The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนปฏิบัติการพัฒนาการท่องเที่ยว 15 เขต<br>2. แผนปฏิบัติการพัฒนาการท่องเที่ยว ภายในเขตพัฒนาการท่องเที่ยววิถีชีวิตชายฝั่งอ่าวไทย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

15 Clusters: (2) แผนพัฒนาการท่องเที่ยววิถีชีวิตชายฝั่งอ่าวไทย

แผนปฏิบัติการพัฒนาการท่องเที่ยว 15 เขต<br>2. แผนปฏิบัติการพัฒนาการท่องเที่ยว ภายในเขตพัฒนาการท่องเที่ยววิถีชีวิตชายฝั่งอ่าวไทย

Keywords: แผนปฏิบัติการ 15 เขตพัฒนาการท่องเที่ยว,เขตพัฒนาการท่องเที่ยว,2.แผนพัฒนาการท่องเที่ยววิถีชีวิตชายฝั่งอ่าวไทย

92

3 องค์การบริหารสว่ นตาบล ประกอบดว้ ยองค์การบรหิ ารสว่ นตาบลบางคา องค์การบรหิ ารสว่ นตาบล
เมืองใหม่ และองค์การบรหิ ารสว่ นตาบลดงน้อย

อาเภอท่าตะเกียบ อาเภอท่าตะเกียบเดิมตั้งขึ้นเป็นกิ่งอาเภอท่าตะเกียบ
เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2534 และได้รับการยกฐานะเป็นอาเภอท่าตะเกียบ เมื่อปี พ.ศ.2539 มีพื้นที่
1,054.721 ตารางกิโลเมตร ทิศเหนือติดต่อกับอาเภอสนามชัยเขต ทิศตะวันออกติดต่อกับ
อาเภอเขาฉกรรจ์ อาเภอวังน้าเย็น และอาเภอวังสมบูรณ์ (จังหวัดสระแก้ว) ทิศใต้ติดต่อกับ
อาเภอแก่งหางแมว (จังหวัดจันทบุรี) และอาเภอบ่อทอง (จังหวัดชลบุรี) ทิศตะวันตกติดต่อกับ
อาเภอบ่อทอง อาเภอเกาะจันทร์ (จังหวัดชลบุรี) และอาเภอแปลงยาวแบ่งออกเป็น 2 ตาบล
47 หมู่บ้าน ประกอบด้วย ตาบลท่าตะเกียบ และตาบลคลองตะเกรา องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน
ในเขตอาเภอท่าตะเกียบ แบ่งออกเป็น 2 องค์การบริหารสว่ นตาบล ประกอบด้วยองค์การบริหารส่วน
ตาบลท่าตะเกยี บ และองคก์ ารบรหิ ารตาบลคลองตะเกรา

อาเภอคลองเขื่อน อาเภอคลองเข่ือนต้งั ขึ้นเมอ่ื วันที่ 18 พฤษภาคม 2536
มีพื้นที่ 127 ,400 ตารางกิโลเมตร ทิศเหนือติดต่อกับอาเภอบางน้าเปรี้ยว และอาเภอบ้านสร้าง
(จังหวัดปราจีนบุรี) ทิศตะวันออกติดต่อกับอาเภอบางคล้า ทิศใต้ติดต่อกับอาเภอบางคล้า และ
อาเภอเมืองฉะเชิงเทรา ทิศตะวันตกติดต่อกับอาเภอเมืองฉะเชิงเทรา และอาเภอบางน้าเปรี้ยว
เขตการปกครองแบ่งออกเป็น 5 ตาบล32 หมู่บ้าน ประกอบด้วย ตาบลก้อนแก้ว ตาบลคลองเขื่อน
ตาบลบางเลา่ ตาบลบางโรง และตาบลบางตลาด องค์กรปกครองสว่ นท้องถน่ิ ในเขตอาเภอคลองเข่ือน
แบ่งออกเป็น 5 องค์การบริหารส่วนต าบล ประกอบด้วย องค์การบริหารต าบลก้อนแก้ว
องค์การบริหารตาบลคลองเขื่อน องค์การบริหารตาบลบางเล่า องค์การบริหารตาบลบางโรง และ
องคก์ ารบริหารตาบลบางตลาด

93

2) ข้อมลู ประชากร ชาย หญิง รวม
ตารางท่ี 2.11 จานวนประชากรจังหวดั ฉะเชิงเทรา 350,690 364,319 715,009
ทมี่ า: ระบบสถติ ิทางการทะเบียน, 2561
ลกั ษณะข้อมลู 345,778 360,274 706,052
แยกตามเพศ 1,069 930 1,999
แยกตามลักษณะสถานะของบคุ คล 3,147 2,618 5,765
- ผทู้ ่ีมสี ัญชาติไทย และมีชื่ออยใู่ นทะเบียนบ้าน
-ผู้ท่ไี มไ่ ด้สญั ชาติไทย และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบา้ น 696 497 1,193
-ผทู้ ่มี ชี ือ่ อยใู่ นทะเบยี นบ้านกลาง (ทะเบียนซ่งึ ผูอ้ านวยการ
ทะเบยี นกลางกาหนดให้จัดทาขนึ้ สาหรับ ลงรายการบคุ คลท่ไี ม่
อาจมีชื่อในทะเบียนบ้าน)
-ผูท้ ี่อยู่ระหว่างการย้าย (ผู้ที่ย้ายออกแตย่ งั ไม่ไดย้ า้ ยเข้า)

ตารางที่ 2.12 จานวนประชากรแยกตามช่วงอายุ (ปี) เฉพาะผ้มู สี ัญชาติไทย และมีช่ืออยู่ในทะเบียนบ้าน
ท่มี า: ระบบสถติ ิทางการทะเบียน, 2561

ชว่ งอายุ จานวน จานวนประชากร จานวนประชากร สัดส่วน
ประชากร (หญิง) (ทั้งหมด) รอ้ ยละ
เด็กก่อนวยั เรยี น (ชาย)
(อายุ 0-4 ปี) 18,628 38,076 5
กลุ่มวยั เรยี น 19,448
(อายุ 5-19 ปี)
กลมุ่ วยั ทางาน 66,632 63,124 129,756 18
(อายุ 20-59 ป)ี
กลุ่มวยั สูงอายุ 212,503 216,800 429,303 61
(อายุตงั้ แต่ 60 ปขี ้นึ ไป)
47,195 61,722 108,917 16
รวม
345,778 360,274 706,052 100

94

7.3 จดุ แข็งจุดอ่อนของจงั หวดั ฉะเชงิ เทรา
7.3.1 จุดแขง็ (Strengths)
1) มีทาเลที่ตั้งใกล้กับกรุงเทพฯ ปริมณฑล และพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ เช่น

เส้นทาง Southern Economic Corridor และ East West Economic Corridor เป็นต้น รวมท้ัง
ตง้ั อยู่ใกลก้ ับสนามบนิ สุวรรณภมู ิ และท่าเรือแหลมฉบงั

2) จังหวัดฉะเชิงเทรามีโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์ และ
ยางลอ้ แห่งชาติ แลว้ เสรจ็ พรอ้ มใชง้ านในปีงบประมาณ 2562

3) จังหวัดฉะเชิงเทรามีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานการผลิต และ
พฒั นากาลงั คนอาชีวศกึ ษา เขตพฒั นาพิเศษจังหวัดฉะเชงิ เทรา ทว่ี ทิ ยาลัยสารพดั ชา่ งฉะเชงิ เทรา

4) มีความเข้มแข็งทางด้านอุตสาหกรรม โดยมีโรงงานอุตสาหกรรม และ
นิคมอุตสาหกรรมท่ีมีศกั ยภาพเปน็ จานวนมาก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนกิ ส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า
รถยนตแ์ ละส่วนประกอบแปรรูปอาหาร และเกษตรแปรรปู

5) มีครอบครัวและภาคประชาสังคมที่เข้มแข็ง เป็นต้นทุนทางสังคม
ทีช่ ว่ ยทาใหก้ ารพัฒนาจงั หวัดในด้านตา่ ง ๆ มโี อกาสประสบผลสาเร็จสงู

6) มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และประเพณีที่เอื้อต่อ
การพฒั นาการท่องเทยี่ วเชิงวฒั นธรรม

7) มีศาสนสถานสาคัญ ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนในจังหวัด และ
เป็นแหลง่ ท่องเทยี่ ววฒั นธรรมท่ีมีศักยภาพ

8) มีความเข้มแข็งทางด้านเกษตรกรรมปลอดภัยสูง เป็นแหล่งผลิตอาหาร
ที่มีศักยภาพในการเลี้ยงประชากรในประเทศ และส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ เช่น มะม่วง ไข่ไก่
ข้าว ปลากะพง สุกร ทมี่ ีชอ่ื เสียงของประเทศ เปน็ ต้น

9) มีศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดาริ ซึ่งเป็น
ศูนย์เรยี นรู้ทางด้านเศรษฐกจิ พอเพยี งและการเกษตรที่มีศักยภาพสูง และมีบริษทั หอ้ งปฏบิ ตั ิการกลาง
(ประเทศไทย) จากัด ท่ตี รวจสอบมาตรฐานผลผลิตเกษตร

10) ด้านการศึกษามีสถานศึกษาครอบคลุมทุกวัย โดยมีโรงเรียนนวัตกรรม
ผ้สู ูงอายตุ ้นแบบระดบั ประเทศ

11) มีระบบการให้บริการสาธารณสุขที่มีมาตรฐาน โดยมีโรงพยาบาล
ที่มีศักยภาพโดดเด่นหลายแห่ง เช่น โรงพยาบาลพนมสารคาม เป็นโรงพยาบาลนาร่อง
ด้านการส่งเสริมด้านโภชนาการสาหรับผู้ป่วยด้วยเกษตรปลอดภัยสูงเบอร์ 8 และมีโรงพยาบาล
คุณภาพ HA (Hospital Accreditation) จานวน10 แห่ง ดีเด่นระดับเขต และภาค เป็นต้น รวมทั้ง
มีการดาเนินงานค้มุ ครองผู้บรโิ ภคดา้ นอาหารปลอดภยั ดีเดน่ ระดับเขต และประเทศ

95

12) การจดั การความยุตธิ รรมทางการบริหาร ปัจจุบันมีหน่วยงานในกระทรวง
ยตุ ธิ รรมรับผดิ ชอบดแู ลเออื้ ต่อการสรา้ งการรบั รูด้ ้านกฎหมาย และอานวยความยตุ ิธรรม

13) มีทรัพยากรน ้าและป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ และมีความหลากหลาย
ทางชีวภาพ เช่น แม่น้าบางปะกง เขตรักษาพันธส์ุ ตั วป์ ่าเขาอา่ งฤาไน เป็นต้น

7.3.1 จดุ ออ่ น (Weaknesses)
1) ระบบโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคไม่เพียงพอต่อการรองรับ

ความเจริญเติบโตของจังหวดั ทั้งทางคมนาคม ประปา และระบบชลประทาน
2) ขาดการพัฒนาสินค้าเกษตรจากสินค้าขั้นปฐมโดยการต่อยอด

เขา้ ส่กู ารแปรรูปการเพ่มิ มลู ค่า หรอื เข้าสอู่ ุตสาหกรรมเกษตร หรอื การนาไปสกู่ ารแปรรูปเพ่อื ใช้บรโิ ภค
ภายในพืน้ ท่ี

3) ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม เช่น น้าเสีย
ภาวะมลพิษทางน้า และปัญหาคุณภาพน้าเนื่องจากการรุกล้าของน้าเค็ม ขยะตกค้างจานวนมาก
ที่เพิ่มขึ้นการอุปโภคบริโภค การบุกรุกพื้นที่ป่าไม้ และที่ดินสาธารณะ และการกัดเซาะชายฝั่ง และ
ขยะอิเล็กทรอนิกส์

4) มีคดีอาชญากรรมด้านโจรกรรม ยักยอกทรัพย์ ฉ้อโกง ในพื้นที่
เป็นจานวนมาก โดยมีจานวนคดีที่รับแจ้งต่อประชากรแสนคนสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศถึง 1 เท่า
(ขอ้ มูลปี 2561) และข้อพิพาทคดแี พง่ มปี ริมาณมากขึน้

5) ระดับคุณภาพการศึกษา ระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษา
ต่ากวา่ เกณฑ์เฉลย่ี ของกระทรวงศึกษาธกิ าร

7) ขาดแคลนแรงงานกึ่งฝีมือ/ทักษะฝีมือ ที่จะรองรับความต้องการ
ของตลาดแรงงานอันเนื่องมาจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของภาคอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม และ
เกษตรกรรม

8) ประชาชนมีปัญหาทางด้านสุขภาพค่อนข้างมาก โดยมีอัตราเพิ่มการเจ็บป่วย
ด้วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง มะเร็ง โรคหัวใจ และหลอดเลือดสมอง เฉลี่ยสูงกว่าค่าเฉลี่ยของ
ประเทศ (ขอ้ มลู ปี 2560)

9) ประชาชนในทุกช่วงวัยยงั มคี วามเหล่อื มล้าด้านการเขา้ ถึงสวสั ดิการของรัฐ
10) อบุ ตั ิเหตทุ างถนนมีจานวนเพ่ิมขน้ึ ทุกปี
11) ขาดการรับร้แู ละการปฏบิ ัติตามกฎหมายจราจร และกฎหมายท่ีเก่ียวข้อง
สง่ ผลให้เกิดอุบตั เิ หตุทางถนนเพิ่มข้นึ ทุกปี
12) ค่านิยมและทัศนคติของการเรียนต่อในปัจจุบัน ส่งผลให้มีผู้มาเรียน
สายอาชพี นอ้ ยลง ทาใหเ้ กิดภาวะขาดแคลนแรงงาน หรือไมต่ รงกับความต้องการของตลาดแรงงาน

96

7.4 การท่องเที่ยวของจงั หวัดฉะเชิงเทรา
เนื่องจากจังหวัดฉะเชิงเทรามีทาเลที่ตั้งทางภูมิศาสตร์เป็นที่ราบลุ่มริมน้า จึงพบว่า

ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ล่วงเลยมาจนถึงปัจจุบัน ฉะเชิงเทรานับว่าเป็นดินแดนแหง่ การเพาะปลูก
มีดินตะกอนอันสมบูรณ์ด้วยแร่ธาตุ รวมทั้งอุดมด้วยแหล่งน้า โดยมีแม่น้าบางปะกง
เป็นดั่งเสน้ เลือดใหญข่ องจังหวัด ชาวบ้านส่วนใหญ่ตั้งบ้านเรอื นอยู่ริมแมน่ ้าและริมลาคลองสาขาย่อย
โดยประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ ส่งผลให้แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ การท่องเที่ยว
ทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างข้ึน เช่น งานเทศกาลประเพณีต่าง ๆ
แสดงให้เห็นถึงความผูกพันกับสายน้าบางปะกง และจังหวัดเป็นจังหวัดที่เก่าแก่ส่งผลให้ในพื้นท่ี
มแี หลง่ ทอ่ งเทยี่ วมีจานวนมาก

97

7.4.1 สถติ ินักท่องเที่ยวของจังหวัดฉะเชิงเทรา

ตารางที่ 2.13 สถติ ิการท่องเท่ียวของจงั หวัดฉะเชิงเทรา พ.ศ. 2560-2561

ที่มา: กระทรวงการท่องเทย่ี วและกีฬา

รายการ มกราคม-ธนั วาคม

1. จานวนผเู้ ย่ยี มเยือน 2561 2560 % การเปลย่ี นแปลง
ชาวไทย
ชาวต่างประเทศ 3,408,573 3,239,899 + 5.21

นกั ท่องเทย่ี ว 3,376,527 3,209,047 + 5.22
ชาวไทย
ชาวต่างประเทศ 32,046 30,852 + 3.87

นักทัศนาจร 558,890 560,611 - 0.31
ชาวไทย
ชาวต่างประเทศ 551,294 552,960 - 0.30

2. ระยะเวลาพานักเฉลี่ยของนักทอ่ งเท่ยี ว(วัน) 7,596 7,651 - 0.72
ชาวไทย
ชาวตา่ งประเทศ 2,849,683 2,679,288 + 6.36

3.คา่ ใชจ้ า่ ยเฉล่ยี ของนักท่องเท่ียว (บาท/คน/วัน) 2,825,233 2,656,087 + 6.37
ผู้เยีย่ มเยือน
24,450 23,201 + 5.38
ชาวไทย
ชาวตา่ งประเทศ 1.80 1.84 - 0.04
นกั ท่องเท่ยี ว
ชาวไทย 1.80 1.84 - 0.04
ชาวต่างประเทศ
นักทัศนาจร 1.80 1.79 + 0.01
ชาวไทย
ชาวตา่ งประเทศ 1,295.240 1,254.73 + 3.23
4. รายไดจ้ ากการท่องเท่ียว(ล้านบาท) 1,292.470 1,252.19 + 3.22
ผเู้ ย่ียมเยือน 1,571.490 1,507.47 + 4.25
ชาวไทย 1,862.360 1,800.13 + 3.46
ชาวตา่ งประเทศ 1,858.890 1,797.28 + 3.43
สถานท่ีพกั แรม 2,115.840 2,011.68 + 5.18
หอ้ ง 1,095.020 1,044.81 + 4.81
อัตราการเขา้ พกั (%) 1,093.530 1,043.37 + 4.81
จานวนแขกที่มาพกั 1,267.080 1,209.86 + 4.73

ชาวไทย 4,994.01 4,655.55 + 7.27
ชาวตา่ งประเทศ 4,934.10 4,599.93 + 7.26
+ 7.71
59.91 55.62

15,75.0960 1,506 0
487,443 58.12 - 0.22
486,268 + 0.24
480,461 479,220 + 0.26
7,048 - 0.94
6,982

98

7.4.2 แหล่งทอ่ งเที่ยวทสี่ าคัญของจงั หวดั ฉะเชงิ เทรา
1) วัดโสธรวรารามวรวิหาร วัดโสธรวรารามวรวิหาร ตั้งอยู่ ตาบลหน้าเมือง

อาเภอเมืองฉะเชิงเทรา เป็นวัดที่สร้างขึ้นปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อว่า “วัดหงส์” สิ่งปลูกสร้าง
ทีถ่ อื ว่ามคี วามสาคญั ท่ีสุดในวัด คอื “พระอโุ บสถ” ซ่งึ เปน็ ทป่ี ระดิษฐาน “พระพทุ ธโสธร” พระพุทธรูป
ศักดส์ิ ิทธค์ิ ู่บ้านคู่เมืองฉะเชิงเทรา พระอุโบสถของวัดโสธรฯ ไดร้ ับการบูรณะและสร้างใหม่ รวมทั้งส้ิน
5 หลัง พระอุโบสถหลังแรกเป็นศาลาเรือนไม้ ต่อมาในปี พ.ศ. 2416 จึงมีการสร้างพระอุโบสถ
หลังที่ 2 พระอุโบสถหลังนี้สันนิษฐานว่าสร้างโดยพระยาวิเศษฤาชัย (ช้าง) เจ้าเมืองฉะเชิงเทรา
เนื่องจากมีหลักฐานปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรในแผ่นเงินจารึกเจดีย์ใหญ่วัดพยัคฆ์อินทาราม
(วัดเจดีย์) ตาบลบ้านใหม่ อาเภอเมืองฉะเชิงเทรา พระอุโบสถหลังที่ 3 สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2469 โดย
พลตรีพระยาสุรนารถเสนีย์ ผู้บัญชาการทหาร (ผบ.พล 9 ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ที่ค่ายศรีโสธรปัจจุบัน)
เป็นผู้หาทุนในการดาเนินการก่อสร้างเพื่อขยายพระอุโบสถให้กว้างขวางขึ้นกว่าหลังเดิม พระอุโบสถ
หลังนี้ถูกรื้อถอนไป เมื่อปี พ.ศ. 2497 พระอุโบสถหลังที่ 4 สร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2499 เนื่องจาก
บ้านเมืองขยายตัวมากขึ้น และพระอุโบสถหลังเดิมไม่สามารถรองรับจานวนประชาชนที่เดินทาง
มานมัสการหลวงพ่อพุทธโสธรที่มากขึ้นได้ ส่วนพระอุโบสถหลังที่ 5 สร้างขึ้นตามพระราชประสงค์
ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่ต้องการบูรณะพระอุโบสถ
วัดโสธรฯ ให้งดงามโดยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ได้เสด็จ
พระราชดาเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มาทรงวางศิลาฤกษ์
เมื่อวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2531 และเสด็จพระราชดาเนินมาประกอบพิธียกยอดฉัตรทองคา
เมื่อวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2539 พระอุโบสถหลังนี้ก่อสร้างแล้วเสร็จ ในปี พ.ศ. 2549 ถือเป็น
พระอุโบสถที่สร้างขึ้นด้วยความรู้ทางสถาปัตยกรรมที่ครบถ้วนทั้งพุทธศิลป์ สถาปัตยศิลป์ และ
วจิ ิตรศิลป์

2) วัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์ พระอารามหลวง วัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎ์ิ ตั้งอยู่
ตาบลหน้าเมือง อาเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3
เมื่อปี พ.ศ. 2377 โดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงรักษ์รณเรศร์ ชาวบ้านเรียกว่า “วัดเมือง”
ในปี พ.ศ. 2391 ถูกกบฏอั้งยี่เผากลายเป็นวัดร้าง พระยาวิเศษฤาชัย (บัว) เจ้าเมืองฉะเชิงเทรา
ได้ปฏิสังขรณ์วัดเมืองขึ้นใหม่ ต่อมาในปี พ.ศ. 2451 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 5 เสด็จเมืองฉะเชิงเทรา พระราชทานนามวัดเมอื งว่า “วัดปิตุลาธริ าชรังสฤษฎิ์” ซึ่ง แปลว่า
“วดั ที่อาของพระเจ้าแผ่นดนิ ทรงสรา้ ง”

3) วัดพยัคฆอินทาราม (วัดเจดีย์) วัดพยัคฆอินทาราม (วัดเจดีย์) ตั้งอยู่
ตาบลบ้านใหม่ อาเภอเมืองฉะเชิงเทรา สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อปี พ.ศ. 2416 แล้วเสร็จ
ในปี พ.ศ. 2424 โดยนายเสือและนางอิน ภรรยา ภายในวัดประกอบด้วยเจดีย์องค์ใหญ่บรรจุ

99

พระบรมสารีริกธาตุ พระอรหันตธาตุ และเจดีย์องค์เล็กอีก 2 องค์ วัดพยัคฆอินทารามยังเป็นสถานที่
สาคัญ ที่ค้นพบแผ่นเงินจารึกอันเป็นร่องรอยทางประวัติศาสตร์ของเมืองฉะเชิงเทรา จารึกประวัติ
ของ “นายช้าง” และ “นายเสือ” สองพี่น้องต้นตระกูลเก่าแก่ก่อนสมัยอยุธยา ซึ่งได้เห็น
การเคลื่อนย้ายและเปลี่ยนแปลงของเมืองฉะเชิงเทราในช่วงสมัยรัตนโกสินทร์ ในรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว “นายเสือ” ได้เป็นปลัดเมืองฉะเชิงเทรา “นายเสือ” และ
“นางอินทร์” ภรรยา ก็ได้สร้างเจดีย์องค์ใหญ่ที่ตาบลบ้านใหม่แห่งนี้ เมื่อการสร้างวัดแล้วเสร็จลง
ในปี พ.ศ. 2424 วัดจึงได้รับนามว่า “วัดพยัคฆอินทาราม (วัดเจดีย์)” ส่วน “นายช้าง”เจ้าเมือง
ฉะเชงิ เทรา ไดส้ ร้างพระอุโบสถที่วดั โสธร

4) วัดอุภัยภาติการามวัดอุภัยภาติการามเดิมชื่อว่า “วัดซาปอกง” ตั้งอยู่
ตาบลหนา้ เมอื ง อาเภอเมอื งฉะเชิงเทรา สรา้ งขึน้ เมือ่ ปี พ.ศ. 2449 เปน็ ทีป่ ระดษิ ฐานหลวงพอ่ โต หรือ
ที่ชาวไทยเชื้อสายจีนนิยมเรียกว่า “หลวงพ่อซาปอกง” ซึ่งในประเทศไทยมี 3 องค์ องค์หนึ่งอยู่ท่ี
วัดกัลยาณมิตร (ฝั่งธนบุรี) อีกองค์หนึ่งอยู่ที่วัดพนัญเชิง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้เสด็จพระราชดาเนินมาที่วัดอุภัยภาติการาม เมื่อวันที่
25 มกราคม พ.ศ. 2450 ทรงมีพระราชศรัทธาบริจาคเงิน 200 บาท เพื่อสมทบในการสร้างอาคาร
และปฏิสังขรณ์พระพุทธรูป (ซาปอกงแปดริ้ว) พร้อมกันนี้ได้พระราชทานนามวั ดนี้ว่า
“วัดอภุ ัยภาติการาม” และพระราชทานนามพระพทุ ธรปู องคน์ ี้วา่ “พระพทุ ธไตรรัตนนายก”

5) วัดจีนประชาสโมสร วัดจีนประชาสโมสรเดิมชื่อวัด “เล่งฮกย่ี” ตั้งอยู่
ตาบลบ้านใหม่ อาเภอเมืองฉะเชิงเทรา เป็นวัดจีนในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน มีอายุมากกว่า 100 ปี
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้เสด็จพระราชด าเนินมาท่ี
วดั จนี ประชาสโมสร เม่ือวันท่ี 25 มกราคม พ.ศ. 2450 ทรงมพี ระราชศรทั ธาบรจิ าคเงิน 80 บาท และ
พระราชทานนามวดั นว้ี า่ “วัดจีนประชาสโมสร”

6) ป้อมก าแพงเมืองฉะเชิงเทรา ป้อมก าแพงเมืองฉะเชิงเทรา ตั้งอยู่
ตาบลหน้าเมือง อาเภอเมืองฉะเชิงเทรา สร้างขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. 2377 ในสมัยพระบาทสมเด็จ
พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงรักษ์รณเรศร์เป็น
แมก่ องก่อสรา้ ง เพอื่ ปอ้ งกนั ข้าศึกทางทะเลเข้าโจมตีพระนคร กาแพงมีลักษณะก่ออฐิ ถือปูน มีแผนผัง
เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า วางตัวในแนวทิศเหนือ-ทิศใต้ ขนานกับแนวแม่น้าบางปะกง ขนาดความกว้าง
ของกาแพงเมือง ตามแนวทิศตะวันออก-ทิศตะวันตก 275 เมตร ความยาวตามแนวทิศเหนือ-ทิศใต้
565 เมตร ตัวกาแพงเมืองมีความหนา 1 เมตร ความสูงของกาแพง 4.90 เมตร มีคูเมืองขนาด
ความกว้างประมาณ 45-50 เมตร อยู่ห่างจากแนวกาแพงเมืองออกไปเป็นระยะทางประมาณ
75-100 เมตร ปากคูเมืองทางดา้ นทศิ เหนือและใต้บรรจบกบั แมน่ ้าบางปะกง ซ่ึงใชเ้ ปน็ ปราการสาคัญ

100

ของเมืองทางด้านทิศตะวันออก ภายในกาแพงมีเชิงเทินป้อมสังเกตการณ์ ป้อมปืนบริเวณมุมกาแพง
เมืองด้านทศิ ตะวนั ตกเฉยี งเหนือ และทศิ ตะวนั ตกเฉียงใต้

7) ศาลหลกั เมืองฉะเชิงเทรา ศาลหลกั เมืองฉะเชิงเทรา ต้ังอยู่ ตาบลหน้าเมือง
อาเภอเมืองฉะเชิงเทรา เป็นที่ประดิษฐานเสาหลักเมืองอันศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยคุ้มครองปกปักรักษาเมือง
แปดริ้วให้พ้นจากภยันตรายทั้งปวงมาแต่อดีตกาล ภายในศาลมีเสาหลักเมือง 2 เสา เสาหนึ่งเป็น
เสาหลักเมืองเก่า สร้างเมื่อ พ.ศ. 2377 สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3
อีกเสาหนึ่งเป็นเสาหลักเมืองปัจจุบัน สร้างเมื่อ พ.ศ. 2438 สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจา้ อยหู่ ัวรชั กาลท่ี 5

8) ศาลาว่าการมณฑลปราจีน (ศาลากลางจังหวัดฉะเชิงเทราหลังเก่า) ตั้งอยู่
ตาบลหน้าเมือง อาเภอเมืองฉะเชิงเทรา สร้างขึ้นเมื่อครั้งที่เมืองฉะเชิงเทราเป็นศูนย์อานาจรัฐ และ
เป็นที่ตั้งของที่ว่าการมณฑลปราจีน ในปี พ.ศ. 2449 เมื่อประเทศไทยยกเลิกระบบเทศาภิบาล
ศาลาวา่ การมณฑลแห่งนี้ถูกปรบั เปลยี่ นให้ใช้เปน็ ศาลากลางจงั หวดั ฉะเชงิ เทรา ต่อมาในปี พ.ศ. 2506
ได้ใช้เป็นที่ตั้งสานักงานเทศบาลเมืองฉะเชิงเทรา ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2527 อาคารหลังนี้
ถูกเพลิงไหม้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จทอดพระเนตรอาคารร้าง
ที่ถูกเพลิงไหม้ เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2535 และมีพระราชดาริให้บูรณะอาคารหลังนี้ขึ้นใหม่
ปัจจุบนั ใชเ้ ป็นที่ตั้งของสานักงานทรัพย์สินสว่ นพระมหากษตั รยิ จ์ ังหวัดฉะเชงิ เทรา

9) ศาลมณฑลปราจีน อาคารศาลมณฑลปราจีนตั้งอยู่ตาบลหน้าเมือง
อาเภอเมืองฉะเชิงเทรา สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2450 ในอดีตเป็นที่ตั้งของศาลมณฑลปราจีน ก่อสร้าง
ด้วยสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิกของยุโรป เมื่อวันท่ี 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 พระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
ขณะดารงพระอิสริยยศเป็นพระเจ้าน้องยาเธอฯ ได้เคยเสด็จประทับเปน็ องคป์ ระธานคณะผู้พิพากษา
ท่ีอาคารแห่งน้ี ปจั จบุ ันใช้เปน็ ท่ที าการพุทธสมาคมฉะเชิงเทรา

10) ตาหนักกรมหม่ืนมรุพงษ์ศิริพัฒน์ ตาหนกั กรมหมืน่ มรุพงษ์ศิริพัฒน์ ต้ังอยู่
เลขที่ 297 ถนนมรุพงษ์ ตาบลหน้าเมือง อาเภอเมืองฉะเชิงเทรา สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5
เพื่อเป็นที่พานักของกรมหมื่นมรุพงษ์ศิริพัฒน์ สมุหเทศาภิบาล ถือเป็นบ้านพักข้าราชการแห่งแรก
ของจงั หวดั ฉะเชิงเทรา ตาหนักนเี้ คยเปน็ ที่ประทบั แรมของพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในคราวเสด็จประพาสเมืองฉะเชิงเทรา 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2450 ครั้งที่ 2 เมื่อปี พ.ศ. 2451
ในการเสด็จประทับแรมครั้งแรก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทาน
พระบรมฉายาลักษณ์ พร้อมลายพระหัตถ์ความว่า “ให้ไว้สาหรับเรือนเทศาภิบาลมณฑลปราจิณ
(เมืองฉะเชิงเทรา) เป็นที่ระลึกในการที่ได้มาอยู่ในท่ีนี้ ได้ความสุขสบายมาก ตั้งแต่วันที่ 24 ถึงวันท่ี
29 มกราคม ร.ศ. 126” พระบรมฉายาลักษณ์ดังกล่าวยังอยู่เป็นอนุสรณ์คู่ตาหนักมาจนทุกวันนี้

101

นอกจากนี้ ตาหนักกรมหมื่นมรุพงษ์ศิริพัฒน์ยังเคยเป็นที่ประทับและทรงงานของพระบาทสมเด็จ
พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
ในรัชกาลที่ 9 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี ยามท่เี สด็จฯ เยอื นเมอื งฉะเชิงเทราด้วย

11) อาคารไม้สัก 100 ปี กองพันทหารช่างที่ 2 รักษาพระองค์ อาคารไม้สัก
100 ปี ค่ายศรีโสธร (กองพันทหารช่างที่ 2 รักษาพระองค์) ตั้งอยู่ ถนนศรีโสธร ตาบลหน้าเมือง
อาเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา สร้างเมื่อ พ.ศ. 2451 เดิมเป็นกองพลที่ 9 มณฑลปราจีน
เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 และ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดลุ ยเดช บรมนาถบพิตร ขณะทรงเป็นพระเจ้าน้องยาเธอฯ
ได้เสด็จพระราชดาเนินมายังกองพันทหารช่างที่ 2 (นามหน่วยเดิม) ซึ่งเป็นการเสด็จเยี่ยมราษฎร
ภาคตะวันออกเป็นครั้งแรก ปัจจุบันบริเวณอาคารไม้สัก 100 ปี เป็นที่ตั้งของกองบังคับการ
กองพนั ทหารชา่ งที่ 2 รักษาพระองค์

12) อนุสรณ์สถานพระสถูปเจดยี ์สมเดจ็ พระเจา้ ตากสินมหาราช อนุสรณส์ ถาน
พระสถูปเจดีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ตั้งอยู่บริเวณปากน้าโจ้โล้ (คลองท่าลาด) ตาบลปากน้า
อาเภอบางคล้า สรา้ งข้ึนเพอ่ื เป็นอนสุ รณเ์ ม่ือคร้ังสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เสด็จยกทัพผ่านเมือง
ฉะเชิงเทราไปเมืองจันทบูร เพื่อสร้างสมกาลังพลในการกอบกู้เอกราช ขณะที่เสด็จผ่านเมือง
ฉะเชิงเทราได้ปะทะกับพม่าบริเวณปากน้าโจ้โล้ ด้วยพระปรีชาสามารถของพระเจ้าตากสินมหาราช
พระองคร์ บชนะพมา่ ซง่ึ มกี าลังเหนอื กว่า และได้พกั ทัพบรเิ วณนี้ ดงั นนั้ จึงมกี ารกอ่ สร้างพระสถูปเจดีย์
เปน็ อนุสรณส์ ถานไว้ ณ บริเวณที่เสดจ็ ผ่านปากนา้ โจโ้ ล้ ในปี พ.ศ. 2491 บริเวณดังกล่าวถูกกระแสน้า
กัดเซาะจนพระเจดีย์พังทลาย ประมาณ พ.ศ. 2543 จึงมีการสร้างพระสถูปเจดีย์พระเจ้าตากสิน
มหาราชขึน้ ใหม่

วัฒนธรรมประเพณี และสถานท่ีสาคญั
1) ประเพณีแห่หลวงพ่อพุทธโสธร ประเพณีแห่หลวงพ่อพุทธโสธร

เป็นประเพณีโบราณที่จัดขึ้นมายาวนานกว่า 100 ปี ชาวเมืองฉะเชิงเทราจัดงานนมัสการ
หลวงพ่อโสธรเป็นประจาปีละ 3 ครั้ง ในงานเทศกาลกลางเดือน 5 งานเทศกาลกลางเดือน 12 และ
งานเทศกาลตรุษจีน ระหว่างวันขึ้น 12 ค่า ถึงวันแรม 1 ค่า เดือน 12 ของทุกปี จะมีประเพณี
แห่หลวงพ่อพุทธโสธรทั้งทางบกและทางน้า การแห่หลวงพ่อพุทธโสธรทางบก จัดในวันขึ้น 12 ค่า
เดือน 12 ชาวเมืองฉะเชิงเทรา จะทาพิธีอัญเชิญหลวงพ่อพุทธโสธรมาประดิษฐานบนรถขนาดใหญ่
เพื่อแห่รอบเมืองและประพรมน้ามนต์ ให้ประชาชนที่มารออยู่ข้างทาง ส่วนวันขึ้น 15 ค่า
ถึงวันแรม 1 ค่า เป็นวันแห่หลวงพ่อพุทธโสธรทางน้า ในวันนี้จะมีการอันเชิญหลวงพ่อพุทธโสธร

102

มาประดิษฐานในเรือขนาดใหญท่ ีต่ กแต่งอย่างงดงามแล้วแล่นไปตามลาน้าบางปะกงเพื่อให้ประชาชน
ได้นมสั การหลวงพ่อตามทา่ เรอื ตลอดลานา้

2) ประเพณีสักการะเจ้าพ่อเขากา เจ้าพ่อเขากามีประวัติว่าเป็นทหาร
ของพระเจ้าตากสินมหาราช เชื่อกันว่าเมื่อครั้งที่พระเจ้าตากสินยกทัพไปตีเมืองจันทบูร โดยผ่าน
มาทางปากนา้ โจ้โล้ อาเภอบางคลา้ แลว้ เดินทัพมาตามคลองทา่ ลาด ป่าพนมสารคามน้ัน เจา้ พอ่ เขากา
เกิดป่วยและเสียชีวิตลง เพื่อนทหารจึงช่วยกันฝังร่างของท่านไว้ในป่าและสร้างศาลไว้ใกล้กับบริเวณ
ทฝ่ี ังศพ เจ้าพอ่ เขากาได้แสดงอิทธฤิ ทธ์ิให้ชาวบ้านท่ผี ่านไปมาพบเห็นอยู่เป็นประจา และยังช่วยเหลือ
ชาวบ้านให้หายเจ็บป่วยด้วย ชาวบ้านจึงพากันแก้บนด้วยการเผาข้าวหลาม เผือก มัน และ
เครื่องบวงสรวงอื่น ๆ เป็นการตอบแทน ประเพณีสักการะเจ้าพ่อเขากาเป็นประเพณีประจาถิ่น
ของอาเภอท่าตะเกียบ จังหวัดฉะเชิงเทรา นิยมจัดขึ้นในวันขึ้น 3 ค่า เดือน 3 ของทุกปี ในวันน้ี
ประชาชนจะนาเครื่องบวงสรวงมาสักการะเจ้าพ่อเขากาตั้งแต่เช้ามืด เครื่องบวงสรวงสาคัญ คือ
ข้าวหลาม ยาเส้น และเหล้าป่า เพราะเชื่อว่าเป็นของที่เจ้าพ่อชื่นชอบเป็นพิเศษ ทั้งนี้ ก่อนวันงาน
จะมกี ารแข่งขนั เผาขา้ วหลาม และมีมหรสพสมโภชตลอดคนื

3) ประเพณีบุญบั้งไฟ อ าเภอท่าตะเกียบ งานประเพณีบุญบั้งไฟ
อาเภอท่าตะเกียบ เป็นประเพณีที่จัดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2520 ริเริ่มขึ้นโดยชาวอีสานที่อพยพมา
ตั้งถิ่นฐานในเขตอาเภอท่าตะเกียบ ระยะแรกเป็นงานเล็ก ๆ ที่จัดกันภายในหมู่บ้าน ต่อมามีผู้ให้
ความสนใจ และเข้าร่วมงานมากขึ้น จึงได้พัฒนากลายเป็นประเพณีบุญบั้งไฟประจา
อาเภอท่าตะเกียบจนถึงทุกวันนี้ งานประเพณีบุญบั้งไฟจะจัดขึ้นในเดือน 6 หรือเดือน 7
อันเป็นช่วงเริ่มเข้าฤดูการทานา เพื่อเป็นการบูชาพญาแถน และขอฝนให้ตกต้องตามฤดูกาล
งานจัดเป็นเวลา 2 วัน (เสาร์ – อาทิตย์) ที่ตาบลคลองตะเกราอาเภอท่าตะเกียบ ในงาน
มีการจัดกิจกรรมขบวนแหบ่ ั้งไฟ ขบวนเซิ้งนางรา การแสดงศิลปวฒั นธรรมเซ้ิงบ้ังไฟ และการแข่งขัน
จุดบั้งไฟ

4) ประเพณีขึ้นเขาเผาข้าวหลาม ชาวบ้านเชื้อสายเขมรชุมชนหัวสาโรง
รบั วัฒนธรรมพน้ื บ้านประเพณี “บญุ ขา้ วหลาม” ของชุมชนลาวท่ีต้ังถ่ินฐานอยู่ใน อาเภอพนมสารคาม
ซึ่งเป็นชุมชนใกล้เคียงกันผสมผสานกับประเพณีการปิดทองรอยพระพุทธบาทจาลองของชาวไทย
ภาคกลางในกลางเดือน 3 ในวันขึ้น 14 ค่า ชาวบ้านจะเผาข้าวหลามเพื่อนาไปถวายพระ
ในเช้าวันขึ้น 15ค่า โดยพากันเดินไปขึ้นเขาดงยางเพื่อปิดทองรอยพระพุทธบาทจาลอง ณ
วัดสวุ รรณครี ี บนเขาดงยาง และนาขา้ วหลามไปรับประทานบนเขา ชาวไทยเชื้อสายเขมรรับประเพณี
บญุ ขา้ วหลามเข้าเปน็ ประเพณีของตนเอง และปฏบิ ัตเิ ช่นเดียวกบั ชาวลาว

5) ประเพณีแห่ธงตะขาบ ประเพณีแห่ธงตะขาบเป็นประเพณี
ของชาวรามญั ท่ตี ้ังรกรากอย่บู ริเวณวัดพิมพาวาส อาเภอบางปะกง จดั ขึน้ ในช่วงเทศกาลวันสงกรานต์

103

ระหว่างวันที่ 12-13 เมษายนของทุกปี ในวันพิธีแห่ธงตะขาบแต่ละบ้านจะจัดเตรียมธงตะขาบ
เพื่อนาไปถวายวัด การแห่นิยมแห่ทางบก เมื่อถึงวัดชาวบ้านจะนาธงตะขาบไปผูกไว้กับต้นเสา
ในศาลาวัดเพ่ือทาพิธี เม่อื ถงึ เวลาพระสงฆจ์ ะนาสายสิญจนม์ าวางรอบธง จากนั้นพิธีถวายธงจะเริ่มข้ึน
ด้วยการกล่าวบทนมัสการคุณพระศรีรัตนตรัย ตามด้วยการสรงน้าพระพุทธรูปและพระสงฆ์
เสร็จแล้วชาวบ้านจะนาธงตะขาบขึ้นไปไว้บนเสาหงส์ โดยชาวบ้านมีความเชื่อว่าทุกครั้งที่ธงตะขาบ
ส่าย เพราะแรงลมจะทาใหบ้ รรพบุรษุ ทลี่ ่วงลบั ไปแลว้ ได้ขึน้ สวรรค์

