The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ปกรายงานการวิจัยและพัฒนาการเรียนรู้-รวม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Tai Peerapat, 2023-10-13 11:16:03

ปกรายงานการวิจัยและพัฒนาการเรียนรู้-รวม

ปกรายงานการวิจัยและพัฒนาการเรียนรู้-รวม

ก รายงานการวิจัยและพัฒนาการเรียนรู้ เรื่อง การพัฒนาผลการเรียนรู้วิชาทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วของนักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนแสนตอวิทยา โดยการใช้แบบฝึกทักษะเครื่องลิ่มนิ้วด้วยทฤษฎีการเรียนรู้โดยการ เน้นให้ลงมือปฏิบัติ โดย นายนิลพัทธ์ สุวรรณอาศน์ นายธนิสร ศรีน่วม นางสาวนุจรีย์ วัยวัต นายพีรพัฒน์ เผ่ากันทะ รายงานการวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการวิจัยและพัฒนาการเรียนรู้รหัสวิชา 1043412 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ภาคเรียนที่1 ปีการศึกษา 2566


ก บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้กระทำกับกลุ่มเป้าหมายเดียว คัดเลือกจากนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนแสน ตอวิทยา อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ วัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ 1.เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วสำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อ ปรับปรุงแบบฝึกทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วผลการเรียนรู้ด้านทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วของนักเรียน ระดับชั้น ม.6 2. เพื่อการศึกษาผลการทดลองใช้แบบฝึกทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อปรับปรุงผลการเรียนรู้ด้านทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วของนักเรียนระดับชั้น ม.6 3. เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้น ม.6 ที่มีต่อการทดลองใช้แบบฝึกทักษะ การปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อปรับปรุงด้านทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว ระเบียบวิธีการวิจัยเป็นแบบกึ่งทดลอง เครื่องมือการวิจัยซึ่งผ่านการหาประสิทธิภาพแล้วประกอบด้วยแบบวัด ระดับความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ One - Sample t Test ผลการวิจัยพบว่า แบบฝึกทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว สร้างขึ้นตามแนวคิด ทฤษฎี หลักการ วิธีการ ของทฤษฎีการ เรียนรู้เชิงรุก(Active Learning) นั้น เมื่อนำมาทดลองใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการปรับปรุงผลการเรียนรู้ ทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มเป้าหมายมีผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ที่ระดับ ดีมาก ตามเกณฑ์ของ สพฐ. มีการพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ สูงกว่า เกณฑ์เปรียบเทียบตั้งแต่ระดับ ดี ของสพฐ. อย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 หรือที่ระดับความเชื่อมั่น 95 % และมีความพึงพอใจต่อเฉพาะการทดลองใช้แบบฝึก ทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว ที่ระดับ ดีมาก คำสำคัญ: * นักศึกษาวิชาเอกสาขาดนตรีศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์


ข กิตติกรรมประกาศ วิจัยเล่มนี้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี เนื่องจากกลุ่มผู้วิจัยได้ระบบความกรุณาจากอาจารย์ที่ปรึกษาการวิจัย อาจารย์ อิสระ ทับสีสด ตั้งแต่ต้นของการทำงานจวบจนบัดนี้ในการติดตาม ดูแล ตรวจสอบและตรวจทานการทำงานของกลุ่ม วิจัยนี้ อีกทั้งเป็นต้นแบบในการทำวิจัยที่ดีให้กับกลุ่มของผู้วิจัยในเรื่องการทำงานวิจัย เพื่อให้ได้ผลงานที่มีคุณค่าและ สามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมจากการทำงาน กลุ่มผู้วิจัยรู้สึกประทับใจและตระหนักถึงในการเสียสละเวลา อันมีค่าเพื่อให้คำปรึกษาแก่ผู้วิจัย จึงขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ ณ ที่นี้ ขอกราบขอบพระคุณคณาจารย์ สาขาวิชาดนตรีศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ทุกท่านที่ ได้มอบความรู้และคำแนะนำในการเรียนและทำงานแก่ผู้วิจัยด้วยดีเสอมมา ขอกราบขอบพระคุณ อาจารย์ปฐมพงษ์ ธรรมลังกา อาจารย์ดร.วัชระ แตงเทศ และอาจารย์พันธุ์เอก ใจหลวง ที่ กรุณาสละเวลาในการเป็นผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบเครื่องมือวิจัยและให้ข้อเสนอแนะในการทำงานด้วยความเมตตา เสมอมา ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ทุกท่านในมหาวิทยาลัยที่กรุณา ให้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์ต่อการวิจัยและกราบ ขอบพระคุณทุกท่านที่มิได้กล่าวถึงในที่นี้แต่ได้กรุณาให้ความช่วยเหลือแก่ผู้วิจัยจนสามารถทำงานลุล่วงได้ด้วยดี


ค สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อ ก กิตติกรรมประกาศ ข บทที่ 1 1-12 บทนำ 1-4 คำถามการวิจัย 4 วัตถุประสงค์การวิจัย 5 ผลและประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 5 ขอบเขตการวิจัย 5 นิยามคำศัพท์เฉพาะ 6-7 สมมติฐานการวิจัย 6-12 บทที่ 2 13-34 การทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 13 การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ 13-14 นวัตกรรมทางการศึกษา 15-20 นวัตกรรมทางการศึกษา 20-23 เทคนิคการสอน 24-25 วิธีการสร้างและหาคุณภาพของนวัตกรรม 25 การหาคุณภาพเชิงเหตุผล 25-26 การหาคุณภาพเชิงประจักษ์ 26-27


ง เครื่องมือการวิจัย 28-31 ระดับความพึงพอใจ 31-32 ผลการเรียนรู้ 32-33 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 34-35 บทที่ 3 36-44 วิธีดำเนินการศึกษาค้นคว้า 36-38 การสร้างและหาประสิทธิภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 38-44 บทที่ 4 44-53 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 44-46 การพัฒนาผลการเรียนรู้ 46-49 ระดับความพึงพอใจ 49-53 บทที่ 5 54-59 สรุป อภิปราย และข้อเสนอแนะผลการวิจัย 54-55 อภิปรายผลการวิจัย 55-58 ข้อเสนอแนะ 59 บรรณานุกรม 60 ภาคผนวก ก 61-75 ภาคผนวกข 76-97 ภาคผนวก ค 98-119 ภาคผนวก ง 120-138


1 บทที่ 1 บทนำ ที่มาและความสำคัญของปัญหา พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 บัญญัติความตามมาตรา 22 ว่า การจัดการศึกษาต้องยึด หลักว่า นักเรียนทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่านักเรียนทุกคนมีความสำคัญที่สุดกระบวนการจัด การศึกษาต้องส่งเสริมให้นักเรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ และความตามมาตรา 24 (1) บัญญัติว่าการจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้ สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของนักเรียนโดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล และความตอนหนึ่ง (5) ของมาตราเดียวกันบัญญัติว่า ให้ครูสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ และความตาม มาตรา 30 บัญญัติว่า ให้สถานศึกษาพัฒนากระบวนการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งส่งเสริมให้ครู สามารถวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับนักเรียนในแต่ละสถานศึกษา จากความตามมาตราดังกล่าวถึง ตีความว่า ภายหลังที่ครูจัดกิจกรรมการเรียนรู้ใด ๆ ด้วยนวัตกรรมการเรียนรู้ใดแล้ว เมื่อทำการวัดและประเมินผล พบว่ามี ผลอย่างใดอย่างหนึ่งคือ จำนวนนักเรียนทั้งชั้นเรียน จำนวนนักเรียนส่วนมากของ ชั้นเรียน จำนวน นักเรียนส่วนน้อยของชั้นเรียนมีผลการเรียนรู้ต่ำกว่าเกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้นเรียน หรือจำนวนนักเรียนทั้งชั้น เรียนมีผลการเรียนรู้ผ่านเกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้นเรียน แต่ระดับผลการเรียนรู้ค่อนข้างต่ำ กรณีที่นักเรียนมีผล การเรียนรู้ต่ำกว่าเกณฑ์ประเมินผ่าน ครูจะตีความว่านักเรียน “ตก” ไม่ได้ หากแต่จำเป็นต้องสร้างหรือพัฒนา นวัตกรรมเรียนรู้ที่เหมาะสมมาใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้แทนนวัตกรรมการเรียนรู้เดิมเพื่อปรับปรุงผลการเรียนรู้ของ นักเรียนให้ผ่านเกณฑ์ประเมินผ่าน และเช่นกันกรณีที่จำนวนนักเรียนทั้งชั้นเรียนมีผลการเรียนรู้ผ่านเกณฑ์ประเมิน ผ่านระดับชั้นเรียน แต่ระดับผลการเรียนรู้ค่อนข้างต่ำ จำเป็นอย่างยิ่งที่ครูต้องสร้างหรือพัฒนานวัตกรรมเรียนรู้ที่ เหมาะมาใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้แทนนวัตกรรมการเรียนรู้เดิมเพื่อพัฒนาระดับผลการเรียนรู้ของนักเรียนให้ สูงขึ้น (อิสระ ทับสีสด. 2565) การปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วมีคามสำคัญต่อการเรียนวิชาดนตรีสากลเป็นอย่างมากเนื่องจากการเรียนปฏิบัติ เครื่องลิ่มนิ้วนั้นจะทำให้นักเรียนมีความรู้ในระดับขั้นพื้นฐานทั้งทฤษฎีและปฏิบัติในศาสตร์ดนตรีสากลอัน เนื่องมาจากการได้รู้จักเครื่องลิ่มนิ้วจะทำให้รู้ระบบเสียงทั้งหมดของดนตรีสากลและสามารถต่อยอดความรู้ในด้าน ต่างๆของดนตรีสากลได้ เช่น การรู้ระบบเสียงทั้ง88เสียงจะทำให้สามารถรู้ระยะความยาวของเสียงในเครื่องดนตรี แต่ละชนิดได้ ดังนั้นจะทำให้นักเรียนนั้นมีผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ดีขึ้นเมื่อนักเรียนได้เรียนวิชาทักษะการปฏิบัติเครื่อง ลิ่มนิ้ว


2 จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะให้กับนักเรียนระดับชั้น ม.6 นับแต่ปีการศึกษา ก่อนหน้า พบว่าเฉพาะผลการเรียนรู้เรื่อง การปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว ครูพี่เลี้ยงจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรม การเรียนรู้เดิม สำหรับการวัดและประเมินผลนั้น กำหนดเป็น 3 ด้านคือ ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) และด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) กำหนดระดับและเกณฑ์ประเมินผลการเรียนรู้แต่ละด้านตามเกณฑ์ของ คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2553) เป็น 4 ระดับคือ ดีมาก มีช่วงร้อยละของคะแนน 80 – 100 ดี ช่วง ร้อยละของคะแนน 65 – 79 พอใช้ ช่วงร้อยละของคะแนน 50 – 64 และต้องปรับปรุง ช่วงร้อยละของคะแนน 0 -49 สำหรับเกณฑ์ประเมินผ่านผลการเรียนรู้เป็นรายบุคคลนั้น นักเรียนแต่ละคนต้องมีผลการเรียนรู้ตั้งแต่ระดับ ดี ส่วน เกณฑ์ประเมินผ่านรู้ระดับชั้นเรียน ต้องมีค่าเฉลี่ยคะแนนรวมอย่างน้อยร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม จึงจะตัดสินว่า นักเรียนทั้งชั้นเรียนมีผลการเรียนรู้ผ่านเกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้นเรียน จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว การเรียนรู้เดิมกับนักเรียนระดับชั้น ม.6 ระหว่าง ปีการศึกษาก่อนหน้าดังกล่าว เมื่อทำการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ทั้ง 3 ด้านรวมกันคือ ด้านความรู้ ด้าน ทักษะ/กระบวนการ และด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ พบว่า มีค่าเฉลี่ยคะแนนรวมของผลการเรียนรู้ร้อยละ 85.40 ซึ่งผ่านเกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้นเรียน และเมื่อวิเคราะห์เป็นรายด้านพบว่า ผลการเรียนรู้ด้านทักษะ การปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วมีค่าเฉลี่ยคะแนนรวมของผลการเรียนรู้ร้อยละ 51.32 ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ประเมินผ่าน ระดับชั้นเรียน จากการสังเกตุสาเหตุที่ทำให้นักเรียนมีผลการเรียนรู้ด้านทักษะต่ำกว่าเกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้น เรียนโดยการสัมภาษณ์ครูพี่เลี้ยงเพื่อหาสาเหตุที่ทำให้ผลการเรียนรู้มีระดับคุณภาพต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด พบว่าการเรียนรู้เรื่องการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วมีลักษณะเป็นรูปธรรม นักเรียนไม่มีทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วอยู่ เป็นส่วนใหญ่ และในการฝึกปฏิบัติที่เป็นสาเหตุของปัญหาคือนักเรียนไม่สามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้องตามแบบแผน ตามระบบนิ้วต่างๆดังนั้นจึงทำให้นักเรียนมีผลการเรียนรู้ในระดัผ่านเกณฑ์แต่ยังไม่ดีเท่าไหร่นักเนื่องจากนวัตกรรมเดิม นั้นยังมีข้อด้อยอยู่ในเรื่องของแบบแผนต่งๆของการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว โซลตาน โคดาย (Zoltan Kodaly) นักแต่งเพลงและนักดนตรีชาวฮังการี เกิดปี ค.ศ.1882 และเสียชีวิตปี ค.ศ.1967 เขาได้ทุ่มเทแรงกายและแรงใจในการพัฒนาการเรียนการสอนดนตรีในประเทศฮังการีจนเป็น แบบแผน มาถึงปัจจุบัน โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ การให้ชาวฮังการีมีความรู้วิชาดนตรี สามารถเขียนและ อ่านโน้ตดนตรีได้ใน ลักษณะเดียวกับการอ่านและเขียนภาษาฮังการี ในปัจจุบันการสอนดนตรีของโคดายได้ รับการดัดแปลงและ ประยุกต์ใช้ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ลักษณะเด่นในการสอนดนตรีของ โคดาย คือการใช้สัญลักษณ์ก่อนเรียนรู้ตัวโน้ต จริง ซึ่ง ธวัชชัย นาควงษ์ (2543: 101) กล่าวว่า ครูสอนดนตรีของประเทศสหรัฐอเมริการู้จักกับเทคนิคการสอนดนตรี ของโค ดายบางส่วนก่อนรู้จักวิธีการสอนทั้งหมด ครูเหล่านั้นชอบการใช้สัญลักษณ์ที่มีมาก่อนการเขียนตัวโน้ตจริง เช่น การใช้รูปภาพของวัตถุ และก้านตัวโน้ตที่ไม่มีหัวตัวโน้ต แล้วค่อยถ่ายทอดสู่การใช้โน้ตจริงๆ ด้วยวิธีการเรียน ที่สนุก ดู คล้ายการเล่นเกมส์มากกว่าการเรียน และการใช้สัญลักษณ์มือตามแบบของ เคอร์เวน (John Curwer) ชาวอังกฤษ ที่


3 โคดายปรับปรุงและใช้จนเป็นที่นิยมในกลุ่มครูดนตรีชาวอเมริกัน และการจัดลำดับการสอน ของโคดายก็เป็นที่ ประทับใจครูดนตรีทั่วไป โดยมีแนวคิดสำคัญ 2 ข้อดังนี้ 1. จัดลำดับเนื้อหาและกิจกรรมการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับพัฒนาการของเด็ก โดยเนื้อหา และการ ดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอนจัดเป็นขั้นตอนจากง่ายไปสู่ยาก ซึ่งจะช่วยให้เด็กเรียนรู้ได้ง่าย 2. เน้นการร้องเพลงเป็นหลัก เพราะโคดายเชื่อว่า การเรียนรู้ดนตรีสำหรับเด็กให้ได้ผลดีที่สุดคือ การให้ร้อง เพลง เพราะการร้องเพลงเป็นการใช้เสียงซึ่งมีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ที่เด็กทุกคนคุ้ยเคยกับการใช้ เสียงใน ชีวิตประจําวัน การร้องเพลงในระยะเริ่มต้นใช้ความจําเป็นหลัก ต่อมาจึงฝึกการร้องโดยใช้โน้ต ความ เข้าใจโน้ตจน สามารถอ่านและเขียนได้เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นในการศึกษาดนตรี โดยเหมือนกับการเรียน วิชาทั่วไปที่ต้องอ่าน เขียนหนังสือให้ได้ก่อน เพื่อที่จะไปค้นคว้าความรู้จากหนังสือต่างๆ ได้ การร้องเพลงจะ ทําควบคู่กับการเคลื่อนไหว เพราะช่วยให้เด็กเข้าใจจังหวะได้ดี และสามารถร้องเพลงได้ถูกต้อง โคดายเชื่อว่า ดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของเด็กที่มี ความสำคัญและควรได้รับการพัฒนาเช่นเดียวกับภาษา แนวคิดนี้ทำให้ โคดาย เริ่มสอนดนตรีให้กับเด็กตั้งแต่ยังเล็ก โดยใช้เพลงพื้นบ้านฮังการีเป็นหลัก เช่นเดียวกับ ประสบการณ์ทางด้านภาษา เด็กควรได้รับฟังดนตรีก่อนแสดงออกใน ด้านการร้องหรือเล่น และหลังจากเด็ก ได้เรียนรู้และมีประสบการณ์ด้านดนตรีเพียงพอ กิจกรรมด้านการอ่านและ เขียนโน้ตดนตรีจึงเริ่มสอนได้ แนวคิดนี้เน้นการอ่านโน้ตเพลงแบบแบบซอล-ฟา (Tonic Sol-fa) ประกอบกับการใช้ สัญลักษณ์มือ จากแนวคิดข้างต้นอาจกล่าวได้ว่า รูปแบบการสอนดนตรีในที่ต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งพัฒนาขึ้นในยุโรปใช้ ระบบ ใด แทนระดับเสียง C เท่านั้น (Fix Do) แต่ในแนวคิดของ โคดาย ให้ โต เป็นโทนิก (Tonic) เคลื่อนที่ไปตาม ระดับเสียงต่างๆ (Move Do) ในบันไดเสียงเมเจอร์ และใช้ ลา เป็นโทนิก ในบันไดเสียงไมเนอร์ เคลื่อนที่ไป ตามระดับ เสียงต่างๆ เช่นเดียวกันบันไดเสียงเมเจอร์ แนวคิดนี้ทำให้รูปแบบการสอนดนตรีของโคดายได้ เปรียบในการอ่านโน้ต เพราะเด็กสามารถอ่านโน้ตได้คล่องแคล่วในทุกบันไดเสียง เนื่องจากตัวโดอาจอยู่ คําแหน่งใดๆ ในบรรทัด 5 เส้นก็ได้ นอกจากนี้ โคดาย ยังคิดระบบเสียงและตัวโน้ตที่แสดงจังหวะขึ้น เพื่อใช้ในการพัฒนาเรื่องจังหวะ โดยเฉพาะ กล่าวคือ เมื่อเริ่มเรียนเกี่ยวกับจังหวะ จะใช้สัญลักษณ์เป็นโน้ตที่ไม่มีหัว ยกเว้นโน้ตตัวขาวและตัว กลม พร้อมทั้งกำหนดเสียง ต่างๆ แทนจังหวะ สำหรับเพลงที่ใช้ในขั้นเริ่มต้นจะคำนึงถึงช่วงกว้างของทำนองเพราะเด็กมีช่วงเสียงจำกัดและเพลงที่ ใช้จะอยู่ในบันไดเสียงเพนทาโททิก(Pentatonic) ประกอบด้วย โด เร มี ชอล ลา ส่วนฟาและที่เริ่มเรียนในขั้นต่อมา เพราะ 2 ระดับเสียงนี้เป็นครึ่งเสียงในบันไดเสียงเมเจอร์ ซึ่งยาก สำหรับเด็กในการร้อง ดังนั้นเพลงที่ใช้ในขั้นแรกจึง เป็นเพลงง่ายๆ ในขั้นต่อมาเพลงจึงยากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับที่ สมชาย อมะรักษ์ (2542: 142) กล่าวว่า การเลือกเพลง ให้เด็กร้องต้องเหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก โดย เด็กที่เริ่มต้นฝึกร้องเพลงจะอยู่ในช่วงปฐมวัย อายุ 4 ปี และมี ช่วงเสียงที่จำกัดอยู่ระหว่าง เร-ลา เหนือโดกลาง (Middle C) ส่วนเด็กปฐมวัย อายุ 6 ปี มีช่วงเสียงระหว่าง โดกลางโดสูงถัดไป ดังนั้นเพลงในระยะเริ่มต้น สำหรับเด็กปฐมวัยจึงใช้โน้ตเพียง 2 ตัวคือ ซอลกับมี ซึ่งซอลกับมีนี้ นอกจาก


