The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่องเลขยกกำลัง โดยใช้การเรียนรู้
แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Worakamon Khamchana, 2023-01-29 09:21:24

วิจัย TGT

การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่องเลขยกกำลัง โดยใช้การเรียนรู้
แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

40 นักเรียนที่ได้รับการสอนแบบดั้งเดิม อีกทั้งการศึกษายังแสดงให้เห็นว่า การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิค TGT ช่วยส่งเสริมสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ให้ตื่นตัวขึ้นและช่วยเพิ่มการอภิปรายใน ห้องเรียนระหว่างครูและนักเรียน Wade (1995 ; อ้างถึงใน วาสนา ทองดี. 2553 :78) ได้ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้าน ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเจตคติต่อวิชาชีววิทยา โดยใช้วิธีการสอน 3 วิธี คือ 1) การ สอนปกติ 2) การสอน โดยใช้การทดลอง และ 3) การสอนโดยใช้การทดลองร่วมกับคอมพิวเตอร์ช่วย สอน กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาคือนักเรียนเกรด 9 จำนวน 116 คน โดยทคลองสอน 9 สัปดาห์ พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์จากการทดลองสอน 3 วิธี มีความ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และพบว่าเจตคติที่มีต่อวิชาชีววิทยา ในการสอนแบบกลุ่มที่ 3 สูงกว่า กลุ่มที่ 1 และ 2 กรอบแนวคิดการวิจัย จากการที่ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องโดยมีตัวแปรต้นและตัวแปรตาม ดังนี้ ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม ภาพที่ 1 กรอบแนวคิด การจัดการเรียนรูรูปแบบร่วมมือ แบบแข่งขันเป็นทีม (TGT) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เลขยกกำลัง


บทที่ 3 วิธีการดำเนินการวิจัย การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์ เรื่อง เลขยกกำลัง ที่เรียนด้วยการเรียนรู้โดยใช้แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัยได้นำเสนอวิธีดำเนินการศึกษาตามหัวข้อต่อไปนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2. แบบแผนการวิจัย 3. เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา 1. แผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เลขยกกำลัง ที่เรียนด้วยการเรียนรู้โดยใช้ แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เลขยกกำลัง 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล 5. การวิเคราะห์ข้อมูล 6.สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1. ประชากร เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุดรธานีพิทยาคม ในจังหวัด อุดรธานี จำนวน 52 คน 2. กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 ในโรงเรียนอุดรธานีพิทยาคม แห่งหนึ่งในจังหวัดอุดรธานี ที่ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม จำนวน 16คน แบบแผนการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ เป็นการเรียนการสอนแบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม เรื่อง เลขยกกำลัง สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้แบบแผนการวิจัยแบบ One Group Pretest – Posttest Design(ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ, 2538 : 249) ซึ่งมีลักษณะแบบแผนการวิจัย ดังตารางที่ 1


42 ตารางที่ 1 แบบแผนการวิจัยจำแนกตามตัวแปรตาม ตัวแปรตาม แบบแผนการวิจัย หมายเหตุ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน One Group Pretest – Posttest Design ใช้แบบทดสอบฉบับ เดิม สัญลักษณ์ที่ใช้ในแบบแผนการทดลอง E แทน กลุ่มทดลอง (Experimental Group) T1 แทน การทดสอบก่อนเรียน (Pretest) X แทน วิธีการหรือสื่อนวัตกรรมที่เลือกใช้ T2 แทน การทดสอบหลังเรียน (Posttest) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. ลักษณะของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1.1 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือการเรียนรู้โดยใช้แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม เรื่อง เลขยกกำลัง สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 8 แผน รวมทั้งหมด 8 ชั่วโมง 1.2 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัย คือ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง เลขยกกำลัง ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน เป็นแบบทดสอบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 1 ฉบับ จำนวน 20 ข้อ 2. ขั้นตอนการสร้างและพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 2.1 ขั้นตอนการสร้างและพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ 2.1.1 วิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดตามเนื้อหาสาระที่ใช้ในการวิจัย 2.1.2 เขียนแผนการจัดการเรียนรู้ตามองค์ประกอบโดยที่ในขั้นตอนกิจกรรมการเรียนการ สอนจะใช้การเรียนรู้โดยใช้แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม เป็นขั้นตอนในการดำเนินการกิจกรรมการ เรียนการสอน โดยมีรายละเอียด ดังนี้ แผนที่ 1 ความหมายของเลขยกกำลัง จำนวน 1 ชั่วโมง แผนที่ 2 เลขยกกำลังที่มีเลขชี้กำลังมากกว่า 1 จำนวน 1 ชั่วโมง แผนที่ 3 การคูณเลขยกกำลังที่มีเลขชี้กำลังเป็นจำนวนเต็มบวก จำนวน 1 ชั่วโมง แผนที่ 4 การคูณเลขยกกำลังที่ฐานต่างกัน จำนวน 1 ชั่วโมง แผนที่ 5 การหารเลขยกกำลังที่มีเลขชี้กำลังเป็นจำนวนเต็มบวก(1) จำนวน 1 ชั่วโมง แผนที่ 6 การหารเลขยกกำลังที่มีเลขชี้กำลังเป็นจำนวนเต็มบวก(2) จำนวน 1 ชั่วโมง


43 แผนที่ 7 การเขียนจำนวนที่มีค่ามากๆ ให้อยู่ในรูปสัญกรณืวิทยาศาสตร์จำนวน 1 ชั่วโมง แผนที่ 8 การเขียนจำนวนที่มีค่าน้อยๆ ให้อยู่ในรูปสัญกรณืวิทยาศาสตร์ จำนวน 1 ชั่วโมง 2.1.3 นำเสนอแผนการจัดการเรียนรู้ต่อผู้เชี่ยวชาญเพื่อพิจารณาความสอดคล้องระหว่าง องค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ได้ออกแบบว่ามีความสอดคล้องกันหรือไม่อย่างไร หรือ ประเมินความเหมาะสมของการดำเนินการเรียนการสอนโดยใช้นวัตกรรมการเรียนรู้วิธีการหรือ นวัตกรรมการเรียนรู้สิ่งประดิษฐ์ที่ออกแบบว่ามีความเหมาะสมอยู่ในระดับใด 2.1.3.1 กรณีให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาโดยใช้ดัชนีความสอดคล้อง(IOC) จะมีเกณฑ์การ พิจารณาการให้คะแนนดังนี้ ให้ + 1 คะแนนเมื่อแน่ใจว่าองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้มีความถูกต้องความ เหมาะสมและสอดคล้องกัน 0 คะแนนเมื่อไม่แน่ใจองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้มีความถูกต้องความเหมาะสม และสอดคล้องกัน - 1 คะแนนเมื่อแน่ใจว่าองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้นั้นไม่มีความถูกต้องหรือไม่ มีความเหมาะสมหรือไม่มีความสอดคล้องกัน เมื่อนำผลการให้คะแนนของผู้เชี่ยวชาญมาคำนวณด้วยสูตรดัชนีความสอดคล้องจะต้องได้ค่า ดัชนีความสอดคล้องของแต่ละองค์ประกอบไม่น้อยกว่า 0.50 2.1.3.2 กรณีให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาโดยใช้เกณฑ์ความเหมาะสมของแต่ละ องค์ประกอบตามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับดังนี้ ให้ 5 คะแนน เมื่อพิจารณาว่าองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้มีความถูกต้องความ เหมาะสมและความสอดคล้องกันในระดับมากที่สุด 4 คะแนน เมื่อพิจารณาว่าองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้มีความถูกต้องความ เหมาะสมและความสอดคล้องกันในระดับมาก 3 คะแนน เมื่อพิจารณาว่าองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้มีความถูกต้องความ เหมาะสมและความสอดคล้องกันในระดับปานกลาง 2 คะแนน เมื่อพิจารณาว่าองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้มีความถูกต้องความ เหมาะสมและความสอดคล้องกันในระดับน้อย 1 คะแนน เมื่อพิจารณาว่าองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้มีความถูกต้องความ เหมาะสมและความสอดคล้องกันในระดับน้อยที่สุด เมื่อนำผลการให้คะแนนของผู้เชี่ยวชาญมาคำนวณด้วยการหาค่าเฉลี่ยที่จะต้องได้ค่าเฉลี่ยการ ประเมินความเหมาะสมขององค์ประกอบแต่ละองค์ประกอบเท่ากับ 3.50 ขึ้นไป


