The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือ กลองยาวอีสานสร้างสรรค์: เรียนรู้อดีต ส่งเสริมปัจจุบัน สร้างสรรค์อนาคต เป็นหนังสือข้อมูลความรู้เกี่ยวกับคณะกลองยาวอีสานในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น จำนวน 5 คณะ ที่เป็นเครือข่ายของโครงการเยาวชนคนรักศิลปะการแสดงกลองยาวอีสาน สื่อเพื่อการส่งเสริมและพัฒนาองค์ความรู้ สร้างความสัมพันธ์และการมีส่วนร่วมในชุมชน (กสส.) โดยได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ (พปส.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kiadtsu, 2022-10-25 02:04:17

กลองยาวอีสานสร้างสรรค์: เรียนรู้อดีต ส่งเสริมปัจจุบัน สร้างสรรค์อนาคต

หนังสือ กลองยาวอีสานสร้างสรรค์: เรียนรู้อดีต ส่งเสริมปัจจุบัน สร้างสรรค์อนาคต เป็นหนังสือข้อมูลความรู้เกี่ยวกับคณะกลองยาวอีสานในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น จำนวน 5 คณะ ที่เป็นเครือข่ายของโครงการเยาวชนคนรักศิลปะการแสดงกลองยาวอีสาน สื่อเพื่อการส่งเสริมและพัฒนาองค์ความรู้ สร้างความสัมพันธ์และการมีส่วนร่วมในชุมชน (กสส.) โดยได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ (พปส.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564

Keywords: กลองยาวอีสาน,สื่อสร้างสรรค์,กลองยาวอีสานสร้างสรรค์

หนังสือข้อมูลความรู้เกี่ยวกับคณะกลองยาวอีสานจังหวัดขอนแก่น

กลสองยร้าางวสอรีสรค์านจำนวน5คณะที่เป็นเครือข่ายของโครงการกสส.
เรียนรู้อดีต
ส่งเสริมปัจจุบัน
สร้างสรรค์อนาคต


เกียรติศักดิ์ สุริยะภูมิ
จิรายุทธ โฮ้หนู
ชิศพลว์ หารี
สราลี โอธินทรยุทธ
กมลชนก จันทะโชติ
ขจรเกียรติ มูลชีวะ





สนับสนุนโดย กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ (พปส.)

กลองยาวอสี านสรา้ งสรรค์: เรยี นรอู้ ดตี สง่ เสรมิ ปจั จบุ ัน สรา้ งสรรค์อนาคต

หนงั สอื ขอ้ มูลความรเู้ กยี่ วกบั คณะกลองยาวอีสานจังหวดั ขอนแกน่ 5 คณะ ท่เี ป็นเครอื ข่ายของโครงการ กสส.

จดั ทำโดย โครงการเยาวชนคนรักศิลปะการแสดงกลองยาวอีสาน สื่อเพื่อการส่งเสริม
และพฒั นาองคค์ วามรู้ สร้างความสัมพันธแ์ ละการมสี ่วนร่วมในชุมชน (กสส.)
สนบั สนนุ โดย
บรรณาธกิ าร กองทุนพฒั นาสื่อปลอดภยั และสรา้ งสรรค์ (พปส.)
ทป่ี รกึ ษา
เกยี รตศิ ักดิ์ สรุ ยิ ะภมู ิ

ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.วณชิ ชา ณรงค์ชัย
อาจารยจ์ กั รพงศ์ เพ็ชรแสน
ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.รักชนก ชำนาญมาก
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จักรพนั ธ์ ขดั ชมุ่ แสง
ผชู้ ่วยศาสตราจารย์สมใจ ศรหี ลา้

ผเู้ ขยี น/เรยี บเรยี ง เกียรตศิ กั ดิ์ สุริยะภมู ิ
จิรายุทธ โฮห้ นู
ข้อมลู ชิศพลว์ หารี
สราลี โอธนิ ทรยทุ ธ
ออกแบบปก กมลชนก จันทะโชติ
ออกแบบจดั รปู เลม่ ขจรเกยี รติ มลู ชีวะ
พสิ จู นอ์ กั ษร
ปที เี่ ผยแพร่ ประสทิ ธิ์ บุญทนั
สายทอง แสนทำพล
ทอ้ งม้วน ใยแกว้
วฒุ ิไกร วิชัยวงศ์
วรวฒุ ิ คำจุรลา
สมชาย อ่อนเหลา

เกียรตศิ ักด์ิ สรุ ิยะภูมิ

สราลี โอธนิ ทรยทุ ธ
เกียรติศกั ด์ิ สุริยะภมู ิ

พูนทรพั ย์ จนั ทะศิลป์

2565

สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ โดย กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ และโครงการเยาวชนคนรักศิลปะการแสดง
กลองยาวอีสาน ส่อื เพอ่ื การสง่ เสรมิ และพฒั นาองค์ความรู้ สร้างความสัมพันธแ์ ละการมีสว่ นรว่ มในชุมชน

กก

คำนยิ มโดย

ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.วริ ัช วงศ์ภนิ นั ท์วฒั นา

รองคณบดฝี า่ ยวชิ าการและการตา่ งประเทศ คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่

โจ๊ะ ตุง โจ๊ะ ตุง โจ๊ะ ตุง ตุง “กลองยาวอีสานสร้างสรรค:์ เรียนรู้อดีต ส่งเสริมปัจจุบนั
สร้างสรรค์อนาคต” เป็นหนังสือข้อมูลความรู้เกี่ยวกับคณะกลองยาวอีสานจังหวัดขอนแก่น
5 คณะ ที่เป็นเครือข่ายของโครงการเยาวชนคนรักศิลปะการแสดงกลองยาวอีสาน
สื่อเพื่อการส่งเสริมและพัฒนาองค์ความรู้ สร้างความสัมพันธ์และการมีส่วนร่วมในชุมชน
(กสส.) ท่ีได้รับการสนบั สนุนจากกองทนุ พฒั นาส่ือปลอดภยั และสร้างสรรค์ (พปส.)

ถ้าฉิ่งเป็นเครือ่ งตีกำหนดจังหวะ รำมะนาเป็นเคร่ืองดนตรีหลัก เกียรติศักดิ์ สุริยะภูมิ
ก็คงเป็นผู้ควบคุมวงให้กลองตึ้งท่ีทำหน้าที่บรรเลงจังหวะหนักหรือจังหวะตกของบทเพลง
กำกับให้ฉาบเล็ก ฉาบใหญ่ บรรเลงประกอบจังหวะเพื่อคลุกเคล้าไปกับจังหวะของฉิ่ง
จิรายุทธ โฮ้หนู, ชิศพลว์ หารี, สราลี โอธินทรยุทธ, กมลชนก จันทะโชติ และขจรเกียรติ
มลู ชีวะ เปรียบเสมอื นเครือ่ งดนตรพี น้ื บ้านอสี าน พณิ แคน ท่สี รา้ งเอกลักษณ์บรรเลงทำนอง
หลักให้ชัดเจน ผสมผสานอย่างกลมกลืนเป็นวงกลองยาวในกระบวนแห่ตามงานรื่นเริง
สนกุ สนานของเทศกาลและงานมงคลตา่ ง ๆ

หนังสือเล่มนี้จึงเป็นแหล่งเรียนรู้ศิลปะการแสดงวัฒนธรรมภูมิปัญญาของท้องถ่ิน
อีสานที่มีคุณค่า และน่าภาคภูมิใจ สร้างความตระหนักให้คนในยุคปัจจุบันได้ร่วมกันอนุรักษ์
ถ่ายทอด เผยแพร่ และนำเสนอสู่สาธารณะผ่านสื่อในรูปแบบต่าง ๆ อันเป็นการปรับตัว
ตอ่ การเปลีย่ นแปลงของสังคมในอนาคตตามจุดมุ่งหมายหลักของโครงการ

ข้อมูลที่รวบรวมและเรียบเรียงจากเอกสาร ตำรา หนังสือ และงานวิจัย ตลอดจน
การเก็บข้อมูลภาคสนามท่ีบ้านดอนหญ้านาง ตำบลดอนช้าง อำเภอเมืองขอนแก่น ,
บ้านหนองกุงใหญ่ ตำบลหนองกุงใหญ่ อำเภอกระนวน, บ้านขาม ตำบลบ้านขาม อำเภอน้ำ
พอง, บ้านโนนตุ่น ตำบลสงเปือย อำเภอภูวียง และบ้านหัวหนองแวง ตำบลแวงใหญ่ อำเภอ
แวงใหญ่ จังหวัดขอนแก่น ล้วนเป็นประจักษ์พยานได้ว่ากลองยาวอีสานยังแฝงฝังและคงอยู่ใน
ชุมชนอย่างแน่นแฟ้นที่คณะผู้เก็บข้อมูลประสิทธิ์ บุญทัน, สายทอง แสนทำพล, ท้องม้วน
ใยแก้ว, วุฒิไกร วิชัยวงศ์, วรวุฒิ คำจุรลา และสมชาย อ่อนเหลา คนรุ่นใหม่ที่ได้เรียนรู้อดีต
ส่งเสริมปจั จุบนั และร่วมสรา้ งสรรค์อนาคต

“อนั ดนตรมี คี ณุ ทกุ อยา่ งไป ยอ่ มใชไ้ ด้ดั่งจินดาคา่ บรุ ินทร์”

โจ๊ะ ตุง โจะ๊ ตุง โจะ๊ ตงุ ตุง



คำนยิ มโดย

ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.กรี ตพิ ร จตู ะวริ ยิ ะ

ผอู้ ำนวยการ ศนู ยอ์ าเซยี นศกึ ษา
และรกั ษาการผอู้ ำนวยการ ศนู ย์วจิ ยั พหลุ กั ษณส์ งั คมลมุ่ นำ้ โขง มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่

หนงั สือ “กลองยาวอีสานสรา้ งสรรค์: เรียนรอู้ ดตี สง่ เสรมิ ปัจจบุ นั สรา้ งสรรค์อนาคต”
จัดทำโดย โครงการเยาวชนคนรักศิลปะการแสดงกลองยาวอีสาน สื่อเพื่อการส่งเสริม
และพัฒนาองค์ความรู้ สร้างความสัมพันธ์และการมีส่วนร่วมในชุมชน (กสส.) ได้รับการ
สนับสนนุ โดย กองทุนพัฒนาสือ่ ปลอดภัยและสร้างสรรค์ (พปส.) นับเป็นหนังสอื ที่ได้รวบรวม
ขอ้ มูลองค์ความรู้เก่ียวกับคณะกลองยาวอีสานในจงั หวัดขอนแก่นถึง 5 คณะ ภายในเน้ือหาเต็ม
ไปด้วยเรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดเชื่อมโยงกับวิถีการดำรงชีวิตของผู้คนในภูมิภาคอีสาน
กับเครื่องดนตรีพื้นบ้านอย่างกลองยาวอีสาน สะท้อนอัตลักษณ์เฉพาะของคนอีสานที่รัก
ความสนุกสนาน ชื่นชอบในเสียงดนตรี ซึ่งดนตรีพื้นบ้านมีส่วนสำคัญในการสร้าง
ความสนุกสนาน ในงานบุญ งานประเพณี งานพิธีกรรมสำคัญในทุกมิติ เครื่องดนตรีเหล่านี้
เชื่อมร้อยผู้คนในชุมชนและสังคม และก่อปฏิสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างกันผ่านกิจกรรม
ทางดนตรี การแสดงกลองยาวอีสานแสดงออกถึงการให้คุณค่า ความหมาย วิถีชีวิต
ความเป็นอยู่ ความคิด ความเชื่อ มโนทัศน์ และการบริโภคทางวัฒนธรรมของผู้คนในอีสาน
ทใ่ี ชเ้ ครอ่ื งดนตรีกลองยาวเปน็ เครอ่ื งมือสำคญั ในการกระทำการทางสงั คมในทุกพ้ืนทท่ี างสงั คม

ศูนย์อาเซียนศึกษา และศูนย์วิจัยพหุลักษณ์สังคมลุ่มน้ำโขง มหาวิทยาลัยขอนแก่น
มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นเยาวชนคนรุ่นใหม่ ได้แก่ คุณเกียรติศักดิ์ สุริยะภูมิ,
คุณจิรายุทธ โฮ้หนู, คุณชิศพลว์ หารี, คุณสราลี โอธินทรยุทธ, คุณกมลชนก จันทะโชติ
และคณุ ขจรเกียรติ มลู ชวี ะ คณะผู้เขียนและผู้เรยี บเรยี งผลงานจากวถิ ชี ุมชนในฐานะปฏิบัติการ
ทางวัฒนธรรมในสังคม จนสำเร็จเป็นหนังสือที่นำเสนอเรื่องราวและวิถีชีวิตคนอีสานผ่าน
ดนตรีกลองยาวออกมาได้อย่างน่าสนใจ โดยมีการถ่ายทอดผ่านตัวอักษร วีดิทัศน์
และสอื่ ดจิ ิทัลได้อย่างมีเสน่ห์ชวนติดตาม ถือเป็นการเปดิ โอกาสและพืน้ ที่การเรียนรู้ให้กับนิสิต
นักศึกษา และประชาชนผู้สนใจทุกคนไดเ้ ข้าถงึ ผลงานดังกลา่ วได้งา่ ยขนึ้ และหลากหลายช่องทาง

ศูนย์อาเซียนศึกษา และ ศูนย์วิจัยพหุลักษณ์สังคมลุ่มน้ำโขง หวังเป็นอย่างยิ่งว่า
หนังสือเล่มนี้จะก่อเกิดคุณูปการกับผู้สนใจในการศึกษา เกี่ยวกับกลองยาวอีสานที่มี
ความสร้างสรรค์ ได้สัมผัสถึงการเรียนรู้อดีต ส่งเสริมความเข้าใจในปัจจุบัน และนำไปสู่การ
สร้างสรรค์ในอนาคตสืบต่อไป ทั้งนี้ เพื่อขยายเขตแดนองค์ความรู้เกี่ยวกับ “กลองยาวอีสาน”
ดนตรีพืน้ บ้านให้เปน็ ทปี่ ระจักษ์ยิ่งข้นึ ทา่ มกลางการเปลีย่ นแปลงในโลกแหง่ โลกาภวิ ตั น์

คก

คำนำ

การแสดงกลองยาวอีสานสะทอ้ นให้เห็นถึงวถิ ีชวี ิตของผคู้ นผ่านท่วงท่าลลี า ท่วงทำนอง
จังหวะของการแสดง รูปแบบการแสดง การแต่งกาย การประสมวงและการบรรเลง
การแสดงกลองยาวมีบทบาทสำคัญในงานบุญ 12 เดือนของอีสานตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน
เช่น ใช้บรรเลงแห่ในงานบุญมหาชาติหรือบุญเผวด งานบุญบั้งไฟ งานบุญกฐิน เป็นต้น
แสดงให้เห็นว่าการแสดงกลองยาวอีสานมีความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมประเพณีของอีสานมา
เป็นเวลายาวนาน ศิลปะการแสดงกลองยาวอีสานจึงมีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตของชาวอีสาน
อย่างแนน่ แฟ้น แต่ทวา่ ในปัจจบุ นั นนั้ สังคมโลกไดเ้ กิดการพัฒนาของเทคโนโลยอี ย่างรวดเร็ว
หรือที่เรียกว่ากระแสโลกาภิวัตน์ เกิดการแพร่กระจายและการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม
รวมทั้งสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019 ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
การแสดงของคณะกลองยาว เพื่อให้เข้าใจถึงความเปลี่ยนแปลง ให้สามารถสืบสาน
และอนุรักษ์ศิลปะการแสดงกลองยาวอีสานให้คงอยู่ต่อไปได้ จึงจำเป็นต้องนำความรู้
ของการแสดงกลองยาวอีสาน ซึ่งถือเป็นวัฒนธรรมภูมิปัญญาของท้องถิ่นอีสานที่มีคุณค่า
และนา่ ภาคภมู ใิ จ มาสกู่ ารถา่ ยทอด เผยแพร่ และนำเสนอผ่านสือ่ ในรปู แบบตา่ ง ๆ ต่อไป

หนังสือ กลองยาวอีสานสร้างสรรค์: เรียนรู้อดีต ส่งเสริมปัจจุบัน สร้างสรรค์อนาคต
เป็นหนังสอื ข้อมลู ความรู้เก่ยี วกับคณะกลองยาวอสี านในพน้ื ที่จงั หวัดขอนแก่น จำนวน 5 คณะ
ท่ีเป็นเครือข่ายของโครงการเยาวชนคนรกั ศลิ ปะการแสดงกลองยาวอสี าน สื่อเพือ่ การส่งเสริม
และพัฒนาองค์ความรู้ สร้างความสัมพันธ์และการมีส่วนร่วมในชุมชน (กสส.) โดยได้รับทุน
สนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ (พปส.) ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. 2564

หนังสือกลองยาวอสี านสร้างสรรค์: เรียนรู้อดีต ส่งเสริมปัจจุบัน สร้างสรรค์อนาคตน้ี
เกิดจากการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ และสังเคราะห์ข้อมลู บริบทของคณะกลองยาวอีสาน
ในพื้นที่จังหวดั ขอนแก่น จำนวน 5 คณะ โดยได้อธิบายในส่วนต่าง ๆ เกี่ยวกับการเรียนรู้อดตี
จากข้อมูลความสำคัญและความเป็นมา ทบทวนงานศึกษาเกี่ยวกับกลองยาวอีสานจากอดีตถงึ
ปัจจุบัน คณะกลองยาวอีสานขอนแก่นที่เป็นเครือข่ายโครงการ การเก็บรวบรวมข้อมูล
และการวิเคราะห์ข้อมลู รวมถึงข้อมูลบริบทชุมชน ความเป็นมา พัฒนาการของคณะกลองยาว
แต่ละคณะ



การส่งเสริมปัจจุบันจากการแสดงกลองยาว จุดเด่นของคณะกลองยาว
และการสร้างสรรค์อนาคตจากแนวโน้มการดำรงอยู่ แนวทางการสืบสานและอนุรักษ์ของ
คณะกลองยาว โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็น 7 ส่วน ประกอบด้วย (1) บทนำ: กลองยาวอีสาน
สร้างสรรค์ เรยี นรู้อดีต สง่ เสรมิ ปัจจบุ นั (2) กลองยาวสาวน้อยลกู พระธาตุขามแก่น บ้านขาม
ตำบลบ้านขาม อำเภอน้ำพอง (3) คณะกลองยาวมรดกอีสานบ้านเฮา บ้านหัวหนองแวง
ตำบลแวงใหญ่ อำเภอแวงใหญ่ (4) คณะลูกพระพิศาลกลองยาว บ้านดอนหญ้านาง
ตำบลดอนช้าง อำเภอเมืองขอนแก่น (5) คณะกลองยาวขวัญใจภูเวียงโฉมใหม่ บ้านโนนตุ่น
ตำบลสงเปือย อำเภอภูวียง (6) คณะกลองยาวทูบี นัมเบอร์วันหนองกุงใหญ่
ตำบลหนองกุงใหญ่ อำเภอกระนวน และ (7) บทส่งท้าย: กลองยาวอีสานสร้างสรรค์
สร้างสรรค์อนาคต

สุดท้ายนี้ หากท่านผู้ที่มีความสนใจหรือผู้อ่านหนังสือเล่มนี้ ท่านใดมีข้อเสนอแนะ
ข้อคิดเห็น หรือมีข้อผิดพลาดอื่นใดที่ควรแก่การแก้ไขปรับปรุง โปรดแจ้งให้คณะผู้เขียนทราบ
ผู้เขียนยินดีน้อมรับทุกความคิดเห็นเพื่อจะแก้ไขปรับปรุงให้หนังสือมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
ผลประโชน์ทางวิชาการจากหนังสือ คณะผู้เข ียนขอยกบูชาพ่อแม่ครูอาจ าร ย์
และคณะกลองยาวอีสานในพืน้ ที่จังหวัดขอนแก่น

เกียรติศกั ดิ์ สุริยะภมู ิ
บรรณาธกิ าร
2565

จก

กติ ตกิ รรมประกาศ

จากการดำเนินกิจกรรมการศึกษาข้อมูลบริบทของคณะกลองยาวอีสานในพื้นที่
จังหวัดขอนแก่นที่เป็นเครือข่ายโครงการทั้ง 5 คณะ ระหว่างวันที่ 16 มกราคม ถึงวันที่ 30
เมษายน พ.ศ 2565 จนสามารถรวบรวม เรียบเรียง วิเคราะห์ และสังเคราะห์ เป็นหนังสือ
“กลองยาวอีสานสร้างสรรค์: เรียนรู้อดีต ส่งเสริมปัจจุบัน สร้างสรรค์อนาคต” คณะผู้เขียน/
เรียบเรียงได้รับประสบการณ์และความรู้อันทรงคุณค่าเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะเกี่ยวกับ
ศิลปะการแสดงกลองยาวอีสาน ทำให้คณะผู้เขียน/เรียบเรียงสามารถจัดทำหนังสือข้อมูล
ความรู้เลม่ น้ีสำเร็จลุล่วงด้วยดี จากการสนบั สนนุ หลายฝา่ ยดงั นี้

ขอขอบพระคุณ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ (พปส.) ผู้ให้ทุนสนับสนุน
งบประมาณในการดำเนนิ กจิ กรรมต่าง ๆ ของโครงการ ไดใ้ หโ้ อกาสและเห็นถึงความสำคญั ของ
การผลิตและเผยแพรส่ ื่อสร้างสรรคเ์ กย่ี วกับศลิ ปะการแสดงกลองยาวอสี าน

ขอขอบพระคุณ ผศ.ดร.วณิชชา ณรงค์ชัย รองคณบดีฝ่ายแผนยุทธศาสตร์และวิจัย
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น อาจารย์จักรพงศ์ เพ็ชรแสน
นายกเทศมนตรีตำบลบ้านคอ้ จังหวัดขอนแก่น ผศ.ดร.รักชนก ชำนาญมาก ผู้อำนวยการศูนย์
เพศภาวะศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผศ.สมใจ ศรีหล้า และ ผศ.ดร.จักรพันธ์ ขัดชุ่มแสง
อาจารย์ประจำสาขาสังคมศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแกน่
ที่ปรึกษาและผู้สนับสนุนการดำเนินงานโครงการ ที่มอบความรู้ คำแนะนำ ให้คำปรึกษา
ตรวจสอบความบกพร่องของคณะผู้เขียน/เรียบเรียงให้ด้วยความใส่ใจ ทั้งเรื่องการดำเนิน
กิจกรรม การจัดทำหนังสือข้อมูลความรู้ ตลอดจนการปฏิบัติตนในการดำเนินโครงการ
การใช้ชีวิตและการเรยี นรกู้ ารทำงาน

ขอขอบพระคุณ ผศ.ดร.วิรัช วงศ์ภินันท์วัฒนา รองคณบดีฝ่ายวิชาการและ
การต่างประเทศ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ผศ.ดร.กีรติพร จูตะวิริยะ ผู้อำนวยการศูนย์อาเซียนศึกษา และรักษาการผู้อำนวยการ
ศูนย์วิจัยพหุลักษณ์สังคมลุ่มน้ำโขง มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผู้ทรงคุณวุฒิที่ให้ความกรุณาให้
คำแนะนำ และขอ้ เสนอแนะต่าง ๆ จนทำให้หนังสอื เล่มน้สี ำเรจ็ ลุลว่ ง และสมบรู ณ์ย่ิงขึ้น

ขอขอบพระคุณ คุณพ่อประสิทธิ์ บุญทัน และสมาชิกคณะกลองยาวมรดกอีสาน
บ้านเฮา อำเภอแวงใหญ่ คุณพ่อสายทอง แสนคำพล นายทองม้วน ใยแก้ว และสมาชิก
คณะกลองยาวสาวน้อยลกู พระธาตุขามแก่น อำเภอนำ้ พอง กำนนั วฒุ ไิ กร วิชยั วงศ์ และสมาชิก
คณะกลองยาวทูบีนัมเบอร์วันหนองกุงใหญ่ อำเภอกระนวน นายวรวุฒิ คำจุรลา และสมาชิก



คณะลูกพระพิศาลกลองยาว อำเภอเมืองขอนแก่น นายสมชาย อ่อนเหลา และสมาชิก
คณะกลองยาวขวัญใจภูวียงโฉมใหม่ อำเภอภูเวียง ที่ให้ความเมตตาอนุเคราะห์ถ่ายทอดข้อมูล
ความรู้อันทรงคุณค่าเกี่ยวกับศิลปะการแสดงกลองยาวอีสาน มอบโอกาสให้คณะผู้เขียน/
เรียบเรียงได้เรียนรู้เกี่ยวกับการแสดงกลองยาว ให้คำแนะนำต่าง ๆ และให้การดูแลต้อนรับ
เป็นอย่างดี

