The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ccharoenkrung, 2021-06-27 01:42:03

วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์

ปีที่ 16 ฉบับที่ 2

ISSN 1686-8579 ISSN (Online) 2673-0464
โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
เจ้าของ นพ.เกรียงไกร ต้งั จิตรมณีศกั ดา ผอู้ านวยการโรงพยาบาล
ท่ปี รึกษา ร.อ.พญ.สิริสรรพางค์ ยอดอาวธุ ผเู้ ช่ียวชาญดา้ นพยาธิวิทยา
บรรณาธิการ นพ.ทิวา เกียรติปานอภิกลุ

กองบรรณาธิการต่างสถาบนั

คณะแพทยศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั คณะแพทยศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยพะเยา
ศ.นพ.ชนพ ช่วงโชติ ศ.นพ.วีระพล จนั ทร์ดียงิ่
คณะพยาบาลศาสตร์ วทิ ยาลัยเซนต์หลุยส์
รศ.ดร.กญั ญดา ประจุศิลป
คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวทิ ยาลยั นวมนิ ทราธิราช กรุงเทพมหานคร
นพ.อนนั ต์ มโนมยั พิบูลย์ พญ.ศิริวรรณ ต้งั จิตกมล พญ.ธนนั ดา ตระการวณิช
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร
ดร.ศศิพชั ร จาปา
โรงพยาบาลกลาง
นพ.ชยั พร สุวิชชากลุ นพ.มนตรี สิริไพบูลยก์ ิจ พญ.อารีรัตน์ ชยั เรืองยศ
พญ.จิรัฐคณา จนั ทร์งาม นพ.สุทศั น์ ภทั รวรธรรม นางสาวสุวดี สุขีนิตย์
โรงพยาบาลตากสิน
ทพญ.องั คณา ลีโทชวลิต พญ.วรวรรณ ชยั นานาม พญ.สุพรรณี จิรจริยาเวช
นางเพลินตา สิริมานุวฒั น์
โรงพยาบาลลาดกระบงั กรุงเทพมหานคร โรงพยาบาลพระมงกฎุ เกล้า โรงพยาบาลบารุงราษฎร์
นายรุจิโรจน์ ใบมาก พ.ต.หญิง สรวีย์ จินตนา นพ.สุรพจน์ เมฆนาวิน
ศูนย์วจิ ยั และนวตั กรรมเพื่อความย่งั ยืน (RISC)
ดร.ภทั รารัตน์ ตนั นุกิจ

กองบรรณาธิการโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์

นพ.วนั ชยั จนั ทราพิทกั ษ์ พญ.อภชั ฌา พ่ึงจิตตป์ ระไพ นางชวพร ลีลาเวทพงษ์
นางสาวอารีย์ บรุ พาวินิจพงษ์ นางสาวรติรัตน์ สายณั หรรษา นางกิจภรณ์ โฆธิพนั ธุ์
นางสาเนียง วสนั ตช์ ่ืน นางสาวชนุตพร รัตนมงคล

เลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการ

นางสาวเพียงพิชญ์ ภูพ่ งศพ์ นั ธุ์ พญ.องั คณา เทพเลิศบญุ นางสาวพชั รา สิริวฒั นเกตุ

นายธาวิต บวรกุล

กาหนดออก ปีละ 2 ฉบบั มกราคม – มถิ ุนายน และ กรกฎาคม – ธนั วาคม
สานักงาน สานกั งานวารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ โทร. 0-2289-7899
พิมพ์ท่ี ห้างหุ้นส่วนจากดั น่ากงั การพมิ พ์
74 ซ.16 ถ.สาธุประดิษฐ์ แขวงบางโคล่ เขตบางคอแหลม กรุงเทพฯ 10120
โทร. 0-2211-1998, 0-2211-9664 Email: [email protected]

 ปี ท่ี 16 ฉบับท่ี 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2563   Volune 16 Number 2 July – December 2020 

สารบญั CONTENTS

บทความวจิ ยั Research article

การศึกษาประโยชน์ของการยอ้ ม Ziehl-Neelsen เพิ่มเติม 1 The study of benefit of an additional Ziehl-Neelsen stain
for detection of acid-fast bacilli in tissue sections
ในการคน้ หาเช้ือวณั โรคในเน้ือเยอ่ื
อุบล พ่มุ สุข รัชยา สวัสดี Ubon Phoumsuk Ratchaya Sawatdee
ธรรมธร อาศนะเสน ชนพ ช่วงโชติ Thamathorn Assanasen Shanop Shuangshoti
ปกรณ์ อรุณสวัสด์ิ Pakorn Arunsawat

การพัฒนารู ปแบบการดูแลผูป้ ่ วยมะเร็งระยะสุดท้าย 8 Development models of the terminal cancer patient’s care
at Warinrak center, Warin Chamrab Hospital, Ubon
ของศูนยว์ ารินรักษ์ โรงพยาบาลวารินชาราบ จังหวัด Ratchathani
อุบลราชธานี
Anon Iatprap
อานนท์ เอียดปราบ

แบบแผนการดาเนินชีวิตที่มีความสัมพนั ธ์กับการเกิด 24 Lifestyle patterns associated with metabolic syndrome in
people living in Khok Phra Chedi, Nakhon Chaisri district,
ภาวะเมตาบอลิกซินโดรมในกลุ่มประชาชนที่อาศยั อยใู่ น Nakhon Pathom province
ตาบลโคกพระเจดีย์ อาเภอนครชยั ศรี จงั หวดั นครปฐม
Sakul Changmai Montipa Teptiamtat
ศากุล ช่างไม้ มนต์ทิพา เทพเทียมทศั น์

ผลของโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้ความเชื่อดา้ นสุขภาพต่อ 42 The effects of promoting perception of health beliefs
program on stroke preventive behaviors and perceived
พฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองและการรับรู้ benefit of sustained behaviors in elderly at risk
ประโยชน์ของการคงไวซ้ ่ึงพฤติกรรมในผสู้ ูงอายกุ ลุ่มเส่ียง
Titawadee Singco Sakul Changmai
ทิตาวดี สิงห์โค ศากุล ช่างไม้ Tipa Toskulkao
ทิพา ต่อสกลุ แก้ว

ปัจจยั ที่ทาให้เกิดอาการปวดคอบ่าไหล่ในบุคลากรท่ีใช้ 61 Factors influencing neck and shoulder pain syndrome in
คอมพวิ เตอร์ ในโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ computer users in Charoenkrung Pracharak Hospital

อรัญญา นยั เนตร์ Arunya Nainate

บทความปริทศั น์ Review article

โรคซนสมาธิส้ันในเดก็ และวยั รุ่น 75 Attention deficit/hyperactivity disorder in children and
กิตติพงศ์ มาศเกษม
adolescence
Kittipong Maskasame

คาชีแ้ จงการส่งบทความ

วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษเ์ ป็ น มีสาระทางวิชาการท่ีทนั สมยั และสามารถนาไปใช้
วารสารการแพทยข์ องโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ ประโยชน์ได้
มีการพิมพ์เผยแพร่อย่างสม่าเสมอ ปี ละ 2 ฉบับ
(มกราคม - มิถุนายน และกรกฎาคม - ธนั วาคม) โดย 3. บทความปริทัศน์ (Review article) เป็ น
มีวตั ถุประสงค์เพ่ือเผยแพร่บทความวิชาการทาง บทความที่รายงานความรู้และหลกั การที่เกี่ยวเนื่อง
การแพทย์ ผลงานวิจยั รายงานผูป้ ่ วย และรายงาน จากหนังสือหรือวารสารต่าง ๆ หรือจากผลงานและ
การสารวจทางระบาดวิทยา รวมท้งั ผลงานวิชาการ ประสบการณ์ของผูน้ ิพนธ์มาเรียบเรียง โดยมีการ
ดา้ นแพทยศาสตรศกึ ษาและวทิ ยาศาสตร์สุขภาพ โดย วเิ คราะห์ วจิ ารณ์เปรียบเทียบ
ตีพิมพ์บทความฉบบั ละประมาณ 6 - 8 เร่ือง ซ่ึงจะ
ไ ด้รั บ ก า ร ก ลั่น ก ร อ ง โ ด ย ผู้ท ร ง คุ ณ วุ ฒิ ท่ี มี ค ว า ม 4. รายงานผู้ป่ วย (Case report) เป็ นการ
เชี่ยวชาญในสาขาน้นั ๆ (peer review) 2 ท่าน โดยใช้ รวบรวมขอ้ มูลผปู้ ่ วยเป็ นรายบคุ คลท่ีพบไม่บ่อยหรือ
รูปแบบ double-blinded ท้งั ผูพ้ ิจารณาและผูน้ ิพนธ์ พบไดน้ อ้ ยหรือโรคทเ่ี กิดข้ึนใหม่
ไม่ทราบช่ือกันและกัน ท้ังน้ีข้อความและความ
คิดเห็นในบทความน้ัน ๆ เป็ นของเจา้ ของบทความ หลกั เกณฑ์ทว่ั ไปและเงื่อนไข
โดยตรงในด้านความเหมาะสมทางจริยธรรมความ การส่งบทความ ให้ส่ง file ผ่านระบบจดั การ
ถูกตอ้ ง วธิ ีการดาเนินการวิจยั ความชัดเจนของการ วารสารของ Thaijo (สามารถเข้าดูข้ันตอนการส่ง
นาเสนอ กองบรรณาธิการขอสงวนสิทธ์ิในการตรวจ บทความเพอื่ ขอตีพมิ พไ์ ดท้ ่ี www.ckphosp.go.th)
แกไ้ ขบทความก่อนตพี มิ พ์ หมายเหตุ วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
รับบทความที่ส่งตพี ิมพท์ ้งั ภาษาไทยและภาษาองั กฤษ
การเตรียมและส่ งต้ นฉบบั แต่กรณี ถ้าเป็ นบทความภาษาอังกฤษจะต้องมี
บทคดั ยอ่ ที่เป็ นภาษาไทยควบคู่ดว้ ยเท่าน้นั
ประเภทบทความ
1. บทความวิชาการ (Academic article) เป็ น การเตรียมบทความ
บทความท่ีใชก้ ารวิเคราะหป์ ระเด็นตามหลกั วิชาการ
ท้งั การทบทวนวรรณกรรม และวิเคราะห์อย่างเป็ น 1. การพิมพ์ต้นฉบับ ใชก้ ระดาษ A4 โดยใช้
ระบบจนสามารถสรุปเป็ นประเด็นได้ ตวั อกั ษรชนิด Angsana New ขนาด 16 เวน้ ระยะห่าง
2. บทความวิจัย (Research article) บทความ จากขอบกระดาษ 1 น้ิวทุกดา้ น และใส่เลขหน้ากากบั
วจิ ยั เป็นบทความท่ีสรุปจากผลงานวจิ ยั ของผนู้ ิพนธท์ ี่ ทุกหน้า มุมขวาบน โดยขอบด้านหลังไม่ต้องดึง
แตล่ ะบรรทดั ใหต้ รงกนั

ผนู้ ิพนธ์ควรเตรียมบทความตามแนวทางการ
เขียนบทความทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ ของคณะ

บรรณ าธิก ารวา รสา รนาน าชา ติ ( International ขวาง 3 เส้น ท่ีด้านบนสุด ดา้ นล่างสุด และเส้นแบ่ง
Committee of Medical Journal Editors) คือบทความ หัวขอ้ ตารางกบั เน้ือหาเท่าน้ัน รูปภาพควรเป็ นรูปท่ี
ที่เขียนส่งเพื่อพิจารณาตีพิมพ์ ควรเขียนเรียงลาดับ จดั ทาข้ึนเอง ถา้ เป็ นรูปจากแหล่งอ่ืน จะตอ้ งระบุท่ีมา
ดังน้ี ช่ือเร่ือง ช่ือผู้นิพนธ์ บทคัดย่อ เน้ือหาหลัก รวมท้งั เอกสารลิขสิทธ์ิจากสานักพิมพต์ น้ ฉบบั ด้วย
กิตตกิ รรมประกาศ เอกสารอา้ งอิง สาหรับผูป้ ่ วยตอ้ งไม่ทราบว่าเป็ นบุคคลใด และอาจ
ตอ้ งมีคายนิ ยอมจากผปู้ ่ วยดว้ ย
2. ชื่อเรื่อง (Title page) เขียนท้ังภาษาไทย
และภาษาองั กฤษ โดยแต่ละภาษาประกอบดว้ ยหวั ขอ้ - วิจารณ์ ให้วิจารณ์ผลงานวจิ ยั ท่ีนาเสนอ
ตอ่ ไปน้ี สรุปผลการวจิ ยั ท้งั หมดส้นั ๆ เปรียบเทียบผลการวจิ ยั
กับการศึกษาอ่ืน ๆให้ความเห็นเก่ียวกับการวิจัย
- ชื่อเรื่อง (title) ส้ัน กะทดั รัด ไม่ใช้คายอ่ วจิ ารณ์วธิ ีการดาเนินการวจิ ยั ความน่าเชื่อถือทางสถิติ
ครอบคลุมสาระสาคัญของบทความท้งั หมด และ ขอ้ จากดั การวจิ ยั รวมท้งั ประโยชน์ที่จะนาไปใช้ การ
ช่ือเร่ืองภาษาอังกฤษใช้ตวั ใหญ่เฉพาะคาแรกหรือ วจิ ยั ที่ควรพฒั นาต่อไปในอนาคต
ช่ือเฉพาะ เช่น สถาบนั
รายงานผู้ป่ วย ควรมีหัวข้อบทนา รายงาน
- ช่ื อผู้นิพนธ์ (authors) เขียนช่ือ-สกุล ผูป้ ่ วย วิจารณ์ และสรุป ส่วนบทความวชิ าการใหป้ รับ
พร้อมวฒุ ิการศึกษา และสงั กดั สถานที่ทางาน คุณวุฒิ หวั ขอ้ หลกั ตามความเหมาะสมกบั บทความน้นั ๆ
ภาษาไทยให้เขียนตวั อกั ษรตามพจนานุกรม คุณวุฒิ
ภาษาองั กฤษ เขียนตวั ยอ่ โดยไม่ตอ้ งมีจดุ 5. กิตติกรรมประกาศ แสดงความขอบคุณ
ผสู้ นบั สนุนการวจิ ยั และผใู้ หค้ าแนะนาดา้ นตา่ ง ๆ
3. บทคัดย่อ (Abstract) เน้ือหาตอ้ งมีความ
สม บู ร ณ์ ใ น ตัว เอ ง โ ดย เ ขี ย น ใ ห้ไ ด้ใ จ ค ว า ม นิ พ น ธ์ 6. เอกสารอ้างอิง ให้ใส่หมายเลข 1,2,3 ...ไว้
ต้นฉบับให้เขียนบทคัดย่อแบบ structured abstract ทา้ ยประโยคทพ่ี มิ พต์ วั พมิ พย์ กสูงโดยไม่ตอ้ งใส่วงเล็บ
เขียน 5 หัวข้อหลัก ประกอบด้วย วตั ถุประสงค์ เอกสารท่ีอ้างอิงเป็ นอันดับแรกให้จดั เป็ นหมายเลข
วิธีดาเนินการวิจัย ผลการวิจัย สรุป และคาสาคัญ หน่ึง และเรียงลาดบั อนั ดบั ก่อนหลงั ต่อ ๆ ไป และไม่
ส่วนบทความวิชาการและรายงานผูป้ ่ วยให้เขียน ควรใชเ้ อกสารท่ีเก่าเกินไป การเขียนเอกสารอา้ งอิงใช้
บทคัดย่อแบบ standard abstract ท้ังภาษาไทยและ ตาม Vancouver guideline โดยมีหลกั ดงั น้ี
ภาษาองั กฤษ
ชื่อผู้เขยี น
4. เนื้อเร่ือง หวั ขอ้ หลกั ควรประกอบดว้ ย
ในบทความ ช่ือภาษาองั กฤษ ชื่อสกุล ตามดว้ ย
- บทนา กล่าวถึงความสาคญั ของปัญหาที่ อกั ษรตวั แรกของชื่อตน้ และช่ือกลางดว้ ยตวั พมิ พใ์ หญ่
นามาศึกษา รวมท้งั บอกวตั ถุประสงคใ์ นการวจิ ยั ช่ือภาษาไทยใหเ้ ขียนชื่อเตม็ ท้งั ชื่อตวั และช่ือสกุล

- วิธีดาเนินการวิจัย บอกรูปแบบการวิจยั - ถา้ มี 2 คน เขียนท้งั 2 คน ใชเ้ คร่ืองหมาย
กลุ่มตวั อยา่ งและขนาด แสดงวธิ ีคานวณกลุ่มตวั อยา่ ง จลุ ภาคระหวา่ งชื่อ
แบบส้ัน ๆ เกณฑ์การคัดเข้าและคัดออกบอก
รายละเอียดของการดาเนินการ วิจัย รวมท้งั บอก - ถา้ มีมากกวา่ 2 คน ใหเ้ ขยี นช่ือเดียวแลว้ ตาม
รายละเอียดการวเิ คราะห์ขอ้ มูลทางสถิติ ดว้ ย , et al. (ชื่อภาษาองั กฤษ) หรือคณะ (ชื่อภาษาไทย)

- ผลการวิจัย นาเสนอให้เขา้ ใจง่าย โดยใช้ ท้ายบทความ ช่ือภาษาอังกฤษ ให้ใช้ช่ือสกุล
ตารางแผนภูมิหรือรูปภาพประกอบ และช่ือกากบั มี ตามด้วยอักษรแรกของชื่อต้นและช่ือกลางเป็ น
คาอธิบายโดยสรุป ส่วนตารางให้มีเฉพาะเส้นแนว ตวั พิมพใ์ หญ่ ช่ือภาษาไทย ใหเ้ ขียนชื่อเต็มท้งั ช่ือตวั
และช่ือสกุล ใส่ช่ือผูเ้ ขียนทุกคนคนั่ ดว้ ยเคร่ืองหมาย

จุลภาค ถ้าเกิน 6 ใส่ชื่อ 6 คนแรก ตามด้วย et al. การอ้างอิงวิทยานิพนธ์ ให้เขียนชื่อผูน้ ิพนธ์.
(ช่ือภาษาองั กฤษ) หรือคณะ (ชื่อภาษาไทย) ชื่อเรื่อง [ประเภทปริญญา]. เมือง: มหาวิทยาลัย;
ปี ท่ีไดร้ ับปริญญา.
อ้างอิงวารสาร ใหใ้ ส่ช่ือผเู้ ขียน. ชื่อเร่ือง. ช่ือยอ่
วารสารตาม index medicus (ถา้ เป็ นภาษาไทยให้ใช้ การแก้ไขบทความเพื่อส่งตีพมิ พ์
ชื่อเต็ม) ปี ค.ศ. (ภาษาไทยใช้ พ.ศ.); ปี ท่ี (volume): ผู้นิ พ น ธ์ แ ก้ไ ข แ ล ะ อ ธิ บ า ย ข้อ ส ง สั ย ต า ม ที่
หนา้ แรกจนถึงหน้าสุดทา้ ย. โดยเลขหน้าที่ซ้ากนั ไม่
ตอ้ งเขียน เช่น 152 ถึงหนา้ 158 ใหเ้ ขยี น 152-8. ผเู้ ชี่ยวชาญ และกองบรรณาธิการใหข้ อ้ เสนอแนะให้
ครบทุกประเด็น และระบุว่าไดแ้ กไ้ ขประเด็นใดบา้ ง
อ้างอิงหนังสือตารา ให้เขียนชื่อผูเ้ ขียน. ช่ือ รวมท้งั อธิบายประเด็นทไี่ ม่ไดแ้ กไ้ ข
หนงั สือ. คร้ังท่ีพมิ พ์ (ถา้ พมิ พค์ ร้ังแรกไม่ตอ้ งเขียน).
ชื่อเมือง (ใช้ชื่อเมืองแรกเมืองเดียว): ช่ือโรงพิมพ์; ผนู้ ิพนธ์ส่งกลบั ให้กองบรรณาธิการภายใน 4
ค.ศ. p. หนา้ แรก-หนา้ สุดทา้ ย. สัปดาห์หลังได้รับเอกสาร ถ้าไม่ได้ส่งกลับตามที่
กาหนดหรือแกไ้ ขตามขอ้ เสนอแนะ กองบรรณาธิการ
อ้างอิงบทหน่ึงในหนังสือตารา ให้เขียน ช่ือ ข อ ส ง ว น สิ ท ธ์ ิ ใน ก า ร ถ อ น บ ท ค ว า ม อ อ ก จ า ก ก า ร
ผูเ้ ขียน. ช่ือเรื่อง. In: ช่ือบรรณาธิการ, editor (s). ชื่อ พิจารณาการตีพิมพ์ในฉบับท่ีตอบรับน้ัน โดยจะ
หนังสือ. คร้ังท่ีพิมพ์ (ถ้าพมิ พค์ ร้ังแรกไม่ตอ้ งเขียน). พิจารณาการลงในฉบับต่อ ๆไป (ที่บทความยงั
ชื่อเมือง: ช่ือโรงพมิ พ;์ ปี ค.ศ. p. หนา้ แรก-หนา้ สุดทา้ ย. ไม่เต็ม) แต่ตอ้ งส่งฉบบั ท่ีแก้ไขแลว้ เสร็จภายใน 12
สัปดาห์เท่าน้ัน และขอสงวนสิทธ์ิในการถอน
อ้ างอิงหนังสื อประกอบการประชุ ม/รายงาน บทความออกจากการพจิ ารณาการตีพมิ พ์ กรณีที่ทา่ น
การประชุม ให้เขียน ช่ือบรรณาธิการ,บรรณาธิการ. ไม่ปฏบิ ตั ิตามคาช้ีแจงของการส่งบทความ
ช่ือเรื่อง. ชื่อการประชุม; สถานที่จดั ประชุม; เมืองที่
พมิ พ:์ สานกั พมิ พ;์ ปี ทพ่ี มิ พ.์ จริยธรรมในการตีพิมพ์ผลงานวิจัย (Publication
Ethics)
การอ้างอิงบทคัดย่ อจากที่ประชุมวิชาการ
บทความตอ้ งเป็ นบทความท่ีไม่เคยพิมพท์ ี่ใด
(published proceedings paper) บทความท่ีนาเสนอใน มาก่อน และไม่อยรู่ ะหวา่ งการพิจารณาเพื่อพมิ พท์ ี่ใด
การประชุมหรือสรุปการประชุม ให้เขียนชื่อผูเ้ ขียน. ในกรณีท่ีเร่ืองน้ันเคยพิมพ์ในรูปบทคัดย่อ หรือ
ช่ือเร่ือง. ใน/In: ชื่อบรรณาธิการ, บรรณาธิการ/editor. วิทยานิพนธ์ หรือเคยนาเสนอในที่ประชุมวิชาการ
ชื่อการประชุม; วันเดือนปี ท่ีประชุม; สถานที่จัด ใด ๆ จะตอ้ งแจง้ ให้กองบรรณาธิการทราบ และตอ้ ง
ประชุม. เมืองที่พมิ พ;์ ปี พมิ พ.์ หนา้ /p. หน้าแรก-หน้า อา้ งอิงหากมีการนาผลงานของผูอ้ ื่นมาใช้ สาหรับ
สุดทา้ ย. เรื่องที่ทาการศึกษาในคน จะตอ้ งมีหนังสืออนุญาต
จากคณะกรรมการจริยธรรมการศึกษาวิจยั ในมนุษย์
การอ้ างอิ งราย งาน ทางวิ ชาก ารห รื อรา ยงา น แนบมาดว้ ย

ทางวิทยาศาสตร์ เอกสารที่จัดพิมพ์ โดยเจ้ าของทุน บทบาทและหน้าทขี่ องผู้นิพนธ์
(issued by funding) ให้เขียน ช่ือผู้เขียน. ชื่อเรื่อง. 1. ผูน้ ิพนธ์ตอ้ งเขียนบทความให้ถูกตอ้ งตาม
เมืองท่ีพิมพ:์ หน่วยงานที่พิมพ/์ แหล่งทุน; ปี ที่พิมพ.์
เลขท่ีรายงาน. รูปแบบท่ี “การเตรียมบทความ” ของวารสารทก่ี าหนด
ไวใ้ นคาช้ีแจง
การอ้างอิงข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ช่ือผแู้ ต่ง.
ช่ือบทความ[ประเภทสื่อ]. ปี พิมพ์[เขา้ ถึงเม่ือ/cited
ปี เดื อน วัน ที่]. เข้าถึ งได้จา ก/ Available from:
http://............

