The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

กฎหมายว่าด้วยละเมิดจัดการงานนอกสั่งและล

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Pattarasaya Suantai, 2020-11-26 10:11:36

กฎหมายว่าด้วยละเมิดจัดการงานนอกสั่งและล

กฎหมายว่าด้วยละเมิดจัดการงานนอกสั่งและล

ความเสยี หายอันเกิดจากโรงเรอื น
สงิ ปลกู สรา้ ง หรอื ต้นไม้ กอไผ่

มาตรา 434 ถ้าความเสยี หายเกิดขนึ เพราะเหตทุ ีโรงเรอื น
หรอื สงิ ปลกู สรา้ งอยา่ งอืนก่อสรา้ งไวช้ าํ รุดบกพรอ่ งก็ดี หรอื บาํ รุง
รกั ษาไมเ่ พยี งพอก็ดี ท่านวา่ ผคู้ รองโรงเรอื นหรอื สงิ ปลกู สรา้ งนนั
ๆ จาํ ต้องใชค้ ่าสนิ ไหมทดแทน แต่ถ้าผคู้ รองได้ใชค้ วามระมดั ระวงั
ตามสมควรเพอื ปดปองมใิ ห้เกิดเสยี หายฉะนนั แล้ว ท่านวา่ ผเู้ ปน
เจา้ ของจาํ ต้องใชค้ ่าสนิ ไหมทดแทน

บทบญั ญตั ิทีกล่าวมาในวรรคก่อนนัน ให้ใชบ้ งั คับได้ตลอด
ถึงความบกพรอ่ งในการปลกู หรอื คําจุนต้นไมห้ รอื กอไผด่ ้วย

ในกรณีทีกล่าวมาในสองวรรคขา้ งต้นนนั ถ้ายงั มผี อู้ ืนอีกที
ต้องรบั ผดิ ชอบในการก่อให้เกิดเสยี หายนนั ด้วยไซร้ ท่านวา่ ผคู้ รอง
หรอื เจา้ ของจะใชส้ ทิ ธไิ ล่เบยี เอาแก่ผูน้ นั ก็ได้

กฎหมายไดส้ นั นิษฐานไวว้ า่ ความเสยี หายเกิดเพราะเจา้ ของ
หรอื ผคู้ รองโรงเรอื นนนั บกพรอ่ งในการดแู ล หรอื ขาดการบาํ รงุ รกั ษาที
เพยี งพอ หรอื หากมาจากต้นไม้ ก่อไผ่ ความเสยี หายต้องเกิดจากความ
บกพรอ่ งในการปลกู หรอื การคําจุนต้นไม้ ความเสยี หายนนั สามารถเกิด
ไดท้ ังต่อตัวบุคคลเอง หรอื ทรพั ยส์ นิ ของผอู้ ืนก็ได้

สาเหตขุ องการเกิดความเสยี หาย พจิ ารณาได้ 2 กรณี

1. โรงเรอื น หมายถึง สงิ ทีมนษุ ยส์ รา้ งขนึ บนพนื ดนิ เพอื เปนทีอยูห่ รอื
ทํากิจกรรมอืน
สงิ ปลกู สรา้ ง หมายถึง สงิ ปลกู สรา้ งใด ๆ นอกเหนอื จากโรงเรอื น ซงึ
มนษุ ยไ์ ดป้ ลกู สรา้ งขนึ บนพนื ดิน

• โรงเรอื นและสงิ ปลกู สรา้ งเกิดการชาํ รุดบกพรอ่ ง รากฐานการ
ก่อสรา้ งไมไ่ ดม้ นั คงแขง็ แรงเพยี งพอตามมาตราฐาน
• โรงเรอื นและสงิ ปลกู สรา้ งขาดการบาํ รุงดแู ลรกั ษาทีเพยี งพอ
กล่าวคือ โรงเรอื นและสงิ ปลกู สรา้ งชาํ รดุ เพราะการใชง้ าน เปนเหตใุ ห้
โรงเรอื นและสงิ ปลกู สรา้ งทรดุ โทรมและอาจก่อความเสยี หายได้

2. ต้นไม้ หรอื กอไผ่ เปนไดท้ ังต้นไมล้ ้มลกุ และต้นไมย้ นื ต้น จะเกิดขนึ
เองตามธรรมชาติ หรอื ปลกู โดยบุคคลใดก็ได้

• ความบกพรอ่ งในการปลกู ต้นไม้ หรอื ก่อไผ่ หากเปนต้นไมใ้ หญค่ วร
คํานงึ ถึงตอนทีต้นไมเ้ จรญิ เติบโตวา่ จะแผก่ ิงก้านสาขา หรอื ราก
สามารถชอนไชซงึ ก่อความเสยี หายต่อทรพั ยห์ รอื ต่อบุคคลหรอื ไม่ หาก
เปนก่อไผ่ ควรคํานงึ ถึงการแตกหนอ่ ของกอไผน่ นั ดว้ ย

• ความบกพรอ่ งในการคําจุนต้นไม้ หรอื กอไผ่ เมอื ขาดการบาํ รงุ
ดแู ลรกั ษาทีเพยี งพอนัน ต้นไม้ หรอื กอไผอ่ าจผุ หรอื ล้มเอียงทับบุคคล
หรอื ทรพั ยส์ นิ ผอู้ ืนได้

บุคคลผู้รบั ผิด

กฎหมายไดก้ ําหนดวา่ บุคคลใดบุคคลหนงึ เปนผรู้ บั ผดิ เท่านนั

1. เจา้ ของ หมายถึง ผมู้ กี รรมสทิ ธิ หรอื ผมู้ อี ํานาจเหนือตัวทรพั ยต์ าม
กฎหมาย
2. ผคู้ รอง หมายถึงผมู้ สี ทิ ธคิ รอบครอง

ขอ้ ยกเวน้ ความรบั ผดิ

1. ผคู้ รองต้องพสิ จู นว์ า่ ตนไดใ้ ชค้ วามระมดั ระวงั ตามสมควรเพอื
ปกปองภยนั ตรายนันแล้ว ตามมาตรา 434 ตอนท้ายของสว่ นแรก ถึง
แมผ้ คู้ รองจะพสิ จู นห์ กั ล้างความรบั ผดิ ไดแ้ ล้ว แต่เจา้ ของนันไมอ่ าจ
พสิ จู นไ์ ดจ้ งึ ต้องรบั ผดิ เสมอ
2. หากเจา้ ของจะสามารถพสิ จู นห์ กั ล้างความผดิ ไดจ้ ะต้องพสิ จู น์วา่ วาม
เสยี หายนนั ไมไ่ ด้เกิดจากการก่อสรา้ งชาํ รดุ บกพรอ่ ง หรอื การบาํ รงุ
รกั ษาไมเ่ พยี งพอเท่านนั จะอ้างถึงเหตสุ ดุ วสิ ยั หรอื เหตกุ ารณท์ ีเกิดขนึ
ตามธรรมชาติไมไ่ ด้

มาตรา 434 กําหนดใหผ้ คู้ รองเรอื น หรอื เจา้ ของโรงเรอื น หรอื สงิ ปลกู
สรา้ ง หรอื ต้นไม้ กอไผ่ สามารถไล่เบยี ค่าสนิ ไหมทดแทนจากผตู้ ้องรบั
ผดิ ในการก่อใหเ้ กิดความเสยี หายได้

อยา่ งไรก็ตาม ผทู้ ีคาดวา่ ตนเองอาจจะไดร้ บั ความเสยี หาย ไมจ่ าํ เปน
ต้องรอใหค้ วามเสยี หายนนั เกิดขนึ จากโรงเรอื น หรอื สงิ ปลกู สรา้ ง ตาม
มาตรา 434 ก็มสี ทิ ธเิ รยี กใหผ้ มู้ หี นา้ ทีจดั การตามทีจาํ เปนเพอื ปดปองภ
ยนั อันตรายได้ ตามาตรา 435

มาตรา 435 บุคคลใดจะประสบความเสยี หายอันพงึ เกิด
จากโรงเรอื นหรอื สงิ ปลกู สรา้ งอยา่ งอืนของผอู้ ืน บุคคลผู้นนั ชอบที
จะเรยี กให้จดั การตามทีจาํ เปนเพอื บาํ บดั ปดปองภยนั ตรายนนั เสยี ได้

ขอ้ นา่ สงั เกต มาตรา 435 ไมไ่ ดก้ ล่าวรวมถึงผทู้ ีคาดวา่ จะไดร้ บั ความ
เสยี หายอันเกิดจากต้นไม้ หรอื ก่อไผด่ ว้ ย จงึ มปี ญหาวา่ จะนาํ มาตรา
435 มาใชป้ ระโยชนใ์ นเหตเุ ชน่ นไี ดห้ รอื ไม่ นกั วชิ าในสว่ นมากนนั ไดเ้ หน็
วา่ สามารถนํามาตรานมี าใชไ้ ดใ้ นกรณขี องต้นไม้ หรอื ก่อไผด่ ้วย โดย
อาศัยมาตรา 4 วรรคสาม ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มา
ปรบั ใชใ้ นฐานนะทีมาตรา 435 เปนบทใกล้เคียงอยา่ งยงิ

ความเสยี หายอันเกิดจากของตกหล่น
หรอื ทิงขวางไปตกในทีอันไมค่ วร

มาตรา 436 บุคคลผอู้ ยูใ่ นโรงเรอื นต้องรบั ผดิ ชอบในความ
เสยี หายอันเกิดเพราะของตกหล่นจากโรงเรอื นนนั หรอื เพราะทิง
ขวา้ งของไปตกในทีอันมคิ วร

คําวา่ “โรงเรอื น” หมายถึง โรงเรอื นทีอยูอ่ าศัยเท่านนั ดงั นนั “ผู้อยูใ่ น
โรงเรอื น” จงึ หมายถึง เจา้ ของบา้ น หรอื หวั หนา้ ครอบครวั เท่านัน

สาเหตขุ องการเสยี หาย พจิ ารณาได้ 2 กรณี

1. กรณขี องตกหล่นจากโรงเรอื น ไมใ่ ชก่ รณกี ารชาํ รดุ บกพรอ่ ง หรอื การ
บาํ รงุ รกั ษาไมเ่ พยี งพอ แต่เปนการตกหล่นซงึ อาจเกิดโดยธรรมชาติ
หรอื เพราะเหตใุ ดก็ได้ โดยทีไมม่ กี ารกระทําของบุคคลเขา้ มาเกียวขอ้ ง
และตัวผเู้ สยี หายเองนนั จะอยูข่ า้ งในหรอื นอกโรงเรอื นก็ยอ่ มได้
2. กรณีการทิงขวา้ งของไปตกในทีอันมคิ วร เปนกรณีทีมบี ุคคลเขา้ มา
เกียวขอ้ ง และบุคคลนนั ทิงขวา้ งของไปตกในทีอันมคิ วร

บุคคลผู้รบั ผิด

1. ผอู้ ยูใ่ นโรงเรอื นจะต้องรบั ผดิ ตามมาตรา 436 ในกรณที ีหาผกู้ ระทํา
ผดิ ไมไ่ ด้ ถึงแมผ้ อู้ ยูใ่ นโรงเรอื นจะได้กระทําหรอื ไมก่ ระทําก็ตาม เพราะ
กฎหมายไมไ่ ดก้ ําหนดใหผ้ อู้ ยูใ่ นโรงเรอื นมสี ทิ ธพิ สิ จู นห์ กั ล้างความรบั ผดิ
ได้ ผอู้ ยูใ่ นโรงเรอื นจงึ ต้องรบั ผดิ เพยี งผเู้ ดยี ว แต่หากวา่ ขอ้ เท็จจรงิ
สามารถบง่ ชไี ดว้ า่ ผใู้ ดเปนผทู้ ําของตกหล่น หรอื ทิงขวางของไปในทีอันมิ
ควร บุคคลนันยอ่ มรบั ต้องผดิ ตามหลักมาตรา 420 ไมต่ ้องพจิ ารณาถึง
มาตรา 436

ตามมาตรา 436 ไมไ่ ด้บญั ญัติถึงการทีผอู้ ยูใ่ นโรงเรอื นสามารถใชส้ ทิ ธไิ ล่
เบยี แก่ใครได้

