คํานาํ
การทาํ งานสง เสรมิ การเกษตร เปน การทาํ งานทมี่ งุ ปรบั ปรงุ คณุ ภาพชวี ติ และความเปน อยขู อง
เกษตรกร โดยเจา หนา ทสี่ ง เสรมิ การเกษตร เปน ผนู าํ ความรแู ละเทคโนโลยที เ่ีหมาะสม ถา ยทอดสเูกษตรกร
กลุม เปา หมาย
ป 2556 กรมสงเสรมิ การเกษตรไดจัดทาํ “คูมอื ปฏิบัตงิ านเจา หนาที่สง เสรมิ การเกษตร”
เพ่ือเปน องคค วามรใูหเจาหนา ที่สงเสริมการเกษตร ไดใชเปนแนวทางการปฏบิ ตั งิ านสงเสริมการเกษตร
ในพน้ื ที่ โดยไดรวบรวมและเรยี บเรยี งเนือ้ หาตามหลกั วิชาการที่ถูกตอง สามารถอางอิงได และถอด
บทเรยี นจากหลกั ปฏิบัติจริง สามารถประยุกตใชก ับงานสง เสรมิ การเกษตรในแตละพนื้ ที่ จํานวน 24
รายการ แบงเปน เนอ้ื หา ดานการเพ่ิมประสิทธภิ าพการผลิตพชื เศรษฐกิจ ดานเคหกจิ เกษตรและการ
เพิ่มมลู คา สนิ คา เกษตร และดานเทคนคิ การทํางานสงเสริมการเกษตร
คมู ือปฏิบตั งิ านเจาหนาท่ีสง เสรมิ การเกษตร เรื่อง “องคค วามรเู พิม่ ประสทิ ธิภาพการผลิต..
สกู ารเปน smart officer : การขยายพนั ธพุ ชื ” เลม นป้ี ระกอบดว ยเนอื้ หาเกยี่ วกบั การขยายพนั ธพุ ชื
ดว ยวธิ ีตา งๆอยา งมปี ระสิทธภิ าพ ซ่งึ เจา หนา ทสี่ งเสริมการเกษตร สามารถนําไปปรบั ใชใหเหมาะสมกบั
ลักษณะการทํางานตามบทบาทและหนาท่ีความรับผิดชอบ และหวังใหเกิดแนวคิด การพัฒนาทักษะ
ในการทาํ งานสง เสริมการเกษตรเพอ่ื ประโยชนข องเกษตรกรตอไป
กรมสงเสริมการเกษตร ขอขอบคุณในความรวมมืออยางดยี ่ิงจากหนวยงานและเจาหนาท่ี
ทีเ่ กีย่ วขอ ง ในการใหขอ มูลและภาพประกอบสาํ หรบั การจดั ทําหนงั สือเลม นี้ และหากเจา หนา ทีส่ ง เสรมิ
การเกษตร มีขอเสนอแนะเพิ่มเติม ขอไดโปรดแจงมายังกรมสงเสริมการเกษตรใหทราบดวย ท้ังนี้
เพือ่ ประโยชนในการปรบั ปรงุ สําหรบั การใชงานครงั้ ตอไป
(นางพรรณพิมล ชัญญานวุ ัตร)
อธิบดีกรมสง เสรมิ การเกษตร
สงิ หาคม 2556
สารบัญ หนา
บทนํา 9
• การขยายพนั ธุพชื 10
• แผนภาพการขยายพันธุพชื
11
การขยายพันธุแ บบอาศยั เพศหรือดวยเมลด็ 11
• สวนตางๆ ของเมล็ด 12
• ประโยชนของเมลด็ คุณภาพดี 12
• การงอกของเมล็ด 13
• ปจ จยั ท่มี ีผลตอการงอกของเมล็ด 16
• การพกั ตัวของเมลด็ พืช 16
• วธิ ีแกการพกั ตวั ของเมล็ดพชื หรอื เรงความงอก 17
• ความแข็งแรงของเมลด็ พชื 17
• การทดสอบความงอกของเมล็ดพชื 21
• การเพาะเมลด็ พืชในภาชนะหรือแปลงเพาะ
24
การขยายพันธุพชื ดวยวิธีปก ชํา 24
• การปกชําก่งิ 25
• การปก ชําใบ 27
• การปก ชาํ ราก 27
• การยายปลกู 28
• การปกชําไมดอกไมประดบั เพอ่ื การคา
29
การขยายพันธพุ ืชดว ยวิธกี ารตอนกงิ่ 29
• หลักการตอนกิง่ 29
• วิธีการตอนกง่ิ 29
• การตอนกิง่ ในอากาศ 31
• การตอนกิ่งแบบโนมก่ิง
การขยายพันธโุ ดยการตดิ ตา ตอ กิ่ง และทาบกง่ิ หนา
• การขยายพันธุโดยการติดตา 33
• การขยายพนั ธุโดยการตอกิง่
• การขยายพันธุโดยการทาบก่งิ 33
39
การขยายพันธโุ ดยการแบงสว น และแยกสว น 46
• การขยายพนั ธุโดยการแยกสวน 50
• การขยายพันธุโดยการแบงสวน
50
การขยายพันธโุ ดยการเพาะเล้ียงเน้อื เย่อื พืช 51
• ขอดขี องการเพาะเล้ยี งเนอ้ื เยอื่ พืช 55
• ขอกําจัดของการเพาะเลีย้ งเน้อื เยอื่ พืช
• ประโยชนของการเพาะเล้ยี งเนอ้ื เยอื่ พชื 55
• หองปฏิบัติการเพาะเลีย้ งเนอ้ื เยื่อพชื 55
• ขั้นตอนวิธกี ารเพาะเลีย้ งเนื้อเยอ่ื พชื 55
• วิธีการเพาะเลย้ื งเนอื้ เยอื่ พืช 60
• การเพาะเลี้ยงเนือ้ เยือ่ พืชในเชงิ พาณิชย 64
• เงือ่ นไขการดําเนินธุรกจิ 64
• ตนทนุ การผลติ และผลตอบแทน 66
• ขน้ั ตอนที่ควรดาํ เนนิ การ 66
• พชื ทค่ี วรดําเนนิ การในเชงิ การคา 67
67
บทสรปุ การขยายพนั ธพุ ชื 67
สบื คนแหลง ขอ มลู เพม่ิ เตมิ 68
70
สารบญั ตาราง
ตารางท่ี หนา
1 ตัวอยางเมลด็ พนั ธุทไ่ี มตองการแสงในการงอก 14
2 ตวั อยางเมล็ดพนั ธุทต่ี องการแสงในการงอก 15
3 ตัวอยางพชื ทน่ี าํ มาเพาะเลยี้ งเนอ้ื เยอื่ ไดสําเร็จในประเทศไทย 56
4 เครื่องมือและอปุ กรณทีจ่ าํ เปน ในการเพาะเลย้ี งเนอื้ เยอื่ พชื 61
5 สารเคมที ีใ่ ชสาํ หรับเพาะเล้ยี งเนื้อเย่ือ 62
6 วสั ดุอปุ กรณท่ใี ชในการเพาะเลี้ยงเนอื้ เยื่อ 63
7 ชนดิ พืชและวิธกี ารขยายพนั ธุ 71
8 แหลงผลิตขยายพนั ธุไมดอกไมประดับเพ่อื การคา 76
9 แหลงผลิตขยายพนั ธุสมนุ ไพรเพอื่ การคา 81
10 แหลงผลติ ขยายพันธุพชื ไรเพือ่ การคา 82
11 ผูประกอบการดานผลิตพันธุพชื เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเชงิ พาณิชย 83
สารบญั ภาพ
ภาพท่ี หนา
1 สวนประกอบภายในเมล็ดพืชใบเลยี้ งเดีย่ ว 11
2 สวนประกอบภายในเมลด็ พชื ใบเลยี้ งคู 11
3 กระบวนการงอกของเมล็ด 13
4 การทดสอบความงอกของเมลด็ พชื 19
5 การทดสอบความงอกของเมล็ดถ่วั เหลอื ง 20
ดวยวิธกี ารเพาะทรายในกระบะ
6 การเพาะเมล็ดในภาชนะ 21
7 การเพาะเมล็ดพริกในภาชนะ 23
8 การปก ชํา 24
9 การปก ชาํ ใบทีม่ กี านใบ (ใบกลอกซเี นยี ) 26
10 การปกชําแผนใบ (ใบล้ินมงั กร) 26
11 การปกชาํ ก่งิ ชบาเพือ่ การคา 28
ณ ศนู ยไมดอกไมประดับ ต.คลองใหญ อ.องครักษ จ.นครนายก
12 การทําแผลก่ิงตอนแบบคว่นั กิ่ง 29
13 การทาํ แผลก่งิ ตอนแบบปาดก่ิง 30
14 การทําแผลกิง่ ตอนแบบกรดี กิง่ 30
15 การตอนก่งิ แบบโนมก่งิ 32
16 การตอนกงิ่ ฝรง่ั แบบควั่นกง่ิ 32
ภาพที่ หนา
17 การตดิ ตาแบบตัวที (T - Budding) 34
18 การทาํ แผลบนตนตอแบบตวั เอช (H - Budding) 35
19 การทาํ แผลบนตนตอแบบตัวไอ (I - Budding) 35
20 การติดตายางพาราโดยวิธีการติดตาแบบปะหรือแบบแพทช 36
21 การติดตาขนนุ แบบตวั เอช (H - Budding) 37-38
22 การตอก่งิ มะนาวบนตนตอสมโอแบบเสียมลมิ่ 40
23 การตอกง่ิ มะมวงแบบเสียบขาง 41-42
24 การเสียบเปลอื กไมดอกไมประดับ 44
25 การตอกง่ิ แบบเสียบเปลือก 45
26 การทาบก่ิงแบบเสียบ 47
27 การทาบก่งิ มะมวงแบบเสียบ 48-49
28 สวนของเหงาท่ีใชในการขยายพนั ธุ 51
29 สวนของหวั ทเ่ี กดิ จากตนทใ่ี ชในการขยายพันธุ 52
30 สวนของแงงที่ใชในการขยายพนั ธุ 52
31 สวนของไหลท่ใี ชในการขยายพนั ธุ 53
32 การขยายพนั ธุสับปะรดโดยใชจกุ และหนอ 54
33 ผงั หองปฏบิ ัตกิ ารเพาะเล้ียงเนอื้ เย่ือ 60
34 การเพาะเลี้ยงเนื้อเยอ่ื ปเู ล 65
8
บทนํา
ความกา วหนา ทางการเกษตรสว นหนงึ่ เกดิ จากการคดั เลอื ก
พนั ธุ และพฒั นาพชื พนั ธดุ ใี หมลี กั ษณะตามตอ งการ เพอื่ ใหมกี าร
ดํารงพันธุที่ดีไวจึงตองทําการขยายพันธุ เพื่อเพ่ิมจํานวนตนพืช
ใหมีปริมาณมากเพียงพอกับความตองการ การขยายพันธุพืช
จึงเปนหัวใจสําคัญทางการเกษตรท่ีผูเก่ียวของในวงการเกษตร
ตองทราบ และเรียนรูวิธีการขยายพันธุพืชจนเกิดความชํานาญ
ซง่ึ เปน ทง้ั ศาสตรแ ละศลิ ปจ งึ สามารถนาํ มาปรบั ใชใ หเ กดิ ประโยชน
ตอการเกษตรในดานตางๆ เพื่อทําใหพืชดํารงสายพันธุน้ันไว
เกบ็ รกั ษาพนั ธพุ ชื ไมใหสญู พนั ธแุ ละรกั ษาพชื สายพนั ธดุ เี พอื่ ใชใ น
การเพม่ิ ปรมิ าณผลผลติ ทางการเกษตร
ในอดีตการขยายพันธุพืชสวนใหญมักใชวิธีการเพาะเมล็ด
ทาํ ใหต น พชื มลี กั ษณะผนั แปรทางพนั ธกุ รรมไมเ หมอื นตน แมพ นั ธเุ ดมิ
ใหผลผลิตชา ดังน้ันในปจุบันจึงไดนําเทคโนโลยีและวิทยาการ
ใหมๆ ในการปลกู พชื มาใชแ ทนวธิ กี ารเดมิ คอื การขยายพนั ธแุ บบ
ไมอ าศยั เพศไดแ ก การตอนกง่ิ การทาบกง่ิ การตอ กง่ิ การแบง สว น
การแยกสวน และการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช สงผลใหการขยาย
พันธุพืชขยายขอบเขตกวางขวาง และสามารถกระจายพันธุพืช
ไดอยางเพียงพอกบั ความตองการ สามารถตอบสนองตอธุรกิจ
ภาคการเกษตรที่มีการแขงขันสูงไดเปนอยางดี สวนการขยาย
พนั ธพุ ชื แบบเพาะเมลด็ กย็ งั คงใชอ ยแู ตใ ชเ ฉพาะบางวตั ถปุ ระสงค
เทานนั้
9
การขยายพนั ธพุ ืช
การขยายพันธุพืช หมายถึง การเพิ่มปริมาณตนพืชจากตนท่ีมีอยูดวยวิธีการตางๆ
เพ่อื ใหพชื ดํารงสายพนั ธุน้นั ไวไมใหสูญพนั ธุ และรกั ษาลักษณะประจาํ พนั ธุท่มี ีอยูในพืชนัน้ ๆ
ใหคงอยู หากลักษณะประจําพันธุของพืชนั้นๆ หายไปแสดงวาการขยายพันธุพืชไมประสบ
ผลสาํ เรจ็ ดังนนั้ การขยายพันธุพชื จึงเปนส่งิ จําเปน และเปนปจจัยสําคญั ในการพัฒนางาน
ดานการเกษตร โดยแบงเปน 2 ประเภท ซึ่งแตละประเภทจะมวี ธิ ีการและเทคนิคทแ่ี ตกตาง
