การประยุกต์ใช้พทุ ธบูรณาการ เพื่อสง่ เสรมิ กระบวนการมสี ่วนรว่ มของภาคี
เครือขา่ ยด้านการประกอบอาชพี ของผตู้ อ้ งขงั ในเรือนจำชว่ั คราวดอยฮาง
จังหวดั เชียงราย
ถริ วฒั น์ ปกปอ้ ง
วิทยานพิ นธ์นเ้ี ป็นส่วนหน่ึงของการศึกษา
ตามหลกั สตู รปริญญาพทุ ธศาสตรมหาบัณฑติ
สาขาวชิ าพระพุทธศาสนา
บัณฑิตวทิ ยาลยั
มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั
พุทธศกั ราช ๒๕๖๕
USING BUDDHIST INTEGRATION TO SUPPORT THE PROCESS OF
PARTICIPATION IN OCCUPATIONAL NETWORKS OF PRISONERS IN DOI
HANG TEMPORARY PRISON IN CHIANG RAI.
MR.THIRAWAT POKPONG
A Thesis Submitted in Partial Fulfillment of
The Requirement for the Degree of
Master of Arts
(Buddhist Studies)
Mahachulalongkornrajavidyalaya University
Bangkok, Thailand
C.E.๒๐๒๑
(Copyright by Mahachulalongkornrajavidyalaya University)
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อนุมัติให้นับ
วิทยานิพนธ์ เรื่อง “การประยุกต์ใช้พุทธบูรณาการ เพื่อส่งเสริมกระบวนการมี
สว่ นร่วมของภาคีเครอื ขา่ ยดา้ นการประกอบอาชีพของผู้ต้องขงั ในเรอื นจำชวั่ คราว
ดอยฮาง จงั หวดั เชียงราย”
............................................................
(พระมหาสมบูรณ์ วุฑฒฺ กิ โร, รศ.ดร.)
คณบดบี ัณฑิตวิทยาลัย
คณะกรรมการตรวจสอบวิทยานิพนธ์ .................................................. ประธานกรรมการ
(...............................................)
.................................................. กรรมการ
(...............................................)
.................................................. กรรมการ
(ดร.เสพบัณฑติ โหน่งบัณฑิต)
.................................................. กรรมการ
(พระครูศรรี ตั นกร, ผศ.ดร.)
คณะกรรมการควบคุมวิทยานพิ นธ์ ดร.กจิ ชัย วงศร์ าช ประธานกรรมการ
พระครูศรีรตั นกร, ผศ.ดร. กรรมการ
ชื่อผู้วิจยั ...........................................
(นายถิรวัฒน์ ปกป้อง)
ก
ชอ่ื วทิ ยานพิ นธ์ : การประยุกต์ใช้พุทธบูรณาการ เพื่อส่งเสริมกระบวนการมีส่วน
ร่วมของภาคีเครือข่ายด้านการประกอบอาชีพของผู้ต้องขังใน
เรือนจำช่ัวคราวดอยฮาง จังหวัดเชยี งราย
ผู้วิจยั : นายถิรวฒั น์ ปกป้อง
ปริญญา : พทุ ธศาสตรมหาบัณฑติ (พุทธศาสนา)
คณะกรรมการควบคมุ วิทยานิพนธ์
: ดร.เสพบัณฑติ โหนง่ บณั ฑติ
พธ.บ. บาลีพทุ ธศาสตร์
รป.ม. รฐั ประศาสนศาสตร์
พธ.ด.พระพทุ ธศาสนา
:พระครศู รรี ตั นากร, ผศ.ดร.
