The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

กฎหมายว่าด้วยละเมิดจัดการงานนอกสั่งและล

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Pattarasaya Suantai, 2020-11-26 10:11:36

กฎหมายว่าด้วยละเมิดจัดการงานนอกสั่งและล

กฎหมายว่าด้วยละเมิดจัดการงานนอกสั่งและล

กฎหมายวา่ ด้วยละเมดิ

จดั การงานนอกสงั และลาภมคิ วรได้

จดั ทําโดย

กล่มุ ผมจะเปนยงั ไงขนึ อยูก่ ับแชมพู

1) นางสาวกัญญาลักษณ์ พนั วงศ์ รหัสนิสติ 62103010158

2) นางสาวรชั พรรณ ทองคํา รหัสนิสติ 62103010163

3) นางสาวจริ ภัทร คเชนชยั ไพบูลย์ รหัสนิสติ 62103010697

4) นางสาวณฐั มนท์ ประทาน รหัสนสิ ติ 62103010704

5) นางสาวพชั รพร ธนาชยั เจรญิ รหัสนิสติ 62103010715

6) นางสาวแพรวโพยม มนพลับ รหัสนสิ ติ 62103010720

7) นางสาวภัทรศยา สวนใต้ รหัสนิสติ 62103010722

8) นางสาววนาลี ชนิ เชษฐ รหัสนิสติ 62103010725

9) นางสาวอารยี า เอมอิม รหัสนสิ ติ 62103010738

เสนอ

อาจารยป์ ระภาภรณ์ โรจนศ์ ิรริ ตั น์

คํานาํ

รายงานนีเปนสว่ นหนึงของรายวชิ า LA213 กฎหมายวา่ ด้วยละเมดิ
จัดการงานนอกสงั และลาภมคิ วรได้ โดยมวี ตั ถปุ ระสงค์เพอื เรยี บเรยี ง
และสรุปเนอื หาสาระสาํ คัญทีได้เรยี นมาตังแต่ต้นอยา่ งละเอียดพอสม
ควร ในเนอื หาของกฎหมายวา่ ด้วยละเมดิ คณะผู้จัดทําเขยี นคําอธบิ าย
ในแต่ละหัวขอ้ อยา่ งเขา้ ใจได้ง่ายและเพอื เปนประโยชนต์ ่อนสิ ติ หรอื ผู้ที
อ่านสามารถทําความเขา้ ใจได้ต่อไป

ในการเรยี บเรยี งและการจดั พมิ พร์ ายงานอาจมคี วามผดิ พลาดขนึ ได้
หากมคี วามผดิ พลาดอยา่ งใดเกิดขนึ คณะผ้จู ดั ทําขออภัยมา ณ ทีนีด้วย
คณะผ้จู ดั ทําขอขอบพระคณุ อาจารยจ์ รญั ภักดีธนากลุ , อาจารยส์ มุ าลี
วงษ์วฑิ ิต, อาจารยป์ ระภาภรณ์ โรจนศ์ ิรริ ตั น์ ผู้ให้ความรูแ้ ละให้แนวทาง
ในการศึกษา คณะผู้จดั ทําหวงั วา่ รายงานฉบบั นีจะให้ความรูแ้ ละเปน
ประโยชนแ์ ก่ผ้อู ่านทกุ ท่าน หากมขี อ้ เสนอแนะประการใด ผ้จู ดั ทําขอรบั
ไวด้ ้วยความขอบพระคณุ ยงิ

คณะผ้จู ดั ทํา

สารบญั

1) ละเมดิ 5-7
1.1) ประเภทของความรบั ผดิ 8 - 10
1.2) ความเปนมาของกม.ละเมดิ
11 - 21
2) ความรบั ผิดเพอื ละเมดิ ทีเกิดจากการกระทําของตนเอง 22 - 28
2.1) ขอ้ ยกเวน้ ความรบั ผิดเพอื ละเมดิ ทีเกิดจากการ
29 - 36
กระทําของตนเอง 37 - 41

3) ความรบั ผิดเพอื ละเมดิ ของบุคคลอืน 42 - 46
47 - 56
4) ความรบั ผิดของหนว่ ยงานของรฐั ในการทําละเมดิ ของ 57 - 71
เจ้าหน้าที
72 - 83
5) ความรบั ผดิ ของผ้วู า่ จ้างทําของ 84 - 94
95 - 105
6) ความรบั ผดิ ในความเสยี หายทีเกิดจากทรพั ย์ 106 - 125

7) การกําหนดค่าสนิ ไหมทดแทน

8) นริ โทษกรรม
8.1) อายุความ

9) จดั การงานนอกสงั
9.1) ลาภมคิ วรได้

ประเภทของความรบั ผิด

ในเรอ่ื งประเภทความรับผดิ เราสามารถแบงออกไดเปนสองประเภท
ไดแก ความรบั ผิดทางแพงหรือความรบั ผดิ ละเมิด กบั ความรับผดิ ทาง
อาญา ซึง่ ความรับผดิ ทางอาญา เปนความรับผิดตามกฎหมายอาญาซ่ึง
บญั ญัติขึ้นโดยมวี ตั ถปุ ระสงคท่ีจะคมุ ครอง ปองกันความปลอดภัยใน
สังคมมนุษยและการอยูรวมกนั อยางปกตสิ ขุ สวนความรับผิดทางละเมดิ
นนั้ เปนความรบั ผิดทางแพงอนั เปนความรบั ผดิ ตามกฎหมาขเอกชน
กาํ หนดข้ึนมาเพ่ือคุมครองสทิ ธแิ ละหนาท่ขี องเอกชนที่จะพึงมตี อกนั
การกระทําอันเปนความรบั ผดิ ทางอาญาสวนหนง่ึ จึงมกั จะเปนความรบั
ผิดทางละเมิดดวย แตเนื่องจากประเภทของความรับผิดเปนคนละเรอื่ ง
กันความรบั ผดิ ทั้งสองจึงมีขอทแ่ี ตกตางกันในลักษณะสําคญั ดงั ตอไปน้ี

1.วัตถุประสงคของกฎหมาย
วตั ถุประสงคของการบญั ญตั ิกฎหมายละเมดิ คือตองการเยียวยา

ความเสยี หาทผ่ี เู สยี หายไดรบั ใหไดรับการชดใชเพ่ือกดทนใหคนื สสู ภาพ
เดิมใหมากท่สี ุดเทาทีจ่ ะเปนไปได เพ่ือมิใหเกิดความรูสกึ ตองการแกแคน
โตตอบการกระทําละเมดิ

สวนกฎหมายอาญา เปนเร่อื งของการคุมครองสงั คมหรือคนใน
สงั คม โดยมงุ ลงโทษผกู ระทําผดิ เพอื่ เปนการทดแทนความเสียหาย เพ่ือ
ใหหลาบจาํ เพือ่ ปองกันไมใหมกี ารกระทําผิดซํ้า โดยเฉพาะความผิดบาง
ประเภทซึ่งมีโทษรายแรงคอื จําคุกตลอดชวี ิตหรอื ประหารชีวติ

2.เรือ่ งความรับผิดตามลักณะของการกระทํา
การกระทาํ บางอยางอาจกอใหเกดิ ความรับผิดทางละเมิดแคอยาง

เดียว และการกระทําบางอยางกป็ นความรบั ผดิ ทางอาญาพยี งอยาง
เดียว แตในบางครงั้ ลกั ษณะของการกระทาํ อาจกอใหเกดิ ความรบั ผดิ
ไดทง้ั สองประการคอื มีความรบั ผดิ ท้ังละเมดิ และอาญาดวข

3.การตีความตวั บทกฎหมาย
ตามหลักกฎหมายแลวกฎหมายอาญาเราตองตคี วามโดย

เครงครดั คอื ถือตามบทบญั ญัติในตวั บทกฎหมาย
สวนในเรอื่ งของความรบั ผดิ ทางแพงน้นั จะตคี วามตวั บทกฎหมาย

อยางเครงครัดไมได ซึง่ เราจะเห็นไดจากประมวลกฎหมายแพงและ
พาณชิ ย มาตรา4 ซึ่งกําหนดใหสามารถตีความตวั บทกฎหมายแบบ
ขยายความได เปนตน แตอยางไรก็ตามในการตคี วามตวั บทกฎหมาย
เราจะไมสามารถตคี วามคาํ วา ขอยกเวน ได เพราะขอยกเวนตอง
ตคี วามโดยเครงครัด

4. ผลของความรับผดิ
ผลของความรับผดิ คดลี ะเมดิ คือจําเลยตองรับผดิ ในการชดใชคา

สนิ ไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชยตามมาตรา 420
และตามบทบัญญัติในหมวดกสินไหมทดแทนตงั้ แตมาตรา438-447

สวนผลของความรบั ผิดทางอาญานนั้ ทาํ ใหผกู ระทาํ ผดิ ตองรบั โทษ
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 18 กาํ หนดไว คือ ประหารชวี ติ จํา
คุก กกั ขัง ปรบั และรบิ ทรัพยสนิ แลวแตกรณี

5. ความระงบั ส้ินไปของความรับผิด
ความรับผดิ ตามคดีอาญาระงับไปดวยความตายของผกู ระทําผิด
แตในทางแพงความรบั ผิดทางแพงยงั คงมอี ยคู วามตายของผูทํา

ละเมิดไมทาํ ใหคดีแพงระงับตามไปดวยดังท่ีประมวลกฎหมายแพงและ
พาณชิ ยมาตรา 1599 และ 1600 กําหนดใหทายาทรบั ไปทงั้ สิทธิและ
หนาท่ีของเจามรดก อยางไรกด็ ีทายาทนั้นไมจาํ ตองรบั ผดิ เกินกวา
ทรัพยมรดกท่ตี ก ไดแก ตนตามมาตรา 1601

6. อายุความอายคุ วามฟองรอง
คดลี ะเมิดน้นั ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชยมาตรา 448

กาํ หนดไวใหมเี วลาหนึ่งปนับ แตวนั ทผ่ี ูตองเสยี หายรูถงึ การละเมิดและ
รูตัวผูจะพง่ึ ตองใชคาสนิ ไหมทดแทนหรอื ไมเกนิ สบิ ปนบั แตวนั ท่ลี ะเมดิ

สวนอายคุ วามความฟองรองในคดีอาญากฎหมายกําหนดเวลาโดย
คํานงึ ถงึ ความรายแรงของการกระทาํ ความผดิ อายคุ วามยาวที่สุดคอื
20 ปและลดหลั่นลงมาตามลําดับและสัน้ ทส่ี ุดคือ 1 ปโดยเร่ิมนับอายุ
ความตั้งแตวันกระทาํ ความผิด อยางไรก็ดีหากคดีอาญานนั้ เปนความ
ผิดอันยอมความไดและผเู สยี หายมิไดรองทุกขภายในสามเดือนนบั แต
วันที่รเู รื่องความผดิ และรูตัวผูกระทาํ ผดิ กเ็ ปนอนั ขาดอายคุ วาม

7. ความรบั ผดิ ของผูรวมกระทาํ ความผดิ
ผทู ่ีรวมกระทาํ ผิดทางอาญาจะไดรับโทษไมเทากนั ข้นึ อยกู ับลักษณะ

ของการเขารวมกระทํากฎหมายกําหนดโทษไวสําหรบั ผใู ชผสู นบั สนุน
ตวั การใหรบั ผิดแตกตางกนั สวนการรวมกระทาํ ละเมิดอนั เปนความรับ
ผดิ ทางแพงน้ันไมวาจะเปนการรวมกนั กระทาํ ในฐานะทเี่ ปนตัวการเปนผู
วางแผนผูใชผูสนับสนุนหรอื ผดู ตู นทางกม็ ีความรบั ผดิ เทากันหมดตาม
ประมวลกฎหมายแพงและพาณชิ ยมาตรา 432

ประวัติกฎหมายละเมิด

ในสงั คมท่มี นษุ ยอยรู วมกันมากกวาหนึง่ คนขึ้นไปยอมเปนไปไมได
ท่ที กุ คนจะมีความคดิ อะไรตางๆท่ีเหมอื นกนั ตางคนตางความคดิ มี
รอยคนก็คดิ กันรอยแบบ ดงั นัน้ การกระทบกระท่ังกนั จงึ เกิดขนึ้ ไดเปน
เรอ่ื งธรรมดาจนบางทกี ็กอใหเกดิ ความเสียหายได เชนน้นั เม่ือมคี นอยู
รวมกนั มากขนึ้ แตละสังคมก็จงึ ตองมีกฎระเบยี บของแตละสงั คมและ
หากใหฝาฝนหรอื ไมปฏิบัติตาม ก็เทากับเปนการทําละเมดิ

ในสมยั กอนเม่ือมนษุ ยถกู ทาํ ละเมิดสิ่งท่เี กดิ ตามมาคือความคบั
แคนใจของผูถูกกระทําจนทําใหเกดิ การแกแคนตามมาในภายหลังเพอื่
ใหอีกฝายไดรบั ความเสียหายแบบตนเอง การกระทําเชนน้เี ปนลกั ษณะ
ของ ระบบตาตอตา ฟนตอฟน (An eye for an eye, a tooth for a
tooth) และตอมาวิวัฒนาการของกฎหมายกเ็ ปล่ียนจากการแกแคน
มาเปนวธิ กี ารรับเอา “คาทําขวัญ” แทน

ประเทศไทยในอดีตไดรับอทิ ธพิ ลความคดิ มาจากคมั ภีรพระ
ธรรมศาสตร ในเรอ่ื งละเมิดรัฐเทานน้ั ท่ีจะเปนผูล็ งโทษผกู ระทาํ ละเมดิ
สวนตวั ผเู สยี หายไมมีสทิ ธิน้ันแตคงมีสทิ ธเิ พียงเรียกคาสินไหมทดแทน
ความเสียหายท่ีตนไดรับเทานนั้ การเรยี ก
สนิ ไหมในสมัยน้นั มีลกั ษณะเปนโทษปรบั และ
เปนการทดแทนความเสียหายไปในตวั
กลาวใหงายคือ สินไหมน้ันจะตกแกผู
เสียหายกงึ่ หนง่ึ และตกเขาทองพระคลัง
อีกกง่ึ หนึง่

สมยั กรุงรตั นโกสินทร รชั กาลสมเด็จพระพุทธยอดฟาจุฬาโลก ไดมีการ
ชําระกฎหมายข้นึ เปนประมวลกฎหมาย ซงึ่ โปรดเกลาใหประทับตราราชการไว
สามดวง ไดแก ตราพระราชสีห คชสหี และตราบัวแกว เรียกวากฎหมายฃครา
สามดวง

สมยั รชั กาลท3่ี มกี ฎหมายท่ีสาํ คญั เกยี่ วกับการละเมิดอกี ฉบบั หนึ่งทถ่ี ูก
สรางขึ้นเรียกวา “กฎหมายโจรหาเสน” ซง่ึ เปนกฎหมายท่บี ญั ญตั ิใหบุคคลตอง
รับผิดชอบรวมกัน คือชาวบานที่อาศยั อยูในระแวกหรือระยะ 5 เสนจากจดุ เกดิ
เหตกุ ารปลนจะตองรวมกันรับผิดชอบตอความเสยี หายทเ่ี กดิ ข้นึ กับผถู กู ทาํ
ละเมิด ซ่งึ ในบางทีผเู สียหายก็มกั จะไดรับเงนิ ท่ีมากกวาทต่ี นเสียหายจรงิ สวนท่ี
เกดิ จึงตองนาํ เขาทองพระคลังหลวง แตหากในกรณีทเ่ี งนิ ชวยออกนั้นไมพอตอ
คาเสียหายกฎหมายกจ็ ะใหนําเงินจากทองพระคลงั มาชวยจายในสวนที่ขาดไป
ใหครบตามจาํ นวน

จนกระท่ังในสมัยรชั กาลท่5ี ทถี่ ือเปนยคุ ทองของกฎหมายก็ยังไมมกี าร
เปล่ียนแปลงลกั ษณะหลกั เกณฑของการชดใชคาเสยี หายของการทําละเมดิ
เทาใดนัก แตเมือ่ มกี ารจดั ตงั้ กระทรวงยตุ ธิ รรม ก็ไดมกี ารนาํ เอาแนวคิดใหมๆ
เขามาใชแทนหลกั กฎเกณฑท่ลี าสมัยโดยที่ยงั ไมมกี ารเปล่ียนแปลงตัวบท
กฎหมาย ท้ังนศ้ี าลจะไมเรียกสนิ ไหมกึ่งคาปรบั กงึ่ สวนคดที ี่เปนละเมดิ โดยไมมี
ความผดิ อาญาศาลกจ็ ะยังพพิ ากษาใหผเู สยี หายไดรบั สินไหมตามทกี่ ฎหมาย
บญั ญตั ิไว

ตอมาคาํ สอนของกรมหลวงราชบุรฯี
ในเรอ่ื งละเมิดไดเปนไปตามแนวคิดของกฎหมายสมัยใหม
คือแนวคิดทว่ี าความคดิ ทุกอยางยอมทาํ ใหผกู อความผดิ ตองมี
หนาที่ผกู พนั ในอนั จะตองทดแทนความเสยี หายท่ตี นเปนตนเหตุให
มีขน้ึ ซ่งึ คําอธิบายของพระองคไดกลายเปนแนวทางใหเกิดภาระแหง
หนี้ในการชดใชคาสินไหมทดแทนคดลี ะเมิดขน้ึ พระองคไดแบง
ละเมดิ ออกเปน 2 ประเภทใหญๆ คอื กรณที ่ีกฎหมายมกี ารวางอตั รา
คาสินไหมไว ผเู สียหายจะเรยี กรองไดเพยี งเทาทก่ี ฎหมายกาํ หนด
เทาน้ัน กบั อกี ประการหนง่ึ คือกรณีท่กี ฎหมายมิไดบญั ญัติถึง ผถู กู
ละเมิดจะเรยี กรองคาสนิ ไหมทดแทนไดตามความเสยี หายจริงท่ีได
รับ ซึ่งตอมาศาลกย็ นิ ยอมใหผูเสียหายเรียกรองคาสินไหมทดแทน
ไดในทีส่ ดุ นอกจากนนั้ ยังเปนผลใหมีการผลกั ดันแนวคิดใหมนี้บรรจุ
ในกฎหมายใหม ซึ่งจัดทําขนึ้ เปนประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
บรรพ1 และบรรพ2 เปนคร้ังแรก