ขอขอบพระคุณ คณาจารย์สาขาวิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะมนุษยศาสตร์
และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่ประสาทวิชาความรู้ และทักษะต่าง ๆ ทำให้คณะ
ผู้เขียน/เรียบเรยี งสามารถนำวิชาความรูเ้ หล่านั้นมาปรับใช้ในดำเนนิ กิจกรรมของโครงการได้
เป็นอย่างดี

สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณครอบครัว ที่ได้ให้กำลังใจ และสนับสนุนระหว่างการดำเนิน
กิจกรรมและการจดั ทำหนังสือข้อมูลความรูใ้ นครั้งนี้ ขอขอบพระคุณเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ และ
บุคคลท่านอื่น ๆ ที่ไม่ได้กล่าวนาม ที่ได้ให้คำแนะนำ คอยเป็นกำลังใจ ช่วยเหลือคณะผู้เขียน/
เรียบเรียงในการทำกิจกรรม และการจดั ทำหนังสือข้อมลู ความรู้ ทำใหค้ ณะผเู้ ขยี น/เรียบเรียง
สามารถจัดทำหนังสือข้อมูลความรู้นี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ดังนั้น จึงใคร่ขอขอบพระคุณ
ผู้ทีม่ สี ว่ นเกีย่ วขอ้ งทุกทา่ นไว้ ณ โอกาสนี้

คณะผเู้ ขยี น/เรยี บเรียง
2565

ชก

สารบญั

คำนิยม ก

คำนำ ค

กติ ติกรรมประกาศ จ

1 บทนำ: กลองยาวอีสานสรา้ งสรรค์ เรียนร้อู ดตี สง่ เสรมิ ปจั จุบัน 1-17

2 กลองยาวสาวนอ้ ยลกู พระธาตขุ ามแก่น
บ้านขาม ตำบลบ้านขาม อำเภอน้ำพอง จงั หวดั ขอนแก่น 18-39

3 กลองยาวมรดกอสี านบ้านเฮา
บ้านหัวหนองแวง ตำบลแวงใหญ่ อำเภอแวงใหญ่ จังหวัดขอนแกน่ 40-51

4 ลกู พระพศิ าลกลองยาว
บ้านดอนหญ้านาง ตำบลดอนชา้ ง อำเภอเมอื งขอนแก่น จงั หวัดขอนแก่น 52-69

5 กลองยาวขวัญใจภเู วียงโฉมใหม่
บา้ นโนนตุ่น ตำบลสงเปือย อำเภอภูวียง จงั หวดั ขอนแกน่ 70-79

6 กลองยาวทูบีนัมเบอร์วนั หนองกุงใหญ่
บ้านหนองกุงใหญ่ ตำบลหนองกุงใหญ่ อำเภอกระนวน จงั หวดั ขอนแกน่ 80-93

7 บทส่งท้าย: กลองยาวอีสานสร้างสรรค์ สร้างสรรค์อนาคต 94-99

เอกสารอา้ งองิ 100-101

ผใู้ หข้ ้อมูล 102

เกี่ยวกับผู้เขียน/เรยี บเรยี ง 103

เกยี่ วกับทป่ี รึกษาและผสู้ นบั สนุนการดำเนินโครงการ 104

เก่ยี วกบั โครงการ กสส. 105-106

คณะกลองยาวอสี านขอนแก่น จำนวน 5 คณะ ท่เี ป็นเครอื ขา่ ยของโครงการ

1ก

1

บทนำ: กลองยาวอสี านสรา้ งสรรค์
เรียนรอู้ ดตี สง่ เสรมิ ปจั จบุ ัน

การแสดงกลองยาวอีสาน ถือเป็นศิลปะการแสดงวัฒนธรรมภูมิปัญญาของท้องถ่ิน
อีสานที่มีคุณค่า และน่าภาคภูมิใจ ควรได้รับการอนุรักษ์ ถ่ายทอด เผยแพร่และนำเสนอ
สู่สาธารณะผ่านสื่อในรูปแบบต่าง ๆ อันเป็นการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก
ปจั จุบัน

ความนำ

ดนตรีมีความผูกพันกับชีวิตของมนุษย์อยู่ตลอดเวลา เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์
เริ่มตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต เมื่อแรกเกิดทารกจะได้ยินเสียงเห่กล่อม
จากมารดา หรือฟังเสียงเพลงเพ่ือให้เกิดความเพลดิ เพลนิ เมื่อเริ่มเข้าสู่ระบบการศึกษาดนตรี
ก็ถูกนำมาใช้เพื่อพัฒนามนุษย์ให้เจริญงอกงามครบทุกด้าน ได้แก่ ด้านร่างกาย ด้านสังคม
ด้านอารมณ์ และด้านสติปัญญา เมื่อชีวิตเริ่มเข้าสู่วัยทำงาน ดนตรีก็จะถูกนำมาใช้เพื่อให้เกิด
ความผ่อนคลาย ความตึงเครียดจากการทำงาน ในรูปแบบต่าง ๆ กันออกไป จนสุดท้าย
ของชีวิตก็ยังมีดนตรีเพื่อใช้สำหรับงานศพ จะเห็นได้ว่าดนตรีนั้นมีความผูกพันต่อมนุษย์อย่าง
ลึกซึ้ง จึงทำให้มีการศึกษาทดลอง เพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของดนตรีจะได้นำมา
ใช้ในการพัฒนาชีวิตของมนุษย์ให้มีคุณภาพสูงขึ้น ดนตรีจึงเป็นวิทยาศาสตร์ประยุกต์ คือ
เป็นทั้งศิลปะและวิทยาศาสตร์ เป็นวิทยาการที่มีคุณค่าสำหรับมนุษย์ทุกคน อีกทั้งดนตรี
ยังเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างยิ่งที่มีบทบาทต่อวัฒนธรรมประเพณีของทุก ๆ สังคมใน
ทุกพื้นที่ทั่วทุกภูมิภาคบนโลกรวมทั้งประเทศไทยด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในภาคอีสานที่มี
ความโดดเด่นหรือมีอัตลักษณเ์ ฉพาะตวั ทางดา้ นดนตรพี น้ื บ้านทเี่ ป็นดนตรีประจำภาคอสี าน

ภาคอีสาน หรือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นเขตหรือภาคหนึ่งทางทิ ศ
ตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย อยู่บนที่ราบสูงโคราช มีแม่น้ำโขงกั้นเขตทางตอนเหนือ
และตะวันออกของภาค ทางด้านใต้จรดชายแดนกัมพูชา ทางตะวันตกมีเทือกเขาเพชรบูรณ์
และเทือกเขาดงพญาเย็นเป็นแนวกั้นแยกจากภาคเหนือและภาคกลาง การทำการเกษตรนั้น

2

นับเป็นอาชีพหลักของภาค แต่ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนและแห้งแล้ง รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ
ทางด้านสังคมเศรษฐกิจ ทำให้มีผลผลิตที่น้อยกว่าภาคอื่น ๆ ภาษาหลักคือ ภาษาอีสาน
แต่ภาษาไทยกลางก็นิยมใช้กันแพร่หลายโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ขณะเดียวกันยังมีภาษาเขมร
ที่ใช้กันมากในบริเวณอีสานใต้ นอกจากนี้ยังมีภาษาถิ่นอื่น ๆ อีกมาก เช่น ภาษาผู้ไท ภาษาโส้
ภาษาไทยโคราช เป็นต้น ภาคอีสานมีอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่โดดเด่น เช่น อาหาร ภาษา
ดนตรหี มอลำ และศลิ ปะการฟ้อนรำท่ีเป็นอัตลักษณ์เฉพาะ ฉะนัน้ ดนตรอี สี านจึงมีส่วนสำคัญ
เกีย่ วกบั การประกอบพธิ ีกรรมตา่ ง ๆ ของภาคพ้ืนอสี านทสี่ ืบทอดตอ่ กนั มาหลายชว่ งอายุคน

ดนตรีพื้นบ้านภาคอีสาน เนื่องด้วยทางภาคอีสานมีอากาศที่ร้อนและแห้งแล้ง
เมื่อถึงเวลาหน้าฝนชาวอีสานต้องรีบทำมาหากินเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง จนไม่มีเวลา
ทจี่ ะสนกุ สนาน มากนัก เคร่ืองดนตรจี งึ ไม่สวยงาม ประดิษฐข์ น้ึ อยา่ งง่าย ๆ และใช้วสั ดอุ ุปกรณ์
ที่หาได้ในท้องถิ่น การบรรเลงก็รวดเร็วคึกคัก กระชับและสนุกสนาน แสดงถึงความเร่งรีบ
จากที่กล่าวมาข้างจึงเห็นได้ว่าดนตรีพื้นบ้านจะมีอัตลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัวโดย เกิดจาก
ภูมิปัญญาของชนชาวอีสาน โดยลักษณะของเครื่องดนตรีจะเกิดขึ้นกับแต่ละท้องถ่ิน
ไม่เหมือนกันและได้มีการนำมารวมวงกันเกิดขึ้น ซึ่งเป็นขอบเขตที่ชี้ลงไปอี กว่าสภาพภูมิ
ประเทศภมู ิอากาศแห้งแล้งหรืออุดมบรู ณ์ โดยจะสงั เกตเห็นไดจ้ ากการกำเนิดของเคร่ืองดนตรี
แต่ละประเภท ตัวอย่างเช่น โหวด กำเนิดขึ้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด ชี้ให้เห็นถึงความแห้งแล้ง
เพราะเสียงของโหวดเมื่อได้ฟังแล้วจะรู้สึกถึงความรันทด หดหู่ใจ และสอดคล้องกับสภาพของ
ดินฟ้าอากาศที่จังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล สภาพดินแตกระแหงแห้งแล้ง
อากาศมีความรอ้ นสงู ยากแกก่ ารเพาะปลูก เป็นเหตุท่ที ำใหเ้ คร่ืองดนตรีมเี ช่นน้ี คอื การเข้าไป
หาอาหารในป่า หรือ การล่าสัตว์จึงนำเอาไม้ไผ่ชนิดบาง ๆ มาตัดมีความสั้นยาวที่แตกต่างกัน
ทำให้เกิดเสียงสูงเสียงต่ำ และนำมาเล่นในยามที่ว่างจากงาน หรือยามที่ไม่ได้เก็บเกี่ยวอะไร
ดนตรีพื้นบ้านอีสาน ซึ่งประกอบด้วย เครื่องดีด สี ตี เป่า ซึ่งสามารถจำแนกได้ดังน้ี
1) เครื่องดีด ได้แก่ พิณ ไหซอง 2) เครื่องสี ได้แก่ ซออีสาน 3) เครื่องตี ได้แก่ โปงลาง
กลองยาว 4) เครื่องเป่า ได้แก่ แคน โหวด ลักษณะของเครื่องดนตรีดังที่จำแนกข้างต้นน้ี
ชาวอีสานได้นำมารวมวงและเล่นกัน ในยามว่างเว้นจากการทำงาน และมีความสนุกสนาน
ครนื้ เครง ซึ่งเป็นการคลายเครยี ดอยา่ งหนึง่ ของชาวอีสานทไี่ ดเ้ สรจ็ จากการทำงาน

มนุษย์มีความแตกต่างในด้านชาติพันธุ์ และมีความแตกต่างกันในด้านวัฒนธรรม
ซึ่งมีพื้นฐานมาจากสภาพภูมิศาสตร์และสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ที่มีผลต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์
ไม่ว่าจะเป็นในด้านการทำมาหากิน การแต่งกาย ความเชื่อ ซึ่งแต่ละกลุ่มชนจะมีลักษณะ
วัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ดนตรีก็เช่นกัน เพราะธรรมชาติการได้ยิน และวัฒนธรรมอันเป็น
ผลมาจากธรรมชาติทำให้มนุษย์แต่ละกลุ่มชนคิดสร้างระบบเสียงตามแนวคิดของตนเอง
(อังคณา ใจเหิม, 2544) จะเห็นว่า ดนตรีพื้นบ้านเป็นดนตรีที่แสดงออกถึงความรู้สึกนึกคิด

3ก

ตลอดจนความคิดความเชื่อและนิสัยใจคอของคน รวมไปถึงสะท้อนให้เห็นผ่านวัฒนธรรม
ประเพณี พิธีกรรมของแต่ละท้องที่ ดนตรีพื้นบ้านจึงสามารถเข้าถึงและครองใจคนได้มากกว่า
ดนตรีประเภทอ่นื เน้ือหาสาระของดนตรีพืน้ บ้านนน้ั มีทัง้ ความรู้และความบันเทิง มีทั้งความรู้
เกี่ยวกับทางโลกและทางธรรม เป็นการอบรมให้คนมีความประพฤติที่ดีงาม คนที่ได้ฟังดนตรี
พน้ื บา้ นจะมีสขุ ภาพจติ ดี มคี วามสขุ ใจ และยงั ชว่ ยให้สขุ ภาพกายดีด้วย ซ่งึ ภาคอีสานเป็นดินแดน
ที่ราบสูงอันกว้างใหญ่ของประเทศไทย มีประวัติสืบทอดและมีความเจริญทางวัฒนธรรม
แขนงต่าง ๆ มานับพันปี โดยเฉพาะวัฒนธรรมทางดนตรีของชาวอีสานที่มีมานานแล้วนั้น
ชาวอีสานมีวัฒนธรรมทางดนตรีมาช้านานและศิลปะเหล่านี้ได้สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
และเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นชีวิตของผู้คนในบริเวณนี้ที่มีความเกี่ยวพันกับดนตรีได้เป็นอย่างดี
เนื้อหาสาระของดนตรีที่มาจากการละเล่นพื้นบ้านมีทั้งให้ความรู้และความบันเทิง เป็นต้นว่า
ความรู้เกี่ยวกับทางโลกและทางธรรม เป็นการสั่งสอนให้คนประพฤติในสิ่งดีงาม
และการดำเนินชีวิตในวิถีท้องถิ่น การละเล่นพื้นบ้านยังเป็นอาหารหูและอาหารใจที่วิเศษสุด
ถ้าชาวบ้านได้ฟังดนตรีจากการละเล่นพื้นบ้านที่ชาวบ้านเข้าใจและซาบซึ้งแล้วไซร้ ชาวบ้าน
ก็จะมีสขุ จติ ที่ดี คือมีความสุขใจแล้วจะมสี ่วนชว่ ยให้สขุ ภาพทางกายดีด้วย เม่อื ชาวบ้านมสี ขุ ภาพดี
ทั้งกายและใจ ก็จะเป็นสมาชิกที่คุณภาพของครอบครัวและสังคม สามารถทำมาหาเลี้ยง
ครอบครัวให้อยู่ดีมีสุขได้ เมื่อครอบครัวอยู่ดีมีสุข ชุมชนและสังคมก็จะมั่นคงและเจริญรุ่งเรือง
สง่ ผลดีต่อกนั เปน็ ลูกโซ่ ฉะนั้นดนตรีและการละเล่นพืน้ บา้ นจึงมีความสำคัญและมีประโยชน์ย่ิง
(เจรญิ ชยั ชนไพโรจน์, 2526)

กลองยาวเป็นการละเล่นดนตรีพื้นบ้านของไทยที่นิยมกันทุกภาค สันนิษฐานว่า
มีต้น กำเนิดมาจากมอญและพม่า (อุทัย สินธุสาร, 2530) และได้นำมาเผยแพร่ใน
ประเทศไทย ในสมัยรัชกาลที่ 4 ดัดแปลงปรับปรุงจนมี 4 อัตลักษณ์เป็นแบบไทย ๆ นิยม
ใช้แสดงในงานรื่นเริงต่าง ๆ โดยเฉพาะงานบวชเพราะเชื่อว่า เสียงกลองนั้นจะขับไล่มารร้าย
ที่จะมาขัดขวางไม่ให้บวชพระได้ การละเล่นกลองยาวนั้น นอกจากกลองยาวที่มีหลายขนาด
เลก็ กลาง ใหญ่ ยงั ต้องมีเคร่อื งดนตรีอ่นื รว่ มประกอบการ บรรเลงอีก คือ ฉง่ิ ฉาบ กรบั โหม่ง
เพื่อให้เสียงไพเราะเร้าใจสนุกสนานสอดประสานกัน ลีลาการดีจะมีการใช้ศอก ใช้เข่า หรือรำ
ลอ่ กบั ฉาบ บางท้องถิ่นของไทยเรียกวา่ เถดิ เทิง หรอื เทงิ บอ้ ง ตามเสียงท่ดี ีออกไป กลองยาวถือ
ว่าเป็นศิลปะดนตรีที่มาจากการละเล่นพื้นบ้านท่ีควรอนุรักษ์ และส่งเสริมเผยแพร่แกเ่ ยาวชน
รุ่นหลังทั้งด้านเครื่องดนตรี การประสมวงและการบรรเลง ตลอดจนโอกาสในการบรรเลง
ในเทศกาล 12 เดือนของอีสาน ดังนั้นกลองยาวจึงมีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตของชาวบ้าน
อย่างแน่นแฟ้น เป็นศิลปวัฒนธรรมท้องถ่ินที่น่าภาคภูมิใจ และเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นทีไ่ ด้รับ
การสืบทอดจากบรรพบุรุษ และจะพบว่าวัฒนธรรมอันดีงามของไทยหลายประการ
กำลังเลือนหายไปอย่างน่าเป็นห่วง ผู้สืบทอด รวมไปถึงองค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน

4

ต ่ า ง เ ล ็ ง เ ห ็ น ค ว า ม ส ำ ค ั ญ ข อ ง ว ั ฒ น ธรร ม แ ล ะ ภ ู ม ิ ป ั ญ ญ า ว ่ า เ ป ็ น สิ ่ ง ท ี ่ ม ี ค ุ ณ ค ่ า แ ล ะ ส ำ คั ญ
สำหรับบ้านเมืองจึงได้ร่วมกันรณรงค์เพื่ออนุรักษ์ฟื้นฟูวัฒนธรรม และภูม ิปัญญาไทย
โดยตลอด (นงลกั ษณ์ เทพสวสั ดิ์, 2541)

โลกปัจจุบันเป็นโลกที่ไร้พรมแดนหรือโลกาภิวัตน์ (Globalization) ระยะทาง
ที่ห่างไกลจะไม่เป็นอุปสรรคในการ ติดต่อสื่อสารหรือเดินทางมาหากันอีกต่อไป ทั้งน้ี
ความสะดวกรวดเร็วในการคมนาคม และเทคโนโลยีติดต่อสื่อสารได้เชื่อมโยงประเทศต่าง ๆ
ให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น ทำให้โลกที่เคยกว้างแคบลง คนที่อยู่ห่างกันคนละมุมโลกสามารถ
ติดต่อสื่อสารกันได้ สามารถรับรู้ขอ้ มูลข่าวสาร และเหตุการณ์ทุกเร่ืองราวท่ีเกิดขึน้ ในดินแดน
ที่ห่างไกล การแพร่กระจายของวัฒนธรรมหนึ่งสู่วัฒนธรรมหนึ่ง และมีการหยิบยืมวัฒนธรรม
ของกันและกัน จนเกิดเป็นการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม (Hybrid Culture) เช่นเดียวกับ
อิทธิพลของเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว เช่น คอมพิวเตอร์
โทรศัพท์มือถือ สมาร์ทโฟน สัญญาณอินเทอร์เน็ต รวมไปถึงสื่อโซเซียลมีเดีย แพลตฟอร์ม
ที่เป็นช่องทางในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารในสังคมออนไลน์ เช่น Facebook YouTube TikTok
เป็นต้น ทำให้มีโลกทัศน์กว้างขึ้นและมีผลต่อแนวคิดเกี่ยวกับชุมชน หมู่บ้าน ซึ่งนำไปสู่การ
เปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ เช่น การเมือง เศรษฐกิจ สังคม ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม
ประเพณี ฯลฯ โดยเปน็ การเปล่ียนแปลงท่ีส่งผลกระทบทง้ั เชิงบวกและเชิงลบต่อชุมชนท้องถิ่น
รวมทง้ั สถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของไวรสั โคโรนา่ 2019 (Covid-19) ส่งผลกระทบท้งั ด้าน
เศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านสุขภาพอนามัย รวมไปถึงด้านวัฒนธรรมและประเพณีอีกด้วย
โดยเฉพาะวฒั นธรรมท้องถ่นิ ประเภทศิลปะ ดนตรี การแสดง เช่น การแสดงหมอลำ การแสดง
กลองยาว ทำให้ไม่สามารถทำการแสดงได้ เพื่อป้องกันการเลือนหายของวัฒนธรรม
และเพื่อเป็นแนวทางในการสืบสาน อนุรักษ์แก่ชนรุ่นหลัง และผู้ที่มีความสนใจ จึงควร
มแี นวทางในการส่งเสริม สร้างและพัฒนาองคค์ วามรู้ เกี่ยวกับศลิ ปะ ดนตรี และการแสดงของ
ท้องถนิ่ อยา่ งยงั่ ยืน

จากสถานการณ์ทีก่ ล่าวมาข้างต้นน้นั แสดงใหเ้ หน็ วา่ ดนตรมี คี วามสมั พันธเ์ ก่ยี วโยงกับ
รูปแบบการดำเนินชีวิตของมนุษย์ในทุก ๆ รูปแบบ จนกลายเป็นสิ่งที่ควบคู่กับการดำรงชีพ
จนกลายเป็นส่วนสำคัญของวิถีชีวิตผู้คนในแต่ละท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแถบภาคอีสาน
ของประเทศไทยที่ยังคงปรากฏให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของศิลปะดนตรีกับวิถีชีวิตของผู้คน
อย่างแยบคาย อีกทั้งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย และที่สำคัญคือการมีอยู่ของฮีตสิบสองคองสิบสี่
ที่ยังมีอยู่ในรูปแบบของวัฒนธรรมถิ่นอีสานในทุกพื้นที่ อันมีองค์ประกอบของดนตรีแฝง
อยู่ในทุกจารีต อัตลักษณ์ที่โดดเด่นของดนตรอี ีสานที่ยังปรากฏอยู่ให้เห็นในได้ปัจจุบันน้ัน คือ
กลองยาวอีสาน ที่สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตของผู้คนผ่านท่วงทำนอง จังหวะของการบรรเลง
กลองยาวจึงมีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตของชาวบ้านอย่างแน่นแฟ้น เป็นศิลปวัฒนธรรม

5ก

การแสดงของท้องถิ่นที่น่าภาคภูมิใจ และควรได้รับการสืบทอดจากบรรพบุรุษสู่คนรุ่นหลัง
ต่อไป โดยหนังสือเล่มนี้พยายามทบทวนงานศึกษาเกี่ยวกับการแสดงกลองยาว ศึกษาข้อมูล
ประวัติ ความเป็นมา พัฒนาการของการแสดงกลองยาวของแต่ละคณะ โดยทำความเข้า
ใจความเปลี่ยนแปลงโดยสะท้อนเนื้อหาออกเป็นสามช่วงเวลา คือ 1) อดีต-การเรียนรู้อดีต
2) ปัจจุบัน-การส่งเสริมปัจจุบัน และ 3) อนาคต-การสร้างสรรค์อนาคตของการแสดง
กลองยาวอสี าน

ทบทวนงานศกึ ษาเก่ยี วกับกลองยาวอีสานจากอดตี ถึงปจั จบุ ัน

การศึกษาพลวตั การแสดงกลองยาวอสี าน
จากการสำรวจองค์ความรู้ของพลวัตการแสดงกลองยาวอีสาน พบ วิทยานิพนธ์

และบทความทีเ่ ผยแพร่ทง้ั หมดจำนวน 7 เรือ่ ง โดยมีรายละเอยี ด ดังนี้
จากการทบทวนงานศึกษาเกี่ยวกับพลวัตการแสดงกลองยาวอีสาน พบว่า