ความเสยี หายอันเกิดจากยานพาหนะอัน
เดินด้วยเครอื งจกั รกล และทรพั ยอ์ ันตราย

มาตรา 437 บุคคลใดครอบครองหรอื ควบคมุ ดแู ลยานพาหนะ
อยา่ งใด ๆ อันเดินด้วยกําลังเครอื งจกั รกล บุคคลนนั จะต้องรบั ผดิ
ชอบเพอื การเสยี หายอันเกิดแต่ยานพาหนะนัน เวน้ แต่จะพสิ จู นไ์ ด้
วา่ การเสยี หายนันเกิดแต่เหตสุ ดุ วสิ ยั หรอื เกิดเพราะความผิดของ
ผตู้ ้องเสยี หายนนั เอง

ความขอ้ นีให้ใชบ้ งั คับได้ตลอดถึงบุคคลผูม้ ไี วใ้ นครอบครอง
ของตน ซงึ ทรพั ยอ์ ันเปนของเกิดอันตรายได้โดยสภาพ หรอื โดย
ความมุง่ หมายทีจะใช้ หรอื โดยอาการกลไกของทรพั ยน์ นั ด้วย

สาเหตแุ ห่งความเสยี หาย พจิ ารณาได้ 2 กรณี

1. ยานพาหนะทีเดินด้วยเครอื งกล อาจเปนรถยนต์ รถจกั รยานยนต์
เครอื งไฟฟา เปนต้น ซงึ ความเสยี หายนันต้องเกิดในระหวา่ งทียานพาหนะ
กําลังเดนิ เครอื งดว้ ยเครอื งจกั รกลฝายเดียว และความเสยี หายนนั ต้อง
ไมไ่ ดเ้ กิดจากบุคคลแต่อยา่ งใด

2. ทรพั ยอ์ ันตราย ตามมาตรา 437 วรรคสอง พจิ ารณาได้ 3 ประเภท
2.1 ทรพั ยอ์ ันตรายโดยสภาพ เชน่ แก๊ส ไฮโดรเจนเหลว นาํ กรด ลกู
ระเบดิ กระแสไฟฟา เปนต้น
2.2 ทรพั ยอ์ ันตรายโดยความมุง่ หมายทีจะใช้ โดยสภาพแล้วไมเ่ กิด
อันตรายแต่โดยการใชน้ ันทําใหเ้ กิดอันตรายขนึ เชน่ พลุ ประทัด ปน
บงั ไฟ หรอื สารเคมตี ่างๆ เปนต้น
2.3 ทรพั ยอ์ ันตรายโดยกลไกของทรพั ย์ หมายถึง เครอื งจกั รกล
ต่างๆ ทีไมใ่ ชย่ านพาหนะตามมาตรา 437 วรรคแรก เชน่ เครอื งยนต์
เครอื งจกั ร เครอื งไฟฟา บนั ไดเลือน ลิฟต์ เปนต้น

บุคคลผู้รบั ผิด

กฎหมายไดก้ ําหนดวา่ บุคคลใดบุคคลหนงึ เปนผรู้ บั ผดิ เท่านนั

1. ผคู้ วบคมุ ยานพาหนะ หมายถึง ผยู้ ดึ หรอื ถือครอบครองยานพาหนะ
ในขณะเกิดความเสยี หาย โดยปกติได้แก่เจา้ ของ หรอื ผคู้ รอบครอง
เจา้ ของ
2. ผคู้ รอบครองยานพาหนะทีเดินด้วยเครอื งจกั รกล หรอื ผคู้ รอบ
ครองทรพั ยอ์ ันตราย หมายรวมถึง ผขู้ บั ยานพาหนะควบคมุ ดแู ลให้
เคลือนทีไป

ขอ้ ยกเวน้ ความรบั ผิด

1. เหตสุ ดุ วสิ ยั ตามมาตรา 8 หมายถึงเหตกุ ารณท์ ี ทีไดใ้ ชค้ วาม
ระมดั ระวงั ในการปองกันแล้ว แต่ก็ยงั ไมอ่ าจหลีกเลียงใหเ้ กิดเหตเุ ชน่
นนั ได้ หากเปนเรอื งทีเกิดจากอาการกลไกของเครอื งยนต์เองนนั ไม่
ถือวา่ เปนเหตสุ ดุ วสิ ยั เพราะเปนเหตทุ ีอาจปองกันได้หากใชค้ วาม
ระมดั ระวงั ดว้ ยการตรวจสอบความสามารถในการใชง้ านของพาหนะ
เชน่ รถเบรกแตก ยางระเบดิ ล้อหลดุ พวงมาลัยหลดุ เปนต้น

2. ความผดิ ของผเู้ สยี หายเอง อันเปนความผดิ ของฝายผเู้ สยี หายที
ทําใหค้ วามเสยี หายนนั เกิดขนึ เชน่ ผเู้ สยี หายกระโดดตัดหนา้ รถยนต์
โดยกระชนั ชดิ

การกําหนดค่าสนิ ไหมทดแทน

ค่าสนิ ไหมทดแทน คือ การชดใชค้ วามเสยี หายอันเกิดจากการก
ระทําละเมดิ โดยการคืนทรพั ยส์ นิ อันผเู้ สยี หายไดเ้ สยี หายไปหรอื ใช้
ราคาทรพั ยส์ นิ นนั ในเมอื ไมอ่ าจคืนทรพั ยส์ นิ ไดร้ วมทังค่าเสยี หาย
อยา่ งใดๆ เพอื ใหผ้ เู้ สยี หายไดก้ ลับคืนสฐู่ านะเดมิ หรอื ใกล้เคียงกับ
ฐานะเดมิ เท่าทีจะสามารถทําได้

ประเภทของค่าเสยี หาย แบง่ ได้เปน 2 กรณี

1. ค่าเสยี หายแบบค่าสนิ ไหมทดแทน (Compensatory Damage)
คือ ค่าเสยี หายทีเกิดกับผเู้ สยี หายจรงิ ซงึ ผกู้ ระทําละเมดิ จะต้องชดใชใ้ ห้
แก่ผเู้ สยี หายเปนการเยยี วยา ความ เสยี หายนนั โดยมจี ุดมุง่ หมายเพอื ให้
ผเู้ สยี หายกลับคืนสฐู่ านะเดมิ ก่อนมกี ารละเมดิ ใหไ้ ดม้ ากทีสดุ ค่าเสยี หาย
ประเภทนมี ที ังค่าเสยี หายทีคํานวณเปนเงินไดแ้ ละค่าเสยี หายทีคํานวณ
เปนเงินไมไ่ ด้
2. ค่าเสยี หายเชงิ ลงโทษ (Punitive Damage)
คือ ค่าเสยี หายซงึ เกิดขนึ เพมิ เติมจากความเสยี หายและนอกเหนือจากค่า
สนิ ไหมทดแทน โดยมจี ุดมุง่ หมายเพอื ปองปราม การกระทําละเมดิ ทีมี
พฤติการณร์ นุ แรง

"ค่าสนิ ไหมทดแทนทีเรยี กรอ้ งได้ อาจมที ีมาจากแหล่งอืน
นอกเหนอื จากกฎหมายละเมดิ เชน่ ค่าสนิ ไหมทดแทนกรณีผดิ
สญั ญา ค่าสนิ ไหมทดแทนตามสญั ญาประกันภัย ตามกฎหมาย
ลักษณะหนี กฎหมายแรงงาน เปนต้น ในทีนีจะกล่าวเฉพาะค่า
สนิ ไหมทดแทนคดีละเมดิ เท่านนั ดังได้กล่าวแล้ววา่ การชดใช้
ค่าสนิ ไหมทดแทนนนั มวี ตั ถปุ ระสงค์เพอื ให้ผ้เู สยี หายกลับคืนสู่
ฐานะเดิมเสมอื นหนึงวา่ มไิ ด้มกี ารละเมดิ เกิดขนึ เลย ซงึ ถือวา่
เปนหลักสากลทีหลายประเทศยงั ถืออยูใ่ นปจจุบนั "

จุดเรมิ ต้นของการเรยี กค่าเสยี หายทางละเมดิ
แยกเปน 2 กล่มุ คือ Civil Law และ Common Law

กล่มุ ประเทศทีใชก้ ฎหมาย Civil law การเรยี กค่าเสยี หายมจี ุด
กําเนดิ มาจากประมวลกฎหมายแพง่ ของโรมนั (Corpus juris
civilis) ซงึ ใชท้ ฤษฎีวา่ ด้ายหนี (Theory of obligations) บญั ญตั ิให้
ละเมดิ เปนหนอี ยา่ งหนึงซงึ ต้องมกี ารชดใชก้ ัน เพอื ทดแทนความ
เสยี หายและใหผ้ เู้ สยี หายได้กลับคืนสฐู่ านะใกล้เคียงสภาพเดิมมาก
ทีสดุ
กล่มุ ประเทศทีใชก้ ฎหมาย Common law การเรยี กค่าเสยี หาย
จะใชใ้ นเฉพาะเรอื งเฉพาะคดเี ท่านนั โดยจุดเรมิ ต้นของการเรยี กค่า
เสยี หายมที ีมาจากการออกหมายเรยี กเฉพาะคดี ซงึ รวมทังหมาย
เรยี กคดลี ะเมดิ (Write of tresspass) ดว้ ย แต่ความคิดของกล่มุ
ประเทศนมี ไิ ดถ้ ือวา่ การละเมดิ เปนประเภทแหง่ หนี หากแต่ถือเปน
ความผดิ อันควรจะไดร้ บั การลงโทษ ดงั นนั ค่าเสยี หายจงึ มกั จะถกู
กําหนดโดยไมค่ ํานงึ ถึงความเสยี หายทีผเู้ สยี หายได้รบั

อยา่ งไรก็ดี ปรากฏวา่ ในทางปฏิบตั ิแล้ว ทังสองกล่มุ ต่างก็
พยายามทีจะทําให้การกําหนดค่าเสยี หายเปนไปโดยคํานงึ ถึง
ความเปนธรรมแก่ผเู้ สยี หายให้มากทีสดุ สว่ นการทีจะ
กําหนดโทษหรอื ค่าเสยี หายอืนๆ เพมิ ขนึ เพอื เปนการลงโทษ
หรอื ปลอบขวญั ผเู้ สยี หายก็เปนเรอื งแล้วแต่คดีไปอีกเรอื ง
หนงึ

สาํ หรบั ประเทศไทย การเรยี กค่าเสยี หายเปนไปตามทีกฎหมาย
กําหนดให้เรยี กได้เท่านัน ความเสยี หายอืนนอกเหนอื กวา่ นนั ยอ่ ม
ไมอ่ าจเรยี กรอ้ งได้ ทังนีเพราะการตีความตามกฎหมายต้อง
ตีความตามตัวอักษรไทย

ค่าสนิ ไหมทดแทนทีกฎหมายเรยี กรอ้ งได้ มอี ยู่ 6 ประเภทคือ

1. ค่าสนิ ไหมทดแทนเพอื ความเสยี หายแก่ทรพั ยส์ นิ
(มาตรา 438 วรรคสอง)
2. ค่าสนิ ไหมทดแทนเพอื ความเสยี หายแก่ชวี ติ
(มาตรา 443 และ 445)
3. ค่าสนิ ไหมทดแทนเพอื ความเสยี หายแก่รา่ งกายและ
อนามยั (มาตรา 444 ถึง 446)
4. ค่าสนิ ไหมทดแทนเพอื ความเสยี หายแก่เสรภี าพ
(มาตรา 445 และ 446)
5. ค่าสนิ ไหมทดแทนเพอื ความเสยี หายแก่ชอื เสยี ง
(มาตรา 447)
6. ค่าสนิ ไหมทดแทนเพอื ความเสยี หายแก่สทิ ธอิ ืนๆ
(มาตรา 438)

ความเสยี หายในแต่ละประเภทจะเรยี กค่าสนิ ไหม
ทดแทนเฉพาะเรอื งทีกฎหมายกําหนดไวใ้ ห้เท่านัน