2. ผูน้ ิพนธ์ตอ้ งรายงานขอ้ เท็จจริงที่เกิดข้ึน 4. บรรณาธิการต้องไม่เปิ ดเผยข้อมูลของ
จากการศกึ ษาหรือการทาวจิ ยั โดยไม่บดิ เบือนขอ้ มูล ผนู้ ิพนธ์และผูป้ ระเมินบทความระหวา่ งกนั รวมท้งั
กบั บคุ คลอื่น ๆ
3. ผูน้ ิพนธ์ต้องรับรองว่าผลงานที่ส่งมาน้ัน
เป็ นผลงานใหม่และไม่เคยตีพิมพท์ ี่ใดมาก่อนกรณี 5. บรรณาธิการตอ้ งมีการตรวจสอบบทความ
ทาการศึกษาในคน จะต้องมีหนังสืออนุญาตจาก ในดา้ นการคดั ลอกผลงานของผอู้ ื่น
คณะกรรมการจริยธรรมการศึกษาวจิ ยั ในมนุษยแ์ นบ
มาดว้ ย 6. บรรณาธิการวารสารตอ้ งพิจารณาคุณภาพ
ของบทความ เพอ่ื ตพี มิ พใ์ หอ้ อกมาตามมาตรฐาน
4. ผนู้ ิพนธ์ตอ้ งอา้ งอิงผลงานของผอู้ ่ืน หากมี
การนาผลงานเหล่าน้ันมาใช้โดยเขียนอ้างอิงตาม 7. บรรณาธิการตอ้ งไม่ตีพิมพบ์ ทความท่ีเคย
รูปแบบทว่ี ารสารกาหนด ตพี มิ พท์ ่อี ื่นมาแลว้

5. ผนู้ ิพนธต์ อ้ งเขยี นบทคดั ยอ่ ภาษาไทย และ 8. บรรณาธิการตอ้ งไม่มีผลประโยชนท์ บั ซ้อน
ภาษาองั กฤษใหถ้ ูกตอ้ งกระชบั และไดป้ ระเดน็ ทเ่ี ป็น กบั ผนู้ ิพนธ์ และผปู้ ระเมิน
สาระสาคญั ของบทความทจี่ ะนาเสนอ
9. บรรณาธิการตอ้ งมีการพฒั นาและปรับปรุง
6. ผนู้ ิพนธต์ อ้ งแกไ้ ขบทความตามขอ้ เสนอแนะ วารสารให้มีคุณภาพสม่าเสมอ ตลอดจนพยายาม
ของกองบรรณาธิการและผปู้ ระเมินบทความ กรณีที่ ยกระดบั วารสารใหไ้ ดม้ าตรฐานท่ีสูงข้ึนอยา่ งต่อเนื่อง
มีเหตุใหไ้ ม่สามารถแกไ้ ขได้ ตอ้ งเขียนคาช้ีแจงและ
เหตุผลส่งมาพร้อมบทความทแี่ กไ้ ขแลว้ บทบาทและหน้าทข่ี องผู้ประเมนิ บทความ
1. ผปู้ ระเมินบทความ ควรประเมินบทความ
7. ผูน้ ิพนธ์ตอ้ งตอ้ งส่งบทความที่แกไ้ ขแล้ว
กลบั ภายในระยะเวลาที่กาหนด ในสาขาวชิ าทตี่ นมีความถนดั และเช่ียวชาญ
2. ผปู้ ระเมินบทความตอ้ งประเมินบทความ
บทบาทและหน้าท่ขี องบรรณาธิการ
1. บรรณาธิการวารสารตอ้ งใหค้ าแนะนาหรือ ตามหลกั วิชาการของบทความน้นั ๆ โดยไม่ควรใช้
ความคิดเห็นส่วนตวั หรือประสบการณ์ที่ไม่อิงตาม
ขอ้ เสนอแนะท่เี ป็นประโยชน์แก่ผเู้ ขา้ มาขอลงตพี มิ พ์ หลกั วชิ าการ
2. บรรณาธิการตอ้ งตดั สินใจเลือกบทความมา
3. ผูป้ ระเมินบทความ ต้องรักษาความลับ
ตีพิมพ์ โดยพิจารณาจากบทความท่ีส่งผลให้มีการ และไม่เปิ ดเผยขอ้ มูลของบทความแก่บคุ คลอ่ืน
พัฒนางานด้านวิชาการและเป็ นบทความที่มี
ความสาคญั ความชัดเจน เช่ือถือได้ ตลอดจนความ 4. ผูป้ ระเมินบทความ ตอ้ งแจง้ ให้บรรณาธิการ
หล า ก หล า ยใน ด้า น วิชา ก า รท่ีส อ ดค ล้อ งกับ ทราบ หากพบว่า บทความน้ันมีความเหมือนหรือ
วตั ถุประสงคข์ องวารสาร ซ้าซอ้ นกบั บทความอ่ืน ๆ

3. บรรณาธิการตอ้ งเผยแพร่บทความที่ผา่ นการ 5. ผูป้ ระเมินบทความ ตอ้ งไม่มีผลประโยชน์
ประเมินบทความจากผูเ้ ช่ียวชาญท่ีตรงตามบทความ ทบั ซอ้ นกบั ผนู้ ิพนธ์
น้ัน ๆ และผูน้ ิพนธ์ได้มีการแก้ไขตามที่ผูเ้ ช่ียวชาญ
และกองบรรณาธิการให้ข้อเสนอแนะแล้ว หรือมี 6. ผูป้ ระเมินบทความ ตอ้ งไม่นาบทความท่ี
คาช้ีแจงกรณีมีเหตใุ หไ้ ม่สามารถแกไ้ ขได้ ประเมินไปใชใ้ หเ้ กิดประโยชนส์ ่วนตน

7. ผปู้ ระเมินบทความ ตอ้ งส่งบทความท่ีผา่ น
การพิจารณาแล้ว กลับกองบรรณาธิการภายใน
ระยะเวลาการประเมินบทความทกี่ าหนด

บรรณาธกิ ารแถลง

วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ เป็ นปี ที่ 16 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563 ซ่ึงวารสาร
ไดผ้ ่านกระบวนการพฒั นาและปรบั ปรุงคุณภาพตามเกณฑข์ องศูนยด์ ชั นีการอา้ งอิงวารสารไทย (Thai Journal
Citation Index Centre: TCI) ซ่ึงผ่านการรับรองคุณภาพ โดยอยใู่ นฐานขอ้ มูลวารสารกลุ่มท่ี 2 จนถึง 31 ธนั วาคม
2567

ภาวะสุขภาพของประชาชนของประเทศไทยในปัจจุบนั น้ีพบวา่ ส่วนใหญ่ของประชาชนท่ีมีภาวะ
การเจ็บป่ วยจะมาจากโรคท่ีเกิดจากการดาเนินชีวิตท่ีเป็ นกิจวตั รประจาวนั ตลอดจนพฤติกรรมต่าง ๆ เช่น การ
ปฏิบตั ิตวั การทางานการรับประทานอาหาร แมก้ ระทงั่ การดูแลหรือเล้ียงดูบุคคลในครอบครัว ดงั น้นั วารสาร
โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ฉบบั น้ี จึงได้ตีพิมพเ์ ผยแพร่บทความท่ีเป็ นงานวิจัยและบทความปริทศั น์
ที่เกี่ยวขอ้ งกบั เร่ืองดังกล่าว ไดแ้ ก่ งานวิจยั เรื่อง แบบแผนการดาเนินชีวิตท่ีมีความสัมพนั ธ์กบั การเกิดภาวะ
เมตาบอลิกซินโดรมในกลุ่มประชาชนท่ีอาศยั อยใู่ นตาบลโคกพระเจดีย์ อาเภอนครชยั ศรี จงั หวดั นครปฐม
ผลของโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้ความเช่ือดา้ นสุขภาพต่อพฤติกรรมการป้องกนั โรคหลอดเลือดสมองและ
การรับรู้ประโยชน์ของการคงไวซ้ ่ึงพฤติกรรมในผูส้ ูงอายกุ ลุ่มเส่ียง ปัจจยั ท่ีทาใหเ้ กิดอาการปวดคอบ่าไหล่ใน
บุคลากรที่ใชค้ อมพิวเตอร์ ในโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ และบทความปริทศั น์เร่ือง โรคซนสมาธิส้นั ใน
เด็กและวยั รุ่น นอกจากน้ี ยงั มีบทความงานวิจยั ท่ีเป็ นการพฒั นาระบบงานเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้
การทางานมีคุณภาพมากข้ึน ส่งผลให้เกิดผลดีต่อการดูแลรักษาผูป้ ่ วย ไดแ้ ก่ การศึกษาประโยชน์ของการยอ้ ม
Ziehl-Neelsen เพิ่มเติมในการคน้ หาเช้ือวณั โรคในเน้ือเยอื่ และการพฒั นารูปแบบการดูแลผูป้ ่ วยมะเร็งระยะ
สุดท้ายของศูนยว์ ารินรักษ์ โรงพยาบาลวารินชาราบ จังหวัดอุบลราชธานี ซ่ึงบทความเหล่าน้ีผูน้ ิพนธ์มี
ความต้งั ใจที่จะศึกษาคน้ ควา้ หาความรู้ทางวิชาการ เพื่อให้ได้ผลงานที่เกิดประโยชน์ท้งั ต่อประชาชนและ
ผูป้ ฏิบตั ิงานทางด้านการแพทยแ์ ละสาธารณสุข โดยบทความท่ีลงตีพิมพเ์ ผยแพร่ในวารสารโรงพยาบาล
เจริญกรุงประชารกั ษน์ ้ี ไดผ้ า่ นการตรวจสอบและพจิ ารณาคุณภาพบทความโดยผทู้ รงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญ
ตรงตามเน้ือหาของบทความน้ัน ๆ กองบรรณาธิการหวงั เป็ นอยา่ งยงิ่ ว่า บทความท่ีตีพิมพเ์ ผยแพร่น้ีจะเป็ น
ประโยชน์กับผูอ้ ่านและสามารถนาไปใชใ้ นการอ้างอิงได้ไม่มากก็น้อย เพ่ือช่วยให้งานวิชาการทางด้าน
การแพทยแ์ ละสาธารณสุขมีการพฒั นาและกา้ วหนา้ ยงิ่ ๆ ข้ึนไป

ทา้ ยน้ี กองบรรณาธิการวารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษข์ อขอบคุณผูน้ ิพนธท์ ุกท่านท่ีนา
บทความมาลงตีพิมพเ์ ผยแพร่ในวารสารฉบบั น้ี รวมท้ังผูท้ รงคุณวุฒิที่ให้ความอนุเคราะห์ในการพิจารณา
คุณภาพบทความเพือ่ ช่วยใหง้ านดา้ นการแพทยแ์ ละสาธารณสุขมีความกา้ วหนา้ และพฒั นาใหด้ ียง่ิ ข้ึน ตลอดจน
เป็นแรงจูงใจให้กบั ผทู้ ี่เก่ียวขอ้ งไดเ้ กิดความสนใจที่จะศึกษาคน้ ควา้ งานวจิ ยั และวชิ าการ ซ่ึงจะช่วยส่งผลให้เกิด
องคค์ วามรูใ้ หม่ ๆ ทจี่ ะนาไปสู่การพฒั นาทมี่ ีคุณค่าและประโยชน์ตอ่ ไป

นพ.ทวิ า เกยี รตปิ านอภิกลุ
กองบรรณาธิการวารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์

ประกาศ วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารกั ษ์ ปี ท่ี 16 เล่มท่ี 1: มกราคม - มิถุนายน 2563 ขอแกไ้ ขคาผดิ ดงั น้ี

หน้า 74 บรรทดั ที่ 6 - 7 จากเดิม ภคั พร กอบผ้ึง และ ชนกพร อุตตมะ แก้ไขเป็ น ภัคพร กอบพ่ึงตน และ
ชนกพร อุตตะมะ

หน้า 76 บรรทดั ท่ี 8 จากเดิม ภคั พร กอบผ้งึ , ชนกพร อุตตมะ แกไ้ ขเป็ น ภคั พร กอบพ่งึ ตน, ชนกพร อุตตะมะ
กองบรรณาธิการขออภยั ในความผดิ พลาดมา ณ ที่น้ี

 ปีท่ี 16 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563  1

บทความวิจัย
Research article

การศึกษาประโยชน์ของการย้อม Ziehl-Neelsen เพิ่มเติม ในการค้นหา
เชื้อวณั โรคในเนื้อเยื่อ

อบุ ล พุ่มสุข* รัชยา สวสั ด*ี ธรรมธร อาศนะเสน** ชนพ ช่วงโชต*ิ * ปกรณ์ อรุณสวสั ด์ิ *
* ฝ่ายพยาธิวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
** ภาควชิ าพยาธิวิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

บทคดั ย่อ รับบทความ: 28 เมษายน 2563
แกไ้ ขบทความ: 26 พฤศจิกายน 2563
ตอบรับบทความ: 30 พฤศจิกายน 2563

วตั ถุประสงค์: 1) วตั ถุประสงคห์ ลกั เพอื่ การยอ้ ม Ziehl-Neelsen (ZN) เพิ่มเติม จะช่วยทาใหต้ รวจพบเช้ือวณั โรค
(ผลบวก) เพ่ิมข้ึนหรือไม่ และ 2) วตั ถุประสงค์รอง ศึกษาปัจจัยลักษณะทางพยาธิวิทยา เช่น necrosis มี
ความสมั พนั ธก์ บั การตรวจพบเช้ือวณั โรค โดยการยอ้ ม Ziehl-Neelsen (ZN)

วิธีการดาเนินการวิจัย: รูปแบบการวจิ ยั เป็ นการวิจยั แบบพรรณนา (descriptive study) ศึกษายอ้ นหลงั โดยนา

บล็อกช้ินเน้ือท่ีเก็บไวม้ ายอ้ มเช้ือวณั โรค โดยวิธี Ziehl-Neelsen (ZN) เพิ่มเติมนาชิ้นเน้ือพาราฟิ นท่ีได้รับ
การตรวจหาเช้ือวณั โรคเป็ นบวกดว้ ยเทคนิคพีซีอาร์ ในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ต้งั แต่ปี พ.ศ. 2559 - 2561 มา
ตดั ยอ้ ม ZN เพมิ่ อีก 1 แผน่ จากน้นั ทาการทบทวนผลการยอ้ ม ZN เดิม และตรวจดูผล ZN ทยี่ อ้ มเพม่ิ เตมิ

ผลการวิจัย: จากตวั อย่างท้งั หมด 78 ตวั อยา่ ง ที่มีผลการตรวจเช้ือวณั โรคเป็ นบวกดว้ ยเทคนิคพีซีอาร์ พบว่า
เมื่อนามาตดั ยอ้ ม ZN เพิ่มอีก 1 แผน่ จะทาใหม้ ีผลการยอ้ มเป็ นบวกเพ่ิมข้ึนจากเดิม 15 ตวั อยา่ ง (จากการยอ้ ม
คร้งั แรก) กลายเป็น 19 ตวั อยา่ ง (ความไวของการตรวจเพม่ิ ข้ึนจาก รอ้ ยละ 19.23 เป็น 24.36)

สรุป: การตดั แผน่ ชิ้นเน้ือยอ้ ม ZN เพมิ่ อีก 1 แผน่ สามารถเพมิ่ ความไวในการตรวจหาเช้ือวณั โรคได้ รอ้ ยละ 5.13

คาสาคญั : ชิ้นเน้ือพาราฟิน การตรวจหาเช้ือวณั โรค Ziehl-Neelsen stain ความไวของการตรวจ

2  วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ 

บทความวิจัย
Research article

The study of benefit of an additional Ziehl-Neelsen stain for detection
of acid-fast bacilli in tissue sections

Ubon Phoumsuk BSc* Ratchaya Sawatdee* Thamathorn Assanasen MD**
Shanop Shuangshoti, MD** Pakorn Arunsawat*
**Department of Pathology, King Chulalongkorn Memorial Hospital, Bangkok, Thailand
**Department of Pathology, Faculty of Medicine, Chulalongkorn University, Bangkok, Thailand

Abstract Received: April 28, 2020
Revised: November 26, 2020
Accepted: November 30, 2020

Objectives: This research were 1) to determine whether an additional Ziehl-Neelsen (ZN) stain section could

increase the positive rate and 2) to correlate pathological findings with the Ziehl-Neelsen stain results.

Materials and Methods: The research design of this study was descriptive study. Formalin-fixed paraffin-
embedded (FFPE) tissue with positive polymerase chain reaction (PCR)-based detection of M. tuberculosis
were retrieved from the Pathology File at King Chulalongkorn Memorial Hospital during 2016 to 2018.
The original ZN stain was reviewed, with an additional ZN stain performed.

Results: Of 78 cases with positive PCR, 15 (19.23%) were positive for acid-fast bacilli (AFB) in the original
ZN section. Additional 4 cases (19 positive cases in total) were shown to contain AFB in the additional ZN stain
section (sensitivity increased from 19.23% to 24.36%).

Conclusions: An additional ZN stain section increased sensitivity (5.13%) for detection of AFB in tissue
sections.

Keywords: formalin-fixed paraffin-embedded tissue, PCR for M Tuberculosis, Ziehl-Neelsen stain, acid-fast
bacilli sensitivity

 ปีท่ี 16 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563  3

Introduction Method

Tuberculosis (TB) is still one of the important The research design of this study was
healthcare problems in many developing countries. descriptive study. 78 formalin-fixed paraffin-
Based on the Bureau of TB, the total number of embedded (FFPE) samples, with positive PCR-based
patients in Thailand who registered for TB treatment, detection of M. Tuberculosis complex and available
including new and recurrent cases, was increased ZN result, were retrieved from the Pathology File of
from 62,135 cases in year 2015 to 70,114 cases in the Department of Pathology, King Chulalongkorn
year 2016.1 Memorial Hospital during 2016 to 2018. In that
period, PCR was performed in 624 samples by
Accurate diagnosis of tuberculous infection is method previously described.7 Using the positive
crucial for the patients to obtain proper treatment. PCR result as the gold standard, an additional ZN
While the Ziehl-Neelsen (ZN) stain, generally stain was performed by the standard protocol.8
known as “AFB” stain, remains the first method Histopathological features were correlated with the
for investigation in most pathology laboratories, ZN result. The study was approved by the intuitional
polymerase chain reaction (PCR) has increasingly review board at Faculty of Medicine, Chulalongkorn
been used to diagnose M. Tuberculosis complex in University (IRB#312/62)
formalin-fixed paraffin-embedded (FFPE) samples. DNA Extraction from FFPE Samples
The sensitivity and specificity of PCR method were
70 - 82% and 99%, respectively.2 While ZN stain is Sections (5 µm thick) were cut from each
much less expensive, it is known to have sensitivity paraffin block. Five to eight sections were taken
problem (27% - 37%).3,4,5,6 The specificity of both from the specimens. These sections were used for
methods was comparable, up to 98%.5,6 PCRs. We extracted DNA from each block by
standard proteinase K digestion followed by using
Since ZN is wildly available and diagnosis QIAamp DNA FFPE Tissue Kit (Qiagen, Germany)
is based on direct visualization, we hypothesized (Figure 1) for extraction
that an additional ZN section would increase the
diagnostic yield. The study was, therefore, conducted
to determine the benefit of the addition ZN-stained
section. The second objective was to describe the
histopathological features of M. Tuberculosis complex
in our patient cohort.

4  วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ 

Figure 1: QIAamp DNA FFPE Tissue Kit Figure 3: ab TESTM MTB qPCR I KIT

Real-Time PCR for M. Tuberculosis complex Ziehl-Neelsen Staining
The PCR was processed in real time by means 1. Dye Acid fast bacilli on the slide thick

of an ABI Prism 7500 Sequence Detection System meat 2 µm
(Applied Biosystems) (Figure 2) using the abTESTM 2. Deparaffinize slde into boiled water
MTB qPCR I KIT (Figure 3) for the detection of 3. Dip slide in Modifled Ziehl - Neelsen
MTB complex (M.tuberculosis, M. africanum, M.bovis,
M.bovis BCG, M.microtic, and M. pinnipedii). The carbon - fuchsin solution for 5 minutes
kit contains all the necessary PCR reagents for rapid, 4. Rinse with tap water for 3 minutes
sensitive and reproducible real-time detection of the 5. Wash the color out with 1% acid alcohol,
various members of MTB complex using highly
specific primer pairs and double-dye hydrolysis alternating with tap water until get slide in clear
probe. version

6. Wash it with tap water for 3 minutes
7. Counterstain with Methylene blue solution
for 5 minutes
8. Wash it with tap water for 3 minutes
9. Dehydrate, clear and then mount with
permount and examine with microscope.

Figure 2: ABI Prism 7500 Sequence Detection Result
System (Applied Biosystems)
Most of the samples with positive PCR
showed necrotizing granulomatous inflammation
(43/78, 55.13%), and this type of pathology showed
the highest percentage of positive ZN stain

 ปีที่ 16 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563  5

(Table 1). Based on the original ZN stain, 15/78 ZN stain, 3 patients were immunocompromised
PCR-positive cases were shown to have positive (2 with acquired immunodeficiency syndrome and
result (19.23% sensitivity). With an additional ZN 1 with T cell acute leukemia), and specimens from
stain, 4 more positive cases were noted (19 positive all these 3 cases showed necrotizing granulomatous
cases in total, 24.36% sensitivity). Therefore, an inflammation.
extra ZN stain section could increase the sensitivity
for detecting acid fast bacilli by 5.13%. Of the Figure 4: Acid fast bacillus in additional
4 additional positive ZN cases, there were 2 cases Ziehl-Neelsen (ZN) stain (arrow)
of necrotizing granulomatous inflammation, 1
granulomatous inflammation, and 1 non-specific
inflammation. Of the total 19 cases with positive

Table 1: Histopathological features with results of the original and additional ZN stains

Histopathological Features

Necrotizing Granulomatous Inflammation Total
granulomatous inflammation without definite
inflammation 15
evidence of 63
granulomatous
inflammation

The original ZN stain Positive 11 22
results (N) Negative 32 15 16

The additional ZN Positive 13 3 3 19
stain (N) Negative 30 14 15 59

No. of cases 43 17 18 78

Discussion is the well-known pathology of tuberculosis
although sometimes it is not straightforward to
Accurate and timely diagnosis of tuberculous determine whether the necrosis is caseous or
infection is crucial, especially in countries, including non-caseous necrosis.9 Therefore, diagnosis of
Thailand, where the infection is still common.1 tuberculous infection cannot be made reliably in all
Granulomatous inflammation with caseous necrosis

6  วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ 

cases by morphological examination alone. While 2. Babafemi EO, Cherian BP, Banting L, Mills
PCR-based method has increasingly been applied GA, Ngianga K. Effectiveness of real-time
with FFPE samples to diagnose tuberculosis,2 ZN polymerase chain reaction assay for the
stain remains the first method in many pathology detection of mycobacterium tuberculosis in
laboratories. The ZN is simple, cheap, and wildly pathological samples: a systematic review and
available but its sensitivity is limited.3,4,5 meta-analysis. Syst Rev 2017; 6: 215.

In this study, we were able to increase the 3. Chakravorty S, Sen MK, Tyagi JS. Diagnosis
sensitivity of ZN stain (from 19.23% to 24.36%) of extrapulmonary tuberculosis by smear,
simply by performing an additional ZN stain section. culture, and PCR using universal sample
Although the sensitivity increased (5.13%) is not so processing technology. J Clin Microbiol 2005;
impressive, it would be cost-effective in term of 43: 4357-62.
laboratory workload and cost. The cost of PCR is
2,000 Baht but the cost of ZN stain is 50 Baht. 4. FukunagaH, Murakami T, Gondo T, Sugi K,
However, examination of ZN stain is time- Ishihara T. Sensitivity of acid-fast staining for
consuming and requires skillful pathologists. Future mycobacterium tuberculosis in formalin-fixed
development of artificial intelligence technology tissue. Am J Respir Crit Care Med 2002; 166:
may resolve this obstacle and may increase 994-7.
sensitivity of detection.
5. J af ar i an AH, Omi di A, Ghenaat J ,
In conclusion, we were able to increase in the Ghazvini K, Ayatollahi H, Erfanian M, et al.
sensitivity of ZN stain simply by performing Comparison of multiplex PCR and acid fast
an additional ZN-stained sections. Although the and auramine-rhodamine staining for detection
sensitivity increased (5.13%) is not so impressive, of mycobacterium tuberculosis and non
it would be cost-effective in term of laboratory tuberculosis mycobacteria in paraffin-embedded
workload and cost. pleural and bronchial tissues with granulomatous
inflammation and caseous necrosis. Iran J Basic
References Med Sci 2008; 10: 216-21.

1. สานักวัณโรค กรมควบคุมโรค กระทรวง 6. Lee HS, Park KU, Park JO, Chang HE,
สาธารณสุข. แนวทางการควบคุมวัณโรค Song J, Choe G. Rapid, sensitive, and specific
ประเทศไทย พ.ศ. 2561. กรุงเทพฯ: สานกั พมิ พ์ detection of mycobacterium tuberculosis complex
อกั ษรกราฟฟิคแอนดด์ ีไซน์; 2561. by real-time PCR on paraffin-embedded human
tissues. J Mol Diagn 2011; 13: 390-4.

 ปีท่ี 16 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563  7

7. Inoue M, Tang WY, Wee SY, Barkham T. 9. Park DY, Kim JY, Choi KU, Lee JS, Lee CH,
Audit and improve evaluation of a real-time Sol MY, et al. Comparison of polymerase chain
probe-based PCR assay with internal control reaction with histopathologic features for
for the direct detection of mycobacterium diagnosis of tuberculosis in formalin-fixed,
tuberculosis complex. Eur J Clin Microbiol paraffin-embedded histologic specimens. Arch
Infect Dis 2011; 30: 131-5. Pathol Lab Med 2003; 127: 326-30.