งานวิทยานิพนธ์สาขาไทยศึกษา เรื่อง “กลองยาวของชาวอำเภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอ็ด”
ของ รัญจวน อิศรานุวัฒน์ (2542) ได้ศึกษาพัฒนาการของคณะกลองยาวและความสัมพันธ์
ระหว่างกลองยาวกับวิถีชีวิตของชาวอำเภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอ็ด โดยศึกษาจาก
คณะกลองยาว จำนวน 8 คณะ ได้แก่ คณะไก่สีทอง คณะทินกรกลองยาว คณะบุญเทียมน้อย
คณะบ้านบวกพัฒนา คณะยอดพิกุลทอง คณะเสียงสามยอดขวัญใจโสกเชือก คณะสองห้อง
พัฒนา คณะเหล่าใหญ่พัฒนา ผลการวิจัยพบว่า พัฒนาการของคณะกลองยาว ตั้งแต่ พ.ศ.
2516-2542 ใน 3 ประการ เครื่องดนตรี การประสมวง วิธีการบรรเลง พบว่า
เครื่องดนตรี แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ ประเภทหนังหุ้ม ประเภทโลหะ ประเภทดนตรีสากล
ประเภทหนังหุ้ม ได้แก่ กลองยาว และกลองรำมะนา พบว่า วัสดุที่ใช้หุ้มกลองยังใช้หนังวัว
ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะหนังวัวทนทานและเสียงดังดี ไม้ที่ใช้ ทำหุ่นนิยมใช้ไม้หาด ไม้ขนุน
ไม้ประดู่ ไม้พยุง ส่วนเชือกร้อยหูระวิง และสายตึงเดิมใช้เชือกหนังวัว เปลี่ยนเป็นเชือกไนล่อน
เพราะหาง่ายและสะดวกในการใช้ ประเภทโลหะ ประกอบด้วย ฉิ่ง ฉาบ และฆ้องโหม่ง
มีพัฒนาการด้านจำนวนการใช้เพิ่มขึ้น ส่วนวัสดุไม่เปลี่ยนแปลง ประเภทดนตรี สากล ได้แก่
กีตาร์ไฟฟ้า และกลองโซโล่ มีพัฒนาการด้านจำนวนและการใช้ทุกคณะ จากเดิมไม่มีการ
ประสมวง มกี ารพฒั นาจากแบบด้ังเดมิ เปน็ แบบประยุกต์ จำนวนเครือ่ งดนตรีเพิ่มขน้ึ รวมท้ัง
มีเครอ่ื งดนตรีสากลและการฟ้อนรำประกอบขบวน วธิ กี ารบรรเลงพบว่าปจั จบุ นั การบรรเลง
กลองยาวจะใช้ดนตรีสากลบรรเลง เพลงที่ใช้ในการบรรเลงเป็นเพลงไทยลูกทุ่ง ลูกกรุง
เพลงหมอลำ ที่นิยมทั้งในอดีต และปัจจุบัน การบรรเลงจะแบ่งออกเป็น 4 สวย ตามลักษณะ
การตี และครูฝึก ได้แก่ ครูฝึกจากอำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม ครูฝึกจากจังหวัด

6

ยโสธร ครูฝึก จากอำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด และครูฝึกจากอำเภอศรีสมเด็จ พบว่ามีการ
บรรเลงเหมอื นกนั ในสายท่ีหนงึ่ สาม ส่ี ท่แี ตกต่างคอื สายทสี่ องมีครฝู กึ จากจงั หวัดยโสธร

ความสัมพันธ์ระหว่างกลองยาวกับวิถีชีวิตของชาวอำเภอศรีสมเด็จ ด้านความสัมพันธ์
กบั วฒั นธรรม ประเพณี พบว่า กลองยาวเขา้ ไปมสี ว่ นรว่ มในงานประเพณีสิบสองเดือนมากถึง
เก้าเดือน มีเพียงสามเดือนเท่านั้นที่ไม่นิยมใช้กลองยาวในขบวนแห่ ได้แก่ เดือนเก้า เดือนสิบ
เดือนสิบเอ็ด ด้านสังคมพบว่ากลองยาว เป็นดนตรีท้องถิ่นที่สร้างความบันเทิงแก่ชุมชน
และก่อให้ เกิดความรักความสามัคคีข ึ้นในครอบครัว ญาติมิตร สังคมกลองยาว
และความสามัคคีระหว่าง องค์กรกลองยาวกับหน่วยงานหน่วยราชการ ด้านเศรษฐกิจพบว่า
การแสดงกลองยาวเป็นอาชีพ ที่เพิ่มรายได้แก่ครอบครัว ถึงแม้ไม่มากแต่ก็ได้คุณค่าด้านจิตใจ
ทุกคนมคี วามภาคภูมิใจในศิลปะดนตรีท้องถิ่นของตน

บทความ ของ ทรงเดช แสงนิล (2549) เรื่อง “การศึกษาดนตรีวัฒนธรรมพื้นบ้าน
อีสาน : กรณศี ึกษาวงกลองยาวคณะเทพนิมิต” พบว่า การศกึ ษาวัฒนธรรมกับดนตรีพื้นบ้าน
ภาคอีสาน :ศึกษากรณีกลองยาวคณะเทพนิมิต พบว่าคณะกลองยาวเทพนิมิตเป็นคณะ
กลองยาวท่ีอยใู่ นอำเภอวาปีปทุม จงั หวัดมหาสารคาม มีการแสดงกลองยาวทั้งทีเ่ ปน็ กลองยาว
โบราณเพื่อเป็นการอนุรักษ์ธำรงไว้ให้มีไว้ให้คนรุ่นหลังสืบต่อไปและกลองยาวประยุกต์
เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้คนในสังคมเพื่อการแสดงในโอกาสต่าง ๆ เช่น
งานประเพณีฮีต 12 งานบวชนาค ผ้าป่า ทั้งนี้ในการแสดงกลองยาวประยกุ ต์ มีการนำเครื่อง
ดนตรีสากลเพื่อเพิ่มความสนุกบันเทิงตามบุคลิกของคนอีสานที่ชื่นชมความสนุกสนาน
นอกจากปัจจัยการเกิดและดำรงอยู่ของคณะกลองยาวคณะเทพนิมิต เกิดจากการแสดง
ความสามารถทางการตีกลองยาว เพื่อแข่งขันชิงเงินรางวัลและชื่อเสียง ยิ่งการมีชื่อเสียง
กย็ งิ่ ผคู้ นวา่ จา้ งมากขึน้

บทความ ของ อวิรุทธ์ โททำ (2556) เรื่อง “วงกลองยาวอีสาน : กรณีศึกษา
คณะเทพนิมิตร อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม” ศึกษาสังคมวัฒนธรรม และประเพณี
ที่เกี่ยวข้องกับกลองยาวอีสาน และศึกษาวิเคราะห์จังหวะที่ใช้ในการตีกลองยาวอีสาน
โดยใช้หลักการวิจัยทางมานุษยดนตรีวิทยา (Ethnomusicology) ผลการศึกษาพบว่า
กลองยาวอีสานมีความสัมพันธ์กับสภาพสังคมวัฒนธรรมของชาวอำเภอ วาปีปทุมเป็น
อย่างมาก เนื่องจากอำเภอวาปีปทุมมีวงกลองยาวเกือบทุกหมู่บ้าน และยังมีประเพณีที่ยิ่ง
ใหญ่ระดับประเทศ คือ ประเพณีออนซอนกลองยาวอำเภอวาปีปทุม และยังใช้ในประเพณี
ฮีต 12 คอง 14 มาโดยตลอด เช่น เทศกาลลอยกระทง กฐิน ผ้าป่า ประเพณีตามฮีต 12 เช่น
ประเพณีเดือน 4 แห่ผ้าผะเหวด ประเพณีเดือน 6 แห่บั้งไฟ เป็นต้น วงกลองยาวคณะเทพ
นิมิตมีนายเที่ยง พินทะปะกังเป็น หัวหน้าวง มีผู้ตีกลองยาวและผู้ฟ้อนรำทั้งหมด 48 คน
มีการแต่งกายโดยผ้าพื้นเมือง เช่นเสื้อม่อฮ่อม โสร่ง และผ้าขาวม้า โดยส่วนใหญ่ฝึกซ้อม ณ

7ก

ลานกลางบ้าน ก่อนแสดงมีการไหว้ครู มีเครื่องเซ่นไหวต่าง ๆ เป็น ดอกไม้ เทียน เหล้าขาว
แป้งทาหน้า เงิน เป็นต้น และมีรูปแบบการแสดงเป็นแบบโบราณ และแบบกลองยาว
ประยกุ ต์ เพื่อใหเ้ หมาะสมกบั ลักษณะงานท่ไี ปแสดง

ผลการวิเคราะห์ทำนองกลองยาวพบว่า ในจังหวะกลองยาวที่ 1. แบบโบราณมีทำนอง
อยู่ 4 ท่อน คือ ท่อนเกริ่น, ท่อนดำเนินจังหวะที่ 1, ท่อนดำเนินจังหวะ ที่ 2, และท่อนจบ
เปน็ การบรรเลงทกุ จังหวะต่อ เน่อื งกันจนจบ ไมย่ อ้ นกลบั 2 จงั หวะตงั หวาย มีกระสวนจังหวะ
เดียว ซึ่งเป็นท่อนดำเนินจังหวะ เป็นการ บรรเลงจังหวะเดียวตั้งแต่เริ่มต้นบรรเลงจนจบ
บทเพลง 3. จังหวะสาละวัน และจังหวะเตย้ มีอยู่ 3 ท่อน คือ ท่อน เกริ่น, ท่อนดำเนินจังหวะ,
ท่อนโซโล่ ส่วนใหญ่จะใช้ท่อนดำเนินจังหวะ และท่อนโซโล่ บรรเลงสลับกัน 4. จังหวะเซ้ิง
บั้งไฟ มีอยู่ 2 ท่อน คือ ท่อนดำเนินจังหวะ และท่อนโซโล่ การดำเนินทำนองจะเป็นการ
เล่นสลับกันไปมา 5. จังหวะลำซิ่ง มีอยู่ 6 ท่อน คือ ท่อนเกริ่น A, ท่อนดำเนินจังหวะที่ 1 B,
ทอ่ นดำเนนิ

บทความ ของ ธัญลักษณ์ มูลสุวรรณ, ปัทมาวดี ชาญสุวรรณ และอุรารมย์ จันทมาลา
(2556) เรื่อง “พัฒนาการของการฟ้อนกลองยาวอำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม”
ศึกษาพัฒนาการและการอนุรักษ์การฟ้อนกลองยาว อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม
จำนวน 3 คณะ ได้แก่ คณะเทพนิมิต คณะจอกขวางคำ คณะลูกน้ำเค็ม ผลการวิเคราะห์พบวา่
พัฒนาการฟ้อนกลองยาวอำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม เดิมเป็นการตีกลองยาว
ในขบวนแห่เพื่อเกิดความครึกครื้นสนุกสนานในงานประเพณีสำคัญของท้องถิ่น ต่อมาได้
จัดการประกวดกลองยาวทำให้เกิดการปรับปรุงรูปแบบการแสดงโดยเพิ่มกระบวนท่าฟ้อน
เครื่องแต่งกาย และการประยุกต์เครื่องดนตรีพื้นบ้านกับเครื่องดนตรีสากล โดยการสร้าง
กฎเกณฑ์ ในการประกวดเพื่อให้สามารถสร้างแนวคิดในกระบวนการแสดงได้มากข้ึน
การอนรุ ักษ์ฟ้อนกลองยาวอำเภอวาปีปทุม จงั หวัดมหาสารคาม เปน็ การถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น
ในกลุ่มหรือชุมชนเดียวกัน ซึ่งใช้เวลาฝึกหัดจากท่าพื้นฐานถึงท่าฟ้อนที่สร้างสรรค์ขึ้น ในการ
จัดการ แข่งขันกลองยาวจะเป็นการอนุรักษ์การตีกลองและจังหวะดนตรีท้องถิ่นทำให้คณะวง
กลองยาวของชุมชน รวมตัวกันฝึกซ้อมแลกเปลี่ยนความรู้ เกิดความสามัคคี เกิดความ
สนุกสนาน และความบันเทิงในชุมชน องค์ประกอบของฟ้อนกลองยาวอำเภอวาปีปทุม
จังหวัดมหาสารคาม ประกอบด้วย องค์ประกอบของงานประเพณีด้านรูปแบบการจัดงาน
รูปแบบการจัดการแข่งขนั การประกวดขบวนแห่ การประกวดขวัญใจกลองยาว รูปแบบขบวน
แห่ ส่วนองค์ประกอบของการฟ้อนกลองยาว ได้แก่ เครื่องดนตรี รูปแบบและวิธีการบรรเลง
กลองยาว ท่าฟ้อน รูปแบบการแปรแถวขบวนฟ้อนกลองยาว และการแต่งกาย
โดยสรปุ พัฒนาการของฟ้อนกลองยาวอำเภอวาปีปทุม จังหวดั มหาสารคาม เป็นการ ถา่ ยทอด
ภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านอัตลักษณ์ของดนตรี และท่าฟ้อนดั้งเดิมจากรุ่นสู่รุ่น การจัดงาน

8

ประเพณีทำให้เกิดการรวมตัวของชุมชนสามารถเชื่อมโยงวัฒนธรรม ภูมิปัญญา
และเศรษฐกิจได้ เป็นอย่างดี

บทความ ของ หิรัญ จักรเสน (2557) เรื่อง “กลองยาวบ้านหนองขามอำเภอ
ยางตลาดจังหวัดกาฬสินธุ์” พบว่า จากการศึกษาคณะกลองยาวบ้านหนองขาม อำเภอ
ยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ มีมาตั้งแต่เมื่อประมาณ ปี พ.ศ.2510 ได้รับความนิยม
และใช้บรรเลงในงานบุญประเพณีต่าง ๆ ของชาวอีสาน เช่นงานบวช งานขึ้นบ้านใหม่
งานสงกรานต์ บุญบั้งไฟ ผ้าป่า กฐิน ตลอดไปจนถึงการแข่งขัน การถ่าย ทอดให้กับ
สถานศกึ ษาตา่ ง ๆ ในด้านทว่ งทำนองกระสวนจังหวะได้มีการพัฒนาไปตามยุคสมัย แต่เดิมนั้น
มีไม่มากนักในกระสวนจังหวะต่าง ๆ แต่ได้มีการพัฒนานำบทเพลงลูกทุ่งหมอลำที่เป็นที่นิยม
ของผู้คนในสังคม นำมาประยุกตใ์ นเกิดความน่าสนใจ ทำให้สามารถอยูร่ อดได้ เครื่องดนตรแี ต่
เดิมมีเพยี งไม่กี่ชิ้นคอื กลองยาว 3 ใบ กลองรำมะนา 2 ใบ ฉาบ 2 คู่ การปรับตัวที่ดีแต่กค็ งไว้
ซึ่งความเปน็ เอกลกั ษณ์ของคณะกลองยาวบา้ นหนองขาม อำเภอยางตลาด จงั หวดั กาฬสินธ์ุ คือ
การใช้ไม้พยุงทำกลองยาวทำให้เสียงใสกังวาน มีการนำเครื่องดนตรีต่าง ๆ มาประสมวง
เชน่ พณิ ไฟฟา้ เบส เปน็ ตน้

บทความ ของ ณฐั วฒุ ิ พฤกษะศรี (2559) เร่อื ง “คีตลกั ษณ์วิเคราะห์กลองยาวอีสาน
ในอำเภอพล จังหวัดขอนแกน่ ” มีวัตถุประสงคเ์ พือ่ ศึกษาประวัตกิ ลองยาวอีสานและวิเคราะห์
คีตลักษณ์ของวงกลองยาวอีสาน ดั้งเดิม วงกลองยาวอีสานดั้งเดิมผสมประยุกต์และวงกลอง
ยาวอีสานประยุกต์ในเขตอำเภอพล จังหวัดขอนแก่น ดำเนินการวิจัยโดยศึกษาข้อมูล
จากเอกสารสัมภาษณ์ สังเกตแล้วนำมา ศึกษาวิเคราะห์ และนำเสนอในรูปแบบพรรณนา
วิเคราะห์ พบว่ากลองยาวอีสานในอำเภอพล จังหวัดขอนแก่น มีการริเริ่มนำกลองยาวอีสาน
ดั้งเดิมมาจากจังหวัดมหาสารคาม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534 จากนั้นชาวอำเภอพลจึงเริ่มพัฒนา
รปู การแสดง กอ่ ต้ังเป็นวงกลองยาวอสี านดงั้ เดิมผสม ประยกุ ต์ และวงกลองยาวอีสานประยุกต์
กลองยาวทั้ง 3 ประเภท เริ่มแรกมีบทบาทในงาน ประโคมแห่ ประเพณีบุญฮีตสิบสอง
และงานมงคลของหมู่บ้านเท่านั้น เมื่อศึกษาคีตลักษณ์ วิเคราะห์ของวงกลองยาวอีสานแต่ละ
ประเภท พบว่ามีความแตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์ การใช้งาน แต่มีการใช้จังหวะพื้นฐาน
เดยี วกัน คอื ลายกินปน่ กงุ้ และมคี วามแตกตา่ งไปตาม การดัดแปลงใหเ้ ขา้ กับทา่ รำและลลี าการ
บรรเลงของวงแต่ละประเภทจากการศึกษารูปแบบ การบรรเลงวงกลองยาวอีสานดั้งเดิม
มีเพียงกลองยาวอีสานผสมกับเครื่องประกอบจังหวะ เท่านั้น เน้นการตีเฉพาะจังหวะกลอง
สลับกับการฟ้อน รูปแบบจังหวะเรียบง่าย ไม่สลับซับซ้อนใช้ลายไหว้ครูบรรเลงนำก่อนการ
แสดงในขณะท่วี งกลองยาวอสี านดั้งเดมิ ผสมประยุกต์ มีการใช้เครอ่ื งดนตรีไฟฟ้า เช่น พิณไฟฟ้า
พิณเบส คีย์บอร์ด และกลองชุดเพิ่มเติมเน้นบรรเลง ประกอบฟ้อนเป็นหลักเพื่อใช้แข่งขัน
รูปแบบเพลงที่ใช้ จึงมีการจัดเรียง โดยลายต่าง ๆ แบ่ง การบรรเลงเป็น 2 ช่วง ช่วงที่ 1

9ก

บรรเลงในแบบดั้งเดิม มีการฟ้อนประกอบ ลักษณะทำนอง ไม่ช้าหรือเร็วเกินไป สามารถ
ประดิษฐ์ท่าฟ้อนประกอบจังหวะได้ตามความสามารถของแต่ละวง และช่วงที่ 2
เป็นการบรรเลงประยุกต์ โดยบรรเลงเข้ากับเครือ่ งดนตรีสมัยใหม่ในทํานอง ลายลำเพลิน ถือ
เป็นการแสดงทักษะของผู้บรรเลงเครื่องดนตรีกลุ่มดำเนินทำนอง มีการบรรเลงกระสวน
จังหวะกลองตา่ ง ๆ ประกอบการฟอ้ นที่สนกุ สนาน และสุดท้ายคือมกี ารผสม วงเช่นเดียวกับวง
กลองยาวดั้งเดิมผสมประยุกต์ ลักษณะการบรรเลงจะบรรเลงแบบประยุกต์ เฉพาะทำนอง
ดนตรีเท่านั้น ไม่นิยมบรรเลงแบบดั้งเดิม บทเพลงที่นำมาใช้ขึ้นอยู่กับความนิยม ของผู้ฟัง
เป็นหลัก ตัดตอนเฉพาะส่วนทำนองขึ้นต้นแล้วจึงต่อด้วยลายลำเพลิน ซึ่งมีจังหวะ และลีลา
ที่เร้าใจ กลองยาวอีสานและเครื่องกำกับจังหวะทำหน้าที่เพียงที่จังหวะหลักเท่านั้น โดยมี
กลองชุดทำหน้าที่บรรเลงแทน ปัจจุบันวงกลองยาวทั้ง 3 ประเภท ยังคงมีบทบาทใน
อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น แต่สังคมที่เปลี่ยนไปทำให้การใช้วงกลองยาวในงานบุญประเพณี
ลดน้อยลงคงเหลือไว้ซึ่งบทบาทการให้ความบันเทิงในขบวนแห่ และใช้ในการแข่งขันโดยรูป
แบบการแสดงมกี ารปรบั เปล่ยี นไปตามคา่ นิยมของคนในท้องถนิ่ เป็นสำคญั

บทความ ของ ทินกร น้อยตำแย (2561) เรื่อง “การพัฒนางานออนซอนกลองยาว
ชาววาปี ของดีพื้นบ้านจังหวัดมหาสารคาม” เพื่อศึกษาหาแนวทางการพัฒนางานออนซอน
กลองยาวชาววาปี ของดีพื้นบ้านจังหวัดมหาสารคาม โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ
ที่ประยุกต์ใช้แนวคิดการจัดการแบบมีส่วนร่วม มาใช้เป็นกรอบในการศึกษา เน้นการลงพ้นื ท่ี
ภาคสนามเพื่อสำรวจ สัมภาษณ์ และสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม โดยมีกลุ่มเป้าหมาย
ประกอบด้วย คณะกรรมการจัดงานประเพณี ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หัวหน้าวง
กลองยาว และผู้ผลิตกลองยาว เมื่อได้ข้อมูลครบถ้วนแล้วจึงทำการวิเคราะห์และนำเสนอ
ผลการศึกษาพบว่า แนวทางการพัฒนางานออนซอนกลองยาวชาววาปี ของดีพื้นบ้านจังหวัด
มหาสารคาม มี 4 ประการ คือ 1) ปรับปรุงโครงสร้างการบริหารจัดการงานโดยคัดเลือก
ตัวแทนกลุ่มหัวหน้าวงกลองยาว และกลุ่มผู้ผลิตกลองยาว เข้าไปมีบทบาทในคณะกรรมการ
จัดงาน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2) ปรับปรุงการจัดสรรเงินรางวัลการประกวด
กลองยาวให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป 3) ประชาสัมพันธ์ชี้แจง
งบประมาณให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนทราบอย่างสม่ำเสมอและทั่วถึง และ 4) ปรับปรุง
การติดตามประเมนิ ผลการจัดการงานให้มีอย่างสมำ่ เสมอและรอบด้าน เพื่อใหก้ ารจัดการงาน
ขบั เคลอ่ื นไปในทศิ ทางท่เี หมาะสม สรา้ งสรรค์ และก่อให้เกดิ ความยั่งยืนต่อไป

การศึกษารปู แบบการแสดงกลองยาวอสี าน
จากการสำรวจองค์ความรู้ของรูปแบบการแสดงกลองยาวอีสาน พบ วิทยานิพนธ์

รายงานการวิจัย และบทความทีเ่ ผยแพร่ทั้งหมดจำนวน 5 เร่ือง โดยมรี ายละเอียด ดงั นี้

10

จากการทบทวนงานศึกษาเกี่ยวกับรูปแบบการแสดงกลองยาวอีสาน พบว่า
งานวิทยานิพนธ์สาขาไทยศึกษา เรื่อง “กลองยาวกับประเพณีฮีตสิบสองของชาวบ้านยางกู
อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด” ของ นพรัตน์ บัวพัฒน์ (2542) ได้ศึกษากลองยาวกับ
ประเพณีฮีตสิบสองของชาวบ้านยางกู อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด พบว่า การใช้กลองยาว
ของชาวบ้านยางกูในประเพณีฮีตสิบสองจะใช้ในเพียงโอกาสในช่วงเดือนสี่ เดือนห้า เดือนหก
เดือนแปด เดือนสิบเอ็ด และเดือนสิบสองเท่านั้น ซึ่งในแต่ละเดือนนั้นมีลักษณะประเพณี
ที่ต่างกันออกไป เช่นการรื่นเริงสนุกสนานและมีการบรรเลงกลองยาวเพื่อเป็นการบวงสรวง
บูชาปรางค์กู่โบราณสถานที่สำคัญของหมู่บ้าน การเน้นการปฏิบัติเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา
บรรพบุรุษและความเชื่อ โดยชาวบ้านยางกู่ทำกลองยาวขึ้นเอง เครื่องมือส่วนใหญ่
เป็นเครื่องมือท่ีใช้ในงานช่างทั่วไป ไม่มีการทำเครื่องมือที่ทันสมัยเข้ามาช่วยในการทำ
เพราะมีผลต่อเนื้อไม้และเสียงของกลองยาว วัสดุที่นำมาใช้ทำกลองยาวชาวบ้านใช้ไม้ขนุนท่แี ก่
จัด และด้านความสัมพันธ์ของกลองยาวกับชาวบ้านยางกู่พบว่า การบรรเลงกลองยาวกับ
ประเพณีฮีตสิบสองมีความสัมพันธ์กันมาก รวมทั้งในด้านการดำเนินชีวิต ความเช่ือ
และพิธกี รรม