4 เป็นเสียงที่อยู่ในช่วงเสียงของเด็กแล้ว ยังเป็นขั้นคู่เสียงที่เด็กทางตะวันตกคุ้นเคย แล้วระยะต่อมาจึงเพิ่มโน้ตเป็น 3 ตัว 4 ตัว และ 5 ตัวตามลำดับ ซึ่งเป็นลักษณะจากง่ายไปยาก รวมถึงทำนองเพลงที่ร้องด้วย เช่น เสียงของทำนองใน ระยะแรกเคลื่อนจากสูง ไปต่ำ โดยเคลื่อนจากซอลไปมีเป็นหลัก เพราะร้องง่ายกว่าเสียงจากมีไปซอล ส่วนเสียงที่ร้อง ยากคือฟากับที ซึ่งเป็นเสียงที่มีความห่างครึ่งเสียงตามโครงสร้างของบันไดเสียงเมเจอร์ จะไม่นำมาให้เด็กร้องใน ระยะแรก โดยที่กล่าวมานี้เป็นเหตุผลที่เพลงในระยะแรกไม่มีร้องเสียงฟาและที หลังจากนั้นจึงเพิ่มเสียงโน้ตจนครบ 5 เสียง (Pentatonic) เพลงที่ใช้บันไดเสียงเพนทาโทนิกนี้มีอยู่ในเพลงพื้นเมือง (Folk Song) ทั่วไป ในการสอนดนตรี ของ โคดายนั้นเพลงพื้นเมืองนับว่าเป็นสื่อการสอนที่สำคัญมากสำหรับใช้สอนร้องเพลงกับเด็ก ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า แนวคิดทฤษฎีการสอนดนตรีที่สำคัญในหลักการของโคตายคือ การเน้นการขับ ร้องเป็นหลัก โดยระดับชั้นปฐมศึกษา ใช้การเคลื่อนไหวเป็นพื้นฐานสำคัญประกอบการร้องเพลงที่เน้นเพลง พื้นบ้านเป็นหลัก ต่อมาในชั้นที่สูงขึ้นการขับร้อง จะเป็นกิจกรรมสำคัญที่ใช้เป็นหลักในการเรียนรู้เนื้อหาดนตรี ซึ่งผู้เรียนสามารถพัฒนาความรู้ทางดนตรีและทักษะการ ร้องได้เป็นอย่างดี ด้วยบทบาทหน้าที่ของผู้สอน ตามพ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542 มาตรา ที่ 22 มาตรา ที่ 24 วงเล็บ 5 มาตราที่ 30 และจากข้อบกพร่องหรือข้อเสียของนวัตกรรมการเรียนรู้เดิม และความสำคัญของผลการเรียนรู้ ด้านการคิดวิเคราะห์ของตัวชี้วัด ศ 2.1เรื่อง ทักษะการขับร้อง ผู้วิจัยจึงมีแนวคิดที่จะทำวิจัยเพื่อพัฒนา ทักษะการ ปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว ที่ใช้ทฤษฎีการเรียนรู้โดยเน้นให้ลงมือปฏิบัติโดยทดลองใช้กับนักเรียนระดับชั้น ม.6 ปี การศึกษา 2565 ผลการวิจัยจะทำให้นักเรียนระดับชั้นดังกล่าวมีผลการเรียนรู้ด้านการคิดวิเคราะห์ของตัวชี้วัด ศ 2.1เรื่อง ทักษะการขับร้อง ผ่านเกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้นเรียน คำถามการวิจัย 1.การพัฒนาแบบฝึกทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วสำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อปรับปรุงผลการ เรียนรู้ด้านทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วของนักเรียนระดับชั้น ม.6 ทำอย่างไร 2. ผลการศึกษาการทดลองใช้แบบฝึกทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อปรับปรุงผล การเรียนรู้แบบฝึกทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว ของนักเรียนระดับชั้น ม.6 ทำอย่างไร 3. ผลการศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นม.6ที่มีต่อการทดลองใช้แบบฝึกทักษะการ ปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อปรับปรุงทักษะด้านการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว เป็นอย่างไร


5 วัตถุประสงค์การวิจัย 1.เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วสำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อปรับปรุงแบบ ฝึกทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วผลการเรียนรู้ด้านทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วของนักเรียนระดับชั้น ม.6 2. เพื่อการศึกษาผลการทดลองใช้แบบฝึกทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อ ปรับปรุงผลการเรียนรู้ด้านทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วของนักเรียนระดับชั้น ม.6 3. เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้น ม.6 ที่มีต่อการทดลองใช้แบบฝึกทักษะการ ปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อปรับปรุงด้านทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว ผลและประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1.ได้แบบฝึกทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วสำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาผลการ เรียนรู้ที่ต้องการปรับปรุงด้านทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วเรื่องทักษะการบรรเลงขั้นพื้นฐาน สำหรับนักเรียน ระดับชั้น ม .6 2. ทราบผลการทดลองใช้แบบฝึกทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อปรับปรุง ผล การเรียนรู้ด้านทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วเรื่องทักษะการบรรเลงขั้นพื้นฐาน สำหรับนักเรียนระดับชั้น ม .6 3. ทราบระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นม.6 ที่มีต่อการทดลองจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อ ปรับปรุงผลการเรียนรู้ที่ต้องการปรับปรุงผลการเรียนรู้ด้านทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วเรื่องทักษะการบรรเลงขั้น พื้นฐานสำหรับนักเรียนระดับชั้น ม.6 4. ผลการวิจัยจะนำไปใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อปรับปรุงผลการเรียนรู้ที่ต้องการปรับปรุงด้านทักษะ การปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วเรื่องทักษะการบรรเลงขั้นพื้นฐานสำหรับนักเรียนระดับชั้น ม .6 5. ผลการเรียนรู้ที่ต้องการปรับปรุงด้านทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วเรื่องทักษะการบรรเลงขั้นพื้นฐาน สำหรับนักเรียนระดับชั้น ม.6 ผ่านเกณฑ์การประเมินระดับชั้นเรียน ขอบเขตการวิจัย 1.ขอบเขตด้านแหล่งข้อมูล กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนระดับชั้น ม.6 โรงเรียนแสนตอวิทยา อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่ง เทียบเคียงประชากรที่มีจำนวนไม่จำกัด (Infinite Population) 2.ขอบเขตด้านตัวแปร 2.1 ตัวแปรอิสระ 1. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ต้องการปรับปรุงด้านทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วเรื่องทักษะการ บรรเลงขั้นพื้นฐานสำหรับนักเรียนระดับชั้นม.6จากการทดลองใช้แบบฝึกหัดการบรรเลงขั้นพื้นฐานโดยการ ทำ ความรู้จักนิ้วมือ การวางระบบนิ้วทั้ง5นิ้ว และการบรรเลงเพลงขั้นพื้นฐาน


6 2. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้านทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วเรื่องทักษะการบรรเลงขั้นพื้นฐาน สำหรับนักเรียนระดับชั้น ม.6 จากการทดลองใช้แบบฝึกหัดการบรรเลงขั้นพื้นฐานโดยการ ทำความรู้จักนิ้วมือ การ วางระบบนิ้วทั้ง5นิ้ว และการบรรเลงเพลงขั้นพื้นฐาน 2.2 ตัวแปรตาม 1. ผลการเรียนรู้ด้านทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วเรื่องทักษะการบรรเลงขั้นพื้นฐาน สำหรับ นักเรียนระดับชั้น ม.6จากการทดลองใช้แบบฝึกหัดการบรรเลงขั้นพื้นฐานโดยการ ทำความรู้จักนิ้วมือ การวาง ระบบนิ้วทั้ง5นิ้ว และการบรรเลงเพลงขั้นพื้นฐาน 2. ผลการเรียนรู้ด้านทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วเรื่องทักษะการบรรเลงขั้นพื้นฐานสำหรับ นักเรียนระดับชั้นม.6จากการทดลองใช้แบบฝึกหัดการบรรเลงขั้นพื้นฐานโดยการ ทำความรู้จักนิ้วมือ การวางระบบ นิ้วทั้ง5นิ้ว และการบรรเลงเพลงขั้นพื้นฐาน 3.ระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้น ม.6 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทักษะการ ปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วเรื่องทักษะการบรรเลงขั้นพื้นฐานจากการทดลองใช้แบบฝึกหัดการบรรเลงขั้นพื้นฐานโดยการ ทำความรู้จักนิ้วมือ การวางระบบนิ้วทั้ง5นิ้ว และการบรรเลงเพลงขั้นพื้นฐาน นิยามคำศัพท์เฉพาะ 1.นักเรียนระดับชั้น ม.6 หมายถึง นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนแสนตอวิทยา อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ 2.นวัตกรรมการเรียนรู้เดิมก่อนการทำการวิจัย หมายถึง การฝึกการบรรเลงขั้นพื้นฐานโดยไม่มีการวาง ตำแหน่งนิ้วตาม ระบบนิ้วทั้ง5 จึงมีการคลาดเคลื่อนของนิ้วภายในบทเพลงทำให้การบรรเลงนั้นเกิดข้อผิดพลาดอยู่ มากเนื่องจากระบบนิ้วนั้นไม่เป็นไปตามแบบแผน 3.ผลการเรียนรู้ 3.1 จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะให้กับนักเรียนระดับชั้น ม.6 นับแต่ ปีการศึกษาก่อนหน้า พบว่าเฉพาะผลการเรียนรู้เรื่อง การปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว ครูพี่เลี้ยงจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ นวัตกรรมการเรียนรู้เดิม สำหรับการวัดและประเมินผลนั้น กำหนดเป็น 3 ด้านคือ ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/ กระบวนการ (P) และด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) กำหนดระดับและเกณฑ์ประเมินผลการเรียนรู้แต่ละด้าน ตามเกณฑ์ของคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2553) เป็น 4 ระดับคือ ดีมาก มีช่วงร้อยละของคะแนน 80 – 100 ดี ช่วงร้อยละของคะแนน 65 – 79 พอใช้ ช่วงร้อยละของคะแนน 50 – 64 และต้องปรับปรุง ช่วงร้อยละของ คะแนน 0 -49 สำหรับเกณฑ์ประเมินผ่านผลการเรียนรู้เป็นรายบุคคลนั้น นักเรียนแต่ละคนต้องมีผลการเรียนรู้ตั้งแต่


7 ระดับ ดี ส่วนเกณฑ์ประเมินผ่านรู้ระดับชั้นเรียน ต้องมีค่าเฉลี่ยคะแนนรวมอย่างน้อยร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม จึงจะตัดสินว่า นักเรียนทั้งชั้นเรียนมีผลการเรียนรู้ผ่านเกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้นเรียน 3.2ค่าคะแนนเฉลี่ยรวมผลการเรียนรู้ของนักเรียนระดับชั้น ม.6 โดยทดลองใช้แบบฝึกทักษะการ ปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว 3.3ค่าคะแนนเฉลี่ยรวมผลการเรียนรู้ของนักเรียนระดับชั้น ม.6 จำนวน 40 คน ภายหลังการจัด กิจกรรมการเรียนรู้เรื่องทักษะการบรรเลงขั้นพื้นฐาน โดยทดลองใช้การแบบฝึกทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว 4.ระดับผลการเรียนรู้ หมายถึง ระดับผลการเรียนรู้ที่กำหนดตามเกณฑ์วัดและประเมินผลของ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(2550) ดังนี้ ดีเยี่ยม หรือ ระดับ 4.00 มีค่าร้อยละของค่าคะแนนเฉลี่ย 80-100 ดีมาก หรือ ระดับ 3.50 มีค่าร้อยละของค่าคะแนนเฉลี่ย 75-79 ดี หรือ ระดับ 3.00 มีค่าร้อยละของค่าคะแนนเฉลี่ย 65-79 ค่อนข้างดีหรือ ระดับ 2.50 มีค่าร้อยละของค่าคะแนนเฉลี่ย 65-69 ปานกลาง หรือ ระดับ 2.00 มีค่าร้อยละของค่าคะแนนเฉลี่ย 50-64 พอใช้หรือ ระดับ 1.50 มีค่าร้อยละของค่าคะแนนเฉลี่ย 50-64 ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำ หรือ ระดับ 1.00 มีค่าร้อยละของค่าคะแนนเฉลี่ย 50-54 ต้องปรับปรุง หรือ ระดับ 0.00 มีค่าร้อยละของค่าคะแนนเฉลี่ยน้อยกว่า 50 5.การพัฒนาผลการเรียนรู้หมายถึงผลการเปรียบเทียบระดับผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของนักเรียนระดับชั้น ม.6 ระหว่างจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว โดยทดลองใช้แบบฝึกทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว กับผลการเรียนรู้ระดับและเกณฑ์ประเมินผลการเรียนรู้แต่ละด้านตามเกณฑ์ของคณะกรรมการการศึกษาขั้น พื้นฐาน (2553) เป็น 4 ระดับคือ ดีมาก มีช่วงร้อยละของคะแนน 80 – 100 ดี ช่วงร้อยละของคะแนน 65 – 79 พอใช้ ช่วงร้อยละของคะแนน 50 – 64 และต้องปรับปรุง ช่วงร้อยละของคะแนน 0 -49 สำหรับเกณฑ์ประเมินผ่านผล การเรียนรู้เป็นรายบุคคลนั้น 6.ความพึงพอใจ หมายถึง ความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้น ม.6 โรงเรียนแสนตอวิทยา อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว โดยทดลองใช้แบบฝึกทักษะการ ปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว ประกอบด้วยด้านความรู้ และด้านกิจกรรม 7.ระดับความพึงพอใจ หมายถึง ระดับความพึงพอใจแบบประมาณค่า (Likert Scale) โดยเรียงลำดับจาก ระดับมากที่สุดถึงน้อยที่สุด 5 ระดับคือ มีความพึงพอใจมากที่สุด มีความพึงพอใจมาก มีความพึงพอใจปานกลาง มี ความพึงพอใจค่อนข้างน้อย และมีความพึงพอใจน้อยที่สุด แต่ละระดับดังกล่าว กำหนดโดยเกณฑ์ช่วงค่าเฉลี่ย ดังนี้


8 ระดับค่าเฉลี่ย ระดับความพึงพอใจ ค่าเฉลี่ย 4.50 - 5.00 ความรู้สึกพึงพอใจมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 3.50 - 4.49 ความรู้สึกพึงพอใจมาก ค่าเฉลี่ย 2.50 - 3.49 ความรู้สึกพึงพอใจปานกลาง ค่าเฉลี่ย 1.50 - 2.49 ความรู้สึกพึงพอใจน้อย ค่าเฉลี่ย 1.00 - 1.49 ความรู้สึกพึงพอใจน้อยที่สุด สมมติฐานการวิจัย สมมติฐานการวิจัยที่ 1 1. สมมติฐานการวิจัยที่ 1 ผลจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว กับนักเรียนใน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนแสนตอวิทยาและเทคนิคการสอนวิธีเดิมพบปัญหาคือ นักเรียนส่วนใหญ่มี ผลสัมฤทธิ์สัมฤทธิ์การเรียนรู้เฉลี่ยต่ำกว่าระดับดี ซึ่งกำหนดเป็นเกณฑ์มาตรฐานผ่านการประเมิน ครูจึงมีแนวคิดที่ จะพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของนักเรียนให้สูงขึ้นตามเกณฑ์มาตรฐานผ่านการประเมิน ผลการทบทวนเอกสารและงานวิจัยวิจัยที่เกี่ยวข้องพบว่า จากแผนการจัดการเรียนรู้เปียโนเบื้องต้น สำหรับสมาชิกกิจกรรมชุมนุมดนตรี ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 โดยคำนวณตามสูตร E1, E2 ที่เกริก ท่วมกลาง และจินตนา ท่วมกลาง (2555 : 12-14) ได้นำเสนอไว้ พบว่า ประสิทธิภาพ ของแผนการจัดการเรียนรู้ สำหรับสมาชิกกิจกรรมชุมนุมดนตรี มีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.63/85.00 ซึ่ง หมายความว่า นักเรียน 5 คน มีคะแนนเฉลี่ยจากการประเมินพฤติกรรมระหว่างเรียนคิดเป็นร้อยละ 82.63 และมี คะแนนจากการทำ แบบทดสอบทักษะปฏิบัติหลังเรียนคิดเป็นร้อยละ 85.00 เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่ตั้งไว้คือ 80/80 ก็แปลว่า แผนการจัด การเรียนรู้มีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ หรือแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น นั้นสามารถพัฒนานักเรียนได้จริง เมื่อดูจากผลการวิเคราะห์ข้อมูลจะเห็นได้ว่านักเรียนที่ได้เรียนจากแผนการจัดการ เรียนรู้มีคะแนนพัฒนาการด้านต่าง ๆ เพิ่มขึ้น เรื่อย ๆ ทั้งด้านความรู้ ทัศนคติ ตั้งแต่แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1-8 และ อาจเนื่องมาจากแผนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นผ่านขั้นตอน กระบวนการหลายขั้นตอน และได้ผู้เชี่ยวชาญด้านแผนการสอน มากกว่า 10 ปี ให้คำแนะนำในการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ อย่างมีระบบ โดยการศึกษาหลักสูตรและเอกสารสำคัญ อื่น ๆ ร่วมด้วย เมื่อนำไปใช้กับนักเรียนจึงได้ผลออกมาได้ดี ซึ่งสอดคล้อง กับงานวิจับของรัศมี ศรีแพงมล (2559 : 91- 92) ได้ทำการศึกษาการพัฒนากิจกรรมชุมนุมดนตรีและนาฏศิลป์พื้นบ้านอีสาน สำหรับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น พบว่า กิจกรรมชุมนุมดนตรีและนาฏศิลป์พื้นบ้านอีสาน สำหรับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น มีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.84/81.00 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้ และยังสอดคล้องกับพิชยา ถาบุตร (2560 : 58-69) ได้ทําการศึกษาเรื่อง การพัฒนา หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ เรื่องระบำภูไทแปดเผ่า สำหรับนักเรียนชุมนุม ดนตรี-นาฏศิลป์พบว่าประสิทธิภาพ ของหลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ เรื่องระบำภูไทแปดเผ่า สำหรับนักเรียนชุมนุมดนตรี นาฏศิลป์ มี ประสิทธิภาพเท่ากับ 94.38/95.63 ตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 80/80 และสอดคล้องกับวิไลรัตน์ แซ่เอี้ยว (2560 : 52-53) ได้