กนั ตามแตละชนดิ ของพืชและวัตถุประสงค ซึ่งมที ั้งขอดีและขอเสยี ทแ่ี ตกตางกันออกไป
1. การขยายพันธุแบบอาศัยเพศหรือการขยายพันธุดวยเมล็ด คือ วิธีการผสมพันธุ
ระหวางอับละอองเกสรตัวผู (Pollen grain) กับยอดเกสรตัวเมีย (Pistil) เพ่ือใหไดเมล็ดพืช
(Seed) เม่ือนําเมล็ดพืชไปเพาะหรือปลูกจะไดตนพืชท่ีไดจากการผสมพันธุเรียกวาตนกลา
(Seedling) หรือพนั ธุลกู ผสม วัตถปุ ระสงคหลกั จะเปน วิธกี ารทน่ี าํ มาใชในการปรบั ปรงุ พันธุ
เพ่ือพัฒนาสายพันธุพืชใหไดพันธุพืชสายพันธุใหมๆ เกิดขึ้น ปจจุบันการขยายพันธุดวยวิธี
ดังกลาวยังคงนิยมใชกันอยู เนื่องจากตนกลาท่ีไดจากการเพาะเมล็ดจะนําไปใชเปนตนตอ
ในการขยายพันธุแบบไมอาศัยเพศเพอ่ื ใหไดตนทีม่ รี ะบบรากแข็งแรง
การขยายพันธุแบบอาศัยเพศ ทําไดงาย สะดวก ไมตองใชอุปกรณมาก ขยายรวดเร็ว
และไดป รมิ าณมาก การขยายพนั ธดุ ว ยวธิ นี จ้ี ะไดต น พนั ธทุ แี่ ขง็ แรง เนอื่ งจากมรี ากแกว อยา งไร
ก็ตามการขยายพันธุดวยเมล็ดมีโอกาสกลายพันธุสูง ใหผลผลิตชา ลําตนสูงใหญ ทําให
ไมสะดวกตอการดแู ลรกั ษาและการเกบ็ เกยี่ ว
2. การขยายพันธุแบบไมอาศัยเพศ คือวิธีการขยายพันธุจากเนื้อเยื่อช้ินสวนตางๆ
ของตนพืช เชน ลําตน ตา ใบ ราก เพ่ือใหไดตนพืชที่มีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนเดิม
ทุกประการดวยวิธีการตอนก่ิง การปกชํา การติดตา การตอก่ิง และการทาบก่ิง นิยมใช
ในการขยายพนั ธพุ ชื ทผ่ี า นการพฒั นาปรบั ปรงุ สายพนั ธแุ ลว สว นการแบง สว นและการแยกสว น
จะนยิ มใชข ยายพนั ธกุ บั พชื ทมี่ สี ว นของรากหรอื ลาํ ตน เจรญิ อยใู ตด นิ ซง่ึ จะใชว ธิ กี ารขยายพนั ธุ
ดว ยวธิ กี ารตอนกง่ิ การตดิ ตา การตอ กงิ่ และการทาบกง่ิ ไมไ ด ปจ จบุ นั การเพาะเลย้ี งเนอื้ เยอ่ื พชื
ไดเขามามีบทบาทอยางมากในการพัฒนาเทคนิคดานการขยายพันธุพืช เพื่อใหไดตนพืช
จาํ นวนมากอยางรวดเร็วในเวลาท่ีกําจดั โดยมคี ณุ ภาพของตนพชื เหมอื นเดมิ ทกุ ประการ
10
การขยายพันธุแบบไมอาศยั เพศ ทําใหไดลักษณะของตนตรงตามสายพันธุ มโี อกาส
เกิดการกลายพันธุนอยมาก ตนท่ไี ดจะใหผลผลติ เร็วกวาการขยายพนั ธุดวยเมลด็ ขนาดตน
มีความสม่ําเสมอ ทรงตนกะทัดรัด ทําใหงายในการปฏิบัติดูแลรักษา และสะดวกในการ
เก็บเก่ียวผลผลิต อยางไรก็ตามการขยายพันธุดวยวิธีน้ีจะตองอาศัยทักษะความชํานาญ
ในการขยายพันธุ และตองใชวัสดุอุปกรณท่ียุงยากกวาการขยายพันธุดวยการเพาะเมล็ด
นอกจากนต้ี นทไี่ ดจากการขยายพนั ธุดวยวิธีการตอนกิ่ง และปกชาํ กงิ่ จะไมมรี ะบบรากแกว
ทาํ ใหมีโอกาสโคนลมไดงายในกรณีที่มีลมแรง
แผนภาพการขยายพันธพุ ชื
แบบใชเพศ แบบไมใ ชเพศ
ผสมเกสร สว นตน
เมลด็
การเพาะเมลด็
อาศัยรากจากตน อื่น อาศยั รากจากตนเอง
การตอนก่งิ การทาบก่ิง
การปกชาํ การตดิ ตา
การแบง และแยกสว น การตอกงิ่
11
การขยายพนั ธุพืชแบบอาศัยเพศหรอื ดว ยเมลด็
เปนการขยายพันธุเพ่ือเพ่ิมปริมาณตนพืช ที่ไดจากการผสมเกสรระหวางอับละออง
เกสรตัวผูกับยอดเกสรตัวเมีย เปนวิธีท่ีทําไดงาย ตนพืชที่เติบโตจากเมล็ดเรียกวาตนกลา
ถาใชเมล็ดพืชที่ไมมีการควบคุมคุณภาพตนพืชท่ีไดอาจมีการกลายพันธุ นิยมใชกับ
พชื ประเภทพชื ไร เชน ขา ว ถวั่ เขยี ว ขา วโพด และขา วฟาง ผกั เชน คะนา กวางตงุ ผกั กาดเขยี ว
กะหล่ําปลี และกะหลํ่าดอก ไมดอกไมประดับ เชน ดาวเรือง กลอกซีเนีย พิทูเนีย
และเบญจมาศ และไมผลบางชนดิ เชน มังคุด ลางสาด และลองกอง
สวนตา ง ๆ ของเมล็ด
ประกอบดวยสวนสําคัญคือตนออน (คัพภะหรือเอ็มบริโอ) เนื้อเย่ือ หรืออวัยวะท่ี
ทาํ หนาทส่ี ะสมอาหาร (เอนโดสเปรม) และเปลือกหุมเมลด็
เปลอื กของผล
เอนโดสเปรม
ใบเลย้ี ง
เปลอื กหมุ ยอด
ยอดออ น
จดุ กาํ เนิดรากช่ัวคราว
รากออน
เปลอื กหมุ รากออ น
ภาพท่ี 1 สวนประกอบภายในเมลด็ พชื ใบเลี้ยงเดย่ี ว
ท่มี า : จวงจนั ทร ดวงพตั รา, 2521 : 19)
เยือ่ หุมเมลด็
hypocotyl
รากออน
ใบจรงิ
ภาพท่ี 2 สวนประกอบภายในเมลด็ พืชใบเลี้ยงคู
ทีม่ า : จวงจันทร ดวงพัตรา, 2521 : 45
12
ประโยชนข องเมลด็ คุณภาพดี
เมล็ดพืชเปนปจจัยสําคัญตอคุณภาพผลผลิต จึงตองเลือกเมล็ดพืชที่มีคุณภาพจาก
แหลงผลติ ที่เชอื่ ถือได คือมคี วามบรสิ ุทธ์ิ ตรงตามพันธุ มีเปอรเซน็ ตความงอกสงู พนจาก
สภาพจากการพกั ตวั ไมถ กู ทาํ ลายจากโรคและแมลงศตั รู เมอ่ื เมลด็ งอกแลว ไดต น กลา ทแี่ ขง็ แรง
สม่ําเสมอ ใหผลผลิตสูง
กระบวนการงอกของเมล็ด
คอื กระบวนการตางๆ ท่เี กิดข้นึ ภายในเมล็ดทําใหตนออน (คพั ภะ) เจรญิ เติบโตพฒั นา
เปน ตนกลา ท่สี มบูรณแข็งแรงในสภาพแวดลอมท่เี หมาะสม
นาํ้ แสง ออกซเิ จน อณุ หภมู ิ หารยอยสลายอาหาร
การดูดนาํ้ การหายใจ
เมตาโบลิซึม
รากออนแทง
ทะลุเม็ดออกมา
ตนกลาสมบูรณ การเจริญเติบโต
ภาพที่ 3 กระบวนการงอกของเมล็ด
(ท่มี า : จวงจันทร ดวงพัตรา, 2521 : 19)
13
ปจ จยั ท่มี ผี ลตอการงอกของเมล็ด
1. นํ้า ทําใหเปลือกหุมเมล็ดออนตัว ออกซิเจนเขาไปในเมล็ดไดมากขึ้น กระตุนการ
ทาํ งานของเอนไซมไปยอยสลายอาหารสะสมทมี่ ขี นาดโมเลกลุ ใหญใหมขี นาดเลก็ ลง จงึ นยิ ม
เรงการงอกของเมล็ดโดยการแชเมล็ดในน้ําเย็น หรือน้ําอุนเพื่อใหเปลือกหุมเมล็ดออนนิ่ม
ทําใหน้าํ และออกซเิ จนชึมผานไดมากข้ึน เมลด็ จึงงอกไดเร็วข้นึ
2. อณุ หภูมิ มีผลตอกระบวนการงอกของเมล็ดตามแตละชนิดพชื ดงั น้ันจึงควรเพาะ
เมลด็ ในชว งอณุ หภมู ทิ เ่ี หมาะสมตอ การงอกจะทาํ ใหเ มลด็ พชื งอกเรว็ ขนึ้ เมลด็ พชื ทวั่ ไปสามารถ
งอกไดดีในชวงอณุ หภมู ิ 10 - 35 องศาเซสเชียส
3. ออกซเิ จน เมลด็ ตองการออกซเิ จนเพอื่ ใชในการหายใจ เพอื่ เผาผลาญอาหารทาํ ให
เกิดพลังงานสาํ หรับการงอก
4. แสง มีบทบาทสําคัญตอการงอกของเมล็ดทุกระยะการเจริญเติบโตของตนกลา
เน่ืองจากตนกลาตองใชอาหารท่ีสะสมภายในเมล็ด โดยมีแสงเปนตัวกระตุนหลังจากเมล็ด
งอกเปน ตนกลาแลวหากไดรบั แสงเพียงพอลําตนจะอวบ ต้ังตรง เจรญิ เติบโตเรว็ แตถาได
รับแสงไมเพียงพอตนกลาจะขาวซีด เกิดอาการยางปลอง ใบหอลูไมคลี่ใบ ปลายยอดงอ
แตถาไดรับแสงมากเกนิ ไปอาจแสดงอาการใบไหม
ไฮโปคอททลิ โคง ใบจรงิ
ใบเลย้ี ง
ไฮโปคอททิล
รากออน
เยื่อหมุ เมลด็
ราก
14
ตารางท่ี 1 ตัวอยา งเมลด็ พนั ธุทไ่ี มต องการแสงในการงอก
ชือ่ สามัญ ช่ือวิทยาศาสตร
กะหล่าํ ปลี (cabbage) Brassica oleracea var. capitata
กระเจ๊ยี บ (okra) Abelmoschus esculenta
กระถนิ (ipil – ipil) Leucaena leucocephala
ขาว (rice) Oryza sativa
ขาวโพด (corn) Zea mays
ขาวฟาง (sorghum) Sorghum bicolor
งา (sesame) Sesameindicum
แตงกวา (cucumber) Cucumissativa
แตงเทศ (muskmelon) Cucumismelo
แตงโม (watermelon) Citrullus lanatus
ถ่วั เขยี ว (muungbean) Vigna radiate
ถั่วแขก (common bean) Phaseolus vulgaris
ถั่วฝก ยาว (yard long bean) Vigna unquiculata sub.sesquipedalis
ถั่วลิสง (peanut) Arachis hypogaea
ถั่วลาย (centrosema) Centrosema pubescens
ถั่วเหลือง (soy bean) Glycine max.
ถว่ั ลันเตา (sugar pea) Pisum sativa
ทานตะวัน (sunflower) Hrlianthus annuus
บวบเหลี่ยม (ridge gourd) Luffa acutangula
ปอแกว (kenaf) Hibiscus cannabinus
ผกั กาดกวางตุง (Chinese mustard) Brassica chinese
ผกั กาดขาวปลี (Chinese cabbage) Brassicapekinensis
ผกั กาดหัว (Chineseradish) Raphanus sativa var. longipinnatus
ผักคะนา (Chinese kale) Brassica oleracea var. alboglabra
ผักบุงจนี (kangkong) Lpomoea aquatica
ฝาย (cotton) Gossypium spp.
ละหุง (castor bean) Ricinus communis
ลกู เดอื ย (Job ,s tear) Coix lacryma – jobi
หอมหัวใหญ (onion) Allium cepa
ท่ีมา : จิรา ณ หนองคาย, 2551 : 95
15
ตารางที่ 2 ตัวอยางเมลด็ พนั ธุทต่ี องการแสงในการงอก
ชอ่ื สามัญ ช่ือวทิ ยาศาสตร
เทยี น Nigella damascene
ปอกระเจา (Jute) Corchorus spp.
ผักกาดเขียวปลี (leaf mustard) Brassica juncea
ผกั กาดหอม (lettuce) Lactuca sativa
ผกั โขมใบเขยี ว (green amaranth) Amaranthus retroflexus
ผกั โขมใบแดง (love- lies bleeding) A.caudatirs ;A.fimbriatus
พรกิ (hot pepper) Capsicum spp.