รายงานวิจัย ของ ไชยยศ วันอุทา (2550) เรื่อง “การสืบสาน การแสดงกลองยาว
บ้านสองห้อง อำเภอร่องคำ จังหวัดกาฬสินธ์ุ” ศึกษาความเป็นมา รูปแบบ และองค์ประกอบ
การแสดงลิเกกลองยาวเกี่ยวกับ ชุดการแสดง อุปกรณ์การแสดง ท่ารำ ท่วงทำนองการร้อง
เรื่องราวที่แสดง และเครื่องแต่งกายของผู้แสดง ตลอดจนศึกษากระบวนการถ่ายทอดการ
แสดงลิเกกลองยาวในรูปแบบของการศึกษาเพื่อสืบสาน อนุรักษ์ให้คงอยู่ต่อไป ผลการศึกษา
พบว่า ลิเกกลองยาว บ้านสองห้อง อำเภอร่องคำ จังหวัดกาฬสินธุ์ เกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2480
โดยได้รับ อิทธิพลจากลิเกที่แสดงในภาคกลางของประเทศไทย ผ่านเข้ามาทางจังหวัด
นครราชสีมา แล้วนำรูปแบบการแสดงมาผสมผสานกับการแสดงพื้นบ้านในภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือคือ หมอลำ เกิดการแสดงรูปแบบใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ
โดยรูปแบบการแสดงมี 6 ขั้นตอน ประกอบด้วย การไหว้ครู โหมโรง รำเบิกโรง ลำตัด
ออกแขก และการดำเนินเร่ืองจะรอ้ งเป็นหมอลำ องคป์ ระกอบของการแสดง ผ้แู สดงลิเกกลอง
ยาวเดิมเป็นชายล้วน ต่อมามีผู้แสดงทั้งหญิงและชาย เครื่องแต่งกาย แต่งหน้า แต่งแบบเรียบ
ง่าย มีเครื่องประดับเพียงเล็กน้อย อุปกรณ์การแสดงมีหน้ากาก ซึ่งได้แนวคิดจากตำราพรหม
ชาติ (ตำราดูดวงชะตา ราศี) ดนตรีประกอบการแสดงเป็นดนตรีพื้นบ้าน แบบเรียบง่าย
ประกอบด้วยเครื่องดนตรี 3 ประเภทคอื เครอ่ื งเป่า เครอื่ งตี เคร่ืองสี โดยมเี คร่ือง ดนตรีหลัก
คือ กลองยาว เรื่องราวที่แสดงเป็นวรรณกรรมพื้นบ้านเรื่องสังข์ศิลป์ชัย ภาษาที่ใช้
ใช้ทั้งภาษาไทยกลาง และภาษาอีสาน ลีลาท่ารำเป็นแบบอิสระ ต่อมามีท่ารำที่เป็นแบบแผน
มากขึ้น โอกาสที่แสดง แสดงในงานมงคล และงานอวมงคล ต่อมาสภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไป

11 ก

ซึ่งเป็นผล มาจากความเจริญทางเทคโนโลยี และเกิดความบันเทิงรูปแบบใหม่ที่หลากหลาย
ทำให้การแสดงลิเกกลองยาวเสื่อมความนิยมลง เหลือเพียงลิเกกลองยาว “คณะ ส. เมือง
อีสาน” บ้านสองห้อง อำเภอร่องคำ จังหวัดกาฬสินธุ์ เพียงคณะเดียวที่ยังทำการแสดงอยู่
การที่จะอนุรักษ์ สืบสาน การแสดงลิเกกลองยาวให้คงอยู่ใช้รูปแบบการศึกษา โดยการจัดตั้ง
กลุ่มสนใจที่เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนร่องคำจำนวน 46 คน ฝึกหัด
การแสดง โดยมีผู้แสดงลิเกกลองยาวบ้านสองห้องเป็นวิทยากรให้ความรู้ และฝึกหัดการแสดง
ให้แก่กลุ่มสนใจ ผลจากการศึกษาโดยวิธีฝึกหัดการแสดง นักเรียนมีความรู้ ความเข้าใจใน
วธิ กี ารและรูปแบบของการแสดง สามารถทำการแสดงลเิ กกลองยาวได้

วิทยานิพนธ์ ของ ชาญวิทย์ ชุมศรี (2559) เรื่อง “การศึกษาการละเล่นพื้นบ้าน
กลองยาว อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด” เพื่อศึกษา 1) ปัจจัยที่มีผลทำให้การละเล่น
พื้นบ้านกลองยาวดำรงอยู่ได้ในปัจจุบัน 2) กระบวนการในการปรับตัวของคณะกลองยาว
และ 3) แนวทางในการอนุรักษ์และเผยแพร่ภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านการละเล่นพื้นบ้านกลอง
ยาวอำเภอเกษตรวสิ ยั จังหวดั ร้อยเอด็ ผลการวิจยั สรปุ ไดเ้ ปน็ 2 ประเดน็ ดงั นี้

ประเด็นแรก ปัจจัยที่มีผลต่อการดำรงอยู่ของการละเล่นพื้นบ้านกลองยาวในปัจจุบัน
ได้แก่ ปัจจัยด้านเครื่องดนตรีประกอบในการบรรเลงกลองยาว โดยนำเครื่องดนตรีพื้นบ้าน
ประเภท เครื่องหนังหุ้ม และเครื่องโลหะบรรเลงร่วมกันทำให้เกิดความครึกครื้น ปัจจัยด้าน
โอกาสในการ แสดง คอื การได้มีส่วนรว่ มในงานประเพณีส่วนรวมและงานประเพณีส่วนบุคคล
ปัจจัยด้านการ สร้างรายได้ จากการศึกษาคณะกลองยาว 3 คณะมีรายได้จากการแสดง
3,000 9,000 บาท ต่อครั้ง ปัจจัยด้านความต้องการของผู้ว่าจ้าง/ ผู้ชมการแสดง
ที่ให้คณะกลองยาวรว่ มแสดงใน งานประเพณตี ่าง ๆ เปน็ ภาพสะท้อนให้เหน็ การละเล่นพนื้ บ้าน
กลองยาวว่ามีการดำรงอยู่ และ ปัจจัยด้านการสืบทอด เห็นได้จากที่มีการดำรงอยู่
ของคณะกลองยาวในปจั จบุ ัน

ประเด็นที่สอง กระบวนการในการปรับตัวของเพื่อความอยู่รอดของคณะกลองยาว
ได้แก่ การประสมวงกลองยาวแบบประยุกต์ โดยการนำเครื่องดนตรีสากลเข้าร่วมบรรเลง
ในการแสดง กลองยาว การบรรเลงกลองยาวแบบประยุกต์ มีการปรับเปลี่ยนวิธีการบรรเลง
ให้มีจังหวะที่กระชับขึ้นเพื่อให้กลมกลืนกับเพลงในปัจจุบันที่นำมาบรรเลง และการประยุกต์
เครื่องแต่งกาย ที่มีรูปแบบเดียวกันซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะแต่ละคณะ แนวทางในการ
อนุรักษ์ และเผยแพร่ภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านการละเล่นพื้นบ้านกลองยาว ได้แก่ การจัดให้มี
การเรียนการสอนกลองยาวในสถานศึกษาของชุมชน การจดั ประกวดกลองยาว เพอื่ ให้เกิดการ
พัฒนาประยกุ ต์ และการจดั ใหม้ ีส่ือกลองยาวแบบวิดีทศั น์หรือวิดีโอซีดเี พื่อสะดวกในการศึกษา
เผยแพร่

12

บทความ ของ สิทธิศักดิ์ จำปาแดง (2561) เรื่อง “กลองยาวในวิถีวัฒนธรรมของชาว
อำเภอวาปปี ทุม จงั หวดั มหาสารคาม” ผลการศึกษาพบว่า การละเล่นกลองยาวของชาวอำเภอ
วาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม เกิดขึ้นมาตั้งแต่ โบราณและเล่นสืบต่อรุ่นต่อรุ่นกันมาโดย
ตลอด จนกระทั่งมานิยมเล่นกันมากเมื่อมี การประกวด กลองยาวในงานประเพณีออนซอน
กลองยาวชาววาปีของดีพื้นบ้านเมื่อ ปี พ.ศ. 2539 เป็นต้นมาสภาพปัจจุบันการละเล่น
และการแข่งขันทางวัฒนธรรม ที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม
อำเภอวาปปี ทุม จังหวดั มหาสารคาม ดา้ นการผลิต กลองยาว กล่มุ ผ้ผู ลติ กลองยาว 4 กลุ่ม คือ
1) นายเที่ยง พิณทะปะกัง 2) กลุ่มผลิตกลองยาวบ้านตลาด 3) กลุ่มผลิตกลองยาวบ้านโคก
4) กลุ่มผลิตกลองยาวบ้านจอกขวางการผลิตกลองยาวในยุคแรก ใช้วิธีการผลิตแบบ
ภูมิปัญญาชาวบ้าน คือไม่มีเครื่องจักรมาใช้ในการทำงาน ต่อมาได้พัฒนาโดยการ
นำเครื่องจักรเข้ามาใช้ ทำให้กลองยาวได้คุณภาพและมาตรฐานมากขึ้นจนเป็นที่ต้องการ
ของคณะกลองยาว ด้านการแสดงวัฒนธรรมกลองยาว ปัจจุบันพบว่ามีจำนวนมากกว่า 15
คณะ สำหรบั โอกาสในการแสดงกลองยาวนั้นพอสรปุ ได้ 2 ลักษณะ คือ แหน่ ำขบวนในงานบุญ
หรืองานประเพณี แห่กัณฑ์หลอน แห่กฐิน แห่ผ้าป่า แห่นาค แห่ในงานรื่นเริงของแต่ละ
ทอ้ งถ่นิ กบั แสดงในโอกาสประกวดหรือแข่งขัน โดยเฉพาะงานประเพณอี อนซอนกลองยาวชาว
วาปีของดีพ้ืนบา้ นเปน็ ประจำทกุ ปี

และสุดท้ายบทความ ของ คมกริช การินทร์ (2562) เรื่อง “การพัฒนารูปแบบการ
แสดงของวงกลองยาวในจงั หวัดมหาสารคาม” เป็นการวิจยั เชิงคณุ ภาพ ใชร้ ะเบยี บวิธีวิจัยทาง
มานุษวิทยาการดนตรี มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อวิเคราะห์รูปแบบการแสดงกลองยาวใน
จงั หวดั มหาสารคาม และ 2) เพอื่ หาแนวคิดในการพฒั นารปู แบบการแสดงกลองยาวในจังหวัด
มหาสารคาม เก็บข้อมูลจากภาคสนามเป็นหลัก จากศิลปินและผู้เชี่ยวชาญ จากนั้นนำมา
ทำการวิเคราะห์แบบพรรณนาวิเคราะห์ พบว่า รูปแบบของการแสดงกลองยาวในจังหวัด
มหาสารคาม ประกอบด้วย 3 รูปแบบ คือ 1 รูปแบบดั้งเดิม , 2 รูปแบบประยุกต์
และ 3) รูปแบบเพื่อการแข่งขัน ส่วนแนวคิดในการพัฒนารูปแบบของการแสดงน้ัน
รูปแบบดั้งเดมิ ควรอนุรักษ์ไว้ ส่วนรูปแบบประยุกต์และเพื่อการแข่งขนั น้ันสามารถพัฒนาได้
ในทุก องค์ประกอบของการแสดง โดยคำนึงถึงความสนุกสนาน สวยงามพร้อมเพรียง
เป็น หลักสำคัญ และดูความเหมาะสมในเรื่องของสถานที่ด้วย และเน้นเรื่องแนวคิดใน
การแสดงเปน็ สำคัญสำหรับรูปแบบเพอ่ื การแขง่ ขนั

13 ก

คณะกลองยาวอสี านขอนแก่นทีเ่ ปน็ เครอื ข่ายโครงการ

จากการทบทวนข้อมูลข้อมลู งานวิจัย บทความ เอกสารทัง้ เอกสารสิง่ พิมพ์และเอกสาร
ออนไลน์ของคณะผู้เขียน และการประชุมคณะทำงานและที่ปรึกษาโครงการเยาวชนคนรัก
ศิลปะการแสดงกลองยาวอีสาน สื่อเพือ่ การส่งเสริมและพัฒนาองค์ความรู้ สร้างความสัมพันธ์
และการมีส่วนร่วมในชุมชน ครั้งที่ 1/2565 เมื่อวันเสาร์ที่ 15 มกราคม 2565 ได้พิจารณา
คัดเลือกคณะกลองยาวอีสานในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ
และเปน็ เครอื ข่ายของโครงการ ได้คณะกลองยาวจำนวน 5 คณะ ดังน้ี

1. กลองยาวสาวนอ้ ยลูกพระธาตขุ ามแก่น อำเภอน้ำพอง จังหวดั ขอนแก่น
2. มรดกกลองยาวอสี านบ้านเฮา อำเภอแวงใหญ่ จงั หวดั ขอนแกน่
3. ลกู พระพิศาลกลองยาว อำเภอเมอื งขอนแกน่ จงั หวดั ขอนแก่น
4. กลองยาวทบู นี ัมเบอรว์ นั หนองกงุ ใหญ่ อำเภอกระนวน จังหวดั ขอนแก่น
5. กลองยาวขวัญใจภเู วียงโฉมใหม่ อำเภอภูเวยี ง จังหวดั ขอนแก่น

คณะกลองยาวอสี านขอนแกน่ จำนวน 5 คณะ ท่เี ปน็ เครือข่ายของโครงการ

14

การเก็บรวบรวมข้อมลู และการวิเคราะห์ขอ้ มูล

หนังสือเล่มนี้ใช้การเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative
Research) คณะผู้เขียนใช้ข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Data) จากการทบทวนวรรณกรรม
การสืบค้นจากเอกสาร หนังสือ ตำรา บทความ และงานวิจัย ค้นคว้าทั้งในส่วนที่เป็นเอกสาร
สิ่งพิมพ์และเอกสารออนไลน์ เพื่อนำมาเติมเต็มความรู้ ทั้งใช้ในการพัฒนากรอบแนวคิด
ตลอดจนพัฒนาเครือ่ งมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล และใช้ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Data)
โดยเก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interviews) และการสังเกต
(Observations) ทั้งแบบมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วม มีแนวทางการสัมภาษณ์แบบกึ่ง
โครงสร้าง (Semi-structured Interview questions) ควบคู่กับแนวทางการสังเกตแบบ
มีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วม เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่มี
ความครบถ้วนตามกรอบแนวคิดในการศึกษา และมีคุณภาพน่าเชื่อถือสำหรับนำไปใช้
ในการวิเคราะห์ข้อมูล และนำเสนอเนื้อหาในบทต่าง ๆ ในรูปแบบการพรรณนาเชงิ วิเคราะห์
จากการทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยมีการออกแบบข้อคำถามของแนว
ทางการสัมภาษณ์สำหรับนำไปใช้ นอกจากนี้ในขณะที่เก็บรวบรวมข้อมูลคณะผู้วิจัยได้ปรับ
แนวทางการสัมภาษณ์ให้สอดคล้องกับประเด็นที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครอบคลุม
และตรงกับวัตถุประสงค์การเกบ็ รวบรวมข้อมลู

แนวทางการสัมภาษณ์และผู้ให้ข้อมูล (Key Informant) การศึกษาในครั้งนี้แบ่ง
ออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 ข้อมูลบริบท ความเป็นมาของหมู่บ้านที่ตั้งคณะกลองยาว
และ ส่วนที่ 2 ข้อมูลประวัติ ความเป็นมา พัฒนาการ และการแสดงกลองยาวของคณะกลอง
ยาว ผูใ้ ห้ขอ้ มลู คือ หัวหน้าคณะกลองยาว และผทู้ ี่เกย่ี วข้องกับคณะกลองยาว ได้แก่ สมาชิกร่วม
ก่อตั้ง ผู้ฝึกสอนคณะกลองยาว สมาชิกวงกลองยาวปัจจุบัน โดยมีรายละเอียดประเด็นย่อย
ดังน้ี
ส่วนท่ี 1 ข้อมูลบริบท ความเปน็ มาของหมู่บ้านที่ต้งั คณะกลองยาว

1. ประวัติหมู่บ้าน การตั้งหมู่บ้าน : ผู้ก่อตั้ง ช่วงเวลาในการก่อตั้ง ผู้อพยพเข้ามาก่อตั้ง
สาเหตกุ ารอพยพ พัฒนาการของหมู่บ้าน เหตกุ ารณส์ ำคญั ตา่ ง ๆ ท่ีมผี ลกระทบต่อชมุ ชน

2. เศรษฐกิจ อาชีพและรายได้: อาชีพหลัก อาชีพเสริม สัดส่วนการทำอาชีพต่าง ๆ
ความสำคัญของรายไดใ้ นอาชีพ

3. สังคม : ค่านิยมและแนวโน้มเกี่ยวกับการประกอบอาชีพของคนชุมชน การอพยพ:
สาเหตุ แหล่งที่อพยพไป ลักษณะการอพยพ กลุ่มคนที่อพยพในแต่ละลักษณะ
การเปลี่ยนแปลงในการอพยพ ความสัมพนั ธ์ทางสงั คม : กลมุ่ ตา่ ง ๆ ในชมุ ชน บทบาทของกลุ่ม
ตา่ ง ๆ ในชมุ ชน การติดตอ่ สมั พันธก์ ับภายนอก : การรับวัฒนธรรมจากภายนอก

15 ก

4. วัฒนธรรมประเพณี และความเชื่อ ประเพณีที่ปฏิบัติในปัจจุบัน : ช่วงเวลา
ประกอบบุญประเพณี องค์ประกอบของประเพณี การเข้าร่วม ประเพณีที่เลิกหายไป : ช่วงท่ี
ประกอบบุญประเพณี เหตุผลที่เลิก สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของหมู่บ้านที่เคารพนับถือ ความเชื่อที่ต้อง
ปฏิบัติ และข้อหา้ ม

5. ศิลปะการแสดง การละเล่นพื้นบ้าน: ศิลปะการแสดง หมอลำ กลองยาวและอื่น ๆ
การละเลน่ พื้นบ้านในอดีต-ปัจจุบนั การเปลีย่ นแปลง บทบาทในปจั จบุ ัน แนวโน้มในอนาคต
สว่ นท่ี 2 ข้อมลู ประวัติ ความเป็นมา พฒั นาการ และการแสดงกลองยาวของคณะกลองยาว

1. ภูมิหลงั /ความเปน็ มา/พฒั นาการของคณะกลองยาว
1.1 การก่อตั้งคณะกลองยาว : เริ่มก่อตั้งเมื่อปีใด สาเหตุการก่อตั้งคณะ

กลองยาว สมาชกิ เร่ิมกอ่ ต้งั ฯลฯ
1.2 บทบาทของการแสดง : บทบาทของการแสดงในพิธีกรรม งานประเพณี

งานเทศกาลต่าง ๆ ทั้งภายในหมู่บ้านและนอกหมู่บ้าน และเงื่อนไขที่มีอิทธิพลต่อ
การเปลย่ี นแปลง จุดเปลย่ี น เหตกุ ารณส์ ำคัญทที่ ำใหเ้ กดิ การเปล่ียนแปลง

1.3 รูปแบบการแสดง : รูปแบบการแสดงกลองยาวแบบดั้งเดิม
หรือแบบประยุกต์ และเงื่อนไขที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลง จุดเปลี่ยน เหตุการณ์สำคัญ
ที่ทำให้เกิดการเปลีย่ นแปลง

1.4 องค์ประกอบของการแสดง : เงื่อนไขที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลง
จุดเปลีย่ น เหตกุ ารณ์สำคญั ทีท่ ำใหเ้ กิดการเปล่ยี นแปลง

ผู้แสดง: จำนวนทั้งหมดของผู้แสดง ตำแหน่ง/หน้าที่ในวง ปัญหาที่เกิดข้ึน
กับผู้แสดงในแต่ละการแสดง ระยะเวลาในการเป็นสมาชิก ความสัมพันธ์ของผู้แสดงใน
คณะกลองยาว

เครอ่ื งดนตรี: มอี ะไรบ้าง จำนวนเทา่ ไหร่จงึ จะสามารถทำการแสดงได้
ดนตรี จังหวะในการแสดง: จังหวะในการแสดง รูปแบบของจังหวะ
ในการแสดงแตล่ ะงาน
เครื่องแต่งกาย: เสอ้ื ผ้า กางเกง รองเท้า อปุ กรณเ์ สริม
อุปกรณข์ ยายเสียง: ประกอบดว้ ยอะไรบา้ ง
เครือข่าย: การสนับสนุน การชว่ ยเหลือ การยืมตัวจากวงอน่ื
กติกาข้อตกลงในกลุ่ม: มีขอ้ ตกลงร่วมกนั ไหม ถ้ามคี อื อะไร ทำไม อย่างไร
1.5 โอกาสในการแสดง : จำนวนครั้งในการแสดง/เดือน การว่าจ้าง
การประชาสัมพันธ์/โฆษณา ความเหมาะสมในการเลือกรับงานในการแสดง และเงื่อนไข
ทม่ี อี ทิ ธพิ ลตอ่ การเปลีย่ นแปลง จดุ เปล่ียน เหตกุ ารณส์ ำคญั ทท่ี ำให้เกดิ การเปลีย่ นแปลง

16

2. พลวัตการแสดงกลองยาวอสี าน
2.1 บทบาทของการแสดง : บทบาทของการแสดงในพิธีกรรม งานประเพณี

งานเทศกาลต่าง ๆ ทั้งภายในหมู่บ้านและนอกหมู่บ้าน และเงื่อนไขที่มีอิทธิพลต่อ
การเปล่ียนแปลง จุดเปล่ยี น เหตกุ ารณ์สำคัญทท่ี ำใหเ้ กดิ การเปล่ยี นแปลง

2.2 รูปแบบการแสดง : รูปแบบการแสดงกลองยาวแบบดั้งเดิม
หรือแบบประยุกต์ และเงื่อนไขที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลง จุดเปลี่ยน เหตุการณ์สำคัญ
ท่ที ำใหเ้ กิดการเปลีย่ นแปลง

2.3 องค์ประกอบของการแสดง : เงื่อนไขที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลง
จุดเปลี่ยน เหตกุ ารณ์สำคญั ที่ทำใหเ้ กิดการเปล่ยี นแปลง

ผู้แสดง: จำนวนทั้งหมดของผู้แสดง ตำแหน่ง/หน้าที่ในวง ปัญหาที่เกิดขึ้นกับ
ผู้แสดงในแต่ละการแสดง ระยะเวลาในการเป็นสมาชิก ความสัมพันธ์ของผู้แสดงใน
คณะกลองยาว

เครือ่ งดนตรี: มอี ะไรบ้าง จำนวนเท่าไหรจ่ งึ จะสามารถทำการแสดงได้
ดนตรี จังหวะในการแสดง: จังหวะในการแสดง รูปแบบของจังหวะ
ในการแสดงแตล่ ะงาน
เคร่ืองแตง่ กาย: เสือ้ ผา้ กางเกง รองเทา้ อุปกรณ์เสรมิ
อุปกรณข์ ยายเสยี ง: ประกอบดว้ ยอะไรบา้ ง
เครือขา่ ย: การสนบั สนุน การช่วยเหลือ การยมื ตวั จากวงอ่นื
กตกิ าขอ้ ตกลงในกลุ่ม: มขี ้อตกลงรว่ มกันไหม ถา้ มคี อื อะไร ทำไม อย่างไร
2.4 โอกาสในการแสดง : จำนวนครั้งในการแสดง/เดือน การว่าจ้าง
การประชาสัมพันธ์/โฆษณา ความเหมาะสมในการเลือกรับงานในการแสดง และเงื่อนไข
ทม่ี อี ทิ ธพิ ลตอ่ การเปลีย่ นแปลง จดุ เปล่ียน เหตกุ ารณส์ ำคญั ทท่ี ำให้เกดิ การเปลีย่ นแปลง
3. การแสดงกลองยาวอสี าน
3.1 บทบาทของการแสดง : บทบาทของการแสดงในพิธีกรรม งานประเพณี
งานเทศกาลต่าง ๆ ทั้งภายในหมู่บ้านและนอกหมู่บ้าน และเงื่อนไขที่มีอิทธิพลต่อ
การเปล่ยี นแปลง จุดเปลี่ยน เหตกุ ารณ์สำคัญท่ีทำใหเ้ กิดการเปล่ยี นแปลง
3.2 รูปแบบการแสดง : รูปแบบการแสดงกลองยาวแบบดั้งเดิม
หรือแบบประยุกต์ และเงื่อนไขที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลง จุดเปลี่ยน เหตุการณ์สำคัญ
ทท่ี ำให้เกดิ การเปลยี่ นแปลง
3.3 องค์ประกอบของการแสดง : เงื่อนไขที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลง
จุดเปลยี่ น เหตุการณส์ ำคญั ทีท่ ำใหเ้ กิดการเปลยี่ นแปลง

17 ก

ผู้แสดง: จำนวนทั้งหมดของผู้แสดง ตำแหน่ง/หน้าที่ในวง ปัญหาที่เกิดข้ึน
กับผู้แสดงในแต่ละการแสดง ระยะเวลาในการเป็นสมาชิก ความสัมพันธ์ของผู้แสดง
ในคณะกลองยาว