6) ประเพณีทาบุญล้อมบ้าน ประเพณีทาบุญล้อมบ้านเป็นพิธีกรรม
ล้อมบ้าน (ฮีบ้าน) ของชาวไทยพวน อาเภอพนมสารคาม ซึ่งมีความเชื่อว่าในหมู่บ้านเกิดมีคนป่วย
และล้มตายติดต่อกันหลายคน ชาวบ้านเกิดความกลัว ผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านจึงพาชาวบ้านไปไหว้ศาล
ขอให้คุ้มครอง เจ้าพ่อได้มาเข้าทรงบอกว่าดวงบ้านดวงเมืองกาลังมีเคราะห์ เนื่องจากตั้งหมู่บ้าน
ไมม่ ีหลกั บา้ นหลกั เมือง ชาวบ้านจงึ ตงั้ หลักบ้านหลักเมืองไวบ้ รเิ วณใกล้ ๆ ศาล เรียกกันว่า “หลักศีล”
และให้ทาบุญเสียเคราะห์หมู่บ้าน โดยให้ชาวบ้านทุกหลังคาเรือนทากระทงหน้าวัว ปั้นคนโค กระบือ
มา้ สนุ ัข ไก่ ขา้ วดา ข้าวแดง ใสม่ าในกระทงหน้าววั ชว่ ยกนั หาหญ้าคามาถักตอ่ กนั ให้ยาวเพื่อลอ้ มรอบ
หมู่บ้าน ให้นาหญ้าคาและกระทงหน้าวัวนี้มารวมกัน ณ บริเวณศาล ทาบายศรีปากชามสู่ขวัญ
หลักบ้านหลักเมือง ทาบายศรีพุ่มสู่ขวัญชาวบ้าน เมื่อทุกคนพร้อมกันแล้วคนทรงอัญเชิญ
เจ้าพ่อประทับทรง เจ้าพ่อจะทาพิธีทาน้ามนต์รดกระทงรดหญ้าคา และให้นาหญ้าคาที่ทาพิธีแล้ว
ไปล้อมรอบหมู่บ้าน นากระทงไปส่งตามแยกต่าง ๆ ของหมู่บ้านเป็นการส่งผีส่งเคราะห์ร้าย
ออกไปจากหมู่บ้าน และไม่ให้ผีหรอื เคราะห์ร้ายใด ๆ เขา้ มาในหมบู่ า้ นได้อกี

8. สถานการณแ์ ละแนวโนม้ การท่องเท่ียว
8.1 สถานการณ์และแนวโน้มการท่องเทย่ี วระดบั โลก
ในปัจจุบันการท่องเที่ยวถือว่าเป็นรายได้ที่สาคัญของประเทศ จากรายงานประจาปี

ของ UNWTO (2019) กล่าวว่า การท่องเที่ยวระหว่างประเทศยังคงด าเนินต่อไปแซงหน้า
เศรษฐกจิ โลก โดยได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจโลกทคี่ ่อนข้างแข็งแกรง่ การเติบโตชนชัน้ กลางในประเทศ
เศรษฐกิจเกิดใหม่และเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า โมเดลธุรกิจใหม่ของการท่องเที่ยวในราคาย่อมเยา
ค่าใช้จ่ายและการอานวยความสะดวกในการขอวีซ่าขาเข้านักท่องเที่ยวต่างประเทศเพิ่มขึ้น 5%
ในปี 2561 จะบรรลุ 1.4 พันลา้ น ตวั เลขน้ี UNWTO พยากรณ์ว่าจะมาถงึ ในอกี สองปีขา้ งหน้า

ในเวลาเดียวกัน รายได้ที่เกิดจากการท่องเที่ยวเติบโตเป็น 1.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
สิ่งนี้ทาให้ส่วนนี้เป็นกาลังสาคัญระดับโลกสาหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาผลักดัน
การสร้างงานที่มากขึ้นและดีขึ้น และทาหน้าที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาสาหรับนวัตกรรม และ

104

การเป็นผู้ประกอบการ ในระยะสั้นการท่องเที่ยวช่วยสร้างชีวิตที่ดีขึ้นสาหรับคนหลายล้านคน และ
ทาใหเ้ กิดการเปล่ียนแปลงในชุมชนท้ังหมด

การเติบโตของจานวนนักท่องเที่ยวขาเข้าและรายได้จากนักท่องเที่ยว ยังคงแซงหน้า
เศรษฐกิจโลก และทั้งประเทศเกิดใหม่และประเทศพัฒนาแล้วกาลังได้รับประโยชน์จากรายได้
จากการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นปีที่เจ็ด การส่งออกการท่องเที่ยวเติบโตเร็วกว่าการส่งออก
สินคา้ ลดการขาดดุลการค้าในหลายประเทศ

ด้วยการเติบโตดังกล่าว นามาซึ่งความรับผิดชอบมากข้ึนในการรับรองการจัดการ
ปลายทางที่มีประสิทธิภาพที่ลดผลกระทบด้านการท่องเที่ยวให้เหลือน้อยที่สุด การจัดการ
การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนมีความสาคัญยิ่งกว่าที่เคย ความต้องการที่จะเติบโตในมูลค่ามากกว่า
เพียงแค่เชิงปริมาณ การจัดการให้เป็นระบบดิจิตอลสร้างนวัตกรรมช่วยให้การเข้าถึงได้ง่ายขึ้น และ
การเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพื่อสร้างส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งสถานที่และ
บริษัทเอกชนต่าง ๆ จะต้องปรับตัวให้มีความสามารถในการแข่งขัน ในขณะเดียวกัน ก็ต้องยอมรับ
พัฒนาการทอ่ งเทย่ี วเพ่ือใหบ้ รรลถุ งึ เป้าหมายการพัฒนาที่ย่ังยืนและสร้างอนาคตทด่ี กี วา่ สาหรบั ทุกคน

ภาพที่ 2.8 แสดงจานวนนักท่องเทยี่ วขาเข้าและรายได้จากการท่องเทยี่ ว (% เปล่ยี นแปลง)
ท่ีมา: องค์การการท่องเที่ยวโลก (UNWTO), 2019

จากภาพที่ 2.8 แสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างยั่งยืนติดต่อกันเป็นปีที่ 9 การท่องเที่ยว
มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เมื่อเวลาผ่านไปผลกระทบเป็นครั้งคราวแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง
และความยดื หยุน่ ของภาคการทอ่ งเท่ียว

105

ภาพท่ี 2.9 แสดงจานวนนกั ท่องเท่ียวจากต่างประเทศและรายรบั จากการท่องเที่ยว
(พันลา้ นเหรียญสหรัฐ)
ทีม่ า: องค์การการท่องเที่ยวโลก (UNWTO), 2019

จากภาพที่ 2.9 นักท่องเที่ยวขาเข้าในปี พ.ศ. 2561 มีจานวน 1,401 ล้านคน และมีรายได้
จากการท่องเที่ยวคิดเปน็ เงิน 1,451 พนั ลา้ นเหรียญสหรัฐ

ภาพที่ 2.10 แผนทจี่ านวนนกั ทอ่ งเที่ยวขาเข้า (ล้านคน) และรายรับจากการท่องเที่ยว
(พนั ล้านเหรยี ญสหรฐั )
ทมี่ า: องคก์ ารการท่องเทย่ี วโลก (UNWTO), 2019

106

จากภาพที่ 2.10 แสดงจานวนนักท่องเที่ยวแยกตามทวีป โดยภูมิภาคอเมริกา
มีจานวนนักท่องเที่ยวขาเข้าจานวน 216 ล้านคน มีการเปลี่ยนแปลง +2% มีรายได้จากท่องเที่ยว
334 พันล้านเหรียญสหรัฐ มีการเปลี่ยนแปลง +0% ภูมิภาคแอฟริกา มีจานวนนักท่องเที่ยวขาเข้า
จานวน 67 ล้านคน มีการเปลี่ยนแปลง +7% มีรายได้จากท่องเที่ยว 38 พันล้านเหรียญสหรัฐ
มีการเปลี่ยนแปลง + 2% ภูมิภาคยุโรป มีจานวนนักท่องเที่ยวขาเข้าจานวน 710 ล้านคน
มีการเปลี่ยนแปลง +5% มีรายได้จากท่องเที่ยว 570 พันล้านเหรียญสหรัฐ มีการเปลี่ยนแปลง +5%
ภูมิภาคตะวันออกกลาง มีจานวนนักท่องเที่ยวขาเข้าจานวน 60 ล้านคน มีการเปลี่ยนแปลง +5%
มีรายได้จากทอ่ งเทีย่ ว 73 พนั ลา้ นเหรยี ญสหรฐั มีการเปล่ียนแปลง +4 % ภมู ิภาคเอเชีย และแปซิฟิก
มีจานวนนักท่องเที่ยวขาเข้าจานวน 348 ล้านคน มีการเปลี่ยนแปลง +7% มีรายได้จากท่องเที่ยว
435 พันล้านเหรยี ญสหรฐั มกี ารเปลีย่ นแปลง +7%

จากการศึกษาข้อมูลดังกล่าว สรุปได้ว่าทุกภูมิภาค มีจานวนนักท่องเทียวขาเข้าและรายได้
จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา แสดงขึ้นการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
ทว่ั โลกได้เปน็ อยา่ งดี

ภาพท่ี 2.11 แสดงการทอ่ งเท่ียวขาออกของนักท่องเทย่ี วทั่วโลก
ท่ีมา: องค์การการท่องเที่ยวโลก (UNWTO), 2019

สาหรับนักท่องเที่ยวท่ัวโลกการท่องเทีย่ วขาออกชาวจีนยงั คงเป็นผู้ใช้จ่ายเงินรายใหญ่ทีส่ ุด
ของโลกดว้ ย 1 ใน 5 ของคา่ ใช้จา่ ยการทอ่ งเท่ยี วระหวา่ งประเทศ ตามด้วยสหรฐั อเมรกิ า และเยอรมัน
ตามลาดบั

ประมาณ 10% ของ 1.4 พนั ล้านของจีน ผอู้ ยู่อาศัยเดินทางไปต่างประเทศ ภายในปี 2570
จานวนหนงั สือเดนิ ทางผู้ถอื คาดวา่ จะถงึ 300 ลา้ นหรอื 20% ของประชากรจีน

107

8.1.1 แนวโน้มการเดินทางของนกั ท่องเที่ยว
ในสังคมปัจจุบัน รูปแบบในการด าเนินชีวิตของผู้คนในสังคม ได้มี

การเปลี่ยนแปลงไป ส่งผลต่อพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว ซึ่งจุดประสงค์ในการเดินทาง
ของนักทอ่ งเท่ยี วมีแนวโนม้ ดังน้ี

1. การเดินทาง “เพื่อเปลี่ยน” การใช้ชีวิตเหมือนคนในท้องถิ่นแสวงหา
ความถูกตอ้ งและเปลีย่ นแปลง

2. ท่องเที่ยว “เพื่อแสดง” มีการแบ่งปันช่วงเวลา แชร์รูปภาพ ประสบการณ์
และจดุ หมายปลายทางบนสอ่ื สังคมออนไลน์

3. การแสวงหาชีวิตทม่ี สี ขุ ภาพดี เป็นการท่องเทย่ี วเชงิ สขุ ภาพและกีฬา
4. การเพม่ิ ข้ึนของเศรษฐกิจ ทาใหม้ ี “การเข้าถงึ ” การท่องเที่ยวได้มากข้นึ
5. การเดินทางเดี่ยวและการเดินทางในหลายช่วงอายุ อันเนื่องมาจาก
ประชากรสงู อายแุ ละครัวเรือนเดี่ยว
6. เพิ่มความตระหนักในความยั่งยืน ลดการใช้พลาสติกให้เป็นศูนย์ และ
การเปลย่ี นแปลงของสภาพภมู อิ ากาศ
8.1.2 วัตถุประสงค์ของการทอ่ งเที่ยว
การท่องเท่ียวเพื่อพักผ่อนเป็นวัตถุประสงค์หลักของการเยย่ี มชมในทุกภูมิภาค
ของโลกยกเว้นตะวนั ออกกลางท่เี ดนิ ทางไปเยีย่ มเพื่อนและญาติ (VFR) หรือเพอื่ สุขภาพหรอื ศาสนา

ภาพท่ี 2.12 แสดงสดั ส่วนของวตั ถปุ ระสงค์ของการทอ่ งเท่ียว
ท่ีมา: องค์การการท่องเทยี่ วโลก (UNWTO), 2019

ส่วนแบง่ การท่องเท่ยี วพักผ่อนเพิ่มขึ้นจาก 50% ในปี 2543 เป็น 56% ในปี 2561

108
8.2 สถานการณแ์ ละแนวโนม้ การท่องเทย่ี วในภูมภิ าคเอเชยี และแปซฟิ กิ

สถานการณ์การท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ซึ่งเป็นผู้นาในการเติบโต
ท้งั ขาเขา้ และรายได้จากการทอ่ งเทย่ี วในปี พ.ศ. 2561 ดังภาพท่ี 8.6

ภาพท่ี 2.13 แสดงรายไดจ้ ากการท่องเทีย่ วระหวา่ งประเทศแยกตามภูมิภาคปี 2561 (เปลี่ยน%)
ทีม่ า: องค์การการทอ่ งเท่ยี วโลก (UNWTO), 2019

จากภาพที่ 2.13 รายได้จากการท่องเที่ยวระหว่างประเทศแยกตามภูมิภาคปี 2561
ภูมิภาคเอเชยี และแปซิฟิกมีจานวนนักท่องเท่ียวเพิ่มขึน้ มากที่สุด (+7%) ตามมาด้วยแอฟรกิ า (+7%)
ยโุ รป (+5%) ตะวันออกกลาง (+5%) และอเมรกิ า (+2%) ตามลาดับ

109

8.3 สถานการณแ์ ละแนวโนม้ การทอ่ งเท่ยี วของประเทศไทย
สถานการณ์และแนวโน้มการท่องเที่ยวของประเทศไทยจากศึกษา 10 จุดหมาย

ยอดนยิ มท่ีได้รบั การจดั อันดบั ของนักท่องเทย่ี วท่วั โลก
จดุ หมายปลายทาง 10 อันดบั แรก จาก 40% ของจานวนนักท่องเท่ยี วจากทวั่ โลก

ดังภาพที่ 2.14
ภาพที่ 2.14 แสดงการจดั อนั ดบั จุดหมายปลายทางตามจานวนนักทอ่ งเทย่ี ว
ทม่ี า: องค์การการทอ่ งเทย่ี วโลก (UNWTO), 2019

จากภาพที่ 2.14 จุดหมายปลายทางสิบอันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาถึง
ปี พ.ศ. 2561 พบว่าอันดับแรก คือ ฝรั่งเศส มีจานวนนักท่องเที่ยว 89 ล้านคน มีการเปลี่ยนแปลง
+3% รองลงมา คือ สเปน มีจานวนนักท่องเที่ยว 83 ล้านคน มีการเปลี่ยนแปลง +1%
สาหรับประเทศไทย อยใู่ นอันดบั ท่ี 9 มีจานวนนักทอ่ งเทีย่ ว 38 ล้านคน มกี ารเปล่ียนแปลง +8%

110

การจัดอันดับรายได้จากการท่องเที่ยว 10 อนั ดบั แรกคิดเป็นเกือบ 50% ของการท่องเท่ียว
ทั้งหมด ดังภาพที่ 2.15

ภาพท่ี 2.15 แสดงการจัดอันดบั จดุ หมายปลายทาง 10 อันดบั
ตามรายไดจ้ ากการท่องเทยี่ วระหว่างประเทศ ปี พ. ศ. 2561

ทีม่ า: องค์การการท่องเทย่ี วโลก (UNWTO), 2019

จากภาพที่ 2.15 รายได้จากการท่องเท่ียว 10 อันดับแรกของการท่องเท่ียวใน ปี พ.ศ.2561
พบว่าอันดับแรก คือ สหรัฐอเมริกามีรายได้ 214 พันล้านเหรียญสหรัฐ มีการเปลี่ยนแปลง +2%
รองลงมา คือ สเปน มีรายได้ 74 พันล้านเหรียญสหรัฐมีการเปลี่ยนแปลง +4% สาหรับประเทศไทย
อยใู่ นอันดบั ที่ 4 มีรายได้ 63 พันลา้ นเหรียญสหรัฐมีการเปลี่ยนแปลง +5%

8.3.1 ทศิ ทางของตลาดนกั ทอ่ งเทีย่ วต่างชาติ
1. นักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชียตะวันออก: นักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอาเซียน

เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นยังมีแนวโน้มที่ดี ขณะที่ตลาดนักท่องเที่ยวจีนน่าจะมีแนวโน้มฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้น
ในช่วงครึ่งปีหลัง แต่ยังต้องติดตามทิศทางเศรษฐกิจจีนและค่าเงินหยวน รวมถึงการแข่งขัน
ด้านการท่องเทีย่ วกับประเทศอื่น ๆ อย่างญ่ปี ุ่น เกาหลใี ต้ และเวยี ดนาม

2. นักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชียใต้ นักท่องเที่ยวจากอินเดียยังเติบโตได้ดี
อย่างไรก็ตาม หลายประเทศได้ให้ความสนใจในการเจาะตลาดนักท่องเที่ยวจากอินเดีย ซึ่ง
อาจสรา้ งความทาทายให้กับผู้ประกอบการท่องเทย่ี วไทยเพ่ิมข้นึ

111

3. นักท่องเที่ยวจากภูมิภาคยุโรป นักท่องเที่ยวจากเยอรมันและฝรั่งเศส
ยังมีแนวโน้มเติบโตดี ส่วนนักท่องเที่ยวรัสเซียอาจขึ้นอยู่กับค่าเงินรูเบิล นอกจากนี้ยังต้องติดตาม
สถานการณ์ Brexit ที่อาจส่งผลกระทบต่อนกั ท่องเท่ียวจากสหราชอาณาจักรที่การเดินทางทอ่ งเที่ยว
มาไทยมรี ะยะทางไกลและมีค่าใช้จา่ ยการเดินทางสูง

4. นักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอื่น ๆ นักท่องเที่ยวจากภูมิภาคตะวันออกกลาง
ยังคงชะลอตัวเน่ืองจากปัญหาเศรษฐกจิ ในประเทศ ทาให้นักท่องเทีย่ วเลือกประเทศทีม่ ีระยะทางใกล้
มากขึ้น ยกเว้นนักท่องเที่ยวจากอิสราเอล นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวจากสหรัฐฯและแอฟริกาใต้
น่าจะยังมีแนวโน้มเติบโตดี

8.3.2 ปัจจยั สาคญั ทม่ี ีผลตอ่ แนวโน้มตลาดนักทอ่ งเท่ียวต่างชาติ
ปัจจัยบวก
1. ประเทศไทยเป็นประธานอาเซียนและเจ้าภาพจัดงานต่าง ๆ ระดับโลก

ซึ่งมีส่วนช่วยให้ไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะ
กลมุ่ นักทอ่ งเทย่ี วอาเซยี น

2. ภาครัฐยังคงเร่งรัดแผนการตลาดกระตุ้น การท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง
รวมถึงผลบวกระยะสั้นจากมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียม Visa on Arrival จนถึงวันที่
30 เมษายน 2562

3. ภาคเอกชนจัดแคมเปญการตลาดอย่างเข้มข้น รวมถึงสร้าง
แหลง่ ทอ่ งเทีย่ วแหง่ ใหม่ใหเ้ ปน็ Landmark ของประเทศ

ปัจจยั ลบ
1. ภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวไทย เช่น ความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม

ทางธรรมชาติถูกทาลาย และความหนาแน่นของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในพื้นท่ี
เป็นจานวนมาก

2. เศรษฐกิจในหลายประเทศที่มีแนวโน้มชะลอตัว และความผันผวน
ของค่าเงิน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเลือกจุดหมายปลายทางท่องเที่ยว หรือการปรับลดการใช้จ่าย
ของนักท่องเที่ยวตา่ งชาติ

3. ปัจจัยอื่น ๆ เช่น การแข่งขันทางด้านการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ
และสภาพความแปรปรวนของภมู อิ ากาศทัว่ โลกทอ่ี าจส่งผลกระทบต่อแผนการเดนิ ทางท่องเทีย่ ว

112

8.4 การวิเคราะห์ศักยภาพ การประเมินความเหมาะสม และแนวโน้ม
การท่องเทีย่ วของพ้นื ที่ภายในเขตพัฒนาการท่องเท่ยี ววถิ ชี ีวิตชายฝั่งอา่ วไทย

8.4.1 ขอบเขตของเขตพัฒนาการทอ่ งเทีย่ ววิถีชีวติ ชายฝงั่ อ่าวไทย
เขตพัฒนาการท่องเที่ยววิถีชีวิตชายฝั่งอ่าวไทยประกอบด้วย 4 จังหวัด ได้แก่

สมทุ รปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และฉะเชงิ เทรา มีขอบเขต ดังแสดงในภาพที่ 2.16
ภาพที่ 2.16 แผนทข่ี อบเขตพ้ืนท่ขี องเขตพัฒนาการท่องเที่ยววิถีชวี ิตชายฝัง่ อ่าวไทย
ท่ีมา: สานักงานศนู ยว์ จิ ัยและให้คาปรกึ ษาแหง่ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์, 2561.