มะเขือ (eggplant) Solanum melongena
มะเขือเทศ (tomato) Lycopersicon esculentum
ยาสูบ (tobacco) Nicotiana tobacum
สตรอเบอร่ี (strawberry) Fragaria virginiana
สนลอบโลลลไ่ี พน (loblolly pine) Pinus taeda
สนไวทไพน (white pine weymouth pine ; eastern white pine Pinus stribus
Downy birch Betula pubescens
Goosefoot Chenopodium album
Eastern hemlock Tsuga conadensis
Smilo Oryzopsis miliacea
Timothy Phleum pretense
- Juncis maritimus
- Lepidium virginicum
- Verbaccum thapsus
ที่มา : จิรา ณ หนองคาย, 2551 : 95
16
การพกั ตัวของเมลด็ พืช
คอื เมลด็ พชื ทม่ี ชี วี ติ แตไ มส ามารถงอกไดแ มจ ะอยใู นสภาพแวดลอ มทเี่ หมาะสม เกดิ จาก
สาเหตตุ างๆ ไดแก สวนของเปลอื กหุมเมลด็ ไมยอมใหนาํ้ ออกซเิ จน และคารบอนไดออกไซด
ซมึ ผาน สวนประกอบภายในเมล็ดมีสารยบั ยั้งการงอกของเมล็ด ฯลฯ
วิธีแกก ารพักตัวของเมล็ดพืชหรอื เรง ความงอก
1. การแชนํ้า โดยแชเมล็ดในนํ้าเย็นสลับน้ําอุนจะชวยใหเมล็ดงอกเร็วข้ึน นิยมใชกับ
เมลด็ พันธุผกั โดยแชในนํา้ อุนอณุ หภมู ิ 50 องศาเซสเชียส นาน 30 นาที และแชในนาํ้ เยน็
ที่อุณหภูมิ 10 องศาเซสเชียส นาน 6 ช่ัวโมง จากน้ันหอดวยผาขาวบางชุบนํ้าหมาดๆ
นาน 12 - 24 ช่วั โมง เม่ือนาํ เมล็ดไปเพาะจะงอกเรว็ ขึน้ หรอื หอเมล็ดดวยผาขาวบาง แชนํา้
1 คืน เกบ็ ในท่ีรมและชืน้ 2 - 3 วนั เมล็ดจะเร่ิมงอกเกิดตุมรากสีขาวจึงนําไปเพาะได
2. การใชค วามรอ น โดยการอบแหงใหมคี วามชืน้ ตาํ่ อณุ หภูมทิ ใ่ี ชในการอบ 35 - 45
องศาเซสเชียส
3. การบม ดว ยความเยน็ และความชน้ื โดยการนาํ เมลด็ พชื เพาะในทราย หรอื กระดาษ
แลวนําไป เก็บไวทอี่ ุณหภูมิ 5 - 10 องศาเซสเชียส เปน เวลา 5 วนั จากน้ันนาํ เมลด็ พืชออก
มาเพาะทีอ่ ุณหภมู ปิ กติสามารถทาํ ใหเมล็ดงอกไดเรว็ ขึน้ เชน เมล็ดปาลม
4. การแกะเปลอื กหมุ เมลด็ หรอื ทําลายเปลอื กหุมเมลด็ บางสวน โดยการทําใหสวน
ของเปลือกหุมเมล็ด เกดิ รอยแตกเพ่ือใหนาํ้ และออกซิเจนซึมผานเขาไปได นยิ มใชกับเมลด็
พืชท่มี เี ปลอื กหุมเมล็ดหนา เชน มะพราว มะปราง กะทอน และมะมวง ฯลฯ
5. การนาํ เมลด็ มาลา งนาํ้ เพอื่ ลดปรมิ าณสารยบั ยง้ั การงอกของเมลด็ ใหล ะลายไปกบั นา้ํ
เชน เมล็ดมะเขือเทศ เมลด็ มะละกอ และเมลด็ พนั ธุผักสวนครัว
6. การใชกรด โดยการนาํ เมล็ดแชดวยกรดกาํ มะถนั เขมขน 5 นาที เพ่ือใหเปลือกหุม
เมล็ดออนนุม แลวลางดวยน้ําอีกคร้ังกอนนําไปเพาะเปนวิธีการแกการพักตัวสําหรับเมล็ด
พืชท่ีมเี ปลอื กหุมเมลด็ หนา
7. การใชสารเคมีอื่นๆ โดยละลายสาร เชน โปตัสเซยี มไนเตรต ไทโอยูเรยี ไฮโดรเจน
เพอรอคไซด หรือสารจิบเบอเรลลิคแอซิด ใหมีความเขมขน 0.02 - 0.04 % แทนนาํ้ ในการ
เพาะเมลด็ วธิ นี สี้ ามารถแกป ญ หาการพกั ตวั ทเี่ ปลอื กหมุ เมลด็ ไมย อมใหน า้ํ ออกซเิ จนซมึ ผา น
เชน เมล็ดพืชอาหารสตั ว ขาวโอต และขาวสาลี
17
ความแขง็ แรงของเมล็ดพชื
คอื ความสามารถของเมลด็ พชื เมอื่ อยใู นสภาพแวดลอ มทไี่ มเ หมาะสม แตส ามารถเจรญิ
เติบโตเปนตนกลาได เมลด็ พืชที่มคี วามแข็งแรงสงู จะงอกใหตนกลาสมา่ํ เสมอ เจริญเติบโต
เรว็ ออกดอก และใหผลผลติ สูงกวาตนกลาทีง่ อกจากเมล็ดพชื ทมี่ ีความแขง็ แรงตํ่า
การทดสอบความงอกของเมลด็ พืช (Germination test)
คือการทดสอบความสามารถในการงอกของเมล็ดพืช วาจะสามารถงอกไดมากนอย
เพียงใด เมื่อนําไปปลูกในสภาพไรนา เมล็ดพืชท่ีนํามาทดสอบจะตองเปนเมล็ดที่บริสุทธ์ิ
คอื ไมมีเมลด็ ของพชื ชนดิ อน่ื ๆ และสิ่งเจือปนทไ่ี มใชเมลด็ พืช เชน ช้นิ สวนของตนพชื เปลอื ก
หุมเมล็ดท่ีหลดุ ออกจากเมลด็ พชื เศษดนิ และ เศษหนิ มวี ธิ กี ารทดสอบแบงเปน 2 วธิ ี คอื
1. วธิ กี ารทดสอบความงอกตามมาตรฐานสากล
โดยใชมาตรฐานของสมาคมทดสอบเมล็ดพันธุระหวางประเทศ (International Seed
Testing Association, ISTA) มวี ธิ ีปฏิบัติ ดังนี้
1. สุมเกบ็ ตัวอยางเมล็ดพันธุ โดยมลี าํ ดับขั้นตอนในการเกบ็ ตัวอยาง ดังนี้
1.1 เกบ็ เมล็ดพันธุขน้ั ตน (Primary sample) คอื สุมเกบ็ ตวั อยางจากแตละจุด
ในแตละกองของกองเมลด็ พันธุ การสุมเก็บตวั อยางแตละจดุ ควรมีปรมิ าณท่ใี กลเคียงกนั
1.2 เกบ็ เมลด็ พนั ธรุ วม (Composite sample) คอื ตวั อยา งเมลด็ พนั ธขุ น้ั ตน ทง้ั หมด
ทีไ่ ดจากการสุมเกบ็ ตัวอยางในแตละจดุ แตละกองแลวรวมเปนกองเดยี วกนั
1.3 เกบ็ เมล็ดพันธุนําสง (Submitted sample) คอื ตวั อยางเมล็ดพนั ธุรวมทีล่ ด
จํานวนลงตามวิธที ถี่ กู ตองในปรมิ าณที่กาํ หนดเพือ่ สงไปยังหองปฏบิ ตั ิการ
1.4 เมล็ดพันธุท่ใี ชในการตรวจสอบ (Working sample) คอื ตวั อยางเมล็ดพันธุ
ทลี่ ดจํานวนลงจากเมลด็ พันธุนาํ สง ใหไดปริมาณท่ีกําหนด
2. นาํ เมลด็ มาทดสอบโดยแบงเปน 4 ซ้าํ ๆ ละ 100 เมล็ด หากเมลด็ มีขนาดใหญ
แบงเปน 8 ซํ้าๆ ละ 50 เมลด็
3. เพาะเมลด็ ลงบนวัสดทุ ่ใี ชทดสอบความงอก ไดแก กระดาษทิชชู ทราย มีวิธี
ปฏบิ ัตดิ ังนี้
3.1 เพาะลงกระดาษเพาะหรือกระดาษทชิ ชู ทําได 3 วธิ ี คอื
3.1.1 เพาะบนกระดาษเพาะ (Top of Paper : TP) คือการวางเมล็ดพชื ให
งอกบนกระดาษทมี่ คี วามชนื้ นาํ ไปวางไวใ นกลอ งพลาสตกิ แลว ปด ฝาใหส นทิ เพอื่ รกั ษาความชนื้
นิยมใชกบั เมลด็ พชื ทีม่ ขี นาดเลก็ หรอื ตองการแสงในการงอก
3.1.2 เพาะระหวางกระดาษเพาะ (Between Paper : BP) คือการวางเมลด็
พชื บนกระดาษเพาะแลวปดทับดวยกระดาษเพาะท่ีมีความช้ืนอีก 1 แผน พรมน้ําอีกคร้ัง จาก
น้ันใหมวนกระดาษเพาะเปนทอนกลมนําไปวางไวในกลองพลาสติก หรือถุงพลาสติกปดฝา
ใหสนทิ เพอื่ รกั ษาความช้นื นิยมใชกบั เมล็ดพชื ไร เชน ขาว และพชื ตระกูลถัว่
18
3.1.3 เพาะในกระดาษพลีต (Plated Paper : PP) คอื การวางเมลด็ ใหงอก
อยูระหวางกระดาษเพาะทพี่ บั กลบั ไปกลบั มาเหมือนรอยพบั จบี โดยวางเมล็ดลงในรองของ
รอยพบั นาํ ไปวางไวในกลองพลาสตกิ ปดฝาใหสนทิ เพอื่ รกั ษาความชน้ื นยิ มใชกบั เมลด็ ทง่ี อก
มากกวา 1 ตนใน 1 เมลด็
3.2 เพาะลงบนทราย ทรายทใี่ ชเ พาะตอ งปราศจากเมลด็ พชื ชนดิ อนื่ เชอื้ แบคทเี รยี
เชื้อรา และสารท่ีเปนพษิ ตอตนออน สามารถอุมนาํ้ ไดดี คาความเปน กรด - ดาง (pH) 6.0
- 7.5 การทดสอบความงอกโดยใชทรายจะใชกับเมล็ดพืชท่ีมีขนาดใหญ โดยจะตองผสม
ทรายกับน้าํ ใหเปยกช้นื กอนที่จะบรรจุลงในภาชนะที่ใชเพาะ หนาประมาณ 3 เซนติเมตร เชน
กลองพลาสตกิ หรือถาดอลูมเิ นยี ม สวนภาชนะที่ใชเพาะ มคี วามสงู ประมาณ 7 เซนตเิ มตร
มีฝาปดเพือ่ เก็บรักษาความช้ืนของทราย จนกวาเมลด็ พืชจะเจรญิ เตบิ โตเปน ตนออน ทาํ ได
2 วธิ ี คอื
3.2.1 เพาะบนทราย (Top of sand : TS) คือ การวางเมล็ดใหงอกบนผวิ หนา
ของทรายทเี่ ปย กชน้ื เรยี งเมลด็ พชื ใหม รี ะยะหา งกนั พอประมาณปด ฝาภาชนะเพอื่ รกั ษาความชนื้
3.2.2 เพาะในทราย (In sand : S) คอื การวางเมล็ดลงบนทรายเรยี งเมล็ด
พืชใหมรี ะยะหางกนั พอประมาณ และกลบดวยทรายชื้นหนาประมาณ 1 - 2 เซนตเิ มตร ปาด
หนาทรายใหเรยี บ ปดฝาภาชนะเพอื่ รักษาความชืน้
4. เมอื่ เมลด็ เริม่ งอกนับเฉพาะตนกลาทีส่ มบูรณ คือ มียอดออน และระบบราก
แข็งแรงนํามาคาํ นวณหาเปอรเซน็ ตความงอก
เปอรเ ซน็ ตการงอก = จาํ นวนเมล็ดที่งอก x 100
จํานวนเมล็ดทัง้ หมด
5. ถาเมล็ดงอกเกิน 90 เปอรเซ็นต นําเมล็ดไปปลูกได ถาเมล็ดงอกระหวาง