เคร่ืองดนตรี: มอี ะไรบา้ ง จำนวนเท่าไหรจ่ งึ จะสามารถทำการแสดงได้
ดนตรี จังหวะในการแสดง: จังหวะในการแสดง รูปแบบของจังหวะ
ในการแสดงแตล่ ะงาน
เครื่องแตง่ กาย: เสื้อผา้ กางเกง รองเท้า อปุ กรณเ์ สรมิ
อปุ กรณข์ ยายเสยี ง: ประกอบดว้ ยอะไรบา้ ง
เครือข่าย: การสนบั สนุน การชว่ ยเหลอื การยืมตัวจากวงอน่ื
กตกิ าขอ้ ตกลงในกลมุ่ : มีขอ้ ตกลงรว่ มกนั ไหม ถา้ มคี ืออะไร ทำไม อยา่ งไร
3.4 โอกาสในการแสดง : จำนวนครั้งในการแสดง/เดือน การว่าจ้าง
การประชาสัมพันธ์/โฆษณา ความเหมาะสมในการเลือกรับงานในการแสดง และเงื่อนไข
ทม่ี อี ทิ ธพิ ลตอ่ การเปลีย่ นแปลง จดุ เปล่ียน เหตกุ ารณส์ ำคญั ทท่ี ำให้เกดิ การเปลีย่ นแปลง

คณะกลองยาวสาวน้อยลกู พระธาตขุ ามแกน่
บ้านขาม ตำบลบา้ นขาม อำเภอนำ้ พอง จงั หวัดขอนแกน่

19 ก

2

สาวน้อยลกู พระธาตขุ ามแกน่

คณะกลองยาวสาวน้อยลกู พระธาตุขามแกน่ มที ตี่ ้งั ท่ีวัดเจตยิ ภมู ิ (วดั พระธาตุขามแก่น)
บ้านขาม ตำบลบ้านขาม อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น ในอดีตการแสดงกลองยาวนั้น
เป็นการแสดงในรูปแบบโบราณหรือดั้งเดิม ทำการแสดงเพื่อสร้างความสนุกสนาน
และสร้างขวัญกำลังใจให้แก่คนในหมู่บ้านในโอกาสต่าง ๆ และยังสืบทอดมาและถูกถ่ายทอด
แก่คนรุน่ หลังมาจนถงึ ปัจจุบัน

ข้อมลู บรบิ ทหมบู่ า้ น

2.1 ประวัตคิ วามเปน็ มาของบา้ นขาม

เมื่อปี พ.ศ. 2028 คณะผู้ก่อตั้งครั้งแรก ประกอบด้วย พ่อใหญ่พระเทพ พ่อใหญ่ปู่ซพั
พ่อใหญ่แสนทำ และพ่อใหญ่เชียงงาน เดิมอยู่ที่เมืองสุวรรณภูมิ อำเภอสุวรรณภูมิ
จังหวัดร้อยเอ็ด ได้อพยพครอบครัวมาอยู่ที่บ้านกุดทิง ปัจจุบันอยู่ในเขตการปกครองของ
ตำบลบ้านโนน กิ่งอำเภอซำสูง จังหวัดขอนแก่น ต่อมาได้ย้ายมาอยู่ที่บ้านอุดมส มบูรณ์
จนกระทั่งมาพบองค์พระธาตุเก่าแก่ เป็นที่น่าเลื่อมใสศรัทธา จึงได้ตัดสินใจปักหลัก
สร้างบา้ นเรอื นอยู่บริเวณใกล้ ๆ องคพ์ ระธาตุ ซงึ่ ปัจจบุ ันคอื ที่ตั้งของหมบู่ ้านขาม

พระธาตุขามแก่น ตั้งอยู่ที่วัดเจติยภูมิ บ้านขาม หมู่ที่ 1 ตำบลบ้านขาม
อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น เป็นปูชนียสถานของจังหวัดขอนแก่น บ้านขามเคยเป็นเมือง
มาตั้งแต่สมัยโบราณ เป็นเวลาประมาณ 2,000 ปี ตั้งแต่ พ.ศ 500 ต่อมาเจ้าเมืองสุวรรณ
ภูมิ ชื่อ เพี้ยเมืองแพน (ปัจจุบันคือ จังหวัดร้อยเอ็ด) ได้มาตั้งเมืองขามแก่นที่ บ้านขาม
พุทธศตวรรษที่ 5 พระยาหลังเขียว หรือโมรยิ กษตั ริย์เจ้าเมืองโมรีย์ (เมอื งโมรีย์อยู่ในอาณา
เขตของประเทศกัมพูชา) สร้างพระธาตุขามแก่น ตั้งอยู่ในวัดเจติยภูมิ ตำบลบ้านขาม
พระธาตขุ ามแกน่ มหี ลายตำนานเลา่ ขานกนั มา ดงั น้ี

ตำนานทหี่ นง่ี นบั แต่การเสด็จดับขันธป์ รนิ พิ พานขององค์สมเดจ็ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในวันข ึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เมื่อถวายพระเพลิงเสร็จแล้ว พระบรมสารีริกธาตุ
ได้ถูกนำไปประดิษฐานไว้ในที่ต่าง ๆ คือ พระสารีริกธาตุกระโยงหัว (กะโหลกศีรษะ)

20

พระฆะฏิการพรหมนำไปไว้บนเทวโลก, พระธาตุเขี้ยวหมากแง (พระเขี้ยวแก้ว) พระอินทร์
นำไปไว้บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์,พระธาตุกระดูกด้ามมีด (พระรากขวัญ ) พระยานาคนำไปไว้
เมืองบาดาล ครั้งต่อมาโมริยกษัตริย์เจ้านครโมรยี ์ (อยู่ในประเทศกัมพูชาปัจจุบัน) ทราบข่าว
ภายหลังเพราะอยู่ห่างไกลและเดินทางช้า จึงได้แต่พระอังคารธาตุ (ฝุ่น) แล้วนำไปไว้ที่นคร
ของตน ประมาณพุทธศักราชล่วงมาได้ 3 ปี พระมหากัสสปะเถระเจ้า พร้อมด้วยพระอรหันต์
500 องค์ นำเอาพระอุรังคธาตุ (กระดูกส่วนอก) ไปประดิษฐานไว้ภูกำพร้า (พระธาตุพนม
ในปัจจุบัน) พระยาหลังเขียว โมริยกษัตริย์ และพระอรหันต์ยอดแก้ว, พระอรหันต์รังษี,
พระอรหันต์คันที และไม่ปรากฏชื่ออีก 6 องค์ จึงเดินทางพร้อมอัญเชิญเอาพระอังคารธาตุ
เพื่อไปบรรจไุ ว้ในพระธาตุพนมด้วย ระหว่างทางได้มาถึงพื้นที่แห่งหนึ่ง (ที่ตั้งของพระธาตุขาม
แก่นในปัจจุบัน) มีพื้นที่ดอน ราบเรียบ มีห้วยสามแยก น้ำไหลผ่านรอบดอน และมีต้นมะขาม
ใหญ่ที่ตายแล้วเหลือแต่แก่นอยู่ต้นหนึ่ง ขณะนั้นเป็นเวลาพลบค่ำพอดี ประกอบกับพื้นที่
มีความเหมาะสมจึงได้พกั แรมที่นี่ และนำเอาพระอังคารธาตไุ ปวางพักไว้บนแก่นของต้นมะขาม
ที่ตายแล้วดังกล่าว พอรุ่งเช้าทั้งคณะก็เดินทางมุ่งหน้าสู่สถานที่ก่อสร้างพระธาตุพนมต่อไป
พอไปถึงปรากฏว่าพระธาตุพนมได้สร้างเสร็จแลว้ ไม่สามารถนำพระอังคารธาตุบรรจุลงไปได้
อีก จึงจำต้องนำเอาพระอังคารธาตนุ ั้นกลับตามเส้นทางเดิม โดยตั้งใจว่าจะนำกลับไปไว้ที่นคร
ของตนตามเดิม เมื่อมาถึงดอนมะขามซึง่ เคยเป็นท่ีพกั แรม ครั้งก่อน ได้เห็นต้นมะขามใหญ่ที่ล้ม
ตายเหลือแต่แก่นนั้นกลับผลิตดอก ออกผล แตกกิ่งก้านสาขามีใบเขียวชอุ่มแลดูงามตายิ่งนัก
จะเป็นด้วยเทพเจ้าแสร้งนิมิต หรือด้วยอำนาจอภินิหารของพระอังคารธาตุก็มิอาจรู้ได้
เห็นเป็นอัศจรรย์เช่นนั้นจึงพร้อมกันก่อสร้างพระธาตุครอบต้นมะขาม และบรรจุพระอังคาร
ธาตุของพระเจ้าไว้ภายในด้วย โดยมีรูปลักษณะดังที่เราเห็น อยู่ในปัจจุบันนี้ จึงเรียกช่ือ
พระธาตุนี้ว่า “พระธาตุขามแก่น” หลังจาการก่อสร้างพระธาตุเสร็จแล้ว พระยาหลังเขียว
พร้อมด้วยบริวารได้สร้างบ้านแปลงเมืองอยู่ตรงนี้ และได้สร้างวัดให้เป็นที่พำนักของ
พระอรหันต์ทั้ง 9 องค์ ซึ่งมีวิหาร และพัทธสีมาเคียงคู่กับองค์พระธาตุสืบมา ครั้นกาลล่วงมา
พระอรหันต์ทั้ง 9 องค์ก็ได้ดับขันธ์ปรินิพพาน ชาวเมืองนำเอาอัฐิธาตุของท่านบรรจุไว้ใน
พระธาตุองค์เล็ก ซึ่งอยู่ด้านทิศตะวันออกของ อุโบสถในเวลานี้ ต่อมาประชาชนจึงเรียก
พระธาตอุ งค์ใหญ่ว่า ครบู าทั้งเก้าเจ้ามหาธาตุ สว่ นพระธาตุองค์เล็กเรียกว่า ครบู าทงั้ แปด

ตำนานที่สอง มีเรื่องราวคล้ายตำนานที่หนึ่ง แต่กล่าวว่าพระอรหันต์ที่อัญเชิญ
พระองั คารธาตุนนั้ มีเพียง 2 องคเ์ ทา่ นน้ั

ตำนานที่สาม แต่เดิม ณ ที่นี้เป็นที่รกร้างว่างเปล่า ต่อมาเมื่อเริ่มมีชาวบ้านเข้ามา
หักล้างถางพง จับจองที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยนั้น ชาวบ้านพบว่ามีตอมะขามที่ตายแล้ว
เหลือแต่แก่นอยู่ต้นหนึ่ง แต่ต่อมาปรากฏว่าแก่นมะขามนั้นกลับมีการแตกใบ ผลิดอก ดูแปลก
ประหลาด และพบว่าหากมีใครที่ไปทำการอะไรที่เป็นการดูหมิ่นหรือลบหลู่ตอมะขามน้ัน

21 ก

คนผู้นั้นก็จะมีอันเป็นไป ชาวบ้านจึงเกิดความเคารพบูชา และร่วมกันสร้างเจดีย์ครอบตอ
มะขามนั้นไว้ พร้อมกับบรรจุพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า 9 ประการ ไว้ในนั้นด้วย
จึงเรยี กเจดียท์ ีส่ ร้างนัน้ วา่ พระเจ้าเก้าพระองค์ หรือ เจดีย์บ้านขาม ต่อมาจึงเปน็ พระธาตขุ าม
แก่น งานฉลองและนมัสการพระธาตุขามแก่น ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 การสักการะ
ใช้ธูป เทียน ดอกไม้ ขันแปดเก้า ในวันขึ้น 15 ค่ำ ของทุกเดือน พระธาตุขามแก่น พระธาตุขาม
แก่นเป็นปูชนียสถานสำคัญคู่เมืองขอนแก่นและเป็นที่เคารพสักการะของชาวจังหวัดขอนแกน่
ต้ังอยู่ในบริเวณวดั เจตภิ ูมิ บา้ นขาม หมทู่ ่ี 1 หม่ทู ี่ 15 ตำบลบา้ นขาม อำเภอนำ้ พอง อยู่ห่างจาก
จังหวัดขอนแก่นประมาณ 30 กิโลเมตร เดินทางไปตามถนนสายขอนแก่น -กาฬสินธ์ุ
เลี้ยวซ้ายที่หลักกิโลเมตรที่ 12 บ้านโคกสี เป็นถนนลาดยางตลอด มีป้ายบอกทางไปพระธาตุ
ขามแก่นเป็นระยะๆ จนถึงองค์พระธาตุ พระธาตุขามแก่นมีลักษณะเป็นเจดีย์ฐานสามเหลี่ยม
ทรงอีสาน องค์พระธาตุสูง 19 เมตร ฐานด้านทิศตะวันออกและตะวันตกกว้าง 10.90 เมตร
เท่ากัน รอบองค์พระธาตุมีกำแพงแก้วล้อมรอบ ท้ัง 4 ด้าน สูง 1.20 เมตร กำแพงแก้วห่าง
จากองค์พระธาตุโดยเฉลี่ย 2.30 เมตร ทุกด้านมีประตูเข้าออก ด้านทิศเหนือ 2 ช่อง
และทิศใต้ 2 ช่อง กว้างช่องละ 1 เมตร ตำนานพระธาตุขามแก่น ประมาณ พ.ศ. 3 พระ
มหากัสสปได้นำเอาพระอุรังคธาตุของพระ พุทธเจ้ามาประดิษฐานที่ภูกำพร้าและได้สร้างองค์
พระธาตพุ นมขน้ึ พระยาหลงั เขียวโมรยี กษตริย์ทราบ ขา่ วดังนน้ั เกดิ ศรทั ธาใคร่นำพระอังคาร
มาบรรจุไว้ด้วยกัน จึงได้เดินทางมาพร้อมกับข้าราชบริพาร และพระอรหันต์ทั้ง 9 องค์
ในระหวา่ งเดนิ ทางได้ผา่ นดอนมะขามแหง่ หน่ึงเป็นเวลาคำ่ พอดี จึงได้พากนั พักแรมในสถานท่ีน้ี
ในบริเวณที่พักมีต้นมะขามตายต้นใหญ่ต้นหนึ่ง มีแต่แก่นข้างใน จึงได้เอาพร อังคารเก็บไว้ใน
ต้นมะขามต้นนี้ ครั้งเมื่อเดินทางต่อไปยังภูกำพร้า ปรากฏว่าองค์พระธาตุพนมสร้างเสร็จไป
เรียบร้อยแล้ว จึงต้องเดินทางกลับถิ่นเดิม เมื่อเดินทางมาถึงดอนมะขามบริเวณที่พักที่เดิมก็
พบว่าต้นมะขามที่ตายเหลือแต่แก่นต้นนั้น กลับยืนต้นแตกกิ่งก้านสาขา มีใบเขียวชะอุ่ม
และดูงามตาเปน็ อัศจรรย์ พระยาหลงั เขียวและพระอรหันต์ท้งั 9 องค์ จึงตกลงใจสร้างพระธาตุ
ครอบต้นมะขาม โดยบรรจุพระอังคารของพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยแก้วแหวนเงินทอง
โดยทำเป็นพระพุทธรูปแทนพระองค์เข้าบรรจุไว้ในองค์พระธาตุ และก่อสร้างบ้านเรือน
ณ บริเวณใกล้ ๆ พระธาตุ ส่วนพระอรหันต์ทั้ง 9 องค์ ก็ได้จัดสร้างวัดเคียงคู่พระธาตุ
เมื่อพระอรหันต์ทั้ง 9 องค์ได้ดับขันธ์ปรินิพพาน ประชาชนได้นำพระธาตุของพระอรหันต์
บรรจุไว้ในพระธาตุองค์เล็กซึ่งอยู่ใกล้พระธาตุขามแก่นเรียกว่าครูบาทั้งเก้า เจ้ามหาธาตุ
มาจนทกุ วันนที้ กุ วันเพญ็ เดอื น 6 จะมงี านฉลององคพ์ ระธาตขุ ามแกน่ เป็นงานประจำปี

22

2.2 สภาพเศรษฐกิจและสังคม

สภาพเศรษฐกิจและสงั คมของบ้านขาม ตำบลบ้านขาม อำเภอน้ำพอง จงั หวดั ขอนแก่น
ส่วนใหญ่ประชากรในบ้านขามประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก เนื่องจากสภาพ
ภูมิประเทศของบ้านขามนั้นมีลักษณะแบบที่ราบลุ่มที่อยู่ใกล้กับแหล่งน้ำและอยู่ใกล้กับ
คลองชลประทาน ชาวบ้านขามจึงมีการทำนาตลอดทั้งปีไม่ว่าจะเป็นการทำนาปีหรือนาปรัง
เพราะพื้นที่ในการทำนาส่วนใหญ่นั้นมีพื้นที่อยู่ใกล้กับคลองชลปร ะทานที่ส่งน้ำมาจาก
เขื่อนหนองหวาย ตำบลน้ำพอง อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นพื้นที่ปล่อยน้ำ
ในการทำการเกษตรขนาดใหญ่ของจังหวัดขอนแก่นด้วย นอกจากการทำนาแล้วชาวบ้าน
ยังมีการปลูกพืชไร่ร่วมด้วยอาทิเช่น การปลูกอ้อย มันสำปะหลัง และยางพารา การที่ชาวบ้าน
นิยมทำไร่อ้อยร่วมด้วยนั้นเนื่องมาจากว่าในเขตพื้นที่มีโรงงานรับซื้ออ้อยอยู่ในเขตอำเภอ
ชาวบ้านจึงไม่ต้องเดินทางไปขายอ้อยในพื้นที่อื่นซึ่งเป็นพื้นที่ที่ห่างไกลจากโรงงานด้วยเหตุนี้
ชาวบา้ นจงึ นิยมปลกู ออ้ ยในการทำการเกษตรร่วมกับการเกษตรประเภทอน่ื ๆ

นอกจากอาชีพในการทำการเกษตรในพื้นที่หมู่บ้านแล้วชาวบ้านขามยังมีการทำอาชีพ
รบั จา้ งอย่างอืน่ ร่วมด้วย เชน่ การรบั จ้างในโรงงานอตุ สาหกรรม เนือ่ งจากพ้นื ทีอ่ ำเภอน้ำพอง
นั้นเป็นพื้นที่ที่มีโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่อยู่หลายแห่งอาทิเช่น โรงงานผลิตกระดาษ
การผลิตน้ำตาล โรงงานทำปูนซีเมนต์ ชาวบ้านจึงมีการทำอาชีพเป็นลูกจ้างในโรงงานนั้น ๆ
ทั้งนย้ี ังมกี ารเข้ามาทำงานในตวั เมือง ที่ของบ้านขามสามารถเดินทางไปยังอำเภอเมืองขอนแก่น
นั้นได้สะดวก เพราะมีถนนเส้นหลักตัดผ่านหมู่บ้านเข้าไปยังตัวเมืองขอนแก่น จึงทำให้การ
เดินทางไปทำงานในตัวเมืองนั้นมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านบางส่วนจึง
นิยมเข้ามาทำงานหารายได้เป็นลูกจ้างในตัวเมอื งขอนแก่นอีกดว้ ยเช่นกนั ประชากรในบ้านขาม
ยังมีสัดส่วนการประกอบอาชีพอื่น ๆ ด้วย เช่น อาชีพให้บริการหรืออาชีพข้าราชการในสังกัด
หน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่อำเภอน้ำพอง จึงทำให้ประชากรในบ้านขามมีการประกอบอาชีพ
ที่หลากหลายตามบรบิ ทของพ้นื ท่ดี ้วยเช่นกัน

2.3 วัฒนธรรมประเพณี

ชาวบ้านขาม ยังมีการปฏิบัติกิจกรรมที่เกี่ยวกับประเพณีทั้ง 12 เดือน หรือที่เรียกว่า
ฮีต 12 อยู่อย่างต่อเนื่อง ฮีตสิบสองนั้นคือ ประเพณี 12 เดือนที่เกี่ยวเนื่องกับหลักทางพุทธ
ศาสนา ความเชื่อและการดำรงชีวิตทางเกษตรกรรม ซึ่งชาวอีสานยังยึดถือปฏิบัติกัน
มาแต่โบราณ มีแนวปฏิบัติแตกต่างกันไปในแต่ละเดือนเพื่อให้เกิดสิริมงคลในการดำเนินชีวิต
เรียกอย่างท้องถิ่น ว่างานบุญ ชาวอีสานรวมทั้งชาวบ้านขาม ยังให้ความสำคัญกับประเพณี
ฮีตสิบสองเป็นอย่างมากและยึดถือปฏิบัติมาอย่างสม่ำเสมอ คําว่า ฮีตสิบสอง มาจากคําว่า
ฮีต อันหมายถึงจารีต การปฏิบัติที่สืบต่อกันมาจนกลายเป็นประเพณี สิบสอง คือประเพณี

23 ก

ที่ปฏิบัติตามเดือนทางจันทรคติทั้งสิบสองเดือน โดยฮีตสิบสองของชาวบ้านขาม ประกอบ
ไปด้วยบญุ ต่าง ๆ ดังตอ่ ไปน้ี

เดือนอ้าย บุญเข้ากรรม งานบุญเดือนอ้ายหรือเดือนเจียง ทางสุริยะคติตรงกับ
ช่วงเดือนธันวาคม พระสงฆ์จะทำพิธีเข้ากรรมหรือที่เรียกว่า "เข้าปริวาสกรรม" เพื่อทำการ
ชําระมลทินที่ได้ล่วงละเมิด พระวินัยคือ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส การอยู่กรรมนั้นจะใช้เวลา
3 – 5 วัน ในระหว่างนี้เอง ชาวบ้านขามจะเตรียมอาหารหวานคาวนําไปถวายพระภิกษุทั้งเช้า
และเพล เพราะการอยู่กรรมจะต้องอยู่ในบริเวณสงบ เช่น ชายป่าหรือที่ห่างไกลชุมชน
หรืออาจเป็นที่สงบ ในบริเวณวัดก็ได้ แต่ปัจจุบันนั้นประกอบพิธีที่วัดเจติยภูมิ บ้านขาม
ชาวบ้านที่นําอาหารไปถวายพระภิกษุในระหว่างอยู่กรรมนี้ เชื่อว่าจะทำให้ได้บุญกุศลมาก
และมูลเหตุของพิธีกรรมนี้คือ เพื่อลงโทษภิกษุผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสสต้องเข้าปริวาสกรรม
จึงจะพ้นอาบัติหรือพ้นโทษกลับเป็นภิกษุผู้มีศีลบริสุทธิ์อยู่ในพุทธศาสนาต่อไป คําว่า
"เข้าปริวาสธรรม" นี้ภาษาลาวและไทอีสานตัดคํา "ปริวาส" ออกเหลือเป็น "เข้ากรรม" ดังน้ัน
บุญเข้ากรรมก็คือ "บุญเข้าปริวาสกรรม" ในพิธีกรรมนี้ ภิกษุผู้ต้องอาบัติหมวดสังฆาทิเลส
ที่จะเข้าอยู่ปริวาสกรรม เพื่อชําระล้างความมัวหมองของศีลให้แก่ตนเองต้องไปขอปริวาส
จากสงฆ์ เมื่อสงฆ์อนุญาต แล้วจึงมาจัดสถานที่ที่จะเข้าอยู่ปริวาสกรรม เมื่อจัดเตรียมสถานที่
เรียบร้อยแล้ว ภิกษุต้องอาบัติสังฆาทิเสสข้อใดข้อหนึ่งจะต้องอยู่ปริวาส (การอยู่ค้างคืน)
และต้องประพฤติวัตร (การปฏิบัติการจำศีล) ต่าง ๆ เช่น งดใช้สิทธิ์ บางอย่างลดฐานะ
และประจานตนเอง เพื่อเป็น การลงโทษตนเอง โดยต้องประพฤติวัตร ให้ครบจำนวนวันที่
ปกปัดอาบัตินั้น ๆ เพื่อปลดเปลื้องตนจากอาบัติสังฆาทิเสส และต้องไปหา "สงฆ์จตุรวรรค"
(คือภิกษุสี่รูปขึ้นไป) เพื่อจะขอ "มานัต" และมีภิกษุอีกรูปหนึ่งจะสวดประกาศให้มานัตแล้ว
ภิกษุผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสสต้องประพฤติมานัตอีก 6 คืนแล้วสงฆ์ผู้บริสุทธิ์จึงจะเรียกเข้า
หมกู่ ลาย เปน็ ผู้บรสิ ุทธติ์ อ่ ไป