ค่าสนิ ไหมทดแทนเพอื ความเสยี หายแก่ทรพั ยส์ นิ
มาตรา 438 วรรคสอง

มาตรา 438 วรรคสอง อนงึ ค่าสนิ ไหมทดแทนนนั ได้แก่การ
คืนทรพั ยส์ นิ อันผูเ้ สยี หายต้องเสยี ไปเพราะละเมดิ หรอื ใชร้ าคา
ทรพั ยส์ นิ นนั รวมทังค่าเสยี หายอันจะพงึ บงั คับให้ใชเ้ พอื ความ
เสยี หายอยา่ งใด ๆ อันได้ก่อขนึ นนั ด้วย

หากพจิ ารณาถ้อยคําในมาตราดงั กล่าวแล้วอาจทําใหเ้ ขา้ ใจไปได้วา่
ค่าสนิ ไหมทดแทนเพอื ละเมดิ มเี พยี ง 3 ประการ คือ การคืนทรพั ย์ การ
ใชร้ าคาทรพั ย์ และค่าเสยี หาย ดงั ทีบญั ญตั ิไวใ้ น ปพพ. มาตรา 438
วรรคสองเท่านนั แท้จรงิ แล้วคําวา่ “ไดแ้ ก่” ในบทบญั ญตั ิดงั กล่าวนนั
ตัวบทฉบบั ภาษาอังกฤษใชค้ ําวา่ “may include” ซงึ แปลวา่ “อาจหรอื
ยอ่ มรวมถึง” มาตรา 438 วรรคสองนจี งึ เปนเพยี งการยกตัวอยา่ งการ
ชดใชค้ ่าสนิ ไหมทดแทนหรอื การเยยี วยาความเสยี หายทีเกิดจากการ
ละเมดิ เท่านัน

ค่าสนิ ไหมทดแทนเพอื ความเสยี หายแก่ชวี ติ

มาตรา 443 และ 445

สทิ ธใิ นการเรยี กค่าสนิ ไหมทดแทนจากการถกู กระทําละเมดิ จะต้อง
พจิ ารณาจากพฤติการณแ์ ละความรา้ ยแรงของละเมดิ ในแต่ละกรณี ซงึ
อาจแบง่ ไดเ้ ปน 2 กรณหี ลัก คือ กรณีละเมดิ แล้วทําใหผ้ เู้ สยี หายถึงแก่
ความตาย และ กรณลี ะเมดิ ต่อรา่ งกายหรอื เสรภี าพและอนามยั ของบุคคล

ค่าสนิ ไหมทดแทนแก่ความเสยี หายต่อชวี ติ ตามมาตรา 443 และมาตรา
445 สามารถแยกตามลักษณะของค่าสนิ ไหมทดแทน ไดด้ งั นี
1. ค่าปลงศพ (มาตรา 443 วรรคแรก) ชดใชแ้ ก่ทายาท ซงึ ในกรณที ีเปน
บุตรนอกกฎหมาย บดิ าต้องรบั รองโดยพฤติการณแ์ ล้ว
2. ค่าใชจ้ า่ ยอันจาํ เปนในอืนๆ เกียวกับการจดั การศพ
(มาตรา 443 วรรคแรก) ชดใชแ้ ก่ทายาท
3. ค่ารกั ษาพยาบาลก่อนตาย (มาตรา 443 วรรคสอง) ชดใชแ้ ก่ทายาท
4. ค่าขาดประโยชนท์ ํามาหาได้ก่อนตาย (มาตรา 443 วรรคสอง) ชดใช้
แก่ทายาท
5. ค่าขาดไรอ้ ุปการะ (มาตรา 443 วรรคท้าย) ชดใชแ้ ก่บุคคลซงึ ผตู้ าย
มหี นา้ ทีต้องอุปการะไวต้ ามกฎหมาครอบครวั
6. ค่าชดใชข้ าดแรงงาน (มาตรา 445) ชดใชแ้ ก่บุคคลภายนอก

มาตรา 443 ในกรณีทําให้เขาถึงตายนนั ค่าสนิ ไหมทดแทนได้แก่
ค่าปลงศพรวมทังค่าใชจ้ า่ ยอันจาํ เปนอยา่ งอืน ๆ อีกด้วย

ถ้ามไิ ด้ตายในทันที ค่าสนิ ไหมทดแทนได้แก่ค่ารกั ษาพยาบาล
รวมทังค่าเสยี หายทีต้องขาดประโยชนท์ ํามาหาได้เพราะไมส่ ามารถ
ประกอบการงานนนั ด้วย

ถ้าวา่ เหตทุ ีตายลงนนั ทําให้บุคคลหนงึ คนใดต้องขาดไรอ้ ุปการะ
ตามกฎหมายไปด้วยไซร้ ท่านวา่ บุคคลคนนนั ชอบทีจะได้รบั ค่า
สนิ ไหมทดแทนเพอื การนนั

ค่าสนิ ไหมทดแทนแก่ความเสยี หายต่อชวี ติ ตามมาตรา 443

1. ค่าปลงศพ
ค่าปลงศพ หมายถึง ค่าใชจ้ า่ ยในการจดั การศพตามประเพณขี องผู้
ตาย ซงึ จา่ ยไปตามสมควรและตามความเปนจรงิ และตามฐานะของผู้
ตาย ชดใชแ้ ก่ทายาท ซงึ ในกรณที ีเปนบุตรนอกกฎหมาย บดิ าต้อง
รบั รองโดยพฤติการณแ์ ล้ว
เงือนไขทีพงึ ระวงั คือ ต้องเปนค่าใชจ้ า่ ยก่อนจะปลงศพเสรจ็ เรยี บรอ้ ย
ดงั นนั หากปลงศพไปก่อน ค่าใชจ้ า่ ยตอนทําบุญรอ้ ยวนั ศาลไมใ่ ห้ เพราะ
ไดป้ ลงศพไปแล้วแต่ถ้าเก็บศพไวแ้ ล้วเผาทีหลังก็สามารถเรยี กรอ้ งค่า
สนิ ไหมในการปลงศพไวล้ ่วงหนา้ ได้
2. ค่าใชจ้ า่ ยอันจาํ เปนในอืนๆ เกียวกับการจดั การศพ
ค่าใชจ้ า่ ยต้อง “จาํ เปน” ถ้าเกินจาํ เปน ศาลก็จะไมใ่ ห้
3. ค่ารกั ษาพยาบาลก่อนตาย
คือ ค่ารกั ษาพยาบาล ค่าเสยี หายทีต้องขาดประโยชนท์ ํามาหาไดเ้ พราะ
ไมส่ ามารถประกอบการงาน และค่ารกั ษาพยาบาลก่อนตาย หมายรวม
ถึง ค่ารกั ษา ค่าหอ้ ง และค่าอุปกรณด์ ้วย

4. ค่าขาดประโยชนท์ ํามาหาได้ก่อนตาย
คือ ประโยชนท์ ีผเู้ สยี หายจะไดร้ บั จากการทํางานตามปกติ หมายรวมถึง
การเสยี โอกาสทีสามารถพสิ จู นไ์ ดอ้ ยา่ งชดั เจนแมม้ ใิ ชเ่ งิน แต่สามารถ
กําหนดสนิ ไหมทดแทนได้ ค่าเสยี หายใหน้ บั ตังแต่เกิดละเมดิ ไปจนถึง
ระหวา่ งรกั ษาพยาบาลจนถึงก่อนตาย หากเปนความเสยี หายทีเกิดขนึ
หลังจากตายนนั ต้องพจิ ารณาตามมาตรา 445 ค่าเสยี หายกรณที ําให้
ถึงตาย
5. ค่าขาดไรอ้ ุปการะ
หมายถึง ค่าสนิ ไหมทดแทนทีผทู้ ําละเมดิ ใหแ้ ก่บุคคลซงึ ผตู้ ายมหี นา้ ที
ต้องอุปการะไวต้ ามกฎหมายครอบครวั โดยไมจ่ าํ ต้องพจิ ารณาวา่ ใน
ทางขอ้ เท็จจรงิ จะไดม้ กี ารอุปการะกันหรอื ไม่ และไมจ่ าํ เปนต้อง
พจิ ารณาวา่ ผตู้ ายมรี ายไดห้ รอื ไม่ มหี ลักเกณฑ์ 3 ประการคือ
1. ผถู้ กู ทําละเมดิ จะต้องไดถ้ ึงแก่ความตายเท่านนั
2. ผถู้ กู ทําละเมดิ มหี นา้ ทีต้องอุปการะเลียงดบู ุคคลตามกฎหมาย
ครอบครวั
3. ความตายทําใหบ้ ุคคลนนั ต้องขาดไรอ้ ุปการะ
6. ค่าชดใชข้ าดแรงงาน

ผมู้ สี ทิ ธเิ รยี กค่าปลงศพและค่าใชจ้ า่ ยจาํ เปน ตามมาตรา 443
1. ทายาททีมสี ทิ ธเิ รยี กรอ้ งตามกฎหมาย คือ ผซู้ งึ มหี นา้ ทีตาม
ม.1649 ในการจดั การศพ
2. ผจู้ ดั การทําศพซงึ เจา้ มรดกตังตามพนิ ยั กรรม ม.1647
3. ภรยิ าทีชอบด้วยกฎหมาย หรอื บุตรชอบด้วยกฎหมาย
4. บุตรนอกกฎหมายทีบดิ ารบั รองแล้ว มสี ทิ ธเิ รยี กค่าปลงศพใน
ฐานะทายาท

มาตรา 445 ในกรณีทําให้เขาถึงตาย หรอื ให้เสยี หายแก่รา่ งกาย
หรอื อนามยั ก็ดี ในกรณีทําให้เขาเสยี เสรภี าพก็ดี ถ้าผู้ต้องเสยี หายมี
ความผกู พนั ตามกฎหมายจะต้องทําการงานให้เปนคณุ แก่บุคคล
ภายนอกในครวั เรอื น หรอื อุตสาหกรรมของบุคคลภายนอกนนั ไซร้
ท่านวา่ บุคคลผู้จาํ ต้องใชค้ ่าสนิ ไหมทดแทนนนั จะต้องใชค้ ่าสนิ ไหม
ทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกเพอื ทีเขาต้องขาดแรงงานอันนนั ไป
ด้วย

มาตรา 445 กําหนดใหจ้ าํ เลยจา่ ยชดใชส้ นิ ไหมทดแทนแก่บุคคล
ภายนอก กรณที ีการทําละเมดิ ทําใหบ้ ุคคลภายนอกขาดแรงงานจาก
การ ตาย หรอื เสยี หายแก่รา่ งกาย หรอื อนามยั หรอื เสยี เสรภี าพของผู้
เสยี หาย

มาตรานรี บั รองสทิ ธขิ องผไู้ ดป้ ระโยชนจ์ ากแรงงานของผถู้ กู ละเมดิ
ทีมคี วามผกู พนั ตามกฎหมายจะต้องทํางานใหเ้ ปนคณุ แก่ “บุคคล
ภายนอกในครวั เรอื น” หรอื “อุตสาหกรรมของบุคคลภายนอก”

ค่าขาดแรงงานต่อบุคคลภายนอกตามมาตรา 445
1. ค่าขาดแรงงานในครวั เรอื น ตังอยูบ่ นความผกู พนั เชงิ สทิ ธ-ิ หนา้ ที
ในครอบครวั สามี ภรยิ า บดิ ามารดา-บุตร
2. ค่าขาดแรงงานในอุตสาหกรรม กรณีนเี ปนความผกู พนั ตาม
กฎหมายทีต้องทําการงานในอุตสาหกรรมใหบ้ ุคคลภายนอก ผเู้ สยี หาย
ไมไ่ ดท้ ําการงานให้ แต่บุคคลภายนอกกลับจะต้องเสยี ค่าใชจ่ า่ ยไป
สาํ หรบั บุคคลนนั โดยไมไ่ ด้รบั แรงงานตอบแทนเลย ดงั นนั มาตรา 445
จงึ ใหส้ ทิ ธบิ ุคคลภายนอกฟองเรยี กค่าขาดแรงงานในอุตสาหกรรมได้
และมาตรา 445 ยงั รวมถึงความผกู พนั ตามขอ้ ตกลงหรอื สญั ญาด้วย

