การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่องเลขยกกำลัง โดยใช้การเรียนรู้ แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 THE STUDY OF LEARNING ACHIEVEMENT FROM THE MATHEMATICS LESSON ON EXPONENT BY USING TGT COOPERATIVE LEARNING OF MATHAYOMSUKSA 1 STUDENTS วรกมล คำชนะ รายงานการวิจัยฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ปริญญาครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ประจำปีการศึกษา 2565 ลิขสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่องเลขยกกำลัง โดยใช้การเรียนรู้ แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 THE STUDY OF LEARNING ACHIEVEMENT FROM THE MATHEMATICS LESSON ON EXPONENT BY USING TGT COOPERATIVE LEARNING OF MATHAYOMSUKSA 1 STUDENTS วรกมล คำชนะ รายงานการวิจัยฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ปริญญาครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ประจำปีการศึกษา 2565 ลิขสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
คณะกรรมการบริหารหลักสูตรครุศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาคณิตศาสตร์ อนุมัติให้นับ รายงานการวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรครุศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาคณิตศาสตร์ …………………………………………………………ประธานสาขาวิชาคณิตศาสตร์ (รองศาสตราจารย์ ดร.สมชาย วรกิจเกษมสกุล) วันที่...................เดือน...................................พุทธศักราช 2565 คณะกรรมการที่ปรึกษา ……………………………………………………………อาจารย์ที่ปรึกษา (รองศาสตราจารย์ ดร.สมชาย วรกิจเกษมสกุล) ……………………………………………………………อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. มณีญา สุราช) ……………………………………………………………อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภวิศา พงษ์เล็ก) หัวข้องานวิจัยในชั้นเรียน การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่องเลขยกกำลัง โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีมของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัย นางสาววรกมล คำชนะ อาจารย์ที่ปรึกษา รองศาสตราจารย์ ดร.สมชาย วรกิจเกษมสกุล อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. มณีญา สุราช ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภวิศา พงษ์เล็ก ปริญญา ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาคณิตศาสตร์ ปีการศึกษา 2565
ค บทคัดย่อ การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้การเรียนรูแบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม เรื่อง เลขยกกำลัง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กับเกณฑ์ร้อยละ 70 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ที่เรียนด้วยการ เรียนรู้โดยใช้แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม เรื่อง เลขยกกำลัง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน โดยที่กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 จำนวน 16 คน โรงเรียนอุดรธานีพิทยาคม จังหวัดอุดรธานี ที่ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม การทดลองใช้แบบแผนการ ทดลองแบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน เครื่องมือที่ใช้ในวิจัย คือ แผนการเรียนรู้โดยใช้ แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์แบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ จำนวน 20 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การ ทดสอบค่าทีแบบกลุ่มเดียว และการทดสอบทีแบบไม่อิสระ ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ที่เรียนด้วยการ เรียนรู้โดยใช้แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม ได้คะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 6.06 คะแนน คิดเป็น ร้อยละ 30.31 คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 14.36 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 71.88 และเมื่อ เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 70 พบว่า คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ ร้อยละ 70 2) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ที่เรียนด้วยการ เรียนรู้โดยใช้การเรียนรูแบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม มีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าคะแนนเฉลี่ย ก่อนเรียน หัวข้องานวิจัยในชั้นเรียน การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่องเลขยกกำลัง โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีมของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัย นางสาววรกมล คำชนะ อาจารย์ที่ปรึกษา รองศาสตราจารย์ ดร.สมชาย วรกิจเกษมสกุล อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. มณีญา สุราช ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภวิศา พงษ์เล็ก ปริญญา ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาคณิตศาสตร์ ปีการศึกษา 2565
ง Thesis Title THE STUDY OF LEARNING ACHIEVEMENT FROM THE MATHEMATICS LESSON ON EXPONENT BY USING TGT COOPERATIVE LEARNING OF MATHAYOMSUKSA 1 STUDENTS Author Miss Worakamon Khamchna Thesis Advisor Associate Professor Dr. Somchai Vorakitkasemsakul Thesis Co-Advisor Assistant Professor Dr. Maneeya Surat Assistant Professor Phawisa Ponglek Degree Bachelor of Education in Mathematics Academic Year 2022 ABSTRACT The purpose of this research were to 1) To study the learning achievement in mathematics by using TGT competitive cooperative learning of mathayomsuksa 1 students. 2) To compare the learning achievements in mathematics taught with mathematics teaching and learning activities using bymTGT competitive cooperative learning of mathayomsuksa 1 students between before and after learn. The research sample consisted of 16 mathayomsuksa 1/1 students in Udon Thani Pittaya School which is derived by cluster random sampling. This research was conduct One Group pretest – posttest design. This research instrument were lesson plan by using TGT competitive cooperative learning, Mathematics subject achievement test was multiple choice type, amount 20 items. Analyzed data by Mean, percentage, standard deviation t – test for One Sample and t – test for Dependent Sample. The research findings were as followers : 1) The student who were studied by using TGT competitive cooperative learning of mathayomsuksa 1 students had the pretest mean score of Mathematics subject achievement 6.06 points, accounting for 30.31 percent and the posttest 14.36 points, accounting for 71.88 percent which was higher than the 70 percent.
จ 2) The student who were studied by using TGT competitive cooperative learning of mathayomsuksa 1 students had the posttest mean score was higher than the pretest.
ฉ กิตติกรรมประกาศ ผลของการเรียนรู้โดยใช้แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์ เรื่อง เลขยกกำลัง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุดรธานีพิทยาคม อำเภอ เมือง จังหวัดอุดรธานี เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการวิจัยในชั้นเรียนเพื่อการศึกษาผลของการเรียนรู้ โดยใช้แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียน การทำวิจัยในครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยความร่วมมือจากนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียน อุดรธานีพิทยาคม อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานีที่ให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลและร่วมกิจกรรมการ จัดการเรียนรู้เป็นอย่างดีจึงขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ ขอขอบคุณ รองศาสตราจารย์ ดร.สมชาย วรกิจเกษมสกุล ที่ให้คำปรึกษาแนะนำอ่านและ ตรวจแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ตลอดจนให้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์และดูแลให้กำลังใจแก่ผู้วิจัยด้วยความ เอาใจใส่อย่างดีเสมอมา ผู้วิจัยรู้สึกซาบซึ้งในความกรุณาและขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้ ขอขอบคุณ ท่านผู้อำนวยการโรงเรียนสตรีราชินูทิศ ว่าที่ร้อยตรีสมประสงค์ วงษ์อุบล ท่านรองผู้อำนวยการโรงเรียน และคณะครูทุกท่าน ที่อำนวยความสะดวกและความช่วยเหลือมาโดย ตลอด ขอขอบคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พัชรินทร์ ชมภูวิเศษ และคุณครูประดิษฐ์ ศรีซุย ที่ให้คำปรึกษาในเรื่องการทำวิจัยในชั้นเรียน การวิเคราะห์ข้อมูล ตลอดจนคำชี้แนะเกี่ยวกับ กระบวนการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการแบบเปิด ท้ายนี้ ผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณบิดา มารดา รวมทั้งครอบครัว ญาติพี่น้องทุกท่าน เพื่อน ๆ ที่ให้ความช่วยเหลือ ชี้แนะ ให้กำลังใจแก่ผู้วิจัยมาโดยตลอด ขอกราบขอบพระคุณ ครู อาจารย์ทุกท่านที่ได้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้แก่ผู้วิจัยนับแต่ปฐมวัยจนถึงปัจจุบัน ผู้วิจัย ขอยกประโยชน์และคุณค่า ทั้งมวลที่เกิดจากงานวิจัยฉบับนี้ บูชาแด่บิดา มารดา ผู้มีพระคุณ และครู อาจารย์ทุกท่าน วรกมล คำชนะ
ช สารบัญ บทคัดย่อ...........................................................................................................................................ค ABSTRACT........................................................................................................................................ง กิตติกรรมประกาศ.............................................................................................................................ฉ สารบัญ..............................................................................................................................................ช สารบัญตาราง................................................................................................................................... ฌ สารบัญภาพ ..................................................................................................................................... ญ บทที่ 1 บทนำ...................................................................................................................................1 ความเป็นมาและความสำคัญของการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน ...........................................1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย.....................................................................................................3 สมมติฐานของการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน........................................................................3 ขอบเขตของการวิจัย............................................................................................................3 นิยามศัพท์เฉพาะของการวิจัย..............................................................................................4 ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย...............................................................................................4 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ............................................................................................6 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 สาระการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์(ฉบับ ปรับปรุงพุทธศักราช 2560) ..........................................................................................................7 วิธีการสอนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning)............................................................10 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์............................................................................31 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง.............................................................................................................38 กรอบแนวคิดการวิจัย.........................................................................................................40 บทที่ 3 วิธีการดำเนินการวิจัย.........................................................................................................41 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง.................................................................................................41 แบบแผนการวิจัย...............................................................................................................41 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย.....................................................................................................42 การเก็บรวบรวมข้อมูล........................................................................................................45 การวิเคราะห์ข้อมูล............................................................................................................45 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล...........................................................................................45 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล.........................................................................................................47