เดือนยี่ บุญคูนลานหรือบุญคูนข้าว ทางสุริยคติตรงกับช่วงเดือนมกราคม
เป็นพิธีกรรมฉลองภายหลังจากเสร็จสิ้นการเก็บเกี่ยว ชาวบ้านรู้สึกยินดีที่ได้ผลผลิต
จึงต้องการทำบญุ โดยนิมนต์พระสงฆ์มาสวดมนต์ในลานขา้ วและจะมีการสู่ขวัญขา้ วเพื่อฉลอง
ความอุดมสมบูรณ์ กล่าวขอบคุณแม่โพสพและขอโทษที่ได้เหยียบย่ำพื้นแผ่นดินในระหว่าง
การทำนา เพื่อความเป็นสิริมงคลและให้ผลผลิตเป็นทวีคูณในปีต่อไป มูลเหตุของพิธีกรรม
มูลเหตุของพิธีทำบุญคูนข้าวหรือบุญคูนลาน เนื่องมาจากในสมัยก่อนนั้น เมื่อชาวนาเกบ็ เกีย่ ว
ข้าวเสร็จจะหาบฟ่อนข้าวมารวมกันเป็น "ลอนข้าว" ไว้ที่นาของตน ถ้าลอมข้าวของใครสูงใหญ่
ก็แสดงให้ผู้คนที่ผ่านไปมารู้ว่านาทุ่งนั้นเป็นนาดี ผู้เป็นเจ้าของก็ดีใจ หายเหน็ดเหนื่อยจิตใจ
เบิกบานอยากทำบุญทำทาน เพื่อเป็นกุศลส่งใหใ้ นปีต่อไปจะได้ผลผลิตข้าวเพิ่มขึน้ อีก เรียกว่า
"คูนให้ใหญใ่ ห้สงู ขึน้ " เพราะคาํ วา่ "คณู " น้มี าจาก "คำ้ คูณ" หมายถงึ อุดหนุนให้ดีขึ้น ช่วยให้เจริญ

24

ขึ้น พิธีกรรมนั้น ผู้ประสงค์จะทำบุญคูนข้าวหรือบุญคูนลานต้องจัดสถานที่ทำบุญ ที่
"ลานนวดข้าว" ของตนโดยนิมนต์พระภิกษุสงฆ์มาเจริญพุทธมนต์มีการวางด้ายสายสิญจน์
และปักเฉลวรอบกองข้าว เมื่อพระสงฆ์เจริญพุทธมนต์เสร็จแลว้ ก็จะถวายภัตตาหารเลีย้ งเพล
แก่พระภิกษุสงฆ์จากนั้นนําข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงญาติพี่น้องผู้มาร่วมทำบุญ เมื่อพระภิกษุ
สงฆ์ฉันเสร็จก็จะประพรมน้ำพุทธมนต์ให้กองข้าว ให้เจ้าภาพและทุกคนที่มาร่วมทำบุญ
จากนั้นท่านก็จะให้พรเจ้าภาพก็จะนําน้ำพระพุทธมนต์ที่เหลือไปประพรมให้แก่ วัว ควาย
ตลอดจนไรน่ าเพ่ือความเป็นสิริมงคล และเช่ือวา่ ผลของการทำบญุ จะชว่ ยอุดหนนุ เพิ่มพูนให้ได้
ข้าวมากขึ้นทุก ๆ ปี แต่ปัจจุบันนี้ บ้านขามนำมาประกอบพิธีรวมกันที่วัด เพื่อความสะดวกต่อ
การจัดงาน โดยนำกระสอบข้าวเปลือกมาวางรวมกันแทนฟ่อนข้าวแล้วประกอบพิธี
ตามความเชอ่ื แบบเดิม

เดือนสาม บุญข้าวจี่ ทางสุริยคติตรงกับช่วงเดือนกุมภาพันธ์ เป็นประเพณีที่เกิดจาก
ความสมัครสมานของชุมชน ชาวบ้านจะมาประกอบพิธีรวมกันที่วัด โดยการจี่ข้าวมาจาก
บ้านของตนเอง มีเทศน์อานิสงส์ของการทำบุญทั่วไป มูลเหตุของพิธีกรรมตามตำนานบอกว่า
เป็นมูลเหตุจากความเชื่อทางพุทธศาสนา เนื่องมาจากสมัยพทุ ธกาลมีนางทาสช่ือปุณณทาสีได้
นําแป้งข้าวจ่ี (แป้งทำขนมจีน) ไปถวายพระพุทธเจ้าแต่จติ ใจของนางคิดว่า ขนมแป้งข้าวจ่เี ป็น
ขนมของผู้ต่ำต้อยพระพุทธเจ้าคงไม่ฉัน ซึ่งพระพุทธเจ้าหยั่งรู้จิตใจนางจึงทรงฉันแป้งข้าวจี่
ทำให้นางปิติดีใจ ชาวอีสานจึงเอาแบบอย่างและพากันทำแป้งข้าวจี่ถวายพระมาตลอด
อีกทั้งเนื่องจากในเดือนสามอากาศของภูมิภาคอีสานกําลังอยู่ ในฤดูหนาวในตอนเช้าผู้คน
จะใช้ฟืนก่อไฟ ผิงแก้หนาวชาวบ้านจะเขี่ยเอาถ่านออกมาไว้ด้านหนึ่งของกองไฟ แล้วนําข้าว
เหนียวมาปั้นเป็นก้อนกลม โรยเกลือวางลงบนถ่านไฟแดง ๆ นั้นเรียกว่า ข้าวจี่ ซึ่งมีกลิ่นหอม
ผิวเกรียมกรอบน่ารับประทานทำให้นึกถึงพระภิกษุสงฆ์ ผู้บวชอยู่วัดอยากให้ได้ รับประทาน
บ้าง จึงเกิดการทำบุญข้าวจี่ขึ้น ดังมีคํากล่าวว่า “เดือนสามค้อย เจ้าหัวคอยปั้นข้าวจี่ ข้าวจี่บ่มี
น้ำอ้อย จัวน้อยเช็ดน้ำตา” หมายความว่า พอถึงปลายเดือนสามภิกษุก็คอยปั้นข้าวจี่ ถ้าข้าวจี่
ไม่มีน้ำอ้อยสอดไส้ เณรน้อยเช็ดน้ำตา พิธีกรรมนั้น พอถึงวันนัดหมายทำบุญข้าวจี่ทุก
ครัวเรือนในหมู่บ้านจะจัดเตรียมข้าวจี่ตั้งแต่ตอนย่ำรุ่งของวันนั้นเพื่อให้ข้าวจี่สุกทันใส่บาตร
จังหัน นอกจากขา้ วจ่แี ล้วกจ็ ะนํา “ขา้ วเขยี บ” (ข้าวเกรยี บ) ทงั้ ทีย่ งั ไม่ย่างเพือ่ ให้พระเณรยา่ งกิน
เองและที่ย่างไฟจนโป่งพองใสถ่ าดไปดว้ ย พร้อมจัดอาหารคาวไปถวายพระท่ีวัด ข้าวจีบ่ างก้อน
ผู้เป็นเจ้าของไดส้ อดไส้ดว้ ยนำ้ ออ้ ยแล้วทาด้วยไข่เพื่อให้เกิดรสหวานหอมชวนรับประทาน ครั้น
ถึงหอแจกหรอื ศาลาโรงธรรมพระภิกษสุ ามเณรท้งั หมดในวัดจะลงศาลาท่ีญาติโยมท่ีมารวมกัน
อยู่บนศาลาก่อน แล้วประธานในพิธีเป็นผู้อาราธนาศีล พระภิกษุให้ศีล ญาติโยมรับศีล แล้ว
กล่าวคําถวายข้าวจี่ จากนั้นก็จะนํา ข้าวจี่ใส่บาตรพระ ซึ่งตั้งเรียงไว้เป็นแถวเท่าจำนวนพระ

25 ก

เณร พร้อมกับถวายปิ่นโตสำรับกับข้าวคาวหวาน เมื่อพระฉันจังหันเทศน์เสร็จแล้วก็ให้พร
ญาตโิ ยมรบั พรเป็นเสร็จพิธี

เดือนสี่ บุญผะเหวด ทางสุริยคติตรงกับช่วงเดือนมีนาคม เป็นประเพณีตามคติ
ความเชื่อของชาวอีสานที่ว่า หากผู้ใดได้ฟังเทศน์เรื่องพระเวสสันดรทั้ง 13 กัณฑ์จบภายในวัน
เดียวจะได้เกิดร่วมชาติภพกับพระศรีอริยเมตไตรย บุญผะเหวดนี้จะทำติดต่อกันสามวัน วัน
แรกจัดเตรียมสถานที่ตกแต่ง ศาลาการเปรียญวันที่สองเป็นวันเฉลิมฉลองพระเวสสันดร
ชาวบ้านร่วมทั้งพระภิกษุสงฆ์จากหมู่บ้านใกล้เคียงจะมาร่วมพิธีมีทั้งการจัดขบวนแห่เครื่อง
ไทยทานฟังเทศน์และแห่พระเวส โดยการแห่ผ้าผะเหวด(ผ้าผืนยาวเขียนภาพเล่าเรื่อง
พระเวสสันดร) ซึ่งสมมติเป็น การแห่พระเวสสันดรเข้าสู่เมือง เมื่อถึงเวลาค่ำจะมีเทศน์เรื่อง
พระมาลัย ส่วนวันที่สามเป็นงานบุญพิธี ชาวบ้านจะร่วมกันตักบาตรข้าวพันก้อน พิธีจะมีไป
จนค่ำ ชาวบ้านจะแห่แหนฟ้อนรําตั้งขบวนเรียงรายตั้งกัณฑ์มาถวายอานิสงส์อีกกัณฑ์หนึ่งจึง
เสรจ็ พธิ ี มูลเหตุของพิธีกรรมพระสงฆ์จะเทศนเ์ ร่ือง เวสสันดรชาดกจนจบและเทศน์ จากเรื่อง
ในหนังสือมาลัยหมื่นมาลัยแสนกลา่ วว่า ครั้งหนึ่งพระมาลัยเถระได้ขึ้นไปไหว้พระธาตุเกษแก้ว
จุฬามณี บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์และได้พบปะสนทนากับพระศรีอริยเมนไตรย ผู้ที่จะมาเป็น
พระพุทธเจ้าในอนาคตและพระศรีอริยเมตไตรยได้สั่งความมากับพระมาลัยว่า "ถ้ามนุษย์
อยากจะพบและร่วมเกดิ ในศาสนาของพระองคแ์ ลว้ จะต้องปฏิบัติตนดงั ต่อไปน้ีคอื " 1) จงอย่าฆ่า
พอ่ ตีแม่ สมณพราหมณ์ 2) จงอย่าทำรา้ ยพระพทุ ธเจา้ และยุยงใหส้ งฆ์แตกแยกกนั 3) ให้ต้งั ใจ
ฟังเทศน์เร่ือง พระเวสสันดรให้จบในวนั เดียวด้วยเหตุที่ชาวอีสานต้องการจะได้พบพระศรีอริย
เมตไตรยและเกิดร่วมศาสนาของพระองค์ จึงมกี ารทำบุญผะเหวดซึง่ เป็นประจำทกุ ปี

เดือนห้า บุญสรงนำ้ หรือ บุญฮดสรง หรือ บุญสงกรานต์ ทางสรุ ิยคตติ รงกบั ช่วงเดือน
เมษายน จัดให้มีในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนห้า ซึ่งถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยมาตั้งแต่โบราณ ใน
วันขึ้นปีใหม่ของไทยมาแต่โบราณ ในวันนี้พระสงฆ์และชาวบ้านขามจะนำพระพุทธรูป
ออกจากโบสถห์ รือวัดมาไว้ท่ีหอสรง ตอนบ่าย ชาวบา้ นจะนําน้ำอบ นำ้ หอม มาร่วมกันสรงน้ำ
พระพุทธรูปที่หอสรงนี้และไปสรงน้ำองค์พระธาตุขามแก่น จากนั้น ก็ออกไปเก็บดอกไม้
มาจัดประกวดประชันในการบูชาพระหรือตบประทาย ทั้งนี้ยังมีการจัดพิธีการสรงน้ำอัฐิ
ของบรรพบุรุษผู้ที่วายชนม์ไปแล้วที่บรรจุไว้ในธาตุหรือกำแพงวัด เพื่อเป็นการระลึกถึง
ผู้วายชนม์ ระหว่างนี้ชาวบ้านจะพากนั เล่นกลองยาว แคน ฉิ่งฉาบ เพื่อความสนุกสนานรดนำ้
ดำหัวญาติผูใ้ หญ่ และเล่นสาดน้ำกนั

เดือนหก บุญบั้งไฟ ทางสุริยะคติตรงกับช่วงเดือนพฤษภาคม เป็นประเพณีที่เกิดจาก
ความเชื่อเกี่ยวกับแถน เมื่อถึงเดือนหกเริ่มต้นการทำนาชาวบ้านจะจุดบั้งไฟเป็นการบูชา
ขอให้พญาแถนบันดาล ฝนให้ตกลงมา ประเพณีบุญบั้งไฟเป็นกิจกรรมร่วมกนั ของชุมชนอสี าน
หลาย ๆ หมู่บ้าน หมู่บ้านเจ้าภาพจะปลูกโรงเรือน เรียกว่า ผามบุญ ไว้ต้อนรับ ชาวบ้าน

26

จากหมู่บ้านอื่น มีการดูแลจัดหาอาหารสำหรับทุก ๆ คน เช้าของวันงานชาวบ้านจะร่วมกัน
ทำบุญ ประกวดประชัน แห่และจุดบั้งไฟที่ตกแต่ง อย่างงดงาม บั้งไฟของผู้ใดจุดไม่ข้ึน
จะถูกโยนลงโคลนเป็นการทำโทษ และจะมีการเซิ้งฟ้อนกันอย่างสนุกสนาน และจะมีการเซิ้ง
ปลัดขิกร่วมอยู่ในขบวนด้วยเสมอ โดยมีความเชื่อว่าเป็นการไล่ผีให้พ้นออก ไปจากหมู่บ้าน
และเร่งให้แถนส่งฝนลงมาเร็ว ๆ นอกจากนี้ในเดือนหกนั้น ยังมีงานบุญประจำปีที่มี
ความสำคัญอีกหนึ่งงาน คืองานฉลองและนมสั การพระธาตุขามแก่น ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6
ของทกุ ปี โดยมีการสกั การะองค์พระธาตุ ใช้ธูป เทยี น ดอกไม้ และขันแปดขนั เกา้ ร่วมด้วย

เดือนเจ็ด บุญเบิกบ้าน ทางสุริยคติตรงกับช่วงเดือนมิถุนายน เกิดตามความเชื่อที่ว่า
เมื่อถึงเดือนเจด็ ต้องทำบุญชําระจติ ใจใหส้ ะอาดและเพ่ือปัดเป่ารังควาญส่งิ ไมเ่ ป็นมงคลออกจาก
หมู่บ้าน ซึ่งมีพิธีกรรมทั้งทางศาสนาพุทธและไสยศาสตร์ จะมีการตั้งบุญคุณเจริญพระพุทธ
มนตร์ 3 คืน มีการนำก้อนหินเล็ก ๆ มาปลุกเสกและน้ำมนต์ ในวันงานชาวบ้านจะพากัน
นําภัตตาหารมาถวายแด่พระภิกษุสงฆ์และร่วมกันฟังเทศน์ฟังธรรม รวมทั้งมีการเซ่นไหว้ศาล
หลกั บา้ น เพ่อื ขอความคุ้มครองให้พน้ จากภัยพิบตั ิและชว่ ยขบั ไลส่ งิ่ ไม่ดไี มง่ ามออกไปจากหมู่บ้าน
ให้บ้านเกิดความเป็นสิริมงคล หลักจากเสร็จพิธีแล้วจะนำก้อนหินกลับไปหว่านที่บ้าน
และนำ้ มนตก์ ็จะเอาไปหยอดใส่อ่างน้ำดื่มกนิ

เดือนแปด บุญเข้าพรรษา ทางสุริยคตติ รงกบั ชว่ งเดือนกรกฎาคม เมอื่ ถึงวนั เพ็ญเดือน
แปดตอนเช้าชาวบ้านก็จะนําดอกไม้ธูปเทียน ข้าวปลา อาหาร มาทำบุญตักบาตร
ที่วัดตอนบ่ายจะนําสบงจีวร ผ้าอาบน้ำ เทียนพรรษา และดอกไม้ธูปเทียนมาถวาย พระภิกษุ
ที่วัดแล้วรับศีลฟังธรรมพระเทศนาพอถึงเวลาประมาณ 19.00-20.00 น. ชาวบ้านจะนํา
ดอกไม้ธูปเทียนมารวมกันที่ศาลาโรงธรรมเพื่อรับศีล และเวียนเทียนรอบองค์พระธาตุขาม
แก่นจนครบสามรอบ แล้วจึงเข้าไปในศาลาโรงธรรมเพื่อฟังพระธรรมเทศนาจนจบจากนั้น
จะแยกกันกลับบ้านเรือนของตน ส่วนผู้ที่มีศรัทธาแก่กล้าก็จะพากันรักษาศีลแปดจนถึงเช้า
วนั รุง่ ขึน้ ซึ่งเป็นวนั แรมหนึง่ ค่ำเดอื นแปด อนั เปน็ วันเขา้ พรรษา ซึง่ พระภิกษจุ ะตอ้ งจำพรรษา
ในวดั ของตนเปน็ เวลาสามเดอื น

เดือนเก้า บุญข้าวประดับดิน ทางสุริยคติตรงกับช่วงเดือนสิงหาคม บุญข้าวประดับดิน
จัดขึ้นในช่วงปลายเดือนเก้าเป็นการทำบุญให้ญาติผู้ล่วงลับ โดยชาวบ้านจะทำการนําข้าวปลา
อาหารคาวหวาน หมากพลู บุหรี่อย่างละเล็กละน้อย ห่อด้วยใบตองเป็นสองห่อกลัดติดกัน
เตรยี มไวต้ ั้งแตห่ ัวค่ำ ครน้ั ถึงเวลาตีสาม ตสี ่ีของวันรงุ่ ขน้ึ จะนําห่ออาหารและหมากพลูไปวางไว้
ตามโคนตน้ ไมร้ อบ ๆ วัด เพอ่ื ให้ญาตพิ ่ีน้องผู้ล่วงลับรวมทั้งผไี ร้ญาติอ่นื ๆ ซึ่งเชื่อว่าจะมาเยี่ยม
ญาติพี่น้องในเวลานี้มารับไปเพื่อจะได้ไม่อดอยากหิวโหย นอกจากจะเป็น การทำบุญ
และทำทานแล้วยงั แสดงถงึ ความกตญั ญูอีกสว่ นด้วย

27 ก

เดือนสบิ บญุ ข้าวสาก บุญขา้ วสากเปน็ ประเพณีในวันข้นึ 15 คำ่ ทางสรุ ยิ คติตรงกับช่วง
เดือนกันยายน ซึ่งชาวบ้านนั้น จะจัดเตรียมสำรับอาหารซึง่ บรรจุข้าวเหนียว อาหารแห้ง เช่น
ปลาย่าง เนื้อย่าง แจ่วบองหรือ น้ำพริกปลาร้า และห่อข้าวเล็ก ๆ อีกห่อหนึ่งสำหรับอุทิศให้
ญาติผู้ล่วงลับและนําไปทำบุญที่วัด โดยจะเขียนชื่อเจ้าของ สำรับอาหารและเคร่ืองไทยทานใส่
ไว้ในบาตร เพื่อให้พระในวัดทำการเผากระดาษนั้นไปและนำสำรับอาหารพร้อม
เคร่ืองไทยทานของเจา้ ภาพนัน้ ๆ มารบั ฉันเพอื่ ใหเ้ กดิ การอุทิศไปถึงดวงวญิ ญาณของผูล้ ว่ งลบั

เดือนสิบเอ็ด บุญออกพรรษา ทางสุริยคติตรงกับช่วงเดือนตุลาคม ในเช้ามืดวันข้ึน 15
คำ่ เดือน 1 พระสงฆ์จะไปรวมกนั ทอ่ี ุโบสถหรอื ศาลาวัดเพ่อื แสดงอาบตั ติ อ่ กัน จากนน้ั จะทำวตั ร
และทำปวารณาแทนการสวดปาฏิโมกข์ (ปวารณา คือ พิธีกรรมทางศาสนาทสงฆ์ยอมให้ว่า
กล่าวตกั เตอื นกับการปวารณาจะทำในวันข้ึน 15 คำ่ เดอื น 11 ซงึ่ เป็นวันออกพรรษาจึงเรยี กวัน
ออกพรรษาว่า วันปวารณาหรือวันมหาปวารณา (จากพจนานุกรรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน
พ.ศ.2525 ฉบบั พิมพ์ พ.ศ.2538) สว่ นชาวบ้านขามกจ็ ะเตรียมข้าวปลาอาหาร เพอื่ ใหท้ ำบญุ
ตักบาตรที่วัดในตอนรุ่งเช้า ตอนค่ำมีการเวียนเทียนและลอยกระทง จุดบั้งกะโพกหรือประทัด
ท่ีทำใหเ้ กิดเสียงดัง เพ่อื เป็นการถวายเปน็ พุทธบชู าในวนั ออกพรรษา

เดือนสิบสอง บญุ กฐิน คือ บญุ ท่ีเรียกวา่ "กาลทาน" มีกำหนดใหท้ ำไดเ้ ฉพาะใน ช่วงวัน
แรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึง 15 ค่ำ เดือน 12 ของทุก ปี ชาวบ้านจะทำการเตรียมเครื่องบริวารกฐิน
ซง่ึ สว่ นมากจะเปน็ เครือ่ งใช้ในครวั เรือนมาตง้ั วางไวใ้ นทเี่ ปดิ เผยเพื่อใหญ้ าติพี่น้องหรือชาวบ้าน
ใกล้เคียงนําสิ่งของ เช่น เสื่อ หมอน อาสนสงฆ์ ฯลฯ มาร่วมสบทบ ตอนเย็นของวันรวม
ก็จะนิมนต์ พระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ตอนกลางคืน อาจจัดให้มีมหรสพต่าง ๆ
และทขี่ าดไม่ได้ในงานบุญกฐินก็คือ ต้องจดุ "บ้ังพล"ุ อยา่ งนอ้ ยจำนวน 4 บ้ัง เอาไว้จุดเมื่อตอน
หัวค่ำหน่งึ ลูก ตอนดึกหน่ึงลกู ตอนใกลส้ วา่ งหน่ึงลูก และตอนถวายกฐินอกี หนึง่ ลูก นอกจากจุด
บั้งไฟพลุแล้วกจ็ ะจุดบ้ังไฟตะไลเปน็ ระยะ ๆ ในขณะที่แห่กฐนิ รุ่งเช้าเป็นขบวนแหก่ ฐินจากบ้าน
ไปถวายพระสงฆ์ที่วัด เมื่อถึงวัดต้องแห่เครื่องกฐินเวียนขวาสามรอบรอบศาลาโรงธรรม
จากนั้นจึงนําเครื่องกฐินขึ้นตั้งบนศาลาโรงธรรม นําข้าวปลา อาหารถวายพระ ถ้าถวายตอน
เช้าก็เลี้ยงพระตอนฉันจงั หัน แต่ถา้ ถวายตอนบา่ ยก็จะเล้ยี งพระตอนเพล เม่อื พระสงฆส์ ามเณร
ฉันเสร็จแล้วผู้เป็นเจ้าภาพองค์กฐินจะจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย นํารับศีลแล้วกล่าวคํา
ถวายกฐินเป็นเสร็จพิธี ส่วนพระสงฆ์เมื่อมีกฐินมาทอดที่วัดก็จะประชุมสงฆ์แล้วให้ภิกษุรูป
หนึ่งเสนอต่อที่ประชุมสงฆ์ว่าควรให้แก่ภิกษุ (เอ่ยนามภิกษุ) ที่สมควรจะได้รับกฐิน ส่วนมาก
ก็เป็นเจ้าอาวาสวัดนั้น ๆ เมื่อที่ประชุมสงฆ์เห็นชอบตามที่มีผู้เสนอ ก็จะเปล่งคําว่า "สาธุ"
พร้อมกันจากนั้นญาติโยมก็จะพากันถวายเครื่องปัจจัยไทยทานแด่ภิกษุสามเณรอื่น ๆ ทั้งวัด
พระสงฆ์รบั แล้วจะอนุโมทนาและให้พรเป็น เสร็จพิธี และจะขาดไมไ่ ด้ คือ การเฉลิมฉลองโดย
การจดุ พลุบง้ั ไฟอย่างเอกิ เกริกในขณะทแ่ี หข่ บวนกฐินมาท่ีวัด

28

นอกจากบุญประเพณีท้งั สิบสองเดือนแลว้ ชาวบา้ นขาม ตำบลบ้านขาม อำเภอน้ำพอง
จังหวัดขอนแก่น ยังมีความเชื่อความศรัทธาในองค์พระธาตุขามแก่นเป็นอย่างมาก
โดยมกี ารจัดงานบวงสรวงองค์พระธาตุขามแกน่ ขึ้นในทุกปี โดยลำดับพธิ ีเร่ิมจากการสมาทาน
ศีล ตั้งโต๊ะบวงสรวงพิธีพราหมณ์ ประธานในพิธีจุดเทียนธูปหน้าองค์พระธาตุ
ก่อนที่จะอธิษฐานจิตต่อผ้าแพรทอง แล้วนำไปห่มพระธาตุเจดีย์จำลอง ที่ประดิษฐาน
อยู่ด้านหน้าและด้านหลังองค์พระธาตุขามแก่นองค์ใหญ่ พร้อมกับโปรยข้าวตอกดอกไม้
และสรงน้ำองค์พระธาตจุ ำลองทั้ง 2 องค์ พรอ้ มกับถวายปจั จยั และรบั พรจากพระสงฆ์