70 - 80 เปอรเซ็นตเมล็ดอยูในเกณฑพอใชตองนาํ ไปแกการพกั ตวั หรือเรงการงอก ถาเมล็ด
งอกตํ่ากวา 60 เปอรเซน็ ต ไมควรนําไปปลูก
19
ภาพท่ี 4 การทดสอบความงอกของเมล็ดพืช
ก. วางเมลด็ บนกระดาษเพาะ (Top of Paper TP)
ข. วางเมลด็ ระหวางกระดาษเพาะ (Between Paper BP)
ค. เพาะในกระดาษพลีต (Plated Paper PP)
ง. เพาะลงบนทราย
2. การทดสอบความงอกแบบชาวบา น คือ การทดสอบความงอกแบบงายๆ ของ
เกษตรกรทจ่ี ะนาํ เมลด็ พนั ธไุ วใ ชปลกู ในฤดกู าลถดั ไป ซงึ่ สามารถปฏบิ ตั ไิ ดเอง มวี ธิ ปี ฏบิ ตั ดิ งั นี้
1. สมุ เกบ็ ตวั อยา งจากกองเมลด็ พนั ธุ คอื การสมุ เกบ็ ตวั อยา งหลายๆ จดุ ภายในกอง
เชน สวนลาง สวนกลาง และสวนบนของกองเมล็ดพันธุ
2. นาํ เมลด็ พชื ทไี่ ดจากการสมุ เกบ็ ตวั อยา งมากองรวมกนั จากนน้ั แยกเปน 4 กองๆ
ละ 100 เมล็ดเพื่อใชในการทดสอบความงอกตอไป
3. เพาะเมล็ดพืชลงบนวัสดุที่ใชทดสอบ เชน ผาฝาย กระดาษทิชชู หรือทราย
มวี ิธีปฏบิ ตั ดิ งั น้ี
3.1 เพาะบนผาฝายหรอื กระดาษทชิ ชู
3.1.1 นําผาฝาย หรอื กระดาษทิชชู 1 ผืน มาชุบนํ้าใหชุมเรยี งเมล็ดพืช 100
เมลด็ ลงบนผาฝาย หรอื กระดาษทิชชูจากน้ันนาํ ผาฝาย หรือกระดาษทิชชูอีก 1 ผนื วางทบั
ลงบนเมลด็ พชื ทําท้ังหมด 4 ซํา้ ๆ ละ 100 เมลด็
3.1.2 มวนผาฝายหรือกระดาษทิชชูเปนทอนกลมนําไปใสในถุงพลาสติก
เก็บไวในที่มอี ากาศถายเทไดสะดวกประมาณ 7 - 10 วัน เมล็ดเริ่มงอก
3.1.3 คลผี่ า ฝา ยหรอื กระดาษทชิ ชอู อก นบั ตน กลา ทสี่ มบรู ณ คอื มยี อดออ น
และระบบรากแข็งแรง
20
3.2 เพาะบนทราย
3.2.1 นําทราย หรือดินมาใสในกระบะหรือทําเปนแปลงเพาะ จํานวน
4 ซา้ํ ๆ ละ100 เมล็ด หรือ 8 ซา้ํ ๆ ละ 50 เมล็ด
3.2.2 เรยี งเมล็ดเปนแถวเพ่ือสะดวกในการนบั ตนกลารดน้ําใหชุมอยาให
น้าํ ทวมขัง ประมาณ 7 - 10 วนั เมลด็ งอกใหนบั ตนกลาท่สี มบรู ณ
4. เม่ือเมล็ดงอกนับเฉพาะตนกลาที่สมบูรณ คือมียอดออนและระบบราก
แขง็ แรงนาํ มาคํานวณเพื่อหาเปอรเซ็นตความงอก
เปอรเซน็ ตการงอก = จํานวนเมลด็ ทงี่ อก x 100
จํานวนเมลด็ ทง้ั หมด
ภาพที่ 5 การทดสอบความงอกของเมล็ดถ่วั เหลือง ดวยวิธีการเพาะดวยทรายในกระบะ
ก.วางเมล็ดพนั ธุถ่ัวเหลืองลงในทราย
ข. กลบทบั ดวยทรายปดฝาเกบ็ ไวในท่รี ม 3 - 5 วนั
ค. เปดฝานําไปตากแดด 3 วัน
ง. ตรวจความงอกหลงั เพาะ 7 - 10 วนั
ท่มี า : ณัฐหทยั เอพาณิช, 2547 : 90
21
การเพาะเมล็ดพชื ในภาชนะหรอื แปลงเพาะ
เปนการเตรียมตนกลาเพื่อใชกอนปลูกลงแปลงหรือกระถาง เหมาะสําหรับเมล็ดพืช
ท่ีมีราคาแพง เน่ืองจากเมล็ดมีโอกาสสูญเสียนอย นิยมใชกับพืชผัก หรือไมดอกอายุสั้น
รวมทั้งไมพุม ไมยนื ตนทีเ่ มลด็ มีขนาดเลก็ เชน มะเขือเทศ กะหลาํ่ ดอก แอสเทอร พิทเู นยี
ฝา ยคาํ ปาลม ขวด นยิ มทาํ การเพาะเมลด็ พชื ในภาชนะเพาะ และการเพาะเมลด็ พชื ในแปลงเพาะ
1. การเพาะเมลด็ พืชในภาชนะเพาะ
เปน การเพาะเมลด็ ในกระบะ นยิ มใชใ นการปลกู พชื ปรมิ าณนอ ย เชน การปลกู ผกั สวนครวั
หลงั บา น การปลกู ไมด อกไมป ระดบั ภาชนะทใ่ี ชเ พาะควรมนี า้ํ หนกั เบา ไมแ ตกหกั หรอื ผพุ งั งา ย
มรี รู ะบายนา้ํ สว นวสั ดทุ ใ่ี ชเ พาะควรมลี กั ษณะโปรง มอี ากาศถา ยเทดี อมุ นา้ํ ไดน านพอสมควร
ระบายนํ้าไดงาย ไมเปนกรดหรือดางจัดจนทาํ ใหตนกลาไมเจริญเตบิ โต มีวิธปี ฏิบัตดิ ังนี้
ภาพท่ี 6 การเพาะเมล็ดในภาชนะเพาะ
ก. ใสวัสดุทีร่ องกนภาชนะเพาะเพ่ือระบายนาํ้ เชน เศษอิฐหัก หรือเปลอื กถ่ัวลสิ ง จาก
นนั้ ใสดนิ ลงภาชนะใหตาํ่ กวาขอบภาชนะเล็กนอย ปรับหนาดินใหเรยี บ จากน้ันหวานเมลด็ ใน
ภาชนะเพาะโดยเรยี งเปน แถว หรอื หวา นทวั่ ทง้ั ภาชนะกไ็ ด กลบดนิ ทบั เมลด็ ใหแ นน พอประมาณ
รดนาํ้ ใหชุมเพ่อื ใหเมลด็ ไดรบั ความชื้น และงอกอยางสมา่ํ เสมอ
ข. เมือ่ เมล็ดงอก 7 - 10 วัน ทาํ การยายตนกลาโดยใชแทงดนิ สอที่ปลายไมแหลมมาก
แทงลงในวสั ดเุ พาะขางๆ ตนกลา เพือ่ ทําใหวัสดุเพาะหลวมในขณะท่อี กี มอื คอยๆ ดึงตนกลา
ข้นึ มา
ค. เมือ่ ไดตนกลาแลวใหใชดินสอแทงลงก่ึงกลางถุงทใี่ สวัสดปุ ลูก ใหลกึ ถงึ กนกระถาง
หรือถุง จากน้ันนําตนกลาใสลงในหลุมใหใบเล้ียงอยูระดับผิววัสดุปลูก กลบหลุมแลวใหน้ํา
แบบฝอยละเอียดจนนํ้าไหลออกกนถุง จากนั้นนําตนกลาไปไวในที่รม เม่ือตนกลาต้ังตัวได
22
ใหร บี นาํ ออกรบั แสงเพอื่ ไมใ หต น กลา ยดื ประมาณ 2 สปั ดาห ตน กลา จะมใี บจรงิ ประมาณ 6 ใบ
ซง่ึ พรอมท่จี ะยายปลกู ลงกระถางท่ีใหญขนึ้ หรือ ลงแปลงปลูกตอไป
2. การเพาะเมลด็ พืชในแปลงเพาะ
2.1 เตรยี มแปลงเพาะเลอื กดินท่ีมีความสมบูรณ กาํ จัดวชั พืชออกใหหมด วางแปลง
เพาะใหหัวและทายของแปลงอยูในแนวทิศเหนือและทิศใต ขนาดความยาว 6 เมตร
กวา ง 1.20 เมตร ตากดนิ ใหแ หง เพอ่ื ใหแ ปลงเพาะไมม โี รคและแมลงศตั รพู ชื ยอ ยดนิ ใหล ะเอยี ด
ใสป ยุ คอกใหเ หมาะสมตามความสมบรู ณแ ละชนดิ ของดนิ รดนา้ํ ใหช น้ื จากนน้ั ยอ ยดนิ ใหท ว่ั แปลง
ข้ึนรปู แปลงสงู จากพน้ื ดนิ 15 - 20 เซนติเมตร
2.2 หวา นเมลด็ ในแปลงเพาะ นยิ มหวานทว่ั แปลง ถาแปลงมขี นาดกวา งใหแบงหวา น
ที่ละครึ่ง กรณีท่ีเมล็ดมีขนาดเล็ก หรือยอยดินไมละเอียด ใหใชปุยคอกหวานใหทั่วแปลง
จากนน้ั รดนาํ้ เพอื่ ใหป ยุ คอกลงไปอดุ ชอ งดนิ ปอ งกนั ไมใ หเมลด็ ตกลงไปตามซอกดนิ จงึ หวาน
เมลด็ บางๆ กอนแลวหวานทบั อีกครงั้ กลบดนิ ทับเมล็ด
2.3 ทํารมใหตนกลาในแปลงเพาะ ตั้งแตตนกลาเริ่มงอกจนถึงระยะยายปลูก
เพ่ือปองกันสภาพแวดลอมที่ไมเหมาะสมตอการงอก โดยเฉพาะแสง
2.4 ดูแลรักษาตนกลา หลงั จากทงี่ อกพนผิวดินใหตนกลารบั แสงทันทีจะชวยใหตน
กลาเจรญิ เตบิ โต แขง็ แรง ในระยะทต่ี นกลายงั เลก็ ใหนาํ้ เปน ละอองพนหมอก 4 ชวั่ โมงตอครงั้
ครง้ั ละ 10 นาที
2.5 ในกรณที ีห่ วานเมล็ดหนาเกินไป เมอ่ื เมล็ดงอกจะเบียดเสียดกนั ใหยายตนกลา
ไปปลูกชว่ั คราวในภาชนะเพาะท่ีสามารถเคลือ่ นยายไดสะดวก กอนทจ่ี ะยายลงแปลง
2.5.1 ใหร ดนา้ํ ในแปลงเพาะใหช มุ กอ นถอนตน กลา เพอื่ สะดวกในการปฏบิ ตั งิ าน
และตนกลาไดรับการกระทบกระเทอื นนอยทส่ี ดุ
2.5.2 เตรียมวสั ดปุ ลูกเชนเดียวกบั การเพาะเมลด็
2.5.3 ใชด นิ สอแทงลงกง่ึ กลางถงุ ทใ่ี สว สั ดปุ ลกู ลกึ จนถงึ กน ถงุ จากนนั้ นาํ ตน กลา
ใสลงในหลุม โดยใหอยูระดับทใี่ บเล้ียงอยูผวิ วสั ดปุ ลกู แลวใหนํ้าแบบฝอยละเอยี ดจนน้าํ ไหล
ออกกนถุง
2.5.4 กอนการยายตนกลาปลูกจาํ เปนตองทาํ ใหตนกลาแข็งแรง โดยรดนา้ํ ตน
กลาใหนอยลง หรือใชโพแทสเซียมคลอไรด อัตราสวน 1 : 250 ละลายนํ้ารดตนกลา
7 - 10 วนั กอนยายปลกู
2.5.5 หลงั ปลกู ตอ งรดนาํ้ ใหช มุ และทาํ รม ชว่ั คราวจนกระทงั่ ตน กลา พชื ตง้ั ตวั ได
2.5.6 ใหน้าํ สม่าํ เสมอ อยาใหตนกลาเห่ียวเพราะขาดนา้ํ การใหปุยจะชวยให
ตน กลา ตง้ั ตวั เรว็ ขนึ้ โดยใชป ยุ ผสมทม่ี ฟี อสฟอรสั (P2O5) สงู เชน ใชส ตู ร N : P : K = 10 : 52 : 17
อตั รา 2.3 - 2.7 กก.ตอนํ้า 400 ลติ ร
23
การเพาะเมลด็ พริกในภาชนะปลูก
ภาพท่ี 7 การเพาะเมลด็ พริกในภาชนะเพาะ
ก. เตรียมวัสดุเพาะโดยใชไมขีดวสั ดเุ พาะใหเปนรอง
ข. โรยเมลด็ ในรองโดยใหท่ัว และโรยวัสดเุ พาะทบั อกี ครัง้ เพอ่ื กลบรอง จากนน้ั รดนา้ํ ใหชุม
ค. ประมาณ 7 - 10 วนั เมลด็ เริ่มงอกเปนตนกลา
ง. ยายตนกลาลงในถาดหลมุ ขนาด 104 หลุม หรือถุงเพาะชําเมอ่ื ตนกลาเร่ิมมีใบแท
จ. ใหนาํ้ ในชวงเชาเวลา 06.00 - 08.00 น.