: ป.ธ.๖ ป.บัณฑิต พธ.บ. (ภาษาอังกฤษ) M.A. (Philosophy &
Religion), M.A. (English Literature) Ph.D. (Buddhist Studies)
บทคดั ยอ่
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ๑) เพื่อศึกษารูปแบบการฝึกวิชาชีพของผู้ต้องขัง
ในเรือนจำชั่วคราวดอยฮาง จังหวัดเชียงราย ๒) เพื่อยกระดับภาคีเครือข่ายในการส่งเสริมการประกอบ
อาชีพของผู้ต้องขังในเรือนจำชั่วคราวดอยฮาง จังหวัดเชียงราย ๓) เพ่ือวิเคราะห์พุทธบูรณาการในการ
ส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย ด้านการส่งเสริมประกอบอาชีพของผู้ต้องขังในเรือนจำ
ชั่วคราวดอยฮาง จังหวัดเชียงราย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Reserch)
เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่รวบรวมข้อมูลจากเอกสาร (Document) และจากการ
สัมภาษณ์
ผลการวิจยั พบวา่
รูปแบบการฝึกวิชาชีพของผู้ต้องขัง ในเรือนจำชั่วคราวดอยฮาง จังหวัดเชียงราย
การฝึกวิชาชีพเป็นหนึ่งในภารกิจที่กรมราชทัณฑ์มุ่งเน้นให้เรือนจำ/ทัณฑสถานฝึกวิชาชีพให้ผู้ต้องขัง
เพื่อให้ผู้ต้องขังมีวิชาชีพติดตัวสามารถนาไปประกอบอาชีพได้ภายหลังพ้นโทษ จะได้ไม่หวนกลับมา
กระทำผิดซ้ำ นอกจากนี้ยังได้รับความร่วมมือจากกรมการจัดหางาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการคา้ แหง่ ประเทศไทย ในการลงนามบันทึกขอ้ ตกลง
การยกระดับภาคีเครือข่ายในการส่งเสริมการประกอบอาชีพของผู้ต้องขังในเรือนจำ
ชั่วคราวดอยฮาง จังหวัดเชียงราย หน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ได้ให้การส่งเสริมด้านการ
ประกอบอาชีพ เมื่อผู้ต้องขังเมื่อพ้นโทษ สามารถไปประกอบอาชีพที่สุจริต เช่น พุทธมณฑลสมโภช
ข
750 ปี เมืองเชียงราย ร้านกาแฟดอยตุง อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย วัดพุทธอุทยาน
(ดอยอนิ ทรีย)์ ตำบลดอยฮาง อำเภอเมอื ง จงั หวดั เชยี งราย
การวิเคราะห์พุทธบูรณาการในการส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย ด้าน
การส่งเสริมประกอบอาชีพของผู้ต้องขังในเรือนจำชั่วคราวดอยฮาง จังหวัดเชียงราย การนำหลัก
พุทธบูรณาการทางพระพุทธศาสนากับวิทยาการสมัยใหม่นำไปใช้ในการส่งเสริมกระบวนการมีส่ วน
ร่วมของภาคีเครอื ข่าย ดา้ นการสง่ เสรมิ ประกอบอาชพี ของผูต้ ้องขังในเรือนจำชัว่ คราวดอยฮาง จังหวัด
เชยี งราย
Thesis Title :USING BUDDHIST INTEGRATION TO SUPPORT THE PROCESS OF
PARTICIPATION IN OCCUPATIONAL NETWORKS OF PRISONERS
IN DOI HANG TEMPORARY PRISON IN CHIANG RAI.
Researcher : Mr. Tirawat Pokpong
Degree : Master of Arts (Buddhist Studies)
Thesis Supervisory Committee
:
:
Date of Graduation : October 24, 2021
Abstract
The objectives of this research were 1 ) to study the vocational training
model of prisoners. In Doi Hang Temporary Prison Chiang Rai Province 2 ) to raise the
level of network partners to promote the occupation of inmates in Doi Hang