ซ บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ................................................................................50 วัตถุประสงค์ของการวิจัย...................................................................................................50 สมมติฐานการวิจัย.............................................................................................................50 วิธีกำเนินการวิจัย...............................................................................................................50 การเก็บรวบรวมข้อมูล........................................................................................................51 การวิเคราะห์ข้อมูล............................................................................................................51 สรุปผลการวิจัย..................................................................................................................52 อภิปรายผลการวิจัย...........................................................................................................52 ข้อเสนอแนะ......................................................................................................................54 เอกสารอ้างอิง.................................................................................................................................55 ภาคผนวก........................................................................................................................................51 ภาคผนวก ก.......................................................................................................................52 ภาคผนวก ข.......................................................................................................................59 ภาคผนวก ค......................................................................................................................69 ภาคผนวก ง.......................................................................................................................70 ภาคผนวก จ.......................................................................................................................81 ภาคผนวก ฉ.....................................................................................................................118
ฌ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 1 แบบแผนการวิจัยจำแนกตามตัวแปรตาม ..................................................................................42 2 คะแนนที่ได้ ร้อยละ คะแนนเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของผลสัมฤทธิ์การเรียนวิชา คณิตศาสตร์ ที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้รูปแบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม (TGT) เรื่อง เลขยกกำลัง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนเรียนและหลังเรียนเป็นรายบุคคล........................................47 3 คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ และการทดสอบทีแบบกลุ่มเดียว โดยเปรียบเทียบ คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 70......................................................................................49 4 คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ และการทดสอบทีแบบไม่อิสระ โดยเปรียบเทียบกับ คะแนนเฉลี่ยระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน ....................................................................................49
ญ สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า 1 กรอบแนวคิด...............................................................................................................................40
บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน คณิตศาสตร์เป็นพื้นฐานในการศึกษาขั้นสูงและวิทยาการสาขาต่างๆ และความ เจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีล้วนแต่อาศัยความรู้คณิตศาสตร์ แต่นักเรียน ส่วนมากก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จในการเรียนคณิตศาสตร์ ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากผู้สอนมักจะสอนโดย มุ่งเน้นที่เทคนิคของวิธีสอนมากกว่าแก่นสำคัญของวิธีการสอน เนื่องจากเทคนิคต่างๆ นั้นเด่นชัด มากกว่าแก่นซึ่งมักจะซ่อนอยู่ภายในการสอนขาดประสิทธิภาพ เนื่องจากผู้สอนไม่ทราบหรือไม่เข้าใจ ถึงแก่นคือองค์ประกอบและขั้นตอนที่ขาดไม่ได้ของวิธีนั้นๆ (Khammani, 2013, p. 324) ความสามารถในการแก้ปัญหาและความสามารถในการสื่อสารทางคณิตศาสตร์เป็นองค์ประกอบ สำคัญของศักยภาพทางคณิตศาสตร์ของนักเรียน เนื่องจากความสามารถในการแก้ปัญหาทาง คณิตศาสตร์จะช่วยให้นักเรียนมีแนวทางการคิดที่หลากหลาย ไม่ย่อท้อและมีความมั่นใจในการ แก้ปัญหาที่เผชิญอยู่ทั้งภายในและภายนอกห้องเรียน ตลอดจนเป็นทักษะพื้นฐานที่นักเรียนสามารถ นำติดตัวไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้นานตลอดชีวิต (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี, 2555ข: 162) และความสามารถในการสื่อสารทางคณิตศาสตร์จะช่วยส่งเสริมให้นักเรียน มีความเข้าใจในข้อเท็จจริงต่างๆโดยการปฏิบัติเพื่อนำไปสู่โอกาสที่หลากหลายในการแสดงแนวคิดของ นักเรียนผ่านการใช้วาจาหรือการเขียน (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2555ก: 17) วิชาคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่ใช้ทักษะความเข้าใจมีลักษณะเป็นนามธรรม ต้องอาศัย สติปัญญา และใช้เวลาในการฝึกฝนมาก จึงไม่สามารถทำให้ผู้เรียนเรียนไปพร้อม ๆ กันได้ ผลที่เกิด ขึ้นกับตัวผู้เรียน คือเฉพาะเด็กที่มีไหวพริบและเชาวน์ปัญญาดีเท่านั้นที่สามารถเรียนคณิตศาสตร์ได้ดี ส่วนเด็กที่เรียนอ่อนเกิดความท้อถอยและเบื่อหน่ายไม่อยากเรียน จากข้อมูลดังกล่าว การจัดการเรียน การสอนสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์จึงควรที่จะต้องมีการปรับปรุงแก้ไข ทั้งนี้องค์ประกอบที่เกี่ยวข้อง ที่ทำให้เกิดปัญหาการเรียนการสอนสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ อาจเกิดจากจิตวิทยาการสอนและ การดำเนินการสอนของครูหรือปัญหาที่เกิดจากตัวนักเรียนที่ขาดความพร้อมทางด้านร่างกายและ จิตใจ มีเจตคติที่ไม่ดีต่อวิชาคณิตศาสตร์ขาดความรู้พื้นฐานทางด้านคณิตศาสตร์ จึงแบ่งกลุ่มของ ผู้เรียนแต่ละชั้นเรียนเป็นเด็กเรียนดี ปานกลาง และอ่อน หากครูผู้สอนให้ความสนใจที่จะให้ผู้เรียนแต่ ละกลุ่มสนใจช่วยเหลือกันภายในห้องเรียนผลที่ได้รับน่าจะเป็นผลดีต่อตัวผู้เรียน ดังนั้นแนวทางที่จะ
2 ช่วยปรับพฤติกรรมการเรียนของผู้เรียนจึงขึ้นอยู่กับวิธีการสอนของครูซึ่งเป็นวิธีที่จะช่วยแก้ปัญหา ความแตกต่างระหว่างบุคคล ผู้เรียนทุกคนมีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกลุ่มเรียนดี ปาน กลาง หรืออ่อนเพื่อให้เกิดความเข้าใจในเนื้อหาที่เรียนและมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน นอกจากนี้ยัง ส่งเสริมให้กลุ่มที่เรียนดีมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อน ช่วยเหลือ ส่งเสริม สนับสนุนซึ่งกันและกัน ซึ่ง จะช่วยให้ผู้เรียนทุกคนอยู่ร่วมกันได้โดยไม่มีการแบ่งแยก ซึ่งวิธีการสอนที่จะช่วยสนับสนุนให้ผู้เรียน เกิดพฤติกรรมดังกล่าวนั้น คือ การสอนแบบร่วมมือ (พัฒนพงศ์, 2558: 3) วิธีการเรียนแบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม (Team – Games – Tournament: TGT) ผู้ที่คิดเทคนิคนี้คือ David de Vries เป็นเทคนิควิธีเรียนแบบร่วมมือวิธีหนึ่งที่จัดกิจกรรมการเรียนการ สอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยมีการจัดให้ผู้เรียนเรียนร่วมกันเป็นกลุ่มย่อย แต่ละกลุ่มมีสมาชิก 3 – 5 คน ที่มีระดับความสามารถแตกต่างกัน สมาชิกภายในกลุ่มจะศึกษาค้นคว้าและทำงานร่วมกัน นักเรียนบรรลุเป้าหมายก็ต่อเมื่อเพื่อนร่วมกลุ่มบรรลุถึงเป้าหมายนั้นร่วมกัน นักเรียนจึงมีปฏิสัมพันธ์ที่ ดีต่อกัน เพื่อช่วยเหลือ สนับสนุน กระตุ้นและส่งเสริมการทำงานของเพื่อนสมาชิกในกลุ่มให้ ประสบผลสำเร็จ นักเรียนได้อภิปราย ซักถามซึ่งกันและกันเพื่อให้เข้าใจบทเรียนหรืองานที่ได้รับ มอบหมายเป็นอย่างดีทุกคนต่อจากนั้นจะมีกิจกรรมการแข่งขันตอบปัญหาเพื่อสะสมคะแนน ความสามารถของกลุ่ม โดยนักเรียนแต่ละคนจะเป็นผู้แทนของกลุ่มในการเข้าร่วมแข่งขันตอบปัญหา ทางวิชาการกับตัวแทนของกลุ่มอื่นที่มีระดับความสามารถใกล้เคียงกันจัดเป็นกลุ่มแข่งขันขึ้นใหม่ ซึ่งมี การแข่งขันอยู่ภายในกลุ่ม เมื่อเสร็จสิ้นการแข่งขันดอบปัญหาแต่ละครั้ง นักเรียนจะกลับมาสู่กลุ่มเดิม ที่มีความสามารถแตกต่างกัน แล้วนำคะแนนที่สมาชิกในกลุ่มแต่ละคนที่สะสมได้จากการตอบปัญหา มารวมกันเป็นคะแนนเฉลี่ยของกลุ่ม กลุ่มใดทำคะแนนได้สูงถึงเกณฑ์ที่กำหนดจะได้รับรางวัล ดังนั้น เพื่อกระตุ้นผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้และเข้าใจในเนื้อหาวิชาเรียนจึงมีขั้นตอนในการจัดกิจกรรม 4 ขั้น ได้แก่ ขั้นที่ 1 การนำเสนอบทเรียนต่อทั้งชั้น (Class Presentation) ครูจะทำการสอบเนื้อหาของ บทเรียนตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่จัดทำขึ้น ขั้นที่ 2 การเรียนกลุ่มย่อย (Team Study โดย แบ่งกลุ่มนักเรียนกลุ่มละ5 คน ซึ่งมีความสามารถแตกต่างกันทางการเรียน (อ่อน ปานกลาง เก่ง) ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มศึกษาบัตรเนื้อหา ทำแบบฝึกหัด และตรวจคำตอบจากบัตรเฉลย ขั้นที่ 3 การ เล่นเกมแข่งขันทางวิชาการ (Game Tournament) การแข่งขันตอบคำถามเกี่ยวกับเนื้อหาของ บทเรียน เกมประกอบด้วยผู้เล่น 5 คน ซึ่งแต่ละคนจะเป็นตัวแทนของกลุ่มย่อยแต่ละกลุ่ม การเล่น เกมจะยึดหลักนักเรียนที่มีความสามารถเท่าเทียมกันแข่งขันกัน ขั้นที่ 4 ยกย่องทีมที่ประสบผลสำเร็จ (Team Recognition) การประกาศผลคะแนนการแข่งขัน คิดจากคะแนนของสมาชิกที่ไปแข่งขัน นำมาเฉลี่ย เป็นคะแนนเทียบกับเกณฑ์ มอบเกียรติบัตรทีมที่ชนะ (พัฒนพงศ์, 2558: 4) จากความสำคัญและสภาพปัญหาการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ที่ระบุดังข้างต้น ดังนั้น ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษา เรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์
3 เรื่องเลขยกกำลัง โดยใช้การเรียนรู้โแบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เพื่อที่จะได้นำกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ไปใช้ในการพัฒนาเยาวชนในประเทศไทยให้ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ วัตถุประสงค์ของการวิจัย ผู้วิจัยได้กำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัยดังนี้ 1. เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์โดยใช้การเรียนรู้โแบบร่วมมือแบบ แข่งขันเป็นทีม เรื่อง เลขยกกำลัง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กับเกณฑ์ ร้อยละ 70 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ที่เรียนด้วยการเรียนรู้โดยใช้ แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม เรื่อง เลขยกกำลัง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างก่อน เรียนกับหลังเรียน สมมติฐานของการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน ผู้วิจัยได้กำหนดสมมติฐานของการวิจัยดังนี้ 1. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เลขยกกำลังที่เรียนด้วยการเรียนรู้โดยใช้แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนด้วยการจัดการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์โดย ใช้การเรียนรู้โดยใช้แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม เรื่อง เลขยกกำลัง มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ขอบเขตของการวิจัย ผู้วิจัยได้กำหนดขอบเขตของการวิจัยดังนี้ 1. ประชากร เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในโรงเรียนอุดรธานีพิทยาคมแห่งหนึ่ง ในจังหวัดอุดรธานี จำนวน 52 คน 2. ตัวแปรในการวิจัยมีดังนี้ 2.1 ตัวแปรต้น คือ กิจกรรมการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์โดยใช้การเรียนรู้โดยใช้ แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม 2.2 ตัวแปรตาม คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์
4 3. เนื้อหาสาระวิชาคณิตศาสตร์ในการวิจัยมีดังนี้ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ วิชาคณิตศาสตร์ หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เลขยกกำลัง ประกอบด้วย 3.1 ความหมายของเลขยำกำลัง จำนวน 2 ชั่วโมง 3.2 การคูณและการหารเลขยกกำลัง จำนวน 4 ชั่วโมง 3.3 สัญกรณ์วิทยาศาสตร์ จำนวน 2 ชั่วโมง 4. ระยะเวลาของการวิจัย ในการทำวิจัยภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ใช้เวลา 8 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 3 ชั่วโมง 2 สัปดาห์ 2 ชั่วโมง นิยามศัพท์เฉพาะของการวิจัย ผู้วิจัยได้กำหนดนิยามศัพท์เฉพาะของการวิจัยดังนี้ 1. การเรียนรู้โดยใช้แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม หมายถึง เป็นกระบวนการเรียนที่เป็น การนำเสนอเนื้อหาหรือบทเรียนใหม่ รูปแบบการนำเสนอมีลักษณะเป็นการบรรยาย อภิปราย อาจจะ มีสื่อการเรียนรู้อื่นๆ ประกอบด้วยก็ได้ เทคนิค TGT จะแตกต่างจากเทคนิคอื่นๆ ตรงที่ผู้สอนต้องเน้น ให้ผู้เรียนทราบว่าผู้เรียนนั้นจะต้องให้ความสนใจมากในเนื้อหาสาระ เพราะจะช่วยให้ทีมประสบ ความสำเร็จในการแข่งขัน วิธีนี้เหมาะสมกับการเรียนรู้ในวิชาพื้นฐานที่สามารถถามตอบที่มีคำตอบที่ แน่นนอนตายตัว แต่ไม่เหมาะกับบางวิชา และยังเป็นเทคนิครูปแบบหนึ่งในการสอนแบบร่วมมือและมี ลักษณะของกิจกรรมคล้ายกันกับ STAD แต่เพิ่มเกมและการแข่งขันเข้ามาด้วย เหมาะสำหรับการ จัดการเรียนการสอนในจุดประสงค์ที่มีคำตอบถูกต้องเพียงคำตอบเดียว 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ หมายถึง ความรู้ของผู้เรียนที่เกิดขึ้นจากการใช้ การเรียนการสอน เรื่อง เลขยกกำลัง ที่วัดโดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย ผู้วิจัยได้ระบุประโยชน์ที่จะได้รับจากการวิจัย ดังนี้ 1. ครูผู้วิจัยได้รับองค์ความรู้เกี่ยวกับการสร้างและพัฒนาการเรียนรู้โดยใช้แบบร่วมมือแบบ แข่งขันเป็นทีม ในวิชาคณิตศาสตร์ที่นำมาใช้ในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ และทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ 2. ผู้เรียนได้รับการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์และทักษะและ กระบวนการทางคณิตศาสตร์โดยใช้การเรียนรู้โดยใช้แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม
5 3. ครูผู้สอนวิชาคณิตศาสตร์ได้รับแนวทางเกี่ยวกับการใช้นวัตกรรมการเรียนรู้การออกแบบแผนการ เรียนรู้โดยใช้แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม ในวิชาคณิตศาสตร์เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์และทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เลขยกกำลัง ที่เรียนด้วยการ เรียนรู้โดยใช้แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ ดำเนินการค้นคว้า ศึกษาเอกสาร ตำรา บทความ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องและรวบรวมเอกสารตามลำดับ ดังนี้ 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 สาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ (ฉบับปรับปรุงพุทธศักราช 2560) 1.1 ทำไมต้องเรียนคณิตศาสตร์ 1.2 เรียนรู้อะไรในคณิตศาสตร์ 1.3 สาระและมาตรฐานการเรียนรู 1.4 ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ 1.5 คุณภาพผู้เรียน 2. วิธีสอนรูปแบบร่วมมือ (Cooperative Leaning) 2.1 ความหมาย 2.2 ความสำคัญ 2.3 ทฤษฎี แนวคิด และหลักการเรียนรู้แบบร่วมมือ 2.4 รูปแบบของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ 2.5 ประโยชน์ของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ 2.6 ขั้นตอนของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ 2.7 เทคนิคกลุ่มแข่งขัน (Teams-Games-Tournament: TGT) 2.7.1 ความหมายของเทคนิคกลุ่มแข่งขัน 2.7.2 องค์ประกอบของเทคนิคกลุ่มแข่งขัน 2.7.3 ขั้นตอนของเทคนิคกลุ่มแข่งขัน 2.7.4 การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคกลุ่มแข่งขัน
