ปีที่ 16 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563 43
บทความวจิ ัย
Research article
ผลของโปรแกรมส่ งเสริมการรับรู้ ความเช่ื อด้ านสุ ขภาพต่ อพฤติกรรม
การป้องกันโรคหลอดเลือดสมองและการรับรู้ประโยชน์ของการคงไว้
ซ่ึงพฤตกิ รรมในผู้สูงอายกุ ล่มุ เสี่ยง
อาทติ าวดี สิงห์โค* ศากลุ ช่างไม้ Ph.D.** ทพิ า ต่อสกลุ แก้ว ปร.ด.***
*นกั ศกึ ษาหลกั สูตรพยาบาลศาสตรมหาบณั ฑิต (สาขาวชิ าการพยาบาลผใู้ หญ่) มหาวิทยาลยั คริสเตียน
**อาจารยท์ ีป่ รึกษาวิทยานิพนธห์ ลกั คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั คริสเตียน
***อาจารยท์ ี่ปรึกษาวิทยานิพนธร์ ่วม คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั คริสเตียน
บทคดั ย่อ (ต่อ) รับบทความ: 7 เมษายน 2563
แกไ้ ขบทความ: 28 พฤศจิกายน 2563
ตอบรับบทความ: 30 พฤศจิกายน 2563
สรุป: พยาบาลควรนาโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้ความเชื่อด้านสุขภาพในการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง
ไปใชใ้ นการส่งเสริมการรับรู้ความเชื่อดา้ นสุขภาพเพอื่ สนบั สนุนใหม้ ีพฤติกรรมการป้องกนั การเกิดโรคหลอด
เลือดสมองมากข้ึนในผสู้ ูงอายกุ ลุ่มเสี่ยง
คาสาคญั : ความเช่ือดา้ นสุขภาพ พฤติกรรมการป้องกนั โรคหลอดเลือดสมอง การรบั รู้ประโยชน์ของการคงไว้
ซ่ึงพฤตกิ รรม
44 วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
บทความวิจยั
Research article
The effects of promoting perception of health beliefs program on
stroke preventive behaviors and perceived benefit of sustained
behaviors in elderly at risk
Titawadee Singco* Sakul Changmai** Tipa Toskulkao***
*Student in Master of Nursing Science, Faculty of Nursing, Christian University
**Assistant Professor, Major advisor, Faculty of Nursing, Christian University
***Assistant Professor, Coadvisor, Faculty of Nursing, Christian University
Abstract Received: April 7, 2020
Revised: November 28, 2020
Accepted: November 30, 2020
Objectives: To evaluate the effects of promoting perception of health beliefs program on stroke preventive
behaviors and perceived benefit of sustained behaviors in elderly at risk.
Materials and Methods: This study was a quasi- experimental research with a two-group, pretest- posttest
design. the sample consisted of 66 elderly at risk of stroke admitted for medical treatment in a hospital under
the Bangkok Metropolitan Administration, and were purposive sampling according to the specific criteria. the
experimental group received promoting perception of health beliefs program, regarding stroke beliefs focusing
on; 1) perceived susceptibility 2) perceived severity 3) perceived benefits and 4) perceived barriers. the program
was developed based on the Health Belief Model. the control group received the usual nursing care. data were
collected by stroke preventive behaviors and perceived benefit of sustained behaviors questionnaires. the data
were analyzed by using independent t-test and repeated measures ANOVA statistics.
Results: The results revealed that the mean scores of stroke preventive behaviors in the experimental group
were statistically significant higher than those in the control group (p0.05). the mean scores of perceived
benefit of sustained behaviors in the experimental group were statistically significant higher than those in the
control group (p0.05)
Conclusions: The results suggest that nurses should consider utilizing promoting perception of health beliefs
program in elderly at risk group to promote the stroke preventive behaviors and perceived benefits of sustained
behaviors to prevent the occurrence of stroke.
Keywords: health beliefs, stroke preventive behaviors, perceived benefit of sustained behaviors
ปีที่ 16 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563 45
บทนา และสนับสนุนใหม้ ีการป้องกนั โดยลดปัจจยั เสี่ยง
ของการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง ผปู้ ่ วยโรคหลอด
โรคหลอดเลือดสมอง (stroke) เป็ นปัญหา เลือดสมอง ส่วนใหญ่เป็ นกลุ่มผูส้ ูงอายุท่ีมีปัจจยั
เสี่ยงสาคญั คือโรคเร้ือรังท่ีมกั พบบ่อยในผูส้ ูงอายุ
สาธารณสุขที่สาคัญระดับโลก องค์การอมั พาต ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคความดนั โลหิตสูง และ
โลก (World Stroke Organization: WSO) รายงาน ไขมันในเลือดสูง หากผู้สูงอายุกลุ่มเสี่ ยงมี
ในปี 2560 ว่า โรคหลอดเลือดสมองเป็ นสาเหตุ ความเชื่อดา้ นสุขภาพท่ดี ี มีโอกาสท่ีจะมีพฤตกิ รรม
การเสียชีวิตอันดับ 2 ของโลก มีจานวนผู้ป่ วย ป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง เน่ืองจากความเชื่อ
เป็ นความนึกคิดหรือความเขา้ ใจของบุคคลต่อ
ดว้ ยโรคหลอดเลือดสมองทวั่ โลก 17 ลา้ นคน และ
เสียชีวติ จากโรคหลอดเลือดสมอง จานวน 6.5 ลา้ น ส่ิงใดสิ่งหน่ึง จะทาใหบ้ ุคคลมีความโนม้ เอียงท่ีจะ
คน1 สาหรับในประเทศไทยโรคหลอดเลือดสมอง ปฏิบตั ิตาม ซ่ึงโมเดลความเช่ือดา้ นสุขภาพ (health
เป็ นสาเหตุของโรคท่ีก่อให้เกิดความสูญเสีย belief model) ของ Stretcher VJ, Rosenstock IM 5
อนั เน่ืองมาจากการตายก่อนวยั อนั ควรสูง มีอตั รา ไดก้ ล่าวไวว้ า่ บุคคลจะมีพฤตกิ รรมป้องกนั สุขภาพ
การตายสูงท่ีสุดใน 5โรคไม่ติดต่อเร้ือรังสาคญั 2 เกิดข้ึนหรือไม่น้ัน ข้ึนกบั ปัจจยั ต่าง ๆ ที่มีอิทธิพล
โรงพยาบาลหลวงพ่อทวศี กั ด์ิ ชุตินฺธโร อุทิศ เป็ น ต่อการกระทาท่ีเก่ียวขอ้ งกบั เรื่องสุขภาพอนามัย
โ ร ง พ ย า บ า ล ห น่ึ ง ใ น สัง กัด ก รุ ง เ ท พ ม ห า น ค ร คือ บคุ คลน้นั ตอ้ งมีการรบั รู้วา่ ตนเองมีโอกาสเสี่ยง
ต่อการเกิดโรคสูงมากน้อยเพียงใด หรือรับรู้
ปี งบประมาณ 2559-2561 พบผูป้ ่ วยโรคหลอด เกี่ยวกบั ความรุนแรงของโรค หรือภาวะแทรกซอ้ น
เลือดสมองจานวน 454, 474, 427 ราย ตามลาดบั 3 ท่ีอาจทาให้ถึงแก่ชีวิต อนั จะส่งผลให้บุคคลเกิด
ซ่ึงผู้ป่ วยโรคหลอดเลือดสมองส่วนใหญ่อายุ ความเกรงกลวั ต่อการเจ็บป่ วยดว้ ยโรคน้ัน ๆ และ
60 - 69 ปี คิดเป็ นร้อยละ 37.36 อายุ 70 - 79 ปี เริ่ มมี กา รรับ รู ้เก่ี ยวกับ ประโยชน์ขอ งก า รปฏิบัติ
เพ่ือการลดโอกาสเสี่ ยงต่อการเกิดโรค หาก
คิดเป็ นร้อยละ 26.84 และอายุ 80 ข้ึนไป คิดเป็ น บุคคลมีการรับรู้ถึงประโยชน์ในด้านการรักษา
ร้อยละ 17.86 ซ่ึงรวมเป็ นกลุ่มผูส้ ูงอายถุ ึงร้อยละ และการปฏิบตั ิตนมากกว่าอุปสรรค ก็จะปฏิบตั ิ
82.063 ผปู้ ่ วยท่ีรอดชีวติ จากโรคหลอดเลือดสมอง ตามคาแนะนาของทีมสุขภาพ การทบทวน
น้ันมักมีความพิการหลงเหลืออยู่ ความพิการ วรรณกรรมที่ผ่านมาพบว่า พฤติกรรมการ
ดงั กล่าวส่งผลกระทบท้งั ร่างกาย จิตใจ สงั คม และ ป้องกันโรคหลอดเลือดสมองมีความสัมพนั ธ์
เศรษฐกิจต่อตัวผูป้ ่ วย นอกจากน้ันยงั ส่งผลต่อ อ ย่ า ง มี นั ย ส า คัญ ท า ง ส ถิ ติ กั บ ค ว า ม เ ชื่ อ ด้ า น
ครอบครัว ชุมชนและประเทศชาติอีกด้วย จาก สุขภาพ6 การรับรู้ภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรค และ
สถานการณ์ดงั กล่าวกระทรวงสาธารณสุขไดจ้ ดั ทา ก า ร รั บ รู้ ป ร ะ โ ย ช น์ ต่ อ พ ฤ ติ ก ร ร ม ก า ร ป้ อ ง กัน
ยทุ ธศาสตร์การป้องกนั และควบคุมโรคไม่ติดต่อ โรคหลอดเลือดสมองอยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถิติ7
ระดับชาติ 5 ปี (พ.ศ. 2560 - 2564) และเห็น เช่นเดียวกบั งานวิจยั ของ Osamor PE, Ojelabi OA8
ความสาคญั ในการดาเนินการป้องกนั โรคไม่ตดิ ต่อ ผลการศกึ ษาพบวา่ การรับรูโ้ อกาสเสี่ยงต่อการเกิด
เร้ือรัง อนั เป็ นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหน่ึงของ
ประชากรไทย4 โดยเฉพาะโรคหลอดเลือดสมอง
และโรคหวั ใจขาดเลือด การคน้ หาผทู้ ่ีมีโอกาสเส่ียง
ต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองจึงเป็ นส่ิงท่ีสาคญั
46 วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
ภาวะแทรกซ้อนของโรคความดันโลหิตสูง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง และการรับรูป้ ระโยชน์ของ
โรคหวั ใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคหวั ใจลม้ เหลว ก า ร ค ง ไ ว ้ซ่ึ ง พ ฤ ติ ก ร ร ม ใ น ผู้สู ง อ า ยุก ลุ่ ม เ สี่ ย ง
และโรคไต มีความสัมพนั ธ์กับการปฏิบัติตาม นาไปสู่การส่งเสริมสุขภาพและการป้องกนั การเกิด
การรกั ษาความดนั โลหิตสูงอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติ โรคหลอดเลือดสมองตอ่ ไป และนาเอาผลการวจิ ยั
และสอดคล้องกับงานวิจัยของ Khorsandi M, มาร่ วมในการวางแผนการพยาบาล ส่งเสริม
et al.9 ผลการวจิ ยั พบว่า คะแนนการปฏิบตั ิตวั เพื่อ ก า ร รั บ รู้ ค ว า ม เ ช่ื อ ด้า น สุ ข ภ า พ ต่ อ พ ฤ ติ ก ร ร ม
ควบคุมความดนั โลหิตสูงในผสู้ ูงอายเุ พื่อป้องกัน การป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในประชาชน
ภาวะแทรกซ้อนของโรคความดนั โลหิตสูง เช่น กลุ่มอ่ืน ๆ เพื่อเกิดประโยชน์และลดอุบตั ิการณ์
โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง การเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
โรคหัวใจล้มเหลว และโรคไต ของกลุ่มก่อนกับ
หลังทันที และ 3 เดือนหลังได้รับการส่งเสริม วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั
การรบั รู้ความเช่ือดา้ นสุขภาพมีความแตกต่างอยา่ ง
มีนัยสาคัญทางสถิติ (p <0.001) จากการศึกษา 1. เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมการป้องกัน
ดังกล่าวขา้ งตน้ สรุปได้ว่า โมเดลความเชื่อด้าน โรคหลอดเลือดสมองหลงั การทดลองของผสู้ ูงอายุ
สุขภาพ ทีเ่ นน้ ถึงการรบั รู้ของบุคคลไดแ้ ก่ การรบั รู้ กลุ่มเสี่ยงระหวา่ งกลุ่มควบคุมกบั กลุ่มทดลอง
โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรค การรับรู้ความรุนแรง
ของโรค การรับรู้ถึงประโยชน์ของการรักษาและ 2. เพื่อเปรียบเทียบการรับรู้ประโยชน์ของ
ป้องกนั โรค การรับรู้ต่ออุปสรรค มีความสัมพนั ธ์ การคงไวซ้ ่ึงพฤติกรรมการป้องกนั โรคหลอดเลือด
กบั พฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง สมองของผูส้ ูงอายกุ ลุ่มเส่ียงระหว่างกลุ่มควบคุม
โดยหลีกเล่ียงการปฏิบตั พิ ฤตกิ รรมทส่ี ่งผลกระทบ กบั กลุ่มทดลอง
ต่อสุขภาพ ดงั น้ัน การส่งเสริมการรับรู้ความเชื่อ
ด้านสุขภาพในผูส้ ูงอายุกลุ่มเสี่ยงในเชิงรุก จึงมี สมมตฐิ านการวิจยั
ความสาคญั ในการป้องกนั โรคหลอดเลือดสมอง 1. ภายหลังก ารทดลอ งคะ แนน เฉลี่ ย
พฤติกรรมการป้องกนั โรคหลอดเลือดสมองของ
จ า ก ก า ร ท บ ท ว น ว ร ร ณ ก ร ร ม ที่ ผ่ า น ม า ผูส้ ูงอายุกลุ่มเสี่ยงในกลุ่มทดลองมากกว่ากลุ่ม
ส่ ว น ใ ห ญ่ เ ป็ น ก า ร ศึ ก ษ า เ ชิ ง พ ร ร ณ น า ห า ควบคุม
ความสัมพันธ์ แต่ยงั ไม่พบการศึกษารูปแบบ 2. ภายหลงั การทดลองคะแนนเฉล่ียการรบั รู้
ส่งเสริมการรบั รู้ความเช่ือดา้ นสุขภาพตอ่ พฤติกรรม ประโยชน์ของการคงไวซ้ ่ึงพฤติกรรมการป้องกนั
การป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผูส้ ูงอายุ โรคหลอดเลือดสมองของผูส้ ูงอายุกลุ่มเส่ียงใน
กลุ่มเสี่ยง กล่าวคือ เป็นกลุ่มท่ีมีคุณสมบตั ิที่ไดร้ ับ กลุ่มทดลองมากกวา่ กลุ่มควบคุม
ก า ร ต รว จ ค ัดก ร อ งแ ล้ว มี ภ า ว ะ เ สี่ ย งต่ อ ก า ร เ กิ ด กรอบแนวคดิ การวิจัย
โรคหลอดเลือดสมอง10 ผูว้ ิจัยจึงมีความสนใจ การศึกษาคร้ังน้ีใชโ้ มเดลความเช่ือดา้ นสุขภาพ
ที่ จะ ศึ ก ษา ผ ล ข อ ง โป ร แก รม ส่ งเ สริ ม ก า รรั บ รู้ ของ Stretcher VJ, Rosenstock IM 5 ที่กล่ าวว่า
ความเช่ือด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการป้องกัน การทบ่ี คุ คลจะปฏบิ ตั ิพฤติกรรมเพอื่ ป้องกนั โรคได้
อยา่ งมีประสิทธิภาพน้ัน ข้ึนอยู่กับความเช่ือของ
บุคคลที่เช่ือว่าปฏิบตั ิแล้วจะเกิดผลดีกับตนเอง
ปีที่ 16 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563 47
ทาให้มีความยินดีในการปฏิบัติ ความเช่ือเป็ น อย่างไร รวมท้ังลักษณะความยาวนานของ
การปฏิบตั ิพฤติกรรมน้ัน ๆ ดว้ ยการรับรู้อุปสรรค
ตวั กาหนดพฤติกรรมในการกระทาส่ิงใดส่ิงหน่ึง จะตอ้ งมีน้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับประโยชน์ที่
แ ล ะ ช่ ว ย ใ ห้ พ ฤ ติ ก ร ร ม น้ ั น ค ง อ ยู่ใ น ร ะ ย ะ ย า ว
ซ่ึงประกอบด้วย 1) การรับรู้ต่อโอกาสเส่ียงของ จะได้รับ นอกจากความเช่ือดา้ นสุขภาพแล้วยงั มี
การเป็ นโรค (perceived susceptibility) 2) การรับรู้ ปัจจยั ชกั นาใหเ้ กิดการปฏิบตั ิ (cues to action ) เช่น
คาแนะนาจากทีมสุขภาพ ข่าวสารด้านสุขภาพ
ความรุนแรงของโรค (perceived severity) โรคน้ัน ทางวทิ ยุ โทรทศั น์ มีผลต่อการรบั รู้และความเขา้ ใจ
มีความรุนแรง และส่งผลกระทบต่อชีวิตของตน ในแผนการรกั ษา และให้ความร่วมมือในการรักษา
นาไปสู่การปฏบิ ตั ิพฤตกิ รรมที่เหมาะสม
3) การรับรู้ถึงประโยชน์ของการปฏิบัติเพ่ือลด
โอกาสเสี่ยงในการเกิดโรค (perceived benefits) โปรแก รมส่ งเสริ มก า รรั บ รู้ค วาม เชื่อ ด้า น
เป็นการรับรูข้ องบุคคลตอ่ ประโยชน์ท่จี ะไดร้ ับจาก สุขภาพในผสู้ ูงอายกุ ลุ่มเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง
การปฏิบตั ิพฤติกรรมน้ันว่าจะช่วยลดความรุนแรง เป็ นการจดั กิจกรรม 4 ด้าน ตามโมเดลความเช่ือ
ของการเกิ ดภาวะแทรกซ้อนของโรค หรื อ ด้า นสุ ขภาพ ดังก ล่า วข้างต้น เม่ื อผู้สู งอา ยุ
จะสามารถควบคุมโรคได้โดยมีปัจจยั เสริม และ กลุ่มเส่ียงรับรู้ว่าตนเองมีความเส่ียงต่อการเป็ น
โรคหลอดเลือดสมอง และโรคมีความรุนแรง มี
ส่ิงอานวยความสะดวกอื่น (modifying factors) ที่ การรบั รู้ประโยชน์ในการปฏบิ ตั ิพฤตกิ รรมป้องกนั
ส่งเสริมการรับรู้ เช่น การไดร้ ับขอ้ มูล การรักษา โรคหลอดเลือดสมอง มีการรับรู้อุปสรรคต่อ
การปฏิบตั ิพฤติกรรมการป้องกนั โรคหลอดเลือดสมอง
การปฏิบตั ิพฤติกรรมที่ถูกตอ้ งจากคาแนะนาของ โดยมีสิ่งชกั นาให้เกิดการปฏิบตั ิ จะส่งผลให้เกิด
ทีมสุขภาพ ทาให้บุคคลน้นั ความเชื่อว่าวธิ ีน้ัน ๆ มี การปฏิบตั ิพฤติกรรมเพื่อป้องกนั โรคหลอดเลือด
ป ร ะ โ ย ช น์ แ ล ะ เ ห ม า ะ ส ม ที่ ท า ใ ห้ ไ ม่ เ กิ ด ภ า ว ะ สมองไดอ้ ยา่ งเหมาะสม และการรับรู้ประโยชนข์ อง
แทรกซ้อน 4) การรับรู้อุปสรรคในการปฏิบัติ การคงไวซ้ ่ึงพฤติกรรมการป้องกนั โรคหลอดเลือด
สมอง ดงั รูปที่ 1
พฤติกรรมการควบคุมโรค (perceived barriers)
เป็ นการรับรู้ของบุคคลวา่ อุปสรรคของการปฏิบตั ิ
พฤติกรรมการควบคุมโรคใช้เวลามากเพียงใด
คา่ ใชจ้ ่ายสูงเพียงใด เกิดผลขา้ งเคียงของการรักษา
ผสู้ ูงอายกุ ลุ่มเส่ียง พฤติกรรมการป้องกนั โรคหลอดเลือดสมอง
การรับรู้ประโยชนข์ องการคงไวซ้ ่ึง
พฤติกรรมการป้องกนั โรคหลอดเลือดสมอง
โปรแกรมส่งเสริมการรับรู้ความเช่ือดา้ นสุขภาพในผสู้ ูงอายกุ ลุ่มเส่ียงโรคหลอดเลือดสมอง 4 ดา้ น
1. การรับรู้โอกาสเส่ียงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
2. การรับรู้ความรุนแรงของโรคหลอดเลือดสมอง
3. การรับรู้ประโยชนข์ องพฤติกรรมการป้องกนั โรคหลอดเลือดสมอง
4. การจดั การอุปสรรคของพฤติกรรมการป้องกนั โรคหลอดเลือดสมอง
รูปท่ี 1 กรอบแนวคิดการวิจยั
48 วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
นิยามตวั แปร และเหมาะสมท่ีจะทาให้หาย หรือไม่เป็ นโรค
1. โปรแกรมส่งเสริมการรับรู้ความเชื่อ น้ัน ๆ ความเช่ือเหล่าน้ี จะส่งผลให้ผู้ป่ วยมี
ด้านสุ ขภาพ หมายถึง แบบแผนกิจกรรม พฤติกรรมป้ อ งกันโรคหลอ ดเลือ ดสมอ ง
การพยาบาลทท่ี าใหผ้ ูส้ ูงอายกุ ลุ่มเสี่ยง มีการรับรู้ แ ล ะ ป้ อ ง กั น ภ า ว ะ แ ท ร ก ซ้ อ น ที่ อ า จ เ กิ ด ข้ ึ น
ความเช่ือด้านสุ ขภาพที่ถูกต้องท้ัง 4 ด้าน ซ่ึงประยกุ ต์ใช้แบบประเมินการรับรู้ประโยชน์
ประกอบดว้ ย 1) การรับรู้ภาวะเสี่ยงการเกิดโรค การป้องกนั โรคหลอดเลือดสมอง11
หลอดเลือดสมอง 2) การรับรู้ความรุนแรงของ
โรคหลอดเลือดสมอง 3) การรับรู้ประโยชน์ของ วธิ ดี าเนนิ การวจิ ยั
พฤติกรรมการป้องกนั โรคหลอดเลือดสมอง และ
4) การรับรู้อุปสรรคของพฤติกรรมการป้องกนั การวิจัยคร้ังน้ีเป็ นการวิจัยก่ึงทดลอง
โรคหลอดเลือดสมอง โดยเป็ นการวิจยั แบบการศึกษาสองกลุ่มวดั ก่อน
2. พฤติกรรมการป้องกนั โรคหลอดเลือด และหลงั การทดลอง
สมอง หมายถึง การปฏิบตั กิ ิจกรรมท่เี กี่ยวขอ้ งกบั
สุขภาพ เพื่อป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือด ประชากร ได้แก่ ผูส้ ูงอายุท่ีมีอายุต้ังแต่
สมองในผูส้ ูงอายกุ ลุ่มเส่ียง เป็ นตวั บ่งช้ีโดยตรง 60 ปี ข้ึนไป ท้ังเพศชายและหญิง ที่เข้ารับ
ที่ทาให้เกิดผลลัพธ์ทางสุขภาพที่ดี คือ ไม่เป็ น การรักษาในหอผูป้ ่ วยในโรงพยาบาลหลวงพ่อ
โรค ประกอบด้วยพฤติกรรมด้านโภชนาการ ทวศี กั ด์ิ ชุตนิ ฺธโร อุทศิ
ก า ร อ อ ก ก า ลัง ก า ย ก า ร ค ว บ คุ ม น้ า ห นั ก
การรับประทานยา การรักษาตามนดั เป็ นประจา กลุ่มตัวอย่าง ผูส้ ูงอายุกลุ่มเสี่ยงคดั เลือก
งดสูบบุหรี่ งดด่ืมสุรา การจดั การความเครียด จากประชากรแบบเฉพาะเจาะจง คานวณขนาด
ประเมินโดยใชเ้ คร่ืองมือทป่ี ระยกุ ต์แบบประเมิน ของกลุ่มตวั อย่าง โดยใช้โปรแกรม G* Power
การปฏิบตั ติ วั เพอ่ื ป้องกนั การเกิดโรคหลอดเลือด Version 3.1.9.212 ก ารประม าณ ขอ งข นา ด
สมอง11 อิทธิพลจากงานวิจยั ท่ีคล้ายคลึงกันมากท่ีสุด
3. การรับรู้ประโยชน์ของการคงไว้ ค่าขนาดอิทธิพลขนาด (effect size) เท่ากับ 0.70
ซ่ึงพฤติกรรมการป้องกนั โรคหลอดเลือดสมอง โดยกาหนดระดับนัยสาคัญทางสถิติท่ี 0.05
หมายถึง การรับรู้ประโยชน์ของการปฏิบตั ิตน ค่าอานาจการทดสอบที่ 0.80 ได้จานวน 26 ราย
(perceived benefits) เกี่ยวกบั พฤติกรรมการป้องกนั ต่อกลุ่ม ผูว้ ิจัยปรับขนาดกลุ่มตัวอย่างเพ่ิมใน
โรคหลอดเลือดสมอง เพอ่ื ป้องกนั ภาวะแทรกซอ้ น กรณี มีผู้สูญหายหรื อขอยุติการเข้าร่ วมวิจัย
ทอี่ าจเกิดข้ึน การทบ่ี คุ คลจะปฏบิ ตั ิตามคาแนะนา โดยคาดว่าจะมีผสู้ ูญหายจากการติดตามติดตาม
หรือป้องกันไม่ให้เกิดโรค โดยการปฏิบตั ิน้ัน ร้อยละ 2013 จึงได้จานวนกลุ่มตวั อย่างกลุ่มละ
