหน่งึ ซ่งึ คา่ นยิ มนีจ้ ะมีสว่ นกาหนดพฤติกรรมของมนษุ ย์ และเป็นแนวทาง

23

ใน การพฒั นาสงั คม อารยธรรมของเรา เป็นบรรทดั ฐาน เป็นกฎระเบียบท่ีสงั คมกาหนด และคาดหวงั
ใหเ้ ราปฏิบตั ิ หากเราไม่ปฏิบตั ิตาม จะมีการตอ่ ตา้ นหรือลงโทษ การลงโทษจะมีความรุนแรงมากนอ้ ย
แคไ่ หน ขนึ้ อยู่กบั สงั คมกาหนดว่าพฤติกรรมนนั้ มีผลกระทบตอ่ สงั คมอย่างไร และเทคโนโลยี เป็นการ
ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตรม์ าประดิษฐ์คิดค้น เพ่ือพัฒนาคุณภาพชีวิตของมนุษย์ให้สบายขึน้
เทคโนโลยีมีผลตอ่ ระบบความคดิ และการดาเนินชีวิตของมนุษยม์ าก และระบบความคดิ ของสงั คมมี
ผลต่อความเจริญทาง เทคโนโลยีด้วยเช่นกัน โดยสรุปวัฒนธรรม คือ ผลรวมของระบบความรู้
ความเช่ือ ศิลปะ จริยธรรม กฎหมาย ประเพณี ตลอดจน ความสามารถ และอปุ นิสัยตา่ ง ๆ ซ่งึ เป็นผล
มาจากการเป็นสมาชกิ ของ สงั คม

ดงั นนั้ จึงสรุปไดว้ ่า วฒั นธรรม หมายถึง แบบแผนวิธีการดาเนินชีวิตของคนในสงั คม
ท่ีกาหนดโดยคนในสงั คม เป็นท่ียอมรับและยึดถือประพฤติปฏิบตั ิ ในการใชช้ ีวิตร่วมกันของคนใน
สงั คมมีการถ่ายทอดสู่คนรุ่นต่อ ๆ ไป ซ่ึงแต่ละสงั คมจะมีแบบแผนการใชช้ ีวิตท่ีแตกต่างกันออกไป
ขนึ้ อยกู่ บั สภาพแวดลอ้ มของสงั คมนนั้ ๆ

1.1.2 ลกั ษณะของวฒั นธรรม
เฌอมาลย์ ราชภณั ฑารกั ษ์ (2542, 50) ไดก้ ลา่ วถึงลกั ษณะของวฒั นธรรม สรุปไดว้ า่

วฒั นธรรมมลั กั ษณะสาคญั 4 ประการดงั นี้
1. วฒั นธรรมเป็นพฤตกิ รรมท่ีตอ้ งเรียนรู้ พฤตกิ รรมของมนษุ ยเ์ ป็นพฤติกรรมท่ีตอ้ ง

เรียนรูเ้ กือบทงั้ สนิ้ การท่ีมนษุ ยส์ ามารถเรียนรูว้ ฒั นธรรมก็เพราะมนษุ ยส์ ามารถตดิ ตอ่ ทาความเขา้ ใจกนั
โดยใชส้ ญั ลกั ษณค์ อื ภาษาพดู เเละภาษาเขียนเพ่ือตดิ ตอ่ ส่ือสาร เเละเรยี นรูว้ ฒั นธรรมระหวา่ งกนั

2. วฒั นธรรมเป็นชีวิต หมายถึง วิถีชีวิตมนษุ ยใ์ นสงั คม วฒั นธรรมเป็นส่ิงกาหนด
เป็นสอ่งพฤติกรรมของมนุษยต์ งั้ เเตเ่ กิดจนตาย เป็าตัวกาหนดรูปแบบของครอบครวั เศรษฐกิจการ
ปกครอง การศกึ ษา ศาลนา เป็นตน้

24

3. วฒั นธรรมเป็นมรดกทางสงั คม เป็นมรดกตกทอดกนั มาโดยผา่ นการเรียนรูข้ อง
มนษุ ยร์ ุน่ ตอ่ ๆ มา

4. วัฒนธรรมเป็นลกั ษณะท่ีเหนืออินทรีย์ ไม่ควรนาเเนวคิดวิวัฒนาการไปใชก้ ับ
เร่ืองของสงั คมวฒั นธรรม ดว้ ยเหตุผลท่ีว่าวิวฒั นาการทางอินทรียเ์ กิดขึน้ ไดต้ อ้ งสูญเสียอวยั วะหรือ
ความสามารถท่ีมีอย่เู ตม็ เเตเ่ ร่ืองของสงั คมเเละวฒั นธรรมเป็นเร่ืองของการสะสมเพ่ิมพนู เพ่ือใหเ้ จรญิ
ขนึ้

อภิญญา เฟ่ื องฟูสกุล (2543, 41) ไดก้ ล่าวถึงหน้าท่ีของวัฒนธรรม สรุปไดว้ ่า
วฒั นธรรมเป็นเเบบเเผนท่ีช่วยนาร่องบอกทิศทางส่ิงท่ีควรประพฤติปฏิบตั ิในสถานะการตา่ งๆ ใหเ้ เก่
สมาชิกในสงั คม วฒั นธรรมเป็นเสมือนคลงั ประสบการณร์ ว่ มกนั ของสมาชิกในสงั คม

1.1.3 หนา้ ท่ีของวฒั นธรรม

จานงค์ อดวิ ตั นสทิ ธิ์ เเละ คณะ (2549 : 18-20) ไดก้ ลา่ วถึงหนา้ ท่ีของวฒั นธรรมสรุป
ไดว้ า่ หนา้ ท่ีสาคญั ของวฒั นธรรมมีดงั นี้

1. เป็นกาหนดของรูปเเบบสถาบนั

2. เป็นตวั กาหนดบทบาทความสมั พนั ธห์ รือพฤติกรรมของมนษุ ย์

3. ทาหนา้ ท่ีควบคมุ สงั คม

4. ทาหนา้ ท่ีเป็นเคร่อื งหมาย หรือสญั ลกั ษณท์ ่ีเเสดงวา่ สงั คมหนง่ึ เเตกตา่ งไปจาก

อีกสงั คมหนง่ึ

5. ทาใหเ้ กิดความเป็นหน่งึ อนั เดยี วกนั ในสงั คม

6. เป็นปัจจยั ท่ีสาคญั ในการสรา้ ง หล่อหลอม บคุ ลิกภาพทางสงั คมใหก้ บั สมาชกิ

25

1.1.4 ประเภทของวฒั นธรรม

เณอมาลย์ ราชภณั ฑารกั ษ์ (2542, 52) ไดก้ ล่าวถึงประเภทของวฒั นธรรมสรุปไดว้ ่า
สามารถเเบง่ วฒั นธรรมเป็น 2 เเบบ ไดเ้ เก่

1. วฒั นธรรมทางวตั ถุ คือ วิธีการต่างๆ ท่ีมนษุ ยค์ ิดขึน้ มาลว้ นสามารถทาใหเ้ ป็น
รูปรา่ งได้ เชน่ อาหาร เคร่อื งนงุ่ หม่ ยารกั ษาโรค เป็นตน้ วฒั นธรรมทางวตั ถทุ งั้ หลายย่อมเส่ือมสลายไป
จะเหลืออยู่ ก็คือรูปเเบบเเละวธิ ีการท่ีจะถ่ายทอดไปสรู่ ุน่ ตอ่ ไป

2. วฒั นธรรมไม่ใช่วตั ถุ คือวิธีการคิดเเละเเบบเเผนพฤติกรรมท่ีมนุษยค์ ิดขึน้ มา
เเลว้ ไม่สามารถสรา้ งทาใหเ้ ป็นรูปร่างได้ เช่น ขนบธรรมเนียมประเพณี ศาสนา ความเช่ือ ค่านิยม
จรยิ ธรรม กฎหมาย เป็นตน้ การถ่ายทอดวฒั นธรรมท่ีไมใ่ ชว่ ตั ถเุ ป็นการถ่ายทอดเเนวทางเเห่งความคดิ
เเละเเบบอยา่ งการปฏิบตั ิ

วฒั นธรรมทงั้ 2 ประเภทนี้ เป็นส่ิงท่ีมีความเก่ียวขอ้ งกบั วิถีชีวิตของมนษุ ยอ์ ย่างแยก
จากกนั ไม่ได้ ซ่ึงสงั คมท่ีจะสามารถดารงอยู่ไดอ้ ย่างราบร่ืน ควรจะเป็นสงั คมทม่ีีความเจริญทงั้ ในทาง
วัตถุ (รูปธรรม) และความเจรญิทางจิตใจ (นามธรรม) ควบคู่กัน แต่ในสังคมไทยปัจจุบันนีพ้ อจะ
มองเห็นว่า วัฒนธรรมทางวัตถุเจริญขึน้ วัฒนธรรมทางจิตใจกลับเส่ือมถอยลง สาเหตุหน่ึง
ก็เน่ืองมาจากคนไทยมีคา่ นิยมในเร่ืองตา่ ง ๆ เปล่ียนแปลงไปตามสภาพแวดลอ้ มของสงั คมอนั ส่งผลให้
เกิดปัญหาตามมา เช่น คนส่วนใหญ่มีความหลงใหลในวตั ถุ ด้วยความเข้าใจว่าการมีวตั ถุนนั้ เป็น
เคร่ืองวดั เกียรตยิ ศ ศกั ดิศ์ รี เป็นท่ี นบั หนา้ ถือตาในสงั คม จงึ ทาให้ตา่ งคนตา่ งพยายามทกุ วิถีทางท่ีจะ
แสวงหาผลประโยชนใ์ หแ้ กต่ นเอง และ อาจกอ่ ใหเ้ กิดปัญหาทางดา้ นศีลธรรมและจริยธรรมเพ่ิมขนึ้ เป็น
เงาตามตวั

นิยพรรณ (ผลวฒั นะ) วรรณศริ ิ (2540, 4748 ) ไดก้ ลา่ วถึงประเภทของวฒั นธรรม
สรุปไดว้ า่ วฒั นธรรมไดเ้ เบง่ ออกเป็นสองประเภท คอื วฒั นธรรมท่ีเป็นรูปรา้ งตวั ตนเรียกวา่ วฒั นธรรม
ทางวตั ถุ เเละวฒั นธรรมท่ีไมม่ ีรูปรา่ งตวั ตนเเละนามธรรม เรยี กวฒั นธรรมท่ีไมใ่ ชว่ ตั ถหุ รอื วฒั นธรรม
ทางจิตใจ