นับแตนน้ั มาการเรยี กคาเสียหายในคดีละเมดิ จงึ ตองอยูใน
กรอบของประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย ผลก็คือการชดใชคา
เสยี หายเปนการทาํ ใหผูเสียหายไมเสยี หายอีก ความผกู พนั ของผูเสยี
หายและผทู าํ ละเมิดจึงอยใู นฐานะเปนเจาหนี้ ลูกหน้กี นั การชดใชคา
เสียหายจึงเปนความรับผดิ ในทางแพงเทาน้นั

• ค ว า ม รับ ผิ ด เ พือ ล ะ เ มิด ที เ กิ ด
จ า ก ก า ร ก ร ะ ทํา ข อ ง ต น เ อ ง •

•องค์ประกอบของความรับผิดทางละเมิด - ใคร
กระทํา/งดเว้นกระทํา อะไร ต่อใคร/อะไร
เสียหายอย่างไร
•พฤติการณ์และองค์ประกอบภายใน - จงใจ และ
ประมาทเลินเล่อ
•เงือนไขและบทสันนิษฐานในการรับผิด - ใช้สิทธิ
เกินส่วน ฝาฝนกฎหมาย
•ความยินยอมทีขัดต่อความสงบเรียบร้อยฯผิด
กฎหมาย
•ความสัมพันธ์ระหว่างความเสียหายกับการกระทํา
และ-การร่วมกระทําละเมิด ประมาทร่วม

รากฐานของละเมดิ ตามมาตรา

เมสการตฎภี รหาาพม4ากย2็ดใล0ี หทะผ้เเรขมใู้พั ดาดิ เยจจสส์งาํ ยี นิตใหจห้อหางรยรอืใถอืชสึงปค้ ทิ แร่าธะกสอมิ นิ่ชยาวีไทา่หติ งเมกลหทิน็ดนดีเงึแลแอก่อทย่รทนา่า่ ํางงเพตใกด่ออื ากยบก็ดกุคารี ็ดคทนีล่าอนั นอนวืนาา่ มโผดยั นู้ยกนัผ็ดทดิ ี ํา

ม1345ห6.ี.อ.ผ.โรก.บคดงอืใู้ รุคดยวสคะคา2ทจทิ ์มปลง.ําธกสตอใรอิ รจมัืน่อะยะหพกบไทา่ รดุคนัํงาออื ้รหคธ/บปบั (รน์ลรคงขะงึอะหดวอมอืนาวเางยวมโา่ ทดน้า่งลเเงสยกกละใยีผารเินดรหมะดิ เทกาลกิดํยาร่อฎ)ะแคหทกืมํอา่ชแาวี ยลติ ะผรา่ ลงกายอนามยั เสรภี าพทรพั ยส์ นิ

ผใู้ ด

•บุคคลธรรมดา ขอ้ สงั เขกอ้ ตสขงั อเกงตผขอกู้ งระผทกู้ ํารละะทเํามลดิ ะเมดิ
•ความสามารถของบุคคลไมใ่ ชส่ าระสาํ คัญ
•สตั ว์ และทรพั ยส์ นิ อืนใดกระทําละเมดิ มไิ ด้ เปนผเู้ ยาวห์ รอื บุคคลไรค้ วามสามารถ
ทําได้เพยี งความเสยี หาย เสมอื นไรค้ วามสามารถก็ได้ทังสนิ โดยในสว่ น
•บุคคลผมู้ หี นา้ ทีดแู ล ควบคมุ สตั ว์ ของผู้เยาวน์ ัน ตามหลักในเรอื งความสามารถ
ทรพั ยส์ นิ เหล่านนั ต้องรบั ผดิ จากความเสยี หาย ของบุคคล เปนเพยี งขอ้ จาํ กัดในเรอื งของ
•นติ ิบุคคลกระทําละเมดิ ได้ด้วยการกระทําของ ความสามารถในการทํานิติกรรมเท่านัน แต่
ตัวแทน ละเมดิ เปนนติ ิเหตุ ดังนันผู้เยาว์ หรอื แมแ้ ต่คน
•นติ ิบุคคลต้องรบั ผดิ หากผแู้ ทนกระทําในขอบ วกิ ลจรติ ก็สามารถเปน ผู้ทําละเมดิ ได้ทังสนิ ใน
วตั ถปุ ระสงค์ของนติ ิบุคคลถ้าผแู้ ทนทํานอก สว่ นของ สตั ว์ หรอื ทรพั ยส์ งิ ของ จะเปนผู้ทํา
ขอบเขต ต้องรบั ผดิ เปนการสว่ นตัวจากความ (ลมะเ.4ม3ดิ 3ไม) ไ่หดร้ หอื าทกรคพั วยาส์ มงิ เสขยีอหงากยรเณกิดีดขังนึ กจลา่ากวสนตั ี ว์
เสยี หาย บุคคลทีเกียวขอ้ งกับสตั วห์ รอื ทรพั ย์ ต้องเปน
ผู้รบั ผิดชอบชดใชค้ ่าสนิ ไหมทดแทน เพราะ
สตั วห์ รอื ทรพั ยส์ งิ ของจะทําละเมดิ ไมไ่ ด้ ผู้ทีจะ
ทําละเมดิ ได้ต้องเปนบุคคล ไมว่ า่ จะเปนบุคคล
ธรรมดาหรอื นิติบุคคลก็ได้

กระทํา งดเวน้ กระทํา

“กระทํา” หมายถึง การเคลือนไหวรา่ งกายโดยรูส้ าํ นกึ ไมใ่ ชก่ ระทํา
โดยไรส้ ติสมั ปชญั ญะ การเคลือนไหวรา่ งกายเพราะสะลึมสะลือ อาจ
ถือวา่ ไมม่ กี ารกระทํา เพราะไมอ่ ยูภ่ ายใต้บงั คับของจติ ใจ เมอื ไมม่ กี าร
การะทํา ก็ไมเ่ ขา้ หลักเกณฑ์ขอ้ นี จงึ ไมต่ ้องรบั ผดิ ฐานละเมดิ ละเมดิ
ต้องมกี ารกระทํา หากไมม่ กี ารกระทําจะไปบญั ญตั ิ “ระเบยี บ”ขนึ มา
เพอื ให้ผบู้ งั คับบญั ชาต้องรว่ มรบั ผดิ กับผใู้ ต้บงั คับบญั ชา โดยทีไมม่ ี
การกระทําหาได้ไม่ ทังนีการสรา้ งระเบยี บทีมชิ อบด้วยกฎหมายก็
ไมใ่ ชก่ ฎหมายของรฐั

1.หนา้ ทีทีเกิดจากกฎหมายบญั ญตั ิ

1) หนา้ ทีตามความสมั พนั ธท์ างเอกชน 2) หนา้ ทีตามความสมั พนั ธท์ างมหาชน
เชน่ ครอบครวั ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1564 เชน่ หนว่ ยงานรฐั ไมป่ ฏิบตั ิหนา้ ที หากไม่
ทีบญั ญตั ิให้บดิ ามารดาต้องดแู ลบุตรผู้ ดแู ลถือวา่ ละเวน้ หรอื งดเวน้ เพราะมี
เยาวฯ์ หรอื กรณีตาม ป.พ.พ.มาตรา 1563 กฎหมายบญั ญตั ิไวใ้ ห้มหี นา้ ทีดแู ล
ทีบญั ญตั ิให้บุตรต้องดแู ลบดิ ามารดา ขอ้ สงั เกต คือ เปนการละเวน้ ทีเปนความ
หรอื สามภี รรยาต้องดแู ลซงึ กันและกัน ผดิ /ความบกพรอ่ งสว่ นตัว มใิ ชก่ ารใช้
ตาม มาตรา 1461 วรรคสอง เปนต้น อํานาจโดยชอบตามกฎหมาย

3) การไมป่ ฏิบตั ิหนา้ ทีของเจา้ พนกั งาน 4) หนา้ ทีของผใู้ ห้บรกิ ารต่อผรู้ บั บรกิ าร
ของรฐั เชน่ กรณี “พนกั งานสอบสวน” เชน่ นติ ิบุคคลอาคารชุด มหี นา้ ทีดแู ล
ไปยดึ ของกลางมา พนกั งานสอบสวน เฉพาะทรพั ยส์ ว่ นกลางเท่านนั
ต้องเก็บรกั ษาให้ดี หากปล่อยปละละเลย
ไมเ่ ก็บรกั ษาให้ดี เปนเหตใุ ห้ทรพั ยข์ อง
กลางหาย ถือวา่ พนกั งานสอบสวนไม่
ดแู ลทรพั ยข์ องกลางทียดึ มา

การงดเวน้ การกระทํา 2.หน้าทีทีเกิดจากสญั ญา

ตามหนา้ ทีเพอื ปองกัน หนา้ ทีทีเกิดจากสญั ญานนั ไมเ่ พยี งแต่
ผล (ปอ.ม.59วรรค5) มหี นา้ ทีต่อค่สู ญั ญาเท่านนั แต่ค่สู ญั ญา
ต้องมหี นา้ ทีไมใ่ ห้เกิดความเสยี หายต่อ
การละเวน้ หรอื งดเวน้ ต้องเปนผลโดยตรง บุคคลภายนอกด้วย หากเกิดความเสยี
ให้เกิดความเสยี หาย หากความเสยี หายเกิด หายขนึ ต่อบุคคลภายนอก ต้องถือวา่
จากเหตอุ ืน แมจ้ ะมกี ารละเวน้ ต่อหนา้ ที แต่ เปนการทําละเมดิ ต่อบุคคลภายนอก
เมอื ความเสยี หายนนั มไิ ด้เกิดจากการละเวน้
ก็ไมเ่ ปนละเมดิ กล่าวคือ ตัวอยา่ งหนา้ ทีตามสญั ญา เชน่ การจา้ ง
พเี ลียงมาดแู ลเด็ก หากพเี ลียงไมพ่ อใจ
1. ถ้าไมม่ หี นา้ ที ก็ไมเ่ ปนการงดเวน้ จงึ นายจา้ ง จงึ แกล้งให้เด็กจมนาํ ตาย เชน่ นี
ไมต่ ้องรบั ผดิ ถือวา่ พเี ลียงทําละเมดิ ต่อเด็กเชน่ กัน

2. กรณีมใิ ชห่ นา้ ทีของตนทีจะต้อง
กระทําเพอื ปองกันผล ก็ไมถ่ ือเปนการละเมดิ

ขา้ ราชการไดร้ บั มอบหมายใหอ้ ยูเ่ วรรกั ษา 3.หนา้ ทีทีเกิดจากการกระทํา
ราชการ ปรากฏวา่ มที รพั ยส์ นิ ทางราชการหายไป ครงั ก่อนๆ
ขณะทีราชการซงึ มาอยูเ่ วรหลับนอน ดงั นี ถือไมไ่ ด้
วา่ ขา้ ราชการผนู้ นั จงใจหรอื ประมาทเลินเล่อทําให้ เปนเรอื งทีผทู้ ําละเมดิ กับผเู้ สยี หาย
ทรพั ยส์ นิ หายไป ไมเ่ ปนละเมดิ ฎีกา ไมม่ นี ติ ิสมั พนั ธก์ ันมาก่อน แต่เนอื งจาก
มกี ารกระทําครงั ก่อนๆของตนจงึ ทําให้
ขา้ ราชการทีไดร้ บั มอบหมายใหม้ าอยูเ่ วร เกิดหนา้ ทีขนึ มา กลายเปนหนา้ ทีทีควร
แต่ไมม่ าอยูเ่ วร และในวนั ดงั กล่าวทรพั ยส์ นิ ของ กระทําตามสมควร ถ้าตนไมท่ ําในตอน
แรกก็ไมม่ หี นา้ ทีหนา้ ทีตามมา
ราชการหายไป ศาลฎีกาก็วนิ จิ ฉัยวา่ ไมใ่ ชเ่ หตุ
โดยตรงทําใหท้ รพั ยส์ นิ ถกู ลัก ฎีกา

ถ้าขา้ ราชการผนู้ นั มหี นา้ ทีเปนเวรยาม
รกั ษาความปลอดภัย ไมไ่ ดอ้ ยูเ่ วรยามเปนเหตใุ ห้
ทรพั ยส์ นิ หาย ศาลฎีกาถือวา่ เปนเหตโุ ดยตรง

จาํ เลยต้องรบั ผดิ ฎีกา

ตัวอยา่ งเชน่ การปล่อยกระแสไฟฟาเพอื
ปองกันทรพั ยใ์ นบา้ นถือวา่ มหี นา้ ทีต้อง
ระวงั มใิ ห้เกิดอันตรายต่อเพอื นบา้ น
ถือวา่ มหี นา้ ทีอันเกิดจากการกระทําครงั
ก่อนของตน

ทําต่อบุคคลอืนโดยผดิ
กฎหมาย

ผทู้ ีถกู ทําละเมดิ หรอื ผเู้ สยี หาย เปนค่คู วาม โดยการทําละเมดิ ต้องกระทําต่อ
บุคคลอืน (งดเวน้ กระทําหนา้ ทีต่อบุคคลอืนด้วย) หากทําต่อตนเองไมเ่ ปน
ละเมดิ บุคคลทีถกู ทําละเมดิ จะเปนนติ ิบุคคลหรอื บุคคลธรรมดาก็ได้ บุคคล
ธรรมดานนั สภาพบุคคลยอ่ มเรมิ แต่เมอื คลอดและอยูร่ อดเปนทารก
(ป.พ.พ.มาตรา 15) ดังนนั ทารกทีอยูใ่ นครรภ์มารดา ยงั ไมม่ สี ภาพเปนบุคคล
จงึ ไมอ่ าจถกู ทําละเมดิ ได้ และสภาพบุคคล ยอ่ มสนิ สดุ ลงเมอื ตาย เมอื ตายแล้ว
ก็ไมม่ สี ภาพบุคคล จงึ ไมอ่ าจถกู ทําละเมดิ สว่ นกรณีทีถกู ทําละเมดิ จนถึงแก่
ความตายนนั กรณีนีผตู้ ายไมอ่ าจเปนค่คู วาม สทิ ธดิ ังกล่าวตกแก่ทายาทกลาย
เปนทายาทถกู ทําละเมดิ

ตัวอยา่ ง การทําต่อบุคคลอืน
โดยผิดกฎหมาย

การทําต่อบุคคลธรรมดา เชน่ ขบั รถชนรถคนอืน
จนตายและรถเสยี หาย ชวี ติ และทรพั ยส์ นิ ของผอู้ ืน
การทําต่อนติ ิบุคคล เชน่ เปนผรู้ บั จา้ งขนของใหบ้ รษิ ัทหา้ ง
รา้ นอืนแต่ประมาทจนเกิดอุบตั ิเหตุ สนิ ค้าเสยี หาย
ทําต่อทรพั ยท์ ีเปนของรฐั ถือวา่ หนว่ ยงานของรฐั ทีมหี นา้
ทีดแู ลทรพั ยด์ งั กล่าวเปนผถู้ กู ทําละเมดิ เอกชนคนหนงึ คน
ใดจะมาฟองคดอี ้างวา่ ถกู ทําละเมดิ ไมไ่ ด้ เวน้ แต่เอกชนคน
นนั ไดป้ ระโยชนจ์ ากการใชส้ อยทรพั ยส์ นิ อันเปนสาธารณ
สมบตั ิของแผน่ ดนิ ศาลฎีกาถือวา่ เปนผไู้ ดร้ บั ความเสยี
หายเปนพเิ ศษ ฎีกาที

โดยจงใจหรือประมาท
เลินเล่อ

โดยจงใจ

“จงใจ” คือ การกระทําโดยรูส้ าํ นกึ ในการกระทําวา่ จะเปนผลเสยี หายต่อบุคคลอืน
ต่างจาก เจตนาในทางอาญา ไมต่ ้องพสิ จู นถ์ ึงขนั ประสงค์ต่อผล เพยี งแค่รูว้ า่ การ
กระทํานนั ทําให้เกิดผลเสยี หายก็เพยี งพอแล้ว และไมจ่ าํ เปนจะต้องทราบวา่ ผลเสยี
หายถึงระดับใด เพยี งแต่เล็งเห็นหรอื คาดเดาได้ก็เปน “จงใจ” แล้ว ดังนนั การกระ
ทําความผดิ อาญาโดยเจตนาทังหมดจงึ เปน “จงใจ” กระทําละเมดิ อยา่ งแนแ่ ท้

ฎีกาที ๑๑๐๔/๒๕๐๙ ศาลลงโทษฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา แตก่ ถ็ อื ว่า ละเมดิ
ทําใหเ้ ขาตายเสียหายแล้ว

การกระทาํ ละเมิดต่อบคุ คลหนึงโดยสําคญั ผดิ ตัวอย่างฎีกา จงใจ
ถอื ว่าผูท้ ําละเมิดรู้ถึงผลเสียหายตอ่ ผู้ถกู ทาํ ละเมดิ
โดยสําคัญผดิ จึงเปนละเมิด ( ดู ป.อาญา ม.๖๑) จงใจแจ้งความเท็จ ทําใหเ้ ขาถกู จับ (ฎกี าที
การกระทําโดยพลาด ( ดู ป.อาญา ม.๖๐) ไม่ ๓๙๐/๒๔๘๙)
ถือวา่ เปนการจงใจโดยพลาดเช่นอาญา เพราะไม่ ปดทางนําสาธารณะทําใหผ้ อู้ นื ไมส่ ามารถ
ไดร้ ถู้ ึงผลทจี ะเกิดแกบ่ ุคคลอนื ดังนนั ต้อง ใชน้ าํ (ฎีกาท๒ี ๘๐/๒๔๙๖)
พิจารณาในประเดน็ วา่ การพลาดนันเปนประมาท ผเู้ ช่าอยูบ่ า้ นเชา่ หลังจากบอกเลิกสัญญา
หรือไม่ เพราะไมม่ ีกฎหมายบญั ญตั ใิ ห้เบียงเบน ( ฎีกาที ๑๘๔๑/๒๔๙๗)
เจตนาเชน่ อาญา จาํ เลยเชอื โดยสุจรติ ใจว่าโจทกห์ มนิ จาํ เลย
การสําคญั ผดิ ในข้อเท็จจริง ( ดู ป.อาญา ม.๖๒) และแจ้งความเปนเหตใุ หโ้ จทกถ์ กู จบั ไม่
สําคัญผิดคิดว่าเปนของตนเองจึงขโมยไมเ่ ปน เปนละเมดิ
ละเมดิ เชือโดยสุจริตวา่ ตนมอี ํานาจทําให้ขาดองค์ การรับซอื ของโจรโดยไมร่ วู้ า่ เปนของที
ประกอบ คาํ ว่า จงใจได้ แตอ่ าจต้องดวู า่ เปน ขโมยมา จึงไมถ่ ือวา่ เปนละเมดิ
ประมาทหรอื ไม่ จําเลยตัดตน้ เตยทโี จทก์ปลกู ไวร้ มิ นําไม่วา่
ทางนาํ นันจะเปนของส่วนบุคคลหรือ
สาธารณะจาํ เลยกต็ อ้ งรบั ผิดละเมดิ (ฎกี า
ที ๑๔๘๓/๒๕๐๐)