44 2.1.4 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผ่านการพิจารณาจากผู้เชี่ยวชาญไปทดลองใช้กับ นักเรียนกลุ่มเดี่ยว(กลุ่มละ 3-4 คน)หรือกลุ่มเล็ก (มีกลุ่มเดี่ยว 1-2 กลุ่ม) เพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ ของการจัดการเรียนการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้ 2.1.5 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผ่านการทดลองใช้ไปทดลองใช้จริงกับกลุ่มเป้าหมาย 2.2 ขั้นตอนการสร้างและพัฒนาแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ 2.2.1 วิเคราะห์ตัวชี้วัดในเนื้อหาสาระที่วิจัยปฏิบัติการเพื่อกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ เชิงพฤติกรรมแล้วดำเนินการสร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตรที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างจุดประสงค์ การเรียนรู้เชิงพฤติกรรมกลับพฤติกรรมการเรียนรู้ทางด้านสติปัญญา 2.2.2 เขียนข้อสอบตามตารางวิเคราะห์หลักสูตร 2.2.3 นำร่างแบบทดสอบเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญให้พิจารณาความถูกต้อง ความเหมาะสม และความสอดคล้องระหว่างข้อสอบแต่ละข้อกับจุดประสงค์การเรียนรู้เชิงพฤติกรรมและพฤติกรรม การเรียนรู้ทางด้านสติปัญญาโดยใช้ดัชนีความสอดคล้อง (IOC) โดยมีเกณฑ์การให้คะแนนของ ผู้เชี่ยวชาญดังนี้ ให้ + 1 คะแนนเมื่อแน่ใจว่าข้อสอบข้อนั้นมีความถูกต้องความเหมาะสมและความสอดคล้อง กับจุดประสงค์การเรียนรู้เชิงพฤติกรรมและพฤติกรรมการเรียนรู้ทางด้านสติปัญญา 0 คะแนนเมื่อไม่แน่ใจข้อสอบข้อนั้นมีความถูกต้องความเหมาะสมและความสอดคล้องกับ จุดประสงค์การเรียนรู้เชิงพฤติกรรมและพฤติกรรมการเรียนรู้ทางด้านสติปัญญา - 1 คะแนนเมื่อแน่ใจว่าข้อสอบข้อนั้นไม่มีความถูกต้อง หรือไม่มีความเหมาะสม หรือไม่มี ความสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้เชิงพฤติกรรมและพฤติกรรมการเรียนรู้ทางด้านสติปัญญา เมื่อนำผลการให้คะแนนของผู้เชี่ยวชาญมาคำนวณด้วยสูตรดัชนีความสอดคล้องจะต้องได้ค่า ดัชนีความสอดคล้องของข้อสอบแต่ละข้อจะต้องไม่น้อยกว่า 0.50 2.2.4 นำแบบทดสอบที่ผ่านเกณฑ์การพิจารณาดัชนีความสอดคล้องไปทดลองใช้กับ ผู้เรียนที่ได้เรียนเนื้อหานั้นมาแล้ว เพื่อนำผลการทดสอบมาคำนวณหาอำนาจจำแนกของข้อสอบที่ จะต้องได้ไม่น้อยกว่า 0.20 และคำนวณหาค่าความยากของข้อสอบที่จะต้องได้ระหว่าง 0.20 ถึง 0.80 2.2.5 นำแบบทดสอบที่ผ่านเกณฑ์การพิจารณาอำนาจจำแนกและความยากมาคำนวณหา ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับโดยใช้สูตรของคูเดอร์-ริชาร์ดสัน (K-R20) ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่น ทั้งฉบับเท่ากับ 0.70 ซึ่งในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับบได้เท่ากับ 0.70 ขึ้นไป 2.2.6 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษที่ผ่านเกณฑ์ไป ดำเนินการทดสอบกับกลุ่มเป้าหมาย


45 การเก็บรวบรวมข้อมูล การดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเองในภาคเรียน ที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ซึ่งดำเนินการทดลองกับกลุ่มตัวอย่างตามลำดับ ดังนี้ 1. ทำการทดสอบก่อนเรียน (Pre – test) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์ หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง เลขยกกำลัง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2. ผู้วิจัยดำเนินการสอนกลุ่มตัวอย่างด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นจำนวน 8 แผน โดยให้นักเรียนเรียนและปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ตามขั้นตอนการเรียนด้วยการเรียนรู้โดยใช้แบบร่วมมือ แบบแข่งขันเป็นทีม 3. เมื่อสิ้นสุดการทดลองแล้ว ให้นักเรียนทำการทดสอบหลังเรียน (Post - test) โดยใช้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ชุดเดิมกับการทำการทดสอบก่อนเรียนไป ทดสอบนักเรียนอีกครั้ง จากนั้นนำผลที่ได้ไปวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติต่อไป การวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ โดยการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบแข่งขัน เป็นทีม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัยดำเนินการโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติสำหรับ ข้อมูลทางสังคมศาสตร์ ตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1. ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยการหาคะแนน เฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและร้อยละ 2. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างก่อน เรียนและหลังเรียน โดยการทดสอบทีแบบไม่อิสระ (t – test for Dependent Samples) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. สถิติที่ใช้ในการศึกษาคุณภาพของเครื่องมือในการวิจัย 1.1 ดัชนีความสอดคล้องที่ใช้ตรวจสอบความเที่ยงตรงของเครื่องมือในการวิจัยดังสูตร IOC = N R เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์กับเนื้อหา หรือระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์ R แทน ผลรวมคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด


46 1.2 ความเชื่อมั่นของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้สูตรของคูเดอริชาร์ด สัน 21 ที่จะต้องได้ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั้งฉบับไม่น้อยกว่าร้อย ละ 70 1.3 อำนาจจำแนกของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่จะต้องได้ค่าอำนาจจำแนก ตั้งแต่ 0.20 ขึ้นไป 1.4 ความยากของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่จะต้องได้ค่าความยากของ ข้อสอบแต่ละข้ออยู่ระหว่าง 0.20 ถึง 0.80 หมายเหตุการคำนวณค่าสถิติในข้อ 1.2 ถึง 1.4 จะคำนวณโดยใช้โปรแกรม test analysis program : tap 2. สถิติที่ใช้ในการบรรยายข้อมูล 2.1 ถ้าเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลในกรณีที่ 1 จะมีการใช้สถิติในการบรรยายข้อมูลดังนี้ 2.1.1 คะแนนเฉลี่ย(µ) 2.2.2 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน() 2.2.3 ร้อยละ 2.2 ถ้าเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลในกรณีที่ 2 จะมีการใช้สถิติในการบรรยายข้อมูลดังนี้ 2.2.1 คะแนนเฉลี่ย (̅) 2.2.2 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 2.2.3 ร้อยละ 3. สถิติเชิงอ้างอิง 3.1 ใช้การทดสอบทีแบบกลุ่มเดียวระหว่างคะแนนหลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 70 3.2 ใช้การทอสอบทีแบบไม่อิสระระหว่างคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน


บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล จากการดำเนินการวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ 1) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวิชาคณิตศาสตร์โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม เรื่อง เลขยกกำลัง ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กับเกณฑ์ ร้อยละ 70 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ที่เรียนด้วยการเรียนรู้โดยใช้แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม เรื่อง เลขยกกำลัง ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน ซึ่งผู้วิจัยขอนำเสนอผล การวิเคราะห์ตาม วัตถุประสงค์ของการวิจัย และผลการศึกษาดังรายละเอียดต่อไปนี้ ตอนที่ 1 ผลการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์โดยใช้การเรียนรู้โแบบร่วมมือแบบ แข่งขันเป็นทีม เรื่อง เลขยกกำลัง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลคะแนนของผู้เรียนที่ได้จากการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนที่ เรียนด้วยการเรียนรู้โดยใช้แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม เรื่อง เลขยกกำลัง ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 เป็นรายบุคคลและภาพรวม ดังแสดงผลการวิเคราะห์ในตารางที่ 2 ตารางที่ 2 คะแนนที่ได้ ร้อยละ คะแนนเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของผลสัมฤทธิ์การเรียน วิชาคณิตศาสตร์ ที่เรียนด้วยการเรียนรู้โดยใช้แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม เรื่องเลขยกกำลัง ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนเรียนและหลังเรียนเป็นรายบุคคล คนที่ ก่อนเรียน หลังเรียน คะแนน ร้อยละ คะแนน ร้อยละ 1 4 20 16 80 2 3 15 12 60 3 7 35 11 55 4 8 40 16 80 5 7 35 16 80 6 6 30 13 65 7 2 10 11 55 8 2 10 15 75 9 9 45 12 60


48 ตารางที่ 2 คะแนนที่ได้ ร้อยละ คะแนนเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของผลสัมฤทธิ์การเรียน วิชาคณิตศาสตร์ ที่เรียนด้วยการเรียนรู้โดยใช้แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม เรื่อง เลขยกกำลัง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนเรียนและหลังเรียนเป็นรายบุคคล (ต่อ) คนที่ ก่อนเรียน หลังเรียน คะแนน ร้อยละ คะแนน ร้อยละ 10 6 30 14 70 11 9 45 20 100 12 4 20 18 90 13 9 45 15 75 14 8 40 11 55 15 8 40 11 55 16 5 25 19 95 คะแนนเฉลี่ย (x) 6.06 30.31 14.38 71.88 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 2.46 2.99 จากตารางที่ 2 พบว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ที่เรียนด้วยการ เรียนรู้โดยใช้แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม เรื่อง เลขยกกำลัง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ได้ คะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 6.06 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 30.31 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 14.38 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 71.88 ตอนที่ 2 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ที่เรียนด้วยการเรียนรู้โดยใช้ แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม เรื่อง เลขยกกำลัง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ระหว่าง ก่อนเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 70 ผู้วิจัยได้นำคะแนนของผู้เรียนที่ได้จากการทดสอบหลังเรียนเปรียบเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 ด้วยการทดสอบทีแบบกลุ่มเดียว (t – test for One Sample) ดังแสดงผลการวิเคราะห์ใน ตารางที่ 3