ขอ้ สงั เกตเกียวกับค่าขาดแรงงาน
- บุตรอายุ 19 ป มใิ ชแ่ รงงานในการขบั รถยนต์ของบา้ น เรยี กค่า
ขาดแรงงานไมไ่ ด้
- อุตสาหกรรมของบุคคลภายนอก เชน่ นายจา้ ง ถ้าลกู จา้ งถึงแก่
ความตาย สญั ญาจา้ งยอ่ มระงับลง นายจา้ งเรยี กรอ้ งตามมาตรานี
ไมไ่ ด้

ค่าสนิ ไหมทดแทน
เพอื ความเสยี หายแก่รา่ งกายและอนามยั

มาตรา 444 ถึง 446

ค่าสนิ ไหมทดแทนเพอื ความเสยี หายต่อรา่ งกายและอนามยั นัน
กฎหมายบญั ญตั ิไว้ 3 มาตราดว้ ยกัน คือ มาตรา 444 มาตรา 445
และมาตรา 446 และทัง 3 มาตรานสี ามารถจาํ แนกได้ 5 ประการดงั นี
1. ค่าใชจ้ า่ ยทีตนต้องเสยี ไป ตามมาตรา 444
2. ค่าขาดประโยชนท์ ํามาหากินไดร้ ะหวา่ งเจบ็ ปวย ตามมาตรา 444
3. ค่าเสยี ความสามารถประกอบการงานในอนาคต ตามมาตรา 444
4. ค่าชดใชข้ าดการงานของบุคคลภายนอก ตามมาตรา 445
5. ค่าความเสยี หายอยา่ งอืนอันมใิ ชต่ ัวเงิน ตามมาตรา 446

มาตรา 444 ในกรณีทําให้เสยี หายแก่รา่ งกายหรอื อนามยั นนั ผู้
ต้องเสยี หายชอบทีจะได้ชดใชค้ ่าใชจ้ า่ ยอันตนต้องเสยี ไป และค่า
เสยี หายเพอื การทีเสยี ความสามารถประกอบการงานสนิ เชงิ หรอื
แต่บางสว่ น ทังในเวลาปจจุบนั นนั และในเวลาอนาคตด้วย

ถ้าในเวลาทีพพิ ากษาคดี เปนพน้ วสิ ยั จะหยงั รูไ้ ด้แนว่ า่ ความเสยี
หายนนั ได้มแี ท้จรงิ เพยี งใด ศาลจะกล่าวในคําพพิ ากษาวา่ ยงั สงวน
ไวซ้ งึ สทิ ธทิ ีจะแก้ไขคําพพิ ากษานนั อีกภายในระยะเวลาไมเ่ กินสองป
ก็ได้

มาตรา 444 เปนบทบญั ญัติทีกําหนดค่าสนิ ไหมทดแทนในค่าใชจ้ า่ ย
อันตนต้องเสยี ไป แต่ก็มไิ ด้บญั ญตั ิไวช้ ดั เจนวา่ หมายถึงค่าใชจ้ า่ ยอันใด
แต่เมอื พเิ คราะหเ์ ปนเรอื งเสยี หายต่อรา่ งกายหรอื อนามยั แล้ว จงึ พอที
จะเหน็ ไดว้ า่ นา่ จะหมายถึง ค่ารกั ษาพยาบาล และ ค่าใชจ้ า่ ยอันจาํ เปน
อืนๆ เนอื งจากการรกั ษาพยาบาลนนั

ค่ารกั ษาพยาบาล คือ ค่าใชจ้ า่ ยทีต้องเสยี ไปเพราะได้รบั ความเสยี
หายต่อรา่ งกาย ต่ออนามยั การทําใหเ้ นอื ตัวรา่ งกายทีบาดเจบ็ กลับคืน
สภาพปกติ เชน่ ค่ารกั ษา ค่ายา ค่าเลือดหรอื นาํ เกลือ ค่าเอกซเรย์
เปนต้น อนงึ ค่ารกั ษาพยาบาลทีจะต้องเสยี ต่อไปอยา่ งแนน่ อนใน
อนาคตก็เรยี กได้ดว้ ย

มาตรา 445 ในกรณีทําให้เขาถึงตาย หรอื ให้เสยี หายแก่รา่ งกาย
หรอื อนามยั ก็ดี ในกรณีทําให้เขาเสยี เสรภี าพก็ดี ถ้าผูต้ ้องเสยี หายมี
ความผกู พนั ตามกฎหมายจะต้องทําการงานให้เปนคณุ แก่บุคคล
ภายนอกในครวั เรอื น หรอื อุตสาหกรรมของบุคคลภายนอกนันไซร้
ท่านวา่ บุคคลผจู้ าํ ต้องใชค้ ่าสนิ ไหมทดแทนนนั จะต้องใชค้ ่าสนิ ไหม
ทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกเพอื ทีเขาต้องขาดแรงงานอันนันไป
ด้วย

ค่าชดใชข้ าดการงาน ตามบทบญั ญตั ิของมาตรา 445 กําหนดให้
จาํ เลยจา่ ยค่าชดใชส้ นิ ไหมทดแทนแก่บุคคลภายนอก กรณกี ารทํา
ละเมดิ ทําใหบ้ ุคคลภายนอกขาดแรงงานจากการตาย หรอื เสยี หายแก่
รา่ งกาย หรอื อนามยั หรอื เสรภี าพของผเู้ สยี หาย

มาตรา 446 ในกรณีทําให้เขาเสยี หายแก่รา่ งกายหรอื อนามยั ก็ดี
ในกรณีทําให้เขาเสยี เสรภี าพก็ดี ผ้ตู ้องเสยี หายจะเรยี กรอ้ งเอาค่า
สนิ ไหมทดแทนเพอื ความทีเสยี หายอยา่ งอืนอันมใิ ชต่ ัวเงินด้วยอีก
ก็ได้ สทิ ธเิ รยี กรอ้ งอันนีไมโ่ อนกันได้ และไมต่ กสบื ไปถึงทายาท เวน้
แต่สทิ ธนิ นั จะได้รบั สภาพกันไวโ้ ดยสญั ญาหรอื ได้เรมิ ฟองคดีตาม
สทิ ธนิ นั แล้ว

อนงึ หญงิ ทีต้องเสยี หายเพราะผใู้ ดทําผดิ อาญาเปนทรุ ศีลธรรม
แก่ตนก็ยอ่ มมสี ทิ ธเิ รยี กรอ้ งทํานองเดียวกันนี

มาตรา 446 เรยี กวา่ เปนค่าเสยี หายอันคํานวณออกมาเปนตัวเงิน
ไมไ่ ด้ แต่กฎหมายใหส้ ทิ ธผิ เู้ สยี หายเรยี กได้ โดยศาลจะเปนผกู้ ําหนดให้
ไดต้ ามพฤติการณแ์ ละความรา้ ยแรงของละเมดิ (ค่าเสยี หายตาม
มาตรา 446 นี อาจเรยี กไดอ้ ีกอยา่ งหนงึ วา่ “ค่าทําขวญั ” แมว้ า่ จะไม่
ตรงความหมายทีเดียวนกั )

ละเมดิ ต่อกาย คือ จะต้องทําใหร้ า่ งกายผดิ ไปจากปกติทีเคยเปนอยู่
เชน่ ทําใหแ้ ขนขาด ขาขาด ทําใหเ้ ปนคนพกิ าร หนา้ ตาเสยี โฉม ผมรว่ ง
ทังศีรษะหรอื กลายเปนคนพูดติดอ่าง ความเสยี หายเหล่านไี มส่ ามารถ
คิดเปนตัวเงินได้ แต่กรณเี หล้านีสามารถเรยี กค่าสนิ ไหมทดแทนได้
ถือวา่ เปนละเมดิ ต่อรา่ งกาย

ละเมดิ ต่ออนามยั การทําใหท้ นทกุ ขท์ รมาน เสยี ฆานประสาทไม่
สามารถรบั รูร้ ส กลิน เสยี งไดเ้ หมอื นเดมิ หรอื การทําใหเ้ สอื มสขุ ภาพ ก็
ถือวา่ เปนความเสยี หายอันมใิ ชตัวเงินซงึ เรยี กรอ้ งได้

ค่าสนิ ไหมทดแทนเพอื ความเสยี หายแก่เสรภี าพ
มาตรา 445 และ 446

กรณเี สยี หายแก่เสรภี าพ บทกฎหมายทีบญั ญตั ิไวม้ ี 2 มาตรา คือ
มาตรา 445 และ 446 ซงึ อาจแยกไดเ้ ปน 2 ประการ คือ ค่าชดใชข้ าด
การงาน และ ค่าเสยี หายอยา่ งอืนอันมใิ ชต่ ัวเงิน ซงึ ไดอ้ ธบิ ายไวแ้ ล้วใน
บทเรอื งความเสยี หายแก่รา่ งกาย หรอื อนามยั

ค่าสนิ ไหมทดแทนเพอื ความเสยี หายแก่ชอื เสยี ง
มาตรา 447

กรณที ีจะเรยี กค่าสนิ ไหมทดแทนตามมาตรา 447 นี ยอ่ มหมายถึง
การละเมดิ ต่อชอื เสยี งตามมาตรา 423 เพราะถ้าเปนการละเมดิ ตาม
มาตรา 420 ศาลยอ่ มสงั ใหต้ ามมาตรา 447 ไมไ่ ด้

มาตรา 447 บุคคลใดทําให้เขาต้องเสยี หายแก่ชอื เสยี ง เมอื ผู้
ต้องเสยี หายรอ้ งขอ ศาลจะสงั ให้บุคคลนนั จดั การตามควรเพอื
ทําให้ชอื เสยี งของผนู้ นั กลับคืนดีแทนให้ใชค้ ่าเสยี หาย หรอื ทังให้ใช้
ค่าเสยี หายด้วยก็ได้

ตามมาตรา 447 ให้เรยี กรอ้ งได้ 3 กรณี คือ
1. ใหใ้ ชค้ ่าเสยี หาย
2. ใหจ้ ดั การใหช้ อื เสยี งกลับคืนดี
3. ใหใ้ ชค้ ่าเสยี หายและใหจ้ ดั การใหช้ อื เสยี งกลับคืนดี

ซงึ เปนดลุ พนิ จิ ของศาลทีจะเลือกสงั อยา่ งใดก็ไดต้ ามควรแก่
พฤติการณแ์ ละความรา้ ยแรงแหง่ ละเมดิ ในทางปฏิบตั ิการใหช้ อื เสยี ง
กลับคืนดี ศาลมกั จะนาํ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 332 มาใช้
บงั คับโดยอนโุ ลม

ค่าสนิ ไหมทดแทนเพอื ความเสยี หายแก่สทิ ธอิ ืนๆ
มาตรา 438

มาตรา 438 ค่าสนิ ไหมทดแทนจะพงึ ใชโ้ ดยสถานใดเพยี งใดนัน
ให้ศาลวนิ จิ ฉยั ตามควรแก่พฤติการณ์และความรา้ ยแรงแห่งละเมดิ

อนงึ ค่าสนิ ไหมทดแทนนัน ได้แก่การคืนทรพั ยส์ นิ อันผเู้ สยี หาย
ต้องเสยี ไปเพราะละเมดิ หรอื ใชร้ าคาทรพั ยส์ นิ นนั รวมทังค่าเสยี
หายอันจะพงึ บงั คับให้ใชเ้ พอื ความเสยี หายอยา่ งใด ๆ อันได้ก่อขนึ
นนั ด้วย

กรณนี ศี าลจะเปนผวู้ นิ จิ ฉัยวา่ ผเู้ สยี หายไดร้ บั ค่าสนิ ไหมทดแทน
ประการใดโดยอาศัยมาตรา 438 มาวนิ จิ ฉัย เชน่ ไดร้ บั ความเสยี หาย
ต่อสทิ ธคิ รอบครอง ศาลยอ่ มสงั ใหป้ ลดเปลืองการรบกวนและเรยี กค่า
เสยี หายใหไ้ ด้ หรอื ไดร้ บั ความเสยี หายต่อสทิ ธใิ นการใชช้ อื สกลุ ชอื
เครอื งหมายการค้า ศาลสงั ใหเ้ พกิ ถอนการใชช้ อื สกลุ และเรยี กค่าเสยี
หายไดด้ ว้ ย