7 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ 3.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3.3 คุณลักษณะของแบบทดสอบที่ดี 3.4 แนวคิดทั่วไปในการสรางแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 5. กรอบแนวคิดการวิจัย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 สาระการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์(ฉบับ ปรับปรุงพุทธศักราช 2560) จากการศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2560 กลุ่มสาระการ เรียนรู้คณิตศาสตร์ พบว่ามีองค์ประกอบที่สำคัญ คือทําไมต้องเรียนคณิตศาสตร์ เรียนรู้อะไรใน คณิตศาสตร์สาระมาตรฐานการเรียนรู้และคุณภาพผู้เรียน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ (กระทรวงศึกษาธิการ , 2551: 1-5) 1. ทำไมต้องเรียนคณิตศาสตร์ คณิตศาสตร์มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อความสำเร็จในการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เนื่องจาก คณิตศาสตร์ช่วยให้มนุษย์มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ คิดอย่างมีเหตุผล เป็นระบบ มีแบบแผน สามารถ วิเคราะห์ปัญหาหรือสถานการณ์ได้อย่างรอบคอบและถี่ถ้วน ช่วยให้คาดการณ์ วางแผน ตัดสินใจ แก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และสามารถนําไปใช้ในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ คณิตศาสตร์ยังเป็นเครื่องมือในการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และศาสตร์อื่น ๆ อันเป็น รากฐานในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของชาติให้มีคุณภาพและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้ ทัดเทียมกับนานาชาติ การศึกษาคณิตศาสตร์จึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทันสมัย และสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม และความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เจริญก้าวหน้า อย่างรวดเร็วในยุคโลกาภิวัตน์ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560: 1) ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ (ฉบับปรับปรุงพุทธศักราช 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุงพุทธศักราช 2560) ฉบับนี้ จัดทำขึ้นโดยคำนึงถึงการส่งเสริมให้ผู้เรียนมีทักษะที่จำเป็นสำหรับการเรียนรู้ใน ศตวรรษที่ 21 เป็นสำคัญ นั่นคือการเตรียมผู้เรียนให้มีทักษะด้านด้านการคิดวิเคราะห์ การคิดอย่างมี
8 วิจารณญาณ การแก้ปัญหา การคิดสร้างสรรค์การใช้เทคโนโลยี การสื่อสารและการร่วมมือ ซึ่งจะ ส่งผลให้ผู้เรียนรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของระบบเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสภาพแวดล้อม สามารถแข่งขันและอยู่ร่วมกับประชาคมโลกได้ ทั้งนี้การจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ที่ประสบ ความสำเร็จนั้น จะต้องเตรียมผู้เรียนให้มีความพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่ง ต่าง ๆ พร้อมที่จะประกอบอาชีพ เมื่อจบการศึกษา หรือสามารถศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น ดังนั้นสถานศึกษาควรจัดการเรียนรู้ให้ เหมาะสมตามศักยภาพของผู้เรียน (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560: 1) 2. เรียนรู้อะไรในคณิตศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์จัดเป็น 3 สาระ ได้แก่ จำนวนและพีชคณิต การวัด และเรขาคณิต และสถิติและความน่าจะเป็น 2.1 จำนวนและพีชคณิต เรียนรู้เกี่ยวกับ ระบบจำนวนจริง สมบัติเกี่ยวกับจำนวจริง อัตราส่วนร้อยละ การประมาณค่า การแก้ปัญหาเกี่ยวกับจำนวน การใช้จำนวนในชีวิตจริง แบบรูป ความสัมพันธ์ฟังก์ชัน เซต ตรรกศาสตร์ นิพจน์ เอกนาม พหุนาม สมการ ระบบสมการ อสมการ กราฟ ดอกเบี้ยและมูลค่าของเงิน ลำดับและอนุกรม และการนําความรู้เกี่ยวกับจำนวนและพีชคณิต ไปใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ(กระทรวงศึกษาธิการ, 2560: 1) 3. สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระที่ 1 จำนวนและพีชคณิต มาตรฐาน ค1.1 เข้าใจความหลากหลายของการแสดงจำนวน ระบบจำนวน การดำเนินการ ของจำนวน ผลที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการ สมบัติการดำเนินการ และนําไปใช้ 4. ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์เป็นความสามารถที่จะนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการ เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทักษะ และกระบวนการทางคณิตศาสตร์ในที่นี้ เน้นที่ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ที่จำเป็นและ ต้องการพัฒนาให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน ได้แก่ความสามารถต่อไปนี้ 4.1 การแก้ปญหา เป็นความสามารถในการทำความเข้าใจปญหา คิดวิเคราะห์ วางแผน แก้ปญหา และเลือกใช้วิธีการที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงความสมเหตุสมผลของคำตอบ พร้อมทั้ง ตรวจสอบความถูกต้อง
9 4.2 การสื่อสารและการสื่อความหมายทางคณิตศาสตร์ เป็นความสามารถในการใช้รูปภาษา และสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ในการสื่อสาร สื่อความหมาย สรุปผล และนำเสนอได้อย่างถูกต้อง ชัดเจน 4.3 การเชื่อมโยง เป็นความสามารถในการใช้ความรู้ทางคณิตศาสตร์เป็นเครื่องมือในการ เรียนรู้คณิตศาสตร์ เนื้อหาต่าง ๆ หรือศาสตร์อื่น ๆ และนำไปใช้ในชีวิตจริง 4.4 การให้เหตุผล เป็นความสามารถในการให้เหตุผล รับฟังและให้เหตุผลสนับสนุน หรือ โต้แย้งเพื่อนำไปสู่การสรุป โดยมีข้อเท็จจริงทางคณิตศาสตร์รองรับ 4.5 การคิดสร้างสรรค์ เป็นความสามารถในการขยายแนวคิดที่มีอยู่เดิม หรือสร้างแนวคิด ใหม่เพื่อปรับปรุง พัฒนาองค์ความรู้ 5. คุณภาพผู้เรียน 5.1 มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับจำนวนจริง ความสัมพันธ์ของจำนวนจริง สมบัติของจำนวน จริง และใช้ความรู้ความเข้าใจนี้ในการแก้ปญหาในชีวิตจริง 5.2 มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอัตราส่วน สัดส่วน และร้อยละ และใช้ความรู้ความเข้าใจนี้ใน การแก้ปญหาในชีวิตจริง 5.3 มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเลขยกกำลังที่มีเลขชี้กำลังเป็นจำนวนเต็ม และใช้ความรู้ ความ เข้าใจนี้ในการแก้ปญหาในชีวิตจริง 5.4 มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ระบบสมการเชิงเส้นสองตัวแปร และอสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว และใช้ความรู้ความเข้าใจนี้ในการแก้ปญหาในชีวิตจริง 5.5 มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพหุนาม การแยกตัวประกอบของพหุนามสมการกำลังสอง และ ใช้ความรู้ความเข้าใจนี้ในการแก้ปญหาคณิตศาสตร์ 5.6 มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับคู่อันดับ กราฟของความสัมพันธ์ และฟงก์ชันกำลังสองและใช้ ความรู้ความเข้าใจนี้ในการแก้ปญหาในชีวิตจริง 5.7 มีความรู้ความเข้าใจทางเรขาคณิตและใช้เครื่องมือ เช่น วงเวียนและสันตรง รวมทั้ง โปรแกรม The Geometer’s Sketchpad หรือโปรแกรมเรขาคณิตพลวัตอื่น ๆ เพื่อสร้างรูปเรขา คณิต ตลอดจนนำความรู้เกี่ยวกับการสร้างนี้ไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปญหาในชีวิตจริง 5.8 มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับรูปเรขาคณิตสองมิติ และรูปเรขาคณิตสามมิติและใช้ความรู้ ความเข้าใจนี้ในการหาความสัมพันธ์ระหว่างรูปเรขาคณิตสองมิติ และรูปเรขาคณิตสามมิติ 5.9 มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องพื้นที่ผิวและปริมาตรของปริซึม ทรงกระบอก พีระมิดกรวย และ ทรงกลม และใช้ความรู้ความเข้าใจนี้ในการแก้ปญหาในชีวิตจริง
10 5.10 มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสมบัติของเส้นขนาน รูปสามเหลี่ยมที่เท่ากันทุกประการรูป สามเหลี่ยมคล้าย ทฤษฎีบทพีทาโกรัสและบทกลับ และนำความรู้ความเข้าใจนี้ไปใช้ในการแก้ปัญหา ในชีวิตจริง 5.11 มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการแปลงทางเรขาคณิต และนำความรู้ความเข้าใจนี้ไปใช้ใน การแก้ปญหาในชีวิตจริง 5.12 มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องอัตราส่วนตรีโกณมิติ และนำความรู้ความเข้าใจนี้ไปใช้ในการ แก้ปญหาในชีวิตจริง 5.13 มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องทฤษฎีบทเกี่ยวกับวงกลม และนำความรู้ความเข้าใจนี้ไปใช้ใน การแก้ปญหาคณิตศาสตร์ 5.14 มีความรู้ความเข้าใจทำงสถิติในการนำเสนอข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล และแปลความหมาย ข้อมูล ที่เกี่ยวข้องกับแผนภาพจุด แผนภาพต้นใบ ฮิสโทแกรม ค่ากลางของข้อมูลและแผนภาพกล่อง และใช้ความรู้ความเข้าใจนี้ รวมทั้งนำสถิติไปใช้ในชีวิตจริงโดยใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม 5.15 มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความน่าจะเป็นและใช้ความรู้ความเข้าใจนี้ในการแก้ปัญหาใน ชีวิตจริง วิธีการสอนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) 1. ความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ การเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning เป็นวิธีการเรียนที่มีการจัดกลุ่มการทำงาน เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และเพิ่มพูนแรงจูงใจทางการเรียน ซึ่งได้มีนักการศึกษาหลายท่านให้ความหมาย ของการเรียนแบบร่วมมือไว้ต่าง ๆ กัน ดังนี้ เสริมศรี ไชยศร (2539, หน้า 164) ได้กล่าวถึงการเรียนร่วมมือไว้ว่า เป็นการเรียนรู้วิธีการ ทำงานเป็นกลุ่มในลักษณะต่าง ๆ คือสมาชิกแต่ละคนมีบทบาทในกลุ่ม และต้องร่วมกันรับผิดชอบใน การดำเนินกิจการของกลุ่ม ทุกคน ได้รับผลที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือกันนั้นอย่างยุติธรรม ความรู้สึกที่ เป็นกลุ่มต้องช่วยเหลือสมาชิกในกลุ่มให้ดำเนินการให้ดีที่สุดเพื่อประโยชน์ของกลุ่มและตนเอง สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ (2540, หน้า 84) ได้กล่าวว่า การเรียนแบบ ร่วมมือเป็นวิธีการเรียนที่เน้นการจัดสภาพแวดล้อมทางการเรียนให้นักเรียนได้เรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่ม เล็ก ๆ แต่ละกลุ่มประกอบด้วยสมาชิกที่มีความรู้ความสามารถที่แตกต่างกันแต่ละคน จึงต้องมีส่วน ร่วมอย่างแห้จริงในการเรียนรู้และความสำเร็จของกลุ่มทั้งโดยการแลกเปลี่ยนความคิด การแบ่งปัน
11 ทรัพยากรการเรียนรู้ รามทั้งเป็นกำลังใจแก่กันและกัน คนที่เรียนเก่งจะช่วยเหลือคนที่เรียนอ่อนกว่า สมาชิกในกลุ่มจะรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของทุกคนในกลุ่มเท่ากัน ความสำเร็จ ของแต่ละบุคคลคือ ความสำเร็จของกลุ่ม ปลื้มจิต สุขเกษม (2540, หน้า 5) ให้ความหมายการเรียนแบบร่วมมือไว้ว่าเป็นการเรียน โดย การจัดให้ผู้เรียนได้เรียนหรือทำงานร่วมกันในกลุ่มย่อยที่คละความสามารถมีการแลกเปลี่ยนความ คิดเห็นซึ่งกันและกัน โดยมีเป้าหมายของกลุ่มร่วมกัน เบญจมาศ ชูน้ำเที่ยง (2541, หน้า 15) ให้ความหมายการเรียนด้วยวิธีแบบร่วมมือไว้ว่า คือ การจัดประสบการณ์การเรีขนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนทำงานร่วมกัน เป็นกลุ่มคละความสามารถ สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียน มีหน้าที่จะต้องช่วยเหลือกลุ่มให้สามารถดำเนินกิจกรรม จนบรรลุผลสำเร็จ รวมทั้งมีความรับผิดชอบต่อการเรียนของตนเองและเรียนรู้วิธีการปฏิบัติงาน ร่วมกับผู้อื่น จันทรา ตันติพงศานุรักษ์ (2543, หน้า 37) ได้กล่าวไว้ว่า การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้นักเรียน ได้เรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ แต่ละกลุ่มประกอบด้วยสมาชิกที่มีความรู้ความสามารถแตกต่างกันโดยแต่ละคนมีส่วนร่วมในการ เรียนรู้ และในความสำเร็จของกลุ่มอย่างแท้จริงโดยการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การแบ่งปัน ทรัพยากรการเรียนรู้ ตลอดจนเป็นกำลังใจซึ่งกันและกัน คนที่เรียนเก่งจะช่วยเหลือคนที่อ่อนกว่า สมาชิกในกลุ่ม ไม่เพียงแต่รับผิดชอบการเรียนรู้ของตัวเองเท่านั้น แต่จะต้องรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ ของเพื่อนสมาชิกทุกคนในกลุ่มความสำเร็จของสมาชิกทุกคนในกลุ่มคือความสำเร็จของกลุ่มด้วย ทิศนา แขมมณี (2545, หน้า 98) กล่าวว่า การเรียนรู้แบบร่วมมือ คือการเรียนรู้เป็นกลุ่มย่อย โดยมีสมาชิกในกลุ่มที่มีความสามารถแตกต่างกันประมาณ 3-6 คนช่วยกันเรียนรู้เพื่อไปสู่เป้าหมาย ของกลุ่ม วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2543, หน้า 38 ) ได้กล่าวถึง ความหมาย การเรียนแบบร่วมมือไว้ว่า การเรียนแบบร่วมมือเป็นวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นการจัดสภาพแวดล้อมทางการ เรียนให้แก่ผู้เรียนได้เรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ แต่ละกลุ่มประกอบด้วยสมาชิกที่มีความรู้ ความสามารถแตกต่างกัน โดยที่แต่ละคนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการเรียนรู้และในความสำเร็จ ของกลุ่ม ทั้งโดยการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การแบ่งปันทรัพยากรการเรียนรู้รวมทั้งการเป็นกำลังใจ แก่กันและกัน คนที่เรียนเก่งจะช่วยเหลือ คนที่อ่อนกว่า สมาชิกในกลุ่มไม่เพียงแต่รับผิดชอบต่อการ เรียนของตนเองเท่านั้น หากแต่จะต้องรวมรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของเพื่อนสมาชิกทุกคนในกลุ่ม สำเร็จของแต่ละบุคคล คือความสำเร็จของกลุ่ม