8. Giri D. Ziehl-Neelsen stain (ZN-stain):
principle, procedure, reporting and modifications,
bacteriology, microbiology 2016.

8  วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ 

บทความวิจยั
Research article

การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่ วยมะเร็งระยะสุดท้ายของศูนย์วารินรักษ์
โรงพยาบาลวารินชาราบ จงั หวดั อบุ ลราชธานี

อานนท์ เอยี ดปราบ พ.บ., เวชศาสตร์ครอบครัว, ส.ม.*
*กลุ่มงานเวชศาสตร์ครอบครัว โรงพยาบาลวารินชาราบ จงั หวดั อุบลราชธานี

บทคดั ย่อ รับบทความ: 9 เมษายน 2563
แกไ้ ขบทความ: 24 พฤศจิกายน 2563
ตอบรับบทความ: 30 พฤศจิกายน 2563

บทนา: ศูนยว์ ารินรกั ษโ์ รงพยาบาลวารินชาราบ คือ ศนู ยใ์ หก้ ารดูแลผปู้ ่ วยกลุ่มโรคเร้ือรัง ซ่ึงไดร้ บั การดูแลแบบ
ประคบั ประคองร่วมกับทีมสหวิชาชีพ ศูนยว์ ารินรักษ์ได้มีการพฒั นามาอย่างต่อเน่ืองในด้านต่าง ๆ เช่น
ด้านโครงสร้าง ด้านการประสานงาน ด้านการสนับสนุน ด้านการปฏิบัติงาน และด้านการประเมินผล
โดยการประยุกต์ใช้กระบวนการ A-I-C เพื่อออกแบบ และวางแผนพฒั นารูปแบบการดูแลผูป้ ่ วยมะเร็ง
ระยะสุดทา้ ยท่ีไดม้ าตรฐาน และทมี สหวชิ าชีพมีความพงึ พอใจ

วัตถุประสงค์: 1) เพ่ือศึกษาและพฒั นารูปแบบการดูแลผูป้ ่ วยมะเร็งระยะสุดทา้ ยของศูนยว์ ารินรักษ์ให้ได้
มาตรฐาน 2) เพอ่ื เปรียบเทยี บผลของการพฒั นาและความพึงพอใจต่อรูปแบบการดูแลผูป้ ่ วยมะเร็งระยะสุดทา้ ย
ของศูนยว์ ารินรักษ์ ก่อนและหลงั การพฒั นา

วิธีดาเนินการวิจัย: การศึกษาวิจยั แบบเชิงปฏิบตั ิการ ประชากรท่ีศึกษา คือ ทีมสหวิชาชีพ ประจาศูนยว์ ารินรักษ์
ระหว่างเดือน เมษายน ถึง มิถุนายน พ.ศ. 2562 การพฒั นารูปแบบโดยการประยุกต์ใชก้ ระบวนการมีส่วนร่วม
แบบ A-I-C วิเคราะห์หาค่าทางสถิติดว้ ยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สาเร็จรูป การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉล่ีย
ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบความแตกตา่ งคา่ เฉล่ียกลุ่มตวั อยา่ ง 2 กลุ่มท่ไี ม่เป็นอิสระต่อกนั

ผลการวิจัย: ทีมสหวชิ าชีพของศูนยว์ ารินรักษ์ จานวน 54 คน พบว่า หลงั พฒั นา ผลการประเมินดา้ นโครงสร้างอยู่
ระดบั ปานกลาง (ร้อยละ 57.1) ดา้ นการสนบั สนุนอยรู่ ะดบั ปานกลาง (ร้อยละ 64.7) ดา้ นการประสานงานอยรู่ ะดบั ดี
(ร้อยละ 63.1) ด้านการปฏิบัติงานอยู่ระดับดี (ร้อยละ 66.7) ด้านการประเมินผลอยู่ในระดับดี (ร้อยละ 55.0)
ผลการปฏบิ ตั งิ านโดยรวมก่อนการศกึ ษาเพอื่ พฒั นารูปแบบ อยรู่ ะดบั ปรบั ปรุง (ร้อยละ 98.1) แต่หลงั การศึกษาพฒั นา
รูปแบบ ผลประเมินส่วนใหญ่อยใู่ นระดบั ปานกลาง (รอ้ ยละ 57.1) ส่วนความพงึ พอใจของทีมสหวิชาชีพต่อการพฒั นา
รูปแบบก่อนการศึกษา พบวา่ อยใู่ นระดบั ปรับปรุง (ร้อยละ 70.3) หลงั การพฒั นารูปแบบพบว่า ความพึงพอใจอยใู่ น
ระดบั ดี (รอ้ ยละ 55.4)

 ปีท่ี 16 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563  9

บทความวจิ ัย
Research article

การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่ วยมะเร็งระยะสุดท้ายของศูนย์วารินรักษ์
โรงพยาบาลวารินชาราบ จังหวดั อบุ ลราชธานี

อานนท์ เอยี ดปราบ พ.บ., เวชศาสตร์ครอบครัว, ส.ม.*
*กลุ่มงานเวชศาสตร์ครอบครัว โรงพยาบาลวารินชาราบ จงั หวดั อุบลราชธานี

บทคดั ย่อ (ตอ่ ) รับบทความ: 9 เมษายน 2563
แกไ้ ขบทความ: 24 พฤศจิกายน 2563
ตอบรับบทความ: 30 พฤศจิกายน 2563

สรุป: ผลการพฒั นาและสารวจความพึงพอใจของทีมสหวิชาชีพ พบวา่ อยใู่ นระดบั ดี โดยระดบั ผลประเมินดีข้ึนกวา่
รูปแบบเดิมอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิตทิ ่ี p < 0.05

คาสาคญั : กระบวนการ A-I-C รูปแบบการดูแลผปู้ ่ วยมะเร็งระยะสุดทา้ ย ทีมสหวชิ าชีพ ศนู ยว์ ารินรักษ์

10  วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ 

บทความวิจยั
Research article

Development models of the terminal cancer patient’s care at
Warinrak center, Warin Chamrab Hospital, Ubon Ratchathani

Anon Iatprap MD, MRCFPT, MPH*
*Department of Family Medicine, Warin Chamrab Hospital, Thailand

Abstract Received: April 9, 2020
Revised: November 24, 2020
Accepted: November 30, 2020

Introduction: Warinrak center is a palliative care center under a multidisciplinary team at the Warin Chamrab
Hospital. It has been developing in structure management, coordination, support system, practice, evaluation
system, under the directorship of palliative care. It was performed based on the Appreciation-Influenced-Control
(A-I-C) process for design and develop to standardize the model of the terminal cancer patient’s care at Warinrak
center and satisfaction of a multidisciplinary team.

Objectives: 1) To explore and develop the standard model of the terminal cancer patient’s care at Warinrak
center. 2) To compare of the outcomes of development model and the satisfaction of a multidisciplinary team
before and after performed an intervention.

Materials and Methods: This action research study, the population is the 54 multidisciplinary team at Warinrak
center. The development of the model spanned from April to June 2019. The A-I-C process was applied to the
developing model. The frequency, percentage, mean, standard deviation, and paired sample t-test were used to
analyze the data.

Results: Among 54 members of a multidisciplinary team at Warinrak center. The results showed fair level of
structure management (57.1%), fair level of support system (64.7%), good level of coordination (63.1%), good
level of practice (66.7%), good level of evaluation (55.0%) and overall performance, before the development
study the overall results were in the poor level (98.1%). After the study, the overall results were in the fair level
(57.1%). The satisfaction of a multidisciplinary team was in the poor level (70.3%) and good level (55.4%) after
the study.

Conclusions: This study found that after developed the model and surveyed a multidisciplinary team’s
satisfaction were in fair level. It was improved when compared to the previous model with significantly at the
p < 0.05

Keywords: A-I-C process, terminal cancer patient’s care, multidisciplinary team, Warinrak center

 ปีท่ี 16 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563  11

บทนา ตลอดจนดา้ นการปฏิบตั ิงานยงั มีขอ้ ผดิ พลาด และ
ตอ้ งปรับปรุงแกไ้ ข และด้านการประเมินผลยงั
อ ง ค์ ก า ร อ น า มัย โ ล ก (World Health นอ้ ยไม่ครอบคลุม โดยศูนยจ์ ดั ทาทะเบียนตดิ ตาม
Organization; WHO)1 ไดใ้ หค้ วามหมาย การดูแล และรวบรวมขอ้ มูลส่งให้โรงพยาบาลในเครือขา่ ย
ผูป้ ่ วยประคบั ประคอง คือ การดูแลผูป้ ่ วยที่เป็ น หลงั จากไดก้ ารปรับปรุงมาผลการดาเนินการยงั
โรคท่ีรักษาไม่หาย โดยให้การป้องกัน บรรเทา ไม่ชัดเจน ยงั มีขอ้ ผดิ พลาด และเครือข่ายยงั ไม่มี
อาการ ตลอดจนการบรรเทาความทุกขท์ รมานดา้ น ความเขา้ ใจในระบบมากนกั
ต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึน เป็ นการดูแลองคร์ วม โดยทวั่ โลก
ปี พ.ศ. 2562 พบว่า ผูป้ ่ วยระยะสุดทา้ ยมีราว ๆ 40 ศูนยว์ ารินรักษ์ โรงพยาบาลวารินชาราบ
ลา้ นคน มีเพียงร้อยละ 14 เท่าน้นั ท่ีไดร้ ับการดูแล ในฐานะสถานบริการระดบั ทุติยภูมิ ที่เป็ นหน่วย
แบบประคบั ประคอง รายงานขององคก์ ารอนามยั โลก บริการประชาชนและชุมชน ประกอบกบั ศูนยเ์ พิง่
(WHO) ระบุการเข้ารับบริ การแบบประคับ เปิ ดให้บริการในด้านการดูแลผู้ป่ วยประคับ
ประคองท้งั โลก แบ่งเป็ นประเภทของโรค ดังน้ี ประคอง จึงมีความจาเป็ นทจี่ ะตอ้ งพฒั นารูปแบบ
โรคหวั ใจและหลอดเลือด ร้อยละ 38.5 โรคมะเร็ง การดูแลผูป้ ่ วยแบบประคับประคอง เพ่ือตอบ
ร้อยละ 34 โรคด้านระบบทางเดินหายใจ ร้อยละ สนองนโยบายท่ีเร่งรัดในการดูแลผูป้ ่ วยแบบ
10.3 โรคเอดส์ ร้อยละ 5 และโรคเบาหวาน ร้อยละ ประคบั ประคองในผูป้ ่ วยระยะสุดทา้ ย โดยเน้น
4.61 การดูแลผูป้ ่ วยในโรงพยาบาลเครือข่าย จึงจาเป็ น
ตอ้ งมีการปรับปรุงแก้ไขการดาเนินงาน จึงจะ
ศูนยว์ ารินรักษ์ โรงพยาบาลวารินชาราบ ประสบผลสาเร็จไดอ้ ยา่ งยง่ั ยนื และมีประสิทธิภาพ
คือ ศูนยใ์ ห้การดูแลผูป้ ่ วยกลุ่มโรคเร้ือรังและ โดยปัจจัยสาคัญ คือ การมีส่วนร่วมของผู้ที่มี
ผปู้ ่ วยระยะสุดทา้ ย ซ่ึงไดร้ บั การวินิจฉยั จากแพทย์ ส่วนร่วมเกี่ยวขอ้ ง3 ดังน้ัน ผูว้ ิจยั ในฐานะแพทย์
ในสาขาต่าง ๆ หรือผู้ป่ วยและญาติต้องการ เวชศาสตร์ครอบครัว และผ่านอบรมหลักสูตร
รวมท้ังผูป้ ่ วยท่ีอยู่ที่บา้ น ที่ตอ้ งได้รับการดูแล การดูแลผูป้ ่ วยประคบั ประคองระยะส้ัน จึงทา
แบบประคบั ประคอง ศูนยว์ ารินเริ่มเปิ ดให้บริการ การศึกษาวจิ ยั เกี่ยวกบั การออกแบบและวางแผน
ต้งั แตป่ ี พ.ศ. 2559 และเปิ ดใหบ้ ริการรบั ผปู้ ่ วยใน พฒั นารูปแบบการดูแลผปู้ ่ วยมะเร็งระยะสุดทา้ ย
ปี พ.ศ. 2561 โดยมีจานวนคนไขโ้ รคมะเร็งระยะ ของศูนยว์ ารินรักษ์ โรงพยาบาลวารินชาราบ โดย
สุดท้าย 55 ราย (ร้อยละ 34.3) ปี พ.ศ. 2560 มี ประยกุ ตใ์ ชก้ ระบวนการ Appreciation-Influence-
จานวนคนไข้ 75 ราย (ร้อยละ 35.0) ปี พ.ศ. 2561 Control (A-I-C)4 ซ่ึงเป็ นกระบวนการมีส่วนร่วม
มีจานวนคนไข้มะเร็งระยะสุดท้าย 135 ราย เพื่อให้การดูแลผูป้ ่ วยมะเร็งระยะสุดทา้ ยเป็ นไป
(รอ้ ยละ 39.4)2 ถึงแมศ้ ูนยจ์ ะมีการพฒั นามาอยา่ ง รูปแบบท่ีได้มาตรฐาน และทีมสหวิชาชีพที่
ต่อเน่ือง แต่ก็ยงั พบปัญหา เช่น ด้านโครงสร้าง เก่ียวขอ้ งมีความพงึ พอใจตอ่ ไป
แบ่งส่วนยงั ไม่ชดั เจน ด้านสนับสนุนทรัพยากร
บุคคล และเครื่ องมืออุปกรณ์ยงั ไม่เพียงพอ

12  วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ 

วตั ถุประสงค์ ผูป้ ่ วยฯ ของศูนย์ และการเก็บข้อมูลก่อนการ
พฒั นารูปแบบ
1. เพ่ือศึกษาและพฒั นารูปแบบการดูแล
ผูป้ ่ วยมะเร็งระยะสุดท้ายของศูนย์วารินรักษ์ ระยะที่ 1.2สัปดาห์ท่ี 4-5การจดั ประชุม
โรงพยาบาลวารินชาราบ จงั หวดั อุบลราชธานี ให้ วิชาการเชิงปฏิบตั ิการ โดยประยกุ ตใ์ ชก้ ระบวนการ
ไดม้ าตรฐาน A-I-C กบั ทีมสหวิชาชีพของศูนย์ จานวน 54 คน
ระยะเวลา 2 วนั โดยร่วมกนั การวางแผนออกแบบ
2. เพอ่ื เปรียบเทียบผลของการพฒั นาและ และกาหนดวิสัยทัศน์เพื่อวางแผนการพฒั นา
ความพึงพอใจต่อรูปแบบการดูแลผูป้ ่ วยมะเร็ง รูปแบบการดูแลผปู้ ่ วยฯ ของศนู ย์ ดงั น้ี
ระยะสุดทา้ ยของศูนยว์ ารินรักษ์ ก่อนและหลัง
การพฒั นา (A1): วเิ คราะหส์ ภาพของศูนยป์ ัจจุบนั
และสภาพความเป็ นจริ งในด้านโครงสร้าง
วธิ ีดาเนนิ การวจิ ยั การประสานงาน การสนับสนุน การปฏิบตั ิงาน
และการประเมินผลของการดูแลผปู้ ่ วยฯ ของศนู ย์
ใชก้ ารศกึ ษาวจิ ยั แบบเชิงปฏิบตั กิ าร (action
research) โดยคดั เลือกประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง (A2): กาหนดอนาคตและวิสัยทัศน์
แบบเจาะจง ประกอบด้วยทีมสหวิชาชีพของ เครือข่ายของศนู ย์ ในดา้ นโครงสรา้ ง การประสานงาน
ศูนยว์ ารินรักษ์ จานวน 54 คน โดยมุ่งศึกษาและ การสนบั สนุน การปฏิบตั งิ าน และการประเมินผล
พฒั นารูปแบบการดูแลผปู้ ่ วยมะเร็งระยะสุดทา้ ย โดยทีมสหวชิ าชีพท่ีเขา้ ร่วมประชุมวาดภาพตน้ ไม้
ของศูนยว์ ารินรักษ์ โดยใช้กรอบแนวคิดของ และนาเสนอแนวความคดิ
ก ร ะ บ ว น ก า ร Appreciation-Influence-Control
(A-I-C) และประยกุ ตใ์ ชใ้ นการระดมความคดิ เห็น (I1): ทีมสหวิชาชีพร่วมกันวางแนว
ในการพฒั นาอยา่ งสรา้ งสรรค์ ข้นั ตอนดาเนินการ ทางการพฒั นารูปแบบการดูแลผปู้ ่ วยฯ ของศูนย์
เก็บรวบรวมขอ้ มูล แบง่ ออกเป็น 3 ระยะ (รูปที่ 1) ในอนาคตและแนวทางสู่วสิ ยั ทศั น์ร่วมกนั
ดงั น้ี
(I2): ที ม ส ห วิ ช า ชี พ ร่ ว ม กั น คิ ด
ระยะที่ 1: ระยะการศกึ ษาและเก็บรวบรวม วเิ คราะห์ จาแนก และจดั ลาดบั แนวทางการพฒั นา
ข้อมูล โดยดาเนินการจัดประชุมวิชาการเชิง รูปแบบการดูแลผปู้ ่ วยฯ ของศนู ย์
ปฏิบตั กิ าร แบ่งเป็ น 2 ระยะยอ่ ย
(C1): ทีมสหวิชาชีพเลือกแนวทาง
ระยะที่ 1.1 สปั ดาหท์ ี่ 1 - 3 ดาเนินการ การพฒั นารูปแบบการดูแลผปู้ ่ วยฯ ของศนู ย์
ศึกษาสถานการณ์ สภาพความเป็ นจริงในอดีต
ปัจจุบนั และอนาคตของศูนยใ์ นดา้ นต่าง ๆ ไดแ้ ก่ (C2): ทีมสหวิชาชีพร่ วมกันจัดทา
โครงสร้าง การประสานงาน การสนับสนุน รูปแบบการดูแลผปู้ ่ วยฯ ของศนู ย์
การปฏิบตั ิงาน และการประเมินผลของการดูแล
ระยะที่ 2: สัปดาห์ที่ 6 - 7 ระยะจดั ทาแผน
การปรับปรุ งแก้ไข และดาเนินการปรับปรุ ง
รูปแบบการดูแลผปู้ ่ วยฯ ของศูนย์ โดยนาขอ้ มูลที่
ได้จากการประชุมวิชาการเชิงปฏิบตั ิการ ด้วย

 ปีท่ี 16 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563  13

กระบวนการ A-I-C ในด้านต่าง ๆ ท้ังด้าน ศูนย์ในด้านโครงสร้าง การประสานงาน การ
โครงสร้าง การประสานงาน การสนับสนุน สนับสนุน การปฏิบตั ิ การประเมินผล พร้อมท้งั
การปฏิบตั ิงาน และการประเมินผล แกไ้ ขปรับปรุง

ระยะท่ี 3: ระยะการตรวจสอบ และติดตาม สัปดาห์ท่ี 9-12 ติดตามผลคร้ังท่ี 2
ผลการดาเนินการ ดงั น้ี และการเกบ็ ขอ้ มูลหลงั พฒั นาการทดลอง

สัปดาห์ที่ 8 ติดตามผลประเมินผล
คร้ังที่ 1 การพฒั นารูปแบบการดูแลผปู้ ่ วยฯ ของ

สัปดาห์ท่ี

1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12

ระยะท่ี 1 ระยะที่ 3

ศึกษาและรวบรวมขอ้ มูล ระยะท่ี 2 ตรวจสอบและติดตามผล

ระยะที่ 1.1 ระยะท่ี 1.2 วางแผนและ ประเมินผล ประเมินผล
ศึกษาสถานการณ์ ประชุม ดาเนินการ คร้งั ท่ี 1 คร้ังที่ 2
เชิงปฏิบตั กิ าร

รูปที่ 1 ระยะเวลาการดาเนินการวิจัย

ประชากรท่ีศึกษาและกลุ่มตัวอย่าง: กลุ่ม มาตรฐาน และใช้สถิติ paired sample t-test เพ่ือ
ตวั อยา่ งเป็ นการคดั เลือกแบบเฉพาะเจาะจง คือ ท ด ส อ บ ค ว า ม แ ต ก ต่ า ง ข อ ง ค่ า เ ฉ ลี่ ย ข อ ง ก ลุ่ ม
ทมี สหวชิ าชีพ ประจาศนู ยว์ ารินรักษ์ ประกอบดว้ ย ตวั อยา่ ง 2 กลุ่มท่ีไม่เป็ นอิสระต่อกนั กาหนดค่า
แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว พยาบาลวิชาชีพ p < 0.05 การตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือวิจยั
เภสัชกร นักกายภาพบาบดั นักโภชนากร แพทย์ ด้านความตรงตามเน้ือหา (content validity) ค่ า
แผนไทย นักจิตวิทยา และนักสังคมสงเคราะห์ ความตรง 0.98 การหาความเท่ียงของเครื่องมือ
รวม 54 ราย (reliability) ด้วยค่าสัมประสิทธ์อลั ฟาครอนบาค
(Cronbach’s alpha coefficient) ค่าความเทย่ี ง 0.9
ขอบเขตกา รศึกษา : ผู้ศึกษาวิจัยเก็ บ
รวบรวมขอ้ มูลทมี สหวชิ าชีพ ประจาศูนยว์ ารินรกั ษ์ เครื่ องมือในการศึกษา : ประกอบด้วย
โรงพยาบาลวารินชาราบ อาเภอวารินชาราบ 2 ประเภท คือ 1) เคร่ืองมือที่ใช้ในทดลองงานวิจัย
จงั หวดั อุบลราชธานี ต้ังแต่เดือนเมษายน ถึง ใช้กระบวนการมีส่วนร่วมแบบ A-I-C เพื่อใช้
มิถุนายน พ.ศ. 2562 รวม 12 สปั ดาห์ ออกแบบรูปแบบการดูแลผู้ป่ วยฯ ของศูนย์
2) เคร่ืองมือที่ใชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มูลการวิจยั
การวิเคราะห์ข้อมูล: แสดงผลเป็ นร้อยละ ประกอบดว้ ยแบบสอบถามผลการดูแลผปู้ ่ วยฯ ของ
ค่าเฉล่ีย การแจกแจงความถี่ ส่วนเบ่ียงเบน

14  วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ 

ศูนย์ 4 ส่วน คือ แบบสอบถามขอ้ มูลคุณลกั ษณะ การพิทักษ์สิทธิของกลุ่มทดลอง: การวจิ ยั
ท่ัว ไ ป แ บ บ ป ร ะ เ มิ น ผ ล ก า ร ป ฏิ บัติ ง า น ค ร้ ั ง น้ ี ผ่ า น ก า ร พิ จา ร ณ า รั บ รอ ง แ ล ะ อ นุ มัติ จ า ก
แบบสอบถามความพึงพอใจของทีมสหวิชาชีพ คณะกรรมการจริยธรรมการดาเนินงานวิจยั ใน
ปัญหาอุปสรรคและขอ้ เสนอแนะ เกณฑก์ ารแบ่ง มนุษยข์ องโรงพยาบาลวารินชาราบ กระทรวง
คะแนนตามแนวคิดของเบสท์ (Best)3 และเกณฑ์ สาธารณสุข ลาดบั ที่ 1/2563 เลขที่ 01 โดยขอ้ มูลที่
การประเมินผลตามแนวคดิ ของบลูม (Bloom)3 ไดจ้ ะถูกเก็บเป็ นความลบั โดยไม่มีการอา้ งอิงถึง
ตวั บุคคล

ผลการวจิ ยั

ตารางท่ี 1 จานวนและรอ้ ยละของกลุ่มประชากรท่ีศกึ ษาทดลอง โดยจาแนกตามคุณลกั ษณะของประชากร

คุณลกั ษณะประชากร กล่มุ ศึกษาทดลอง (n = 54)
จานวน ร้อยละ

อายุ (ปี )

23 - 27 ปี 14 26.1

28 - 32 ปี 11 20.4

33 - 37 ปี 9 14.9

38 - 42 ปี 7 13.2

43 - 47 ปี 3 5.7

48 - 52 ปี 6 11.2

53 - 58 ปี 4 7.5

mean = 35.2, SD = 10.1 min 23.0 max 57.0

เพศ

ชาย 4 7.4

หญิง 50 92.6

สถานะภาพ 28 51.9
โสด 25 46.3
คู่ 1 1.9
หมา้ ย/หยา่ /แยก

 ปีท่ี 16 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563  15

ตารางท่ี 1 จานวนและรอ้ ยละของกลุ่มประชากรทศ่ี ึกษาทดลอง โดยจาแนกตามคุณลกั ษณะของประชากร

(ต่อ)