Temporary Prison Chiang Rai Province 3) to analyze Buddhist integration in promoting
the participation process of network partners in terms of promoting the occupation of
prison inmates Temporary Doi Hang Chiang Rai This research is a qualitative research
tool used to collect data. including gathering information from documents (Document)
and from interviews
The results showed that
A model of vocational training of inmates In Doi Hang Temporary Prison
Chiang Rai Vocational training is one of the tasks that the Department of Corrections
focuses on providing prisons/ correctional institutions to provide vocational training to
inmates so that inmates can have a profession with them so that they can pursue a
career after their sentence. will not come back to commit the same mistake again It
also received cooperation from the Department of Employment. Department of Skill
ค
Development Federation of Thai Industries and the Thai Chamber of Commerce in
signing the memorandum
Upgrading of network partners to promote occupation of inmates in Doi
Hang Temporary Prison Chiang Rai Both government and private agencies has
promoted occupation when the prisoner is released Able to pursue honest
occupations such as Phutthamonthon Sompoch 750 years, Chiang Rai Doi Tung Coffee
Shop, Mae Sai District, Chiang Rai Province Buddhist temple (Doi Organic), Doi Hang
Subdistrict, Mueang District, Chiang Rai Province
An Analysis of Buddhist Integration in Promoting the Participation Process of
Network Parties in terms of career promotion of inmates in Doi Hang Temporary Prison
Chiang Rai The integration of Buddhist principles of Buddhism and modern science is
applied to promote the participation process of network partners. in terms of career
promotion of inmates in Doi Hang Temporary Prison Chiang Rai
ง
กติ ตกิ รรมประกาศ
งานวิจัยครั้งนี้ได้รับความเมตตาจากประธานในการสอบวิทยานิพนธ์ ของการศึกษาในระดับ
ปริญญาโทและเป็นจุดริเริ่มของการพัฒนาการประยุกต์ใช้พุทธบูรณาการ เพื่อส่งเสริมกระบวนการมี
ส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายด้านการประกอบอาชีพของผู้ต้องขังในเรือนจำชั่วคราวดอย ฮาง จังหวัด
เชียงราย พร้อมทั้งนำไปสู่ความสำเร็จของการศึกษางานวิจัย วิทยานิพนธ์นี้ไม่อาจจะก่อเกิดขึ้นได้ถ้า
หากไม่มีคำแนะนำและชี้แนะแนวทางอย่างถูกต้อง ของกรรมการควบคุมวิทยานิพนธ์โดยมี ดร.เสพ
บัณฑิต โหน่งบัณฑติ กรรมการควบคุมวิทยานิพนธ์ พระครูศรี รัตนากร ผศ., ดร. และพระครูกติ ติพัฒนานยุ ุ
ผศ.,ดร. ที่ช่วยให้คำแนะนำขั้นตอนวิธีในการเขียนงานวิจัยให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น รวมทั้งคณาจารย์ทุกท่านที่ได้