ตอ้ งมีความเช่ือวา่ เป็นการกระทาท่ีดีมีประโยชน์ 33 ราย รวมจานวนตวั อยา่ งท้งั หมด 66 ราย
เกณฑใ์ นการคดั เขา้ ศึกษา (inclusion criteria)
ได้แก่ 1) ผู้สูงอายุกลุ่มเสี่ยงที่มีความเสี่ยงต่อ
การเป็ นโรคหลอดเลือดสมอง ระดับความเส่ียง
ปีที่ 16 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563 49
สูง ระดับความเส่ียงสูงปานกลาง และระดับ การจดั การความเครียด จานวน 12 ขอ้ ลักษณะ
ความเสี่ยงสูงมาก10 2)ได้รับการประเมินด้วย เป็ น มา ตรา ส่ วนประม าณค่า (rating scale)
TMSE14 มีคะแนนมากกว่า 23 คะแนน 3) สามารถ 3 ระดับ ได้แก่ ปฏิบัติเป็ นประจา ปฏิบัติเป็ น
พูด ฟัง อ่าน เขียนภาษาไทยได้ 4) สามารถ บางคร้ัง และไม่เคยปฏิบตั ิ โดยผูท้ รงคุณวุฒิท่ีมี
ติดตามเยย่ี มทางโทรศพั ทไ์ ด้ และ 5) เต็มใจและ ความเช่ียวชาญดา้ นโรคหลอดเลือดสมองจานวน
ยนิ ดีใหค้ วามร่วมมือในการทาวจิ ยั คร้งั น้ี 5 ท่าน ตรวจสอบค่าความตรงตามเน้ือหา เทา่ กบั
1 และนาไปหาความเช่ือมัน่ ไดค้ ่าสัมประสิทธ์ิ
เกณฑ์คดั ออกจากการศึกษา (exclusion แอลฟ่ าของครอนบาค เท่ากบั 0.83
criteria) ไดแ้ ก่ 1) ไม่สามารถเขา้ ร่วมโปรแกรม
ไดค้ รบกาหนด 2) ผปู้ ่ วยมะเร็งระยะสุดทา้ ย และ 1.3 แบบประเมินการรับรู้ประโยชนข์ อง
3) ผปู้ ่ วยโรคไตเร้ือรังที่ตอ้ งลา้ งไต การคงไวซ้ ่ึงพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือด
สมอง11 ประกอบดว้ ยพฤติกรรมด้านโภชนาการ
เกณฑย์ ตุ ิการเป็ นกลุ่มตวั อยา่ งในการศึกษา ก า ร อ อ ก ก า ลัง ก า ย ก า ร ค ว บ คุ ม น้ า ห นั ก
(termination criteria) 1) เสี ยชี วิตข ณะอยู่ใน รับประทานยา การรักษาตามนัดเป็ นประจา
ระหวา่ งการทดลอง 2) ขอยตุ ิการเขา้ ร่วมการวจิ ยั การงดสูบบุหร่ี งดด่ืมสุรา และการจัดการ
และ 3) มีภาวะวิกฤติท่ีต้องได้รับการรักษา ความเครียด จานวน 8 ขอ้ ลักษณะเป็ นมาตรา
พยาบาลอย่างเร่งด่วน เช่น เจ็บหน้าอก หน้ามืด ส่วนประมาณค่า (rating scale) 3 ระดับ ได้แก่
ใจสั่น ชีพจรเตน้ ผิดจงั หวะ หายใจหอบเหนื่อย เห็นดว้ ย ไม่แน่ใจ ไม่เห็นดว้ ย โดยผทู้ รงคุณวฒุ ิที่
เป็ นลม มี ค ว า ม เ ชี่ ย ว ช า ญ ด้า น โ ร ค ห ล อ ด เ ลื อ ด ส ม อ ง
จานวน 5 ทา่ น ตรวจสอบค่าความตรงตามเน้ือหา
เครื่องมือทใี่ ช้ในการวจิ ยั เท่ากับ 1 และนาไปหาความเช่ือม่ันได้ ค่า
1. เคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวม สมั ประสิทธ์ิแอลฟ่ าของครอนบาค เท่ากบั 0.70
ขอ้ มูลประกอบดว้ ย 3 ส่วน ดงั น้ี
2. เ ค ร่ื อ ง มื อ ท่ี ใ ช้ ใ น ก า ร คัด ค ร อ ง
1.1 แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล ประกอบดว้ ย 2 ส่วน 1) แบบคดั กรองความเสี่ยง
ไดแ้ ก่ เพศ อายุ ระดบั การศกึ ษา อาชีพ รายไดข้ อง ต่อการเป็ นโรคหลอดเลือดสมองของกระทรวง
ครอบครัว โรคประจาตวั ประวตั ิครอบครัวท่เี ป็ น สาธารณสุข10 จานวน 8 ขอ้ ได้แก่ กลุ่มเสี่ยงสูง
โรคหลอดเลือดสมอง การไดร้ ับขอ้ มูลเกี่ยวกับ กลุ่มเสี่ยงสูง ปานกลาง และกลุ่มเสี่ยงสูงมาก
การป้องกนั โรคหลอดเลือดสมอง และการตรวจ และ 2) แบบทดสอบสมรรถภาพสมองของไทย
ร่างกายประจาปี หรือการพบแพทย์ TMSE 14 จานวน 6 ขอ้
1.2 แ บ บ ป ร ะ เ มิ น พ ฤ ติ ก ร ร ม 3. เครื่องมือท่ีใช้ในการทดลอง ได้แก่
การป้องกนั โรคหลอดเลือดสมอง11 ประกอบดว้ ย โปรแกรมส่งเสริมการรบั รู้ความเช่ือดา้ นสุขภาพ
พฤติกรรมด้านโภชนาการ การออกกาลังกาย ต่อพฤติกรรมการป้องกนั โรคหลอดเลือดสมอง
การควบคุมน้าหนกั รบั ประทานยา การรกั ษาตาม
นัดเป็ นประจา การงดสูบบุหร่ี งดด่ืมสุรา และ
50 วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
แ ล ะ ก า ร รั บ รู้ ป ร ะ โ ย ช น์ ข อ ง ก า ร ค ง ไ ว้ การเก็บรวบรวมข้อมูล
ซ่ึงพฤติกรรมในผสู้ ูงอายกุ ลุ่มเสี่ยง ประกอบดว้ ย ผูว้ ิจัยดาเนินการเก็บข้อมูลในผูส้ ูงอายุ
1) แผนการสอนเร่ืองการป้องกนั โรคหลอดเลือด กลุ่มเสี่ยง โดยเร่ิมจากการคดั เลือกผูส้ ูงอายุท่ีมี
สมอง 2) วีดีทศั น์ เรื่อง “ภาวะหลอดเลือดสมอง” คุณสมบตั ิตามเกณฑท์ ี่กาหนด จากน้นั เขา้ พบกบั
และวดี ีทศั น์เร่ือง “การออกกาลงั กายเพ่อื สุขภาพ กลุ่มตวั อย่าง สร้างสัมพนั ธภาพ แนะนาตนเอง
โดยวธิ ีการเดิน” 3) สไลดป์ ระกอบการสอนเรื่อง ช้ีแจงวัตถุประสงค์ ข้ันตอนการวิจัย และ
โรคหลอดเลือดสมอง และ 4) คู่มือการป้องกัน ก า รพิทัก ษ์สิ ท ธ์ิ หา ก ก ลุ่ ม ตัวอ ย่า งแสด ง
โรคหลอดเลือดสมอง โดยเครื่องมือท้งั หมดท่ี ความสมัครใจในการเข้าร่ วมการวิจัย ให้
ใช้ใน ก า รดา เนิ น ก า รวิจัยไ ด้รั บ ก า รตรวจสอ บ กลุ่มตัวอย่างลงนามในใบยินยอมเข้าร่ วม
ความถูกตอ้ งของเน้ือหาก่อนนาไปใชจ้ ริง และ การศึกษาวิจยั และขอความร่วมมือในการเก็บ
แก้ไขตามคาแนะนาจากผูท้ รงคุณวุฒิจานวน รวบรวมขอ้ มูล ท้งั น้ีเพ่อื ป้องกนั การแลกเปล่ียน
5 ท่าน ประกอบด้วย แพทย์ผู้เช่ียวชาญด้าน ขอ้ มูลระหว่างสองกลุ่ม ผูว้ ิจัยจึงเก็บขอ้ มูลใน
โรคหลอดเลือดสมอง 2 ท่าน พยาบาลเฉพาะ กลุ่มควบคุมก่อนจนครบ 33 รายให้แล้วเสร็จ
ทางดา้ นการพยาบาลผปู้ ่ วยโรคหลอดเลือดสมอง จากน้ันจึงเก็บขอ้ มูลในกลุ่มทดลองท้งั 33 ราย
1 ท่าน พยาบาลปฏิบตั ิการพยาบาลข้นั สูงสาขา ต า ม ล า ดับ โ ด ย ผู ้วิ จัย เ ก็ บ ร ว บ ร ว ม ข ้อ มู ล ด้ว ย
อายุรศาสตร์-ศัลยศาสตร์ 1 ท่าน และอาจารย์ ตนเองท้งั หมด ข้นั ตอนการเก็บรวบรวมขอ้ มูล
พ ย า บ า ล ส า ข า วิ ช า ก า ร พ ย า บ า ล พ้ื น ฐ า น ที่ มี ดงั แสดงในรูปที่ 2
ประสบการณ์การดูแลผปู้ ่ วยอายรุ กรรม 1 ท่าน
ปีที่ 16 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563 51
ผสู้ ูงอายกุ ลุ่มเสี่ยงจานวน 66 ราย
กลุ่มทดลอง 33 ราย purposive Sampling กลุ่มควบคุม 33 ราย
หลงั รับไวใ้ นโรงพยาบาล 24 ชวั่ โมง 1. สร้างสัมพนั ธภาพ ให้ขอ้ มูลอาการและแผนการรักษา
(10 - 15 นาท)ี 2. ประเมินพฤติกรรมการป้องกนั โรคหลอดเลือดสมองและการรับรู้
ประโยชน์ของการคงไวซ้ ่ึงพฤติกรรมการป้องกนั โรคหลอดเลือดสมอง
วนั ท่ี 2 ถึงจาหน่าย (30 - 35 นาที) วนั ที่ 2 ถึงจาหน่าย (5 - 10 นาที)
1. ส่งเสริมการรับรู้ภาวะเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง 1. ประเมนิ สัญญาณชีพ
2. ใหก้ ารพยาบาลตามขอ้ วินิจฉยั การ
- ชมวดี ีทศั น์ เรื่อง “ภาวะหลอดเลือดสมอง”
- สรุปปัจจยั เสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลอื ดสมอง และให้ พยาบาลและป้องกนั ภาวะแทรกซอ้ น
3. ให้ความรู้และคาแนะนา การดูแล
ขอ้ มูลแก่ผสู้ ูงอายมุ ีความเสี่ยงระดบั ใด
2. ส่งเสริมการรับรู้ความรุนแรงของโรคหลอดเลือดสมอง หากมีอาการทผี่ ดิ ปกติ แนะนาเรื่อง
โภชนาการและยา
- บรรยายถึงผลกระทบจากโรคหลอดเลือดสมอง 4. ติดตามดูแลตามอาการ
3. ส่งเสริมการรับรู้ถึงประโยชนก์ ารป้องกนั โรคหลอดเลือดสมอง 5. ประเมินการรับรู้ประโยชน์ของ
การคงไวซ้ ่ึงพฤติกรรมการป้องกนั
- ใหค้ วามรู้เกี่ยวกบั การป้องกนั โรคหลอดเลือดสมองและชม โรคหลอดเลือดสมองวนั จาหน่าย
ตวั อยา่ งและการสาธิตออกกาลงั กายของผสู้ ูงอายุ
4. ส่งเสริมการจดั การอุปสรรคของพฤติกรรมการป้องกนั โรค
หลอดเลือดสมองและวางแผนการจดั การอุปสรรคร่วมกบั
ผสู้ ูงอายกุ ลุ่มเส่ียง
5. ประเมนิ การรับรู้ประโยชน์ของการคงไวซ้ ่ึงพฤติกรรม
การป้องกนั โรคหลอดเลือดสมองวนั จาหน่าย
โทรศพั ทต์ ิดตามเยย่ี ม (10 - 15 นาที) (สปั ดาห์ที่ 2, 3)
สัปดาห์ที่ 4 (10 - 15 นาที) 1. ประเมินพฤติกรรมการป้องกนั โรคหลอดเลือดสมอง
2. การรับรู้ประโยชน์ของการคงไวซ้ ่ึงพฤติกรรมการป้องกนั โรคหลอดเลือดสมอง
รูปที่ 2 แสดงวิธีเกบ็ รวบรวมข้อมูล
การพิทกั ษ์สิทธ์ิกล่มุ ตัวอย่าง จริยธรรมการวิจัยในมนุษยข์ องโรงพยาบาล
ก า ร วิ จั ย ค ร้ั ง น้ี ไ ด้ รั บ อ นุ มั ติ จ า ก หลวงพอ่ ทวศี กั ด์ิ ชุตนิ ฺธโร อุทิศ สานักการแพทย์
คณ ะ กร ร ม กา ร พิจา ร ณ าจ ริ ยธ ร ร มก า ร วิจัย ใน กรุงเทพมหานคร เลขท่ี u009h/62 ผูว้ ิจยั เขา้ พบ
มนุษยม์ หาวิทยาลยั คริสเตยี น เลขที่ 05/2561 และ กลุ่มตัวอย่างท่ีเป็ นผูส้ ูงอายุกลุ่มเส่ียงโดยทา
ไดร้ ับการอนุมตั ิจากจากคณะกรรมการพจิ ารณา เอ ก สา รช้ี แจงถึ งก า รเก็ บรวบรวม ข้อ มู ล
52 วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
ระยะเวลาของการวิจัย วตั ถุประสงค์การวิจัย การวเิ คราะห์ข้อมลู
พร้อมท้งั แจง้ สิทธิในการปฏเิ สธ ซ่ึงจะไม่มีผลต่อ
ก า ร พ ย า บ า ล ห รื อ ก า ร บ า บัด รั ก ษ า ข อ ง แ พ ท ย ์ เปรี ยบเทียบคะแนนเฉล่ียพฤติกรรม
แต่อย่างใด ในกรณีท่ีกลุ่มตวั อย่างยนิ ดีเขา้ ร่วม การป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง ใช้สถิติ
การวจิ ยั จะมีเอกสารให้กลุ่มตวั อยา่ งเซ็นยนิ ยอม independent t – test เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ย
เขา้ ร่วมวิจยั ขอ้ มูลทุกอย่างจะถือเป็ นความลับ การรับรู้ประโยชน์ของการคงไวซ้ ่ึงพฤติกรรม
ไม่มีการเปิ ดเผยกับผูไ้ ม่เก่ียวขอ้ งและนาไปใช้ ก า ร ป้ อ ง กั น โ ร ค ห ล อ ด เ ลื อ ด ส ม อ ง ใ ช้ ส ถิ ติ
เพอื่ วตั ถุประสงคข์ องการทาวจิ ยั ในคร้งั น้ีเทา่ น้นั repeated measures ANOVA
ผลการวจิ ยั
1. ข้อมูลส่วนบุคคล
ตารางที่ 1 เปรียบเทยี บจานวนร้อยละ ค่าเฉล่ีย และส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐานของผสู้ ูงอายกุ ลุ่มเสี่ยง ระหวา่ ง
กลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง จาแนกตามลกั ษณะขอ้ มูลส่วนบคุ คล
กล่มุ ควบคุม กลุ่มทดลอง
ข้อมูลส่วนบคุ คล (n=33) (n=33) χ2/F*/t p-value
จานวน ร้อยละ จานวน ร้อยละ
เพศ
ชาย 5 15.20 6 18.20 0.01 1.00
หญิง 28 84.80 27 81.80
อายุ (ปี ) x̅=69.58, SD = 6.97 x̅=68.94, SD = 6.78 0.37 0.70
(min=60,max=82) (min=60,max=85)
สถานภาพสมรส 5 15.20 8 24.20 1.35 0.74
โสด 11 33.30 12 36.40
คู่ 15 45.50 11 33.30
หมา้ ย 2 6.10 2 6.10
หยา่ /แยก
26 78.80 31 93.93 5.71 0.07
ระดบั การศกึ ษา 6 18.20 1 3.03
ประถมศึกษา 1 3.00 1 3.03
มธั ยมศกึ ษา/อาชีวศกึ ษา
ปริญญาตรีหรือเทยี บเท่า
ปีท่ี 16 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563 53
ตารางที่ 1 เปรียบเทยี บจานวนรอ้ ยละ ค่าเฉล่ีย และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานของผสู้ ูงอายกุ ลุ่มเสี่ยง ระหวา่ ง
กลุ่มควบคมุ และกลุ่มทดลอง จาแนกตามลกั ษณะขอ้ มูลส่วนบคุ คล (ต่อ)
กล่มุ ควบคุม กล่มุ ทดลอง
ข้อมูลส่วนบคุ คล (n=33) (n=33) χ2/F*/t p-value
จานวน ร้อยละ จานวน ร้อยละ
อาชีพ
ไม่ไดป้ ระกอบอาชีพ 31 93.93 32 97 2.82 1.00
คา้ ขาย 1 3.03 1 3
ขา้ ราชการ/รฐั วสิ าหกิจ 1 3.03
รายไดเ้ ฉลี่ยของครอบครวั x̅=15,036.82 x̅=13,081.82 0.94 0.34
(บาทตอ่ เดือน) SD = 8,749.45 SD = 8,042.98
โรคประจาตวั (min=700 max=30,000) (min=700 max=30,000)
นอ้ ยกวา่ หรือเทา่ กบั 2 โรค 9 27.30 7 21.20 0.33 0.77
มากกวา่ หรือเท่ากบั 3 โรค 24 72.70 26 78.80
ประวตั ิครอบครัวท่เี ป็ น (min=60,Max=82)
โรคหลอดเลือดสมอง
ไม่มี 27 81.80 28 84.80 0.10 1.00
มี 6 18.20 5 15.20
การไดร้ บั ขอ้ มูลการป้องกนั
โรคหลอดเลือดสมอง
ไม่เคย 32 97 33 100 1.40 1.00
เคย 1 3
ตรวจร่างกายประจาปี
ไม่สม่าเสมอ 2 6.10 33 100 2.83 0.49
สม่าเสมอ 31 93.90
ระดบั ความเสี่ยงโรค
หลอดเลือดสมอง
สูง 9 27.3 7 21.20 2.06 0.49
สูงปานกลาง 16 48.5 22 66.70
สูงมาก 8 24.2 4 12.10
*Fisher’s exact test
54 วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
จากตารางท่ี 1 เมื่อนาขอ้ มูลมาเปรียบเทยี บ สถานภาพสมรส ระดบั การศึกษา การไดร้ บั ขอ้ มูล
ดว้ ยสถิติ chi-square พบว่า ลกั ษณะขอ้ มูลส่วน การป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง การตรวจ
บุคคลของกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง ไดแ้ ก่ ร่างกายประจาปี และระดบั ความเสี่ยงโรคหลอด
เพศ โรคประจาตวั ประวตั ิครอบครัวท่ีเป็ นโรค เลือดสมองไม่มีความแตกต่างกัน และเม่ือ
หล อ ดเลื อ ดสม อ งไ ม่ มี ค วา มแตก ต่า งกัน เปรียบเทียบดว้ ยสถิติ t-test พบวา่ อายุ และรายได้
เปรียบเทียบด้วยสถิติ Fisher’s exact test พบว่า เฉลี่ยของครอบครวั ไม่มีความแตกตา่ งกนั
2. พฤตกิ รรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง
ตารางที่ 2 เปรียบเทียบคะแนนเฉล่ียพฤติกรรมการป้องกนั โรคหลอดเลือดสมองระหวา่ งกลุ่มควบคุม
และกลุ่มทดลองภายหลงั การทดลอง
พฤติกรรมการป้องกนั กล่มุ ควบคมุ กล่มุ ทดลอง
โรคหลอดเลือดสมอง (n=33) (n=33) t p-value
พฤตกิ รรมการป้องกนั X SD X SD
2.05 0.30 2.23 0.18 2.97 0.00
โรคหลอดเลือดสมอง
จากตารางที่ 2 ผลการศึกษาพบว่า กลุ่ม พ ฤ ติ ก ร ร ม ก า ร ป้ อ ง กัน โ ร ค ห ล อ ด เ ลื อ ด ส ม อ ง
ทดลองมีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการป้องกนั โรค ระหว่างกลุ่มควบคุมกับกลุ่มทดลอง พบว่า กลุ่ม
หลอดเลือดสมองเท่ากบั 2.05 คะแนน (SD=0.30) ทดลองมีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการป้องกนั โรค
แ ล ะ ใ น ก ลุ่ ม ค ว บ คุ ม ค ะ แ น น เ ฉ ล่ี ย พ ฤ ติ ก ร ร ม หลอดเลือดสมองมากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมี
การป้องกันโรคหลอดเลือดสมองเท่ากับ 2.23 นยั สาคญั ทางสถิติ (p< 0.05)
คะแนน (SD=0.18) เมื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ย
3. การรับรู้ประโยชน์ของการคงไว้ซ่ึงพฤตกิ รรมการป้องกันโรคหลอดเลอื ดสมอง
ตารางท่ี 3 เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยการรับรู้ประโยชน์ของการคงไว้ซ่ึงพฤติกรรมการป้องกัน
โรคหลอดเลือดสมองระหวา่ งกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง
แหล่งความแปรปรวน SS df MS F p
ระหวา่ งกลุ่ม
กลุ่ม 8.08 1 8.08 143.78 0.00
ความคลาดเคลื่อน 3.59 64 0.06
ภายในกลุ่ม
ช่วงเวลาประเมิน 0.58 1.60 0.37 6.50 0.00
กลุ่ม x ช่วงเวลาประเมิน 6.90 1.66 4.30 76.62 0.00
ความคลาดเคลื่อน 5.76 64 0.05
ปีที่ 16 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563 55
จากตารางท่ี 3 ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มและ สมองในแต่ละช่วงเวลาอยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถิติ
ช่วงเวลาประเมินมีปฏิสมั พนั ธ์ร่วมกนั ต่อการรับรู้ (F1.60,64=6.50, p<0.05) และมีความแตกต่างระหวา่ ง
ประโยชน์ของการคงไวซ้ ่ึงพฤติกรรมการป้องกนั คะแนนเฉลี่ยการรับรู้ประโยชน์ของการคงไว้
โรคหลอดเลือดสมองอย่างมีนัยสาคญั ทางสถิติ ซ่ึงพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง
(F1.66,64= 76.62, p<0.05) และ มี คว ามแต กต่า ง ร ะ ห ว่ า ง ก ลุ่ ม ค ว บ คุ ม กับ ก ลุ่ ม ท ด ล อ ง อ ย่ า ง มี
ระหว่างคะแนนเฉลี่ยการรับรู้ประโยชน์ของ นยั สาคญั ทางสถิติ (F1,64 = 143.78, p < 0.05)
การคงไวซ้ ่ึงพฤติกรรมการป้องกนั โรคหลอดเลือด
ตารางที่ 4 เปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉล่ียคะแนนการรับรู้ประโยชน์ของการคงไวซ้ ่ึงพฤติกรรม
การป้องกนั โรคหลอดเลือดสมองระหวา่ งกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองในแต่ละช่วงเวลา
ช่วงเวลาประเมนิ ค่าเฉลย่ี คะแนนการรับรู้ประโยชน์ฯ ผลต่างของ
คะแนนการรับรู้ประโยชน์ฯ
กล่มุ ควบคุม กล่มุ ทดลอง
ก่อนไดร้ บั โปรแกรม 2.34 2.40 -0.06
วนั ทจี่ าหน่าย 2.03 2.96 -0.92*
4 สปั ดาห์หลงั จาหน่าย 2.36 2.58 -0.22*
*p<0.05
จากตารางที่ 4 ผลการเปรียบเทียบความ วจิ ารณ์
แตกต่างรายคู่ของค่าเฉลี่ ยคะแนนการรับรู้
ประโยชน์ของการคงไวซ้ ่ึงพฤติกรรมการป้องกนั การศึกษาคร้ังน้ีเป็ นไปตามสมมติฐานขอ้ ท่ี 1
โรคหลอดเลือดสมอง พบว่า ก่ อนเข้าร่ วม กล่าวคือ ภายหลังทดลองกลุ่มทดลองมีคะแนน
โป ร แก ร ม ก ลุ่ ม ค วบ คุ ม กับ ก ลุ่ ม ท ด ล อ ง มี เฉลี่ยพฤติกรรมการป้องกนั โรคหลอดเลือดสมอง
คะแนนเฉลี่ยการรับรู้ประโยชน์ของการคงไว้ มา กก ว่า กลุ่ ม ควบคุ มอ ย่า งมี นัยสาคัญทา ง
ซ่ึงพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง สถิติ (p < 0.05) ซ่ึงเป็ นไปตามโมเดลความเชื่อ
ไม่แตกต่างกัน ในวนั ที่จาหน่ายและเม่ือครบ ด้านสุ ขภาพของ Stretcher VJ, Rosenstock IM5
4 สัปดาห์ หลังเขา้ ร่วมโปรแกรมกลุ่มควบคุมกับ สามารถอธิบายไดว้ ่ากิจกรรมที่ผวู้ ิจยั ใหผ้ ูส้ ูงอายุ
กลุ่มทดลอง มีคะแนนเฉล่ียการรับรูป้ ระโยชนข์ อง กลุ่มเสี่ยงเป็ นรายบุคคลประกอบดว้ ย 1) กิจกรรม
การคงไวซ้ ่ึงพฤติกรรมการป้องกนั โรคหลอดเลือด ส่งเสริ มการรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรค
ส ม อ ง แ ต ก ต่ า ง กั น อ ย่ า ง มี นั ย ส า คัญ ท า ง ส ถิ ติ หลอดเลือดสมอง เช่น ชมวีดีทัศน์ เรื่อง “ภาวะ
(p< 0.05) หลอดเลือดสมอง” สรุปปัจจยั เส่ียงของการเกิด
โรคหลอดเลือดสมอง และให้ขอ้ มูลแก่ผูส้ ูงอายุ
กลุ่มเส่ียงว่ามีความเส่ียงระดับใดเพ่ือให้ผูส้ ูงอายุ
56 วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
กลุ่มเสี่ยงรับรู้ว่าตนเองมีความเส่ียงต่อการเป็ น ก า ร ป้ อ ง กัน โ ร ค ห ล อ ด เ ลื อ ดส ม อ ง สู งก ว่า ก่ อ น
โรคหลอดเลือดสมองมากนอ้ ยเพยี งใด 2) กิจกรรม การทดลองกับกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสาคญั ทาง
ส่งเสริมการรับรู้ความรุนแรงของโรคหลอดเลือด สถิติ (p < 0.05)15 เช่นเดียวกับการพฒั นารูปแบบ
สมอง เช่น ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคหลอดเลือด การป้องกนั โรคหลอดเลือดสมองโดยประยกุ ตใ์ ช้
สมอง เนน้ ถึงผลกระทบของโรคหลอดเลือดสมอง กระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม ร่วมกับแบบ
และยกตวั อยา่ งผปู้ ่ วยโรคหลอดเลือดสมองท่ีเกิด แผนความเช่ือด้านสุขภาพในผูป้ ่ วยกลุ่มเสี่ยงสูง
ความพิการ 3) กิจกรรมส่งเสริมการรับรู้ถึง โรคหลอดเลือดสมอง ผลการศึกษาพบว่า ผูป้ ่ วย
ประโยชน์การป้องกนั โรคหลอดเลือดสมอง เช่น ก ลุ่ ม เ สี่ ย ง สู ง โ ร ค ห ล อ ด เ ลื อ ด ส ม อ ง ป ฏิ บัติ ตัว
การมาตรวจตามนัด รับยาและรับประทานยาอยา่ ง ได้ดีข้ึน11 และการศึกษาการประยุกต์ใช้โมเดล
ต่อเนื่อง ชมตวั อยา่ งและสาธิตการออกกาลงั กาย คว า ม เ ช่ื อด้า น สุ ข ภา พ เ พื่อ ส่ งเ ส ริ ม ค วา ม เ ข้า ใ จ
ของผสู้ ูงอายุ ดา้ นโภชนาการ การจดั การความเครียด เก่ี ยว กับ ค ว า ม ร่ ว ม มื อ ใ น ก า ร รั บ ปร ะ ท า น ยา ล ด
การงดสูบบุหรี่ งดดื่มแอลกอฮอลล์ สรุปเน้ือหา ความดนั โลหิตในผปู้ ่ วยชาวจีน ผลการศกึ ษาพบว่า