นิรโทษกรรม

นิรโทษกรรม

ผู้ทกี ระทําละเมดิ ตามมาตรา 420
คือ กระทาํ โดยสาํ นึก

ทําโดยจงใจหรอื ประมาทเลินเล่อ
ทาํ โดยมชิ อบด้วยกฎหมาย

จะต้องชดใชค้ ่าสนิ ไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหาย
เพอื เปนการเยยี วยาผเู้ สียหาย

ให้กลับสู่สภาพเดิมให้ได้มากทสี ดุ
แต่ด้วยเพราะเหตุผลพเิ ศษบางประการ
เปนสาเหตุให้ผู้กระทาํ ทีกระทําการนัน ๆ

ไม่ต้องรบั ผดิ ชดใชค้ ่าสินไหม
หรอื รบั ผดิ ชดใช้ค่าสินไหมอยา่ งจํากัด
เนืองจากเปนการกระทําทีไมม่ โี ทษ และกฎหมาย
ไมบ่ งั คับให้ต้องรบั ผดิ เรยี กว่า “นิรโทษกรรม”

นิรโทษกรรม

แบง่ ออกเปน 5 ประเภท
ดังนี

เปนการปองกันโดยชอบ เปนการกระทาํ ตามคําสัง
ด้วยกฎหมาย ทชี อบด้วยกฎหมาย
(มาตรา 449) (มาตรา 449)

เปนการทําลายทรพั ยส์ นิ เปนการปองกัน
เพอื ปองกันภัยฉกุ เฉิน เพอื ให้สมดังสิทธิ
(มาตรา 450)
(มาตรา 451)
เปนการจับและยดึ ทรพั ย์
ของผอู้ ืนไว้

เพอื ประกันความเสยี หาย
(มาตรา 452)

เปนการปองกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
(มาตรา 449)

การปองกันในทางละเมิดนัน มหี ลักเกณฑด์ ังต่อไปนี
- ผทู้ าํ ละเมิดมงุ่ หมายจะปองกันภยนั ตรายทเี กิดแก่

ตนเอง ทรพั ยข์ องตนเอง หรอื ภยนั ตรายทีมีแก่บุคคลอืน
โดยต้นเหตขุ อการปองกันของผลู้ ะเมดิ ต้องมาจากผู้อืน
ไมใ่ ชผ่ เู้ สยี หาย

- การปองกันนันจะต้องทําไปโดยสมควร มสี ันส่วนที
เหมาะสมกับเหตุ และความเสียหายทเี กิดขึนต้องเปนไป
ตามความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งการกระทําและผล

- ผทู้ าํ ละเมดิ ต้องทําละเมดิ โดยรูส้ าํ นึก และจงใจ
ประมาทเลินเล่อ และผตู้ ้องปองกันจะต้องไม่มีทางเลือก
อืน ไมเ่ ชน่ นันความเสยี หายจะเกิดแก่ตนเอง

- เปนการกระทาํ ทมี ชิ อบด้วยกฎหมาย คือไม่มสี ิทธทิ ี
จะทาํ ได้ แต่เมือปองกันไปแล้วเปนเหตใุ ห้ผอู้ ืนได้รบั
ความเสยี หาย และความเสยี หายนันจะต้องเกิดแก่ผอู้ ืน
ซงึ เปนผู้เสยี หาย ไมใ่ ชผ่ ูเ้ ปนต้นเหตุให้ปองกัน

เปนการปองกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
(มาตรา 449)

เชน่ นายดําเล็งปนไปทหี ัวนายขาว นายขาวจึงปา
ทอ่ นไมไ้ ปทมี อื นายดํา แต่ทอ่ นไมน้ ันกระเด็นไปฟาดโดน
หัวนายแดง แมก้ ารกระทาํ โดยปองกันดังกล่าวของนาย
ขาวจะเปนการกระทาํ โดยรูส้ าํ นึก จงใจและประมาท
เลินเล่อ แมจ้ ะเปนการปองกันทมี ิชอบด้วยกฎหมาย
แต่เปนการปองกันของนายขาวนันเปนการกระทาํ โดย
ปองกันไมใ่ ห้ภยนั ตรายมาสู่ตนเอง และเปนการปองกันที
สมควรแก่เหตุ นายขาวจึงไมต่ ้องรบั ผดิ ชดใชค้ ่าสนิ ไหม
ทดแทน และหากนายแดงต้องการเรยี กค่าสินไหม
ทดแทน ให้เรยี กเอากับนายดําผเู้ ปนต้นเหตุให้ปองกัน

สรุป หากการปองกันโดยละเมดิ นันครบหลัก
เกณฑท์ กี ล่าวมาขา้ งต้น ผปู้ องกันจะได้รบั การนิรโทษ
กรรม และหากผเู้ สยี หายต้องการจะเรยี กรอ้ งเอาค่า
สนิ ไหมทดแทน สามารถเรยี กเอาได้แก่ผู้เปนต้นเหตุ
ให้ต้องปองกัน มใิ ชผ่ ู้ทาํ การละเมดิ

เปนการกระทาํ ตามคําสัง
ทชี อบด้วยกฎหมาย (มาตรา 449)

การกระทาํ ตามคําสังของผทู้ าํ ละเมดิ นัน เปนการ
กระทาํ ทผี ูอ้ อกคําสงั ทมี อี ํานาจทางกฎหมาย ออกคําสังที
มชิ อบด้วยกฎหมาย และผรู้ บั คําสงั นําไปปฏิบัติโดยเขา้ ใจ
วา่ คําสงั นันชอบด้วยกฎหมาย แต่การกระทาํ นันสรา้ ง
ความเสยี หายให้แก่ผอู้ ืน ดังนันมาตรา 449 จึงยกเว้นมิให้
ผกู้ ระทาํ การละเมดิ โดยคําสงั นันต้องชดใช้ค่าสินไหมให้แก่
ผเู้ สยี หาย โดยให้ผเู้ สียหายไปเรยี กเอาค่าสินไหมกับผู้ออก
คําสงั ซงึ เปนต้นเหตแุ ทน

เชน่ นายดําเปนนายตํารวจชนั ผูใ้ หญ่ ออกคําสังให้
นายขาวไปจับตัวนายแดง นายขาวจึงปฏิบัติตามคําสัง
ของผมู้ อี ํานาจโดยเขา้ ใจวา่ เปนคําสังทชี อบด้วยกฎหมาย
แต่ขอ้ เทจ็ จรงิ คือนายดําเปนเพยี งอรกิ ับนายแดง นายแดง
เรยี กเอาค่าสนิ ไหมแค่นายขาวไม่ได้ แต่เรยี กเอากับนาย
ดําซงึ เปนต้นเหตไุ ด้

เปนการทาํ ลายทรพั ยส์ นิ เพือปองกัน
ภัยฉุกเฉิน (มาตรา 450)

พจิ ารณาได้ 3 กรณี ดังนี

- กรณีการทําให้บุบสลายหรอื ทาํ ลายทรพั ย์เพือ
ปองกันภัยสาธารณะทีมมี าโดยฉกุ เฉิน แม้การกระทาํ ดัง
กล่าวจะเปนการกระทาํ โดยละเมดิ คือ ทรพั ยข์ อง
ผเู้ สยี หายนันบุบสลายหรอื เปนการทําลายทรพั ยก์ ็ตาม
แต่ผูท้ าํ ละเมดิ นันทาํ ไปเพือปองกันภัยสาธารณะ
และสมควรแก่เหตุ ผทู้ ําละเมดิ จึงไมต่ ้องรบั ผดิ ชดใชค้ ่า
สนิ ไหมทดแทนแก่ผเู้ สยี หาย เพราะการรกั ษาประโยชน์
สว่ นรวมอยูเ่ หนือกวา่ ประโยชน์สว่ นตัว

เชน่ ไฟปาลามมาถึงบ้านนายดําทมี บี ้านนายขาว นาย
แดง และนายเทาอยู่ใกล้ ๆ นายเทาเห็นวา่ ไฟอาจจะลาม
ไปถึงบา้ นตนเองและอืน ๆ ได้ จึงนําเลือยไปตัดตัวเชอื ม
ระหว่างบา้ นนายดําและนายขาวออก แมก้ ารกระทาํ ของ
นายเทาจะเปนการกระทาํ โดยละเมดิ โดยทาํ ให้ทรพั ยเ์ สีย
หาย แต่เปนการทาํ ไปโดยปองกันภัยฉกุ เฉิน จึงไมต่ ้องรบั
โทษ

เปนการทาํ ลายทรพั ยส์ นิ เพือปองกัน
ภัยฉุกเฉิน (มาตรา 450)

- กรณีการทาํ ให้บุบสลายหรอื ทําลายทรพั ย์เพอื
ปองกันภัยเอกชนทมี มี าโดยฉกุ เฉิน จากกรณีนีเมอื ลอง
พจิ ารณาดแู ล้ว แมก้ ารกระทําของผทู้ าํ ละเมิดจะกระทาํ
โดยปองกันภัยทจี ะเกิดขนึ แต่ภัยนันเปนภัยเอกชน
ซงึ ผเู้ สยี หายและผไู้ ด้รบั ประโยชน์ก็เปนเอกชนด้วยกัน
ดังนัน ผ้ทู าํ ละเมิดในกรณีนีจําเปนต้องเสียค่าสนิ ไหม
ทดแทนแก่ผู้เสยี หายแมผ้ ูท้ ําละเมดิ จะทาํ ไปเพราะเหตุ
ฉกุ เฉินก็ตาม

เชน่ นายดําคยุ กับนายขาวทสี วนสาธารณะ สนุ ัขของ
นายเทาวงิ ไล่กัดนายแดง นายดําจึงหยบิ โทรศัพทข์ อง
นายขาวขวา้ งไปทสี นุ ัขเพือให้ความชว่ ยเหลือแก่นาย
แดง แม้การกระทาํ ดังกล่าวจะเปนการปองกันภัยทจี ะมี
ต่อนายแดงก็ตาม แต่ไมม่ เี หตจุ ําเปนอันใดทีนายขาวจะ
ต้องเสยี ทรพั ยไ์ ปเนืองจากเปนเอกชนเชน่ เดียวกับนาย
แดง ดังนันนายดําจึงต้องชดใช้ทรพั ยค์ ืนแก่นายแดง

เปนการทาํ ลายทรพั ยส์ นิ เพือปองกัน
ภัยฉุกเฉิน (มาตรา 450)

- กรณีการทาํ ลายทรพั ยเ์ พอื ปองกันภัยทที รพั ยน์ ัน
เองเปนเหตโุ ดยฉกุ เฉิน เปนการกระทาํ ทผี ูล้ ะเมิดทาํ ไป
โดยปองกันภัย จึงไมต่ ้องรบั ผดิ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
แก่ผเู้ สยี หาย

เชน่ นายดําคยุ กับนายขาวทีสวนสาธารณะ สุนัขของนาย
เทาวงิ ไล่กัดนายแดง นายดําจึงหยบิ โทรศัพท์ของนาย
ขาวขวา้ งไปทีสนุ ัขเพือให้ความชว่ ยเหลือแก่นายแดง ซงึ
สนุ ัขเปนทรพั ยข์ องนายเทา แมน้ ายดําจะละเมดิ โดยการ
ทาํ ลายทรพั ยข์ องนายเทา แต่เปนการทาํ ไปโดยปองกัน
ภัยให้แก่นายแดง ดังนันนายดําจึงไมต่ ้องชดใชค้ ่าสนิ ไหม
ทดแทนแก่นายเทา

เปนการปองกันเพอื ให้สมดังสิทธิ
(มาตรา 451)

กรณีดังกล่าวเปนกรณีทผี ทู้ าํ ละเมิดได้กระทาํ โดย
ความจําเปนเรง่ ด่วนทไี มอ่ าจหาวธิ ที ถี กู ต้องได้ทนั
แต่ทที าํ ไปนันเพอื ค้มุ ครองสทิ ธขิ องตนเอง ดังนันผลของ
การปองกันดังกล่าวจึงไมม่ โี ทษ เนืองจากกฎหมาย
ยกเว้นโทษให้ไมต่ ้องชดใชค้ ่าสินไหมทดแทนความเสยี
หายแก่ผเู้ สยี หาย เพราะกฎหมายเห็นว่าไม่มวี ธิ อี ืนแล้ว