9 ทำการศึกษาการพัฒนาชุดกิจกรรมชุมนุมนาฏศิลป์ เรื่องรำวงมาตรฐาน โดยใช้ทักษะปฏิบัติของเดวีส์ พบว่า ประสิทธิภาพ ของชุดกิจกรรมชุมนุมนาฏศิลป์ เรื่องรำวงมาตรฐาน โดยใช้ทักษะปฏิบัติของเดวีส์ มีค่าเท่ากับ 97.08/95.83 ตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 75/75 แม้งานวิจัยที่นำมากล่าวถึงในการอภิปรายผลจะมีการตั้งเกณฑ์ที่แตกต่างกัน อาจเป็นเพราะบริบทของสถานศึกษา และผู้เรียนที่ต่างกัน ทำให้การกำหนดเกณฑ์ในการศึกษาจึงต่างกันด้วย แต่ผล การศึกษาที่ได้จากการวิจัยก็ได้ผลไปในทางเดียวกัน คือเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดหรือสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ใน จุดประสงค์การวิจัย จากการศึกษาทักษะการบรรเลงเปียโนเบื้องต้น สำหรับสมาชิกกิจกรรมชุมนุมดนตรี กับเกณฑ์ร้อยละ 80 พบว่านักเรียนกิจกรรมชุมนุมดนตรี ช่วงชั้นที่ 1-3 จำนวน 5 คน มีทักษะการบรรเลงเปียโนเบื้องต้น ค่าเฉลี่ยคะแนน เท่ากับ 128.40 คะแนนเต็ม 160 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 80.25 เมื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์น้อยละ 80 ซึ่งอยู่ในระดับดี มากและนักเรียน มีคะแนนทักษะการบรรเลงเปียโนสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ ทั้งนี้เนื่องจากแผนการจัดการเรียนรู้ มุ่งเน้นให้ นักเรียนฝึกทักษะปฏิบัติ จากการลงมือปฏิบัติจริง เมื่อนักเรียนได้ลงมือปฏิบัติด้วยตัวเองทุก ๆ ครั้ง จากแผนการจัดการ เรียนรู้ ตั้งแต่แผนที่ 1-8 นักเรียนจะเกิดพัฒนาการดีขึ้นเรื่อย ๆ จากการที่ได้เล่นหรือบรรเลงกับเครื่องเล่นเปียโนตาม แผนการจัดการเรียนรู้ฝึกทักษะ การบรรเลงเปียโนเบื้องต้น และอีกเหตุผลหนึ่งอาจเกิดมาจาก นักเรียนทราบถึงผลการ วัดและประเมินจากแผนการจัดการเรียนรู้ ในแต่ละครั้งจากการประเมินทักษะการบรรเลงเปียโนที่สร้างขึ้นตามเกณฑ์ รูบริคแบบแยกองค์ประกอบของกมลวรรณ ตั้งธนกานนท์ (2559 : 49-51) ว่าผู้ประเมินต้องการวัดหรือประเมินสิ่ง ใดบ้าง นักเรียนจึงแสดงพฤติกรรมเหล่านั้นออกมาให้ผู้ประเมินได้สังเกต ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของพิชญา สังข์เงิน (2552 : 73) ได้ทำการศึกษาการพัฒนาหลักสูตรกิจกรรมชุมนุม เรื่อง ฟ้อนทอผ้าป่าแดง สำหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ 3 พบว่า นักเรียนมีทักษะการฟ้อนทอผ้าป่าแดงอยู่ในระดับดีมาก ในเวลาต่อมาธนกร มหัทธนะกุลชัย (2556 : 64) ได้ ทำการศึกษาเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการปฏิบัติวิชาดนตรี ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการสอนทางตรง พบว่านักเรียนมีคะแนนทักษะการปฏิบัติทางดนตรี เฉลี่ย 24.95 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 83.66 โดยมีนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 จำนวน 35 คน คิดเป็นร้อยละ 85.37 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด ซึ่งผ่าน เกณฑ์ ที่กำหนดไว้ในเวลาถัดมา สุธีระ เดชคำภู (2560 : 65-74) ได้ทำการศึกษาเรื่อง การพัฒนาทักษะการปฏิบัติเปียโน และคีย์บอร์ด โดยใช้ชุดกิจกรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนเสนานิคม พบว่า ผลการพัฒนาทักษะการ ปฏิบัติเปียโนและคีย์บอร์ด โดยใช้ชุดกิจกรรม มีนักเรียนที่มีคะแนนผ่านเกณฑ์ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 จำนวน 24 คน คิด เป็นร้อยละ 66.66 และมีนักเรียน ไม่ผ่านเกณฑ์ จำนวน 12 คน คิดเป็นร้อยละ 33.33 และสอดคล้องกับวิไลรัตน์ แซ่ เอี้ยว (2560: 52-53) ได้ทำการศึกษา การพัฒนาชุดกิจกรรมชุมนุม เรื่องรำวงมาตรฐาน โดยใช้ทักษะปฏิบัติของเดวีส์ พบว่านักเรียนมีทักษะปฏิบัติคิดเป็นร้อยละ 95.78 ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ร้อยละ 75 แม้งานวิจัยที่นำมากล่าวถึงในการ อภิปรายผลจะมีการตั้งเกณฑ์ที่แตกต่างกัน อาจเป็นเพราะบริบทของสถานศึกษาและผู้เรียนที่ต่างกัน ทำให้การกำหนด เกณฑ์ในการศึกษาจึงต่างกันด้วย แต่ผลการศึกษา ที่ได้จากการวิจัยก็ได้ผลไปในทางเดียวกัน คือเป็นไปตามเกณฑ์ที่ กำหนด หรือสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ในจุดประสงค์การวิจัย


10 จากการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแผนการจัดการเรียนรู้เปียโนเบื้องต้น สำหรับสมาชิกกิจกรรม ชุมนุมดนตรี พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจต่อแผนการจัดการเรียนรู้ การเรียนรู้เปียโนเบื้องต้น สำหรับสมาชิกกิจกรรม ชุมนุม ดนตรี อยู่ในระดับมาก (X= 4.38, S.D. (0.23) ทั้งนี้เนื่องจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้วิจัยเน้นให้นักเรียน ได้ ฝึกทักษะ การบรรเลงเปียโนจริง ซึ่งทำให้นักเรียนเกิดความเข้าใจมากขึ้น และในแต่ละครั้งที่ทำการจัดกิจการการเรียนรู้ ครูได้แจ้งผล การประเมินให้นักเรียนได้ทราบหลังเสร็จสิ้นการจัดกิจกรรมท้ายชั่วโมงทันที ทำให้เกิดแรงกระตุ้นในการ พัฒนาตนเอง และการทำกิจกรรมครั้งต่อไปให้ดีขึ้น ส่งผลให้นักเรียนเกิดความพึงพอใจกับแผนการจัดการเรียนรู้ อยู่ใน ระดับความพึงพอใจมาก สอดคล้องกับงานวิจัยของพิชญา สังข์เงิน (2552 : 73) ได้ทำการศึกษาการพัฒนาหลักสูตร กิจกรรมชุมนุมนาฏศิลป์ เรื่องฟ้อนทอผ้า ป่าแดง สำหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ 3 พบว่าความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อ การเรียนหลักสูตรกิจกรรมชุมนุมนาฏศิลป์ เรื่องฟ้อนทอผ้าป่าแดง อยู่ในระดับมากที่สุด หลายปีต่อมากรรณิกา คันสินธิ์ (2557 : 92-98) ได้ทำการศึกษา เรื่องการพัฒนา ชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการฟ้อนหมากถั่วดิน โดยใช้แหล่งเรียนรู้ภูมิ ปัญญาท้องถิ่น กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ (นาฏศิลป์) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 พบว่านักเรียนมีความพึง พอใจต่อการเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียน เรื่องการฟ้อน หมากถั่วดิน โดยใช้แหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นกลุ่มสาระ การเรียนรู้ศิลปะ (นาฏศิลป์) สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยรวม อยู่ในระดับมากที่สุด ในเวลาต่อถัดมารัศมี ศรีแพง มล (2559 : 91-92) ได้ทำการศึกษาการพัฒนากิจกรรมชุมนุมดนตรี และนาฏศิลป์พื้นบ้านอีสาน สำหรับชั้นมัธยมศึกษา ตอนต้น พบว่านักเรียนที่เรียนด้วยกิจกรรมชุมนุมดนตรีและนาฏศิลป์พื้นบ้านอีสาน สำหรับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น มี ความพึงพอใจต่อกิจกรรมชุมนุมดนตรีและนาฏศิลป์พื้นบ้านอีสาน โดยรวมอยู่ใน ระดับมากที่สุด ต่อมาอรดี แก้วซะ เนตร (2559 : 70-78) ได้ทำการศึกษา เรื่องการศึกษาผลการพัฒนาหลักสูตรทักษะปฏิบัติ ดนตรีไทยขั้นสูง โดยใช้แหล่ง เรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น พบว่าผลการศึกษาความพึงพอใจ ของผู้เข้าร่วม กิจกรรม สรุปภาพรวมความพึงพอใจ พบว่ามีค่าเฉลี่ย 4.50 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.27 อยู่ในระดับมากจึงมี ความสัมพันธ์กันในเชิงบวก ในปีต่อมาพิชยา ถาบุตร (2558 : 58-69) ได้ทำการศึกษาเรื่อง การพัฒนาหลักสูตรกลุ่ม สาระ การเรียนรู้ศิลปะ เรื่องระบำภูไทแปดเผ่า สำหรับนักเรียนชุมนุม ดนตรี-นาฏศิลป์ พบว่านักเรียนความพึงพอใจต่อ กิจกรรมชุมนุม ดนตรี-นาฏศิลป์ ที่เรียนด้วยหลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ เรื่องระบำภูไทแปดเผ่า สำหรับนักเรียนชุมนุม ดนตรี-นาฏศิลป์ โรงเรียนบ้านหนองเบิก สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามุกดาหาร อยู่ ในระดับมากที่สุด และสอดคล้อง กับสุธีระ เดชคำภู (2560 : 65-74) ได้ทำการศึกษา เรื่องการพัฒนาทักษะการปฏิบัติ เปียโนและคีย์บอร์ด โดยใช้ชุดกิจกรรม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนเสนานิคม พบว่านักเรียนมีความพึง พอใจต่อการเรียนวิชาดนตรีโดยใช้ชุดกิจกรรม เรื่องการพัฒนาทักษะการปฏิบัติเปียโนและคีย์บอร์ด ภาพรวมอยู่ใน ระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 4.41) ความพึงพอใจระดับมากที่สุด คือ ด้านประโยชน์ที่ได้รับ (ค่าเฉลี่ย 4.67) รองลงมา ด้าน ครูผู้สอน (ค่าเฉลี่ย 4.53) และสุดท้าย อยู่ในระดับมาก คือ ด้านสื่อ การสอนของชุดกิจกรรม (ค่าเฉลี่ย 4.40) ผู้วิจัยจึงกำหนดสมมติฐานที่ 1ว่า แบบฝึกทักษะที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยทฤษฎีการเรียนรู้โดยการ เน้นให้ลงมือปฏิบัติโดยให้ความสำคัญกับตัวผู้เรียนเป็นหลัก ซึ่งเป็นหลักเดียวกับจิตวิทยาการพัฒนาการเด็ก คือ


11 การเรียนการสอนดนตรีควรมีระดับความยากง่ายเหมาะสมกับลักษณะการพัฒนาการของเด็ก ดังนั้นสิ่งง่ายไม่ สลับซับซ้อนควรนำเสนอก่อนสิ่งที่ยาก โคดายเน้นการร้องเพลงเป็นหลัก ชั้น ม.6 โรงเรียนแสนตอวิทยา อำเภอ เมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ 2.สมมติฐานการวิจัยที่ 2 การจัดการเรียนรุ้ต้องเน้นกระบวนการในการลงมือทำโดยเน้นให้ปฏิบัติด้วย ตนเองและเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ตามหลัก Active Learning โดยสมมติฐานที่ 2 นี้จะกล่าวถึงการใช้เทคโนโลยี ต่างๆมาใช้ในกระบวนการเรียนการสอนเพื่อให้ผลสัมฤทธิ์การเรียนมีผลที่ดีขึ้น ผลการทบทวนเอกสารและงานวิจัยวิจัยที่เกี่ยวข้องพบว่า การศึกษาวิจัยเรื่องการพัฒนาทักษะการปฏิบัติเปียโนตามรูปแบบการสอนทักษะการปฏิบัติ เปียโน เบื้องต้น โดยใช้โน้ตดนตรีสากลแบบกราฟิก เพื่อพัฒนาทักษะการปฏิบัติเปียโนในด้านความคล่องแคล่ว ด้าน ทำนอง และด้าน จังหวะ และเพื่อศึกษาทัศนคติที่มีต่อการเรียนรู้ดนตรีของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่4 สามารถ สรุปได้ว่า การใช้ รูปแบบการสอนทักษะการปฏิบัติ เปียโนเบื้องต้นที่ใช้โน้ตดนตรีสากลแบบกราฟิก สามารถใช้ใน การพัฒนาทักษะการ ปฏิบัติเปียโนของผู้เรียน ทั้งในด้านความคล่องแคล่ว ทำนอง และจังหวะได้ เนื่องจากการใช้ โน้ตดนตรีสากลแบบ กราฟิกสามารถทำให้ผู้เรียนรับรู้ตำแหน่งของตัวโน้ตใน การปฏิบัติทำนองเพลงและจังหวะได้ อย่างถูกต้องใน ระยะเวลาอันสั้น ส่งผลให้ผู้เรียนสามารถมุ่งฝึกปฏิบัติทักษะเปียโนจนเกิดทักษะอยู่ในระดับขั้นการ ปฏิบัติอย่างชำนาญ ซึ่งแสดงให้เห็นจากผลการพัฒนาทักษะการปฏิบัติ เปียโนโดยรวม และสามารถสร้างทัศนคติที่ ดีในการเรียนรู้ดนตรี ซึ่งแสดงให้เห็นจากผลคะแนนเฉลี่ยจากแบบวัดทัศนคติที่มีต่อการเรียนรู้ดนตรี ซึ่งประกอบไป ด้วย 3 ด้าน ได้แก่ ด้าน การเรียนรู้ดนตรี ด้านความสนใจส่วนบุคคล และด้านสภาพแวดล้อม ที่พบว่าอยู่ในระดับ มาก 6.1 ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้ 6.1.1 จากผลการศึกษาพบว่า การจัดการเรียนรู้ตามหลักการพัฒนาทักษะการปฏิบัติเปียโนเบื้องต้น โดย ใช้ โน้ตดนตรีสากลแบบกราฟิกนั้น สามารถพัฒนาทักษะการปฏิบัติเปียโนเบื้องต้นของผู้เริ่มฝึกหัดในระยะเวลาอัน สั้นได้ เป็นอย่างดี ดังนั้นผู้บริหารโรงเรียนหรือหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ ควรส่งเสริมให้ครูใช้โน้ตดนตรีสากล แบบกราฟิก เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการจัดการเรียนการสอนทักษะการปฏิบัติเปียโน เพื่อให้ผู้เรียนทุกคนได้มีโอกาส พัฒนาทักษะ การปฏิบัติเปียโน และสร้างทัศนคติที่ดีในการเรียนรู้ดนตรีของผู้เรียนให้ดียิ่งขึ้น 6.1.2 ในการจัดการเรียนรู้ตามหลักการพัฒนาทักษะการปฏิบัติเปียโนเบื้องต้นโดยใช้โน้ตดนตรีสากลแบบ กราฟิกนั้น ผู้สอนควรตรวจสอบ การเชื่อมต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ตและ อุปกรณ์ในการแสดงโน้ตดนตรีสากลแบบ กราฟิก เช่น โน้ตบุ๊ก แท็ปเล็ต หรือ โทรศัพท์มือถือ ให้เพียงพอต่อจำนวนของผู้เรียนและอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ พร้อม ใช้งาน ทุกครั้งก่อนการจัดการเรียนการสอน 6.1.3 ในการจัดการเรียนรู้ตามหลักการพัฒนาทักษะการปฏิบัติเปียโนเบื้องต้นโดยใช้โน้ตดนตรีสากลแบบ กราฟิกนั้น ครูผู้สอนควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ซักถาม และแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระในแต่ละขั้นตอนระหว่าง การจัดการเรียนรู้ และครูผู้สอนควรกระตุ้น และติดตามผลเพื่อให้คำแนะนำแก่ผู้เรียนแต่ละคน ตลอดระยะเวลา


12 การฝึก ปฏิบัติ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาทักษะการปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ 6.2 ข้อเสนอแนะในการวิจัย ครั้งต่อไป 6.2.1 งานวิจัยชิ้นนี้ ทำการศึกษากับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ในโรงเรียน นานาชาติ แห่งหนึ่งเท่านั้น ในการทำวิจัยครั้งต่อไป จึงควรมีการทำการศึกษากับกลุ่มเป้าหมายที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ใน สถาบันการศึกษาอื่นๆ หรือระดับชั้นอื่นๆ ที่มีบริบทแตกต่างกันเพิ่มเติม เพื่อเป็นการตรวจสอบผลการศึกษาว่า มีผล เป็นเช่นเดียวกันกับการทำการศึกษากับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ในโรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่งนี้หรือไม่ 6.2.2 ควรมีการทำการศึกษากับกลุ่มผู้เรียน 2 กลุ่ม โดยกลุ่มหนึ่งดำเนินการสอนโดยใช้โน้ตดนตรีสากล แบบ มาตรฐานและอีกกลุ่มดำเนินการสอนโดยใช้โน้ตดนตรีสากลแบบกราฟิก เพื่อให้ทราบถึงประสิทธิภาพและ ประสิทธิผลจากการใช้โน้ตดนตรีสากลแบบกราฟิกและการใช้โน้ตดนตรีสากลแบบมาตรฐานว่ามีผลต่อการพัฒนา ทักษะการปฏิบัติเปียโน และทัศนคติที่มีต่อการเรียนรู้ดนตรีของผู้เรียนแตกต่างกันอย่างไร 6.2.3 ควรมีการศึกษาผลการใช้โน้ตดนตรีสากลแบบกราฟิกในการพัฒนาทักษะการปฏิบัติเครื่องดนตรี ประเภทอื่นๆ เพื่อให้ทราบถึงผลของการพัฒนาทักษะการปฏิบัติเครื่องดนตรีนั้นๆ และทัศนคติที่มีต่อการเรียนรู้ ดนตรี ว่าเป็นอย่างไร ผู้วิจัยจึงกำหนดสมมติฐานการวิจัยที่ 2 พบว่า ว่าการใช้กราฟิกเข้ามาช่วยในการสอนถือเป็นสื่อการสอน ที่ใช้ได้ดีเป็นอย่างมากเนื่องจากในปัจจุบันต้องหาแรงจูงใจเพื่อให้นักเรียนนั้นสนใจในการเรียนรู้ดังนั้นจากสมมติฐาน ข้อที่2นี้จึงพบว่าการใช้กราฟิกมาเป็นสื่อนั้นสามารถทำให้ผลการเรียนของนักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียน แสนตอวิทยา อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ดีขึ้นได้


13 บทที่ 2 การทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การทำวิจัยในชั้นเรียนเรื่องการพัฒนาผลการเรียนรู้วิชาทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วของนักเรียนชั้น ม.6 ผู้วิจัยขอเสนอผลการทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องประกอบด้วยหัวข้อหลักตามลำดับดังนี้ 1.การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ 2.ความจำเป็นที่ครูต้องทำวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ 3.นวัตกรรมทางการศึกษา 4.เครื่องมือการวิจัย 5.ความพึงพอใจ 6.ผลการเรียนรู้ 7.งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง แต่ละหัวข้อหลักดังกล่าว นำเสนอรายละเอียดตามลำดับขั้น ดังนี้ การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ความหมายของการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ (สุวิมล ว่องวานิช 2543: 163) การวิจัยในชั้นเรียน คือการวิจัยที่ทำโดยครูผู้สอนในห้องเรียน เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ในห้องเรียนและนำผลมาใช้ปรับปรุงการเรียนการสอนเพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียน เป็นการวิจัยที่ต้องทำอย่างรวดเร็ว นำผล ไปใช้ทันทีและสะท้อนข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติงานต่าง ๆ ของตนเอง ให้ทั้งตนเองและกลุ่มเพื่อนร่วมงาน (ประกอบ มณีโรจน์2544: 4) การวิจัยในชั้นเรียน คือกระบวนการแสวงหาความจริงด้วยวิธีการที่เชื่อถือได้ในเนื้อหาที่ เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอน เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาและพัฒนาความสามารถของผู้เรียนอย่างเป็นระบบ (ประวิต เอราวรรณ์2542: 3) การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน เป็นการศึกษาค้นคว้าของครูซึ่งจัดว่าเป็นผู้ปฏิบัติงานใน ชั้นเรียนเพื่อแก้ปัญหา (Problem Solving) การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนหรือพฤติกรรมนักเรียนและคิดวิเคราะห์ (Critical Thinking) เพื่อพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอน


14 (ทิศนา แขมมณี2540: 5) การวิจัยในชั้นเรียน หมายถึงการวิจัยที่ทำในบริบทของชั้นเรียน และมุ่งนำผลการวิจัยมาใช้ ในการพัฒนาการเรียนการสอนของตน เป็นการนำกระบวนการวิจัยไปใช้ในการพัฒนาครูให้ไปสู่ความเป็นเลิศ และมีอิสระ ทางวิชาการ (สุวัฒนา สุวรรณเขตนิคม 2540: 3) การวิจัยในชั้นเรียน คือกระบวนการแสวงหาความรู้อันเป็นความจริงที่เชื่อถือได้ ในเนื้อหาเกี่ยวกับการพัฒนาการจัดการเรียนการสอน เพื่อการพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียนในบริบทของชั้นเรียน 2. ประเภทของการวิจัยในชั้นเรียน การวิจัยในชั้นเรียนสามารถแบ่งตามลักษณะของข้อมูลการวิจัยได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ การวิจัยเชิงปริมาณและ การวิจัยเชิงคุณภาพ ดังรายละเอียดโดยสรุปดังนี้ การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) หมายถึง การวิจัยที่มุ่งวัดและวิเคราะห์ข้อมูลที่เป็นตัวเลขเพื่อช่วยให้ เข้าใจปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผลแบ่งการวิจัยที่ไม่ใช่ทดลอง และการวิจัย เชิงทดลอง การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เป็นการศึกษาที่มุ่งศึกษาปรากฏการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นจากมุมมอง ของมนุษย์ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลในลักษณะของการบรรยาย การวิจัยเชิงคุณภาพนั้นมี หลายประเภท แต่ที่เหมาะที่จะนำมาใช้ในการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน ได้แก่ การศึกษารายกรณี (Case Study) ซึ่งเป็นวิธี การศึกษาเชิงลึกของหน่วยหรือกลุ่มเดียว องค์การเดียวโปรแกรมเดียว ความจำเป็นที่ครูต้องทำการวิจัยในชั้นเรียน 1. ผู้เรียนแต่ละคนมีความแตกต่างกันในหลายๆด้าน เป็นเหตุให้พฤติกรรมผู้เรียนแต่ละคนมีความแตกต่างกัน ดังนั้น การจัดกิจกรรมการเรียนรู้จึงจำเป็นต้องจัดให้สอดคล้องกับความแตกต่างของผู้เรียนด้วย ซึ่งปัญหาความแตกต่างของผู้เรียนนี้ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการทำวิจัยในชั้นเรียน 2. สภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันของผู้เรียนแต่ละคนในบ้านและชุมชนที่ผู้เรียนอาศัยอยู่ ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้เรียนแต่ ละคนมีพฤติกรรมและปัญหาแตกต่างกัน และส่งผลให้ผู้เรียนแต่ละคนมีพฤติกรรมที่แตกต่างกันด้วย ถ้าครูไม่ทำการวิจัยเพื่อ แสวงหานวัตกรรมมาใช้ให้เหมาะกับผู้เรียน ก็เป็นการยากที่ทั้งครูและผู้เรียนจะประสบความสำเร็จในการจัดกระบวนการ เรียนการสอน 3. การพัฒนาหลักสูตรและการเรียนการสอน เป็นกระบวนการที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ และพัฒนาได้อย่างสมบูรณ์เต็มศักยภาพ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทำการวิจัยในชั้นเรียนอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการจัด กระบวนการเรียนการสอน สื่อการเรียนการสอนหรือนวัตกรรมต่างๆให้เหมาะสมกับศักยภาพของผู้เรียน ประโยชน์/ความสำคัญของการวิจัยในชั้นเรียน การวิจัยเป็นกลไกสำคัญประการหนึ่งในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา มีประโยชน์ต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง 4 กลุ่ม (สำนักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2551: 14–15และ สุวิมล ว่องวานิช (2554: 44-45) โดยสรุป ดังนี้


15 1.ประโยชน์ต่อผู้เรียน คือ ผู้เรียนมีความรู้ ความสามารถพื้นฐานแตกต่างกัน หากครูยังใช้รูปแบบ การสอน แบบเดียวกัน จะทำให้นักเรียนมีความสามารถในการเรียนรู้เร็วกว่ากลุ่มที่มีการรับรู้ช้า ครูจึงต้องหา วิธีการแก้ไขปัญหาจน สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนักเรียนให้ดีขึ้น มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอยู่ใน ระดับที่ใกล้เคียงกัน 2.ประโยชน์ต่อครู คือ ทำให้ครูมีการวางแผนทำงาน จัดการเรียนการสอนเป็นระบบ เลือกวิธีสอน ที่เหมาะสม ประเมินผลการทำงานเป็นระยะ โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจน เป็นการสร้างองค์ความรู้ทักษะการทำ วิจัย ทั้งนี้การทำวิจัยเพื่อ พัฒนาการเรียนรู้ช่วยให้ครูเกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม เกิดประโยชน์ต่อผู้ปฏิบัติ โดยตรง เนื่องจากช่วยพัฒนาตนเองด้านวิชาชีพ เกิดการยอมรับใน ความรู้ของผู้ปฏิบัติและถือเป็นผู้นําการเปลี่ยนแปลง 3.ประโยชน์ต่อโรงเรียน คือ ทําให้ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มครูมีมากขึ้นทั้งในรูปความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ภายในกลุ่มสาระการเรียนรู้หรือต่างกลุ่มสาระการเรียนรู้ในเรื่องการร่วมกันคิด เพื่อแก้ปัญหา การวิเคราะห์หาสาเหตุ การ เขียนรายงาน เพราะครูในโรงเรียนมีความถนัดหรือความชํานาญต่างกัน ถ้าได้ระดมสรรพกําลังจากความถนัดของแต่ละ บุคคลก็จะทําให้งานมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น ทําให้โรงเรียนเปลี่ยนแปลง ในทางที่ดีขึ้น เป็นการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ นอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงหรือสะท้อนผลการทํางาน 4.ประโยชน์ต้อวงการศึกษาคือ ทําให้เกิดการพัฒนาที่ต่อเนื่องและเกิดการเปลี่ยนแปลงผ่าน กระบวนการวิจัย ในที่ทํางาน ทําให้มีผลการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้มากขึ้น และหากนํามาสังเคราะห์ก็จะได้องค์ความรู้ใหม่ และเป็นการ กระตุ้นให้มีการพัฒนาผลงานทางวิชาการในวงการวิชาชีพครูให้เป็นที่ยอมรับ โดยทั่วไป ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อองค์กร เนื่องจาก นําไปสู่การปรับปรุง เปลี่ยนแปลงการปฏิบัติและการแก้ปัญหา นวัตกรรมทางการศึกษา 1.ความหมาย นวัตกรรมการศึกษา หมายถึง การนำเอาความคิดหรือวิธีปฏิบัติทางการศึกษาใหม่ๆมาใช้กับการศึกษา (วรวิทย์ นิเทศ ศิลป์: 2551) นวัตกรรมทางการศึกษา หมายถึง สิ่งใหม่ๆ ที่สร้างขึ้นมาเพื่อช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนหรือพัฒนา ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่แนวคิด รูปแบบ วิธีการ กระบวนการ สื่อต่างๆ ที่เกี่ยวกับการศึกษา (สุคนธ์ สินธพานนท์: 2553) นวัตกรรมทางการศึกษา หมายถึง วิธีการปฏิบัติใหม่ๆ ในทางการศึกษา ซึ่งแปลกไปจากเดิมอาจได้มาจากการค้นพบวิธี ใหม่ๆ หรือปรับปรุงของเก่าให้เหมาะสม โดยได้มีการทดลอง พัฒนา จนเป็นที่น่าเชื่อถือได้ว่า มีผลดีในทางปฏิบัติและสามารถ ทำให้ระบบการศึกษาดำเนินไปสู่เป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ (สมบูรณ์ สงวนญาติ: 2534) นวัตกรรมการศึกษา หมายถึง แนวความคิดหรือวิธีการหรือเครื่องมือ ซึ่งเป็นสิ่งแปลกใหม่ยังไม่เคยนำมาใช้ในวงการ


16 การศึกษามาก่อน แต่ได้ถูกนำมาทดลองใช้เพื่อดูผลว่าได้ผลดีเพียงใด ถ้าได้ผลดีก็จะได้รับการยอมรับและเผยแพร่ให้รู้จักและ นำมาใช้กันอย่างกว้างขวางต่อไป (คณาจารย์ภาควิชาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการศึกษา: 2539) นวัตกรรมการศึกษา หมายถึง นวัตกรรมที่ช่วยให้การศึกษาและการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ผู้เรียน สามารถเกิดการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิผลสูงกว่าเดิม เกิดแรงจูงใจในการเรียนด้วยนวัตกรรมเหล่านั้น และ ประหยัดเวลาในการเรียนได้อีกด้วย ในปัจจุบันมีการใช้นวัตกรรมการศึกษามากมายหลายอย่างซึ่งมีทั้งนวัตกรรมที่ใช้กัน แพร่หลายแล้วและประเภทที่กำลังเผยแพร่ เช่น การสอนใช้คอมพิวเตอร์ช่วย การใช้แผ่นวีดิทัศน์เชิงโต้ตอบ สื่อหลายมิติ และ อินเทอร์เน็ต เหล่านี้เป็นต้น (กิดานันท์ มลิทอง : 2540) นวัตกรรมการศึกษา เป็นการนำเอาสิ่งใหม่ๆ ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของความคิดหรือการกระทำรวมทั้งสิ่งประดิษฐ์ก็ตาม เข้ามาใช้ในระบบการศึกษา เพื่อมุ่งหวังที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มีอยู่เดิมให้ระบบการจัดการศึกษามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น (บุญเกื้อ ควรหาเวช: 2543) สรุป นวัตกรรมทางการศึกษา จึงหมายถึง การนำเอาสิ่งใหม่ๆซึ่งอาจจะเป็น ความคิด เทคนิค วิธีการหรือสิ่งประดิษฐ์ ใหม่ๆ หรือนำสิ่งเก่ามาปรับปรุงใหม่ให้เหมาะสม เพื่อใช้แก้ปัญหาและพัฒนาการศึกษาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น


17 2.การจำแนกประเภท ประเภทของนวัตกรรมทางการศึกษา มีผู้จำแนกประเภทนวัตกรรมทางการศึกษา ไว้หลายท่านดังนี้ สำนักงานสภา สถาบันราชภัฏ (2544: 33) ได้แบ่งนวัตกรรมทางการศึกษา ดังนี้ 2.1 แบ่งตามผู้ใช้ประโยชน์โดยตรง ได้เป็น 2 ประเภท คือ 2.1.1 นวัตกรรมสำหรับครู เช่น แผนการสอน คู่มือครูเอกสารประกอบการสอน ชุด การสอน หนังสืออ้างอิง เครื่องมือวัดผลและอุปกรณ์โสตทัศนูปกรณ์ต่าง ๆ เป็นต้น 2.1.2 นวัตกรรมสำหรับนักเรียน เช่น บทเรียนสำเร็จรูป เอกสารประกอบการเรียน ชุดฝึกปฏิบัติ ใบงาน หนังสือเสริมประสบการณ์ ชุดเพลง ชุดเกม และการ์ตูน เป็นต้น 2.2. แบ่งตามลักษณะของนวัตกรรม ได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ 2.2.1 สื่อการเรียนการสอน เช่น บทเรียนสำเร็จรูป ชุดการสอน ชุดสื่อการสอน บทเรียนโมดูล วีดิทัศน์ สไลด์ ประกอบเสียง ภาพยนตร์ เพลง เกม การ์ตูน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ใบ งาน แผ่นโปร่งใส บัตรค า แผ่นพับ ภาพพลิก และแผ่นป้ายแม่เหล็ก เป็นต้น 2.2.2 เทคนิคและวิธีการ เช่น บทบาทสมมติ การสอนเป็นคณะ การสอนแบบศูนย์การ เรียน การเรียนเพื่อ รอบรู้ การสอนแบบโครงการ การสอนเพื่อเสริมสร้างลักษณะนิสัย การสอนซ่อม เสริม การเรียนตามความสามารถ การศึกษาเป็นรายบุคคล การฝึกทักษะการทำงานกลุ่ม และการ สอนแบบแก้ปัญหา เป็นต้น พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2559: 85) ได้แบ่งประเภทของนวัตกรรมหลายลักษณะขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ใน การแบ่งดังนี้ การแบ่งประเภทของนวัตกรรม ตามขอบข่ายของการจัดการศึกษา แบ่งออกได้ 5 ประเภทคือ 2.2.2.1 นวัตกรรมทางด้านหลักสูตร เป็นการใช้วิธีใหม่ ๆ ในการพัฒนาหลักสูตรให้ สอดคล้องกับ สภาพแวดล้อมในท้องถิ่นและตอบสนองความต้องการของบุคคลให้มากขึ้น เช่น หลักสูตรบูรณาการ หลักสูตร รายบุคคล หลักสูตรกิจกรรมและประสบการณ์ หลักสูตรสถานศึกษา หลักสูตรท้องถิ่น 2.2.2.2 นวัตกรรมการเรียนการสอน เป็นการใช้วิธีการเชิงระบบในการปรับปรุงและคิดค้น พัฒนาวิธีการเรียน การสอนแบบใหม่ ๆ ที่สามารถพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนและการจัดการเรียนรู้ ของครูผู้สอนให้มีคุณภาพขึ้น เช่น การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ การจัดการเรียนรู้แบบ ศูนย์การเรียน การใช้กระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ การ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ และการจัดการเรียนรู้ ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต 2.2.2.3 นวัตกรรมสื่อการเรียนการสอน เป็นนวัตกรรมที่อาศัยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์เครือข่ายและเทคโนโลยีโทรคมนาคมมาใช้ในการผลิตสื่อการเรียนการสอน ใหม่ ๆ ทั้งการเรียนด้วย ตนเอง การเรียนเป็นกลุ่ม และการเรียนแบบมวลชน ตลอดจนสื่อที่ใช้เพื่อ สนับสนุนการฝึกอบรมผ่านเครือข่าย คอมพิวเตอร์ เช่น บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมัลติมีเดีย (multimedia) ชุดการสอน (instructional module) วีดิ ทัศน์แบบมีปฏิสัมพันธ์ (interactive video) การเรียนการสอนโดยใช้สื่อประสมกับผู้เรียนเป็นกลุ่มย่อย


18 2.2.2.4 นวัตกรรมการประเมินผล เป็นนวัตกรรมที่ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการวัดและ ประเมินผลการเรียนรู้ได้ อย่างมีประสิทธิภาพและทำได้อย่างรวดเร็ว รวมไปถึงการวิจัยทางการศึกษา การวิจัยสถาบัน 2.2.2.5 นวัตกรรมการบริหารจัดการศึกษา เป็นการใช้นวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้ สารสนเทศมาช่วยใน การตัดสินใจของผู้บริหารการศึกษาให้มีความรวดเร็วทันเหตุการณ์ ทันต่อการ เปลี่ยนแปลงของโลก เช่น ระบบการ จัดการฐานข้อมูลของหน่วยงานสถานศึกษา เกี่ยวกับฐานข้อมูล นักเรียน นักศึกษา ฐานข้อมูลครู อาจารย์ และ บุคลากรในสถานศึกษา ฐานข้อมูลด้านการเงิน บัญชี พัสดุ และครุภัณฑ์ 3. การแบ่งประเภทของนวัตกรรมตามผู้ใช้ประโยชน์โดยตรง แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ 3.1 นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ของครู เป็นรูปแบบหรือเทคนิควิธีการจัดการเรียนรู้แบบ ต่าง ๆ และสื่อ อุปกรณ์การสอนต่าง ๆ ที่ครูน ามาใช้ในการจัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน เช่น การจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือ (cooperative learning) การจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (projectbased learning) การจัดการเรียนรู้โดย ใช้ปัญหาเป็นหลัก (problem-based learning) 3.2 นวัตกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน เป็นสื่อนวัตกรรมการเรียนรู้สำหรับเน้นให้ผู้เรียนใช้ เพื่อการเรียนรู้ของ ตนเอง เช่น ชุดการเรียนรู้ บทเรียนสำเร็จรูป บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ชุดฝึก ปฏิบัติ ใบงาน แบบฝึก หนังสือ เสริมประสบการณ์ ชุดเพลง ชุดเกม 3. การแบ่งประเภทของนวัตกรรมตามลักษณะของนวัตกรรม แบ่งออกได้ 2 ประเภทคือ 3.1 ผลิตภัณฑ์สิ่งประดิษฐ์ทางการศึกษา หรือสื่อการเรียนการสอน (product/invention) เช่น บทเรียน สำเร็จรูป บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ชุดการสอนหนังสือ เสริมประสบการณ์ ชุดสื่อประสมวีดิทัศน์ สไลด์ประกอบ เสียง เกม นิทานการ์ตูนเพลง ใบงาน แบบฝึก ชุดฝึก 3.2 เทคนิควิธีการสอน รูปแบบหรือวิธีการจัดการเรียนรู้ (instructional/model) เช่น การจัดการเรียนรู้ที่ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ การจัดการเรียนรู้ แบบบูรณา การ การจัดการเรียนรู้โดยใช้ บทบาทสมมติ การจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงาน การจัดการเรียนรู้โดยใช้ เว็บช่วยสอน (web-based instruction) การเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน เทคนิคการปรับพฤติกรรม เทคนิคการจัดกิจกรรมพัฒนา รูปแบบการฝึกทักษะ การ ทำงานกลุ่ม รูปแบบการสอนหรือรูปแบบการ จัดการเรียนรู้ที่นักวิจัยพัฒนาขึ้น จากประเภทของนวัตกรรมทาง การศึกษาที่กล่าวมา สามารถสรุปได้ว่านวัตกรรมทาง การศึกษาจำแนกออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ 1) นวัตกรรมที่ เป็นรูปธรรม เช่น ชุดการเรียนรู้ ชุด การสอน ชุดเกม แบบฝึกทักษะ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน นิทาน ฯลฯ 2) นวัตกรรมที่เป็น 2.ความสำคัญ ความสำคัญของนวัตกรรมทางการศึกษา มีผู้กล่าวถึงความสำคัญของนวัตกรรมทางการศึกษา ไว้ดังนี้ พิสณุ ฟองศรี (2551: 65) กล่าวถึงความสำคัญและประโยชน์ของนวัตกรรม ดังนี้ การนำนวัตกรรมทางการศึกษาไปใช้จัดการเรียนการสอน นอกจากจะ