ขอ้ มลู บรบิ ทคณะกลองยาว

2.4 พัฒนาการการแสดงกลองยาวของคณะกลองยาว (อดีต)

(1) ระดับการแสดง
ในอดีตนน้ั ช่วงกอ่ นปี พ.ศ. 2554 กลองยาวบ้านขามได้ทำการแสดงเฉพาะในหมู่บ้าน
ตามโอกาสงานบุญประเพณีประจำปีต่าง ๆ ของหมู่บ้าน ยังไม่มีการไปแสดงนอกหมู่บ้าน
หรือต่างจังหวัดเนื่องจากยังเป็นช่วงที่แสดงกลองยาวแบบโบราณอยู่ รวมถึงช่วงนั้นยังไม่มี
การพัฒนาด้านการคมนาคมหรือสื่อสารในช่องทางต่าง ๆ ที่จะทำให้คณะกลองยาวบ้านขาม
ได้เป็นที่รู้จักในพื้นที่อื่น ๆ อีกทั้งยังเป็นการแสดงกลองยาวในรูปแบบดั้งเดิมหรือโบราณ
อย่ดู ้วย
ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2554 พ่อครูสายทอง แสนทำพล มีความคิดริเริ่มในการอนุรักษ์
กลองยาวบ้านขามไว้ จึงมีการรวมวงขึ้นมาอีกครั้งในรูปแบบของกลองยาวประยุกต์ ซึ่งมีการ
ประยุกต์เอาเครื่องดนตรีสมัยใหม่เข้ามาร่วมในการทำการแสดงร่วมด้วย โดยมีผู้ฝึกสอน
รูปแบบการแสดงขั้นพื้นฐานคือคุณครูผู้ที่มีเป็นสมาชิกของวงและมีภูมิลำเนาอยู่ในหมู่บ้าน
ใกล้เคียงและเป็นผู้ที่อายุน้อยในวง จนกลายมาเป็นรูปแบบของวงกลองยาวอีสานประยุกต์
ถงึ ปจั จุบัน
ในปัจจุบันช่องทางการสื่อสารมีความหลากหลายและสามารถเข้าถึงได้ง่ายจึงทำให้
กลองยาวบ้านขามได้เป็นที่รู้จักในพื้นที่ต่าง ๆ อย่างกว้างขวางด้วยเหตุนี้จึงทำให้ระดับ
การแสดงของวงกลองยาวบ้านขามนั้นได้มีการไปแสดงในต่างจังหวัดเพิ่มมากขึ้น ยกตัวอย่าง
เช่นงานที่ไปแสดงในต่างจังหวัดที่มีระยะทางค่อนข้างไกล คืองานบวงสรวงพระธาตุพนม
อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม และนอกจากนี้ยังมีเจ้าภาพมาว่าจ้างไปงานแห่ฉลอง
ที่อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งถือว่าสองจังหวัดที่เดินทางไปทำการแสดงน้ี
มีระยะทางค่อนข้างไกลจากที่ตั้งคณะกลองยาว ถือได้ว่ากลองยาวบ้านขามในปัจจุบันมีการ
เป็นที่รู้จักในวงกว้างขึ้นกว่าในอดีตนอกจากนี้ ยังได้เดินทางไปทำการแสดงในพื้นท่ี
จังหวดั ขอนแก่นในหลายอำเภอมากขึ้นเช่นกัน งานท่คี ณะกลองยาวไปทำการแสดงสว่ นใหญ่นั้น

29 ก

จะเป็นงานมงคลอาทิเช่น งานแห่นาค งานแห่เจ้าบ่าว งานแก้บนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ หรืองาน
มงคลต่าง ๆ แล้วแต่เจ้าภาพว่าจ้าง ในครั้งอดีตนั้นการละเล่นกลองยาวแบบโบราณของ
บ้านขามนั้น ยังเป็นการเล่นเพื่อสร้างเสริมกำลังใจให้แก่คนในชุมชนในงานประเพณี
หรืองานบุญต่าง ๆ ตามโอกาส เช่น ประเพณีงานทอดเทียนกลางคืนที่จะมีการแห่กลองยาว
รอบหมู่บ้านและนำเทียนไปทอดถวายที่วดั ในเวลากลางคืน เป็นต้น

(2) ขั้นตอนในการแสดง
ใน การ แสดงกลองยาวของคณะกลองยาวสาวน้อยลูกพร ะธาตุขามแก่น
มีขั้นตอนในการเตรียมการก่อนทำการแสดงคือ การเตรียมอุปกรณ์การเเสดงให้พร้อม
ในการแสดงนั้นประกอบไปด้วยเครื่องดนตรีต่าง ๆ เมื่อเตรียมเครื่องดนตรีเรียบร้อยแล้ว
จะมีการเตรียมเครื่องสำหรับทำการไหว้ครูกลองยาว ในการไหว้ครูกลองยาวจะมีสิ่งของ
ประกอบการไหว้ครูคือ เหล้าขาวขวดเล็ก 1 ขวด แป้งหนึ่งกระป๋อง ธูปเทียนดอกไม้ ขันธ์ห้า
จากนั้นหัวหน้าวงหรือตัวแทนของคณะกลองยาวหรืออาจจะเป็นผู้ที่มีอาวุโสในกลุ่มกลองยาว
เป็นผู้นำในการทำการไหว้ครู เมื่อทำการไหว้ครูเสร็จแล้ว จะนำเหล้าขาวที่ทำการไหว้ครูนั้น
มาเทใส่มือของผู้แสดงกลองยาวแล้วลูบไล้ไปตามฝ่ามือ และนำแป้งกระป๋องนั้นที่ไหว้ครูเสร็จ
แล้วมาเทใส่ฝ่ามือของผู้ที่จะตีกล่องหรือเล่นเครื่องดนตรีอื่น ๆ จากนั้นก็จะลูบไล้แป้งไปตาม
ฝ่ามือ หรือใบหน้าของผู้ที่จะทำการแสดงกลองยาว เพราะเชื่อว่ากา รทำแบบนี้ทำให้
เกิดสิริมงคลต่อผู้ที่จะทำการแสดงกลองยาวในขณะน้ัน จากนั้นก็จะมีการตีกลองไปตามจังหวะ
เพลงจนสนิ้ สุดการแสดง
(3) ความเชื่อเกี่ยวกับกลองยาว
คณะกลองยาวสาวน้อยลูกพระธาตุขามแก่นมีความเช่ือเก่ยี วกับกลองยาวมาต้ังแต่อดีต
จนถึงปัจจุบันอยู่ในรูปแบบเดียวกัน คือการเชื่อว่ากลองยาวนั้นมีครูบาอาจารย์ที่คอยดูแล
รักษากลองยาว ฉะนั้นในการที่จะตีกลองยาวหรือการแสดงกลองยาวในแต่ละครั้งน้ัน
จะต้องมีการทำการไหว้ครูกลองยาวก่อนการแสดงทุกครั้ง และในการไหว้ครูกลองยาวน้ัน
จะมเี ครือ่ งเซน่ สงั เวยประกอบการไหวค้ รูกลองยาวดว้ ยทกุ คร้ังตามที่ครูบาอาจารย์ได้กำหนดไว้
คอื มเี หลา้ ขาวหนึ่งขวด แป้งหน่ึงกระปอ๋ ง ธูปเทยี นและดอกไม้ รวมทั้งขันธ์ห้า เพื่อใช้ในการไหว้
ครูกลองยาวก่อนทำการแสดงทุกคร้ัง องค์ประกอบเหล่าน้ีล้วนถูกปฏบิ ตั ิสืบทอดต่อกันมาจาก
รุ่นสู่รุ่น รวมถึงการให้ความไปในแนวทางของการเคารพนับถือเครื่องดนตรี ที่มีนัยยะ
จากเครื่องบูชาครูเหล่านั้น และนอกจากนี้ในการไหว้ครูแต่ละครั้งคณะกองยาวก็จะทำการ
รำลึกถึงองค์พระธาตุขามแก่นซึ่งเป็นพระธาตุศักดิ์สิทธิ์ประจำบ้านขามหรือประจำจังหวัด
ขอนแก่น เนื่องจากคณะกลองยาวสาวน้อยลูกพระธาตุขามแก่น เป็นคณะกลองยาวท่ีตั้งอยู่
ภายในวัดเจติยาภูมิซึ่งเป็นที่ตั้งขององค์พระธาตุขามแก่น ทางคณะกลองยาวจึงถือว่า
คณะกลองยาวนี้เป็นลูกหลานขององค์พระธาตุขามแก่นด้วยเช่นกัน ฉะนั้นในการแสดง

30

กลองยาวแต่ละครั้งจึงมีการไหว้ครูบาอาจารย์เกี่ยวกับกลองยาวหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ดูแล
กลองยาวอยู่รวมทั้งการบูชาองค์พระธาตุขามแก่นไปพร้อมกันด้วย นอกจากนี้ พ่อสายทอง
แสนทำพล ยังได้กล่าวอีกวา่

“ การไหว้ครูสิมี ดอกไม้ ธูป เทียน ขันห้า ดอกไม้ห้าคู่ เทียนห้าคู่ แต่ว่าในขันห้ากะสิมี
เทียนเล่มบาทคู่นึง เอาไว้จุด กะสิมีแป้งป๋องนึงยี่ห้อได๋กะได้ มีเหล้าขาวขวดนึง เหล้าขาวกินบ่
บ่กินแต่ว่าอยู่ในคาย ไหว้ครูแล้วเสร็จปั๊บ กะเอาแป้งโปรยใส่มือจะของ สมาชิกทุกคน ทาหน้า
เจ้าของ เหล้ากะถือไปนำ ตีไปจักพกั นงึ กะรนิ ใส่มือ บ่ให้เจ็บมือ กลองกะสิดังบ่เซา ไหว้ครูกะสมิ ี
อยู่สามคน หน่งึ พอ่ สองครูฝกึ สามหวั หน้า ”

(สายทอง แสนทำพล, สมั ภาษณ์ 29 มกราคม 2565)
(4) รปู แบบการแสดงกลองยาว
ในครั้งอดีตนั้นรูปแบบการแสดงกลองยาวของคณะสาวน้อยลูกพระธาตุขามแก่น
จะเป็นการแสดงในรูปแบบโบราณ มีจังหวะแบบโบราณ ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบการแสดง
และเล่นจังหวะเดิมวนไปวนมา หรือที่เรียกว่าจังหวะป่นกุ้ง (ป่นกุ้ง เป็นจังหวะกลองยาวแบบ
โบราณ ที่ให้จังหวะและท่วงทำนองที่ลงห้องของดนตรีอย่างโดด เช่น เปิง-เปิง-เปิงทึง..
เปิงทึง-เปิงเปิ๊ด-เปิงทึง) ส่วนใหญ่มักจะแสดงในงานมงคลต่าง ๆ ประจำหมู่บ้าน
แ ต ่ ใ น ป ั จ จ ุ บ ั น ร ู ป แ บ บ ก า ร แ ส ด ง ข อ ง ค ณ ะ ก ล อ ง ย า ว ส า ว น ้ อ ย ร ู ป พ ร ะ ธ า ต ุ ข า ม แ ก่ น
มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเพื่อให้ปรับเข้ากับยุคสมัยโดยมีการประยุกต์เครื่องดนตรีต่าง ๆ
เข้ามาร่วมในรูปแบบการแสดงด้วยเช่นการนำพิณ การนำเบส และการนำจังหวะใหม่ ๆ
เข้ามาบรรเลงในการแสดงกลองยาว รวมทั้งมีการรับงานในพื้นที่ต่าง ๆ จากอดีต จึงทำให้
ก า ร แ ส ด ง ห ร ื อ ร ู ป แ บ บ ก า ร แ ส ด ง ข อ ง ค ณ ะ ก ล อ ง ย า ส า ว น ้ อ ย ล ู ก พ ร ะ ธ า ต ุ ข า ม แ ก ่ น นั้ น
เปลย่ี นแปลงไปจากเดมิ
(5) การวา่ จา้ งและการดำรงอยู่
เงือ่ นไขทจี่ ะนำมาพจิ ารณาราคาในการว่าจ้างงานแต่ละครั้งนั้น ต้องพิจารณาระยะทาง
ในการที่จะไปแสดงว่ามีระยะทางใกล้หรือไกลเพียงใด โดยพิจารณาจากท่ีตั้งของคณะกองยาว
คือวัดเจติยาภูมิ ไปยังบ้านเจ้าภาพว่ามีระยะทางใกล้หรือไกล นอกจากนี้ยังต้องพิจารณา
ระยะทางในการทำการแสดงอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่นการไปแสดงในงานแห่นาค
จ ะ ม ี ก า ร พ ิ จ า ร ณ า ร ะ ย ะ ท า งใ น ก า ร แ ห ่ ร อ บ ห ม ู ่ บ ้ า น ห ร ื อ แ ห ่ จ า ก บ ้ า น เ จ ้ า ภ า พไ ปย ั ง วั ด
ว่ามีระยะทางใกล้หรือไกลเพียงใด จากนั้นจึงจะมีการพิจารณาราคาในการว่าจ้างที่เหมาะสม
ต่อไป ในการว่าจ้างงานแต่ละครั้งนั้นจะตกอยู่ที่ครั้งล่ะประมาณ 8,000 – 12,000 บาท
หากมีระยะทางที่ต้องเดินทางไปแสดงค่อนข้างไกลก็จะเพิ่มราคาข ึ้นไปตามระยะทา งในพื้นท่ี
ที่จะไปแสดง ช่วงที่มีการว่าจ้างงานมากที่สุดจะเป็นช่วงหลังจากออกพรรษา คือช่วงเดือน
ตลุ าคม จนถึงชว่ งเดอื นเมษายนในทุกรอบปี นอกจากน้ี พ่อทองมว้ น ใยแกว้ ยังกลา่ วอกี ว่า

31 ก

“ การว่าจ้างการคิดราคานั้น เฮากะต้องเบิ่งก่อนว่าไปตีใกล้ หรือ ไกลซำได๋ มันกะ
ขึ้นอยู่กับระยะทางนำ จากบ้านเฮาไปหาหม่องสิไปตีไกลซำได๋ แล้วกะจั่งมาเบิ่งว่าเพิ่นแห่ไก
ปานได๋ ออ้ มบ้านเพ่ินไกลบ่ ระยะทาง กะเบิ่งตามน้นั จั่งมาเบ่งิ ราคา หรือวา่ เพิ่นให้ไปแก้บนเฮา
กะคิดอกี แบบนงึ เพราะว่ามนั บ่ไดย้ ่างแม่นบล่ ะ่ มันตอี ยูก่ บั หม่อง น่ันละ่ เฮากะเบง่ิ ตามน้ัน ”

(ทองมว้ น ใยแก้ว, สมั ภาษณ์ 30 มกราคม 2565)
(6) การประยกุ ต์การเเต่งกาย
ในสมัยอดีตนั้นคณะกลองยาวผู้ที่ทำการแสดงกลองยาวจะมีการแต่ง กาย
ตามความสะดวกสบายของตนเองหรือตามเครื่องเเต่งกายที่ตนเองมีไม่มีการเเต่ง กาย
ไปในรูปแบบเดียวกันเนื่องจากว่าสมัยอดีตไม่มีการจัดระเบียบกลุ่มกลองยาวอย่างชัดเจน
จึงทำให้สมาชิกวงกลองยาวนั้นยังไม่มีข้อตกลงในเรื่องของการประยุกต์การเเต่งกาย
ไปในรูปแบบเดียวกัน จึงทำให้ในการแสดงแต่ละครั้งนั้นผู้แสดงกลองยาวจะมีการสวมใส่
เสื้อผ้าตามที่ตนเองมี แต่ในปัจจุบันนั้นคณะกลองยาวสาวน้อยลูกพระธาตุขามแก่น
ได้มีรูปแบบการแต่งกายไปไหนทิศทางเดียวกัน คือผู้หญิงจะสวมใส่ผ้าถุงกับเสื้อสีเหลือง
และมีผ้าสบาย ส่วนผู้ชายนั้นจะสวมใส่ผ้าโสร่งกับเสื้อสีเหลืองและมีผ้าขาวม้ามัดเอว ในการ
ไปทำการแสดงกลองยาวในแต่ละคร้ังในปัจจุบันน้ีคณะกลองยาวสาวน้อยลูกพระธาตุขามแก่น
จะมีการแต่งกายไปในรูปแบบเดียวกันทั้งหมดในทุกงานหรือแล้วแต่เจ้าภาพต้องการ
แต่ส่วนใหญ่แล้วนั้นทางคณะกลองยาวจะมีการสวมใส่เสื้อผ้าในโทนสีเหลืองและใส่ผ้าถุง
รวมทั้งผ้าโสร่งเพื่อเป็นการสืบสานอนุรักษ์เครื่องเเต่งกายพื้นเมื องของชาวอีสานควบคู่
ไปไหนวงกลองยาวด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ผ้าซิ่นหรือผ้าถุงที่ผู้หญิงในคณะกลองยาวสวมใส่นั้น
ยังเป็นผ้าถุงลายขิด ซึ่งเป็นลายประจำจังหวัดขอนแก่น เป็นการนำเอาอัตลักษณ์ของ
จังหวัดขอนแก่นผ่านลายผ้าซน่ิ มาแทรกสอดไวใ้ นคณะกลองยาวสาวนอ้ ยลูกพระธาตุขามแก่น
ไปในตวั ด้วย ถือว่าเป็นการประยุกตเ์ คร่อื งเเตง่ กายได้อย่างเหมาะสมกับบรบิ ทของพ้นื ท่ี

2.5 การแสดงของคณะกลองยาว (ปจั จุบัน)

องค์ประกอบของการแสดงของคณะกลองยาว
(1) ผู้แสดง คณะกองยาวสาวน้อยลูกพระธาตุขามแก่น มีผู้ทำการแสดง

กลองยาวท้ังหมด 23 คน ประกอบไปด้วย ผูท้ ีต่ กี ลองยาว 16 คน ผตู้ รี ำมะนา 2 คน ผู้ที่ตีฉาบ
2 คน มือพิณ 1 คน มือ เบส 1 คน มือกลองโซโล่ 1 คน ผู้เข็นรถเครื่องเสียง 1 คน รวมทั้งส้ิน
ประมาณ 24 คน ปัญหาที่มักเกิดขึ้นกับผู้แสดงกลองยาวคือการที่ตีกลองยาวจนมือแตก
การที่ตีกลองยาวจนมือแตกนั้นคือการที่ผู้ที่ตีกลองยาวสนุกสนานจนลืมความเจ็บปวด
ของตนเองมารู้ตัวอีกครั้งก็เมื่อแสดงกลองยาวเสร็จสิ้นเนื่องจากมีเลือดติดตรงหน้ากล้อง
โดยการที่ตีกลองยาวจนมือแตกน้ันมีวิธีแก้ไขคือ การนำเหล้าขาวมารูปมือเพื่อป้องกัน

32

การรู้สึกเจ็บปวดจากการที่มือแตกในการตีกลอง ผู้ที่ทำการแสดงกลองยาวแต่ละคนนั้น
ล้วนแล้วแต่เป็นสมาชิกในหมู่บ้านคือบา้ นขาม ตำบลบ้านขาม อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น
มาตั้งแต่แรก นอกจากนี้สมาชิกในกลุ่มกองยาวยังมีความสัมพันธ์ท่ีแน่นแฟ้นประดุจญาติมิตร
และมีความรกั ใครก่ ลมเกลียวสมัครสมานสามคั คซี ่งึ กันและกนั

(2) เครื่องดนตรี เครื่องดนตรีในการทำการแสดงกลองยาวแต่ละครั้งนั้น
ประกอบไปดว้ ย

- กลองยาวอีสาน จำนวน 16 ใบ
- รำมะนา จำนวน 2 ใบ
- ฉาบ จำนวน 2 คู่
- พณิ จำนวน 1 ตัว
- เบส จำนวน 1 ตัว
- กลองโซโล่ 1 ชดุ
- ชุดเคร่ืองขยายเสยี ง 1 ชุด
ใ น ก า ร ท ำ ก า ร แ ส ด ง ก ล อ ง ย า วใ น แ ต ่ ล ะ ค ร ั ้ ง น ั ้ น จ ำ เ ป ็ น ต ้ อ ง ม ี อ ุ ป ก ร ณ์
ในการแสดงเหล่านี้หรือจำเป็นต้องมีเครื่องดนตรีในการแสดงเหล่านี้ หากขาดอุปกรณ์ชิ้นใด
ชิ้นหนึ่งไปในการทำการแสดงจะไม่เกิดความสนุกสนานหรือการแสดงนั้นจะขาดอรรถรส
ในการแสดงแก่ผู้ที่รับชมรับฟังการแสดงกลองยาวอีสาน ฉะนั้นในการแสดงกลองยาว
ในแต่ละครั้งจำเป็นที่จะต้องมีอุปกรณ์ในการแสดงเหล่านี้อย่างครบครันเพื่อให้เกิดอรรถรส
ในการรับชมรับฟังแก่ผู้ชมได้อย่างเตม็ ที่

(3) ดนตรีและจังหวะในการแสดง ในการแสดงกลองยาวแต่ละครั้งนั้น
คณะกลองยาวสาวน้อยลูกพระธาตุขามแก่นจะมีจังหวะและท่วงทำนองในการบรรเลง
ประกอบการตีกลองยาวในแบบฉบับโบราณและแบบฉบับประยุกต์ โดยช่วงแรกในการ
ทำการแสดงกลองยาวนั้นจะมีการตกี ลองยาวไหนจังหวะโบราณก่อน เม่อื ตกี ลองยาวในจังหวะ
โบราณเสร็จสิ้นแล้วจึงจะมีการประยุกต์หรือบรรเลงพิณ ในท่วงทำนองหรือจังหวะต่าง ๆ
เข้ามาร่วมด้วย โดยเมื่อตีจังหวะโบราณเสร็จแล้วจะเริ่มมีการบรรเลงพิณในหลายพื้นท่ี
ค ่ อ น ข ้ า ง ช ้ า ข ึ ้ น ก ่ อ น ต ่ อ จ า ก น ั ้ น ค ่ อ ย จ ะ บ รร เ ล ง เ พ ล ง พ ิ ณใ น จ ั ง ห ว ะ ท ี ่ เ ร ็ ว ข ึ ้ น ต า ม ล ำ ดั บ
เพื่อเป็นการปลุกเร้าอารมณ์ความรู้สึกรวมของผู้ที่รับชมรับฟังให้มีอารมณ์ร่วมอย่าง
สนุกสนานกับการตีกลองยาว โดยจังหวะพินหรือลายพิณที่ใช้ในการบรรเลงประกอบการตี
กลองยาวน้ัน ประกอบด้วย (1) ลายลำเพลนิ (2) ลายภไู ท (3) ลายเซิ้ง (4) ลายศรโี คตรบูรณ์
(5) ลายเต้ย เป็นต้น ซึ่งตนตรีในแต่ละลายเพลงนั้น มีการให้จังหวะที่แตกต่างกันออก
ทั้งจังหวะชา้ และจังหวะเร็ว ผู้แสดงจะเลอื กใช้จังหวะตามความเหมาะสม

33 ก

(4) เครื่องเเต่งกาย คณะกลองยาวสาวน้อยลูกพระธาตุขามแก่นน้ัน
มีการแต่งกายในการแสดงไปในรูปแบบเดียวกันทั้งหมดทุกการแสดง โดยเครื่องเเต่งกาย
ของผู้หญิงนั้นจะประกอบไปด้วย ผ้าถุงลายขิด เสื้อแขนกระบอกสีเหลือง ผ้าสไบ และถุงเท้า
เครอื่ งเเตง่ กายของผชู้ ายน้ันจะประกอบไปด้วย ผ้าโสร่ง เสือ้ แขนกระบอกสีเหลือง ผ้าขาวม้ามัด
เอว และผ้าโพกหัว ในส่วนนี้จะเป็นการทำการแสดงที่ต้องทำการแสดงอยู่กับที่โดยที่ไม่ต้อง
เดินแสดง ส่วนในกรณีที่ต้องทำการแสดงโดยที่ต้องเดินรอบหมู่บ้านหรือเคลื่อนที่
ในการแสดงนั้นทั้งผู้หญิงและผู้ชายจะเพิ่มเครื่องเเต่งกายขึ้นมาอีกหนึ่งประเภท คือ รองเท้า
ผ้าใบ การเเต่งกายไปในรูปแบบหรือลักษณะเดียวกันของคณะกลองยาวสาวน้อยลูกพระธาตุ
ขามแก่นในการแสดงแต่ละครั้งนั้น สร้างความสวยงามเป็นระเบียบเรียบร้อยหรือเป็นวิถี
เดียวกัน ทำให้ผู้ที่ไปร่วมชมการแสดงนั้นเกิดความสบายตาหรือเกิดความปลื้มปีติยิ่งชื่นชม
ในการแสดงกลองยาวของคณะสาวนอ้ ยลกู พระธาตุขามแก่น