ประมาทเลินเล่อ

“ประมาทเลินเล่อ” เทียบเคียงกับประมวลอาญา เพราะ ประมวลแพง่ ฯ มไิ ด้ให้คําจาํ กัดความ
ไวอ้ งค์ประกอบ ได้แก่

1.เปนการกระทําโดยมไิ ด้จงใจ
2.ปราศจากความระมดั ระวงั ซงึ บุคคลในภาวะเชน่ นนั จกั ต้องมี “ตามวสิ ยั ” และ
“พฤติการณ”์
3.ผกู้ ระทําอาจใชค้ วามระมดั ระวงั เชน่ วา่ นนั ได้ แต่หาได้ใชใ้ ห้เพยี งพอไม่

1.กระทาํ โดยมิไดจ้ งใจไม่ค่อยมคี วามต่าง ขอ้ พึงระวงั เกยี วกบั ประมาทเลนิ เลอ่

ระหวา่ งจงใจกบั ประมาท เพราะผลเปนละเมิด ความระมดั ระวงั ในหลักละเมดิ ต่างจาก
เชน่ เดยี วกัน สญั ญา กล่าวคือ สญั ญาจะมคี วามระมดั ระวงั

2.กระทาํ โดยปราศจากความระมัดระวังซงึ แตกต่างกันในหลายระดบั ขนึ อยูก่ ับ กฎหมาย
บคุ คลในภาวะเชน่ นันจกั ตอ้ งมคี วามวสิ ัยและ บญั ญตั ิ เชน่ ม ๓๒๓ เปนหลักทัวไปเรอื งหนี
พฤติการณ์ ลกู หนตี ้องรกั ษาทรพั ยส์ นิ เชน่ วญิ ูชนจะพงึ
สงวนทรพั ยส์ นิ ของตนเองจนกวา่ จะสง่ มอบ

ระดบั ความระมดั ระวงั มาตรฐานต้องสมมุติเอา ทรพั ย์ หรอื จะมคี วามระมดั ระวงั ต่างจากคน
บคุ คลทัวไปมานงั อย่ใู นสถานการณ์เช่นเดียว ทัวไปก็ได้ เชน่ ม ๖๕๙ มหี ลายระดบั

กับผู้กระทําว่าเขาควรมรี ะดับความระมัดระวงั

มาตรฐานเพียงใดโดยคํานึง

วิสัย คอื ลกั ษณะของตัวผู้กระทํา ( ธรรมดา ถา้ มีโอกาสจะใช้ความระมดั ระวงั ถึงระดับมาตรฐาน
และ วชิ าชีพ ) ไดก้ ต็ อ้ งใช้ ถ้าใช้ไมถ่ งึ ขนั กถ็ อื เปนประมาท แต่ถ้า
พฤตกิ ารณ์ คอื ข้อเท็จจรงิ ประกอบการกระทาํ ไมม่ ีโอกาสใชเ้ ลยกไ็ มเ่ ปนประมาท แมจ้ ะเกดิ ความ
( เหตภุ ายนอก) เสียหาย ประมาททางแพ่ง ไม่วา่ ประมาทหรือ
ประมาทน้อย เมือเกิดผลเสียหายกต็ ้องรับผิดชดใช้
3.ผู้กระทําอาจใชค้ วามระมัดระวงั เช่นว่านนั ค่าสินไหมเทา่ กันหมด เว้นแต่ การประมาทร่วมกนั
แต่หาได้ใช้ใหเ้ พียงพอไม่ หลายบคุ คล หรือสองฝาย ศาลวินจิ ฉัยตาม
พฤติการณ์

บุคคลอืนได้รบั ความเสยี หาย

จากถ้อยคําใน ม.420 ทีวา่ “บุคคลอืนได้รบั ความเสยี หายแก่ชวี ติ รา่ งกาย อนามยั
เสรภี าพ ทรพั ยส์ นิ หรอื สทิ ธอิ ยา่ งหนงึ อยา่ งใด” ต้องมคี วามเสยี หายเกิดขนึ แนน่ อน
ไมใ่ ชค่ วามเสยี หายทีคาดวา่ จะเกิดหรอื นา่ จะเกิด สว่ นวา่ เสยี หายเพยี งใดนนั เปนประเด็น
ทีต้องพจิ ารณาเรอื งของการคํานวณค่าเสยี หาย เชน่ บุกรุกก็ทําให้เจา้ ของบา้ นเสยี
หาย(รบกวนสทิ ธ)ิ แล้ว

ฎกี าที ๘๐๙/๒๔๘๗ ขัดขวางไม่ให้จัดงานวัดทําใหโ้ จทกข์ าดประโยชนท์ คี วรจะไดจ้ ากการจัดงาน
เปนละเมิด
ฎีกาที ๑๗๑/๒๕๓๒ จําเลยจัดใหโ้ จทก์รบั อาวลั ย์ตวั สัญญาใช้เงินโดยฝาฝนระเบยี บ หนีมกี าร
จํานอง +ผคู้ ําประกนั โจทกย์ ังไม่ได้บังคับคดี จงึ ยังไมท่ ราบว่าเสียหายจากการบงั คับชาํ ระหนี
หรอื ไม่ โจทกย์ ังไมเ่ สียหาย ไม่เปนละเมิด

ความเสียหายจะคํานวณเปนเงิน ฎีกาที ๒๐๗๘/๒๔๙๗ ผู้เช่าไม่ส่งมอบ
ได้หรอื ไม่กไ็ ด้ เช่น บกุ รกุ เขา้ ไปในบ้าน ทีเช่าคืนย่อมเปนละเมิดค่าเสี ยหาย คือ
เปนการลว่ งละเมิดสิทธแิ ลว้ ส่วนการ ค่าเช่า ส่วนทีผู้ให้เช่าคาดหมายว่าจะใช้
คาํ นวณค่าเสียหายเปนอกี ประเด็นหนึง / สถานทีฉายภาพยนตร์ได้ประโยชน์วันละ
ความเสียหายต่อชอื เสียงไมอ่ ํานาจ ๒,๐๐๐ บาท แต่จะต้องดัดแปลงสถานที
คํานวณได้ แตเ่ ปนละเมิด และหากเปน และขออนุญาตก่อน(ไม่แน่นอน) ผู้เช่า
ความเสียหายในอนาคตอาจมีได้แต่ต้อง ไม่ต้องรับผิด
แนน่ อนวา่ จะเกดิ ขึน เช่น ตายภายหลัง
ฟอง

ความเสียหายตอ่ ชวี ติ รา่ งกาย อนามัย เสรีภาพ และทรัพย์สิน มีความชัดเจนใน
เรืองความเสียหายทีเห็นชัด แต่คาํ ว่าสิทธอิ นื ใด มคี วามหมายถงึ สิทธทิ ังหลายที
กฎหมายรบั รองและคมุ้ ครองให้ เพราะฉะนันจงึ มีความหมายถงึ สิทธิเด็ดขาด (ทรพั ย
สิทธิ) และบคุ คลสิทธดิ ว้ ย ดูฎีกาที ๑๕๒/๒๕๒๓ และ ๑๑๗/๒๕๓๑ และการทีไม่
ปฏิบัตติ ามสัญญาอาจเปนเพียงผดิ สัญญา เวน้ แต่การนนั จะทาํ ความเสียหายให้กบั
“สิทธเิ ดด็ ขาด” ของคู่สัญญา

ฎีกาที ๑๕๒/๒๕๒๓ จาํ เลยนัดหยุดงานปดลอ้ มสนามบนิ บบี บงั คับให้
สายการบนิ เลกิ สัญญากบั โจทกเ์ ปนการกระทาํ โดยมชิ อบกฎหมาย
โจทก์เสียหายเปนละเมดิ
ฎกี าที ๑๑๗/๒๕๓๑ จําเลยจดทะเบยี นเลกิ สัญญาเช่าทงั ๆทีรู้วา่ มีข้อ
สัญญาว่า ถา้ ผเู้ ชา่ ตายให้สิทธิตามสัญญาเช่าตกทอดแก่ทายาท
ทาํ ให้สิทธขิ องทายาทในสัญญาเช่า(บุคคลสิทธ)ิ เสียหาย

การยินยอมถือว่าทาํ ให้ไม่ต้องรับผิดใน
ความเสี ยหาย

ห ลั ก ค ว า ม ยิ น ย อ ม ไ ม่ เ ป น ล ะ เ มิ ด ก า ร ยิ น ย อ ม รั บ ผ ล เ สี ย
ห า ย ที ผู้ ยิ น ย อ ม รู้ อ ยู่ ว่ า จ ะ เ ป น ค ว า ม เ สี ย ห า ย แ ก่ ต น เ ป น ห ลั ก
ก ฎ ห ม า ย ป ด ป า ก ที ไ ม่ ใ ห้ ผู้ เ สี ย ห า ย ก ล่ า ว อ้ า ง ค ว า ม เ สี ย ห า ย
เ ช่ น ก า ร ส มั ค ร ใ จ เ ข้ า ร่ ว ม วิ ว า ท กั น ไ ม่ ถื อ เ ป น ล ะ เ มิ ด ( ฎี ก า ที
๓ ๒ ๓ / ๒ ๕ ๓ ๖ ) ส มั ค ร ใ จ เ ข้ า ร่ ว ม เ สี ย ง ภั ย

ยอมใหเ้ ขาทํารา้ ยร่างกายไม่เปนละเมิด แต่หลกั ความยินยอมจะใชก้ บั
กฎหมายอาญาไมไ่ ด้ ผูใ้ หค้ วามยินยอมตอ้ งมอี าํ นาจให้ความยินยอม
เช่น เด็กอายไุ มเ่ กนิ ๑๓ ป ยินยอมให้รว่ มประเวณไี มไ่ ด้ ความยนิ ยอม
ต้องให้ก่อนจะมีการกระทํา ไมจ่ าํ เปนว่าจะตอ้ งเจาะจงตวั ผรู้ บั ความ
ยินยอม เชน่ ยอมให้แพทยผ์ า่ ตัด

การยินยอม

ดั ง นั น ก า ร ยิ น ย อ ม ต้ อ ง ก ร ะ ทาํ โ ด ย ส มั ค ร ใ จ มิ ใ ช่ ถู ก ข่ ม ขู่
ถู ก ห ล อ ก ห รื อ สํา คั ญ ผิ ด ก า ร ยิ น ย อ ม จ ะ แ ส ด ง อ อ ก โ ด ย วิ ธี ใ ด
ก็ ไ ด้ เ ช่ น ว า จ า , ก ริ ย า , ล า ย ลั ก ษ ณ์ ฯ ก า ร นิ ง เ ฉ ย ใ น ท า ง แ พ่ ง ฯ
เ มื อ มี พ ฤ ติ ก า ร ณ์ ใ ห้ ส า มั ญ ช น เ ข้ า ใ จ ไ ด้ ว่ า นิ ง เ ป น ก า ร ยิ น ย อ ม
โ ด ย ป ริ ย า ย

ความย่งุ ยากเกยี วกับความยนิ ยอม คอื ความยินยอมทไี มเ่ ปนละเมดิ จะถอื ว่า
เปนข้อตกลงสัญญาไมเ่ ปนธรรมตอ่ ผเู้ สียหาย ตาม ม.๙ พรบ.ข้อสัญญาไมเ่ ปน
ธรรมฯหรือไม่ “ความตกลงหรือความยนิ ยอมของผ้เู สียหาย สําหรับการกระทํา
ทตี ้องห้ามชดั แจง้ โดยกฎหมายหรอื ขดั ตอ่ ความสงบเรยี บรอ้ ยหรอื ศีลธรรมอันดี
ของประชาชนจะนาํ มาอา้ งเปนเหตยุ กเวน้ หรอื จํากัดความรับผดิ เพือละเมิด
มิได้” แต่การยินยอมเปนเพียงข้อเทจ็ จรงิ ทีผู้เสียหายไมป่ ระสงค์ จะกลา่ วอา้ ง
ความเสียหายมใิ ชเ่ ปนการทํานิตกิ รรมสัญญาทตี ังใจให้เกิดการเปลียนแปลงใน
สถานะทางกฎหมาย จึงจะยึดถอื เอาหลักการทาํ สัญญามไิ ด้ อยา่ งไรก็ดี ยังมี
เรอื งขอบเขต ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี ตามประมวลแพ่งฯ อยู่

ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง
การกระทํากบั ผล

นอกจากมี การกระทาํ และ ความเสียหาย ทฤษฎเี งอื นไข ทาํ ใหผ้ กู้ ระทําอาจต้องรบั
แล้ว ฝายโจทกจ์ ะตอ้ งนาํ สืบใหไ้ ดว้ ่าความเสีย ผดิ เกินกวา่ ความเปนจริง และไมย่ ตุ ธิ รรม
หายนนั เปนผลมาจากการกระทําของผ้กู ระทาํ ตอ่ ผู้กระทาํ
ละเมิด ทฤษฎมี ลู เหตุเหมาะสมหรือทฤษฎีผล
ธรรมดา อาจทาํ ให้ผู้เสียหายไม่ได้รบั การ
เยียวยา ถงึ แมว้ ่าผูก้ ระทําอาจมีส่วนอยู่
บ้างแตไ่ มใ่ ช้ผลตามธรรมดา

ทฤษฎีว่าด้วยความสัมพันธ์ระหวา่ ง “ผลโดยตรงซึงใกลช้ ิดกบั เหต”ุ “ผลธรรมดาซงึ
การกระทาํ กับผลมีอยู่ 2 ทฤษฎหี ลกั คือ เกิดขนึ จากการกระทาํ ” “ผลโดยตรงทอี าจเกิดขึน
ได้เปนธรรมดาจากการกระทาํ ของจาํ เลย”แตห่ ากมี
1. ทฤษฎเี งอื นไข หรอื ทฤษฎีความเทา่ กนั แหง่ “เหตุแทรกซ้อน” ซงึ เปนเหตใุ หเ้ กิดผลเสียหายขึน
เหตุ หรอื ทฤษฎีผลโดยตรง คอื เหตทุ กุ ๆเหตุ หลังจากการกระทําอันแรกได้สินสุดลง ผู้กระทาํ อนั
มนี าํ หนักเทา่ กันทจี ะกอ่ ใหเ้ กิดผลอยา่ งใดอย่าง แรกไม่ต้องรับผดิ หากเหตแุ ทรกซอ้ นนนั มีนําหนกั
หนงึ ขนึ ดงั นัน ผู้ก่อเหตุต้องรบั ผดิ (แม้เปน พอทจี ะทาํ ใหเ้ กดิ ผลเสียหายสุดท้ายขึนและผู้
เพียงเหตุหนงึ ) เหตุเปนเงือนไขให้เกิดผล กระทาํ คนแรกไมอ่ าจคาดหมายวา่ จะเกิดเหตุ
แทรกซ้อนขนึ

ตัวอยา่ งฎกี า ความสัมพันธ์ระหว่างการก

ระทาํ กับผล เหตุแทรกซ้อน

2. ทฤษฎมี ลู เหตเุ หมาะสมหรือทฤษฎผี ล ฎกี าที ๑๓๑/๒๔๙๖ จําเลยเกบ็ รกั ษาสมดุ เชค็
ธรรมดา คือ เฉพาะการกระทําทเี ปนเหตุ และตราบอกบญั ชีไว้เองกเ็ ปนการปองกัน
สําคญั ซึงจะส่งผลตามธรรมดาทที ําใหเ้ กดิ อยา่ งดี ผู้ร้ายปลอมเชค็ ไปเบกิ เงินของโจทก์
ผลเทา่ นนั ทผี ู้กระทาํ ต้องรบั ผดิ ได้ยาก จําเลยไม่ตอ้ งรับผดิ ละเมิด เพราะไม่ใช่
ผลโดยตรงใกล้ชดิ กบั การกระทาํ ของจาํ เลย
ฎีกาที ๑๓๕๘-๑๓๖๙/๒๕๐๖ จาํ เลยซือห้อง
แถวทาํ ให้สามโี จทกเ์ สียใจไปกระโดดนําตาย
ไมใ่ ช่ผลแหง่ การกระทาํ ของจาํ เลย

มาตรา 432 บคุ คลหลายคนร่วมกนั ทําละเมดิ

มาตรา 432 “ถ้าบคุ คลหลายคนกอ่ ให้เกดิ เสียหายแกบ่ คุ คลอนื โดยร่วมกันทาํ
ละเมิด ท่านว่าบุคคลเหลา่ นนั จะตอ้ งรว่ มกนั รับผดิ ใชค้ ่าสินไหมทดแทนเพือความ
เสียหายนัน ความข้อนีท่านให้ใชต้ ลอดถงึ กรณที ีไม่สามารถสืบรตู้ วั ไดแ้ น่ว่าใน
จาํ พวกที ทาํ ละเมดิ ร่วมกันนนั คนไหนเปนผกู้ ่อใหเ้ กิดเสียหายนันดว้ ย

อนึงบคุ คลผู้ยยุ งส่งเสริมหรือชว่ ยเหลือในการทาํ ละเมิด ทา่ นกใ็ ห้ถือวา่
เปนผกู้ ระทาํ ละเมดิ รว่ มกันดว้ ย

ในระหวา่ งบคุ คลทงั หลายซงึ ต้องรบั ผดิ รว่ มกนั ใชค้ ่าสินไหมทดแทนนนั
ท่านว่าต่างต้องรบั ผดิ เปนส่วนเทา่ ๆ กนั เว้นแต่โดยพฤติการณศ์ าลจะวนิ จิ ฉยั
เปนประการอืน”

หลักสําคัญของมาตรา 432 ตัวการ ผูย้ ยุ งส่งเสริม ผชู้ ว่ ยเหลอื ==>
รับผดิ เท่ากนั

ผู้กระทาํ ละเมดิ รว่ มกนั ตามมาตรา 432 แบง่ ออกเปน 3 กรณีคือ

1) ละเมิดรว่ มในฐานะทีเปนตวั การ
2) ละเมิดรว่ มในฐานะทเี ปนผู้ยุยงส่งเสรมิ
3) ละเมดิ รว่ มในฐานะทเี ปนผชู้ ว่ ยเหลือในการทาํ ละเมิด