เก่ียวกับการป้องกนั โรคหลอดเลือดสมองโดยใช้ การรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการเป็ นโรค การรับรู้
สไลด์ประกอบการบรรยายเร่ือง “โรคหลอดเลือด อุปสรรค มีความสัมพันธ์กับความร่วมมือใน
สมอง” เพอ่ื ใหผ้ สู้ ูงอายกุ ลุ่มเสี่ยงเขา้ ใจงา่ ยข้ึน และ การรับประทานยาลดความโลหิตอยา่ งมีนยั สาคญั
4) กิจกรรมส่งเสริมการจัดการอุปสรรคของ ทางสถิติ (p < 0.05)16
พฤติกรรมการป้องกนั โรคหลอดเลือดสมอง และ
โทรศพั ท์ติดตามเย่ียมต่อเน่ืองสัปดาห์ที่ 2 และ 3 การศึกษาคร้ังน้ีเป็ นไปตามสมมติฐานขอ้ ท่ี 2
เนน้ ย้าประโยชน์การป้องกนั โรคหลอดเลือดสมอง ก ล่ า ว คื อ ภ า ย ห ลัง ท ด ล อ ง ก ลุ่ ม ท ด ล อ ง มี
อีกท้งั ยงั ประเมินอุปสรรคที่ส่งผลต่อพฤติกรรม คะแนนเฉลี่ยการรับรู้ประโยชน์ของการคงไว้
การป้องกนั โรคหลอดเลือดสมอง และหาแนวทาง ซ่ึงพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง
การจดั การอุปสรรคร่วมกนั กบั ผูส้ ูงอายกุ ลุ่มเส่ียง มากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ
เช่น การจดั ยาใส่ซองหรือกล่องใส่ยาเป็ นชุดใน (F1.60,64= 143.78, p < 0.05) สามารถอธิบายได้ว่า
แต่ละวนั การต้งั นาฬิกาปลุก เป็ นตน้ ซ่ึงกิจกรรม เป็ นไปตามโมเดลความเชื่อด้านสุขภาพของ
ดังกล่าวขา้ งต้น สามารถเพิ่มความสามารถใน Stretcher VJ, Rosenstock IM5 ซ่ึงผวู้ ิจยั ไดส้ ่งเสริม
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการป้ องกันโรค การรับรู้ถึงประโยชน์การป้องกนั โรคหลอดเลือด
หลอดเลือดสมอง สอดคลอ้ งกบั การศึกษาผลของ สมองเป็นรายบุคคล โดยใหช้ มวีดีทศั น์ และสไลด์
โปรแกรมพัฒนาพฤติกรรมเพื่อป้ องกันโรค ประกอบการบรรยายโรคหลอดเลือดสมอง เช่น
หลอดเลือดสมองในผู้ป่ วยความดันโลหิตสูง การมาตรวจตามนดั และรับยาและการรบั ประทาน
โรงพยาบาลชุมพวง อาเภอชุมพวง จังหวัด ยาอยา่ งต่อเน่ือง โภชนาการที่เหมาะสมกบั ผสู้ ูงอายุ
นครราชสีมา ผลการศึกษาพบวา่ การปฏิบตั ิตวั ใน กลุ่มเสี่ยง การจดั การความเครียด การงดสูบบุหร่ี
และแอลกอฮอลล์ การออกกาลังกายและสาธิต
ปีที่ 16 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563 57
การออกกาลังกาย สรุปเน้ือหาการป้องกันโรค ผูป้ ่ วยผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ ผลการวิจัยพบว่า
หลอดเลือดสมอง และแจกคู่มือโรคหลอดเลือด ค ะ แ น น เ ฉ ลี่ ย ค ว า ม ร่ ว ม มื อ ใ น ก า ร รั บ ป ร ะ ท า น
สมอง เพ่ือเป็ นการทบทวนเน้ือหาที่ผูว้ ิจยั ให้ไว้ ของผู้ป่ วยผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจกลุ่มทดลอง
ภายหลังออกจากโรงพยาบาล รวมท้งั โทรศพั ท์ ภายหลังได้รับโปรแกรมการรับรู้ประโยชน์ของ
ติดตามเยย่ี มต่อเน่ืองสัปดาห์ที่ 2 และ 3 ได้เน้นย้า การรบั ประทานยาตา้ นการแขง็ ตวั ของเลือดสูงกว่า
ถึงประโยชน์การป้องกนั โรคหลอดเลือดสมอง ก่อนได้รับโปรแกรมการรับรู้ประโยชน์ของ
ซ่ึงกิจกรรมดงั กล่าวสามารถอธิบายไดว้ ่าการรับรู้ การรบั ประทานยาตา้ นการแขง็ ตวั ของเลือดอยา่ งมี
ประโยชน์ของการคงไวซ้ ่ึงพฤติกรรมการป้องกนั นัยสาคัญทางสถิติ (p<0.05)17 การศึกษาผลของ
โรคหลอดเลือดสมองมากกว่ากลุ่มควบคุม แต่ โปรแกรมส่ งเสริ มการรับรู้ประโยชน์แล ะ
อย่างไรก็ตามยงั พบว่า การรับรู้ประโยชน์ของ การรับรู้การจดั การอุปสรรคต่อความร่วมมือใน
การคงไวซ้ ่ึงพฤติกรรมการป้องกนั โรคหลอดเลือด การรับประทานยาของผู้ป่ วยกล้ามเน้ือหัวใจ
สมองในวนั ที่จาหน่ายสูงกว่าเม่ือครบ 4 สัปดาห์ ขา ดเลือ ดหลังได้รับก ารขยายหล อดเลื อ ด
ซ่ึงอาจกล่าวได้ว่า ขณะที่ผูส้ ูงอายุกลุ่มเส่ียงอยู่ โคโรนาร่ี พบว่า คะแนนเฉล่ียความร่วมมือใน
โรงพยาบาลจนกระทั่งถึงวันจาหน่ ายได้รับ การรับประทานยาของผู้ป่ วยกล้ามเน้ือหัวใจ
ค า แ น ะ น า เ ก่ี ย ว กับ สุ ข ภ า พ จ า ก บุ ค ค ล า ก ร ท า ง ขาดเลือดหลงั ไดร้ ับการขยายหลอดเลือดโคโรนารี
การแพทยอ์ ยา่ งต่อเน่ือง แต่เมื่อผูส้ ูงอายกุ ลุ่มเสี่ยง กลุ่มทดลองภายหลังไดร้ ับโปรแกรมสูงกว่าก่อน
กลับไปอยู่ที่บ้านและดาเนินชีวิตตามปกติ หาก ได้รับโป รแกรมอ ย่างมีนัยสาคัญท างสถิติ
ไม่มีบริบทที่ส่งเสริมการใชช้ ีวิตท่ีดูแลสุขภาพท่ีดี (p<0.05)18 และการศึกษาโมเดลความเชื่อด้าน
จากสิ่งแวดล้อมและครอบครัวน้ัน อาจทาให้ สุขภาพต่อการปฏิบตั ิตามการรักษาโรคความดัน
ผสู้ ูงอายกุ ลุ่มเส่ียงละเลยพฤติกรรมที่เหมาะสมได้ โลหิตสูงพบวา่ การรับรู้ประโยชน์ของพฤติกรรมท่ี
ผลการวิจยั น้ีสอดคลอ้ งกบั การศกึ ษาความสมั พนั ธ์ เ ห ม า ะ ส ม แ ล ะ ก า ร รั บ รู้ อุ ป ส ร ร ค ใน ก า ร แ ส ด ง
ระหวา่ งแบบแผนความเชื่อดา้ นสุขภาพ การรับรู้ พฤติกรรมที่เหมาะสมมีความสมั พนั ธก์ บั การปฏบิ ตั ิ
อาการเตือน และพฤติกรรมการป้องกันโรค ตามการรกั ษาโรคความดนั โลหิตสูง19
หลอดเลือดสมองในกลุ่มเส่ียงโรคหลอดเลือดสมอง
อาเภอดอยสะเก็ดจงั หวดั เชียงใหม่ ผลการศึกษา ดงั น้นั สรุปไดว้ า่ โปรแกรมส่งเสริมการรบั รู้
พบว่าการรับรู้ประโยชน์ต่อพฤติกรรมการจดั การ ความเชื่อด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการป้องกัน
โรคหลอดเลือดสมองมีความสมั พนั ธ์เชิงบวกกับ โรคหลอดเลือดสมองและการรับรู้ประโยชน์ของ
พ ฤ ติ ก ร ร ม ก า ร ป้ อ ง กัน โ ร ค ห ล อ ด เ ลื อ ด ส ม อ ง 7 การคงไวซ้ ่ึงพฤติกรรมในผสู้ ูงอายกุ ลุ่มเส่ียง มีผล
เช่นเดียวกับการศึกษาผลของโปรแกรมการรับรู้ ต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง
ประโยชน์ของการรับประทานยาตา้ นการแข็งตวั และการรับรู้ประโยชน์ของพฤติกรรมการป้องกนั
ของเลือดต่อความร่วมมือในการรับประทานยาใน โรคหลอดเลือดสมอง จากงานวจิ ยั ดงั กล่าวขา้ งตน้
แสดงให้เห็นว่า การประยกุ ตใ์ ช้โมเดลความเช่ือ
58 วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
ด้า น สุ ข ภ า พ แ ม้ว่ า จ ะ ศึ ก ษ า ใ น ก ลุ่ ม ตัว อ ย่า ง ที่ การป้องกันโรคหลอดเลือดสมองและคงไวซ้ ่ึง
แตกต่างกัน แต่มีวัตถุประสงค์เพ่ือส่งเสริ ม พฤตกิ รรมท่ีดีต่อไปได้
พฤติกรรมด้านสุขภาพของผูป้ ่ วย ทาให้เห็นถึง
ผล ลัพธ์ด้า น ก า รป รับ เปลี่ ยน พฤติก รรมส่ งเสริ ม ข้อจากัดของการวจิ ยั
สุขภาพทท่ี าใหผ้ ปู้ ่ วยมีสุขภาวะทดี่ ีข้นึ 1. ในสปั ดาห์ท่ี 4 ผสู้ ูงอายกุ ลุ่มเสี่ยงมาตรวจ
ตามนัดท่ีหอผูป้ ่ วยนอกซ่ึงมีความแออัด มีเสียง
ข้อเสนอแนะจากการวจิ ยั รบกวน การไดย้ นิ ของผูส้ ูงอายกุ ลุ่มเสี่ยงทาให้อาจ
เกิดความคลาดเคล่ือนของการรับรู้ขอ้ มูล
ข้อเสนอแนะการนาผลวจิ ัยไปใช้ 2. ในการติดตามเยยี่ มทางโทรศพั ทผ์ สู้ ูงอายุ
1. พยาบาลสามารถนาไปปรับใช้เป็ น จานวน 10 ราย ไม่สะดวกรับสายทาให้เสี่ยงต่อ
โปรแกรมส่งเสริ มสุขภาพท่ีประยุกต์โมเดล การสูญหายของกลุ่มตัวอย่างซ่ึงผูว้ ิจัยต้องโทร
ความเช่ือดา้ นสุขภาพ และกิจกรรมปรับเปล่ียน มากกวา่ 3 คร้งั
พฤติกรรมในกลุ่มเดิม และกลุ่มผรู้ ับบริการอื่น ๆ
ให้ดีย่ิงข้ึนเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ใน กติ ติกรรมประกาศ
ผปู้ ่ วยกลุ่มต่าง ๆ
2. การโทรศัพท์ติดตามเยี่ยมเป็ นกลยุทธ์ วิ ท ย า นิ พ น ธ์ ฉ บับ น้ ี ส า เ ร็ จ ลุ ล่ ว ง ไ ด้ด้ว ย
หน่ึงในการกระตุน้ เตือนให้ป้องกนั โรคหลอดเลือด การไดร้ บั ความกรุณาและความช่วยเหลืออยา่ งดียง่ิ
สมอง อีกท้ังยงั เป็ นวิธีประเมินอุปสรรคท่ีส่งผล จากอาจารยท์ ุกท่านท่ีไดใ้ ห้คาปรึกษาเสนอแนะ
ต่อการป้องกนั โรคหลอดเลือดสมองไดเ้ ป็นอยา่ งดี และแกไ้ ขขอบกพร่องต่าง ๆ ดว้ ยดีตลอดมา
นอกจากน้ีอาจติดตามเยย่ี มด้วยวิธีอ่ืนๆ ร่วมด้วย
เช่น การส่งขอ้ ความ อีเมล ไลน์ หรือการใชป้ ระโยชน์ ขอกราบขอบพระ คุณ ผู้ทรงคุณวุฒิที่
จากสื่อสังคม เพื่อเป็ นการส่งเสริ มการรับรู้ กรุณาตรวจสอบเคร่ืองมือวิจยั ขอกราบขอบคุณ
ป ร ะ โ ย ช น์ ก า ร ป้ อ ง กัน โ ร ค ห ล อ ด เ ลื อ ด ส ม อ ง ผู้อ า น ว ย ก า ร โ ร ง พ ย า บ า ล ห ล ว ง พ่ อ ท วี ศัก ด์ ิ
สามารถคงไวซ้ ่ึงพฤตกิ รรมท่ดี ีต่อไปได้ ชุตินฺ ธโร อุทิศ ที่ให้ความช่วยเหลือ อานวย
ข้อเสนอแนะการทาวิจัยคร้ังต่อไป ความสะดวกในทกุ ทางเพอ่ื การศกึ ษา และทส่ี าคญั
ควรมีการทาวจิ ยั เพอ่ื ศกึ ษาผลของโปรแกรม ขอกราบขอบคุณผูส้ ูงอายุกลุ่มเส่ียงทุกท่านเป็ น
ก า ร ส่ ง เ ส ริ ม ก า ร รั บ รู้ ค ว า ม เ ช่ื อ ด้า น สุ ข ภ า พ ต่ อ อยา่ งยง่ิ ท่ีเป็ นผูใ้ ห้ขอ้ มูลซ่ึงเปรียบเสมือนครูของ
พฤติกรรมและการรับรู้ประโยชน์ของการคงไว้ ผวู้ ิจยั ทาให้ไดเ้ รียนรู้ในการทาวิทยานิพนธ์คร้ังน้ี
ซ่ึงพฤติกรรมการป้องกันโรคในผูป้ ่ วยวยั ผูใ้ หญ่
กลุ่มโรคเร้ือรังอ่ืน ๆ ที่ตอ้ งรับประทานยาอย่าง
ต่อเน่ืองระยะยาว เช่น โรคไต เบาหวาน ความดนั
โลหิตสูง เป็ นตน้ เพ่ือส่งเสริมการรับรู้ประโยชน์
ปีที่ 16 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563 59
เอกสารอ้างองิ 7. กษมา เชียงทอง.ความสมั พนั ธ์ระหว่างแบบแผน
ความเชื่อด้านสุขภาพการรับรู้อาการเตือน
1. World Stroke Organization (WSO). World และพฤติกรรมการจัดการโรคหลอดเลือด
stroke organization strategy 2016 -2020 สมองในกลุ่มเสี่ยงหลอดเลือดสมอง อาเภอ
[Internet]. 2018 [cited 2019 October 10]. ดอยสะเก็ด จังหวดั เชียงใหม่ [วิทยานิพนธ์
Available from: https://www.world stroke. ปริญญาสาธารณสุขศาสตร์ มหาบัณฑิต].
org/images/WSO_strategy_CONCISE_FIN เ ชี ย ง ใ ห ม่ : ค ณ ะ ส า ธ า ร ณ สุ ข ศ า ส ต ร์
AL.pdf. มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่; 2554.
2. สา นัก โรค ไ ม่ ติดต่อ ก รม ค วบ คุ ม โร ค 8. Osamor PE, Ojelabi OA. Health belief model
กระทรวงสาธารณสุข. รายงานประจา ปี 2561 and hypertension treatment compliance
สานักโรคไม่ติดต่อ ก รมควบ คุมโรค . [Internet]. 2017 [cited 2018 October 7].
กรุงเทพฯ: อกั ษรกราฟฟิคแอนดด์ ีไซน์; 2562. Available from: https://www.ukessays.com/
essays/health-and-social-care/health-belief-
3. ศูนยว์ ิชาการโรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศกั ด์ิ model hypertension-treatment.
ชุตินฺธโร อุทิศ. สถิติผูป้ ่ วยโรคหลอดเลือด
สมอง. กรุงเทพฯ:โรงพยาบาลหลวงพ่อ 9. Khorsandi M, Fekrizadeh Z, Roozbahani N.
ทวศี กั ด์ิ ชุตินฺธโร อุทศิ ; 2561. Investigation of the effect of education based
on the health belief model on the adoption of
4. สา นัก โรค ไ ม่ ติดต่อ ก รม ค วบ คุ ม โร ค hypertension-controlling behaviors in the
กระทรวงสาธารณสุข. แผนยุทธศาสตร์ elderly. Clin Interv Aging 2017; 12: 233-40.
การป้องกนั และควบคุมโรคไม่ตดิ ต่อระดบั ชาติ
5 ปี (พ.ศ. 2560 - 2564). กรุงเทพฯ: บริษัท 10. กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. คู่มือ
อิโมชน่ั อาร์ต จากดั ; 2560. ความรู้เรื่ องอัมพาตสาหรับประชาชน.
กรุ งเทพฯ: สานักหลักประกันสุ ขภาพ
5. Stretcher VJ, Rosenstock IM. The health แห่งชาติ; 2550.
belief model. In: Baum A, editor. Cambridge
handbook of psychology, health and 11. สุ ริยา หลา้ ก่า, ศิราณีย์ อินธรหนองไผ,่ อยทุ ธ์
medicine. Cambridge, UK: Cambridge จินตะรักษ์. การพฒั นารูปแบบการป้องกัน
University Press; 1997. p. 113-7. โรคหลอดเลือดสมองในผูป้ ่ วยกลุ่มเสี่ยงสูง
ตาบลเหนือเมือง อาเภอเมือง จงั หวดั รอ้ ยเอ็ด.
6. สุ ริ ยา หล้าก่ า, ศิราณี ย์ อินธรหนองไผ่. วารสารวิจยั และพฒั นาระบบสุขภาพ 2560;
ความสมั พนั ธ์ระหว่างการรับรู้ความเชื่อดา้ น 10: 282-91.
สุ ข ภ า พ แ ล ะ พ ฤ ติ ก ร ร ม ก า ร ป้ อ ง กั น โ ร ค
หลอดเลือดสมองในผู้ป่ วยกลุ่มเสี่ยงสู ง
ตาบลเหนือเมือง อาเภอเมือง จงั หวดั รอ้ ยเอด็ .
วารสารพยาบาลตารวจ 2560; 9: 85-94.
60 วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
12. Faul F, Erdfelder E, Lang AG, Buchner A. 17. อรกมล เพง็ กุล, นรลกั ขณ์ เอ้ือกิจ, ปชาณัฏฐ์
G*Power 3: A flexible statistical power ตันติโกสุม. ผลของโปรแกรมการรับรู้
analysis program for the social, behavioral, ป ร ะ โ ย ช น์ ข อ ง ก า ร รั บ ป ร ะ ท า น ย า ต้ า น
and biomedical sciences. Behav Res Methods ก า ร แ ข็ ง ตัว ข อ ง เ ลื อ ด ต่ อ ค ว า ม ร่ ว ม มื อ ใ น
2007; 2: 175-91. การรับประทานยาในผู้ป่ วยผ่าตัดเปลี่ยน
ลิ้นหัวใจ. วารสารพยาบาลโรคหัวใจและ
13. อรุณ จริ วฒั น์กุล. การออกแบบแบบสอบถาม ทรวงอก 2557; 25: 34-48.
สาหรับงานวจิ ยั . กรุงเทพฯ: วทิ ยพฒั น์; 2556.
18. ธาวินี ช่วยแท่น. ศึกษาผลของโปรแกรม
14. สถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ ส่งเสริ มการรับรู้ประโยชน์และการรับรู้
กระทรวงสาธารณสุข. แนวทางเวชปฏิบัติ การจัดการอุปสรรคต่อความร่ วมมือใน
ภาวะสมองเส่ือม (ฉบับสมบูรณ์ 2557). การรับประทานยาของผปู้ ่ วยกลา้ มเน้ือหวั ใจ
กรุงเทพฯ: บริษทั ธนาเพรส จากดั ; 2557. ขาดเลือดหลังได้รับการขยายหลอดเลือด
โคโรนารี่ [วิทยานิพนธ์ปริญญาพยาบาล
15. รุจิรา ดวงสงค์, ชลธิรา กาวไธสง. ผลของ ศาสตร์มหาบณั ฑิต]. กรุงเทพฯ: คณะพยาบาล
โปรแกรมพฒั นาพฤติกรรมเพื่อป้องกนั โรค ศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั ; 2557.
หลอดเลือดสมองในผปู้ ่ วยความดนั โลหิตสูง
โรงพยาบาลชุมพวง อาเภอชุมพวง จงั หวดั 19. Joho AA. Factors affecting treatment
นครราชสีมา. ศรีนครินทร์เวชสาร 2557; 29: compliance among hypertension patients in
295-304. three district hospitals - dar es Salaam [Thesis
of Master of Nursing Science]. Muhimbili:
16. Yue Z, Li C, Weilin Q, Bin W. Application Muhimbili University of Health and Allied
of the health belief model to improve the Sciences; 2012.
understanding of antihypertensive medication
adherence among Chinese patients. Patient
Educ Couns 2015; 98: 669-73.
ปีท่ี 16 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563 61
บทความวจิ ยั
Research article
ปั จจัยที่ ทำให้ เกิดอำกำรปวดคอบ่ ำไ หล่ ในบุ คล ำก รท่ีใช้ คอมพิวเตอร์
ในโรงพยำบำลเจริญกรุงประชำรักษ์
อรัญญำ นยั เนตร์ วทบ.วทม*
*กลุ่มงานเวชกรรมฟ้ื นฟู โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ สานกั การแพทย์ กรุงเทพมหานคร
บทคดั ย่อ รับบทความ: 1 เมษายน 2563
แกไ้ ขบทความ: 27 พฤศจิกายน 2563
ตอบรับบทความ: 30 พฤศจิกายน 2563
วัตถุประสงค์: เพ่ือศึกษาปัจจยั ที่มีอิทธิพลต่ออาการปวดคอบ่าไหล่ในบุคลากรที่ใช้คอมพิวเตอร์ ประกอบดว้ ย
ปัจจยั ส่วนบุคคล ปัจจยั ดา้ นสภาพแวดลอ้ มในการทางาน ปัจจยั ดา้ นการออกกาลงั กาย และปัจจยั ดา้ นจิตสงั คม
วธิ ีดำเนินกำรวจิ ัย: รูปแบบการศกึ ษาเป็นการศึกษาเชิงสารวจภาคตดั ขวาง เพ่ือศกึ ษาปัจจยั ที่มีอิทธิพลต่ออาการ
ปวดคอบ่าไหล่ในบุคลากรที่ใชค้ อมพิวเตอร์ในโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษป์ ระชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง
เป็ นบุคลากรในโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษจ์ านวน 188 คน มีประสบการณ์ทางานด้วยคอมพิวเตอร์
ไม่น้อยกว่า 1 ปี ดาเนินการเก็บขอ้ มูล ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2562 ถึง มกราคม 2563 เคร่ืองมือที่ใช้ใน
การวิจยั ใชแ้ บบสอบถามแบบให้ตอบดว้ ยตนเอง (self-administered questionnaire) ประกอบดว้ ย 5 ส่วนไดแ้ ก่
ปัจจยั ส่วนบุคคล ปัจจยั ดา้ นสภาพแวดลอ้ มในการทางาน ปัจจยั ดา้ นการออกกาลงั กาย ปัจจยั ดา้ นจิตสงั คม และ
แบบประเมินอาการปวดคอบ่าไหล่ ทดสอบความเที่ยงตรง (reliability) ของแบบสอบถามท้งั ฉบบั ไดเ้ ท่ากบั
0.821 วิเคราะห์ขอ้ มูลดว้ ยสถิติเชิงพรรณนา สถิติเชิงอนุมานวิเคราะห์ความสมั พนั ธด์ ว้ ยสถิติ chi-square และ
multiple logistic regression
ผลกำรวิจัย: ความชุกของอาการปวดคอ บ่าไหล่ในช่วง 1 ปี ที่ผา่ นมา เท่ากบั ร้อยละ 94.7 โดยส่วนใหญ่
ร้อยละ 70.4 ปวดในระดบั เล็กนอ้ ยถึงปานกลาง ปัจจยั ที่มีความสัมพนั ธ์กบั อาการปวดคอบ่าไหล่อยา่ งมี
นัยสาคญั ทางสถิติ (p-value <0.05) ประกอบด้วย ปัจจยั ส่วนบุคคลด้านชั่วโมงการใช้คอมพิวเตอร์ใน 1 วนั
(p-value =0.004) ปัจจยั ดา้ นสภาพแวดลอ้ มในการทางาน (p-value = 0.048) และปัจจยั ดา้ นจิตสงั คม (p-value =
0.001) เม่ือวเิ คราะห์โดยใชส้ ถิตถิ ดถอยพหุคูณ พบว่า ตวั แปรทีส่ ามารถทานายการเกิดอาการ ปวดคอบ่าไหล่ใน
บุคลากรอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติ (p-value <0.05) ไดแ้ ก่ ปัจจยั ดา้ นจิตสงั คม (p-value = 0.001) และปัจจยั ส่วน
บุคคลดา้ นชวั่ โมงการใชค้ อมพวิ เตอร์ 5 ชว่ั โมงข้นึ ไปใน 1 วนั (p-value = 0.036) (R2= 0.103)
62 วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
บทความวิจัย
Research article
ปั จจั ยที่ทำให้ เกิดอำกำรปวดคอบ่ ำไ หล่ ในบุ คล ำก รที่ใช้ คอมพิวเตอร์
ในโรงพยำบำลเจริญกรุงประชำรักษ์
อรัญญำ นัยเนตร์ วทบ.วทม*
*กลุ่มงานเวชกรรมฟ้ื นฟู โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ สานกั การแพทย์ กรุงเทพมหานคร
บทคดั ย่อ (ต่อ) รับบทความ: 1 เมษายน 2563
แกไ้ ขบทความ: 27 พฤศจิกายน 2563
ตอบรับบทความ: 30 พฤศจิกายน 2563
สรุป: ปัจจยั ที่มีอิทธิพลต่ออาการปวดคอบ่าไหล่ และมีอานาจในการทานายอาการปวดคอบ่าไหล่ในบุคลากร
ท่ีใชค้ อมพวิ เตอร์ในโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ ไดแ้ ก่ ปัจจยั ดา้ นจิตสังคม และปัจจยั ส่วนบุคคลดา้ น
ชว่ั โมงการใชค้ อมพิวเตอร์ 5 ชวั่ โมงข้ึนไปใน 1 วนั ผลจากการศึกษาสามารถนาไปเป็ นขอ้ มูลพ้ืนฐานเพอื่ หา
มาตรการในการป้องกนั สร้างเสริมสุขภาพ เพอ่ื พฒั นาคุณภาพชีวติ ของบุคลากรตอ่ ไป
คำสำคญั : อาการปวดคอบ่าไหล่ คอมพวิ เตอร์ ปัจจยั
ปีท่ี 16 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563 63
บทความวจิ ัย
Research article
Factors influencing neck and shoulder pain syndrome in computer
users in Charoenkrung Pracharak Hospital
Arunya Nainate BSc, MSc*
.*Rehabilitation department, Charoenkrung Pracharak Hospital, Medical center, Bangkok
Abstract Received: April 1, 2020
Revised: November 27, 2020
Accepted: November 30, 2020
Objective: To study factors that influence neck and shoulder pain syndrome in computer users consisting of
personal factors, work-environmental factors, exercise factors, and psychosocial factors.