(5) อุปกรณ์ขยายเสียง ในการทำการแสดงกลองยาวของคณะกลองยาวสาว
นอ้ ยลกู พระธาตุขามแก่นในแต่ละคร้ังนน้ั จะมีอุปกรณใ์ นการขยายเสียงชว่ ยขยายเสียงพิณหรือ
เสียงเบสให้ดังเพิ่มขึ้นเพื่อที่จะไม่ให้โดนเสียงกลองยาวกลบเสียงของจังหวะเหล่านั้ น
โดยอปุ กรณ์ขยายเสียงประกอบไปด้วย

- ตูล้ ำโพงขยายเสยี ง
- ฮอรน์ ขยายเสียง
- เครอื่ งป่ันไฟ
- แอมปข์ ยายเสยี ง
- มกิ ซ์
อุปกรณ์ขยายเสียงเหล่านี้จำเป็นต้องมีทุกครัง้ ในการแสดงกลองยาว เนื่องจาก
เป็นตัวช่วยในการสร้างอรรถรสในการแสดงกลองยาวของคณะกลองยาวสาวน้อยลูกพระธาตุ
ขามแก่น เนื่องจากเป็นอุปกรณ์สำคัญในการขยายเสียงให้ดังขึ้นเพื่อสร้างความเข้าใจให้แก่ผู้ที่
รับชมรับฟังการแสดงกลองยาว หากขาดอุปกรณ์เหล่านี้ไปจะไม่สามารถทำการแสดง
กลองยาวได้ในรูปแบบของกลองยาวประยุกต์ และจะไม่เกิดความสนุกสนานแก่ผู้ที่ได้รับชม
หรอื รบั ฟัง
(6) เงินทุน ในการไปทำการแสดงไหนพื้นที่ต่าง ๆ แต่ละครั้งนั้นจำเป็นต้องมี
ค่าใช้จ่ายบางส่วนที่ต้องออกไปก่อนอาทิเช่น ค่าเช่ารถ ค่าน้ำมัน ในส่วนนี้จะเป็นเงินทุน
จากกองกลางที่เก็บไว้จากการที่ไปทำการแสดงในแต่ละครั้งเมื่อแจกจ่ายสมาชิกครบถ้วนแล้ว
จะมกี ารหักเงนิ ส่วนหนง่ึ ไว้เพอื่ เปน็ กองทนุ กลาง ทจี่ ะนำมาใช้จ่ายในการสำรองค่าใช้จา่ ยต่าง ๆ
ในการเดินทางที่จะไปทำการแสดงไม่ว่าจะในจังหวัดขอนแก่นหรือต่างจังหวัด นอกจากน้ี
ยังมีการได้รับการสนับสนุนเงินทุนในวงกลองยาว จากพระครูที่เป็นเจ้าอาวาสวัดพระธาตุ

34

ขามแก่นหรือวัดเจติยภูมิ ซึ่งท่านได้มีเมตตาต่อคณะกลองยาวและให้การสนับสนุนคณะกลอง
ยาวสาวนอ้ ยลกู พระธาตุขามแก่นมาโดยตลอด

(7) พาหนะที่ใช้ในการไปทำการแสดงกลองยาว ในการออกไปทำการแสดง
กลองยาวในพื้นท่ีต่าง ๆ แต่ละครั้งนั้นทางคณะกลองยาวได้มีการเช่าเหมารถรับจ้าง
ซึ่งเป็นรถหกล้อโดยสาร เป็นของคนในพื้นที่และเป็นการว่าจ้างแบบประจำ ไม่ว่าจะไปแสดง
ใกล้หรือไกลก็จะเหมารถรับจ้างคันนี้ไปตลอดเพราะเป็นรถหกล้อที่มีขนาดใหญ่สามารถ
บรรทุกทั้งคนและสิ่งของต่าง ๆ ได้ การเหมารถหกล้อคันเดียวนี้ จึงทำให้สามารถบรรทุกได้ทัง้
ผูแ้ สดง อุปกรณใ์ นการแสดงต่าง ๆ โดยไมจ่ ำเปน็ ตอ้ งเหมารถหลายคัน เป็นการประหยดั ภาระ
ค่าใช้จา่ ยของทางคณะกลองยาวด้วยเชน่ กนั

(8) เครอื ขา่ ย คณะกลองยาวสาวน้อยลูกพระธาตขุ ามแก่น ได้รับการสนับสนนุ
ในด้านการให้ความรู้หรือการเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งด้านงบประมาณหน่วยงาน
หรือองค์กรที่ใหก้ ารสนับสนนุ กับทางกลุม่ อาทิเช่น จากสภาวัฒนธรรม ตำบลบ้านขาม อำเภอ
น้ำพอง จังหวัดขอนแก่น นอกจากนี้ยังได้รับการสนับสนุนในการสร้างเสริมสมาชิกใหม่
ให้เกิดขึ้นกับวงกลองยาวสาวน้อยลูกพระธาตุขาม แก่น คือการได้รับการสนับสนุน
จากโรงเรียนพระธาตุขามแก่นพิทยาลัย ซึ่งเป็นสถานศึกษาในพื้นที่นี้ด้วย ทั้งนี้ครั้งอดีต
ยงั มกี ารยมื ตัวครฝู ึกจากวงกลองยาวของบ้านหนองกงุ ใหญ่ ตำบลหนองกงุ ใหญ่ อำเภอกระนวน
จังหวัดขอนแก่น เพื่อที่จะมาทำการฝึกซ้อมให้แก่วงกลองยาวบ้านขาม ในสมัยนั้น นับว่าเป็น
เครอื ขา่ ยทมี่ มี าตงั้ แตอ่ ดีตจนกระทงั่ ปัจจุบันนี้ดว้ ย

(9) กติกาข้อตกลงในกลุ่ม คณะกลองยาวสาวน้อยลูกพระธาตุขามแก่น
มีข้อตกลงร่วมกันระหว่างสมาชิกในกลุ่มอย่างชัดเจน และที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือ ข้อตกลงใน
การแบ่งเงินรายได้จากการออกไปทำการแสดงให้แก่สมาชิกคนละเท่าเท่ากันจะไม่มีสมาชิก
คนใดที่ได้เงินค่าตอบแทนจากการแสดงมากไปกวา่ สมาชิกคนอื่น ๆ และนอกจากนี้ยังมีข้อห้าม
ในการที่จะสร้างเรื่องทะเลาะเบาะแว้งระหว่างคนในกลุ่มกลองยาวด้วยการอันจะเป็นสาเหตุ
ทำให้กลุ่มกลองยาวเกิดการแตกแยกภายในกลุ่ม รวมทั้งเป็นการสร้างความยั่งยืนให้แก่
คณะกลองยาวอกี อย่างหน่ึงดว้ ยเชน่ กนั

(10) ผู้ชมการแสดง ผู้ชมการแสดงกลองยาวในแต่ละครั้งนั้นจะมาก
หรือจะน้อยขึ้นอยู่กับขนาดของงานที่ไปทำการแสดง หากเจ้าภาพจัดงานที่มีขนาดใหญ่ผู้ชม
การแสดงก็จะมีจำนวนมากอาทิเช่น งานแห่นาคหรืองานบุญกฐิน งานเหล่านี้จะมีผู้คน
ท่มี ารว่ มในการแหเ่ ปน็ จำนวนมากไม่ต่ำกว่า 200 - 300 คน นอกจากนี้ผู้ที่มาร่วมในงานแห่
นั้น ยังมีส่วนร่วมในการแสดง กล่าวคือ ผู้คนที่มาร่วมในขบวนแห่ในงานต่าง ๆ ที่เป็น
งานรื่นเริงนั้น มักจะมีการแสดงออกซึ่งกริยาที่สะท้อนความสนุกสนานออกมาได้อย่างชัดเจน
ผา่ นท่าทางในการฟ้อนรำฤาษีนาทมี่ ีการยิ้มแย้มหรอื ผ่านอวจั นะภาษาต่าง ๆ ท่ีสะท้อนออกมา

35 ก

จากผู้ที่มาร่วมในงานวันนั้น หากผู้ชมการแสดงมีความสนุกสนานรื่นเริงและมีอารมณ์ร่วมใน
การแสดงกลองยาว ผู้ที่ทำการแสดงกลองยาวอยู่ในขณะน้ันกจ็ ะมีอารมณ์สนุกสนานควบคูก่ บั
ผู้ชมไปด้วยเช่นเดียวกัน ในขณะเดียวกันผู้ที่ทำการแสดงกลองยาวนั้นต้องทำอารมณ์
และความรู้สึกของตัวเองให้เกิดความสนุกสนานยิ่งยวดขึ้นไปอีกเพื่อที่จะเพิ่มอรรถรส
และความรู้สึกในการแสดงกลองยาวที่จะถ่ายทอดผ่านลีลาท่าทางของผู้แสดงผ่านไปยังผู้ชม
การแสดงเพ่อื ใหร้ บั รู้ถึงอรรถรสท่มี คี วามสขุ เรานนั้ ได้อยา่ งเต็มท่ี

โอกาสในการแสดง
ในการแสดงกลองยาวของคณะสาวน้อยลูกพระธาตุขามแก่นที่จะทำการแสดง

กลองยาวในแต่ละครั้งนั้น ขึ้นอยู่กับการว่าจ้างของทางเจ้าภาพที่มีความประสงค์อยากได้
กลองยาวไปแสดงในงานต่าง ๆ ที่ได้ไปแสดงกลองยาวส่วนมากนั้นจะเป็นงานบุญประจำปี
หรืองานบุญมงคลต่าง ๆ รวมทั้งงานแก้บนที่เจ้าภาพมีการว่าจ้างให้ไปแสดงในสถานที่
ที่ทางเจ้าภาพได้บนบานไว้ ส่วนใหญ่งานที่ไปแสดงนั้นจะเป็นงานบุญประจำปีอาทิเช่น
งานบุญกฐิน งานบุญผะเหวด งานบุญสงกรานต์ งานแห่นาค งานแห่เจ้าบ่าว และงานแก้บน
เป็นต้น ช่วงเวลาที่มีการรับงานส่วนใหญ่จะเป็นช่วงเวลาหลังจากออกพรรษา จนถึงเดือน
มิถุนายนหรือก่อนเข้าพรรษาของแต่ละปี ในการแสดงส่วนใหญ่นั้นผู้ที่ทำการแสดงจะมีการ
โชว์ลีลาท่าทางประกอบการแสดงอย่างเต็มที่ เกิดความประทั บใจแก่ผู้ที่ชมการแสดง
หลังจากนั้นเมื่อเกิดความประทับใจแก่ผู้ที่ชมการแสดงการตีกลองยาวของทางคณะแล้ว
ก็จะมีการติดตามมาว่าจ้างเพื่อเสพฉลองงานต่าง ๆ ในครั้งต่อไป ถือเป็นการประชาสัมพันธ์
คณะกลองยาวไปในตัวด้วย ในช่วงท่ีสถานการณ์บ้านเมืองยังปกติ ยังไม่มีการแพร่ระบาด
ของโรคโควดิ -19 คณะกลองยาวสาวนอ้ ยลกู พระธาตุขามแกน่ มีงานแสดงทมี่ กี ารติดต่อว่าจ้าง
มาค่อนข้างมาก ในช่วงเทศกาลสำคัญหรือช่วงฤดูกาลที่เป็นฤดูกาลแห่งการทำบุญ
จะมีการว่าจ้างหรือติดต่อให้ไปแสดงค่อนข้างถี่ แต่เมื่อมีการแพร่ระบาดของโรคเข้ามาใน
ปัจจุบัน ทำให้งานต่าง ๆ ได้หดหายไปตามสถานการณ์เนื่องจากมีการงดและห้ามจัดงาน
ประเพณแี ละจำกัดการเขา้ รว่ มงานในช่วงทผ่ี า่ นมา

กิจกรรมของคณะกลองยาว
เนื่องจากสมาชิกคณะกลองยาวสาวน้อยลูกพระธาตุขามแก่น เป็นคนที่อาศัย

อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันคือบ้านขาม จึงทำให้สมาชิกของคณะกลองยาวนั้นได้มปี ฏิสัมพันธ์กนั อยู่
ในทุกช่วงเวลา โดยเฉพาะช่วงเวลาที่เป็นงานบุญประจำปีของหมู่บ้านหรือของวัดเจติยภูมิ
ก็จะมีการรวมตัวกันเพื่อทำศาสนกิจหรือทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ต่าง ๆ แก่ส่วนรวม
หรือของหมู่บ้านอยู่ตลอด หากมีงานบุญในหมู่บ้านก็จะไปร่วมด้วยช่วยกัน นอกจากนี้สมาชิก
ของคณะกลองยาวยังมีการนัดหมายเพื่อซักซ้อมในการที่จะแสดงในโอกาสที่สำคัญ ๆ อาทิเช่น
การเข้าร่วมประกวดการแสดงกลองยาวในงานเทศกาลไหมนานาชาติ จังหวัดขอนแก่น

36

การมาซ้อมร่วมกันโดยใช้เวลาซ้อมค่อนข้างนานเป็นเวลาพอสมควร นอกจากนี้ยังมีการดูแล
รกั ษาเครือ่ งดนตรรี ่วมกนั โดยไมผ่ ลักดันเปน็ ภาระใหผ้ ใู้ ดผูห้ นึ่งเปน็ คนรบั ผดิ ชอบ

การประกวดแขง่ ขัน
คณะกลองยาวสาวน้อยลูกพระธาตุขามแก่น ได้มีการเข้าร่วมการแข่งขัน

ในการประกวดกลองยาวในงานเทศกาลไหมนานาชาติ ที่จัดขึ้นโดยจังหวัดขอนแก่น และได้รบั
เงินสนับสนุนคณะกองยาวจากการเข้าร่วมการแข่งขันในคร้ังนี้ด้วย นอกจากนี้ยังได้รับรางวลั
ชนะเลิศการประกวดกลองยาวในงานเทศกาลไหมนานาชาติ และรางวัลอื่น ๆ อีกมากมาย
จากการประกวดในงานน้ี ในการเข้ารว่ มการประกวดแขง่ ขันในงานน้ี ทำให้คณะกลองยาวสาว
น้อยลูกพระธาตุขามแก่นได้เป็นที่รู้จักแก่สาธารณชนในวงกว้างสร้างชื่อเสียงให้กับทาง
คณะและมีการว่าจ้างงานการแสดงกลองยาวเพิ่มขึ้น นับว่าเป็นผลดีอย่างยิ่งของทาง
คณะกลองยาวที่ตัดสินใจเข้าร่วมการประกวดแข่งขันในงานครั้งนี้ เพราะทางคณะได้เกิดเป็น
ที่รู้จักคนมากขึ้นทำให้เกิดรายได้แก่สมาชิกในคณะกลองยาวตามมาด้วยเช่นเดียวกัน นอกจาก
การสร้างชื่อเสียงให้กับทางคณะกลองยาวโดยตรงแล้ว ยังเป็นการสร้างชื่อเสียงให้แก่หมู่บ้าน
วัดพระธาตุขามแก่นซ่งึ เป็นทส่ี งั กดั ของคณะกลองยาวดว้ ยเชน่ เดียวกนั

หน่วยงานท่ีเก่ยี วขอ้ ง
กลองยาวคณะสาวน้อยลูกพระธาตุขามแก่น ได้รับการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ

จากองค์กรหรือหน่วยงานในพื้นที่หรือต่างพื้นที่มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการได้รับ
การสนับสนุนด้านเงินทุนงบประมาณ ด้านความรู้ ด้านอุปกรณ์การแสดงกลองยาว
ทหี่ นว่ ยงานต่าง ๆ ไดม้ ีบทบาทเข้ามาสง่ เสริมกับทางกลมุ่ กลองยาว อาทเิ ชน่

- วัดเจตยิ ภมู ิ ตำบลบา้ นขาม อำเภอนำ้ พอง จงั หวัดขอนแกน่
- องค์การบริหารส่วนตำบลบา้ นขาม อำเภอน้ำพอง จงั หวัดขอนแก่น
- โรงเรียนพระธาตุขามแกน่ พทิ ยาลัย
- องคก์ ารบรหิ ารส่วนจังหวัดขอนแกน่
- สำนักงานพฒั นาชุมชน จงั หวัดขอนแกน่

2.6 จดุ เดน่ ของคณะกลองยาวสาวน้อยลกู พระธาตขุ ามแกน่

คณะกลองยาวสาวน้อยลูกพระธาตุขามแก่น มีจุดเด่นคือ สมาชิกในการตี
กลองยาวส่วนใหญ่นั้นเป็นผู้หญิง ซึ่งอาจแตกต่างจากคณะอื่น ๆ ที่มีผู้ชายเป็นคนตีกลองยาว
การมีผู้หญิงเป็นคนที่ทำหน้าที่ตีกลองยาวทั้งสิบหกใบนั้นทำให้คณะกลองยาวสาวน้อยลูก
พระธาตุขามแก่นมีจุดเด่นอยู่ในตัวแตกต่างไปจากวงอื่น และนอกจากนี้จุดเด่นอีกประการ
ของทางคณะรักใคร่ความรักใครส่ ามัคคีของสมาชิกในกลุม่ กลองยาว เป็นตัวช่วยท่ีจะนำพาคณะ
กลองยาวสาวน้อยลูกพระธาตุขามแก่นเป็นไปในทิศทางที่จะมีการพัฒนากลุ่มกลองยาว

37 ก

ของตนเองให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืนได้ในอนาคต นอกจากนี้ พ่อทองม้วน ใยแก้ว
ยังกล่าวอกี ว่า

“ วงเฮานี้ผู้ตีกลองส่วนหลายสิเป็นผู้หญิง นี่ล่ะคือจุดเด่นวงเฮา ไปตีทางไกล กุฉิ
นารายณ์ เพิ่นถามว่า เอ้าไสล่ะผู้ตีกลองยาว คือมีแต่ผู้หญิง กะนี่ล่ะผู้ตีกลอง ผู้หญิงนี่ล่ะ ทาง
หลายวงอน่ื สิเป็นผ้ชู ายแม่นบ่ล่ะ น่ลี ่ะ คดิ วา่ เป็นจุดเดน่ ”

(ทองมว้ น ใยแก้ว, สมั ภาษณ์ 30 มกราคม 2565)
สามารถสรปุ ไดเ้ ปน็ ประเดน็ ได้ ดังตอ่ ไปน้ี
1. มีสำนักงานที่ตั้งคณะอยู่ในวัดเจติยภูมิ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานองค์พระธาตุขามแก่น
อันเป็นปูชนียสถานศักดิ์สิทธิ์ของจังหวัดขอนแก่น การเป็นคณะกลองยาวที่ขึ้นกับวัดพระธาตุ
ขามแก่นนี้ ทำให้คณะกลองยาวสาวน้อยลูกพระธาตุขามแก่นน้ัน มีความไดเ้ ปรียบด้านทุนทาง
วัฒนธรรมและการเป็นที่รู้จักของผู้คนที่เข้ามากราบไหว้นมัสการองค์พระธาตุขามแก่น
ในวดั เจตยิ ภูมิแหง่ นดี้ ว้ ย
2. การเข้ามาเป็นสมาชิกคณะด้วยความสมัครใจ การเข้ามาด้วยความสมัครใจ
ของสมาชิกในคณะนั้น ทำให้คณะกลองยาวสาวน้อยลูกพระธาตุขามแก่น เกิดการขับเคลื่อน
ด้วยความร่วมมือร่วมใจได้อย่างเต็มความสามารถ ทำให้เกิดความขัดแย้งภายใน
คณะค่อนข้างน้อย ซึ่งความขัดแย้งนี้จะนำมาซึ่งอุปสรรคต่อการพัฒนาคณะ หากมีความสมัคร
ใจแลว้ จะทำใหค้ ณะเกดิ การพัฒนาไดอ้ ย่างรวดเรว็
3. มีการมอบหมายบทบาทหน้าที่อย่างชัดเจน สมาชิกทุกคนในคณะถูกมอบหมาย
หน้าที่ที่ต้องปฏิบัติอย่างชัดเจนภายในคณะ ทำให้สมาชิกทุกคน รู้หน้าที่ต นเองว่า
ต้องรับผิดชอบในส่วนใด ส่งผลให้ทางคณะเกิดความเป็นระเบียบในการบริหารจัดการ
ที่มีความเป็นระบบมากยิ่งขึ้นและเกิดความสะดวกรวดเร็วเมื่อต้องออกไปทำการแสดง
นอกสถานที่หรือในโอกาสต่าง ๆ ได้อย่างมืออาชีพ ทั้งนี้ยังมีการช่วยเหลือหน้าที่ในส่วนอื่น ๆ
ร่วมกนั หากสมาชกิ คนอ่ืน ๆ ยังไม่แล้วเสร็จจากหน้าทีข่ องตนเอง
4. มขี ้อตกลงอยา่ งชดั เจนระหว่างคณะกบั ผู้วา่ จา้ ง (ระเบียบ/สญั ญาจ้าง) เมอื่ มีการจ้าง
งานทางคณะจะมีการทำสัญญาจ้างอย่างชัดเจนกับเจ้าภาพหรือผู้ที่ว่าจ้างงาน ในข้อปฏิบัติ
หรือระเบียบการต่าง ๆ ในการทำการแสดงเพื่อป้องกันปัญหาการแสดงที่จะเกิดขึ้นตามมา
ในภายหลัง
5. สมาชิกในการตีกลองยาวส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง คณะกลองยาวสาวน้อยลูกพระธาตุ
ขามแก่น สมาชิกส่วนใหญ่นั้นเป็นผู้หญิงเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะมือกลองยาวเกือบทั้งหมด
เป็นผู้หญิงที่ทำหน้าที่ตีกลองยาวซึ่งอาจแตกต่างจากคณะอื่น ๆ ที่ปกตินั้นผู้ชายทำหน้าท่ี
ตีกลองยาว แต่คณะกลองยาวสาวน้อยลูกพระธาตุขามแก่นนั้น เป็นผู้หญิงเกือบทั้งหมด
ถือว่าเปน็ อัตลกั ษณ์ท่ีโดดเด่นเฉพาะของคณะกลองยาวน้ี

38

6. มีการแต่งกายในรูปแบบเดียวกัน คณะกลองยาวสาวน้อยลูกพระธาตุขามแก่น
มีการแต่งการไปในรูปแบบที่เหมือนกัน คือ ผู้ชายจะมีการแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีเหลือง
มีผ้าขาวม้ามัดเอว และนุ่งผ้าโสร่ง ส่วนผู้หญิงนั้น จะมีการสวมเสื้อสีเหลือเหลืองทรงกระบอก
แขนยาว มีผ้าสไบพาดบ่า นุ่งผ้าซิ่นลายขิดอีสานและมีเข็มขัดเงินตามแบบฉบับอีสาน
การแต่งกายในลักษณะเดียวกันนี้ ทำให้คณะกลองยาวสาวน้อยลูกพระธาตุขามแก่น
มคี วามโดดเด่นของคณะขน้ึ มาอย่างชดั เจน

คลิปการแสดงกลองยาวคณะสาวน้อยลูกพระธาตุขามแกน่

การแสดงกลองยาวอีสานสร้างสรรค์ (กสส.) EP. 1/1 คณะกลองยาวสาวน้อยลูกพระธาตุ
ขามแก่น จังหวดั ขอนแกน่
https://www.youtube.com/watch?v=d-_TnfZ4N1g&t=169s
การแสดงกลองยาวอีสานสร้างสรรค์ (กสส.) EP. 1/2 คณะกลองยาวสาวน้อยลูกพระธาตุ
ขามแก่น จังหวัดขอนแก่น
https://www.youtube.com/watch?v=5fXpWewFweU&t=17s

39 ก

ภาพกิจกรรมการถา่ ยทำคลิปนำเสนอคณะกลองยาวสาวนอ้ ยลกู พระธาตขุ ามแกน่
ตดิ ตามคลิปนำเสนอและการแสดงกลองยาวอีสานทาง Facebook Fan page และ YouTube

“กลองยาวอสี านสรา้ งสรรค-์ กสส.”

คณะกลองยาวมรดกอสี านบ้านเฮา
บา้ นหัวหนองแวง ตำบลแวงใหญ่ อำเภอแวงใหญ่ จงั หวดั ขอนแกน่


Click to View FlipBook Version