คาํ อธิบายเพิมเตมิ

**กรณที ีมไิ ดร้ ่วมกันละเมิด คือต่างคนตา่ งทาํ ละเมดิ ใหป้ รับเขา้ กบั มาตรา 438
แบ่งความรับผดิ ไปตามพฤตกิ ารณแ์ ละความรา้ ยแรงแห่งละเมดิ

# ในระหวา่ งบคุ คลทังหลาย ซึงตอ้ งรบั ผิดรว่ มกันใช้ค่าสินไหมทดแทนนนั ท่านว่า
ต่างตอ้ งรบั ผิดเปนส่วนเทา่ ๆกัน เวน้ แต่โดยพฤติการณ์ ศาลจะวนิ ิจฉัยเปนประเภทอืน

• ขอ้ ยกเวน้ ความรบั ผดิ เพอื
ละเมดิ ทขีเอกงิดตจนาเกอกงา•รกระทํา

ข้อยกเวน้ ของหลกั เกณฑแ์ ต่ละขอ้ ทีทาํ ใหเ้ กิดความรับผดิ ใน
ละเมดิ ซึงหมายความว่าหากข้อเท็จจรงิ ทเี กดิ ขึนเข้าข้อยกเว้น
ใด ก็เท่ากบั ขาดองค์ประกอบในข้อนนั ทจี ะทําให้เกิดการ
ละเมดิ ความรบั ผดิ เพือละเมดิ นันจึงไม่ไดเ้ กดิ ขึน

ข้ อ ย ก เ ว้ น ก า ร ก ร ะ ทํา โ ด ย
รู้สาํ นึก

1 ผกู้ ระทําไมร่ ู้สํานกึ ในการกระทาํ ของ 2.ความรับผดิ ในการกระทํา
ตนเองในขณะทกี ่อความเสียหาย เพราะ ของผู้อนื ในกรณนี ีผู้รับผดิ
ความไม่รูส้ ํานึกในสิงทตี นทําคอื การ ชอบไม่ใช่ผู้ กระทําละเมดิ
ไม่มีการกระทาํ ทาํ ใหร้ บั ผิดในความเสีย หรอื ไม่ใชผ่ ูก้ ่อความเสียหาย
หายทเี กดิ ขึนไมไ่ ด้ อยา่ งไรก็ตาม ความ โดยตรง ความจําเปนในการ
ไมร่ ูใ้ นการกระทาํ ของตนตอ้ งเกดิ จาก พิจารณาความร้สู ํานกึ ของเขา
อายุ สุขภาพ หรอื เงือนไขอนื ทีอยูน่ อก ในเวลาทเี กิดความเสียหายจงึ
เหนือการควบคุมของผ้กู ่อความเสียหาย ไมม่ ี
ไม่อย่างนนั จะอ้างความไม่รู้สํานกึ ใน
การกระทาํ เพือใหห้ ลุดจากความรับผิด
เพือละเมิดไมไ่ ด้

3.ความเสียหายทเี กดิ จากทรพั ย์
เนืองจากทรัพย์ไม่ใชบ่ คุ คลจึงไมม่ ี
การกระทํา

ขอ้ ยกเวน้ การกระทําโดย
จงใจหรอื ประมาทเลินเล่อ

1.การกระทํานันไมไ่ ด้กระทาํ ดว้ ยการขาดความระมดั ระวงั แต่อย่างใด
2.การกระทาํ นนั เกดิ จาก เหตุสุดวสิ ัย เพราะผ้กู ่อความเสียหายไม่ได้กระทาํ
โดยร้วู า่ ทําใหผ้ ู้อนื เสียหาย แตค่ วามเสียหายเกดิ จากเหตกุ ารณท์ เี ขาไม่
สามารถควบคุมได้

ลักษณะของเหตสุ ุดวิสัย

1.เปนเหตุการณ์พิเศษ
2.เปนเหตกุ ารณ์ทปี องกนั ได้
3.เปนเหตุการณ์ทเี อาชนะไม่ได้
4.อาจคาดหมายได้หรือคาดหมายไมไ่ ด้

ทมี าของเหตสุ ุดวิสัย

1.เกดิ จากธรรมชาติ เพราะผกู้ ลา่ วหาว่าทําละเมดิ ควบคมุ ธรรมชาตไิ มไ่ ด้
2.เกิดจากการกระทาํ ของบุคคล อาจหมายถงึ เหตเุ กดิ จากบุคคลอืนกด็ ี หรอื
เกดิ จากผู้เสียหายก็ดี เพราะผู้ถกู กล่าวหาว่าทาํ ละเมดิ ควบคุมคนอืนไมไ่ ด้

ขอ้ ยกเวน้ การกระทําทีไมช่ อบ
ด้วยกฎหมาย

การกระทํานันผกู้ ระทํามีอาํ นาจทําได้ แมท้ ําแลว้ จะกอ่ ให้
เกิดความเสียหายก็ตาม อํานาจทีให้ทาํ ไดม้ าจาก

1.บทบัญญตั ิของกฎหมาย

1.1 บทบญั ญตั ิของกฎหมายแพ่ง เช่น 1.2 บทบัญญตั ขิ องกฎหมายอาญา เชน่
การใช้สิทธโิ ดยชอบด้วยกฎหมาย แม้ การปองกันทีพอสมควรแกเ่ หตุถือเปนการ
จะทาํ ให้ผูอ้ นื ไดร้ บั ความเสียหายไปบ้าง อนั ชอบดว้ ยกฎหมาย
บุคคลนนั ก็อาจจําต้องยอมรับตามหลัก
ของการอยู่ร่วมกันของคนในสังคม 1.3 บทกฎหมายอนื เช่น การทตี าํ รวจจับ
การกระทาํ ของผูใ้ ชส้ ิทธิจึงเปนการ ผู้รา้ ย แม้อาจจะเกดิ ความเสียกายตอ่
กระทําทชี อบด้วยกฎหมาย สิทธิเสรภี าพของผอู้ ืน แต่เมอื กฎหมายมี
อาํ นาจใหท้ ําได้ กถ็ ือเปนการกระทาํ อนั
ชอบด้วยกฎหมาย

2.มีอาํ นาจมาจากระเบยี บคาํ สัง

3.มีอาํ นาจมาจากสัญญา เชน่ นาย ก. เช่าทีดินจาก นาย ข. เพือปลูก
บา้ น นาย ก. ย่อมสามารถขุดดนิ ได้ ซึงความจริงทาํ ใหเ้ สียหายแกท่ ีดิน
นาย ข. ไดเ้ พราะนาย ก. มสี ัญญา

ขอ้ ยกเวน้ ความเสยี
หาย หลัก

volenti non fit iniuria เมือใหค้ วามยนิ ยอมแลว้ ย่อม ไมถ่ ือว่ามีความ
เสียหาย หรอื ความยินยอมของผ้เู สียหายทาํ ให้ไม่เปนละเมดิ เนืองจาก การ
ละเมดิ เปนการกระทําทผี ดิ กฎหมายและเกดิ ความเสียหายแกบ่ ุคคลอนื เมือ
ถือว่าไม่มี ความเสียหายการกระทาํ นันจงึ ไม่เปนละเมิดผู้เสียหายจึงไม่มี
สิทธิเรยี กค่าเสียหายอนั เกดิ จากการกระทาํ ทีตนให้ความยนิ ยอม

ข้อยกเว้นหลกั ความยนิ ยอมไม่เปนละเมิด

อาจมใี นกรณีทีเกิดการประทษุ กรรมโดยไม่ได้รับ ความยนิ ยอม แต่ผู้กระทาํ ไม่ตอ้ งรับ
ผดิ ไดแ้ ก่

5.1 กรณมี เี หตุฉกุ เฉินเกดิ ขนึ อยา่ งแท้จรงิ และแจง้ ชัด จําเปนตอ้ งกระทําก่อนได้รับความ
ยนิ ยอม เชน่ การจบั คนทจี ะฆา่ ตวั ตายดว้ ยการกระโดดจากทีสูง โดยมัดมือมดั เท้าขงั ไว้
ในหอ้ ง
5.2 ในกรณีเช่นนันวญิ ชู นย่อมใหค้ วามยนิ ยอมเชน่ มคี นโยนระเบิดเขา้ มาและระเบดิ
กําลงั จะระเบิดจงึ ผลกั ผซู้ ึงอยู่ขา้ งๆ ใหล้ ม้ เพือหลบแรงระเบิด และการผลกั ทําใหผ้ นู้ ัน
ไดร้ ับบาดเจ็บ ไมต่ ้องรับผิด
5.3 ผู้กระทาํ ไม่รหู้ รือไมม่ ีเหตุควรร้วู ่าผูถ้ กู กระทําจะไมใ่ ห้ความยินยอมถ้ามโี อกาสถาม
บคุ คล นนั เช่น แพทย์นาํ คนเจ็บซึงสลบจากอุบตั เิ หตุเข้าทาํ การผ่าตัดเพือช่วยชวี ิต

ขอ้ ยกเวน้ ความสมั พนั ธ์
ระหวา่ งการกระทําและผล

ขอ้ ยกเว้นความสัมพันธร์ ะหว่างการกระทาํ และผลผลทีเกดิ ขึนนนั ไมไ่ ดเ้ กดิ จากการกระทาํ
เพราะ มสี าเหตุแทรกอืน กรณีทีทําทที าํ ให้ความสัมพันธร์ ะหว่างการกระทาํ และผลไมม่ ี อันจะ
ทาํ ให้ผ้กู ระทาํ ไม่ตอ้ งรบั ผดิ ในความเสียหายทีเกดิ ขนึ เมอื เกดิ ข้อเทจ็ จริงทีแยกต่างหากและ
เปนเอกเทศจากการกระทําอันแรกซงึ โดยลาํ พังของขอ้ เทจ็ จริงอนั หลังสามารถก่อผลสุดทา้ ย
ไดเ้ องอยู่แล้ว

เหตุแทรกทมี าตัดตอนความสัมพันธ์ระหวา่ งการกระทําและผลนี

เกดิ จากธรรมชาติ เกดิ จากสัตว์

ตวั อย่างเชน่ ในขณะทนี าย ก. ไล่ยงิ นาย ข. ที ตัวอย่างเชน่ ในขณะทีนาย ก. ตอ่ ย นาย ข. ลม้ ลง
บริเวณชายหาด แตใ่ นเวลานันมีคลนื สึนามิเข้ามา อยู่กบั พืน มีกระบือตกมนั วิงเขา้ มาขวิด นาย ข.
บรเิ วณที นาย ข. อยูพ่ อดี ทาํ ให้ นาย ข. ถงึ แก่ ตาย นาย ก. จึงไมผ่ ดิ เพราะ นาย ข. ไมไ่ ด้ตาย
ความตาย เหตุการณ์นี นาย ก. จงึ ไม่ผดิ เพราะ จากการกระทําของ นาย ก. แตต่ ายเพราะมี
นาย ข. ไม่ได้ตายจากการกระทาํ ของ นาย ก. แต่ กระบือตกมันวงิ เขา้ มาขวิดอันเกิดจากสัตว์
ตายเพราะสึนามิอันเกดิ จากธรรมชาติ

เกดิ จากเหตกุ ารณ์ภายนอก เกิดจากตวั ผูเ้ สียหายเอง

ตัวอย่างเช่น ในขณะที นาย ก. และนาย ข. หากเปนเหตแุ ทรกแซงจรงิ การกระทาํ ของผเู้ สีย
ยืนทะเลาะกัน นาย ก. จงึ ต่อย นายขอ แลว้ หายกจ็ ะตัดตอนทาํ ให้ผลสุดทา้ ยทีเกิดไม่ใชผ่ ลจาก
สักพักรถเมย์วงิ เข้ามาชน นาย ข. ตาย นาย การกระทาํ ของผลู้ ะเมดิ แตห่ ากไม่ใชเ่ หตุทีมา
ก. จงึ ไมผ่ ดิ เพราะ นาย ข. ไม่ไดต้ ายจาก ตดั ตอน แต่เปนผลทีมาจากการทผี ้เู สียหายควรหลกี
การกระทําของ นาย ก. แต่ตายเพราะ มีรถ เลยี งความเสียหายไดห้ ากใช้ความระมดั ระวงั อนั
เมยเ์ ข้ามาชน นาย ข. ตาย สมควร กย็ งั ตอ้ งถือว่าผลสุดทา้ ยทเี กดิ ขนึ เปนผล
จากการละเมิด อย่างไรก็ตาม การมีส่วนรว่ มของผู้
เสียหายในความเสียหายทีเกิดขึนในบางครงั อาจ
ไมถ่ งึ ขนั เปนเหตุตัดตอนความสัมพันธร์ ะหวา่ งการก
ระทาํ และผล

สรุปความรบั ผดิ เพอื ละเมดิ
ของตนเอง

1.มาตรา 420 คนเดียวทําเองรบั ผิดชอบเอง

หลักการ ข้อยกเวน้

1.กระทาํ โดยรสู้ ํานกึ 1.ไม่รู้สํานึก
2.เหตสุ ุดวิสัย
2.จงใจ ประมาทเลนิ เล่อ 3.มอี ํานาจทําได้ / ใช้สิทธิโดยชอบ
4.มคี วามยินยอมของผเู้ สียหาย
3.ไมช่ อบด้วยกฎหมาย 5.มเี หตแุ ทรก ตดั ตอน

4.ก่อความเสียหาย

5.มคี วามสัมพันธร์ ะหว่าง
การกระทาํ และผล

2.มาตรา 432 หลายคนรว่ มกันทํารว่ มกนั รบั ผิด

2.1 ลงมือละเมดิ ตามมาตรา 420 รว่ มมือ รว่ มใจ (เกิดได้เฉพาะกรณจี งใจ)
2.2ไมไ่ ดล้ งมือเอง แตก่ ฎหมายถอื ว่ารว่ มทาํ เพราะยยุ ง ส่งเสริมชว่ ยเหลือ
(ต้องมคี นหลกั ทาํ ละเมิดครบตามมาตรา 420)

3.มาตรา 76 นติ บิ คุ คลรบั ผิดในการทาํ ละเมดิ ของผู้แทนทีทาํ ภายในกรอบ
วตั ถุประสงค์ เพราะถือเท่ากบั นติ บิ คุ คลทาํ เอง

¤ÇÒÁÃѺ¼Ô´à¾×Í่ ÅÐàÁÔ´¢Í§º¤Ø ¤Å͹่×

ÁÒµÃÒ 425 ¤ÇÒÁÃѺ¼´Ô ¢Í§¹Ò¨ŒÒ§
ÁÒµÃÒ 427 ¤ÇÒÁÃºÑ ¼Ô´¢Í§µÑÇ¡ÒÃ
ÁÒµÃÒ 429 ¤ÇÒÁÃѺ¼´Ô ªÍº¢Í§º´Ô ÒÁÒôÒËÃ×ͼٌ͹ºØ ÒÅ
ÁÒµÃÒ 430 ¤ÇÒÁÃºÑ ¼´Ô ¢Í§ÍÒ¨ÒÃÂˏ Ã×ͼÌ٠ºÑ ´ÙáÅ

ÁÒµÃÒ 425 ¤ÇÒÁÃѺ¼Ô´¢Í§¹Ò¨Ҍ §

“¹Ò¨ŒÒ§µÍŒ §Ã‹ÇÁ¡Ñ¹ÃºÑ ¼´Ô ¡ºÑ ÅÙ¡¨ÒŒ §ã¹¼Åá˧‹ ÅÐàÁÔ´ «Ö§่ š٠¨ŒÒ§ä´Œ¡ÃзÓä»ã¹·Ò§¡Ò÷ը่ ÒŒ §¹¹Ñ้ ”

ËÅÑ¡ÊÓ¤ÑޢͧÁÒµÃÒ 425
1. š٠¨ŒÒ§·ÓÅÐàÁ´Ô µÍ‹ ¼ÍŒÙ ่×¹
2.໚¹¹Ò¨Ҍ § – š٠¨ŒÒ§ ¢³Ð·ÓÅÐàÁ´Ô
3. ¡ÃзÓÅÐàÁÔ´ã¹·Ò§¡Ò÷่Õ¨ÒŒ §

¢ŒÍÊÑ§à¡µØ ¹Ò¨ŒÒ§äÅà‹ º้ÂÕ ä´µŒ ÒÁÁÒµÃÒ 426

¤Ó͸ºÔ ÒÂà¾Ô่ÁàµÁÔ
1. µÍŒ §à»š¹ÊÑÞÞÒ¨ÒŒ §áç§Ò¹ (¨ŒÒ§·Ó¢Í§à¢ŒÒ Á.428)
2. ã¤Ã¤×͹Ò¨Ҍ § (¡¨Ô ¡Òâͧã¤Ã, ¼ŒÁÙ ÍÕ Ó¹Ò¨ºÑ§¤ºÑ ºÑÞªÒ, ¼¨ŒÙ Ò‹ ÂÊ¹Ô ¨ÒŒ §)
3. ã¹·Ò§¡Ò÷่Õ¨ÒŒ §¤Ãͺ¤ÅÁØ à¾ÂÕ §ã´ (ʋǹãËÞà‹ »¹š àÃÍ×่ §¢ÑºÃ¶¢Í§Å¡Ù ¨ŒÒ§) ÊÃ»Ø ä´´Œ ѧ¹Õ้
** ໚¹·Ò§·่ÕÇÒ‹ ¨ÒŒ §ËÁ´äÁ‹ÇÒ‹ š٠¨ŒÒ§¨Ð¢ÑºÃ¶ÍÍ¡¹Í¡àÊŒ¹·Ò§ ËÃ×Íà»Å่Õ¹àÊŒ¹·Ò§

ËÃÍ× ãËŒ¤¹Í×่¹¢ºÑ á·¹áÁŒáµµ‹ ͹¡ÅѺ¶ÒŒ à¡´Ô ÅÐàÁÔ´¶×ÍÇ‹Ò໚¹¡Ò÷่¨Õ ŒÒ§à¾ÃÒСÒùÓöÁÒà¡็º¡็໚¹Ë¹ÒŒ ·่Õહ‹ ¡Ñ¹
4. ¡Ã³Õ·ÅÕ่ Ù¡¨ÒŒ §ä´·Œ ÓÊÞÑ ÞÒ»Ãй»Õ ÃйÍÁÂÍÁ¤ÇÒÁ¡ºÑ ¼ÙŒä´ŒÃºÑ àÊÂÕ ËÒÂ