19 ช่วยให้ผู้เรียนได้รับ การพัฒนาการเรียนรู้ตามที่กำหนดแล้ว ยังมีประโยชน์ดังต่อไปนี้ 1. นักเรียนเรียนรู้ได้เร็วขึ้น 2. นักเรียนเข้าใจ บทเรียนเป็นรูปธรรม 3. บรรยากาศการเรียนสนุกสนาน 4. บทเรียนน่าสนใจ 5. ลดเวลาในการสอน 6. ประหยัดค่าใช้จ่าย พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2559: 83-85) ได้กล่าวถึงความสำคัญของนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ของ ครูผู้สอนและการเรียนรู้ของ ผู้เรียน ดังนี้ 1. การใช้นวัตกรรมเพื่อช่วยแก้ปัญหาในการจัดการเรียนรู้ของครู 1.1 ปัญหาเกี่ยวกับวิธีการจัดการเรียนรู้ ปัญหาที่มักพบอยู่เสมอคือ ครูส่วนใหญ่ยังคงยึด รูปแบบวิธีการสอนแบบบรรยาย โดยครูเป็นศูนย์กลางที่เน้นการพูดบรรยายถ่ายทอดเนื้อหาสระ มากกว่าสอนในรูปแบบอื่น การสอนด้วยวิธีการแบบนี้ทำให้ผู้เรียน เป็นฝ่ายรับรู้ (passive learner) ซึ่ง จะมีผลให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะที่มีความสามารถในเชิงการคิด ประดิษฐ์สร้างสรรค์ผลงานได้ น้อย (passive ability) มักเป็นคนประเภทบริโภคนิยม บรรยากาศของการสอนแบบบรรยายนอกจากจะ ทำให้ผู้เรียนเกิดความเบื่อ หน่าย ขาดความสนใจแล้ว ยังเป็นการปิดกั้นความคิดและสติปัญหาของ ผู้เรียนให้อยู่ในขอบเขตจำกัดอีกด้วย แต่ถ้าครูผู้สอนได้ ศึกษา ค้นหาวิธีการหรือนวัตกรรมจัดการ เรียนรู้ที่เน้นผู้เป็นสำคัญ มาใช้ในการจัดการเรียนรู้ที่ทำให้ผู้เรียนมีบทบาทในการเรียนรู้ มากขึ้น และ เป็นฝ่ายลงมือปฏิบัติมากขึ้น (active learner) ก็จะทำให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะที่สามารถคิดประดิษฐ์ สร้างสรรค์ ผลงานได้มากขึ้น (active ability) ดังนั้น การนำนวัตกรรมมาใช้ในการจัดการเรียนรู้จึงช่วย แก้ปัญหาเรื่องวิธีการจัดการเรียนรู้ 1.2 ปัญหาเกี่ยวกับเนื้อหาวิชาซึ่งในบางรายวิชามีเนื้อหาสาระการเรียนรู้มากและบาง วิชามีเนื้อหาเป็นนามธรรม ยากแก่ การเข้าใจ จึงจำเป็นจะต้องนำนวัตกรรมเข้ามาช่วยในการจัดการ เรียนรู้เช่น การใช้ชุดการเรียนการสอน บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วย สอน (CAI) บทเรียนการ์ตูนการเรียนแบบร่วมมือ 1.3 ปัญหาเกี่ยวกับสื่อ อุปกรณ์การจัดการเรียนรู้ในบางเนื้อหามีสื่อ อุปกรณ์การจัดการ เรียนรู้เป็นจำนวนน้อย ไม่เพียงพอ ต่อการนำไปใช้ เพื่อทำให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจใน เนื้อหาวิชาได้ง่ายขึ้น จึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาคิดค้นหาเทคนิควิธีการ จัดการเรียนรู้และผลิตสื่อการ จัดการเรียนรู้ใหม่ ๆ เพื่อนำมาใช้ในการจัดการเรียนรู้ให้เพียงพอเหมาะสมกับสภาพของผู้เรียนจึงจะ ทำให้การจัดการเรียนรู้บรรลุตามจุดประสงค์การเรียนรู้ 2. การใช้นวัตกรรมเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพ ในกรณีที่ครูต้องการจะ พัฒนาการจัดการเรียนรู้ให้มี ประสิทธิภาพมากขึ้น จำเป็นที่ครูจะต้องแสวงหาหรือพัฒนานวัตกรรม เพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ให้มี ประสิทธิภาพที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียน เช่น ใช้วิธีการ จัดการเรียนรู้แบบโครงการเพื่อพัฒนาทักษะด้านความคิด วิเคราะห์ การ พัฒนารูปแบบการจัดการ เรียนรู้เพื่อเสริมสร้างความรู้สามัคคี การใช้แหล่งเรียนรู้หรือภูมิปัญญาท้องถิ่นสำหรับการเรียนรู้และ สร้างความรักท้องถิ่น 3. การใช้นวัตกรรมเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยที่ผู้เรียนมีความแตกต่างกันใน หลายลักษณะ บางคนมีความสนใจ ในการเรียนและเรียนรู้ได้เร็ว ในขณะที่บางคนขาดแรงจูงใจในการ เรียน จึงไม่ให้ความสนใจต่อการเรียนและเรียนรู้ได้ช้า ดังนั้น ครูผู้สอนจึงต้องพยายามศึกษาหาวิธีการ จัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนให้สอดคล้องกับความสนใจ ความถนัดของ


20 ผู้เรียน ให้สามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพซึ่งจะต้องใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้มาช่วยให้ ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้ที่ดีและมีคุณภาพ 4. การใช้นวัตกรรมเพื่อการพัฒนาคุณภาพของผู้เรียน เป้าหมายสูงสุดของการจัดการเรียนรู้ คือ คุณภาพของผู้เรียนที่ เป็นไปตามมาตรฐานการเรียนรู้ แต่จากผลการประเมินมักจะพบว่า คุณภาพ ของผู้เรียนยังไม่ได้มาตรฐาน แม้ว่าครูจะพยายาม จัดการเรียนรู้อย่างตั้งใจแล้วก็ตาม ทำให้ผู้บริหาร การศึกษาและผู้บริหารสถานศึกษาพยายามหาวิธีการหรือใช้นวัตกรรมมาช่วยใน การบริหารจัด การศึกษาในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การบริหารสถานศึกษาแบบเครือข่ายความร่วมมือ การบริหาร สถานศึกษาโดยใช้ โรงเรียนเป็นฐาน การจัดโครงการส่งเสริมพัฒนาคุณภาพศึกษาโดยใช้รูปแบบต่าง ๆ ในขณะที่ครูหรือนักวิชาการทางการศึกษาก็ได้ ศึกษา ค้นคว้าหารูปแบบหรือนวัตกรรมการจัดการ เรียนรู้เพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ที่ส่งผลต่อคุณภาพของผู้เรียน เช่น ครูใช้สื่อการ เรียนรู้หรือรูปแบบ เทคนิควิธีในการจัดการเรียนรู้แบบต่าง ๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนให้ได้ มาตรฐาน การศึกษาที่กำหนดไว้ จากความสําคัญของนวัตกรรมทางการศึกษาที่กล่าวมาจะพบว่านวัตกรรมทางการศึกษามี ความสำคัญต่อการแก้ปัญหา ผู้เรียน อีกทั้งยังเป็นสื่อการสอนละวิธีการสอนใหม่ ๆ ครูน่ามาใช้พัฒนาผู้เรียนโดยเน้นความแตกต่างระหว่างบุคคล เน้น ความสามารถในการเรียนรู้ของ ผู้เรียนเป็นหลัก นวัตกรรมจะทำให้ผู้เขียนเข้าใจบทเรียนพัฒนาความรู้ ทักษะ และด้านเจตคติของ ผู้เรียนทั้งนี้เพื่อให้ผู้เรียนมีผลการเรียนรู้เป็นไปตามมาตรฐาน หลักสูตรกําหนด นวัตกรรมเฉพาะ การใช้ชุดกิจกรรม ซึ่งแบบฝึกทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว กล่าวโดยละเอียด ดังนี้ 1.แนวคิด/ทฤษฎี/หลักการ/วิธีการ Sutherland & Bonwell (1996) การเรียนรู้เชิงรุก หมายถึง การเรียนการสอนที่ผู้เรียนมีอิสระในการเรียน และมีการ ควบคุมตัวเอง อยู่ในระดับสูง ผู้สอนสามารถจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยลักษณะของกิจกรรมจะครอบคลุม กระบวนการแก้ปัญหา ซึ่งอาจจัดกิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่มเล็กๆ ลักษณะการสอนตรงกันข้ามกับการสอนแบบ บรรยาย และประกอบด้วยกิจกรรมต่างๆ ที่กระตุ้น จูงใจผู้เรียนทําให้ผู้เรียนเกิด ทักษะด้านการติดต่อสื่อสาร เกิดความรู้สึก สนุกสนานขณะเรียน เกิดทัศนคติทางบวกในการเรียน เพิ่มขึ้น และเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ผู้เรียนมีกิจกรรม ร่วมกันในลักษณะของการร่วมแรงร่วมใจได้ทํางานเป็นกลุ่มโดยมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันและนักเรียนได้แลกเปลี่ยนความ คิดเห็น ซึ่งกันและกัน บุหงา วัฒนะ (2546) การเรียนรู้เชิงรุก หมายถึง กระบวนการเรียนรู้ที่ให้นักเรียนได้เรียนรู้อย่างมีความหมาย โดยการ ร่วมมือระหว่างนักเรียนด้วยกัน ในการนี้ ผู้สอนต้องลดบทบาทในการสอน และการให้ข้อความรู้แก่ ผู้เรียนโดยตรง แต่ไปเพิ่ม


21 กระบวนการและกิจกรรมที่จะทําให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้นในการที่จะ ทํากิจกรรมต่างๆ มากขึ้นอย่างหลากหลาย ไม่ว่า จะเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์โดยการพูด การ เขียน หรือการอภิปรายกับเพื่อนๆ แพทยศาสตร์ศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (2559 : 2) กล่าวว่า Active learning เป็นแนวคิดการจัดการเรียนรู้ ที่มีพื้นฐานจากทฤษฎีการสร้างความรู้(Constructivism)ที่เน้นให้ผู้เรียนมีบทบาทมากและสำคัญที่สุดในกระบวนการจัดการ เรียนรู้ มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ประสบการณ์ การรวบรวมข้อมูลและสรุปความเห็น โดยใช้กิจกรรมการจัดการเรียนรู้ที่ หลากหลายและน่าสนใจซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถประยุกต์ใช้ความรู้และประสบการณ์เดิมของตน และเชื่อมโยง องค์ความรู้ใหม่จากการมีปฏิสัมพันธ์ในการเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง โดยการจัดการเรียนรู้แบบ Active learning นั้นผู้สอนสามารถเลือกใช้วิธีสอนได้หลากหลายรูปแบบ เช่นCooperative/Collaborative learning, Discovery learning, Experiential learning, Problem-Based learning, Inquiry-Based learning, Project- Based learning (วิจารย์ พานิช, 2556; Settle, 2011) ซึ่ง Active learning จะให้ความสำคัญต่อลักษณะของกิจกรรมในกระบวนการเรียนรู้ (Process of Learning) เป็นการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้รียนได้ลงมือกระทำกิจกรรม มีทักษะทั้งในเชิงความคิด และเทคนิควิธี ที่จะใช้ปฏิบัติงานและแก้ปัญหาในชีวิตจริง ผู้เรียนสามารถพูดคุยและเขียนสื่อสารในสิ่งที่เรียน วิจารณ์โต้แย้งระหว่างเพื่อน และอาจารย์ผู้สอนได้ ผู้เรียนยังสามารถจัดระบบการคิด และสร้างวินัยต่อกระบวนการแก้ปัญหารับผิดชอบต่อการเรียนรู้ด้วย ตนเอง และมีชื่อเรียกเป็นภาษาไทยหลายอย่างเช่นการเรียนรู้เชิงปฏิบัติการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์และการเรียนรู้เชิงรุก (active learning) 2.องค์ประกอบ/โครงสร้าง/ลำดับขั้น องค์ประกอบของชุดกิจกรรมนี้ประกอบด้วย 1.แบบฝึกทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว 1.1ชุดแบบฝึกทักษะประกอบด้วย 1.1.1ใบความรู้ที่1เรื่องทำความรู้จักกับเครื่องลิ่มนิ้ว 1.1.2ใบความรู้ที่2เรื่องทำความรู้จักกับนิ้วมือ 1.1.3ใบงานที่1.เรื่องการบรรเลงเบื้องต้น1 1.1.4ใบงานที่2เรื่องการบรรเลงเบื้องต้น2 1.1.5ใบงานที่3เรื่องการบรรเลงเบื้องต้น3 1.2การสอนโดยจะอิงตามแผนการเรียนรู้ 2.แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว การสอนโดยจะอ้างอิงตามแผนการเรียนรู้ คือ จะแบ่งแผนการเรียนรู้ออกเป็น 3 แผน รวมทั้งสิ้น9ชั่วโมงโดย จะแบ่ง1แผน/3ชั่วโมง


22 2.1แผนที่1 จะเริ่มสอนตั้งแต่การทำความรู้จักกับเครื่องลิ่มนิ้วในเรื่องลักษณะทางกายภาพของเครื่องดนตรี สากลประเภทเครื่องลิ่มนิ้ว และการดูแลรักษาเครื่องดนตรีสากลประเภทเครื่องลิ่มนิ้ว 2.2แผนที่2 จะเริ่มสอนในเรื่องการวางมือบนลิ่มนิ้วของเครื่องลิ่มนิ้วในแต่ละเครื่องและเริ่มสอนการวางนิ้ว แบบFive Finger Pattern โดยจะใช้นวัตกรรมที่สร้างขึ้นใหม่คือเปียโนจำลองมาช่วยในการให้กระบวนการฝึกนั้นดู สมจริงมากขึ้นเนื่องจากถ้าไม่มีเปียโนจำลองนั้นจะทำให้นักเรียนไม่สามารถนึกภาพการวางนิ้วและมือที่ถูกต้องได้เมื่อมี เปียโนจำลองจะสามารถทำให้การวางนิ้วและมือของนักเรียนนั้นสมจริงมากยิ่งขึ้นทำให้เพิ่มความเข้าใจและสามารถ เพิ่มศักยภาพในด้านทักษะของนักเรียน 2.3 แผนที่3 จะเริ่มสอนการปฏิบัติจริงโดยจะแบ่ง1เพลง/1ชั่วโมงเนื่องจากเป็นเพลงที่ไม่ยากมากนักจึงใช้เวลา ภายใน1ชั่วโมงในการฝึกซ้อมและบรรเลงได้เพียงพอ โดยจากการใช้เปียโนจำลองนั้นสามารถทำให้นักเรียนเข้าใจการ วางนิ้วมือและการปฏิบัติได้ถูกต้องจึงทำให้ง่ายต่อการมาบรรเลงในเปียโนของจริง 3.แบบทดสอบเรื่องการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว 3.1เป็นการวัดด้านความรู้ของนักเรียนว่าเข้าใจและสามารถวิเคราะห์ออกมาเพื่ออธิบายเกี่ยวกับความรู้ที่ได้ เรียนไปแล้วหรือไม่หรือการที่นักเรียนเข้าใจมากน้อยเพียงใดต่อการเรียนที่ผ่านมาโดยจะมีทุกจุดประสงค์ใน ข้อสอบเพื่อการวัดประเมินผลความรู้ได้ครอบคลุมครบทุกด้านจุดประสงค์การเรียนรู้และได้ตามเกณฑ์ที่ ต้องการ 4.ข้อดี/ข้อเสีย 4.1ข้อดี จุดประสงค์การเรียนรู้มีครบทั้ง 3 ด้านและมีนวัตกรรมที่นักเรียนสามารถเข้าใจในการเรียนรู้โดยง่าย ทั้งด้านความรู้และทักษะ 4.2ข้อเสีย เปียโนจำลองที่เป็นนวัตกรรมที่สร้างข้นใหม่นั้นไม่มีเสียงจึงทำให้เมื่อนักเรียนบรรเลงผิดจะทำให้ไม่ รู้ว่าเล่นผิดเนื่องจากไม่มีเสียงให้นักเรียนได้ยิน 5.วิธีการใช้ 5.1ครูบรรยายเนื้อหาในแผนการเรียนรู้ที่1ก่อน 5.2ครูบรรยายเนื้อหาในแผนการเรียนรู้ที่2พร้อมทั้งสาธิตวิธีการวางมือและอธิบายการวางนิ้วFive Finger Pattern


23 5.3ครูแจกใบงานที่1ในแผนที่3ชั่วโมงแรกและเพลงที่2ในช่วงชั่วโมงที่2ของแผนการเรียนรู้ที่3และแจกใบงานที่ 3ใบงานสุดท้ายในชั่วโมงที่3ของแผนการเรียนรู้ที่3


24 เทคนิคการสอน การดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอนจัดเป็นขั้นตอนจากง่ายไปสู้ยากซึ่งจะช่วยให้เด็กเรียนรู้ได้ง่าย เน้นการฝึก ในด้านทักษะเพื่อให้นักเรียนนำไปใช้ได้จริงการบรรยายในแผนที่1และแผนที่2นั้นเพื่อให้นักเรียนได้เข้าใจโครงสร้างทาง กายภาพของเครื่องลิ่มนิ้วและการดูแลรักษาก่อนจึงจะทำให้ง่ายต่อการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วจากนั้นจะเริ่มให้นักเรียนได้รู้จักการ วางนิ้วแบบเริ่มต้นด้วยวิธีการFive Finger Pattern และเริ่มเปียโนจำลองด้วยการวางนิ้วลงบนนั้นและเริ่มให้บรรเลงเพลง เบื้องต้นในแผนการเรียนรู้ที่ 3 จะแบ่งเพลง1เพลง/1ชั่วโมง รวมทั้งสิ้น3เพลง/3ชั่วโมง ตามแผนการเรียนรู้ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ จะเน้นทฤษฎีการเรียนรู้เชิงรุกหรือ Active Learning 1.ความหมาย คือ กลวิธีต่างๆ ที่ใช้เสริมกระบวนการ ขั้นตอน วิธีการ หรือการกระทำใดๆ เพื่อช่วยให้กระบวนการ ขั้นตอน วิธีการ หรือการกระทำนั้นๆ มีคุณภาพและประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้น เทคนิคการสอน จึงหมายถึง กลวิธีต่างๆ ที่ใช้เสริม กระบวนการสอน ขั้นตอนการสอน วิธีการสอน หรือการดำเนินการทางการสอนใดๆ เพื่อช่วยให้การสอนมีคุณภาพและ ประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ในการบรรยาย ผู้สอนอาจใช้เทคนิคต่างๆ ที่สามารถช่วยให้การบรรยายมีคุณภาพและประสิทธิภาพ มากขึ้น เช่น การยกตัวอย่าง การใช้สื่อ การใช้คำถาม เป็นต้น 2.แนวคิด/ทฤษฎี/หลักการ/วิธีการ วิธีการสอนโดยการลงมือปฏิบัติ ( Practice ) วิธีสอนที่ให้ประสบการณ์ตรงกับ ผู้เรียน โดยการให้ลงมือปฏิบัติจริง เป็นการสอนที่มุ่งให้เกิดการผสมผสานระหว่างทฤษฎีและ ภาคปฏิบัติเพื่อให้บรรลุตามจุดประสงค์การเรียนรู้ทั้ง3 ด้านโดยจะ เน้นด้านทักษะมากที่สุด 3.องค์ประกอบ/โครงสร้าง/ลำดับขั้น วิธีปฏิบัติ ผู้เรียนได้เริ่มเรียนจากการบรรยายและทำความเข้าใจความรู้ทั่วไปของเครื่องลิ่มนิ้วและเริ่มทำการ รู้จักกับการวางนิ้วบนเปียโนจำลองจากนั้นจึงเริ่มฝึกปฏิบัติเพลงที่ครูได้มอบหมายให้บรรเลง ลักษณะสำคัญ ลงมือปฏิบัติจริงและเมื่อเกิดปัญหาเครื่องลิ่มนิ้วที่มีจำนวนจำกัดต่อนักเรียนหรือข้อจำกัดในการฝึก ต่างๆให้ใช้เปียโนจำลองในการฝึกทักษะแทนเพื่อสลายข้อจำกัดต่างๆที่มีผลเสียต่อการเรียนรู้ของนักเรียน 4.ข้อควรคำนึง การลองมือปฏิบัตินั้นควรให้ครูตรวจสอบเป็นช่วงๆเนื่องจากถ้าหากปฏิบัติผิดและทำซ้ำไปเรื่อย ๆ นักเรียนจะจำความรู้ผิดๆไปใช้ในอนาคตจึงต้องให้ครูนั้นตรวจสอบนักเรียนบ่อยๆ 5.วิธีการใช้ 5.1ครูผู้สอนเตรียมเอกสารประกอบการสอนให้แก่นักเรียนจำนวน25 ฉบับ 5.2ครูบรรยายในแผนการเรียนรู้ที่1โดยเน้นการถามตอบหรือการให้นักเรียนมีส่วนร่วมในชั้นเรียนให้มากที่สุด เนื่องจากจะทำให้นักเรียนกระตุ้นความสนใจของกันและกันในห้องเรียนจะทำให้นักเรียนมีความสุขต่อการเรียน 5.3ให้นักเรียนฝึกฝนกับเปียโนในแผนการเรียนรู้ที่2ในการฝึกวางนิ้วตามระบบนิ้วทั้ง5