ประสทิ ธิ์ประสาทวิชาความรู้ให้แก่ผู้วิจยั
ขอขอบคุณ ผู้บัญชาการเรือนจำกลางเชียงราย เจ้าหน้าท่ีและผู้ต้องขัง รวมไปถึงภาคี
เครือข่าย ที่ให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลที่สำคัญในการประกอบวิทยานิพนธ์นี้ และผู้เกี่ยวข้องทุก
ท่านที่ให้ความช่วยเหลือ อีกทั้ง “ครอบครัว เพื่อนสนิท มิตรสหาย” ที่เป็นแรงผลักดันสำคัญที่สุดใน
การทำวทิ ยานิพนธค์ ร้ังนีใ้ หส้ ำเรจ็ ลุล่วง
กราบขอบคุณ คณะกรรมการตรวจสอบวิทยานิพนธ์ ที่ร่วมสอบวิทยานิพนธ์ ได้เสียสละเวลาอ่าน
ตรวจสอบแก้ไขและให้คำแนะนำ ทำให้งานวิจัยสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ขอบคุณเจ้าหน้าที่บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬารงกรณราชวทิ ยาลยั ทไ่ี ด้ให้บริการและอำนวยความสะดวกในเรื่องต่างๆ รวมไปถึงการ
ตรวจสอบรูปแบบโครงการวิทยานิพนธ์ ทำให้วิทยานิพนธ์นี้สำเร็จลงด้วยดีและขอบคุณเพื่อนสหธรรมิก
ทั้งหลายที่คอยห่วงใย ให้กำลังใจให้ความช่วยเหลือจนงานนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดีขออานิสงส์ในคุณของ
วิทยานพิ นธ์น้ี จงมีแด่ บดิ ามารดา, ครู, อุปัชฌาย์, อาจารย์ และญาติท้งั หลายของข้าพเจ้า รวมถึงผู้ทีม่ คี วาม
ปรารถนาดตี อ่ ขา้ พเจ้า ขอใหท้ า่ นเหลา่ นจี้ งเปน็ ผู้มีความสุขปราศจากทุกขท์ งั้ ทางกายและทางใจ
ผวู้ ิจยั ขอคุณความดีทีเ่ กดิ จากวิทยานิพนธน์ ้ี น้อมถวายพระศาสดาคือองคส์ มเดจ็ พระสัมมาสัม
พทุ ธเจา้ คำสั่งสอนคือพระธรรม ผู้เป็นพยานคือพระอรยิ สงฆ์ และคุณความดีนี้ขอน้อมถวายฝากฝังไว้
ในพระพุทธศาสนา
นายถิรวัฒน์ ปกป้อง
๑๔ สงิ หาคม ๒๕๖๕
จ
สารบญั
เรอ่ื ง หนา้
บทคัดย่อ ก
บทคดั ย่อภาษาองั กฤษ ข
กิตตกิ รรมประกาศ ง
สารบญั จ
คำอธบิ ายสัญลกั ษณแ์ ละคำย่อ ช
บทท่ี ๑ บทนำ ๑
๑.๑ ความเปน็ มาและความสำคญั ของปญั หา ๑
๑.๒ คำถามวิจยั ๓
๑.๓ วตั ถปุ ระสงค์ของการวิจัย ๓
๑.๔ ขอบเขตการวิจัย ๔
๑.๕ นิยามศพั ทเ์ ฉพาะทีใ่ ช้ในการวจิ ัย ๕
๑.๖ ประโยชน์ทค่ี าดวา่ จะได้รับ ๖
บทท่ี ๒ แนวคดิ และทฤษฎงี านวจิ ยั ทเี่ กี่ยวข้อง ๗
๒.๑ แนวคิดและทฤษฎีเกย่ี วกับการพฒั นาศักยภาพมนุษย์ ๗
๒.๒ แนวคดิ และทฤษฎเี กี่ยวกับการสง่ เสริม ๒๐
๒.๓ แนวคดิ และทฤษฎีเกย่ี วกับการประกอบอาชพี ๓๖
๒.๔ แนวคดิ และทฤษฎีเก่ียวกับการมีส่วนร่วมของภาคีเครือขา่ ย ๔๓
๒.๕ แนวคิดและทฤษฎีเกย่ี วกับการสง่ เสริมการประกอบอาชพี ของผู้ต้องขงั ในเรือนจำ
ช่ัวคราวดอยฮาง จงั หวัดเชยี งราย ๕๑
๒.๖ งานวจิ ยั ท่ีเกยี่ วข้อง ๕๔
๒.๗ กรอบแนวคิดของงานวจิ ัย ๖๓
บทท่ี ๓ ระเบียบวธิ ีวิจัย ๖๔
๓.๑ รปู แบบการวิจยั ๖๔
๓.๒ พนื้ ท่กี ารวจิ ัย ๖๔
๓.๓ เคร่ืองมือการวิจยั ๖๕
๓.๔ การเกบ็ รวบรวมข้อมลู ๖๖
๓.๕ การวเิ คราะหข์ ้อมลู ๖๗
บทท่ี ๔ ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล ๖๙
๔.๑ รูปแบบการฝึกวิชาชพี ของผ้ตู ้องขัง ในเรือนจำช่วั คราวดอยฮาง จงั หวัดเชียงราย ๖๙
๔.๒ การยกระดบั ภาคีเครือข่ายในการส่งเสริมการประกอบอาชพี ของผู้ต้องขังในเรือนจำ
ชวั่ คราวดอยฮาง จังหวดั เชยี งราย ๙๗