49 ตารางที่ 3 คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ และการทดสอบทีแบบกลุ่มเดียว โดย เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 70 กลุ่ม คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ t – test กลุ่มทดลอง 14.38 2.99 71.88 0.50 จากตารางที่ 3 พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ที่เรียนด้วยการ เรียนรู้โดยใช้แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม เรื่อง เลขยกกำลัง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ได้ คะแนนเฉลี่ยหลังเรียน เท่ากับ 14.38 คิดเป็นร้อยละ 71.88 เมื่อเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 ผลปรากฏ ว่า คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ ร้อยละ 70 ตอนที่ 3 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ที่เรียนด้วยการเรียนรู้โดยใช้ แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม เรื่อง เลขยกกำลัง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างก่อน เรียนกับหลังเรียน ผู้วิจัยได้นำคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ก่อนเรียนและหลังเรียน เปรียบเทียบกันด้วยการทดสอบทีแบบไม่อิสระ (t – test Dependent Sample) ดังแสดงผลการ วิเคราะห์ในตารางที่ 4 ตางรางที่ 4 คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ และการทดสอบทีแบบไม่อิสระ โดย เปรียบเทียบกับคะแนนเฉลี่ยระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน ผลการทดลอง คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ t – test ก่อนเรียน 6.06 2.46 30.31 8.69** หลังเรียน 14.38 2.99 71.88 หมายเหตุ **มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จากตารางที่ 4 พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ที่เรียนด้วยการ เรียนรู้โดยใช้แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม เรื่อง เลขยกกำลัง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ได้ คะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 6.06 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 30.31 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 14.38 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 71.88 เมื่อเปรียบเทียบกันด้วยการทดสอบทีแบบไม่อิสระ (t – test Dependent Sample) ผลปรากฏว่า คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01


บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ในการวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่องเลขยกกำลัง โดยใช้การเรียนรู้โดยใช้แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัย นำเสนอการสรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ดังนี้ วัตถุประสงค์ของการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์โดยใช้การเรียนรู้โดยใช้แบบร่วมมือ แบบแข่งขันเป็นทีม เรื่อง เลขยกกำลัง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียน การสอนวิชาคณิตศาสตร์โดยใช้การเรียนรู้โดยใช้แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม เรื่อง เลขยกกำลัง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน สมมติฐานการวิจัย 1. กิจกรรมการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์โดยใช้การเรียนรู้โดยใช้แบบร่วมมือแบบ แข่งขันเป็นทีม เรื่อง เลขยกกำลัง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพของกระบวนการ และผลลัพธ์ไม่น้อยกว่า 70/70 2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์โดย ใช้การเรียนรู้โดยใช้แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม เรื่อง เลขยกกำลัง มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน วิธีกำเนินการวิจัย 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.1 ประชากร เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 3 ห้องเรียน จำนวน 52 คน ภาคเรียน ที่ 1 ปีการศึกษาที่ 2565 โรงเรียนอุดรธานีพิทยาคม อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี


51 1.2 กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 จำนวน 16 คน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษาที่ 2565 โรงเรียน อุดรธานีพิทยาคม อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานีที่ได้มาจากวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 2.1 แผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ ที่จัดการเรียนรู้โดยใช้แบบร่วมมือแบบ แข่งขันเป็นทีม เรื่อง เลขยกกำลัง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 8 แผน แผนละ 1 ชั่วโมง รวม 8 ชั่วโมง 2.2 แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เลขยกกำลัง ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เป็นแบบทดสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ การเก็บรวบรวมข้อมูล การดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเองใน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ซึ่งดำเนินการทดลองกับกลุ่มตัวอย่างตามลำดับ ดังนี้ 3.1 ทำการทดสอบก่อนเรียน (Pre – test) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เลขยกกำลัง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 3.2 ผู้วิจัยดำเนินการสอนกลุ่มตัวอย่างด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้น จำนวน 8 แผน โดยให้นักเรียนเรียนและปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ตามขั้นตอนการเรียนรู้โดยใช้แบบร่วมมือแบบ แข่งขันเป็นทีม 3.3 เมื่อสิ้นสุดการทดลองแล้ว ให้นักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรียน (Post – test) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ชุดเดิมกับการทำการทดสอบก่อนเรียน ไปทดสอบนักเรียนอีกครั้ง จากนั้นนำผลที่ได้ไปวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติต่อไป การวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ โดยการเรียนรู้โดยใช้แบบ ร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัยดำเนินการโดยใช้โปรแกรม สำเร็จรูปทางสถิติสำหรับข้อมูลทางสังคมศาสตร์ (PSPP for Window) ตามขั้นตอนดังนี้ 4.1 ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยการหา คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และร้อยละ 4.2 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ระหว่าง คะแนนหลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 70 ด้วยการทดสอบทีแบบกลุ่มเดียว (t – test for One Sample)


52 4.3 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ระหว่าง ก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยแบบทดสอบทีแบบไม่อิสระ (t – test for Dependent Sample) สรุปผลการวิจัย การศึกษาวิจัยครั้งนี้สามารถสรุปผลได้ดังนี้ 1. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ที่เรียนด้วยการ เรียนรู้โดยใช้แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม ได้คะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 6.06 คะแนน คิดเป็น ร้อยละ 30.31 คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 14.36 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 71.88 และเมื่อ เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 70 พบว่า คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ ร้อยละ 70 2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ที่เรียนด้วยการ เรียนรู้โดยใช้แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม มีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน อภิปรายผลการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยมีประเด็นที่จะอภิปรายผลการวิจัย ดังนี้ 1. การเรียนรู้โดยใช้แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม ในรายวิชาคณิตศาสตร์ พื้นฐาน เรื่อง เลขยกกำลัง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เป็นการแข่งขันทีมที่สมาชิกในทีมจะต้อง มีความสามัคคีและคอยช่วยเหลือกัน อีกทั้งยังต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อทีม นักเรียนจึงให้ความร่วมมือใน การปฏิบัติกิจกรรม อีกทั้งการจัดทีมยังเป็นแบบคละความสามารถในแต่ละทีม จึงมีการช่วยเหลือซึ่ง กันและกัน คนเก่งกว่าอธิบายให้กับคนที่อ่อนกว่าให้เข้าใจในเนื้อหาและฝึกปฏิบัติตามใบงาน เพื่อเป็น การเตรียมความพร้อมให้สมาชิกภายในทีม ทำให้ทีมมีโอกาสทำคะแนนได้มาก ผลจากการแข่งขันทำ ให้นักเรียนมีความกระตือรือร้น และตั้งใจเรียน สอดคล้องกับ สมศักดิ์ ภูวิภาดาวรรธน์ (2544 : 4) ได้ กล่าวว่า การแข่งขันในเกมการเรียนแบบเผชิญหน้าจะทำให้เกิดความตื่นเต้น การที่ต้องแข่งขันจะทำ ให้นักเรียนใช้เวลาอย่างเป็นประโยชน์ และทีมเป็นส่วนสำคัญ ซึ่งเทคนิค TGT มีจุดเน้นคือทำให้ดีที่สุด เพื่อทีม และช่วยเหลือเพื่อนร่วมทีมให้มากที่สุด ซึ่งการสนับสนุนและให้กำลังใจเพื่อนให้ประสบ ความสำเร็จทางวิชาการเป็นสิ่งสำคัญในการเรียน สอดคล้องกับ Slavin (2455 : 13-14) ได้กล่าวว่า กิจกรรมการเรียนแบบกลุ่มแข่งขันเป็นการเรียนที่เน้นให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ด้วย ตนเอง เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ในเนื้อหาหลังจากที่เรียนจบแต่ละบท โดยในการเรียนจะแบ่งนักเรียน ออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 4 คน แต่ละกลุ่มจะมีผู้เรียนที่มีความสามารถแตกต่างกัน การจัดกลุ่มอาจจะดู จากผลการเรียน โดยเน้นให้สมาชิกที่มีความสามารถแตกต่างกันได้ช่วยกันในการเรียน ครูผู้สอนเป็นผู้