12 สมศักดิ์ ภูวิภาดาวรรธน์ (2554, หน้า 3) กล่าวไว้ว่า การเรียนแบบร่วมมือเป็นวิธีการเรียนที่มี การจัดกลุ่มการทำงานเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ และเพิ่มพูนแรงจูงใจทางการเรียนการเรียนแบบร่วมมือ ไม่ใช่วิธีการจัดนักเรียนเข้ากลุ่มกันแบบธรรมดา แต่เป็นการรวมกลุ่มอย่างมีโครงสร้างที่ชัดเจน คือ สมาชิกแต่ละคนในทีมจะมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันในการเรียนรู้และสมาชิกทุกคนจะได้รับการกระตุ้นให้เกิด แรงจูงใจ เพื่อที่จะช่วยเหลือและเพิ่มพูนการเรียนรู้ของสมาชิกในทีม สมบัติ การจนารักษ์พงศ์ (2547, หน้า 5) ได้ให้ความหมายของการเรียนแบบร่วมมือไว้ว่า เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนร่วมมือและ ช่วยเหลือกันในการเรียนรู้โดยแบ่งนักเรียน ออกเป็นกลุ่มเล็ก 1 4-5 คน ที่มีความสามารถแตกต่างกัน ทำงานร่วมกันเพื่อเป้าหมายกลุ่ม สมาชิกมี ความสัมพันธ์กันในทางบวก มีปฏิสัมพันธ์ส่งเสริมซึ่งกันและกันรับผิดชอบร่วมกันทั้งในส่วนตนและ ส่วนรวม ผลงานของกลุ่มขึ้นอยู่กับผลงานของสมาชิกแต่ละคนในกลุ่ม ความสำเร็จของแต่ละคนคือ ความสำเร็จของกลุ่ม ความสำเร็จของกลุ่มคือความสำเร็จของทุกคน จอห์นสันและจอห์นสัน (Deutsch, 1962; Johnson and Johnson, 1991) กล่าวว่า การร่วมมือกันคือ การทำงานร่วมกันภายในกิจกรรมที่ทำร่วมกันนี้ แต่ละคนจะแสวงหาผลลัพธ์ที่เป็น ประโยชน์ต่อตนเองและเป็นประโยชน์ต่อสมาชิกคนอื่น การเรียนรู้แบบร่วมมือใช้ในการสอนกลุ่มเล็กๆ ที่ให้นักเรียนทำงานร่วมกันเพื่อให้เกิดประโยชน์ในการเรียนสูงสุดแก่ตนเองและกันและกัน ใน สถานการณ์การเรียนรู้แบบร่วมมือจะมีการพึ่งพากันทางบวก (positive interdependence)ในการ มุ่งผลสำเร็จของผู้เรียน (กรมวิชาการ, 2546, หน้า 10) สลาวิน (Slavin 1987, p. 4) กล่าวว่า การเรียนแบบร่วมมือ หมายถึง วิธีการสอนอีกแบบ หนึ่ง ซึ่งกำหนดให้นักเรียนที่มีความสามารถต่างกัน ทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ โดยปกติจะมี 4 คน เป็นนักเรียนที่เรียนเก่ง 1 คน เรียนปานกลาง 2 คนและเรียนอ่อน 1 คน การทดสอบแบ่งเป็น 2 ตอน ตอนแรกหาค่าเฉลี่ยของทั้งกลุ่ม ส่วนครั้งที่ สอง พิจารณาคะแนนทดสอบเป็นรายบุคคล การเรียนรู้ แบบร่วมมือเป็นการเรียนรู้ที่นักเรียนต้องเรียนร่วมกัน รับผิดชอบงานของกลุ่มร่วมกัน โดยที่กลุ่มจะ ประสบความสำเร็จได้ เมื่อสมาชิกทุกคนได้เรียนรู้ บรรลุตามจุดมุ่งหมายเช่นเดียวกัน นั่นคือการเรียน เป็นกลุ่ม หรือ เป็นทีมอย่างมีประสิทธิภาพ กรมวิชาการ (2544, หน้า 4 ) กล่าวสรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ หมายถึงการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนที่แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ ส่งเสริมให้นักเรียนทำงานร่วมกัน โดย ในกลุ่มประกอบด้วยสมาชิกที่มีความสามารถแตกต่างกันมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นมีการ ช่วยเหลือพึ่งพาซึ่งกันและกัน และมีความรับผิดชอบร่วมกัน ทั้งในส่วนตนและส่วนรวม เพื่อให้ตนเอง และสมาชิกทุกคนในกลุ่มประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนด ซึ่งการจัดการเรียนรู้ดังกล่าวมี
13 ความหมายตรงกันข้ามกับการเรียนที่เน้นการแข่งข้น (competitive Learning) และการเรียนตาม ลำพัง ( Individualized Learning ) อาภรณ์ ใจเที่ยง (2546, หน้า 121) กล่าวว่า เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้เรียนมีความรู้ ความสามารถต่างกัน ได้ร่วมมือกันทำงานกลุ่มด้วยความตั้งใจแลเต็มใจรับผิดชอบในบทบาทหน้าที่ใน กลุ่มของตน ทำให้งานของกลุ่มดำเนินไปสู่เป้าหมายของงานได้ สุวิทย์ มูลคำ และอรทัย มูลคำ (2545, หน้า 134) การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ หมายถึง กระบวนการเรียนรู้ที่จัดให้ผู้เรียน ได้ร่วมมือและช่วยเหลือกันในการเรียนรู้โดยแบ่งกลุ่มผู้เรียนที่มี ความสามารถต่างกันออกเป็นกลุ่มเล็กๆ ซึ่งเป็นลักษณะการรวมกลุ่มที่มีโครงสร้างชัดเจน มีการทำงาน ร่วมกัน มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีการช่วยเหลือพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน มีความรับผิดชอบ ร่วมกันทั้งในส่วนตนและส่วนรวม เพื่อให้ตนเองและสมาชิกทุกคนในกลุ่มประสบความสำเร็จตาม เป้าหมายที่กำหนดไว้ วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2549, หน้า 45) การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ หมายถึงเป็นวิธีการ จัดการเรียนรู้ที่เน้นการสอนที่จัดสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนได้เรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ แต่ละกลุ่มประกอบด้วยสมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถต่างกัน โดยแต่ละคนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงใน การเรียนรู้และในความสำเร็จของกลุ่มทั้งโดยการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การแบ่งปันทรัพยากรการ เรียนรู้รวมทั้งเป็นกำลังใจกันและกัน คนที่เรียนเก่งจะช่วยคนที่เรียนอ่อน จากความหมายที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า การเรียนแบบร่วมมือเป็น การจัดกิจกรรมการ เรียนการสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Child Center) โดยแบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มเล็กๆ สมาชิกใน กลุ่มมีความแตกต่างกันทั้งอายุ เพศ และความรู้ความสามารถ แต่มีเป้าหมายในการเรียนร่วมกัน สมาชิกในกลุ่มมีบทบาทที่ชัดเจนในการเรียนหรือการทำกิจกรรมอย่างเท่าเทียมกัน และได้เรียนรู้ไป พร้อม ๆ กัน ภายในกลุ่มมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง ได้พัฒนาทักษะความร่วมมือในการ ทำงานกลุ่ม สามารถสื่อสารกันและร่วมกันปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมาย (อรนุชลิมตศิริ, 2546, หน้า 143) สมาชิกในกลุ่มมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น ตรวจสอบผลงานขณะเดียวกัน ก็ต้องช่วยกัน รับผิดชอบการเรียนรู้ในงานทุกขั้นตอนของสมาชิกกลุ่ม ซึ่งนักเรียนจะบรรลุถึงเป้าหมายของการ เรียนรู้ได้ก็ต่อเมื่อสมาชิกคนอื่นๆ ในกลุ่มไปถึงเป้าหมายเช่นเดียวกันดังนั้น นักเรียนจึงต้องช่วยเหลือ พึ่งพา และสนับสนุนเพื่อนทุกคนในกลุ่มให้ประสบผลสำเร็จและบรรลุเป้าหมายร่วมกัน (สุวิทย์ มูลคำ และอรทัย มูลคำ, 2545, หน้า 134) โดยแต่ละคนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการเรียนรู้และใน ความสำเร็จของกลุ่มทั้งโดยการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การแบ่งปันทรัพยากรการเรียนรู้รวมทั้งเป็น กำลังใจกันและกัน คนที่เรียนเก่งจะช่วยคนที่เรียนอ่อน
14 2. ความสำคัญของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ความสำคัญของการเรียนแบบร่วมมือตามสภาพความเป็นจริงในปัจจุบันการจัดชั้นเรียนทุก ระดับส่วนใหญ่จะจัดแบบสหศึกษา กล่าวคือ ห้องเรียนหนึ่ง ๆ จะประกอบด้วยนักเรียนชายและ นักเรียนหญิง อีกทั้งยังมีระดับความสามารถพื้นฐานทางสังคม สภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ดังนั้นการ จัดการเรียนการสอนเพื่อตอบสนองให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างเท่าเทียม และเกิดการพัฒนาในด้าน ต่าง ๆจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาแนวทางและกระบวนการต่าง ๆ มาใช้เหมาะสมกับสภาพของชั้น เรียน ซึ่งเป็นที่ขอมรับกัน โดยทั่วไปแล้วว่า กลวิธีการเรียนการสอนมีอิทธิพลสำคัญที่จะทำให้ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้ที่ดีประกอบกับสังคมไทยในปังจุบันต้องการบุคคลที่สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นให้ ประสบผลสำเร็จได้ การเรียนแบบร่วมมือเป็นการจัดสภาพการเรียนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางซึ่งเป็น ที่ขอมรับกันว่าได้ผลดี ดังที่สุพล วังสินธุ์ (2542, หน้า 41-42)ได้กล่าวไว้ว่า การเรียนที่เนั่นผู้เรียนเป็น ศูนย์กลางเปีนรูปแบบการสอนที่นักการศึกษากำลังให้ความสนใจ เพราะเป็นรูปแบบที่ชัดเจนนำไป ปฏิบัติได้ง่ายและสอดคล้องกับความสามารถและความสนใจของผู้เรียน โดยเนั้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม ใน การปฏิบัติทุกขั้นตอนจนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนการสอนที่เนผู้เรียนเป็นศูนย์กลางมี แนวคิดที่สอดคล้องกับรูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่เรียกว่า CIPPA MODEL ซึ่งมีหลักการจัด ดังนี้ 1. Construction คือ การให้ผู้เรียนสร้างความรู้ใด้ด้วยตนเอง โดยการแสวงหาข้อมูล ทำความเข้าใจ คิดวิเคราะห์ ตีความ แปลความ สร้างความหมาย สังเคราะห์ข้อมูล และสรุป ข้อความรู้ 2. Interaction คือ การให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน เรียนรู้จากกัน แลกเปลี่ยนข้อมูล ความคิดและประสบการณ์แก่กัน 3. Participation คือ การให้ผู้เรียนมึบทบาท / ส่วนร่วม ในการเรียนรู้ให้มากที่สุด 4. Process / Product คือ การให้ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการควบคู่ไปกับผลงาน / ข้อความรู้ที่สรุปได้ 5. Application คือ การให้ผู้เรียนนำความรู้ที่ได้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน การเรียนแบบร่วมมือ ถือได้ว่าขีดรูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง จัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อเน้นให้ผู้เรียนได้ฝึกค้นคว้า รวบรวมข้อมูลและสร้างสรรค์ความรู้ด้วย ตนเอง ตลอดจนฝึกตนเองให้มีวินัยและรับผิดชอบในการทำงาน ทุกคนภายในกลุ่มต้องร่วมมือกัน อย่างจริงจัง เพื่อทำให้กลุ่มประสบผลสำเร็จ
15 3. ทฤษฎี แนวคิด และหลักการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Theory of Cooperative or Collaborative Learning) การเรียนรู้แบบร่วมมือ คือ วิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นการจัดสภาพแวดล้อมทางการ เรียนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ ซึ่งจอห์นสันและจอห์นสัน (Johnson and Johnson, 1991) กล่าวว่า ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนมี 3 ลักษณะ คือ 1. ลักษณะแข่งชันกัน ผู้เรียนแต่ละคนจะพยายามเรียนให้ดีกว่าคนอื่น เพื่อให้ได้ระดับ คะแนนที่ดี ได้รับการยกย่อง หรือได้รับการตอบแทนในลักษณะต่างๆ 2. ลักษณะต่างคนต่างเรียน คือ ผู้เรียนแต่ละคนรับผิดชอบดูแลตนเองให้เกิดการเรียนรู้ ไม่ ยุ่งเกี่ยวกับผู้อื่น 3. ลักษณะร่วมมือกันช่วยเหลือกันในการเรียนรู้ ผู้เรียนแต่ละคนรับผิดชอบในการเรียนของ ตน ในขณะเดียวกันก็ต้องช่วยให้สมาชิกคนอื่นเรียนรู้ให้ประสบความสำเร็จด้วย (กรมวิชาการ, 2546, หน้า 15) แนวคิดของการเรียนแบบร่วมมือ แนวคิดการเรียนการสอนของการเรียนรู้แบบร่วมมือ พัฒนาขึ้น โดยอาศัยหลักการเรียนรู้ แบบร่วมมือของจอห์นสัน และจอห์นสัน ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ผู้เรียนควรร่วมมือกันในการเรียนรู้มากกว่า การแข่งขัน พราะการแข่งขันก่อให้เกิดสภาพการณ์ของการแพ้-ชนะต่างจากการร่วมมือกัน ซึ่ง ก่อให้เกิดสภาพการณ์ของการชนะ-ชนะ อันเป็นสภาพการณ์ที่ดีกว่าทั้งทางค้านจิตใจและสติปัญญา ซึ่งมีหลักการเรียนรู้ ร ประการ ดังนี้ 1. การเรียนรู้ต้องอาศัยการพึ่งพากัน (Positive Interdependence) โดยถือว่าทุกคนมี ความสำคัญเท่าเทียมกัน และจะต้องพึ่งพากันเพื่อความสำเร็จร่วมกัน 2. การเรียนรู้ที่ดีต้องอาศัยการหันหน้าเข้าหากัน มีปฏิสัมพันธ์กัน (Face to Face Interaction) เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ข้อมูล และการเรียนรู้ต่าง ๆ 3. การเรียนรู้ร่วมกันต้องอาศัยทักษะทางสังคม (Social Skills) โดยเฉพาะทักษะในการ ทำงานร่วมกัน 4. การเรียนรู้ร่วมกันควรมีการวิเคราะห์กระบวนการกลุ่ม (Group Processing) ที่ใช้ใน การทำงาน 5. การเรียนรู้ร่วมกันจะต้องมีผลงานหรือผลสัมฤทธิ์ทั้งรายบุคคลและรายกลุ่มที่สามารถ ตรวจสอบและวัดประเมินได้ (Individual Accountability) หากผู้เรียนมีโอกาสได้เรียนรู้แบบร่วมมือ กัน นอกจากจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ทางด้านเนื้อหาสาระต่าง 1 ได้กว้างขึ้นและลึกซึ้งขึ้นแล้ว
16 ยังช่วยพัฒนาผู้เรียนทางด้านสังคมและอารมณ์มากขึ้นด้วยรวมทั้งมีโอกาสได้ฝึกฝนพัฒนาทักษะ กระบวนการต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตอีกมาก(ทิศนา แขมมณี, 2545, หน้า 263) หลักการจัดการเรียนการสอน 1. จัดเป็นรูปแบบการเรียนที่เน้นกระบวนการกลุ่ม โดยยึดตัวผู้เรียนเป็นศูนย์กลางเพื่อเปิด โอกาสให้ผู้เรีขนร่วมกิจกรรมอย่างทั่วถึง กล้ำแสดงความคิดเห็นร่วมกันภายในกลุ่มทำให้เกิดความ พร้อม และมีความกระตือรือร้นในการเรียน 2. ฝึกความเป็นประชาธิปไตยภายในกลุ่ม เริ่มตั้งแต่มีการเลือกประธาน เลขานุการการ แสดงความคิดเห็น และถือมติของสมาชิกในกลุ่มเป็นสำคัญ ในเรื่องของการร่วมกิจกรรมกลุ่มสมาชิกมี โอกาสได้เรียนรู้จากกลุ่มให้มากที่สุด ยืดกลุ่มเป็นแหล่งความรู้และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและ กัน 3. สมาชิกทุกคนในกลุ่มย่อยมีความแตกต่างกันทั้งทางร่างกาย อารมณ์ สังคมและ สติปัญญา แต่เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการทำงานทุกคนต้องปรับตัวเข้าหากัน 4. การสร้างความสัมพันธ์อันดีภายในกลุ่ม ย่อมก่อให้เกิดความร่วมมือในการทำงานอันจะ นำไปสู่ความสำเร็จของผลงานที่ไม่ใช่เกิดจากสมาชิกเพียงคนใดคนหนึ่ง แต่ขึ้นอยู่กับความสามัคคีและ ความร่วมมือกันคิดของทุกคน (อัญธิฌา มีวรรณ์, 2543, หน้า 13-14) ลักษณะและองค์ประกอบของการเรียนรู้แบบร่วมมือ การจัดเรียนรู้แบบร่วมมือ ต้องคำนึงถึงองค์ประกอบที่สำคัญต่อไปนี้ในการให้ผู้เรียนได้ เรียนรู้ร่วมกัน หรือการทำงานกลุ่ม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด 1. การพึ่งพาอาศัยและเกื้อกูลกัน (Positive Interdependence) จอห์นสันและจอห์นสัน (Johnson and Johnson, 1994 , pp. 31-37) ได้กล่าวว่า กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือจะต้องมีความตระหนักว่า สมาชิกกลุ่มทุกคนมีความสำคัญ และ ความสำเร็จของกลุ่มขึ้นอยู่กับสมาชิกทุกคนในกลุ่ม ในขณะเดียวกันสมาชิกแต่ละคนจะประสบ ผลสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อกลุ่มประสบผลสำเร็จ ดังนั้นผู้เรียนแต่ละคนต้องรับผิดชอบในบทบาทหน้าที่ ของตน ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า เป็นการพึ่งพากันเชิงผลลัพธ์ คือ การพึ่งพากันในด้านการได้รับผลประโยชน์ จากความสำเร็จของกลุ่มร่วมกัน ซึ่งความสำเร็จอาจจะเป็นผลงานหรือผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ กลุ่มก็ได้ซึ่งต้องจัดกิจกรรมให้นักเรียนมีเป้าหมายร่วมกันจึงจะเกิดแรงจูงใจให้มีการพึ่งพาซึ่งกันและ กันที่สำคัญ จอห์นสันและจอห์นสัน (Johnson and Johnson, 1994, pp. 31-37) กล่าวว่า สมาชิก ทุกคนมีการใช้วัสดุอุปกรณ์ร่วมกัน (Positive resource interdependence) มีการมอบหมาย บทบาทหน้าที่ในการทำงานร่วมกันให้แต่ละคน (Positive role interdependence) และอาจเรียก ได้ว่าเป็นการพึ่งพากันเชิงวิธีการ คือ การพึ่งพากันในด้านกระบวนการทำงานเพื่อให้งานกลุ่มสามารถ
17 บรรลุได้ตามเป้าหมาย ถ้าสมาชิกคนใดคนหนึ่งทำงานของตนไม่สำเร็จ จะทำให้สมาชิกคนอื่นไม่ สามารถทำงานส่วนที่ต่อเนื่องได้ เพราะทุกคนต้องนำข้อมูลมารวมกันจึงจะทำให้งานสำเร็จได้ 2.การปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิดระหว่างสมาชิกในกลุ่ม (Face – to – face interaction) วรรณทิพา รอดแรงค้า (2541, หน้า 141-144) กล่าวว่า เป็นการจัดผู้เรียนเข้ากลุ่ม ใน ลักษณะคละกันทั้งเพศ อายุ ความสามารถ ความสนใจ หรืออื่นๆ เพื่อส่งเสริมการเรียนละความสำเร็จ ของกันและกันโดยการช่วยเหลือสนับสนุน กระตุ้น ยกย่อง ความมานะพยายามของกันและกัน การ ปฏิสัมพันธ์ภายในกลุ่ม มีผลตามมา คือ มีกิจกรรมทางปัญญาและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเกิดขึ้น โดยอธิบายว่า จะแก้ปัญหาอย่างไร หรืออธิบายว่าสิ่งที่เรียนอยู่ในปัจจุบันเชื่อมโยงกับสิ่งที่เรียนมาแล้ว อย่างไร ลักษณะและรูปแบบทางสังคม มีโอกาสเกิดขึ้นได้จากการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ความ รับผิดชอบกับกลุ่มเพื่อน มีการตอบสนองด้วยคำพูด เป็นข้อมูลย้อนกลับให้กับสมาชิกในกลุ่ม รวมทั้ง ปฏิสัมพันธ์จะช่วยให้งานสำเร็จและเมื่องานเสร็จก็จะทำให้สมาชิกแต่ละคนได้ความรู้ สำหรับ จอห์น สั่นและจอห์นสัน (Johnson and Johnson, 1994, pp.31-37)กล่าวว่า การเรียนแบบร่วมมือ มี ลักษณะการจัดกลุ่มขนาดเล็กประกอบด้วยสมาชิกระหว่าง 2 – 6 คน ซึ่งขึ้นอยู่กับเทคนิคที่ใช้ในการ จัดกิจกรรม สมาชิกในกลุ่มต้องมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเพื่อให้กลุ่มบรรลุเป่าหมาย สมาชิกกลุ่มจะห่วงใย ไว้วางใจ ส่งเสริมและช่วยเหลือกันและในการทำงานต่างๆ ร่วมกัน ส่งผลให้เกิด สัมพันธภาพที่ดีต่อกัน นอกจากนี้ อาภรณ์ ใจเที่ยง ยังให้ความหมายองค์ประกอบของการเรียนรู้แบบ ร่วมมือไว้ว่า สมาชิกกลุ่มได้ทำกิจกรรมอย่างใกล้ชิด มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น อธิบายความรู้แก่ กัน ถามคำถาม ตอบคำถามกันและกัน ด้วยความรู้สึกที่ดีต่อกัน (กรมวิชาการ, 2546, หน้า 122) 3. ความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละคน (Individual Accountability) จอห์นสันและจอห์นสัน (Johnson and Johnson, 1994, pp. 31-37)กล่าวว่า สมาชิกใน กลุ่มการเรียนรู้ทุกคนต้องมีหน้าที่รับผิดชอบและพยายามทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็ม ความสามารถ ไม่มีใครที่ะได้รับประโยชน์โดยไม่ทำหน้าที่ของตน ดังนั้น ต้องมีการประเมินย้อนกลับ ให้กับกลุ่ม โดย วรรณทิพา รอดแรงค้า (2541, หน้า 141-144 อ้างอิงในชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์, 2552, หน้า 185) กล่าวว่า จะต้องมีการประเมินให้กับผู้เรียน เพื่อให้แน่ใจว่าผู้เรียนแต่ละคนแสดงความรับผิดชอบ ต่องาน โดยครูจะต้องประเมินว่าสมาชิกของกลุ่มช่วยเหลืองานของกลุ่มมากน้อยแค่ไหน ให้ข้อมูล ย้อนกลับกับผู้เรียนแต่ละคนและกับกลุ่ม ไม่ไห้สมาชิกทำงานช้ำช้อนกัน พิจารณาให้แน่ใจว่าสมาชิก ทุกคนรับผิดชอบต่องาน โดยครูดูจากคะแนนสอบของผู้เรียนแต่ละคน หรือสุ่มเลือกถามคนใดคนหนึ่ง ของกลุ่ม และนอกจากนี้ยังเป็นการตรวจสอบการเรียนรู้เป็นรายบุคคล ให้สมาชิกทุกคนรายงานหรือมี โอกาสแสดงความคิดเห็นโดยทั่วถึง ตรวจสรุปผลการเรียนรายบุคคลหลังจบบทเรียน เพื่อเป็นการ