¼Å¢Í§ÊÞÑ ÞÒ»ÃйջÃйÍÁÂÍÁ¤ÇÒÁ·ÓãËŒà¡Ô´ÁÙÅ˹յ้ Í‹ ¡Ñ¹¢¹Ö้ ãËÁ‹
** ÁÅ٠˹յ้ ÒÁÊÑÞÞÒ (Á.852) ˹Õ้ÅÐàÁ´Ô ໹š Í¹Ñ ÃЧѺ ¹Ò¨Ҍ §ËÅ´Ø ¾Œ¹¨Ò¡¤ÇÒÁÃѺ¼´Ô
** ¢ŒÍµ¡Å§·่Õ¶Í× Ç‹Ò໚¹ÊÑÞÞÒ»ÃйջÃйÍÁÂÍÁ¤ÇÒÁä´Œ¹้¹Ñ ¨ÐµŒÍ§Á¡Õ Òõ¡Å§ã˪Œ Ѵਹṹ‹ ͹à¡Õ่ÂǡѺ

àÃÍ่× §¨Ó¹Ç¹à§Ô¹µÅÍ´¨¹Ç¸Ô Õ¡ÒêÓÃÐà§¹Ô ËÒ¡äÁ‹µ¡Å§ã¹àÃ×่ͧ´§Ñ ¡ÅÒ‹ Ç¡็ÁÔãªÊ‹ ÞÑ ÞÒ»ÃйջÃйÍÁÂÍÁ¤ÇÒÁ
¹Ò¨Ҍ §äÁË‹ Å´Ø ¾Œ¹¤ÇÒÁ¼´Ô

ËÁÒÂà˵Ø
** ÊÑÞÞÒ»ÃйջÃйÍÁÂÍÁ¤ÇÒÁ¨Ð¿Í‡ §ÃÍŒ §º§Ñ ¤Ñº¡Ñ¹¹้¹Ñ µŒÍ§ÁËÕ ÅÑ¡°Ò¹à»¹š ˹§Ñ Ê×Í

¡ÒÃᵋ§µÑ้§µÑÇá·¹ãËŒ·ÓÊÞÑ ÞÒ¨Ö§µŒÍ§ÁÕËÅÑ¡°Ò¹à»š¹Ë¹Ñ§Ê×Í´ÇŒ  ½†Ò¼ÙàŒ ÊÂÕ ËÒ (⨷¡)
ÁͺÍÓ¹Ò¨ãËŒ¼ÍŒÙ ่×¹µ¡Å§â´ÂÁÕËÅÑ¡°Ò¹à»¹š ÊÑÞÞÒ»Ãй»Õ ÃйÍÁÂÍÁ¤ÇÒÁ¨§Ö ¼¡Ù ¾Ñ¹â¨·¡ ⨷¡¨ §Ö ¿Í‡ §¹Ò¨ŒÒ§äÁä‹ ´Œ

** ¶ŒÒ¼ÙŒàÊÂÕ ËÒÂÁäÔ ´Œáµ§‹ µ§Ñ้ µÇÑ á·¹â´ÂÁÕËÅ¡Ñ °Ò¹à»¹š ˹ѧÊ×ÍÊÞÑ ÞÒ»ÃйջÃйÍÁÂÍÁ¤ÇÒÁ ¡ä็ Á¼‹ ¡Ù ¾Ñ¹¼ÙŒàÊÕÂËÒÂ
¼àÙŒ ÊÂÕ ËÒÂ¨Ö§Â§Ñ ¿‡Í§¹Ò¨ŒÒ§ä´Œ

µÒÃÒ§à»ÃÂÕ ºà·Õº¡ÒèҌ §áç§Ò¹¡ºÑ ¨ÒŒ §·Ó¢Í§

¨ÒŒ §áç§Ò¹ (Á.425) ¨ÒŒ §·Ó¢Í§ (Á.428)

1. ¹Ò¨ŒÒ§-š٠¨ŒÒ§ 1. ¼ÙÇŒ Ò‹ ¨ÒŒ §-¼ÃÙŒ ºÑ ¨ÒŒ §
2. äÁ¶‹ Í× àÍÒ¤ÇÒÁÊÓàè็ ¢Í§§Ò¹ 2. ¶×ÍàÍÒ¤ÇÒÁÊÓàè็ ¢Í§§Ò¹

3. ¹Ò¨Ҍ §µÍŒ §Ã‹ÇÁÃѺ¼´Ô ¡ÑºÅÙ¡¨ŒÒ§ 3. ¼ÙŒÇÒ‹ ¨ÒŒ §äÁ‹µŒÍ§ÃѺ¼Ô´ÃÇ‹ Á¡ºÑ ¼ÃŒÙ ºÑ ¨ŒÒ§

4. ¹Ò¨ŒÒ§ÁÕÍӹҨʧÑ่ ¡ÒÃËÃÍ× º§Ñ ¤ºÑ ºÞÑ ªÒÅÙ¡¨ŒÒ§ä´Œ 4. ¼ŒÙNjҨŒÒ§äÁ‹ÁÍÕ Ó¹Ò¨Ê§Ñ่ ¡ÒÃËÃÍ× ºÑ§¤ÑººÞÑ ªÒ¼ŒÃ٠Ѻ¨ÒŒ §ä´Œ

ÁÒµÃÒ 426 ¹Ò¨ŒÒ§ÁÊÕ Ô·¸ÔäÅ‹àº้ÂÕ ÅÙ¡¨ŒÒ§

“¹Ò¨Ҍ §«Ö่§ä´ŒãªŒ¤‹ÒÊÔ¹äËÁ·´á·¹ãˌ᡺‹ ¤Ø ¤ÅÀÒ¹͡ à¾่Í× ÅÐàÁ´Ô Í¹Ñ Å¡Ù ¨ŒÒ§ä´·Œ Ó¹Ñ้¹
ªÍº·Õ¨่ Ðä´Œª´ãª¨Œ ҡš٠¨ÒŒ §¹้¹Ñ ”

¡Ò÷¹่Õ Ò¨Ҍ §¨ÐäÅ‹àºÕÂ้ àÍÒ¨Ò¡ÅÙ¡¨ŒÒ§ä´Œ¹Ñ¹้ ¤§äÅ‹àºÕ้Â䴌੾ÒФҋ ÊÔ¹äËÁ·´á·¹·Õ่¹Ò¨Ҍ §µÍŒ §ÃѺ¼Ô´
ãªãŒ ˌᡋ¼ŒÙàÊÕÂËÒ¨ҡ¼Å·Å่Õ Ù¡¨ŒÒ§¡ÃзÓÅÐàÁÔ´ã¹·Ò§¡Ò÷ը่ ŒÒ§ ᵋ¶ŒÒà»¹š ¤‹ÒàÊÕÂËÒÂÍ‹ҧÍ×่¹
«§่Ö äÁã‹ ª‹¼Åâ´ÂµÃ§¨Ò¡¡ÒáÃзÓÅÐàÁ´Ô ¹Ò¨ŒÒ§¨ÐäÅ‹àºÕ้ÂäÁ‹ä´Œ
હ‹ ¤Ò‹ ĪҸÃÃÁà¹ÂÕ Á㹡ÒâÖ้¹ÈÒÅ ¤‹Ò·¹Ò¤ÇÒÁµÍ‹ ÊÙŒ¤´¢Õ ͧ¹Ò¨Ҍ § ÏÅÏ

¢ŒÍÊÑ§à¡µØ ¹Ò¨ŒÒ§ÁÕÊÔ·¸ÔàÃÕ¡´Í¡àºÕÂ้ ¹ÑºáµÇ‹ ѹ·Õ่¹Ò¨Ҍ §ä´ãŒ ªŒà§Ô¹ãËጠ¡‹¼ÙŒàÊÂÕ ËÒÂä»
¨ÐàÃÕ¡´Í¡àºÂ้Õ ¹ÑºáµÇ‹ ¹Ñ ¼Ô´¹´Ñ ¤×ÍÇ¹Ñ ÅÐàÁ´Ô äÁä‹ ´Œ

** ÊÔ·¸ÔäÅà‹ ºÂÕ้ ¨Ò¡ÅÙ¡¨ÒŒ §µÒÁÁÒµÃÒ 426 ¹้ѹ¹Ò¨ŒÒ§µÍŒ §ä´ãŒ ªŒ¤Ò‹ ÊÔ¹äËÁ·´á·¹ãËጠ¡‹ºØ¤¤ÅÀÒ¹͡ä»áÅŒÇ
ËÒ¡Â§Ñ äÁ‹ãª¡‹ Â็ §Ñ äÁ‹ÁÕÊ·Ô ¸äÔ Å‹àº้ÕÂ

ÁÒµÃÒ 427 ¤ÇÒÁÃºÑ ¼´Ô ¢Í§µÇÑ ¡ÒÃ
“º·ºÑÞÞµÑ Ôã¹ÁÒµÃҷѧ้ Êͧ¡‹Í¹¹¹้Ñ ·Ò‹ ¹ãˌ㪺Œ ѧ¤Ñºá¡µ‹ ÇÑ ¡ÒÃáÅеÇÑ á·¹´ÇŒ Ââ´ÂÍ¹âØ ÅÁ”

ËÅ¡Ñ ÊÓ¤ÞÑ ¢Í§ÁÒµÃÒ 427 LAW

1 µÑÇá·¹·ÓÅÐàÁ´Ô µÍ‹ ¼ÍŒÙ ×¹่
2 ໹š µÑÇ¡Òà – µÇÑ á·¹¢³Ð·ÓÅÐàÁÔ´
3 ¡ÃзÓÅÐàÁ´Ô 㹡¨Ô ¡ÒâͧµÑÇ¡ÒÃ

¤Ó͸ԺÒÂà¾ÁÔ่ àµÔÁ
µÑÇ¡ÒõŒÍ§Ã‹ÇÁ¡Ñ¹ÃºÑ ¼Ô´¡ºÑ µÇÑ á·¹ã¹¼ÅáË‹§ÅÐàÁÔ´ «่Ö§µÑÇ᷹䴡Œ ÃзÓä»ã¹¡Ô¨¡Ò÷่äÕ ´¡Œ ÃзӡÒÃá·¹µÑÇ¡ÒÃ

¢ŒÍÊ§Ñ à¡µ
** ÁÒµÃÒ 427 㪡Œ ºÑ µÑÇá·¹â´Â»ÃÂÔ Ò´ŒÇ ¹Í¡¨Ò¡¹Õ้Â§Ñ ãªŒ¡ÑºµÇÑ á·¹àª´Ô ´ŒÇÂ
¤ÇÒÁÃºÑ ¼Ô´¢Í§µÇÑ ¡ÒÃã¹¼ÅáË‹§ÅÐàÁÔ´·µÕ่ ÇÑ á·¹¡ÃзÓ仵ÒÁ»ÃÐÁÇÅ¡®ËÁÒÂᾋ§áÅоҳԪ ÁÒµÃÒ 427 ¹้¹Ñ

¨ÐµŒÍ§à»š¹àÃ×Í่ §·µÕ่ ÇÑ ¡Òõѧ้ µÇÑ á·¹ãËäŒ »·Ó¡ÒõԴµÍ‹ ËÃÍ× ÁÕ¤ÇÒÁÊÑÁ¾¹Ñ ¸¡ ºÑ º¤Ø ¤Å·Õ่ 3

⨷¡¿ ‡Í§ã˨Œ ÓàÅ·่Õ 2 ã¹°Ò¹Ð໚¹µÑÇ¡ÒÃËÇÁ¡Ñ¹ÃѺ¼´Ô ¡Ñº¨ÓàÅ·่Õ 1 «่§Ö ໚¹µÑÇá·¹ àÁÍ×่ ⨷¡¹ ÓÊ׺äÁ‹ä´ÇŒ Ò‹
¨ÓàÅ·Õ่ 1 ¢ºÑ ö¹µºÃ÷¡Ø ¶Ò‹ ¹¢Í§¨ÓàÅ·่Õ2 ä´·Œ Ó¡Òõ´Ô µ‹ÍËÃÍ× ÁÕ¤ÇÒÁÊÑÁ¾Ñ¹¸¡Ñºº¤Ø ¤Å·่Õ 3 Í¹Ñ ¨ÐࢌÒÅѡɳÐ໹š
µÑÇá·¹áÅŒÇ ¨ÓàÅ·Õ่ 1 ¨Ö§äÁã‹ ªµ‹ ÑÇá·¹¢Í§¨ÓàÅ·Õ่ 2 ¨ÓàÅ·่Õ 2 äÁµ‹ ÍŒ §ÃÇ‹ ÁÃºÑ ¼Ô´¡Ñº¨ÓàÅ·่Õ 1
㹰ҹеÑÇ¡ÒõÇÑ á·¹µÒÁ·âÕ่ ¨·¡¿Í‡ §

** ¡ÒÃ㪌ãËŒ¢ºÑ ö价ӡԨ¡ÒüŒÙ㪌 ¶Í× Ç‹Ò¼Œ¶Ù ¡Ù ãªàŒ »¹š µÑÇá·¹â´Â»ÃÂÔ Ò àÁ่×Ͷ¡Ù 㪢Œ Ѻ仪¹¼ÙÍŒ ×่¹
¼Ù㌠ªŒµÍŒ §ÃºÑ ¼´Ô µÒÁÁÒµÃÒ 427 (®¡Õ Ò 260/2535, 1133/2516 (»), 2977/2523)

¢ÍŒ Êѧࡵ¾ÔàÈÉ
** ¤Ó¾¾Ô Ò¡ÉÒ®¡Õ Ò·Ñ้§ 3 àÃ่×ͧ໚¹¡ÒÃãªãŒ ËŒ¼ÍÙŒ ×่¹¢ºÑ ö¹µä »ã¹¡Ô¨¡ÒÃËÃÍ× à¾่×Í»ÃÐ⪹¢Í§¼ÙŒãªŒ

¨Ð¶Í× ä´ÇŒ Ò‹ ¼Ù¢Œ Ѻö¹µà»š¹µÇÑ á·¹¼ŒãÙ ªŒ µÒ‹ §¡Ñº¡ÒÃ㪌ãËŒ¼ÙÍŒ ×¹่ ÂÁ× Ã¶Â¹µä »ãªãŒ ¹¡Ô¨¡ÒÃËÃ×Íà¾่×Í»ÃÐ⪹¢Í§¼ÙÂŒ Á×
¼ÂÙŒ Á× ¨Ö§äÁ‹ãªµ‹ ÑÇá·¹¢Í§¼ŒÙãËŒÂÁ× àÁ×่ÍÂ×Áö仪¹¼ÙŒÍ¹×่ ¼ŒãÙ ËÂŒ Á× äÁ‹µŒÍ§ÃºÑ ¼Ô´´ŒÇÂ

** ãªãŒ ËŒ¼ÙÍŒ ¹่× ¢ÑºÃ¶ËÃÍ× àÃÍ× â´Â¼ãŒÙ ªŒ¹่§Ñ ä»´ŒÇ ¶Í× ÇÒ‹ ¼¶ŒÙ Ù¡ãªàŒ »š¹µÑÇá·¹â´Â»ÃÂÔ ÒÂ

ÁÒµÃÒ 429 ¤ÇÒÁÃºÑ ¼Ô´ªÍº¢Í§º´Ô ÒÁÒôÒËÃÍ× ¼ÍÙŒ ¹ØºÒÅ
“º¤Ø ¤Åã´áÁäŒ Ã¤Œ ÇÒÁÊÒÁÒö à¾ÃÒÐà˵Øà»š¹¼ÙàŒ ÂÒǏËÃ×ÍÇÔ¡Å¨ÃµÔ ¡็处 µÍŒ §ÃºÑ ¼´Ô 㹼ŷµÕ่ ¹·ÓÅÐàÁÔ´
º´Ô ÒÁÒôÒËÃÍ× ¼ÍŒÙ ¹ØºÒŢͧºØ¤¤Åઋ¹ÇÒ‹ ¹้Õ ÂÍ‹ ÁµŒÍ§ÃѺ¼Ô´ÃÇ‹ Á¡Ñºà¢Ò´ÇŒ Â
àÇŒ¹áµ‹¨Ð¾Ôʨ٠¹ä ´ŒÇÒ‹ µ¹ä´ŒãªŒ¤ÇÒÁÃÐÁ´Ñ ÃÐÇѧµÒÁÊÁ¤ÇÃá¡Ë‹ ¹ŒÒ·Õ่´ÙáÅ«Ö่§·Ó͹‹Ù Ñ้¹”
ËÅÑ¡ÊÓ¤ÑޢͧÁÒµÃÒ 429

1 µŒÍ§à»¹š º´Ô ÒÁÒÃ´Ò ËÃÍ× ¼ŒÙ͹غÒÅ
2 ºÔ´ÒÁÒôҪͺ´ÇŒ ¡®ËÁÒÂà·Ò‹ ¹้¹Ñ (ºÔ´ÒäÁ‹ªÍº´ŒÇ¡®ËÁÒ »ÃºÑ à¢ÒŒ ÁÒµÃÒ 430 ä´)Œ
3 ÁËÕ ¹ŒÒ·´่Õ ÙáżàŒÙ ÂÒǏ ËÃ×ͤ¹Ç¡Ô ŨÃԵ㹢³Ð··่Õ ÓÅÐàÁ´Ô
4 äÁ‹ä´ãŒ ª¤Œ ÇÒÁÃÐÁ´Ñ ÃÐÇѧµÒÁÊÁ¤ÇÃá¡Ë‹ ¹ŒÒ·Õ´่ ÙáÅ
¢ÍŒ ¡àǹŒ ¾ÔÊÙ¨¹ä´ŒÇ‹Ò 㪌¤ÇÒÁÃÐÁÑ´ÃÐÇ§Ñ µÒÁÊÁ¤ÇÃá¡Ë‹ ¹ÒŒ ·Õ่áÅŒÇ

PATENT LAW

¤Ó͸ԺÒÂà¾่ÁÔ àµÁÔ
1. ¤ÇÒÁÃºÑ ¼Ô´µÒÁÁÒµÃÒ 429 ¹้Õ à»š¹àÃ่Í× §¡Òú¡¾Ã‹Í§ã¹Ë¹ŒÒ·´่Õ ÙáżàŒÙ ÂÒǏ