53 เลือกวิธีสอนตามความเหมาะสมของเนื้อหา หลังจากจบบทเรียนแต่ละกลุ่มจะได้รับบัตรงานหรือแบบ ฝึกเพื่อนำไปศึกษาร่วมกันมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ซักถามเพื่อความเข้าใจผู้ที่มีความรู้ความ เข้าใจดีแล้ว จะช่วยอธิบายเนื้อหาให้สมาชิกในกลุ่ม และมีการแข่งขันตอบคำถามในแต่ละเนื้อหา ศึกษาโดยส่งตัวแทนกลุ่มที่ไม่ช้ำกันเข้าทำการแข่งขัน คะแนนที่ได้จากการแข่งขันจะนำมารวมเป็น คะแนนของกลุ่ม มีการประกาศคะแนน ถ้ากลุ่มใดได้คะแนนเฉลี่ยถึงเกณฑ์จะมีรางวัลให้ ดังนั้นทุกคน ในกลุ่มต้องร่วมมือช่วยเหลือกันในการเรียนและรับผิดชอบต่องานกลุ่มร่วมกัน มุ่งเน้นผลประโยชน์ และความสำเร็จของกลุ่ม ซึ่งสอดคล้องกับ ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์ (2553 : 208) ได้กล่าวว่า การเรียนแบบ ทีมแข่งขัน (Team Games Tournament: TGT) เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ให้ผู้เรียนได้ รวมกลุ่ม เพื่อทำงานร่วมกันและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สมาชิกในแต่ละทีมจะประกอบด้วยสมาชิกที่ มีความสามารถแตกต่างกัน คือ ความสามารถสูง ปานกลาง และต่ำ มารวมกลุ่มกันในอัตราส่วน 1: 2: 1 ซึ่งสมาชิกของทีมจะได้แข่งขันกันในเกมเชิงวิชาการ โดยความสำเร็จของทีมจะขึ้นอยู่กับ ความสามารถของแต่ละบุคคลเป็นสำคัญ ซึ่งสอดคล้องกับ สุวิทย์ มูลคำ (2547 : 59- 62) ได้กล่าวว่า การเรียนรู้แบบแข่งขันทีมเป็นการบ่งผู้เรียนที่มีความสามารถแตกต่างกันออกเปีนกลุ่มเพื่อทำงาน ร่วมกัน กลุ่มละประมาณ 4 – 5 คน โดยกำหนดให้สมาชิกของกลุ่มได้แข่งขันกันในเกมการเรียนที่ ผู้สอนได้จัดเตรียมไว้แล้ว ทำการทดสอบความรู้ โดยการใช้เกมการแข่งขันคะแนนที่ได้รับจากการ แข่งขันของสมาชิกแต่ละคนในลักษณะการแข่งขันตัวต่อตัวกับทีมอื่นนำเอามาบวกเป็นคะแนนรวม ของทีม ผู้สอนจะต้องใช้เทคนิคการเสริมแรง เช่น ให้รางวัลคำชมเชย เป็นต้น ดังนั้นสมาชิกกลุ่ม จะต้องมีการกำหนดเป้าหมายร่วมกันช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อความสำเร็จของกลุ่ม และยัง สอดคล้องกับ อาภรณ์ ใจเที่ยง (2553 : 126-127) ได้กล่าวว่า เทคนิคกลุ่มร่วมมือแข่งขัน เป็น กิจกรรมที่สมาชิกในกลุ่มเรียนรู้เนื้อหาสาระจากผู้สอนด้วยกัน แล้วแต่ละคนแยกย้ายไปแข่งขัน ทดสอบความรู้ คะแนนที่ได้ของแต่ละคนจะนำมารวมกันเป็นคะแนนของกลุ่ม กลุ่มที่ได้คะแนนราม สูงสุดได้รับรางวัล 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เลขยกกำลัง ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม (TGT) มี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 ซึ่ง เป็นไปตามสมมติฐาน สอดคล้องกับผลการวิจัยของ ภูวภัทร อ่ำองอาจ (2561) ศึกษาเรื่อง การศึกษา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์และทักษะการคิดคำนวณ เรื่อง การบวกและการลบ ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-2 แบบคละชั้นเรียน ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ผลการศึกษาพบว่า 1) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-2 แบบคละชั้นเรียน หลังได้รับการจัดการ


54 เรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง การบวกและการลบ สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-2 แบบคละชั้นเรียน หลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT มีทักษะการคิดคำนวณวิชา คณิตศาสตร์ เรื่อง การบวกและกรลบ สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-2 แบบคละชั้นเรียน มีความคิดเห็นต่อการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือเทคนิค TGT อยู่ในระดับเห็นด้วยมาก และสอดคล้องกับผลการวิจัยของ อิสระพงศ์ โสภาใฮ (2560) ศึกษาเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและพฤติกรรมการทำงานกลุ่มโดยใช้การเรียนรู้ ด้วยเทคนิค TGT สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนมหาวิชานุกูล ผลการศึกษาพบว่า 1) การจัดการเรียนรู้ในรายวิชาคอมพิวเตอร์เบื้องต้น โดยใช้การเรียนรู้เทคนิค TGT ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 ประกอบด้วย ขั้นตอน ได้แก่ (1) ขั้นนำ (2) ขั้นสอน (3) ขั้นจัดทีม (1) ขั้นการแข่งขัน ตอบปัญหา และ (5) ขั้นสรุปผล การพัฒนาประสิทธิภาพกิจกรรมการเรียนมี 3 วงรอบ ปรากฎดังนี้ วงรอบที่ 1 ร้อยละ 40.97 วงรอบที่ 2 ร้อยละ 66.53 และวงรอบที่ 3 ร้อยละ 76.39 ซึ่งมีประสิทธิภาพ ตามเกณฑ์ที่กำหนด (ร้อยละ 75) 2) นักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้เทคนิค TGT มีคะแนน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ผ่าน คิดเป็นร้อยละ 83.06 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 7ร จำนวน 20 คน และ 3) นักเรียนมีพฤติกรรมการทำงานกลุ่มอยู่ในระดับมาก ( X̅ = 2.52, S.D. = 0.17) ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะสำหรับการนำผลวิจัยไปใช้ จากการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะสำหรับการเรียนรู้โดยใช้แบบร่วมมือแบบแข่งขัน เป็นทีม ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ซึ่งผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะในการนำไปใช้ดังนี้ 1.1 ในการจัดการเรียนรู้ในแต่ละกิจกรรม ครูควรกำหนดเวลาและคอยกระตุ้นเร่งให้ นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมให้ทันต่อเวลา 1.2 ควรศึกษาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม (TGT) เปรียบเทียบกับการจัดการเรียนรู้รูปแบบอื่น ๆ 1.3 ควรอธิบายเกมกิจกรรมในชั้นเรียนโดยใช้แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีมให้ ชัดเจน เพื่อให้นักเรียนความเข้าใจในการปฏิบัติกิจกรรม 1.4 ควรศึกษาการเรียนรู้โดยใช้แบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีมในกลุ่มสาระ คณิตศาสตร์ในระดับชั้นอื่น ๆ โดยปรับกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับเนื้อหาในแต่ละ ระดับชั้นของนักเรียนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการเรียนรู้ของนักเรียน


55 เอกสารอ้างอิง กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. การศึกษาเรื่อง การพัฒนาการเรียนรู้เรื่องคำในภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 6โดย ใช้เทคนิคกลุ่มแข่งขัน. (2556). [ออนไลน์]. ได้จาก: https://archive.lib.cmu.ac.th/full [สืบค้นเมื่อ 5 มีนาคม 2565] พัฒนพงศ์ สมคะเน. (2558). การพัฒนาชุดการสอนคณิตศาสตร์ที่เน้นกระบวนการเรียนรู้แบบ ร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม (TGT) เรื่อง เลขยกกําลัง สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. อุบลราชธานี. มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี. สืบค้นจาก https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/jitubru/article/view/58233 ภูวภัทร อ่ำองอาง. (2561). การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์และทักษะการคิด คำนวณเรื่อง การบวกและการลบ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-2 แบบคละชั้นเรียนที่ ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT. ปทุมธานี. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ธัญบุรี. สืบค้นจาก http://www.repository.rmutt.ac.th/dspace/bitstream มีนกร. (2553). การเรียนรู้แบบร่วมมือคืออะไร. สืบค้นเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์2565, จากเว็ปไซต์ https://www.gotoknow.org/posts/401180 วราทิพย์หมื่นยุทธ. (2556). การพัฒนาชุดการเรียนคณิตศาสตร์ที่เน้นกระบวนการเรียนรู้แบบ ร่วมมือกลุ่มแข่งขันตอบปัญหา (TGT) เรื่องพื้นที่ผิวและปริมาตรสำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3. อุบลราชธานี. มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี. สืบค้นจาก https://so02.tci-thaijo.org/index.php/SNGSJ/article/view/26726 อิสระพงศ์ โสภาใฮ. (2560). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม โดยใช้การเรียนรู้ด้วยเทคนิค TGT สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนมหาวิชานุ กูล. มหาสารคาม. มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. สืบค้นจาก http://fulltext.rmu.ac.th/fulltext/2560/121971/Sophahai%20Itsarapong.pdf?fbclid


56 เอกสารอ้างอิง (ต่อ) อุกฤษฏ์ ทองอยู่. (2562). การพัฒนาความสามารถการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ โดยใช้การ เรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2. กรุงเทพมหานครฯ. มหาวิทยาลัย ธุรกิจบัณฑิตย์. สืบค้นจาก http://libdoc.dpu.ac.th/thesis/Ukrit.Tho.pdf Koalamash Pachorn. (2559). ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์. สืบค้นเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์2565 จากเว็ปไซต์ https://sites.google.com/site/aboutme8890/work/bth- thi1/6-niyam-kha-saphth


ภาคผนวก


ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย


59 รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย ผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ ที่ประเมินแผนการจัดการเรียนรู้และ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีรายนามดังต่อไปนี้ 1. นางลักขณา สุปัญญา ครูชำนาญการพิเศษ สาขาวิชาคณิตศาสตร์ โรงเรียนอุดรธานีพิทยาคม อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี 2. นางละอองดาว เพ็งสา ครูชำนาญการพิเศษ สาขาวิชาคณิตศาสตร์ โรงเรียนอุดรธานีพิทยาคม อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี 3. นางสาวจุฬารักษ์ บุญชัย ครูชำนาญการพิเศษ สาขาวิชาคณิตศาสตร์ โรงเรียนอุดรธานีพิทยาคม อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี


ภาคผนวก ข แบบตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ


61 แบบตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือผู้เชี่ยวชาญ การหาค่าดัชนีความสอดคล้อง ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เลขยกกำลัง (Index of Item Objective Congruence : IOC) คำชี้แจง ขอให้ท่านพิจารณาประเมินแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ โดยทำเครื่องหมาย ในช่องผลการประเมินตามเกณฑ์การพิจารณาดังนี้ +1 หมายถึง รายการประเมินนั้นสอดคล้องกับจุดประสงค์และเนื้อหาสาระ 0 หมายถึง ไม่แน่ใจว่ารายการประเมินนั้นสอดคล้องกับจุดประสงค์และเนื้อหาสาระ - 1 หมายถึง รายการประเมินนั้นไม่สอดคล้องกับจุดประสงค์และเนื้อหาสาระ พร้อมให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม จุดประสงค์/ข้อสอบ ความคิดเห็น ของผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ +1 0 -1 จุดประสงค์ข้อที่ 1 นักเรียนสามารถเขียนจำนวนที่ กำหนดให้อยู่ในรูปเลขยกกำลังที่มีเลขชี้กำลังเป็น จำนวนเต็มบวกได้ 1. (−2) 8 ข้อใดอ่านผิด ก. ลบสองกำลังแปด ข. ลบสองทั้งหมดกำลังแปด ค. กำลังแปดของลบสอง ง. ลบสองทั้งหมดยกกำลังแปด 2. 8 5 ข้อใดเขียนอยู่ในรูปการคูณได้ถูกต้อง ก. 8 x 8 x 8 x 8 x 8 x 8 x 8 x 8 ข. 5 x 5 x 5 x 5 x 5 x 5 x 5 x 5 ค. 8 x 8 x 8 x 8 x 8 ง. 5 x 5 x 5 x 5 x


62 จุดประสงค์/ข้อสอบ ความคิดเห็น ของผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ +1 0 -1 3. ข้อใดคือเลขยกกำลังที่มากกว่า 1 ของจำนวน1,000 ก. 102 ข. 103 ค.104 ง. 105 4. ข้อใดเป็นเลขยกกำลังของ 32 ก. 3 2 ข. 5 4 ค.2 5 ง. (−2) 5 5.−3 4 ข้อใดอ่านไม่ถูกต้อง ก. ลบของสามยกกำลังสี่ ข. ลบสามทั้งหมดกำลังสี่ ค. ลบของสามกำลังสี่ ง. ลบของกำลังสี่ของสาม 6. 8 27 เขียนในรูปเลขยกกำลังได้ตามข้อใด ก. 3 2 2 4 ข. 2 5 3 3 ค. 2 5 3 4 ง. (−2) 5 (−3) 3 7. ข้อใดเขียนเลขยกกำลังที่มากกว่า 1 ของจำนวน 125 ได้ถูกต้อง ก.2 5 ข. 5 4 ค.5 3 ง. 5 2 8. 3 2 + 3 2 + 3 2 ข้อใดเขียนในรูปเลขยกกำลังได้ ถูกต้อง ก. 3 6 ข. 3 8 ค. 9 2 ง.9 8


63 จุดประสงค์/ข้อสอบ ความคิดเห็น ของผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ +1 0 -1 จุดประสงค์ข้อที่ 2 นักเรียนสามารถหาค่าของเลข ยก-กำลังที่มีเลขชี้กำลังเป็นจำนวนเต็มบวกได้ 9. 7 3 เลขยกกำลังนี้แทนจำนวนใด ก. 21 ข. 14 ค.343 ง. 49 10. ข้อใดมีค่ามากที่สุด ก. 2 3 ข. 3 2 ค. (−3) 5 ง. (−2) 5 11. ข้อใดมีค่าน้อยที่สุด ก. (−8) 2 ข. 3 3 ค. (−5) 2 ง. (−4) 3 12. (0.5) 3แทนจำนวนใด ก. 0.125 ข. 0.25 ค. 1.25 ง. 1.025 13. 7 0 + (2 3 × 2 2 ) มีค่าเท่ากับข้อใด ก. 33 ข. 36 ค.36 ง. 42 14. (−4) กับ 4 จะเท่ากันเมื่อ n เป็นจำนวนใด ก. จำนวนคี่ ข. จำนวนคู่ ค.จำนวนเต็มบวก ง. จำนวนนับ


64 จุดประสงค์/ข้อสอบ ความคิดเห็น ของผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ +1 0 -1 จุดประสงค์ข้อที่ 3 นักเรียนสามารถหาผลคูณของ เลข-ยกกำลังเมื่อเลขชี้กำลังเป็นจำนวนเต็มบวกและ นำสมบัติของเลขยกกำลังไปใช้ในการคำนวณ 15. ข้อใดไม่ถูกต้อง ก. 8 3 × 8 2 = 8 5 ข. 2 6 ÷ 2 3 = 2 9 ค.49 × 4 2 = 4 4 ง. 3 4 ÷ 3 2 = 3 2 16. M x M x M เขียนในรูปเลขยกกำลังได้ตามข้อใด ก. (−2) M ข. 3 M ค.M2 ง. M3 17. ข้อใดคือผลคูณของ 3 2 × 3 8 ในรูปเลขยกกำลัง ก. 3 5 ข. 9 5 ค.3 10 ง. 9 10 18. ข้อใดถูกต้อง ก. 3 5 × (−3) 2 = 3 3 , (−3) 7 ข. (−2) 5 × 2 3 = 2 8 , (−2) 8 ค. 5 10 × (−5) 5 = 5 5 , (−5) 15 ง. 9 8 × (−9) 3 = 9 5 , (−9) 5 19. 8 × 2 3 × 16 ข้อใดคือผลคูณในรูปยกกำลัง ก. 3 5 ข. 2 6 ค.2 10 ง. 3 10 20. ข้อใดต่อไปนี้เป็นจริง ก. 3 5 = −3 5 ข. 2 5 = 5 2 ค.3 4 = ( 1 3 ) 4 ง. 2 −3 = ( 1 2 3 )


65 จุดประสงค์/ข้อสอบ ความคิดเห็น ของผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ +1 0 -1 จุดประสงค์ข้อที่ 4 นักเรียนสามารถหาผลหารของ เลขยกกำลังเมื่อเลขชี้กำลังเป็นจำนวนเต็มบวกและ นำสมบัติของเลขยกกำลังไปใช้ในการคำนวณได้ 21. 4 9 ÷ 4 3 ข้อใดคือผลลัพธ์ในรูปเลขยกกำลัง ก. 4 6 ข. 4 3 ค.4 2 ง. 4 12 22. (−2) 7 ÷ (−2) 5 ข้อใดคือผลลัพธ์ในรูปเลขยก กำลัง ก. 2 2 ข. (−2) 12 ค.2 12 ง. (−2) 2 23. 5 0 มีค่าเท่ากับข้อใด ก. 5 ข. 1 ค.0 ง. -5 24. 3 3 ÷ 3 3 ผลลัพธ์คือข้อใด ก. 3 ข. 9 ค. 6 ง. 1 25. 3 0 + 5 0 + 1 0 มีค่าเท่ากับข้อใด ก. 1 ข. 9 ค. 3 ง. 0 26. ÷ ข้อใดถูกต้อง ก. ข. + ค. ง. −


66 จุดประสงค์/ข้อสอบ ความคิดเห็น ของผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ +1 0 -1 จุดประสงค์ข้อที่ 5 นักเรียนสามารถเขียนจำนวนที่มี ค่ามากๆ ให้อยู่ในรูปสัญกรณ์วิทยาศาสตร์ได้ 27. 4,520,000,000 ข้อใดเขียนในรูปสัญกรณ์- วิทยาศาสตร์ได้ถูกต้อง ก. 4.52 × 10 7 ข. 4.52 × 106 ค. 4.52 × 109 ง. 452 × 109 จุดประสงค์ข้อที่ 6 นักเรียนสามารถเขียนจำนวนที่มี ค่าน้อย ๆ ให้อยู่ในรูปสัญกรณ์วิทยาศาสตร์ได้ 28. 0.0000072 ข้อใดเขียนในรูปสัญกรณ์- วิทยาศาสตร์ได้ถูกต้อง ก. 7.2 × 106 ข. 7.2 × 10−6 ค. −7.2 × 106 ง. −7.2 × 10−6 จุดประสงค์ข้อที่ 7 นักเรียนสามารถหาค่าของ จำนวนที่อยู่ในรูปสัญกรณ์วิทยาศาสตร์ได้ 29. 3 × 10 4 แทนค่าของจำนวนในข้อใด ก. 0.00003 ข. 30,000 ค. 3,000 ง. -0.0003 30. 2.8 × 10−6 แทนค่าของจำนวนในข้อใด ก. 0.0000028 ข. -0.0000028 ค. 2,580,000 ง. -2,580,000 ลงชื่อ..........................................................ผู้ประเมิน (........................................................) วันที่...........เดือน...................................พ.ศ...............