18 ประกันว่าสมาชิกทุกคนในกลุ่มรับผิดชอบทุกอย่างร่วมกับกลุ่ม ทั้งนี้สมาชิกทุกคนในกลุ่มจะต้องมี ความมั่นในและพร้อมที่จะได้รับการทดสอบเป็นรายบุคคล 4. การปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและทักษะการทำงานกลุ่มย่อย(Interpersonal and Small group Skill) หรือ ทักษะการทำงานเป้นกลุ่มหรือทักษะทางสังคม(Cooperative social skills) จอห์นสันและจอห์นสัน (Johnson and Johnson, 1994, pp. 31-37) กล่าวว่า การ เรียนรู้แบบร่วมมือจะประสบความสำเร็จได้ ต้องอาศัยทักษะที่สำคัญๆ หลายประการ เช่น ทักษะทาง สังคม ทักษะการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ทักษะการทำงานกลุ่ม ทักษะการสื่อสาร และทักษะการแก้ปัญหา ขัดแย้ง รวมทั้งการเคารพ ยอมรับ และไว้วางใจกันและกัน ซึ่งผู้สอนควรสอนและฝึกให้แก่ผู้เรียนก่อน เริ่มกิจกรรม การเรียนรู้เพื่อช่วยให้ดำเนินงานไปได้ตามเป้าหมาย นอกจากนี้ วรรณทิพา รอดแรงค้า (2541, หน้า 141-144) กล่าวว่า ผู้เรียนต้องใช้ทักษะความร่วมมือในการทำงานให้มีประสิทธิภาพ ซึ่ง ได้แก่ ทักษะการสื่อความหมาย สามารถสื่อความได้อย่างแม่นยำไม่กำกวม การแบ่งปัน การช่วยเหลือ ซึ่งกันและกัน และร่วมมือกัน ซึ่งระบุว่า การมีทักษะทางสังคม สามารถทำงานรวมกับผู้อื่นได้อย่างมี ความสุข มีความเป็นผู้นำ รู้จักตัดสินใจ สามารถสร้างความไว้วางใจ รู้จักติดต่อสื่อสาร โดยครูควรจัด สถานการณ์ที่ส่งเสริมให้นักเรียนสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ 5. กระบวนการกลุ่ม (Group Processing) อาภรณ์ ใจเที่ยง (2546, หน้า 122) ให้ความหมายว่า สมาชิกต้องรับผิดชอบต่อการ ทำงานของกลุ่ม สามารถประเมินการทำงานของกลุ่มได้ว่า ประสบผลสำเร็จมากน้อยเพียงใดเพราะ เหตุใด ต้องแก้ปัญหาที่ใดและอย่างไร เพื่อให้การทำงานกลุ่มมีประสิทธิภาพดีกว่าเดิม เป็นการฝึก กระบวนการกลุ่มอย่างเป็นกระบวนการ สำหรับ จอห์นสันและจอห์นสัน (Johnson and Johnson) กล่าวว่า การเรียนรู้แบบร่วมมือจะต้องมีการวิเคราะห์กระบวนการทำงานของกลุ่มเพื่อช่วยให้กลุ่มเกิด การเรียนรู้และปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้น การวิเคราะห์กระบวนการกลุ่มเป็นยุทธวิธีหนึ่งที่ส่งเสริมให้ กลุ่มตั้งใจทำงาน เพราะรู้ว่าจะได้รับข้อมูลป้อนกลับ ละช่วยฝึกทักษะการรู้คิด หรือ อภิปัญญา (Metacognition) สามารถที่จะประเมินการคิดและพฤติกรรมของตนที่ได้ทำไ วรรณทิพา รอดแรงค้า (2541, หน้า 141-144) ได้กล่าวสรุปว่า ดังนั้น การเรียนแบบร่วมมือไม่ได้หมายถึงการจัดผู้เรียนมานั่ง ทำงานเป็นกลุ่มเท่านั้น แต่สมาชิกในกลุ่มทุกคนจะต้องรับผิดชอบในหน้าที่เพื่อความสำเร็จของกลุ่ม ซึ่งเป็นการเรียนเป็นกลุ่มแบบร่วมมือจะแตกต่างไปจากการเรียนเป็นกลุ่มเดิม
19 จากลักษณะและองค์ประกอบทั้ง 5 ประการข้างต้น การจัดเรียนรู้แบบร่วมมือจะขาด องค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งไม่ได้ หากขาดก็จะไม่ใช่การเรียนแบบร่วมมือ ซึ่งเมื่อนำ องค์ประกอบทั้ง 5 มาจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือในรายวิชาวิทยาศาสตร์ เพื่อส่งเสริมความสามารถใน การคิดวิเคราะห์ของผู้เรียนก็จะทำให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น กล้าพูด คิดวิเคราะห์เป็น โต้ตอบ ส่งผลต่อทักษะการดำรงชีวิตในสังคมได้ 4. รูปแบบของการเรียนแบบร่วมมือ รูปแบบของการเรียนแบบร่วมมือมีหลายลักษณะ ซึ่ง Slavin (อ้างใน วิรัตน์ ทองตาล่วง, 2545, หน้า 11-12) ได้สรุปการเรียนแบบร่วมมือไว้ 4 ลักษณะคือ 1. การเรียนเป็นทีม (Student Team Learning) การเรียนเป็นทีม มี 4 แบบ สรุปได้ดังนี้ 1.1 เอส ที เอ ดี (Student Team Achievement Divisions หรือ STAD)เป็นการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนในกลุ่มผู้เรียนกลุ่มละ 4- 5 คน คละตามระดับความสามารถและเพศ เมื่อ เรียนครบ ร-6 สัปดาห์ สมาชิกก็จะเปลี่ยนกลุ่มใหม่และให้มีการทดสอบเป็นรายบุคคลจากนั้นจึงนำ คะแนนมาเฉถี่ยเป็นคะแนนของกลุ่ม 1.2 ที จี ที (Teams Games Tournament หรือ TGT) เป็นการจัดกิจกรรมการเรียน โดยจัดผู้เรียนเป็นกลุ่ม ๆ ที่คละความสามารถและเพศเช่นเดียวกับ เอส ที่ เอ ดี แต่การเข้าร่วมกลุ่มมี ลักษณะถาวรกว่า โดยสมาชิกแต่ละคนของกลุ่มหนึ่งต้องแข่งขันกันตอบคำถามกับสมาชิกของกลุ่มอื่น เป็นรายสัปดาห์ โดขนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ระดับเดียวกันจะแข่งขันด้วยกัน เพื่อทำคะแนนให้กลุ่มของ ตน 1.3 ที เอ ไอ (Team Assisted Individualization หรือ TAI) เป็นวิธีที่มีความเหมาะสม มากในการสอนคณิตศาสตร์กับผู้เรียนในระดับประถมศึกษา โดยครูแบ่งกลุ่มผู้เรียนเป็นกลุ่ม ๆ กลุ่ม ละ 4 คน คละความสามารถ แต่ละคนใช้ความสามารถในการเรียนเป็นรายบุคคล สมาชิกมีการ ช่วยเหลือกันและตรวจคำตอบของเพื่อนในกลุ่มจากกระดาษคำตอบคะแนนจากการทดสอบจะรวม เป็นคะแนนของกลุ่ม 1.4 ซี ไอ อาร์ ซี (Cooperative Integrated Reading and Composition หรือ CIRC) เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับการสอนอ่านและเขียนในระดับมัธยมศึกษา ผู้สอนแบ่งผู้เรียนเป็นกลุ่ม ๆ กลุ่ม ละ 4 คน แล้วให้สมาชิกในกลุ่มช่วยกันอ่านเรื่องที่ครูมอบหมายและตอบคำถาม จากนั้นจึงเรียบเรียง เรื่องราวที่ได้อ่านใหม่ 2. การเรียนแบบต่อบทเรียน (Jigsaw) การเรียนแบบนี้เรียกว่า การเรียนแบบต่อชิ้นส่วน หรือ การศึกษาเฉพาะส่วน เป็นกิจกรรมการเรียนที่นักเรียนจะเรียนเป็นกลุ่ม ๆ กลุ่มละ 5 – 6 คน ที่คละ ความสามารถและเพศ นักเรียนทุกกลุ่มจะได้รับมอบหมายให้ทำกิจกรรมเช่นเดียวกัน มีการแบ่ง
20 เนื้อหาของเรื่องที่จะเรียนออกเป็นส่วน ๆ แล้วมอบหมายให้นักเรียนแต่ละคนในกลุ่มย่อยรับผิดชอบ ไปคนละส่วน นักเรียนแต่ละคนต้องทำการศึกษาเนื้อหาส่วนนั้น ๆ ให้เข้าใจอย่างกระจ่างชัดจนถึง ระดับกลายเป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” ประจำเนื้อหาส่วนนั้น ๆ โดยนักเรียนที่ไใด้เนื้อหาส่วนเดียวกันไป รวมกลุ่มกันาเรียกว่า กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ (Expert Group) จากนั้นแต่ละคนจะกลับเข้ากลุ่มเดิมของตน เพื่ออธิบายให้สมาชิกในกลุ่มฟังเพื่อให้ทั้งกลุ่มได้รับเนื้อหาครบทุกส่วน และทำการวัดผลด้วยการ ทดสอบความเข้าใจในเนื้อหาที่เป็นภาพรวมทั้งหมด ต่อมาสลาวิน ได้นำการเรียนแบบนี้มาดัดแปลง ใหม่เรียกว่า การเรียนแบบต่อบทเรีชนแบบที่ 2 (Jigsaw II) โดยสมาชิกในกลุ่มต้องศึกษาเนื้อหา ทั้งหมดที่ครูให้แล้วจึงแบ่งให้แต่ละคนศึกษาเฉพาะส่วน และที่สำคัญคือมีการทดสอบเป็นรายบุคคล หลังจากจบบทเรียนแล้ว และนำคะแนนของสมาชิกแต่ละคนมารวมกันเป็นคะแนนของกลุ่มเมื่องาน หมดไปแต่ละเรื่องและเสนอต่อเพื่อนเรียบร้อยแล้ว กลุ่มก็จะรวมตัวกันใหม่เพื่อทำงานขึ้นต่อไป 3. การสืบสวนสอบสวนเป็นกลุ่ม (Group Investigation) ในกิจกรรมการเรียนที่ผู้เรียนจะ ทำงานด้วยกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ โดยใช้การสืบคั้นแบบร่วมมือกัน มีการอภิปรายเป็นกลุ่ม รวมทั้ง วางแผนงาน โครงการต่าง ๆ ผู้เรียนแบ่งกลุ่มกันเอง แต่ละกลุ่มมีสมาชิก 2-6 คน หลังจากกลุ่มเลือก หัวข้อจากเรื่องที่จะเรียนแล้ว สมาชิกแต่ละคนจะต้องฝึกทำความเข้าใจเป็นพิเศษแล้วนำมารวมกัน เป็นรายงานกลุ่ม จากนั้นก็จะเสนอผลงานแก่เพื่อนร่วมห้องถึงสิ่งที่ได้ค้นคว้า 4. การเรียนด้วยกัน (Learning Together) ในกิจกรรมการเรียนจะแบ่งนักเรียนเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 4-5 คน ที่คละความสามารถ แล้วให้แต่ละกลุ่มศึกษาเอกสารที่กำหนดให้โดยให้แต่ละคน ศึกษาด้วยตนเองก่อนที่จะเรียนด้วยกันเป็นกลุ่ม จากที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า การเรีขนแบบร่วมมือมี 4 ลักษณะคือ การเรียนเป็นทีม การ เรียนแบบต่อบทเรียน การสืบสวนสอบสวนเป็นกลุ่ม และการเรียนด้วยกัน ซึ่งการเรียนมุ่งให้ผู้เรียนได้ ทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม โดยสมาชิกในกลุ่มจะมีความสามารถแตกต่างกันช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ร่วมกันระดมความคิด แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันในการเรียนรู้ สมาชิกทุกคนมี บทบาทหน้ำาที่ และมีภาระรับผิดชอบร่วมกัน ทั้งนี้เพื่อให้กลุ่มของตนประสบผลสำเร็จ บรรลุ เป้าหมายในการเรียนร่วมกัน 5. ประโยชน์ของการเรียนแบบร่วมมือ จันทรา ตันติกพงศานุรักษ์ (2543, หน้า 45-46) ยังได้กล่าวถึงประ โยชน์ของการเรียนแบบ ร่วมมือไว้ ดังนี้ 1. ช่วยเสริมสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่ดี นักเรียนในกลุ่มทุกคนจะช่วยเหลือกัน แลกเปลี่ยนให้ความร่วมมือกันและกันในบรรยากาศที่เป็นกันเองและเปิดเผย สมาชิกในกลุ่มทุกคน กล้าถามคำถามที่ตนเองไม่เข้าใจ บรรยากาศเช่นนี้นำไปสู่การอภิปรายซักถามทั้งในชั้นเรียนและนอก
21 ชั้นเรียนอันจะนำไปสู่การเรียนรู้แบบไร้พรมแดน 2. ทำให้เกิดการเรียนรู้ในกลุ่มย่อย การทำความเข้าใจในความคิดรวบยอดหรือหลักการที่ สำคัญนั้น ครูอาจแบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มช่อยเพื่อเปีด โอกาสให้นักเรียนได้พูดคุยอภิปราชและซักถาม จนเกิดความเข้าใจอย่างแง่มชัด คนที่เรียนเร็วสามารถช่วยเหลือคนที่เรียนช้าเพื่อให้ตามเพื่อนทันได้ 3. เพื่อลดปัญหาวินัยในชั้นเรียน กล่าวคือนักเรียนทุกคนจะให้กำลังใจ ยอมรับร่วมมือและ ช่วยเหลือกัน สมาชิกในกลุ่มจะรับผิดชอบในความสำเร็จหรือความล้มเหลวของกลุ่ม จึงจำเป็นต้อง ร่วมมือกันพัฒนาเสริมสร้างพฤดิกรรมที่พึงประสงค์ให้เกิดขึ้นในกลุ่มการขาดเรียน พฤติกรรมก้าวร้าว รุนแรง และการโด้เถียงในชั้นเรียนจึงไม่ปรากฏให้เห็น 4. ช่วยยกระดับคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยของทั้งชั้น การที่นักเรียนเก่งช่วย นักเรียนอ่อน นักเรียนเก่งจะเรียนรู้ความคิดรวบยอดของหัวข้อที่กำลังเรียนได้ชัดเจนขึ้นใน ขณะเดียวกันนักเรียนที่เรียนช้าย่อมจะเรียนรู้ความคิดรวบยอดจากเพื่อนซึ่งใช้ภาษาใกล้เคียงกันได้ ง่ายกว่าการเรียนจากครู ซึ่งอาจจะใช้ภาษาวิชาการขั้นสูงและเข้าใจขาก 5. ส่งเสริมให้นักเรียนได้พัฒนาความคิดเชิงสร้างสรรค์ ได้ศึกษาค้นคว้า ทำงานและ แก้ปัญหาด้วยตนเอง ผู้เรียนมีอิสระที่จะเลือกยุทธศาสตร์การเรียนรู้ของตนเอง ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนมี อิสระในการตัดสินใจด้วยตนเอง 6. มีทักษะในการบริหาร จัดการ การเป็นผู้นำ การแก้ปัญหา มนุษย์สัมพันธ์และการสื่อ ความหมายดีกว่า ทักษะดังกล่าวถูกพัฒนาขึ้นจากการที่นักเรียนได้ทำงาน อภิปรายซักถาม ช่วยเหลือ แลกเปลี่ยนและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน 7. ช่วยเตรียมผู้เรียนให้ออกไปใช้ชีวิตใน โลกของความเป็นจริง ซึ่งเป็นโลกที่ต้องอาศัย ความร่วมมือมากกว่าการแข่งขันแบบเผชิญหน้า นอกจากนี้ กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2545, หน้า 119-120) กล่าวถึงประโยชน์ใน การเรียนแบบร่วมมือสรุปได้ ดังนี้ 1. สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสมาชิก เพราะทุกคนมีการร่วมมือกันทำงานกลุ่มทุกคนมี ส่วนร่วมเท่าเทียมกัน ทำให้เกิดเจตคติที่ดีต่อการเรียน 2. สมาชิกทุกคนมีโอกาสคิด พูด แสดงออก แสดงความคิดเห็น ลงมือกระทำอย่างเท่าเทียม กันในการเรียน 3. ส่งเสริมให้มีการช่วยเหลือกัน เช่น เด็กเก่งช่วยเด็กอ่อน 4. ได้ร่วมกันคิดทุกคน ทำให้เกิดการระดมความคิด นำข้อมูลที่ได้มาพิจารณาร่วมกัน เพื่อ ประเมินคำตอบที่เหมาะที่สุด เป็นการส่งเสริมให้ช่วยกันคิดหาข้อมูลได้มากวิเคราะห์ และตัดสินใจ เลือก 5. ส่งเสริมทักษะทางสังคม เช่น การอยู่ร่วมกันด้วยมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีต่อกันเข้าใจกันอีกทั้ง
22 เสริมทักษะการสื่อสาร ทักษะการทำงานเป็นกลุ่ม สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้ สูงขึ้น 6. ส่งเสริมทักษะการสื่อสาร ทักษะการทำงานเป็นกลุ่ม สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า การเรียนแบบร่วมมือมีประโยชน์ เพราะเป็นการเรียนที่ก่อให้เด็กเกิด แรงจูงใจในการเรียนที่ได้มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมต่าง ๆ มีการรับผิดชอบงานร่วมกัน มีปฏิสัมพันธ์ ที่ดีต่อกันทำให้นักเรียนรู้สึกว่าตนมีค่า มีความหมาย นอกจากนั้นยังเป็นการฝึกให้นักเรียนรู้จักการใช้ ชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคม คือต้องมีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือกัน รู้จักคิด รู้จักแก้ปัญหา รู้จักหาความรู้ใหม่ ๆ สร้างความเชื่อมั่นให้กับตนเอง ซึ่งจะทำให้นักเรียนพัฒนาไปเป็นพลเมืองที่ดีใน สังคมต่อไป 6. ขั้นตอนและเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ (2340, หน้า 84) ได้กำหนดขั้นตอนการเรียน ด้วยวิธีแบบร่วมมือไว้ ดังนี้ 1. ขั้นเตรียมกิจกรรมในชั้นเรียนเริ่มต้นด้วยครูแนะนำทักษะในการเรียนรู้ร่วมกันและจัด กลุ่มนักเรียนเป็นกลุ่มย่อย ครูควรแนะนำเกี่ยวกับระเบียบของกลุ่ม บทบาทหน้าที่ของสมาชิกในกลุ่ม แจ้งวัตถุประสงค์บทเรียนและการทำกิจกรรมร่วมกัน การฝึกฝนทักษะพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับทำกิจ กรร 2. ขั้นสอน ครูนำเข้าสู่บทเรียน แนะนำเนื้อหาและแหล่งข้อมูล มอบหมายงานให้นักเรียน แต่ละกลุ่ม และอธิบายขั้นตอนการทำงาน 3. ขั้นทำกิจกรรมกลุ่ม นักเรียนเรียนรู้ร่วมกันในกลุ่มย่อยโดยที่แต่ละคนมีบทบาทและ หน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย เป็นขั้นตอนที่สมาชิกในกลุ่มจะได้ร่วมกันรับผิดชอบต่อผลงานของกลุ่ม ในขั้นนี้ครูควรกำหนดให้นักเรียนใช้เทคนิคต่าง ๆ กันในการทำกิจกรรมแต่ละครั้ง เทคนิคที่จะใช้ จะต้องเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ในการเรียน ในการเรียนครั้งหนึ่ง ๆอาจต้องใช้เทคนิคการเรียนด้วย วิธีแบบร่วมมือหลาย ๆ เทคนิคประกอบกันเพื่อให้เกิดประสิทธิผลในการเรียน 4. ขั้นตรวจผลงานและทคสอบ ในขั้นนี้เป็นการตรวจสอบว่า ผู้เรียนได้ปฏิบัติหน้าที่ ครบถ้วนแล้วหรือยัง ผลการปฏิบัติเป็นอย่างไร เป็นการตรวจสอบผลงานของกลุ่มและรายบุคคลใน บางกรณีนักเรียนอาจต้องได้รับการซ่อมเสริมสิ่งที่ยังขาดตกบกพร่อง ต่อจากนั้นก็เป็นการทดสอบ 5. ขั้นสรุปบทเรียนและประเมินผลการทำงานกลุ่ม ครูและนักเรียนช่วยกันสรุปบทเรียน ถ้า ยังมีสิ่งที่นักเรียนยังไม่เข้าใจครูควรอธิบายเพิ่มเดิม ครูและนักเรียนช่วยกันประเมินผลการทำงานกลุ่ม และพิจารณาว่าอะไรคือจุดเด่นของงาน และอะไรคือสิ่งที่ควรปรับปรุง