คุณลกั ษณะประชากร กล่มุ ศึกษาทดลอง (n = 54)
จานวน ร้อยละ

ระดับการศึกษา

ปริญญาตรี 47 87.0

ปริญญาโท 7 13.0

ระยะเวลาในการปฏบิ ตั งิ านเครือข่ายการดูแลผู้ป่ วยมะเร็งระยะสุดท้าย

นอ้ ยกวา่ 12 เดือน 30 55.0

13 - 24 เดือน 5 9.4

มากกวา่ 24 เดือน 19 35.6

mean = 37.8, SD = 42.9 min 1.0 max 180.0

ตาแหน่งทีมสหวิชาชีพ

แพทยเ์ วชศาสตร์ครอบครวั 6 11.5

พยาบาลวชิ าชีพ 34 65.4

เภสชั กร 4 7.7

นกั กายภาพบาบดั 2 3.8

นกั สงั คมสงเคราะห์ 1 1.9

นกั โภชนากร 2 3.8

แพทยแ์ ผนไทย 3 5.8

นกั จติ วทิ ยา 2 3.8

จากตารางที่ 1 พบว่า ลักษณะท่ัวไปของ ระดับปริญญาตรี (ร้อยละ 87.0) ส่วนใหญ่เป็ น
กลุ่มศึกษา จานวน 54 คน ส่วนใหญม่ ีอายุ 23 - 27 พยาบาลวชิ าชีพ (ร้อยละ 65.4) รองลงมาตาแหน่ง
ปี (ร้อยละ 26.1) รองลงมาอายุ 28 - 32 ปี (ร้อยละ แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว (ร้อยละ 11.5)
20.4) โดยมีอายุค่าเฉลี่ย 35.20 ปี (SD 10.0) กลุ่ม ระยะ เวล าใน การ ปฏิบัติงาน เครื อข่า ยกา รดู แ ล
ศึกษาทดลองส่วนใหญ่เป็ นเพศหญิง (ร้อยละ ผูป้ ่ วยฯ ส่วนใหญ่ปฏิบตั ิงาน น้อยกว่า 12 เดือน
92.6) และมีสถานภาพโสด (ร้อยละ 51.9) กลุ่ม (ร้อยละ 55.0) (SD 42.9) รองลงมาปฏิบัติงาน
ประชากรตวั อยา่ งท่ีศึกษาส่วนใหญ่จบการศึกษา มากกวา่ 24 เดือน (รอ้ ยละ 35.6)

16  วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ 

ตารางที่ 2 เปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉล่ียผลการพฒั นารูปแบบการดูแลผปู้ ่ วยมะเร็งระยะสุดทา้ ย
ของศูนยว์ ารินรักษ์ โรงพยาบาลวารินชาราบ จงั หวดั อุบลราชธานี ก่อนและหลงั พฒั นา

ผลการพฒั นารูปแบบ ก่อนการพฒั นา หลังการพฒั นา
การดูแลผู้ป่ วยมะเร็ง
mean SD ระดับ mean SD ระดบั t p
ระยะสุดท้าย
13.03 2.89 ควรปรับปรุง 20.77 2.89 ปานกลาง 21.01 0.001
ดา้ นโครงสร้าง 8.33 2.09 ควรปรับปรุง 16.07 2.37 ดี 22.51 0.007
ดา้ นการสนบั สนุน 9.90 2.64 ควรปรับปรุง 16.07 2.37 ดี 18.87 0.001
ดา้ นการประสานงาน 7.14 1.91 ควรปรับปรุง 12.11 1.73 ดี 19.47 0.001
ดา้ นการปฏิบตั ิงาน 14.83 2.91 ควรปรับปรุง 27.72 3.16 ปานกลาง 26.73 0.001
ดา้ นประเมินผล 53.25 10.50 ควรปรับปรุง 91.18 9.74 ปานกลาง 28.30 0.001
ผลการปฏิบตั ิงาน

จากตารางที่ 2 พบวา่ ผลการพฒั นารูปแบบ โดยมีค่าเฉล่ียผลการพฒั นารูปแบบการดูแลผูป้ ่ วยฯ
การดูแลผูป้ ่ วยฯ ของศูนยภ์ าพรวมทุกด้านก่อน ของศูนย์ด้านการสนับสนุนหลังการศึกษาอยู่
การพฒั นาอยใู่ นระดบั ควรปรับปรุง และภายหลงั ในระดบั ปานกลาง มากกว่าก่อนการศึกษาอย่าง
การพฒั นาผลประเมินแต่ละด้านอยู่ในระดับ สาคญั ทางสถิติทร่ี ะดบั p < 0.05
ปานกลางและระดับดี ค่าเฉล่ียผลการพฒั นา
รูปแบบการดูแลผปู้ ่ วยฯ ของศูนยใ์ นภาพรวมหลงั ด้านการประสานงาน: ก่อนการศึกษาอยู่
การพัฒนาดีข้ึนกว่าก่ อนกา รศึกษาอย่างมี ในระดับควรปรับปรุง (ร้อยละ 72.1) และหลัง
นัยสาคญั (p < 0.05) โดยจาแนกผลการพฒั นา การศึกษาพฒั นาทดลองอยู่ในระดับดี (ร้อยละ
รูปแบบการดูแลผปู้ ่ วยฯ แต่ละดา้ น ดงั ตอ่ ไปน้ี 63.1) โด ยมี ค่ า เฉลี่ ยผลก า รพัฒ น า รู ป แบ บ
การดูแลผูป้ ่ วยฯ ของศูนยด์ า้ นการประสานงาน
ด้านโครงสร้าง: ก่อนการศึกษาอยใู่ นระดบั หลังการศึกษาอยู่ในระดับดี มากกว่าก่ อน
ควรปรับปรุง (รอ้ ยละ 59.1) และหลงั การศกึ ษาอยู่ การศกึ ษาอยา่ งสาคญั ทางสถิติทรี่ ะดบั p < 0.05
ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 51.7) โดยมีค่าเฉล่ีย
ผลการพัฒนารู ปแบบการดูแลผู้ป่ วยฯ ของ ด้านการปฏิบัตงิ าน: ก่อนการศึกษาพฒั นา
ศูนยด์ ้านโครงสร้างหลังการศึกษาอยู่ในระดับ ทดลองอยู่ในระดบั ควรปรับปรุง (ร้อยละ 66.6)
ปานกลาง มากกวา่ ก่อนการศึกษาอยา่ งสาคญั ทาง และหลังการศึกษาอยู่ในระดบั ดี (ร้อยละ 66.7)
สถิตทิ ่ีระดบั p < 0.05 โดยมีค่าเฉลี่ยผลการพฒั นารูปแบบการดูแลผูป้ ่ วยฯ
ของศูนย์ด้านการปฏิบัติงานหลังการศึกษาอยู่
ด้านการสนับสนุน: ก่อนการศึกษาอยู่ ในระดบั ดี มากกวา่ ก่อนการศึกษาอยา่ งสาคญั ทาง
ในระดับควรปรับปรุง (ร้อยละ 94.4) และหลัง สถิติทรี่ ะดบั p < 0.05
การศึกษาอยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 64.7)

 ปีท่ี 16 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563  17

ด้านการประเมินผล: ก่อนการศึกษาอยใู่ น ผลการปฏิบัติงานโดยรวม: ก่อนการศกึ ษา
ระดับควรปรับปรุ ง (ร้อยละ 96.0) และหลัง อยใู่ นระดบั ควรปรับปรุง (ร้อยละ 96.0) และหลงั
การศึกษาอยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 55.5) การศึกษาอยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 57.0)
โดยมีค่าเฉลี่ยผลการพฒั นารูปแบบการดูแลผูป้ ่ วยฯ โดยมีค่าเฉลี่ยผลการพฒั นารูปแบบการดูแลผูป้ ่ วยฯ
ของศูนยด์ ้านการประเมินผลหลังการศึกษาอยู่ ของศูนยด์ า้ นผลการปฏิบตั ิงานโดยรวมของศูนย์
ในระดับปานกลาง มากกว่าก่อนการศึกษาอย่าง หลงั การศึกษาอยใู่ นระดบั ปานกลาง มากกวา่ ก่อน
สาคญั ทางสถิตทิ รี่ ะดบั p < 0.05 การศกึ ษาอยา่ งสาคญั ทางสถิตทิ ่รี ะดบั p < 0.05

ตารางท่ี 3 เปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉล่ียรวมความพึงพอใจของทีมสหวิชาชีพ ต่อการพฒั นา
รูปแบบการการดูแลผปู้ ่ วยมะเร็งระยะสุดทา้ ย ระหวา่ งก่อนและหลงั การพฒั นา

ความพงึ พอใจ ก่อนการพฒั นา หลังการพฒั นา
คา่ เฉลี่ยรวมพึงพอใจ mean SD ระดบั mean SD ระดับ t p
15.62 2.76 ควรปรับปรุง
23.38 2.66 ปานกลาง 23.06 0.001

จากตารางที่ 3 พบวา่ ความพงึ พอใจต่อการ ปานกลาง การพฒั นาสามารถตอบสนองต่อความ
พฒั นารูปแบบการดูแลผปู้ ่ วยฯของทีมสหวชิ าชีพ ตอ้ งการของทีมสหวชิ าชีพและผปู้ ่ วยในศูนยด์ า้ น
ของศูนย์ ก่อนการศึกษาพบว่าส่วนใหญ่อยู่ใน ต่าง ๆ ดงั น้ี
ระดับควรปรับปรุง และหลังการศึกษาพบว่า
ส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง โดยมีค่าเฉล่ีย ด้านโครงสร้าง: ประกอบดว้ ยการดาเนินงาน
ค ว า ม พึง พ อ ใ จ ต่ อ ก า ร พ ัฒ น า รู ป แ บ บ ก า ร ดู แ ล นโยบาย ทีม บทบาทหน้าที่ สายบังคับบัญชา
ผปู้ ่ วยฯ ของทมี สหวชิ าชีพของศูนยห์ ลงั การศึกษา หลังการศึกษาทดลอง มีผลการพฒั นางานใน
มากกวา่ ก่อนการศึกษาอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติท่ี ระดบั ปานกลาง มีค่าเฉลี่ยผลการพฒั นางานใน
ระดบั p < 0.05 ด้านโครงสร้างมากกว่าก่อนการศึกษาอย่างมี
นยั สาคญั ทางสถิติที่ระดบั p < 0.05 เม่ือพจิ ารณา
วจิ ารณ์ ถึงความแตกต่างของค่าเฉล่ียของผลการพฒั นา
ในด้านโครงสร้าง โดยการจาแนกรายขอ้ ก่อน
จากการศึกษาพบว่า การพฒั นารูปแบบ การศึกษา มีค่าเฉลี่ยประสิทธิผลการพฒั นาด้าน
การดูแลผูป้ ่ วยฯ ของศูนย์ ที่พฒั นาข้ึนสามารถ โครงสรา้ งการดาเนินงานส่วนใหญอ่ ยใู่ นระดบั ต่า
ตอบสนองต่อทีมสหวิชาชีพของศูนย์ในทาง ท้งั หมด เนื่องจากนโยบายไม่ชัดเจนท้งั ในส่วน
ปฏิบตั ิ ส่งผลใหศ้ ูนยม์ ีคุณภาพและมีรูปแบบการ นโยบายการดาเนินงานดูแลผูป้ ่ วยฯ นโยบาย
ดูแลผู้ป่ วยที่ได้มาตรฐาน หลังการศึกษาทีม การวางแผน และการปฏิบัติงานตามแผนใน
สหวิชาชีพของศูนยม์ ีความพึงพอใจอยใู่ นระดบั การดูแลผูป้ ่ วยฯ การแต่งต้ังทีมทุกภาคส่วนใน

18  วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ 

การดาเนินงานดูแลผูป้ ่ วยฯ และบทบาทหน้าท่ี แตก่ ็ยงั พบวา่ ในขอ้ งบประมาณในการดาเนินงาน
ใน ก ารรับผิดชอบดู แล ผู้ป่ วยฯ ไ ม่ ชัดเจน เครือข่ายรับ-ส่งต่อการดูแลผูป้ ่ วยฯ เปรียบเทียบ
สายการบงั คบั บญั ชาหรือสายการปฏบิ ตั ิงานท่ียงั มี กับงบประมา ณในกา รสร้ างเสริ มสุ ข ภา พ
ความสับสน แต่ภายหลังการศึกษาพบว่า มี มีค่าเฉล่ียอย่ใู นระดับปานกลาง แต่ก็ยงั ดีข้ึนกว่า
คา่ เฉล่ียการพฒั นาดา้ นโครงสร้างส่วนใหญอ่ ยใู่ น ก่อนการพฒั นา เนื่องจากก่อนการพฒั นาอยู่ใน
ระดับสูง เนื่องจากรูปแบบการดูแลผู้ป่ วยฯ ที่ ระดับต่าท่ีสุด เพราะศูนยเ์ พิ่งเปิ ดให้บริการใน
พฒั นาและทดลองใชไ้ ด้มีพฒั นาในดา้ นโครงสร้าง ระยะ 1 – 2 ปี ท่ีผา่ นมา การสนับสนุนดา้ นทรพั ยากร
การดาเนินงานในดา้ นต่าง ๆ มากข้ึน ซ่ึงมีความ ของศูนยใ์ นด้านงบประมาณจึงยงั คงน้อย และ
สอดคลอ้ งกบั ผลการวจิ ยั ของ จิระประภา ศิริสูงเนิน อุปกรณ์ ในการดูแลคนไข้ไม่เพียงพอและ
และคณะ5 ไดศ้ ึกษารูปแบบการดูแลผูป้ ่ วยแบบ ครอบคลุมมากนกั ดงั น้ัน สดั ส่วนขอ้ งบประมาณ
ประคบั ประคอง จงั หวดั ขอนแก่น จึงยงั ไม่มีความแตกต่าง ซ่ึงมีความสอดคลอ้ งกบั
ผลการวจิ ยั ของ สุมานี ศรีกาเนิด6 ไดศ้ กึ ษาการดูแล
ด้ า น ก า ร ส นั บ ส นุ น : ป ร ะ ก อ บ ด้ว ย ผปู้ ่ วยมะเร็งระยะสุดทา้ ยในชุมชน
ทรัพยากรบุคคล อุปกรณ์เครื่องมือ งบประมาณ
หลงั การศึกษามีผลการพฒั นาในระดบั สูง และมี ด้านการประสานงาน: ประกอบดว้ ยข้นั ตอน
ค่าเฉล่ียผลการพฒั นาดา้ นการสนบั สนุนมากกว่า การประสาน/ปฏิบัติ/ช่องทาง และแบบบนั ทึก
ก่อนการศึกษาอย่างมีนัยสาคญั ทางสถิติท่ีระดับ ข้อมูล หลังก ารศึกษามีผล การพัฒนาด้า น
p < 0.05 เมื่อพจิ ารณาถึงความแตกต่างของค่าเฉลี่ย การประสานงานในระดับดี และมีค่าเฉล่ียผล
ข อ ง ผล ก า ร พัฒ น า ใน ด้า น ก า ร ส นับ ส นุ น การพฒั นาในดา้ นการประสานงานมากกว่าก่อน
โดยการจาแนกรายขอ้ ก่อนการศึกษา มีค่าเฉลี่ย ก า ร ศึ ก ษ า อ ย่ า ง มี นั ย ส า คัญ ท า ง ส ถิ ติ ท่ี ร ะ ดั บ
ประสิทธิผลการพัฒนาด้านการสนับสนุ น p < 0.05 เม่ือพจิ ารณาถึงความแตกต่างของค่าเฉล่ีย
ส่วนใหญ่อยู่ในระดับต่าท้ังหมด ได้แก่ ศูนย์มี ของผลการพฒั นาในด้านการประสานงาน โดย
บุคลากรที่มีคุณภาพไม่เพียงพอในการปฏิบตั ิงาน การจาแนกรายข้อ ก่อนการศึกษามีค่าเฉล่ีย
การวางแผนจดั หาและบารุงรักษา วสั ดุ อุปกรณ์ ประสิทธิผลการพฒั นาด้านการประสานงาน
เครื่องมือ ในการดาเนินการดูแลผปู้ ่ วยฯ ไม่เป็ นไป ส่วนใหญ่อยใู่ นระดบั ต่าท้งั หมดทุกขอ้ เนื่องจาก
ตามเกณฑม์ าตรฐาน งบประมาณที่ไดร้ ับไม่เพยี งพอ ศนู ยม์ ีข้นั ตอนการประสานงานและการปฏิบตั ิงาน
ในการดาเนินงาน รวมถึงการดูแลผู้ป่ วยฯ ยงั ไม่ชัดเจน ท้ังการกาหนดวิธีการ/ช่องทาง
งบประมาณในการดาเนินงานเครือข่ายรบั -ส่งต่อ การประสานงาน ระยะเวลาในการประสานงานใน
การดูแลผูป้ ่ วยฯ ยงั ไม่เพียงพอ เปรียบเทียบกับ แต่ละข้ันตอน การดูแลร่วมกันของเครือข่าย
งบประมาณในการสร้างเสริมสุขภาพ การดูแลผูป้ ่ วยฯ ยงั ไม่ชัดเจน แบบบนั ทึกขอ้ มูล
ระหว่างเครือข่ายในการนารับ-ส่งผูป้ ่ วยฯ และ
ซ่ึงภายหลังการศึกษาพบว่า มีค่าเฉลี่ยผล การดูแลผู้ป่ วยอย่างต่อเน่ื องยงั ไม่ครบถ้วน
การพฒั นารูปแบบส่วนใหญอ่ ยใู่ นระดบั ปานกลาง

 ปีท่ี 16 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563  19

ศูนย/์ เครือข่ายมีแบบบนั ทึกขอ้ มูลในการรับ-ส่ง บางคร้ัง ภายหลังการศึกษาพบว่า ค่าเฉลี่ยผล
ผู้ป่ วยฯ ยังไม่เหมาะสม และใช้ภาษาท่ียัง ด้านการปฏิบัติงาน ส่วนใหญ่อยู่ในระดับสูง
ไม่ชัดเจน ภายหลังการศึกษาพบว่า มีค่าเฉลี่ย เน่ืองมาจากรูปแบบการดูแลผูป้ ่ วยฯ ของศูนยท์ ี่
การพฒั นาดา้ นการประสานงานส่วนใหญ่อยู่ใน พฒั นาใชน้ ้ัน ทีมสหวิชาชีพท่ีเกี่ยวขอ้ งไดม้ ีการ
ระดบั สูง เนื่องจากรูปแบบการดูแลผปู้ ่ วยฯ ได้มี ร่วมกันจดั ทาแนวทางข้นั ตอนในการปฏิบตั ิงาน
การพฒั นาในดา้ นการประสานงานในดา้ นต่าง ๆ เครือข่ายรับรับ-ส่งผูป้ ่ วย และดูแลผูป้ ่ วยฯ เพ่ือ
ประกอบกบั การมีส่วนร่วมในการพฒั นารูปแบบ ดูแลต่อเนื่อง มีการทบทวนและแกไ้ ขปรับปรุงใน
ช่องทางการประสานงาน และมีแนวทางใน การปฏิบตั ิงานร่วมกนั ระหว่างของศูนย์ ทาใหไ้ ด้
การปฏิบตั ิร่วมกนั ส่งผลดีต่อดา้ นการประสานงาน ข้นั ตอนและแนวทางปฏิบตั ิท่ีทนั สมยั สอดคลอ้ ง
ในการดูแลผูป้ ่ วยฯ เครือข่ายของศูนย์ ภายหลัง กับการดูแลผู้ป่ วยฯ ของศูนย์ท่ีเข้าใจตรงกัน
ก า ร พัฒ น า ท ดล อ ง ท า ใ ห้ ค่ า เ ฉ ลี่ ยผ ล ด้า น สอดคลอ้ งกับผลการวิจยั ของชีวรัตน์ วิภกั ด์ิ8 ซ่ึง
การประสานงานอยใู่ นระดบั สูง ซ่ึงมีความสอดคลอ้ ง ได้ศึกษาการสร้างรูปแบบ การจดั การรายกรณี
กับผลการวิจัยของ ฐิติมา โพธิศรี 7 ได้ศึกษา ผูป้ ่ วยมะเร็งระยะสุดทา้ ย โรงพยาบาลกรุงเทพ
การดูแลแบบประคบั ประคองสาหรับผปู้ ่ วยระยะ ราชสีมา และสุปรียา ดียิ่ง9 ได้ศึกษาผลการใช้
สุดทา้ ยของชีวติ จากโรงพยาบาลสู่บา้ น รูปแบบการพยาบาลเจา้ ของไขต้ ่อคุณภาพชีวิต
ของผปู้ ่ วยระยะสุดทา้ ย
ด้านการปฏิบัตงิ าน: ประกอบดว้ ย ข้นั ตอน
รับ-ส่ง คู่มือ แนวทางปฏิบตั ิ หลงั การศึกษาดา้ น ด้านการประเมินผล: ประกอบดว้ ย ระบบ
การประสานงานในระดับดี และมีค่าเฉลี่ยผล ตดิ ตาม ประเมินผลงาน ผรู้ ับผดิ ชอบ ประสานงาน
การพฒั นาในดา้ นการประสานงานมากกว่าก่อน รับ-ส่ ง หลังการศึกษามีผลการพัฒนาด้าน
ก า ร ศึ ก ษ า อ ย่ า ง มี นั ย ส า คัญ ท า ง ส ถิ ติ ที่ ร ะ ดั บ การประเมินผลอยู่ในระดบั ดี และมีค่าเฉลี่ยผล
p < 0.05 เมื่อพจิ ารณาถึงความแตกต่างของคา่ เฉล่ีย การพฒั นางานในดา้ นการปฏิบตั ิงานมากกวา่ ก่อน
ข อ งผล ก า รพัฒ น า ใน ด้า น ก า รปฏิบัติงา น ก า ร ศึ ก ษ า อ ย่ า ง มี นั ย ส า คัญ ท า ง ส ถิ ติ ท่ี ร ะ ดั บ
โดยการจาแนกรายขอ้ ก่อนการศึกษามีค่าเฉลี่ย p < 0.05 เมื่อพจิ ารณาถึงความแตกต่างของคา่ เฉล่ีย
ประสิทธิผลการพฒั นาด้านการประสานงาน ของผลการพฒั นาในด้านการประเมินผล โดย
ส่วนใหญ่อยู่ในระดับต่าท้งั หมดทุกข้อ ได้แก่ การจาแนกรายข้อ ก่อนการศึกษา มีค่าเฉลี่ย
ศนู ยม์ ีการจดั ทาข้นั ตอน/flow chart การรบั -ส่งต่อ ป ร ะ สิ ท ธิ ผ ล ก า ร พ ัฒ น า ด้า น ก า ร ป ร ะ เ มิ น ผ ล
ผูป้ ่ วยฯไวย้ งั ไม่ชัดเจน การจดั ทาคู่มือ/แนวทาง ส่วนใหญ่อยู่ในระดับต่า ท้งั หมดทุกข้อ ได้แก่
การรับ-ส่งต่อผูป้ ่ วยฯ ยงั ไม่ชดั เจน มีการดาเนินการ ศูนยม์ ีระบบติดตามประเมินผลการรับ-ส่งต่อ
ร่วมกันระหว่างเครือข่ายของศูนยย์ งั ไม่ชัดเจน ผูป้ ่ วยฯ ที่ยงั ไม่ชดั เจน การกาหนดผูร้ ับผิดชอบ
คู่มือ/แนวทางการรับ-ส่งต่อผูป้ ่ วยฯ ของศูนย์ การตดิ ตามผล/การประเมินผลเครือข่ายการรบั -ส่ง
เข้าใจได้ยากและไม่สามารถปฏิบัติตามได้ใน ต่อผูป้ ่ วยฯ ร่วมกนั ระหวา่ งหน่วยรับและหน่วยส่ง