ฉ. ตนกลามอี ายุครบ 30 วนั พรอมปลูกในแปลง
24
การขยายพันธพุ ชื โดยการปก ชาํ
เปน การขยายพนั ธุพืชโดยการนําสวนตางๆ ของพืชพันธุดี มาตัดปก ชําบนวัสดเุ พาะชาํ
ในสภาพแวดลอมที่เหมาะสมตอการเกิดรากและแตกยอด จะไดเปนพืชตนใหมท่ีมีลักษณะ
เหมอื นตนแมทกุ ประการ เปน วธิ ีการขยายพันธุที่ทาํ ไดงาย ตนทุนตํ่า ไมยุงยาก แบงได 3 วิธี
คือ ปกชํากงิ่ ปกชําใบ และ ปกชาํ ราก
การปกชําก่ิง
คอื การนาํ กง่ิ มาปก ชาํ ในวสั ดเุ พาะชาํ เพอื่ ใหเกดิ รากเปน พชื ตนใหม แบงออกตามความ
ออนแกของก่งิ ไดแก กิง่ แก กิง่ ก่งึ ออนกง่ึ แก กิง่ ออนและไมพุมเนือ้ เยอื่ และลําตนเนื้อออน
อวบนาํ้
1. การปกชํากิ่งแก เปนกิ่งท่ีมีสีน้ําตาลเน้ือไมแข็งมักจะไมมีใบ มีอาหารสะสม
มากนยิ มใชใ นพชื ทปี่ ก ชาํ ในแปลงโดยตรงเชน ผกั หวาน ชะอม หรอื ตน ตอสาํ หรบั ตดิ ตากหุ ลาบ
องุน หรือไมประดับขนาดใหญ เชน เฟองฟา โมก และไทร
2. การปกชําก่ิงก่ึงออนก่ึงแก เปนกิ่งที่มีเน้ือไมแกพอสมควร เปลือกมีสีเขียว
หรอื เขียวปนนา้ํ ตาลเลก็ นอย นยิ มใชในพืชไร เชน มันสาํ ปะหลัง ฯลฯ
3. การปก ชาํ กง่ิ ออ นและไมพ มุ เนอ้ื เยอ่ื กง่ิ ออนเปน กงิ่ ทเ่ี จรญิ ใหมในพชื ทม่ี เี นอ้ื
ไมแขง็ และไมพมุ หรอื กง่ิ ยอดทก่ี งิ่ มสี เี ขยี ว พชื สวนมากสามารถตดั ชาํ ไดโดยวธิ นี ี้ เชน กหุ ลาบ
มะลิ ยโี่ ถ ผกากรอง ฯลฯเปน วธิ ที ท่ี าํ ใหพชื ออกรากไดงายและเรว็ กวาการปก ชาํ แบบอน่ื ๆ แต
ตองดูแลเอาใจใสมากเปน พเิ ศษ ตองระวังไมใหใบหรือกิง่ เหีย่ ว ทาํ ภายใตสภาพท่ีมีความชน้ื
สงู สมํ่าเสมอ มีแสงแดดเต็มท่ี โดยทวั่ ไปใชก่งิ ยาว 3 - 5 นิว้ ขึน้ อยูกับพนั ธุและความสมบูรณ
ของกง่ิ
4. การปกชําลําตนเนือ้ ออนอวบนา้ํ เปน พืชที่มีลักษณะเน้ือไมออนเชน พชื ใน
กลุมสาวนอยประแปง วาสนา หมากผูหมากเมีย และเขยี วหมน่ื ป โดยตัดลาํ ตนเปน ทอนยาว
มี 1 - 3 ขอ ทารอยแผลดวยปูนแดงหรือสารปองกันกําจัดเช้ือราทั้ง2 รอย(บนและลาง)
ผ่ึงใหรอยแผลแหงนําไปปกชําในวัสดุเพาะชําโดยวางก่ิงชําในแนวนอนหรือในแนวตั้งวางใน
บรเิ วณทีร่ มรดนํา้ พอชื้นทอนพันธุจะงอกเปนตนใหม
ภาพที่ 8 การปกชํากิง่
25
การปก ชาํ ใบ
คือการนําใบมาปกชําใหเกิดยอดและรากสามารถทําไดหลายวิธีข้ึนอยูกับชนิดของพืช
แบงเปน การปกชาํ แผนใบ ปก ชาํ ใบที่มกี านใบ และปก ชําใบทม่ี ีตาติดมา
1. การปก ชาํ แผน ใบ โดยการตดั แผนใบออกเปน สวนๆตนและรากใหมจะเกดิ จากแผน
ใบโดยตรง การปกชาํ มหี ลายวิธขี ึน้ อยูกับชนิดของพืช เชน
1.1 การปกชาํ ใบลนิ้ มังกร เลอื กใบท่ีแกตัดเปน ทอนยาว 2 - 3 นว้ิ นาํ มาปก ชาํ ใน วสั ดุ
ปก ชําไดแก ทรายผสมขเี้ ถาแกลบอัตราสวน 1 : 1 ปกลกึ ½ - ¾ ของความยาวของใบทม่ี า
ปก ชาํ จะเกดิ ตนและรากใหมบรเิ วณฐานของใบทปี่ ก ชาํ สว นโคนของใบเกาจะคอ ยๆ แหงตาย
1.2 การปกชาํ ใบบโี กเนยี นําใบแกมากรดี เสนใบใหญใหขาดจากกนั (อาจกรดี ใหขาด
เปนสวน ๆ หรือยังติดเปนใบอยูก็ได) โดยวางแผนใบลงบนวัสดุปกชํา กลบดวยวัสดุปกชํา
บางๆ พอใหใ บแหง หรอื ปก ชาํ บนวสั ดปุ ก ชาํ นาํ กระบะปก ชาํ ตงั้ ไวใ นทร่ี ม มคี วามชนื้ สงู แตไ มแ ฉะ
จะเกดิ ตน และรากใหมต รงบรเิ วณเสน ใบทถี่ กู ตดั ขาด ขณะเดยี วกนั ใบเกา จะคอ ยๆ แหง ตายไป
1.3 การปกชําใบโคมญี่ปุนหรือใบควํ่าตายหงายเปน ตัดใบท่ีแกวางบนวัสดุปกชํา
ทช่ี น้ื การปก ชาํ ควรกลบใบบางสว นหรอื พยายามทาํ ใหข อบใบชดิ อยกู บั วสั ดปุ ก ชาํ เพอ่ื ปอ งกนั
ไมใหใบแหง ตนและรากใหมจะเกิดตรงรอยหยักของแผนใบ บริเวณนั้นจะมีคัพภะของ
แผนใบทพี่ กั ตวั อยู
2. การปก ชาํ ใบทมี่ กี า นใบ จะเกดิ ตนและรากใหมตรงปลายของกานใบ นยิ มใชในการ
ปก ชําใบอัฟรกิ ันไวโอเลต็ ใบกล็อกซีเนีย โดยเลอื กใบทอี่ ยูชวงกลางของตน ไมควรใชใบแก
หรือใบออน ตัดใบใหมีกานใบยาวประมาณ 1 นิ้ว ปกชํากานใบลงในวัสดุปกชํา หันหนา
ไปทางเดยี วกนั อยา ใหข อบใบชนกนั อาจใชฮ อรโ มนเรง รากความเขม ขน ตาํ่ 50 ppm จมุ กา นใบ
กอนปก ชาํ จะชวยใหออกรากเร็วขึน้ การใหนา้ํ ควรใหทางกนกระถาง
3. การปก ชาํ ใบที่มตี าติด คือการปกชาํ ใบที่มแี ผนใบ กานใบ และก่งิ ทีม่ ตี าตดิ อยูดวย
เนื่องจากพืชพวกนี้จะออกรากใหมไดดี แตเกิดตนใหมไดชามาก จึงตองใหมีตาเกาติดดวย
เพอ่ื แตกเปนตนใหม เชน ยางอนิ เดยี เปปเปอรโรเมีย และมะนาว การปก ชาํ ควรชําสวนของ
ลําตนใหตาจมลงไปประมาณ ½ นิว้ จะเกิดรากและยอดข้ึนมาใหมตรงบรเิ วณขอ
26
ภาพท่ี 9 การปกชาํ ใบทมี่ กี านใบ (ใบกลอกซีเนยี )
ก. ตดั ใบที่อยูชวงกลางของตน ค. รดน้ําใหชุม
ข. นํามาปกชาํ ในวสั ดุปกชาํ ปก ลึก ½ ของความยาวกานใบ ง. นําเขากระโจมอบ
ภาพที่ 10 การปกชําแผนใบ (ใบล้ินมังกร)
ก. ตัดใบเปน ทอนยาว 2 - 3 น้ิว ค. รดนํ้าใหชุม
ข. ปกใหลึก ½ ของความยาวกานใบ ง. นําเขากระโจมอบ
27
การปก ชําราก
นิยมใชกับไมผล เชน สาเก มะไฟ ปป และแคแสด โดยใชรากท่ีมีเสนผาศูนยกลาง
ประมาณ ¼ นิ้ว ตัดเปน ทอนยาว 2 - 4 น้ิว ชาํ ลงในวสั ดุปก ชํา รดนํา้ ใหชุมจะเกิดการแตก
รากทางดานปลายและแตกยอดใหมทางดานโคนของราก
การดูแลรกั ษา
1. ตองใหนํ้าอยางสมํ่าเสมอ ถาใหนาํ้ นอยไปจะทาํ ใหก่งิ เหยี่ วแหง ถาใหมากไปจะทําให
วัสดปุ ก ชาํ แฉะเนาเสยี หายได
2. ควรใหน้าํ เปนละอองบางๆ หลายๆครัง้
3. ตองหม่ันตรวจโรคก่ิงปกชํา เนื่องจากมคี วามช้นื สูงจงึ มีโอกาสทจ่ี ะเกิดโรคได ดังนนั้
จึงตองฉดี สารปองกันกาํ จัดเชอ้ื ราเปนระยะๆ ตามความเหมาะสม
4. กรณที ไ่ี มสามารถยายปลกู ได จาํ เปน ตองเกบ็ กง่ิ ชาํ ไวในกระบะตอ ควรใหปุยจนกวา
จะทําการยายปลกู เนอ่ื งจากวสั ดปุ กชํามีธาตุอาหารต่าํ มาก
5. กอนใหปุยควรทาํ ความสะอาดกระบะชาํ ถามใี บรวงหรอื มกี ง่ิ ทแ่ี หงตายตองเอาออก
ทันที เนือ่ งจากจะเปนแหลงของเชอื้ ราซงึ่ อาจแพรกระจายไปยงั กง่ิ ปกชาํ อน่ื ๆ
การยายปลกู
1. การยายปลูกก่งิ แกตองระวังไมใหรากขาด หรือถาขาดใหขาดนอยทีส่ ุด ทําโดยการ
ขุดแทนการถอน ตั้งไวในที่รมรําไรจนพืชตั้งตัวไดจึงนําไปปลูกในแปลง
2. การยายปลกู กง่ิ กงึ่ ออนกง่ึ แกตอ งใหนาํ้ แบบพนหมอก เพอื่ ใหกง่ิ ไดร บั ความชนื้ ตลอด
เวลา การยายตองทําดวยความระมัดระวังเปน พเิ ศษ คอยๆ ลดความชืน้ ลงเพือ่ ใหพชื ปรับตัว
เคยชินกับการไดรับความช้ืนนอยลง ไมควรยายปลูกทันที หลังออกรากพืชจะขาดนํ้าอยาง
รุนแรงมีวธิ ีปฏบิ ตั ิดงั นี้
2.1 ลดการใหน าํ้ โดยการฉดี พน นา้ํ คอ ย ๆ หา งเพมิ่ ขน้ึ จนกระทงั่ เหลอื การใหน า้ํ เชา -เยน็
เมื่อสังเกตเหน็ วาพชื ยงั แขง็ แรงและสมบรู ณดจี งึ ยายปลูกได
2.2 ปอ งกนั การขาดนาํ้ จากการยา ยปลกู โดยการปก ชาํ ในกระบะเลก็ ๆ วางในกระบะ
พน หมอก หลงั จากทก่ี ง่ิ ปก ชาํ ออกรากแลว จงึ ยา ยกระบะปก ชาํ ไปไวใ นทรี่ ม ราํ ไร มคี วามชนื้ สงู
จนกระทง่ั พชื ตง้ั ตวั ไดดจี งึ ยายปลกู ลงแปลง เกษตรกรนยิ มวธิ นี เี้ นอ่ื งจากไมกระทบกระเทอื น
ตอระบบราก
2.3 ยายปลูกทันทีหลงั กง่ิ ปกชาํ ออกรากแลว วางในท่ีรมและมคี วามชน้ื สงู เมือ่ พชื
ต้ังตวั ไดจึงเร่มิ ใหรับแสงแดด ระวงั อยาใหก่ิงทยี่ ายปลกู แหง ควรรดนา้ํ บอยๆ และยายปลกู
ดวยความระมัดระวงั
28
การปกชําไมดอกไมประดับเพอื่ การคา
ภาพที่ 11 การปกชําก่งิ ชบาเพ่อื การคา ณ ศนู ยไมดอกไมประดับ
ต.คลองใหญ อ.องครักษ จ.นครนายก
ก. แปลงแมพันธุ จ. เปดกระโจมออกใหแสง นาํ้
ข. ตัดกง่ิ เพ่ือนํามาปก ชํา ในชวงเชา พรางแสงในชวงบาย
ค. แปลงปกชาํ ฉ. ตนชบาจากก่งิ ปก ชําอายุ 45 วัน
ง. นาํ กงิ่ ปก ชําเขากระโจม 30 วัน ช. เปลีย่ นวสั ดุปลกู เพอ่ื นาํ มาจาํ หนาย
ซ. ตนชบาอายุ 60 วนั
29
การขยายพันธพุ ืชโดยการตอนก่ิง (Layering)
เปนการขยายพันธุพืชโดยทําใหก่ิงหรือตนพืชเกิดรากขณะติดอยูกับตนแมดวยการทํา