25 5.4ในแผนการเรียนรู้ที่3ให้นักเรียนเริ่มฝึกการบรรเลงเพลงเบื้องต้นทั้งสิ้น3เพลงโดยให้ครูตรวจสอบความ ถูกต้องของเพลงและการวางนิ้วแบบระบบนิ้วทั้ง5 วิธีการสร้างและหาคุณภาพของนวัตกรรม 1.วิธีการสร้าง 1.ลําดับขั้นในการสร้าง 1.1ทำการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วเบื้องต้นกับงานวิจัยที่เกี่ยวข้องว่ามีข้อมูล มาสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมใหม่ได้อย่างไรบ้าง 1.2เริ่มลงมือสร้างนวัตกรรมใหม่ 1.3จัดทำนวัตกรรมให้เป็นรูปเล่มที่สมบูรณ์เพื่อการนำไปใช้ 1.4ทำแบบประเมินความเหมาะสมและแบบประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของ แผนการจัดการ เรียนรู้ แบบฝึกทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว แบบวัดความพึงพอใจ และแบบเชิญผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด 3 ท่าน 1.5ให้ผู้เชี่ยวชาญทั้ง3 ท่าน ประเมินแบบประเมินความเหมาะสมและแบบประเมินความเที่ยงตรงเชิง เนื้อหาทั้งหมดที่ได้จัดทำ 1.6นำนวัตกรรมที่สร้างขึ้นใหม่ไปใช้จัดกิจกรรมทดลองใช้นวัตกรรมใหม่ 1.7ให้นักเรียนประเมินแบบวัดความพึงพอใจของนวัตกรรมที่ทดลองใช้ 1.8จัดทำรูปเล่มที่สมบูรณ์ 2.การหาคุณภาพ 2.1การหาคุณภาพเชิงเหตุผล 2.1.1ความหมาย กระบวนการนี่เป็นการหาประสิทธิภาพโดยใช้หลักของความรู้ และเหตุผลในการตัดสินคุณค่า ของสื่อการเรียนการสอน โดยอาศัยผู้เชี่ยวชาญ (Panel of Expert) เป็นผู้พิจารณา ตัดสินคุณค่า ซึ่งเป็นการหา ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) และความเหมาะสมในด้านการนําไปใช้ (Usability) ผลการประเมินของผู้ทรงคุณวุฒิแต่ละคนจะนํามาหาค่า ประสิทธิภาพต่อไป 2.1.2วิธีการ 2.1.2.1 นําเครื่องมือรวบรวมข้อมูลกับวัตถุประสงค์ให้ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้รู้ด้านการวัดผลและเนื้อหา 3 - 5 คนพิจารณาว่าเครื่องมือสอดคล้องกับวัตถุประสงคหรือไม่ โดยกำหนดคะแนนความเห็นดังนี้ ข้อคําถามใดที่ท่านเห็นว่าสอดคล้องกับด้านที่ต้องการวิเคราะห์ มีระดับคะแนน +1 ข้อคําถามใดที่ท่านไม่แน่ใจว่าสอดคล้องกับด้านที่ต้องการวิเคราะห์ มีระดับคะแนน 0 ข้อคําถามใดที่ท่านเห็นว่าไม่สอดคล้องกับด้านที่ต้องการวิเคราะห์ มีระดับคะแนน -1


26 นําคะแนนของผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนมาคํานวณจากสูตร IOC = ∑R เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างเครื่องมือนั้นกับวัตถุประสงค์ ∑ R แทน ผลรวมของคะแนนความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ n แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญ 2.1.2.2 กำหนดเกณฑ์การยอมรับว่าเครื่องมือนั้นสอดคล้องกับวัตถุประสงค์จากค่า IOC ถ้ามีผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ควรใช้ค่า IOC ตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป ถ้ามีผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่าน ควรใช้ค่า IOC ตั้งแต่ 0.7 ขึ้นไป 2.1.2.3 จัดทำแบบประเมินให้ผู้เชี่ยวชาญประเมินพร้อมข้อเสนอแนะ 2.2การหาคุณภาพเชิงประจักษ์ 2.2.1ความหมาย ในการพัฒนานวัตกรรมไม่ว่าจะอยู่ในรูปสื่อการเรียนการสอนหรือวิธีสอนก็ตามต้องมีการตรวจสอบประสิทธิภาพของ นวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นว่ามีคุณภาพมากน้อย เพียงใด โดยทั่วไปนิยมนำเสนอในรูป E1/E2 (อ่าน E1 ทับ E2) และ/หรือ E1:E2 (อ่าน E1 ต่อ E2) หลายท่านอาจจะเข้าใจผิดคิดว่ามันอยู่ในรูปเศษส่วน หรือ อัตราส่วน แท้ที่จริงแล้วสัญลักษณะดังกล่าวนี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องใด ๆ กับเศษส่วนหรืออัตราส่วนเลย มันเป็นเพียงสัญลักษณ์ที่นำมาเสนอเพื่อการสื่อสารให้ทราบถึง ประสิทธิภาพของ นวัตกรรมดังกล่าวว่ามีผลเป็นเช่นใด โดยที่ E1 ตัวแรกแสดงประสิทธิภาพ (Effective) ของกระบวนการซึ่ง อยู่ในรูปค่าเฉลี่ยร้อยละของคะแนนจากแบบฝึกทั้งหมด ส่วน E2 แสดงประสิทธิภาพของผลโดยรวมซึ่งอยู่ในรูปค่าเฉลี่ยร้อย ละของแบบทดสอบหลังการใช้นวัตกรรม ผู้พัฒนานวัตกรรมอาจไม่เขียนแสดงประสิทธิภาพในรูป E1/E2 ก็ได้ เช่น อาจเขียน ในรูป 80, 80 หรืออาจจะเขียนว่าใช้เกณฑ์ 80% ทั้งกระบวนการและผลโดยรวมก็ได้เกณฑ์ประสิทธิภาพ E1/E2 โดยทั่วไป นิยมเขียนตัวเลข หน้า และ หลังเป็นตัวเดียวกัน เช่น 80/80, 90/90 เป็นต้น แต่นั่นมิใช่ข้อกำหนดตายตัว ผู้พัฒนานวัตกรรม อาจจะตั้งเป็น 80/90 ก็ได้ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการตั้งเกณฑ์ดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตามในการตั้งเกณฑ์ประสิทธิภาพ (บางครั้งอาจใช้คำว่าเกณฑ์มาตรฐาน) ของนวัตกรรมนั้นไม่ควรตั้งให้ต่ำกว่า 70 / 70 2.2.2 วิธีการ ขั้นตอนที่ 1 เปิดโปรแกรม excel ขึ้นมาแล้วกดเปิดไฟล์คะแนนต่าง ๆ ที่เราได้ทำการสร้างขึ้นไว้แล้วหรือไฟล์คะแนน การเรียนของนักเรียน


27 ขั้นตอนที่ 2 เมื่อเราเปิดตารางคะแนนขึ้นมาแล้ว อันดับแรกที่เราจะต้องหาเลยคือการหาค่าเฉลี่ย ซึ่งส่วนของการหา ค่าเฉลี่ยคือ ค่าเฉลี่ย=ข้อมูลทั้งหมด/จำนวนข้อมูล หรือวิธีหาค่าเฉลี่ยโดยไม่ต้องจำและพิมพ์สูตรให้เรากดไปที่ ผลรวม อัตโนมัติ>ค่าเฉลี่ย>ขี้กลากเซลล์ช่องจำนวนคะแนนที่ต้องการ จากนั้นกด enter ขั้นตอนที่ 3 วิธีการหาค่าร้อยละซึ่งสูตรการหาค่าร้อยละก็คือ ค่าร้อยละ=(ค่าเฉลี่ย/คะแนนเต็ม)*100 เมื่อรู้สูตรแล้ว ให้คลิกช่องว่างตรงข้างล่างช่องคะแนนที่เราต้องการหาจากนั้นพิมพ์ข้อความลงไป =SUM(ค่าเฉลี่ยที่เราหาได้เมื่อกี้/คะแนน เต็ม)*100 จากนั้นกด enter ก็จะได้ค่าร้อยละ ขั้นตอนที่ 4 ให้สังเกตตรงค่าร้อยละของคะแนนรวมกิจกรรมต่าง ๆ และช่องแบบทดสอบหลังเรียน ค่าประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) จะอยู่ตรงค่าร้อยละของช่องคะแนนรวมกิจกรรม ค่าประสิทธิภาพผลลัพธ์(E2) จะอยู่ช่องค่าร้อยละแบบทดสอบหลังเรียน ซึ่งการหาค่าประสิทธิภาพของนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ ให้เราสังเกตว่าถ้าตัวเลขใกล้กับ 100 มากเท่าไหร่แสดงว่า นวัตกรรมของเรามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าค่าประสิทธิภาพของเราห่างจาก 100 มาก แสดงว่านวัตกรรมของเราไม่มี ประสิทธิภาพ ถ้าหากนวัตกรรมของเราไม่มีประสิทธิภาพให้เพื่อน ๆ ลองหาสาเหตุว่าเกิดจากอะไร แล้วการทำสื่อนวัตกรรม ครั้งต่อไป ให้เรานำปัญหานั้นมาแก้ไขปรับปรุง ให้สื่อนวัตกรรมของเราดีขึ้นกว่าเดิม การหาค่าประสิทธิภาพของนวัตกรรมการ จัดการเรียนรู้มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเป็นเกณฑ์ที่ใช้พิจารณารับรองว่าสื่อนวัตกรรมของเรามีประสิทธิภาพมาก น้อยเพียงใด


28 เครื่องมือการวิจัย 1.ความหมาย เครื่องมือการวิจัย หมายถึง เครื่องมืออุปกรณ์หรือสิ่งที่ใช้เป็นสื่อสำหรับนักวิจัยใช้ในการรวบรวมข้อมูลตามตัว แปรในการวิจัยที่กำหนดไว้ข้อมูลดังกล่าวอาจเป็นข้อมูลเชิงปริมาณหรือเชิงคุณภาพก็ได้เครื่องมือในการวิจัยนั้น นับเป็นส่วน หนึ่งของการวิจัยทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นกรณีศึกษาเชิงสำรวจหรือการวิจัยเชิงทดลองมีความสำคัญขึ้นอยู่กับสภาพที่ต้องการจะ วัดและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การวิจัยด้วย 2.การจำแนกประเภท ในการวิจัยพบว่าเครื่องมือที่นิยมใช้ใน การเก็บรวบรวมข้อมูลมี5 ประเภทใหญ่ๆได้แก่ แบบทดสอบ แบบสังเกต แบบ สัมภาษณ์แบบสอบถามและแบบประเมินการปฏิบัติเครื่องมือแต่ละประเภทมีลักษณะที่สำคัญและมีความสามารถในการเก็บ รวบรวมข้อมูลที่ แตกต่างกันออกไปเพื่อให้ผู้วิจัยนั้นสามารถเลือกใช้ข้อมูลได้อย่างหลากหลายและเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ ของ งานวิจัย 3.ขั้นตอนการหาคุณภาพ 3.1 การหาค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) 3.1.1 ความหมาย เป็นการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือโดยคำนึงถึงความเพียงพอของข้อคำถามในเครื่องมือชุดนั้นว่าครอบคลุม เนื้อหาหรือโครงสร้างของสิ่งที่ต้องการวัดความเที่ยงตรงจะเกี่ยวข้องกับทั้งแบบวัดทัศนคติและแบบทดสอบความรู้ ตัวอย่างเช่น หากอาจารย์ต้องการสร้างแบบทดสอบเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนในรายวิชา ให้มีความเที่ยงตรง ตามเนื้อหา ก็จะต้องสร้างข้อคำถาม หรือออกข้อสอบให้สอดคล้องกับหัวข้อการสอนในวิชานั้น โดยการทำตารางวิเคราะห์ หลักสูตรก่อน เป็นต้น ฉะนั้นการตรวจสอบคุณภาพด้านความเที่ยงตรงตามเนื้อหาของข้อสอบชุดนี้ โดยการพิจารณาความ สอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับเนื้อหาของรายวิชาที่นำมาสร้างข้อสอบและพิจารณาว่ามีจำนวนข้อคำถามเป็นไปตามสัดส่วน ของน้ำหนักในแต่ละหัวข้อเนื้อหาหรือไม่ 3.1.2 วิธีการหาค่าความเที่ยงตรง การประเมินค่าดรรชนีความสอดคล้อง IOC คือ ค่าความเที่ยงตรงของแบบสอบถาม หรือค่าสอดคล้องระหว่างข้อ คำถามกับวัตถุประสงค์หรือเนื้อหา (IOC : Index of item objective congruence) ปกติแล้วจะให้ผู้เชี่ยวชาญ ตรวจสอบ ตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปในการตรวจสอบโดยให้เกณฑ์ในการตรวจพิจารณาข้อคำถามดังนี้ ให้คะแนน +1 ถ้าแน่ใจว่าข้อคำถามวัดได้ตรงตามวัตถุประสงค์ ให้คะแนน 0 ถ้าไม่แน่ใจว่าข้อคำถามวัดได้ตรงตามวัตถุประสงค์ ให้คะแนน-1 ถ้าแน่ใจว่าข้อคำถามวัดได้ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ แล้วนำผลคะแนนที่ได้จากผู้เชี่ยวชาญมาคำนวณหาค่า IOC ตามสูตร เกณฑ์


29 1.ข้อคำถามที่มีค่า IOC ตั้งแต่0.50-1.00 มีค่าความเที่ยงตรง ใช้ได้ 2.ข้อคำถามที่มีค่า IOC ต่ำกว่า 0.50 ต้องปรับปรุง ยังใช้ไม่ได้ วิธีการหาค่าความเที่ยงตรงของแบบสอบถาม (IOC) ตัวอย่างเช่น ข้อคำถาม ข้อ 1 ผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่าน แต่ละท่าน ให้คะแนนมา คือ +1 ทั้ง 5 ท่าน การหาค่า IOC คือ หาผลรวมของคะแนนในข้อ 1 โดยการบวก 1+1+1+1+1 เท่ากับ 5 คะแนน แล้วนำมาหารด้วยจำนวนผู้เชี่ยวชาญ คือ ผลรวมคะแนน/จำนวนผู้เชี่ยวชาญ เท่ากับ 5/5 = 1.00 จากนั้นนำผลไปเทียบกับเกณฑ์ที่ตั้งไว้จากผลการหาค่าความ เที่ยงตรงของแบบสอบถาม IOC แสดงว่า ข้อคำถามมีความเที่ยงตรงสูงนำไปใช้ได้ส่วนข้ออื่น ๆ ก็ทำหลักการเดียวกันทั้งหมด ทุกข้อคำถาม กรณีผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่าน ตัวอย่าง เช่น ผลคะแนน ทั้ง 5 ท่าน ได้ 5 คะแนน = 1.00 มีค่าความเที่ยงตรง ใช้ได้ ผลคะแนน ทั้ง 5 ท่าน ได้ 4 คะแนน = 0.8 มีค่าความเที่ยงตรง ใช้ได้ ผลคะแนน ทั้ง 5 ท่าน ได้ 3 คะแนน = 0.6 มีค่าความ เที่ยงตรง ใช้ได้ ผลคะแนน ทั้ง 5 ท่าน ได้ 2 คะแนน = 0.4 ค่าความเที่ยงตรงต่ำกว่า0.50 ยังใช้ไม่ได้ต้องปรับปรุง ผล คะแนน ทั้ง 5 ท่าน ได้ 1 คะแนน = 0.2 ค่าความเที่ยงตรงต่ำกว่า0.50 ยังใช้ไม่ได้ ต้องปรับปรุง การหาค่า IOC สามารถหาได้ทั้งแบบทดสอบ แบบวัด สำหรับนิสิต นักศึกษา และผู้ที่กำลัง ทำวิทยานิพนธ์ หรือผู้สนใจ ศึกษาแล้วสามารถนำไปใช้ในการหาค่าความเที่ยงตรงของเครื่องมือได้เลย 3.2 การหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) 3.2.1 ความหมาย แบบทดสอบที่ดีต้องมีความเชื่อมั่นได้ว่าผลจากการวัดคงที่แน่นอน ไม่เปลี่ยนไปมา การวัดครั้งแรกเป็นอย่างไร เมื่อวัด ซ้ำอีกโดยใช้แบบทดสอบชุดเดิมผู้ถูกทดสอบกลุ่มเดิม จะวัดกี่ครั้งก็ตามผลการวัดควรจะเหมือนเดิม หรือใกล้เคียงเดิม สอดคล้องกัน แบบทดสอบที่เชื่อมั่นได้จะสามารถให้คะแนนที่คงที่แน่นอน ปกติการสอบแต่ละครั้งคะแนนที่ได้มักไม่คงที่ แต่ ถ้าอันดับของผู้ที่ทําข้อสอบยังคงที่เหมือนเดิมก็ยังถือว่าแบบทดสอบนั้นมีความเชื่อมั่นสูง ความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ หมายถึง ความคงที่ของคะแนนที่จากการสอบของคนกลุ่มเดิมหลายๆครั้ง การหาค่า ความเชื่อมั่นได้จึงยึดหลักการสอบหลายๆครั้ง แล้วหาความสัมพันธ์ของคะแนนที่ได้จากการสอบหลายๆ ครั้งนั้น ถ้าคะแนน ของผู้สอบแต่ละคนคงที่หรือขึ้นลงตามกัน แสดงว่าแบบทดสอบนั้นมีค่าความเชื่อมั่นสูง (reliability) ค่าความเชื่อมั่นคํานวณ ได้จากการหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างคะแนนทั้ง 2 ชุด จากการสอบ ผู้สอบกลุ่มเดิม 2 ครั้ง โดยใช้แบบทดสอบ เดียวกัน ความเชื่อมั่นมีค่าอยู่ระหว่าง 0 ถึง 1.00 3.2.2 วิธีการหาค่าความเชื่อมั่น การสอบซ้ำ (test and retest)