บทท่ี ๕ สรปุ อภปิ รายผลและขอ้ เสนอแนะ ฉ
๕.๑ สรปุ ผลการวจิ ยั
๕.๒ การอภิปรายผล ๑๑๙
๕.๓ ขอ้ เสนอแนะ ๑๑๙
๑๒๐
บรรณานกุ รม ๑๒๒
ภาคผนวก ๑๒๓
๑๒๙
ภาคผนวก ก. รายนามผใู้ ห้ขอ้ มูลเพ่ือการวจิ ยั (สมั ภาษณ์) ๑๓๐
ภาคผนวก ข. หนงั สอื ขอความอนุเคราะหเ์ ก็บข้อมลู เพ่ือการวจิ ยั (สมั ภาษณ์) ๑๓๕
ภาคผนวก ค. ภาพการสมั ภาษณ์ ๑๕๗
ภาคผนวก ง. เคร่อื งมือการวิจัย (แบบสมั ภาษณ์) ๑๖๕
ประวตั ิผู้วจิ ยั ๑๖๙
ช
คำอธบิ ายสัญลกั ษณแ์ ละคำย่อ
ก. คำย่อชื่อคมั ภรี ์พระไตรปิฎก
พระวนิ ยั ปฎิ ก
คำยอ่ = วินยปฏิ ก ช่ือคมั ภรี ์ ภาษา
วิ.มหา. (บาล)ี = วินยั ปิฎก มหาวิภงคฺ ปาลิ (ภาษาบาล)ี
วิ.มหา. (ไทย) = วนิ ยปิฏก มหาวภิ งั ค์ (ภาษาไทย)
วิ.ภกิ ฺขุนี. (บาล)ี = วนิ ัยปิฎก ภิกขฺ นุ ีวภิ งคฺ ปาลิ (ภาษาบาลี)
ว.ิ ภิกขฺ นุ ี. (ไทย) = วินยปฏิ ก ภกิ ขนุ วี ิภังค์ (ภาษาไทย)
ว.ิ ม. (บาล)ี = วินัยปฎิ ก มหาวคคฺ ปาลิ (ภาษาบาล)ี
ว.ิ ม. (ไทย) = วนิ ยปิฏก มหาวรรค (ภาษาไทย)
วิ.จ.ู (บาล)ี = วนิ ัยปิฎก จูฬวคฺคปาลิ (ภาษาบาล)ี
ว.ิ จ.ู (ไทย) = วินยปิฏก จูฬวรรค (ภาษาไทย)
วิ.ป. (บาล)ี = วนิ ัยปฎิ ก ปริวารวคคฺ ปาลิ (ภาษาบาลี)
ว.ิ ป. (ไทย) ปรวิ ารวรรค (ภาษาไทย)
พระสตุ ตนั ตปิฎก ภาษา
(ภาษาบาลี)
คำยอ่ = สุตฺตนตฺ ปฏิ ก ชือ่ คมั ภีร์ (ภาษาไทย)
ที.สี. (บาลี) = สุตตันตปฎิ ก ทีฆนกิ าย สีลกขฺ นฺธวคคฺ ปาลิ (ภาษาบาลี)
ที.สี. (ไทย) = สตุ ตฺ นตฺ ปิฏก ทีฆนกิ าย สีลขันธวรรค (ภาษาไทย)
ที.ม. (บาล)ี = สุตตนั ตปฎิ ก ทีฆนิกาย มหาวคคฺ ปาลิ (ภาษาบาลี)
ที.ม. (ไทย) = สุตตฺ นฺตปฏิ ก ทีฆนกิ าย มหาวรรค (ภาษาไทย)
ท.ี ปา. (บาล)ี = สุตตันตปฎิ ก ทฆี นกิ าย ปาฏิกวคคฺ ปาลิ (ภาษาบาลี)
ที.ปา. (ไทย) = สตุ ฺตนตฺ ปิฏก ทีฆนกิ าย ปาฏิกวรรค (ภาษาไทย)
ม.ม.ู (บาล)ี = สุตตนั ตปฎิ ก มชฺฌมิ นิกาย มูลปณฺณาสกปาลิ (ภาษาบาลี)
ม.มู. (ไทย) = สุตฺตนตฺ ปิฏก มชั ฌิมนกิ าย มูลปัณณาสก์ (ภาษาไทย)
ม.ม. (บาล)ี = สตุ ตนั ตปิฎก มชฺฌิมนิกาย มชฺฌมิ ปณณฺ าสกปาลิ (ภาษาบาลี)
ม.ม. (ไทย) = สตุ ฺตนฺตปฏิ ก มชั ฌมิ นิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ (ภาษาไทย)
ม.อุ. (บาล)ี = สตุ ตนั ตปฎิ ก มชฌฺ ิมนิกาย อุปริปณณฺ าสกปาลิ (ภาษาบาลี)
ม.อุ. (ไทย) = สุตฺตนฺตปิฏก มัชฌมิ นิกาย อุปรปิ ณั ณาสก์ (ภาษาไทย)
ส.ํ ส. (บาล)ี = สุตตันตปฎิ ก สยํ ตุ ตฺ นกิ าย สคาถวคฺคปาลิ (ภาษาบาลี)
สํ.ส. (ไทย) = สุตตฺ นตฺ ปิฏก สงั ยตุ ตนิกาย สคาถวรรค (ภาษาไทย)
ส.ํ นิ. (บาลี) = สุตตนั ตปิฎก สํยตุ ตฺ นิกาย นทิ านวคฺคปาลิ (ภาษาบาลี)
สํ.น.ิ (ไทย) = สตุ ฺตนตฺ ปิฏก สงั ยุตตนกิ าย นทิ านวรรค
ส.ํ ข. (บาลี) สํยุตตฺ นิกาย ขนธฺ วารวคคฺ ปาลิ
บทที่ ๑
บทนำ
๑.๑ ความเปน็ มาและความสำคัญของปัญหา
ปัญหาผู้ต้องขังพ้นโทษออกมาทำความผิดซ้ำเป็นเรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยมา
ยาวนาน สาเหตหุ ลกั ของผู้ต้องขังท่ีพ้นโทษหันไปทำผิดอีก เกดิ จากคนในสังคมไม่ยอมรับ ไม่ให้โอกาส