20  วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ 

ยงั ไม่ชัดเจน หน่วยรับ-ส่งผูป้ ่ วยฯ มีการนาผล ด้านความพึงพอใจต่อการพัฒนารูปแบบ
การประเมิน และนามาปรับปรุงพฒั นารูปแบบยงั การดูแลผู้ป่ วยฯ: หลังการศึกษามีค่าเฉล่ียด้าน
ไม่ครอบคลุม ความถ่ี ในการติดตามประเมินผล ความพึงพอใจมากกว่าก่อนการศึกษาอย่างมี
ระบบเครือขา่ ยส่งตอ่ ผปู้ ่ วยฯ เพอื่ ดูแลตอ่ เน่ืองของ นยั สาคญั ทางสถิติทรี่ ะดบั p <0.05 เม่ือพจิ ารณาถึง
ศูนยย์ งั น้อย เครือข่ายหน่วยรับ-ส่งของศูนยม์ ี ความแตกต่างของค่าเฉลี่ยดา้ นความพึงใจจาแนก
ความเขา้ ใจผดิ เกิดข้ึนจากการประสานงานการส่ง รายข้อ พบว่า ก่ อนการศึกษาค่าเฉล่ียด้าน
ต่อบ่อยคร้ัง ความคลาดเคลื่อนท่ีเกิดข้ึนจาก ความพึงพอใจเฉลี่ยส่ วนใหญ่ อยู่ในระดับ
การไม่ปฏิบตั ิตามแนวทาง/ข้นั ตอนการประสานงาน ปานกลาง และมีค่าดา้ นความพึงใจอยใู่ นระดบั ต่า
ของศูนย์ ความคลาดเคลื่อนท่ีเกิดข้ึนจากขอ้ มูลท่ี หน่ึงขอ้ ไดแ้ ก่ ความพงึ พอใจต่องบประมาณและ
จา เป็ น ขอ งผู้ป่ วยใน แบบบัน ทึกข้อ มูล ใน สิ่งสนับสนุนการดาเนินงานการส่งต่อผูป้ ่ วยฯ
การนาส่งผูป้ ่ วยฯ ไม่ถูกตอ้ ง ภายหลงั การศึกษา ของศูนย์ ภายหลังการศึกษาพัฒนารูปแบบ
พบวา่ ค่าเฉล่ียผลด้านการประเมินผล ส่วนใหญ่ การดูแลผปู้ ่ วยฯ พบวา่ ค่าเฉล่ียดา้ นความพงึ พอใจ
อยใู่ นระดบั สูงและสูงท่ีสุด ยกเวน้ ขอ้ ความถี่ใน ส่วนใหญ่อยู่ในระดับสูง ในการจัดประชุม
ก า ร ติ ด ต า ม ป ร ะ เ มิ น ผ ล ร ะ บ บ เ ค รื อ ข่ า ย ส่ ง ต่ อ วิชาการโดยการใช้กระบวนการ A-I-C ทาให้
ผู้ป่ วยฯ เพื่อดูแลต่อเนื่องของศูนย์ ภายหลัง ที ม ส ห วิ ช า ชี พ เ ค รื อ ข่ า ย ข อ ง ศู น ย์ ไ ด้มี
การประเมินผลอยู่ในระดับปานกลาง แต่ผล การแลกเปล่ียนประสบการณ์ในการทางาน ระดม
ก า ร ป ร ะ เ มิ น ผ ล ดี ข้ ึ น ก ว่ า ก่ อ น พ ัฒ น า รู ป แ บ บ สมองในการคิดรูปแบบการดูแลผูป้ ่ วยฯ เชิง
กา รดู แล ผู้ป่ วย ฯ ขอ งศูน ย์ โดยก ารนา ผล สร้างสรรค์ ทาให้ทีมสหวิชาชีพเล็งเห็นปัญหา
กา ร ป ร ะ เ มิ น ม า พ ัฒ น าป รั บ ป รุ ง แ ก้ไ ข รู ป แ บ บ และมีความเข้าใจปัญหา ดาเนินการวางแผน
แ ล ะ เ พ่ิ ม ค ว า ม ถ่ี ใ น ก า ร ติ ด ต า ม ก า ร ป ร ะ เ มิ น ส่งเสริมการทางานเป็ นทีมร่วมกัน ทาให้เกิด
การดูแลผู้ป่ วยฯ ของศูนย์ ดังน้ัน ภายหลัง การพฒั นาไปในทางทดี่ ี ตามวตั ถุประสงคท์ ี่ต้งั ไว้
ก า ร ศึ ก ษ า ผ ล จึ ง มี ค่ า เ ฉ ลี่ ย ป ร ะ สิ ท ธิ ผ ล และทาใหก้ ารพฒั นารูปแบบการดูแลผปู้ ่ วยฯ ของ
การปฏิบตั ิงานดา้ นการประเมินผล ส่วนใหญ่อยู่ ศูนย์ มีค่าเฉลี่ยผลการพัฒนารูปแบบการดูแล
ในระดบั สูงและสูงที่สุด ซ่ึงมีความสอดคลอ้ งกบั ผูป้ ่ วยฯโดยรวมมากกว่าก่อนการศึกษาอย่างมี
ผลการวิจยั มุกดา ย้ิมย่อง10 ไดศ้ ึกษาการพฒั นา นัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ p <0.05 ซ่ึงมีความ
จัดการหน่ วยดูแลผู้ป่ วยระยะสุ ดท้ายแบบ สอดคลอ้ งกับผลการวิจยั ฐิติพร จตุพรพิพฒั น์12
ประคบั ประคองในโรงพยาบาลตติยภูมิแห่งหน่ึง ไ ด้ ศึ ก ษ า รู ป แ บ บ ก า ร จัด ก า ร ดู แ ล แ บ บ
ในจังหวดั เพชรบุรี และวีรยา อินทร์คง11 ได้ ประคบั ประคองสาหรับผปู้ ่ วยมะเร็งระยะลุกลาม
ศึ ก ษา ป ระ สิ ท ธิ ผล ข อ งก า ร ใช้รู ป แบ บ ก า รดู แ ล โรงพยาบาลวงั เจา้ จงั หวดั ตาก และวรี ยา อินทร์คง11
ผูป้ ่ วยระยะสุดทา้ ยแบบบูรณาการ โรงพยาบาล ไดศ้ ึกษาประสิทธิผลของการใชร้ ูปแบบการดูแล
สมเดจ็ พระยพุ ราชเวยี งสระ จงั หวดั สุราษฎร์ธานี

 ปีที่ 16 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563  21

ผูป้ ่ วยระยะสุดทา้ ยแบบบูรณาการ โรงพยาบาล ระดบั ดี และมีค่าเฉลี่ยความพงึ พอใจสูงกว่าก่อน
สมเด็จพระยพุ ราชเวยี งสระ จงั หวดั สุราษฎร์ธานี การพฒั นาอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิตทิ ี่ p < 0.05

สรุป ข้อเสนอแนะ

1. รูปแบบการดูแลผูป้ ่ วยฯ ของศูนยก์ ่อน 1. ขอ้ เสนอแนะจากผลการศึกษาวจิ ยั
การพฒั นาผลการปฏิบตั ิงานทุกดา้ นอย่ใู นระดบั ทมี สหวชิ าชีพทางดา้ นสาธารณสุขสามารถ
ควรปรับปรุง ประยุกต์ใช้กับกระบวนการ A-I-C เพราะว่า
กระบวนการน้ี มีวิธีการและข้ันตอนที่ทาให้
2. ผลการพฒั นารูปแบบการดูแลผูป้ ่ วยฯ ผูเ้ ขา้ ร่วมประชุม ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์
ของศูนย์ พบว่า มีโครงสร้างทีมสหวิชาชีพที่ ระหว่างกัน เขา้ ใจสภาพปัญหา ในอดีต ปัจจุบนั
ชดั เจน และทีมสหวิชาชีพมีส่วนร่วมในการดูแล และอนาคต ของงานท่ีรับผิดชอบ มีส่วนร่วมใน
ผปู้ ่ วย การวางแผน ทาใหเ้ กิดความเป็ นส่วนหน่ึงของทีม
ส ร้ า ง ค ว า ม ภ า ค ภู มิ ใ จ ใ น ผ ล ข อ ง ง า น ท่ี พ ัฒ น า
3. เม่ือเปรียบเทียบรูปแบบก่อนและหลัง ดังน้ัน การประยุกต์ใช้กระบวนการ A-I-C จึง
การพฒั นารูปแบบการดูแล พบว่า หลังพฒั นามี สามารถใชใ้ นการทางาน การวางแผน การพฒั นา
กาหนดสา ยบังคับบัญชาและผู้รับผิดชอ บ งานร่วมกัน และแก้ไขปัญหาร่วมกันได้อย่างมี
ก า ร ป ร ะ ส า น ง า น มี ก า ร ก า ห น ด ข้ ัน ต อ น แ ล ะ ประสิทธิภาพ
ช่องทางการประสานงาน มีการประชุมช้ีแจง จากผลการศึกษาพบว่า หลังการศึกษาใช้
เครือข่าย การสนับสนุนทรัพยากรจัดทาแผน รูปแบบการดูแลผูป้ ่ วยฯ ของศูนย์ สหวิชาชีพทีม
การพฒั นาบุคลากร วสั ดุอุปกรณ์ การปฏิบตั ิงาน ผูใ้ ห้บริการมีความพึงพอใจในรูปแบบการดูแล
จดั ทาคู่มือ/กระบวนการปฏิบตั ิงานและแนวทาง ผู้ป่ วยฯ ของศูนยส์ ูงกว่าก่อนการศึกษาอย่างมี
การดูแลผูป้ ่ วยร่วมกนั ในเครือข่าย การประเมินผล นัยสาคญั ทางสถิติ (p < 0.05) และความพึงพอใจ
มีการประเมินผลร่วมกนั ระหว่างเครือข่าย และนา ของทีมสหวิชาชีพต่อการปฏิบตั ิงานตามรูปแบบ
ผลการประเมินมาปรับปรุงแก้ไข และภายหลงั การดูแลผูป้ ่ วยฯ ของศูนย์ พบว่า อยู่ในระดับ
การพฒั นาผลการปฏิบตั ิงานอยใู่ นระดบั ดี ยกเวน้ ปานกลาง จึงสมควรนารูปแบบการดูแลผูป้ ่ วยฯ
ด้านการสนับสนุนอยูใ่ นระดับปานกลาง โดยมี ดา้ นต่าง ๆ ไปใช้ในทางปฏิบตั ิจริง ประกอบดว้ ย
ค่าเฉลี่ยผลการปฏิบัติงานภายหลังการทดลอง โครงสร้าง การสนับสนุน การประสานงาน
มากกวา่ ก่อนการทดลองอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติ การปฏิบัติงาน และการประเมิน ซ่ึงทาให้เกิด
ทีร่ ะดบั p < 0.05 ประโยชน์สูงสุดกบั ผูร้ ับบริการ และส่งเสริมให้
ผูป้ ่ วยฯ มีคุณภาพชีวิตที่ดี ท้งั ด้านร่างกาย จิตใจ
4. ผลของการเปรียบเทียบความพึงพอใจ
ของบุคลากรต่อรูปแบบการดูแลผปู้ ่ วยฯ ก่อนและ
หลงั การพฒั นา ภายหลงั การพฒั นารูปแบบอยใู่ น

22  วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ 

สงั คม และจิตวิญญาณ สามารถเผชิญกบั ความตาย กติ ตกิ รรมประกาศ
ไดอ้ ยา่ งสงบ
นา ย แ พ ท ย์ส ม ชัย โ ช ค พัฒ น า พ ง ศ์
2. ข้อเสนอแนะในการศึกษาค้นคว้า ผอู้ านวยการโรงพยาบาลวารินชาราบท่ีอนุเคราะห์
งานวจิ ยั ต่อไป สถานที่ศึกษาทดลองงานวิจัย และนายแพทย์
สุธี สุดดี หัวหน้าศูนย์วารินรักษ์ โรงพยาบาล
การศึกษาคร้งั น้ี เป็นวิจยั การศกึ ษาแบบเชิง วารินชาราบ
ปฏิบตั ิการ ใชร้ ะยะเวลาในการปรับปรุงรูปแบบ
การดูแลผูป้ ่ วยฯ ของศูนย์ ในพ้ืนท่ีเพียง 3 เดือน เอกสารอ้างองิ
แล้ว ทา ก า รปร ะ เ มิ น ผล พ ร้อ ม ท้ ังป รั บ ป รุ ง แล ะ
พฒั นารูปแบบเพียง 1 คร้ัง จึงควรศึกษาติดตาม 1. World Health Organization. Palliative
ต่อไปในระยะยาว โดยนารูปแบบท่ีปรับปรุงแลว้ care. [internet]. 2019[cited 2019 June 30].
ไปใช้อีก และประเมินผลอยา่ งต่อเนื่อง ซ่ึงทาให้ Available from: https://www.who.int.
ทราบถึงปัญหาและอุปสรรคในการดาเนินงาน
ทุกข้นั ตอน และทาการวางแผนแกไ้ ขร่วมกนั ใน 2. งานสถิติผู้ป่ วยมะเร็งระยะสุดท้าย. ศูนย์
ทมี สหวิชาชีพ ร่วมกบั ญาติผดู้ ูแลผปู้ ่ วย อาสาสมคั ร วาริ นรัก ษ์ โรงพยาบา ลวาริ น ชาราบ .
จิตอาสา และเครือข่ายในชุมชน นาแผนไปปฏบิ ตั ิ อุบลราชธานี: โรงพยาบาลวารินชาราบ;
และประเมินผลเป็ นวงจรในระยะยาว เพ่อื ให้เกิด 2562.
การพฒั นาคุณภาพอย่างต่อเน่ือง สุดทา้ ยจะได้
รูปแบบการดูแลผปู้ ่ วยฯ ของศูนย์ที่มีประสิทธิภาพ 3. สิริญา ฉิมพาลี. การพฒั นาระบบส่งต่อผูป้ ่ วย
อีกรูปแบบหน่ึง หลังคลอด เครือข่ายบริการโรงพยาบาล
ทา่ ยาง จงั หวดั เพชรบุรี [วิทยานิพนธป์ ริญญา
นอกจากน้ี ควรมีการศึกษาในรูปแบบ สาธารณสุขศาตรมหาบัณฑิต]. นนทบุรี :
เดียวกนั ในรูปแบบการดูแลผปู้ ่ วยอื่น ๆ ท้งั ระบบ มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช; 2553.
เขต การส่งต่อเขตสุขภาพ และรูปแบบการรับส่ง
ต่อผู้ป่ วยในระดับขอ งโรงพยา บาล ทั่วไ ป 4. อรพินท์ สพโชคชยั . คู่มือการจดั ประชุมเพือ่
ตลอดจนรูปแบบการดูแลผู้ป่ วยมะเร็งระยะ ระ ด ม ค วา ม คิ ด ใน ก า รพัฒ น า หมู่ บ้า น
สุดทา้ ยในโรงพยาบาลศนู ยใ์ นอนาคต ก า ร พ ัฒ น า ห มู่ บ้า น โ ด ย พ ลัง ป ร ะ ช า ช น .
กรุ งเทพฯ: สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนา
ประเทศไทย; 2537. หนา้ 1-89.

5. จิระประภา ศิริสูงเนิน, มาลินนั ท์ พมิ พพ์ สิ ุทธิ
พงศ์, วุฒิพงศ์ ภักดีกุล. รูปแบบการดูแล
ผู้ป่ ว ย แ บ บ ป ร ะ คับ ป ร ะ ค อ ง จัง ห วัด
ขอนแก่น. วารสารการพฒั นาสุขภาพชุมชน
มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น 2561; 6: 317-35.

 ปีที่ 16 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563  23

6. สุมานี ศรีกาเนิด. การดูแลผปู้ ่ วยมะเร็งระยะ 10. มุกดา ย้มิ ยอ่ ง. การพฒั นาจดั การหน่วยดูแล
สุดท้ายในชุมชน [วิทยานิพนธ์ปริ ญญา ผปู้ ่ วยระยะสุดทา้ ยแบบประคบั ประคองใน
พยาบาลศาสตร์มหาบัณฑิต]. กรุงเทพฯ: โรงพยาบาลตติยภูมิแห่งหน่ึง ในจังหวดั
มหาวทิ ยาลยั หวั เฉียวเฉลิมพระเกียรติ; 2552. เพชรบุรี [วิทยานิพนธ์ปริ ญญาพยาบาล
ศาสตร์มหาบณั ฑิต]. นครปฐม: มหาวทิ ยาลยั
7. ฐิติมา โพธิศรี. การดูแลแบบประคบั ประคอง คริสเตียน; 2556.
สาหรับผู้ป่ วยระยะสุดท้ายของชีวิตจาก
โรงพยาบาลสู่บ้าน [วิทยานิพนธ์ปริญญา 11. วีรยา อินทร์คง. ประสิทธิผลของการใช้
พยาบาลศาสตร์มหาบัณฑิต]. ขอนแก่น: รูปแบบการดูแลผู้ป่ วยระยะสุดท้ายแบบ
มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น; 2550. บูรณาการ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช
เวียงสระ จงั หวดั สุราษฎร์ธานี [วิทยานิพนธ์
8. ชีวรัตน์ วภิ กั ด์ิ. การสร้างรูปแบบการจดั การ ปริ ญญาพยาบาลศาสตร์มหาบัณฑิต ].
ร า ย ก ร ณี ผู้ป่ ว ย ม ะ เ ร็ ง ร ะ ย ะ สุ ด ท้า ย นนทบุรี: มหาวิทยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช;
โรงพยาบาลกรุงเทพราชสีมา [วิทยานิพนธ์ 2558.
ปริ ญญาพยาบาลศาสตร์ มหาบัณฑิต].
ขอนแก่น: มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น; 2555. 12. ฐิตพิ ร จตพุ รพพิ ฒั น์. รูปแบบการจดั การดูแล
แบบประคบั ประคองสาหรับผูป้ ่ วยมะเร็ง
9. สุปรียา ดียงิ่ . ผลการใชร้ ูปแบบการพยาบาล ระยะลุกลาม โรงพยาบาลวงั เจา้ จงั หวดั ตาก
เจา้ ของไข้ต่อคุณภาพชีวิตของผูป้ ่ วยระยะ [วิทยานิ พนธ์ปริ ญญาพยาบาลศาสตร์
สุดทา้ ย [วทิ ยานิพนธป์ ริญญาพยาบาลศาสตร์ ม หา บัณ ฑิ ต ]. น น ทบุรี : ม หา วิทยา ลัย
มหาบัณฑิต ]. กรุ งเทพฯ: จุฬาล งกรณ์ สุโขทยั ธรรมาธิราช; 2557.
มหาวทิ ยาลยั ; 2554.

24  วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ 

บทความวจิ ยั
Research article

แบบแผนการดาเนินชีวิตท่ีมีความสัมพนั ธ์กบั การเกดิ ภาวะเมตาบอลิกซินโดรม
ในกลุ่มประชาชนที่อาศัยอยู่ในตาบลโคกพระเจดีย์ อาเภอนครชัยศรี
จังหวดั นครปฐม

ศากุล ช่างไม้* มนต์ทพิ า เทพเทยี มทศั น์**
* ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั คริสเตียน
** พยาบาลวิชาชีพ รพ.สต.โคกพระเจดีย์ อาเภอนครชยั ศรี จงั หวดั นครปฐม

บทคดั ย่อ รับบทความ: 13 พฤษภาคม 2563
แกไ้ ขบทความ: 27 พฤศจิกายน 2563
ตอบรับบทความ: 30 พฤศจิกายน 2563

วัตถุประสงค์: เพ่ือศึกษาความแตกต่างของแบบแผนการดาเนิ นชีวิตระหว่างกลุ่มศึกษาที่มีภาวะ
เมตาบอลิกซินโดรมกบั กลุ่มเปรียบเทยี บทีไ่ ม่มีภาวะเมตาบอลิกซินโดรม

วธิ ีดาเนินการวิจัย: การวิจยั เชิงวเิ คราะห์ แบบมีกลุ่มควบคุม โดยศึกษาจากประชากรที่ไดร้ ับการตรวจประเมิน
ความเสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อเร้ือรัง กลุ่มตวั อย่าง คือ ผูท้ ่ีมีภาวะดัชนีมวลกายเกินเกณฑ์ ตาม WHO expert
consultationจานวน 160 คน แบ่งเป็ นกลุ่มศึกษาท่ีมีภาวะเมตาบอลิกซินโดรม 80 คน และกลุ่มเปรียบเทียบที่
ไม่มีภาวะเมตาบอลิกซินโดรม 80 คน เกบ็ ขอ้ มูล ระหวา่ งเดือนกรกฎาคม ถึง เดือนตุลาคม พ.ศ. 2561 เคร่ืองมือที่
ใชใ้ นการวจิ ยั ประกอบดว้ ยแบบบนั ทกึ ขอ้ มูลส่วนบุคคล และแบบสอบถามแบบแผนการดาเนินชีวติ

ผลการวิจัย: กลุ่มตวั อยา่ งท้งั สองกลุ่ม ส่วนใหญเ่ ป็ นเพศหญิงโดยกลุ่มทมี่ ีภาวะเมตาบอลิกซินโดรมมีภาวะอว้ น
คิดเป็นรอ้ ยละ 73.75 ส่วนกลุ่มเปรียบเทียบ มีภาวะอว้ นเพยี งร้อยละ 36.25 ผลการวจิ ยั พบวา่ แบบแผนการดาเนิน
ชีวติ ดา้ นการบริโภคอาหาร และดา้ นกิจกรรมการออกแรงเคลื่อนไหวและการออกกาลงั กาย ระหวา่ งกลุ่มศึกษา
กบั กลุ่มเปรียบเทียบ มีความแตกต่างกนั อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติ (p-value <0.05) ส่วนแบบแผนการดาเนินชีวติ
ดา้ นอื่นไดแ้ ก่ ดา้ นสุขภาพจิต ดา้ นการด่ืมเครื่องด่ืมแอลกอฮอล์ และดา้ นการสูบบุหร่ี ไม่มีความแตกตา่ งกนั

 ปีที่ 16 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563  25

บทความวจิ ยั
Research article

แบบแผนการดาเนินชีวิตที่มีความสัมพนั ธ์กบั การเกดิ ภาวะเมตาบอลิกซิน
โดรมในกลุ่มประชาชนท่ีอาศัยอยู่ในตาบลโคกพระเจดีย์ อาเภอนครชัยศรี
จงั หวดั นครปฐม

ศากลุ ช่างไม้ * มนต์ทพิ า เทพเทยี มทศั น์**
* ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั คริสเตียน
** พยาบาลวิชาชีพ รพ.สต.โคกพระเจดีย์ อาเภอนครชยั ศรี จงั หวดั นครปฐม

บทคดั ย่อ (ต่อ) รับบทความ: 13 พฤษภาคม 2563
แกไ้ ขบทความ: 27 พฤศจิกายน 2563
ตอบรับบทความ: 30 พฤศจิกายน 2563

สรุป: แบบแผนการดาเนินชีวิตระหวา่ งกลุ่มศึกษากบั กลุ่มเปรียบเทียบ ที่มีความแตกต่างกนั อยา่ งมีนัยสาคญั ทาง
สถิติ มีเพียงด้านการบริโภคอาหาร และด้านการออกแรงเคลื่อนไหวและการออกกาลังกาย ดงั น้ัน จึงควรวางแผน
ป้องกนั การเกิดภาวะเมตาบอลิกซินโดรมของประชาชนในความรับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ
ตาบลโคกพระเจดีย์ อาเภอนครชยั ศรี โดยเน้นการบริโภคอาหารที่ส่งเสริมสุขภาพดีและเน้นการเคล่ือนไหวร่างกาย
หรือออกกาลงั กาย และควรพฒั นารูปแบบการดูแลผมู้ ีภาวะเมตาบอลิกซินโดรมในชุมชนน้ี เพ่ือป้องกนั การเป็ น
เบาหวาน ความดนั โลหิตสูงและโรคหวั ใจและหลอดเลือดในอนาคต

คาสาคญั : เมตาบอลิกซินโดรม แบบแผนการดาเนินชีวติ ภาวะอว้ น

26  วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ 

บทความวจิ ยั
Research article

Lifestyle patterns associated with metabolic syndrome in people
living in Khok Phra Chedi, Nakhon Chaisri district, Nakhon Pathom
province

Sakul Changmai PhD* Montipa Teptiamtat **
* Assistant Professor, Faculty of Nursing, Christian University
** Registered Nurse, Khok Phra Chedi Health Promoting Hospital, Nakhon Chaisri District

Abstract Received: May 13, 2020
Revised: November 27, 2020
Accepted: November 30, 2020

Objective: To study the comparison of lifestyles between metabolic syndrome study group and non-metabolic

syndrome comparative group.

Materials and Methods: This is a case-control analytical study. The population were assessed for the risk of

chronic non-communicable diseases. Samples are those who had a body mass index over normal according to
WHO expert consultation. A total of 160 people were divided into two groups of metabolic syndrome study
group and non- metabolic syndrome comparison group with 80 people in each group. Data were collected
between July to October 2018, by using a personal data record form and the lifestyle questionnaires.

Results: Both groups had more female than male participants. There are the obesity participants with 73.75%

in the study group, while 36.25% in the comparison group. The main result showed the food consumption
lifestyle and the exertion of movement and exercise between two groups were different statistical significantly
(p-value <0.05). Other lifestyles included mental health, drinking alcohol, and smoking showed no differences.

Conclusions: The different lifestyles between the study group and the comparison group were the food

consumption and the exertion of movement and exercise. Therefore, there should be a plan to prevent the
occurrence of metabolic syndrome of people in Khok Phra Chedi Health Promoting Hospital, Nakhon Chai Si
District by focusing on promotion to eat healthy food and keep body movement or exercise. In addition, there
should be a development of a model for the treatment of metabolic syndrome in this community to prevent
diabetes, high blood pressure and cardiovascular disease in the future.