26

1.1.5 วฒั นธรรมอีสาน

ยพุ า กาเนตร (2544: 3-15) กลา่ วถึงภาคอีสานหรือภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือวา่ เป็น
ดินแดนท่ีสาคญั ทางประวตั ิศาสตรข์ องชาตไิ ทย มีวิวฒั นาการมาเป็นเวลาชา้ นาน วิถีชีวิตของมวลชน
เป็นวิถีชีวิตท่ีเรียบง่ายมีพืน้ ท่ีกวา้ งขวาง มีประชากรหนาแน่นมากท่ีสดุ หรือประมาณหน่ึงในสามของ
พืน้ ท่ีและของประชากรทัง้ หมดของประเทศ มีอาณาเขตติดต่อกับภาคกลางตอนบน ภาคเหนือ
ภาคตะวนั ออก นอกจากนีต้ ิดต่อกับประเทศสาธารณรฐั ประชาธิปไตยประชาชนลาวและอาณาจกั ร
กัมพูชา มีแม่นา้ โขงไหลผ่าน มีเทือกเขาพนมดงรกั กั้นอาณาเขตติดต่อกับประเทศลาวกับกัมพูชา
ภาคอีสานมีแอง่ โคราช จงั หวดั นครราชสีมา เป็นดนิ แดนท่ีแยกออกจากภาคกลาง ภมู ิประเทศประกอบ
ซบั ซอ้ น เขาดงพญาเย็น เทือกเขาพนมดงรกั ภสู ิงห์ ภูพานเป็นตน้ สงั คมอีสานเป็นสงั คมการกสิกรรม
(Village Farming) ชมุ ชนมีความเป็นอย่ทู างดา้ นเกษตร ซ่งึ เป็นการสืบทอดติดตอ่ กนั มาตงั้ แตโ่ บราณ
กาลหลายยุคหลายสมัย และท่ีสาคญั ปลูกมากในภาคอีสาน ไดแ้ ก่ การปลูกขา้ ว นอกจากนนั้ คือ
ขา้ วโพดมนั สาปะหลงั ถ่วั ลสิ งและพืชอยา่ งอ่ืนตามความเหมาะสมของ ดนิ ฟ้า อากาศ ภาวะเศรษฐกิจ
หรอื รายไดข้ องประชาชนชาวอีสาน แมอ้ ย่ใู นอตั ราท่ีคอ่ นขา้ งต่ากวา่ ภูมิภาคอ่ืนแตช่ าวอีสานก็สามารถ
ดารงชีพในสงั คมไดอ้ ย่างเป็นสขุ เน่ืองจากวิถีชีวิตของชาวอีสานยงั ยึดม่นั และรกั ษาขนบธรรมเนียม
แบบจารีตดงั้ เดิมของสังคม โดยใชร้ ะบบแบ่งปัน การรับและเผ่ือแผ่ การแลกเปล่ียนกันโดยไม่ใช่
เงินตราเป็ นค่าจ้างตอบแทน การลงแขกแบบพาอาศัยแรงงานกันและกันการทามาหากิน
นอกเหนือจากเกษตร บางพวกก็อพยพโยกยา้ ยไปประกอบอาชีพดา้ นการบริการ คา้ ขาย ในสงั คมและ
วัฒนธรรมในปัจจุบันอันมาจากการยอมรับวัฒนธรรมของสังคมเมืองมาปรบั ใชม้ าก ในส่วนของ
วัฒนธรรมต่าง ๆ รวมถึงการทาพานบายศรีสู่ขวัญ ประเพณี วัฒนธรรมอีสานท่ีเป็นเอกลักษณ์

27

1.2 แนวคดิ เก่ียวกบั ประเพณี

ประเพณีเกิดจากสภาพสงั คม ส่ิงแวดลอ้ ม ทศั นคติ เอกลกั ษณ์ คา่ นิยม และความเช่ือ โดย
ความเช่ือของคนในสังคมต่อส่ิงท่ีมีอานาจเหนือมนุษย์นั้น ๆ เช่น อานาจของดินฟ้าอากาศและ
เหตุการณ์ท่ีเกิดขึน้ โดยไม่ทราบสาเหตุ ฉะนัน้ เม่ือเวลาเกิดเหตุต่าง ๆ หรือภัยพิบัติขึน้ มนุษย์จึง
ออ้ นวอนรอ้ งขอในส่ิงท่ีตนคิดว่าจะช่วยได้ เม่ือภัยนนั้ ผ่านพน้ ไปแลว้ มนุษยจ์ ะทาพิธีบชู าเพ่ือแสดง
ความรูค้ ณุ ตอ่ ส่งิ นนั้ ๆ เป็นสริ มิ งคลแก่ตนตามความเช่ือ เม่ือความประพฤตนิ นั้ คนส่วนรวมสงั คมยึดถือ
ปฏิบตั ิ เป็นธรรมเนียม หรือเป็นระเบียบแบบแผน และทาสืบต่อๆกนั จนกลายเป็นประเพณีของสงั คม
นนั้ ๆ

1.2.1 ความหมายของประเพณี

พระยาอนุมานราชธน (2541 : 37) ไดใ้ ห้ความหมายของคาว่าประเพณีไว้ว่า
ประเพณี คอื ความประพฤตทิ ่ีชนหมหู่ น่งึ อย่ใู นท่ีแหง่ หน่งึ ถือเป็นแบบแผนกนั มาอย่างเดียวกนั และสืบ
ตอ่ กนั มานาน ถา้ ใครในหมปู่ ระพฤตอิ อกนอกแบบก็ผิดประเพณี หรือผิดจารีตประเพณี คาว่าประเพณี
ตามพจนานกุ รมภาษาไทยฉบบั บณั ฑิตยสถาน ไดก้ าหนดความหมายประเพณีไว้ว่า ขนบธรรมเนียม
แบบแผน ซ่ึงสามารถแยกคาต่าง ๆ ออกได้เป็ น “ขนบ” มีความหมายว่า ระเบียบแบบอย่าง
“ธรรมเนียม” มีความหมายว่า ท่ีนิยมใช้กนั มา และเม่ือนามารวมกันแล้วก็มีความหมายว่า ความ
ประพฤตทิ ่ีคนสว่ นใหญ่ ยดึ ถือเป็นแบบแผน และไดท้ าการปฏิบตั สิ ืบต่อกนั มา จนเป็นตน้ แบบท่ีจะะให้
คนรุน่ ตอ่ ๆ ไป ไดป้ ระพฤตปิ ฏิบตั ติ ามกนั ตอ่ ไป

สรุป ประเพณี หมายถงึ ระเบียบแบบแผนท่ีกาหนดพฤตกิ รรมในสถานการณ์ตา่ งๆ ท่ี
คนในสังคมยึดถือปฏิบตั ิสืบกันมา ถ้าคนใดในสังคมนั้นๆ ฝ่ าฝืนมักถูกตาหนิจากสังคม ลักษณะ
ประเพณีในสงั คมระดบั ประเทศชาติ มีการประสมกลมกลืนเป็นอย่างเดียวกัน และมีผิดแปลกกนั ไป
บา้ งตามลักษณะ ตามความนิยมเฉพาะทอ้ งถ่ิน แต่โดยมากมีจุดประสงค์ และวิธีการปฏิบัติเป็น
อันหน่ึงอนั เดียวกัน มีเฉพาะส่วนปลีกย่อยท่ีเสริมเติมแต่งหรือตัดทอนไปในแต่ละท้องถ่ิน สาหรับ
ประเพณีไทยมกั มีความเก่ียวขอ้ งกบั ความเช่ือในทางพระพทุ ธศาสนาและพราหมณม์ าแตโ่ บราณ

28

1.2.2 ประเภทของประเพณี

เสฐียรโกเศศ (2525 : 15) ไดใ้ หร้ ายละเอียดไวส้ รุปไดว้ ่า ประเภทของประเพณี แบ่ง
ออกเป็น 3 ประเภท ไดแ้ ก่

1) จารีตประเพณีหรือกฎศีลธรรม หมายถึง ส่ิงใดส่ิงหน่ึงซ่ึงสงั คมใดสังคมหน่ึง
ยดึ ถือ และปฏิบตั ิสืบกนั มาอย่างตอ่ เน่ืองและม่นั คง เป็นเร่ืองของความผิดถูก มีเร่ืองของศีลธรรมเข้า
มาร่วมดว้ ย ดงั นนั้ สมาชิกในสงั คมตอ้ งทา ผูใ้ ดฝ่ าฝืนถือว่าเป็นผิดเป็นช่วั จะตอ้ งถูกตาหนิหรือไดร้ บั
การลงโทษจากคนในสงั คมนนั้ เช่น ลกู หลานตอ้ งเลีย้ งดพู ่อแม่เม่ือท่านแก่เฒ่า ถา้ ใครไม่เลีย้ งดถู ือว่า
เป็นคนเนรคณุ หรือ ลกู อกตญั ญู จารีตประเพณีของแตล่ ะสงั คมนนั้ ยอ่ มไมเ่ หมือนกนั เพราะมีควานิยม
ท่ียึดถือตา่ งกนั การนาเอาจารีตประเพณีของตนไปเปรียบเทียบกบั ของคนอ่ืน แลว้ ตดั สินว่าดีหรือเลว
กวา่ ของตนยอ่ มเป็นส่ิงท่ีไมถ่ กู ตอ้ ง เพราะสภาพสงั คม ส่ิงแวดลอ้ ม ตลอดจนความเช่ือของแต่ละสงั คม
ยอ่ มแตกตา่ งกนั ไป

2) ขนบประเพณีหรือสถาบนั หมายถึง ระเบียบแบบแผนท่ีสงั คมไดก้ าหนดไวแ้ ลว้
ปฏิบตั ิสืบต่อกันมาทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม โดยทางตรง ได้แก่ ประเพณีท่ีมีการกาหนดเป็น
ระเบียบ แบบแผนในการปฏิบัติอย่างชัดแจ้งว่าบุคคลต้องปฏิบัติอย่างไร เช่น สถาบันโรงเรียน
มีโรงเรียน มีผสู้ อน มีผู้เรียน มีระเบียบการรบั สมคั ร การเขา้ เรียน การสอบไล่ เป็นตน้ ส่วนทางออ้ ม
ไดแ้ ก่ ประเพณีท่ีรูก้ ัน ท่ัว ๆ ไป โดยไม่ไดว้ างระเบียบไว้แน่นอน แต่ปฏิบตั ิไปตามคาบอกเล่า หรือ
ตวั อย่างจากท่ีผใู้ หญ่หรือ บุคคลในสงั คมปฏิบตั ิ เช่น ประเพณีเก่ียวกบั การเกิด การตาย การแต่งงาน
ซง่ึ เป็นประเพณีเก่ียวกบั ชีวิต หรือประเพณีเก่ียวกบั เทศกาล ตรุษ สารท การขนึ้ บา้ นใหม่

3) ธรรมเนียมประเพณี หมายถึง ประเพณีเก่ียวกบั เร่ืองธรรมดาสามญั ท่ีทกุ คนควร
ทา ไม่มีระเบียบแบบแผนเหมือนขนบประเพณี หรือมีความผิดถกู เหมือนจารีตประเพณี เป็นแนวทาง
ในการปฏิบตั ทิ ่ีทกุ คนปฏิบตั กิ นั ท่วั ไปจนเกิดความเคยชิน และไม่รูส้ ึกเป็นภาระหนา้ ท่ี เพราะเป็น ส่ิงท่ีมี
มานานและใช้กันอย่างแพร่หลาย ส่วนมากเป็นมารยาทในด้านต่าง ๆ เช่น การแต่งกาย การพูด
การรบั ประทานอาหาร การเป็นแขกไปเย่ียมผอู้ ่ืน ฯลฯ ธรรมเนียมประเพณีเป็นเร่ืองท่ีทกุ คนควรทาแมม้ ี

29

ผฝู้ ่าฝืนหรือทาผดิ ก็ไมถ่ ือว่าเป็นเร่ืองสาคญั แต่อาจถกู ตาหนิว่าเป็นคนไม่ไดร้ บั การศกึ ษา ไม่มีมารยาท
ไมร่ ูจ้ กั กาลเทศะ

1.2.3 ประเพณีฮีตสิบสอง

อิศราภรณป์ ระเสริฐศร (2560 : 16) ไดก้ ลา่ วถึงฮีตสิบสองไวด้ งั นี้ คาว่า ฮีตเป็นคา
ภาษาไทยอีสาน หมายถึง จารีตประเพณีท่ีปฏิบตั ิสืบต่อกันมาเป็นเวลานาน ซ่ึงฮีตนีจ้ ะตอ้ งปฏิบัติ
เหมือนกนั ตงั้ แตป่ ระชาชนธรรมดาจนถึงเจา้ ฟ้าพระมหากษัตรยิ เ์ ม่ือถึงคราววาระ และเดือนท่ีจะตอ้ ง
ประกอบพิธีกรรมตามฮีตแห่งแต่ละแห่ง แต่ละชุมชนจะตอ้ งปฏิบตั ิเหมือนกัน ซ่ึงมีทงั้ หมด 12 ฮีต
ด้วยกัน แต่หากใครประพฤติฝ่ าฝื นหรืองดเว้นไปไม่กระทาตามท่ีกาหนดไว้จะถือว่าผิดเป็นช่ัว
ฮีตสิบสองของชาวอีสานเป็นฮีตท่ีบริสทุ ธิ์เป็นเร่ืองของความเช่ือในพระพทุ ธศาสนาและประเพณีนิยม
พืน้ บา้ นเป็นประเพณีท่ีสมาชกิ ในสงั คมจะไดม้ ีโอกาสรว่ มชมุ ชนกนั ทาบญุ ประจาทกุ ๆ เดือนของรอบปี
ผลท่ีไดร้ บั คือทกุ คนจะไดม้ ีเวลาเขา้ วดั ใกลช้ ิดกบั หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนาย่ิงขนึ้ ทาใหไ้ ดม้ ีโอกาส
พบปะและรูจ้ กั มกั คนุ้ กนั รวมทงั้ เป็นจารีตบงั คบั ใหท้ กุ ๆ คนเสียสละและมาทางานรว่ มกนั เม่ือวา่ งจาก
งานประจาแลว้