¶ÒŒ ໹š àÃ×่ͧºÔ´ÒÁÒôÒ㪼Œ àÙŒ ÂÒǏãËäŒ »·ÓÅÐàÁÔ´µŒÍ§»ÃѺࢌÒÁÒµÃÒ 432 ໹š ÅÐàÁ´Ô ËÇÁäÁà‹ ¢ŒÒÁÒµÃÒ 429
2. µÍŒ §à»¹š ¡Ã³·Õ Õ่¼ŒÙàÂÒÇ· ÓÅÐàÁ´Ô µÒÁÁÒµÃÒ 420 ¡‹Í¹ ¶ÒŒ ¼ÙàŒ ÂÒÇÁ Ôä´Œ·ÓÅÐàÁÔ´¡ä็ Á‹à¢ŒÒÁÒµÃÒ 429
3. ¡Ã³Õ·ÂÕ่ §Ñ àÃÕ¡äÁä‹ ´ÇŒ Ò‹ ºÔ´Ò䴌㪌¤ÇÒÁÃÐÁÑ´ÃÐÇ§Ñ ÊÁ¤ÇÃᡋ˹Ҍ ·Õ่´áÙ Å
4. ¡Ã³Õ·¼่Õ ÙàŒ ÂÒǏ仡ÃзӡÒÃÍÂÒ‹ §ã´Í‹ҧ˹่§Ö «§Ö่ º´Ô ÒÁÒôÒäÁË ÁÙŒ Ò¡‹Í¹ËÃ×ÍäÁ‹ÍÒ¨¤Ò´¤´Ô 䴌NjҼàÙŒ ÂÒǏ¨Ð仡ÃзӡÒù้ѹ

·ÓãËŒº´Ô ÒÁÒôÒäÁÁ‹ âÕ Í¡ÒÊä´·Œ Ñ¡·ŒÇ§ËÃÍ× ÇÒ‹ ¡Å‹ÒǵѡàµÍ× ¹ä´Œ ¶Í× Ç‹ÒºÔ´ÒÁÒôÒ䴌㪤Œ ÇÒÁÃÐÁÑ´ÃÐÇ§Ñ ´á٠żàÙŒ ÂÒǵ ÒÁÊÁ¤ÇÃáÅÇŒ
5. à˵ØÊØ´ÇÊÔ ÂÑ
5.1) ¼ÙàŒ ÂÒǏÍÍ¡ä»à·Õ่ÂÇ¡ºÑ à¾่×͹ áÅÇŒ 仢Ѻö᷹à¾×่͹ ¶×ÍÇ‹Ò໹š à˵ØÊØ´ÇÔÊÂÑ ·่ºÕ ´Ô ÒÁÒôҨÐÃÙ¨Œ Ðà˹็ ä´Œ

¶×ÍÇÒ‹ º´Ô ÒÁÒôÒä´ãŒ ªŒ¤ÇÒÁÃÐÁÑ´ÃÐÇѧµÒÁÊÁ¤ÇÃá¡Ë‹ ¹ÒŒ ·Õ่´ÙáÅáÅŒÇ àÁÍ่× ¼ÙŒàÂÒǏ¢ÑºÃ¶ä»ª¹¼ÍŒÙ ่×¹ º´Ô ÒÁÒôÒäÁµ‹ ÍŒ §ÃѺ¼Ô´
5.2) ºØ¤¤ÅÍ×่¹¹Óöä»ãËŒ¼àÙŒ ÂÒǏ¢ºÑ â´ÂÁÔä´ŒºÍ¡¡Å‹ÒǺԴÒÁÒÃ´Ò ·ÓãËŒº´Ô ÒÁÒôÒäÁ‹ÁâÕ Í¡ÒÊ·¡Ñ ·ŒÇ§ ໹š à˵ØÊØ´ÇÔÊÑÂ

·่Õº´Ô ÒÁÒôҨÐ㪤Œ ÇÒÁÃÐÁÑ´ÃÐÇ§Ñ ´á٠굨 Ãä´Œ ¨Ö§äÁ‹µÍŒ §ÃºÑ ¼Ô´ªÍº
6. ˹Ҍ ·่Õ¾ÊÔ Ù¨¹
** ºÔ´ÒÁÒôÒÁÕ˹ŒÒ·่¾Õ ÊÔ ¨Ù ¹Ç Ò‹ µ¹ä´ãŒ ª¤Œ ÇÒÁÃÐÁÑ´ÃÐÇѧµÒÁÊÁ¤ÇÃᡋ˹ŒÒ·Õ่´ÙáÅ«§่Ö ·ÓÍÂÙ¹‹ ้¹Ñ ¶ŒÒÊ׺äÁä‹ ´Œ ¡็µÍŒ §ÃºÑ ¼´Ô
7. ¢ÍŒ Ê§Ñ à¡µÍ×¹่ æ
7.1) ¶ŒÒº´Ô ÒÁÒôÒ㪌ã˼Œ ŒàÙ ÂÒǏ¢ÑºÃ¶á·¹áºº¹้Õ¶Í× Ç‹Ò໹š µÇÑ á·¹µÒÁÁÒµÃÒ 427 ÁÔãªÁ‹ ÒµÃÒ 429
7.2) ¶ŒÒºÔ´Ò㪌ãËŒºØµÃ¼ÙàŒ ÂÒǏ价ÓÅÐàÁ´Ô µÍŒ §»ÃѺà¢ÒŒ ¡ÑºÁÒµÃÒ 420 »ÃСͺ¡ºÑ ÁÒµÃÒ 432 (ÅÐàÁ´Ô ËÇÁ) ÁãÔ ª‹

** ¼ŒµÙ ŒÍ§ÃѺ¼Ô´à¾่Í× ¡ÒÃÅÐàÁ´Ô ¤×Í ºÔ´ÒÁÒôҷժ่ ͺ´ŒÇ¡®ËÁÒ ¶ŒÒ໹š ºÔ´ÒÁÒôҷä่Õ Áª‹ ͺ´ŒÇ¡®ËÁÒÂ
¨Ð¹ÓÁÒµÃÒ 429 ÁÒ㪌º§Ñ ¤ºÑ äÁä‹ ´Œ ᵋ¶Í× ÇÒ‹ à»¹š ¼´ÙŒ ÙáżŒàÙ ÂÒǏµÒÁÁÒµÃÒ 430

¢ÍŒ Ê§Ñ à¡µ
¡ÒÃà»¹š ºµØ Ãâ´ÂªÍº´ÇŒ ¡®ËÁÒ ¤×Í à´¡็ à¡Ô´¨Ò¡ºÔ´ÒÁÒôҷä่Õ ´Œ¨´·ÐàºÂÕ ¹¡¹Ñ áÅÇŒ

áÅÐà´¡็ ·่àÕ ¡Ô´¨Ò¡º´Ô ÒÁÒôҷä่Õ Áä‹ ´¨Œ ´·ÐàºÕ¹ÊÁÃÊ¡¹Ñ ¨Ðà»¹š ºØµÃâ´ÂªÍº´ÇŒ ¡®ËÁÒ¡µ็ ‹ÍàÁ×่Í
º´Ô ÒÁÒôÒä´ŒÊÁÃÊ¡¹Ñ ÀÒÂËÅ§Ñ ËÃ×ͺ´Ô ÒÁÒôÒä´Œ¨´·ÐàºÂÕ ¹Ç‹Òà»¹š ºØµÃËÃÍ× ÈÒžԾҡÉÒÇÒ‹ ໚¹ºØµÃ (ÁÒµÃÒ 1547)
´§Ñ ¹Ñ้¹ ¡Ã³·Õ Õ่º´Ô ÒÁÒôÒÃѺÃͧºµØ Ãâ´Â¢ÍŒ à·¨็ ¨ÃÔ§ ઋ¹ãË㌠ª¹Œ ÒÁÊ¡ØÅËÃÍ× ãËŒ¡ÒÃÍ»Ø ¡ÒÃÐàÅ้ÂÕ §´Ù处 äÁ‹·ÓãËàŒ »¹š
ºØµÃâ´ÂªÍº´ŒÇ¡®ËÁÒ¤§¡Í‹ ãËŒà¡´Ô Ê·Ô ¸Ô㹡ÒÃÃѺÁô¡¢Í§ºÔ´Òà·‹Ò¹้ѹ (ÁÒµÃÒ 1627)

ÁÒµÃÒ 430 ¤ÇÒÁÃѺ¼Ô´¢Í§ÍÒ¨ÒÃÂˏ Ã×ͼÃÙŒ ºÑ ´áÙ Å
“¤ÃºÙ ÒÍÒ¨ÒÏ ¹Ò¨Ҍ § ËÃ×ͺ¤Ø ¤ÅÍ×่¹ «§่Ö ÃѺ´Ùáźؤ¤Å¼Œä٠äŒ ÇÒÁÊÒÁÒöÍÂً໚¹¹ÔµÂ¡ ็´Õ ª่ÑǤç้Ñ ¤ÃÒÇ¡´็ Õ
¨ÓµŒÍ§ÃºÑ ¼Ô´Ã‹ÇÁ¡ºÑ ¼ŒÙäÃŒ¤ÇÒÁÊÒÁÒö㹡ÒÃÅÐàÁ´Ô «§่Ö à¢Òä´¡Œ ÃзÓŧã¹ÃÐËÇÒ‹ §·Õ่ÍÂً㹤ÇÒÁ´ÙáŢͧµ¹
¶ŒÒËÒ¡¾Ôʨ٠¹ä ´ŒÇ‹Òº¤Ø ¤Å¹¹Ñ้ æ ÁäÔ ´ŒãªŒ¤ÇÒÁÃÐÁÑ´ÃÐÇѧµÒÁÊÁ¤ÇÔ

ËÅѡࡳ±¤ÇÒÁÃѺ¼Ô´à¾่×ÍÅÐàÁÔ´¢Í§¼ÁÙŒ ËÕ ¹ŒÒ·ÕÃ่ Ѻ´ÙáÅ
1 ໚¹¼ÙŒ´ÙáżŒÙääŒ ÇÒÁÊÒÁÒö
2 ¼äÙŒ äŒ ÇÒÁÊÒÁÒö¡ÃзÓÅÐàÁÔ´
3 ¼Œ´Ù áÙ ÅÁäÔ ´ãŒ ªŒ¤ÇÒÁÃÐÁ´Ñ ÃÐÇѧµÒÁÊÁ¤ÇÃ

¼ŒÁÙ ËÕ ¹ÒŒ ·่´Õ ÙáÅ (ºØ¤¤Å·่µÕ ÍŒ §ÃѺ¼Ô´µÒÁÁÒµÃÒ 430)
1 ¤ÃÙºÒÍÒ¨ÒÏ
2 ¹Ò¨ŒÒ§¢Í§¼ŒàÙ ÂÒǏ
3 º¤Ø ¤Å·่ÕÃºÑ ´ÙáżäÙŒ äŒ ÇÒÁÊÒÁÒö

¢ŒÍ¡àÇŒ¹ ¾ÔÊÙ¨¹ä ´ŒÇ‹Ò 㪤Œ ÇÒÁÃÐÁÑ´ÃÐÇѧµÒÁÊÁ¤ÇÃá¡Ë‹ ¹ÒŒ ·่áÕ ÅŒÇ

¢ÍŒ Êѧࡵ
à¡่ÂÕ Ç¡ºÑ ¤ÇÒÁÃѺ¼Ô´¢Í§ºØ¤¤ÅµÒÁº·ºÑÞÞµÑ ÔµÒÁÁÒµÃÒ 429 ¡ÑºÁÒµÃÒ 430 ¹¹้Ñ áµ¡µÒ‹ §¡Ñ¹
** ÁÒµÃÒ 429 ໚¹Ë¹ŒÒ·่¢Õ ͧº´Ô ÒÁÒôÒËÃ×ͼÙÍŒ ¹ºØ ÒŵŒÍ§¾ÊÔ ¨Ù ¹ä ´ŒÇ‹Ò

µ¹ä´ŒãªŒ¤ÇÒÁÃÐÁÑ´ÃÐÇѧµÒÁ¤ÇÃá¡Ë‹ ¹ŒÒ·Õ´่ ÙáÅ«่§Ö ·ÓÍÂÙ¹‹ Ñ้¹ ¶ÒŒ ¾ÊÔ ¨Ù ¹ä Áä‹ ´Œ¡็äÁ‹¾Œ¹¤ÇÒÁ¼Ô´
** ÁÒµÃÒ 430 ໚¹Ë¹ÒŒ ·¼่Õ ÙŒ¶¡Ù ·ÓÅÐàÁÔ´¨ÐµŒÍ§¾ÊÔ ¨Ù ¹Ç Ò‹ ¤ÃÙºÒÍÒ¨ÒÏ

¹Ò¨Ҍ §ËÃ×ͼٴŒ ÙáżäÙŒ ÃŒ¤ÇÒÁÊÒÁÒöäÁ‹ä´ãŒ ª¤Œ ÇÒÁÃÐÁÑ´ÃÐÇѧµÒÁÊÁ¤Çà º¤Ø ¤ÅàËŋҹ้ѹ¨Ö§µÍŒ §ÃѺ¼´Ô

ÁÒµÃÒ 431 ÊÔ·¸ÔäÅ‹àºÕ้Â
“ 㹡ó·Õ ่Õ¡Å‹ÒÇÁÒã¹ÊͧÁÒµÃÒ¡Í‹ ¹¹¹้Ñ ·Ò‹ ¹ã˹Œ Óº·ºÞÑ ÞѵÔá˧‹ ÁÒµÃÒ 426 ÁÒ㪺Œ §Ñ ¤ºÑ ´ŒÇÂâ´ÂÍ¹âØ ÅÁ”

¡Ã³·Õ ºÕ่ Ô´ÒÁÒÃ´Ò ¼ÙÍŒ ¹ºØ ÒÅ (ÁÒµÃÒ 429) ËÃ×ͤú٠ÒÍÒ¨ÒÏ ¹Ò¨Ҍ §
ËÃ×ͺ¤Ø ¤Å¼ÙŒÃºÑ ´áÙ Å (ÁÒµÃÒ 430) µŒÍ§ª´ãªŒ

¤Ò‹ ÊÔ¹äËÁ·´á·¹ãˌ᡼‹ àŒÙ ÊÂÕ ËÒÂä»áÅŒÇ ÁÒµÃÒ 431 ¹้àÕ »´âÍ¡ÒÊãËŒº¤Ø ¤ÅàËÅÒ‹ ¹¹้Ñ ãªÊŒ ·Ô ¸äÔ Åà‹ º้ÕÂ
ºØ¤¤Å¼ÙäŒ Ã¤Œ ÇÒÁÊÒÁÒö «Ö่§à»¹š ¼Œ¡Ù ÃзÓÅÐàÁ´Ô ¹¹้Ñ ä´Œ 㹷ӹͧà´ÂÕ Ç¡Ñº·่¹Õ Ò¨ŒÒ§äÅ‹àº้ÂÕ Å¡Ù ¨ÒŒ §ä´¹Œ Ñ่¹àͧ

ความรับผิดของหน่วยงาน
รัฐในการทําละเมดิ ของเจ้า

หน้าที

ค ว า ม รั บ ผิ ด ข อ ง ห น่ ว ย ง า น ข อ ง รั ฐ ใ น ก า ร ทํา ล ะ เ มิ ด ข อ ง เ จ้ า
ห น้ า ที เ นื อ ง จ า ก ก า ร ป ฏิ บั ติ ห น้ า ที นั น เ ป น ค ว า ม รั บ ผิ ด เ พ ร า ะ
ส ถ า น ะ แ ล ะ เ พ ร า ะ ก า ร ป ฏิ บั ติ ห น้ า ที ข อ ง เ จ้ า ห น้ า ที ๆ ห น่ ว ย
ง า น ข อ ง รั ฐ ที ทํา ล ะ เ มิ ด ใ น ร ะ ห ว่ า ง ก า ร ป ฏิ บั ติ ห น้ า ที จึ ง เ ป น
ลั ก ษ ณ ะ เ ป น ก า ร รั บ ผิ ด แ ท น

พระราชบญั ญัติวา่ ด้วยควพา.ศม.ร2บั 5ผ39ดิ ทางละเมดิ ของเจา้ หน้าที

พ ร ะ ร า ช บั ญ ญั ติ ว่ า ด้ ว ย ค ว า ม รั บ ผิ ด
ท า ง ล ะ เ มิ ด ข อ ง เ จ้ า ห น้ า ที พ . ศ . 2 5 3 9
มี ส ถ า น ะ เ ป น ก ฎ ห ม า ย ม ห า ช น . เ พ ร า ะ
เ ป น ก ฎ ห ม า ย ที บั ญ ญั ติ ขึ น เ พื อ คุ้ ม ค ร อ ง
ก า ร ป ฏิ บั ติ ง า น ข อ ง เ จ้ า ห น้ า ที ๆ มี ส ถ า น ะ
เ ห นื อ ก ว่ า ป ร ะ ช า ช น โ ด ย จ ะ แ ย ก เ ป น 2
ส่ ว น ดั ง นี

1.เจา้ หน้าทีรฐั ทําละเมดิ ต่อบุคคลซงึ เปนเอกชน/
บุคคลภายนอก

1 . 1 . ก า ร ทํา ล ะ เ มิ ด ใ น ร ะ ห ว่ า ง ก า ร ป ฏิ บั ติ ห น้ า ที

ก ฎ ห ม า ย กํา ห น ด ใ ห้ ห น่ ว ย ง า น ข อ ง รั ฐ รั บ ภ า ร ะ ช ด ใ ช้ ค่ า สิ น ไ ห ม
ท ด แ ท น ค ว า ม เ สี ย ห า ย ที เ กิ ด ขึ น แ ก่ ผู้ ไ ด้ รั บ ค ว า ม เ สี ย ห า ย ไ ป ก่ อ น แ ต่
ถ้ า ห า ก เ จ้ า ห น้ า ที ไ ด้ ก ร ะ ทํา ผิ ด นั น เ พ ร า ะ ค ว า ม จ ง ใ จ ห รื อ ป ร ะ ม า ท
เ ลิ น เ ล่ อ อ ย่ า ง ร้ า ย แ ร ง ห น่ ว ย ง า น รั ฐ ส า ม า ร ถ เ รี ย ก ใ ห้ เ จ้ า ห น้ า ที ค น
นั น ช ด ใ ช้ ค่ า สิ น ไ ห ม ท ด แ ท น แ ก่ ห น่ ว ย ง า น รั ฐ ไ ด้ ต า ม า ต ร า 8 ว ร ร ค 1