เชน่ นายดําขบั รถไปส่งนางขาวหญงิ ชราพรอ้ ม
สมั ภาระมากมาย เมอื ถึงทพี กั นายดําขอให้นางขาวไป
เปดประตรู วั ให้ เมอื นางขาวเปดประตูรวั ให้นายดําจึง
ถอยรถเขา้ บา้ นนางขาว แต่นางขาวยงั มิทันได้นํา
สมั ภาระออกมาจากรถ นายดําก็ขบั รถออกไป เปนเหตุ
ให้นางขาวต้องขบั รถไปดัก วธิ ขี องนางขาวแมจ้ ะ
เปนการละเมดิ แต่กฎหมายเห็นวา่ ไมม่ ที างอืนแล้ว และ
เปนการปองกันสทิ ธขิ องนางขาวเองด้วย

เปนการจับและยดึ ทรพั ยข์ องผอู้ ืนไว้
เพอื ประกันความเสยี หาย (มาตรา 452)

มหี ลักเกณฑ์ ดังนี
- สตั ว์ของผอู้ ืนเขา้ มาในอสงั หารมิ ทรพั ย์คือทีดิน
หรอื บา้ น สตั ว์เหล่านันอาจจะเปน สนุ ัข แมว จระเข้ เสือ
งู ฯลฯ เนืองจากอสงั หารมิ ทรพั ยเ์ ปนเขตหวงกันที
ชดั เจน ไมใ่ ชใ่ ครจะปล่อยสัตวข์ องตนออกไปก่อความ
เสยี หายในเขตหวงกันได้ และสตั วน์ ันได้ก่อความเสีย
หายให้แก่อสงั หารมิ ทรพั ย์ เชน่ เขา้ ไปอาระวาด
- ผคู้ รอบครองอสงั หารมิ ทรพั ยส์ ามารถจับ ยึด และ
ฆา่ สตั ว์ได้ ผคู้ รองในทนี ีให้หมายความรวมถึงผู้ทีอยู่ใน
อสงั หารมิ ทรพั ย์ด้วย เชน่ ภรรยาเจ้าของ ลกู ชายซงึ
บรรลนุ ิติภาวะแล้ว หรอื แมบ่ ้านเปนต้น ถือว่าบุคคล
เหล่านีสามารถทาํ แทนผู้ครองได้ เพราะความมงุ่ หมาย
คือหยุดความเสยี หายในอสงั หารมิ ทรพั ย์ทีเกิดจากสตั ว์
- ผคู้ รองอสงั หารมิ ทรพั ยจ์ ะต้องแจ้งให้เจ้าของสตั ว์
ทราบว่าตนนันได้จับ ยดึ และฆ่าสตั วข์ องเขาเสียแล้ว
หรอื ออกตามหาตัวเจ้าของ

เปนการจับและยดึ ทรพั ยข์ องผอู้ ืนไว้
เพอื ประกันความเสยี หาย (มาตรา 452)

เชน่ สนุ ัขของนายดําเขา้ ไปขโมยกินไก่ในบ้านนาย
ขาว นายขาวจึงฆา่ สนุ ัขตาย แต่นายขาวจําต้องแจ้งให้
นายดํารูโ้ ดยไมช่ ักชา้ วา่ ตนฆา่ สนุ ัขของนายดํา
ดังนันนายขาวจึงไมต่ ้องรบั ผดิ ชดใชค้ ่าสนิ ไหมทดแทน
ให้แก่นายดํา

สรุป ผคู้ รองอสงั หารมิ ทรพั ยท์ ที าํ ละเมดิ กับ
ทรพั ยข์ องผู้อืนนันไมต่ ้องรบั ผิดชดใชค้ ่าสนิ ไหม
ทดแทน ยกเวน้ กรณีทผี คู้ รองไมแ่ จ้งให้แก่เจ้าของ
สตั วร์ ูว้ า่ ตนเองนันได้จับ ยดึ และฆา่ สตั ว์ของเขาเสยี
แล้วจะถือวา่ เปนการทาํ ไปโดยไมส่ ุจรติ

อายุความ อายุความ อายุความ

อายุความ

อายุความ อายุความ อายุความ อายุความ
อายุความ อายุความ.

อายุความ

อายุความ มีความหมายว่า ระยะเวลา
ทีกฎหมายกําหนดให้ใช้สิทธเิ รยี กรอ้ ง
สิทธฟิ อง หรอื สิทธริ อ้ งทุกข์ ซึงกฎหมาย
บัญญัติว่าจะต้องเรยี กรอ้ งเอาภายในเวลา
ทีกฎหมายกําหนดไว้

ซึงผู้เสียหายหรอื ผู้มีสิทธเิ รยี กรอ้ งค่าสินไหม
ทดแทนความเสียหายเพราะการละเมิดของบุคคลใด
บุคคลหนึง จะต้องใช้สิทธเิ รยี กรอ้ งค่าสินไหมทดแทน
ความเสียหายภายในระยะเวลาทีกฎหมายกําหนดไว้
สําหรบั การเรยี กรอ้ งค่าสินไหมในแต่ละกรณีด้วย หาก
ผู้มีสิทธเิ รยี กรอ้ งไม่ได้เรยี กรอ้ งค่าสินไหมภายในระยะ
เวลาทีกําหนด จะเรยี กว่าสิทธเิ รยี กรอ้ งนันขาดอายุ
ความ เปนเหตุให้ผู้ทําละเมิดหรอื ผู้พึงต้องชดใช้ค่า
สินไหมทดแทนสามารถยกขึนเปนข้อต่อสู้ในชันศาลได้
สามารถแบ่งอายุความ ได้ดังนี

อายุความสาํ หรบั การเรยี ก
ค่าเสียหายเพราะละเมิด

การกําหนดอายุความสาํ หรบั เรยี กค่าเสียหายเพราะ
มูลละเมิดตามมาตรา 448 แยกออกเปนได้ 2 กรณี คือ
1. การฟองรอ้ งเรยี กค่าเสียหายโดยการฟองรอ้ งทางแพ่ง
ประการเดียวเพราะมีเฉพาะมูลคดีละเมิด (มาตรา 448 วรรคหนึง)
กําหนดการนับอายุความไว้ใน 2 กรณี คือ 1 ป และ 10 ป ดังนี

กรณีอายุความ 1 ป - จะเรมิ นับเมือผู้เสียหายรูถ้ ึงการละเมิด
และผู้เสียหายต้องรูต้ ัวผู้พึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนด้วย ซึงผู้พึงต้อง
ใช้ค่าสินไหมทดแทนนันมีหลายคน
เช่น ผู้ทาํ ละเมิด ผู้ทีกฎหมายกําหนดให้รบั ผิดในมูลละเมิด (นายจ้าง
บิดามารดา ฯลฯ) เปนต้น

กรณีอายุความ 10 ป - ให้เรมิ นับตังแต่วันทีทาํ ละเมิด

เช่น นายขาวถูกรถชนบาดเจ็บ เท่ากับว่านายขาวถูกละเมิดแล้ว
นายขาวย่อมมีสิทธเิ รยี กรอ้ งค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 420 ได้
แต่ในกรณีนีนายขาวยังไม่รูถ้ ึงข้อเท็จจรงิ ว่าผู้ใดเปนผู้ทาํ ละเมิด
จึงไม่สามารถเรยี กรอ้ งค่าสินไหมได้ และหากต่อมานายขาวรูว้ ่าผู้ทาํ
ละเมิดคือนายดํา อายุความก็ได้เรมิ นับแล้ว โดยจะเรมิ นับเปนวันรุง่
ขึนจากวันทีนายขาวทราบตัวผู้ทาํ ละเมิด

อายุความสาํ หรบั การเรยี ก
ค่าเสียหายเพราะละเมิด

2. การฟองรอ้ งเรยี กค่าเสียหายในกรณีทีมูลละเมิดนันมีการก
ระทาํ ความผิดทางอาญาประกอบด้วย (มาตรา 448 วรรคสอง)
เปนกรณีทีนอกจากผู้ทาํ ละเมิดอาจถูกฟองให้รบั โทษตามประมวล
กฎหมายอาญาแล้ว ยังต้องชดใช้ค่าสินไหมในทางแพ่งและพาณิชย์
เพือละเมิดด้วย ซึงให้ใช้การนับอายุความทางอาญาทียาวกว่ามา
บังคับใช้ แยกพิจารณาได้เปน 2 กรณี ดังนี

- กรณีทีไม่มีการฟองคดีอาญา บทบัญญัติของมาตรา 51
จะสอดคล้องกับมาตรา 448 วรรคสองคือให้ใช้อายุความทางอาญา
ซึงโดยปกติอายุความทางอาญาจะยาวกว่าทางแพ่ง ซึงถ้าหากอายุ
ความทางอาญาครบ สิทธขิ องผู้เสียหายทีจะฟองคดีทางแพ่งก็จะ
ถูกระงับไปด้วย ไม่มีการขยายอายุความเพียงเพราะผู้ฟองเปนผู้
เยาว์หรอื ผู้วิกลจรติ ตามมาตรา 51 เมือขาดอายุความทางอาญา
แล้วผู้เสียายก็ไม่มีสามารถฟองรอ้ งได้อีกต่อไป

ซึงความคิดนีแตกต่างจากความคิดพในทางแพ่ง เนืองจากโดย
หลักของอายุความทางแพ่งแล้ว หากสิทธเิ รยี กรอ้ งขาดอายุความ
แล้วมิได้หมายความว่าสิทธเิ รยี กรอ้ งนันจะระงับสินไป เพียงแต่ส่ง
ผลให้ผู้ทาํ ละเมิดอาจยกขึนเปนข้อต่อสู้ว่าสิทธเิ รยี กรอ้ งนันขาดอายุ
ความ ผลคือศาลยกฟอง ในกรณีทีผู้เสียหายหรอื ผู้มีสิทธฟิ องไป
ฟองเรยี กค่าเสียหาย

อายุความสาํ หรบั การเรยี ก
ค่าเสียหายเพราะละเมิด

- กรณีทีมีการฟองคดีอาญา สามารถพิจารณาได้ ดังนี

2.1. ถ้ามีการฟองในคดีอาญา แต่คดีนันยังอยู่ในระหว่างการ
พิจารณายังไม่มีคําพิพากษาถึงทีสุด และมีการฟองรอ้ งคดีแพ่งไป
ด้วยพรอ้ มกัน อายุความทีผู้เสียหายมีสิทธฟิ องรอ้ งในคดีละเมิดนันก็
จะสะดุดหยุดลงจนกว่าการพิจารณาคดีอาญาจะเสรจ็ สินถึงทีสุด
คดีแพ่งก็จะเรมิ ต่อได้

2.2. ถ้ามีการฟองรอ้ งในคดีอาญาอย่างเดียวก่อน และการ
พิจารณาพิพากษาคดีนันเสรจ็ สินเรยี บรอ้ ยแล้ว หลังจากนันผู้เสีย
หายจึงยืนฟองคดีมูลละเมิดทางแพ่ง กรณีนีไม่ใช่การฟองรอ้ งคดี
แพ่งเกียวเนืองกับอาญาอีก เนืองจากคดีอาญาถึงทีสุดไปก่อนแล้ว
ในกรณีนีอายุความมูลละเมิดมีอายุความ 10 ปตามมาตรา 193/32

2.3. ถ้ามีการฟองรอ้ งคดีอาญาอย่างเดียวก่อน และศาลได้
พิจารณาพิพากษายกฟองจําเลยในคดีอาญาแล้ว ผู้เสียหายจึงมา
ฟองคดีมูลละเมิดในทางแพ่ง กรณีดังกล่าวจึงไม่ใช่คดีแพ่งเกียว
เนืองกับคดีอาญาเนืองจากคดีอาญาถูกยกฟองไปแล้ว