Materials and Methods: This study was cross-sectional study to find out factors influence neck and shoulder
pain syndrome in computer users of Charoenkrung Pracharak (CKP) Hospital. Population and samples were
CKP Hospital officers with computer experience not less than 1 year. Data were collected during November,
2019 - January, 2020. Research tools were self-administered questionnaires that consist of 5 parts, personal
factors questionnaires, work-environmental factors questionnaires, exercise factors questionnaires,
psychosocial factors questionnaires, and neck and shoulder pain assessment questionnaires. The reliability of
whole questionnaires was 0.821. Data were analyzed with Chi-square and multiple logistic regression statistics.
Results: The prevalence of neck and shoulder symptoms was 94.7%, most of them had mild to moderate
intensity of pain. Factors that significantly relate to neck and shoulder pain syndrome were duration of computer
using per day, 5 hours up per day (p-value = 0.004), work-environmental factors (p-value = 0.048), and
psychosocial factors (p-value = 0.001). Using multiple linear regression analysis, psychosocial factors and
duration of computer using per day, 5 hours up per day, were predictive factors for neck and shoulder pain
syndrome in this study group (R2 = 0.103).
Conclusions: Factors that influence neck and shoulder pain syndrome and be predictive factors of neck and
shoulder pain syndrome in CKP Hospital computer users were psychosocial factors and duration of computer
using per day (5 hours up per day). The results can be basic information for building up personal social support
systems to reduce work-related psychosocial risk and stress.
Keywords: neck and shoulder pain syndrome, computer, factors
64 วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
บทนำ ดว้ ยการทางานโดยใชเ้ คร่ืองคอมพวิ เตอร์น้นั
เป็ นการทางานด้วยความหนักน้อย ๆ เป็ นระยะ
คอมพิวเตอร์ เป็ นเทคโนโลยีที่บทบาท เวลานาน ร่างกายอยู่ในท่าทางเดิม ๆ ไม่ค่อยมี
สาคัญต่อชี วิตประ จา วัน มี ควา มสาคัญต่อ
การเคล่ือนไหว กลา้ มเน้ือไดพ้ กั นอ้ ย จึงเป็ นปัจจยั
การทางานในทุกองคก์ ร เทคโนโลยคี อมพวิ เตอร์ เสี่ยงที่มีผลมากในการพฒั นาให้เกิดความผิดปกติ
สามารถทาใหก้ ารปฏิบตั ิงานสะดวกรวดเร็ว และมี ทางระบบกระดูกและกลา้ มเน้ือ2 ผทู้ ี่ทางานโดยใช้
ประสิทธิภาพ จากผลการสารวจการใชเ้ ทคโนโลยี ค อ ม พิวเ ตอ ร์ มี ค วา ม เสี่ ยงใ น ก า รเ กิ ด ผ ล ก ร ะ ท บ
สารสนเทศและการสื่อสารในครัวเรื อนช่วง ต่าง ๆ ต่อสภาพร่างกายและประสิทธิภาพใน
ระหว่าง ปี พ.ศ. 2559 - 2561 จากประชากร อายุ การทางาน ไดแ้ ก่ อาการปวดศีรษะ ความผดิ ปกติ
6 ปี ข้ึนไป ประมาณ 63 ลา้ นคนทวั่ ประเทศ พบว่า เก่ียวกบั สายตา และอาการปวดทางระบบกระดูก
ปี พ.ศ. 2559 มีผู้ใช้คอมพิวเตอร์ร้อยละ 32.2 และกล้ามเน้ือ3,4 กลุ่มกล้ามเน้ือที่พบได้บ่อย คือ
ปี พ.ศ. 2560 ลดลงเหลือร้อยละ 30.8 และใน กลา้ มเน้ือบริเวณคอบา่ ไหล่ สะบกั และหลงั 5,6,7 จาก
การสารวจบุคลากรสายสนบั สนุนท่ีใชค้ อมพวิ เตอร์
ปี พ.ศ. 2561 จานวนผู้ใช้คอมพิวเตอร์ได้ลดลง
อีกเหลือเพียงร้อยละ 28.3 แต่จานวนการใช้ ในการทางานที่มหาวิทยาลัยนครพนม จานวน
อินเทอร์เน็ต ปี พ.ศ. 2559 - 2561 เพิ่มข้ึนอย่าง 227 ตวั อยา่ ง พบวา่ ผทู้ ี่มีอาการปวดคอและปวดไหล่
ต่อเน่ือง (ร้อยละ 47.5, 52.9 และ 56.8 ตามลาดบั ) มีจานวนร้อยละ 83.7 และ 79.7 ตามลาดับ4 อาการ
ซ่ึงพบว่า ประชากรเข้าถึงอินเทอร์เน็ตโดยใช้ ปวดกล้ามเน้ือจากการใชค้ อมพิวเตอร์อาจเกิดได้
โทรศัพท์มื อถื อแ ทนการใช้เคร่ื องคอมพิวเตอ ร์ จากหลายสาเหตุ ปัจจัยส่วนบุคคล เช่น เพศ
เพ่ิมข้ึน1 อย่างไรก็ตาม ถึงแม้การใช้เทคโนโลยี อายุ ดัชนีมวลกาย ประสบการณ์ทางานด้วย
จะให้ผลดีในด้านการปฏิบัติงาน แต่ก็อาจเกิด
ผลกระทบต่าง ๆ ต่อสภาพร่างกายผู้ใช้งานได้ คอมพิวเตอร์ ช่วั โมงและจานวนวนั ในการทางาน
ปัจจุบันพบว่า ผูท้ ี่ทางานด้วยคอมพิวเตอร์ใน ด้วยคอมพิวเตอร์ ปัจจยั ด้านสภาพแวดล้อมใน
โรงพยาบาลไม่จาเป็ นตอ้ งเป็ นตาแหน่งพนักงาน การทางาน เช่น พบว่า สภาพแวดล้อมท่ีติดขัด
ธุ รก า รเท่ า น้ัน เพื่อเพ่ิม ควา ม คล่ อ งตัวแล ะ ไม่คล่องแคล่ว มีผลต่ออาการปวดทางระบบ
ประสิทธิภาพในการทางาน บุคลากรทางการแพทย์ กระดูกและกลา้ มเน้ือ2 แต่ดวงเดือน ฤทธิเดช และ
และเจา้ หน้าที่อ่ืน ๆ จาเป็ นตอ้ งบนั ทึกข้อมูลใน คณะ5 พบว่า สภาพแวดล้อมในการทางานไม่มี
อานาจในการทานายความรู้สึกไม่สบายคอ ไหล่
คอมพิวเตอร์ด้วยตนเอง โรงพยาบาลเจริญกรุง- และหลังปัจจัยด้านการออกกาลังกาย พรรัชนี
ประชารักษก์ ็เช่นกัน เนื่องด้วยปริมาณงานและ วรี ะพงศ์ และคณะ8 พบวา่ การออกกาลงั กายแบบ
จานวนผปู้ ่ วยในโรงพยาบาลท่ีเพ่มิ ข้ึน ทาใหบ้ ุคลากร ยดื กลา้ มเน้ือและแบบเพมิ่ ความแขง็ แรงสามารถลด
ของโรงพยาบาลจาเป็ นต้องใช้คอมพิวเตอร์ ใน อาการปวดคอและไหล่ในผู้ท่ีใช้คอมพิวเตอร์
การปฏิบตั ิงานมากข้ึนอยา่ งหลีกเล่ียงไม่ได้ จาก เป็ นเวลานานได้ ดวงเดือน ฤทธิเดช และคณะ5
สถิติของโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ พบว่า พบความสมั พนั ธ์ในเชิงผกผนั ระหว่างพฤติกรรม
เจา้ หนา้ ทที่ ่มี ีอาการปวดคอบา่ ไหล่ ในปี พ.ศ. 2559 การออกกาลังกายและอาการปวดคอ ไหล่และ
มีจานวน 497 ราย ปี พ.ศ. 2560 มีจานวน 406 ราย หลงั จารุวรรณ ปันวารี และคณะ9 ไม่พบว่า ปัจจยั
และ ปี พ.ศ. 2561 มีจานวน 584 ราย ตามลาดบั
ปีที่ 16 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563 65
การออกกาลงั กาย และภาวะเครียดมีความสมั พนั ธ์ ผูว้ ิจยั จึงสนใจที่จะศึกษาปัจจยั ที่มีอิทธิพล
กับอาการปวดคอและปัจจัยด้านจิตสังคม เป็ น ต่ออาการปวดคอบ่าไหล่ ได้แก่ ปัจจยั ส่วนบุคคล
ปัจจยั ท่ีเกี่ยวกบั ความพึงพอใจในงาน ความตอ้ งการ ปัจจยั ดา้ นสภาพแวดลอ้ มในการทางาน ปัจจยั ดา้ น
ทางดา้ นจิตสงั คมอาจส่งผลต่อกลไกการตอบสนอง การออกกาลงั กาย และปัจจยั ดา้ นจิตสงั คม เพอื่ นา
ของแต่ละบคุ คล ซ่ึงสามารถนาไปสู่โรคทางระบบ ขอ้ มูลท่ีไดม้ าเผยแพร่เพือ่ สร้างการรับรู้และเสนอแนะ
โครงสร้างและกล้ามเน้ือทางอ้อมได้ ดวงเดือน แนวทางการป้ องกันตนเอง การปรับเปลี่ยน
ฤทธิเดช และคณะ5 พบว่า ปัจจัยทางจิตสังคม พฤ ติ ก รรม ใน ก า รท า งา นกับ เค รื่ อ งค อ ม พิวเตอ ร์
ได้แก่ ลักษณะงาน บทบาทหน้าท่ีรับผิดชอบ ตลอดจนการพฒั นา (หรือออกแบบ) วิธีบริหาร
โครงสร้างงาน บรรยากาศองคก์ ร ความกา้ วหนา้ ในงาน กลา้ มเน้ือเพอ่ื ลดอาการปวดท่ีเกิดข้นึ
ความสัมพนั ธ์ระหว่างบุคคลในองคก์ ร ส่ิงแวดล้อม
ในการทางาน ภาระงาน งานท่ียุ่งยากซับซ้อน วตั ถุประสงค์และวธิ ีกำร
งานที่กดดนั และตอ้ งการความรับผิดชอบสูง ไม่มี
อานาจในการทานายอาการปวดคอ ไหล่และหลงั การศึกษาคร้ังน้ี เป็ นการวิจัยเชิงสารวจ
Dianat I, et al.7 พบว่า ความขดั แยง้ ระหว่างเร่ือง ภาคตดั ขวาง มีวตั ถุประสงค์ เพ่ือศึกษาปัจจยั ท่ีมี
ง า น กั บ ค ร อ บ ค รั ว มี ค ว า ม สั ม พ ัน ธ์ กั บ อ า ก า ร อิทธิพลต่ออาการปวดคอบ่าไหล่ในบุคลากรที่ใช้
ปวดไหล่และปวดเข่าอย่างมีนัยสาคญั ทางสถิติ คอมพวิ เตอร์ ประกอบดว้ ย ปัจจยั ส่วนบคุ คล ปัจจยั
Bernal D, et al.6 พบว่า ปั จจัยด้านจิตสังคมที่ ด้านสภาพแวดล้อมในการทางาน ปัจจัยด้าน
เกี่ยวกบั งาน ไดแ้ ก่ ความตอ้ งการในการควบคุมงาน การออกกาลงั กาย และปัจจยั ดา้ นจติ สงั คมและเพ่อื
การได้รับการสนับสนุนทางสังคม และรางวลั ศึกษาความสามารถในการทานายอาการปวดคอ
ตอบแทนทไ่ี ม่เป็ นธรรม มีความสัมพนั ธ์กบั อาการ บ่าไหล่ ในบุคลากรที่ ใช้คอมพิวเตอร์ จากปั จจัย
ปวดทางระบบกระดูกและกล้ามเน้ื ออย่างมี ส่วนบุคคล ปัจจยั ดา้ นสภาพแวดลอ้ มในการทางาน
นยั สาคญั ทางสถิติ ปัจจัยด้านการออกกาลังกาย และปัจจัยด้านจิต
สงั คม
กรอบแนวคดิ กำรวิจยั
ปัจจยั ส่วนบคุ คล
ปัจจยั ดา้ น อาการปวดคอบา่ ไหล่
สภาพแวดลอ้ มในการทางาน ระดบั ความรุนแรง (NRS 0-10)
ปัจจยั ดา้ นการออกกาลงั กาย
ปัจจยั ดา้ นจิตสังคม
66 วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
ข น า ด ก ลุ่ ม ตัว อ ย่า ง ค า น ว ณ โ ด ย ใ ช้สู ต ร คอมพิวเตอร์ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล กาหนดระดบั
Yamane T10 ที่ระดบั ความเชื่อม่นั 95% ได้จานวน นัยสาคญั ทางสถิติที่ 0.05 และแบ่งการวิเคราะห์
กลุ่มตวั อยา่ งเท่ากบั 178 คน และเก็บขอ้ มูลเพิ่ม ขอ้ มูลโดยใชส้ ถิติเชิงพรรณนา สาหรับขอ้ มูลเชิง
อีกร้อยละ 10 เพื่อป้องกันการสูญหายของขอ้ มูล คุณภาพ นาเสนอในรูปความถี่ ร้อยละ ขอ้ มูลเชิง
ปริ มาณวิเคราะห์และนาเสนอในรู ปค่าเฉล่ี ยและ
จานวนแบบสอบถามที่แจกไปท้ังสิ้น 196 คน ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน การวเิ คราะห์ความสัมพนั ธ์
สุ่มตัวอย่างแบบ simple random sampling โดยมี ระหวา่ งปัจจยั ส่วนบุคคล ปัจจยั ด้านสภาพแวดลอ้ ม
ในการทางาน ปัจจยั ด้านการออกกาลงั กาย และ
เกณฑ์คัดเข้า คือ เป็ นบุคลากรในโรงพยาบาล ปัจจยั ดา้ นจิตสงั คม กบั ระดบั อาการปวดคอบ่าไหล่
เจริญกรุงประชารักษ์ที่มีอายุต้ังแต่ 20 ปี ข้ึนไป โดยใช้สถิติไคว์สแควร์ และใช้การวิเคราะห์
มีประสบการณ์ทางานดว้ ยคอมพิวเตอร์ไม่น้อยกว่า สมการถดถอยพหุคูณ เพอื่ วเิ คราะหค์ วามสามารถ
1 ปี และให้ความร่วมมือในการวิจยั สาหรบั เกณฑ์ ในการทานายอาการปวดคอบ่าไหล่จากปัจจยั ดา้ น
คดั ออก คือ มีประวตั ิบาดเจบ็ บริเวณคอและไหล่ ส่วนบุคคล ปัจจยั สภาพแวดล้อมในการทางาน
มีประวัติผ่าตัดบริเวณคอและไหล่ เป็ นโรค ปัจจัยด้านการออกกาลังกาย และปัจจัยด้านจิต
ขอ้ อกั เสบ เช่น รูมาตอยด์ โรคขอ้ กระดูกสนั หลัง สงั คม
อกั เสบยดึ ติดคอเอียงแต่กาเนิด เก็บขอ้ มูลระหวา่ ง
โครงการวจิ ยั ไดร้ บั การรับรองใหด้ าเนินการ
เดือนพฤศจกิ ายน 2562 - มกราคม 2563 จากคณะกรรมการจริ ยธรรมการวิจัยในคน
กรุงเทพมหานคร หนงั สือรับรองเลขท่ี 076/2562
เคร่ืองมือในการวิจยั คือ แบบสอบถามแบบ
ผลกำรศึกษำ
ให้ตอบด้วยตนเอง (self-administered questionnaire)
ประกอบด้วย 5 ส่วน ได้แก่ ปัจจัยส่วนบุคคล ข้อมูลทวั่ ไปของกลุ่มตวั อย่ำง
แบบสอบถามบุคลากรท่ีใช้คอมพิวเตอร์
ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมในการทางาน ปัจจัย จานวน 196 ชุด ตอบกลับมาจานวน 188 ชุด
คดิ เป็ นรอ้ ยละ 95.9 กลุ่มตวั อยา่ งส่วนใหญ่เป็ นเพศ
ดา้ นการออกกาลงั กาย ปัจจยั ดา้ นจิตสังคม และ หญงิ (ร้อยละ 76.1) มีอายุ 30 - 39 ปี (รอ้ ยละ 47.3)
การประเมินอาการปวดคอบ่าไหล่ ข้อคาถาม ดชั นีมวลกายเฉลี่ย 23.96 ± 4.86 กิโลกรัม /เมตร2
เก่ียวกบั สภาพแวดลอ้ มในการทางาน และปัจจยั จิต กลุ่มตวั อยา่ งคร่ึงหน่ึงมีค่าดัชนีมวลกายมากกว่า
ปกติ (ร้อยละ 50) ส่วนใหญ่(ร้อยละ 61.7) จบ
สังคม ผูว้ ิจยั สร้างข้ึนโดยมีพ้นื ฐานมาจากแบบวดั การศึกษาระดับปริญญาตรี ประมาณคร่ึงหน่ึงมี
ของ ธวชั ชยั ศรีพรงาม11 และคุณทรัพย์ สารถอ้ ย12 ประสบการณ์ทางานโดยใชค้ อมพิวเตอร์มากกว่า
ขอ้ คาถามเก่ียวกบั การออกกาลังกายและอาการ 10 ปี ข้ึนไป (ร้อยละ 50.5) ใช้คอมพิวเตอร์ต้งั แต่
ปวดคอบ่าไหล่ ผวู้ จิ ยั สร้างข้นึ เองจากการทบทวน 1 - 8 ชั่วโมงต่อวัน ค่าเฉล่ีย 4.96 ± 0.998 ช่ัวโมง
วรรณกรรม (ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง ต่อวนั ในแต่ละสัปดาห์ใชค้ อมพิวเตอร์ 5 - 6 วนั
ข้อคาถามกับวตั ถุประสงค์ (IOC) มีค่าระหว่าง ค่าเฉล่ีย 5.16 ± 0.492 วนั
0.50 - 1.00 ทดสอบความเชื่อมน่ั ของแบบสอบถาม
(reliability) ดว้ ยค่าสัมประสิทธ์ิอัลฟาครอนบาค
(Cronbach’s alpha coefficient) ได้ค่า 0.726 และ
0.754 ตามลาดบั ค่าความเชื่อมนั่ ของแบบสอบถาม
ท้งั ฉบบั ไดเ้ ท่ากบั 0.821) โดยอาการปวดสอบถาม
ยอ้ นหลังไปเป็ นเวลา 1 ปี หลงั จากการรวบรวม
ข้อ มู ล ผู้วิจัย ใ ช้โ ป ร แ ก ร ม ส า เ ร็ จ รู ป ท า ง
ปีที่ 16 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563 67
ตำรำงท่ี 1 ขอ้ มูลปัจจยั ส่วนบคุ คลของบุคลากรทใี่ ชค้ อมพวิ เตอร์ในโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
ตวั แปรปัจจยั ส่วนบุคคล จำนวน ร้อยละ
n = 188 100
เพศ 23.9
45 76.1
ชาย 143 100
n = 188 16.0
หญิง 30 47.3
89 28.2
อายุ 53 8.5
16
20 - 29 ปี 100
n = 188 11.7
30 - 39 ปี 22 38.3
72 50.0
40 - 49 ปี 94
100
50 - 59 ปี n = 188 28.2
53 61.7
ค่าเฉล่ีย (ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน) 37.60 (7.777) ปี 116 9.0
17 1.1
คา่ มธั ยฐาน (คา่ สูงสุด , คา่ ต่าสุด) 37.00 (58, 21) ปี 2 100
16.0
ดชั นีมวลกาย n = 188 33.5
30 50.5
นอ้ ยกวา่ ปกติ < 18.50 kg./m2 63 100
95 31.9
ปกติ 18.5 - 22.99 kg./m2 68.1
n = 188
มากกว่าปกติ ต้งั แต่ 23.00 kg./m2ข้ึนไป 60 100
คา่ เฉล่ีย (ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน) 23.96 (4.86) kg./m2 128 81.9
18.1
คา่ มธั ยฐาน (คา่ สูงสุด , ค่าต่าสุด) 37.00 (58, 21) kg./m2 n = 188
154
ระดบั การศึกษา 34
ต่ากวา่ ปริญญาตรี
ปริญญาตรี
ปริญญาโท
ปริญญาเอก
ประสบการณท์ างานดว้ ยคอมพิวเตอร์
นอ้ ยกว่า 5 ปี
5 - 10 ปี
มากกว่า 10 ปี ข้ึนไป
ระยะเวลาใชค้ อมพิวเตอร์ใน 1 วนั (ชว่ั โมง)
นอ้ ยกวา่ 5 ชวั่ โมง
5 ชวั่ โมงข้ึนไป
ค่าเฉลี่ย (ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน) 4.957 (.9978) ชว่ั โมง
คา่ มธั ยฐาน (คา่ สูงสุด , ค่าต่าสุด) 5.000 (8, 1) ชว่ั โมง
จานวนวนั ท่ีใชค้ อมพิวเตอร์ใน 1 สปั ดาห์
นอ้ ยกวา่ หรือเท่ากบั 5 วนั
6 วนั ข้ึนไป
คา่ เฉลี่ย (ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน)5.16 (.492)วนั
ค่ามธั ยฐาน (ค่าสูงสุด , คา่ ต่าสุด)5.00 (6, 1)วนั
68 วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
อำกำรปวดคอบ่ำไหล่ในระยะ 1 ปี ท่ผี ่ำนมำ ในระยะ 1 ปี ที่ผ่านมา (ตารางที่ 2) กลุ่มตวั อย่าง
ก า ร ป ร ะ เ มิ น อ า ก า ร ป ว ด ค อ บ่ า ไ ห ล่ ใ น ส่วนใหญ่ มีอาการปวดคอบ่าไหล่อยใู่ นระดบั ปวด
การศึกษาน้ี ให้กลุ่มตวั อย่างประเมินความปวด เล็กน้อย - ปานกลาง โดยมีคะแนนความปวด
ดว้ ยตนเองโดยใช้มาตรวดั ความปวดแบบตวั เลข สูงสุดเท่ากบั 9.0 และต่าสุดเท่ากับ 0 หรือไม่ปวด
(numerical rating scale: NRS) พบว่า บุคลากร ระดบั คะแนนความปวดเฉล่ียเทา่ กบั 4.27 ± 2.51
ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 94.7) มีอาการปวดคอ บ่าไหล่
ตำรำงที่ 2 ขอ้ มูลระดบั อาการปวดคอบา่ ไหล่ของบุคลากรทใี่ ชค้ อมพวิ เตอร์ในโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
ระดับควำมปวด จำนวน(รำย) ร้อยละ
(NRS = 0-10)
n = 188 100
- ไม่ปวด (NRS = 0) 10 5.3
- ปวดเล็กนอ้ ย (NRS = 1 - 3) 68 36.2
- ปวดปานกลาง (NRS = 4 - 6) 65 34.6
- ปวดมาก (NRS = 7 - 10) 45 23.9
ค่าเฉลี่ย (ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน)
คา่ มธั ยฐาน (คา่ สูงสุด, คา่ ต่าสุด) 4.27 (2.51)
4.00 (9.0, 0)
ตำรำงท่ี 3 ค่าเฉล่ียและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของปัจจยั ด้านสภาพแวดล้อมในการทางาน ปัจจยั ดา้ น
การออกกาลงั กาย และปัจจยั ดา้ นจิตสงั คม
ตวั แปร คะแนนเตม็ ค่ำสูงสุด , ค่ำเฉลย่ี
ค่ำต่ำสุด (ส่วนเบีย่ งเบนมำตรฐำน)
ปัจจยั ดา้ นสภาพแวดลอ้ มในการทางาน 60 58,20
ปัจจยั ดา้ นการออกกาลงั กาย 60 57,16 39.80 (7.37)
ปัจจยั ดา้ นจิตสังคม 120 110,48 40.58 (7.48)
60 56,29 84.16 (12.59)
- มิตบิ ทบาทหนา้ ท่ีรบั ผดิ ชอบ 60 59,18
- มิตสิ มั พนั ธภาพในการทางาน
โครงการวจิ ยั น้ี ไดแ้ บ่งกลุ่มผูเ้ ขา้ ร่วมวิจยั ปวดมาก กับอีกกลุ่มที่ไม่มีอาการปวดถึงปวด
เป็ นกลุ่มที่มีอาการปวดระดับปานกลางจนถึง ระดบั เลก็ นอ้ ย
ปีท่ี 16 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563 69
ตำรำงท่ี 4 ปัจจยั ท่ีมีความสมั พนั ธก์ บั อาการปวดคอบ่าไหล่ของบุคลากรท่ีใชค้ อมพิวเตอร์ในโรงพยาบาล
เจริญกรุงประชารกั ษ์
จำนวนคน (ร้อยละ)
ปัจจยั ปวดปำนกลำง ปวดน้อยถึง OR 95% CI p-value
1.09 0.548-2.146 0.816
ถงึ ปวดมำก ไม่ปวด 1.41 0.768-2.600 0.265
0.64 0.359-1.155 0.139
เพศ n = 188 1.39 0.721-2.678 0.325
1.04 0.58-1.853 0.902
- ชาย (n = 45) 27 (60.0) 18 (40.0) 2.50 1.333-4.676 0.004*
- หญิง (n = 143) 83 (58.0) 60 (42.0) 2.26 0.988-5.148 0.05
1.80 1.002-3.236 0.048*
อายุ n = 188 1.04 0.58-1.853 0.902
2.70 1.481-4.896 0.001*
- 40 ปี ข้ึนไป (n = 69) 44 (63.8) 25 (36.2)
- 20 - 39 ปี (n = 119) 66 (55.5) 53 (44.5)
ดชั นีมวลกาย n = 188
- มากกว่าปกติ (n = 94) 50 (53.2) 44 (46.8)
- นอ้ ยกว่าปกติ-ปกติ (n = 94) 60 (63.8) 34 (36.2)
ระดบั การศึกษา
- ต่ากวา่ ปริญญาตรี (n = 53) 34 (64.2) 19 (35.8)
- ปริญญาตรีข้ึนไป (n = 135) 76 (56.3) 59 (43.7)
ประสบการณ์ทางานคอมพิวเตอร์