ก า ร เ รี ย ก ร้ อ ง ค่ า สิ น ไ ห ม ท ด แ ท น เ พื อ ล ะ เ มิ ด

บุ ค ค ล ภ า ย น อ ก ผู้ เ สี ย ห า ย จ า ก ก า ร ก ร ะ ทํา ล ะ เ มิ ด ใ น ก า ร ป ฏิ บั ติ ห น้ า ที
ข อ ง เ จ้ า ห น้ า ที มี สิ ท ธิ เ รี ย ก ร้ อ ง ใ ห้ ห น่ ว ย ง า น ข อ ง รั ฐ รั บ ผิ ด ต่ อ ค ว า ม
เ สี ย ห า ย ที เ กิ ด ขึ น แ ก่ ต น ไ ด้ โ ด ย ส า ม า ร ถ เ รี ย ก ร้ อ ง ไ ด้ 2 วิ ธี

1 . ก า ร ใ ช้ สิ ท ธิ เ รี ย ก ร้ อ ง ท า ง ศ า ล 2 . ก า ร ใ ช้ สิ ท ธิ เ รี ย ก ร้ อ ง ท า ง
เ ข ต อํา น า จ ศ า ล เ กี ย ว กั บ ค ดี ค ว า ม ปกครอง
รั บ ผิ ด เ พื อ ล ะ เ มิ ด ข อ ง เ จ้ า ห น้ า ที
แ ย ก พิ จ า ร ณ า ดั ง นี น อ ก จ า ก จ ะ ใ ช้ สิ ท ธิ ฟ อ ง ค ดี ต่ อ
- เ จ้ า ห น้ า ที ทํา ล ะ เ มิ ด น อ ก ห น้ า ที ศ า ล ป ก ค ร อ ง แ ล้ ว ผู้ เ สี ย ห า ย ยั ง มี
- เ จ้ า ห น้ า ที ใ ช้ อํา น า จ ต า ม สิ ท ธิ เ รี ย ก ร้ อ ง ต่ อ ห น่ ว ย ง า น ข อ ง
ก ฎ ห ม า ย ห รื อ จ า ก ก ฎ คํา สั ง ท า ง รั ฐ โ ด ย ก า ร ยื น คํา ข อ ต่ อ ห น่ ว ย ง า น
ป ก ค ร อ ง ห รื อ คํา สั ง อื น ห รื อ ก า ร ข อ ง รั ฐ ที เ จ้ า ห น้ า ที ผู้ ก ร ะ ทํา ล ะ เ มิ ด
ล ะ เ มิ ด จ า ก ก า ล ะ เ ล ย ต่ อ ห น้ า ที สั ง กั ด อ ยู่ ซึ ง จ ะ ต้ อ ง ยื น คํา ข อ ต่ อ
ต า ม ที ก ฎ ห ม า ย กํา ห น ด ห รื อ ป ฏิ บั ติ ห น่ ว ย ง า น ข อ ง รั ฐ ภ า ย ใ น 1 ป นั บ
ห น้ า ที ดั ง ก ล่ า ว ล่ า ช้ า เ กิ น ส ม ค ว ร แ ต่ วั น ที รู้ ถึ ง ก า ร ล ะ เ มิ ด แ ล ะ รู้ ตั ว ผู้
ต้ อ ง ฟ อ ง ที ศ า ล ป ก ค ร อ ง จ ะ ต้ อ ง ช ด ใ ช้ ค่ า สิ น ไ ห ม ท ด แ ท น แ ต่
- เ จ้ า ห น้ า ที ข อ ง รั ฐ ก ร ะ ทํา ล ะ เ มิ ด ต้ อ ง ไ ม่ เ กิ น 1 0 ป นั บ แ ต่ วั น ทํา
โ ด ย ไ ม่ ช อ บ ใ น ก ร ณี อื น ฟ อ ง ศ า ล ล ะ เ มิ ด แ ล ะ ใ น ก ร ณี ผู้ เ สี ย ห า ย ไ ด้ ใ ช้
ยุ ติ ธ ร ร ม สิ ท ธิ เ รี ย ก ร้ อ ง ท า ง ศ า ล โ ด ย ก า ร
ฟ อ ง ห น่ ว ย ง า น ข อ ง รั ฐ ต่ อ ศ า ล
ป ก ค ร อ ง ห รื อ ศ า ล ยุ ติ ธ ร ร ม แ ล้ ว ก็
ไ ม่ ตั ด สิ ท ธิ ผู้ เ สี ย ห า ย ที จ ะ ใ ช้ สิ ท ธิ
เ รี ย ก ร้ อ ง ท า ง ป ก ค ร อ ง ต่ อ ห น่ ว ย
ง า น ข อ ง รั ฐ อี ก

การไล่เบยี

ก า ร ไ ล่ เ บี ย นั น เ กิ ด ขึ น ไ ด้ เ ฉ พ า ะ แ ต่ ก ร ณี ที เ จ้ า
ห น้ า ที ก ร ะ ทํา ล ะ เ มิ ด ใ น ก า ร ป ฏิ บั ติ ห น้ า ที ต่ อ
บุ ค ค ล ภ า ย น อ ก เ ท่ า นั น

1 . เ จ้ า ห น้ า ที ใ ช้ สิ ท ธิ ไ ล่ เ บี ย 2 . ห น่ ว ย ง า น ข อ ง รั ฐ ใ ช้ สิ ท ธิ ไ ล่ เ บี ย
ก า ร ก ร ะ ทํา ล ะ เ มิ ด ข อ ง เ จ้ า ห น้ า ที ห น่ ว ย ง า น ข อ ง รั ฐ ไ ด้ ช ด ใ ช้ ค่ า สิ น ไ ห ม

มิ ไ ด้ เ ป น ก า ร ก ร ะ ทํา โ ด ย จ ง ใ จ ห รื อ ท ด แ ท น จ า ก ก า ร ก ร ะ ทํา ล ะ เ มิ ด ข อ ง
ป ร ะ ม า ท เ ลิ น เ ล่ อ อ ย่ า ง ร้ า ย แ ร ง แ ต่ เ จ้ า ห น้ า ที ใ น ก า ร ป ฏิ บั ติ ห น้ า ที แ ก่ ผู้ เ สี ย
เ มื อ เ กิ ด ค ว า ม เ สี ย ห า ย ขึ น เ จ้ า ห น้ า ที ๆ ห า ย ไ ป ก่ อ น แ ล้ ว ห ลั ง ต ร ว จ ส อ บ แ ล้ ว
ก ร ะ ทํา ล ะ เ มิ ด ไ ด้ ช ด ใ ช้ ค่ า สิ น ไ ห ม ก า ร ก ร ะ ทํา ล ะ เ มิ ด ข อ ง เ จ้ า ห น้ า ที เ ป น ก า ร
ท ด แ ท น แ ก่ ผู้ เ สี ย ห า ย ไ ป ก่ อ น แ ล้ ว ดั ง ก ร ะ ทํา โ ด ย จ ง ใ จ ห รื อ ป ร ะ ม า ท เ ลิ น เ ล่ อ
นั น เ จ้ า ห น้ า ที จ ะ ไ ด้ รั บ เ งิ น ค่ า สิ น ไ ห ม อ ย่ า ง ร้ า ย แ ร ง ห น่ ว ย ง า น จ ะ ต้ อ ง เ รี ย ก ใ ห้
ท ด แ ท น ดั ง ก ล่ า ว คื น จ า ก ห น่ ว ย ง า น เ จ้ า ห น้ า ที ช ด ใ ช้ เ งิ น จาํ น ว น ดั ง ก ล่ า ว ห า ก
ข อ ง รั ฐ แ ล ะ ต้ อ ง ใ ช้ สิ ท ธิ ไ ล่ เ บี ย เ พื อ ข อ เ จ้ า ห น้ า ที ผู้ นั น ยั ง ไ ม่ ช ด ใ ช้ ห น่ ว ย ง า น
คื น เ งิ น ที ต น ไ ด้ จ่ า ย แ ก่ ผู้ เ สี ย ห า ย ไ ป ข อ ง รั ฐ จ ะ ต้ อ ง ฟ อ ง ค ดี ต่ อ ศ า ล ภ า ย ใ น ๑
แ ล้ ว คื น จ า ก ห น่ ว ย ง า น ข อ ง รั ฐ ภ า ย ใ น ป นั บ แ ต่ ห น่ ว ย ง า น ข อ ง รั ฐ ไ ด้ ช ด ใ ช้ ใ ห้ แ ก่
๑ ป นั บ แ ต่ วั น ที ต น ไ ด้ ช ด ใ ช้ ค่ า สิ น ไ ห ม ผู้ เ สี ย ห า ย
ท ด แ ท น ใ ห้ แ ก่ ผู้ เ สี ย ห า ย

1 . 2 . ก า ร ทํา ล ะ เ มิ ด น อ ก ก า ร ป ฏิ บั ติ ห น้ า ที

ก า ร ทํา ล ะ เ มิ ด ที มิ ใ ช่ ก า ร ป ฏิ บั ติ ห น้ า ที นั น ถื อ ว่ า เ ป น ก า ร ก ร ะ ทํา ล ะ เ มิ ด
โ ด ย ส่ ว น ตั ว เ จ้ า ห น้ า ที ต้ อ ง รั บ ผิ ด ใ น ก า ร นั น เ ป น ก า ร เ ฉ พ า ะ ตั ว ใ น
ก ร ณี นี ผู้ เ สี ย ห า ย ฟ อ ง เ จ้ า ห น้ า ที โ ด ย ต ร ง ไ ด้ แ ต่ ฟ อ ง ห น่ ว ย ง า น ข อ ง รั ฐ
ไ ม่ ไ ด้ ต า ม ม า ต ร า 6

ก า ร เ รี ย ก ร้ อ ง ค่ า สิ น ไ ห ม ท ด แ ท น

เ มื อ ป ร า ก ฏ ว่ า ก า ร ทํา ล ะ เ มิ ด นั น เ ป น เ รื อ ง ใ น ท า ง ส่ ว น ตั ว ข อ ง เ จ้ า ห น้ า ที โ ด ย
แ ท้ ไ ม่ เ กี ย ว ข้ อ ง กั บ ก า ร ป ฏิ บั ติ ห น้ า ที ต า ม ที ก ฎ ห ม า ย กํา ห น ด ห รื อ ต า ม ที ไ ด้
รั บ ม อ บ ห ม า ย เ จ้ า ห น้ า ที ต้ อ ง รั บ ผิ ด ช ด ใ ช้ ค่ า สิ น ไ ห ม ท ด แ ท น แ ก่ ผู้ เ สี ย ห า ย ใ น
ผ ล แ ห่ ง ล ะ เ มิ ด ที ต น ไ ด้ ก ร ะ ทํา ขึ น เ ป น ก า ร เ ฉ พ า ะ ตั ว แ ต่ เ พี ย ง ผู้ เ ดี ย ว ห น่ ว ย
ง า น ข อ ง รั ฐ ไ ม่ ต้ อ ง รั บ ผิ ด ใ น ผ ล แ ห่ ง ล ะ เ มิ ด นั น ทั ง นี ก า ร เ รี ย ก ร้ อ ง ค่ า เ สี ย ห า ย
ผู้ เ สี ย ห า ย ต้ อ ง ใ ช้ สิ ท ธิ เ รี ย ก ร้ อ ง ต่ อ ศ า ล ยุ ติ ธ ร ร ม เ ท่ า นั น แ ล ะ เ จ้ า ห น้ า ที จ ะ ม า
อ้ า ง สิ ท ธิ ไ ล่ เ บี ย ใ ด ๆ ต่ อ ห น่ ว ย ง า น ข อ ง รั ฐ ไ ม่ ไ ด้

2 . เ จ้ า ห น้ า ที รั ฐ ทํา ล ะ เ มิ ด ต่ อ
ห น่ ว ย ง า น ข อ ง รั ฐ

ก ร ณี ผู้ เ สี ย ห า ย เ ป น ห น่ ว ย ง า น ข อ ง รั ฐ โ ด ย อ า จ จ ะ เ ป น ห น่ ว ย ข อ ง
รั ฐ ที เ จ้ า ห น้ า ที ผู้ นั น สั ง กั ด อ ยู่ ห รื อ อ า จ จ ะ เ ป น ห น่ ว ย ง า น อื น ๆ ข อ ง
รั ฐ ก็ ไ ด้

2 . 1 . ก า ร ทํา ล ะ เ มิ ด ใ น ร ะ ห ว่ า ง ก า ร ป ฏิ บั ติ ห น้ า ที

ก า ร ก ร ะ ทํา ล ะ เ มิ ด ใ น ก า ร ป ฏิ บั ติ ห น้ า ที นั น เ กิ ด จ า ก ค ว า ม จ ง ใ จ ห รื อ
ป ร ะ ม า ท เ ลิ น เ ล่ อ อ ย่ า ง ร้ า ย แ ล ะ ถึ ง แ ม้ ว่ า ห น่ ว ย ง า น ข อ ง รั ฐ จ ะ มี สิ ท ธิ
เ รี ย ก ร้ อ ง ค่ า สิ น ไ ห ม ท ด แ ท น ห น่ ว ย ง า น ข อ ง รั ฐ ก็ จ ะ ต้ อ ง พิ จ า ร ณ า ถึ ง
ร ะ ดั บ ค ว า ม ร้ า ย แ ร ง แ ห่ ง ก า ร ก ร ะ ทํา ล ะ เ มิ ด แ ล ะ ค ว า ม เ ป น ธ ร ร ม ใ น แ ต่ ล ะ
ก ร ณี เ ป น เ ก ณ ฑ์ โ ด ย มิ ต้ อ ง ใ ห้ เ จ้ า ห น้ า ที ช ด ใ ช้ เ ต็ ม จาํ น ว น ข อ ง ค ว า ม เ สี ย
ห า ย ก็ ไ ด้

2 . 2 . ก า ร ทํา ล ะ เ มิ ด น อ ก ก า ร ป ฏิ บั ติ ห น้ า ที

ห า ก ก า ร ก ร ะ ทํา ล ะ เ มิ ด เ กิ ด จ า ก เ รื อ ง ส่ ว น ตั ว โ ด ย แ ท้ เ ช่ น นี แ ล้ ว เ จ้ า
ห น้ า ที ผู้ ก ร ะ ทํา ล ะ เ มิ ด จ ะ ต้ อ ง รั บ ผิ ด เ พื อ ล ะ เ มิ ด เ ป น ก า ร ส่ ว น ตั ว

ก า ร เ รี ย ก ร้ อ ง ค่ า สิ น ไ ห ม ท ด แ ท น

ต้ อ ง พิ จ า ร ณ า ว่ า ก า ร ล ะ เ มิ ด จ า ก ก า ร ป ฏิ บั ติ ต า ม ห น้ า ที ห รื อ ไ ม่ ห า ก
เ ป น ก า ร ล ะ เ มิ ด ที เ กิ ด จ า ก ก า ร ป ฏิ บั ติ ห น้ า ที แ ล ะ เ ป น เ ห ตุ ใ ห้ ห น่ ว ย ง า น ข อ ง
รั ฐ ไ ด้ รั บ ค ว า ม เ สี ย ห า ย จ ะ ต้ อ ง พิ จ า ร ณ า ต่ อ ไ ป ว่ า ผู้ ก ร ะ ทํา ล ะ เ มิ ด จ ง ใ จ
ห รื อ ป ร ะ ม า ท เ ลิ น เ ล่ อ อ ย่ า ง ร้ า ย แ ร ง ห รื อ ไ ม่ ซึ ง จ ะ มี ผ ล ใ ห้ ห น่ ว ย ง า น
ข อ ง รั ฐ ส า ม า ร ถ ใ ช้ สิ ท ธิ ไ ล่ เ บี ย เ อ า กั บ เ จ้ า ห น้ า ที ผู้ ก ร ะ ทํา ล ะ เ มิ ด ไ ด้ ต า ม ที
กํา ห น ด ไ ว้ ใ น ม า ต ร า 1 0 ป ร ะ ก อ บ กั บ ม า ต ร า 8 แ ห่ ง พ ร ะ ร า ช บั ญ ญั ติ
ค ว า ม รั บ ผิ ด ท า ง ล ะ เ มิ ด ฯ

1 . ก า ร ใ ช้ ท า ง ป ก ค ร อ ง ห น่ ว ย ง า น ข อ ง รั ฐ มี สิ ท ธิ เ รี ย ก ร้ อ ง ค่ า สิ น ไ ห ม

สิ ท ธิ เ รี ย ก ท ด แ ท น จ า ก เ จ้ า ห น้ า ที ไ ด้ เ ฉ พ า ะ ใ น ก ร ณี ที ก า ร ล ะ เ มิ ด ใ น ก า ร ป ฏิ บั ติ
ร้ อ ง ท า ง ห น้ า ที เ กิ ด จ า ก ค ว า ม จ ง ใ จ ห รื อ ป ร ะ ม า ท เ ลิ น เ ล่ อ อ ย่ า ง ร้ า ย แ ร ง ข อ ง
เ จ้ า ห น้ า ที เ ท่ า นั น ส่ ว น ก า ร ก ร ะ ทํา ล ะ เ มิ ด ใ น ก า ร ป ฏิ บั ติ ห น้ า ที ที เ กิ ด
จ า ก ค ว า ม ป ร ะ ม า ท เ ลิ น เ ล่ อ ธ ร ร ม ด า ม า ต ร า 1 0 ป ร ะ ก อ บ กั บ
ปกครอง ม า ต ร า 8 แ ห่ ง พ ร ะ ร า ช บั ญ ญั ติ ค ว า ม รั บ ผิ ด ท า ง ล ะ เ มิ ด ฯ ไ ม่ ไ ด้ ใ ห้

สิ ท ธิ แ ก่ ห น่ ว ย ง า น ข อ ง รั ฐ ใ น ก า ร เ รี ย ก ร้ อ ง ค่ า สิ น ไ ห ม ท ด แ ท น จ า ก

เ จ้ า ห น้ า ที ค ว า ม เ สี ย ห า ย ที เ กิ ด ขึ น จึ ง ต ก เ ป น พั บ แ ก่ ห น่ ว ย ง า น ข อ ง

รั ฐ

ห น่ ว ย ง า น ข อ ง รั ฐ ยั ง ค ง ต้ อ ง พิ จ า ร ณ า ถึ ง ร ะ ดั บ ค ว า ม ร้ า ย แ ร ง

แ ห่ ง ก า ร ก ร ะ ทํา ล ะ เ มิ ด แ ล ะ ค ว า ม เ ป น ธ ร ร ม ใ น แ ต่ ล ะ ก ร ณี เ ป น เ ก ณ ฑ์

โ ด ย มิ ต้ อ ง ใ ห้ เ จ้ า ห น้ า ที ช ด ใ ช้ เ ต็ ม จาํ น ว น ข อ ง ค ว า ม เ สี ย ห า ย ก็ ไ ด้ แ ล ะ

ถ้ า ก า ร ล ะ เ มิ ด ดั ง ก ล่ า ว เ กิ ด จ า ก ค ว า ม ผิ ด ห รื อ ค ว า ม บ ก พ ร่ อ ง ห น่ ว ย

ง า น ข อ ง รั ฐ ห รื อ ร ะ บ บ ก า ร ดาํ เ นิ น ง า น ส่ ว น ร ว ม ใ ห้ หั ก ส่ ว น แ ห่ ง
ค ว า ม รั บ ผิ ด ดั ง ก ล่ า ว อ อ ก ด้ ว ย .