67 แบบตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือผู้เชี่ยวชาญ การหาค่าดัชนีความสอดคล้อง ของแผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว (Index of Item Objective Congruence : IOC) คำชี้แจง ขอให้ท่านพิจารณาประเมินแผนการจัดการเรียนรู้ในแต่ละรายการประเมิน โดยทำเครื่องหมาย ในช่องผลการประเมินตามเกณฑ์การพิจารณาดังนี้ +1 หมายถึง รายการประเมินนั้นสอดคล้องกับแผนการจัดการเรียนรู้ 0 หมายถึง ไม่แน่ใจว่ารายการประเมินนั้นสอดคล้องกับแผนการจัดการเรียนรู้ - 1 หมายถึง รายการประเมินนั้นไม่สอดคล้องกับแผนการจัดการเรียนรู้ พร้อมให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม รายการประเมิน ผลการประเมิน ข้อเสนอแนะ +1 0 -1 1. แผนการจัดการเรียนรู้มีองค์ประกอบสำคัญครบถ้วน และสัมพันธ์กัน 2. เนื้อหา/สาระการเรียนรู้สอดคล้องกับจุดประสงค์ 3. กิจกรรมการเรียนรู้สอดคล้องกับเนื้อหาและ วัตถุประสงค์ 4. กิจกรรมการเรียนรู้หลากหลาย เหมาะสมและ สอดคล้องกับความสามารถนักเรียน 5. กิจกรรมการเรียนรู้เน้นทักษะกระบวนการคิด การลง มือปฏิบัติ และสร้างความรู้ด้วยตนเอง 6. กิจกรรมการเรียนรู้มีความยากง่ายเหมาะสมกับ ระดับชั้น 7. สื่อ/แหล่งเรียนรู้สอดคล้องกับกิจกรรมและ วัตถุประสงค์ 8. สื่อหลากหลายสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ วัย และ ความสามารถนักเรียน 9. วิธีการวัดผลและเครื่องมือสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ และกิจกรรม


68 รายการประเมิน ผลการประเมิน ข้อเสนอแนะ +1 0 -1 10. เกณฑ์การประเมินผลชัดเจน ครอบคลุมทั้งด้าน ความรู้ ทักษะ และเจตคติ ข้อเสนอแนะอื่น ๆ ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................ ................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................................................. ... ลงชื่อ..........................................................ผู้ประเมิน (........................................................) วันที่...........เดือน...................................พ.ศ...............


ภาคผนวก ค ผลการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ


70 ผลการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ การหาดัชนีความสอดคล้องของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ (Index of Item Objective Congruence : IOC) เรื่อง เลขยกกำลัง ข้อที่ ผลการประเมินผู้เชี่ยวชาญ รวม IOC แปลผล คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 1 0 +1 0 1 0.33 ตัดทิ้ง 2 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 3 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 4 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 5 +1 0 0 1 0.33 ตัดทิ้ง 6 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 7 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 8 0 0 +1 1 0.33 ตัดทิ้ง 9 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 10 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 11 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 12 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 13 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 14 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 15 +1 0 0 1 0.33 ตัดทิ้ง 16 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 17 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 18 0 0 +1 1 0.33 ตัดทิ้ง 19 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 20 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 21 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 22 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 23 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 24 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 25 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้


71 ผลการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ การหาดัชนีความสอดคล้องของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ (Index of Item Objective Congruence : IOC) เรื่อง เลขยกกำลัง ข้อที่ ผลการประเมินผู้เชี่ยวชาญ รวม IOC แปลผล คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 26 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 27 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 28 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 29 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 30 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ หมายเหตุ การแปลผลค่า IOC ใช้เกณฑ์ ดังนี้ IOC < หมายถึง ข้อสอบไม่สอดคล้องกับเนื้อหา ควรตัดข้อสอบนั้นทิ้งไป IOC > หมายถึง ข้อสอบสอดคล้องกับเนื้อหา สามารถใช้ข้อสอบข้อนั้นได้


72 ผลการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ การหาดัชนีความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ (Index of Item Objective Congruence : IOC) เรื่อง เลขยกกำลัง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 22 เรื่อง ความหมายของเลขยกกำลัง ข้อ รายการพิจารณา ความคิดเห็น ผู้เชี่ยวชาญคนที่ ค่า IOC แปลผล 1 2 3 1 แผนการจัดการเรียนรู้มีองค์ประกอบสำคัญครบถ้วน และสัมพันธ์กัน +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 2 เนื้อหา/สาระการเรียนรู้สอดคล้องกับจุดประสงค์ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 3 กิจกรรมการเรียนรู้สอดคล้องกับเนื้อหาและ วัตถุประสงค์ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 4 กิจกรรมการเรียนรู้หลากหลาย เหมาะสมและ สอดคล้องกับความสามารถนักเรียน +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 5 กิจกรรมการเรียนรู้เน้นทักษะกระบวนการคิด การ ลงมือปฏิบัติ และสร้างความรู้ด้วยตนเอง +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 6 กิจกรรมการเรียนรู้มีความยากง่ายเหมาะสมกับ ระดับชั้น +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 7 สื่อ/แหล่งเรียนรู้สอดคล้องกับกิจกรรมและ วัตถุประสงค์ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 8 สื่อหลากหลายสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ วัย และ ความสามารถนักเรียน +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 9 วิธีการวัดผลและเครื่องมือสอดคล้องกับ วัตถุประสงค์และกิจกรรม +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 10 เกณฑ์การประเมินผลชัดเจน ครอบคลุมทั้งด้าน ความรู้ ทักษะ และเจตคติ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้


73 ผลการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ การหาดัชนีความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ (Index of Item Objective Congruence : IOC) เรื่อง เลขยกกำลัง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 23 เรื่อง เลขยกกำลังที่มีเลขชี้กำลังมากกว่า 1 ข้อ รายการพิจารณา ความคิดเห็น ผู้เชี่ยวชาญคนที่ ค่า IOC แปลผล 1 2 3 1 แผนการจัดการเรียนรู้มีองค์ประกอบสำคัญครบถ้วน และสัมพันธ์กัน +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 2 เนื้อหา/สาระการเรียนรู้สอดคล้องกับจุดประสงค์ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 3 กิจกรรมการเรียนรู้สอดคล้องกับเนื้อหาและ วัตถุประสงค์ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 4 กิจกรรมการเรียนรู้หลากหลาย เหมาะสมและ สอดคล้องกับความสามารถนักเรียน +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 5 กิจกรรมการเรียนรู้เน้นทักษะกระบวนการคิด การ ลงมือปฏิบัติ และสร้างความรู้ด้วยตนเอง +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 6 กิจกรรมการเรียนรู้มีความยากง่ายเหมาะสมกับ ระดับชั้น +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 7 สื่อ/แหล่งเรียนรู้สอดคล้องกับกิจกรรมและ วัตถุประสงค์ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 8 สื่อหลากหลายสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ วัย และ ความสามารถนักเรียน +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 9 วิธีการวัดผลและเครื่องมือสอดคล้องกับ วัตถุประสงค์และกิจกรรม +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 10 เกณฑ์การประเมินผลชัดเจน ครอบคลุมทั้งด้าน ความรู้ ทักษะ และเจตคติ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้


74 ผลการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ การหาดัชนีความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ (Index of Item Objective Congruence : IOC) เรื่อง เลขยกกำลัง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 24 เรื่อง การคูณเลขยกกำลังที่มีเลขชี้กำลังเป็นจำนวนเต็มบวก ข้อ รายการพิจารณา ความคิดเห็น ผู้เชี่ยวชาญคนที่ ค่า IOC แปลผล 1 2 3 1 แผนการจัดการเรียนรู้มีองค์ประกอบสำคัญครบถ้วน และสัมพันธ์กัน +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 2 เนื้อหา/สาระการเรียนรู้สอดคล้องกับจุดประสงค์ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 3 กิจกรรมการเรียนรู้สอดคล้องกับเนื้อหาและ วัตถุประสงค์ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 4 กิจกรรมการเรียนรู้หลากหลาย เหมาะสมและ สอดคล้องกับความสามารถนักเรียน +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 5 กิจกรรมการเรียนรู้เน้นทักษะกระบวนการคิด การ ลงมือปฏิบัติ และสร้างความรู้ด้วยตนเอง +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 6 กิจกรรมการเรียนรู้มีความยากง่ายเหมาะสมกับ ระดับชั้น +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 7 สื่อ/แหล่งเรียนรู้สอดคล้องกับกิจกรรมและ วัตถุประสงค์ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 8 สื่อหลากหลายสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ วัย และ ความสามารถนักเรียน +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 9 วิธีการวัดผลและเครื่องมือสอดคล้องกับ วัตถุประสงค์และกิจกรรม +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 10 เกณฑ์การประเมินผลชัดเจน ครอบคลุมทั้งด้าน ความรู้ ทักษะ และเจตคติ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้


75 ผลการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ การหาดัชนีความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ (Index of Item Objective Congruence : IOC) เรื่อง เลขยกกำลัง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 25 เรื่อง การคูณเลขยกกำลังที่มีเลขชี้กำลังเป็นจำนวนเต็มบวก ข้อ รายการพิจารณา ความคิดเห็น ผู้เชี่ยวชาญคนที่ ค่า IOC แปลผล 1 2 3 1 แผนการจัดการเรียนรู้มีองค์ประกอบสำคัญครบถ้วน และสัมพันธ์กัน +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 2 เนื้อหา/สาระการเรียนรู้สอดคล้องกับจุดประสงค์ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 3 กิจกรรมการเรียนรู้สอดคล้องกับเนื้อหาและ วัตถุประสงค์ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 4 กิจกรรมการเรียนรู้หลากหลาย เหมาะสมและ สอดคล้องกับความสามารถนักเรียน +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 5 กิจกรรมการเรียนรู้เน้นทักษะกระบวนการคิด การ ลงมือปฏิบัติ และสร้างความรู้ด้วยตนเอง +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 6 กิจกรรมการเรียนรู้มีความยากง่ายเหมาะสมกับ ระดับชั้น +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 7 สื่อ/แหล่งเรียนรู้สอดคล้องกับกิจกรรมและ วัตถุประสงค์ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 8 สื่อหลากหลายสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ วัย และ ความสามารถนักเรียน +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 9 วิธีการวัดผลและเครื่องมือสอดคล้องกับ วัตถุประสงค์และกิจกรรม +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 10 เกณฑ์การประเมินผลชัดเจน ครอบคลุมทั้งด้าน ความรู้ ทักษะ และเจตคติ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้