- มากกวา่ 10 ปี ข้ึนไป (n = 95) 56 (58.9) 39 (41.1)
- นอ้ ยกวา่ /เทา่ กบั 10 ปี (n = 93) 54 (58.1) 39 (41.9)
ชว่ั โมงการใชค้ อมพิวเตอร์ใน 1วนั
- 5 ชวั่ โมงข้ึนไป (n = 128) 84 (65.6) 44 (34.4)
- นอ้ ยกวา่ 5 ชวั่ โมง (n = 60) 26 (43.3) 34 (56.7)
จานวนวนั ท่ีใชค้ อมพิวเตอร์ใน 1 สปั ดาห์
- 6 วนั (n = 34) 25 (73.5) 9 (26.5)
- นอ้ ยกวา่ /เทา่ กบั 5 วนั (n = 154) 85 (55.2) 69 (44.8)
ปัจจยั สภาพแวดลอ้ มในการทางาน
- ไมด่ ี (ต่ากว่าคา่ เฉล่ีย) (n = 98) 64 (65.3) 34 (34.7)
- ดี (n = 90) 46 (51.1) 44 (48.9)
ปัจจยั การออกกาลงั กาย
- ไม่ดี(ต่ากวา่ คา่ เฉล่ีย) (n = 95) 56 (58.9) 39(41.1)
- ดี (n = 93) 54 (58.1) 39 (41.9)
ปัจจยั จิตสงั คม
- ไมด่ ี (ต่ากวา่ คา่ เฉลี่ย) (n = 99) 69 (69.7) 30(30.3)
- ดี (n = 89) 41 (46.1) 48 (53.9)
*p<0.05
70 วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
จากตารางที่ 4 พบว่า เพศ ช่วงอายุ ดัชนี สังคมท่ีไม่ดี มีโอกาสเกิดอาการปวดคอบ่าไหล่
มวลกาย ระดบั การศึกษา และประสบการณ์ทางาน มากกวา่ บุคลากรท่มี ีปัจจยั จิตสงั คมที่ดีถึง 2.69 เท่า
โดยใชค้ อมพิวเตอร์ ไม่มีความสัมพนั ธ์กบั ระดับ
อาการปวดคอบ่าไหล่อย่างมีนัยสาคญั ทางสถิติ ปัจจยั ทำนำยอำกำรปวดคอบ่ำไหล่
ระยะเวลาในการใชค้ อมพิวเตอร์ 5 ช่วั โมงข้ึนไป เมื่อนาปัจจัยท่ีมีความสัมพนั ธ์กับอาการ
ใน 1 วนั มีความสมั พนั ธ์กบั อาการปวดคอบ่าไหล่ ปวดคอบา่ ไหล่มาวเิ คราะห์ดว้ ยสถิติถดถอยพหุคูณ
อยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถิติ (p <0.05) จานวนวนั ท่ีใช้ พบว่า ปัจจัยท่ีสามารถอธิบายความผนั แปรของ
คอมพวิ เตอร์ นอ้ ยกวา่ หรือเทา่ กบั 5 วนั ตอ่ สปั ดาห์ อาการปวดคอบ่าไหล่ คือ ปัจจยั ดา้ นจิตสงั คมและ
มีความสัมพันธ์กับอาการปวดคอบ่าไหล่ด้วย ปัจจยั ส่วนบุคคล ในเรื่องชวั่ โมงการใชค้ อมพวิ เตอร์
เช่นกัน ปัจจัยด้านสภาพแวดลอ้ มในการทางาน ในหน่ึงวนั โดยปัจจยั ดา้ นจิตสงั คมแปรผกผนั กับ
และปัจจยั ดา้ นจิตสังคมมีความสัมพนั ธ์กบั อาการ อาการปวดคอบ่าไหล่ กล่าวคือ ถ้าคะแนนปัจจยั
ปวดคอบ่าไหล่อยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถิติ (p<0.05) ดา้ นจิตสังคมนอ้ ย (เกิดความเครียดจากการทางาน
โดยพบว่า ผู้ท่ีมีปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมใน มาก) จะทาให้อาการปวดคอบ่าไหล่เพ่มิ ข้ึน ส่วน
การทางานไม่ดี มีโอกาสเกิดอาการปวดคอบ่าไหล่ ปัจจยั ส่วนบุคคลดา้ นชวั่ โมงการใชค้ อมพวิ เตอร์ใน
ได้มา กกว่า บุคลา กรที่มี สภาพแวดล้อมใน หน่ึงวนั แปรผนั ตรงกนั กับอาการปวดคอบ่าไหล่
การทางานดีถึง 1.8 เท่า และบุคลากรท่ีมีปัจจยั จิต กล่าวคือ ถา้ ชว่ั โมงการใชค้ อมพวิ เตอร์ในหน่ึงวนั
มากข้ึน อาการปวดคอบ่าไหล่ก็เพ่ิมข้ึนเช่นกัน
(ตารางที่ 5)
ตำรำงท่ี 5 ผลการวเิ คราะหส์ ถิตถิ ดถอยพหุคูณเพ่ือหาปัจจยั ในการทานายอาการปวดคอบา่ ไหล่ของบคุ ลากร
ในโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารกั ษ์
ตัวแปร B SE beta sig
.331
คา่ คงที่ 1.031 .003 -.248 .001*
.031 .152 .036*
ปัจจยั ดา้ นจติ สงั คม -.01 F = 10.633 sig = .000*
ชวั่ โมงการใชค้ อมพวิ เตอร์ในหน่ึงวนั .075
R square = .103 SEE = .47038
*p < 0.05
เมื่อพจิ ารณาตวั แปรที่มีอานาจในการทานายการเปล่ียนแปลงของอาการปวดคอบ่าไหล่ไดด้ ีที่สุด
คอื ปัจจยั ดา้ นจิตสังคม และปัจจยั ส่วนบุคคลดา้ นชวั่ โมงการใชค้ อมพวิ เตอร์ในหน่ึงวนั ตามลาดบั โดยพบว่า
ปัจจยั ดา้ นจติ สังคมและปัจจยั ส่วนบคุ คลดา้ นชว่ั โมงการใชค้ อมพวิ เตอร์ในหน่ึงวนั สามารถอธิบายความผนั แปร
ของอาการปวดคอบา่ ไหล่ไดร้ ้อยละ 10.3 จากผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล เสน้ สมการถดถอยท่ไี ด้ คือ
Y = 1.031 – 0.01 ปัจจยั ดา้ นจิตสงั คม + 0.75 ชว่ั โมงการใชค้ อมพวิ เตอร์ในหน่ึงวนั
ปีท่ี 16 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563 71
อภปิ รำย อาการปวดเม่ือยคอ ไหล่ แขนและหลงั เนื่องมาจาก
การทางานและงานวจิ ยั ของ เมธินี ครุสนั ธ์ิ 18 ที่พบ
ความชุกของอาการปวดคอบ่าไหล่ในระยะ อาการปวดคอ ไหล่ และหลังในพนักงานท่ีใช้
1 ปี ท่ีผ่านมา ของการศึกษาน้ีพบถึงร้อยละ 94.7 คอมพวิ เตอร์แบบต้งั โตะ๊ มากกวา่ 4 ชวั่ โมงตอ่ วนั
ซ่ึงสูงกวา่ การศกึ ษาของ Ranasinghe P, et al.13 ท้งั น้ี
เนื่องจาก เกณฑ์การวัดความปวดแตกต่างกัน ก า ร ศึ ก ษ า ปั จ จัย ด้า น ส ภ า พ แ ว ด ล้อ ม ใ น
การศึกษาน้ีให้กลุ่มตวั อย่างประเมินด้วยตนเอง การทางานที่มีผลต่ออาการปวดคอบ่าไหล่ ไดแ้ ก่
ใ ช้ numerical rating scale แ ต่ ก า ร ศึ ก ษ า ข อ ง ความสะอาดปลอดโปร่ง และอากาศถ่ายเท
Ranasinghe P, et al.13 ท่ีศึกษาในพนกั งานที่ทางาน ของสถานท่ี ความมีระเบียบ อุณหภูมิ กล่ินควนั
โดยใช้คอมพิวเตอร์จานวน 2,500 คนประเทศ ฝ่ ุน ล ะอ อ ง และ เสี ยงดัง พบว่า ปั จจัยด้า น
ศรีลงั กา ประเมินการปวดหรือไม่ปวดในระยะ 1 ปี สภาพแวดลอ้ มในการทางานมีความสัมพนั ธ์กับ
ท่ีผ่านมา โดยมีนิยามที่ว่า ต้องปวดติดต่อกัน อาการปวดคอบ่าไหล่ (OR=1.80,95%CI1.00-3.24,
อยา่ งนอ้ ย 1 สปั ดาห์ จึงจะถือวา่ มีอาการปวด และ p-value = 0.048) แต่เม่ือนาเขา้ วิเคราะห์ในสมการ
แตกต่างจากการศึกษาของ สุนิสา ชายเกล้ียง ถดถอย พบว่า ปัจจยั ดา้ นน้ีไม่มีอิทธิพลต่ออาการ
และค ณะ14 ท่ีพบว่า บุ คลา กรใน สานักงา น ปวดโดยตรง กล่าวคือ ปัจจยั ด้านสภาพแวดลอ้ ม
มหาวิทยาลัยขอนแก่นมีความชุกของอาการปวด ในการทางานอาจกระตุน้ ใหเ้ กิดความไม่พงึ พอใจ
ไหล่ร้อยละ 63.1 การศึกษาของ Ehsani F, et al.15 ค วา ม ไ ม่ สบายใจในท่ีทางาน สอดคล้องกับ
ท่พี บวา่ บุคลากรสานกั งานมีอาการปวดคอในระยะ งานวิจยั ของ ดวงเดือน ฤทธิเดช และคณะ5 ท่ีพบว่า
1 ปี ร้อยละ 45.8 การศึกษาน้ีไม่พบความสัมพนั ธ์ สภาพแวดล้อมในการทางานไ ม่มี อา นา จใน
ของอาการปวดคอบ่าไหล่ กับตัวแปร เพศ อายุ การทานายความรู้สึกไม่สบายคอ ไหล่และหลงั 5
แตกต่างจากการศึกษาของ Bento TPF, et al.16 แตกต่างจากงานวิจยั ของ Widanarko E.2 ที่พบว่า
ท่ีพบว่า เพศหญิง และผู้ท่ีมีอายุ 60 ปี ข้ึนไป สภาพแวดล้อมที่ติดขัด ไม่คล่องแคล่ว มีผลต่อ
มีความสมั พนั ธก์ บั อาการปวดไหล่ การศึกษาของ อาการปวดทางระบบกระดูกและกลา้ มเน้ือ อยา่ งไร
สุนิสา ชายเกล้ียง และคณะ14 พบว่า อาการปวดคอ ก็ตาม การวจิ ยั คร้ังน้ียงั ไม่ไดศ้ ึกษาดา้ นการยศาสตร์
บ่ า ไ ห ล่ พ บ ใ น เ พ ศ ห ญิ ง สู ง ก ว่า เ พ ศ ช า ย อ ย่า ง มี การเปลี่ยนอิริยาบถ การยึดเหยียดกล้ามเน้ื อ
นยั สาคญั ทางสถิติ การศึกษาของ Ehsani F, et al.15 ระหวา่ งการทางาน
ที่พบว่า อาการปวดคอมีความสัมพนั ธ์กบั ตวั แปร
เพศและอายุ ในการศึกษาน้ี ไม่พบความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง
ปัจจยั ดา้ นการออกกาลังกายกบั อาการปวดคอบ่า
จานวนชว่ั โมงในการใชค้ อมพวิ เตอร์ต้งั แต่ ไหล่ เน่ืองจากบุคลากรของโรงพยาบาลส่วนใหญ่
5 ชว่ั โมงต่อวนั มีความสัมพนั ธ์กบั อาการปวดคอ มีความรู้ในหลักการออกกาลังกายเป็ นอย่างดี
บ่าไหล่ สอดคลอ้ งกบั งานวจิ ยั ของ สิวลี รัตนปัญญา มีโอกาสออกกาลงั กาย เขา้ ร่วมกิจกรรมส่งเสริม
และคณะ17 ท่ีพบว่า ผู้ท่ีปฏิบัติงานกับเครื่ อง การออกกาลังกายท่ีทางโรงพยาบาลจัดให้เป็ น
คอมพิวเตอร์ไม่น้อยกว่า 3 ช่ัวโมงต่อวนั จะเกิด ประจา เช่น โยคะ ฟิตเนส เป็ นตน้ กระทงั่ สามารถ
72 วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
ฝึกปฏิบตั ิออกกาลงั กายดว้ ยตนเอง แต่อาการปวด เกิดข้ึนล่วงหน้า 3) การพัฒนาทีม การสร้าง
คอบ่าไหล่ของบุคลากรก็ยงั เป็ นอยู่ สอดคลอ้ งกับ ความสัมพนั ธ์ที่ดีในหน่วยงาน 4) การกระตุน้ ให้
งานวจิ ยั ของ จารุวรรณ ปันวารีและคณะ9แตแ่ ตกตา่ ง เจา้ หน้าที่ไดม้ ีโอกาสพฒั นาความรู้ความสามารถ
จากงานวจิ ยั ของ ดวงเดือน ฤทธิเดช และคณะ5 และ ในวชิ าชีพอยเู่ สมอ 5) การปลุกจิตสานึกให้บุคลากร
งานวจิ ยั ของพรรัชนี วรี ะพงศ์ และคณะ8 มีความภาคภูมิใจในวิชาชีพและการเสียสละเพื่อ
ส่วนรวม 6) สนับสนุนให้ผูบ้ งั คบั บญั ชาปกครอง
จากการศึกษาน้ีพบว่า ปัจจยั ด้านจิตสังคม ผู้ใต้บังคับบัญ ชา ด้วยค วา ม เป็ น ธรรม แล ะ
ซ่ึงเป็ นปัจจยั ท่ีเก่ียวกบั ความเครียดในการทางาน ความเสมอภาค และ 7) การปรับปรุงระบบงาน
ความพงึ พอใจในงาน ภาระงานมีอิทธิพลตอ่ อาการ และใชร้ ะบบการประเมินผลการปฏิบตั ิงานเป็ น
ปวดคอบ่าไหล่มากที่สุด สอดคล้องกับงานวิจยั รายบคุ คล
ของ Bernal D6 การศึกษาของ Ehsani F, et al.15
และการศึกษาของสุนิสา ชายเกล้ียง, รัชติญา ปัจจยั ส่วนบุคคลดา้ นจานวนชว่ั โมงในการใช้
นิธิธรรมธาดา19 แต่ไม่สอดคลอ้ งกบั งานวิจยั ของ คอมพวิ เตอร์ต้งั แต่ 5 ชว่ั โมงตอ่ วนั มีความสมั พนั ธ์
ดวงเดือน ฤทธิเดชและคณะ5 การศึกษาน้ีปัจจยั จิต กบั อาการปวดคอบ่าไหล่ สาเหตุมาจากระยะเวลา
สงั คมทพ่ี บวา่ มีคะแนนเฉลี่ยต่าสุดไดแ้ ก่ ภาระงาน ใ น ก า ร ใ ช้ค อ ม พิว เ ต อ ร์ อ ย่า ง ต่ อ เ น่ื อ ง ย า ว น า น
ที่มาก ไดร้ ับค่าตอบแทนไม่เหมาะสม ไม่มีเวลา แนวทางแก้ไข คือ การจัดให้มีช่วงเวลาพัก
พกั ผอ่ น และงานมีปัญหาตอ้ งแกไ้ ข ตามลาดบั ส้ัน ๆ ระหว่างการทางาน โดยการสอดแทรก
ท่ากายบริหารเพื่อยดื เหยยี ดกลา้ มเน้ือคอบ่าไหล่
ข้อเสนอแนะ แก่บคุ ลากร
ปัจจยั ดา้ นจิตสงั คมทีม่ ีอิทธิพลทานายอาการ ผลการศึกษาสามารถนาไปใช้เป็ นขอ้ มูล
ปวดคอบ่าไหล่ในบุคลากรท่ีใชค้ อมพิวเตอร์ใน พ้ืนฐานในการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับสาเหตุของ
โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ มีสาเหตุมาจาก ปั ญ ห า อ า ก า ร ป ว ด ค อ บ่ า ไ ห ล่ ใ น บุ ค ล า ก ร ที่ ใ ช้
1) ภาระงานมาก 2) ปัญหางานยุ่งยากซับซ้อน คอมพิวเตอร์ โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
3) การไม่ให้การยอมรับและหวังดี ต่อเพื่อน ท้ ัง น้ ี ค ว ร จ ะ มี ก า ร เ ก็ บ ข้อ มู ล ใน เร่ื อ งเกี่ ยวกั บ
ร่วมงาน 4) การขาดความพร้อมในการพัฒนา ระยะเวลาการพกั ในระหวา่ งใชค้ อมพวิ เตอร์ การยดื
ความรู้ความสามารถในวิชาชีพ 5) ขาดความทมุ่ เท เหยยี ดกลา้ มเน้ือหรือบริหารร่างกายระหวา่ งทางาน
และการอุทิศตนในงาน 6) การไม่ไดร้ ับความเป็ น ตลอดจนลักษณะทางการยศาสตร์ขณะทางาน
ธรรมจากผูบ้ งั คบั บญั ชา และ 7) การถูกเอารัดเอา เพอื่ เป็ นขอ้ มูลในการออกแบบการทางาน การพกั
เปรียบจากเพ่ือนร่วมงาน การแก้ไขปัจจยั ดา้ นจิต ที่เหมาะสม ควรมีการเฝ้าระวงั ปัญหาการป่ วย
สังคม 1) ควรหาแนวทางในการควบคุมปริมาณ เร้ือรังกลุ่มน้ี ตลอดจนคน้ หาปัจจยั เส่ียงในรูปแบบ
งานให้เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงาน 2) ควรหา การศึกษาแบบไปข้างหน้าโดยศึกษาปัจจยั อื่นที่
แนวทางในการวางระบบงานท่ีดีบนพ้ืนฐานของ กล่าวขา้ งตน้ ร่วมดว้ ย
การบริหาร ความเสี่ยงเพ่ือป้องกนั ปัญหาที่อาจจะ
ปีที่ 16 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563 73
กติ ตกิ รรมประกำศ 5. ดวงเดือน ฤทธิเดช, ฌาน ปัทมะ พลยง,
ม ริ ส สา ก อ ง สม บัติสุ ข . ปั จ จัยท า น า ย
ขอขอบคุณหัวหน้าฝ่ าย หัวหน้ากลุ่มงาน ความรู้สึกไม่สบายบริเวณคอ ไหล่ และหลัง
และอาสาสมัครทุกท่านที่ให้ความร่ วมมือใน ข อ ง พ นัก ง า น ใ น ส า นัก ง า น บ ริ ษัท เ อ ก ช น
การศึกษา ขอขอบคุณพี่ ๆ เพ่อื น ๆ ทุกท่านที่ช่วย ที่ใชค้ อมพิวเตอร์ ในจงั หวดั ระยอง. วารสาร
สนับสนุ น ใ น ก า รทา วิจัย แล ะ ข อ ข อ บคุ ณ กรมการแพทย์ 2561; 43: 57-63.
ผทู้ รงคุณวฒุ ิทุกท่านท่ีให้คาแนะนาและตรวจสอบ
ความสมบูรณ์ของการแปลผลในงานวจิ ยั 6. Bernal D, Campos-Serna J, Tobias A,
Vargus-Prada S, Benavides FG, Serra C.
เอกสำรอ้ำงองิ Work-related psychosocial risk factors and
musculoskeletal disorders in hospital nurses
1. กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการ and nursing aides. A systemic review and
สื่อสาร. รายงานการสารวจการมีการใช้ meta-analysis. Int J Nurs Stud 2015; 52:
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารใน 635-48.
ครัวเรือน 2561(ไตรมาสท่ี 1). กรุงเทพฯ:
สานกั งานสถิติแห่งชาติ; 2561. 7. Dianat I, Bazazan A, Azad MAS, Salimi SS.
Work-related physical, psychosocial and
2. Widanarko E, Legg S, Devereux J, individual factors associated with musculos-
Stevenson M. The combined effect of keletal symptoms among surgeons: Implica-
physical, psychosocial organizational and/or tions for ergonomic interventions. Appl Ergon
environ-mental factors on the presence of 2018; 67: 115-24.
work-related musculoskeletal symptoms
and its consequences. Appl Ergon 2014; 45: 8. พรรัชนี วีระพงศ์, วิราภรณ์ แพบวั , สุภาณี
1610-21. ชวนเชย. ผลของการออกกาลังกายโดยใช้
โปรแกรมคอมพิวเตอร์และการพกั ต่ออาการ
3. ทรงฤทธ์ิ ทองมีขวญั , สกุนตลา แซ่เตียว. ป ว ด ค อ แ ล ะ ไ ห ล่ ใ น ผู้ที่ ใ ช้ ค อ ม พิ ว เ ต อ ร์
พฤติกรรมการป้องกนั และการรบั รู้ความเส่ียง เป็ น ร ะ ย ะ เ วล า น า น . ว า ร สา รส ม า ค ม
ต่อการเกิดกลุ่มอาการคอมพิวเตอร์ซินโดรม สถาบนั อุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย
ของบคุ ลากรสายสนบั สนุน. วารสารพยาบาล ใ น พ ร ะ ร า ชู ป ถัม ภ์ ส ม เ ด็ จ พ ร ะ เ ท พ
ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สยาม 2561; 19: 69-83. รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 2559; 5:
79-89.
4. นรากร พลหาญ, สมสมร เรืองวรบรู ณ์, โกมล
บญุ แกว้ , อนุพงษ์ ศรีวริ ัตน์. กลุ่มอาการท่ีเกิด 9. จารุ วรรณ ปั นวารี , จักรกริ ช กล้าผจญ ,
ต่อร่ างกายจากการใช้คอมพิวเตอร์ใน อภิชนา โฆวินทะ. อาการปวดคอท่ีเกิดกับ
การปฏิบตั ิงานของบุคลากรสายสนับสนุน บุคลากรท่ีใช้คอมพิวเตอร์: การศึกษาปัจจัย
มหาวิทยาลยั นครพนม. วารสารมหาวทิ ยาลยั ทางการยศาสตร์. เวชศาสตร์ฟ้ื นฟูสาร 2552;
ศรีนครินทรวิโรฒ (สาขาวิทยาศาสตร์และ 19: 30-5.
เทคโนโลย)ี 2557; 6: 26-38.
74 วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
10. Yamane T. Statistics: an introductory Rehabil Health Study[Internet]. 2017 [cited
analysis. 3rded. New York: Harper and Row; 2020 Apr 30]; 4:e42031. Available from:
1973. http://www.dx.doi.org/10.5812/mejrh.42031.
16. Bento TPF, Genebra CVDS, Cornélio GP,
11. ธวัชชัย ศรีพรงาม. ปัจจัยทางจิตสังคมที่ Biancon RDB, Simeão SFAP, Vitta AD.
เ ก่ี ย ว ข้อ ง กับ พ ฤ ติ ก ร ร ม ก า ร ท า ง า น อ ย่า ง Prevalence and factors associated with
ปลอดภยั ชองพนักงานโรงงานอุตสาหกรรม shoulder pain in the general population: a
สิ่ งทอ แล ะ ปั่ น ด้า ย[ภา ค นิ พน ธ์ศิล ปศา สต ร cross-sectional study. Fisioter Pesqui [Internet].
มหาบัณฑิต]. กรุงเทพฯ: สถาบันบัณฑิต 2019 [cited 2020 Apr 30]; 26: 401-6. Available
พฒั นบริหารศาสตร์; 2547. from: http://www.scielo.br/scielo.php?script=
sci_arttext&pid=S1809-29502019000400401
12. คุณทรัพย์ สารถ้อย. ปัจจัยทางจิตสังคมท่ี &lng=en.
เก่ียวขอ้ งกบั พฤติกรรมการเป็ นพนักงานท่ีดี 17. สิวลี รัตนปัญญา, สามารถ ใจเต้ีย, สุรศกั ด์ิ
ของหน่วยงาน[การคน้ ควา้ อิสระศิลปศาสตร นุ่มมีศรี, การตช์ ญั ญา แกว้ แดง, จติ มิ า กตญั ญู.
มหาบัณฑิต]. กรุงเทพฯ: สถาบันบัณฑิต ปั จจัย ที่สัม พ ัน ธ์กับ ก า รบ า ด เจ็บ ข อ ง ระ บ บ
พฒั นบริหารศาสตร์; 2558. โครงร่างกระดูกและกล้ามเน้ือท่ีเกี่ยวเน่ือง
จากการทางานของบุคลากรมหาวิทยาลัย
13. Ranasinghe P, Perera YS, Lamabadusuriya DA, ราชภฏั เชียงใหม่. วารสารความปลอดภยั และ
Kulatunga S, Jayawardana N, Rajapakse S, สุขภาพ 2559; 9: 20-9.
et al. Work related complaints of neck, 18. เมธินี ครุสันธ์ิ, สุนิสา ชายเกล้ียง. ความชุก
shoulder and arm among computer office ความรู้สึกไม่สบายบริเวณคอ ไหล่และหลงั
workers: a cross-sectional evaluation of ของพนกั งานสานกั งานของมหาวทิ ยาลยั ทใี่ ช้
prevalence and risk factors in a developing คอมพิวเตอร์แบบต้งั โต๊ะมากกว่า 4 ชว่ั โมง
country. Environ Health 2011; 10: 70. ต่อ ว นั . Graduate Research Conference
[อินเทอร์เน็ต]. 2014 [เขา้ ถึงเม่ือ 13 กนั ยายน
14. สุนิสา ชายเกล้ียง, พรนภา ศุกรเวทย์ศิริ 2562]. เข้าถึงได้จาก: https://www.gsbooks.
เบญจา มุกตะพนั ธ์. การประเมินภาวะเสี่ยง gs.kku.ac.th>grc15>files>mmp72.pdf.
ของการปวดไหล่จากการทางานของบุคลากร 19. สุนิสา ชายเกล้ียง, รัชติญา นิธิธรรมธาดา.
ใน สา นัก งา น ม หา วิท ยา ลัยข อ น แก่ น . ปัจจยั ท่ีมีความสัมพนั ธ์กับการปวดคอ ไหล่
วา รสา รวิจัยค ณ ะ สา ธ า รณ สุ ข ศา สตร์ ของทันตบุคลากรในโรงพยาบาลของรัฐ
มหาวิทยาลัยขอนแก่น[อินเทอร์เน็ต]. 2553. จงั หวดั ขอนแก่น. วารสารสาธารณสุขศาสตร์
[เขา้ ถึงเม่ือ 30 เมษายน 2563];.3: 1-10. เขา้ ถึง 2559; 46: 42-56
ไดจ้ าก: https://he01.tci-thaijo.org/index.php/
kkujphr/article/view/118803.