กํา ห น ด ใ ห้ ห น่ ว ย ง า น ข อ ง รั ฐ จ ะ ต้ อ ง มี คํา สั ง ดั ง ก ล่ า ว ภ า ย ใ น
กํา ห น ด อ า ยุ ค ว า ม 2 ป นั บ แ ต่ วั น ที ห น่ ว ย ง า น ข อ ง รั ฐ รู้ ถึ ง ก า ร

ล ะ เ มิ ด แ ล ะ รู้ ตั ว เ จ้ า ห น้ า ที ผู้ จ ะ ต้ อ ง ช ด ใ ช้ ค่ า สิ น ไ ห ม ท ด แ ท น แ ต่ ต้ อ ง
ไ ม่ เ กิ น กํา ห น ด อ า ยุ ค ว า ม 1 0 ป นั บ แ ต่ วั น ทํา ล ะ เ มิ ด ห า ก เ จ้ า ห น้ า ที

ก ร ะ ทํา จ า ก ค ว า ม จ ง ใ จ ห รื อ ป ร ะ ม า ท เ ลิ น เ ล่ อ อ ย่ า ง ร้ า ย แ ร ง อ อ ก คํา

สั ง ใ ห้ เ จ้ า ห น้ า ที ผู้ ก ร ะ ทํา ล ะ เ มิ ด ชาํ ร ะ ค่ า สิ น ไ ห ม ท ด แ ท น แ ก่ ห น่ ว ย

ง า น ข อ ง ต น ภ า ย ใ น ร ะ ย ะ เ ว ล า ที กํา ห น ด โ ด ย ไ ม่ คํา นึ ง ว่ า เ จ้ า ห น้ า ที ผู้

นั น จ ะ มี ส ถ า น ะ เ ป น เ จ้ า ห น้ า ที อ ยู่ ห รื อ ไ ม่

2.การใช้ ห น่ ว ย ง า น ข อ ง รั ฐ อ า จ ฟ อ ง เ จ้ า ห น้ า ที ผู้ ก ร ะ ทํา ล ะ เ มิ ด ต่ อ
สทิ ธเิ รยี ก ศ า ล เ พื อ ข อ ใ ห้ มี คํา พิ พ า ก ษ า ใ ห้ เ จ้ า ห น้ า ที ช ด ใ ช้ ค่ า สิ น ไ ห ม
รอ้ งทาง ท ด แ ท น แ ก่ ต น ห า ก ก า ร ก ร ะ ทํา ล ะ เ มิ ด เ กิ ด จ า ก ก า ร ป ฏิ บั ติ
ห น้ า ที โ ด ย อ า ศั ย อํา น า จ จ า ก ก ฎ ห ม า ย ห รื อ จ า ก ก ฎ คํา สั ง ท า ง
ศาล ป ก ค ร อ ง ห รื อ คํา สั ง อื น ใ ด ห รื อ จ า ก ก า ร ล ะ เ ล ย ต่ อ ห น้ า ที ต า ม
ที ก ฎ ห ม า ย กํา ห น ด ใ ห้ ต้ อ ง ป ฏิ บั ติ ห รื อ ป ฏิ บั ติ ห น้ า ที ดั ง ก ล่ า ว
ล่ า ช้ า เ กิ น ค ว ร ดั ง นั น ห น่ ว ย ง า น ท า ง ป ก ค ร อ ง ต้ อ ง ฟ อ ง เ จ้ า
ห น้ า ที ผู้ นั น ต่ อ ศ า ล ป ก ค ร อ ง ห า ก ก า ร ก ร ะ ทํา ล ะ เ มิ ด เ กิ ด จ า ก
ก า ร ป ฏิ บั ติ ห น้ า ที ต า ม ธ ร ร ม ด า ทั ว ไ ป ไ ม่ ใ ช่ ก า ร ป ฏิ บั ติ ห น้ า ที
จ า ก โ ด ย อ า ศั ย อํา น า จ ต า ม ก ฎ ห ม า ย ห รื อ จ า ก ก ฎ คํา สั ง ท า ง
ป ก ค ร อ ง ห รื อ คํา สั ง อื น ห รื อ จ า ก ก า ร ล ะ เ ล ย ต่ อ ห น้ า ที ต า ม ที
ก ฎ ห ม า ย กํา ห น ด ใ ห้ ต้ อ ง ป ฏิ บั ติ ห รื อ ป ฏิ บั ติ ห น้ า ที ดั ง ก ล่ า ว ล่ า ช้ า
เ กิ น ค ว ร ดั ง นั น ห น่ ว ย ง า น ท า ง ป ก ค ร อ ง ต้ อ ง ฟ อ ง เ จ้ า ห น้ า ที
ผู้ นั น ต่ อ ศ า ล ยุ ติ ธ ร ร ม

ความรบั ผดิ ของผ้วู า่ จ้าง
ผู้วา่ จ้างรบั ผิดในมูลละเมดิ ของผู้รบั จ้าง

จะเห็นได้วา่ ผ้รู บั จ้างคือบุคคลซงึ ทําสญั ญาตกลงจะทําการงานสงิ ใดสงิ หนงึ จนสาํ เรจ็ ให้แก่บุคคล
อีกคนหนงึ ซงึ เรยี กวา่ "ผ้วู า่ จ้าง" และผ้วู า่ จ้างจะจา่ ยสนิ จ้างเพอื ความสาํ เรจ็ ในการงานนนั

จะเห็นวา่ ตามหลักทัวไปนนั ผ้วู า่ จ้างทําของไมต่ ้องรบั ผดิ เพอื ความเสยี หายทีผ้รู บั จ้างได้ก่อให้เกิด
ขนึ แก่บุคคลภายนอก ในระหวา่ งทําการงานทีจ้าง
หลักเกณฑ์ของมาตรา 428 คือ ผ้วู า่ จ้างไมต่ ้องรว่ มรบั ผดิ ถ้าหากวา่ ผ้รู บั จ้างได้ไปทําละเมดิ จน
ก่อให้เกิดความเสยี หายแก่บุคคลภายนอกในระหวา่ งทําการงานทีวา่ จ้าง



ขอ้ สงั เกต

ถึงแมว้ า่ ผ้จู ้างจะมไิ ด้มสี ว่ นผดิ ในสว่ นการงานทีมอบหมายให้ผ้รู บั จ้างทํา ทังมไิ ด้
มสี ว่ นผดิ ในคําสงั ทีตนได้ให้แก่ผ้รู บั จ้างและมไิ ด้มสี ว่ นผดิ ในการเลือกหาผ้รู บั จ้าง
จงึ ไมต่ ้องรบั ผดิ เพอื ละเมดิ ทีผ้รู บั จ้างก่อให้เกิดขนึ แก่บุคคลภายนอกตามมาตรา 428

แต่ถ้ากิจการงานทีวา่ จ้างให้ผ้รู บั จ้างทํานนั เปนกิจการงานทีผ้วู า่ จ้างมหี น้าทีต้องกระทํา
ก็อาจถือวา่ ผ้รู บั จ้างเขา้ ทํากิจการงานนนั แทนผ้วู า่ จ้าง จงึ เปนตัวแทนของผ้วู า่ จ้าง

ขอ้ สาํ คัญ ขนึ อยูก่ ับขอ้ เท็จจรงิ วา่ กิจการงานทีวา่ จ้างให้ทํานนั เปนเพยี งกิจการงาน
ทัวไปทีผ้วู า่ จ้างประสงค์จะทํา หรอื เปนกิจการงานทีผ้วู า่ จ้างมหี น้าทีตามกฎหมายหรอื
ตามสญั ญาทีจะต้องกระทํา ถ้าเปนกิจการงานทีผ้วู า่ จ้างมหี น้าทีต้องกระทํา การวา่ จ้าง
ผ้อู ืนไปทํากิจการงานนนั แทน ก็เปนการมอบหมายให้เขาไปทํากิจการงานนนั แทนตน
อยูด่ ้วย จงึ ถือวา่ เปนตัวการและตัวแทนกันอีกสถานะหนงึ

ความรบั ผดิ ในความเสยี หายทีเกิดจากทรพั ย์

เนอื งดว้ ย ทรพั ยน์ ันไมใ่ ชต่ ัวบุคคล ดังนันเมอื เกิดความเสยี หายทีมา
จากทรพั ย์ กฎหมายจงึ ไดก้ ําหนดใหบ้ ุคคลทีเกียวขอ้ งกับตัวทรพั ยม์ า
เปนผรู้ บั ผดิ กล่าวคือ บุคคลจะต้องรบั ผดิ ในความเสยี หายแมบ้ ุคคล
นนั จะไมไ่ ดก้ ระทําละเมดิ ก็ตาม

ความรบั ผดิ เชน่ นี เรยี กวา่ “ความรบั ผิดเด็ดขาด” ซงึ ถือเปนบท
สนั นษิ ฐานความรบั ผดิ ของบุคคล โดยไมต่ ้องพสิ จู นว์ า่ เปนเชน่ นนั จรงิ

ความเสยี หายเพอื ละเมดิ ในความเสยี หายอัน
เกิดจากทรพั ยม์ อี ยู่ 4 กรณี

1. ความเสยี หายอันเกิดจากสตั ว์ มาตรา 433
2. ความเสยี หายอันเกิดจากโรงเรอื น สงิ ปลกู สรา้ ง
หรอื ต้นไม้ กอไผ่ มาตรา 434
3. ความเสยี หายอันเกิดจากของตกหล่น หรอื ทิงขวาง
ไปตกในทีอันไมค่ วร มาตรา 436
4. ความเสยี หายอันเกิดจากยานพาหนะอันเดินด้วย
เครอื งจกั รกล และทรพั ยอ์ ันตราย มาตรา 437

ความเสยี หายอันเกิดจากสตั ว์

มาตรา 433 ถ้าความเสยี หายเกิดขนึ เพราะสตั ว์ ท่านวา่
เจา้ ของสตั วห์ รอื บุคคลผรู้ บั เลียงรบั รกั ษาไวแ้ ทนเจา้ ของจาํ ต้องใช้
ค่าสนิ ไหมทดแทนให้แก่ฝายทีต้องเสยี หายเพอื ความเสยี หายอยา่ ง
ใด ๆ อันเกิดแต่สตั วน์ ัน เวน้ แต่จะพสิ จู นไ์ ด้วา่ ตนได้ใชค้ วาม
ระมดั ระวงั อันสมควรแก่การเลียงการรกั ษาตามชนดิ และวสิ ยั ของ
สตั ว์ หรอื ตามพฤติการณอ์ ยา่ งอืน หรอื พสิ จู น์ได้วา่ ความเสยี หาย
นนั ยอ่ มจะต้องเกิดมขี นึ ทังทีได้ใชค้ วามระมดั ระวงั ถึงเพยี งนัน

อนงึ บุคคลผตู้ ้องรบั ผิดชอบดังกล่าวมาในวรรคต้นนนั
จะใชส้ ทิ ธไิ ล่เบยี เอาแก่บุคคลผทู้ ีเรา้ หรอื ยวั สตั วน์ นั โดยละเมดิ หรอื
เอาแก่เจา้ ของสตั วอ์ ืนอันมาเรา้ หรอื ยวั สตั วน์ ัน ๆ ก็ได้

คําวา่ “สตั ว”์ นัน ในทางกฎหมายไมไ่ ดบ้ ญั ญัติไว้ ดงั นนั สตั วใ์ นทีนี จะ
เปนอยา่ งไรก็ไดไ้ มว่ า่ จะเปนสตั วเ์ ล็ก หรอื สตั วใ์ หญ่ สตั วด์ รุ า้ ย หรอื สตั ว์
เชอื งก็ได้ แต่สตั วน์ นั ต้องมเี จา้ ของ หรอื ผรู้ บั เลียงรบั รกั ษา

กรณีความเสยี หายจากสตั ว์ พจิ ารณาได้ 2 กรณี

1. สตั วท์ ําให้เกิดความเสยี หายเอง โดยความเสยี หายทีเกิดขนึ จาก
สตั วน์ นั อาจเกิดกับบุคคล ทรพั ยส์ นิ หรอื สตั วข์ องบุคคลอืนก็ได้ รวม
ทังกรณที ีเชอื โรคมาจากสตั วด์ ว้ ย
2. บุคคลกระทําให้เกิดความเสยี หายโดยสตั ว์ ซงึ สตั วน์ นั ต้องไมไ่ ด้
ถกู ควบคมุ หรอื ถกู ใชเ้ ปนเครอื งมอื โดยบุคล เพราะหากบุคคลเปนผู้
กระทําละเมดิ เองนนั จะเขา้ หลักเกณฑ์ตามมาตรา 420 โดยไมต่ ้อง
พจิ ารณามาตรา 433

บุคคลผู้รบั ผิด

เมอื สตั วน์ นั ไดก้ ่อความเสยี หายขนึ ผเู้ สยี หายยอ่ มเรยี กรอ้ งไดจ้ าก
เจา้ ของ หรอื ผรู้ บั เลียงรบั รกั ษาไวแ้ ทนเจา้ ของ ซงึ กฎหมายไดก้ ําหนด
ไวว้ า่ ใหบ้ ุคคลใดบุคคลหนงึ เท่านนั ทีต้องรบั ผดิ

1. เจา้ ของ คือ ผทู้ ีมกี รรมสทิ ธใิ นสตั ว์ แมว้ า่ เจา้ ของจะไมไ่ ดอ้ ยูก่ ับตัว
สตั วใ์ นขณะนัน หรอื จะเลียงสตั วใ์ หเ้ ปนอิสระตามธรรมชาติ หรอื สตั ว์
นนั ไดห้ นี หรอื หายไปก็ตาม

• กรณหี ากบุคคลได้ไปเก็บสตั วท์ ีไมม่ เี จา้ ของมาเลียง หรอื สตั วท์ ีไมม่ ี
เจา้ ของมาอาศัยอยูใ่ นบา้ นนัน ต้องพจิ ารณาวา่ สตั วน์ นั ไดร้ บั การเลียง
ดโู ดยการปฏิบตั ิของบุคคลนนั ภายใต้หลังคาบา้ นของใคร บุคคลนนั
ยอ่ มถือเปนเจา้ ของ

• หากบุคคลใด เปนบุคคลใจบุญทีนาํ อาหารไปเลียงสนุ ขั จรจดั ในทีต่าง
ๆ แต่ไมไ่ ดน้ าํ พาสตั วน์ นั เขา้ ไปเลียงดภู ายในบา้ นของตน บุคคลนนั ก็ไม่
ถือเปนเจา้ ของสตั วเ์ หล่านนั

2. ผรู้ บั เลียงรบั รกั ษาไวแ้ ทนเจา้ ของ เปนเพยี งผดู้ แู ลสตั วท์ ีต้องคอย
ดแู ลรวมถึงรบั รกั ษาสตั วด์ ว้ ย ซงึ ในการดแู ลนนั ความครอบครองของ
เจา้ ของจะถกู ตัดความดแู ลควบคมุ จากสตั วไ์ ปชวั คราว ซงึ ถ้าหาก
ลกู จา้ ง หรอื คนรบั ใชม้ หี นา้ ทีดแู ลสตั วเ์ ลียงทียงั อยูใ่ นสายตาของ
เจา้ ของ กรณนี ลี กู จา้ ง หรอื คนรบั ใชไ้ มถ่ ือเปนผรู้ บั เลียงรบั รกั ษา

ขอ้ ยกเวน้ ความรบั ผดิ

1. เจา้ ของ หรอื ผรู้ บั เลียงรบั รกั ษา ไดใ้ ชค้ วามระมดั ระวงั อันสมควรแก่
การเลียงตามชนดิ วสิ ยั และพฤติการณข์ องสตั วแ์ ล้ว
2. ความเสยี หายยอ่ มเกิดมขี นึ ทังทีได้ใชค้ วามระมดั ระวงั ถึงเพยี ง
นนั พจิ ารณาไดจ้ าก
2.1 ความผิดของผเู้ สยี หายเอง หรอื ความผดิ ของผอู้ ืนทีอยูน่ อก
เหนอื การควบคมุ ของเจา้ ของ หรอื ผดู้ แู ลรบั เลียงรบั รกั ษา
2.2 เหตสุ ดุ วสิ ยั ซงึ อาจได้ใชค้ วามระมดั ระวงั แล้วแต่ก็ยงั ไมอ่ าจเลียง
ใหเ้ กิดเหตเุ ชน่ นนั ได้ อาจเกิดไดจ้ ากเหตธุ รรมชาติต่าง ๆ เปนต้น แต่
หากผกู้ ระทําสามารถคาดหมายไดว้ า่ จะเกิดขนึ แต่ยงั ขนื กระทําไป แม้
ขณะเกิดความเสยี หายจะมเี หตสุ ดุ วสิ ยั เกิดขนึ ก็ตาม ผกู้ ระทําไมอ่ าจ
อ้างเหตสุ ดุ วสิ ยั เปนขอ้ แก้ตัวใหต้ นพน้ ผดิ ได้

มาตรา 433 วรรคสอง ใหส้ ทิ ธแิ ก่ผทู้ ีต้องรบั ผดิ ตามวรรคแรก ในการ
ไล่เบยี เอากับผมู้ าเรา้ หรอื ยวั ยวนสตั ว์ หรอื เจา้ ของสตั วท์ ีมาเรา้ หรอื ยวั
สตั วซ์ งึ มสี ว่ นในความเสยี หายนนั ได้ หลักการใชส้ ทิ ธไิ ล่เบยี มดี งั นี
1. เจา้ ของ หรอื ผรู้ บั เลียงรบั รกั ษาต้องได้รบั การสนั นษิ ฐานจาก
กฎหมายต้องรบั ผดิ ตามาตรา 433 วรรคแรกเสยี ก่อน
2. ผเู้ สยี หายหรอื บุคคลอืนมสี ว่ นผดิ ทีไปเรา้ หรอื ยวั สตั วโ์ ดยละเมดิ


Click to View FlipBook Version