แผลบรเิ วณกงิ่ โดยการตดั ทอลาํ เลยี งอาหารของพชื สวนทอ นา้ํ ยงั อยตู ามปกติ ทาํ ใหก ง่ิ มกี าร
สะสมอาหารและไดรับน้ําอยูตลอดเวลา เม่ือกิ่งออกรากดีแลวจึงตัดนําไปปลูกตอไป ตนที่
ตัดไปปลูกจะมีลักษณะเหมือนตนเดิมทุกประการเหมาะสําหรับพืชที่ไมสามารถออกรากได
ดวยวธิ ีการปก ชํา
หลักการตอนกงิ่
คอื การปฏิบตั ิเพื่อทาํ ใหก่งิ มกี ารสะสมอาหารและการปรับสภาพแวดลอมใหเหมาะสม
ตอการออกรากดงั นี้
1. การทําบาดแผลหรอื คว่ันก่ิงเพื่อขดั ขวางการลําเลียงอาหาร
2. การใชสารเรงรากกระตุนการเกดิ รากบรเิ วณที่มกี ารสะสมอาหาร
3. ปรบั สภาพแวดลอ มใหเ หมาะสมตอ การเกดิ ราก เชน ใชว สั ดทุ มี่ คี วามชนื้ ระบายอากาศไดด ี
วิธกี ารตอนกง่ิ
แบงไดเปน 2 ประเภทคอื การตอนก่ิงในอากาศ และการตอนกง่ิ แบบโนมกงิ่
1. การตอนก่ิงในอากาศ (Air Layering) เปนการตอนกิ่งพืชท่ีอยูเหนือดิน
คอื ไมสามารถโนมกง่ิ ลงมาหาพน้ื ดนิ ได มขี ัน้ ตอนปฏิบัติ ดงั น้ี
1 เลอื กก่ิงกึง่ แกกง่ึ ออนท่มี ีอายไุ มเกนิ 1 ป ซ่งึ จะออกรากไดดกี วากิง่ ทีม่ ีอายุมาก
2. การทาํ แผลกง่ิ ตอน
2.1 ทาํ แผลแบบควนั่ กงิ่ ทาํ โดยควน่ั เปลอื กกงิ่ โดยรอบเปน วงแหวน 2 วง ทงั้ ดา น
บนและลางของก่ิงความยาวของรอยแผลประมาณเสนรอบวงของกง่ิ กรีดรอยแผลแลวลอก
เอาเปลอื กออกใหห มดจากนน้ั ขดู เยอ่ื เจรญิ ทเี่ ปน เมอื กลน่ื ๆรอบกงิ่ ออกเหมาะสาํ หรบั พชื ประเภท
ไมดอกไมประดับเชนกุหลาบ โมก โกสนและแสงจนั ทร สวนไมผล เชน มะมวง ลาํ ไย มงั คดุ
มะเฟอง มะนาว สม ชมพู ฝรงั่ และลน้ิ จ่ี ฯลฯ
ภาพท่ี 12 การทําแผลกิง่ ตอนแบบควน่ั กิ่ง
ก. กรีดเปลือกก่ิงโดยรอบเปนวงแหวน 2 วง
ข. ลอกเปลอื กออกพรอมกบั ขูดเยื่อเจรญิ ออก
ค. ใชขุยมะพราวหุมกิง่ ตอนมัดดวยเชอื กใหแนน
30
2.2 ทําแผลแบบปาดกิ่ง โดยปาดใตทองก่ิงเขาไปในเน้ือไมบริเวณที่จะตอน
เอยี งเปนรปู ปากฉลาม ลึกถึงเน้ือไมประมาณ 1ใน 3 ของเสนผาศนู ยกลางก่ิง ความยาวแผล
1 - 2 นิ้ว จากนน้ั เอาเศษไมสอดไวเพื่อไมใหรอยแผลท่เี ปดไวตดิ กนั ใชขุยมะพราวหุมกิง่ ตอน
มัดดวยเชอื กใหแนน เหมาะสําหรับพชื ทอ่ี อกรากงาย เชน มะละกอ ชวนชม และลลี าวดี
ภาพท่ี 13 การทําแผลก่งิ ตอนแบบปาดกิ่ง
ก. ปาดกง่ิ เขาไปเนื้อไมเอียงเปนรูปปากฉลาม
ข. นาํ เศษไมสอดไวเพื่อไมใหรอยแผลตดิ กัน
2.3 ทําแผลแบบกรีดกิ่งโดยใชใบมีดกรีดรอยแผลตามความยาวของก่ิง
ยาว 1 - 1.5 น้วิ ลกึ ถึงเน้อื ไม 3 - 5 รอยรอบกง่ิ จากนน้ั ใชขยุ มะพราวหุมกิง่ ตอน มัดดวย
เชือกใหแนน เหมาะสําหรบั กงิ่ ออน ทอ่ี อกรากงาย เชน หมากผูหมากเมยี โกศลฯลฯ
ภาพท่ี 14 การทาํ แผลกง่ิ ตอนแบบกรดี ก่งิ
ก. ใชมีดกรีดแผลตามยาวของกิ่ง
ข. รอยแผลทีก่ รีดเสรจ็ เรียบรอย
31
3. ใชสารเรงการออกราก (ฮอรโมนพชื ) ทารอยแผลรอใหแหงกอนทาํ การหุมก่งิ
4. หมุ กงิ่ ตอนโดยนาํ ตมุ ตอน (ขยุ มะพราวเกา แชน าํ้ จนอมิ่ ตวั บบี นา้ํ ออกพอหมาดๆ
อัดลงในถุงพลาสติกผูกปากถุงใหแนน) ผาตามความยาวนําไปหุมรอยแผลของก่ิงตอน
มดั ดวยเชอื กทง้ั เหนอื และใตรอยแผลใหแนน
5. เมื่อก่ิงตอนออกรากโดยจะเกิดบริเวณรอยคว่ันดานบน เมื่อรากเร่ิมแกเปนสี
เหลืองหรอื สนี า้ํ ตาล ปลายรากสขี าว มีจาํ นวนรากมากพอจึงตัดกิ่งตอนไปชําหรอื ปลกู ได
2. การตอนกิง่ แบบโนม กง่ิ ทาํ โดยเลอื กก่งิ ทต่ี องการ ขุดดินแลวโนมกิง่ ลงมาโดยใช
หลักปก ยดึ เกีย่ วกิ่งไว กลบดินทับ รดนํา้ รอจนเกดิ ราก ใชเวลา 30 - 45 วันจึงตดั ไปปลกู
ทําไดดงั น้ี
2.1 การตอนก่ิงแบบฝง ยอด (Tip Layering) ทาํ โดยกลบหรือฝงทง้ั ยอดในดิน
รากจะเกดิ ขนึ้ ทบ่ี รเิ วณโคนกงิ่ ใหมทเี่ จรญิ ขน้ึ มาจากยอดทก่ี ลบไว เหมาะกบั พชื บางชนดิ เชน
ประทดั จีน ฯลฯ
2.2 การตอนก่งิ แบบทบั ก่งิ (Simple Layering) คลายกับวธิ ีการฝง ยอด แตจะ
ไมกลบยอดทั้งหมด จะกลบบริเวณก่ิงใกลยอดและปลอยใหยอดโผลขึ้นมาเหนือผิวดิน
เหมาะกบั ชนดิ พืชทีม่ กี ิง่ ออน
2.3 การตอนกิ่งแบบทับยอด (Simple Layering) คลายกับแบบฝงยอด
โดยจะฝงกลบเฉพาะบริเวณก่ิง ปลอยใหยอดโผลขึ้นมาเหนือดินประมาณ 30 เซนติเมตร
เหมาะกับพืชท่ีมีกงิ่ ยาวดดั โคงงาย เชน มะลิ องุน เงนิ ไหลมา สาวนอยประแปง ฯลฯ
2.4 การตอนก่ิงแบบงูเลื้อย (Compound Layering) คลายกับวิธีการฝงยอด
ตางกนั โดย จะทาํ การฝง กง่ิ เปน ทอดๆ ตามความยาวของกงิ่ สวนทโี่ ผลพนผวิ ดนิ ใหมตี าอยาง
นอย 1 ตา เพื่อใหแตกยอดใหมเหมาะกับพืชที่มีก่ิงยาว เชน เล็บมือนาง การเวก พลูดาง
ตนี ตุกแก องุน มันเทศ พริกไทย ฯลฯ
2.5 การตอนก่งิ แบบขดุ รอง (Trench Layering) ทําโดยโนมก่ิงโดยใชตะขอปก
ยึดโคนกิ่ง ใหกิ่งนอนราบกับพ้ืนรองท่ีเตรียมไว เมื่อตาก่ิงแตกยอดใหมใชดินกลบโคนกิ่ง
ใหกลบเพม่ิ ขนึ้ เรอื่ ยๆ เมอื่ กงิ่ มขี นาดโตขนึ้ รากจะเกดิ ขนึ้ ทโ่ี คนของกง่ิ ทแ่ี ตกใหม เหมาะสาํ หรบั
ไมผลเมืองหนาว เชน ทอ สาล่ี เชอร่ี ฯลฯ
2.6 การตอนกงิ่ แบบสุมโคน (Mound or Stool Layering) ใชกบั พืชทีม่ กี ง่ิ แข็ง
โนมก่ิงลงมาหาดินไดยาก วิธีนี้จะตองตัดแตงตนพืชใหส้ัน เพื่อจะไดตนพืชเกิดก่ิงใหมใกลๆ
กับผิวดิน เมื่อตาบนกิ่ง เร่ิมแตกยอดออนก็กลบดินทับก่ิงท่ีแตกใหม ซ่ึงการเกิดรากจะเกิด
บริเวณโคนกิ่งใหมที่ฝงอยูในดนิ
32
ภาพท่ี 15 การตอนก่ิงแบบโนมกง่ิ
ก. เลอื กกิง่ ท่ตี องการ
ข. โนมก่ิงลงมาใชหลกั ปก เก่ยี วกิ่งไวกลบดนิ รอจนแตกรากใหม
ภาพท่ี 16 การตอนกงิ่ ฝรั่งแบบควั่นก่ิง
ก. ควั่นกิ่งโดยรอบเปน วงแหวน 2 วงใหอยูบรเิ วณใตขอ ข. กรดี รอยแผล
ค. ลอกเปลอื กออก จากนัน้ ขดู เยือ่ เจริญจากบนลงลาง ง.กรดี ถงุ พลาสตกิ ทใ่ี สข ยุ มะพรา ว
จ. ใชขยุ มะพราวหุมกิ่งตอน ฉ. มดั ดวยเชอื กใหแนน
33
การขยายพันธโุ ดยการติดตา ตอ ก่งิ และทาบกง่ิ
เปน การขยายพนั ธุพชื โดยการนาํ ตนทใ่ี ชสวนยอด มาตอกบั ตนทใี่ ชสวนราก เพอ่ื ใหสวน
ทง้ั สองเชอื่ มประสานตดิ กนั จนเจรญิ เติบโตเปน พืชตนเดยี วกัน ประกอบดวยตนตอ คอื สวน
ของตน พชื ทาํ หนา ทเี่ ปน ระบบราก กง่ิ พนั ธดุ ี คอื สว นของตน พชื ทเ่ี จรญิ เปน ตน หรอื กง่ิ กา นของตน
ทําหนาทอี่ อกดอก ตดิ ผล และใหผลผลติ
การขยายพันธุโดยการติดตา (Budding)
คือการนําเอาสวนแผนตาของกิ่งพืชพันธุดี ไปติดกับตนพืชอีกตนหนึ่ง โดยใชแผนตา
เพียงแผนตาเดียวจากก่ิงพันธุดี ไปติดบนตนตอเพ่ือใหตาเจริญเติบโตเปนตนใหม เปนวิธีที่
ประหยดั กงิ่ พนั ธุ ทาํ ไดรวดเรว็ กวาวธิ กี ารขยายพนั ธแุ บบตอกงิ่ และทาบกง่ิ แบงตามลกั ษณะ
ของเปลือกไดดังน้ี
1. พืชทีม่ เี ปลอื กลอนและลอกงา ย ท่ีนิยมใชมี 3 วิธี คอื
1.1 การติดตาแบบตัวที (T - Budding) เหมาะกับพืชท่ีมีเปลือกไมบาง
หรือหนาเกินไปนิยมใชในการขยายพันธุไมผล เชน พุทรา สม พลับ ทอ แอปเปล ฯลฯ
และไมดอกบางชนิด เชน กุหลาบ มขี นั้ ตอนปฏิบตั ิดังน้ี
1. เลอื กตาจากกง่ิ พันธุดี
2. เฉือนแผนตาออกจากกิง่ พนั ธุดีเปนรปู โลใหติดเน้อื ไมเลก็ นอย และเพ่ือ
ใหติดตาไดสนิทใหลอกเนอื้ ไมออกจากเปลอื กแผนตาจากดานลางขน้ึ ดานบน
3. ทาํ แผลบนตนตอใกลบรเิ วณขอโดยกรดี เปลอื กไมเปน รปู ตวั ที ใหหวั ของ
ตวั ทยี าวประมาณ ½ นิว้ และตัวทยี าว 1.5 นวิ้ หรอื ขึน้ อยูกับขนาดของตนตอ
4. ใชปลายมดี เปดหัวตัวที เผยอเปลือกไมออกตามแนวท่กี รดี ทงั้ 2 ดาน
5. สอดแผนตาเขาไปในเปลือกไมรปู ตวั ทใี หแนบสนทิ กบั เน้อื ไมของตนตอ
ตดั สวนบนของแผนตาทเี่ กนิ ออกตรงบรเิ วณรอยแผลหวั ตวั ที เพอื่ ใหแ ผนตาแนน สนทิ พอดกี บั
ตนตอ
6. พนั พลาสตกิ ใสใหแนนโดยพันจากดานลางขนึ้ ดานบนแบบมงุ หลงั คา
34
ภาพที่ 17 การติดตาแบบตัวที ( T - Budding )
ก. เลือกกงิ่ ตาจากก่ิงพันธุดี เฉอื นแผนตาออกจากกิง่ เปน รปู โล
ข. กรีดรอยบนตนตอเปน รปู ตวั ที จากน้นั ใชปลายมดี เผยอเปลือกออกท้ัง 2 ดาน