Keywords: Metabolic syndrome, Lifestyle, Obesity

 ปีที่ 16 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563  27

บทนา ประชากร4 จากขอ้ มูลทางวชิ าการ เร่ืองปัจจยั เสี่ยง
ในการเป็ นโรคเบาหวาน โรคความดนั โลหิตสูง
โรคไม่ติดต่อเร้ือรังเป็ นปัญหาสาคญั ระดบั โลก โรคหัวใจและหลอดเลือด พบว่า ปัจจัยเสี่ยง คือ
ซ่ึงส่งผลคุกคามต่อสุขภาพของประชาชน และ ภาวะอว้ นโดยเฉพาะอว้ นลงพงุ การมีกิจกรรมทาง
การพฒั นาประเทศ จากรายงานขององคก์ ารอนามยั โลก กายไม่เพียงพอ ผูท้ ี่รับประทานผกั ผลไม้รวมกัน
พบวา่ แต่ละปี ทว่ั โลกมีผูเ้ สียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อ น้อยกว่า 5 หน่วยมาตรฐานต่อวัน ภาวะเครียด
เร้ือรงั ประมาณ 40 ลา้ นคน ซ่ึงคิดเป็นร้อยละ 70 ของ การสูบบุหรี่เป็ นประจา และประวตั ิครอบครัว
สาเหตุการตายทว่ั โลก โดยประมาณ 17 ลา้ นคนที่ ทม่ี ีญาติโดยเฉพาะญาตสิ ายตรงเป็นโรคเบาหวาน5
เสียชีวิตด้วยโรคไม่ติดต่อเร้ือรัง จะเสียชีวิตก่อน
อายุ 70 ปี 1 ใน พ.ศ. 2558 มีคนป่ วยเป็ นโรคเบาหวาน ภาวะอว้ นลงพงุ หรือภาวะเมตาบอลิกซินโดรม
415 ล้านคน และทานายว่าใน พ.ศ. 2588 จะมี (metabolic syndrome) หรือกลุ่มอาการผิดปกติท่ี
คนป่ วยโรคเบาหวาน 642 ล้านคน ซ่ึงพบวา่ 1 ใน เป็ นปัจจยั เส่ียงต่อการเป็ นโรคหวั ใจและหลอดเลือด6
11 คน เป็ นโรคเบาหวานโดย ไม่รู้ตวั และโดยเฉล่ีย ซ่ึงในประชากรไทยอายุ 15 ปี ข้ึนไป พบว่า ยงั มี
ทกุ 6 วนิ าที มีคนตายจากโรคเบาหวาน2 ค่าเฉลี่ยความชุกสูงถึงร้อยละ 28.9 โดยเฉพาะใน
เพศหญิงพบมากกวา่ ในเพศชาย โดยพบวา่ เพ่ิมข้ึน
อตั ราตายด้วยโรคไม่ติดต่อเร้ือรังที่สาคญั ใน ตามอายทุ เี่ พิม่ ข้นึ ซ่ึงสูงสุดในช่วงอายสุ องกลุ่ม คือ
ภาพรวมของประเทศไทย ใน พ.ศ. 2556 - 2558 70 - 79 ปี และ 80 ปี ข้ึนไป และพบว่า นอกเขต
ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง เท่ากับ 7.99, 10.95, เทศบาลพบสูงกว่าในเขตเทศบาล เมื่อพิจารณา
12.1 ต่อแสนประชากร ส่วนอัตราการเสียชีวิต รายภาคพบวา่ ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ มีความชุก
ของโรคเบาหวาน เท่ากับ 14.9,17.53, 19.4 ต่อ สู งสุ ด7 ส่ วนสาเหตุสาคัญของการเกิดภาวะ
แสนประชากร โรคหัวใจและหลอดเลือด เท่ากับ เมตาบอลิกซินโดรม คือ รูปแบบการดาเนินชีวติ ที่
90.34, 90.34 ต่อแสนประชากร โรคหัวใจขาดเลือด เปลี่ยนแปลงอย่างมาก จากการมีสิ่งอานวยความ
เท่ากับ 26.91, 27.83, 29.9 ต่อแสนประชากร สะดวกมากข้ึน จนทาให้เกิดพฤติกรรมเนือยน่ิง
โรคหลอดเลือดสมอง เทา่ กบั 36.13, 38.66, 43.3 ต่อ (sedentary behaviors)8 มีข้อมูลพบว่า คนไทย
แสนประชากร3 และปี งบประมาณ 2558 พบว่า โดยเฉล่ียใชเ้ วลากบั กิจกรรมเคลื่อนไหวน้อย เช่น
โรคไม่ติดต่อเร้ือรังยงั เป็ นปัญหาสาคญั และทวี การนง่ั ๆ นอน ๆ ถึงวนั ละ 13.5 ชวั่ โมง ในขณะทมี่ ี
ความรุนแรงมากข้ึน มีผูป้ ่ วยด้วยโรคหัวใจขาด กิจกรรมทางกายรวมทุกประเภทเพียง 2 ชั่วโมง
เลือดเพิ่มข้ึน ร้อยละ 23.1 อตั ราป่ วย 1,011.67 ต่อ ต่อวนั 9 รวมถึงการมีพฤติกรรมสุขภาพอื่น ๆ ที่
แสนประชากร โรคหลอดเลือดสมองเพิ่มข้ึน ไม่เหมาะสม เช่น รับประทานอาหารที่ไม่มีคุณค่า
ร้อยละ 20.8 อัตราป่ วย 429.86 ต่อแสนประชากร ทางโภชนาการ ไขมนั สูง รสหวานจดั เค็มจดั ด่ืม
โรคเบาหวานเพมิ่ ข้ึนร้อยละ 19.6 อตั ราป่ วย 1,233 เคร่ืองดื่มที่มีน้าตาลสูง รวมท้งั การขาดการออก
ต่อแสนประชากร และโรคความดันโลหิตสูง กาลังกาย เป็ นตน้ 10 การศึกษาประชากรกลุ่มที่มี
เพิ่มข้ึนร้อยละ 10.9 อัตราป่ วย 1,901 ต่อแสน

28  วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ 

ภาวะอว้ นลงพงุ พบว่า ประชากรกลุ่มน้ีมีพฤติกรรม รายงานวา่ การมีกิจกรรมทางกายหรือมีการเคล่ือนไหว
สุขภาพดา้ นการบริโภคอาหารและการออกกาลงั กาย ไม่เพียงพอ ทาใหเ้ กิดภาวะเมตาบอลิกซินโดรมได้
อยู่ในระดบั ปานกลางเท่าน้ัน ซ่ึงมีค่าเฉลี่ยเท่ากบั สอดคลอ้ งกบั การรายงานของนกั วจิ ยั จากประเทศ
3.1511 และยงั พบวา่ ประชาชนมีการใชพ้ ลงั งานจาก จอร์แดน Al-Qawasmeh RH, Tayyem RF16 ท่ีกล่าว
กิจกรรมทางกายและการออกกาลังกายมีแนวโน้ม วา่ การขาดกิจกรรมการเคล่ือนไหวหรือการออก
ลดลง แต่การรบั พลงั งานจากการบริโภคอาหารและ กาลงั กายมีผลต่อการเกิดภาวะเมตาบอลิกซินโดรม
เค รื่ อ งดื่ ม ก ลับมี แน วโน้ม เพ่ิม ข้ ึน แล ะ เกิ น ค วา ม
ตอ้ งการ9 พฤติกรรมการบริโภคทเี่ ปล่ียนไป วถิ ีชีวิต โรคเบาหวาน และโรคหวั ใจและหลอดเลือด
สมยั ใหม่ทาใหก้ ารปรุงอาหารเองนอ้ ยลง ในขณะท่ี ผู้วิ จัย มี ค ว า ม ส น ใ จ ศึ ก ษ า แ บ บ แ ผ น ก า ร
มีการรับประทานอาหารนอกบา้ นหรือการซ้ืออาหาร
สาเร็จรูปมากข้ึน นอกจากน้ันพบว่า พฤติกรรม ด า เ นิ น ชี วิ ต ท่ี มี ค ว า ม สัม พ ัน ธ์กับ ก า ร เ กิ ด ภ า ว ะ
ดา้ นการเคลื่อนไหวร่างกาย หรือการมีกิจกรรม เมตาบอลิกซินโดรมในกลุ่มทเี่ กิดและไม่เกิดภาวะ
ทางกายน้อย ยงั เป็ นหน่ึงในสาเหตุหลกั ที่ทาให้ ดงั กล่าว ดว้ ยเหตผุ ลเน่ืองจากมีขอ้ มูลพบวา่ จงั หวดั
ประชากรมีภาวะอ้วนและพบว่า โรคอ้วนเป็ น นครปฐมเป็ นหน่ึงในจงั หวดั ที่มีอตั ราการเกิดโรค
ปัจจยั เสี่ยงของการเสียชีวิตและโรคเร้ือรังจานวน ไม่ติดต่อเร้ือรังสูงอยใู่ น 10 อนั ดบั ของประเทศ ในปี
มาก12 โดยมีรายงานวา่ ระยะเวลา 5 ปี ทีผ่ า่ นมา พบ พ.ศ. 2555 มีอัตราป่ วยโรคความดันโลหิตสูงเป็ น
เด็กและผูใ้ หญ่อ้วนเพิ่มข้ึนปี ละ 4 ล้านคน และ อันดับ 7 และโรคเบาหวานมีอัตราป่ วยสูงเป็ น
เสียชีวิตจากโรคอ้วน ปี ละประมาณ 20,000 คน10 อันดับ 917 ปี งบประมาณ 2559 จานวนผู้ป่ วย
นอกจากน้ันยังมีข้อมูลที่แสดงว่า คนไทยมี รายใหม่โรคความดนั โลหิตสูง จานวน 19,942 ราย
พฤติกรรมเส่ียงด้านอื่น ๆ สูงข้ึน เช่น การได้รับ อตั รา 2,216.92 ต่อแสนประชากร จานวนผูป้ ่ วย
โซเดียมจากการบริ โภคอาหารเฉลี่ยมากถึง รายใหม่โรคเบาหวาน จานวน 7,544 ราย อัตรา
4,351.69 มิลลิกรัมต่อคนต่อวนั 13 แนวโนม้ การด่ืม 838.65 ต่อแสนประชากรจานวนผปู้ ่ วยโรคหัวใจและ
สุราเพิม่ ข้ึนอยา่ งต่อเนื่อง จากประมาณร้อยละ 30 หลอดเลือดป่ วยรายใหม่ 1,164 ราย และจานวน
ใน พ.ศ. 2550 เป็ นประมาณร้อยละ 34 ใน พ.ศ. ผปู้ ่ วยโรคหลอดเลือดสมองรายใหม่ 1,370 ราย พบ
25584 พบอายเุ ฉลี่ยของการเร่ิมสูบบุหรี่ของคนไทย ค่าดชั นีมวลกายเกินเกณฑแ์ ละหรือค่ารอบเอวเกิน
ลดลงจาก 18.5 ปี เป็ น 17.8 ปี 14โดยความชุกของ เกณฑ์ในกลุ่มประชากร อายุ 15 ปี ข้ึนไป ร้อยละ
การสูบบุหร่ีในประชากรอายตุ ้งั แต่ 15 ปี ข้ึนไป คือ 30.37 ซ่ึงพบวา่ มีอตั ราป่ วยโรคต่าง ๆ สูงกว่าสถิติ
รอ้ ยละ 20.7 ใน พ.ศ. 255713 รวมของประชากรประเทศ (ไม่รวมกรุงเทพมหานคร)
ในปี เดียวกัน ดังรายละเอียด คือ มีผู้ป่ วยโรค
สาหรับงานวิจยั ในต่างประเทศท่ีเก่ียวขอ้ ง ความดันโลหิตสูงรายใหม่ 641,212 ราย อัตรา
กับ ภ า ว ะ เ ม ต า บ อ ลิ ก ซิ น โ ด ร ม กับ ก า ร อ อ ก แ ร ง 1,096.94 ต่อแสนประชากร โรคเบาหวานรายใหม่
เคลื่อนไหวและการออกกาลงั กายน้ัน Verma P, et al.15 282,387 ราย อัตรา 490.02 ต่อแสนประชากร
จานวนผู้ป่ วยโรคหัวใจและหลอดเลือดป่ วย

 ปีท่ี 16 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563  29

รายใหม่ 29,918 ราย และจานวนผปู้ ่ วยโรคหลอด ความอว้ นยงั ทาใหเ้ กิดภาวะด้ือต่ออินซูลิน จากน้นั ก็
เลือดสมองรายใหม่ 41,860 ราย ค่าดัชนีมวลกาย จะส่งผลใหเ้ กิดอาการอื่น ๆ ตามมา19
เกินเกณฑ์ และหรือค่ารอบเอวเกินเกณฑ์ ร้อยละ
32.48 และปี งบประมาณ 2560 ได้มีการต้ังค่า การศึกษาท่ีน่าสนใจท่ีมีการศึกษาความชุก
เป้าหมายจานวนผปู้ ่ วยรายใหม่โรคความดนั โลหิตสูง ของภาวะเมตาบอลิกซินโดรมในกลุ่มประชากร
(ตามค่าเป้าหมายต้องลดลง ร้อยละ 2.50) คือ โ ด ย ใ ช้เ ก ณ ฑ์บ่ ง ช้ ี ภ า ว ะ เ ม ต า บ อ ลิ ก ซิ น โ ด ร ม ท่ี
ไม่ควรเกินจานวน 19,444 ราย และค่าเป้าหมาย แตกต่างกนั พบวา่ อตั ราความชุกในกลุ่มประชากร
จานวนผู้ป่ วยรายใหม่โรคเบาหวาน (ตามค่า เดียวกัน เป็ นดงั น้ี ร้อยละ 16.93, 15.04 และ 12.70
เป้าหมายลดลง ร้อยละ 5) คือไม่ควรเกินจานวน โดยใช้เกณฑ์ NCEPT ATP III, IDF และ WHO
7,167 ราย18 ตามลาดบั พบวา่ อตั ราความชุกขององคป์ ระกอบ
ภาวะเมตาบอลิกซินโดรมมากที่สุด 3 อันดบั แรก
วตั ถปุ ระสงค์ คือ การมีรอบเอวเกินเกณฑม์ าตรฐาน ร้อยละ 44.70
ค่าดชั นีมวลกายเกินเกณฑม์ าตรฐานร้อยละ 37.50
เ พื่ อ ศึ ก ษ า ค ว า ม แ ต ก ต่ า ง ข อ ง แ บ บ แ ผ น และระดบั น้าตาลในเลือดขณะอดอาหารสูงเกินเกณฑ์
การดาเนิ น ชีวิต ในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ด้า น ร้อยละ 31.9020 โดยมีขอ้ มูลศึกษาปัจจยั ทางวิถีชีวิต
การบริโภคอาหาร ด้านการออกแรงเคล่ือนไหว และปัจจยั อื่นที่มีผลต่อภาวะเมตาบอลิกซินโดรม
และการออกกาลงั กาย ดา้ นสุขภาพจิต ดา้ นการด่ืม พบว่า เพศชาย ผูท้ ่ีมีอาชีพท่ีส่วนใหญ่ของเวลา
เคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์ และด้านการสูบบุหรี่ การทางานไม่ไดเ้ คล่ือนไหวหรือไม่ได้ใชแ้ รงงาน
ระหว่างกลุ่มศึกษาท่ีมีภาวะเมตาบอลิกซินโดรม การท่ีมีสมาชิกในครอบครัวเป็ นโรคเบาหวาน และ
และกลุ่มเปรียบเทยี บท่ีไม่มีภาวะเมตาบอลิกซินโดรม เพศหญิงท่ีมีภาวะหมดประจาเดือน เป็ นปัจจยั เส่ียง
ต่อภาวะเมตาบอลิกซินโดรม21 และพบวา่ ประชากร
กรอบแนวคดิ การวจิ ยั กลุ่มเส่ียงมีสาเหตุมาจากการปฏิบตั ิตนไม่ถูกตอ้ ง
ก า ร วิ จัย ค ร้ ั ง น้ ี ใ ช้ก ร อ บ แ น ว คิ ด ท่ี ม า จ า ก ดา้ นการรับประทานอาหาร การออกกาลงั กาย และ
การทบทวนวรรณกรรมและงานวิจยั ที่มีมาก่อน การจัดการความเครียด22 มีปัจจัยอ่ืน ๆ ที่พบว่ามี
ของภาวะเมตาบอลิกซินโดรม ซ่ึงเป็นกลุ่มอาการท่ี ความสัมพนั ธ์กับการเกิดภาวะเมตาบอลิกซินโดรม
มีลกั ษณะอ้วนแบบลงพุง ร่วมกบั ระดับไขมนั ใน ได้แก่ พฤติกรรมสุขภาพท่ีเป็ นแบบแผนชีวิต
เลือดผิดปกติ ระดับน้ าตาลในเลือดสูง ระดับ โดยรวม การบริโภคอาหาร การสูบบุหร่ี และการด่ืม
ความดันโลหิตเริ่มสูงข้ึน ซ่ึงผูท้ ี่เกิดกลุ่มอาการ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์23 ซ่ึงสอดคล้องและ
ดังกล่าวพบว่า มีความเส่ียงต่อการเกิดโรคหัวใจ สนับสนุนขอ้ มูลหลกั ฐานขององคก์ ารอนามยั โลก
และหลอดเลือด รวมท้งั โรคเบาหวานประเภทที่ 2 และประเทศสมาชิกที่ให้ความสาคญั กับกลุ่มโรค
สูง ส่วนสาเหตุที่ทาให้เกิดภาวะเมตาบอลิกซินโดรม ไม่ติดต่อเร้ือรัง (NCDs) ที่ตอ้ งป้องกนั และควบคุม
เช่ือวา่ น่าจะเกิดจากความอว้ นเป็ นสาเหตแุ รก และ

30  วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ 

อยา่ งเร่งด่วน คือ 4 โรคหลกั ไดแ้ ก่ โรคหวั ใจและ พฤติกรรมร่วมที่สาคญั 4 ประการ ไดแ้ ก่ การบริโภค
ยาสูบ การด่ืมเคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์ การบริโภค
หลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง และโรค อาหารท่ีไม่เหมาะสม และการมีกิจกรรมทางกาย
ไ ม่ เพีย งพ อ 13 ผู้วิจัยจึ งมี ค ว า ม สน ใ จศึก ษ า
ทางเดินหายใจเร้ือรัง ซ่ึงเกิดจากการเปลี่ยนแปลง เป รี ย บเ ทีย บแ บบ แผ น ก า ร ดา เนิ น ชี วิต ท่ีมี ค ว า ม
ทางสรีรวิทยา สาคญั 4 ปัจจยั ไดแ้ ก่ ภาวะไขมัน สมั พนั ธ์กบั การมีภาวะเมตาบอลิกซินโดรมในกลุ่ม
ประชากรที่อาศยั อยใู่ นตาบลโคกพระเจดีย์ อาเภอ
ในเลือดสูง ภาวะความดันโลหิตสูง ภาวะน้าตาล นครชยั ศรี จงั หวดั นครปฐม ดงั น้ี
ในเลือดสูง และภาวะน้าหนักเกินหรืออ้วน ซ่ึง
การเปล่ียนแปลงตา่ ง ๆ น้นั เกิดจากการมีพฤติกรรม
ทางสุขภาพท่ีไม่เหมาะสม โดยปัจจัยเสี่ยงทาง

กล่มุ ที่มภี าวะ แบบแผนการดาเนินชีวติ
เมตาบอลกิ ซินโดรม - ดา้ นการบริโภคอาหาร
- ดา้ นการออกแรงเคล่ือนไหว และ
กลุ่มที่ไม่มภี าวะ การออกกาลงั กาย
เมตาบอลิกซินโดรม - ดา้ นสุขภาพจิต
- ดา้ นการสูบบุหรี่
- ดา้ นการด่ืมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

แผนภาพที่ 1 กรอบแนวคิดการวิจยั

วธิ ีการดาเนินการวจิ ยั โรค สานกั งานหลกั ประกนั สุขภาพแห่งชาติ
ปี งบประมาณ 2560 และบนั ทึกเพือ่ ประเมินผล
การวิจยั น้ีเป็ นการวจิ ยั เชิงวิเคราะห์ (analytic ใน โปรแกรมสา เร็ จรู ป Hosxp_PCU ซ่ึ งเป็ น
study) แบบมีกลุ่มควบคุม (population-based case โปรแกรมหลกั ท่ีใชใ้ นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ
control study) ศกึ ษาในประชากร 2 กลุ่ม คอื กลุ่มทมี่ ี ตาบล ตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข
ภา วะ เม ตา บ อลิ กซิ นโ ด รม กับ กลุ่ ม ท่ี ไ ม่ มี ภา ว ะ
เมตาบอลิกซินโดรม กลุ่มตัวอย่าง ประชาชนในหมู่บา้ นท่ีไดร้ ับ
การสุ่มเลือกลาดบั ท่ีหน่ึง เป็ นกลุ่มศึกษา และกลุ่ม
ประชากร เป็ นท้ังเพศชายและหญิงมีอายุ เลือกลาดบั ทีส่ อง เป็ นกลุ่มควบคุม
35 - 74 ปี ที่อาศยั ในตาบลโคกพระเจดีย์ อาเภอ
นครชยั ศรี จงั หวดั นครปฐม จานวน 638 คน ท่ีมีค่า การกาหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่าง
ดัช นี ม ว ล ก า ย เ กิ น เ ก ณ ฑ์ต า ม WHO expert โดยคา น วณ จาก โปรแกรม สา เร็ จรู ป
consultation24 ซ่ึงได้รับการตรวจประเมินความ G* Power version 3.1.9.225 โดยขนาดกลุ่มตวั อยา่ ง:
เสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อเร้ือรัง โดยใชแ้ บบคดั กรอง กลุ่มควบคุม เท่ากบั 1:1 โดยกาหนดอานาจทดสอบ
ความเสี่ยงของกองทุนส่งเสริมสุขภาพและป้องกนั (1–β) ท่ีระดับ 0.85, ขนาดอิทธิพล (effect size)

 ปีที่ 16 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563  31

ขนาดกลางท่ีระดับ 0.50, ค่านัยสาคัญทางสถิติ 1. แบบสอบถามขอ้ มูลทวั่ ไป ไดแ้ ก่ เพศ อายุ
เท่ากับ 0.05 การเปรียบเทียบค่าผลลัพธ์ระหว่าง การศึกษา อาชีพ รายได้ ประวตั ิการเจ็บป่ วยโรค
2 กลุ่มน้ี เป็ นการทดสอบสมมติฐานแบบ 2 ทิศทาง เร้ือรงั ของญาติสายตรง
ซ่ึงได้ค่าท่ีเหมาะสมสาหรับการวิจัย คือ กลุ่ม
ตวั อยา่ ง จานวน 73 คน กลุ่มควบคุม จานวน 73 คน 2. แบบประเมินแบบแผนการดาเนินชีวติ ของ
รวม 146 คน แต่เนื่องจากการศึกษาอาจพบการขาด บคุ คล มีท้งั หมดจานวน 22 ขอ้ แบ่งเป็ นแตล่ ะดา้ น
หายของกลุ่ มตัวอย่างหรื อการได้ข้อมู ลไม่ ครบ คือ ด้านการบริโภค พฒั นาจากการทบทวนงานวจิ ยั
จงึ ปรบั เพม่ิ ขนาดจากที่คานวณอีกร้อยละ 1026 จึงได้ ท่ีเก่ียวขอ้ ง ประกอบดว้ ยขอ้ คาถามจานวน 10 ขอ้
ค่าท่ีเหมาะสมสาหรับการวจิ ยั คือ กลุ่มตวั อยา่ งที่มี แบบมาตราส่วนประมาณค่า 4 ระดบั (rating scale)
ภาวะเมตาบอลิกซินโดรม จานวน 80 คน และกลุ่มท่ี (ไม่เคยปฏิบตั ิ = 0 ปฏิบตั ิ 1 - 2 วนั ต่อสปั ดาห์ = 1
ไม่มีภาวะเมตาบอลิกซินโดรมจานวน 80 คน รวม ปฏิบตั ิ 3-4 วนั ต่อสัปดาห์ = 2 และปฏบิ ตั ิ 5 วนั ข้ึนไป
160 คน = 3) ด้านกิจกรรมการออกแรงเคลื่อนไหวและ
ออกกาลังกาย ดดั แปลงจากแบบสอบถามสากล
เกณฑ์การคดั เข้า ด้านการมีกิจกรรมทางกาย (Global Physical
เป็ นผูม้ ีการรับรู้ปกติ สามารถให้ขอ้ มูลได้ Activity Questionnaire: GPAQv2) ซ่ึงพัฒนาข้ึน
ด้วยตนเอง ไม่มีปัญหาการส่ือสาร การพูดและ โดยองค์การอนามัยโลกและดัดแปลงโดยกอง
การฟัง ออกกาลงั กายเพ่ือสุขภาพ กรมอนามัย กระทรวง
สาธารณสุข 27 ประกอบดว้ ยขอ้ คาถามจานวน 5 ขอ้
เกณฑ์การคดั ออก แบบมาตราส่วนประมาณค่า 4 ระดบั (ไม่เคยปฏบิ ตั ิ
การเจ็บป่ วยหรือความพิการท่ีเป็ นอุปสรรค = 0 ปฏิบตั ิ 1 - 2 วนั ตอ่ สปั ดาห์ = 1 ปฏิบตั ิ 3 - 4 วนั
ต่อการดาเนินชีวติ เช่น อมั พฤกษ/์ อมั พาต และเกิด ต่อสัปดาห์ = 2 และปฏิบตั ิ 5 วนั ข้ึนไป = 3) ด้าน
เจ็บป่ วยในช่วงขณะศึกษาขอ้ มูล จนไม่สามารถ การด่ืมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ดัดแปลงจากแบบ
ร่วมการวจิ ยั ได้ ประเมินปัญหาการด่ืมสุรา AUDIT: (Alcohol Use
Disorders Identification Test) จากคู่มือปรบั เปล่ียน
เครื่องมือท่ใี ช้ในการวิจยั พฤติกรรมในคลินิก NCD คุณภาพ 2558 ของ
ส่วนท่ี 1 แบบบันทึกการตรวจร่างกายและ กลุ่มโรคไม่ติดต่อเร้ือรัง กระทรวงสาธารณสุข28
เครื่องมือในการประเมิน ตามการเก็บข้อมูลใน ประกอบดว้ ยขอ้ คาถามจานวน 1 ขอ้ แบบมาตรา
โ ป ร แ ก ร ม ส า เ ร็ จ รู ป Hosxp_PCU ซ่ึ ง เ ป็ น ส่วนประมาณค่า 4 ระดับ (ไม่เคยด่ืม = 0 เคยดื่ม
โปรแกรมหลกั ที่ใชใ้ นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ และเลิกแล้วนานกว่า 1 ปี = 1 เลิกด่ืมระยะเวลา
ตาบล ตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข ไม่ถึงปี = 2 และปัจจุบนั ดื่ม = 3) ด้านการสูบบุหร่ี
ส่วนท่ี 2 เครื่องมือที่ใชใ้ นการเก็บขอ้ มูล เป็ น ดดั แปลงจากแบบ ทดสอบการติดบุหรี่ (Fagerstrom
แบบสอบถามท่ีพฒั นาข้ึนตามวตั ถุประสงค์ของ test for nicotine dependence: แ บ บ ท ด ส อ บ
การวจิ ยั และจากการทบทวนวรรณกรรม/งานวจิ ยั ท่ี ฟาร์เกอร์สตรอมเพ่ือวดั ระดบั การติดสารนิโคติน)
เกี่ยวขอ้ ง ประกอบดว้ ยแบบสอบถาม ดงั น้ี