76 ผลการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ การหาดัชนีความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ (Index of Item Objective Congruence : IOC) เรื่อง เลขยกกำลัง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 26 เรื่อง การหารเลขยกกำลังที่มีเลขชี้กำลังเป็นจำนวนเต็มบวก ข้อ รายการพิจารณา ความคิดเห็น ผู้เชี่ยวชาญคนที่ ค่า IOC แปลผล 1 2 3 1 แผนการจัดการเรียนรู้มีองค์ประกอบสำคัญครบถ้วน และสัมพันธ์กัน +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 2 เนื้อหา/สาระการเรียนรู้สอดคล้องกับจุดประสงค์ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 3 กิจกรรมการเรียนรู้สอดคล้องกับเนื้อหาและ วัตถุประสงค์ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 4 กิจกรรมการเรียนรู้หลากหลาย เหมาะสมและ สอดคล้องกับความสามารถนักเรียน +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 5 กิจกรรมการเรียนรู้เน้นทักษะกระบวนการคิด การ ลงมือปฏิบัติ และสร้างความรู้ด้วยตนเอง +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 6 กิจกรรมการเรียนรู้มีความยากง่ายเหมาะสมกับ ระดับชั้น +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 7 สื่อ/แหล่งเรียนรู้สอดคล้องกับกิจกรรมและ วัตถุประสงค์ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 8 สื่อหลากหลายสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ วัย และ ความสามารถนักเรียน +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 9 วิธีการวัดผลและเครื่องมือสอดคล้องกับ วัตถุประสงค์และกิจกรรม +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 10 เกณฑ์การประเมินผลชัดเจน ครอบคลุมทั้งด้าน ความรู้ ทักษะ และเจตคติ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้


77 ผลการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ การหาดัชนีความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ (Index of Item Objective Congruence : IOC) เรื่อง เลขยกกำลัง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 27 เรื่อง การหารเลขยกกำลังที่มีเลขชี้กำลังเป็นจำนวนเต็มบวก ข้อ รายการพิจารณา ความคิดเห็น ผู้เชี่ยวชาญคนที่ ค่า IOC แปลผล 1 2 3 1 แผนการจัดการเรียนรู้มีองค์ประกอบสำคัญครบถ้วน และสัมพันธ์กัน +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 2 เนื้อหา/สาระการเรียนรู้สอดคล้องกับจุดประสงค์ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 3 กิจกรรมการเรียนรู้สอดคล้องกับเนื้อหาและ วัตถุประสงค์ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 4 กิจกรรมการเรียนรู้หลากหลาย เหมาะสมและ สอดคล้องกับความสามารถนักเรียน +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 5 กิจกรรมการเรียนรู้เน้นทักษะกระบวนการคิด การ ลงมือปฏิบัติ และสร้างความรู้ด้วยตนเอง +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 6 กิจกรรมการเรียนรู้มีความยากง่ายเหมาะสมกับ ระดับชั้น +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 7 สื่อ/แหล่งเรียนรู้สอดคล้องกับกิจกรรมและ วัตถุประสงค์ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 8 สื่อหลากหลายสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ วัย และ ความสามารถนักเรียน +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 9 วิธีการวัดผลและเครื่องมือสอดคล้องกับ วัตถุประสงค์และกิจกรรม +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 10 เกณฑ์การประเมินผลชัดเจน ครอบคลุมทั้งด้าน ความรู้ ทักษะ และเจตคติ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้


78 ผลการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ การหาดัชนีความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ (Index of Item Objective Congruence : IOC) เรื่อง เลขยกกำลัง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 28 เรื่อง การเขียนจำนวนที่มี่ค่ามาก ๆ ให้อยู่ในรูปสัญกรณ์วิทยศาสตร์ ข้อ รายการพิจารณา ความคิดเห็น ผู้เชี่ยวชาญคนที่ ค่า IOC แปลผล 1 2 3 1 แผนการจัดการเรียนรู้มีองค์ประกอบสำคัญครบถ้วน และสัมพันธ์กัน +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 2 เนื้อหา/สาระการเรียนรู้สอดคล้องกับจุดประสงค์ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 3 กิจกรรมการเรียนรู้สอดคล้องกับเนื้อหาและ วัตถุประสงค์ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 4 กิจกรรมการเรียนรู้หลากหลาย เหมาะสมและ สอดคล้องกับความสามารถนักเรียน +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 5 กิจกรรมการเรียนรู้เน้นทักษะกระบวนการคิด การ ลงมือปฏิบัติ และสร้างความรู้ด้วยตนเอง +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 6 กิจกรรมการเรียนรู้มีความยากง่ายเหมาะสมกับ ระดับชั้น +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 7 สื่อ/แหล่งเรียนรู้สอดคล้องกับกิจกรรมและ วัตถุประสงค์ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 8 สื่อหลากหลายสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ วัย และ ความสามารถนักเรียน +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 9 วิธีการวัดผลและเครื่องมือสอดคล้องกับ วัตถุประสงค์และกิจกรรม +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 10 เกณฑ์การประเมินผลชัดเจน ครอบคลุมทั้งด้าน ความรู้ ทักษะ และเจตคติ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้


79 ผลการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ การหาดัชนีความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ (Index of Item Objective Congruence : IOC) เรื่อง เลขยกกำลัง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 29 เรื่อง การเขียนจำนวนที่มี่ค่าน้อย ๆ ให้อยู่ในรูปสัญกรณ์วิทยศาสตร์ ข้อ รายการพิจารณา ความคิดเห็น ผู้เชี่ยวชาญคนที่ ค่า IOC แปลผล 1 2 3 1 แผนการจัดการเรียนรู้มีองค์ประกอบสำคัญครบถ้วน และสัมพันธ์กัน +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 2 เนื้อหา/สาระการเรียนรู้สอดคล้องกับจุดประสงค์ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 3 กิจกรรมการเรียนรู้สอดคล้องกับเนื้อหาและ วัตถุประสงค์ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 4 กิจกรรมการเรียนรู้หลากหลาย เหมาะสมและ สอดคล้องกับความสามารถนักเรียน +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 5 กิจกรรมการเรียนรู้เน้นทักษะกระบวนการคิด การ ลงมือปฏิบัติ และสร้างความรู้ด้วยตนเอง +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 6 กิจกรรมการเรียนรู้มีความยากง่ายเหมาะสมกับ ระดับชั้น +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 7 สื่อ/แหล่งเรียนรู้สอดคล้องกับกิจกรรมและ วัตถุประสงค์ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 8 สื่อหลากหลายสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ วัย และ ความสามารถนักเรียน +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 9 วิธีการวัดผลและเครื่องมือสอดคล้องกับ วัตถุประสงค์และกิจกรรม +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 10 เกณฑ์การประเมินผลชัดเจน ครอบคลุมทั้งด้าน ความรู้ ทักษะ และเจตคติ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้


ภาคผนวก ง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เลขยกกำลัง ผลการวิเคราะห์ค่าความยากง่าย (p) และค่าอำนาจจำแนก (r)


81 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง เลขยกกำลัง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 20 ข้อ คะแนนเต็ม 20 คะแนน เวลา 50 นาที คำชี้แจง : แบบทดสอบฉบับนี้เป็นแบบทดสอบแบบเลือกตอบชนิด 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ โดยให้ นักเรียนทำเครื่องหมาย x ลงในกระดาษคำตอบในข้อที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว 1. 8 5 ข้อใดเขียนอยู่ในรูปการคูณได้ถูกต้อง ก. 8 x 8 x 8 x 8 x 8 x 8 x 8 x 8 ข. 5 x 5 x 5 x 5 x 5 x 5 x 5 x 5 ค. 8 x 8 x 8 x 8 x 8 ง. 5 x 5 x 5 x 5 x 5 2. 1,000 สามารถเขียนให้อยู่ในรูปเลขยกกำลัง ได้เท่าใด ก. 102 ข. 103 ค. 104 ง. 105 3. 8 27 เขียนในรูปเลขยกกำลังได้ตามข้อใด ก. 3 2 2 4 ข. (−2) 5 (−3) 3 ค. 2 5 3 4 ง. 2 3 3 3 4. ข้อใดเขียนเลขยกกำลังที่มากกว่า 1 ของ จำนวน 125 ได้ถูกต้อง ก. 5 3 ข. 5 4 ค. 2 5 ง. 5 2 5. 7 3 เลขยกกำลังนี้แทนจำนวนใด ก. 21 ข. 14 ค. 343 ง. 49 6. ข้อใดมีค่าน้อยที่สุด ก. (−8) 2 ข. 3 3 ค. (−5) 2 ง. (−4) 3 7. (0.5) 3 แทนจำนวนใด ก. 0.125 ข. 0.25 ค. 1.25 ง. 1.025 8. 7 0 + (2 3 × 2 2 ) มีค่าเท่ากับข้อใด ก. 33 ข. 36 ค.36 ง. 42 9. (−4) กับ 4 จะเท่ากันเมื่อ n เป็นจำนวนใด ก. จำนวนคี่ ข. จำนวนคู่ ค.จำนวนเต็มบวก ง. จำนวนนับ 10. M x M x M เขียนในรูปเลขยกกำลังได้ตาม ข้อใด ก. (−2) M ข. 3 M ค. M2 ง. M3 11. ข้อใดคือผลคูณของ 3 2 × 3 8 ในรูปเลขยกกำลัง ก. 3 10 ข. 9 5 ค. 3 5 ง. 9 10