ค. สอดแผนตาจากก่ิงพันธุดีเขาไปในรอยกรีด และตัดสวนบนของแผนตาออกเพ่ือใหแนน
พอดกี บั ตนตอ
ง. พันดวยพลาสติกจากขางลางขน้ึ ขางบนใหแนน
35
1.2 การตดิ ตาแบบเปด เปลอื กไม (Plate Budding) มวี ธิ ปี ฏบิ ตั คิ ลายการตดิ ตาแบบ
ตัวที แตแตกตางกนั ที่วิธีการทาํ แผลบนตนตอ มี 2 แบบ คือ
1.2.1 การทําแผลบนตนตอแบบตัวเอชหรือสะพานเปด (H - Budding)
โดยการกรีดเปลือกไมเปนแนวขนานกับลําตน 2 แนว จากนั้นกรีดตรงกลางขวางรอยแนว
กรีดขนาน เผยอเปลือกไมดานบนขึ้น และสวนดานลางของแผลเผยอลงคลายสะพานเปด
สอดแผนตาจากกงิ่ พนั ธุดี พนั พลาสติกใสเชนเดียวกบั การติดตาแบบตวั ที เหมาะกบั พืชท่มี ี
เปลือกหนา เหนียว ติดตายาก และมียางเชน ยางพารา ขนุน เงาะ มะมวง นอยหนา
หรอื พืชทีเ่ กดิ รอยเช่ือมประสานชา เชน มะขาม
ภาพที่ 18 การทําแผลบนตนตอแบบตัวเอช ( H - Budding )
ก. กรีดรอยบนตนตอเปนรูปตัว H จากน้นั ใชปลายมีดเผยอเปลือกออก
ข. สอดแผนตาจากกง่ิ พันธุดเี ขาไปในรอยกรีด และตัดสวนบนของแผนตาออก
เพอ่ื ใหแนนพอดีกับตนตอ
ภาพท่ี 19 การทาํ แผลบนตนตอแบบตวั ไอ ( I – Budding )
ก. กรีดรอยบนตนตอเปนรปู ตวั I จากนน้ั ใชปลายมีดเผยอเปลือกออกทางดานขาง
ข. สอดแผนตาจากกิ่งพันธุดีเขาไปในรอยกรดี และตดั สวนบนของแผนตาออก
เพ่ือใหแนนพอดกี บั ตนตอ
36
1.3 การตดิ ตาแบบปะหรอื แบบแพทช (Plach Budding) เหมาะกบั พชื ทม่ี เี ปลอื กหนา
เนอื้ ไมยงั ออนอยู เกิดรอยตอเร็ว เชน ยางพารา ชบา อโวคาโด ฯลฯ มขี ้ันตอนในการปฏิบัติ
ดงั นี้
1. เลือกกิ่งตาพนั ธุดีตดั ใบออก
2. เฉอื นแผน ตาออกจากกงิ่ พนั ธดุ เี ปน รปู โล ใหต ดิ เนอื้ ไมเ ลก็ นอ ยเพอ่ื ใหต ดิ ตา
ไดสนิท ใหลอกเน้อื ไมออกจากเปลอื กแผนตาจากดานลางข้ึนดานบน
3. ทาํ แผลบนตนตอใกลบริเวณขอโดยกรดี เปลอื กไมเปน รปู สเี่ หลี่ยม
4. ประกบแผนตาลงบนแผลของตนตอ
5. พนั ดวยพลาสตกิ ใสใหแนน โดยพนั จากดานลา งขนึ้ ดานบนแบบมงุ หลงั คา
ภาพที่ 20 การติดตายางพาราโดยวิธีการติดตาแบบปะหรือแบบแพทช
ก. ตนตอ
ข. กรีดเปลือกตนตอถึงเนื้อไมเปนรปู ส่ีเหลียม
ค. เฉือนแผนตาจากก่งิ พันธุดเี ปน รปู โล
ง. ตดั แตงแผนตาเปนรูปสีเหล่ียมใหพอดีกับรอยแผล
จ. ประกบแผนตาลงบนแผล
ฉ. พันพลาสติกใหแนน
37
2. การติดตาพชื ทลี่ อกเปลอื กไมไ ดหรือเปลือกไมลอน ทีน่ ยิ มคอื การติดตาแบบชบิ
(Chip Budding) เหมาะกบั พืชทมี่ ีเปลือกบางและเปราะ เชน องุน เงาะ
ภาพที่ 21 การติดตาขนุนแบบตวั เอช (H - Budding)
ก. กรดี เปลอื กไมเปน แนวต้งั ขนานกนั คลายรปู ตัว H กรดี ตรงกลางขวางรอยแนว
ข. เผยอเปลอื กดานลาง
ค. เผยอเปลอื กดานบน
ง. เฉือนแผนตากงิ่ พนั ธุดเี ปนรปู โล
จ. แผนตาจากกิ่งพนั ธุดี
ฉ. สอดแผนตาลงในแผลท่ีเตรยี มไว
38
ภาพท่ี 21 การติดตาขนนุ แบบตวั เอช (H - Budding) (ตอ)
ช. สอดแผนตาลงในแผลทเ่ี ตรียมไว
ซ. พนั ผาพลาสติกใหแนน
ฌ. ประมาณ 10 วนั ใหสังเกตแผนตายังเขยี วอยูใชปลายมืดกรีดผาพลาสติกบริเวณตา
ญ. 30 - 35 วัน ตาจะแตกใบออนประมาณ 3 - 4 ใบ
ฎ. คว่นั เปลือกไมเหนือรอยแผลเพือ่ ตดั ทอลําเลยี งอาหารไมใหไปเลี้ยงก่งิ เดิม
แตจะใหมาเล้ยี งกิ่งใหมท่ีเกิดจากการตดิ ตาจากก่งิ พนั ธุดี
ฏ. 15 - 20 วัน ตดั ยอดกงิ่ เดิมออกแลวนาํ ไปปลกู ขยายพันธุตอไป
39
การขยายพันธโุ ดยการตอกง่ิ (Grafting)
คือ การเช่ือมประสานเนื้อเยื่อของพืชท้ังสองเขาดวยกันเพื่อใหเปนตนพืชตนเดียวกัน
โดยจะใชวธิ นี ี้เมอื่ วิธกี ารตดิ ตาไมมคี วามเหมาะสม คอื ตนตอโตเกนิ ไป กิ่งพันธุดมี ีขนาดเล็ก
แบงได 3 แบบ ดังน้ี
1. การตอ กิ่งแบบเสียบลิม่ (cleft grafting) นยิ มใชสาํ หรับการเปลี่ยนยอดพชื ท่ี
มีเสนเน้ือไมตรง กิ่งพันธุดีควรเปนกิ่งแก และควรตอก่ิงขณะท่ีพืชหยุดชะงักหรือหยุดการ
เจริญซึ่งเปน ระยะที่เปลือกไมลอนออกจากเน้ือไม เชน ทับทิม นอยหนา มะนาว ฯลฯ มีวิธี
ปฏิบตั ดิ ังนี้
1. ตัดตนตอใหมบี รเิ วณปลองท่ไี มมขี อหรอื ตาเปน มุมฉาก
2. ผาตนตอใหเปน แผลลกึ 2 - 3 น้ิว แลวแตขนาดของกิง่
3. เฉอื นกงิ่ พนั ธดุ ใี หเ ปน ปากฉลามทงั้ สองดา นโดยใหม สี นั ดา นหนงึ่ หนากวา อกี ดา นหนงึ่
4. เผยอรอยแผลโดยใชใบมดี สอดเขาไปในรอยผา แลวบดิ ใบมดี ใหรอยผาเผยอออก
5. สอดกง่ิ พนั ธดุ โี ดยเอาดา นสนั หนาไวร มิ นอกแลว จดั ใหแ นวเยอ่ื เจรญิ ของรอยเฉอื น
บน ตนตอ และกิ่งพนั ธุดีทับกนั ดานใดดานหน่ึง
6. พนั ดว ยผา พลาสตกิ ใสแลว อดุ รอยตอ ดว ยขผ้ี งึ้ ตอ กงิ่ จากนน้ั คลมุ ตน ดว ยถงุ พลาสตกิ
7. ประมาณ 5 - 7 สัปดาห รอยแผลจะประสานกนั สนิทดี
2. การตอก่ิงแบบเสยี บขาง (side grafting) นิยมใชกับตนพชื ขนาดเล็กทป่ี ลูกใน
กระถาง เชน โกศล ชบา สนประดบั เล็บครฑุ รวมทงั้ ไมผล เชน มะมวง ทบั ทิม ลองกอง และ
ลาํ ไย ควรทําขณะทพี่ ืชชะงกั หรือหยุดการเจริญซง่ึ เปน ระยะท่ีเปลอื กไมลอนออกจากเน้อื ไม
แตกตางจากวิธีการตอก่ิงแบบเสียบเปลือก และวิธีการตอกิ่งแบบเสียบลิ่ม คือ ไมตัดยอด
ตนตอออกจนกวากิ่งที่ตอจะติดเช่ือมประสานเรียบรอยแลวจึงตัดยอดตนตอออกมีข้ันตอน
การปฏบิ ตั ิดงั น้ี
1. เลือกตนตอที่มขี นาดประมาณ 1 เซนตเิ มตร หรอื ขนาดดินสอดาํ
2. เฉอื นตนตอเฉียงลงเปนมุมราว 30 องศาใหรอยเฉือนยาวประมาณ 1 - 2 นว้ิ
และลึกเขา ในเน้อื ไมประมาณ 1ใน 3 ของเสนผานศูนยกลางตน
3. เลอื กกิง่ พันธุดขี นาด ½ เซนติเมตร ยาวประมาณ 2 - 3 นวิ้
และมตี าอยูบนกิ่ง 2 - 3 ตา
4. เฉอื นโคนกง่ิ พนั ธดุ เี ปน รปู ลม่ิ ใหม แี ผลยาวประมาณ 1 - 2 นว้ิ แลว แตแ ผลบนตน ตอ
5. สอดกิ่งพันธุดลี งบนแผลของตนตอโดยโนมตนตอไปทางดานตรงขามรอยเฉอื น
เลก็ นอ ย แลว จงึ สอดกงิ่ พนั ธดุ จี ดั รอยเฉอื นใหแ นวเยอ่ื เจรญิ ทบั กนั ดา นใดดา นหนง่ึ
แลวจงึ ปลอยใหตนตอกลับทีเ่ ดมิ
6. พันดวยพลาสตกิ ใสหรอื เชอื กแลวอุดรอยตอดวยขี้ผง้ึ ตอกง่ิ
40
ภาพที่ 22 การตอกิ่งมะนาวบนตนตอสมโอแบบเสียบลมิ่
ก. เลอื กตนตอสมโอทม่ี เี สนผาศูนยกลาง ฉ. สอดกง่ิ พันธุดี
½ นิว้ ตดั ตนตอออก ช. และซ. พันผาพลาสติกใสใหแนน
ข. ผาตนตอลกึ 2 นิ้ว ฌ. อบในถุงพลาสติก 40 วัน
ค. และง. เฉอื นโคนกงิ่ พันธุดใี หเปนปากฉลาม รอยแผลจะเช่ือมประสานกันสนิท
จ. กิ่งพนั ธุดีท่เี ตรียมจะไปเสียบกบั ตนตอ ญ. รอยแผลทป่ี ระสานกนั สนิท
41
ภาพที่ 23 การตอก่ิงมะมวงแบบเสยี บขาง
ก. เฉอื นตนตอใหเขาไปในเน้อื ไมใหรอยแผลยาวประมาณ 2 น้วิ
ข. แผลท่ที ําเสรจ็ เรยี บรอย
ค. และ ง. เตรยี มยอดก่งิ พนั ธุดโี ดยเฉอื นใหเฉยี งเปนปากฉลามใหแผลยาว
เทากบั แผลท่ีเตรียมไวบนตนตอ
จ. สวมยอดก่ิงพันธุดลี งบนแผลทเ่ี ตรยี มไว โดยใหลิน้ ของตนตอ
ทบั รอยเฉอื นดานหลงั ของกิง่ พนั ธุดี
ฉ. พันพลาสติกใสใหแนน
42
ภาพท่ี 23 การตอกง่ิ มะมวงแบบเสียบขาง (ตอ)
ช. พนั พลาสติกใสใหมดิ ยอดกง่ิ พันธุดี
ซ. ประมาณ 10 - 14 วัน สงั เกตยอดก่งิ พันธุดยี งั เขียวใชปลายมดื กรดี พลาสตกิ ใส
ฌ. ประมาณ 30 - 35 วนั ยอดก่ิงพันธุดจี ะแตกใบออนประมาณ 4 - 5 ใบ
ญ. ควนั่ เปลือกไมเหนอื รอยแผลเพ่อื ตัดทอลําเลยี งอาหารไมใหไปเลีย้ งก่งิ เดมิ
ฎ. และ ฏ.15 - 20 วนั ตดั ยอดกิ่งเดิมออก
43
3. การตอ กง่ิ แบบเสยี บเปลือก (Bark grafting) เปน วธิ ที ีใ่ ชไดดกี ับพืชทมี่ เี ปลอื ก
หนาโดยเฉพาะ การเปลย่ี นยอดของไมผลเกอื บทกุ ชนิด เชน มะมวง มะนาว ขนนุ ลองกอง
และองุน ฯลฯ สวนไมดอกไมประดับ เชน เฟองฟา ผกากรอง ไทรชอนทอง และโกสน ฯลฯ
ขอดีของการตอกิ่งวิธีน้ีคือ เนื้อไมจะไมถูกผาออกจากกัน โอกาสที่รอยตอจะเนาหรือถูก
ทาํ ลายจากเชอื้ โรคจงึ มนี อ ย ขอ เสยี คอื จะตอ งทาํ ในขณะทต่ี น ตอมเี ปลอื กลอ น ซง่ึ จะเปน ระยะ
ทีต่ นพชื มีการเจรญิ เตบิ โตดีเทานัน้ มีข้นั ตอนการปฎบิ ตั ดิ งั นี้
1. เลอื กตน ตอทมี่ เี ปลอื กลอ น บรเิ วณทจี่ ะตอ กง่ิ ตงั้ ตรงไมม ขี อ โดยเฉพาะใตร อยตดั