ดังนั้นประเพณีฮีตสิบสองก็คือ ประเพณีสิบสองเดือน จึงหมายถึง ประเพณีท่ี
ประชาชนชาวอีสานไดป้ ฏิบตั ิสืบตอ่ กนั มาในโอกาสต่าง ๆ ทงั้ สิบสองเดือนในแตล่ ะปี ประเพณีทงั้ สิบ
สองเดือนท่ีชาวอีสานถือปฏิบตั ิกันมานนั้ ลว้ นเป็นประเพณีท่ีส่งเสริมให้คนในชุมชนไดอ้ อกมาร่วม
กิจกรรมพบปะสงั สรรค์ เพ่ือความสนกุ สนานร่ืนเริงและเพ่ือความสมานสามคั คีมีความรกั ใคร่กันของ
คนในทอ้ งถ่ิน ซง่ึ เป็นการสืบทอดส่ิงท่ีดงี ามมาจวบจนปัจจบุ นั ประเพณีอีสานสว่ นใหญ่จะมีเอกลกั ษณ์
แตกตา่ งจากประเพณีภาคอ่ืน ๆ ประเพณีอีสาน ไดร้ บั อิทธิพลมาจากวฒั นธรรมลา้ นชา้ ง (แถบหลวง
พระบางประเทศลาว) จงึ จะเหน็ ไดว้ า่ ประเพณีของชาวอีสานและชาวลาวมีความคล้ายกนั เพราะมีท่ีมา
เดียวกัน ชาวอีสานและชาวลาวก็ไปมาหาสู่กันเป็นประจาเหมือนญาติพ่ีน้องทาให้มีการถ่ายเท
วฒั นธรรมระหวา่ งกนั ดว้ ย ฮีต คือส่ิงท่ีเคยปฏิบตั ิสืบตอ่ กนั มาเป็ นเวลานาน ฮีตมกั จะมีการปฏิบตั ิกัน
เป็นประจาเดอื น ครบสิบสองเดอื นหรือหน่งึ ปีจงึ เรียกวา่ “ฮีตสิบสอง” อีสานมีการนบั ถือประเพณีอยา่ ง

30

เครง่ ครดั มาแตค่ รงั้ โบราณ และเป็นประเพณีของทอ้ งถ่ินสืบตอ่ มาหลายรอ้ ยปีฮีตสิบสองคลองสิบส่ีเป็น
เร่ืองทางศาสนา จึงนา่ จะนบั ถือกนั มาตงั้ แตค่ รงั้ วฒั นธรรมอินเดียเขา้ สบู่ รเิ วณนีแ้ ลว้ เรียกกนั สนั้ ๆ ว่า
ฮีต-คอง หรือถา้ จะเรียกใหเ้ ป็นแบบชาวบา้ นแทก้ ็ว่า “เปิงบา้ นเปิงเมือง” เร่ืองฮีตสิบสองมีผูส้ ูงอายุ
หลายทา่ นกลา่ วไวค้ ลา้ ยๆกนั ถึงแมจ้ ะตา่ งบา้ งก็เพียงเล็กนอ้ ย ทงั้ นีเ้ พราะครงั้ โบราณดา้ นหนงั สือยงั ไม่
เจรญิ อาศยั การบอกเลา่ จดจากนั มาเป็นส่วนใหญ่

ฮีตสิบสอง สมยั ก่อนเป็นธรรมเนียมของคนลา้ นชา้ ง ซ่ึงก็รวมเอาทงั้ ลาวและอีสาน
เขา้ ดว้ ยกนั เขา้ ใจว่าแตเ่ ดิมอาจจะถือว่าเป็นกฎหมายของชมุ ชมหรือเขาเรียกสมยั นีว้ ่า “กฎสงั คม” แต่
ปัจจบุ นั ไม่ไดพ้ บว่าเป็นกฎหมาย แต่ยงั มีการปฏิบตั ิกนั อย่ทู ่วั ไปในอีสานจึงกลา่ วไดว้ า่ วิถีชีวิตของคน
อีสานไดบ้ นั ทึกไวใ้ น ฮีตสิบสองฮีตสิบสอง หมายถึง การกาหนดของชมุ ชนใหม้ ีการรว่ มกนั ทาบญุ ตาม
ความเช่ือพืน้ ฐานในเร่ืองของศรทั ธาใน พระพุทธศาสนา และความเช่ือทางดา้ นส่ิงท่ีเหนือธรรมชาติ
ภตู ผี เทวาอารกั ษ์ ผีบรรพบรุ ุษ โดยจะนาปัจจยั ทางดา้ นวิถีชีวิต และสภาพแวดลอ้ มและสภาพอากาศ
ของพืน้ ท่ีผนวกเขา้ กนั อย่างกลมกลืน จนเกิดเป็นปัจจยั ตา่ ง ๆ ในการกาหนดกิจกรรมของการทาบญุ
ท่ีจะมีขนึ้ ในแตล่ ะเดือน ตลอดทงั้ ปี และเน่ืองจากคนในชมุ ชนเป็นผกู้ าหนดใหเ้ ป็นจารีตหรือส่ิงท่ีพึงถือ
ปฏิบตั ิทาใหป้ ระเพณีเหล่านีไ้ ดร้ บั การประพฤติปฏิบตั ิสืบทอด ทงั้ ยังไดม้ ีการบอกกล่าวจากรุ่นสู่รุ่น
เพ่ือเป็นการรกั ษากฎของชมุ ชนและเพ่ือปอ้ งกนั การไดร้ บั บทลงโทษจากการละเมิดกฎปฏิบตั ิของคนใน
ชมุ ชน ซ่งึ บทลงโทษของผทู้ ่ีกระทาผดิ จารีตประเพณีของสงั คม อาจจะหมายถึงการไดร้ บั การปฏิเสธใน
การคบคา้ สมาคม การยอมรบั หรือการใหค้ วามช่วยเหลือใดจากคนในชุมชน เพราะการปฏิบตั ิตาม
จารีตสิบสองเดือนของชาวไทยอีสานนนั้ ถือเป็นการเสียสละผลประโยชนส์ ่วนตวั ทงั้ ในดา้ น แรงงาน
หรือดา้ นทนุ ทรพั ยเ์ พ่ือส่วนรวม อีกทงั้ ยงั เป็นการเสียสละเวลาจากการประกอบอาชีพ มารว่ มสนุกใน
การทากิจกรรมต่างๆ และประกอบพิธีกรรมของการทาบุญในแต่ละเดือนรวมถึงการพบปะสงั สรรค์
ปรกึ ษาหารือปัญหาตา่ งๆ ท่ีเกิดขนึ้ ในชมุ ชน สรา้ งความสามคั คีความเขม้ แข็งใหก้ บั ชุมชน และยงั เป็น
การปลูกฝังแนวความคิดของคนในชุมชนใหเ้ ป็นไปในทางเดียวกนั ดงั นนั้ การละเมิดการปฏิบัติตาม
จารตี ประเพณีดงั กลา่ วจงึ หมายถึงการปฏิเสธการใหค้ วามชว่ ยเหลือ การเป็นสว่ นหน่งึ ของคนในชมุ ชน
การรว่ มแรงรว่ มใจกนั แกไ้ ขปัญหาตา่ งๆท่ีเกิดขนึ้ ในชมุ ชน และการมีแนวความคดิ ความเห็น ความเช่ือ
หรือศรทั ธาในแนวทางเดียวกบั คนในชมุ ชน ดงั นนั้ จงึ ไดม้ ีการ กาหนดบทลงโทษจากการละเมิดจารีต

31

ประเพณีของชุมชน ให้ผูท้ ่ีกระทาผิดไดร้ ับผลเช่นเดียวกับการกระทาของเขาดังท่ีไดก้ ล่าวมาแลว้
โดยประเพณีทงั้ 12 เดือน มีดงั นี้

1) ฮีตท่ี 1 บญุ เขา้ กรรม หรือ บญุ เดือนอา้ ย
2) ฮีตท่ี 2 บญุ คณู ลาน หรือ บญุ เดือนยี
3) ฮีตท่ี 3 บญุ ขา้ วจ่ี หรือ บญุ เดือนสาม
4) ฮีตท่ี 4 บญุ เผวสหรือบญุ มหาชาติ (บญุ เดอื นส่ี)
5) ฮีตท่ี 5 บญุ สงกรานต์ (บญุ เดือนหา้ )
6) ฮีตท่ี 6 บญุ บงั้ ไฟ (บญุ เดือนหก)
7) ฮีตท่ี 7 บญุ ซาฮะ (บญุ เดือนเจด็ )
8) ฮีตท่ี 8 บญุ เขา้ พรรษา (บญุ เดอื นแปด)
9) ฮีตท่ี 9 บญุ ขา้ วประดบั ดนิ (บญุ เดือนเกา้ )
10) ฮีตท่ี 10 บญุ ขา้ วสาก
11) ฮีตท่ี 11 บญุ ออกพรรษา
12) ฮีตท่ี 12 บญุ กฐิน

1.2.4 ประเพณีบญุ ขา้ วจ่ี
บญุ ขา้ วจ่ี เป็นบญุ ประเพณีท่ีสาคญั ประเพณีหน่ึงในฮีตสิบสองของชาวอีสาน พอถึง

เดือนสามซง่ึ เป็นเดือนท่ีมีการเก็บเก่ียวขา้ วเรียบรอ้ ยแลว้ ชาวอสีานนิยมทาบญุ ดว้ ยการถวายขา้ วจ่ีแด่
พระสงฆ์ ซ่งึ บญุ นีเ้ รียกวา่ “บญุ ขา้ วจ่ี” ซง่ึ เป็นอีกงานบญุ ประเพณีท่ีมีความสาคญั และไดป้ ฏิบตั ิสืบทอด

32

กนั มาเป็นเวลาชา้ นานแลว้ ดงั คากลอนว่า “เดือนสามคอ้ ย เจา้ หวั คอยปั้นขา้ วจ่ี ขา้ วจ่ีบใ่ สน่ า้ ออ้ ย จวั
นอ้ ยเช็ดนา้ ตา” (ปรีชา พณิ ทอง, 2542 : 5373)

ประเพณีบุญขา้ วจ่ีแบบดงั้ เดิมเป็นกิจกรรมท่ีจดั ทาขึน้ ระหว่างชมุ ชนกบั วดั เกิดจาก
แรงศรทั ธาในพทุ ธศาสนา เป็นการทาบญุ ตามฤดกู าลหลงั จากเก็บเก่ียวขา้ วจะมีการทากิจกรรมรว่ มกนั
ตามฮีตสิบสอง โดยมีวดั เป็นศนู ยก์ ลาง และเป็นพืน้ ท่ีในการรวบรวมผูค้ นในชมุ ชน ใหเ้ ขา้ มารว่ มทา
กิจกรรมรว่ มกนั แตใ่ นปัจจบุ นั ประเพณีบญุ ขา้ วจ่ีนอกจากจะจดั ขนึ้ ในระดบั ชมุ ชนหมบู่ า้ นหรือวดั แลว้
ส่ิงท่ีเป็น ปรากฏการณส์ าคญั ในประเพณีบุญขา้ ว คือมีการจดั งานในระดบั ภาครฐั โดยท่ีรฐั เขา้ เป็น
หน่วยงานสาคญั ในการขบั เคล่ือนประเพณีดงั กล่าวมีความน่าสนใจ มีคุณค่า และไดร้ บั ความนิยม
จากทอ้ งถ่ินอีสานไดเ้ ป็นอยา่ งดี