8.4.2 รูปแบบการทอ่ งเทีย่ วภายในเขตพฒั นาการท่องเทยี่ ววถิ ชี ีวิตชายฝ่ังอ่าวไทย
การศึกษาจากรูปแบบการท่องเที่ยวภายในเขตพัฒนาการท่องเที่ยววิถีชีวิตชายฝง่ั

อ่าวไทย สามารถสรุปรูปแบบการท่องเที่ยวที่โดดเด่นได้ คือ การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ คิดเป็น
ร้อยละ 94.74 รองลงมา คือ การท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์คิดเป็นร้อยละ 87.22 รองลงมา คือ
การท่องเที่ยวทางธรรมชาติและการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม คิดเป็นร้อยละ 53.83 และ 53.29
ตามลาดบั ดังแสดงในภาพที่ 2.17

113

ภาพที่ 2.17 แสดงรูปแบบการท่องเท่ียวที่โดดเด่นภายในเขตพฒั นาการท่องเที่ยววถิ ชี ีวติ ชายฝง่ั อ่าวไทย
ที่มา: สานกั งานศนู ยว์ ิจัยและให้คาปรกึ ษาแหง่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร,์ 2561.

8.4.3 สถติ กิ ารทอ่ งเทย่ี วในเขตพฒั นาการทอ่ งเทยี่ ววถิ ชี วี ติ ชายฝ่ังอ่าวไทย
สถานการณ์ด้านการท่องเที่ยวของเขตวิถีชีวิตชายฝั่งอ่าวไทยจากข้อมูลสถิติ

ด้านการทอ่ งเทย่ี วของกระทรวงท่องเทีย่ วและกีฬาสามารถจาแนกได้ ดงั น้ี
1) จานวนผู้เยี่ยมเยือนมีในปี 2561 โดยรวม มีจานวน 10,388,337 คน

ซึ่งผู้เยี่ยมเยือนส่วนใหญ่อยู่จังหวัดฉะเชิงเทรา จานวน 3,408,573 คน คิดเป็น 33% รองลงมา
เป็นจังหวัดสมุทรปราการ จานวน 3,373,639 คน คิดเป็น 32% จังหวัดสมุทรสงคราม
จานวน 2,048,721 คน คิดเป็น 20% และจังหวัดสมุทรสาคร จานวน 1,557,404 คน คิดเป็น 15%
ตามลาดับ ดงั ภาพที่ 2.18 และตารางที่ 2.14

ภาพที่ 2.18 แสดงสัดสว่ นผู้เยีย่ มเยือนในเขตพฒั นาการท่องเทีย่ ววิถชี ีวติ ชายฝง่ั อา่ วไทยปี พ.ศ. 2561
ทมี่ า: กระทรวงการท่องเทยี่ วและกีฬา

ผมู้ าเยี่ยมเยือนแบง่ ตามจงั หวัด

33% 32% สมทุ รปราการ
20% 15% สมทุ รสาคร
สมทุ รสงคราม
ฉะเชิงเทรา

114

จากภาพที่ 2.18 พบว่า ผู้มาเยี่ยมเยือนในเขตพัฒนาการท่องเที่ยววิถีชายฝั่งอ่าวไทย
มีผู้มาเยี่ยมเยือนจังหวัดฉะเชิงเทรามากที่สุด คิดเป็น 33% รองลงมา คือ จังหวัดสมุทรปราการ
คดิ เปน็ 32% จงั หวัดสมุทรสงคราม คิดเป็น 20% และจังหวดั สมุทรสาคร คดิ เป็น 15% ตามลาดบั

ตารางท่ี 2.14 สถิติจานวนผู้เย่ียมเยอื นในเขตพฒั นาการทอ่ งเท่ียววถิ ชี วี ติ ชายฝั่งอา่ วไทย พ.ศ. 2561
ท่มี า: กระทรวงการทอ่ งเทยี่ วและกีฬา

จงั หวัด สมทุ รปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ฉะเชงิ เทรา รวม
1. จานวนผ้เู ยยี่ มเยือน 3,373,639 1,557,404 2,048,721 3,408,573 10,388,337
2,180,958 1,552,948 9,107,917
ชาวไทย 1,192,681 4,456 1,997,484 3,376,527 1,280,420
ชาวต่างประเทศ 1,037,246 786,698 3,180,638
1.1 จานวนนักทอ่ งเที่ยว 619,304 785,116 51,237 32,046 2,744,743
ชาวไทย 417,942 1,582 435,895
ชาวต่างประเทศ 2,336,393 770,706 797,804 558,890 7,207,699
1.2 นกั ทศั นาจร 1,561,654 767,832 6,363,174
ชาวไทย 774,739 2,874 789,029 551,294 844,525
ชาวต่างประเทศ
8,775 7,596

1,250,917 2,849,683

1,208,455 2,825,233

42,462 24,450

จากตารางที่ 2.14 พบว่า ผู้มาเยี่ยมเยือนในเขตพัฒนาการท่องเที่ยววิถีชายฝั่งอ่าวไทย
ในปี พ.ศ.2561 จานวนทั้งสิ้น 10,388,337 คน มีผู้มาเยี่ยมเยือนจังหวัดฉะเชิงเทรามากที่สุด
จ านวน 3,408,573 คน รองลงมา คือ จังหวัดสมุทรปราการ จ านวน 3,373,639 คน
จังหวัดสมุทรสงคราม จานวน 2,048,721 คน และจังหวัดสมุทรสาคร จานวน 1,557,404 คน
ตามลาดับ

115

2) ข้อมูลที่เกี่ยวข้องในการเดินทางและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของนักท่องเที่ยว
ในเขตพัฒนาการท่องเทีย่ ววถิ ีชายฝงั่ อา่ วไทยในปี พ.ศ.2561 ดังตารางที่ 2.15

ตารางที่ 2.15 ข้อมูลทเี่ กีย่ วขอ้ งในการเดนิ ทางและค่าใช้จา่ ยต่าง ๆ
ทม่ี า: กระทรวงการท่องเทยี่ วและกีฬา, 2562.

รายการ/จงั หวดั สมทุ รปราการ สมทุ รสาคร สมุทรสงคราม ฉะเชงิ เทรา
1.80 1.80
1. ระยะเวลาพานกั เฉล่ียของนักท่องเท่ยี ว(วัน) 1.90 1.61 1.80 1.80
1.61 1.98 1.80
ชาวไทย 1.69 1.46
1,122.810 1,295.240
ชาวตา่ งประเทศ 2.22 1,291.210

2. ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของนักท่องเที่ยว (บาท/คน/ 1,533.670
วัน) ผูเ้ ยย่ี มเยอื น

ชาวไทย 1,313.640 1,290.550 1,118.220 1,292.470
ชาวต่างประเทศ 1,870.780 1,550.930 1,324.260 1,571.490
3.1 นักทอ่ งเที่ยว 1,983.090 1,452.820 1,314.870 1,862.360
ชาวไทย 1,737.190 1,451.940 1,308.950 1,858.890
ชาวต่างประเทศ 2,260.470 1,935.080 1,799.140 2,115.840
3.2 นกั ทศั นาจร 1,153.880 1,025.690 902.050 1,095.020
ชาวไทย 1,029.750 1,024.860 894.050 1,093.530
ชาวต่างประเทศ 1,404.080 1,242.170 1,129.950 1,267.080
3. รายไดจ้ ากการท่องเทย่ี ว(ล้านบาท)
ผูเ้ ยีย่ มเยอื น 6,611.44 2,630.26 3,018.70 4,994.01

ชาวไทย 3,426.32 2,622.22 2,939.46 4,934.10
ชาวตา่ งประเทศ 3,185.12 8.04 79.24 59.91

4. สถานทพ่ี กั แรม

หอ้ ง 4,380 2,003 2,650 1,506
อตั ราการเข้าพัก(%) 65.76 60.47 65.20 57.90
จานวนแขกที่มาพัก 983,237 679,794 776,633 487,443
600,344 678,212 767,898 480,461
ชาวไทย 382,893 1,582 8,735 6,982
ชาวตา่ งประเทศ

116

3) การเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนของผู้เยี่ยมเยือนจาแนกตามหมวดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
ภายในเขตพัฒนาการท่องเที่ยววิถีชายฝั่งอ่าวไทยในปี พ.ศ.2561 แยกตามรายจังหวัด คือ
จังหวดั สมุทรปราการ จงั หวัดสมุทรสาคร จงั หวัดสมทุ รสงคราม และจงั หวัดฉะเชิงเทรา

ตารางท่ี 2.16 การเปรียบเทียบค่าใชจ้ า่ ยเฉลย่ี ต่อคนของผู้เย่ียมเยอื นจาแนกตามหมวดค่าใช้จา่ ย
ตา่ ง ๆ ของจังหวัดสมทุ รปราการ

(หน่วย: บาท/คน/วัน)

ค่าใชจ้ า่ ยรายหมวด นกั ท่องเท่ยี ว นักทัศนาจร ผู้เย่ียมเยอื น
2560
มกราคม-ธนั วาคม 2561 2560 % 2561 2560 % 2561 286.42 %
Change Change 290.62 Change
1. คา่ ทพี่ กั
634.51 610.59 + 3.92 0.00 0.00 + 0.00 + 1.47
2. คา่ อาหารและ
เครอื่ งด่ืม 408.07 382.99 + 6.55 326.60 306.94 + 6.41 363.91 342.62 + 6.21
3. คา่ ซ้ือสินคา้ และ
ของทรี่ ะลกึ 276.07 261.68 + 5.50 230.54 219.27 + 5.14 251.39 239.17 + 5.11
4. คา่ ใช้จ่ายเพอื่
ความบันเทิง 182.35 175.26 + 4.05 162.44 157.47 + 3.16 171.56 165.81 + 3.47
5. ค่าบรกิ าร
ทอ่ งเทย่ี วภายใน 167.74 162.88 + 2.98 144.36 140.27 + 2.92 155.07 150.88 + 2.78
จงั หวดั
6. ค่าพาหนะเดนิ ทาง 193.05 186.03 + 3.77 177.61 171.40 + 3.62 184.68 178.26 + 3.60
ในจงั หวัด

7. คา่ ใชจ้ า่ ยอนื่ ๆ 121.30 116.61 + 4.02 112.33 107.69 + 4.31 116.44 111.88 + 4.08

คา่ ใชจ้ า่ ยเฉลยี่ / 1,983.09 1,896.04 + 4.59 1,153.88 1,103.04 + 4.61 1,533.67 1,475.04 + 3.97
คน/วัน

จากตารางที่ 2.16 พบว่า ค่าใช้จา่ ยของผู้เยี่ยมเยอื นจังหวดั สมุทรปราการ ในปี พ.ศ. 2561
สูงที่สุด คือ ค่าอาหารและเครื่องดื่ม เฉลี่ยต่อคน = 342.62 บาท การเปลี่ยนแปลง +6.21%
รองลงมา คือ ค่าที่พัก เฉลี่ยต่อคน = 286.42 บาท การเปลี่ยนแปลง +1.47% ค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด
คือ ค่าใช้จ่ายอน่ื ๆ เฉล่ียตอ่ คน = 116.44 บาท การเปลีย่ นแปลง +4.08 %

117

ตารางที่ 2.17 การเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนของผู้เยีย่ มเยอื นจาแนกตามหมวดคา่ ใช้จา่ ยต่าง ๆ
ของจงั หวัดสมทุ รสาคร

(หน่วย: บาท/คน/วนั )

คา่ ใชจ้ า่ ยรายหมวด นกั ทอ่ งเทยี่ ว นักทศั นาจร ผู้เย่ียมเยอื น

มกราคม-ธันวาคม 2561 2560 % 2561 2560 % 2561 2560 %
Change Change Change
1. คา่ ทพ่ี ัก
425.98 409.56 + 4.01 0.00 0.00 + 0.00 264.81 259.26 + 2.14
2. ค่าอาหารและ
เครอื่ งด่ืม 366.45 346.70 + 5.70 318.32 304.05 + 4.69 348.24 331.05 + 5.19
3. ค่าซ้อื สนิ คา้ และ
ของทรี่ ะลกึ 286.19 272.95 + 4.85 353.25 335.16 + 5.40 311.56 295.78 + 5.34
4. คา่ ใชจ้ า่ ยเพ่ือ
ความบนั เทิง 92.41 89.10 + 3.71 105.99 102.35 + 3.56 97.55 93.96 + 3.82
5. ค่าบริการ
ท่องเทยี่ วภายใน 72.90 70.56 + 3.32 59.08 57.45 + 2.84 67.67 65.75 + 2.92
จงั หวดั
6. ค่าพาหนะเดนิ ทาง 146.51 140.78 + 4.07 125.77 121.62 + 3.41 138.66 133.75 + 3.67
ในจงั หวัด

7. คา่ ใช้จ่ายอ่นื ๆ 62.38 59.16 + 5.44 63.28 60.36 + 4.84 62.72 59.60 + 5.23

คา่ ใช้จ่ายเฉลย่ี / 1,452.82 1,388.81 + 4.61 1,025.69 980.99 + 4.56 1,291.21 1,239.15 + 4.20
คน/วนั

จากตารางที่ 2.17 พบว่า ค่าใช้จ่ายของผู้เยี่ยมเยือนจังหวัดสมุทรสาคร ในปี พ.ศ. 2561
สงู ทส่ี ดุ คอื ค่าอาหารและเครื่องดื่ม เฉลย่ี ต่อคน = 348.24 บาท การเปล่ียนแปลง +5.19% รองลงมา
คือ ค่าสินค้าและของที่ระลึก เฉลี่ยต่อคน = 311.56 บาท การเปลี่ยนแปลง +5.34% ค่าใช้จ่าย
ท่นี ้อยท่ีสดุ คือ คา่ ใช้จา่ ยอืน่ ๆ เฉล่ยี ตอ่ คน = 59.60 บาท การเปล่ียนแปลง +5.23%

118

ตารางที่ 2.18 การเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนของผู้เยี่ยมเยือนจาแนกตามหมวดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
ของจงั หวดั สมทุ รสงคราม

(หนว่ ย: บาท/คน/วัน)

คา่ ใชจ้ า่ ยรายหมวด นักทอ่ งเทีย่ ว นกั ทศั นาจร ผู้เย่ียมเยือน

มกราคม-ธนั วาคม 2561 2560 % 2561 2560 % 2561 2560 %
494.58 Change 0.00 Change 264.46 259.08 Change
1. คา่ ทพี่ ัก 298.39 270.90
177.51 475.52 + 4.01 0.00 + 0.00 245.26 + 2.08
2. ค่าอาหารและ 80.64 85.17
เครือ่ งดม่ื 82.97 282.35 + 5.68 239.30 222.99 + 7.31 78.05 255.33 + 6.10
3. คา่ ซอื้ สินคา้ และของ 133.83 131.78
ท่ีระลกึ 167.15 + 6.20 323.12 307.65 + 5.03 231.10 + 6.13
4. คา่ ใช้จา่ ยเพอื่ ความ
บันเทงิ 77.34 + 4.27 90.37 85.04 + 6.27 80.85 + 5.34
5. ค่าบริการทอ่ งเท่ยี ว
ภายในจงั หวดั 79.07 + 4.93 72.39 67.92 + 6.58 73.99 + 5.49
6. ค่าพาหนะเดินทาง
ในจังหวัด 125.27 + 6.83 129.42 122.85 + 5.35 124.17 + 6.13

7. คา่ ใชจ้ า่ ยอื่นๆ 46.95 44.60 + 5.27 47.45 44.07 + 7.67 47.19 44.36 + 6.38

คา่ ใชจ้ า่ ยเฉลีย่ / 1,314.87 1,251.30 + 5.08 902.05 850.52 + 6.06 1,122.81 1,068.88 + 5.05
คน/วัน

จากตารางที่ 2.18 พบว่า ค่าใช้จ่ายของผู้เยี่ยมเยือนจังหวัดสมุทรสงคราม ในปี พ.ศ.2561
สงู ที่สดุ คือ คา่ อาหารและเคร่ืองด่มื เฉลี่ยตอ่ คน = 270.90 บาท การเปล่ียนแปลง +6.10% รองลงมา
คือ ค่าที่พัก เฉลี่ยต่อคน = 264.46 บาท การเปลี่ยนแปลง +2.08% ค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด คือ
ค่าใช้จ่ายอ่นื ๆ เฉล่ียตอ่ คน = 44.36 บาท การเปล่ยี นแปลง +6.38%

119

ตารางที่ 2.19 การเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนของผู้เยี่ยมเยือนจาแนกตามหมวดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
ของจังหวัดฉะเชงิ เทรา

(หน่วย: บาท/คน/วัน)

คา่ ใช้จา่ ยรายหมวด นักท่องเทย่ี ว นกั ทศั นาจร ผเู้ ย่ยี มเยือน

มกราคม-ธนั วาคม 2561 2560 % 2561 2560 % 2561 2560 %
Change Change Change
1. ค่าท่ีพัก
454.15 437.84 + 3.73 0.00 0.00 + 0.00 118.50 121.68 - 2.61
2. คา่ อาหารและ
เคร่ืองด่ืม 440.18 420.11 + 4.78 313.97 297.13 + 5.67 346.90 331.31 + 4.71
3. ค่าซื้อสนิ คา้ และ
ของทรี่ ะลึก 392.62 380.49 + 3.19 300.53 284.77 + 5.53 324.56 311.37 + 4.24
4. ค่าใช้จา่ ยเพ่ือ
ความบนั เทงิ 145.32 143.20 + 1.48 101.60 97.72 + 3.97 113.01 110.36 + 2.40
5. คา่ บริการ
ทอ่ งเที่ยวภายใน 149.58 147.76 + 1.23 125.58 122.11 + 2.84 131.84 129.24 + 2.01
จงั หวดั
6. คา่ พาหนะเดนิ ทาง 186.23 179.83 + 3.56 153.28 147.92 + 3.62 161.88 156.79 + 3.25
ในจังหวัด

7. คา่ ใช้จ่ายอืน่ ๆ 94.28 90.90 + 3.72 100.06 95.16 + 5.15 98.55 93.98 + 4.86

ค่าใช้จ่ายเฉลี่ย/ 1,862.36 1,800.13 + 3.46 1,095.02 1,044.81 + 4.81 1,295.24 1,254.73 + 3.23
คน/วนั

จากตารางที่ 2.19 พบว่า ค่าใช้จ่ายของผู้เยี่ยมเยือนจังหวัดฉะเชิงเทรา ในปี พ.ศ. 2561
สงู ทสี่ ดุ คือ ค่าอาหารและเครอ่ื งดมื่ เฉลี่ยต่อคน = 346.90 บาท การเปล่ียนแปลง +4.71% รองลงมา
คือ ค่าซื้อสินค้าและของที่ระลึก เฉลี่ยต่อคน = 324.56 บาท การเปลี่ยนแปลง +4.24% ค่าใช้จ่าย
ทีน่ ้อยที่สุด คือ ค่าใช้จา่ ยอ่ืน ๆ เฉลีย่ ต่อคน = 98.55 บาท การเปลย่ี นแปลง +4.86%

120

8.4. การวิเคราะห์ศักยภาพและแนวโน้มการท่องเที่ยวของพื้นที่ภายในเขตพัฒนา
การทอ่ งเทีย่ ววิถีชีวิตชายฝั่งอา่ วไทย

1) ศักยภาพทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของพื้นที่ภายในเขตพัฒนา
การท่องเที่ยววิถีชีวิตชายฝั่งอ่าวไทย เมื่อพิจารณาเกณฑ์การประเมินแต่ละด้านตามหลักเกณฑ์
ของคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ (ท.ท.ช.) พบว่า เขตพัฒนาการท่องเที่ยววิถีชีวิต
ชายฝั่งอ่าวไทยมีความสอดคล้องกับหลักเกณฑ์โดยมีรายละเอียด (สานักงานศูนย์วิจัย และ
ให้คาปรกึ ษาแห่งมหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์, 2561) ดงั นี้

หลักเกณฑ์เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพการท่องเที่ยวอยู่ในระดับสูงและคานึงถึง
แนวโน้มทางการตลาดท่องเที่ยวเขตพัฒนาการท่องเที่ยววิถีชีวิตชายฝั่งอ่าวไทยมีแหล่งท่องเที่ยว
ครบทุกประเภท คือ เชิงธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม และแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์
สร้างขึ้น โดยมคี วามหนาแน่นของกจิ กรรมอยู่ในระดับสงู คือ 13.27 กิจกรรมตอ่ 100 ตารางกิโลเมตร
โดยมีอัตราเข้าพักของนักท่องเที่ยวร้อยละ 57.2 ต่อนักท่องเที่ยวทั้งหมด และมีรูปแบบการทอ่ งเที่ยว
ที่สามารถรองรับการท่องเที่ยวตามแนวโน้มของโลกกล่าวคือ ในด้านการท่องเที่ยวของกลุ่มผู้สูงอายุ
กลุ่มนักท่องเท่ียวเชงิ นิเวศทางธรรมชาติ กลมุ่ นักท่องเทีย่ วเชิงสุขภาพ และกล่มุ ทมี่ าจัดประชมุ สมั มนา