30 เป็นการนำแบบทดสอบชุดเดียวกันไปสอบผู้เรียน กลุ่มเดียวกัน 2 ครั้ง ในเวลาห่างกันพอสมควร (ป้องกันการจำข้อสอบ ได้) แล้วนำค่าคะแนนทั้ง 2 ชุดนั้น มาหาค่าความสัมพันธ์ที่ได้ คือค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบวิธีการนี้เรียกว่า "measure of stability" การหาความเชื่อมั่นลักษณะนี้มีช้อจำกัดบางประการ กล่าวคือ 1) ผู้ทำแบบทดสอบอาจเกิดความเบื่อหน่าย เพราะธรรมชาติของบุคคลไม่ชอบความซากจำเจ 2) เสียเวลาในการสอบมาก 3) ผู้สอบเกิดการเรียนรู้จากการสอบครั้งแรก ทำให้สอบครั้งหลังทำได้คล่องขึ้น เกิดความคลาดเคลื่อนจากความเป็น จริง ดังนั้นการหาค่าความเชื่อมั่นของข้อสอบนี้จึงไม่เป็นที่นิยม ใช้แบบทดสอบคู่ขนาน (paralleI test หรือ equivalence tests) แบบทดสอบคู่ขนานหมายถึง แบบทดสอบ 2 ชุด ที่มีลักษณะและคุณภาพใกล้เคียงกันมากที่สุด ทั้งด้าน เนื้อหา ความยากง่าย อำนาจจำแนก ลักษณะคำถาม และจำนวนข้อคำถาม จนอาจกล่าวได้ว่า เป็นแบบทดสอบฉบับ เดียวกัน สามารถใช้แทนกันได้ การใช้แบบทดสอบคู่ขนานนี้ เป็นการแก้ปัญหาข้อจำกัดต่าง ๆ ของการหาค่าความเชื่อมั่นของ แบบทดสอบโดยการสอบช้ำ วิธีการหาความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทำได้โดย นำแบบทดสอบคู่ขนานไปทดสอบนักเรียน กลุ่ม เดียวกันทั้ง 2 ฉบับ ในเวลาเดียวกัน แล้วนำคะแนนจากการทำแบบทดสอบทั้ง 2 ชุดนี้ มาหาความสัมพันธ์กัน ก็จะได้ค่าความ เชื่อมั่นดังกล่าว วิธีการนี้เรียกว่า "measure of equivalence test" ข้อจำกัดของการทดสอบนี้คือ การสร้างแบบทดสอบที่มี ลักษณะที่ใกล้เคียงกันทั้งเนื้อหา ความยากง่าย และอำนาจการจำแนก ฯลฯ ทำได้ยาก ต้องใช้ประสบการณ์สูง วิธีแบ่งครึ่งข้อสอบ (split-half) เป็นการสร้างข้อสอบชุดเดียวใช้ผู้สอบชุดเดียวกัน (แต่แบ่งครึ่งข้อสอบ และได้ค่าคะแนน 2ชุด) เป็นการแก้ปัญหาความ ยากในการสร้างแบบทดสอบแบบคู่ขนาน แต่ได้ผลเช่นเดียวกับการสอบช้ำ หรือการใช้ข้อสอบแบบคู่ขนาน วิธีการอาจแบ่ง ตรวจข้อสอบครั้งละครึ่งฉบับ (แบ่งข้อคี่กับข้อคู่ หรือครึ่งแรกและครึ่งหลัง) นิยมใช้ข้อคู่และคี่มากกว่า เนื่องจากการเรียงลำดับ ข้อสอบนิยมเรียงตามเนื้อหาเป็นตอน ๆจากง่ายไปยาก ดังนั้นการแบ่งครึ่งลักษณะนี้จึงมีลักษณะคล้ายคลึงพออนุโลมให้เป็น แบบทดสอบคู่ขนานได้ เมื่อตรวจและได้คะแนน 2ชุดแล้ว นำคะแนนทั้งสองมาหาค่าความสัมพันธ์กัน เป็นค่าความเชื่อมั่นของ แบบทดสอบครึ่งฉบับ เรียกว่า "internal consistency"จากนั้นจึงนำมาคำนวณค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งค่า ความเชื่อมั่นข้อสอบเต็มฉบับนั้นจะสูงกว่าครึ่งฉบับเนื่องจาก ค่าความเชื่อมั่นขึ้นกับความยาวหรือจำนวนข้อของคำถาม ข้อสอบที่มีข้อคำถามมากจะมีระดับความเชื่อมั่นสูงกว่าแบบสอบที่มีจำนวนข้อสอบน้อย วิธี Kuder-Richardson (KR) เป็นการหาค่าความคงที่ภายในของแบบทดสอบ เรียกว่า ความเชื่อมั่นภายใน (interal consistency) สูตรที่นิยมใช้คือ สูตรคำนวณ KR-20 และ KR-21 รายละเอียดการคำนวณไม่ข้อกล่าวในที่นี้


31 ระดับความพึงพอใจ 1.ความหมาย มอส (Morse.1958:19) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง สภาวะจิตที่ปราศจากความเครียดทั้งนี้เพราะ ธรรมชาติของมนุษย์มีความต้องการ ถ้าความต้องการได้รับการตอบสนองทั้งหมดหรือบางส่วน ความเครียดก็จะน้อยลง ความ พึงพอใจก็จะเกิดขึ้นและในทางกลับกันถ้าความต้องการนั้นไม่ได้รับการตอบสนอง ความเครียดและความไม่พึงพอใจก็จะ เกิดขึ้น วรูม (Vroom.1964:8) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึงผลที่ได้จากการที่บุคคลเข้าไปมีส่วนร่วมในสิ่งนั้น ทัศนคติด้านบวกจะแสดงให้เป็นสภาพความพึงพอใจในสิ่งนั้น และทัศนคติด้านลบจะแสดงให้เห็นสภาพความไม่พึงพอใจ นั่นเอง เมนาร์ด ดับบริล เชลลี่ (Maynard W.Shelly.1975:9) ได้ศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับความพึงพอใจ ซึ่งสรุปได้ว่า ความพึงพอใจเป็นความรู้สึก แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ ความรู้สึกในทางบวกและความรู้สึกในทางลบ ความรู้สึกในทางบวก เป็นความรู้สึกที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วทำให้เกิดความสุข ความสุขนี้เป็นความสุขที่แตกต่างจากความรู้สึกทางบวกอื่นๆ กล่าวคือเป็น ความรู้สึกที่มีระบบย้อนกลับความสุขสามารถทำให้เกิดความสุขหรือความรู้สึกทางบวกอื่นๆ ความรู้สึกทางลบ ความรู้สึก ทางบวกและความรู้สึกที่มีความสัมพันธ์กันอย่างสลับซับซ้อนและระบบความสัมพันธ์ของความรู้สึกทั้งสามนี้เรียกว่า ระบบ ความพึงพอใจ 2.เครื่องมือวัดระดับความพึงพอใจ ความพึงพอใจจะเกิดขึ้นหรือไม่ขึ้นอยู่กับการให้บริการขององค์กรประกอบกับระดับความรู้สึกของผู้มารับบริการในมิติ ต่างๆของแต่ละบุคคล ดังนั้นการวัดระดับความพึงพอใจ สามารถกระทำได้หลายวิธีต่อไปนี้ 2.1การใช้แบบสอบถามซึ่งเป็นวิธีที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในการขอความร่วมมือจากกลุ่มบุคคลที่ต้องการ วัด แสดงความคิดเห็นลงในแบบฟอร์มที่กำหนด 2.2การสัมภาษณ์ต้องอาศัยเทคนิคและความชำนาญพิเศษของผู้สัมภาษณ์ที่จะจูงใจให้ผู้ตอบคำถามตอบตาม ข้อเท็จจริง 2.3การสังเกต เป็นการสังเกตพฤติกรรมทั้งก่อนการรับบริการ ขณะรับบริการและหลังการรับบริการ การวัด โดยวิธีนี้จะต้องกระทำอย่างจริงจังและมีแบบแผนที่แน่นอนจะเห็นได้ว่าการวัดความพึงพอใจต่อการให้บริการนั้น สามารถกระทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับความสะดวก เหมาะสม ตลอดจนจุดมุ่งหมายของการวัดด้วย จึงจะส่งผลให้การวัด นั้นมีประสิทธิภาพและน่าเชื่อถือได้ 3.วิธีการสร้างเครื่องมือวัดระดับความพึงพอใจ 3.1ศึกษาวิธีการสร้างแบบสอบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน และตัวอย่าง แบบสอบถามความพึงพอใจ ต่างๆ จากเอกสารที่เกี่ยวข้องด้านการประเมินและกําหนดขอบขายของข้อคําถามที่จะสร้างแบบสอบถาม


32 3.2 กําหนดโครงสร้างของแบบสอบถามความพงพอใจ 4.การประเมินระดับความพึงพอใจด้วยค่าเฉลี่ย คะแนนค่าเฉลี่ย 1.00-1.50 หมายถึง ระดับความพึงพอใจ น้อยที่สุด คะแนนค่าเฉลี่ย 1.51-2.50 หมายถึง ระดับความพึงพอใจ น้อย คะแนนค่าเฉลี่ย 2.51-3.50 หมายถึง ระดับความพึงพอใจ ปานกลาง คะแนนค่าเฉลี่ย 3.51-4.50 หมายถึง ระดับความพึงพอใจ มาก คะแนนค่าเฉลี่ย 4.51-5.00 หมายถึง ระดับความพึงพอใจ มากที่สุด ผลการเรียนรู้ 1.ความหมาย องค์การยูเนสโก (UNESCO) กล่าวว่าผลการเรียน (Outcomes) คือ ผลที่คาดหวัง หรือผลสำเร็จของหลักสูตร หรือ การบรรลุเป้าหมายของวัตถุประสงค์ขององค์กรดังที่แสดงให้เห็นได้โดยระดับตัวชี้วัด เช่น ทัศนคติ ทักษะทางปัญญา และ ความรู้ของนักเรียน ผลการเรียนรู้ของผู้เรียน (Student Learning Outcomes) จะเป็นตัวที่บอกถึงสิ่งที่ผู้เรียนจะต้องรู้ เข้าใจ และสามารถนำไปปฏิบัติได้ภายหลังจากที่ได้สำเร็จกระบวนการในการเรียนรู้แล้ว เช่นเดียวกันกับทักษะทางปัญญาและ ทักษะในทางปฏิบัติที่ผู้เรียนจะต้องได้รับและปฏิบัติได้หลังจากสำเร็จในแต่ละหน่วยการเรียนรู้ รายวิชา หรือหลักสูตร ผลการ เรียนรู้จะมาพร้อมกับเกณฑ์การประเมินที่ระบุเกณฑ์ขั้นต่ำ ในขณะที่การให้คะแนนจะอยู่บนพื้นฐานของความตั้งใจที่อยู่ นอกเหนือหรือภายใต้เกณฑ์นั้น ผลการเรียนรู้ต่างจากจุดมุ่งหมายการเรียนรู้ซึ่งจุดมุ่งหมายการเรียนรู้นั้นจะให้ความสนใจกับ ผลสำเร็จมากกว่าความตั้งใจสอนของครูผู้สอน ผลการเรียนรู้ เป็นส่วนหนึ่งของพฤติกรรม ทักษะ และความรู้ที่นักเรียนคาดว่าจะได้รับและสามารถปฏิบัติได้ หลังจากจะช่วงระยะเวลาของการศึกษา ผลการเรียนจะสะท้อนให้เห็นถึงระดับความรู้ของประชากรของประเทศ ในการวัดผล การเรียนรู้จะกระทำในส่วนของด้านความรู้ (พุทธิพิสัย) ทักษะและพฤติกรรม (จิตพิสัย)ที่นักเรียนพึงได้รับหลักจากจบ หลักสูตร การประเมินสามารถกระทำได้โดยคณะผู้บริหาร เขตพื้นที่การศึกษา ระดับชาติ และในระดับนานาชาติ ซึ่งใน ระดับชาติ 2.2 การจำแนกประเภท 2.2.1 ด้านความรู้(Knowledge: K) เป็นจุดประสงค์เกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจ การ นำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า 2.2.2 ด้านทักษะกระบวนการ (Process/Product: P) เป็นจุดประสงค์เกี่ยวกับการปฏิบัติกิจกรรมหรือ ทักษะกระบวนการต่าง ๆ ที่ต้องการวัดผู้เรียน 2.2.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (Attribute: A) เกี่ยวกับอารมณ์ ความรู้สึก การเห็นคุณค่า และ คุณลักษณะที่พึงประสงค์ในด้านต่าง ๆ


33 2.3 วิธี/เครื่องมือวัดและประเมินผล 2.3.1 ด้านความรู้(Knowledge: K) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Achievement test) เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ ทักษะ และความสามารถ สมอง ด้านต่างๆ เช่น ความรู้ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ สังเคราะห์ และการประมาณค่า ซึ่งแบบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้อาจเป็นประเภทที่ผู้สอนสร้างขึ้นเอง เช่น ข้อสอบปลายภาค หรือเป็นแบบทดสอบ มาตรฐาน ที่มีผู้สร้างไว้แล้ว เช่น ข้อสอบ TOFEL รูปแบบและวิธีการใช้แบบทดสอบแบ่งเป็น 3 ลักษณะคือ 2.3.1.1แบบสอบปากเปล่า (oral test) เป็นการทดสอบที่อาศัยการซักถามเป็นรายบุคคล เหมาะสำหรับผู้สอบจำนวน น้อย ข้อดีคือ สามารถถามได้ละเอียด และสามารถโต้ตอบได้ 2.3.1.2แบบเขียนตอบ (paper-pencil test) เป็นการทดสอบที่มีการเขียนตอบ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ แบบทดสอบปรนัย หมายถึง แบบทดสอบที่ถามให้ตอบยาวๆ สามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างกว้างขวาง เหมาะ สำหรับการวัดความสามารถในการใช้ภาษาและแสดงความคิดเห็นที่หลากหลาย และแบบทดสอบปรนัย หมายถึง แบบทดสอบประเภท ถูก-ผิด จับคู้ เติมคำ และเลือกตอบ เหมาะสำหรับสอบผู้สอบจำนวนมากๆมีเวลาตรวจข้อสอบ น้อย 2.3.1.3แบบปฏิบัติ (performance) เป็นการทดสอบที่ผู้สอบได้แสดงพฤติกรรมออกมาโดยการกระทำหรือลงมือ ปฏิบัติจริง 2.3.2 ด้านทักษะกระบวนการ (Process/Product: P) แบบทดสอบวัดความถนัดหรือทักษะ (aptitude test) เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดศักยภาพระดับสูง ของบุคคลว่า สมรรถภาพในการเรียนรู้มีมากน้อยเพียงใด และควร เรียนด้านใดหรือทำงานในด้านใด จึงจะเหมาะสมและประสบความสำเร็จ แบบทดสอบประเภทนี้แบ่งย่อยได้เป็น 2 ประเภท คือ แบบทดสอบความถนัดในการเรียน (scholastic aptitude test) และแบบทดสอบความถนัดจำเพาะ (specific test) ซึ่งแบ่งความถนัดเป็น 7 ด้านได้แก่ด้านภาษา การใช้คำ ตัวเลข มิติสัมพันธ์ ความจำ การสังเกตรับรู้ และการใช้เหตุผล 2.3.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์(Attribute:A) แบบทดสอบวัดความสัมพันธ์ของบุคคล เป็น แบบทดสอบที่ใช้วัดเกี่ยวกับบุคลิกภาพหรือการปรับตนเองของบุคคลในสังคม วัดความสนใจต่อสิ่งต่าง ๆ ในรูป แบบทดสอบวัดลักษณะบุคคล เช่น แบบทดสอบความเกรงใจ แบบทดสอบความคิดสร้างสรรรค์ เป็นต้น


34 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1.งานวิจัยที่ทำการทบทวน การทำวิจัยในชั้นเรียนเรื่องการพัฒนาผลการเรียนรู้วิชาทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา6 ผู้วิจัยทำการทบทวนงานเฉพาะวิจัยที่เกี่ยวข้องหรือสอดคล้องกับการใช้แบบฝึกทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วพัฒนาหา ผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้เรื่องการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนแสนตอผลการทบทวนดังกล่าว ดังนี้ นายนิลพัทธ์ สุวรรณอาศน์พร้อมทั้ง นายธนิสร ศรีน่วม นางสาวนุจรีย์ วัยวัตและนายพีรพัฒน์ เผ่ากันทะ(2566) ทำการพัฒนาผลการเรียนรู้วิชาทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วของนักเรียนชั้นม.6 โรงเรียนแสนตอวิทยา จังหวัดอุตรดิตถ์โดยมี วัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ 1.เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วสำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อปรับปรุงแบบฝึก ทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วผลการเรียนรู้ด้านทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วของนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษา 6 2.เพื่อการศึกษาผลการทดลองใช้แบบฝึกทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อปรับปรุง ผลการเรียนรู้ด้านทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วของนักเรียนระดับชั้น ม.6 3.เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้น ม.6 ที่มีต่อการทดลองใช้แบบฝึกทักษะการปฏิบัติ เครื่องลิ่มนิ้วจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อปรับปรุงด้านทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว 2.การสรุปประเด็น จากงานวิจัยที่ผู้วิจัยทำการทบทวน เรื่อง การพัฒนาผลการเรียนรู้วิชาทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษา 6โรงเรียนแสนตอวิทยา จังหวัดอุตรดิตถ์ ขอสรุปประเด็นความรู้เกี่ยวกับผลการทบทวนดังกล่าวเป็นรายข้อ ดังนี้ 2.1ด้านความรู้ นักเรียมีความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเครื่องลิ่มนิ้ว โดยจะแยกเป็น 2 หัวข้อดังนี้ 2.1.1ด้านลักษณะทางกายภาพของเครื่องลิ่มนิ้ว 2.1.2ด้านการดูแลรักษาเครื่องดนตรีประเภทเครื่องลิ่มนิ้ว 2.2นักเรียนมีการพัฒนาทักษะด้านการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วเพิ่มมากขึ้นจากนวัตกรรมเดิมอันเนื่องมาจากนวัตกรรมใหม่ ที่สร้างขึ้นนี้นำเอาข้อด้อยของนวัตกรรมเดิมมาปรับแก้ไขจึงทำให้นักเรียนมีผลการเรียนรู้ในด้านทักษะเพิ่มมากขึ้น 3.ประเด็นที่ทำการวิจัยต่อยอด จากการสรุปประเด็นความรู้เกี่ยวกับผลการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังกล่าวเป็นรายข้อก่อนหน้าแล้วพบว่า การทำ วิจัยในชั้นเรียนเรื่องการพัฒนาผลการเรียนรู้วิชาทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา6 โรงเรียนแสนตอ วิทยา จังหวัดอุตรดิตถ์มีประเด็นความรู้ที่แตกต่างจากการสรุปประเด็นดังกล่าวคือ 3.1การทำเปียโนจำลองนั้นหากไม่มีเสียงจะพบว่านักเรียนจะบรรเลงผิดโดยไม่รู้ตัวเนื่องจากไม่มีเสียงให้ นักเรียนได้ยิน


35 3.2การสอนเปียโนจำลองควบคู่ไปกับการสอนทักษะทั่วไปนั้นจะทำให้นักเรียนสามารถเข้าใจบทเรียนได้ง่าย กว่าซึ่งแตกต่างจากการสอนแบบบรรยายเพื่อให้นักเรียนเข้าใจ 3.3มีการใช้เทคนิคการสอนโดยใช้ทฤษฎีของ ซูซูกิ และโคดายมาผสมผสานกันในการสอนโดยใช้ทฤษฎีของ ซูซูกิในเรื่องการจำเสียง และ ใช้ทฤษฎีของโคดายโดยการใช้สัญลักษณ์เพื่อให้ง่ายต่อการจำเสียงดนตรี โดยสัญลักษณ์ ในที่นี้หมายถึง เปียโนจำลอง


36 บทที่ 3 วิธีดำเนินการศึกษาค้นคว้า การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi – experimental research design) ดำเนินการทดลอง ตามแบบการวิจัยแบบแผนการทดลองแบบ Quasi – Equivalent Control Group Design มีวิธีการดำเนินการ ทดลองและเก็บข้อมูล ดังนี้ 1. กลุ่มตัวอย่าง 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3. การสร้างและหาประสิทธิภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล 5. การวิเคราะห์ข้อมูล 6. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าในเรื่องนี้ได้แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนแสนตอวิทยา อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 27 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1.1 แผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการเสริมแรง วิชาปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว เรื่อง ทักษะการบรรเลงเบื้องต้น สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนแสนตอ วิทยาให้มีประสิทธิภาพโดยใช้เกณฑ์ E1 / E2จำนวน 5 แผนการจัดการเรียนรู้ ดังนี้ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่องการทำความรู้จักนิ้วและการวางมือ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่องตำแหน่งนิ้วทั้ง5 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่องการฝึกความแข็งแรงของนิ้ว แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่องการบรรเลงเพลงระดับพื้นฐาน แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่องการบรรเลงเพลงระดับกลาง 1.2 แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน วิชาวิชาปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว เรื่อง ทักษะการบรรเลงเบื้องต้น เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสำหรับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการเสริมแรง 1.3 แบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการเสริมแรง วิชาปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว เรื่อง ทักษะการบรรเลงเบื้องต้น สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนแสนตอ วิทยา