มูลเหตุและความเป็ นมา

เหตทุ ่ีทาบุญขา้ วจ่ีในเดือนสาม เน่ืองจากเป็นเวลาท่ีชาวนาหมดภาระในการทานา
และขา้ วขึน้ ยงุ้ ฉางใหม่ จึงอยากร่วมกันทาบุญขา้ วจ่ีถวายพระสงฆ์ มลู เหตดุ งั้ เดมิ ท่ีจะมีการทาบญุ
ขา้ วจ่ีมีเร่ืองเลา่ ว่า ในกาลครงั้ หน่งึ มีหญิงคนหน่งึ ช่ือนางปณุ ณทาสีเป็นคนยาก จนตอ้ งไปเป็นทาสีรบั
ใชข้ องเศรษฐีคนหน่ึงในกรุงราชคฤหว์ ันหน่ึงเศรษฐีใหน้ างไปซอ้ มข้าว นางซ้อมตลอดวนั ก็ไม่หมด
ตกตอนเย็นนางก็จดุ ไฟซอ้ มตอ่ ไป ไดร้ บั ความเหน็ดเหน่ือยเป็นอนั มาก พอถึงตอนเชา้ มานางก็เอารา
ทาเป็นแป้งจ่ี เผาไฟใหส้ ุกแลว้ ใส่ไวใ้ นผา้ ของตนเดินไปตกั นา้ ปรารถนาจะบริโภคดว้ ยตนเอง ครนั้ ถึง
กลางทางไดพ้ บพระศาสดาเกิดความเล่ือมใส คิดวา่ เราเป็นคนยากจนในชาตินีก้ ็เพราะมิไดท้ าบญุ ไว้
แตป่ างก่อนและชาตนิ ี้ เราก็ยงั ไม่เคยทาบญุ เลย เม่ือคิดเชน่ นนั้ แลว้ นางก็นอ้ มเอาขา้ วแปง้ จ่ีนนั้ เขา้ ไป
ถวายแดพ่ ระศาสดา พระองคท์ รงรบั แลว้ และนางคิดอีกว่าพระศาสดาคงไม่เสวย พราะอาหารเศรา้
หมอง เม่ือพระศาสดา ทรงทราบวารจิตของนางเช่นนนั้ พระองคจ์ ึงประทับเสวยต่อหนา้ ของนาง
ครัน้ เสวยเสร็จแล้วก็ตรัส อนุโมทนากถาโปรดนางจนสาเร็จโสดาปัตติผล เป็นอริยบุคคลใน
พระพทุ ธศาสนา กาลกตฺวา ครนั้ นาง ทากาลกิรยิ าแลว้ ก็ไดไ้ ปเกิดบนดาวดงึ สส์ วรรคเ์ สวยทิพยส์ มบตั ิ
อย่ใู นวิมานทองอนั ผดุ ผอ่ งโสภา มี 15 นางฟ้าแวดลอ้ มเป็นยศบรวิ าร ดงั นนั้ ชาวนาเม่ือเก็บเก่ียวแลว้
จงึ พากนั ทาบญุ ขา้ วจ่ี เพราะถือวา่ การ ถวายขา้ วจ่ีมีอานิสงฆม์ าก

33

คาถวายขา้ วจ่ี
อมิ สั มิง ฐาเน อมิ านิมะยงั ภนั เต พาหริ ะอณั ฑานิปิณฑะปาตานภิ ิกขฆุ สั สะ
โอโณชะยามะ สาธโุ น ภนั เต ภิกขสุ งั โฆ อมิ านิพาหิระอณั ฑานิ
ปิณฑะปาตานิปฏิคคณั หาตอุ มั หากงั ทีฆะรตั ตงั อตั ถายะ หติ ายะ สขุ ายะ

คาแปล
ข้าแต่พระภิษุสงฆผ์ ู้เจริญ ขา้ พเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวาย ก่อนข้าวจ่ี ทั้งหลาย

เหล่านีแ้ ด่พระภิกษุสงฆข์ อพระภิกษุสงฆจ์ งรบั กอ้ นขา้ วสีทงั้ หลายเหล่านีข้ องขา้ พเจา้ ทงั้ หลายเพ่ือ
ประโยชนแ์ ละความสขุ แกข่ า้ พเจา้ ทงั้ หลาย สิน้ การละนานเทอญ

วสั ดอุ ปุ กรณใ์ นการทาขา้ วจ่ี
1) ขา้ วเหนียวนง่ึ ใหส้ กุ
2) ไขไ่ ก่
3) นา้ ออ้ ย หรือนา้ ตาลทราย
4) เกลือ

ขนั้ ตอนการทาขา้ วจ่ี
1) นาขา้ วเหนียวน่ึงใหส้ กุ แลว้ มาปั้นเป็นกอ้ น ใส่เกลือเล็กนอ้ ยเคลา้ ใหท้ ่วั เอาไม้

เสียบยา่ งไฟใหข้ า้ วสกุ พอเกรียม
2) นาไข่ไก่และนา้ ออ้ ยท่ีเตรียมไวต้ ีผสมใหเ้ ขา้ กนั นาไปทาบนขา้ วจ่ีท่ีย่างไว้ แลว้

นาไปยา่ งไฟ ทาซา้ หลายๆ ครงั้ ใหไ้ ขเ่ คลือบขา้ วเหนียว เสรจ็ แลว้ ถอดไมอ้ อก เตรียมนาไปถวายพระ

34

1.3 แนวคิดเก่ียวกบั คา่ นิยม

คา่ นยิ ม (Value) หมายถงึ พฤตกิ รรมของสมาชิกในสงั คมแสดงออกและปฏิบตั ิตนแตกตา่ ง
กนั ไป คา่ นิยมนนั้ มีลกั ษณะเฉพาะเป็นเอกลกั ษณ์ ในสงั คมหน่ึงอาจมีคา่ นิยมท่ีมากกว่า 1 คา่ นิยมได้
ซ่งึ คา่ นิยมจะเป็นตวั สะทอ้ นหรือมีอิทธิพลต่อวฒั นธรรม และค่านิยมจะเป็นตวั สนบั สนนุ หรือชีน้ าการ
ตดั สินใจของสมาชิกทกุ คนในองค์กร อันเป็นผลสืบเน่ืองมาจากวัฒนธรรมประเพณีท่ียึดถือปฏิบตั ิ
สืบเน่ืองต่อกันมา ซ่ึงแต่ละสังคมต่างปลูกฝังค่านิยมท่ีดีให้แก่สมาชิกในสังคม ซ่ึงจะส่งผลดีสู่
ระดบั ประเทศชาตติ อ่ ไป

ราชบณั ฑิตยสถาน (2546 : 242) ไดใ้ หค้ วามหมายไวว้ า่ “คา่ นิยม” คือ ส่ิงท่ีบคุ คล หรือ
สงั คมยดึ ถือเป็นเคร่ืองชว่ ยตดั สินใจและกาหนดการกระทาของตนเอง

ศริ ิพนั ธ์ ถาวรทวีวงษ์ (2543 : เว็บไซต)์ ไดใ้ หแ้ นวคิดไวส้ รุปไดว้ า่ ค่านิยม เป็นระบบของ
ความชอบและค่านิยมของแต่ละคนขึน้ อยู่กับประสบการณท์ ่ีตนไดร้ บั ซ่ึงประสบการณ์นนั้ ๆ ก็ย่อม
แตกต่างกันไป จะเห็นว่า ค่านิยมบางอย่างมิใช่ส่ิงท่ีดีงามเสมอไป ค่านิยมจึงอาจเป็นทงั้ ค่านิยมท่ี
พงึ ประสงคแ์ ละไมพ่ งึ ประสงคก์ ็ได้ เม่ือสงั คมเปล่ียนแปลงไป สภาวะทางเศรษฐกจิทางสงั คม ตลอดจน
วฒั นธรรมประเพณีเปล่ียนไปค่านิยมก็อาจเปล่ียนแปลงไปดว้ ย เช่น ค่านิยมในการรกั นวลสงวนตวั
การ จบั มือถือแขนหรือการปฏิบตั ิตนตอ่ เพ่ือนตา่ งเพศ ซ่ึงถือเป็นเร่ืองไม่งาม น่าละอาย เป็นส่ิงท่ีตอ้ ง
ระมดั ระวงั ในปัจจุบนั ลดความสาคญั ลงไป เห็นว่าเป็นเร่ืองปกติและสามารถปฏิบตั ิอย่างเปิดเผย
คา่ นิยมท่ีเปล่ียนแปลงไปนีอ้ าจทาใหเ้ กิดปัญหาในชีวิตครอบครวั ตลอดจนปัญหาสงั คมได้ การท่ีจะ
สรา้ งแรงจงูใจและปลกู ฝัง เพ่ือใหม้ ีการเปล่ียนค่านิยมท่ีไม่พงึ ประสงคน์ นั้ อาจทาไดโ้ ดยเปิดโอกาสให้
บคุ คลไดพ้ ิจารณาตดั สนิ ใจดว้ ยตนเอง โดยการ

1) ชีแ้ จงใหเ้ ขา้ ใจดว้ ยเหตผุ ลถึงความสาคญั ของคา่ นยิ ม

2) เปิดโอกาสใหบ้ คุ คลไดพ้ จิ ารณาถึงผลทจ่ีะไดร้ บั ในการยดึ ถือคา่ นิยม

3) เปิดโอกาสใหต้ ดั สินใจเลือกยึดถือคา่ นิยมดว้ ยตวั เขาเอง

35

4) สนับสนนุให้ยึดถือปฏิบัติในค่านิยมท่ีดี ท่ีได้รับการเลือกอย่างต่อเน่ืองและ

เหมาะสม

2. แนวคดิ เกยี่ วกบั คติชนสร้างสรรค์

ศริ าพร ณ ถลาง ไดใ้ ชค้ าศพั ทท์ ่ีเก่ียวขอ้ งขนึ้ วา่ “คตชิ นสรา้ งสรรค”์ (Creative folklore) เพ่ือลอ้
กบั คาว่า “เศรษฐกิจสรา้ งสรรค”์ (Creative economy) ท่ีอาศยั แนวคดิ เร่ืองการพฒั นาเศรษฐกิจโดย
การสรา้ งมลู คา่ เพ่ิม (value adding) โดยใชท้ ุนทางวฒั นธรรมท่ีมีอย่เู ดมิ ซ่งึ รวมถึงการราเอาระบบ
คณุ คา่ ระบบความเช่ือ และคตชิ นท่ีมีอยเู่ ดมิ ในสงั คมประเพณีมาสรา้ งสรรคใ์ หมใ่ นสงั คมปัจจบุ นั ศิรา
พร ณ ถลาง ไดใ้ หค้ วามหมายคาว่า “คติชนสรา้ งสรรค”์ ไวว้ ่า คติชนท่ีมีการสรา้ งใหม่หรือผลิตซา้ ใน
บริบททางสังคมไทยปัจจบุ นั ในลกั ษณะของการสืบทอดคติชนในบริบทใหม่ การประยกุ ตค์ ติชนการ
“ต่อยอด” คติชน การตีความใหม่และสรา้ งความหมายใหม่ หรือการนาคติชนไปใช้เพ่ือ “สร้าง
มลู คา่ เพ่มิ ” หรอื สรา้ งอตั ลกั ษณข์ องทอ้ งถ่ินหรอื อตั ลกั ษณช์ าตพิ นั ธุ์ (ศริ าพร ณ ถลาง,2559 : 18-19)