32  วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ 

จากคู่มือช่วยเลิกบุหร่ีในคลินิกทนั ตกรรม แผนงาน การเก็บรวบรวมข้อมูล
วชิ าชีพทนั ตแพทยใ์ นการดาเนินงานควบคุมยาสูบ29 ผูว้ ิจัย ผู้ปฏิบตั ิงานอยู่ในพ้ืนที่ที่ดาเนินการ
ประกอบด้วยขอ้ คาถามจานวน 2 ขอ้ แบบมาตรา และผูช้ ่วยเก็บข้อมูลงานวิจัย จานวน 2 คน ได้แก่
ส่วนประมาณค่า 4 ระดบั (ไม่เคยปฏิบตั ิเลย = 0 เคย เจ้าพนักงานสาธารณสุข และอาสาสมัครประจา
ปฏิบตั ิแต่เลิกแล้วสองปี ข้ึนไป = 1 เคยปฏิบตั ิแต่ หมู่บา้ นทส่ี าเร็จการศึกษาระดบั มธั ยม คดั เลือกกลุ่ม
เลิกแล้ว 6 เดือนข้ึนไป = 2 และปฏิบตั ิทุกวนั = 3) ตวั อยา่ งและกลุ่มควบคุมตามเกณฑก์ ารคดั เลือกเขา้
และ ด้านสุขภาพจิต ใชแ้ บบประเมินความเครียด และคัดออกจากฐานขอ้ มูลประชากรในโปรแกรม
(ST- 5) ของกรมสุขภาพจิต จากคู่มือปรับเปล่ียน สาเร็จรูป Hosxp_PCU ของหน่วยงาน แลว้ นัดผชู้ ่วย
พฤติกรรมในคลินิก NCD คุณภาพ 2558 ของกลุ่ม เก็บขอ้ มูลงานวิจยั และกลุ่มตวั อยา่ ง เพื่อเก็บขอ้ มูล
โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง สานกั โรคไม่ติดต่อ กรม การตรวจประเมิ นร่ างกายและตอบแบบสอบถาม
ควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข28 มีขอ้ คาถาม ระหวา่ งเดือน กรกฎาคม ถึง ตุลาคม พ.ศ. 2561
จานวน 5 ขอ้ (ไม่มี = 0 เป็ นบางคร้ัง = 1 บ่อยคร้ัง การวิเคราะห์ข้อมูล ใชก้ ารแจกแจงความถี่
= 2 เป็นประจา = 3) ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ
สถิติเชิงวเิ คราะห์ (analysis statistics) การวิเคราะห์
การตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองมือ ขอ้ มูล เปรียบเทียบความแตกต่างอยา่ งมีนัยสาคญั
ผูว้ ิจยั นาเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บขอ้ มูลท้งั ทางสถิติของสัดส่ วนการมีองค์ประกอบใน
ฉบบั ผา่ นการพิจารณาจากผเู้ ชี่ยวชาญจานวน 5 ท่าน ประชากรท้งั 2 กลุ่ม (แบบแผนการดาเนินชีวติ ของ
ตรวจสอบ ค่าความตรงเชิงเน้ือหาเท่ากับ 0.82 และ กลุ่มท่ีเกิดภาวะเมตาบอลิกซินโดรมกับกลุ่มที่ไม่
นาไปหาความเชื่อม่ันได้ค่าสัมประสิทธ์ิแอลฟ่ า เกิดภาวะดงั กล่าว) โดยการทดสอบสมมติฐานดว้ ย
ของครอนบาค เท่ากบั 0.79 ตามลาดบั สถิติ t-test
การพิทักษ์สิทธ์ิ การวิจยั คร้ังน้ีไดร้ ับอนุมตั ิ
จากคณะกรรมการจริยธรรมการทาวิจยั ในมนุษย์ ผลการวจิ ยั
ของมหาวิทยาลัยคริสเตียน เลขที่ บ. 5/2560 และได้
ใชเ้ อกสารแสดงความยนิ ยอมการเขา้ ร่วมวจิ ยั คร้ังน้ีแก่ 1. ข้อมูลส่วนบุคคล จากตารางที่ 1 พบว่า
กลุ่ มตัวอย่าง ชี้แ จ ง ผู เ้ ข า้ ร่ว ม ว จิ ยั เ กี ่ย ว ก บั กลุ่มตวั อย่างที่มีภาวะเมตาบอลิกซินโดรมซ่ึงเป็ น
วตั ถุประสงคข์ องการวจิ ยั รายละเอียดการเก็บ กลุ่มศึกษา ส่วนใหญ่เป็ นเพศหญิง ร้อยละ 60
ขอ้ มูล และการนาเสนอขอ้ มูล ซ่ึงนาเสนอใน ส่ วนใหญ่อายุระหว่าง 69 - 74 ปี ร้อยละ 40
ภาพรวม พร้อมท้งั อธิบายให้กลุ่มตวั อยา่ งเขา้ ใจสิทธ์ิ สถานภาพสมรสคู่ ร้อยละ 68.75 ระดับการศึกษา
ของตนเองท่ีจะออกจากการวิจยั ไดห้ ากตอ้ งการ ท้งั น้ี ประถมศึกษา 1 - 6 ร้อยละ 61.25 อาชีพส่วนใหญ่ คือ
ไม่มีกลุ่มตวั อยา่ งรายใดท่ีขอถอนตวั ออกจากการวจิ ยั เกษตรกรรม โดยรูปแบบการทางานกลางแจง้ ร้อยละ
และทุกคนยนิ ดีใหข้ อ้ มูลเก่ียวกบั แบบแผนการดาเนิน 40 ความเพียงพอของรายได้ส่วนใหญ่เพียงพอ
ชีวติ ของตนเอง ร้อยละ 55 ส่วนกลุ่มตวั อยา่ งที่เป็ นกลุ่มเปรียบเทียบ
คอื ไม่มีภาวะเมตาบอลิกซินโดรม ส่วนใหญ่เป็ นเพศ

 ปีที่ 16 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563  33

หญิง ร้อยละ 53.75 ส่วนใหญ่อายรุ ะหว่าง 35 - 55 ปี เม่ื อท าการเปรี ยบเที ยบความแตกต่างของ
ร้อยละ 46.25 สถานภาพสมรสคู่ ร้อยละ 70 ระดับ ขอ้ มูลส่วนบุคคล ท้งั 6 ด้าน ด้วยสถิติไคสแควร์
การศึกษา ระดบั ประถมศึกษา ร้อยละ 58.75 อาชีพ พบวา่ มีเพียงขอ้ มูลดา้ นอายแุ ละรูปแบบการทางาน
ส่วนใหญ่ คือ เกษตรกรรม โดยรูปแบบการทางาน ข อ ง ท้ ัง ส อ ง ก ลุ่ ม ที่ มี ค ว า ม แ ต ก ต่ า ง กั น อ ย่ า ง มี
กลางแจง้ ร้อยละ 53.75 ความเพียงพอของรายได้ นัยสาคัญทางสถิติ (10.257, p-value 0.006; 7.555,
ส่วนใหญไ่ ม่เพยี งพอ รอ้ ยละ 52.50 p-value 0.023) (ดงั ตารางที่ 1)

ตารางที่ 1 ขอ้ มูลส่วนบุคคลของกลุ่มศึกษาที่มีภาวะเมตาบอลิกซินโดรมกบั กลุ่มเปรียบเทียบที่ไม่มีภาวะ
เมตาบอลิกซินโดรมและการเปรียบเทียบความแตกตา่ งดว้ ยสถิติ chi-square และ Fisher’s exact test

ข้ อมูลส่ วนบุคคล กลุ่มเปรียบเทียบ กลุ่มศึกษา chi-square p-value
เพศ จานวน ร้อยละ จานวน ร้อยละ Fisher’s 0.435
exact test (*) 0.006*
ชาย 37 46.25 32 40.00 0.637 0.759
หญิง 43 53.75 48 60.00
อายุ 37 46.25 18 22.50 10.257 0.057
35 - 55 ปี 23 28.75 30 37.50 0.023*
56 - 68 ปี 20 25.00 32 40.00 0.552 0.343
69 - 74 ปี 8 10.00 6 7.50
สถานภาพสมรส 56 70.00 55 68.75 9.916*
โสด 16 20.00 19 23.75
คู่ 1 1.25 6 7.50 7.555
ม่าย/ หยา่ /แยก 47 58.75 49 61.25 0.901
ระดบั การศึกษา 10 12.50 15 18.75
ไมไ่ ดเ้ รียน 16 20.00 9 11.25
ประถมศึกษา ป. 1 - ป.6 3 3.75 0 0.00
มธั ยมศึกษาตอนตน้ 3 3.75 1 1.25
มธั ยมศึกษาตอนปลาย/ปวช. 43 53.75 32 40.00
อนุปริญญา/ปวส. 27 33.75 24 30.00
ปริญญาตรีหรือสูงกว่า 10 12.50 24 30.00
ลกั ษณะอาชีพ 38 47.50 44 55.00
ทางานกลางแจง้ 42 52.50 36 45.00
ไม่ไดท้ างานกลางแจง้
แม่บา้ น
ความเพียงพอของรายได้
เพียงพอ
ไมเ่ พียงพอ

34  วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ 

2. สาหรับขอ้ มูลสุขภาพ พบว่า กลุ่มตวั อยา่ ง ค่าปกติท้งั เพศชายและเพศหญิงทุกราย ท้งั น้ีผวู้ ิจยั
ส่วนใหญ่ที่มีภาวะเมตาบอลิกซินโดรม มีภาวะ ไม่ไดเ้ ปรียบเทียบความแตกต่างของขอ้ มูลสุขภาพ
อว้ น คดิ เป็นร้อยละ 73.75 ในขณะท่กี ลุ่มตวั อยา่ งที่ ของท้ังสองกลุ่ มเพราะเป็ นข้อมูลที่จาแนก
ไม่มีภาวะเมตาบอลิกซินโดรมมีภาวะอ้วนเพียง ความแตกต่างของกลุ่มตวั อยา่ งอยแู่ ลว้
ร้อยละ 36.25 และส่วนใหญ่ในกลุ่มเปรียบเทียบมี
ค่าดัชนี มวลกายในเกณฑ์ปกติร้อยละ 40.00 3. การเปรียบเทียบความแตกต่างของแบบ
นอกจากน้นั กลุ่มท่มี ีภาวะเมตาบอลิกซินโดรมยงั มี แผนการดาเนินชีวิตในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ด้าน
โรคประจาตวั มากกว่า เช่น มีความดันโลหิตสูง การบริโภคอาหาร ด้านการออกแรงเคลื่อนไหว
ร้อยละ 75.00 เบาหวาน ร้อยละ 63.75 ไขมันใน และการออกกาลงั กาย ดา้ นสุขภาพจิต ดา้ นการด่ืม
เลือดสูงร้อยละ 53.75 มีระดับไตรกลีเซอไรด์สูง เครื่องด่ืมแอลกอฮอล์ และด้านการสูบบุหรี่
ผดิ ปกติ ร้อยละ 61.25 รวมท้งั มีขนาดรอบเอวเกิน ระหว่างกลุ่มศึกษาที่มีภาวะเมตาบอลิกซินโดรม
และกลุ่มเปรียบเทียบ (ดงั ตารางท่ี 2)

ตารางท่ี 2 เปรียบเทียบความแตกต่างแบบแผนการดาเนินชีวิตด้านต่าง ๆระหว่างกลุ่มศึกษาท่ีมีภาวะ
เมตาบอลิกซินโดรมกบั กลุ่มเปรียบเทยี บทีไ่ ม่มีภาวะเมตาบอลิกซินโดรม

ข้อมูลแบบแผนการดาเนินชีวติ กลุ่มศึกษา กลุ่มเปรียบเทยี บ ค่า t p-value
(n = 80) (n = 80)
ด้านการบริโภค ˉx - SD ˉx - SD 11.034* .000
ด้านกจิ กรรมการออกแรงเคล่ือนไหว 2.429* .015
1.21+0.36 1.87+0.40
และออกกาลงั กาย 1.30+0.54 1.55+0.73
ด้านสุขภาพจติ
ด้านการด่ืมเครื่องด่ืมแอลกอฮอล์ 2.22+0.58 2.34+0.50 1.421 .167
ด้านการสูบบุหรี่ 2.50+0.83 2.65+0.80 1.168 .242
*p<0.05 2.24+0.78 2.41+0.68 1.456 .184

จา ก ตา รา ง ท่ี 2 เป็ นการแสดงผลการ อภปิ รายผลการวจิ ยั
ทดสอบสมมติฐานการวจิ ยั ท้งั 5 ขอ้ พบว่า แบบ
แผนการดาเนินชีวติ ดา้ นที่มีความแตกต่างกนั อยา่ ง การศึกษาคร้ังน้ี พบว่า แบบแผนการดาเนิน
มีนัยสาคัญทางสถิติ (p-value <0.05) ระหว่าง ชีวิตระหวา่ งกลุ่มศึกษาท่ีมีภาวะเมตาบอลิกซินโดรม
กลุ่มศึกษาท่ีมีภาวะเมตาบอลิกซินโดรมกบั กลุ่ม กับ ก ลุ่ ม เป รี ยบ เที ยบ ด้า น ท่ี มี ค ว า ม แ ตก ต่า งกัน
อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติ (p-value < 0.05) มีเพียง
เปรียบเทียบ มีเพียง 2 ด้าน คือ ด้านการบริโภค 2 ด้าน คือ ด้านการบริโภค และด้านกิจกรรม
และดา้ นการออกกาลงั กาย ส่วนดา้ นอ่ืนไม่มีความ
แตกต่างกนั ในคนสองกลุ่มน้ี การออกแรงเคล่ือนไหวและการออกกาลงั กาย
สาหรับแบบแผนการดาเนินชีวิตที่ท้งั สองกลุ่ม

 ปีท่ี 16 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563  35

ไม่แตกต่างกัน คือ ด้านสุขภาพจิต ดา้ นการด่ืม เช่น เพศ การสูบบุหร่ี การดื่มเครื่องด่ืมแอลกอฮอล์
ก็พบว่า ผทู้ ่ีรับประทานอาหารทไ่ี ม่เหมาะสมและ
เครื่องด่ืมแอลกอฮอล์ และดา้ นการสูบบุหร่ี เป็นอาหารท่ีมีพลงั งานมากเกินไปมีความเสี่ยงต่อ
ก า ร เกิ ด ภา ว ะ เม ต า บ อ ลิ ก ซิ น โด ร ม ม า ก ก ว่า ถึ ง
ผลการศึกษาท่ีพบยนื ยนั ความสาคัญของ 2 เท่า32

การบริโภคและการออกกาลังกายท่ีเป็ นปัจจัย สาหรับแบบแผนการดาเนินชีวติ ดา้ นกิจกรรม
การออกแรงเคลื่อนไหวและการออกกาลังกายของ
สาคญั หลักของการควบคุมภาวะอ้วนลงพุงได้ กลุ่มศึกษาท่ีมีภาวะเมตาบอลิกซินโดรมกับกลุ่ม
และเป็ นไปตามที่ มยุรี หอมสนิท30 กล่าวว่า เปรียบเทียบ มีความแตกต่างกันอยา่ งมีนัยสาคญั
ส่วนใหญ่กลุ่มท่ีเกิดภาวะเมตาบอลิกซินโดรมเกิด ทางสถิติ (p-value <0.05) โดยกลุ่มศึกษามีแบบ
จากการใช้ชีวิตอย่างไม่เหมาะสม การบริโภค แผนการดาเนินชีวิตด้านกิจกรรมการออกแรง
เคลื่อนไหวและการออกกาลงั กายนอ้ ยกวา่ กลุ่มท่ี
อาหารท่ีมีพลังงานสูง และใช้ชีวิตแบบนั่ง ๆ ไม่มีภาวะเมตาบอลิกซินโดรม (mean = 1.30 และ
นอน ๆ ไม่ค่อยออกกาลงั กาย ทาใหร้ ่างกายไดร้ ับ 1.55 ตามลาดับ) ท้ังน้ีเม่ือวิเคราะห์ข้อมูลด้าน
กิจกรรมการออกแรงเคลื่อนไหวและการออก
พลังงานจากสารอาหารมาก และใชพ้ ลงั งานใน กาลังกาย ของกลุ่มศึกษาพบว่า มีแบบแผน
ชีวิตประจาวนั น้อยลง พลังงานส่วนเกินจึงถูก การดาเนินชีวติ ดา้ นน้ีอย่ใู นระดบั เส่ียงปานกลาง
สะสมอยใู่ นรูปของเน้ือเยอ่ื ไขมนั ทพี่ อกพูนอยใู่ น รอ้ ยละ 48.75 และเส่ียงสูง ร้อยละ 15.00 (รวมเป็ น
ช่องทอ้ ง นอกจากน้ันยงั สอดคล้องกบั อีกหลาย ร้อยละ 63.75) ในขณ ะท่ีกลุ่มเปรี ยบเทียบ
งานวจิ ยั ท่ีพบวา่ ในการศึกษาพฤติกรรมเส่ียงของ ไม่มีความเส่ียงในด้านน้ี ร้อยละ 17.50 และมี
กลุ่ ม เส่ี ย งโ ร ค ไม่ ติ ดต่ อ เ ร้ื อ รั งด้า น กา ร บริ โ ภ ค ความเสี่ยงต่า ร้อยละ 33.75 (รวมเป็ นร้อยละ
อาหารในภาพรวม พบว่า อยู่ในระดับเสี่ยงมาก
โดยส่วนใหญ่มีพฤติกรรมเส่ียงในเร่ื องของ 51.25) นอกจากน้ัน เมื่อพิจารณาจากข้อมูล
ส่วนบคุ คลที่เปรียบเทียบระหวา่ งสองกลุ่มในเรื่อง
การเติมน้ าปลา ซีอิ้ว น้ าตาล ผงชูรส รสดี ของลกั ษณะอาชีพพบวา่ มีความแตกตา่ งกนั อยา่ ง
ในการปรุงอาหารในแต่ละม้ือ รองลงมา คือ มีนยั สาคญั ทางสถิติ (p-value < 0.05) โดยในกลุ่ม
การรับประทานอาหารประเภททอด ผัด และ เ ป รี ย บ เ ที ย บ ท่ี ไ ม่ มี ภ า ว ะ เ ม ต า บ อ ลิ ก ซิ น โ ด ร ม

รับประทานอาหารท่ีมีไขมนั และคอเลสเตอรอลสูง ประกอบอาชีพที่เป็นการทางานกลางแจง้ ร้อยละ
เช่น เคร่ืองในสัตว์ ขาหมูติดมัน หนังไก่ และ 53.75 ส่วนกลุ่มศกึ ษาที่มีภาวะเมตาบอลิกซินโดรม
คอหมูยา่ ง เป็ นตน้ 31 การรับประทานอาหารมาก ประกอบอาชีพที่เป็ นการทางานกลางแจง้ เพียง
เกินไปจนร่างกายใชพ้ ลงั งานไม่หมด พลงั งานที่ ร้อยละ 40.00 ผลการวิจัยน้ีแสดงให้เห็นว่า กลุ่ม
เหลือใชจ้ ะถูกสะสมในรูปของไขมัน เก็บไวใ้ น เปรียบเทียบท่ีไม่มีภาวะเมตาบอลิกซินโดรมยงั คง
เซลล์ไขมันตามท่ีต่าง ๆ สอดคลอ้ งกบั การศึกษา แบบแผนการดาเนินชีวิตที่เป็ นความเสี่ยงน้อย มี
ในประเทศอินเดียที่พบว่า การบริโภคอาหารที่ การเคลื่อนไหวกิจกรรมต่าง ๆ มากกว่ากลุ่มท่ีมี
ไม่ส่งเสริมสุขภาพ เป็ นปัจจยั ที่พบมากที่สุดใน ภาวะเมตาบอลิกซินโดรม สอดคลอ้ งกบั การศกึ ษา
กลุ่มผทู้ มี่ ีภาวะเมตาบอลิกซินโดรม โดยเฉพาะคน

ที่ชอบรับประทานอาหารขยะ (junk food) มัก
พบวา่ มีโอกาสเกิดภาวะเมตาบอลิกซินโดรมมาก
เป็ น 3 เท่า และอาหารหวานมากกวา่ 2.3 เท่าของ
ของผูท้ ่ีไม่มีภาวะน้ี15 และเม่ือตดั ปัจจยั เส่ียงอ่ืน

36  วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ 

ของ ปฏิพนั ธ์ เสริมศักด์ิ33 ที่พบว่า ผู้ที่มีภาวะ ผลการวจิ ยั น้ีไม่สอดคลอ้ งกับการรายงานวา่ หาก
เมตาบอลิกซินโดรมมีพฤติกรรมไม่ออกกาลงั กาย บุคคลมีการใชช้ ีวิตท่ีไม่เครียดหรือมีการบริหาร
ถึงร้อยละ 62.6 สอดคล้องกบั ที่มยรุ ี หอมสนิท30 อารมณ์ท่ีเหมาะสมอนั เป็ นส่วนหน่ึงของลกั ษณะ
กล่าวว่า ส่วนใหญ่กลุ่มที่เกิดภาวะเมตาบอลิก นิสัยท่ีดีต่อสุขภาพ (healthy lifestyle) ซ่ึงมีความ
ซินโดรมเกิดจากการใช้ชีวิตอย่างไม่เหมาะสม เ ก่ี ย ว ข ้อ ง กับ ก า ร ล ด ค ว า ม เ สี่ ย ง ต่ อ ก า ร มี ภ า ว ะ
การบริโภคอาหารทมี่ ีพลงั งานสูง และใชช้ ีวติ แบบ เมตาบอลิกซินโดรม35 พฤติกรรมดงั กล่าว เช่น
นง่ั ๆ นอน ๆ ไม่ค่อยออกกาลงั กาย ทาให้ร่างกาย การพบปะเพื่อ นฝูง 1 ชั่วโมงในแต่ล ะวัน
ไดร้ บั พลงั งานจากสารอาหารมาก และใชพ้ ลงั งาน การทางานเพียง 40 ชวั่ โมงต่อสัปดาห์ การพกั งีบ
ในชีวติ ประจาวนั นอ้ ยลง น้อยกว่า 30 นาที ในช่วงบ่าย และการไม่ดู
โทรทศั น์เกิน 2 ชว่ั โมงตอ่ วนั
สาหรับงานวิจัยในต่างประเทศท่ีพบว่า
มีความสอดคลอ้ งกนั คือ งานของ Verma P, et al.15 ส่วนแบบแผนการดาเนินชีวติ ดา้ นการด่ืม
ที่พบว่าการมีกิจกรรมทางกายหรือมีการเคล่ือนไหว เคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์ของท้งั สองกลุ่มไม่มีความ
ไม่เพยี งพอทาใหเ้ กิดภาวะเมตาบอลิกซินโดรมได้ แตกต่างกนั อาจเป็ นเพราะขอ้ มูลดา้ นจานวนและ
ซ่ึงเป็ นไปในแนวทางเดียวกับการรายงานของ ร้อยละของการด่ืมแอลกอฮอล์ในท้งั สองกลุ่มมี
Perez-Martinez P, et al.34 นักวิจัยและแพทย์ ความใกลเ้ คียงกนั มาก จึงทาให้ผลการวิเคราะห์
เปรียบเทียบทางสถิติไม่แตกต่างกนั ซ่ึงผลคร้ังน้ี
ผูเ้ ชี่ยวชาญทางดา้ นโรคเร้ือรังของประเทศสเปน สอดคล้องกับผลการวิจัยของ Bhanushali C,
ท่ีแนะนาว่า การรับประทานอาหารที่ส่งเสริม et al.36 ทพี่ บวา่ เม่ือตดั ปัจจยั คุณลกั ษณะทางสงั คม
สุขภาพร่วมกบั การลดน้าหนกั และการเคล่ือนไหว
ออ ก ก าลังก า ย ช่ วยป้ อ งกันก า รเกิดภา วะ ของประชากร (sociodemographic) ออกแล้ว
เมตาบอลิกซินโดรมและลดการเกิดโรคหลอด ไม่ พบ ควา ม เกี่ ยวข ้องระ หว่า งก ารดื่ ม เคร่ื อ งด่ื ม
เลือดหัวใจและเบาหวานได้ ซ่ึงตรงกบั การรายงาน แอลกอฮอลก์ บั ภาวะเมตาบอลิกซินโดรม