15. Ehsani F, Mosallanezhad Z, Vahedi G.
The prevalence, risk factors and consequences of
neck pain in office employees. Middle East J
ปีท่ี 16 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563 75
บทความปริทศั น์
Review article
โรคซนสมาธิส้ันในเดก็ และวยั รุ่น
กติ ตพิ งศ์ มาศเกษม วว.กมุ ารเวชศาสตร์ วว.กุมารเวชศาสตร์อนุสาขาพฒั นาการและพฤตกิ รรม*
*กลุ่มงานกมุ ารเวชกรรม โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารกั ษ์
บทคดั ย่อ รับบทความ: 25 เมษายน 2563
แกไ้ ขบทความ: 27 พฤศจิกายน 2563
ตอบรับบทความ: 30 พฤศจิกายน 2563
บทนา: โรคซนสมาธิส้นั เป็ นโรคทางพฒั นาการระบบประสาทที่พบไดบ้ ่อยโรคหน่ึงในเด็กและวยั รุ่น อาการ
ของโรคส่งผลต่อคุณภาพชีวติ ของเด็กและคนรอบขา้ ง อีกท้งั ส่งผลระยะยาวเมื่อเด็กเติบโตเป็ นผใู้ หญ่ การดูแล
รักษาเด็กกลุ่มน้ีจึงมีความสาคญั และมีความจาเพาะ ความรู้ความเขา้ ใจในโรคและการดูแลเด็กกลุ่มน้ีอยา่ งมี
ประสิทธิภาพ จึงมีความสาคญั ต่อทีมสหสาขาวิชาชีพท่ีดูแลเด็ก เช่น กุมารแพทย์ จิตแพทยเ์ ด็กและวยั รุ่น
พยาบาล ครู
วัตถุประสงค์: เพื่อทบทวนความรู้ที่มีการพฒั นาแนวทางอยา่ งต่อเน่ืองในปัจจุบนั เกี่ยวกบั โรคซนสมาธิส้นั ใน
ดา้ นระบาดวทิ ยา สาเหตุการเกิดโรค การดูแลรักษา เพ่ือเป็ นแนวทางในการดูแลเด็กกลุ่มน้ีให้มีคุณภาพชีวติ ที่ดี
เตม็ ตามศกั ยภาพ
วธิ ีการดาเนินการศึกษา: ทบทวนวรรณกรรม
ผลการศึกษา: โรคซนสมาธิส้นั เป็นโรคท่ีมีความสมั พนั ธ์กบั ระบบประสาทที่เกิดจากการมีปฏิสมั พนั ธร์ ะหว่าง
ปัจจยั ทางพนั ธุกรรมและส่ิงแวดลอ้ ม ทาใหม้ ีขอ้ จากดั ในดา้ นการควบคุมความยบั ย้งั ชง่ั ใจและความจาในการใชง้ าน
พบความชุกทว่ั โลก 5.29 - 7.2% เกณฑก์ ารวนิ ิจฉยั ในปัจจุบนั อ้างอิงตาม DSM-5 โดยอาศยั ขอ้ มูลจากประวตั ิ
และการสงั เกตอาการทางคลินิกเป็นหลกั ซ่ึงไดจ้ ากผทู้ ่ีมีส่วนร่วมในการดูแลเดก็ เช่น บดิ า มารดา ครู และแพทย์
การดาเนินโรคช่วงวยั เด็กมกั มีอาการซนไม่น่ิงเป็ นหลกั และลดลงเม่ือโตข้ึน แต่อาการไม่มีสมาธิจะเด่นชดั ข้ึน
และโรคซนสมาธิส้ันมกั จะพบภาวะผิดปรกติร่วมดว้ ยได้ ดงั น้นั การดูแลรักษาจึงตอ้ งคานึงถึงปัจจยั ในแง่อายุ
ของเด็ก ความผดิ ปรกตทิ พี่ บร่วม รวมถึงความสามารถและความตอ้ งการของเด็กและครอบครวั ดว้ ยเสมอ
76 วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
บทความปริทศั น์
Review article
โรคซนสมาธิส้ันในเดก็ และวยั รุ่น
กติ ตพิ งศ์ มาศเกษม วว.กมุ ารเวชศาสตร์ วว.กุมารเวชศาสตร์อนุสาขาพัฒนาการและพฤตกิ รรม*
*กลุ่มงานกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารกั ษ์
บทคดั ย่อ (ต่อ) รับบทความ: 25 เมษายน 2563
แกไ้ ขบทความ: 27 พฤศจิกายน 2563
ตอบรับบทความ: 30 พฤศจิกายน 2563
สรุป: หลกั การรักษาโดยทว่ั ไปของโรคซนสมาธิส้นั จะประกอบดว้ ย การรักษาดว้ ยการใชย้ า และไม่ใชย้ า เช่น
การปรบั พฤตกิ รรม การจดั สิ่งแวดลอ้ มทีเ่ หมาะสม ร่วมกบั มีการดูแลติดตามอยา่ งเหมาะสม อยา่ งไรก็ดี เนื่องจาก
เด็กแต่ละรายมีความตอ้ งการเฉพาะทแี่ ตกต่างกนั การดูแลรักษาโรคซนสมาธิส้นั จึงยงั มีความจาเพาะรายบุคคล
เพอื่ ใหป้ ระสิทธิผลในการรกั ษาเตม็ ตามศกั ยภาพเดก็
คาสาคญั โรคซนสมาธิส้นั complex ADHD ภาวะผดิ ปรกตทิ พ่ี บร่วม
ปีท่ี 16 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563 77
บทความปริทศั น์
Review article
Attention deficit/hyperactivity disorder in children and adolescence
Kittipong Maskasame MD*
*Department of Pediatrics, Charoenkrung Pracharak Hospital
Abstract Received: April 25, 2020
Revised: November 27, 2020
Accepted: November 30, 2020
Introduction: Attention Deficit/Hyperactivity Disorder (ADHD) is a common neurodevelopmental disorder
presented in childhood and adolescent period. For those suffering from this disorder, the individually specialized
care is required and crucial as their quality of lives can be inevitably affected from childhood to adulthood.
Knowledge of ADHD and its effective care are therefore vital for the team providing multidisciplinary care
including pediatrician, child psychiatrist, pediatric nurse and teacher.
Objective: This article aims to review the regularly updated information about ADHD in terms of epidemiology,
causes and management for maximizing the quality of life of children and adolescence with ADHD.
Methodology: Review article
Results: ADHD is the neurodevelopmental disorder originated from the gene by environment interaction which
causes the limitation of inhibitory control and working memory. The estimated world pool prevalence is
5.29 - 7.2%. The guidelines in the American Psychiatric Association’s Diagnostic and Statistical Manual, Fifth
edition (DSM-5), currently used to help diagnose ADHD, is based primarily on history and clinical findings
recorded by child’s caretaker, such as parents or teacher, and physician. Hyperactivity is the pertinent finding
during childhood period which decreases and is replaced with inattentive symptoms during surpassing the
adolescent period and the comorbidities are often identified. When designing plan for caring children with
ADHD, child’s age, coexisting conditions, the ability of care and needs of children and their parents have to be
taken into account.
Conclusions: The general principle of treatment includes medication and non-medication, such as behavioral
intervention and accommodation, cooperating with appropriate monitoring. For effective treatment and
achieving the maximum potential of each child, the care has to be planned specially for matching with individual
needs.
Keywords: Attention deficit/hyperactivity disorder, complex ADHD, coexisting conditions
78 วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
โรคซนสมาธิส้ันในเดก็ และวยั รุ่น (Attention ความชุก 6.26% และพบกลุ่ม inattentive type มาก
deficit/hyperactivity disorder in children ที่สุด 3.24%5 สาหรับในประเทศไทยมีการศึกษา
and adolescence) โดย ทวศี ิลป์ วษิ ณุโยธิน และคณะในปี พ.ศ. 2556
พบความชุก 8.1% อัตราส่ วน ผู้ชาย : ผู้หญิง
โรคซนสมาธิส้ันเป็ นโรคทางพัฒนาการ เท่ากับ 3:1 ประเภทท่ีพบมากท่ีสุด คือ combined
ระบบประสาท (neurodevelopmental disorder) ที่ type 3.8% inattentive type 3.4% และ hyperactive-
พบได้บ่อยโรคหน่ึงในเด็กและวยั รุ่น อาการของ impulsive type 0.93% ตามลาดับ6สาหรับการศึกษา
โรคส่งผลตอ่ คุณภาพชีวิตของเด็กและคนรอบขา้ ง ความชุกท่ีใช้เกณฑ์การวินิจฉัยปั จจุบันหรื อ
อีกท้ังส่งผลระยะยาว เม่ือเด็กเติบโตเป็ นผูใ้ หญ่ DSM-5 เป็ นการศึกษาความชุกในเด็กวยั เรียนของ
ก า ร ดู แ ล รั ก ษ า เ ด็ ก ก ลุ่ ม น้ ี จึ ง มี ค ว า ม ส า ค ัญ แ ล ะ ประเทศอียปิ ต์ พบความชุก 20.5% ประเภทที่พบ
มีความจาเพาะ ความรู้ความเข้าใจในโรคและ มากที่สุด คือ combined type 16.4%, hyperactivity/
การดูแลอยา่ งมีประสิทธิภาพ จึงมีความสาคญั ต่อ Impulsivity type 2.8%, inattentive type 1.3%7
ทีมสหสาขาวิชาชีพท่ีดูแลเด็ก เช่น กุมารแพทย์
จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่ น คุณครู บทความน้ี มี สาเหตุ
วัตถุ ป ระ ส งค์เพ่ือ ทบ ทวน อ งค์ค วา ม รู้ท่ีมี
การพฒั นาอยา่ งต่อเน่ืองในปัจจุบนั เกี่ยวกบั โรคซน ปัจจยั เสี่ยงทางพันธุกรรม
สมาธิส้นั ในดา้ นระบาดวิทยา สาเหตุการเกิดโรค ข้อมูลในปัจจุบันพบว่า พนั ธุกรรมเป็ น
การดูแลรักษา เพื่อเป็ นแนวทางในการดูแลเด็ก ปัจจยั หน่ึงท่ีมีผลต่อการเกิดโรค โดยเด็กท่ีมีปัจจยั
กลุ่มน้ีใหม้ ีคุณภาพชีวติ ทีด่ ีเตม็ ตามศกั ยภาพ เสี่ยงทางพันธุกรรม (genetic risk) ต่อโรคซน
ส ม า ธิ ส้ ั น จ ะ มี อ า ก า ร แ ส ด ง อ อ ก ข อ ง ภ า ว ะ ซ น
ระบาดวิทยา (Epidemiology) สมาธิส้นั มากกวา่ ดงั น้ี
การศึกษาความชุกโรคซนสมาธิส้ันพบว่า การศึกษาในครอบครัว (family study) หลาย
ความชุกโดยรวม (pooled prevalence) ทวั่ โลกอยทู่ ี่ การศกึ ษา พบวา่ พน่ี อ้ ง บดิ า มารดาของเดก็ ทไี่ ดร้ บั
5.29 - 7.2%1,2 สาหรับการศึกษาความชุ กใน การวนิ ิจฉยั เป็นโรคซนสมาธิส้ันมีโอกาสตรวจพบ
ประเทศต่าง ๆ พบจานวนต่างกนั บา้ ง ข้ึนอยกู่ ับ ภาวะเดียวกนั มากข้ึน หรือการศกึ ษาในครอบครัว
เกณฑ์การวินิจฉัยที่ใช้ในการศึกษา ถา้ ใช้เกณฑ์ ที่มีการรับดูแลบุตรบุญธรรม พบว่า บิดามารดา
ของ ICD -10 พบความชุก 1 - 2%3 หรือถา้ ใชเ้ กณฑ์ ทางสายเลือดของเด็กที่ไดร้ ับการวินิจฉัยเป็ นซน
การวินิจฉัย Diagnostic and Statistical Manual of สมาธิส้นั มีโอกาสพบเป็ นซนสมาธิส้นั ไดม้ ากกวา่
Mental Disorders (DSM) ฉบับตีพิมพ์ก่อนฉบับ บดิ ามารดาบุญธรรมที่รบั เดก็ ที่เป็นซนสมาธิส้นั มา
ท่ี 5 (DSM-5) ซ่ึงเป็ นเกณฑม์ าตรฐานการวินิจฉัย อุปการะ และโอกาสพบปัญหาซนสมาธิส้ันใน
ในปัจจุบนั ในประเทศสหรัฐอเมริกาพบความชุก บิ ด า ม า ร ด า อุ ป ถัม ภ์ไ ม่ ต่ า ง กับ บิ ด า ม า ร ด า ท า ง
15.5% โดยพบเป็ นประเภท combined type มาก สายเลือดของเดก็ ท่ไี ม่ไดเ้ ป็ นโรคซนสมาธิส้นั 8
ที่สุด 63.4%4 ซ่ึงแตกตา่ งจากในประเทศจีน ซ่ึงพบ
ปีท่ี 16 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563 79
การศึกษาในแฝด (twinstudy)หลายการศึกษา ปัจจัยเสี่ยงทางส่ิงแวดล้อม
ประมาณการว่า พันธุกรรมเป็ นสาเหตุของซน
สมาธิ ส้ั นได้ 74% โ ด ย อัต ร า ดัง ก ล่ า ว ไ ม่ มี เน่ืองจากโรคซนสมาธิส้ันเป็ นโรคท่ีมี
ความแตกต่างกันระหว่างเพศ หรือ ระหว่างกลุ่ม ความสัมพนั ธ์กับพัฒนาการของสมอง ดังน้ัน
อาการขาดสมาธิและกลุ่มอาการซนไม่น่ิง8 ปัจจัยทางส่ิงแวดล้อมท่ีมีผลต่อการพฒั นาของ
สมองถือเป็ นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรค ดังเช่น
น อ ก จ า ก น้ี ก า รศึ ก ษ า ด้า น ปั จจัยท า ง
พนั ธุกรรมทาให้สามารถอธิบายลักษณะของ การศึกษาหลายการศึกษาพบว่า การมีภาวะเส่ียง
โรคซนสมาธิส้ันในลักษณะเชิงกลุ่มประชากร
แบบต่อเนื่องตามระดบั ความรุนแรง คลา้ ยในโรค ในช่วงต้งั ครรภ์และการคลอดที่มีผลต่อการขาด
ความดันโลหิตสูง หรือ ระดับเชาวน์ปัญญา ที่มี ออกซิเจนเร้ือรังของสมอง ได้แก่ ทารกเกิดก่อน
การกระจายตวั แบบปรกติ (normal distribution) กาหนด ทารกแรกเกิดน้าหนกั นอ้ ย มารดาสูบบหุ รี่
นนั่ คือ กลุ่มประชากรจะมีลักษณะพฤติกรรมซน ระ หว่า งต้ังค รรภ์ ม ารด า ไ ด้รับ สา รป รอ ท
สมาธิส้ัน (ADHD traits) แบบต่อเนื่องต้งั แต่ไม่มี (methylmercury) จากการบริ โภคปลาระหว่าง
พฤติกรรมซนสมาธิส้ัน มีในระดับเล็กน้อย
ปานกลาง จนถึงระดบั รุนแรง โดยกลุ่มเด็กทีไ่ ดร้ ับ ต้งั ครรภ์ การขาดวิตามินดีระหวา่ งต้งั ครรภ์ ลว้ น
ก า ร วิ นิ จ ฉั ย โ ร ค ซ น ส ม า ธิ ส้ ัน จ ะ อ ยู่ใ น ก ลุ่ ม ท่ี มี เป็ นปัจจยั เสี่ยงต่อการเกิดโรค8
ปัญหาระดบั พฤติกรรมที่มีปัญหารุนแรงในกลุ่ม
ประชากร หรือเด็กที่มีปัญหาสมาธิหรือมีปัญหา ส่วนปัจจัยเสี่ยงทางส่ิงแวดล้อมอื่น ๆ ที่
พฤติกรรมซนแต่ยงั ไม่ครบเกณฑก์ ารวินิจฉัยโรค สมั พนั ธก์ บั การเกิดโรค ไดแ้ ก่ การไดร้ ับสารตะกวั่
จะอยใู่ นกลุ่มมีอาการเลก็ นอ้ ยและอาจมีความเส่ียง สมองมีความบาดเจ็บเล็กน้อย (mild traumatic
ทางดา้ นพนั ธุกรรม8,9
brain injuries) การขาดการดูแลในระดับรุนแรง
การศึกษาในระดบั ยีน พบว่า การเกิดโรค
เป็ นแบบ polygenic นั่นคือ การเปล่ียนแปลงใน (severe institutional deprivation)8
ระดับ DNA หลายชนิดส่งผลต่อการเกิดโรคน้ี
โดยยนี ทพ่ี บวา่ มีความสมั พนั ธก์ บั โรคซนสมาธิส้ัน สาหรับปัจจยั ทางสิ่งแวดลอ้ มท่ีไม่สัมพนั ธ์
ไ ด้แก่ dopamine transporter gene (DAT1) , D4 กบั การเกิดโรค ไดแ้ ก่ การบริโภคน้าตาล สารปรอท
dopamine receptor gene (DRD4 ) , D5 dopamine (methylmercury) ใ น วัค ซี น ก า ร ผ่า ตัด ค ล อ ด
receptor gene (DRD5), serotonin transporter gene
(5 HTT), serotonin 1 B receptor gene (HTR1 B) การอดนอน หรือภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมนใน
และยีนที่สร้าง synaptic vesicle regulating protein
known (SNAP25)8 มารดา8
อย่ า งไรก็ดีกา รเ กิด โรคซน สม าธิส้ั นไม่ ได้
เกิดจากปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งเป็ นหลักแต่เป็ นผลจาก
ปฏิสั มพันธ์ ของปัจจัยทางพันธุกรรมหรื อยีนกับ
ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม กล่าวคือ ยีนที่เป็ นปัจจัย
เสี่ยงต่อการเกิดโรคจะแสดงอาการของการเกดิ โรค
ก็ต่อเมื่อมีการกระตุ้นท่เี หมาะสมจากส่ิงแวดล้อมที่
เป็ นปัจจัยเสี่ยง (gene by environment interaction)8,9
80 วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
พยาธิสรีรวทิ ยาของการเกดิ โรค ที่นามาใช้งาน (working memory) และทักษะ
การยบั ยง้ั ชงั่ ใจคดิ ไตร่ตรอง (inhibitory control)8
กายวิภาคของระบบประสาทและสารสื่ อ
ทฤษฎที างจติ วทิ ยา
ประสาท ทัก ษ ะ ข อ ง ส ม อ ง ด้า น ก า ร บ ริ ห า ร จัด ก า ร
(executive function) ซ่ึงเป็ นกระบวนการสาคัญ
เด็กท่ีมีปัญหาซนสมาธิส้นั พบมวลรวมของ ทางสติปั ญญา(cognitive process) ท่ีต้องอาศัย
สมอง (global brain volume) ลดลงประมาณ 3 - 5% สมาธิเพอ่ื ช่วยควบคุมพฤติกรรรม โดย executive
โดยเฉพาะส่วน gray matter โดยพบความสมั พนั ธ์ function ประกอบดว้ ย
1. ทักษะการยับย้ังช่ังใจคิดไตร่ ตรอง
ของระดับของการลดลงของมวลรวมของ (inhibitory control) คือ ความสามารถในการ
สมองส่วนหน้า (prefrontal cortex), basal ganglia ควบคุมสติ พฤติกรรม ความคิด รวมถึงอารมณ์
และ cerebellum กับความรุนแรงของอาการ และ ความรู้สึก ให้แสดงหรื อประพฤติในส่ิงที่ควร
พบความล่าช้าของการพฒั นา cortex ของสมอง กระทา ในสถานการณ์ที่ส่ิงเร้าท่ีดึงดูดใจท้งั จาก
ส่วนหน้า (prefrontal cortex) หรือจากการศึกษา ภายในจิตใจตวั เราเองหรือสภาพแวดลอ้ มภายนอก
2. ทักษะความจาที่นามาใช้งาน (working
การทางานของสมองด้วย functional MRI พบ memory) คือ ความสามารถในการจดจา และ
การทางานของสมองส่วนหน้า (prefrontal cortex) ประมวลข้อมูลท่ีได้รับ ประกอบด้วย ส่วนท่ี
ลดลง9 เก่ียวขอ้ งกับภาษา (verbal working memory) และ
ส่วนท่ีไม่เก่ียวขอ้ งกับภาษาหรือดา้ นมิติสัมพนั ธ์
การศึกษาโดยใช้ positron emission tomo- (non-verbal (or visual-spatial)working memory)
3. ความยืดหยุ่นทางความคิด (cognitive
graphy (PET) พ บ ก า ร ท า ง า น ข อ ง dopamine flexibility) คือ ความสามารถในการปรับเปลี่ยน
มุมมองความคิด โดยอาศยั จากลาดบั ความสาคญั
transporter เพมิ่ ข้ึนในผปู้ ่ วยทเี่ ป็นโรคซนสมาธิส้นั หรือมุมมองดา้ นอื่น10
เมื่อเทียบกับบุคคลท่ัวไปซ่ึงสัมพนั ธ์กับข้อมูล โดยในเด็กท่ีเป็ นซนสมาธิส้ันจะมีขอ้ จากัด
ทางเภสัชวิทยาของ methylphenidate ที่เป็ นยา ในเร่ือง executive function ในดา้ นทกั ษะการยบั ย้งั
ชงั่ ใจคิดไตร่ตรอง (inhibitory control) และทกั ษะ
มาตรฐานตวั หน่ึงท่ีใชใ้ นการรักษาโรคซนสมาธิ ความจาที่นามาใชง้ าน (working memory)8,11
ส้ัน ซ่ึงมีกลไกสกัดก้นั การทางานของ dopamine
transporter ส่งผลให้ปริ มาณ dopamine เพ่ิมข้ึน การวนิ ิจฉัย
ซ่ึงมีบทบาทสาคญั ในการควบคุมสมาธิ รวมถึง
การทางานของกลา้ มเน้ือ และ limbic system8 การวินิจฉัยใช้อาการทางคลินิกเป็ นหลัก
โดยอาศยั ขอ้ มูลจากผูท้ ี่ได้มีโอกาสดูแลใกล้ชิด
ยามาตรฐานในการรักษาซนสมาธิส้นั ไดแ้ ก่ กับเด็กในชีวิตประจาวัน เช่น บิดามารดาหรือ
methylphenidate แล ะ atomoxetine มี ก ล ไ ก ใ น ผปู้ กครอง คุณครู เป็ นตน้ 3,12 โดยมาตรฐานปัจจบุ นั
ก า รสกัดก้ัน ก า รทา ง า น ข อ ง norepinephrine
transporter ท า ใ ห้ ล ด ก า ร ย้ อ น ก ลั บ ข อ ง
norepinephrine เข้าสู่ presynaptic neuron ทาให้
norepinephrine บ ริ เ ว ณ synaptic cleft ม า ก ข้ึ น
โดย norepinephrine มีหน้าที่สาคัญในการส่ ง
สัญญานประสาทในบริ เวณสมองส่ วนหน้า
(prefrontal cortex) ซ่ึงมีหนา้ ท่ีเก่ียวกบั การควบคุม
สมาธิและ executive function ไดแ้ ก่ ทกั ษะความจา
ปีที่ 16 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563 81
การวินิจฉัยอิงเกณฑ์ Diagnostic and Statistical วินิจฉัยต้งั แต่ 5 ข้อข้ึนไป) โดยอาการซนไม่น่ิง
และหุนหันพลันแล่นดังกล่าวต้องปรากฏอย่าง
Manual of Mental Disorders 5th edition (DSM-5)12,13 นอ้ ย 6 เดือน และไม่สัมพนั ธ์กบั ระดบั พฒั นาการ
ดงั น้ี ของเด็ก:
1. อาการขาดสมาธิ: มีอาการตามเกณฑ์
1.1 บ่อยคร้งั ท่ีกระสบั กระส่ายอยไู่ ม่สุข
ต้งั แต่ 6 ขอ้ ข้ึนไป (สาหรับวยั รุ่นและผูใ้ หญ่อายุ ปรบมือ กระดิกเทา้ หรือ ยกุ ยกิ เวลานงั่
17 ปี มีอาการตามเกณฑ์วินิจฉัยต้ังแต่ 5 ข้อ
ข้ึนไป) โดยอาการขาดสมาธิดงั กล่าวตอ้ งปรากฏ 1.2 บ่ อ ย ค ร้ั ง ท่ี จ ะ ลุ ก จ า ก ที่ น่ัง ใ น
อย่างน้อย 6 เดือน และไม่สัมพันธ์กับระดับ สถานการณ์ท่ีตอ้ งนงั่ เช่น ระหวา่ งเรียนในช้นั เรียน
พฒั นาการของเดก็ : 1.3 บ่อยคร้ังท่ีจะว่ิงหรือปี นป่ ายใน
สถานการณ์ที่ไม่เหมาะสม (ในวยั รุ่นและผูใ้ หญ่
1.1 บ่อยคร้ังท่ีจะไม่สามารถมีสมาธิจดจ่อ อาจใชเ้ พยี งความรูส้ ึกกระสบั กระส่าย)
ต่อรายละเอียด หรือผิดพลาดดว้ ยความสะเพร่า