ศิราพร ณ ถลาง ได้กล่าวถึงคติชนสร้างสรรคไ์ ว้ในบทความเร่ือง “คติชนสร้างสรรค์”:
บทปริทศั นบ์ ริบททางสงั คมและแนวคิดท่ีเก่ียวขอ้ ง ไวว้ ่า ทุกวนั นี้ วฒั นธรรมโดยเฉพาะคติชนมีความ
เปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วซ่ึงไม่ใช่เป็ น ความเปล่ียนแปลงตามปกติธรรมดาของวฒั นธรรม แต่เป็น
ความเปล่ียนแปลงอนั มีปัจจยั ทางสงั คมเป็นตวั เรง่ และเป็นตวั กาหนด ทาใหเ้ กิดการสรา้ งสรรคค์ ติชน
ในรูปแบบและเนือ้ หาใหม่ ๆ หลายลกั ษณะ โครงการ “คติชนสรา้ งสรรคฯ์ ”: พลวตั และการนาคตชิ นไป
ใชใ้ นสงั คมไทยรว่ มสมยั เป็นโครงการวจิ ยั ท่ีพยายามอธิบายปรากฏการณพ์ ลวตั ของ คตชิ นในลกั ษณะ
ต่างๆ ในบริบททางสังคมไทยในปัจจุบัน บทความนี้ปริทัศน์บริบททางสังคม สรุปแนวคิด และ
ยกตวั อย่างวิทยานิพนธท์ ่ีเก่ียวขอ้ งกบั ปรากฏการณ์ “คติชนสรา้ งสรรค”์ บทความนี้ นาเสนอวา่ บริบท
ทางสงั คมท่ีเก่ียวขอ้ งกับปรากฏการณ์ “คติชนสรา้ งสรรค”์ ไดแ้ ก่ บริบทสงั คมโลกาภิวตั นแ์ ละการ
ท่องเท่ียว บริบททุนนิยมและเศรษฐกิจสรา้ งสรรค์ และบริบทขา้ มชาติ ขา้ มพรมแดน, แนวคิดท่ี
เก่ียวขอ้ งกบั ปรากฏการณ์ “คตชิ นสรา้ งสรรค”์ ไดแ้ ก่ แนวคดิ เร่ือง คติชนแท้ คติชนเทียม (folklore-
fakelore), “ของแท”้ “ของดงั้ เดมิ ” “วิถีดงั้ เดิม” (authenticity), ภาพแทน (representation), ประเพณี

36

ประดิษฐ์ (invented tradition), อตั ลกั ษณ์ (identity) ในบทความนีไ้ ดย้ กตวั อย่างวิทยานิพนธใ์ น
ประเทศไทยท่ีใชแ้ นวคิดดงั กลา่ วขา้ งตน้ มาเป็นกรอบความคดิ ในการวิเคราะห์ โดยเฉพาะในประเด็น
การใชค้ ตชิ นในการสรา้ งอตั ลกั ษณช์ าติพนั ธุ์ คตชิ นประดิษฐ์ในบรบิ ทขา้ มพรมแดน ประเพณีประดษิ ฐ์
จากรากฐานทาง พทุ ธศาสนาและประเพณีประดษิ ฐเ์ พ่ือการทอ่ งเท่ียวและการพาณิชย์

ศริ าพร ณ ถลาง ยงั ชีใ้ หเ้ หน็ “คตชิ นสรา้ งสรรค”์ ท่ีมีผลตอ่ บริบททางสงั คม ท่ีมีการนาเอาคติ
ชนไปปรบั ใชต้ ามบรบิ ทตา่ งๆ 4 บรบิ ท คือ บรบิ ทโลกาภิวฒั นแ์ ละการทอ่ งเท่ียว บรบิ ทสงั คมทนุ นิยม
และเศรษฐกิจสรา้ งสรรค์ บรบิ ทความเป็นสงั คมในยคุ ขอ้ มลู ขา่ วสารและเทคโนโลยีสมยั ใหม่ และบริบท
แหง่ ความเป็นสงั คมเปิดท่ีทาใหเ้ กิดการเดินทางขา้ มพรมแดน

1. บริบทโลกาภิวฒั นแ์ ละการท่องเท่ียว เป็นบริบทท่ีทาใหเ้ กิดการเช่ือมโยงกนั ไดอ้ ยา่ งเสรี
ของคนทัง้ โลก เกิดการเรียนรูแ้ ลกเปล่ียนวัฒนธรรม ส่งผลใหเ้ กิดนโยบายการรณรงคส์ ่งเสริมการ
ทอ่ งเท่ียว ทงั้ การรือ้ ฟื้นวฒั นธรรมพืน้ บา้ นและพิธีกรรมประเพณีเพ่ือการท่องเท่ียว เน่ืองจากส่ิงเหล่านี้
เป็นตน้ ทนุ ทางวฒั นธรรม ทาใหว้ ฒั นธรรมพืน้ บา้ นกลายเป็นสนิ คา้ ท่ีขายได้ และมีมลู คา่ เพ่มิ

2. บริบทสงั คมทนุ นิยมและเศรษฐกิจสรา้ งสรรค์ คือการส่งเสรมิ การนาทนุ ทางวฒั นธรรม
ไปเพ่ิมมลู คา่ ทางเศรษฐกิจ รวมไปถึงการส่งเสริมการทอ่ งเท่ียว วฒั นธรรมทอ้ งถ่ิน วฒั นธรรมของชาติ
พนั ธท์ งั้ วฒั นธรรมทางวตั ถุ ตลอดจนคติชนประเภทต่างๆ ต่างก็ถกู พฒั นาใหเ้ ป็นสินคา้ วฒั นธรรมใน
บรบิ ทของสงั คมไทยปัจจบุ นั

3. บรบิ ทความเป็นสงั คมในยคุ ขอ้ มลู ขา่ วสารและเทคโนโลยีสมยั ใหม่ มีการนาเสนอคติชน
ในสงั คมประเพณีผ่านส่ือสมยั ใหม่ ในรูปแบบของส่ือส่ิงพิมพ์ เช่น หนงั สือ นิทาน การต์ นู นิทาน หรือ
วีดีโอการละเล่น การแสดง ประเพณีพิธีกรรมในส่ืออินเทอรเ์ น็ต ในโลกออนไลน์ โลกไซเบอร์ ส่ือ
สมยั ใหม่เหล่านีจ้ งึ ทาหนา้ ท่ีผลิตซา้ และสืบทอดคติชนประเพณีใหม้ ีอายุยืนยาวตอ่ ไป โดยนาเสนอให้
เหมาะสมกบั บรบิ ททางสงั คม

37

4. บริบทแห่งความเป็นสังคมเปิดท่ีทาใหเ้ กิดการเดินทางขา้ มพรมแดน จึงเกิดความ
หลากหลาย ชาตพิ นั ธุใ์ นสงั คมไทย เช่น แรงงานขา้ มชาติ เกิดภาวการณแ์ สดงชาตพิ นั ธุ์ ผ่านกลไกทาง
วฒั นธรรมของคนแตล่ ะกลมุ่ เม่ือมีโอกาส เวลา และพืน้ ท่ีทางสงั คมในบรบิ ทขา้ มพรมแดน

สว่ นแนวคดิ ในการวิเคราะหข์ อ้ มลู คติชนท่ีมีการปรบั ใชใ้ นบริบทสงั คมรว่ มสมยั เรานนั้ ศริ าพร
ณ ถลาง ไดน้ าเสนอแนวคดิ ตา่ ง ๆ ไวใ้ นบทความ “คติชนสรา้ งสรรค”์ : บทปรทิ ศั นบ์ ริบททางสงั คมและ
แนวคดิ ท่ีเก่ียวขอ้ ง (2556) ซ่งึ ผวู้ ิจยั เลือกใชแ้ นวคิด เร่ือง Invented Tradition ศริ าพร ณ ถลาง ไดส้ รุป
แนวคดิ นีไ้ วว้ ่า เป็นแนวคดิ ท่ีครอบคลมุ ทงั้ ประเพณีท่ี “ถกู ประดิษฐ์ขนึ้ ” และสืบทอดมาในสงั คมนาน
แลว้ และประเพณีท่ี “เพ่งิ ผลิตขนึ้ ” ประเพณีประดษิ ฐ์ท่ีเกิดขนึ้ ในสงั คมสมยั ใหม่มกั มีท่ีมาจากนโยบาย
ของรฐั ชาติ ภาครัฐ และราชการไดส้ รา้ งและประดิษฐ์ทางราชการต่าง ๆ ขึน้ อีกมากมาย นับเป็น
ประเพณีท่ีสมั พนั ธก์ บั ประวตั ิศาสตรก์ ารเมือง นอกจากนีป้ ระวตั ิศาสตรส์ มยั ใหม่ก็ยงั เป็นสาเหตขุ อง
การสรา้ งประเพณีประดิษฐ์ไดเ้ ช่นกนั โดยเฉพาะสงั คมไทย ภาครฐั เช่นการท่องเท่ียวแห่งประเทศไทย
และภาคประชาชนเขา้ มาอย่ใู นขอบเขตของการศกึ ษาคติชนสรา้ งสรรคไ์ ด้ เพ่ือจะวิเคราะหถ์ ึงวิธีการ
ประดิษฐ์ประเพณีต่าง ๆ ในปัจจบุ นั รวมไปถึงวิธีคิดในการประดิษฐ์ประเพณีว่าอยู่บนพืน้ ฐานของ
ความเช่ือศาสนาวฒั นธรรมในอดีตมากนอ้ ยเพียงใดและอยอู่ ยา่ งไร

2.1 การผลิตซา้

แนวคิดเร่ืองการสืบทอดวัฒนธรรม และผลิตซา้ วัฒนธรรม วัชราภรณ์ ดิษฐป้าน
(2558 : 113) ไดก้ ล่าวว่า การสืบทอดวฒั นธรรม (cultural transmission) และผลิตซา้ วฒั นธรรม
(cultural reproduction) เป็นสว่ นหน่งึ ของพลวตั ทางวฒั นธรรม ไดก้ ลา่ ววา่ เม่ือวฒั นธรรมบางอยา่ งมี
การสืบทอดส่งตอ่ ภายในกล่มุ สงั คมหน่ึง ๆ จากรุน่ ส่รู ุน่ ทาให้ วฒั นธรรมนนั้ ยงั มีชีวิตอย่หู รือมีบทบาท
ในกล่มุ สังคม หรือวฒั นธรรมบางอย่างท่ีเคยมีอยู่ ในอดีตถกู รือ้ ฟื้นเลือกสรรขึน้ มาผลิตซา้ หรือนามา
ปฏิบตั ิใหม่ โดยอาจปรบั เปล่ียนรูปแบบบางอย่างเพ่ือใหส้ อดคล้องกับจุดมุ่งหมายในปัจจุบัน หรือ
อาจจะมีการริเร่ิมวิถีปฏิบตั ิใหม่ โดยนาส่ิงท่ีมีอย่แู ลว้ ในวฒั นธรรมหลกั มาตีความใหม่ ทาใหเ้ กิดการ
ผลิตซา้ วฒั นธรรมบาง อย่างในพืน้ ท่ีใหม่ท่ีไม่เคยมีวิถีปฏิบตั ิเช่นนนั้ มาก่อน ปรากฏการณท์ ่ีเกิดขึน้
เหล่านี้เห็นได้ จากการสืบทอดและการผลิตซ้าความเช่ือ การผลิตซา้ ทางวัฒนธรรม ( cultural

38

reproduction) หรือการผลิตใหมท่ าง วฒั นธรรมเพ่ือปรบั ปรุงใหเ้ ขา้ กบั สถานการณท์ ่ีเปล่ียนแปลงไป
เป็นการนาภูมิปัญญาไทย ซ่ึงเป็นต้นทุนทางวัฒนธรรมท่ีมีอยู่แลว้ ในสังคมไทยมาประยุกตใ์ ชใ้ ห้
สอดคลอ้ งกบั บรบิ ท ของสงั คมปัจจบุ นั เพ่ือจะเผชิญหนา้ กบั กระแสวตั ถนุ ยิ ม บริโภคนิยม พาณิชยน์ ิยม
และ อานาจนิยมท่ีครอบงาสงั คมไทยสมยั ใหม่ สงั คมไทยสามารถจะนาภูมิปัญญามาประยุกต์ และ
“ผลิตซา้ ” หรือ “ผลติ ใหม”่ เพ่ือรบั ใชค้ นปัจจบุ นั