และหลงั พ้นโทษ ไมม่ งี านทำ นักโทษคดิ ว่าตัวเองไรค้ า่ ไม่มที ยี่ ืนในสังคม จงึ กลบั ไปทำผดิ ซ้ำแล้วซำ้ เล่า
กลายเป็นวังวนเดิม รัฐต้องสูญเสียงบประมาณมหาศาลในการดูแลผู้ต้องขังในเรือนจำทีเ่ พิ่มข้ึนทกุ วนั
นำไปสปู่ ญั หานักโทษล้นคกุ (ประมาณ ๓๓๐,๐๐๐ คน ในเรือนจำ/ทัณฑสถาน ๑๔๓ แห่งทวั่ ประเทศ)
และผู้คุมดูแลไม่ทั่วถึง กรมราชทัณฑ์ เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการปฏิบัติต่อ
ผู้กระทำผดิ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาล ซ่งึ งานราชทัณฑ์ไมไ่ ดจ้ ำกัดอยู่เพยี งการควบคุมผ้ตู ้องขัง
ไม่ให้หลบหนีเท่านั้น แต่ยังมีหน้าที่ในการแกไ้ ขและ พัฒนาพฤตินิสัยผูต้ ้องขังให้มีความรบั ผิดชอบตอ่
ตนเอง และกลับตัวเป็นพลเมืองดีของสังคม โดยหลักในการ พัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขังคือ การจัดการ
ศึกษาสายสามัญและสายวิชาชีพ รวมทั้งการอบรมศีลธรรม จริยธรรม ให้ผู้ต้องขัง ให้มีจิตสำนึกและ
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม การฝึกวิชาชีพเป็นหนึ่งในภารกิจที่กรมราชทัณฑ์มุ่งเน้นให้เรือนจำ/ทัณฑ
สถานฝกึ วชิ าชีพให้ ผูต้ อ้ งขงั เพอ่ื ให้ผตู้ ้องขังมีวิชาชพี ตดิ ตัวสามารถนำไปประกอบอาชีพได้ภายหลังพ้น
โทษ จะได้ไม่หวนกลับมา กระทำผิดซ้ำ นอกจากนี้ยังได้รับความร่วมมือจากกรมการจัดหางาน กรม
พฒั นาฝีมอื แรงงาน สภาอุตสาหกรรม แหง่ ประเทศไทย และสภาหอการคา้ แห่งประเทศไทย ในการลง
นามบันทึกข้อตกลง ในการสร้างโอกาสและ คุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ผู้ต้องขัง โดยผ่านกระบวนการฝึก
วิชาชีพ เพมิ่ ทกั ษะความรู้ ความเชี่ยวชาญ ให้เปน็ ท่ี ต้องการของตลาดแรงงาน หรือสามารถประกอบ
อาชีพอิสระได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความร่วมมือจาก สถานประกอบการหรือนายจ้าง ที่ได้
มอบโอกาสในการเข้าไปฝึกวิชาชีพทั้งในเรือนจำและในสถานประกอบการ และการให้โอกาสจา้ งงาน
ผตู้ อ้ งขังทใี่ กล้พ้นโทษอีกด้วย๑
กระบวนการมีสว่ นร่วมของภาคีเครือขา่ ยในการส่งเสริมการประกอบอาชีพของผู้ต้องขังใน
เรือนจำชั่วคราวดอยฮาง จังหวัดเชียงรายโดยการสร้างความรู้พื้นฐานทางการเงิน เพื่อการประกอบ
อาชีพแก่ผู้ก้าวพลาดในเรือนจำ กับ “เงินติดล้อ” โดยให้การสนับสนนุ “โครงการกำลังใจ ในพระดำริ
พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้า พัชรกิติยาภา” ผ่าน ๓ กิจกรรมหลัก เพื่อนำไปพัฒนา และปรับใช้
ตามรอยเศรษฐกิจพอเพียง พร้อมเยี่ยมชม “เรือนจำชั่วคราวดอยฮาง” แห่งแรกในประเทศไทยทีเ่ ปิด
เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางเกษตร สร้างโอกาสทางการเงิน ตามรอยเศรษฐกิจพอเพียง สำหรับกิจกรรม
การ “สร้างความรูพ้ ื้นฐานทางการเงินเพือ่ การประกอบอาชีพแกผ่ ู้กา้ วพลาด” บริษัทเงินติดลอ้ ให้การ
๑ สรุ ินทร์ พรหมมินทร์, “แนวทางการพัฒนาการฝึกวชิ าชพี ผูต้ ้องขงั เรอื นจำดอยฮาง” ,วิทยานพิ พนธ์
ศาสนาศาสตรมหาบัณฑติ , (บณั ฑิตวิทยาลยั : มหาวทิ ยาลยั มหาจลุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๖๐).