ในการทาการบา้ น งานหรือกิจกรรมอื่น ๆ 1.4 บ่อยคร้ังที่จะไม่สามารถเล่นหรือ
ร่วมกิจกรรมดว้ ยความสงบ
1.2 บ่อยคร้ังที่จะมีปัญหาในการคุม
สมาธิในการทางานหรือกิจกรรมการเล่นต่าง ๆ 1.5. รวดเร็ว พลงั มาก เหมือนติดเครื่อง
อยตู่ ลอดเวลา
1.3 บ่อยคร้ังทจ่ี ะไม่ฟังเวลาพดู ดว้ ย
1.4 บ่อยคร้ังที่จะไม่ปฏิบัติตามคาสั่ง 1.6 พดู มาก
และไม่ประสบความสาเร็จในการทางานท่ีไดร้ ับ 1.7 บ่อยคร้ังที่จะพูดโพล่งตอบก่อนที่
มอบหมาย เช่น การบา้ น งานบา้ น หรือ งานในที่ จะถามจบ
1.8 บ่อยคร้ังที่จะมีความยากลาบากใน
ทางาน การรอคอย
1.5 บ่อยคร้ังท่ีประสบปัญหาการจัด
1.9 บ่อยคร้ังท่ีจะแทรกหรือรบกวน
ระบบในการทางานหรือการทากิจกรรมต่าง ๆ การทากิจกรรมร่วมกบั ผอู้ ่ืน เช่น พดู แทรก หรือเขา้
1.6 บ่อยคร้ังท่ีจะหลีกเล่ียง ไม่ชอบ ไปแทรกเวลาคนอื่น ๆ เล่นกนั
ไม่เต็มใจ ในการทางานท่ีตอ้ งใช้สมาธิเป็ นระยะ โดยอาการดงั กล่าวตอ้ ง:
เวลานาน เช่น การบา้ น งานบา้ น 1) มีอาการก่อนอายุ 12 ปี
2) ปรากฏในสถานท่ีต่าง ๆ ต้งั แต่
1.7 บ่อยคร้ังที่จะลืมของที่จาเป็ นต่อ
การทากิจกรรมที่ทาเป็ นประจา เช่น อุปกรณ์ 2 สถานการณ์ข้ึนไป เช่น บา้ น โรงเรียน ที่ทางาน
กิจกรรมกบั เพอื่ นหรือญาติ เป็นตน้
การเรียน ปากกา หนังสือ กระเป๋ าสตางค์ กุญแจ
รายงาน แวน่ ตา โทรศพั ทม์ ือถือ 3) ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต
เช่น การเขา้ สงั คม การเรียนทีโ่ รงเรียน การทางาน
1.8 วอกแวกง่าย
1.9 บ่ อ ย ค ร้ั ง ท่ี จ ะ ลื ม ใ น กิ จ วัต ร 4) ไม่สามารถอธิบายไดด้ ว้ ยปัญหา
ประจาวนั ทางสุขภาพจิตอ่ืน ๆ เช่น โรคอารมณ์ปรวนแปร
2. อาการซนไม่น่ิงและหุนหันพลันแล่น:
มีอาการตามเกณฑ์ต้ังแต่ 6 ข้อข้ึนไป (สาหรับ โรควิตกกงั วล โรคบุคลิกภาพแปรปรวน เป็ นตน้
วยั รุ่นและผูใ้ หญ่อายุ 17 ปี มีอาการตามเกณฑ์
82 วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
และไม่ไดเ้ ป็ นอาการท่ีอยใู่ นระยะการดาเนินโรค สาหรับเด็กอายุ 5 - 18 ปี เช่น corners rating scale,
ของโรคจิตเภท vanderbilt ADHD rating scales, SNAP - IV,
สามารถแบ่งกลุ่มโรคซนสมาธิส้นั ตามกลุ่ม
ADHD rating scale-IV or 5 เป็ นตน้ 12
อาการ ไดเ้ ป็น 3 ประเภท คือ กลุ่มเด็กวยั รุ่น (อายุ 12 - 18 ปี ) เนื่องจากเด็ก
1. กลุ่มอาการขาดสมาธิร่วมกบั อาการซน
วยั น้ีมีบริบทเฉพาะมากกวา่ เด็กวยั เรียน เช่น อาการ
ไ ม่ นิ่ ง แ ล ะ หุ น หั น พ ลั น แ ล่ น (combined ซนอยู่ไม่น่ิงมักไม่เด่นชัด มุมมองต่อปั ญหา
presentation): มีกลุ่มอาการขาดสมาธิร่ วมกับ เรื่องพฤติกรรมของตนเองมีน้อย อีกท้งั ลักษณะ
อาการซนไม่น่ิงและหุนหันพลันแล่น ในช่วง การเรียนของเด็กวยั น้ีจะพบกบั ครูหลายคนทาใหม้ ี
6 เดือนทผ่ี า่ นมา ข้อจากัดสาหรับการสังเกตพฤติกรรม ดังน้ัน
ก า ร วินิ จ ฉัย จ ะ ป ร ะ ส บ ค ว า ม ส า เ ร็ จ ต้อ ง อ า ศัย
2. ก ลุ่ ม อ า ก า ร ข า ด ส ม า ธิ เ ป็ น ห ลั ก ความร่วมมือในการให้ขอ้ มูลจากตวั เด็กเอง และ
แพทยผ์ ดู้ ูแลควรไดข้ อ้ มูลเพม่ิ เติมจากครูอยา่ งนอ้ ย
(predominantly inattentive presentation): มีเฉพาะ 2 คน หรื อ จากคนอื่น ท่ีได้ใกล้ชิ ด เด็ก เช่ น
กลุ่มอาการขาดสมาธิ ในช่วง 6 เดือนท่ผี า่ นมา นกั จิตวทิ ยาในโรงเรียนร่วมดว้ ย
3. กลุ่มอาการซนไม่นิ่งและหุนหันพลัน ประมาณ 2 ใน 3 ของเด็กที่เป็ นโรคซน
แ ล่ น เ ป็ น ห ลั ก ( predominantly hyperactive- ส ม า ธิ ส้ั น จ ะ มี ภ า ว ะ ที่ พ บ ร่ ว ม (comorbid
impulsive presentation): มีเฉพาะกลุ่มอาการซน conditions)9,14 ท่ีพบได้บ่อย คือ ปัญหาพฤติกรรม
ไม่น่ิงและหุนหันพลันแล่น ในช่วง 6 เดือนที่ ก้าวร้าวรุ นแรง พฤติกรรมด้ือซน กลุ่มอาการ
ผา่ นมา ออทิสซม โรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า ปัญหา
ถึงแมต้ ามเกณฑ์ DSM-5 ระบกุ ารวนิ ิจฉยั ใน การเรียน การใชส้ ารเสพติด รวมถึงปัญหาทางกาย
เด็กก่อนอายุ 12 ปี แต่การวินิจฉัยในคนที่อายุ เช่น การหยุดหายใจระหว่างนอนหลับ tics12,14
มากกวา่ 12 ปี ก็สามารถทาได้ แต่ตอ้ งมีประวตั ิเก่า
ทบ่ี ง่ บอกถึงอาการขาดสมาธิ หรือ อาการซนไม่น่ิง การประเมินเด็กที่มีปัญหาโรคซนสมาธิส้ันจึงมี
และหุนหนั พลนั แล่น ก่อนอายุ 12 ปี 12 ความจาเป็ นที่คัดกรองภาวะพบร่ วมดังกล่าว
ด้วยเสมอ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กวัยรุ่นควรมี
กลุ่มเด็กก่อนวยั เรียน (preschool age: อายุ การประเมินภาวะท่ีพบร่วมไดบ้ ่อย ไดแ้ ก่ การใช้
สารเสพติด โรควิตกกงั วล โรคซึมเศร้า และโรค
4 - 6 ปี ) ตามพัฒนาการปรกติของเด็กวยั น้ีจะมี ขาดทักษะด้านการเรี ยน เน่ื องจากส่งผลต่อ
ความซุกซนมากกว่าเด็กในวยั ท่ีโตข้ึน จึงเป็ น การวางแผนการรักษา12 และในทางกลบั กนั แพทย์
ความทา้ ทายสาหรับแพทยผ์ ูด้ ูแลในการวินิจฉัย ผูด้ ูแลเด็กที่มาดว้ ยปัญหาดงั กล่าวขา้ งตน้ รวมถึง
โรคซนสมาธิส้ันในกลุ่มเด็กวัยน้ี อย่างไรก็ดี
ก็สามารถนาเกณฑ์อ้างอิงจาก DSM-5 มาปรับ เด็กท่ีเป็นโรคลมชกั เด็กที่มีประวตั ิครอบครัวของ
ใช้ได้ในการวินิจฉัย โดยต้องอาศัยข้อมูลจาก โรคซนสมาธิส้ัน เด็กท่ีมีประวัติสมองได้รับ
การสัมภาษณ์ผูป้ กครองหลัก การตรวจร่างกาย บาดเจ็บ ควรตระหนักว่า เด็กกลุ่มน้ีมีโอกาสพบ
โรคซนสมาธิส้ันร่วมด้วยมากกว่ากลุ่มประชากร
การสังเกตพฤติกรรมของเด็กในคลินิก รวมถึง เดก็ ทวั่ ไป3
ข้อมูลจากผู้ปกครองหลักและครู โดยอาศัย
เครื่องมือการประเมินโรคซนสมาธิส้ันท่ีอิงตาม
DSM-5 (DSM-5-based ADHD rating scales)
ปีที่ 16 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563 83
ในปี พ.ศ. 2563 สมาคมกุมารเวชศาสตร์ 2.5 โรคทางพนั ธุกรรม เช่น กลุ่มอาการ
พัฒ น า ก า ร แ ล ะ พ ฤ ติ ก รร ม แ ห่ ง ส ห รั ฐ อ เ ม ริ ก า ดาวน์ (Down syndrome) กลุ่มอาการโครโมโซม
เอก็ ซ์เปราะ (fragile x syndrome)
(society for developmental and behavioral
2.6 มีปั ญหาทางจิตสังคม เช่น ถูก
pediatrics) ได้บญั ญัติคา “complex attention ทอดทง้ิ ยากจน บิดามารดามีปัญหาสุขภาพจติ
deficit/hyperactivity disorder” ข้ึ น เ พื่ อ พั ฒ น า 3. ส่งผลกระทบในระดับปานกลางถึง
แนวทางการดูแลรักษาท่คี รอบคลุมสาหรับแพทยท์ ่ี รุนแรงต่อชีวิตประจาวนั เช่น กิจวตั รประจาวนั
มีความเช่ียวชาญในการดูแลเด็กกลุ่มน้ี เน่ืองจาก ความสมั พนั ธก์ บั ครอบครัว เพอื่ น
เด็กกลุ่มน้ีมีโอกาสเส่ียงต่อปัญหาสุขภาพ และจิต
สังคมเม่ือโตเป็ นผู้ใหญ่15 โดยนิยาม complex 4. การวนิ ิจฉยั โดยแพทยเ์ บ้ืองตน้ ไม่ชดั เจน
ADHD หมายถึงเด็กและวัยรุ่นจนถึงอายุ 18 ปี 5. ตอบสนองต่อการรักษาได้ไม่ดี หรือ
ที่เป็ นโรคซนสมาธิส้ันร่วมกบั อาการทางคลินิก แผนการรักษาไม่ชดั เจน
ขอ้ ใดขอ้ หน่ึง ดงั น้ี
การดาเนินโรค
1. ปรากฏอาการเริ่มแรก หรือเร่ิมมีปัญหา
ต่อชีวติ ประจาวนั ท่อี ายุ < 4 ปี หรือ > 12 ปี ลักษณะอาการมีการเปลี่ยนแปลงตลอด
ระยะพฒั นาการของเด็ก พบว่า ในเด็กเล็กอาการ
2. มีโรคอื่น ๆ ร่วม (comorbid conditions) แสดงที่พบไดบ้ ่อยคอื อาการท่ีแสดงออกภายนอก
ไดแ้ ก่ (externalizing symptoms) เช่น ซน ไม่นิ่ง หุนหัน
พลันแล่น โดยอาการดังกล่าวจะลดลงเมื่ออายุ
2.1 โ ร ค ท า ง พ ัฒ น า ก า ร (neuro- มากข้ึน และอาการขาดสมาธิจะพบมากข้ึน โดยมี
developmental disorders) เช่น พฒั นาการช้ารอบ แน วโน้ม ที่อ า ก า รข า ดส ม า ธิ จะ มี ต่อ เนื่ อ งจน ถึ ง
วัยผู้ใหญ่ซ่ึงมักพบร่วมกับปั ญหาการควบคุม
ด้าน (global developmental delay) เชาวน์ปัญญา อารมณ์9,16
บก พร่ อ ง (intellectual disability) ก ลุ่ ม อ า ก า ร
มีการศึกษาพบว่า 55% ของเด็กที่ได้รับ
ออทิสติก (autism spectrum disorder) พัฒนาการ การวินิจฉัยเป็ นโรคซนสมาธิส้ัน อยู่ในกลุ่ม
ทางภาษาล่าชา้ tics declining คือ อาการดีข้ึนเม่ือเข้าสู่วยั รุ่น17 และ
5 - 76% อยู่ในกลุ่มที่อาการ persistence น่ันคือ
2.2 ขาดทกั ษะด้านการเรียน (specific อ า ก า ร ซ น ส ม า ธิ ส้ ั น ย ัง ค ง อ ยู่ ค ร บ ต า ม เ ก ณ ฑ์
learning disorders) ไดแ้ ก่ ดา้ นการอ่าน การสะกดคา วินิจฉัย18 โดยปั จจัยท่ีสัมพันธ์กับเด็กในกลุ่ม
persistence ไดแ้ ก่ มีอาการรุนแรง ไดร้ ับการรักษา
และดา้ นคณิตศาสตร์ มีอาการร่วม ไดแ้ ก่ โรคซึมเศร้า และมีพฤติกรรม
2.3 มีปัญหาทางสุขภาพจิต เช่น โรค อนั ธพาล (conduct disorder)9,18
ซึมเศร้า โรควิตกกงั วล โรคด้ือซน (oppositional
defiant disorder) โรคพฤติกรรมอนั ธพาล (conduct
disorder) ติดสารเสพตดิ ปัญหาการกิน
2.4 มีโรคประจาตวั เร้ือรงั เช่น มีประวตั ิ
ค ล อ ด ก่ อ น ก า ห น ด fetal alcohol syndrome
โรคลมชัก มีประวัติการบาดเจ็บของสมอง
โรคมะเร็ง มีปัญหาพัฒนาการด้านกล้ามเน้ือ
(motor disabilities)
84 วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
การรักษา มีส่วนร่วมในการตดั สินใจในการใชย้ า โดยควรให้
การช่วยเหลือเด็กในด้านการจัดการพฤติกรรม
สาหรับบทความน้ี จะขอแบ่งแนวทาง การจัดการศึกษาท่ีสอดคล้องกับความตอ้ งการ
การดูแลเด็กออกเป็ น 3 กลุ่ม คือ การดูแลรักษา เฉพาะกบั เด็กแต่ละราย และในช่วงเวลา 2 ปี ก่อน
เด็กจะจบช้นั มธั ยมศึกษา12
โรคซนสมาธิส้ัน การดูแลรักษา complex ADHD
แ ล ะ ก า ร ดู แ ล รั ก ษ า โ ร ค ซ น ส ม า ธิ ส้ ั น ที่ มี ภ า ว ะ ผลการรักษาโดยการใชย้ าจะลดลงเม่ือหยดุ
พบร่วม (coexisting conditions) เพ่อื ง่ายในการทา ใช้ยา แต่ผลการรักษาด้วยการปรับพฤติกรรมมี
แนวโน้มท่ีจะคงอยยู่ าวนาน และจะมีประสิทธิผล
ความเขา้ ใจมากข้นึ ในการดูแลรกั ษา ท่ีดีเม่ือมีการใชย้ าร่วมดว้ ย ดงั น้ัน เพอื่ ประสิทธิภาพ
สูงสุดในการรักษา
การดูแลรักษาโรคซนสมาธิส้ัน
สามารถแบ่งตามช่วงอายขุ องผปู้ ่ วย ดงั น้ี จงึ ควรประกอบดว้ ย การรักษาดว้ ยยาร่วมกบั
1. ช่วงก่อนวยั เรียน (อายุ 4 - 6 ปี ) การดูแล การปรับพฤติกรรม อย่างไรก็ดีการเลือกวิธีการรักษา
รักษาเร่ิ มต้นด้วย การทากลุ่มผู้ปกครองเร่ื อง ควรคานึงถึงการยอมรับ และความสามารถใน
การปรับพฤติกรรมท่ีบ้าน (parent training in การปฏิบตั ขิ องครอบครัวเดก็ ดว้ ย12
behavior management) เพ่ือให้ผูป้ กครองมีทกั ษะ การรักษาด้วยยา
ในการจัดการกับปั ญหาพฤติกรรมที่เกิดข้ึน ยาทีใ่ ช้ในการรักษา12
หลงั จากมีการปรับพฤตกิ รรมแลว้ อาการยงั ไม่ดีข้ึน 1. stimulant เป็ นยาลาดบั แรกท่พี ิจารณาใช้
และส่งผลกระทบรุนแรงต่อการดาเนินชีวิตหรือ ในการรักษาด้วยยา ประกอบด้วยยา 2 กลุ่ม คือ
การเล้ียงดูตลอดช่วงเด็กอายุ 4 -5 ปี หรือประมาณ amphetamine based stimulant และ methylphenidate
9 เดือนหลงั ไดร้ บั การปรับพฤติกรรม ใหพ้ จิ ารณา based stimulant มีการศึกษาเร่ืองผลของการรักษา
การใชย้ า methylphenidate โดยยงั ไม่มีการรับรอง พบ effect size เท่ากบั 1 ในประเทศไทยมียากลุ่ม
การใช้ยากลุ่มอ่ืนในเด็กวัยน้ี12 ซ่ึงแตกต่างกับ methylphenidate based stimulant เพียงกลุ่มเดียว
คาแนะนาของประเทศองั กฤษเล็กน้อยที่จะตดั สินใจ เช่น Ritalin®, Concerta®
แนวทางการเลือกใชย้ า พจิ ารณาจาก
ใ ห้ ก า ร รั ก ษ า ด้ ว ย ย า เ ม่ื อ ก า ร ป รั บ พ ฤ ติ ก ร ร ม 1) ประสิทธิภาพในการรักษาของแต่ละ
ไม่ไดผ้ ลในเด็กต้งั แต่อายุ 5 ปี ข้นึ ไป3 บุคคล เนื่องจากการตอบสนองต่อการรักษาข้นึ อยู่
กับแต่ละบุคคล โดยประมาณ 40% ของผูป้ ่ วย
2. ช่วงวัยเรี ยน (อายุ 6 - 12 ปี ) ควรให้ จะตอบสนองตอ่ การรักษาดว้ ยยาชนิดใดชนิดหน่ึง
กา รรั กษ าด้ว ยย าร่ วม กับก าร ให้คา แ นะ นา เรื่ อ ง และประมาณ 40% ของผูป้ ่ วยจะตอบสนองต่อ
การปรับพฤติกรรมกบั ผูป้ กครองที่บา้ น และ/หรือ การรักษาดว้ ยยาท้งั 2 ชนิด
2) ระยะเวลาท่ีต้องการในการควบคุม
การปรบั พฤติกรรมในหอ้ งเรียน โดยถา้ สามารถทา อาการ ยาทม่ี ีระยะเวลาในการควบคุมอาการไดย้ าว
การปรบั พฤติกรรมท้งั ที่บา้ นควบคู่ไปกบั หอ้ งเรียน มักเป็ นยาที่ถูกพิจารณาในการรักษาเพราะ
ได้จะได้ผลการรักษาท่ีดีข้ึน ยาท่ีใช้เป็ นหลัก
เร่ิมตน้ คือ ยากลุ่ม stimulant และยาอนั ดบั รองลงมา
ได้แก่ atomoxetine, extended-release guanfacine
และ extended-release clonidine ตามลาดบั 12
3. ช่วงวยั รุ่น (อายุ 12 - 18 ปี ) ควรรักษา
ดว้ ยยาเหมือนกบั ในช่วงวยั เรียนและควรใหเ้ ดก็ ได้
ปีท่ี 16 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563 85
ความสะดวกในการบริหารยาต่อวนั เช่น ยากลุ่ม การควบคุมอาการ และขอ้ จากัดในการบริหารยา
ในเด็กเล็กท่ีอาจตอ้ งมีการแบ่งเม็ดยา จึงนิยมใน
extended release methylphenidate: Concerta® การเริ่มขนาดยาดว้ ยวิธีการแบ่งยา (fixed doses or
whole and half pills)19 โดยเริ่มจากขนาดยาท่ีต่าสุด
3) ผลขา้ งเคียง ก่อน เช่น methylphenidate 5 mg เช้าและเที่ยง
แลว้ ปรับตามความสามารถในการควบคุมอาการ
4) ราคา ในทุก 3 - 7 วัน12 โดยขนาดสู งสุ ดต่อวัน คือ
1 mg/kg/day หรือ 60 mg/day20 (รายละเอียดแสดง
5) ความสามารถของผูป้ ่ วยในการกลืนยา ในตารางที่ 1)
เมด็ หรือ แคปซูล ผลขา้ งเคียง: ปวดทอ้ ง เบ่ืออาหาร ปวดศีรษะ
โดยทวั่ ไปไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหนา้ ได้ มีปัญหาการนอน ส่วนสูงต่ากวา่ ค่า predicted adult
height 1 - 2 cm. และอาการประสาทหลอนซ่ึงพบได้
ว่ายาชนิดใดจะให้ผลการรักษาได้ดีกว่า ดังน้ัน ไม่บ่อย
เริ่ ม ต้น ก า ร เลื อ ก ใ ช้ย า ค วร พิจ า รณ า จ า ก ปั จ จัย
ดงั กล่าวเบ้ืองตน้ แลว้ ทดลองใชย้ ากลุ่มน้นั ๆ และ 2. Non stimulant เป็ นยาล าดับรองใน
ติดตามผล ถ้าไม่ได้ผลตามท่ีคาดหวังหรือมี การรกั ษาดว้ ยยา ประกอบดว้ ยยา 2 กลุ่ม คือ
ผลขา้ งเคียงมากอาจพิจารณาเป็ นยาอีกกลุ่ม หรือ
เป็ นยากลุ่มเดียวกันแต่ปรับรูปแบบยาท่ีให้ เช่น 2.1 selective norepinephrine reuptake
จาก immediate release เป็ น extended release12 แต่ inhibitor ไดแ้ ก่ atomoxetine
อย่างไรก็ดี ในประเทศไทยมี stimulant ใช้เพียง
กลุ่ม methylphenidate based เพยี งกลุ่มเดียว 2.2 selective -2 adrenergic agonist
ไ ด้ แ ก่ extended-release guanfacine, extended-
ก่ อ น พิ จ า ร ณ า เ ร่ิ ม ย า ก ลุ่ ม น้ ี ค ว ร ป ร ะ เ มิ น release clonidine
ประวตั เิ สี่ยงของโรคหวั ใจ ไดแ้ ก่ ประวตั ิโรคหวั ใจ
ประวตั ิเสียชีวติ เฉียบพลนั โดยไม่ทราบสาเหตุใน พจิ ารณาเลือกใชย้ ากลุ่มน้ีในกรณี
1) ใช้ทดแทนยากลุ่ม stimulant หรื อใช้
ครอบครัวโดยเฉพาะ first degree relatives ท่ีอายุ ร่ วมกับกลุ่ ม stimulant เม่ื อรักษาด้วยยากลุ่ ม
นอ้ ยกวา่ 40 ปี มีอาการโรคหวั ใจ Wolff-Parkinson- stimulant แลว้ อาการไม่ดีข้ึน
2) ผูป้ กครองมีความกงั วลกบั การใชย้ ากลุ่ม
White syndrome, hypertrophic cardiomyopathy, stimulant เช่น การนาตวั ยามาใชใ้ นลกั ษณะเสพติด
long QT syndrome ตรวจร่ างกายพบความดัน การศึกษาผลการรักษาพบ effect size เทา่ กบั
0.7 และเป็ นยาที่ไม่มีการรับรองการใช้ในเด็กวยั
โลหิตสูง หรือมีเสียง heart murmur ถ้ามีประวัติ ก่อนเรียน ในประเทศไทยมียาที่ใชใ้ นการรักษาคือ
เสี่ยงหรือตรวจร่างกายพบความผิดปรกติดงั กล่าว atomoxetine
แพทย์ควรส่งตรวจเพ่ิมเติม เช่น EKG รวมถึง กา รรัก ษาด้วย atomoxetine จะ เห็น ผล
พิจารณาปรึกษาแพทยผ์ ูเ้ ช่ียวชาญโรคหัวใจ ใน การ รักษาสูงสุดท่ีสัปดาห์ที่ 4 - 6 หลังการรักษา
กรณีท่ี EKG ผดิ ปรกติ เพ่อื ประเมินความเสี่ยงก่อน ส่วนยากลุ่ม guanfacine จะเห็นผลการรักษาท่ี
สัปดาห์ 2 – 4 หลังการรักษา ดังน้ันควรให้
พจิ ารณาใหย้ า3,12
ขนาดยาที่ใช้ในการรักษา: การคานวณ
ปริมาณยาที่ใชเ้ ริ่มตน้ ในปัจจบุ นั ไม่นิยมใชว้ ิธีการ
คิดตามน้ าหนักเด็ก (weight adjusted doses)
เนื่องจากทาให้มีขอ้ จากดั ในการปรับเพ่ิมปริมาณ
ยาโดยเฉพาะในเด็กเล็กท่ีตอ้ งการขนาดยาท่ีสูงใน
86 วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
คาแนะนาล่วงหนา้ กบั ผปู้ กครองถึงความคาดหวงั เด็ก หรือรายงานจากโรงเรียน และสามารถใช้
ของระยะเวลาในการควบคุมอาการของยาใน แบบประเมิน เช่น clinical global improvement,
กลุ่มน้ีท่ีจะไม่รวดเร็วเหมือนกลุ่ม stimulant impair-ment rating scale ร่วมดว้ ยได้20
ขนาดยาที่ใช้ในการรักษา: รายละเอียด ผลการประเมินทบ่ี ่งบอกวา่ อาการดีข้นึ อยา่ ง
แสดงในตารางที่ 1 และ 2 มีนยั สาคญั สามารถดูไดจ้ าก20
ผลขา้ งเคียง: 1. คะแนนการประเมินโดยรวม หรื อ
- atomoxetine หวั ใจเตน้ เร็ว ความดนั โลหิต คะแนนการประเมินในหัวขอ้ ย่อย จากครู หรือ
สูง ง่วงนอน เบื่ออาหาร การเจริญเติบโตล่าช้า ผูป้ กครอง โดยเครื่องมือ vanderbilt assessment
ในช่วง 1 – 2 ปี แรกของการรักษาแต่สามารถ scale ลดลงมากกวา่ 25%
กลับมาปรกติในช่วงปี ที่ 2 - 3 ผลข้างเคียงที่พบ
ไดน้ อ้ ย คือ อยากฆ่าตวั ตาย ตบั อกั เสบ 2. ผลการประเมินด้วยเครื่องมือ vanderbilt
- extended-release guanfacine และ extended- assessment scale โดยครู หรื อผู้ปกครอง แสดง
release clonidine หัวใจเตน้ ช้า ความดันโลหิตต่า อาการนอ้ ยกวา่ 6 ใน 9 ขอ้ ตามเกณฑ์
ง่วงนอน ปากแหง้ วงิ เวยี น ปวดศรี ษะ ปวดทอ้ ง
จะเห็นไดว้ า่ การใชย้ าในกลุ่มน้ีมีผลขา้ งเคยี ง 3. ผลการประเมินด้วยเครื่องมือ clinical
ต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ดงั น้นั ก่อนการใช้ global improvement ด้วยครู หรื อผู้ปกครอง มี
ยา ควรมีการประเมินภาวะเสี่ยงโดยใช้แนวทาง คะแนนเพมิ่ ข้ึน 1 หวั ขอ้
เหมือนยาในกลุ่ม stimulant และในระหว่าง
การรักษาควรมีการติดตาม ความดนั โลหิต และ 4. เด็กสามารถควบคุมอาการหรือดารง
อตั ราการเตน้ ของหวั ใจร่วมดว้ ย ชีวติ ประจาวนั ไดใ้ นระดบั ที่น่าพงึ พอใจ
กา รตรว จติดตา มอ าก ารหลังกา รใ ห้ หลกั การทวั่ ไปในการปรับขนาดยา คือ “ให้
การรักษาโดยการใช้ยา12 ขนาด ยาท่ีมี ผลสู ง สุ ดใ นการ ปรั บพ ฤติกร รมใ น