2. ตัดตนตอแลวกรีดเปลือกตนตอ จากหวั รอยตัดลงมาดานโคนกง่ิ ยาว 1 - 2 นว้ิ
3. เผยอเปลือกไมของตนตอที่หัวรอยตัดเล็กนอย จากนั้นเฉือนกิ่งพันธุดีเปน
ปากฉลามยาว ประมาณ 1 - 2 นว้ิ
4. สอดก่ิงพนั ธุดลี งบนแผลของตนตอ โดยใหดานรอยเฉอื นหันเขาหาตนตอ
5. พนั พลาสติกใสใหแนน
44
ภาพท่ี 24 การเสียบเปลือกไมดอกไมประดับ
ก. กรดี เปลือกตนตอถงึ เนอ้ื ไมจากรอยตัดลงลางยาวประมาณ 1 น้ิว
ข. เผยอเปลอื กตรงรอยกรดี ท่ีติดกบั หวั รอยตัด
ค. เฉือนกิ่งพันธุเฉยี งลงเปนปากฉลามใหรอยแผลยาวเทารอยกรีดบนตนตอ
ง. เสียบกิ่งพนั ธุใหรอยแผลเขาหาตนตอ
จ. และฉ. พนั พลาสตกิ ใสใหแนน
ช. ตนตอยางอินเดยี เสยี บเปลอื กโดยใชกงิ่ พนั ธุไทรชอนทอง
ซ. ตนตอผกากรองเสยี บเปลอื กโดยใชกิ่งผกากรองดวยกันทาํ ให 1 ตนมหี ลากสี
45
ภาพที่ 25 การตอกิ่งแบบเสยี บเปลอื ก (Bark grafting)
ก. ตดั ตนตอใหรอยตัดอยูใตขอ
ข. กรดี เปลอื กตนตอใหถงึ เน้ือไมยาวประมาณ 1 - 2 นิ้ว
ค. เผยอเปลือกของตนตอเลก็ นอย
ง. เฉอื นก่ิงพนั ธุดีเฉียงลงใหแผลยาวเทากับรอยกรดี บนตนตอ
จ. บากรอยแผลของก่งิ พนั ธุดี
ฉ. เสียบกง่ิ พันธุดใี หรอยบากเขาหาตนตอ
ช. พันพลาสติกใสใหแนน
46
การขยายพนั ธโุ ดยการทาบก่ิง (Apporach grafting)
คือการนําตนพืชสองตนซง่ึ ตางมีราก และยอด มาเชือ่ มประสานติดกนั เปนตนเดียวกนั
หลังจากที่รอยตอเชื่อมประสานติดกันสนิทแลว จึงทําการตัดโคนกิ่งพันธุดีใตรอยตอนําไป
ปลกู ตอไป จะแตกตางจากการติดตาและการตอก่ิงคือ
1. ตองนําตนตอเขาไปหาก่ิงพนั ธุดแี ทนการนาํ ก่ิงพนั ธุดเี ขาไปหาตนตอ
2. ตนตอ และกงิ่ พนั ธุดียังมรี ากเลีย้ งตนและเลย้ี งกิง่ อยู จงึ มโี อกาสสําเร็จมากกวาการ
ตดิ ตาและการตอกิง่ นยิ มใชมี 2 วิธี คือ
1. การทาบกง่ิ แบบประกบ วธิ นี ที้ งั้ ตนตอและกงิ่ พนั ธุดมี รี ากและยอดอยู นยิ ม
ใชในการทาบก่ิงประเภทไมเนื้อแข็ง ซ่ึงตองใชระยะเวลาในการเช่ือมประสานรอยแผลนาน
เชน กิ่งมะขาม ฯลฯ มขี อเสีย คือ ตองรดนา้ํ ตนตออยูเสมอในขณะท่ที าบก่ิงอยู จงึ ไมนิยมทาํ
กนั ในปจจบุ ัน มขี ้ันตอนในการปฏบิ ัตดิ งั นี้
1. เลอื กตนตอและกง่ิ พนั ธดุ ี ใหบรเิ วณทจี่ ะทาบกนั มขี นาดเสนผานศนู ยกลาง
ประมาณ 1 เซนตเิ มตร
2. เฉือนตนตอบรเิ วณทจ่ี ะทาบกนั ไดสนิท และกะใหชิดโคนตนตอโดยเฉือน
ใหลกึ เขาไปในเน้อื ไมเลก็ นอย และใหเปน แผลยาว 2 - 4 นว้ิ
3. เฉอื นกง่ิ พนั ธดุ ใี นลกั ษณะเดยี วกนั และใหมคี วามยาวเทากบั แผลรอยเฉอื น
บนตนตอ
4. มดั หรอื พนั ตนตอและยอดพนั ธดุ เี ขา ดว ยกนั ใหแผลรอยทเี่ ฉอื นทบั กนั สนทิ
โดยใหแนวเยอื่ เจริญสัมผัสกนั ดานใดดานหนึ่งหรือท้งั สองดาน
5. เม่ือรอยแผลเช่ือมประสานติดกนั สนิท (ประมาณ 3 - 4 สปั ดาห) จงึ บาก
เตอื นท้ังตนตอ และก่งิ พนั ธุดี
6. หลงั จากบากเตอื นได 1 - 2 สัปดาห ตดั โคนกง่ิ พันธดีออกจากตนแม
2. การทาบกง่ิ แบบเสยี บ เปน วธิ ที นี่ ยิ มใชก นั มาก เนอ่ื งจากทาํ ไดส ะดวก รวดเรว็
กวาวิธีแรก เนื่องจากไมตองรดน้ําใหตนตอจนกวาจะตัดก่ิงไปปลูก ถาใชวัสดุปลูกตนตอ
ทีม่ นี า้ํ หนักเบา เชน ขยุ มะพราว ตนตอจะมนี ้ําหนักเบาสามารถผูกตดิ กบั กง่ิ พนั ธุดีไดโดยไม
ตองใชไมพยุง มขี ้ันในการปฏิบตั ดิ ังน้ี
1. เลือกตนตอทม่ี ขี นาดตนประมาณดินสอดาํ หรอื เลก็ กวาเลก็ นอย
2. ตัดตนตอใหเหลือยาวประมาณ 3 - 6 นว้ิ รดิ ใบท่เี หลอื ออกใหหมด
3. นําตนตอขน้ึ ทาบกับก่ิงพนั ธุดี โดยเลอื กกง่ิ พนั ธุดใี หมขี นาดใกลเคยี งกนั
4. ทําแผลบริเวณโคนกง่ิ พันธุดี โดยเฉือนก่งิ เปน รปู โลใหยาวประมาณ
5 - 8 เซนตเิ มตร
5. ปาดปลายกง่ิ ตน ตอเปน ปากฉลามใหม คี วามยาวประมาณ 5 - 8 เซนตเิ มตร
เชนเดยี วกนั
47
6. นําตนตอข้ึนทาบกับกงิ่ พนั ธุดใี หรอยเฉอื นทับกัน และจดั ใหแนวเยอ่ื เจริญ
ของท้ังสองทับกันดานใดดานหนึง่ แลวมัดดวยพลาสติกใสใหแนน
7. มดั หรือตรงึ กง่ิ พันธุดกี ับตนตอใหแนนและอดุ รอยแผลดวยขผึ้ ง้ึ ตอกง่ิ
8. ปลอยไวจนวากงิ่ พันธุดตี ิดกับตนตอหรอื จนรากของตนตอเจริญไดดีพอ
จึงตัดโคน
ภาพท่ี 26 การทาบกิง่ แบบเสยี บ
ก. นําตนตอจากการเพาะเมลด็ ตดั ยอดออกใหเหลอื ประมาณ 6 น้ิว
ข. ปาดปลายกิง่ ตนตอเฉยี งขึ้นเปนปากฉลาม
ค. ทําแผลก่งิ พันธุดี โดยเฉือนก่ิงเปนรูปโล
ง. นาํ ตนตอประกบกบั กิง่ พนั ธุดีใหแนวแผลกดทับใหสนิท พนั พลาสติกใหแนน
จ. เมอ่ื รอยตอเชื่อมตดิ กนั สนทิ ดแี ลว ตัดโคนกิ่งพนั ธุดใี ตรอยตอเพื่อนําไปปลกู ตอไป
48
ภาพท่ี 27 การทาบกิ่งมะมวงแบบเสียบ
ก. ปาดปลายกิง่ ตนตอเฉยี งเปน ปากฉลาม
ข. ทําแผลตนกง่ิ พันธุดี โดยเฉอื นใหเขาไปในเนือ้ ไม
ใหรอยแผลยาวประมาณ 2 น้วิ
ค. และง. เผยอเปลือกไมออกตรงรอยปาด
จ. รอยแผลเสร็จเรยี บรอยแลว
ฉ. ผูกตนตอกับตนกงิ่ พันธุดี
49
ภาพที่ 27 การทาบกง่ิ มะมวงแบบเสยี บ (ตอ)
ช. นําตนตอประกบลงบนแผลท่เี ตรียมไวโดยใหแนวแผลทบั ใหสนทิ
ซ. และฌ. พันพลาสติกใหแนน
ญ. เมื่อรอยแผลของตนตอและกง่ิ ตนพนั ธุดตี ดิ สนทิ กันดแี ลว ใหตัดก่งิ พันธุดี
ใตรอยแผล นําไปปลูก และขยายพนั ธุตอไป
50
การขยายพันธุโดยการแบง สว นและแยกสวน
เปนการขยายพันธุพืชที่มีลําตนเทียม ซ่ึงจะไดตนพืชตนใหมท่ีมีลักษณะตรงตามพันธุ
ของตนแม พชื ทท่ี าํ การขยายพนั ธดุ วยวธิ นี จี้ ะใชสวนทเี่ ปน ลาํ ตน เหงา หนอ จกุ และไหล แบง
ออกไดเปน 2 วิธีคอื
1. การขยายพันธโุ ดยการแยกสว น(Separation)
1.1 การแยกหัว (bulbs) เปนหัวที่เกิดจากกาบใบเรียงตัวซอนกันเชนหัวหอม
วานสที ิศ ลิลล่ี บัวสวรรค ทิวลปิ ฯลฯ มขี ้นั ตอนในการปฏิบตั ิ ดังน้ี
1.1.1 วธิ ธี รรมชาติ (Natural method) โดยเลอื กพชื ทม่ี หี วั ขนาดโตสมบรู ณและ
พนระยะการพกั ตัว นาํ ไปแชน้าํ นาน15 นาที จากนั้นนาํ ไปจุมสารปองกันกําจดั เชือ้ รา ผงึ่ ลม
ใหแหง หอดวยผาหรือเก็บไวในถุงพลาสติกมัดปากถุงใหแนน 1 - 2 วัน จะสังเกตเห็นวา
รากใหมเรมิ่ งอกทโ่ี คนหวั จงึ นาํ ไปปลกู ในแปลงตอไปเชน หอมแดง ทวิ ลปิ หอมแบง กระเทยี ม
บัวสวรรค ฯลฯ
1.1.2 การควาน (Scooping method) โดยปาดหรอื ควานเอาสวนของตนออก
เหลือเพียงสวนของกาบใบท่ีอัดตัวกันแนน จากนั้นทารอยแผลดวยสารปองกันกําจัดเช้ือรา
ผงึ่ ลมใหแหง 1 - 2 วันจึงนาํ ไปชาํ ในวัสดปุ กชําประมาณ 60-90 วนั จะเกดิ หัวเลก็ ๆ ท่ีโคน
กาบใบบรเิ วณรอยตดั เมอ่ื หวั มขี นาดใหญแ ละมใี บ 1 - 2 ใบใหใ ชป ลายมดี ตดั แยกไปปลกู ตอ ไป
เชน หัววานสีท่ ศิ ฯลฯ
1.1.3 การบากหัว (Scoring method)โดยบากหัวทางดานขางชิดโคนหัว
จนเปดตาขางที่จะเจริญออกมาไดและใหตายอดถูกทําลาย จากน้ันทําการบากเปนรองลึก
รูปตวั วีหลายๆ แนวตามขนาดของหัวพชื นําไปชบุ สารเคมีปองกนั และกาํ จัดเช้อื รา ผง่ึ ลมให
แหงประมาณ 1 - 2 วันจงึ นําไปชําในวสั ดปุ กชาํ
1.1.4 การเจาะหัว (Coring method) โดยเจาะหัวทางดานลางใหผานตายอด
ดว ยเหลก็ เจาะจกุ ไมคอ็ กซ ซง่ึ การเจาะหวั เปน การทาํ ลายตายอดของพชื เพอ่ื ใหไดต นพชื ใหม
ทเ่ี กิดจากตาขาง
1.1.5 การผาหัว (Bulb cutting method) โดยผาหัวออกเปน 2,4,6 และ
8 สวนตามขนาดของหัว โดยใหแตละสวนมกี าบใบติดอยู 3 หรือ 4 ชนิ้ นาํ สวนทแ่ี บงแลวไป
จมุ สารปอ งกนั กาํ จดั เชอ้ื รา จากนน้ั นาํ ไปชาํ ในวสั ดปุ ก ชาํ เมอ่ื สว นทแ่ี บง มตี น ขนาดพอประมาณ
จึงยายไปปลกู
1.2 การแยกเหงา (Corm) เกิดจากสวนโคนของตนพองตัวเพื่อสะสมอาหาร
เปน การขยายพนั ธทุ เี่ กดิ ขน้ึ เองตามธรรมชาตจิ ากการปลกู เหงา เกา มขี นั้ ตอนในการปฏบิ ตั ิ ดงั น้ี
1. เลอื กเหงาทม่ี ีขนาดใหญนําไปวางไวในทีช่ ืน้ ประมาณ 4 - 5 วันเพ่อื ใหเกิด
ปุมรากจากนั้นนําเหงาท่ีมีปุมรากลงปลูกในแปลงท่ีเตรียมดิน แลวฝงเหงาใหลึกประมาณ
3 นิว้ กลบใหมิด