๒
สนับสนุน “โครงการกำลังใจ ในพระดำริพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้า พัชรกิติยาภา” ผ่าน ๓ กิจกรรม
หลักได้แก่ การให้ความรู้ทางการเงินเพื่อการประกอบอาชีพ การให้สินเชื่อเพื่อการประกอบอาชีพ
และ การสนบั สนุนผลิตภัณฑ์งานฝีมอื จากกลุ่มผกู้ า้ วพลาด การสนบั สนุนดงั กล่าว ถอื เปน็ สว่ นหนึง่ ของ
โครงการ “เงินติดล้อ นำความรู้สู่ชุมชน เพื่อชีวิตหมุนต่อได้” สำหรับกิจกรรมการให้ความรู้ทางการ
เงินเพื่อการประกอบอาชีพ เริ่มจากทีมงานเงินติดล้อมีโอกาสได้ลงพื้นที่สำรวจปัญหาและความ
ต้องการของกลุ่มผู้ก้าวพลาดที่เรือนจำจังหวัดระยองและจันทบุรี และทดลองสอนหลักสูตรแก่ผู้ก้าว
พลาดที่เรือนจำชั่วคราว เขาระกำ จังหวัดตราด ในช่วงที่ผ่านมา เพื่อสำรวจความต้องการของผู้ก้าว
พลาดและนำมาพัฒนาเป็นหลักสูตรอบรมในรูปแบบการเรยี นรู้ผ่านการทำกิจกรรม (activity-based
learning) เพื่อให้การเรียนรู้ด้านการเงินเป็นเรื่องสนุกและเข้าใจง่าย หลักสูตรการให้ความรู้ทางการ
เงินเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้ “หลักการเศรษฐกิจพอเพียง” เพื่อช่วยให้ผู้ก้าวพลาดเข้าใจถึง
ต้นทนุ ประเภทตา่ ง ๆ การบริหารตน้ ทุนเพือ่ เพิ่มผลกำไร การบริหารคา่ ใช้จ่ายสว่ นตัวเพอ่ื การออมและ
การเขียนแผนธุรกิจ โดยมุ่งให้ผูเ้ รียนไดท้ ำความเข้าใจเบ้ืองตน้ กับอาชพี ต่าง ๆ ว่าหากต้องการจะตอ้ ง
เริ่มตน้ ลงทนุ ในอาชีพน้ัน ๆ แลว้ จะต้องเตรียมการอยา่ งไรบ้างโดยเน้นไปท่ีตน้ ทุนของแต่ละอาชีพ ผา่ น
การระดมความคิดเห็นของผู้เรยี น เช่น วัตถุดิบประเภทต่าง ๆ อุปกรณ์ สถานที่ ทำเลที่ตั้งในการขาย
ซึ่งหลังจากระดมความคิดแล้ว ผู้เรียนยังได้วิธีการคิดประเภทของต้นทุนที่กล่าวมานั้นว่าจัดเป็น
“ต้นทุนคงที่” หรือ “ต้นทุนผันแปร” และยังได้ทดลองคิดคำนวณค่าใช้จ่ายจากต้นทุนในการเริ่มทำ
ธรุ กจิ ผา่ น model ธรุ กจิ ขายลูกช้ินป้ิง โดยผ้เู รียนจะไดฝ้ ึกฝนการแยกประเภททต้นทุนคงที่ ต้นทุนผัน
แปร และการประมาณต้นทุนด้วยตนเอง เรียนรู้วิธีการลดต้นทุน การเพิ่มยอดขายและการเพิ่มมูลค่า
ของสินค้าในแบบต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถกำหนดราคาของสินค้าของตนเองได้อย่างเหมาะสม
กับ๒กลุ่มลูกค้า สถานที่ และเวลา นอกจากนี้ผู้เรียนยังต้องประมาณการค่าใช้จ่ายส่วนตัวที่ไม่ได้
เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เพื่อให้สามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายทีเ่ หมาะสมและเพียงพอต่อการใชช้ ีวิตและ
การออมเพื่ออนาคตได้ เน้นให้ผู้เรียนลงมือวางแผนการทำธุรกิจของตนเอง โดยเริ่มต้นจากการ
พจิ ารณาถงึ แหล่งเงนิ ทุนเพื่อการทำธรุ กิจของตนเอง ลักษณะธุรกจิ ทต่ี ้องทำ ผา่ นการเขียนแผนธุรกิจ๓
จะเหน็ ไดว้ า่ การเสริมสร้างเครือข่ายในการส่งเสริมการประกอบอาชีพของผู้ต้องขังในเรือนจำ
ชั่วคราวดอยฮาง จังหวัดเชียงราย เรือนจำชั่วคราวดอยฮางแห่งน้ี ถือเป็นเรือนจำชั่วคราวแห่งแรกใน