23 เทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือ ในที่นี้ผู้ศึกษาค้นคว้าจะกล่าวถึงเทคนิคที่สามารถนำไปใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ ความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์และเทคนิคที่เหมาะสมกับการจัดการเรียนรู้รายวิชาวิทยาศาสตร์ ดังที่ วิมลรัตน์ สุนทรวิโรจน์ (2551, หน้า 11-28) ดังนี้ 1. ทีมร่วมมือแข่งขัน (Team-Games-Tournaments (TGT) เป็นกิจกรรมที่เหมาะกับการ เรียนการสอนในจุดประสงค์ที่ต้องการให้กลุ่มผู้เรียนได้ศึกษาประเด็น หรือปัญหาที่มีคำตอบถูกต้อง เพียงคำตอบเดียว หรือมีคำตอบถูกต้องที่ชัดเจน เช่น การคำนวณทางคณิตศาสตร์ การใช้ภาษา ภูมิศาสตร์ และทักษะการใช้แผนที่และความคิดรวบยอดทางวิทยาศาสตร์ ขั้นตอนของกิจกรรม ประกอบด้วย 1.1 ครูนำเสนอบทเรียนหรือข้อความรู้ใหม่แก่ผู้เรียน โดยอาจจะนำเสนอด้วยสื่อการเรียน การสอนที่น่าสนใจหรือใช้การอภิปรายทั้งห้องเรียนโดยครูเป็นผู้ดำเนินการ 1.2 แบ่งกลุ่มนักเรียนโดยจัดให้คละความสามารถและเพศ แต่กลุ่มประกอบด้วยสมาชิก 4-5 คน เรียกกลุ่มนี้วา Study Group หรือ Home Group กลุ่มเหล่านี้จะศึกษาทบทวนเนื้อหา ข้อความรู้ที่ครูนำเสนอ สมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถสูงกว่าจะช่วยเหลือสมาชิกที่มีเรียนคะแนนกลุ่ม ความสามารถด้อยกว่า เพื่อเตรียมกลุ่มสำหรับการแข่งขันในช่วงท้ายสัปดาห์หรือท้ายบทเรียน 1.3 จัดการแข่งขันโดยจัดโต๊ะแข่งขันและทีมแข่งขัน (Tournament Teams) ที่มีตัวแทน ของแต่ละกลุ่ม (ตามข้อ 2) ที่มีความสามารถใกล้เคียงมาร่วมแข่งขันกันตามรูปแบบและกติกาตามที่ กำหนด ข้อคำถามที่ใช้การแข่งขันจะเป็นคำถามเกี่ยวกับเนื้อหาที่เรียนมาแล้วและมีการฝึกฝน เตรียมพร้อมในกลุ่มมาแล้ว ควรให้ทุกโต๊ะเริ่มแข่งขันพร้อมกัน 1.4 ให้ค่าคะแนนการแข่งขัน โดยให้จัดลำดับคะแนนผลการแข่งขันในแต่ละโต๊ะแล้ว ผู้เล่น จะกลับเข้ากลุ่มเดิม (Study Group) ของตน 1.5 นำคะแนนการแข่งขันของแต่ละคนมารวมกันเป็นคะแนนของทีม ทีมที่ได้คะแนนรวม หรือค่าเฉลี่ยสูงสุดจะได้รับรางวัล 2. ร่วมทีมผลสัมฤทธิ์ (Student Teams and Achievement Divisions STAD) 2.1 ครูนำเสนอประเด็นหรือเนื้อหาใหม่ โดยอาจนำเสนอด้วยสื่อที่น่าสนใจ ใช้การสอน โดยตรงหรือตั้งประเด็นให้ผู้เรียนอภิปราย 2.2 จัดผู้เรียนเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 4 – 5 คน ให้สมาชิกมีความสามารถคละกันมีทั้ง ความสามารถสูง ปานกลางและต่ำ 2.3 แต่ละกลุ่มรวมกันศึกษาทบทวนความรู้ที่ครูนำเสนอจนเข้าใจ
24 2.4 ทุกคนในกลุ่มทำแบบทดสอบ (Quiz) เพื่อวัดความรู้ความเข้าใจใน เนื้อหาที่เรียน 2.5 ตรวจคำตอบของผู้เรียนนำคะแนนของสมาชิกทุกคนในกลุ่มมารวมกันเป็นคะแนนกลุ่ม 2.6 กลุ่มที่ได้คะแนนรวมสูงสุด (ในกรณีที่แต่ละกลุ่มมีจำนวนสมาชิกไม่เท่ากันให้ ใช้คะแนน เฉลี่ยแทนคะแนนรวม) จะได้รับคำชมเชย โดยอาจติดประกาศไว้ที่บอร์ดหรือป้ายนิเทศของห้องเรียน 2.7 ที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้รับรางวัลหรือปิดประกาศชมเชย 3. กลุ่มสืบค้น (Group Investigation GI) เป็นเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือที่สำคัญอีก เทคนิคหนึ่ง เป็นการจัดกลุ่มผู้เรียนเพื่อเตรียมการทำโครงงานกลุ่มหรือทำงานที่ครูมอบหมายก่อนใช้ เทคนิคนี้ควรควรฝึกทักษะการสื่อสาร และทักษะทางสังคมให้แก่ผู้เรียนก่อน เทคนิคนี้เหมาะสำหรับ การสืบค้นความรู้หรือแก้ปัญหาเพื่อ หาคำตอบในประเด็นหรือหัวข้อที่สนใจ เช่น การเรียนในวิชา ชีววิทยา หรือสิ่งแวดล้อม ขั้นตอนการเรียนประกอบด้วย 3.1 ครูและผู้เรียนร่วมกันอภิปรายทบทวนเนื้อหาหรือประเด็นที่กำหนด 3.2 แบ่งผู้เรียนเป็นกลุ่มเล็กๆ และความสามารถกลุ่มละ 24 คน แบ่งเรื่องที่จะศึกษาเป็น หัวข้อย่อย แต่ละหัวข้อจะเป็นใบงานที่ 1 ใบงานที่ 2 ใบงานที่ 3 เป็นต้น 3.3 ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเลือกทำ 1 หัวข้อ (ใบงานเพียงใบเดียว) โดยให้นักเรียนที่เรียนอ่อน ในกลุ่มเลือกข้อย่อยที่จะศึกษาก่อน หรืออาจให้ผู้เรียนในกลุ่มแบ่งกันหาคำตอบ ตามใบงานแล้วนำ คำตอบทั้งหมดมารวมกันเป็นคำตอบที่สมบูรณ์ 3.4 ผู้เรียนแต่ละกลุ่มรวมกันอภิปรายเรื่องจากใบงานจนเป็นที่เข้าใจของทุกคน 3.5 ให้แต่ละกลุ่มรายงานผลการเก็บโดยเริ่มจากกลุ่มที่ทำใบงานที่ 1 จนถึงใบงานสุดท้าย แล้วชมเชยกลุ่มที่ทำงานได้ถูกต้องที่สุด 4. เรียนรู้ร่วมกัน (Learning Together LT) วิธีนี้เป็นวิธีที่เหมาะสมกับการสอนวิชาที่มีโจทย์ ปัญหาการคำนวณ หรือการฝึกปฏิบัติในห้องปฏิบัติการโดยมีขั้นตอนดังนี้ 4.1 ครูและนักเรียนอภิปรายสรุปเนื้อหาที่เรียนในคาบที่แล้ว 4.2 แบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มและความสามารถกันกลุ่มละ 4 – 5 คน 4.3 ครูแจกใบงานกลุ่มละ 1 แผ่น 4.4 แบ่งหน้าที่ของผู้เรียนแต่ละคนในกลุ่มดังนี้ คนที่ 1 อ่านคำสั่งหรือขั้นตอนในการออก ดำเนินการ คนที่ 2 ฟังขั้นตอนและจดบันทึก คนที่ 3 อ่านคำถามและหาคำตอบ คนที่ 4 ตรวจคำตอบ (ข้อมูล) 4.5 แต่ละกลุ่มส่งกระดาษคำตอบเพียงแผ่นเดียวหรือส่งงาน 1 ชิ้น ผลงานที่เสร็จและส่ง เป็นผลงานที่ทุกคนในกลุ่มยอมรับซึ่งทุกคนในกลุ่มจะได้คะแนนเท่ากัน
25 5. กลุ่มร่วมมือ (Co – Op Co – Op) เป็นเทคนิคที่เน้นการร่วมกันทำงาน โดยสมาชิกของ กลุ่มที่มีความสามารถและ ความถนัดต่างกันได้แสดงบทบาทหน้าที่ที่ตนถนัดเต็มที่ ผู้เรียนเก่งได้ ช่วยเหลือเพื่อนที่เรียนอ่อน เป็นกิจกรรมเกี่ยวกับการคิดระดับสูงทั้งการวิเคราะห์และสงเคราะห์และ เป็นวิธีการที่สามารถ นำไปใช้สอนในวิชาใดก็ได้ มีขั้นตอนกิจกรรมดังนี้ 5.1 กำหนดขอบข่ายประเด็นหรือเนื้อหาตามจุดประสงค์ที่จะให้ผู้เรียนได้ศึกษา 5.2 ผู้เรียนทั้งชั้นเรียนร่วมกันอภิปรายเพื่อกำหนดประเด็น หรือหัวข้อที่จะศึกษา 5.3 กำหนดกลุ่มย่อย โดยให้สมาชิกกลุ่มมีความสามารถคละกัน 5.4 แต่ละกลุ่มเลือกหัวข้อที่จะศึกษา 5.5 สมาชิกในแต่ละกลุ่มช่วยกันกำหนดหัวข้อย่อย แล้วแบ่งหน้าที่รับผิดชอบโดยให้สมาชิก แต่ละคนเลือกศึกษาหัวข้อย่อยคนละ 1 หัวข้อ 5.6 สมาชิกนำผลงานมารวมกันเป็นงานกลุ่ม อาจมีการอ่นทบทวนและปรับแต่งภาษาให้ ผลงานกลุ่มที่ทำร่วมกันมีความสละสลวยต่อเนื่องเตรียมผู้ที่จะนำเสนอผลงานกลุ่ม ผลงานกลุ่มเสนอ ต่อชั้นเรียน ทุกกลุ่มช่วยกันประเมินผลโดยประเมินทั้งกระบวนการทำงานกลุ่มและผลงานกลุ่มมาก การตอบแบบสอบถามแสดงให้เห็นว่าถึงแม้ว่านักเรียนทุกกลุ่มจะชอบการได้รับคะแนนพิเศษ ห้องเรียนที่มีคะแนนที่เกิดจากความร่วมมือของกลุ่มจะไม่ชอบทำงานในการเรียนรู้เป็นกลุ่ม นักเรียน ส่วนใหญ่ในห้องเรียนไม่ชอบการจับกลุ่มให้หรือการมีสมาชิกที่ถาวร นักเรียนมีผลสมฤทธิ์ทางการเรียน สูง บางคนมีความรู้สึกต่อระบบการให้รางวัลว่า รางวัลควรจะเป็นพื้นฐานในการพัฒนาเป็นรายบุคคล นักเรียนในห้องเดียวกันแสดงความเห็นว่า ระบบการให้รางวัลเป็นกลุ่มจะกระตุ้นให้สมาชิกในกลุ่มมี ความพยายามและส่งเสริมให้พวกเขาช่วยเหลือซึ่งกันและกัน นักเรียนในห้องที่มีการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือที่ได้รับรางวัลเป็นรายบุคคลส่วนใหญ่แสดงความรู้สึกที่ดีเกี่ยวกับกลุ่มการเรียนรู้แบบ ร่วมมือ นักเรียนกลุ่มนี้หลายคนบอกว่าพวกเขาเรียนรู้เนื้อหาได้ดี ก็เพราะกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ เมื่อถามว่าพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงอะไรเกี่ยวกับโครงสร้าง การเรียนรู้แบบร่วมมือนักเรียนในห้อง มากกว่า 1/3 คน ซึ่งได้รับการให้รางวัลเป็นรายบุคคล รู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง ในขณะที่นักเรียนส่วนน้อยแสดงความต้องการที่จะเปลี่ยน สมาชิกในกลุ่มย่อยขึ้น นักเรียนทั้งสองชั้น เรียนยอมรับว่ากลุ่มการเรียนแบบร่วมมือมีผลดีต่อทักษะการสื่อสารเกี่ยวกับการสร้างความสัมพันธ์ ระหว่างบุคคล การเรียนแบบร่วมมือ มีหลายเทคนิคและใช้ได้หลากหลายเนื้อหาวิชาไม่ว่าจะเป็นวิชา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ หรือวิชาที่เป็นทักษะภาษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ (2540, หน้า 8) ได้ยกตัวอย่างเทคนิคการเรียนด้วยวิธีแบบร่วมมือ ที่อาจนำมาประยุกต์ใช้ในประเทศ 9 เทคนิค ได้แก่ เทคนิคการเล่าเรื่องรอบวง เทคนิคมุมสนทนาเทคนิคคู่ตรวจสอบ เทคนิคคู่คิด เทคนิค เพื่อนเรียน เทคนิคปริศนาความคิด เทคนิคกลุ่มร่วมมือ เทคนิคเกมแข่งขัน และเทคนิคร่วมกันคิด
26 สำหรับงานการค้นคว้าแบบอิสระครั้งนี้ผู้ศึกษาได้เลือกเทคนิคเกมแข่งขัน หรือเทคนิคกลุ่มแข่งขันมา ใช้ในการจัดการเรียนการสอน 7. เทคนิคกลุ่มแข่งขัน (Teams-Games-Tournament: TGT) 7.1 ความหมายของเทคนิคกลุ่มแข่งขัน Slavin (อ้างใน วิรัตน์ ทองตาล่วง, 2545, หน้า 13-14) ได้กล่าวถึงกิจกรรมการเรียนแบบ กลุ่มแข่งขันว่า เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนแบบร่วมมือ ซึ่งพัฒนาขึ้นโดย Slavin และคณะเป็นการ เรียนที่เน้นให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตนเอง เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ในเนื้อหา หลังจากที่เรียนจบแต่ละบท โดยในการเรียนจะแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 4 คน แต่ละกลุ่ม จะมีผู้เรียนที่มีความสามารถแตกต่างกัน การจัดกลุ่มอาจจะดูจากผลการเรียน โดยเน้นให้สมาชิกที่มี ความสามารถแตกต่างกันได้ช่วยกันในการเรียน ครูผู้สอนเป็นผู้เลือกวิธีสอนตามความเหมาะสมของ เนื้อหา หลังจากจบบทเรียนแต่ละกลุ่มจะได้รับบัตรเป็นผู้เลือกวิธีสอนตามความเหมาะสมของเนื้อหา หลังจากจบบทเรียนแต่ละกลุ่มจะได้รับบัตรงานหรือแบบฝึกเพื่อนำไปศึกษาร่วมกันมีการแลกเปลี่ยน ความคิดเห็น ซักถามเพื่อความเข้าใจผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจดีแล้ว จะช่วยอธิบายเนื้อหาให้สมาชิกใน กลุ่ม และมีการแข่งขันตอบคำถามในแต่ละเนื้อหาศึกษาโดยส่งตัวแทนกลุ่มที่ไม่ช้ำกันเข้าทำการ แข่งขัน คะแนนที่ได้จากการแข่งขันจะนำมารวมเป็นคะแนนของกลุ่ม มีการประกาศคะแนน ถ้ากลุ่ม ใดได้คะแนนเฉลี่ยถึงเกณฑ์จะมีรางวัลให้ ดังนั้นทุกคนในกลุ่มต้องร่วมมือช่วยเหลือกันในการเรียนและ รับผิดชอบต่องานกลุ่มร่วมกัน มุ่งเน้นผลประโยชน์และความสำเร็จของกลุ่ม สิ่งที่ทุกคนต้องคำนึงถึงมี 3 ประการคือ 1. ความสำเร็จของกลุ่มและรางวัลที่จะได้รับเมื่อกลุ่มทำคะแนนเฉลี่ยได้ถึงเกณฑ์ที่กำหนด 2. ความรับผิดชอบรายบุคคล หมายถึงสมาชิกทุกคนต้องเข้าใจเนื้อหาเป็นอย่างดีสมาชิกที่ เข้าใจดีต้องอธิบายให้ทุกคนในกลุ่มเข้าใจด้วย เพราะเมื่อมีการแข่งขันสมาชิกต้องทำด้วยตนเองไม่มี การช่วยเหลือกัน แต่คะแนนที่ได้จะนำมารวมแล้วเฉลี่ยเป็นคะแนนกลุ่มถ้าสมาชิกแต่ละคนทำคะแนน ได้ดีคะแนนกล่มก็จะสูง แต่ถ้าสมาชิกคนใดคนหนึ่งทำคะแนนได้น้อยเมื่อนำมาเฉลี่ยแล้วคะแนนของ กลุ่มก็จะลดลงด้วย 3. โอกาสความจำเป็นที่เท่าเทียมกัน หมายถึงสมาชิกทุกคนในกลุ่มมีโอกาสที่จะทำดีที่สุด และประสบผลสำเร็จเท่าเทียมกัน เพราะแต่ละคนจะมีโอกาสได้เป็นตัวแทนของกลุ่มในการเข้าแข่งขัน ตอบคำถาม สุวิทย์ มูลคำ (2547, หน้า 59- 62) กล่าวว่า เป็นการเรียนรู้แบบร่วมมืออีกรู้แบบหนึ่ง คล้ายกันกับเทคนิค STAD ที่แบ่งผู้เรียนที่มีความสามารถแตกต่างกันออกเปีนกลุ่มเพื่อทำงานร่วมกัน กลุ่มละประมาณ 4 – 5 คน โดยกำหนดให้สมาชิกของกลุ่มได้แข่งขันกันในเกมการเรียนที่ผู้สอนได้
27 จัดเตรียมไว้แล้ว ทำการทดสอบความรู้ โดยการใช้เกมการแข่งขันคะแนนที่ได้รับจากการแข่งขันของ สมาชิกแต่ละคนในลักษณะการแข่งขันตัวต่อตัวกับทีมอื่นนำเอามาบวกเป็นคะแนนรวมของทีม ผู้สอนจะต้องใช้เทคนิคการเสริมแรง เช่น ให้รางวัลคำชมเชย เป็นต้น ดังนั้นสมาชิกกลุ่มจะต้องมีการ กำหนดเป้าหมายร่วมกันช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อความสำเร็จของกลุ่ม ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์ (2553, หน้า 208) กล่าวถึงการเรียนแบบทีมแข่งขัน (Team Games Tournament: TGT) ว่าเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ให้ผู้เรียนได้รวมกลุ่ม เพื่อทำงาน ร่วมกันและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สมาชิกในแต่ละทีมจะประกอบด้วยสมาชิกที่มีความสามารถ แตกต่างกัน คือ ความสามารถสูง ปานกลาง และต่ำ มารวมกลุ่มกันในอัตราส่วน 1: 2: 1 ซึ่งสมาชิก ของทีมจะได้แข่งขันกันในเกมเชิงวิชาการ โดยความสำเร็จของทีมจะขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละ บุคคลเป็นสำคัญ อาภรณ์ ใจเที่ยง (2553, หน้า 126-127) กล่าวถึงกลุ่มร่วมมือแข่งขัน (Teams-GamesTournaments: TGT) ไว้ว่า เทคนิคกลุ่มร่วมมือแข่งขัน เป็นกิจกรรมที่สมาชิกในกลุ่มเรียนรู้เนื้อหา สาระจากผู้สอนด้วยกัน แล้วแต่ละคนแยกย้ายไปแข่งขันทดสอบความรู้ คะแนนที่ได้ของแต่ละคนจะ นำมารวมกันเป็นคะแนนของกลุ่ม กลุ่มที่ได้คะแนนรามสูงสุดได้รับรางวัล จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า เทคนิคกลุ่มแข่งขัน หมายถึงกิจกรรมการเรียนการสอน รูปแบบหนึ่งของการเรียนแบบร่วมมือ โดยการเรียนจะแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มย่อย แต่ละกลุ่มจะ ประกอบด้วยสมาชิกที่มีความสามารถแตกต่างกัน คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการเรียนรู้ เมื่อเรียน จบในแต่ละเรื่องหรือแต่ละบทเรียน สมาชิกทุกคนในกลุ่มต้องแข่งขันตอบคำถามกับสมาชิกกลุ่มอื่นที่มี ความสามารถระดับเดียวกัน คะแนนที่ได้จากการแข่งขันแต่ละคนจะนำมารวมกันเป็นคะแนนของกลุ่ม 7.2 องค์ประกอบของเทคนิคกลุ่มแข่งขัน Slavin (อ้างใน วิรัตน์ ทองตาล่วง, 2545, หน้า 14-17 ได้กล่าวถึงการจัดการเรียนรู้โดยใช้ เทคนิคเกมแข่งขัน หรือ ที จี ที ว่ามีองค์ประกอบสำคัญ 5 ประการสรุปได้ ดังนี้ 1. การสอนในชั้นเรียน (Class Presentation) นักเรียนจะได้รับเนื้อหาซึ่งครูเป็นผู้สอน ส่วนใหญ่จะเป็นการบรรยาย อภิปราย หรืออาจจะมีการใช้สื่อการเรียนรู้อื่น ๆ ประกอบด้วยก็ได้ ครู ต้องเน้นให้นักเรียนทราบว่า นักเรียนต้องให้ความสนใจในเนื้อหาสาระที่ครูสอนอย่างจริงจัง เพราะจะ ช่วยให้ทีมประสบความสำเร็จในการแข่งขัน 2. การจัดทีม (Team) แต่ละทีมหรือแต่ละกลุ่มประกอบด้วยนักเรียน 4-5 คนสมาชิกใน กลุ่มมีความแตกต่างกันในเรื่องความสำเร็จในการเรียน และเพศ หน้าที่สำคัญของกลุ่มคือเตรียมตัว สมาชิกให้พร้อมเพื่อการเล่นเกมและการแข่งขันหลังจากการเรียนการสอนในชั้นเรียนสิ้นสุดลง แต่ละ