2.2 การสรา้ งใหม่

คาว่า “การสร้างใหม่” จะเป็นการศึกษาดูว่าในปัจจุบันประเพณีมีการนามา
สร้างใหม่อย่างไร หรือมีปรากฏการณ์ใหม่ ๆ เกิดขึน้ อย่างไรในประเพณี คนในสังคมได้มีการ
เปล่ียนแปลงกิจกรรม หรือมีการเพ่ิมเติมกิจกรรมใหม่ท่ี ไม่เคยเกิดขึน้ มาก่อนอย่างไร ในบริบทของ
เศรษฐกิจ การเมือง การทอ่ งเท่ียว และการสรา้ งมลู คา่ ซง่ึ เป็นไปในลกั ษณะของประเพณีประดิษฐ์ หรือ
ถกู ประดษิ ฐข์ นึ้ ในบรบิ ทสงั คมปัจจบุ นั

2.3 ประเพณีประดษิ ฐ์

กรอบแนวคิดของฮ็อบสบอม เร่ือง “ประเพณีประดิษฐ์” ฮ๊อบสบอม ใช้คา
ภาษาองั กฤษวา่ “The invention of tradition” นนั้ เป็นแนวคดิ หน่งึ ทางดา้ น สงั คมศาสตรท์ ่ีใชศ้ กึ ษา
วิเคราะหข์ อ้ มลู วฒั นธรรมของกล่มุ ชนใดกล่มุ ชนหน่งึ โดยมีสาระ สาคญั ของแนวคิดก็คือ การนาเอา
เร่ืองราวในอดีต ซ่ึงในท่ีนีห้ มายถึงขอ้ มลู ประเพณีมาใช้ ในบริบทสงั คมปัจจบุ นั อนั ถือเป็นปฏิบตั ิการ
ทา งสัง คม ท่ี มี ก าร ห ยิ บ ยื มเ อ าป ระ เ พณี ห รือ วัฒน ธร ร มใ น อดี ต มา ใช้เ ป็ น เ คร่ื อ งมื อใ น กา ร สร้า ง
ความหมายใหมภ่ ายใตเ้ ง่ือนไขของบรบิ ท และสถานการณใ์ นยคุ ปัจจบุ นั การสรา้ งประเพณีท่ีเรียกว่า
“ประเพณีประดิษฐ์” จึงไม่ใช่ประเพณีท่ีเพ่ิงเกิดขึน้ ใหม่เม่ือไม่นานมานีเ้ อง หรืออาจมีการประยุกต์
ดดั แปลง นาเอาเร่ืองราวเก่าแก่โบราณทางวฒั นธรรมมาประกอบสรา้ งขึน้ ใหม่ จนทาใหผ้ คู้ นมองเห็น
และเช่ือว่าเป็นประเพณีท่ีมีมาแต่โบราณ หรือมีการสืบทอดมาตงั้ แต่ครงั้ บรรพชนก็ได้ (ปฐม หงส์
สวุ รรณ, 2558 : 251)

39

3. กจิ กรรมบุญข้ำวจ่ีวำเลนไทน์ มหำวิทยำลัยขอนแก่น

1) บทควำม เร่ืองงำนบุญ “ข้ำวจ่ีวำเลนไทน”์ ม.ขอนแก่น สำนประเพณีไทย ลดเส่ียง
ทำงเพศ ของ MGR Online ไดร้ ะบวุ า่ จากผลสารวจของสานกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การสรา้ งเสริม
สขุ ภาพ (สสส.) ปี 2557 พบว่า กิจกรรมท่ีเป็นท่ีนิยมในวนั วาเลนไทนข์ องนกั ศึกษาสูงท่ีสุดคือ เท่ียว
ตา่ งประเทศคดิ เป็นรอ้ ยละ 51 รองลงมาคอื เท่ียวสถานบนั เทิง คิดเป็นรอ้ ยละ 31.1 อยหู่ อ้ งกบั แฟนคิด
เป็นรอ้ ยละ 11.2 ขณะท่ีกิจกรรมทาบญุ ตกั บาตรอยใู่ นระดบั ต่าคดิ เป็นรอ้ ยละ7เทา่ นนั้

ทงั้ นี้ ผลวิจยั ยงั ระบวุ า่ กิจกรรมการเฉลิมฉลองวาเลนไทนข์ องวยั รุน่ ไทย มีความเก่ียวพนั ธก์ ับ
การด่ืมเคร่ืองด่ืมแอลกอฮอลส์ ูงกว่าวนั ธรรมดา ซ่ึงอาจส่งผลกระทบทางดา้ นการขบั ข่ี ทะเลาะวิวาท
เกิดอุบตั ิเหตุ ทะเลาะกับคนรกั และโดนล่วงละเมิดทางเพศ พฤติกรรมเหล่านีอ้ าจส่งผลต่อความ
เสียหายทางดา้ นรา่ งกาย จติ ใจ และทรพั ยส์ ิน ทงั้ ตอ่ ตนเองและผอู้ ่ืน

มหาวิทยาลยั ขอนแก่น จึงจดั งานบญุ ขา้ วจ่ีวาเลนไทนข์ ึน้ โดยผสมผสานประเพณีวฒั นธรรม
ชาวอีสานและเทศกาลตะวันตก เพ่ือสืบสานและลดอัตราเส่ียงต่อการถูกล่วงละเมิดทางเพศของ
เยาวชน อนั สง่ ผลใหเ้ กิดความเสียหายทงั้ ทางรา่ งกายและทรพั ยส์ ิน ทงั้ ตอ่ ตนเองและผอู้ ่ืน

2) บทควำม เร่ืองศึกษำศำสตร์ ร่วมงำนบุญข้ำวจ่ีวำเลนไทน์ ของ จิราพร ประทุมชัย
กองส่ือสารองคก์ รมหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ระบุว่า ในปัจจุบันวัฒนธรรมสมัยนิยมได้กลืนกิน
วฒั นธรรมทอ้ งถ่ินดงั้ เดมิ กระท่งั เกือบเลือนหายไป ส่ิงหน่งึ ท่ีสามารถทาใหว้ ฒั นธรรมทอ้ งถ่ินสามารถ
คงอยไู่ ดน้ นั้ ตอ้ งใชก้ ารผสมผสานบรู ณาการร่วมกนั ระหว่างวฒั นธรรมสมยั นิยมและวฒั นธรรมดงั้ เดิม
เพ่ือสืบสานวัฒนธรรมท่ีดีงามและรักษาไวใ้ หค้ นรุ่นหลงั ไดภ้ าคภูมิใจในวัฒนธรรมของบรรพบุรุษ
เช่นเดียวกับบุญขา้ วจ่ี หรือบุญเดือนสาม วัฒนธรรมตามวิถีของชุมชนชาวอีสาน ท่ีจัดขึน้ ในเดือน
กมุ ภาพนั ธ์ ซ่งึ ในหมหู่ นมุ่ สาวรุน่ ใหม่ มกั คนุ้ เคยกบั วนั วาเลนไทนม์ ากกวา่ ฉะนนั้ เพ่ือใหค้ นหน่มุ สาวได้
ฉ ล อ ง ค ว า ม รั ก ใ น เ ท ศ ก า ล ว า เ ล น ไ ท น์แ ล ะ มี โ อ ก า ส สื บ ส า น ป ร ะ เ พ ณี ดั้ง เ ดิ ม ข อ ง ช า ว อี ส า น
มหาวิทยาลัยขอนแก่นจึงบูรณาการระหว่างงานบุญข้าวจ่ี (วัฒนธรรมท้องถ่ินของชาติไทย) และ
วนั วาเลนไทน์ (วฒั นธรรมสมยั นิยมจากชาตติ ะวนั ตก) กลายเป็นบญุ ขา้ วจ่ีวาเลนไทน์ ภายใตแ้ นวคดิ

40

“ไม่หลงของเก่าไมเ่ มาของใหม่” โดยใชก้ ลยุทธผ์ สมผสานทางวฒั นธรรมใหเ้ กิดการสืบทอดประเพณี
อนั งดงาม

4. บรบิ ทพนื้ ทก่ี ำรศกึ ษำ
มหาวิทยาลัยขอนแก่น (Khon Kaen University; อักษรย่อ: มข., KKU.) เป็น

สถาบนั อุดมศึกษาแห่งแรกของภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ก่อตงั้ ขึน้ ตามนโยบายการขยายการศกึ ษา
ระดบั อดุ มศกึ ษาสสู่ ่วนภมู ิภาคตามแผนพฒั นาเศรษฐกิจฉบบั ท่ี 1 ของประเทศ โดยมีจดุ มงุ่ หมายเพ่ือ
พฒั นากาลงั คนและองคค์ วามรูเ้ พ่ือการแก้ปัญหาใหก้ ับภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือซ่ึงเป็นภูมิภาคท่ีมี
พืน้ ท่ีขนาดใหญ่ และมีประชากรเป็น 1 ใน 3 ของประเทศ ในแต่ละปีตอ้ งเผชิญกบั ปัญหาภยั แหง้ แลง้
และผลผลิตทางภาคการเกษตรไมด่ ีอย่างตอ่ เน่ือง อีกทงั้ ยงั มีประชากรท่ียากจนอาศยั อย่เู ป็นจานวน
มาก พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจา้ ฯ
พระบรมราชินีนาถ ไดเ้ สดจ็ พระราชดาเนนิ มาทรงเปิดมหาวิทยาลยั ขอนแก่นอยา่ งเป็นทางการเม่ือวนั ท่ี
20 ธนั วาคม พทุ ธศกั ราช 2510 และไดพ้ ระราชทานพระราชดารสั ความตอนหน่งึ วา่

“การตงั้ มหาวิทยาลยั ขอนแก่นเพ่ิมขึน้ อีกแหง่ หน่ึงนนั้ เป็นคณุ อย่างย่ิง เพราะทาใหก้ ารศกึ ษา
ชนั้ สูงขยายออกไปถึงภูมิภาคท่ีสาคญั ท่ีสุดส่วนหน่ึงของประเทศ ซ่ึงต่อไปจะเป็นผลดีแก่การพฒั นา
ยกฐานะความเป็ นอยู่ของประชาชนในภูมิภาคนี้เป็ นอย่างย่ิง ความสาเร็จในการตั้ง
มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ จงึ เป็นความสาเรจ็ ท่ีทกุ คนควรจะยินดี”

ทต่ี ้ัง
มหาวิทยาลยั ขอนแก่นตงั้ อยู่ เลขท่ี 123 หมู่ 16 ถ.มิตรภาพ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น

40002

41

ภาพท่ี 1 แผนท่ีมหาวิทยาลยั ขอนแก่น ตาบลในเมือง อาเภอเมืองขอนแกน่ จงั หวดั ขอนแกน่
ท่ีมา : มหาวิทยาลยั ขอนแก่น , แผนท่ีมหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น , เขา้ ถงึ เม่ือ 12 มีนาคม พ.ศ.