ของนักวิจยั จากประเทศจอร์แดน Al-Qawasmeh แม้ว่า ใน ก า รวิจัยน้ี พบว่า แบบแผ น
RH, Tayyem RF 16 ที่กล่าวว่า การขาดกิจกรรม การดาเนินชีวิตดา้ นการสูบบุหรี่ของท้งั สองกลุ่ม
กา รเค ลื่ อ น ไ หวหรื อ ก า รอ อ ก ก า ลังก า ยมี ผล ต่อ ไม่มีความแตกต่างกัน อาจเป็ นเพราะขอ้ มูลด้าน
การเกิดภาวะเมตาบอลิกซินโดรม โรคเบาหวาน
และโรคหวั ใจและหลอดเลือด จานวนแ ละร้อยล ะของกา รสู บบุหรี่ ในท้ ังสอ ง
กลุ่ มมี ความใกล้เคียงกัน มาก จึงทาให้ผล
อย่างไรก็ตาม แบบแผนการดาเนินชีวิตท่ี การวเิ คราะห์เปรียบเทียบทางสถิติไม่แตกต่างกนั
ไม่แตกต่างกันระหว่างกลุ่มมีภาวะเมตาบอลิก ซ่ึ งผลคร้ังน้ี สอดคล้อ งกับผลกา รวิจัยขอ ง
ซินโดรมกบั กลุ่มที่ไม่มีภาวะเมตาบอลิกซินโดรม Bhanushali C, et al.36 ท่ีพบว่า เมื่อตัดปัจจัย
คือ ดา้ นสุขภาพจิต ดา้ นด่ืมเคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์
และด้านการสูบบุหรี่ แบบแผนการดาเนินชีวิต คุณลักษณะทางสังคมของประชากรออกแล้ว
ดา้ นสุขภาพจิตในผลการวจิ ยั น้ีสะทอ้ นใหเ้ ห็นว่า ไ ม่ พ บ ค ว า ม เ ก่ี ย ว ข้อ ง ร ะ ห ว่ า ง ก า ร สู บ บุ ห รี่
ความเครียดอาจไม่ใช่ปัจจยั ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การเกิด กับภาวะเมตาบอลิกซินโดรม อย่างไรก็ตาม
ภาวะเมตาบอลิกซินโดรมโดยตรง อยา่ งไรก็ตาม
ผลการวจิ ยั คร้งั น้ีขดั แยง้ กบั การศกึ ษาของชยาภสั ร์
รัตนหิรัญศกั ด์ิ และคณะ23 ท่ีพบกลุ่มประชากรท่ี

 ปีที่ 16 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563  37

สูบบุหรี่มีโอกาสเกิดภาวะเมตาบอลิกซินโดรม ข้อจากัดการวิจัย
11.04 เท่าของกลุ่มที่ไม่สูบบุหร่ี การสูบบุหร่ี การวิจยั คร้ังน้ีศึกษาเพียงปัจจยั ส่วนบุคคล
สามารถทานายการเกิดเมตาบอลิกซินโดรม ได้ บางประการและแบบแผนการดาเนินชีวิตด้าน
ร้อยละ 13.1 ในการรณรงค์เพ่ือป้องกันการเกิด ต่าง ๆ โดยไม่ได้ศึกษาการเผชิญ (coping) กับ
โรคเร้ือรัง อาจมีความจาเป็ นว่าตอ้ งส่งเสริมให้ เหตุการณ์ต่าง ๆในชีวติ ของบุคคล จึงอาจไม่เห็น
บุคคลงดการสูบบุหรี่ เพราะแม้ในผลการวิจัย ความแตกต่างในบางด้าน เช่น ด้านสุขภาพจิต
คร้ังน้ีบุหร่ีไม่มีความเก่ียวขอ้ งกับการเกิดภาวะ ท่ีแสดงถึงการเผชิญกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ของ
เมตาบอลิกซินโดรมก็จริง แต่บุหรี่ก็เป็ นบ่อเกิด บุคคลได้ อนั มีผลต่อการหลงั่ สารความเครียด ซ่ึง
ของโรคเร้ือรงั อ่ืน ๆ ไดเ้ ช่นกนั กระทบตอ่ กระบวนการเมตาบอลิสมของร่างกายได้

สรุปผลการวจิ ยั กติ ตกิ รรมประกาศ

การศึกษาเปรียบเทียบความแตกต่างของ ก า ร วิ จัย ค ร้ั ง น้ี ไ ด้รั บ ทุ น ส นั บ ส นุ น
แบบแผนก ารดาเนิ นชีวิต ด้า นต่า ง ๆ ขอ ง การวจิ ยั จากมหาวทิ ยาลยั คริสเตียนในปี การศึกษา
ประชาชนทอ่ี าศยั อยใู่ นตาบลโคกพระเจดีย์ อาเภอ 2560 ผูว้ ิจัยขอขอบพระคุณผูช้ ่วยศาสตราจารย์
นครชยั ศรี จงั หวดั นครปฐม ระหวา่ งกลุ่มศึกษาที่ ดร.จนั ทร์จิรา วงษข์ มทอง อธิการบดีในขณะน้ัน
มีภาวะเมตาบอลิกซินโดรม กบั กลุ่มเปรียบเทียบ ท่ีพิจารณาอนุมตั ิทุนสนับสนุน และขอขอบคุณ
ทีไ่ ม่มีภาวะเมตาบอลิกซินโดรม พบว่า แบบแผน ป ร ะ ช า ช น ท่ี อ า ศัย อ ยู่ใ น ต า บ ล โ ค ก พ ร ะ เ จ ดี ย ์
การดาเนิ นชีวิตด้านการบริ โภค และด้า น อาเภอนครชัยศรี จงั หวดั นครปฐม ทุกท่านที่ให้
ก า ร อ อ ก ก า ลัง ก า ย ใ น ป ร ะ ช า ช น ส อ ง ก ลุ่ ม น้ ี มี ความร่วมมือในการเป็ นกลุ่มตัวอย่างสาหรับ
ความแตกต่างกนั ส่วนดา้ นสุขภาพจติ ดา้ นการดื่ม การวจิ ยั คร้งั น้ี
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และดา้ นการสูบบุหร่ีไม่มี
ความแตกต่างกนั เอกสารอ้างองิ

ข้อเสนอแนะการนาผลวิจยั ไปใช้ 1. World health Organization. Noncommuni-
1. ใช้ในการวางแผนเพื่อจดั ระบบการดูแล cable diseases[Internet].2017[cited 2017
ผมู้ ีภาวะเมตาบอลิกซินโดรมใหล้ ดปัจจยั เสี่ยงทเี่ ป็ น April 14]. Available from: http://www.who.int/
แบบแผนการดาเนินชีวิตที่ไม่เหมาะสมท้งั น้ีตอ้ ง mediacentre/ factsheets/fs355/en/.
พจิ ารณาใหส้ อดคลอ้ งกบั บริบทของชุมชน
2. พฒั นาคุณภาพการบริหารงานการพยาบาล 2. ธนพันธ์ สุขสะอาด และคณะ. รายงา น
ในระดับโรงพยาบาลส่ งเสริ มสุ ขภาพตาบล สถานการณ์โรค NCDs ฉบับที่ 2 Kick off
โดยเนน้ การดูแลประชากรกลุ่มทม่ี ีภาวะเมตาบอลิก to the Goals. นนทบุรี: สานักงานพัฒนา
ซิ น โ ดร ม เ พ่ือ ป้ อ ง กัน ก า รเกิ ดโ รค เบ า หว า น แล ะ นโยบายสุขภาพระหวา่ งประเทศ; 2559.
โรคเร้ือรังอ่ืน ๆ

38  วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ 

3. ศรีเพญ็ สวสั ดิมงคล. รายงานประจาปี 2558 8. Edwardson CL, Gorely T, Davies MJ, Gray
สานักโรคไ ม่ ติ ดต่อ ก รม ควบ คุ ม โรค LJ, Khunti K, et al. Association of sedentary
กระทรวงสาธารณสุข. กรุงเทพฯ: สานกั งาน behaviour with metabolic syndrome: a
กิจการโรงพิมพอ์ งค์การสงเคราะห์ทหาร meta-analysis. PLoS ONE[Internet]. 2012
ผา่ นศกึ ในพระบรมราชูปถมั ภ;์ 2559. [cited 2020 September 18]; 7: e34916.
Available from: https://doi:10.1371/journal.
4. สานกั งานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกิจ pone.0034916.
และสงั คมแห่งชาติ. รายงานภาวะสังคมไทย
ไตรมาสสี่ และภาพรวมปี 2558[อินเทอร์เน็ต]. 9. สานักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ.
2559 [เขา้ ถึงเมื่อ 10 มีนาคม 2560]. เขา้ ถึงได้ สุขภาพคนไทย 2558: 11 ตวั ช้ีวดั โรคอ้วน
จาก: http://social.nesdb.go.th/. [อินเทอร์เน็ต]. 2558[เขา้ ถึงเมื่อ 23 มีนาคม
2560]. เข้า ถึงได้จา ก: http: / / suchons.
5. สายศิริ ด่านวัฒนะ. รายงานการประชุม wordpress. com/.
โค ร ง ก าร ป ร ะ ชุ มวิช า ก าร บ ริ ก า รป ฐ ม ภู มิ
เรื่องการจดั การเบาหวานแบบบูรณาการ 10. สมเกียรติ วฒั นศริ ิชยั กลุ . วกิ ฤติ NCDs ภาระ
[อินเทอร์เน็ต]. 2552 [เขา้ ถึงเม่ือ 1 พฤษภาคม โรควาระชาติ. HSRI Forum 2557; 3: 2-6.
2560]. เขา้ ถึงไดจ้ าก: http://kb. hsri.or.th/.
11. มธุรส บุญแสน, ทวีศักด์ิ กสิผล, วนิดา
6. ชัยชาญ ดีโรจนวงศ์. Metabolic syndrome ดุรงค์ฤทธิชัย. ปั จจัยทานายพฤติกรรม
(โรคอ้วนลงพุง). สารราชวิทยาลัยอายุร สุขภาพดา้ นการบริโภคอาหารและการออก
แพทย[์ อินเทอร์เน็ต]. 2549[เขา้ ถึงเมื่อ 10 กาลังกายของกาลังพลที่มีภาวะอ้วนลงพุง
มีนาคม 2560]; 23: 5-17. เข้าถึงได้จาก: ค่ายนวมินทราชินี จังหวดั ชลบุรี. วารสาร
https://doc-0o-2kapps- viewer. Googleuser พยาบาลทหารบก 2557; 15: 312-9.
content.com.
12. ไพบูลย์ พิทยาเธียรอนันต์, รักมณี บุตรชน,
7. วิชยั เอกพลากร. รายงานการสารวจสุขภาพ จอมขวญั โยธาสมุทร, วิชยั เอกพลากร, ยศ
ประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย คร้งั ท่ี 5 ตรี ะวฒั นานนท,์ เนติ สุขสมบูรณ์ และคณะ.
พ.ศ. 2557 สถาบนั วิจัยระบบสาธารณสุข ผลกระทบต่อค่าใชจ้ ่ายดา้ นสุขภาพจากภาวะ
[อินเทอร์เน็ต]. 2557[เขา้ ถึงเม่ือ 1 มีนาคม น้ าหนักเกินและโรคอ้วนในประเทศไทย
2560]. เขา้ ถึงไดจ้ าก: https://www.hsri.com/. สถาบนั วจิ ยั ระบบสาธารณสุข[อินเทอร์เน็ต].
2554[เขา้ ถึงเมื่อ 11 มีนาคม 2560]เขา้ ถึงได้
จ า ก : http: / / kb. hsri. or. th/ dspace/ handle/
11228/3374?locale-attribute=th.

 ปีท่ี 16 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563  39

13. ศิริวรรณ พทิ ยรงั สฤษฏ.์ รายงานสถานการณ์ 18. ละอองดาว คาชาตา, เพญ็ ศิริ ดารงภคภากร,
โรค NCDs ฉบบั ท่ี 2. นนทบุรี: สานักงาน อัมพรพรรณ ธีรานุตร. โรคอ้วนลงพุง :
พ ัฒ น า น โ ย บ า ย สุ ข ภ า พ ร ะ ห ว่ า ง ป ร ะ เ ท ศ สญั ญาณอนั ตรายที่ตอ้ งจดั การ. ศรีนครินทร์
กระทรวงสาธารณสุข; 2559. เวชสาร 2561; 33: 386-95.

14. ส ถ า บั น วิ จั ย ป ร ะ ช า ก ร แ ล ะ สั ง ค ม 19. ชลทิศ อุไรฤกษ์กุล. คู่มือโปรแกรมการ
มหาวิทยาลัยมหิดล. ตายดี: วิถีที่เลือกได้ ควบคุมน้ าหนักตัว[อินเทอร์เน็ต]. 2552
รายงานสุขภาพคนไทย [อินเทอร์เน็ต]. 2559 [เขา้ ถึง เม่ือ 10 มีนาคม 2560]. เขา้ ถึงไดจ้ าก:
[เขา้ ถึงเม่ือ 15 พฤษภาคม 2560]. เขา้ ถึงได้ www.hpc.go.th/director/data/ncd/ManualFo
จาก: http:/ /www.hiso.or.th/hiso5/ report/ rWtControlProgram.pdf.
report2016T.php.
20. แหลมทอง แกว้ ตระกูลพงษ.์ อตั ราความชุก
15. Verma P, Srivastava RK, Jain D. Association ของภาวะเมตาบอลิกซินโดรม: ข้อมูล
of lifestyle risk factors with metabolic ประชาชนที่มารับการตรวจสุขภาพประจาปี
syndrome components: a cross- sectional ทโี่ รงพยาบาลศรีเชียงใหม่ จงั หวดั หนองคาย.
study in Eastern India. Int J Prev วารสารวจิ ยั สาธารณสุขศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั
Med[Internet]. 2018[cited 2019 April 23]; ขอนแก่น 2551; 1: 1-10.
9: 1-8. Available from: DOI: 10.4103/ijpvm.
IJPVM_236_17. 21. นิติกร ภู่สุวรรณ. ปัจจยั ทางวถิ ีชีวิตทีม่ ีผลต่อ
โรคอว้ นลงพงุ ในประชาชน อาเภอบา้ นแพว้
16. Al- Qawasmeh RH, Tayyem RF. Dietary จังหวัด สมุทรสาคร เอกสารประกอบ
and lifestyle risk factors and metabolic 20th National grad research conference
syndrome: literature review. Food and [อินเทอร์เน็ต]. 2554 [เขา้ ถึงเม่ือ 10 มีนาคม
nutrition Journal[Internet]. 2018[cited 2019 2560]. เข้าถึงได้จาก: http: //www.grad.
April 23]; 6: 594-608. Available from: Doi: mahidol.ac.th/grad/conference/.
doi.org/10.12944/CRNFSJ.6.3.03.
22. บุปผาชาติ ทีงาม, เยาวภา ติอัชสุวรรณ,
17. อมรา ทองหงส์ กมลชนก เทพสิทธา และ ช่อทิพย์ บรมธนรัตน์. ปัจจยั ที่มีผลต่อการ
ภาคภูมิ จงพิริยะ อนันต์. รายงานการเฝ้า ปฏิบตั ิในการป้องกนั โรคเบาหวานและโรค
ระวังโรคไม่ติดต่อเร้ือรัง ปี พ.ศ. 2555. ความดันโลหิตสูงของประชากรกลุ่มเส่ียง
รายงานการเฝ้าระวงั ทางระบาดวิทยาประจา ในเขตพ้ืนที่รับผิดชอบของสถานีอนามัย
สปั ดาห.์ 2556; 44: 27. บ้านโพนม่วง อาเภอชุมพลบุรี จังหวัด
สุริ นทร์. วารสารวิจัยและพัฒนาระบบ
สุขภาพ 2555; 5: 127-34.

40  วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ 

23. ชยาภสั ร์ รัตนหิรัญศกั ด์ิ, น้าอ้อย ภกั ดีวงศ์, 28. จุรีพร คงประเสริฐ, ธิดารัตน์ อภิญญา. คู่มือ
วารินทร์ บินโฮเซ็น. ความสัมพนั ธร์ ะหว่าง ปรับเปล่ียนพฤติกรรมในคลินิ ก NCD
พฤติกรรมสุขภาพกับการเกิดเมตาบอลิก คุณภาพ[อินเทอร์เน็ต]. นนทบุรี: โรงพิมพ์
ซินโดรมของพนักงานโรงพยาบาลเอกชน ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย
แห่งหน่ึง. วารสารสมาคมสถาบนั อุดมศึกษา จากัด; 2558 [เขา้ ถึงเมื่อ 20 เมษายน 2560].
เอกชนแห่งประเทศไทยในพระราชูปถมั ภ์ เขา้ ถึงไดจ้ าก: http://thaincd.com/.
สมเด็จพระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราช
กมุ าร 2558; 4: 64-74. 29. เสาวลักษณ์ ลักษมีจรัลกุล , ปางก์เพ็ญ
เหลืองเอกทิน, ศิริ ลักษณ์ วงษ์วิจิตสุข.
24. WHO expert consultation. Appropriate body- การประเมินโครงการรณรงค์เลิกบุหรี่ของ
mass index for Asian populations and its บุคคลากร มหาวิทยาลัยหัวเฉี ยวเฉลิม
implications for policy and intervention พระเกี ยรติ . วารสารวิชา ก ารสมา ค ม
strategies. The Lancet 2004; 363: 157-63. สถาบนั อุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย
(วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลย)ี 2558; 4: 46-57.
25. Faul F, Erdfelder E, Lang AG, Buchner A, et al.
G*Power 3: A flexible statistical power 30. มยรุ ี หอมสนิท. รู้ได้อย่างไรว่า อว้ นลงพุง
analysis program for the social, behavioral, [อินเทอร์เน็ต]. 2559[เขา้ ถึงเมื่อ 5 เมษายน
and biomedical sciences. Behav Res 2560]. เขา้ ถึงไดจ้ าก: http://www.thaihealth.
Methods[Internet]. 2007[cited 2017 April or.th/.
10]; 39: 175-91. Available from: http://www.
gpower.hhu.de/. 31. ณิชารีย์ ใจคาวงั . พฤติกรรมเส่ียงของกลุ่ม
เสี่ยงโรคเบาหวานและโรคความดนั โลหิต
26. อรุณ จิรวฒั น์กุล. การปรับขนาดของกลุ่ม สูง: กรณีศึกษาโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ
ตวั อย่างเพ่ิมสาหรับผูไ้ ม่ตอบแบบสารวจ. ตาบลบ้านปากคะยาง จังหวัดสุโขทัย.
วารสารวชิ าการสาธารณสุข 2553; 19: 675-6. วารสารการพฒั นาชุมชนและคุณภาพชีวิต
2558; 3: 173-84.
27. กองออกกาลงั กายเพ่ือสุขภาพ. สถานการณ์
การมีกิจกรรมทางกาย/ออกกาลังกายของ
คนไทย. [อินเทอร์เน็ต]. 2555[เข้าถึงเมื่อ
6 เมษายน 2560]. เขา้ ถึงไดจ้ าก: https://sites.
google.com/.

 ปีที่ 16 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563  41

32. Sekgala MD, Monyeki KD, Mogale A, 35. Garralda-Del-Villar M, Carlos-Chillerón S,
Mchiza ZJ, Parker W, Choma SR, et al. The Diaz- Gutierrez J, Ruiz- Canela M, Gea A,
risk of metabolic syndrome as a result of Martínez- González MA, et al. Healthy
lifestyle among Ellisras rural young adults. J lifestyle and incidence of metabolic
Hum Hypertens[Internet]. 2018 [cited 2019 syndrome in the SUN cohort. Nutrients
April 23] ; 32: 572- 84. Available from: [Internet]. 2019[cited 2019 April 23]; 11: 65.
https://doi.org/10.1038/s41371-018-0076-8. Available from: www. mdpi. com/ journal/
nutrients.
33. ปฏิพนั ธ์ เสริมศกั ด์ิ. ความชุกและปัจจยั เสี่ยง
ภ า ว ะ เ ม ต า บ อ ลิ ก ซิ น โ ด ร ม ข อ ง พ นัก ง า น 36. Bhanushali C, Kumar K, Wutoh AK,
โ ร ง ง า น ที่ เ ข ้า ก ะ ใ น โ ร ง ง า น ผ ลิ ต ช้ิ น ส่ ว น Karavatas S, Habib MJ, Daniel M, et al.
อิเลคทรอนิกในจังหวัดนครราชสี มา. Association between lifestyle factors and
วารสารพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข 2558; metabolic syndrome among African
25: 157-65. Americans in the United States. Journal of
Nutrition and Metabolism[Internet]. 2013
34. Perez-Martinez P, Mikhailidis DP, Athyros VG, [cited 2019 April 23]; 8: 1-6. Available from:
Bullo M, Couture P, Covas MI, et al. http://dx.doi.org/10.1155/2013/51647.
Lifestyle recommendations for the prevention
and management of metabolic syndrome:
an international panel recommendation.
Nutrition Review[ Internet] . 2017[cited
2019 April 23]; 75: 307-26. Available from:
doi: 10.1093/nutrit/nux014.

42  วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ 

บทความวิจยั
Research article

ผลของโปรแกรมส่ งเสริมการรับรู้ความเชื่อด้านสุขภาพต่อพฤติกรรม
การป้องกันโรคหลอดเลือดสมองและการรับรู้ประโยชน์ของการคงไว้
ซึ่งพฤตกิ รรมในผ้สู ูงอายกุ ลุ่มเสี่ยง

ทติ าวดี สิงห์โค* ศากลุ ช่างไม้ Ph.D.** ทพิ า ต่อสกลุ แก้ว ปร.ด.***
*นกั ศึกษาหลกั สูตรพยาบาลศาสตรมหาบณั ฑิต (สาขาวชิ าการพยาบาลผใู้ หญ่) มหาวิทยาลยั คริสเตียน
**อาจารยท์ ่ปี รึกษาวทิ ยานิพนธห์ ลกั คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั คริสเตียน
***อาจารยท์ ี่ปรึกษาวทิ ยานิพนธ์ร่วม คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั คริสเตียน

บทคดั ย่อ รับบทความ: 7 เมษายน 2563
แกไ้ ขบทความ: 28 พฤศจิกายน 2563
ตอบรับบทความ: 30 พฤศจิกายน 2563

วัตถุประสงค์: เพ่ือประเมินผลของโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้ความเช่ือดา้ นสุขภาพในผสู้ ูงอายกุ ลุ่มเสี่ยงโรค
หลอดเลือดสมองต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองและการรับรู้ประโยชน์ของการคงไว้
ซ่ึงพฤตกิ รรม

วิธีการดาเนินการวิจัย: การวิจยั คร้ังน้ี เป็ นการวิจยั แบบก่ึงทดลอง แบบสองกลุ่มวดั ก่อนและหลงั การทดลอง
กลุ่มตัวอย่างเป็ นผู้สูงอายุกลุ่มเส่ียงโรคหลอดเลือดสมอง ท่ีมารับการรักษาในโรงพยาบาลสังกัด
กรุงเทพมหานครแห่งหน่ึง จานวน 66 คน แบง่ เป็ นกลุ่มละ 33 คน เลือกแบบเฉพาะเจาะจง ตามเกณฑท์ ่กี าหนด
กลุ่มทดลองไดร้ ับโปรแกรมส่งเสริมการรบั รู้ความเช่ือดา้ นสุขภาพเก่ียวกบั โรคหลอดเลือดสมอง 4 ดา้ น ไดแ้ ก่
1) การรับรู้โอกาสเส่ียงต่อการเกิดโรค 2) การรับรู้ความรุนแรงของโรค 3) การรับรู้ประโยชน์ของพฤติกรรม
การป้องกันโรค และ 4) การจดั การอุปสรรคของพฤติกรรมการป้องกนั โรค ซ่ึงสร้างจากโมเดลความเชื่อ
ดา้ นสุขภาพของ Stretcher VJ, Rosenstock IM ส่วนกลุ่มควบคุมไดร้ ับการพยาบาลตามปกติ เก็บรวบรวมขอ้ มูล
โดยใชแ้ บบประเมินพฤติกรรมและการรบั รู้ประโยชนข์ องการคงไวซ้ ่ึงพฤติกรรมการป้องกนั โรคหลอดเลือดสมอง
โดยใชส้ ถิติ independent t-test และ repeated measures ANOVA

ผลการวจิ ัย: กลุ่มทดลองมีค่าเฉล่ียคะแนนพฤตกิ รรมการป้องกนั โรคหลอดเลือดสมองมากกวา่ กลุ่มควบคุมอยา่ ง
มีนยั สาคญั ทางสถิติ (p< 0.05) และค่าเฉลี่ยคะแนนการรบั รู้ประโยชนข์ องการคงไวซ้ ่ึงพฤติกรรมการป้องกนั โรค
หลอดเลือดสมองมากกวา่ กลุ่มควบคุมอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติ (p< 0.05)


Click to View FlipBook Version