28 กลุ่มต้องช่วยกันทำแบบฝึกหัด เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแก้ไขข้อผิดพลาคของสมาชิกในกลุ่ม จุดเน้นในกลุ่มคือ ทำให้ดีที่สุดเพื่อชัยชนะของทีม และช่วยเหลือเพื่อนร่วมทีมให้มากที่สุด 3. เกม (Games) ในการเล่นเกมนักเรียนจะได้ตอบคำถามเกี่ยวกับเนื้อหาสาระที่ได้ศึกษา ไปแล้วจากชั้นเรียน และจากการทำแบบฝึกหัดกับเพื่อนในกลุ่ม ในการเล่นเกมนักเรียนแต่ละคนใน กลุ่มต้องออกมาแข่งขันตอบคำถามที่ โต๊ะแข่งขันกับสมาชิกกลุ่มอื่น คำถามที่ถามจะเขียนหมายเลข คำถามไว้ นักเรียนต้องหยิบบัตรหมายเลขและพยายามตอบคำถามตามหมายเลขที่จับได้ การเล่นเกม ของแต่ละโต๊ะ จะอนุญาตให้ผู้เล่นท้าทายคนอื่นในการตอบคำถาม ถ้าเห็นว่าคนที่ตอบคำถามนั้นให้ คำตอบที่ไม่ถูกต้อง 4. การแข่งขัน (Tournament) การแข่งขันจะจัดขึ้นปลายสัปดาห์หรือหลังจากที่ครูได้สอน เนื้อหาจบแล้ว และแต่ละกลุ่มได้ฝึกตอบคำถามจากแบบฝึกหัด ซึ่งจะเป็นคำถามเกี่ยวกับเนื้อหาที่ เรียนมาแล้ว การแข่งขันทำโดยนักเรียนที่มีความสามารถระดับเดียวกันจะแข่งขันกัน ในเกมการ แข่งขันจะจัดโต๊ะแข่งขันตามระดับความสามารถของผู้แข่งขัน เช่น โต๊ะที่ 1 เป็นโต๊ะแข่งขันที่มีสมาชิก มีความสามารถสูง (เรียนเก่ง) โต๊ะที่ 2-3 เป็นโต๊ะแข่งขันที่มีสมาชิกมีความสามารถรองลงมา (เรียน ปานกลาง) และ โต๊ะที่ 4 เป็นโต๊ะแข่งขันที่มีสมาชิกมีความสามารถต่ำ (เรียนอ่อน) นักเรียนจะต้องเปลี่ยน โต๊ะแข่งขันในการแข่งขันครั้งต่อไป โดยดูจากผลการแข่งขันผู้ชนะ แต่ละโต๊ะแข่งขันจะต้องเลื่อนไปแข่งขันโต๊ะที่มีอันดับสูงกว่า ส่วนผู้ที่ได้คะแนนต่ำสุดจะเลื่อนลงไป แข่งขัน โต๊ะที่อยู่ในระดับต่ำกว่าเดิม ยกเว้นผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดของโต๊ะที่ 1และผู้ที่ได้คะแนนต่ำสุด ของโต๊ะที่ 4 สำหรับผู้ที่ได้คะแนนรองยังแข่งขันอยู่โต๊ะเดิมจะเห็นว่าแม้ในครั้งแรกนักเรียนอาจจะ ไม่ได้แข่งขันที่ โต๊ะเหมาะสมกับความสามารถก็ตามแต่ในที่สุดจะได้เลื่อนไปยังโต๊ะที่เหมาะสมกับตน 5. การตระหนักถึงความสำเร็จของกลุ่ม (Teams Recognition) การที่กลุ่มจะได้รับรางวัล หรือใบประกาศนียบัตรก็ต่อเมื่อกลุ่มได้คะแนนเฉลี่ยสูงถึงเกณฑ์ที่กำหนด สรุปได้ว่า การเรียนโดยใช้เทคนิคกลุ่มแข่งขันหรือทีมแข่งขันประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ 5 ประการคือ การสอนในชั้นเรียน การจัดกลุ่มนักเรียนหรือการจัดทีมเกมสำหรับแข่งขัน การแข่งขัน เกม และการตระหนักถึงความสำเร็จของกลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มจะมีสมาชิกที่มีความสามารถแตกต่างกัน คือ เก่ง ปานกลาง และอ่อน 7.3 ขั้นตอนของเทคนิคกลุ่มแข่งขัน ทิศนา แขมมณี (2552, หน้า 68-69) ได้อธิบายขั้นตอนกระบวนการเรียนการสอนของ รูปแบบ ที.จี.ที. (TGT) ไว้ว่า “TGT’ ย่อมาจาก “Team Games Tournament” ซึ่งมีการดำเนินการ ดังนี้
29 1. จัดผู้เรียนเข้ากลุ่มคละความสามารถ (เก่ง กลาง อ่อน) กลุ่มละ 4 คนและนักเรียนกลุ่มนี้ว่า กลุ่มบ้านของเรา (Home Group) 2. กลุ่มบ้านของเราได้รับเนื้อหาสาระและศึกษาเนื้อหาร่วมกัน 3. สมาชิกในกลุ่มบ้านของเราแยกย้ายกันเป็นตัวแทนกลุ่มไปแข่งขันกับกลุ่มอื่นโดยจัดกลุ่ม แข่งขันตามความสามารถ คือคนเก่งในกลุ่มบ้านเราแต่ละกลุ่มไปรวมกัน และคนอ่อนไปรวมกับคน อ่อนของกลุ่ม กลุ่มใหม่ที่รวมกันนี้เรียกว่ากลุ่มแข่งขัน กำหนดให้มีสมาชิกกลุ่มละ 4 คน 4. สมาชิกในกลุ่มแข่งขัน เริ่มแข่งขันกันดังนี้ 4.1 แข่งขันกันตอบคำถาม 10 คำถาม 4.2 สมาชิกคนแรกจับคำถามขึ้นมา 1 คำถาม และอ่านคำถามให้กลุ่มฟัง 4.3 ให้สมาชิกคนที่อยู่ช้ายมือของผู้อ่านคำถามคนแรกตอบคำถามก่อนต่อไปจึงให้คน ถัดไปตอบจนครบ 4.4 ผู้อ่านคำถาม เปิดคำตอบ แล้วอ่านเฉลยคำตอบที่ถูกให้กลุ่มฟัง 4.5 ให้คะแนนคำตอบ ดังนี้ ผู้ตอบถูกเป็นคนแรกได้ 2 คะแบน ผู้ตอบถูกคนต่อไปได้ 1 คะแนน ผู้ตอบผิดได้ 0 คะแนน 4.6 ต่อไปสมาชิกกลุ่มที่สองจับคำถามที่ 2 และเริ่มเล่นตามขั้นตอนไปเรื่อย ๆจนกระทั่ง คำถามหมด 4.7 ทุกคนรวมคะแนนของตนเอง ผู้ได้คะแนนสูงสุด 1 ได้โบนัส 10 คะแนน ผู้ได้คะแนนสูงสุด 2 ได้โบนัส 8 คะแนน ผู้ได้คะแนนสูงสุด 3 ได้โบนัส 5 คะแนน ผู้ได้คะแนนสูงสุด 4 ได้โบนัส 4 คะแนน 5. เมื่อแข่งขันเสร็จแล้ว สมาชิกกลุ่มกลับไปกลุ่มบ้านของเราแล้วนำคะแนนที่แต่ละคนได้รวม เป็นคะแนนของกลุ่ม 7.4 การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคกลุ่มแข่งขัน มีขั้นตอน ดังต่อไปนี้ 1. ขั้นเตรียมเนื้อหา ประกอบด้วย 1.1 การจัดเตรียมเนื้อหาสาระ ผู้สอนจัดเตรียมเนื้อหาสาระหรือเรื่องที่จะให้ผู้เรียนได้ เรียนรู้ 1.2 การจัดเตรียมเกม ผู้สอนจะต้องจัดเตรียมคำถามง่าย ๆ ซึ่งเป็นคำถามจากเนื้อหา
30 สาระที่ผู้เรียนเรียนรู้ วิธีการให้คะแนนโบนัสในการเล่นเกม รวมทั้งสื่ออุปกรณ์การเรียนรู้ เช่น ใบงาน ใบความรู้ ชุดคำถาม กระดาษคำตอบ กระดาษบันทึกคะแนน เป็นต้น 2. ขั้นจัดทีม ผู้สอนจัดทีมผู้เรียนโดยให้คละกันทั้งเพศ และความสามารถทีมละประมาณ 4 – 5 คน เช่น ทีมที่มีสมาชิก 4 คน อาจประกอบด้วยชาย 2 คน หญิง 2 คนเป็นคนเก่ง 1 คน ปานกลาง 2 คน และอ่อน 1 คน เป็นต้น เพื่อเรียนรู้โดยการปฏิบัติกิจกรรมตามคำสั่งหรือใบงานที่ กำหนดไว้ 3. ขั้นการเรียนรู้ 3.1 ผู้สอนแนะนำวิธีการเรียนรู้ 3.2 ทีมวางแผนการเรียนรู้และการแข่งขัน 3.3 สมาชิกในแต่ละที่มร่วมกันปฏิบัติกิจกรรมตามคำสั่งหรือใบงาน 3.4 กลุ่มหรือทีมเตรียมความพร้อมให้กับสมาชิกในกลุ่มทุกคน เพื่อให้มีความรู้ความ เข้าใจในบทเรียนและพร้อมที่จะเข้าสู่สนามแข่ง 3.5 แต่ละทีมทำการประเมินความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาของสมาชิกในทีมโดยอาจตั้ง คำถามขึ้นมาเองโดยให้สมาชิกของทีมทดลองตอบคำถาม 3.6 สมาชิกของทีมช่วยกันอธิบายเพิ่มเติมในประเด็นที่บางคนยังไม่เข้าใจ 4. ขั้นการแข่งขัน ผู้สอนจัดการแข่งขัน ประกอบด้วย 4.1 ผู้สอนแนะนำการแข่งขันให้ผู้เรียนทราบ 4.2 จัดผู้เรียนหรือสมาชิกตัวแทนของแต่ละทีมเข้าประจำโต๊ะแข่งขัน 4.3 ผู้สอนแนะนำเกี่ยวกับเกม โดยอธิบายจุดประสงค์และกติกาของการเล่นเกม 4.4 สมาชิกหรือผู้เรียนทุกคนเริ่มเล่นเกมพร้อมกัน ด้วยชุดคำถามที่เหมือนกันผู้สอนเดิน ตามโต๊ะการแข่งขันต่าง ๆ เพื่อตอบปัญหาข้อสงสัย 4.5 เมื่อการแข่งขันจบลงให้แต่ละ โต๊ะตรวจคะแนน จัดลำดับผลการแข่งขันและให้หา ค่าคะแนนโบนัส 4.6 ผู้เข้าร่วมการแข่งขันกลับเข้าทีมเดิมของตัวเอง พร้อมด้วยคะแนนโบนัสของตนเอง 4.7 ทีมนำคะแนนโบนัสของแต่ละคนมารวมกันเป็นคะแนนรวมของทีมอาจจะหา ค่าเฉลี่ยหรือไม่ก็ได้ ทีมที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้รับการยอมรับว่าเป็นทีมชนะเลิศและรองชนะเลิศ ตามลำดับ 5. ขั้นยอมรับความสำเร็จของทีม ผู้สอนประกาศผลการแข่งขันและเผยแพร่สู่สาธารณชน ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น ติดประกาศที่บอร์ด ลงข่าวหนังสือพิมพ์ห้องถิ่น จดหมายข่าว ประกาศหน้า เสาธง เป็นต้น รวมทั้งการมอบรางวัล ยกย่อง ชมเชย
31 สรุปว่า การเรียนด้วยเทคนิคกลุ่มแข่งขัน หรือเกมแข่งขัน เป็นการเรียนที่เปิดโอกาสให้ นักเรียนทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มย่อยโดยคละความสามารถและเพศ กิจกรรมการเรียนส่วนมากจะให้ นักเรียนเป็นผู้ปฏิบัติค้นคว้าด้วยตนเองและเร้าความสนใจด้วยเกมการแข่งขันเพื่อให้ทุกคนในกลุ่มได้ ร่วมมือกันทำงานที่ได้รับมอบหมาย มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความคิดเห็นซึ่งกันและกัน รวมทั้งการเรียนรู้สภาพอารมณ์ การปรับตัว การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และการช่วยเสริมสร้าง บรรยากาศในชั้นเรียนให้ดีขึ้น ลดความตึงเครียดเกิดความสนุกสนานและมีความภูมิใจในตนเองเพราะ ทุกคนช่วยกันเรียนช่วยกันทำงานให้บรรลุเป้าหมายต ผู้เรียนมีโอกาสประสบความสำเร็จเท่าเทียมกัน ทำให้เกิดความมั่นใจในตนเอง และเป็นแนวทางในการนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ 1. ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ปราณี กองจินดา (2549 : 42) กล่าว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถ หรือผลสำเร็จที่ได้รับจากกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์ เรียนรู้ทางด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย และยังได้จำแนกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ตาม ลักษณะของวัตถุประสงค์ของการเรียน การสอนที่แตกต่างกัน กู๊ด (Good, 1993 : 7 อ้างถึงใน รสริน พันธุ, 2550 : 42) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ คือ การ ทำให้สำเร็จ (accomplishment) หรือประสิทธิภาพทางด้านการกระทาที่กำหนดให้ หรือในด้าน ความรู้ ส่วนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง การซึ้งความรู้ (knowledge attained) การพัฒนา ทักษะในการเรียน ซึ่งอาจจะพิจารณาจากคะแนนสอบที่กำหนดให้ คะแนนที่ได้จากงานที่ครู มอบหมายให้ หรือทั้งสองอย่าง ชนิดา ทาระเนตร (2560) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลของ ความสำเร็จของผู้เรียนในด้านความรู้ทักษะและกระบวนการทางด้านความคิดซึ่งทำให้ผู้เรียนมี ประสิทธิภาพจากการเรียนรู้ หรือการหาความรู้ด้วยตนเอง ซึ่งสามารถวัดได้ด้วยแบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รสริน พันธุ (2550 : 37) กล่าวว่า ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผล ของการเรียนการสอนหรือความสามารถของบุคคลอันเกิดจากการได้รับการฝึกฝน สั่งสอนในด้าน ความรู้ และทักษะที่ได้พัฒนาขึ้นตามลาดับขั้นในวิชาต่าง ๆ ศิริพร สะอาดล้วน (2551 : 28) กล่าวว่า ความหมาย ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็น ผลรวมของมวลประสบการณ์ที่ได้รับจากการเรียนรู้ ในด้านของทักษะ ความรู้ ความสามารถ ซึ่งผล การเรียนรู้นั้นสามารถแสดงออกมาได้และสามารถที่จะวัดได้
32 สุพัตรา เกษมเรืองกิจ (2551 : 32) กล่าวว่า ความหมาย ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ ความเข้าใจ ความสามารถในการแก้ปัญหาและทักษะทางวิชาการรวมทั้งสมรรถภาพ ทางสมองด้านต่าง ๆ ที่ได้จากการอบรมสั่งสอนและวัดได้โดยอาศัยเครื่องมือและวิธีการที่หลากหลาย สิริสรณ์ สิทธิรินทร์ (2554 : 18) กล่าวว่า ความหมายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสำเร็จทางการเรียนของบุคคลที่วัดได้จากระบวนการทดสอบหรือกระบวนการที่ไม่ต้องอาศัยการ ทดสอบด้วยวิธีการอย่างหลากหลาย เช่น การตรวจผลงานของผู้เรียน การสังเกตพฤติกรรม เป็นต้น จากการศึกษาความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทำให้ผู้วิจัยได้แนวคิดว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถหรือผลสำเร็จที่ได้รับจากกิจกรรมการเรียนการสอน เป็นผลรวมของมวลประสบการณ์ที่ได้รับจากการเรียนรู้ ในด้านของทักษะ ความรู้ ความสามารถใน การแก้ปัญหาและทักษะทางวิชาการรวมทั้งสมรรถภาพทางสมองด้านต่าง ๆ ซึ่งผลการเรียนรู้นั้น สามารถแสดงออกมาได้และสามารถที่จะวัดได้ 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เชิดศักดิ์ โฆวาสินธ (2525: 86 – 105) ได้แบงแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่มุงวัด พฤติกรรมด้านประชานวิสัย ซึ่งพฤติกรรมเหลานั้นยังจําแนกเป็นพฤติกรรมย่อย ๆ ดังรายละเอียดและ วิธีวัด ตอไปนี้ 1. ความรู-ความจํา เป็นความสามารถในอันที่จะรักษาไวซึ่งเรื่องราวต่าง ๆ ที่บุคคลได้รับรู เอาไวในสมอง และสามารถระลึกเกี่ยวกับเรื่องราวเหลานั้นได้เมื่อถูกกระตุนที่เหมาะสมโดยใหนิยามว า ความรูคือ บรรดาขอเท็จจริง รายละเอียด หรือมวลประสบการณทั้งหลายของรายวิชาที่นํามา ถ่ายทอด หรืออบรมสั่งสอนใหกับผู้เรียนความจํา คือ ความสามารถทางสมองของผู้เรียน ในการที่จะ เก็บรักษาความรูเหลานั้นไวไม่วาจะเป็นการเก็บไวชั่วคราว หรือถาวรก็ตาม ในการวัดความรู-ความจํา นั้นกระทำได้โดยการตั้งคําถามที่เกี่ยวเนื่องกับความรูความจํา แบงออกเป็น 3 ลักษณะตามชนิดของ ความรูดังนี้ 1.1 การวัดความรูเกี่ยวกับเนื้อเรื่อง เป็นการถามรายละเอียดของเนื้อหาขอเท็จจริง ซึ่งแบ่ง ลักษณะคําถามออกเป็น 2 ประเภท คือ 1.1.1 ถามศัพทและนิยาม เป็นคําถามที่เกี่ยวกับคําศัพทคําเทคนิคทางวิชาการสัญลักษณ์ ต่าง ๆ
33 1.1.2 ถามเกี่ยวกับสูตรและความจริง ลักษณะการถามความรูความจําในเรื่องนี้จะเป็น การถามขอเท็จจริงในเนื้อหา รายละเอียดของวิชา 1.2 การวัดความรูในวิธีดำเนินการ เป็นการถามเกี่ยวกับหลัก และกฎเกณฑในการประพฤติ ปฏิบัติหรือวิธีการปฏิบัติต่าง ๆ ซึ่งแบงลักษณะของคําถามออกเป็น 5 ประเภท คือ 1.2.1 ถามเกี่ยวกับระเบียบแบบแผน เป็นการถาม ถึงวิธีประพฤติปฏิบัติตามระเบียบแบบ แผน และธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ ตามที่สังคมได้ตกลงและกำหนดกันขึ้น 1.2.2 ถามเกี่ยวกับลำดับขั้นและแนวโนม เป็นการถามเกี่ยวกับลักษณะการเปลี่ยนแปลง ขั้นตอนการปฏิบัติงาน หรือของเรื่องราวและเหตุการณต่างๆ 1.2.3 ถามเกี่ยวกับการจัดประเภท เป็นการถามความสามารถในการจําแนกแจกแจงชนิด ของวัตถุสิ่งของ และเรื่องราวต่าง ๆ ใหเป็นหมวดหมูตามกฎเกณฑ 1.2.4 ถามเกี่ยวกับเกณฑเป็นการถามเกี่ยวกับการนําเอาคุณสมบัติสำคัญหนาที่ หรือเอก ลักษณที่เป็น ขอกำหนดหรือเกณฑในการพิจารณาวินิจฉัยขอเท็จจริงต่าง ๆ 1.2.5 ถามเกี่ยวกับวิธีการ เป็นการถามวิธีปฏิบัติหรือกรรมวิธีต่าง ๆ ที่จะทำใหได้มาซึ่ง ผลลัพธ์ตามที่ตองการ 1.3 การวัดความรูรวบยอดในเนื้อเรื่อง เป็นการถามความสามารถในการจดจำขอสรุป หรือ หลักการแนวการถามความรูรวบยอดนี้แบงเป็น 2 ชนิด คือ 1.3.1 ถามเกี่ยวกับหลักวิชาและการขยายหลักวิชา ได้แก การถามสาระสำคัญ ๆของเรื่อง 1.3.2 ถามเกี่ยวกับทฤษฎีและโครงสร้าง เป็นการถามใหเปรียบเทียบความเหมือน ความ แตกต่าง ความสัมพันธ์ 2. ความเขาใจ เป็นความสามารถในการเอาความรูความจําเกี่ยวกับเนื้อหา หรือรายละเอียด ของเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างรายละเอียดเหลานั้น ไปดัดแปลง ปรับปรุงใหม่ด้วยภาษาของตนเอง ซึ่งยังสามารถที่จะอธิบายและเปรียบเทียบสิ่งที่มีลักษณะใกลเคียงหรือคล้ายคลึงกับของเดิมได้การวัด ความเขาใจ จึงเป็นการวัดความสามารถ ในการที่จะอธิบายหรือแปลความหมายของสิ่งต่าง ๆ ตลอดจนวัดความสามารถในการหาความสัมพันธ์ระหว่างรายละเอียดย่อยของเรื่องนั้นมาอธิบายใหม่ ได้และสามารถขยายแนวคิดจากรายละเอียดที่มีอยู่นั้นได้ว้างไกลกวาสภาพขอเท็จจริง ที่ปรากฏอยู่ได้ คําถามที่ใชวัดแบงออกเป็น 2 ชนิด คือ
34 2.1 ถามการแปลความ เป็นการถามความสามารถในการถอดความตามนัยสําคัญของเรื่อง โดยสามารถอธิบายความหมายตามลักษณะดังกล่าวด้วยคําพูดใหม่ได้ 2.2 ถามเกี่ยวกับการขยายความ เป็นการถามที่มุงวัดการขยายความคิดใหกว้างไกลออกไป โดยอาศัย ขอเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ เป็นความสามารถในการจินตนาการอยางสมเหตุสมผล 3. การนําไปใชสมรรถภาพด้านนี้เป็นความสามารถในการแกปญหาที่พบเห็นใหม่ได้โดย อาศัยความสามารถดานความจำ ความเขาใจเป็นพื้นฐาน ในการแกปญหาใหม่ที่แปลกไปจากบทเรียน 4. การวิเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการแยกแยะรายละเอียดของสิ่งสําเร็จรูป ออกเป็นส่วนย่อย ๆ อย่างมรหลักเกณฑเพื่อหาข้อความจริงที่แฝงอยู่ในเรื่องราวนั้น สิ่งที่ควรทำความ เขาใจ เพื่อเป็นแนวการถามการวิเคราะห์มี 3 ลักษณะ คือ 4.1 ถามวิเคราะห์ความสำคัญ เป็นคำถามที่ตองการใหคนหาองคประกอบคุณลักษณะที่ สำคัญเดนชัด 4.2 ถามวิเคราะห์ความสัมพันธ์เป็นการถามใหผู้ตอบคนหาความสัมพันธ์ของคุณลักษณะ ย่อยต่าง ๆ วามีความเกี่ยวของ ผูกพัน หรือเชื่อมโยงกันเชนไร มักถามในแงความสัมพันธ์หรือ สอด คลองกัน ถามลักษณะการขัดแย้ง ถามสาเหตุและผลที่ตามมา 4.3 ถามวิเคราะห์หลักการ เป็นการถามเพื่อวัดความสามารถในการคนหาเคาเงื่อน หลักที่ ยึดถือความเชื่อ ระเบียบวิธีการ โครงสร้างของเรื่องราวนั้นวา ความสัมพันธ์ขององคประกอบย่อยเหล านั้น ประกอบกันเป็นโครงสร้างเช่นไร หรืออาศัยหลักการใดมาเชื่อมโยงความสัมพันธ์นั้น 3. คุณลักษณะของแบบทดสอบที่ดี ชวาล แพรัตกุล ได้ชี้แนะวา คุณลักษณะของแบบทดสอบที่ดีมี 10 ประการ คือ 1. แบบทดสอบที่ดีตองเที่ยงตรง ความเที่ยงตรง หมายถึง คุณสมบัติที่จะทำให้ผู้ใชบรรลุถึง วัตถุประสงคแบบทดสอบที่มีความเที่ยงตรงสูง คือ แบบทดสอบที่สามารถวัดสิ่งที่ตองการจะวัดได้ อย่างถูกตองตามความมุ่งหมาย 2. แบบทดสอบที่ดีตองยุติธรรม คือ คําถามที่ดีจะไม่ชี้แนะใหเด็กฉลาดเดาได้ถูก หรือเด็กขี้ เกียจแบบดูหนังสือลวก ๆ ก็ตอบได้ข้อสอบที่ดีจะตองไม่ลำเอียงตอเด็กกลุมใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ 3. แบบทดสอบที่ดีตองถามลึก คือ คําถามจะไม่ถามแต่เพียงความรูความจำแต่จะตองให นักเรียนนําความรูจากตําราไปวิเคราะห์ไปขยาย และนําไปใชคําถามที่ดีนั้น นักเรียนจะตอบได้ตองใช สมองคิด