2563 , แหลง่ ท่ีมา https://th.kku.ac.th/about/map/
1. คมุ้ สีฐาน Si Than Community
2. หอศลิ ปวฒั นธรรม Arts and Cultural Gallery
3. ศนู ยป์ ระชมุ อเนกประสงคก์ าญจนาภิเษก Golden Jubilee Convention Center
4. คณะนิติศาสตร์ Faculty of Law

42

5. โรงเรียนสาธิตศกึ ษา (ศกึ ษาศาสตร)์ Sathit KKU Demonstration School, Seuksasart
(Education)

6. สถานีไฟฟ้ายอ่ ย มข. KKU Electricity Station
7. อาคารจตรุ มขุ Chaturamook Building
8. อาคารสริ ิคณุ ากร Sirikunakorn Building
9. สานกั งานอธิการบดี อาคาร 1 President Offices Building 1
10. สานกั งานอธิการบดี อาคาร 2 President Offices Building 2
11. อาคารพลศกึ ษา Physical Education Gymnasium
12. โรงยิมเทเบลิ เทนนสิ Table Tennis Gymnasium
13. สนามยงิ ปืน Shooting Range
14. โรงยิมฟันดาบ Fencing Gymnasium
15. อาคารแก่นกลั ปพฤกษ์ Kean Kallapapruek Building
16. อาคารพละศกึ ษา Physical Education Building
17. สานกั งาน รปภ. Security Offices
18. ศนู ยอ์ าหารและบรกิ าร 2 (โรงชาย) Food and Services Complex 2
19. กองกิจการนกั ศกึ ษา Student Affairs Division
20. องคก์ ารนกั ศกึ ษา KKU Student Union
21. ศนู ยอ์ าหารและบรกิ าร 2 (Food and Services Complex 2)
22. สมาคมศษิ ยเ์ กา่ KKU Alumni Association

43

23. อาคารขวญั มอ Kwanmor Building
24. คณะสตั วแพทยศาสตร์ Faculty of Veterinary Medicine
25. โรงเรยี นสาธิต (มอดนิ แดง) Sathit KKU Demonstration School, Mor Din Daeng
26. คณะเกษตรศาสตร์ Faculty of Agriculture
27. คณะเทคโนโลยี Faculty of Technology
28. สานกั วิทยบรกิ าร Library
29. คณะวทิ ยาศาสตร์ Faculty of Sciences
30. คณะมนษุ ยศาสตร์ ฯ Faculty of Humanities and Social Sciences
31. อาคารพิมล กลกิจ University Academic Services Center (Phimol Kolkitch Building)
32. ศาลา พระราชทานปรญิ ญาบตั ร (เดมิ ) Old Royal Degree Presentation Hall
33. ศนู ยค์ อมพวิ เตอร์ Computer Center
34. คณะวทิ ยาการจดั การ Faculty of Management Sciences
35. คณะศกึ ษาศาสตร์ Faculty of Education
36. คณะวศิ วกรรมศาสตร์ Faculty of Engineering
37. คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ Faculty of Architecture
38. บา้ นชีวาศลิ ป์ มอดนิ แดง Bann Chee Waa Silpa Mor Din Deang
39. สถาบนั ฯ ลมุ่ นา้ โขง Mekong Institute
40. สถาบนั ขงจือ้ Confucius Institute, KKU
41. วิทยาลยั ปกครองทอ้ งถ่ิน College of Local Administration

44

42. อาคารพจน์ สารสนิ Poj Sarasin Building
43. อาคาร 25 ปี 25th Year Anniversary Building
44. คณะเภสชั ศาสตร์ Faculty of Pharmaceutical Sciences
45. คณะพยาบาลศาสตร์ Faculty of Nursing
46. คณะสาธารณะสขุ ศาสตร์ Faculty of Public Health
47. คณะเทคนิคการแพทย์ Faculty of Associated Medical Sciences
48. อาคารเรียนรวมและหอ้ งปฏิบตั กิ ารวิจยั คณะแพทยฯ์ Research Laboratory Building,
Faculty of Medicine
49. คณะแพทยศาสตร์ Faculty of Medicine
50. โรงพยาบาลศรีนครนิ ทร์ Srinagarind Hospital
51. คณะทนั ตแพทยศาสตร์ Faculty of Dentistry
52. ศนู ยห์ วั ใจสิรกิ ิตฯิ์ Queen Sirikit Heart Center of the Northeast, KKU
53. คณะศลิ ปะกรรมศาสตร์ Faculty of Fine and Applied Arts
54. ศนู ยอ์ าหารหนองแวง Nong Waeng Food Center
55. สถาบนั วจิ ยั และพฒั นา Research and Development Institute. (RDI)
56. วิทยาลยั บณั ฑติ ศกึ ษาการจดั การ College of Graduate Study in Management (MBA)

K1 หอพกั นพรตั น์ (หอพกั 9หลงั ) Noparat Dormitory (9 Lang)
K2. หอพกั สวสั ดกิ าร (หอพกั 8 หลงั ) Welfare Dormitory (8 Langs)

45

K3. ป๊ัมนา้ มนั ปตท. PTT Petrol Station
K4. U Plaza
K5. หอพกั นกั ศกึ ษา Student Dormitory
K6. เขตบา้ นพกั (มอดนิ แดง) Mor Din Daeng Residential Area
K7. ศาลเจา้ พอ่ มอดนิ แดง More Din Dang Shrine
K8. เขตฟารม์ Farming Area
K9. สนามกีฬากลาง Central Main Stadium
K10. สวนรม่ เกลา้ กาลพฤกษ์ Romklao Kallapruek Park
K11. เขตบา้ นพกั (ศนู ยแ์ พทย1์ ) Doctor Resident Area 1
K12. หอพกั นกั ศกึ ษาคณะพยาบาลศาสตร์ 1 Faculty of Nursing Dormitory 1
K13. บรเิ วณอทุ ยานเทคโนโลยีการเกษตร Agricultural Technology Park
K14 หอพกั นกั ศกึ ษาคณะพยาบาลศาสตร์ 2 Faculty of Nursing Dormitory 2
K15. เขตบา้ นพกั (ศนู ยแ์ พทย์ 2) Doctor Resident Area 1
K16. เขตบา้ นพกั (หนองแวง) Nong Waeng Residential Area
K17. สวนป่า Forestry Garden
K18. สนามกีฬาสีฐาน Si Than Sports Stadium
K19. เขตบา้ นพกั (สีฐาน) Si Than Residential Area
K20. บงึ สีฐาน Bung Si Than Reservoir

46

5. วจิ ัยทเ่ี กยี่ วข้อง

5.1 วิจัยเร่ือง “คติชนสร้ำงสรรค์” จำกควำมเช่ือเรื่องครูหมอโนรำที่ตำบลท่ำแค
จังหวัดพัทลุง ของณฐั วตั ร อินทรภ์ ักดี วิจยั เร่ืองนีม้ ่งุ ศกึ ษารวบรวมคติชนสรา้ งสรรค์ จากความเช่ือ
เร่ืองครูหมอโนราในปัจจุบนั ในรูปแบบต่าง ๆ ท่ีตาบลท่าแค จังหวดั พทั ลงุ พรอ้ มทงั้ วิเคราะหป์ ัจจยั
และบทบาทของการสรา้ งสรรคใ์ นรูปแบบดงั กล่าวจากโนราทงั้ 2 ประเภท คือ โนราพิธีกรรมและโนรา
บนั เทงิ ซง่ึ วิจยั นีท้ าใหเ้ ห็นวิธีคิดเชิงคตชิ นสรา้ งสรรคท์ ่ีเกิดขนึ้ กบั โนราในตาบลทา่ แค กลา่ วคือ วิธีคิดท่ี
ปรากฏในโนราพิธีกรรม ไดแ้ ก่ การยา้ ความเป็นของแท้ (authenticity) การสรา้ งพิธีกรรมใหม่บนฐาน
ความเช่ือเร่ืองพิธีกรรมเดมิ การขยายความเช่ือเก่ียวกบั หมอครูโนราส่คู นท่วั ไป การขยายโนราโรงครูให้
มีมติ ขิ องการเป็นสินคา้ ทางวฒั นธรรม (cultural commodification) ส่วนโนราบนั เทิงมีวิธีคิดเชิงคตชิ น
สรา้ งสรรคค์ ือ การสรา้ งเครือขา่ ยครูโนราใหเ้ ป็นคณะเทพศรทั ธา การนาเสนอโนราหผ์ ่านส่ือสมยั ใหม่
และนาเสนอในรูปแบบการแสดงอ่ืนๆ ทงั้ ยงั มีการอิงการแสดงโนราแบบดงั้ เดมิ เพ่ือสรา้ งสรรคส์ ่ิงหม่อีก
ดว้ ย อีกทงั้ การศกึ ษาครงั้ นีย้ งั ทาใหเ้ ขา้ ใจวิธีคดิ พลวตั ปัจจยั และบทบาทของ คตชิ นสรา้ งสรรคอ์ ีกดว้ ย

5.2 วิจัยเรื่อง กำรผลิตซ้ำและกำรสร้ำงใหม่ในประเพณีบุญข้ำวจี่ อำเภอโพธิ์ชัย
จังหวัดร้อยเอ็ด ของชาญยทุ ธ สอนจนั ทร์ บทความนีผ้ เู้ ขียนต้องการนาเสนอ ประเพณีบญุ ขา้ วจ่ี ซ่ึง
เป็นประเพณีสาคัญประเพณีหน่ึงของชาวอีสานท่ีมีการปฏิบัติกันมาตั้งแต่อดีต สืบทอดมาจนถึง
ปัจจุบนั โดยจะศึกษาประเพณีบุญขา้ วจ่ี ของอาเภอโพธิ์ชยั จงั หวัดรอ้ ยเอ็ด มาเป็นกรณีตวั อย่าง มี
วตั ถปุ ระสงคท์ ่ีจะศกึ ษาบญุ ขา้ วจ่ีในบริบทสงั คมปัจจบุ นั มีการสืบทอด การผลิตซา้ และการสรา้ งใหม่
อย่างไร ในฐานะเป็นปรากฏการณ์ “คติชนสรา้ งสรรค”์ โดยไดต้ งั้ สมุติฐานไวว้ ่า ประเพณีบุญข้าวจ่ี
ของอาเภอโพธิ์ชยั มีความเป็นพลวัติ เปล่ียนแปลง ไม่คงท่ี ไม่แน่น่ิงตายตัว มีความเคล่ือนไหวอยู่
ตลอดเวลา และเป็นประเพณีท่ีมีการสืบทอด ผลติ ซา้ สรา้ งใหม่ ผลการศกึ ษาพบว่า ประเพณีบญุ ขา้ วจ่ี
ของอาเภอโพธิ์ชยั มีการผลิตซา้ ในประเพณีบญุ ขา้ วจ่ี โดยมีการสืบทอดจากประเพณีเดิมท่ีเคยปฏิบตั ิ
มาแลว้ นามาผลิตซา้ ใหม่ ไดแ้ ก่ มีการผลิตซา้ ดว้ ยวิธีการส่ือสารเร่ืองราวนิทานในประเพณีบุญขา้ วจ่ี
มีการผลิตซา้ ดว้ ยวิธีการปฏิบตั ิในพิธีกรรมทางพุทธศาสนา และมีการผลิตซา้ วิธีการทาขา้ วจ่ีแบบ
ดงั้ เดิมเป็นขา้ วจ่ีแบบชาวบา้ นเปล่ียนมาเป็นขา้ วจ่ีบนพืน้ ท่ีของรฐั สาหรบั การสรา้ งใหม่ในประเพณี

47

บญุ ขา้ วจ่ี มีการหยิบเอาประเพณีบญุ ขา้ วจ่ีมาสรา้ งอุดมการณท์ างการเมือง มีการสรา้ งใหม่ดว้ ยการ
นาเอาประเพณีบุญขา้ วจ่ีมาสรา้ งอัตลกั ษณข์ องชาวอาเภอโพธิ์ชัย และมีการสรา้ งมูลค่าผลิตภัณฑ์
OTOP ผลิตสินคา้ การเกษตรผ่านประเพณีบุญข้าวจ่ี และมีการนาเอาประเพณีบุญขา้ วจ่ีมาเป็น
เคร่อื งมือในการสรา้ งเครือขา่ ยทางสงั คมไดอ้ ยา่ งนา่ สนใจ