หลักเกณฑ์เป็นพื้นที่ที่มีความโดดเด่นอันทรงคุณค่าทางธรรมชาติ และ
สิ่งแวดล้อม หรือมีความล้าค่าทางประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม และวิถีชีวิตชุมชน มีความโดดเด่น
ในด้านการท่องเที่ยววิถีชุมชนเพือ่ เรียนรู้วิถีชีวิตภูมิปญั ญาชาวบา้ น ทั้งที่เป็นชุมชนการเกษตร ชุมชน
ประมงริมน้าและชมุ ชนประมงชายฝัง่ โดยมีกลุ่มชุมชนที่ได้รบั รางวัลดา้ นการท่องเทยี่ วเป็นจานวนมาก
นอกจากนีย้ ังมตี ลาดโบราณ และตลาดน้าท่มี ชี อ่ื เสียงกระจายอย่ใู นทุกจงั หวดั

หลักเกณฑ์เป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่สาคัญ ซึ่งสมควรได้รับการพัฒนา
เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมสนับสนุนและอานวยความสะดวกรวมทั้งให้สิทธิพิเศษบางประการ
ในการดาเนินกิจการเพื่อการท่องเที่ยวเป็นการเฉพาะกลุ่มจังหวัดในเขตพัฒนาการท่องเที่ยว
วิถีชีวิตชายฝั่งอ่าวไทย มีการเติบโตของรายได้จากการท่องเที่ยวในระดับที่สูง ซ่ึงแนวโน้ม
ทางการท่องเที่ยวโดยชุมชนกาลังเป็นส่ิงที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยว และได้รับการสนับสนุน
จากภาครัฐจึงทาใหก้ ารทอ่ งเทย่ี วในเขตพืน้ ทน่ี ี้มีแนวโนม้ ทจ่ี ะขยายตวั ต่อไป

หลักเกณฑ์เป็นพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงกับเส้นทางโครงข่ายคมนาคม
และการขนส่งที่เป็นเส้นทางหลัก จังหวัดในเขตพื้นที่นี้มีเส้นทางถนนเป็นจานวนมาก โดยเฉพาะ
จังหวัดสมุทรปราการ สมุทรสงคราม และสมุทรสาคร พร้อมทั้งการเดินทางในรูปแบบอื่น ทั้งทางน้า
และทางรถไฟ ทมี่ ีเสน้ ทางผา่ นพน้ื ที่ทง้ั 4 จงั หวัด และในจงั หวัดสมุทรปราการยงั มสี นามบนิ สวุ รรณภูมิ

121

ที่เป็นท่าอากาศยานนานาชาติของประเทศไทย จึงเป็นจังหวัดทาหน้าที่เชื่อมโยงนักท่องเที่ยว
จากตา่ งชาติเข้าส่ปู ระเทศด้วย

หลักเกณฑ์ด้านลักษณะพื้นฐานทางกายภาพ หรือกิจกรรมด้านการท่องเที่ยว
เป็นไปในทิศทางเดียวกันเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาตลาดการท่องเที่ยวเป็นสาคัญ รูปแบบ
การท่องเที่ยวที่มีลักษณะร่วมกัน คือ การท่องเที่ยวโดยชุมชน ทั้งที่เป็นชุมชนการเกษตร ชุมชน
ประมงริมน้า ชุมชนประมงชายฝั่งอ่าวไทย จึงสามารถเน้นการพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชน
ให้เป็นจุดเด่นของเขตพื้นทีไ่ ด้

2) ทรัพยากรโดดเด่นในจังหวัดที่ควรนามาประกาศเป็นเขตพัฒนาการท่องเที่ยว
ร่วมกัน จากการศึกษาพื้นที่จังหวัดเขตพัฒนาการท่องเที่ยวพื้นที่ภาคกลางประกอบด้วย
จังหวดั สมุทรปราการ สมทุ รสงคราม สมทุ รสาคร และฉะเชิงเทรา พบวา่ ในพื้นทด่ี งั กล่าวมีทรัพยากร
การท่องเที่ยวที่เอื้อต่อพัฒนาด้านการท่องเที่ยว และสามารถสร้างแรงดึงดูดให้เกิดการท่องเที่ยว
ทั้งในพื้นที่จังหวัด และพื้นที่เชื่อมโยงมีความหลากหลายทางด้านทรัพยากรการท่องเที่ยว อีกท้ัง
ยังมีทรัพยากรทางการท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง และเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยว ทั้งทางด้าน
แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ และแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้นทั้งนี้มีทรัพยากรที่โดดเด่นร่วมกนั
ซ่งึ เหมาะสมตอ่ การประกาศเป็นเขตการท่องเท่ยี วร่วมกันคือ

(1) ด้านทรัพยากรการท่องเที่ยววิถีชุมชนและวัฒนธรรมในพื้นท่ี 4 จังหวัด
มีทรัพยากรท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงทางการท่องเที่ยววิถีชุมชน และวัฒนธรรมประเพณีรวมไปถึง
ภูมิปัญญาของชุมชนท้องถิ่นที่สมบูรณ์มีความงดงามตามเอกลักษณ์ และอัตลักษณ์เฉพาะถิ่น
ของชุมชนริมน้า ชุมชนชาวสวน ชุมชนชาวเล ซึ่งหากพิจารณาแล้ว ลักษณะร่วมดังกล่าวถือเป็น
ขอ้ ได้เปรยี บทางการแขง่ ขันไดเ้ ปน็ อยา่ งดี

(2) ทรัพยากรการท่องเที่ยวเชิงนิเวศป่าชายเลน นอกจากจะมีทรัพยากร
การท่องเที่ยววิถีชีวิตชุมชน และวัฒนธรรมที่งดงามแล้วยังมีระบบนิเวศป่าชายเลนที่มี
ความอุดมสมบูรณ์เป็นแหล่งเรียนรู้ ที่เชื่อมโยงผ่านการท่องเที่ยวศึกษาธรรมชาติของป่าชายเลน
ป่าชายเลนยังเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้า เช่น กุ้ง หอย ปู ซึ่งเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่สาคัญรวมทั้งสัตว์น้า
อื่น ๆ ในห่วงโซ่อาหารอีกทั้งยังเป็นแหล่งดูนกอพยพตามฤดูกาลซึ่งสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยว
ที่มีความสนใจกจิ กรรมเชงิ อนรุ กั ษ์นักท่องเทยี่ วทีท่ ากิจกรรม CSR

นอกจากความโดดเด่นเชิงทรัพยากรทางการท่องเที่ยวดังกล่าวข้างต้นแล้ว
ยังมีรูปแบบกิจกรรมการท่องเที่ยว และการสร้างประสบการณ์ให้กับนักท่องเที่ยวมีลักษณะร่วมกัน
ซึ่งเหมาะสมต่อการสนับสนุนการประกาศเป็นเขตการท่องเที่ยวร่วมกัน ได้แก่ กิจกรรมท่องเที่ยว
วิถีชุมชนและวัฒนธรรม โดยมีจุดขายที่วิถีชีวิตริมสองฝั่งคลอง มีกิจกรรมที่ให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้

122

วถิ ีชีวติ ความเปน็ อยู่การทากิจกรรมในชีวิตประจาวนั ตัง้ แตเ่ รอ่ื งของอาหารการกนิ การประกอบอาชีพ
และกิจกรรมประเพณี นอกจากนี้ยังมีตลาดน้าที่เกิดจากการที่คนในชุมชนร่วมกันจัดกิจกรรม
เพื่อขายสินค้า เช่น อาหาร พืชผักผลไม้ ของฝาก ของที่ระลึกที่ผลิตโดยชุมชนริมน้า โดย
ขายบริเวณริมฝั่งคลอง และมีการล่องเรือเพื่อท่องเที่ยวชุมชนริมน้า ชมวิถีชีวิต ชาวสวน ชาวเล
ชมทรัพยากรธรรมชาติริมฝั่งคลอง และริมทะเลป่าชายเลน และกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
ถือว่าเป็นกิจกรรมที่มีความคล้ายคลึงกันใน 4 จังหวัด คือ ศึกษาระบบนิเวศของป่าชายเลน
ปลูกป่าชายเลน เพือ่ อนรุ กั ษ์ทรัพยากรปา่ ชายเลน นอกจากน้ี ยงั มดี ูสัตว์ทอ่ี าศัยอยู่บริเวณระบบนิเวศ
ป่าชายเลน ได้แก่ ลิงแสม ค้างคาวแม่ไก่ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมดูนกอพยพตามฤดูกาล
เป็นกิจกรรมที่จะมีตามฤดูกาลในแต่ละปี จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น สะท้อนให้เห็นความสอดคล้อง
ทั้งทางด้านทรัพยากรการท่องเที่ยวและกิจกรรมการท่องเที่ยวร่วมกัน ซึ่งเหมาะสมต่อการพัฒนา
ส่งเสรมิ เขตพัฒนาการทอ่ งเที่ยว

3) กลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมาย จากความโดดเด่นของทรพั ยากรการทอ่ งเทีย่ ว
และรูปแบบกิจกรรมการท่องเที่ยวของพื้นที่ประกอบกับลักษณะพฤติกรรมนักท่อง เที่ยวของโลก
นาไปสู่โอกาสการรองรับกลุ่มเป้าหมายทางการท่องเที่ยวกลุ่มต่าง ๆ โดยใช้หลักเกณฑ์การแบ่งส่วน
ตลาดทางการท่องเทยี่ วดังนี้

(1) นักท่องเที่ยวชาวไทยโดยส่วนใหญ่เป็น กลุ่มครอบครัวและ
กลุ่มนักท่องเที่ยวหมู่คณะที่มีวัตถุประสงค์การท่องเที่ยวเพ่ือการพักผ่อนเรียนรู้วิถีชีวิต โดยเฉพาะ
วิถีชีวิตชุมชนริมน้า การท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจในวันหยุด ซึ่งกลุ่มเป้าหมายดังกล่าว มีโอกาส
การเติบโตและการขยายตัว ทั้งนี้เนื่องจากแนวโน้มความสนใจการท่องเที่ยวของคนในสังคมมีสูงมาก
ขึ้นประกอบกับจดุ แขง็ ดา้ นการเขา้ ถึงในพ้ืนที่ทีส่ ามารถเขา้ ถงึ ได้โดยง่ายและการส่งเสริมการท่องเท่ียว
ภายในประเทศ

(2) นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ ได้แก่ นักท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศ
เอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยวชาวจีน ชาวญี่ปุ่น ชาวเกาหลี หรือแม้แต่นักท่องเที่ยว
ชาวต่างชาติกลุ่มใหม่ และกลุ่ม AEC รวมถึงกลุ่มประเทศในยุโรปและรัสเซีย โดยนักท่องเที่ยว
กลุ่มดังกล่าวมีความสนใจ และพฤติกรรมการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ ที่ต้องการท่องเที่ยว
ในแหล่งท่องเท่ยี วที่เป็นท่ีนิยมในรปู แบบ One Day Trip

(3) นักท่องเที่ยวที่มีความสนใจเฉพาะ โดยนักท่องเที่ยวในกลุ่มน้ี
เป็นกลุ่มที่มีโอกาสการเติบโตสูงในพื้นที่ และมีศักยภาพในเชิงการตลาด มีอานาจการซื้อสูง และ
ต่อเน่ือง ไดแ้ ก่ (1) กล่มุ ผูส้ งู อายุ (2) กลุม่ คณะเพื่อศึกษาดงู านและการท่องเท่ียวเพ่ือทากิจกรรม CSR

123

(3) กลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงกีฬาและนันทนาการ (กีฬากอล์ฟ, กีฬาวิ่ง) (4) กลุ่มนักท่องเที่ยวชุมชนและ
วัฒนธรรม

4) ประโยชน์ที่ชุมชนจะได้รับจากการประกาศเป็นเขตพัฒนาการท่องเที่ยว
การพัฒนาไปเป็นเขตพัฒนาการท่องเที่ยวในพื้นที่ดังกล่าว จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชนในมิติ
ตา่ ง ๆ ดงั น้ี

(1) การพัฒนาด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม การจัดการ
ทรัพยากรธรรมชาติโดยชุมชนให้เกิดประโยชน์สูงสุด การสร้างความร่วมมือของคนในชุมชนร่วมกัน
อนุรักษ์และจดั การทรพั ยากรธรรมชาตอิ ยา่ งมีประสิทธิภาพ ใชป้ ระโยชนจ์ ากทรัพยากรธรรมชาติ และ
สิ่งแวดล้อมอย่างคุ้มค่า ตระหนักถึงการรักษาไว้ให้ทรัพยากรธรรมชาตินั้นคงอยู่กับชุมชนอย่างยั่งยืน
ตอ่ ไป

(2) การพัฒนาการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น การฟื้นฟูวัฒนธรรมท้องถน่ิ
ไมใ่ ห้สญู หายไปตามกาลเวลา สรา้ งจติ สานกึ ของคนในชุมชนให้มีความรักและหวงแหนศิลปวัฒนธรรม
ท้องถิ่น มีการดาเนินกิจกรรมเพื่อฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมที่สูญหาย และอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมนั้น
ใหค้ งอยู่เปน็ เอกลกั ษณข์ องชุมชน

(3) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การส่งเสริมพัฒนาให้คนในชุมชน
ให้มีศักยภาพ มีความพร้อมในการต้อนรับให้บริการแก่นักท่องเที่ยว ทั้งด้านภาษาและคุณภาพ และ
มีความเขา้ ใจความตอ้ งการท่ีแตกต่างกันของนกั ทอ่ งเทย่ี วแตล่ ะกลมุ่

(4) การพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนเสริมสร้างคุณภาพชีวิต การให้ความสาคัญ
กับการสร้างรายได้ กระจายรายได้สู่ชุมชน และการจ้างงานคนในชุมชนท้องถิ่นเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ
ของชุมชน ส่งเสริมการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของคนในชุมชนท้องถิ่นให้คนสามารถใช้ชีวิตอยู่ในท้องถิ่น
ไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ

(5) การพัฒนาชุมชนให้มีความเข้มแข็ง การพัฒนาชุมชนให้มีความเข้มแข็ง
ช่วยเหลือเกื้อกูลกันภายในชุมชน และเครือข่ายชุมชนอื่น ๆ การสร้างความเข้มแข้งให้กับชุมชนโดย
พัฒนาคณุ ภาพของคนใหม้ จี ิตสานกึ ทมี่ คี ุณธรรม มจี ติ สาธารณะ นึกถึงผลประโยชน์ส่วนรวมของชุมชน
เป็นหลัก รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
ซ่ึงมผี ลกระทบตอ่ ชมุ ชนทอ้ งถิ่นทัง้ ทางตรงและทางอ้อม

กล่าวโดยสรุป จังหวัดสมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร และฉะเชิงเทรา
เป็นพ้ืนที่มีศกั ยภาพด้านการท่องเทย่ี วพร้อมกับไดร้ ับการยอมรบั จากผ้มู ีสว่ นได้ส่วนเสยี ในพื้นที่ ดังนั้น
จึงมีความเหมาะสมในการประกาศเป็นเขตพัฒนาการท่องเที่ยวเพื่อประโยชน์ในการรักษาฟื้นฟู
แหล่งท่องเที่ยวรักษาวัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น และการบริหารการท่องเที่ยว เพื่อพัฒนา
คุณภาพแหล่งท่องเที่ยวการบริการและบุคลากรด้านการท่องเที่ยว มีงบประมาณสาหรับสนับสนุน

124

การท่องเที่ยวได้ตรงตามความต้องการของคนในพื้นที่ และมีการกาหนดทิศทางการพัฒนา
การทอ่ งเทีย่ วในพ้นื ที่อย่างมีสว่ นรว่ มจากทุกภาคสว่ นท่เี ก่ยี วข้อง

9. การวิเคราะห์ความเช่ือมโยงของยุทธศาสตร์
มติที่ประขุมคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันท่ี

12 มีนาคม 2561 เห็นขอบในหลักการประกาศเขตพัฒนาการท่องเที่ยวเพิ่มเติม 6 เขต ได้แก่
(1) เขตพัฒนาการท่องเที่ยวเมืองเก่ามีชีวิต (2) เขตพัฒนาการท่องเที่ยววิถีชีวิตชายฝั่งอ่าวไทย
(3) เขตพัฒนาการท่องเที่ยวผืนป่ามรดกโลกดงพญาเย็น - เขาใหญ่ (4) เขตพัฒนาการท่องเที่ยว
ธรณีวิทยาถิ่นอีสาน (5) เขตพัฒนาการท่องเที่ยววิถีชีวิตลุ่มน ้า ทะเลสาบสงขลา และ
(6) เขตพัฒนาการท่องเที่ยวพหุวัฒนธรรมขายแดนใต้ ซึ่งทั้ง 6 เขตได้ผ่านการรับฟัง ความคิดเห็น
ในพื้นที่เรยี บร้อยแลว้ สานกั งานการท่องเทีย่ วและกีฬา จังหวัดสมุทรปราการ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ
คณะกรรมการพัฒนาการท่องเที่ยวภายในเขตพัฒนาการท่องเที่ยววิถีชีวิตชายฝั่งอ่าวไทย
ซง่ึ ดาเนนิ การในพน้ื ท่ี 4 จังหวดั ได้แก่ จังหวดั สมทุ รปราการ จังหวัดสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสาคร
และจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยจังหวัดสมุทรปราการเป็นหน่วยงานหลักในการเตรียมการขับเคลื่อน
งานของเขตพัฒนาการท่องเที่ยวให้มีประสิทธิภาพเป็นไปตามมติของคณะกรรมการนโยบาย
การทอ่ งเท่ียวแห่งชาตจิ งึ ได้ จดั ทาแผนปฏิบัติการพฒั นาการท่องเที่ยวภายในเขตพัฒนาการท่องเท่ียว
วิถีชีวิตชายฝั่งอ่าวไทยขึ้น และเพื่อให้แผนปฏิบัติการฯ ดังกล่าวสอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ
จึงไดท้ าการศึกษาวิเคราะหแ์ ผนพฒั นาประเทศใน ระดับตา่ ง ๆ ดงั น้ี

9.1 ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580)
รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 65 กาหนดให้รัฐพึงจดั ให้มียทุ ธศาสตร์ชาติ

เป็นเป้าหมายการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนตามหลักธรรมาภิบาล เพื่อใช้เป็นกรอบในการจัดทา
แผนต่าง ๆ ให้สอดคล้อง และบูรณาการกนั เพื่อให้เกิดเป็นพลังผลักดนั ร่วมกนั ไปสู่เป้าหมาย ดังกล่าว
โดยให้เป็นไปตามที่กาหนดในกฎหมายว่าด้วยการจัดทายุทธศาสตร์ชาติเพื่อนาไปสู่การปฏิบัติ
ให้ประเทศไทยบรรลุวิสัยทัศน์ “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้วด้วย
การพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” โดย มีเป้าหมายการพัฒนาประเทศ คือ
“ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข เศรษฐกิจพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สังคมเป็นธรรม
ฐานทรัพยากรธรรมชาติยั่งยืน” โดยยกระดับศักยภาพของประเทศในหลากหลายมิติ พัฒนาคน
ในทกุ มิติ และในทุกชว่ งวยั ใหเ้ ป็นคนดี เก่ง และมคี ุณภาพ สร้างโอกาส และความเสมอภาคทางสังคม
สร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมีภาครัฐของประชาชนเพื่อประชาชน
และประโยชนส์ ว่ นรวมโดยการประเมนิ ผลการพฒั นาตามยุทธศาสตร์ชาติ