37 1. สร้างแผนการจัดการเรียนการสอนร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการเสริมแรง ในวิชา ปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว เรื่อง ทักษะการบรรเลงเบื้องต้น สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนแสนตอวิทยา เรื่อง ทักษะการบรรเลงเบื้องต้น มีทั้งหมด 5 แผน ซึ่งมีกระบวนการจัดการเรียนการสอนที่แบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่ม ละ 3 คน ประกอบด้วยผู้เรียนมีความสามารถที่แตกต่างกัน โดยคละความสามารถทางการเรียน ได้แก่ เก่ง ปาน กลาง อ่อน และคละเพศชายหญิงให้เหมาะสมกัน สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มมีบทบาทหน้าที่ของตนเอง ต้องมีการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้แสดงความคิดเห็นซึ่งกันและกัน แก้ปัญหาการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม แต่ที่แตกต่างออกไป สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มจะต้องประเมินผลงานของสมาชิกในกลุ่มว่ากิจกรรมการเรียนการสอนที่เกิดขึ้นนั้นเกิดการ เรียนรู้เป็นรายบุคคลหรือไม่ ซึ่งมีขั้นตอนในการจัดการเรียนการสอน ดังนี้ 1.1 การจัดกลุ่มผู้เรียน (STAD ขั้นที่ 1 + Learning Together ขั้นที่ 2) ร่วมกับการลงโทษ ทางบวก เริ่มจากผู้สอนแจ้งจุดประสงค์ของการเรียนการสอน บอกการวัดและการประเมินผลให้ผู้เรียน รับทราบ และก่อนจะเข้าสู่การทบทวนบทเรียน ผู้เรียนจะต้องทดสอบก่อนเรียน (Pre- Test) ว่าผู้เรียนมีความรู้ พื้นฐานเป็นอย่างไร เมื่อทดสอบก่อนเรียนเรียบร้อยแล้วผู้สอนจะตั้งคำถามเพื่อให้ผู้เรียนได้ทบทวนความรู้เดิม และ ในขั้นที่ 1 นี้ ผู้สอนจะเป็นผู้จัดกลุ่มให้กับผู้เรียนแต่ละคน 1.2 การทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม (STAD ขั้นที่ 2 + Learning Together ขั้นที่ 2 + Learning Together ขั้นที่ 3 + Learning Together ขั้นที่ 4) ร่วมกับการลงโทษทางบวก เป็นการจัดการเรียนการสอนหรือสอนเนื้อหาให้กับผู้เรียน โดยใช้วิธีการจัดกลุ่มนักเรียนออกเป็น กลุ่มละ 3 คน แต่ละคนในกลุ่มจะมีการคละความสามารถที่แตกต่างกัน และเพศชายหญิงคละกัน สมาชิกแต่ละคน ในกลุ่มจะมีหน้าที่และบทบาทของตนเองที่ชัดเจน ผู้สอนจะมีการกำหนดงานให้แต่ละกลุ่ม และผู้สอนจะเป็นผู้ กำหนดบทบาทตามหมายเลขที่ผู้สอนกำหนดไว้ โดยแบ่งหน้าที่ได้ดังนี้ หมายเลข 1 เป็นหัวหน้ากลุ่ม, หมายเลข 2 เป็นรองหัวหน้า และหมายเลข 3 เป็นเลขานุการ แต่ผู้สอนจะให้สมาชิกแต่ละกลุ่มเป็นคนกำหนดบทบาทหน้าที่ ตามหมายเลขกันเองภานในกลุ่ม และหลังจากผู้เรียนได้เรียนเนื้อหาใหม่และได้ร่วมกันทำงานเป็นกลุ่ม ผู้เรียน จะต้องทบทวนเนื้อหาที่ได้เรียนร่วมกัน 1.3 การทำงานรายบุคคล (STAD ขั้นที่ 3) ร่วมกับการลงโทษทางลบ หลังจากผู้เรียนแต่ละคนได้แลกเปลี่ยนและทบทวนความรู้เนื้อหาใหม่ในขั้นที่ 2 แล้ว ขั้นนี้ผู้เรียน จะต้องทำแบบฝึกหัดหรือใบงานเป็นรายบุคคล เพื่อเป็นการแสดงองค์ความรู้ที่ได้เรียนกันเป็นกลุ่ม 1.4 การให้คะแนนพฤติกรรม (STAD ขั้นที่ 4 + Learning Together ขั้นที่ 5) ร่วมกับการ เสริมแรงทางลบ


38 ขั้นนี้เป็นนำคะแนนกลุ่มและคะแนนรายบุคคลจากการทำแบบฝึกหัดหรือใบงาน เพื่อมาหา ค่าเฉลี่ยของแบบฝึกหัดของผู้เรียน ซึ่งสามารถวัดความก้าวหน้าของสมาชิกแต่ละคน และให้สมาชิกแต่ละคนใน กลุ่มประเมินผลงานของสมาชิกในกลุ่มของตนเองว่าสมาชิกแต่ละคนเกิดการเรียนรู้เป็นรายบุคคลหรือไม่ โดยใช้ การประเมินจากงานที่ได้ทำร่วมกันจากหน้าที่และบทบาทของแต่ละคนที่ได้รับผิดชอบ หรือการที่สมาชิกในกลุ่ม แสดงความคิดเห็นออกมาเป็นรายบุคคล หลังจากนั้นผู้สอนมีการกำหนดคะแนนที่เป็นฐานในกลุ่มเรียนและผู้เรียน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นของสมาชิกในกลุ่ม ซึ่งคะแนนของผู้เรียนแต่ละคนจะแสดงถึงพฤติกรรมของผู้เรียนได้อย่าง เหมาะสม 1.5 การยกย่องและยอมรับ (STAD ขั้นที่ 5) ร่วมกับการเสริมแรงทางบวก เป็นการนำคะแนนสอบของแต่ละคนในกลุ่มมาเทียบกับฐานที่กำหนด เพื่อประเมินความก้าวหน้า ว่าสมาชิกแต่ละคนมีความก้าวหน้าในการจัดการเรียนรู้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งการประเมินเป็นการประเมินจากการ ทำงานของสมาชิกแต่ละคนในกลุ่ม โดยประเมินเป็นรายบุคคลแล้วจึงนำมารวมเป็นกลุ่ม เมื่อประเมินคะแนนของ ผู้เรียนแต่ละคนแล้วผู้สอนควรให้การเสริมแรงเพิ่มเติมพร้อมกับการให้คำชมเชยและรางวัลผู้เรียนที่มีคะแนนสูงสุด ในห้องเรียน การสร้างและหาประสิทธิภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การวิจัยครั้งนี้คณะผู้วิจัยได้สร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยตามวัตถุประสงค์การวิจัยมีรายละเอียด ดังนี้ 2.1 เครื่องมือที่ใช้ในการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ โดยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับ การเสริมแรง วิชาปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว เรื่อง ทักษะการบรรเลงเบื้องต้น 1. ศึกษารายละเอียดของหลักสูตรห้องเรียนพิเศษดนตรี โรงเรียนแสนตอวิทยา โดย ศึกษาโครงสร้างหลักสูตร ความหมายของรายวิชา รายวิชา คำอธิบายรายวิชา จำนวนหน่วยกิต มาตรฐานการ จัดการเรียนรู้ และกระบวนการประเมินผลการเรียนรู้ เพื่อกำหนดขอบเขตและเนื้อหาของบทเรียน รวมทั้งกำหนด จุดประสงค์การเรียนรู้ 2. ศึกษาและวิเคราะห์เนื้อหารายวิชาปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว เรื่อง ทักษะการบรรเลง เบื้องต้น สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนแสนตอวิทยา 3. ศึกษาจุดประสงค์การเรียนรู้เพื่อเป็นแนวทางโดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ร่วมกับการเสริมแรง และเป็นประโยชน์ในการสร้างแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน 4. ศึกษาแนวการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการ เสริมแรง 5. ศึกษาเกณฑ์การวัดและประเมินผลการเรียน ตามหลักสูตรห้องเรียนพิเศษดนตรี โรงเรียนแสนตอวิทยา


39 6. สร้างแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการ เสริมแรง วิชาปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว เรื่อง ทักษะการบรรเลงเบื้องต้น จำนวน 5 แผนการจัดการเรียนรู้ ไม่รวมการ ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน 7. นำแผนการจัดการเรียนรู้ทั้งหมดเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อตรวจสอบความ ถูกต้องของเนื้อหาของรายวิชาและรูปแบบการจัดการเรียนรู้ตลอดจนการวัดและประเมินผล ขอคำแนะนำและ ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของอาจารย์ที่ปรึกษา 8. นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ได้แก้ไขปรับปรุงจากอาจารย์ที่ปรึกษา แล้วนำไปเสนอต่อ ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินแผนการจัดการเรียนรู้ โดยมีผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่านดังนี้ 1. อาจารย์ ดร.วัชระ แตงเทศ ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนดนตรี 2. อาจารย์ ปฐมพงษ์ ธรรมลังกา ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการเรียนรู้ 3. อาจารย์ พันธุ์เอก ใจหลวง ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนเครื่องลิ่มนิ้ว โดยมีเกณฑ์การประเมินดังนี้ ระดับการประเมิน 5 หมายถึง ดีมาก ระดับการประเมิน 4 หมายถึง ดี ระดับการประเมิน 3 หมายถึง พอใช้ ระดับการประเมิน 2 หมายถึง ปรับปรุง ระดับการประเมิน 1 หมายถึง ไม่ผ่านเกณฑ์การประเมิน 9. แผนการจัดการเรียนรู้ โดยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการเสริมแรงไป ใช้จริงกับกลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนแสนตอวิทยา 2.2 แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน เพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือร่วมกับการเสริมแรง ในรายวิชาปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว เรื่อง ทักษะการบรรเลงเบื้องต้น ซึ่งผู้วิจัยได้ใช้ แบบทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) และแบบทดสอบหลังเรียน (Post-test) 1. กำหนดจุดมุ่งหมายในการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาปฏิบัติ เครื่องลิ่มนิ้ว เรื่อง ทักษะการบรรเลงเบื้องต้น 2. ศึกษาเอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน รายวิชาปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว เรื่อง ทักษะการบรรเลงเบื้องต้น 3. สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน ในรายวิชาปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว เรื่อง ทักษะการบรรเลงเบื้องต้น


40 4. นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สร้างขึ้นไปใช้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณา แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เพื่อหาค่า IOC โดยมีผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่านดังนี้ 1. อาจารย์ ดร.วัชระ แตงเทศ ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนดนตรี 2. อาจารย์ ปฐมพงษ์ ธรรมลังกา ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการเรียนรู้ 3. อาจารย์ พันธุ์เอก ใจหลวง ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนเครื่องลิ่มนิ้ว โดยมีเกณฑ์การประเมินดังนี้ +1 หมายถึง แน่ใจว่ามีความสอดคล้อง 0 หมายถึง ไม่แน่ใจว่ามีความสอดคล้อง -1 หมายถึง ไม่มีความสอดคล้อง 7. นำแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว เรื่อง ทักษะการ บรรเลงเบื้องต้น ที่ได้รับการตรวจสอบและปรับปรุงแก้ไขแล้วนำไปใช้เพื่อหาคุณภาพของแบบทดสอบ โดยมีค่า ความยากง่าย ค่าอำนาจจำแนก ค่าความเชื่อมั่น( วัฒนา สุนทรธัย , 2554 ) โดยมีเกณฑ์ดังนี้ ค่าความยากง่าย (p) อยู่ระหว่าง 0.20-0.80 ค่าอำนาจจำแนก (r) มีค่า 0.20 ขึ้นไป ค่าความเชื่อมั่นมีค่า0.70 ขึ้นไป 8. นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ การหาค่าความ ยากง่ายและอำนาจจำแนก ไปใช้จริงกับกลุ่มเป้าหมาย 2.3 การสร้างแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนแสนตอวิทยา ที่มีต่อการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการเสริมแรง ในรายวิชาปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว เรื่อง ทักษะการบรรเลงเบื้องต้น ซึ่ง ผู้วิจัยมีการสร้างดังนี้ 1. กำหนดวัตถุประสงค์ของแบบประเมินความพึงพอใจ 2. กำหนดประเด็นที่ต้องการประเมินโดยมีการกำหนดระดับคุณภาพ 5 ระดับ โดยมีเกณฑ์การประเมินดังนี้ 5 หมายถึง มีความพึงพอใจมากที่สุด 4 หมายถึง มีความพึงพอใจมาก 3 หมายถึง มีความพึงพอใจปานกลาง 2 หมายถึง มีความพึงพอใจน้อย


41 1 หมายถึง มีความพึงพอใจน้อยที่สุด นำประเด็นที่ต้องการประเมินเสนอผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน โดยมีผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่านดังนี้ 1. อาจารย์ ดร.วัชระ แตงเทศ ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนดนตรี 2. อาจารย์ ปฐมพงษ์ ธรรมลังกา ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการเรียนรู้ 3. อาจารย์ พันธุ์เอก ใจหลวง ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนเครื่องลิ่มนิ้ว เพื่อประเมินความสอดคล้องและนำค่าที่ได้มาค่า IOC โดยมีเกณฑ์การประเมินดังนี้ +1 หมายถึง แน่ใจว่ามีความสอดคล้อง 0 หมายถึง ไม่แน่ใจว่ามีความสอดคล้อง -1 หมายถึง ไม่มีความสอดคล้อง 4. . นำแบบทดสอบแบบประเมินความพึงพอใจมีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ร่วมกับการเสริมแรง ในรายวิชาปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว เรื่อง ทักษะการบรรเลงเบื้องต้น ให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนแสนตอวิทยาทำการประเมิน การเก็บรวบรวมข้อมูล ขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูล ดังนี้ 1. ชี้แจงวัตถุประสงค์ให้กับนักศึกษากลุ่มตัวอย่าง และทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) เพื่อนำคะแนนมา วิเคราะห์เป็นคะแนนก่อนเรียน 2. ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนแสนตอวิทยา เรื่อง การบรรเลงเบื้องต้น โดยระหว่างการจัดการเรียนรู้ ผู้วิจัยจะทำการสังเกตพฤติกรรมของนักศึกษาด้วย 3. เมื่อสิ้นสุดการจัดการเรียนรู้แบบ Cooperative Learning ร่วมกับ Reinforcement ผู้เรียนจะต้องทำ การทดสอบหลังเรียน (Post-test) เป็นรายบุคคล และแบบวัดความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบ Cooperative Learning ร่วมกับ Reinforcement 4. คณะผู้วิจัยตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลจากแบบทดสอบทั้งหมดที่ได้รับมา แล้วดำเนินการจัดการ กระทำข้อมูล เพื่อเตรียมสำหรับในการวิเคราะห์ข้อมูลต่อไป


42 วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้ 1. วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการเสริมแรง 2. เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนมาคิดเป็นร้อยละค่าเฉลี่ย (X̅) และส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) แล้วนำคะแนนมาทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติค่าที่ซึ่งผู้วิจัยใช้คอมพิวเตอร์ โปรแกรม สำเร็จรูปในการวิเคราะห์ข้อมูล เสนอในรูปแบบตาราง 3. การวิเคราะห์ความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนโดยหา คะแนนเฉลี่ย (X̅) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) แล้วนำคะแนนการประเมินมาเทียบกับเกณฑ์ซึ่งใช้เกณฑ์การ แปลความหมายคะแนนแบบมาตรส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ตามเกณฑ์ตั้งแต่พึงพอใจระดับมากที่สุดจนถึงพึง พอใจระดับน้อยที่สุด สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 18.1 การหาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้แบบ Cooperative Learning ร่วมกับ Reinforcement ในรายวิชาปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว เรื่อง ทักษะการบรรเลงเบื้องต้น โดยใช้สูตรการหาค่าประสิทธิภาพของนวัตกรรม (E1 / E2 ) 18.1.1 การหาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้แบบ Cooperative Learning ร่วมกับ Reinforcement (E1 ) E1 = ∑ x N A x 100 เมื่อ E1 แทน ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยที่นักเรียนได้รับจากการทำแบบทดสอบระหว่างเรียน ∑X แทน คะแนนรวมของนักเรียนได้รับจากการทำแบบทดสอบระหว่างเรียน A แทน คะแนนเต็มการจัดการเรียนรู้ที่ได้รับจากการทำแบบทดสอบระหว่างเรียน N แทน จำนวนผู้เรียน 18.1.2 การหาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้แบบ Cooperative Learning ร่วมกับ Reinforcement (E2 ) E2 = ∑ y N B x 100 เมื่อ E2 แทน ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยที่นักเรียนได้รับจากการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน


43 ∑ y แทน คะแนนรวมผลลัพธ์แบบทดสอบหลังเรียน B แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบหลังเรียน N แทน จำนวนผู้เรียน 18.2 วิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังจากการจัดการเรียนรู้แบบ Cooperative Learning ร่วมกับ Reinforcement โดยหาค่าเฉลี่ยเลขคณิต (X̅) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 18.2.1 การหาค่าเฉลี่ย (X̅) = ∑ X N เมื่อ X̅ แทน ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ∑x แทน ผลรวมทั้งหมดของคะแนน N แทน จำนวนคนทั้งหมด 18.2.2 การหาค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน S.D. = √ ∑ (X-X̅) N เมื่อ S.D. แทน ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน X แทน คะแนนของแต่ละคน X̅แทน ค่าเฉลี่ยเลขคณิต N แทน จำนวนคนทั้งหมด ∑ แทน ผลรวม 18.3 การวิเคราะห์ความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบ Cooperative Learning ร่วมกับ Reinforcement โดยหาค่าเฉลี่ยเลขคณิต (X̅) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 18.3.1 การหาค่าเฉลี่ย (X̅) = ∑ X N เมื่อ X̅ แทน ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ∑X แทน ผลรวมทั้งหมดของคะแนน N แทน จำนวนคนทั้งหมด 18.3.2 การหาค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน


44 S.D. = √∑(X−X̅)2 N เมื่อ S.D. แทน ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน X แทน คะแนนของแต่ละคน X̅แทน ค่าเฉลี่ยเลขคณิต N แทน จำนวนคนทั้งหมด ∑ แทน ผลรวม


45 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนแสนตอ วิทยา โดยใช้ทฤษฎีการสอนดนตรีของโคดาย ผู้วิจัยเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามประเด็นของวัตถุประสงค์การ วิจัย ดังนี้ 1. เพื่อสร้างแบบฝึกทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้วด้วยทฤษฎีการเรียนรู้โดยการเน้นให้ลงมือปฏิบัติของ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 2. เพื่อทดลองและศึกษาผลการทดลองใช้แบบฝึกหัดทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว จัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง พัฒนาการเรียนรู้แบบฝึกทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 3. เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนแสนตอวิทยา ที่มีต่อการ ทดลองใช้แบบฝึกหัดทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว จัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง พัฒนาการเรียนรู้แบบฝึกทักษะการ ปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว ผลการพัฒนาแบบฝึกทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนแสนตอวิทยา โดยใช้ทฤษฎีการสอนดนตรีของโคดาย 1.นวัตกรรมที่สร้าง แบบฝึกทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนแสนตอวิทยาโดยใช้ ทฤษฎีการสอนดนตรีของโคดาย ประกอบไปด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ มีจำนวนทั้งสิ้น 3 แผน ใช้เวลาทำกิจกรรม 9 ชั่วโมง 1.1. การฝึกเคาะจังหวะดนตรี 1.2. การเรียนรู้เรื่องตัวโน้ตดนตรีไทย 1.3. การฝึกอ่านโน้ตเพลงดนตรีไทยอย่างง่าย รายละเอียดของ แบบฝึกทักษะเปียโน แสดงแล้วดังภาคผนวก ก เครื่องมือการวิจัย 2.การหาประสิทธิภาพของนวัตกรรม 2.1. การหาประสิทธิภาพเชิงเหตุผล (Rational Approach) เมื่อประเมินความเหมาะสมของ แบบฝึก แบบฝึกทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว ด้วยแบบประเมินความเหมาะสมจากผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 คน ผลการ ประเมินแสดงดังตารางที่ 1 ตารางที่ 1 : แสดงผลการประเมินความเหมาะสมของแบบฝึกทักษะการปฏิบัติเครื่องลิ่มนิ้ว จากผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 คน


Click to View FlipBook Version