35 4. แบบทดสอบที่ดีตองยั่วยุเป็นตัวอย่างคือ คําถามตองทาทายชวนใหนักเรียนคิดและ ประพฤติปฏิบัติไปตามนั้น เมื่อสอบแลวเกิดรอยประทับใจที่ดี 5. แบบทดสอบที่ดีตองเฉพาะเจาะจง คือ เมื่อนักเรียนอ่านคําถามก็จะเขาใจแจมชัดว่าครู ถามอะไร ตองการใหคิด ใหทำอะไร คําถามจะตองมาคลุมเครือ 6. แบบทดสอบที่ดีตองเป็นปรนัย มีคุณลักษณะ 3 ประการ คือ - ความแจมชัดในความหมายของคําถาม - ความแจมชัดในวิธีการตรวจ หรือมาตรฐานการใหคะแนน - ความแจมชัดในการแปลความหมายของคะแนนนั้น ๆ 7. แบบทดสอบที่ดีตองมีประสิทธิภาพ คือ ข้อสอบจะตองสามารถใหคะแนนที่เที่ยงตรง และ เชื่อถือได้มากที่สุด ภายในเวลา แรงงาน และการลงทุนที่น้อยที่สุด 8. แบบทดสอบที่ดีตองมีความยากพอเหมาะ คือ ข้อสอบที่ดีนั้นคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนที่ สอบได้ควรจะเทากับหรือสูงกวา 50 % ของคะแนนเต็มเล็กน้อย 9. แบบทดสอบที่ดีตองมีคาอำนาจจําแนก คือ ข้อสอบที่ดีจะสามารถแยกนักเรียนออกเป็น ประเภท ๆ ได้ทุกขั้นทุกระดับ อำนาจจำแนก หมายความวา เด็กเกงจะตอบถูกมากกวาเด็กออนเสมอ 10. แบบทดสอบที่ดีตองเชื่อมั่นได้ ข้อสอบที่ดีนั้นจะสามารถใหคะแนนได้คงที่แน่นอน (วัญญา วิศาลาภรณ์. 2530: 6 – 9) หลักเกณฑเบื้องตนในการสรางแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในการสรางแบบ ทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนั้น มีหลักเกณฑเบื้องตน ที่ควรพิจารณาประกอบในการสรางแบบ ทดสอบ (วัญญา วิศาลาภรณ. 2530: 12 – 13) ดังตอไปนี้ 1. วัดใหตรงกับวัตถุประสงคการสรางแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนควรจะวัดตาม จุดมุ่งหมาย ทุกอย่างของการสอน และจะตองมั่นใจวาได้วัดสิ่งที่ตองการวัดได้จริง ในปจจุบัน กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนด จุดประสงคการเรียนรูในทุกรายวิชา ดังนั้นจึงจำเป็นตองวัดใหตรง และครบตามจุดประสงค 2. การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นการวัดความเจริญงอกงามของนักเรียนการ เปลี่ยนแปลงและความก้าวหน้า ไปสู่จุดหมายที่วางไวดังนั้น ครูควรจะทราบว่าก่อนเรียนนักเรียนมี ความรูความสามารถเป็นอย่างไร เมื่อเรียนเสร็จแลว มีความรูความสามารถแตกต่างไปจากเดิมหรือไม่ วิธีที่อาจช่วยได้คือ การทดสอบกอนเรียนและการทดสอบหลังเรียน 3. การวัดผลเป็นการวัดทางออม เป็นนการยากที่จะใชข้อสอบแบบเขียนตอบวัดพฤติกรรม ตรง ๆ ของบุคคลได้สิ่งที่วัดได้คือ การตอบสนองต่อข้อสอบ ดังนั้น การแปลงจุดมุ่งหมายให เป็น พฤติกรรมที่จะสอบวัด จะตองทำอย่างรอบคอบและถูกตอง
36 4. การวัดผลการศึกษาเป็นการวัดที่ไม่สมบูรณเป็นการยากที่จะวัดทุกสิ่งทุกอย่างที่สอนได้ ภายในเวลาที่จํากัด สิ่งที่สอบได้วัดได้เป็นเพียงตัวแทนของพฤติกรรมทั้งหมดเทานั้น ดังนั้นจึงตอง มั่นใจวา สิ่งที่สอบวัดนั้นเป็นตัวแทนที่แท้จริงได้ 5. การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษานั้น มิใชวัดเพียงเพื่อจะได้เกรดเทานั้น การวัดผลยังเป็น เครื่องช่วยในการพัฒนาการสอนของครูเป็นเครื่องช่วยในการเรียนของนักเรียน ดังนั้นการสอบปลาย ภาคเพียงครั้งเดียว จึงไม่พอที่จะวัดกระบวนการเจริญงอกงามของนักเรียนได้ 6. ในการใหการศึกษาที่สมบูรณนั้น สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่การทดสอบแต่เพียงอย่างเดียว กระบวนการสอนของครูก็เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง 7. การวัดผลการศึกษามีความผิดพลาด ของที่ชั่งได้หนักเทากันโดยตาชั่งหยาบ ๆ อาจมี น้ำหนักต่างกัน ถาชั่งโดยตาชั่งละเอียด ทฤษฎีการวัดผลเชื่อวา คะแนนที่สอบได้ = คะแนนจริง + ความผิดพลาดในการวัด 8. การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ควรจะเนนการวัดความสามารถในการใชความรูใหเป็น ประโยชนหรือการนําความรูไปใชในสถานการณใหม่ 9. ควรคํานึงถึงขอจำกัดของเครื่องมือที่ใชในการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเครื่องมือที่ใช โดยมาก คือ ข้อสอบ ขอจำกัดของข้อสอบ ได้แก การเลือกตัวแทนของเนื้อหาเพื่อมาเขียนข้อสอบ ความเชื่อถือได้ของคะแนน และการตีความหมายของคะแนน เป็นตน 10. ควรจะใชชนิดของแบบทดสอบ หรือขอคําถามใหสอดคลองกับเนื้อหาวิชาที่จะสอบ และ จุดประสงคที่ตองการจะสอบวัด 11. ในสภาพแวดลอมที่ต่างกัน คะแนนที่สอบได้อาจแตกต่างกัน ดังนั้น ในการวัดผล การศึกษาจึงจะตองจัดสิ่งแวดลอมใหพอเหมาะ 12. ใหข้อสอบมรความเหมาะสมกับนักเรียนในด้านต่าง ๆ เชน มีความยากงายพอเหมาะ มี ระดับความยากง่ายของภาษาที่พอเหมาะ มีเวลาสอบนานพอที่นักเรียนสวนใหญ่จะทำข้อสอบได้เสร็จ 4. แนวคิดทั่วไปในการสรางแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ฮอพกินส ; และแสตนเลย (วัญญา วิศาลาภรณ. 2530: 20 – 21; อ้างอิงจาก Hopkins ; & Stanley. 1981: Educational and Psychological Measurement and Evaluation) ได้เ ส น อ แนวทางในการสร้าง ข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ดังนี้ 1. ข้อสอบควรจะวัดจุดประสงคที่สำคัญของการสอน และจุดประสงคที่ควรจะวัดในทันที 2. ข้อสอบควรจะสะทอนเนื้อหาและกระบวนการ โดยมีสัดสวนสัมพันธ์กับความสำคัญ – จุด มุ่งเน้นวิชา
37 3. ธรรมชาติของข้อสอบควรจะสะทอนถึงจุดประสงคการวัด เชน วัดความแตกต่างระหว่าง บุคคล หรือวัดการเรียนรู 4. ข้อสอบควรจะมีความยาวที่พอเหมาะ และมีระดับความยากของภาษาที่ใชเหมาะกับ ผู้สอน ในการสรางแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนั้น มีขอเสนอแนะบางประการดังตอไปนี้ 1. การสรางแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ควรจะวัดตามจุดมุ่งหมายทุกอย่างใน การสอนซึ่งการวางแผนการสอนนั้น ครูจะตองกำหนดเป้าหมายใหญ่ และตั้งจุดมุ่งหมายเฉพาะให ชัดเจนวา ตองการใหนักเรียนมีความงอกงามไปในทางใด ตลอดจนตั้งจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรม ซึ่งป จจุบันกระทรวงศึกษาธิการนิยมเรียกวา จุดประสงคเชิงพฤติกรรม จุดประสงคนั้น ๆจะสามารถวัด และสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนได้เมื่อทำการวัดผลการศึกษาแลว จึงทำการประเมินผลสัมฤทธิ์ทาง การศึกษา ในการทำการวัดผลควรจะวัดหลาย ๆ วิธีมิใชวัดแต่ความรูและทักษะเทานั้นควรจะมีการวัด ตามจุดมุ่งหมายอื่นๆ อีก เพื่อจะศึกษาดูวา นักเรียนได้บรรลุจุดมุ่งหมายที่ตองการแลวหรือไม่ เชน ครู ตั้งจุดมุ่งหมายจะดูความเจริญก้าวหนาของวิธีการเรียนรูของนักเรียน ถ้าครูได้สอนวิธีนําความรูไปใช ครูก็จะตองสรางแบบทดสอบเพื่อวัดความสามารถในการนําไปใชนั้นๆ 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนควรจะวัดความเจริญงอกงามของนักเรียนที่เรียนวาก้าวหนาไปสู่ จุดมุ่งหมายที่วางไวหมายความวา ครูควรจะทราบวานักเรียนมีความรูความสามารถอย่างไรเมื่อสอน ไปแลว นักเรียนมีความรูความสามารถต่างไปจากเดิมหรือไม่ 3. การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ควรจะเนนความสามารถที่ใชความรูนั้นใหเป็นประโยชน หรือนําความรูไปใชในสถานการณใหม่ ๆได้ 4. การวัดผลควรจะเนนความรูความจํา ความเขาใจของสิ่งที่เรียน เพื่อที่จะนําไปใชใน ระยะเวลานานๆ เกี่ยวกับโครงสร้างและแนวคิด และควรเนนความเขาใจมากกวาการจำขอเท็จจริงแต่ เพียงอย่างเดียว 5. การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ควรคำนึงถึงขีดจํากัดของเครื่องมือที่ใชวัดถ้าครูใช แบบทดสอบ เป็นเครื่องมือวัด ขีดจํากัดของแบบทดสอบก็คือ การเลือกตัวแทนของเนื้อหาที่เรียนมา เขียนข้อสอบ ความเชื่อถือได้ของคะแนน การตีความหมายของคะแนน เป็นตน 6. การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ครูผู้สอนไม่สามารถวัดพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงทุก ๆ อย่างของผู้เรียนได้สิ่งที่วัดเป็นเพียงตัวแทนของพฤติกรรมเทานั้น จึงตองระวังในการเลือกตัวแทนให ดีๆ
38 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการทำวิจัยเรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง เลขยกกำลัง โดยใช้การจัดการเรียนรูรูปแบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม (TGT) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัยได้ศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องและสอดคล้องกัน ดังนี้ 1.งานวิจัยในประเทศ วราทิพย์ หมื่นยุทธ(2556) ได้ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาชุดการเรียนคณิตศาสตร์ที่เน้น กระบวนการเรียนรู้แบบร่วมมือกลุ่มแข่งขันตอบปัญหา (TGT) เรื่องพื้นที่ผิวและปริมาตรสำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผลการวิจัยพบว่า 1.) ประสิทธิภาพของชุดการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ที่ เน้นกระบวนการเรียนรู้แบบร่วมมือกลุ่มแข่งขันตอบปัญหา(TGT) เรื่องพื้นที่ผิวและปริมาตร ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีค่าเท่ากับ 86.51/89.17 2.) ค่าดัชนีประสิทธิผลของ ชุดการเรียน วิชา คณิตศาสตร์ที่เน้นกระบวนการเรียนรู้แบบร่วมมือกลุ่มแข่งขันตอบปัญหา (TGT) เรื่อง พื้นที่ผิวและ ปริมาตร ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีคำเท่ากับ 8122 นั่นคือผู้เรียนมีความก้าวหน้าในการ เรียน ร้อยละ 81,22 ของความก้าวหน้าสูงสุดที่เป็นไปได้ )3. นักเรียนกลุ่มทดลอง ที่เรียนโดยใช้ชุด การเรียน วิชาคณิตศาสตร์ที่เน้นกระบวนการเรียนรู้แบบร่วมมือกลุ่มแข่งขันตอบปัญหา (TGT) เรื่อง พื้นที่ผิวและปริมาตร ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีคะแนนผลสัมฤทธิ์สูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุมที่เรียนโดย วิธีปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 พัฒนพงศ์ สมคะเน(2558) ได้ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาชุดการสอนคณิตศาสตร์ที่เน้น กระบวนการเรียนรู้แบบร่วมมือ แบบแข่งขันเป็นทีม (TGT) เรื่อง เลขยกกําลัง สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพของชุดการสอนคณิตศาสตร์ที่เน้นกระบวนการ เรียนรู้แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม (TGT) เรื่อง เลขยกกำลัง สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.44/81.80 2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 กลุ่มทดลองที่เรียนโดยใช้ชุดการสอนคณิตศาสตร์ที่เน้นกระบวนการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบ แข่งขันเป็นทีม (TGT) เรื่อง เลขยกกำลัง สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สูงกว่ากลุ่มควบคุมที่ เรียนโดยวิธีการสอนแบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) เจตคติต่อการเรียนวิชา คณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มทดลองที่เรียนโดยใช้ชุดการสอนคณิตศาสตร์ที่เน้น กระบวนการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม (TGT) เรื่อง เลขยกกำลัง สูงกว่ากลุ่มควบคุมที่ เรียนโดยวิธีการสอนแบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 นารีรัตน์ ขวัญรักษ์(2558) ได้ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาชุดการสอนคณิตศาสตร์ที่เน้นวิธี เรียนแบบร่วมมือกลุ่มแข่งขันตอบปัญหา (TGT) เรื่องพหุนาม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผลการวิจัยพบว่า 1.) ประสิทธิภาพของชุดการสอนคณิตศาสตร์ที่เน้นกระบวนการเรียนรู้แบบร่วมมือกลุ่มแข่งขันตอบ
39 ปัญหา (TGT) เรื่องพหุนาม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.31/79.40 2.) ดัชนี ประสิทธิผลของชุดการสอนคณิตศาสตร์ที่เน้นกระบวนการเรียนรู้แบบร่วมมือกลุ่มแข่งขันตอบปัญหา (TGT) เรื่องพหุนาม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เท่ากับ .6997 3.) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนของ นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มทดลองที่เรียนโดยใช้ชุดการสอนคณิตศาสตร์ที่เน้นกระบวนการ เรียนรู้แบบร่วมมือกลุ่มแข่งขันตอบปัญหา (TGT) เรื่องพหุนาม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สูงกว่ากลุ่ม ควบคุมที่เรียนโดยวิธีการสอนแบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4.) เจตคติต่อการเรียน วิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มทดลองที่เรียนโดยใช้ชุดการสอนคณิตศาสตร์ ที่เน้นกระบวนการเรียนรู้แบบร่วมมือกลุ่มแข่งขันตอบปัญหา (TGT) เรื่องพหุนาม สูงกว่ากลุ่มควบคุม ที่เรียนโดยวิธีการสอนแบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 พลพล ดำวัฒน์, นันทพร ชื่นสุพันธรัตน์(2563) ได้ทำการวิจัยเรื่องการศึกษาผลของการจัด กิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TGT ที่มีต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความคล้าย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3ผลการวิจัยพบว่า 1.) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TGT หลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2.) ความพึงพอใจที่มีต่อการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TGT ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 อยู่ในระดับมาก 3.) นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีความคงทนในการเรียน โดยจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TGT 2.งานวิจัยต่างประเทศ Arsaythamby and Chairhany (2013) ได้ศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง คำศัพท์ ระหว่างกลุ่มที่ใด้รับการสอน โดยใช้เทคนิค TGT และกลุ่มที่ได้รับการสอนด้วยวิธีปกติ กลุ่มตัวอย่างถูกสุ่มด้วยวิธี Cluster Random Sampling ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มทดลองที่ได้รับการ สอนโดยใช้เทคนิค TGT มีคะแนนเฉลี่ย เรื่อง คำศัพท์ 76.21 คะแนน และกลุ่มควบคุมที่ได้รับการ สอนด้วยวิธีปกติ มีคะแนนเฉลี่ย 69.2 คะแนน และจากข้อมูลทางสถิติ สรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนเรื่อง คำศัพท์ ของนักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้เทคนิค TGT และวิธีปกติมีความแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ Satya S.P. (2013) ได้ศึกษาผลของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค TGT ที่มี ต่อเจตคติและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนในจังหวัดเรียว ประเทศอินโดนีเซีย โดยใช้กลุ่ม ทดลอง จำนวน 32 คน ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค TGT และกลุ่มควบคุม จำนวน 32 คน ได้รับการสอนแบบดั้งเดิม (Chalk and talk) ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า นักเรียนที่ ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค TGT มีเจตคติและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่า