ดังนัน การลงโทษทางอาญาและการชดใช้ค่าสินใหม่ทดแทน
ทางแพ่งนันยืนอยู่บนหลักการทีแตกต่างกัน ซึงการทีศาลยกฟอง
จําเลยในทางอาญาไม่ได้หมายความว่าจําเลยไม่ได้ก่อความเสีย
หายทางแพ่งไปโดยอัตโนมัติ ดังนัน ผู้เสียหายยังสามารถพิสูจน์ได้
ว่าจําเลยทาํ ละเมิดครบองค์ประกอบตามมาตรา 420 และต้อง
ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนทางแพ่ง

อายุความเรยี กคืนทรพั ย์
หรอื เรยี กราคาแทนทรพั ย์

กรณีของการเรยี กคืนทรพั ย์ เปนที
เห็นพ้องต้องตรงกันว่าไม่ใช่กรณีของ
การเรยี กรอ้ งค่าเสียหายและไม่ตกอยู่
ภายใต้บังคับในเรอื งอายุความ

แต่การเรยี กราคาแทนทรพั ย์นัน ยัง
คงเปนทีถกเถียงอยู่ แต่สามารถสรุปได้
ว่าหากมีผู้ทาํ ละเมิดต่อทรพั ย์ของผู้อืน
ผู้เสียหายสามารถเรยี กคืนทรพั ย์จากผู้
ทาํ ละเมิดได้ หรอื หากไม่สามารถคืนเปน
ทรพั ย์ได้ ก็ให้คืนเปนราคาของทรพั ย์นัน
จะเห็นได้ว่าทังสองกรณีทีกล่าวมาข้าง
ต้นนันมิใช่การเรยี กรอ้ งค่าเสียหาย
ดังนัน การเรยี กราคาคืนทรพั ย์หรอื หรอื
ราคาแทนทรพั ย์จึงไม่มีอายุความ
เนืองจากไม่มีการเรยี กรอ้ งค่าเสียหาย

ความสัมพันธร์ ะหว่างอายุความ
ละเมิดและอายุความสัญญา

ในบางครงั การกระทาํ ทีเกิดขึนอาจ
ก่อให้เกิดความรบั ผิดทังทางละเมิดและ
สัญญาพรอ้ ม ๆ กัน เรยี กว่ากรณีทีเปน
ความรบั ผิดซ้อน กรณีดังกล่าวก็เปน
ประเด็นเรอื งอายุความ เนืองจากอายุ
ความในการฟองรอ้ งเรยี กค่าเสียหายใน
มูลละเมิดมีอายุ 1 ปนับตังแต่ผู้เสียหายรู้
ถึงการละเมิดและรูต้ ัวผู้ทาํ ละเมิด ส่วน
อายุความสัญญาอาจจะยาวกว่า 1 ป
ดังนัน การดูอายุความจึงดูตามมูลเหตุ
ของการฟองว่าผู้ฟองฟองโดยมูลใด
เช่น หากฟองโดยมูลละเมิด อายุความก็
จะเปนอายุความละเมิดตามมาตรา 448
เปนต้น

อายุความไล่เบีย

การไล่เบีย คือการเรยี กคืนสิงทีผู้ที
กฎหมายสันนิษฐานให้รบั ผิดหรอื ผู้ทําละเมิด
รว่ มได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแทนผู้ทาํ ละเมิด
หรอื ผู้รว่ มทําละเมิด
ซึงอายุความไล่เบียนันมิใช่อายุความตาม
มาตรา 448 แม้จะเปนการไล่เบียกันเปนเงิน
ก็ตาม แต่มิใช่กรณีทีผู้เสียหายฟองผู้ทาํ ละเมิด
หรอื ผู้พึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน สิทธไิ ล่
เบียจึงไม่มีกําหนดอายุความไว้เปนอย่างอืน

ดังนันสิทธไิ ล่เบียจึงเรมิ นับตังแต่วันทีได้
ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน มีอายุความ
10 ป ตามมาตรา 193/30

ซึงการไล่เบียนัน อาจเกิดได้จากกรณี
ต่อไปนี

อายุความไล่เบีย

1. การไล่เบียระหว่างผู้ทีกฎหมาย
สันนิษฐานให้รว่ มรบั ผิดกับผู้ทําละเมิด

เช่น การทีบิดาต้องรว่ มรบั ผิดในละเมิดของ
บุตรตามมาตรา 429 ได้ชดใช้ค่าสินไหม
ทดแทนให้กับผู้เสียหายไปแล้ว มีสิทธไิ ล่เบียคืน
จากบุตรได้ตามมาตรา 431 ประกอบ 426

2. การไล่เบียระหว่างผู้ทีกฎหมาย
สันนิษฐานให้รบั ผิดกับผู้มีส่วนในความเสีย
หายทีเกิดขึน

เช่น การทีเจ้าของสัตว์หรอื ผู้รบั เลียงรบั
รกั ษาต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ผู้เสียหาย
ไปตามข้อสันนิษฐานของกฎหมาย มีสิทธไิ ล่
เบียจากผู้เรา้ หรอื ผู้ยัวสัตว์ได้ตามมาตรา 433
วรรคสุดท้าย

อายุความไล่เบีย

3. การไล่เบียของนิติบุคคล

เช่น คําพิพากษาฎีกาที
๔๐๓๗/๒๕๔๗ กรมทีดินซึงเปน
นิติบุคคลใช้สิทธไิ ล่เบียเอาจาก
ข้าราชการของกรมทีดินผู้ก่อความ
เสียหายแก่ผู้อืนตามมาตรา 76
วรรคหนึง ซึงไม่มีกฎหมายบัญญัติ
อายุความการฟองคดีเพือใช้สิทธิ
ไล่เบียตามมาตรา 76 วรรคหนึง
โดยเฉพาะ จึงมีกําหนดอายุความ
10 ปตามมาตรา 193/30

อายุความไล่เบีย

4. การไล่เบียระหว่างผู้รว่ มกัน
ทาํ ความผิด

เปนกรณีทีบุคคลหลายคนรว่ มกันทาํ
ละเมิด ซึงกฎหมายกําหนดให้ผู้รว่ มกันทาํ
ละเมิดนันต้องรบั ผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
แก่ผู้เสียหายเหมือนเปนลูกหนีรว่ ม คือ ผู้เสีย
หายอาจเรยี กให้ผู้ทาํ ละเมิดคนใดคนหนึง
ชาํ ระค่าสินไหมทดแทนทังหมดก็ได้ แต่เมือผู้
ทาํ ละเมิดคนนันชาํ ระค่าสินไหมทดแทนไป
แล้ว กฎหมายจึงกําหนดว่าระหว่างผู้ทาํ
ละเมิดรบั ผิดเปนส่วนเท่า ๆ กัน ผู้ทาํ ละเมิดที
ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายไปแล้ว
จึงมีสิทธไิ ล่เบียคือเรยี กคืนจากผู้รว่ มกร
ทาํ ความผิดคนอืน ๆ ได้ตามส่วน

จัดการงานนอกสัง

ทมี าของหลกั กฎหมายจัดการงานนอกสัง

การจัดการงานนอกสังตาม Roman Law
ถอื เปนหนที ีเกิดจากเหตุอนื ๆ ทมี ใิ ชล่ ะเมดิ หรอสญั ญา

การจัดการงานนอกสังมีทีมาจากกฎหมายโรมนั เรยกวา่ negotiorum gestio
เปนบอ่ เกดิ แหง่ หนอี ยา่ งหนงึ

เปนหนที ีเรยกวา่ obligation ex negotiorum gestio

จักรพรรดจิ สั ติเนียน แบง่ บ่อเกิดแหง่ หนเี ปน 4 กลุ่ม คอื โดยจดั การงานนอกสงั
เปนหนีทเี กดิ จากการกระทาํ กึงสญั ญา (negotiorum gestio) อยูใ่ นกลมุ่ นี
เพราะไมไ่ ด้เปนหนที เี กดิ จากกการตกลงกนั แตเ่ กิดจากการกระทาํ ทชี อบด้วย

กฎหมาย
อีกทังในสมัยโรมนั อาจเกิดขนึ จากกรณที ไี ม่มสี ัญญา
หรอกรณที มี ีสญั ญาตังตวั แทนและตวั แทนทาํ เกนิ กรอบอํานาจ

ทีมา เกิดจาก praetor นันคอื การพัฒนาดว้ ยบรรทัดฐานทสี ร้างโดยผู้พิพากษา

ลกั ษณะทางกฎหมาย คอื มกี ารจัดการงานของผู้อนื โดยไมม่ กี ารมอบหมาย
หรอมีเจตนาเขา้ ไปดูแลกจิ การของผอู้ นื และมปี ระโยชนเ์ กิดขนึ จากการจดั การงานนนั

บททัวไปของการจัดการงานนอกสัง

คาํ วา่ การจัดการงานนอกสงั เปนบอ่ เกิดแหง่ หนี เพราะ
“จดั การงานนอกสงั ” การจดั การงานงานใดเมือได้จดั การใหเ้ ปนผล
มาจากภาษาอังกฤษวา่
ย่อมมีค่าใช้จา่ ย และเปนการทกี ระทําไปโดยมิได้รับประโยชน์
”Management หากแต่เปนประโยชน์ของผอู้ นื อนั เปนลักษณะของการเออื เฟอ
of affairs
ซงึ เมอื ไดจ้ ดั การไปเพือประโยชน์ของผูอ้ ืนนนั
without mandate” แลว้ ตนเองกลับต้องมารับภาระในค่าใช้จ่ายนนั เอง
ซงึ แปลได้วา่
หากไม่มีกฎหมายเช่นวา่ นแี ลว้ การช่วยเหลือซึงกนั และกนั หรอ
“จัดการกจิ การโดย การกอ่ ประโยชนใ์ ห้แกผ่ อู้ นื กจ็ ะไมม่ ีผใู้ ดให้ความสนใจกระทาํ
ปราศจากอํานาจ”
เพราะเหน็ วา่ กระทําไปแล้วกลับส่งผลร้ายตอ่ ตน
ตอ้ งมารับค่าใชจ้ า่ ยในการนันโดยไม่ควร

การจดั การงานนอกสงั เปน นิติเหตุ โดยทัวไปไปการจัดการงานนอกสัง มกั เปนการจดั การ
จงึ ไม่ถอื วา่ เปนเรองของสัญญา ทรัพย์สินของผ้ไู มอ่ ยู่ หรอเปนการปองกันภัยแกต่ ัวบคุ คล
เพราะ มิได้มีการตกลงกอ่ น ชอื เสียง หรอทรัพยส์ ินของตัวการโดยตัวการมิไดม้ อบหมาย
วา่ จะใหม้ หี นซี ึงกันและกนั
ดงั นนั การจดั การงานนอกสงั จึงมีลกั ษณะใกลเ้ คยี ง
กบั การเปนตวั การตวั แทนอและทาํ ให้
การจัดการงานนอกสังคลา้ ยสัญญา

ขอบเขตของกฎหมายลกั ษณะหนี

1. ลักษณะของการจัดการงานนอกสงั
2. หนา้ ทีของผจู้ ัดการงานนอกสัง
3. ความรับผดิ ของผ้จู ดั การงานนอกสงั
4. หนา้ ทขี องตัวการ

1. ลกั ษณะของจัดการงานนอกสัง

มาตรา 395 บคุ คลใดเขา้ ทํากิจการแทนผูอ้ นื โดยเขามไิ ดว้ า่ ขานวานใช้ใหท้ ํากด็ ี
หรอโดยมิได้มสี ทิ ธทิ จี ะทาํ การงานนันแทนผูอ้ ืนด้วยประการใดกด็ ี ท่านวา่ บคุ คลนัน
จะตอ้ งจดั การงานไปในทางทจี ะใหส้ มประโยชนข์ องตวั การตามความประสงคอ์ นั
แท้จรง

แบขง่องหตลวั กักาเรกหณรอฑตา์กมาทรจี พะพิจึงาสรันณนษิ าฐลานกั ไษดว้ ณา่ เปะนขคอวงามกปารระจสงดั คก์ขอางรตงวั ากนารนอกสังได้ ดงั นี