5.3 วิจัยเร่ือง ประเพณปี ระดษิ ฐ์บุญบั้งไฟบ้ำนนำทรำย ต ำบลวงับำลอำ เภอหล่มเก่ำ
จังหวดัเพชรบูรณ์ ของ อรอมุ า เมืองทอง วิจยั นีม้ ีวตั ถปุ ระสงคเ์ พ่ือศกึ ษาบญุ บงั้ ไฟบา้ นนาทรายผ่าน
กระบวนการสรา้ งประเพณีโดยใชแ้ นวคิดประเพณีประดิษฐ์ ของ อิริค ฮอบสบ์ อวม์ และนาเสนอแนว
ทางการจดั การประเพณีบญุ บงั้ ไฟในบรบิ ทการเปล่ียนแปลงทางสงั คมและวฒั นธรรม ผา่ นการวิจัยเชิง
คณุ ภาพ และเก็บขอ้ มลู สมั ภาษณเ์ ชิงลึกการสงั เกตแบบมีส่วนรว่ มทกุ ขั้นตอนของพิธีกรรมท่ีเกิดขึน้ ใน
บญุ บงั้ ไฟ ผลการศกึ ษาพบว่า ประเพณีบญุ บงั้ ไฟบา้ นนาทรายมีกระบวนการสรา้ งประเพณีผ่านระบบ
ความเช่ือเร่ืองผีเจา้ พอ่ เจา้ แม่และยงั ดารงอยุ่จากอดีตจนถึงปัจจุบนั ผ่านหว่ งเวลา 3ยคุ สมยั คือ บญุ
บงั้ ไฟในยคุ กอ่ ตงั้ ชมุ ชนเกิดจากการนาวตั ถดุ บิ ทางวฒั นธรรม ไดแ้ ก่ความเช่ือ ตานาน เร่ืองผีบรรพบรุ ุษ
หรือเจา้ พอ่ เจา้ แมใ่ นเชิงปาฏิหารยิ ม์ าเป็นตวั ก่อสรา้ งประดิษฐ์ประเพณีขึน้ มาแบบเรียบง่ายไมซ่ บั ซอ้ น
ยุคพัฒนา เกิดการประดิษฐ์วัตถุดิบทางวัฒนธรรมขึน้ มาใหม่สืบเน่ืองมาจากการเปล่ียนแปลงทาง
สงั คม “ศาสนา” ถกู นามาใชเ้ ป็นเคร่ืองมือในการทาใหบ้ ญุ บงั้ ไฟสามารถดารงอย่ไู ดแ้ ละในยคุ ปัจจบุ นั
บุญบงั้ ไฟ ถูกนามาใชเ้ ป็นเคร่ืองมือในการต่อสู้ช่วงชิงอานาจอันชอบธรรมระหว่างกลุ่มอานาจเก่า
(เจา้ พอ่ เจา้ แม่)และกล่มุ อานาจใหม่ (ภาครฐั )และบุญบัง้ ไฟยงั ถูกใชป้ ็นพืน้ ท่ีในการต่อรองเพ่ือการ
แสวงหาผลประโยชนข์ องกล่มุ ตา่ งๆ เพียงแต่การตอ่ รองในงานบญุ บงั้ ไฟบา้ นนาทรายเกิดจากความ
ขดั แยง้ ท่ีเกิดขนึ้ ในความสมั พนั ธ์

5.4 ประเพณีขึน้ เขำพนมรุ้งในฐำนะ “ประเพณีสร้ำงสรรค”์ ในสังคมไทยร่วมสมัย ของ
ปรมนิ ท์ จารุวร วิทยานิพนธฉ์ บบั นีม้ งุ่ ศกึ ษาวิธีคดิ ในการสรา้ งประเพณีขนึ้ เขาพนมรุง้ จงั หวดั บรุ ีรมั ย์ ใน
ฐานะท่ีเป็น “ประเพณีสรา้ งสรรค”์ และวิเคราะหพ์ ลวตั และบทบาทของประเพณีดงั กล่าว โดยเก็บ
ขอ้ มลู ภาคสนามในชว่ งปี พ.ศ. 2558-2559 ผลการศกึ ษาพบว่าประเพณีขนึ้ เขาพนมรุง้ สรา้ งขึน้ เม่ือปี
พ.ศ. 2534 และสืบทอดมาจนปัจจบุ นั เพ่ือเป็นประเพณีประจาจงั หวดั บรุ ีรมั ย์ กิจกรรมการท่องเท่ียว
ประกอบดว้ ย 3 สว่ นหลกั คือ พิธีบวงสรวงเทพเจา้ ประจาปราสาทพนมรุง้ ขบวนแห่การจาลองขบวน

48

เสดจ็ พระนางภปู ตินทรลกั ษมีเทวีและเทพพาหนะทงั้ สิบ และการแสดงประกอบแสงเสียงเพ่ือบอกเล่า
เร่ืองราวของปราสาทพนมรุง้ ประเพณีขึน้ เขาพนมรุง้ มีวิธีคิดในการสรา้ งประเพณีโดยสรา้ งประเพณี
ใหมซ่ อ้ นลงไปในประเพณีเลิงพนมของชาวบา้ น กิจกรรมการท่องเท่ียวทงั้ 3 กิจกรรมสะทอ้ นใหเ้ ห็นวิธี
คิดในการสรา้ งโดยนาหลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตรโ์ บราณคดี รวมทงั้ ศลิ ปะบนตวั ปราสาทมาสรา้ งเป็น
องคป์ ระกอบต่าง ๆ ไดแ้ ก่ การนาลวดลายภาพสลกั นูนต่าบวั แปดกลีบมาสรา้ งเป็นพิธีสกั การบูชา
บริเวณบนั ไดนาคราชตรงทางขึน้ ปราสาท การจาลองเคร่ืองประดบั ตกแต่งขบวนแห่และการแสดง
ประกอบแสงเสียงจากภาพจาหลักบนตัวปราสาท ปัจจุบันยังมีการประชาสัมพันธ์ควบคู่ไปกับ
ปรากฏการณแ์ สงอาทติ ยส์ อ่ งลอดชอ่ งประตปู ราสาทพนมรุง้ ทงั้ 15 ประตู และมีการใชป้ ระเพณีนีใ้ นแง่
การเช่ือมโยงความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งชาวเขมรถ่ินไทยในจงั หวดั บรุ ีรมั ยก์ ับชาวอดุ รมีชยั ราชอาณาจกั ร
กมั พชู าอีกดว้ ย พลวตั ของประเพณีขนึ้ เขาพนมรุง้ แบง่ ออกเป็น 2 ช่วง คือ ชว่ งท่ี 1 พลวตั จากประเพณี
ราษฎรส์ ู่ประเพณีรฐั ในปี 2534 และช่วงท่ี 2 พลวัตของประเพณีในช่วงท่ีจัดการโดยจังหวดั บุรีรมั ย์
พลวัตของทั้ง 2 ช่วงเป็นผลมาจากการเปล่ียนแปลงผูจ้ ัดเป็นสาคญั ทัง้ นีป้ ระเพณีขึน้ เขาพนมรุง้ มี
บทบาทสาคญั ในดา้ นเศรษฐกิจ เน่ืองจากสัมพนั ธก์ ับวตั ถุประสงคข์ องการจดั งาน และมีบทบาทใน
ด้านสังคม กล่าวคือ ได้สร้างเร่ืองเล่าเก่ียวกับปราสาทพนมรุ้งโดยอ้างว่ามาจากหลักฐานทาง
ประวตั ศิ าสตรโ์ บราณคดี และไดน้ าเสนอ อตั ลกั ษณข์ องจงั หวดั บรุ ีรมั ย์ รวมทงั้ อตั ลกั ษณข์ องกล่มุ เขมร
ถ่ินไทย นอกจากนีย้ งั มีบทบาทในดา้ นการสรา้ งความศกั ดสิ์ ิทธิ์อีกดว้ ย งานวิจยั นีจ้ ึงเป็นตวั อยา่ งหน่งึ ท่ี
ทาให้เข้าใจการสรา้ งสรรคป์ ระเพณีใหม่ ๆ ในสังคมไทยร่วมสมัย และเป็นแนวทางในการศึกษา
ปรากฏการณท์ างวฒั นธรรมในเชิงคตชิ นวทิ ยา และศาสตรอ์ ่ืน ๆ ท่ีเก่ียวขอ้ ง

5.5 วิจัยเรื่อง ประเพณีประดษิ ฐ์ในชุมชนอีสำนลุ่มน้ำโขง ของ รศ.ดร. ปฐม หงสส์ วุ รรณ
การวิจัยเร่ือง “ประเพณีประดิษฐ์ในชุมชนอีสานล่มุ นา้ โขง” ในครงั้ นี้ แมจ้ ะพบส่ิงใหม่ท่ีถกู สรา้ งขึน้
ภายใตบ้ ริบทของการเปล่ียนแปลงทางสงั คมในยุคปัจจุบนั แต่ทว่าประเพณีทงั้ หมดเหล่านีต้ ่างก็มี
จดุ เรม่ิ ตน้ ท่ีเช่ือมโยงมาจากการใหค้ วามสาคญั ในเชิง “คณุ คา่ ” ตอ่ วถิ ีประเพณีวฒั นธรรมแบบชาวบา้ น
มาก่อน โดยวิธีการปรบั เปล่ียนประเพณีพืน้ บา้ นท่ีเรียกว่า “ประเพณีแบบจารีต” (customary of
tradition) ซง่ึ เคยเป็นเร่ืองราวศกั ดสิ์ ิทธิ์ทางศาสนาใหเ้ ป็นการแสดงทางวฒั นธรรมท่ีเรียกวา่ “ประเพณี
ประดษิ ฐ์” (invention of tradition) เพ่ือนาเสนอใหเ้ ห็นถึงบทบาทและหนา้ ท่ีใหมใ่ หเ้ กิดขนึ้ แก่ประเพณี

49

ท่ีไดเ้ ปล่ียนมาเป็นการใชป้ ระโยชนท์ างการเมืองวฒั นธรรม และส่งเสริมการท่องเท่ียวในบริบทของ
สงั คมสมยั ใหม่ โดยไดพ้ ยายามสรา้ งสรรค์ ดดั แปลง ปรุงแตง่ ประเพณีและพิธีกรรมใหเ้ ป็น “ประดิษฐ์
กรรมทางวฒั นธรรม” เพ่ือใชต้ อ่ รองและช่วงชิงนิยามความหมายจากการเป็นพืน้ ท่ี “เมืองชายแดน
แม่นา้ โขง” ไปส่กู ารเป็น “เมืองท่องเท่ียวแม่นา้ โขง” แทน นอกจากนี้ การสรา้ งประเพณีประดิษฐ์ใน
ชุมชนอีสานล่มุ นา้ โขงในยคุ ปัจจุบนั ยงั ส่ือใหเ้ ห็นภาพวฒั นธรรมท่ีมีความทบั ซอ้ นดว้ ย กล่าวคือ การ
สรา้ งประเพณีขึน้ มาใหมน่ นั้ สามารถส่ือใหเ้ ห็นทงั้ การเป็นเร่ืองราวเชิง “สรา้ งสรรค”์ แตข่ ณะเดียวกนั ก็
สามารถส่ือใหเ้ ห็นถึงการเป็นเร่ืองราวเชิง “พลวตั หรือการปรบั เปล่ียน” ของประเพณีในวิถีจารีตดงั้ เดิม
ไดเ้ ชน่ กนั

50

บทที่ 3
วิธีกำรดำเนินกำรวจิ ยั

งานวิจยั เร่ือง “คติชนสรา้ งสรรค”์ ในกิจกรรมบญุ ขา้ วจ่ีวาเลนไทน์ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น
ประจาปี 2563 มีวัตถุประสงคเ์ พ่ือศึกษาแนวทางการสรา้ งสรรคใ์ นกิจกรรมบุญข้าวจ่ีวาเลนไทน์
มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ ประจาปี 2563 โดยมีรายละเอียดแบบแผนการวิจยั ดงั นี้

1. ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง
2. เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการวิจยั
3. การเก็บรวบรวมขอ้ มลู
4. การวิเคราะหข์ อ้ มลู

ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง
1. ประชากร ประชากรท่ีใช้ในการวิจัยครัง้ นี้ ไดแ้ ก่ ผู้ท่ีเข้าร่วมงานบุญข้าวจ่ีวาเลนไทน์

มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น ประจาปี 2563 ซ่งึ นบั จานวนจากการลงทะเบียนเขา้ รว่ มงานและลงทะเบียนรบั
อปุ กรณท์ าขา้ วจ่ี โดยไมส่ ามารถระบอุ ายไุ ด้ สามารถจาแนกได้ ดงั นี้

1.1 ผบู้ รหิ ารมหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น
1.2 นกั ศกึ ษามหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่
1.3 ชาวบา้ นชมุ ชนสาวะถี
1.4 คนท่วั ไป
รวมกลมุ่ ประชากรทงั้ หมด 719 คน


Click to View FlipBook Version