ขณะที่ผลข้างเคียงต้องน้อยที่สุด” โดยเริ่มด้วย
หลงั เร่ิมการรกั ษาโดยการใชย้ าควรนดั ตรวจ ขนาดยาท่ีต่าสุ ดก่อนแล้วพิจารณาปรับข้ึน
ติดตามอาการท่ีสัปดาห์ท่ี 4 หลังเริ่มการรักษา ทุกสปั ดาห์จนกวา่ จะไดผ้ ลตามหลกั การขา้ งตน้
เพื่อประเมินการตอบสนองต่อการรักษา ประเมิน
การเจริญเติบโต ชีพจร ความดันโลหิต และ ผลข้ าง เคียง สา คัญ ท่ีมี ผล ต่ อ กา รพิจา รณา
ผลขา้ งเคียงทีอ่ าจพบได้ หยดุ การใช้ยา20
การประเมินผลการรักษา สาหรับการประเมิน 1. stimulant มีความคิดฆ่าตวั ตาย ประสาท
อาการหลัก (core symptoms) ควรใช้เครื่องมือ หลอน มีความกา้ วร้าวรุนแรง อารมณ์แปรปรวน
ที่มีแนวทางเฉพาะสาหรับโรคสมาธิส้นั (ADHD- ฉุนเฉียวง่าย น้าหนกั ลดลงมากกวา่ 2 เปอร์เซ็นตไ์ ทล์
specific rating scales) เช่น vanderbilt assessment หลงั จากเร่ิมใชย้ า
scale, SNAP - IV สาหรับการประเมินความบกพร่อง
ในการใช้ชีวิตประจาวันของเด็ก (functional 2. atomoxetine มีภาวะดีซ่าน
impairment) สามารถใชก้ ารสัมภาษณ์ผูป้ กครอง 3. alpha agonists ง่วงนอนช่วงกลางวนั มาก
จนทางานไม่ได้ ตืน่ ยาก ความดนั โลหิตต่ามากกวา่
10 mmHg หรือมีความดนั โลหิตต่าเมื่อเปล่ียนจาก
ท่านงั่ เป็ นท่านอน (postural hypotension)
ปีท่ี 16 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563 87
ในช่วง 1 ปี แรกของการรักษาควรมีการนัด 2. การฝึ กปฏิบัติ (training intervention) มี
ตรวจตดิ ตามอาการทกุ 1 เดือนจนกวา่ ผลการรักษา ประโยชน์สาหรับเด็กโตถึงวยั รุ่น ได้แก่ การฝึ ก
ทักษะท่ีเด็กบกพร่ องในชีวิตประจาวัน เช่น
จะได้ตามเป้าหมายสูงสุดและคงท่ี หลังจากน้ัน การเรียน การจัดระเบียบ การมีปฏิสัมพนั ธ์กับ
สามารถนัดตรวจติดตามอาการทุก 3 เดือน เม่ือ คนรอบขา้ ง โดยเริ่มจากการต้งั เป้าหมาย ฝึ กฝน
และตดิ ตาม12
อาการของเด็กคงท่ีไดต้ ามเป้าหมายเป็ นระยะเวลา
3. การช่วยเหลือด้านโรงเรี ยน (school
หลายปี และผปู้ กครองหรือเด็กตอ้ งการลองหยดุ ยา programming and support) ประกอบดว้ ย 2 ส่วน คอื 12
ในการรักษา ก็สามารถทาได้แต่ตอ้ งมีการตรวจ
ติดตามประเมินอาการหลงั การหยดุ ยาอยา่ งใกลช้ ิด12 3.1 การพฒั นา “ตัวเด็ก” เพื่อให้เด็ก
สามารถมีพฤติกรรมและความสามารถในการเรียน
ในกรณีที่การรักษาโดยการใชย้ าไม่ไดผ้ ล ไดเ้ หมาะสมตามวยั ทีค่ วรจะเป็นผา่ นการฝึกดว้ ยวิธี
ตามเป้าท่ตี ้งั ไว้ ควรประเมิน12,20 ต่าง ๆ เช่น การเขียนรายงานรายวนั การฝึกปฏิบตั ิ
ตามขอ้ 2 การใหค้ ะแนน การสอนเสริม เป็นตน้
1. การวินิจฉยั อีกคร้ังวา่ เป็ นโรคซนสมาธิ
ส้ัน หรือเป็ นโรคอื่นท่ีมีอาการแสดงออกคล้าย 3.2 การปรับสิ่งแวดลอ้ มรอบตวั เด็กให้
โรคซนสมาธิส้ัน เช่น โรควิตกกงั วล โรคซึมเศร้า เสมือน “บ้าน” (accommodation) ที่ยอมรับ
โรคลมชักบางชนิด ผลข้างเคียงจากการใช้ยา ความบกพร่องท่ีเกิดข้ึนในตวั เด็ก และปรับตาม
ความสามารถของเด็ก เช่น ใหร้ ะยะเวลาในการทา
บางชนิด กา รบ้า น ที่น า นเพียงพอ เหมา ะ สม สา หรับ
2. ภาวะพบร่วม (coexisting conditions) ที่ ความสามารถเด็ก ลดการบา้ นหรืองานท่ีไม่จาเป็ น
เป็ นตน้ เพื่อลดความรู้สึกล้มเหลว ความเครียด
พบในโรคซนสมาธิส้ันว่ามีหรื อไม่ เพราะมี ของผูป้ กครอง ครู รวมถึงตวั เด็กในการฝึ กหรือ
แนวทางการรักษาเพ่ิมเติม ซ่ึงจะกล่าวในหัวข้อ การเรียนการสอน
ถดั ไป
การดูแลรักษาเด็กทมี่ ีปัญหา complex ADHD3,12,15
การรักษาโดยไม่ใช้ยา การใหก้ ารรักษาทางจติ สงั คม (psychosocial
1. ก า ร ป รั บ พ ฤ ติ ก ร ร ม (behavioral treatment) เป็ นพ้ืนฐานการรักษาเร่ิมตน้ ในเด็กและ
วยั รุ่นท่ีมีปัญหา complex ADHD ประกอบดว้ ย
treatment) การรักษาโดยการใชก้ ารปรับพฤติกรรม
ร่วมกบั การใชย้ าขา้ งตน้ (combined treatment) ให้ 1. ก า ร ใ ห้ ค ว า ม รู้ เ ก่ี ย ว กั บ ตั ว โ ร ค
ผลการรักษาดีกว่าการใชย้ าเพียงอยา่ งเดียว ท้งั ใน (psyche-ducation) กบั ผูป้ กครองและเด็ก รวมถึง
ด้านการเรียน พฤติกรรมก้าวร้าว โรควิตกกังวล ข้อมูลเก่ียวกับแนวทางการรักษาชนิดต่าง ๆ
และความสัมพนั ธ์กับผูเ้ ล้ียงดู และสามารถลด เพ่ือให้ผู้ปกครองและเด็กได้มี ส่วนร่ วมใน
ขนาดการใช้ยาได้ด้วย ตัวอย่างของการปรับ การรกั ษา
พฤติกรรม21 เช่น การทากลุ่มผูป้ กครองเรื่ อง
การปรับพฤติกรรมที่บ้าน (parent training in
behavior management) เพื่อให้ผูป้ กครองมีทักษะ
ในการจดั การปัญหาพฤติกรรมเพือ่ เสริมให้เด็กมี
พฤติกรรมที่พึงประสงค์ และลดพฤติกรรมท่ี
ไม่พงึ ประสงคด์ ว้ ยวธิ ีการเล้ียงลูกเชิงบวก12
88 วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
2. การปรับพฤติกรรมและการช่วยเหลือ กิจวัตรประจาวัน การตอบสนองต่อการรักษา
รวมถึงความตอ้ งการของครอบครัว โดยก่อนทา
ด้า น ก า ร เ รีย น (behavioral and educational การรักษาดว้ ยยาควรมีการใหค้ าแนะนาผปู้ กครอง
intervention) เช่น การสอนผูป้ กครองวิธีการปรับ ร ว ม ถึ ง ป ร ะ เ มิ น อ า ก า ร ท า ง ค ลิ นิ ก ก่ อ น รั ก ษ า
เช่นเดียวกับเด็กกลุ่มก่อนวัยเรียนข้างต้น ยาท่ี
พฤติกรรมเด็กท่ีบา้ น (behavioral parent training) แนะนาใหใ้ ชล้ าดบั แรกคือ กลุ่ม stimulant โดยให้
ขนาดยาท่ีต่าท่ีสุดก่อน แลว้ ปรับตามการตอบสนอง
แล ะ ก า รสอ น วิธีก า รปรับ พฤ ติ กรรม ในช้ ัน เรี ยน ต่อการรักษารวมถึงผลขา้ งเคียงที่พบ การติดตาม
สาหรับคุณครู (behavioral classroom management) อาการหลงั การรักษาใชห้ ลกั การเดียวกบั การรกั ษา
ในเด็กอายุน้อยกว่า 12 ปี การฝึ กทักษะด้าน โดยการใชย้ าในเดก็ ทมี่ ีปัญหาซนสมาธิส้นั ขา้ งตน้
การวางแผน (organizational skills training) ใน การดูแลรั กษาเด็กโรคซนสมาธิส้ั นที่มีภาวะ
กลุ่มเดก็ โตและวยั รุ่น (อายุ 9 - 18 ปี ) เป็ นตน้ 15,20 พบร่วม (coexisting conditions)15,20
ในเด็กอายุ 3 ปี และ < 6 ปี จะเร่ิมให้ สาหรับเด็กที่กลุ่มน้ี ควรมีการประเมิน
การรกั ษาดว้ ยยาเมื่อไม่ตอบสนองตอ่ การรักษาดว้ ย เปรียบเทียบระดบั ความรุนแรงของโรคซนสมาธิ
การปรบั พฤติกรรมและการช่วยเหลือดา้ นการเรียน ส้ันและภาวะที่พบร่วม โดยการรักษาจะทาไป
โดยก่อนการใหย้ าควร พร้อมกนั โดยเรียงลาดบั จากความรุนแรงของโรค
ท่พี บก่อน8,20
1) ใ ห้ ค ว า ม รู้ ใ น แ ง่ คุ ณ ส ม บั ติ แ ล ะ
ผลขา้ งเคยี งของยาแก่ผปู้ กครอง โรคซนสมาธิส้ันที่พบร่ วมกับกลุ่มอาการออทิสติก
(ADHD coexisting with autism spectrum disorder)
2) บนั ทึกลักษณะอาการเบ้ืองตน้ ของเด็ก
โดยประเมินจาก เคร่ืองมือที่มีเกณฑ์อ้างอิงกับ 1. ให้การดูแลรักษากลุ่มอาการออทิสติก
ด้ว ย วิ ธี ก า ร ป รั บ พ ฤ ติ ก ร ร ม แ ล ะ ก า ร ช่ ว ย เ ห ลื อ
อาการซนสมาธิส้นั (ADHD-specific rating scales) ทางดา้ นการศึกษา ไดแ้ ก่ การปรับพฤติกรรมตาม
เพอ่ื เป็นพ้นื ฐานในการตดิ ตามอาการเด็ก แนวทาง apply behavior analysis อรรถบาบดั
การศึกษาพเิ ศษ การช่วยเหลือการปรับพฤติกรรมที่
3) ต้งั เป้าหมายในการดูแลรักษาเดก็ ร่วมกบั บา้ นและโรงเรียน
ผปู้ กครอง
2. ถา้ ไดร้ ับการดูแลรักษาเบ้ืองตน้ แลว้ ยงั มี
ยาที่ใช้เริ่มแรก คือ immediate release ปัญหาซนสมาธิส้ันให้ประเมินปัญหาพฤติกรรม
methylphenidate 2.5 mg วนั ละ 1 คร้ัง แต่ในกรณี หลกั ทีเ่ กิด ดงั น้ี
ที่เด็กมีปัญหาอารมณ์ก้าวร้าวรุนแรง ด้ือต่อตา้ น
มีปั ญหาอารมณ์ หงุดหงิดง่าย ร่ วมด้วย ยาที่ 2.1 ปัญหาพฤติกรรมหลกั คอื ปัญหาซน
สมาธิส้ัน ได้แก่ ไม่มีสมาธิ ซนไม่น่ิง หุนหัน
พจิ ารณาให้เร่ิมแรกคือ clonidine 0.025 - 0.05 mg พลันแล่น สามารถให้การดูแลรักษาเช่นเดียวกับ
วนั ละ 1 คร้ัง หรือ guanfacine 0.25 - 0.5 mg วนั ละ เด็กที่มีปัญหา complex ADHD
1 คร้ัง สาหรับการติดตามอาการหลังการรักษาใช้
หลกั การเดียวกบั การรักษาโดยการใชย้ าในเด็กท่ีมี
ปัญหาซนสมาธิส้นั ขา้ งตน้
สาหรับเด็กอายุ 6 ปี ควรไดร้ ับการรักษา
ด้วยการปรับพฤติกรรมและการช่วยเหลือด้าน
การเรียนควบคู่ไปกบั การรักษาดว้ ยยา โดยการจะ
เริ่มการใชย้ าพจิ ารณาจากความบกพร่องในการทา
ปีท่ี 16 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563 89
2.2 ปัญหาพฤติกรรมหลกั คือ ก้าวร้าว 1.3 เด็กอายุ 12 ปี การคัดกรองใช้
หงุดหงิดง่าย ควรประเมินการรักษาดว้ ยวธิ ีการปรับ คาถามอ้างอิงตามแบบคัดกรอง Screening to
พฤติกรรมและการช่วยเหลือทางดา้ นการศึกษาซ้า Brief Intervention (S2BI) โดยลาดับการถามจะ
ว่าเพียงพอหรือไม่ ในกรณีที่อาการรุนแรงท้งั ท่ี ต้งั ตน้ ท่ีเพ่ือนก่อนตัวเด็ก โดยแบบคดั กรองน้ีมี
ไดร้ ับการรรักษาเบ้ืองตน้ เพียงพอแล้ว พิจารณา การสอบถามเร่ืองการสูบบุหรี่และการเสพกญั ชา
การให้ยา atypical neuroleptics เช่น risperidone ด้วยผลการประเมินจะมีการแบ่งกลุ่มเด็กตาม
0.5 - 3.5 mg/day22 ความเส่ียงที่ตรวจพบ เด็กท่ีมีการใช้สารเสพติด
ข้างต้นต้ังแต่ 1 - 2 คร้ังใน 1 ปี ที่ผ่านมา ควรมี
โรคซนสมาธิส้ั นที่พบร่ วมกับการใช้ สารเสพติด การช่วยเหลือและตรวจติดตาม หรือในเด็กกลุ่มมี
(ADHD coexisting with substance use disorder) การใช้สารเสพติดระดับรุนแรง คือ มีประวัติ
การเสพทุกสปั ดาห์หรือบ่อยกว่าในรอบ 1 ปี ควรมี
การดูแลรักษาประกอบด้วย 2 ส่วน คือ การประเมินเรื่องการใชส้ ารเสพติดชนิดอ่ืน ๆ ดว้ ย
การดูแลรักษาดา้ นการใชส้ ารเสพติด และการดูแล และส่งต่อปรึกษาผูเ้ ช่ียวชาญในการรักษาเด็กที่มี
รกั ษาโรคซนสมาธิส้นั ปัญหาการใชส้ ารเสพติด โดยรายละเอียดสามารถ
ศึกษาได้ทาง https://www.mcpap.com/pdf/
1. การดูแลรักษาด้านการใช้สารเสพติด S2BI%20 Toolkit.pdf24
สามารถแบง่ ได้ 3 กลุ่มอายุ ดงั น้ี
2. ในด้านการรักษาโรคซนสมาธิส้ัน
1.1 เด็กอายุ ≤ 8 ปี ไม่มีความจาเป็ น สามารถใชย้ าท้งั ในกลุ่ม stimulants หรือ กลุ่ม non
ตอ้ งคดั กรองการใชส้ ารเสพติด แต่ควรให้ความรู้ stimulant ขอ้ ที่ควรพิจารณา คือ ถ้าใช้ stimulants
แก่ผปู้ กครองในดา้ นความเสี่ยงท่ีจะใชส้ ารเสพติด ควรใชย้ ากลุ่ม methylphenidate เน่ืองจากมีโอกาส
ไดม้ ากข้ึนในเด็กซนสมาธิส้นั ในการใชย้ าในทางท่ีผิดนอ้ ยกวา่ กลุ่ม amphetamine
และรูปแบบยาควรใช้ประเภท extended release
1.2 เดก็ อายุ 9 - 11 ปี ควรเร่ิมการคดั กรอง เน่ืองจากการใช้ยาชนิด intermediate release เพิ่ม
การใช้สารเสพติดในเด็กวยั น้ี ซ่ึงใช้วิธีการถาม ความเสี่ยงในการใชย้ าในทางทผ่ี ดิ 15
2 ข้อ คา ถา มข อง National institute on alcohol
abuse and alcoholism youth alcohol screening โรคซนสมาธิส้ั นท่ีพบร่ วมกับพฤติกรรมก่ อกวน
tool โดยเร่ิมจากคาถามแรกเร่ือง การด่ืมเคร่ืองด่ืม (ADHD coexisting with disruptive behavior
ท่ีมีแอลกอฮอล์ เช่น เบยี ร์ ไวน์ สุรา ของเพอ่ื นของ disorders)15,20
เด็กในรอบปี ทผ่ี า่ นมา เพอ่ื ใหเ้ ด็กไม่รูส้ ึกถูกคุกคาม
และเร่ิมตระหนักถึงปัญหา แล้วต่อด้วยคาถาม โรคพฤติกรรมก่อกวนในท่ีน้ีประกอบดว้ ย
เร่ืองการด่ืมของตัวเด็กเอง ในกรณีที่เด็กวยั น้ีมี โรคด้ือตอ่ ตา้ น (oppositional defiant disorder) โรค
ประวตั ิการดื่มเครื่องด่ืมที่มีแอลกอฮอล์ ถือเป็ น พฤติกรรมอันธพาล (conduct disorder) รวมถึง
กลุ่มความเสี่ยงสูง ซ่ึงตอ้ งการความช่วยเหลือ เช่น พฤติกรรมก้าวร้าว และพฤติกรรมแกล้งผูอ้ ่ืน
การทา motivational interview รวมถึงพิจารณาส่ง (bullying behavior)
ปรึกษาผูเ้ ช่ียวชาญดา้ นการดูแลเด็กและวยั รุ่นที่มี
ปัญหาการใชส้ ารเสพติด23
90 วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
เร่ิ ม ต้น ด้วยก า ร ประ เมิ น ค วา ม บ ก พร่ อ ง ที่ อาการวิตกกังวลดีข้ึนให้การรักษาต่อเนื่องตาม
เกิดข้ึนมีสาเหตุสาคญั จากซนสมาธิส้ันหรือจาก แนวทางของ complex ADHD แต่ถ้าอาการ
ปัญหาพฤติกรรมก่อกวน ถ้าเกิดจากปัญหาซน วิต ก กั ง ว ล ยัง ไ ม่ ดี ข้ึ น พิ จ า ร ณ า เ ป ล่ี ย น ย า
สมาธิส้ันแนวทางการรักษาให้ทาตามการรักษา ปรบั รูปแบบ CBT และตดิ ตามอาการ
complex ADHD แต่ถ้าความบกพร่องเกิดจาก
พฤตกิ รรมก่อกวนท่ีรุนแรง เช่น ถูกลงโทษใหห้ ยดุ โรคซนสมาธิส้ันท่ีพบร่ วมกับอาการซึมเศร้ า
เรียน พฤติกรรมก่อให้เกิดอันตรายไม่รับผิดชอบ (ADHD coexisting with depression)15,20
ในหน้าที่ ควรรักษาด้วยการปรับพฤติกรรม เช่น
การสอนผู้ปกครองวิธีการปรับพฤติกรรมเด็ก เริ่มตน้ ควรไดร้ ับการประเมิน “อาการเส่ียง
ท่ีบา้ น และการช่วยเหลือดา้ นการเรียนรายบุคคล ต่ออาการซึมเศร้ารุนแรง” ไดแ้ ก่ มีความคิดฆ่าตวั
ท่ีบา้ น โรงเรียน และชุมชนที่เด็กอาศยั อยู่ ร่วมกบั ตาย มีความพยายามที่จะฆ่าตวั ตาย เคยฆ่าตวั ตาย
การรักษาด้วยการใชย้ า โดยยาท่ีพิจารณาใชเ้ ป็ น มีความคดิ ฆ่าผูอ้ ่ืน มีประวตั ิฆ่าผอู้ ่ืน มีอาการแสดง
ลาดบั แรก คือ stimulant ของโรคจิตเภท อารมณ์ดีผิดปรกติ (mania) หรือ
มีความบกพร่องในชีวิตประจาวนั มากจากโรค
โรคซนสมาธิส้ันท่ีพบร่ วมกับอาการวิตกกังวล ซึมเศร้า ถ้ามีอาการใดอาการหน่ึงควรส่งต่อให้
(ADHD coexisting with anxiety)15,20 จิตแพทยเ์ น่ืองจากเป็นภาวะฉุกเฉิน
เร่ิ ม ต้น ด้วยก า ร ประ เมิ น ค วา ม บ ก พร่ อ ง ที่ ถา้ ไม่พบอาการดงั กล่าว ใหป้ ระเมินประเมิน
เกิ ดข้ ึนมี สา เหตุสาค ัญจาก ซน สม าธิ ส้ ัน หรื อจาก ความบกพร่องท่ีเกิดข้ึนมีสาเหตุสาคญั จากซน
ปัญหาวิตกกังวล ถ้าเกิดจากปัญหาซนสมาธิส้ัน สมาธิส้ันหรือจากปัญหาโรคซึมเศร้าถ้าเกิดจาก
แนวทางการรักษาให้ทาตามการรักษา complex ปัญหาซนสมาธิส้ันแนวทางการรักษาให้ทาตาม
ADHD ถา้ ความบกพร่องเกิดข้ึน มีสาเหตุสาคญั การรกั ษา complex ADHD
จากความวิตกกังวล ควรเริ่ มการรักษาด้วย
cognitive behavioral therapy (CBT) และถ้าหลัง ถา้ ความบกพร่องท่ีเกิดข้ึนมีสาเหตุสาคัญ
การรักษาแล้วอาการวิตกกังวลดีข้ึน ควรให้ จากโรคซึมเศร้า ให้การรักษาด้วยจิตบาบดั เช่น
การรักษาต่อเน่ืองตามแนวทางของ complex CBT หรือ interpersonal therapy และอาจให้ยา
ADHD แต่ถา้ อาการวติ กกงั วลยงั ไม่ดีข้นึ ใหผ้ ปู้ ่ วย กลุ่ม SSRI โดยปรับขนาดยาจนถึงระดบั ที่ควบคุม
รักษาดว้ ยการเพ่มิ ความเขม้ ขน้ CBT อยา่ งตอ่ เนื่อง อาการได้ และติดตามอาการ ถา้ ปัญหาซึมเศรา้ ดีข้ึน
และติดตามอาการ ถ้าอาการวิตกกังวลดีข้ึนให้ ใ ห้ ก า ร รั ก ษ า ต่ อ เ น่ื อ ง ปั ญ ห า ซ น ส ม า ธิ ส้ ั น ต า ม
การรักษาต่อเนื่องตามแนวทางของ complex แนวทางของ complex ADHD แต่ถา้ อาการซึมเศร้า
ADHD ในกรณีที่อาการวิตกกงั วลยงั ไม่ดีข้ึนหลงั ไม่ดีข้ึนพิจารณาเร่ืองการเปล่ียนยาเป็ นกลุ่มอ่ืน
ไดร้ ับการรักษาดว้ ย CBT อยา่ งเขม้ ขน้ และตอ่ เนื่อง ร่วมกบั จิตบาบดั และติดตามอาการ
แลว้ พจิ ารณาให้เร่ิมการรกั ษาดว้ ยยากลุ่ม selective
serotonin reuptake inhibitor (SSRI) เป็ นเวลา โรคซนสมาธิส้ันท่ีพบร่วมกับ tics เรื้อรัง (ADHD
8 สัปดาห์พร้อมไปกับการรักษาด้วย CBT ถ้า coexisting with chronic tics)15,20
tics เป็ นภาวะที่พบไดบ้ อ่ ยถึง 20 - 30% ของ
เด็กท่ีมีปัญหาซนสมาธิส้ัน25 ในกรณีท่ีอาการ tics
ปีที่ 16 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563 91
เป็ นกลุ่ม provisional หรือเป็ นน้อยกว่า 1 ปี หรือ การรักษาโดยการใช้ยาในเด็กกลุ่ มน้ี
อาการไม่ส่งผลกระทบกบั ชีวติ ในระดบั รุนแรง หรือ โดยเฉพาะกลุ่ม stimulant ควรมีการทาความเขา้ ใจ
อาการซนสมาธิส้ันรุนแรงกวา่ อาการ tics แนวทาง กบั ผูป้ กครองในเบ้ืองตน้ ว่า การมองปัญหา tics
การรกั ษาอา้ งอิงตามแนวทาง complex ADHD เป็ นผลขา้ งเคียงจากการรักษาโดยยาโดยเฉพาะใน
กลุ่ม stimulant ซ่ึงใช้เป็ นยารักษามาตรฐานใน
เด็กกลุ่มน้ีควรมีการประเมินโรควติ กกงั วล โรคซนสมาธิส้ันอาจไม่ถูกต้องนัก เนื่องจาก
และโรคย้าคิดย้าทา เพราะมีโอกาสเพม่ิ ข้ึนที่จะพบ โดยทว่ั ไป tics สามารถเจอได้ในกลุ่มประชากร
โรคดังกล่าว และถ้าตรวจพบให้การดูแลรักษา เด็กพบความชุกได้ 2.9 - 6.1%28,29 และพบได้บ่อย
อา้ งอิงตามแนวทางโรคซนสมาธิส้ันที่พบร่วมกบั อยแู่ ลว้ ในเดก็ ท่ีมีปัญหาซนสมาธิส้นั
อาการวติ กกงั วล
โรคซนสมาธิส้ั นที่พบร่ วมกับภาวะเชาวน์ ปัญญา
ในกลุ่มที่เป็ นซนสมาธิส้ันที่พบร่วมกับ บกพร่ อง (ADHD coexisting with intellectual
chronic tics และไม่พบโรควิตกกังวลและย้าคิด disability)15
ย้าทา ควรให้การรักษาด้วยการปรับพฤติกรรม
ส า ห รั บ tics (comprehensive behavioral การดูแลรักษาใช้แนวทางของ complex
intervention for tics) ร่วมกับการใช้ยา ยาท่ี ADHD ร่ วมกับการฝึ กผู้ปกครองและครู ใน
ก า ร ป รั บ พ ฤ ติ ก ร ร ม ที่ เ ห ม า ะ ส ม ที่ บ้า น แ ล ะ ท่ี
พิจารณาเลือกใช้อันดับแรก คือ alpha agonist โรงเรียน และการจดั การเรียนการสอนหลักสูตร
พิเศษท่ีสอดคล้องกับระดับความสามารถและ
โดยเฉพาะ clonidine และถ้าอาการซนสมาธิส้ัน ความตอ้ งการของเดก็ รายบุคคล สาหรับการรักษา
หลงเหลืออยสู่ ามารถให้ยากลุ่ม stimulant เสริมได้ ดว้ ยยา ถ้าไม่มีขอ้ ห้ามในการใช้ พิจารณาใชก้ ลุ่ม
หรือถ้าปั จจุบันรักษาด้วยยาในกลุ่ม stimulant stimulant ในการรกั ษา
สามารถให้ต่อได้ หรือ เสริมด้วยกลุ่มยา alpha
agonist แล้วปรับยาตามอาการตามเป้าหมายและ
ผลขา้ งเคียงท่ีเกิดข้ึน
ถา้ ผลการรักษาไม่ไดเ้ ป็ นไปตามเป้าหมาย
หรือมีผลข้างเคียงรุนแรง อาจเปล่ียนยาในกลุ่ม
alpha agonist เช่น จาก clonidine เป็ น guanfacine
หรือเปล่ียนเป็ นยากลุ่ม atypical neuroleptics เช่น
risperidone 0.5 - 16 mg/day, aripiprazole 5 - 30
mg/day26,27
92 วารสารโรง
ตารางที่ 1 แสดงยาที่ใชใ้ นการรกั ษาซนสมาธิส้นั ทมี่ ี ในประเทศไทยและไดร้ ับการรบั
ชนิดของยา/ช่ือสามญั ช่ือทางการค้า ขนาดบรรจุภณั ฑ์ ระยะเวลาออกฤทธ์ิ เร่ิม 5
immediate release ritalin®32, 10 mg/เมด็ 3 - 5 ชว่ั โมง และเท
methylphenidate based rubifen ในกร
stimulants หลงั
นอนไ
ขนาด
mg/d