1) บคุ คลเขา้ ทํากิจการของผูอ้ ืน
2) เจ้าของมไิ ด้วา่ ขานวานใช้ใหท้ ํา หรอโดยมไิ ดม้ สี ทิ ธทิ จี ะทํา
3) การเขา้ ทาํ กจิ การแทนนนั เปนสมประโยชนข์ องตวั การ

1) บคุ คลเข้าทาํ กิจการของผู้อนื

• การเข้าทาํ กจิ การ • การเข้าทาํ กจิ การอาจเปนกิจการของผู้อืน
หรอเปนการเขา้ จดั การทรัพยส์ นิ สิงหนงึ สงิ ใดโดยเฉพาะ
การกระทาํ เคลือนไหวออกมาจรง ๆ
ไม่รวมถึงการงดเวน้ การเคลือนไหว • เปนการเข้าจัดการงานโดยมเี จตนทําแทนผ้อู นื เทา่ นัน

• กิจการทีทาํ การจัดการงานนอกสงั ต้องมีเจตนานอกเหนือไปจากเจตนา
ธรรมดา คอื ตอ้ งเจตนาทําเพอื รักษาผลประโยชนข์ องผู้อนื
อาจเปนกิจการเกียวกับทรัพย์สิน
เช่น การฉดี นาํ ปองกันไฟ • ตวั การทไี ดร้ ับประโยชนจ์ ากการจัดการงานนอกสัง
มิใหล้ กุ ลามไหม หรอเปนกิจการ จะเปนใครไมส่ าํ คัญ
ทไี มเ่ กียวกับทรัพยส์ นิ ก็ได้
เช่น พาคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาล

• ต้องเปนกจิ การทีชอบด้วยกฎหมายเทา่ นัน

การจัดการงานนอกสงั มิใชน่ ิตกิ รรมแตผ่ ล
ของการจดั การงานนอกสังก็ทาํ ให้เกิดหนที ี
กฎหมายยอมรับบังคบั ให้ ดังนนั
การไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย จงึ ไมม่ ผี ลให้
เกิดหนที างกฎหมาย

2) เจา้ ของมไิ ด้วา่ ขานวานใช้ให้ทําโดยไมม่ สี ิทธิทีจะทาํ

คําวา่ “เจา้ ของ” หมายถึง เจ้าของกิจการซึงได้ไปทําแทน

คําวา่ “วา่ ขานวานใช”้ หมายถึง ไดม้ อบใหท้ าํ ไมว่ า่ ดว้ ยประการใด ๆ

คําวา่ “ไม่มสี ิทธิทจี ะทํา“ หมายถงึ ไมม่ ีอาํ นาจทาํ ไม่อาจอ้างสิทธใิ นการเข้าทํากจิ การนนั ได้

ไม่วา่ จะสทิ ธติ ามสญั ญาหรอตามกฎหมาย

กรณีทีเคยมสี ิทธทิ ําได้ แต่ตอ่ มาหมดสทิ ธหิ รอขาดสิทธิไป

มาตรา 395 ใชค้ าํ วา่ กจ็ ะถอื วา่ ไม่มีสิทธิทีจะทาํ เชน่ เคย

“โดยเขามไิ ดว้ า่ ขานวานใช้ใหท้ ํา” การจดั การงานนอกสงั

แปลมาจากคําวา่

“Without having received เปนการสอดแทรกของผจู้ ดั การเองเขา้ ไปในกิจการ
a mandate from him” ของผู้อนื โดยเขามไิ ดว้ า่ ขานวานใชใ้ ห้ทําหรอไม่มสี ิทธิ
หมายถงึ โดยไม่ไดร้ ับ
ทําแทนเขา หรอไมม่ หี น้าทตี ามกฎหมายทจี ะทาํ ได้
มอบอาํ นาจจากเขา
ถา้ เขาได้กระทําการตามหน้าทตี ามกฎหมาย

หรอปฏิบัตชิ ําระหนีตามสัญญา ไม่ใช่วา่ เปนการจดั การงานนอกสงั

เช่น ผู้คําประกนั ชาํ ระหนีตอ่ เจา้ หนเี ขาได้ปฏบิ ตั หิ น้าทีตามสัญญา
ไมใ่ ชเ่ ปนการจัดการงานนอกสงั

3) การจัดการแทนนันเปนการสมประโยชนข์ องตวั การ

• สมประโยชน์ของตวั การ

หมายถงึ ตวั การได้รับประโยชนจ์ าก และทวี า่ สมประโยชน์ เช่น
การจัดการงานนอกสงั ส่วนประโยชนท์ ไี ด้รับ ช่วยซ่อมรถใหใ้ ช้ได้ ไมใ่ ชป่ ล่อยใหเ้ สียกลางคนั
มากหรอน้อยไมส่ าํ คญั การทีวา่ สมประโยชน์
ของตัวการนันจะตอ้ งพิจารณาในขณะที เพราะไม่เชน่ นันแล้วก็ไมถ่ ือวา่
การจดั การนอกสังนันได้สําเร็จ เปนการสมประโยชนข์ องตัวการ

เชน่ • หลักเกณฑก์ ารเข้าจัดการแทน
ผู้จดั การนอกสงั เหน็ เพอื นไมอ่ ยูแ่ ละบา้ นจะ

พัง แลว้ ภายหลงั เกดิ ไฟ ตอ้ งตรงตามวตั ถุประสงคอ์ ันแทจ้ รงของตัวการ
จึงไดค้ าํ จุนบา้ นนนั เสร็จ หรอตามทพี งึ สันนิษฐานได้วา่ เปนความประสงค์ของ
ไหม้บ้านหมด
ตวั การ เพราะประโยชน์ทีเกดิ ขนึ นัน

กถ็ ือวา่ ตัวการไดร้ ับประโยชน์จากการจดั การ อาจเปนประโยชนท์ เี ขาไม่ต้องการก็ได้

งานนอกสงั ของผู้จัดการแลว้

การทําแทนผู้อนื โดยสําคัญผดิ วา่ ทาํ แทนผูอ้ นื

มาตรา 404

ถา้ ผูจ้ ดั การทําแทนผูห้ นงึ โดยสาํ คัญวา่ ทําแทนผ้อู นื อีกคนหนงึ ไซร้
ทา่ นวา่ ผเู้ ปนตวั การคนก่อนผเู้ ดยี วมีสทิ ธิและหนา้ ทอี ันเกิดแต่การทีไดจ้ ัดทําไปนัน

การจดั การงานนอกสังมีความสาํ คญั ตัวอยา่ ง ก. เข้าจัดการงานนอกสงั โดยการ
อยู่ทีเจตนาในการทําแทนผู้อืน ดับเพลิงบา้ นของ ข. โดยเข้าใจวา่ เปนบ้าน
มิใชเ่ จตนาทําเพือตน โดยมติ อ้ งคาํ นงึ วา่
ผู้อนื ทีได้รับผลประโยชน์นันจะเปนใคร ของ ค. ข. ย่อมเปนผมู้ ีสิทธแิ ละหนา้ ที
ดงั นัน ความผิดของผจู้ ดั การงานนอกสัง ตามกฎหมายลักษณะจัดจากงานนอกสงั
จึงไมท่ าํ ใหผ้ ลทางกฎหมายเปลียนแปลง
มใิ ช่ ค.

ไป การทาํ กิจการของผู้อนื เพือตนเอง

มาตรา 405

บทบญั ญัตทิ งั หลายทกี ลา่ วมาในสิบมาตราก่อนนนั ทา่ นมิใหใ้ ชบ้ งั คับ
แก่กรณีทีบคุ คลหนึงเข้าทาํ การงานของผูอ้ ืนโดยสาํ คญั วา่ เปนการงานของตนเอง

ถา้ บุคคลใดถอื เอากิจการของผ้อู นื วา่ เปนของตนเอง ทังทรี ู้แลว้ วา่ ตนไม่มีสิทธิ
จะทาํ เช่นนันไซร้ ท่านวา่ ตวั การจะใช้สทิ ธเิ รยกร้องบงั คบั โดยมูลดังบัญญตั ิ
ไวใ้ นมาตรา 395, 396, 399 และ 400 นันกไ็ ด้ แตเ่ มือได้ใช้สิทธิดังวา่ มานแี ลว้
ตัวการจะต้องรับผดิ ต่อผจู้ ัดการดังบัญญัติไวใ้ นมาตรา 402 วรรค 1

มาตรานบี ญั ญัตไิ วอ้ ย่างชัดเจนวา่ มาตรา 405 วรรคสองบัญญตั ขิ นึ
ตงั แตม่ าตรา 395 ถึง 404 มใิ ห้นํามาใชบ้ งั คับ เพอื ใหส้ ทิ ธิแกต่ ัวการในการเรยกร้อง
คา่ สินไหมทดแทนวา่ จะเลือกใช้ทางใดก็ได้
แก่กรณีทีบคุ คลหนึงเข้าทาํ งานของผูอ้ นื
โดยสาํ คญั วา่ เปนงานของตัวเอง ซงึ เปนประโยชนแ์ กต่ นมากกวา่

การทเี ขา้ ทําการงานของผู้อืน เพราะการทีบคุ คลถอื เอากิจการของ
โดยสําคัญวา่ เปนงานของตนเอง ตน
จึงไม่ถอื วา่ เปนการจัดการงานนอกสงั
มาตรานีบัญญัตขิ ึนเพือเน้นวา่ ทังทรี ู้อยู่วา่ ไม่มสี ิทธิเชน่ นัน
การกระทาํ นันไม่ถอื วา่ เปนการงานนอกสงั หากก่อความเสียหายแกผ่ ูอ้ นื
ไม่มหี นผี กู พนั กันตามลักษณะนี
การนนั ย่อมเปนละเมิด

2. หน้าทขี องผู้จัดการงานนอกสัง

มาตรา 399

ผจู้ ดั การต้องบอกกลา่ วแก่ตัวการโดยเร็วทสี ดุ ทีจะทาํ ไดว้ า่ ตนไดเ้ ขา้ จัดการงานแทน และต้อง
รอฟงคาํ วนิจฉยั ของตัวการ เวน้ แต่ภัยจะมขี นึ เพราะการทหี น่วงเนนิ ไว้ นอกจากนที า่ นใหน้ าํ
บทบัญญตั แิ หง่ มาตรา 809 ถงึ 811 อันบังคับแก่ตวั แทนนนั มาใชบ้ งั คบั แกห่ น้าทขี อง
ผ้จู ัดการดว้ ยโดยอนุโลม

• หนา้ ทขี องผู้จัดการงานนอกสัง ดงั นี

1) มหี นา้ ทีจะต้องจัดการงาน 2) ตอ้ งบอกกลา่ วแก่ตวั การ 3) หน้าทีทาํ การ
ไปในทางทจี ะใหส้ มประโยชน์ โดยเร็วทสี ดุ เทา่ ทีจะทาํ ได้ อย่างตวั แทน
ของตัวการตามความประสงค์ (มาตรา 399)
อนั แทจ้ รงของตวั การหรอ วา่ ตนไดเ้ ขา้ จัดการงานแทนและ
ตามทพี งึ สันนษิ ฐานได้วา่ ตอ้ งรอฟงคาํ วนจิ ฉัยของตวั การ
เปนความประสงคข์ องตวั การ เวน้ แต่ภัยจะมขี ึนเพราะการที
(มาตรา 395) หน่วงเหนียวไว้ (มาตรา 339)

• หน้าทีในทางการให้สมประโยชนข์ องตวั การ

ถอื เปนหนา้ ทสี ําคัญ ย่อมไมเ่ ขา้ ลักษณะการจัดการงาน
เพราะถ้าการจดั การงาน นอกสังตาม มาตรา 395 และ
นันไมส่ มประโยชน์ของตวั การ ไมม่ สี ทิ ธิในการเรยกร้องให้
ตามความประสงคอ์ ันแทจ้ รง
ของตัวการ หรอตามทีพึงจะ ชดใช้เงินทตี นไดอ้ อกไปกอ่ นแลว้ ตาม
มาตรา 401 นอกจากนนั
สันนษิ ฐานไดว้ า่
เปนความประสงคข์ องตวั การ ยังต้องรับผิดชดใชค้ ่าสนิ ไหมทดแทน
ตามมาตรา 396 ได้บญั ญัติไว้


Click to View FlipBook Version