82 12. 8 × 2 3 × 16 ข้อใดคือผลคูณในรูปเลขยกกำลัง ก. 3 5 ข. 2 6 ค. 2 10 ง. 3 10 13. 4 9 ÷ 4 3 ข้อใดคือผลลัพธ์ในรูปเลขยกกำลัง ก. 4 6 ข. 4 3 ค. 4 2 ง. 4 12 14. 5 0 มีค่าเท่ากับข้อใด ก. 5 ข. 1 ค.0 ง. -5 15. ÷ ข้อใดถูกต้อง ก. + ข. − ค. ง. 16. (−2) 7 ÷ (−2) 5 ข้อใดคือผลลัพธ์ในรูป เลขยกกำลัง ก. 2 2 ข. (−2) 12 ค. 2 12 ง. (−2) 2 17. 4,520,000,000 ข้อใดเขียนในรูปสัญกรณ์- วิทยาศาสตร์ได้ถูกต้อง ก. 4.52 × 10 7 ข. 4.52 × 106 ค. 4.52 × 109 ง. 452 × 109 18. 0.00072 ข้อใดเขียนในรูปสัญกรณ์- วิทยาศาสตร์ได้ถูกต้อง ก. 7.2 × 104 ข. −7.2 × 10−4 ค. −7.2 × 104 ง. 7.2 × 10−4 19. 3 × 10 4 แทนค่าของจำนวนในข้อใด ก. 0.00003 ข. 30,000 ค. 3,000 ง. -0.0003 20. 2.8 × 10−6 แทนค่าของจำนวนในข้อใด ก. 0.0000028 ข. -0.0000028 ค. 2,580,000 ง. -2,580,000


83 เฉลยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ข้อ ก ข ค ง ข้อ ก ข ค ง 1 × 11 × 2 × 12 × 3 × 13 × 4 × 14 × 5 × 15 × 6 × 16 × 7 × 17 × 8 × 18 × 9 × 19 × 10 × 20 ×


84 ผลการวิเคราะห์ค่าความยากง่าย (p) และค่าอำนาจจำแนก (r) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง เลขยกกำลัง ข้อที่ ประสิทธิภาพแบบทดสอบ ผลการวิเคราะห์ ค่าความยากง่าย (p) ค่าอำนาจจำแนก (r) 1 0.65 0.3 ใช้ได้ 2 0.6 0.2 ใช้ได้ 3 0.2 0.4 ใช้ได้ 4 0.2 0.2 ใช้ได้ 5 0.2 0.4 ใช้ได้ 6 0.2 0.4 ใช้ได้ 7 0.3 0.2 ใช้ได้ 8 0.2 0.2 ใช้ได้ 9 0.35 0.3 ใช้ได้ 10 0.5 0.4 ใช้ได้ 11 0.25 0.3 ใช้ได้ 12 0.2 0.4 ใช้ได้ 13 0.3 0.2 ใช้ได้ 14 0.25 0.3 ใช้ได้ 15 0.45 0.3 ใช้ได้ 16 0.25 0.3 ใช้ได้ 17 0.35 0.3 ใช้ได้ 18 0.35 0.3 ใช้ได้ 19 0.45 0.3 ใช้ได้ 20 0.2 0.4 ใช้ได้ หมายเหตุ การพิจารณาค่าความยาก (p) ที่พอเหมาะ ควรมีค่าตั้งแต่ 0.20 – 0.80 การพิจารณาค่าอำนาจจำแนก (r) ที่พอเหมาะ ควรมีค่าตั้งแต่ 0.20 ขึ้นไป


85 ผลการทดสอบระหว่างคะแนนก่อนเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 70 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป PSPP ผลการทดสอบค่าเฉลี่ยของสมมติฐานทางสถิติ (t – test for Dependent Sample) ระหว่างคะแนนก่อนเรียนกับคะแนนหลังเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป PSPP


ภาคผนวก จ ตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้


87 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 23 รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน รหัส ค21101 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เลขยกกำลัง เวลาเรียน 8 ชั่วโมง เรื่อง การเขียนเลขยกกำลังที่มีเลขชี้กำลังมากกว่า 1 เวลาเรียน 1 ชั่วโมง สอนวันที่.................................................. โรงเรียนอุดรธานีพิทยาคม ผู้สอน นางสาววรกมล คำชนะ มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ค 1.1 เข้าใจความหลากหลายของการแสดงจำนวน ระบบจำนวน การ ดำเนินการของจำนวน ผลที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการ สมบัติของการดำเนินการ และนำไปใช้ ตัวชี้วัด ค 1.1 ม.1/2 เข้าใจและใช้สมบัติของเลขยกกำลังที่มีเลขชี้กำลังเป็นจำนวนเต็มบวกในการ แก้ปญหาคณิตศาสตร์และปญหาในชีวิตจริง จุดประสงค์การเรียนรู้ 1) นักเรียนสามารถบอกได้ว่าเลขยกกำลังที่กำหนดให้เขียนแทนจำนวนใดได้ถูกต้อง (K) 2) นักเรียนสามารถเขียนจำนวนที่กำหนดให้อยู่ในรูปของเลขยกกำลังที่มีเลขชี้กำลังมากกว่า 1 ได้(P) 3) นักเรียนมุ่งมั่นในการหาคำตอบของการแก้ปัญหาภายในกลุ่ม (A) สาระสำคัญ การเขียนจำนวนให้อยู่ในรูปเลขยกกำลัง ทำได้โดยใช้การแยกตัวประกอบหรือเขียนจำนวนนั้น ในรูปการคูณของจำนวนที่ซ้ำๆกัน สาระการเรียนรู้ เลขยกกำลังที่มีเลขชี้กำลังมากกว่า 1


88 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. ทำความเข้าใจหรือสร้างกรณีทั่วไปโดยใช้ความรู้ที่ได้จากการศึกษากรณีตัวอย่างหลาย ๆ กรณี 2. มีความมุมานะในการทำความเข้าใจปัญหาและแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม (TGT) ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน 1. ครูแจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้ให้นักเรียนทราบถึงการเรียนวิชาคณิตศาสตร์โดยใช้รูปแบบการ สอนแบบร่วมมือแบบแข่งขันเป็นทีม TGT (Team Games Tournament) 2. ครูทบทวนการหาค่าของเลขยกกำลัง 3. ครูยกตัวอย่างการหาเลขยกกำลังโดยใช้วิธีแยกตัวประกอบหรือเขียนจำนวนนั้นให้อยู่ใน รูปการคูณของจำนวนที่ซ้ำ ๆ กัน ดังนี้ ตัวอย่าง จงเขียน 16 ให้อยู่ในรูปเลขยกกำลังที่มีเลขชี้กำลังมากกว่า 1 วิธีทำ 16 = 2 x 2 x 2 x 2 = 2 4 หรือ 16 = 4 x 4 = 4 2 หรือ 16 = (-2) x (-2) x (-2) x (-2) = (−2) 4 หรือ 16 = (-4) x (-4) = (−4) 2 ตอบ 2 4 , 4 2 , (−2) 4 , (−4) 2 4. ครูถามนักเรียนว่า 32 เลขในรูปเลขยกกำลังที่มีเลขชี้กำลังมากกว่า 1 ได้อย่างไร (แนวตอบ 2 x 2 x 2 x 2 x 2 = 2 5 ) 5. ครูยกตัวอย่างจำนวนที่เขียนในรูปเลขยกกำลังที่มีเลขชี้กำลังมากกว่า 1 เพิ่มเติมหลายๆ ตัวอย่างบนกระดาน ( 27 8 , 196, 216)


89 6. ครูแบ่งกลุ่มนักเรียนออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละ 4 คน โดยสมาชิกในกลุ่มประกอบด้วยนักเรียน ที่มีความสามารถแตกต่างกัน ได้แต่ นักเรียนเก่ง 1 คน นักเรียนปานกลาง 2 คน และนักเรียน อ่อน 1 คน โดยใช้คะแนนจากแบบทดสอบก่อนเรียนเรื่องเลขยกกำลัง จำนวน 20 ข้อชนิด แบบเลือกตอบสี่ตัวเลือก การแบ่งกลุ่มนี้จะใช้ตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุดการเรียนเรื่อง เลขยกกำลัง 7. ครูจัดโต๊ะแข่งขันทั้งหมด 4 โต๊ะ ประกอบด้วยโต๊ะที่ 1 สำหรับนักเรียนที่มีความสามารถเก่ง โต๊ะที่ 2-3 สำหรับนักเรียนที่มีความสามารถปานกลาง และโต๊ะที่ 4 สำหรับนักเรียนที่มี ความสามารถอ่อน 8. ครูจับนักเรียนที่มีความสามารถเหมือนกันของแต่ละกลุ่มมาแข่งขันที่โต๊ะแข่งขันแยก ความสามารถ 9. ครูแจกบัตรคำถามให้นักเรียนแข่งขันตอบทีละโต๊ะ ทำซ้ำ ๆ จนกระทั่งบัตรคำถามหมด ขั้นสรุป 10. ครูให้นักเรียนกลับกลุ่มเดิม แล้วนับรวมคะแนนของแต่ละคนในกลุ่ม สะสมคะแนนกลุ่มไว้ เพื่อการแข่งขันครั้งต่อไป 11. ครูมอบหมายให้นักเรียนทำแบบฝึกหัดที่ 3.1 ก ข้อ 2 หน้า 130 ในหนังสือเรียนรายวิชา พื้นฐานคณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เล่ม 1 ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560) เป็นการบ้าน 12. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายและสรุปเนื้อหาที่ได้เรียนมา


Click to View FlipBook Version