125

ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน อยู่ในช่วงระยะเวลา
ของยุทธศาสตร์ชาติ จะมุ่งเน้นการสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
โดยมีเป้าหมายการพัฒนาที่มุ่งเน้นการยกระดับศักยภาพของประเทศในหลากหลายมิติ บนพื้นฐาน
แนวคิด 3 ประการ ได้แก่ (1) “ต่อยอดอดีต” โดยมองกลับไปที่รากเหง้าทางเศรษฐกิจ อัตลักษณ์
วฒั นธรรม ประเพณี วถิ ชี ีวิต และจดุ เดน่ ทางทรัพยากรธรรมซาติที่หลากหลาย รวมทัง้ ความได้เปรียบ
เชิงเปรียบเทียบของประเทศในด้านอื่น ๆ นามาประยุกต์ผสมผสานกับเทคโนโลยีและนวัตกรรม
เพื่อให้สอดรับกับบริบทของเศรษฐกิจและสังคมโลกสมยั ใหม่ (2) “ปรับปัจจุบัน” เพื่อปูทางลู่อนาคต
ผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในมิติต่าง ๆ ทั้งโครงข่าย ระบบคมนาคมและขนส่ง
โครงสร้างพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และดิจิทัล และการปรับสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อ
การพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการอนาคต และ (3) “สร้างคุณค่าใหม่ในอนาคต”
ด้วยการเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการ พัฒนาคนรุ่นใหม่ รวมถึงปรับรูปแบบธุรกิจเพื่อตอบสนอง
ต่อความต้องการของตลาดผสมผสานกับยุทธศาสตร์ที่รองรับอนาคตบนพื้นฐานของการต่อ ยอดอดีต
และปรับปัจจุบัน พร้อมทั้งการส่งเสริมและสนับสนุนจากภาครัฐให้ประเทศไทยสามารถ
สร้างฐานรายได้ และการจ้างงานใหม่ ขยายโอกาสทางการค้า และการลงทุนในเวทีโลก ควบคู่
ไปกับการยกระดับรายได้ และการกินดีอยู่ดี รวมถึงการเพิ่มขึ้นของคนชั้นกลาง และลด
ความเหล่ือมลา้ ของคนในประเทศได้ในคราวเดยี วกนั

9.2 แผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาติ ฉบบั ท่ี 12 (พ.ศ. 2560 - 2564)
ยุทธศาสตร์ที่ 7 การสร้างความเปน็ ธรรม และลดความเหลื่อมลา้ ในสงั คม
การพัฒนาในช่วงที่ผ่านมาทาให้สังคมไทยก้าวหน้าไปในหลายด้าน

ทั้งการสร้างความมั่นคงด้านอาชีพ และรายได้ที่ทาให้จานวนคนยากจนลดลง บริการทางการศึกษา
และสาธารณสขุ ขยายท่ัวถึงมากข้ึน อยา่ งไรกด็ ี การแกป้ ัญหาความเหล่ือมล้าและสรา้ งความเป็นธรรม
นับว่ามีความคืบหน้าช้า และยังเป็นปัญหาท้าทายในหลายด้าน ทั้งความแตกต่างของรายได้
ระหว่างกลุ่มประชากร ความแตกต่างของคุณภาพการบริการภาครัฐ โดยเฉพาะในพื้นที่หา่ งไกล และ
ในกล่มุ ผูด้ ้อยโอกาสท่ีไดร้ บั บริการทีค่ ุณภาพตา่ กวา่ รวมทง้ั ขอ้ จากัดในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม
ของกล่มุ ผูด้ อ้ ยโอกาสและกลมุ่ ท่ีอยู่ในพ้ืนทหี่ า่ งไกล นอกจากนนั้ ยังมีเงอื่ นไข/ปจั จยั เสย่ี งหลายประการ
ที่อาจจะส่งผลให้ความเหล่ือมลา้ ในสังคมไทยรุนแรงขน้ึ ได้ อาทิ การเปน็ สังคมผู้สูงวัยของประเทศไทย
ซึ่งจานวนประชากรวัยแรงงานลดลง ภาระพึ่งพิงต่อวัยแรงงานสูงขึ้นจากภาระเลี้ยงดูทั้งเด็ก และ
ผู้สูงอายุทาให้มีข้อจากัดในการออมเพื่ออนาคต ประกอบกับบางกลุ่มยังขาดความรู้ความเข้าใจ
เรื่องการเงินและการออม ซึ่งอาจกลายเป็นผู้สูงวัยที่ยากจนในอนาคตได้ นอกจากนั้น ความก้าวหน้า

126

ทางเทคโนโลยีที่เอื้อประโยชน์ต่อผู้ที่สามารถเข้าถึง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีทักษะสูงทาให้
สามารถได้รับผลตอบแทนสูงขึ้น และท้ิงห่างจากผู้ที่ขาดทักษะ และไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้
ขณะที่เดียวกันเทคโนโลยีก็สามารถทาให้ผู้ที่อยู่ห่างไกลสามารถเข้าถึงการศึกษา ความรู้ และ
บริการสาธารณสุขได้ ซึ่งเป็นประเด็นท้าทายที่ต้องเร่งพัฒนาและแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้า
ในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 เพื่อไม่ให้ปัญหาความเหล่ือมล้าเป็นข้อจากัดต่อการพัฒนาไปสู่
การเป็นประเทศที่มีรายได้สูง โดยจาเป็นต้องมีการเชื่อมโยงทุกมิติของการพัฒนาอย่างบูรณาการ
เป็นองค์รวมทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ตลอดจนการพัฒนาภาคและเมือง และการบริหาร
จัดการภาครัฐ ดังนั้น การสร้างความเป็นธรรม และลดความเหลื่อมล้าในสังคมไทย จาเป็นต้องอาศัย
การพัฒนาในยุทธศาสตร์อื่น ๆ ในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 มาเป็นพลังร่วมและสนับสนุนการพัฒนา
อาทิ ยุทธศาสตร์การสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและแข่งขันได้อย่างยั่งยืน ที่จะเป็นช่องทาง
ให้ชุมชนและผู้ใช้แรงงานได้มี ศักยภาพและโอกาสได้รับประโยชน์จากการพัฒนาเศรษฐกิจ
ยุทธศาสตร์การเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่เน้นการบริหารจัดการ
ที่ดินให้มีการกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการในภาครัฐ
ที่จะช่วยสร้างความเป็นธรรมในสังคม ป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบ และสร้างธรรมาภิบาล
ในสังคมไทย และยุทธศาสตร์การพัฒนาภาค เมือง และพื้นที่เศรษฐกิจที่จะช่วยกระจายความเจริญ
และรายได้ไปส่พู ืน้ ที่

สาหรบั ยทุ ธศาสตรก์ ารสรา้ งความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมลา้ ในชว่ ง 5 ปี
ต่อจากนี้ ได้ให้ความสาคัญกับการดาเนินการยกระดับคุณภาพบริการทางสังคมให้ทั่วถึง โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งด้านการศึกษาและสาธารณสุข รวมทั้งการปิดช่องว่างการคุ้มครองทางสังคมในประเทศไทย
ซึ่งเป็นการดาเนินงานต่อเนื่องจากที่ได้ขับเคลื่อนและผลักดันในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 11 และ
มุ่งเน้นมากขึ้นในเร่ืองการเพ่ิมทักษะแรงงาน และการใช้นโยบายแรงงานที่สนับสนนุ การเพิ่มผลิตภาพ
แรงงานและเสริมสร้างรายได้สูงขึ้น และการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
การสนับสนุนในเรื่องการสร้างอาชีพ รายได้ และให้ความช่วยเหลือที่เชื่อมโยงการเพิ่มผลิตภาพ
สาหรับประชากรกลุ่มร้อยละ 40 รายได้ต่าสุด ผู้ด้อยโอกาส สตรี และผู้สูงอายุ อาทิ การสนับสนุน
ธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลางและขนาดย่อม วิสาหกิจชุมชน และวิสาหกจิ เพือ่ สังคม การพัฒนาองค์กร
การเงินฐานรากและการเข้าถึงเงินทุนเพื่อสร้างอาชีพ และการสนับสนุนการเข้าถึงปัจจัยการผลิต
คุณภาพดีที่ราคาเป็นธรรม เป็นต้น และในขณะเดียวกันก็ต้องเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งบประมาณ
เชงิ พืน้ ที่ และบรู ณาการเพ่อื การลดความเหล่ือมลา้

แนวทางการพัฒนาตามยุทธศาสตร์ที่ 2 ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การเสริมสร้าง
ศักยภาพชุมชน การพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน และการสร้างความเข้มแข็งการเงินฐานราก

127

ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ มีสิทธิในการจัดการทุน
ที่ดิน และทรัพยากรภายในชุมชนโดย 1) สร้างและพัฒนาผู้นาการเปลี่ยนแปลงในชุมชนให้มี
ขีดความสามารถในการสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดความเชื่อมั่น ศรัทธา มีจุดยืนทางความคิด
มีธรรมาภิบาลในการบริหาร และพัฒนาชุมชน ส่งเสริมการรวมกลุ่ม และสร้างจิตสานึกให้ชุมชน
พึ่งพาตนเอง 2) ส่งเสริมให้เกิดชุมชนแห่งการเรียนรู้ด้วยกระบวนการวิจัย และการถ่ายทอดองค์
ความรู้ในชุมชน เพ่ือนาไปสู่การแก้ไขปัญหาในพื้นท่ี และการต่อยอดองค์ความรู้ไปสู่เชิงพาณิชย์
รวมทง้ั สง่ เสริมการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศในการสร้างการจัดการความรู้ในชมุ ชน 3) พฒั นาเศรษฐกิจ
ชุมชน โดยส่งเสริมการประกอบอาชีพของผู้ประกอบการระดับชุมชน การสนับสนุนศูนย์ฝึกอาชีพ
ชุมชน การส่งเสริมการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายอุตสาหกรรม (Cluster) ในพื้นที่กับเศรษฐกิจชุมชน
การสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา ในการร่วมกนั พัฒนาความรู้ในเชงิ ทฤษฎี
และสามารถนาไปประยุกต์ใช้ในทางปฏิบัติ เพื่อสร้างศักยภาพให้กับชุมชนในการประกอบธุรกิจ
การสนับสนนุ การประกอบธรุ กิจแบบวิสาหกิจเพื่อสังคม รวมถงึ การส่งเสริมการท่องเทีย่ วท้องถ่ิน และ
การท่องเทย่ี วเชิงอนุรกั ษใ์ นชมุ ชนท่มี แี หลง่ ท่องเทยี่ ว

ยุทธศาสตรท์ ี่ 3 การสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและแขง่ ซ้นได้อยา่ งยง่ั ยืน
ในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 เศรษฐกิจโลกยังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว

จากปัญหาวิกฤตต่าง ๆ การแข่งขันในตลาดโลกจะรุนแรงขึ้นโดยที่ประเทศต่าง ๆ มุ่ งเน้น
การนานวัตกรรมมาเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ในขณะที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ากว่า
ศักยภาพมาต่อเนื่องหลายปี ทั้งจากผลกระทบของเศรษฐกิจโลกซบเซาและข้อจากัดภายในประเทศ
เองที่เป็นอุปสรรคต่อการเพิ่มผลิตภาพ และขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งฐานเศรษฐกิจ
ภายในประเทศขยายตัวช้า 5 ปีต่อจากนี้ไป จึงเป็นช่วงเวลาของการฟ้ืนฟูเศรษฐกิจไทยให้กลับมา
ขยายตวั ได้สงู ขนึ้ โดยการเรง่ การลงทุนในโครงสรา้ งพนื้ ฐานและระบบโลจีสติกส์ตามแผนที่วางไว้ และ
สร้างบรรยากาศการลงทุนที่จูงใจให้ภาคเอกชนขยายการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาเป้าหมาย
สาคัญ และขณะเดียวกัน 5 ปีต่อจากนี้ เป็นช่วงของการปฏิรูปเศรษฐกิจในหลายด้านเพื่อวางพื้นฐาน
ให้สามารถพัฒนาต่อยอดให้ประเทศไทยเป็นประเทศรายได้สูงได้ภายในปี 2570 ตาม
กรอบยทุ ธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยการใชน้ วัตกรรม คณุ ภาพคน และการปรบั ปรุงด้านกฎระเบียบ และ
การบริหารจัดการที่ดี เป็นปัจจัยนาในการสร้าง ความเข้มแข็งของเศรษฐกิจ ยุทธศาสตร์
การสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ และแข่งขันได้อย่างยั่งยืน ให้ความสาคัญกับการบริหาร
เศรษฐกิจมหภาคให้มีเสถียรภาพ เพิ่มประสิทธิภาพภาคการเงิน และดูแลวินัยทางการเงินการคลัง
ควบคู่กับการดาเนินยุทธศาสตร์สร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจรายสาขา ทั้งภาคเกษตร

128

อุตสาหกรรม และบริการที่เป็นฐานรายได้เดิมและขยายสาขาการผลิตและบริการใหม่ ๆ สาหรับ
อนาคต

การขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจเจริญเติบโตในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12
จะเน้นการพัฒนาและใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมข้ันก้าวหน้าที่เข้มข้นมากขึ้น
การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล การพัฒนาและยกระดับคุณภาพของกาลังคน และความคิดสร้างสรรค์
ในการขยายฐานเศรษฐกิจ และฐานรายได้ใหม่ ควบคู่กับการเพิ่มผลิตภาพของฐานการผลิต และ
บริการเดิม รวมทั้งการต่อยอดการผลิตและบริการเดิมโดยใช้ดิจิทัลและเทคโนโลยีอัจฉริยะ
นอกจากนั้นจะให้ความสาคัญกับการใช้ศักยภาพของทรัพยากรชีวภาพ การส่งเสริมการเชื่อมโยง
ตลอดห่วงโซม่ ลู ค่าอย่างมีประสิทธภิ าพ การพัฒนาพนื้ ที่เศรษฐกิจใหม่และการพัฒนาตามแนวระเบียง
เศรษฐกิจ การผสมผสานภาคบริการเข้ากับการค้าและการเตรียมความพร้อมของภาคบริการ
ให้สามารถรองรับการแข่งขันที่เสรีขึ้น การเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันให้กับวิสาหกิจขนาดกลาง
และขนาดย่อม รวมทั้งการสร้างสังคมผู้ประกอบการที่ผลิตได้ขายเป็น โดยพิจารณาการเปลี่ยนแปลง
ความต้องการของผู้บริโภคอย่างรวดเร็วและมาตรฐานสากลของสินค้าและบริการที่สูงขึ้น รวมถึง
มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม รวมทั้งพัฒนาระบบ และกลไก ตลอดจนการพัฒนาเ ชิงพื้นที่
เพื่อกระจายโอกาสเศรษฐกิจให้คนในชุมชนและท้องถิ่น และแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม
เพื่อลดความเหลื่อมล้าทางเศรษฐกิจ เสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน โดย 1) พัฒนาทักษะ
ผีมือแรงงานให้สามารถรองรับการพัฒนาเขตอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป เมืองการค้า และ
เมืองท่องเทย่ี ว 2) สง่ เสริมเศรษฐกิจชุมชนใหม้ ีความเข้มแข็ง เช่น สง่ เสริมการรวมกลุ่มวิสาหกิจชุมชน
เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ ให้ความรู้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ การผลิต การ จัดตั้งตลาด และ
การสรา้ งเอกลักษณ์ของสินค้า 3) สรา้ งความเข้มแข็งและสร้างเครือข่ายชุมชนที่มีสว่ นร่วมในการดูแล
รกั ษาความปลอดภยั

แนวทางการพัฒนาตามยุทธศาสตรท์ ี่ 3 ท่ีเกย่ี วขอ้ ง ไดแ้ ก่ การเสรมิ สรา้ ง และ
พัฒนาซีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิต และบริการ มุ่งเน้นการสร้างความเชื่อมโยง
ของห่วงโซ่มูลค่าระหว่างภาคเกษตร อุตสาหกรรม บริการ และการค้าการลงทุน เพื่อยกระดับ
ศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ สร้างรายได้ และกระจายรายได้สู่คนในชุมชนอย่างทั่วถึง
อันจะนามาซึ่งความเข้มแข็งของทั้งเศรษฐกิจในภาพรวมและเศรษฐกิจฐานรากตามหลักการพัฒนา
ที่ยั่งยืน โดย 1) ยกระดับการผลิตสินค้าเกษตร และอาหาร เข้าสู่ระบบมาตรฐาน และสอดคล้อง
กับความต้องการของตลาด และการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาวะ ขับเคลื่อนการผลิตสินค้าเกษตร
อินทรีย์อย่างจริงจัง โดยการสร้างแรงจูงใจในการปรับเปลี่ยนเข้าสู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์

129

ผ่านมาตรการทางการเงินการคลัง การส่งเสริมการผลิต การยกระดับราคาสินค้าเกษตรอินทรีย์
ให้แตกต่างจากสินค้าเกษตรที่ใชส้ ารเคมี ตลอดจนมาตรการส่งเสริมการตลาดและแนวทางอื่น ๆ เช่น
การใช้หลักการคาร์บอนเครดิต เป็นต้น การสร้างความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับกลุ่มผู้บริโภค
การพัฒนาระบบการรับรองมาตรฐานและการพิสูจน์ ตรวจสอบคุณภาพสินค้าเกษตรอิน ทรีย์
การส่งเสริมกระบวนการตรวจรับรองแบบมีส่วนร่วม รวมท้ังการจัดทาโซนนิ่งระบบเกษตรอินทรีย์
อย่างเป็นรูปธรรม โดยนาร่องในพื้นที่ที่มีความพร้อมและเหมาะสม และเชื่อมโยงไปสู่การท่องเที่ยว
เชิงเกษตรหรือการท่องเที่ยววิถีไทยเพื่อขยายฐานรายได้ 2) เสริมสร้างขีดความสามารถการแข่งขัน
ในเชิงธุรกิจของภาคบริการที่มีศักยภาพท้ังฐานบริการเดิมและฐานบริการใหม่ เพื่อส่งเสริม
ให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตได้อย่างเข้มแข็งโดยมีแนวทางการพัฒนา โดยพัฒนาศักยภาพ
ของฐานบริการเดิมให้เติบโตอย่างเข้มแข็ง, ยกระดับฐานธุรกิจบริการใหม่ที่มีแนวโน้มขยายตัว และ
มีศักยภาพในการเติบโต และสร้างกลไกการขับเคลื่อนภาคบริการที่เป็นเอกภาพ
3) พัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงบูรณาการ โดยมีแนวทางการพัฒนาโดยส่งเสริมการสร้างรายได้
จากการท่องเที่ยว ปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวให้มีความทันสมัย จัดทา และ
บังคับใช้มาตรฐานด้านการท่องเที่ยว และปรับโครงสร้างการบริหารจัดการด้านการท่องเที่ยว
เพ่อื ใหเ้ ป็นกลไกในการบริหารจดั การและกาหนดทิศทางการพฒั นาที่ชดั เจน โดยมงุ่ เน้นการมสี ่วนร่วม
ของทุกภาคส่วนท้ังภาครัฐ ภาคเอกซน สถาบันการศึกษา และภาคประชาสังคม ในการยกระดับ
อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศให้เติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน รวมทั้งกระจายผลประโยชน์
อยา่ งเปน็ ธรรม และเทา่ เทยี ม

9.3 แผนแม่บทประเทศดา้ นการท่องเที่ยว (พ.ศ. 2561 - 2580)
องค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ ได้คาดการณ์ว่าในปี พ.ศ. 2573

จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางทั่วโลก 1.8 พันล้านคน หรือขยายตัวในอัตราเฉลี่ยร้อยละ 3.3 ต่อปี
จึงนับเป็นโอกาสที่ดีฃองอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ในการพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นจุดหมาย
ปลายทางของนักท่องเท่ยี วทว่ั โลก โดยการแสวงหาสนิ ค้าและบรกิ ารท่องเทยี่ วใหม่ ๆ ที่ไทยมีศักยภาพ
มีความหลากหลาย และกระจายอยู่ทุกภูมิภาคของประเทศ รวมทั้งสามารถเชื่อมโยงไปยัง
ประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อนามาส่งเสริมพัฒนาให้เต็มตามศักยภาพและสร้างสรรค์คุณค่าให้สอดรับ
กับทิศทางและแนวโน้มของตลาดยุคใหม่ ตลอดจนยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย และ
อานวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวทุกกลุ่ม การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ระบบนิเวศ และ
ทรัพยากรที่เอื้อต่อการเติบโตของการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ เพื่อกระจายโอกาสในการสร้างรายได้

130

ไปสู่ชุมชน และเมืองอย่างทั่วถึงและยั่งยืน บรรลุเป้าหมายด้านรายได้ และการยกระดับ
ขดี ความสามารถในการแขง่ ขัน ของอุตสาหกรรมการทอ่ งเท่ียวไทย

ประเทศไทยตระห นักถึงคว ามส าคัญ ขอ งการ ท่องเ ที่ยว ในฐ านะ กล ไ ก ห ลั ก
ในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยในปี 2560 การท่องเที่ยวของไทยสามารถ
สร้างรายได้กว่า 2.75 ล้านล้านบาท และมีขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยว
(Travel & Tourism Competitiveness Index) อยู่ในอันดับที่ 34 จาก 136 ประเทศ ซึ่งแสดงให้
เห็นว่าแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวที่ผ่านมาของไทยสามารถเพิ่มขีดความสามารถ
ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมท่องเที่ยวนั้น
มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาตามสภาวการณ์โลก และพฤติกรรมของผู้บริโภค อุตสาหกรรม
ท่องเที่ยวของไทย จึงต้องมีการปรับตัวตามกระแสโลกที่เปลี่ยนแปลงไป และวางแผนการพัฒนา
ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด เพื่อรักษาและพัฒนาขีดความสามารถด้านการท่องเที่ยว
ของประเทศ

แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติประเด็นการท่องเที่ยวให้ความส าคัญ
กับการรักษาการเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวระดับโลกจึงเป็นสิ่งสาคัญยิ่ง โดยจะต้อง
พัฒนาการท่องเที่ยวท้ังระบบ มุ่งเน้นนักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพ สร้างความหลากหลายด้าน
การท่องเที่ยวให้สอดคล้องกับความต้องการของนักท่องเที่ยว และมุ่งเน้นการพัฒนาการท่องเที่ยว
ในสาขาที่มีศักยภาพ แต่ยังคงรักษาจุดเด่นของประเทศ ด้านขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม
อัตลักษณ์ความเป็นไทย ตลอดจนให้คุณค่ากับสิ่งแวดล้อมไว้ได้ ท้ังนี้ การกาหนดเป้าหมาย
ของการพัฒนาการท่องเที่ยวในระยะ 20 ปี ในระยะแรกให้ความสาคัญกับการสร้างรายได้
จากการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง วางรากฐานด้านการท่องเที่ยวที่เน้นมาตรฐานและคุณภาพ
ระดับสากล สิ่งสาคัญที่สุด คือ การสร้างความเชื่อมั่นในเรื่องความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยว
การบังคับใช้กฎหมายให้เกิดความปลอดภัยและไม่ให้นักท่องเที่ยวถูกเอารัดเอาเปรียบ แล้วจึง
กระจายการท่องเที่ยวทั้งในมิติของพื้นที่และรายได้สู่ชุมชน ตลอดจนการให้ความสาคัญกับ
การพัฒนาการท่องเท่ียวอย่างยั่งยืน เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายสูงสุดของการท่องเที่ยวในการเป็นเครื่องมือ
ในการลดความเหลื่อมล้าของสังคมไทย โดยแผนแม่บทด้านการท่องเที่ยว ประกอบด้วย 6 แผนย่อย
ดงั น้ี

131

9.3.1 แผนย่อยการทอ่ งเท่ยี วเชิงสร้างสรรคแ์ ละวัฒนธรรม
การสร้างสรรค์คุณค่าสินค้าและบริการการท่องเที่ยว โดยมุ่งเน้นการใช้

องค์ความรู้และนวัตกรรม ผนวกกับจุดแข็งในด้านความหลากหลายทางทรัพยากรธรรมชาติ
วัฒนธรรม และวิถีชีวิต เพื่อสร้างคุณค่าให้กับสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยว ที่ตอบสนอง
พฤติกรรมความต้องการนักท่องเที่ยวและสร้างทางเลือกของประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับนักท่องเที่ยว
มแี นวทางพัฒนา ดังน้ี

1) สร้างคุณค่าและมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการบนฐานของทุน
ทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น ได้แก่ แหล่งอุทยานประวัติศาสตร์
เมืองมรดกโลก โบราณสถานเมืองเก่า ย่านการค้า วิถีชีวิตลุ่มน้า สินค้าชุมชน อาหารไทย และ
แพทย์แผนไทย เพื่อนามาสร้างสรรค์คุณค่าและมูลค่าผ่านองค์ความรู้ นวัตกรรม เทคโนโลยี และ
การออกแบบเพื่อสร้างสรรค์เป็นสินค้า รวมถึงการพัฒนากิจกรรม และบริการรูปแบบใหม่ให้กับ
นักท่องเที่ยว เช่น การท่องเที่ยวเชิงเกษตร การท่องเที่ยวโดยชุมชน การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
การท่องเท่ยี ววิถพี ทุ ธ เป็นตน้

2) พัฒนาปัจจัยแวดล้อมให้เอื้อต่อการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์
เพื่อนามาพัฒนาต่อยอดสินค้า และบริการด้านการท่องเท่ียว ได้แก่ การส่งเสริมการวิจัย พัฒนา และ
การออกแบบ การสร้างนวัตกรรม การส่งเสริมการลงทุน การสร้างเครือข่ายวิสาหกิจการท่องเที่ยว
การสอื่ สารและการคมนาคม การพฒั นาระบบฐานข้อมูล การสง่ เสริมการตลาด และการสร้างเรอื่ งราว
เพอื่ บอกเล่านักทอ่ งเทีย่ ว เปน็ ตน้

3) เสริมสร้างศักยภาพผู้ประกอบการและบุคลากรในอุตสาหกรรม
การท่องเที่ยว เพื่อให้มีทักษะและองค์ความรู้ในธุรกิจตลอดห่วงโซ่อุปทานของการท่องเที่ยว
ท้ังด้านการออกแบบ การวจิ ยั และพัฒนา การสรา้ งนวตั กรรมเทคโนโลยี การบริหารจัดการธุรกิจ และ
การตลาด เพื่อสร้างความแตกต่างและความโดดเด่นของสินค้าและบริการ ให้สอดคล้องกับ
ความต้องการของตลาดท่องเท่ยี ว

4) ส่งเสริมการจดทะเบียนการคุ้มครองการใช้ทรัพย์สินทางปัญญา และ
ภูมิปัญญา เพื่อสนับสนุนการพัฒนาต่อยอดไปสู่การท่องเที่ยวเ ชิงสร้างสรรค์ และการเป็น
เมืองศูนย์กลางการท่องเที่ยวของภูมิภาค ได้แก่ แหล่งประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรมไทย มรดก
ทางวัฒนธรรม กิจกรรมและสนิ คา้ ของชมุ ชน อาหารไทย และการแพทยแ์ ผนไทย

132

5) ส่งเสริมการตลาดการท่องเที่ยว โดยการน าเสนอเอกลักษณ์
ของประเทศไทยและของแต่ละท้องถิ่นให้เป็นที่เข้าใจในเวทีโลก ผ่านสื่อสร้างสรรค์ และนวัตกรรม
ทางสื่อต่าง ๆ รวมทั้งการส่งเสริมการสื่อสารเรื่องราวอันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละภูมิภาค และ
จงั หวดั ต่าง ๆ ผา่ นการพฒั นาแบรนด์ และการสื่อสารเร่ืองราวอย่างสร้างสรรค์ ผา่ นช่องทางการตลาด
ทเ่ี ปน็ ท่นี ิยมในกลุ่มเป้าหมาย

9.3.2 แผนย่อยการท่องเที่ยวเชงิ ธุรกจิ
ส่งเสริมให้ไทยเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ ครอบคลุม

การจัดประชุม และนิทรรศการการจัดงานแสดงสินค้า การจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวเป็นรางวัล
การจัดการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติ การท่องเที่ยวเชิงกีฬา รวมถึงการพักผ่อนระหว่าง หรือ
หลังการประกอบธุรกิจหรือการทากิจกรรมต่าง ๆ อันเป็นการดึงดูดกลุ่มนักเดินทางเพื่อธุรกิจ และ
นักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ อีกทั้งส่งเสริมให้การจัดงานธุรกิจและกิจกรรมต่าง ๆ เป็นการสนับสนุน
การพัฒนากลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ โดยเป็นเวทีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และ
เทคโนโลยีที่นาไปสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรม และเป็นเวทีเจรจาการค้าและการลงทุนของธุรกิจ
ท่เี กี่ยวเน่ืองกับอตุ สาหกรรมเป้าหมาย มีแนวทางการพฒั นาดังน้ี

1) พฒั นาโครงสรา้ งพนื้ ฐานและส่ิงอานวยความสะดวกของเมืองท่องเท่ียว
เชิงธุรกิจให้มีความพร้อมสาหรับการเดินทางเพื่อประกอบธุรกิจ การจัดประชุมและนิทรรศการ
การจัดงาน แสดงสินค้า การจัดกิจกรรม การจัดการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติ รวมถึงส่งเสริม
การกระจายของการท่องเที่ยวธุรกิจไปยังพื้นที่ที่มีศักยภาพในการเป็นจุดหมายปลายทางของ
การจัดประชุมและนิทรรศการ การจัดงานหรือกิจกรรมพิเศษ และเพิ่ม ช่องทางการเข้าถึง
การจัดแสดงผลงานรูปแบบตา่ ง ๆ ท้งั การจดั แสดงผลงานจรงิ และในรปู แบบเสมอื นจรงิ

2) สนับสนุนมาตรการเพื่อสร้างแรงจูงใจและอานวยความสะดวก
ในการดาเนินกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ รวมทั้งสร้างความพร้อมของธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง
ตลอดห่วงโซค่ ุณคา่ และระบบนิเวศของการเดินทางท่องเท่ียวเชงิ ธุรกิจ เช่น โรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร
การจัดเลย้ี ง ของท่ีระลึก บริการโลจิสตกิ ส์ สถานบนั เทิง ธรุ กจิ นาเทย่ี ว ธรุ กจิ การจัดงาน เป็นต้น และ
ส่งเสริมให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม วิสาหกิจเริ่มต้น และชุมชนท้องถิ่น ในการนาเสนอ
สินค้าและบริการเพื่อรองรับการเดินทางท่องเที่ยว เชิงธุรกิจรวมถึงการสร้างความเข้ มแข็ง
ให้กับผูป้ ระกอบการและบุคลากรในอตุ สาหกรรมทเ่ี ก่ียวข้อง

133

3) ส่งเสริมการตลาดและสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพจัดงานในระดับนานาชาติ
รวมทั้งประชาสัมพันธ์เมือง/พื้นที่ท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ และส่งเสริมกิจกรรมที่ไทยมีศักยภาพ
ในการเดินทางท่องเที่ยว เพื่อจูงใจให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ ทั้งก่อน ในระหว่าง และ
หลังการประกอบธุรกิจหรือการทากิจกรรมต่าง ๆ ต่อยอดอุตสาหกรรมเปา้ หมายของประเทศ รวมถึง
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การกีฬา เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเข้าถึงการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และ
เทคโนโลยที ี่นาไปสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรม ตลอดจนส่งเสรมิ ใหเ้ กิดเวทีเจรจาการค้า และการลงทนุ
ของธุรกจิ ทีเ่ ก่ียวเน่อื งกบั อตุ สาหกรรมเปา้ หมาย

9.3.3 แผนย่อยการทอ่ งเทีย่ วเชงิ สุขภาพ ความงาม และแพทย์แผนไทย
พัฒนาและยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ความงาม และ

แพทย์แผนไทย ทั้งสินค้า บริการ บุคลากร ผู้ประกอบการ และแหล่งท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องตลอด
ห่วงโซ่คุณค่าการท่องเที่ยว มุ่งเน้นการสร้างความแตกต่างและเอกลักษณ์จากการให้บริการ
ตามแบบอย่างความเป็นไทยที่โดดเด่นในระดับสากลร่วมกับการใช้องค์ความรู้และภูมิปัญญาไทย
ที่พัฒนาต่อยอดกับความคิดสร้างสรรค์ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม
ให้กับสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ความงาม และแพทย์แผนไทย
มีแนวทางการพัฒนาดงั น้ี

1) ยกระดบั คุณภาพการใหบ้ รกิ ารการท่องเท่ยี วเชิงสุขภาพใหไ้ ดม้ าตรฐาน
ระดับสากล ทั้งคุณภาพของสถานประกอบการและคุณภาพของผู้ให้บรกิ ารท่ีมที ักษะ ความเชีย่ วชาญ
ให้ความสาคัญเรื่องความสะอาด ความปลอดภัยในสถานประกอบการ ซึ่งครอบคลุมการให้บริการ
ในธุรกิจสปาและบริการเสริมความงาม นวดแผนไทย โยคะ การดูแลผู้สูงอายุ สถานพักฟ้ื น
เพอื่ การฟ้ืนฟูสุขภาพและการผอ่ นคลาย

2) สร้างสรรค์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพรูปแบบใหม่บนพื้นฐาน
ของทรัพยากรที่มีศักยภาพ ในการบาบัด ฟ้ืนฟู รักษาสุขภาพ โดยใช้ความคิดสร้างสรรค์นวัตกรรม
และเอกลักษณ์ความเป็นไทยในการให้บริการ พร้อมทั้งสร้างความหลากหลายของกิจกรรมส่งเสริม
สุขภาพที่ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรบั ในระดับสากล และเชื่อมโยงกับกิจกรรมการท่องเที่ยวต่าง ๆ เช่น
การใชน้ ้าพรุ อ้ น น้าแร่ สปาโคลน เพื่อส่งเสรมิ การทอ่ งเทย่ี วเชงิ สขุ ภาพ เป็นตน้

3) พัฒนายกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์ด้านแพทย์แผนไทยให้มีมาตรฐาน
ระดบั สากลและสอดคล้องกบั ความต้องการของตลาด เพือ่ สรา้ งมูลคา่ เพิ่มใหแ้ ก่ผลิตภัณฑ์ โดยการวิจัย

134

พัฒนานวัตกรรมตอ่ ยอดใหเ้ กิดสนิ คา้ ใหม่ และการแปรรูปผลิตภัณฑ์ พรอ้ มสร้างความเชอ่ื มั่นของผู้บริโภค
ต่อผลิตภณั ฑ์การแพทยแ์ ผนไทย

4) ส่งเสริมตลาดการท่องเที่ยวทางการแพทย์ที่ไทยมีความเชี่ยวชาญ
เฉพาะด้าน เพื่อสร้างการรับรู้อย่างแพร่หลายในตลาดกลุ่มเป้าหมายหรือกลุ่มตลาดที่มีความสนใจ
เฉพาะด้าน ได้แก่ ศัลยกรรมเสริมความงาม การตรวจสุขภาพประจาปี ทันตกรรม จักษุวิทยา
การรักษา ภาวะผู้มีบุตรยาก ศัลยกรรมกระดูก และผ่าตัดหัวใจ เป็นต้น โดยคานึงถึงความสอดคล้อง
กับการพัฒนาอุตสาหกรรมและบรกิ ารการแพทย์ครบวงจรของไทย

9.3.4 แผนย่อยการทอ่ งเทีย่ วสาราญทางนา้
ส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้าให้เป็นทางเลือกหนึ่งของการท่องเที่ยวไทย

ซึ่งถือเป็นแหล่งสร้างรายได้ใหม่ให้กับประเทศ โดยคานึงถึงความยั่งยืนของแหล่งท่องเที่ยว และ
การมีส่วนร่วมของชุมชน การท่องเที่ยวทางน้าจะครอบคลุมการท่องเที่ยวทางทะเลและชายฝั่ง และ
การท่องเที่ยวในลุ่มน้าสาคัญ โดยการปรับปรุงและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค และ
สิ่งอานวยความสะดวกในการท่องเที่ยวทางน้าให้ได้มาตรฐาน สร้างสรรค์กิจกรรมการท่องเที่ยว
ที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยว โดยคานึงถึงบริบทของพื้นท่ี และชุมชน
ในพื้นท่ี มแี นวทางการพัฒนา ดงั น้ี

1) พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรมการท่องเที่ยวให้เชื่อมโยง
กับเส้นทางการท่องเที่ยวทางทะเล ชายฝั่ง และลุ่มน้าสายสาคัญ เพื่อรองรับการท่องเที่ยว
ก่อน ระหว่าง และหลังการ โดยสารด้วยเรือสาราญ และเรือยอร์ซ โดยให้ความสาคัญกับการรักษา
ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรแหล่งท่องเที่ยว ทั้งปะการัง ชายหาด และคุณภาพน้า รวมทั้ง
สร้างสรรค์ และยกระดับกิจกรรมการท่องเที่ยวให้มีความหลากหลาย และสอดคล้องกับบริบท
ของพื้นท่ี และตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยว โดยมุ่งเน้นการกระจายกิจกรรมในพื้นท่ี
ต่าง ๆ และการสร้างความพร้อมให้แก่ชุมชน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวในพื้นที่ท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ
ตามแนวขายฝั่งและหมู่เกาะ ทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน และตามลุ่มน้าที่สาคัญ เช่น ลุ่มแม่น้า
เจา้ พระยา และลมุ่ แม่นา้ โขง เป็นต้น

2) ปรับปรุงและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค และสิ่งอานวย
ความสะดวกในการท่องเที่ยวทางน้า ทั้งท่าเรือสาราญในประเทศไทย เพื่อปรับบทบาทของท่าเรือ
ในประเทศ จากท่าเรือแวะพักเป็นท่าเรือหลัก และท่าเรืออื่น ๆ ที่ใช้สาหรับการท่องเที่ยวทางน้า

135

ให้ได้มาตรฐาน ตลอดจนการบริหารจัดการท่าเรือทั้งในเรื่องความสะอาด และมาตรฐาน
ดา้ นความปลอดภัย

3) พัฒนาและปรับปรุงปัจจัยสนับสนุนการท่องเที่ยวทางน้าในทุกมิติ เช่น
ความปลอดภัยในการเดินทาง การนาเทคโนโลยีมาใช้ในการอานวยความสะดวกในการเดินทาง
ข้ามแดนของบุคคลและตัวเรือ และความพร้อมของแหล่งท่องเที่ยว โดยเน้นการพัฒนาบุคลากร
ท่ีมคี วามถนดั เฉพาะทางเพื่อรองรบั ภาคอุตสาหกรรมการท่องเทย่ี วทางน้า

4) การส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ความพร้อมของอุตสาหกรรมท่องเทีย่ ว
ทางน้า แหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรมท่องเที่ยวต่อเนื่องในทุกรูปแบบ รวมทั้งส่งเสรมิ การทาการตลาด
รูปแบบใหม่บนพื้นฐานของเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่สอดคล้องกับพฤติกรรมความต้องการ
ของนักท่องเที่ยวและธุรกิจสายการเดินเรือ ซึ่งถือเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพที่มีการใช้จ่ายสูง
รวมทั้งนาเสนอแหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรมการท่องเที่ยวให้เชื่อมโยงกับเส้นทางการท่องเที่ยว
ทางทะเล ชายฝ่ัง และลุ่มน้าสายสาคญั

9.3.5 แผนยอ่ ยการท่องเทยี่ วเช่อื มโยงภมู ิภาค
ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงเส้นทางการท่องเที่ยว

ภายในภูมิภาคอาเซียน โดยใช้ประโยชน์จากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ แผนการลงทุนพัฒนาโครงข่าย
คมนาคม ทั้งทางถนน ทางราง ทางน้า และทางอากาศ และกรอบความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน
เพื่อการเชื่อมโยงเส้นทางการท่องเที่ยวภายในประเทศ อนุภูมิภาค และอาเซียนเข้าด้วยกัน
บนฐานอัตลักษณ์เดียวกัน เพื่อส่งเสริมให้เป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวร่วมกัน มีแนวทาง
การพัฒนาดงั น้ี

1) พัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงระหว่างประเทศในภูมิภาค
โดยใช้ประโยชน์จากโครงข่ายคมนาคมที่มีในปัจจุบัน และที่จะเกิดขึ้นใหม่ตามแผนพัฒนาในอนาคต
ทั้งทางถนน ทางราง ทางน้า และทางอากาศ รวมทั้งส่งเสริม และบูรณาการความร่วมมือ
ด้านการทอ่ งเท่ียวภายใตก้ รอบความรว่ มมือในระดับอนภุ ูมิภาคและอาเซียน อาทิ กรอบความร่วมมือ
ด้านการท่องเที่ยวอนุภูมภิ าคลุ่มแม่นา้ โขง กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี- เจ้าพระยา-แมโ่ ขง
การพัฒนาเขตเศรษฐกจิ สามฝา่ ย อนิ โดนีเซยี -มาเลเซีย-ไทย และการพฒั นาตามแนวระเบยี งเศรษฐกิจ
เป็นต้น ซึ่งการพัฒนาเสน้ ทางทอ่ งเทยี่ วยังรวมถึงการเชื่อมโยงเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงศิลปวฒั นธรรม
เมืองประวัติศาสตร์ และเมอื งมรดกโลกภายในอนุภมู ภิ าค

136

2) อานวยความสะดวกในการเดินทางระหว่างประเทศ โดยการพัฒนา
และยกระดับพิธีผ่านแดนของการเดินทางในทุกรูปแบบอย่างไร้รอยต่อ การปรับปรุง และ
แก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการเดินทางข้ามแดนของนักท่องเที่ยว และการใช้เทคโนโลยี
สารสนเทศ เพอื่ ให้ความรู้ เผยแพรข่ ้อมลู และอานวยความสะดวกในการเดินทางแก่นกั ท่องเทีย่ ว

3) ส่งเสริมการตลาดการท่องเที่ยวระหว่างประเทศร่วมกันให้สอดรับ
กับทิศทาง และแนวโน้มของตลาดยุคใหม่ โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีให้สอดรับกับพฤติกรรม
การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ โดยการประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ และสร้างแรงจูงใจแก่นักท่องเที่ยว
บนฐานอัตลักษณ์ร่วมกันของอนุภูมภิ าคและภูมิภาค เพื่อให้ประเทศไทยและประเทศสมาชิกอาเซียน
เป็นทร่ี ูจ้ ัก และเปน็ จุดหมายปลายทางร่วมของนกั ทอ่ งเท่ยี วท่วั โลก

9.3.6 แผนยอ่ ยการพฒั นาระบบนิเวศการทอ่ งเทยี่ ว
ระบบนิเวศที่เอื้อต่อการท่องเที่ยวเป็นแนวทางการพัฒนาปัจจัยแวดล้อม

ให้เอื้อต่อการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยว และการจัดการท่องเที่ยว
อย่างย่งั ยนื เพื่อสรา้ งมลู คา่ เพ่มิ ใหก้ บั อุตสาหกรรมการท่องเท่ยี วไทยมแี นวทางการพัฒนา ดงั นี้

1) ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและป้องกัน
ผลกระทบที่อาจเกิดจากกจิ กรรมการท่องเทยี่ วทุกมิติ รวมถึงคณุ ภาพมาตรฐานของสินคา้ บริการ และ
สิ่งแวดส้อม ที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของนักท่องเที่ยว โดยอาศัยเครือข่ายความร่วมมือ
จากทกุ ภาคที ่เี กี่ยวข้องและอาสาสมัครดา้ นการท่องเทย่ี วทั่วประเทศ

2) พัฒนาและฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ท้ังชายหาด ชายฝ่ัง
ทะเล เกาะ และหมู่เกาะ แหล่งวัฒนธรรม และสิ่งที่มนุษย์สร้างข้ึน เพื่อรองรับกิจกรรมการท่องเทีย่ ว
ทุกรูปแบบ และการท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวล โดยคานึงถึงความยั่งยืนของการท่องเที่ยว และ
การบริหารจดั การแบบบูรพาการอยา่ งเปน็ องค์รวม

3) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว ทั้งทางถนน
ทางราง ทางน้า และทางอากาศ เพื่อพัฒนาและเชื่อมโยงการท่องเที่ยวในพื้นที่ที่มีศักยภาพ เช่น
พื้นที่ระเบียง เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก พื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันตก พื้นที่ริมฝ่ังแม่น้าโขง และ
พื้นท่แี อ่งประวตั ศิ าสตร์ลมุ่ นา้ ภาคกลาง เปน็ ต้น

4) พัฒนาชุมชน ผู้ประกอบการ และบุคลากรด้านการท่องเที่ยว
ทุกภาคส่วนให้มีความพรอ้ มในการรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว รวมท้ังส่งเสริม
การมีสว่ นรว่ มของชมุ ชน และประชาชนในการพัฒนาการทอ่ งเที่ยวในพนื้ ท่ี

137

5) สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการพั ฒนาและ
บริหารจัดการการท่องเที่ยว การพัฒนาธุรกิจการท่องเที่ยว และการพัฒนาฐานข้อมูลกลาง
ด้านการท่องเที่ยว เพื่อการวางแผน การกาหนดนโยบาย และการอานวยความสะดวก
ให้แก่นกั ทอ่ งเที่ยว

9.4 ยุทธศาสตรก์ ระทรวงการท่องเทยี่ วและกฬี า ฉบบั ท่ี 4 (พ.ศ. 2560 - 2564)
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นหน่วยงานที่มีวิสัยทัศน์และบทบาท ในฐานะ

เป็นองค์กรหลักในการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยว การกีฬา และนันทนาการ เพื่อให้
ภาคส่วนต่าง ๆ ตามที่มีกฎหมายกาหนดให้เป็นอานาจหน้าที่ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
หรือส่วนราชการที่สังกัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเหล่านี้ สามารถเป็นกลไกในการขับเคลื่อน
เศรษฐกิจและพัฒนาสังคมไทยได้อย่างยั่งยืน โดยมี วิสัยทัศน์ “มุ่งพัฒนาและบูรณาการ
ด้านการท่องเที่ยวและการกีฬา สร้างเสริมความเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ และสังคม ของประเทศ”
โดยมีประเดน็ ยุทธศาสตร์ 6 ประเด็นยุทธศาสตร์ ดังนี้

ยุทธศาสตร์ที่ 1 การพัฒนาแหล่งสินค้า บริการ การอานวยความสะดวก และ
การสรา้ งความสมดุลใหก้ ับการท่องเทยี่ วไทยผ่านการตลาด มีมาตรการและแนวทางปฏิบัติ ดงั น้ี

1) พัฒนาแหล่งสินค้า และบริการด้านการท่องเที่ยวบนฐาน
ของความสมดุลและยั่งยืน โดยการเน้นการยกระดับมาตรฐานของแหล่งสินค้า และบริการ
ของการท่องเท่ียวของประเทศ ไทยท่มี ีศกั ยภาพ พร้อมกบั การกระจายความเจริญเตบิ โตไปยังสถานที่
ท่องเที่ยวที่มีศักยภาพแหล่งรอง เพื่อเป็นการรักษาสมดุลเชิงพื้นที่พร้อมทั้งสร้างความยั่งยืน
ของแหล่งสินค้า และบริการด้านการท่องเที่ยว ที่อาศัยทรัพยากรด้วยการพัฒนา และฟื้นฟู
แหล่งทอ่ งเทยี่ ว ใหม้ ีศกั ยภาพเพือ่ รองรบั การท่องเที่ยวเพ่ือคนทง้ั มวล

2) ส่งเสริมและพัฒนาด้านการอานวยความสะดวก และความปลอดภัย
แก่นักท่องเที่ยว โดยการน าระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ เพื่อรองรับการสนับสนุน
ภาคการท่องเที่ยว เพิ่มความปลอดภัยและมั่นใจในการเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย
แก่นักท่องเที่ยว ด้วยการปรับปรุง พัฒนา ยกระดับมาตรการ วิธีการ การดาเนินการ
ด้านความปลอดภัยแกน่ กั ทอ่ งเทยี่ ว

3) ส่งเสริมการกระจายการเดินทางท่องเที่ยวเชิงพื้นที่ เวลา และ
กลุ่มตลาด โดยการใช้ภาพลักษณ์ และเอกลักษณ์ความเป็นไทย ประสานกับการตลาดในการส่งเสริม
การทอ่ งเทย่ี ว เพ่ือกระจายการท่องเท่ียวในมิติเชิงพน้ื ทเี่ วลา และกลุ่มตลาด การเสริมสรา้ งภาพลกั ษณ์

138

ท่องเที่ยวไทย สู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ การสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยว
ที่แตกต่างด้วยเอกลักษณ์วิถีไทย การเพิ่มการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพทั้งชาวไทย และ
ต่างชาติ การกระจายการเดินทางท่องเที่ยวเชิงพื้นที่และเวลาท่องเที่ยว การกระตุ้นการเดินทาง
ของนักท่องเที่ยวกลุ่มกระแสหลัก การสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าทางการท่องเที่ยว และ
เพ่มิ ขดี ความสามารถทางการแข่งขนั ทางการตลาด

ยุทธศาสตร์ที่ 7 การพัฒนาศักยภาพบุคลากรและภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน
ในอตุ สาหกรรมทอ่ งเท่ียว มีมาตรการและแนวทางปฏิบตั ิ ดงั นี้

พัฒนาศักยภาพชุมชน ผู้ประกอบการและบุคลากรด้านการท่องเที่ยว
ให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันโดยการเพิ่มศักยภาพ พัฒนาทักษะ และเสริมสร้างองค์ความรู้
แก่ผู้เกี่ยวข้อง ได้แก่ ผู้ประกอบการ ตลอดจนบุคลากรด้านการท่องเที่ยวต่าง ๆ เพื่อนาไปสู่
การสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว โดยศักยภาพนี้ยังหมายความรวมถึงการเป็นเจ้าภาพที่ดี
การมีสมรรถนะตามมาตรฐานบุคลากรด้านการท่องเที่ยวระดับภูมิภาค และระดับสากล
การสร้างระบบการเรียนรู้ และพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ด้วยระบบเทคโนโลยี
สารสนเทศ การพัฒนาศักยภาพภาคีเครือข่าย และเสริมสร้างความเข้มแข็งชุมชนและท้องถิ่น และ
การสร้างภาพลักษณ์ และความภาคภูมิใจในอาชีพในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อันจะนาไปสู่
ขีดความสามารถในการแข่งขนั ของตลาดการท่องเท่ยี วของประเทศทดี่ ขี ึน้ ได้

ยุทธศาสตรท์ ี่ 3 ส่งเสริมและสนับสนุนการออกกาลังกายกีฬาพ้ืนฐาน และกีฬามวลชน
มมี าตรการ และแนวทางปฏบิ ตั ิ ดังนี้

สนับสนุน ส่งเสริมการออกกาลังกาย การเล่นกีฬาพื้นฐานและกีฬามวลชน โดย
การส่งเสริมการพัฒนาการออกก าลังกาย กีฬา นันทนาการ และวิทยาศาสตร์การกีฬา
เพื่อให้ประชาชนโดยทั่วไปตระหนักถึงการเล่นกีฬาและการประกอบกิจกรรมกีฬา การส่งเสริม
การพัฒนาอาสาสมัครกีฬา และผู้นาการออกกาลังกาย และการเผยแพร่ความรู้ เพื่อส่งเสริม
การตระหนักด้านการออกกาลังกาย การเล่นกีฬา และการดูแลสุขภาพให้กับประชาชน อันจะเป็น
การกระตุ้นการเล่นกีฬาพื้นฐานและกีฬามวลชน ตลอดจนการจัดทาแนวทางเพื่อสร้างกิจกรรม และ
สิ่งอานวยความสะดวกในการออกกาลังกายและเล่นกีฬาสาหรับประชาชน คนพิการ ผู้ด้อยโอกาส
และผู้สูงอายุ ซ่ึงจะเปน็ การสง่ เสริมกีฬามวลซนท่ีสมบูรณ์อยา่ งแทจ้ รงิ

ยุทธศาสตร์ที่ 4 ส่งเสริมและสนับสนุนกีฬาเป็นเลิศและกีฬาอาชีพ มีมาตรการ และ
แนวทางปฏิบตั ิ ดงั น้ี

139

1) พัฒนาการกีฬาเพื่อความเป็นเลิศทุกมิติอย่างเป็นระบบ โดยการส่งเสริม และ
สนับสนุนการพัฒนากีฬาจังหวัด (Sport Hero) การส่งเสริมและอุดหนุนการพัฒนา การเตรียม
ความพร้อม การส่งและจัดการแข่งขันกีฬาสาหรับคนพิการ และการปรับปรุงระบบพัฒนานักกีฬา
ตั้งแต่เยาว์วัย เริ่มตั้งแต่ระบบการเสาะหานักกีฬา การพัฒนาศักยภาพนักกีฬา การจัดทาเส้นทาง
การพัฒนานักกีฬา การส่งเสริมโอกาสการแข่งขันกีฬาทุกระดับ และการสร้างความร่วมมือ ระหว่าง
ภาครัฐและเอกชนในการพัฒนากีฬาในระดับต่าง ๆ และการสร้างความภาคภูมิใจของบุคลากร
การกฬี าระดับ ต่าง ๆ เพ่อื การพฒั นาองค์กรกีฬาเพ่ือความเปน็ เลศิ ในทุกมติ ิ

2) พัฒนากีฬาเพื่อสู่ความสาเร็จในระดับอาชีพอย่างเป็นระบบครบวงจร โดย
เริ่มตั้งแต่การพัฒนาหลักสูตรและบุคลากรการกีฬาภายในประเทศให้มีความเข้มแข็ง ตลอดจน
การ ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนากีฬาอาชีพให้เป็นที่นิยมและได้รับการยอมรับ เพื่อให้เกิด
ความตระหนักถึงอาชีพนักกีฬา และการส่งเสริมความสาเร็จและเชิดชูเกียรติบุคลากรการกีฬา
ในทุกระดับ ให้ทุกภาคส่วนเล็งเห็นถึงผลตอบแทนและเกียรติยศในฐานะนักกีฬาและบุคลากรกีฬา
ที่สาคัญ นอกจากนี้การพัฒนากีฬาสู่ความสาเร็จในระดับอาชีพนั้น ยังรวมถึงการยกระดับมาตรฐาน
การแข่งขันและการบริหารจัดการกีฬาอาชีพสู่มาตรฐานสากล อันจะเป็นการแสดงให้เห็นถึง
ความสาเรจ็ อย่างครบวงจรของวงการกีฬาไทยในภาพรวมดว้ ย

3) พัฒนาการศึกษาให้มีมาตรฐาน โดยเริ่มจากการจัดการศึกษาและส่งเสริม
การวจิ ยั ด้านการศึกษาขัน้ พื้นฐาน และอุดมศกึ ษาไปส่กู ารปรบั เปลยี่ นสถานะของสถาบันการพลศึกษา
ไปสู่การเป็นมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ นอกจากนี้ยังจะหมายความรวมถึงการให้บริการ
ด้านวิชาการ และการทานุบารุงศิลปวัฒนธรรมของประเทศ และการส่งเสริมและพัฒนากีฬา
ในภาพรวมสคู่ วามเปน็ เลศิ ด้วย

ยุทธศาสตร์ที่ 5 การพัฒนาอุตสาหกรรมกีฬาและการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจด้วย
องค์ความรแู้ ละนวัตกรรม มีมาตรการและแนวทางปฏิบัติ ดงั นี้

1) พัฒนา ส่งเสริม และสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมกีฬา และการกีฬา
เพื่อการท่องเที่ยวและนันทนาการ โดยการส่งเสริมการจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงกีฬา และ
สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเชิงกีฬา ซึ่งถือเป็นแนวทางการท่องเที่ยวรูปแบบหนึ่งของประเทศไทย
ท่มี ีศกั ยภาพและสอดคล้องกับแนวโน้มระดบั สากล ตลอดจนการจดั ทาฐานข้อมูลสาหรบั อุตสาหกรรม
กีฬา อาทิ การพัฒนาระบบ Sport Intelligence Center (SIC) และการทาการศึกษา และพัฒนาเมืองกีฬา

140

ต้นแบบ เพื่อให้เมืองอื่น ๆ นาไปเป็นแนวทางในการพัฒนาอุตสาหกรรมกีฬา และ การกีฬาเพื่อการ
ทอ่ งเท่ยี วและนนั ทนาการในพืน้ ท่ขี องตนดว้ ย

2) รวบรวม จัดการ พัฒนาองค์ความรู้นวัตกรรมทางการกีฬาอย่างเป็นระบบ โดย
การสร้างเครือข่ายและจัดทาฐานข้อมูลกลางสาหรับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา และ
พัฒนาศูนย์วทิ ยาศาสตรก์ ารกฬี าอย่างครบวงจรเพื่อนาไปสู่การสรา้ งสรรคน์ วตั กรรมทางการกีฬา และ
การประชาสัมพันธ์เผยแพร่องค์ความรู้นวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา
ที่เป็นประโยชน์ให้กับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน เพื่อให้ทุกฝ่ายสามารถนาองค์ความรู้ไปใช้
ใหเ้ กดิ ประโยชน์อนั จะนาไปสู่ประโยชนข์ องวงการกฬี าของประเทศทงั้ ระบบ

ยทุ ธศาสตร์ท่ี 6 การบรู ณาการการบริหาร การจดั การการท่องเท่ียว และกีฬาทุกระดับ
ให้มปี ระสทิ ธภิ าพ มมี าตรการและแนวทางปฏบิ ตั ิ ดงั น้ี

1) ส่งเสริม พัฒนา ปรับปรุง ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพของการบริหาร
การจัดการท่องเที่ยวทั้งระบบ โดยการกาหนดมาตรการและแผนงานที่มีส่วนผลักดันขับเคลื่อน
การดาเนินงาน ประเมินผลการพัฒนาตามแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ภายใต้คณะกรรมการ
ทอ่ งเทย่ี วชาติ การแก้ไขข้อบกพร่อง และเพมิ่ ประสทิ ธภิ าพดา้ นการจัดการท่องเที่ยว ติดตาม ประเมิน
และปรบั ปรงุ ผลการดาเนินงานอยา่ งตอ่ เน่ือง ตลอดจนการพัฒนาปรบั ปรุงแก้ไขกฎระเบยี บท่เี กีย่ วข้อง
กับการท่องเท่ียว และการจัดทาแผนพฒั นาการท่องเท่ียวแห่งชาตทิ กุ ระยะ 5 ปี ดว้ ย

2) ส่งเสริม พัฒนา ปรับปรุง ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพของการบริหาร
การจัดการกีฬาทั้งระบบ โดยการกาหนดมาตรการแผนงานที่มีส่วนผลักดัน ขับเคลื่อนการดาเนินงาน
และประเมินผลการพัฒนาตามแผนพัฒนาการกีฬาแหง่ ชาตภิ ายใตค้ ณะกรรมการกฬี าชาติ การพัฒนา
ระบบฐานข้อมูลกลางด้านการออกกาลังกายและการกีฬา อาทิ แผนงานพัฒนาฐานข้อมูล
ด้านการออกกาลังกาย กีฬา นันทนาการ และวิทยาศาสตร์การกีฬา การพัฒนาการจดแจ้ งและ
ระบบทะเบียนนักกีฬา บุคลากรทางกีฬาเพื่อความเป็นเลิศ ตลอดจนการจัดทาแผนพัฒนาการกีฬา
แห่งชาตทิ ุกระยะ 5 ปี และการสง่ เสริมและพฒั นาการออกกาลังกายและการเลน่ กีฬาในระดับท้องถ่ิน
ให้แพรห่ ลายและท่วั ถึง

9.5 ยทุ ธศาสตร์การพฒั นากลมุ่ จังหวัดภาคกลางปริมณฑล (พ.ศ. 2562 – 2565)
วิสัยทัศน์กลุ่มจังหวัดภาคกลางปริมณฑล “เป็นศูนย์กลางการค้า การลงทุน

บริการธุรกิจ และการพาณิชย์ การผลิตอุตสาหกรรมระดับประเทศ ศูนย์กลางโลจิสติกส์ ศูนย์บริการ

141

ด้านสุขภาพ (Medical Hub) แหล่งผลิตอาหารปลอดภัย การศึกษาระดับมาตรฐานสากล
ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม สู่การเป็นเมืองน่าอยู่” ซึ่งด้านการท่องเที่ยวเน้นพัฒนาระบบโครงสร้าง
พื้นฐาน เพื่อเพิ่มศักยภาพการบริหารจัดการด้าน Logistic ระบบการค้าออนไลน์ (E-Commerce)
เชื่อมโยง Supply Chain ในระบบเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การบริการ และการท่องเที่ยว
เนน้ พฒั นาแหล่งท่องเที่ยว และสง่ เสรมิ การท่องเทยี่ วเชิงอนรุ ักษ์และวัฒนธรรม

9.6 ยทุ ธศาสตรก์ ารพัฒนากลมุ่ จงั หวัดภาคกลางตอนลา่ ง 2 (พ.ศ. 2561 - 2565)
วิสัยทัศน์กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 2 “เป็นฐานการผลิตภาคการเกษตร

และอาหารปลอดภัย อุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แหล่งท่องเที่ยวชั้นนาเชิงธรรมชาติ
และศิลปวัฒนธรรมอันทรงคุณค่า” ซึ่งด้านการท่องเที่ยวเน้นสร้างและฟื้ นฟูทุนธรรมชาติ
และทรัพยากรน้า เพื่อเป็นฐานในการลงทุนทางอุตสาหกรรม เกษตรกรรม และการท่องเที่ยว
เน้นเพิ่มผลผลิตด้านการเกษตร อาหาร และส่งเสริมการท่องเที่ยว เน้นสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐาน
เชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยว พื้นที่เศรษฐกิจ และการค้าชายแดน มีเส้นทางการท่องเที่ยวเชื่อมโยง
กับแหล่งท่องเที่ยวระดับประเทศและอาเซียน การบริหารจัดการการท่องเที่ยวที่เป็นมิตร
กับสิ่งแวดล้อม การบริการนักท่องเที่ยวที่ได้มาตรฐานสากล มีระบบการตลาดและประชาสัมพันธ์
ท่ที นั สมยั และจดุ ยนื การพัฒนาด้านสง่ เสรมิ การท่องเทย่ี วเชิงธรรมชาติและวฒั นธรรม

9.7 ยทุ ธศาสตร์การพัฒนากลมุ่ จังหวัดภาคตะวนั ออก 1 (พ.ศ. 2562 - 2565)
วิสัยทัศน์กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 1 “พื้นที่พัฒนาพิเศษระดับอาเซียน

แหล่งผลิตอาหารและผลไม้ปลอดภัยเพื่อการส่งออก และแหล่งท่องเที่ยวมาตรฐานระดับนานาชาติ”
ซึ่งด้านการท่องเที่ยวเน้นพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวชายทะเลนานาชาติ และแหล่งท่องเที่ยว
เชิงวัฒนธรรม นิเวศ และเกษตร โดยชุมชน มีเส้นทางการท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับแหล่งท่องเที่ยว
ระดับประเทศและอาเซียน การบริหารจัดการการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การบริการ
นักทอ่ งเที่ยวท่ีได้มาตรฐานสากล มรี ะบบการตลาด และประชาสมั พันธท์ ีท่ นั สมยั

9.8 ยทุ ธศาสตร์การพฒั นาจงั หวดั สมทุ รปราการ (พ.ศ. 2561 - 2565)
วิสัยทัศน์ “เมืองอุตสาหกรรมสะอาด ปลอดภัย น่าอยู่” ภายใต้วิสัยทัศน์

ในการพัฒนาพื้นที่ (Area Vision) “เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ เกษตรปลอดภัย แหล่งท่องเที่ยว
เชิงประวัติศาสตร์ และศิลปวัฒนธรรม ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดส้อม มีความสมดุลกับ


Click to View FlipBook Version