ประเทศไทยท่ีเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร เมอื่ ยอ้ นกลบั ไปในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ เรอื นจำแห่งน้ีเป็น
๑ ใน ๕ เรือนจำนำรอ่ ง ทส่ี มเดจ็ พระเจ้าลูกเธอ เจา้ ฟา้ พชั รกิตยิ าภา ทรงมีพระราชดำริในการน้อมนำ
หลักปรัชญาเศรฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
บรมนาถบพิตร มาปรับใช้ในกระบวนการสร้างโอกาสการดำรงชีวิตของผู้ต้องขังที่ใกล้พ้นโทษ
ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด “องค์กรพอเพียง” ในมิติที่ ๓ คือ คืนคนดีสู่สังคม ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๕๙
๒ เดือนเพ็ญ กุลสุวรรณ, “แนวทางการเสรมิ สร้างความเป็นธรรมในสงั คม”, วิทยานิพพนธ์ศาสนาศา
สตรมหาบณั ฑิต, (บัณฑิตวทิ ยาลัย : มหาวทิ ยาลยั มหาจุลาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๖๐).
๓ ม.ล.ดิศปนัดดา ดิศกุล, “การให้โอกาสผู้พ้นโทษคืนแระโยชน์สู่สังคม”, วิทยานิพพนธ์ศาสนาศาสต
รมหาบัณฑิต, (บณั ฑติ วทิ ยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจลุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๖๐).
๓
พระองค์ทรงแนะให้นำแนวทาง “ศาสตร์พระราชา” มาเป็นหลักในการจัดทำแนวทางปฏิบัติของ
โครงการกำลังใจในพระดำริฯ และการปรับใช้กับผู้ต้องขัง ณ เรือนจำชั่วคราวดอยฮาง จังหวัด
เชียงราย และจากการติดตามผลการดำเนินการพบว่ากระบวนการดังกล่าวเกิดผลลัพธ์ที่ดีต่อตัว
ผู้ต้องขัง จึงได้มีการประชุมร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ปลัดกระทรวงยุติธรรม อธิบดี
กรมราชทัณฑ์ และอธิบดีกรมคุมประพฤติ ได้พิจารณาร่วมกันเห็นว่าเรือนจำชั่วคราวดอยฮางมีความ
พร้อมทั้งลักษณะกายภาพ และทรัพยากรในด้านการบริหารจัดการ จึงเห็นควรที่จะพัฒนาเรือนจำ
ชั่วคราวดอยฮางให้เป็นศูนย์เรียนรู้เรื่องปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร
ดอยฮาง จึงได้ดำเนินการเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อให้ประชาชนทั่วไป
สามารถเข้าไปเที่ยวชมบรรยากาศร่มรื่นและอากาศบริสุทธิ์ พร้อมเรียนรู้การทำเกษตรพอเพียงบน
พื้นที่กว่า ๗๕ ไร่ ๒ งาน ต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้ ที่นี่จัดสรรเป็นพื้นที่เรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวเชิง
เกษตร ๓๕ ไร่ โดยแบ่งเป็นโซนต่าง ๆ มที งั้ หมดจำนวน ๔ โซน โซนแรกทนี่ ่าดึงดดู ใจนักทอ่ งเทยี่ วและ
มองเห็นโดดเด่นมาแต่ไกลก็คือ โซนนั่งพักผ่อนแบบชิล ๆ บนบ้านต้นไม้ สามารถสั่งกาแฟจากร้าน
Inspire by Princess ซึ่งตั้งอยู่ภายในเรือนจำแห่งนี้ แล้วนำขึ้นไปนั่งดื่มพร้อมชมวิวสวย ๆ บนต้นไม้
ได้ด้วย ส่วนวิวทิวทัศนโ์ ดยรอบก็จะมองเห็นแปลงนาอินทรีย์และสวนปลกู ผลไม้ เช่น องุ่นดำ สตรอว์
เบอร์รี และเมลอน ถัดไปใกล้ ๆ กันก็จะมองเห็นแปลงปลูกพืชสมุนไพร แปลงมะนาว บ่อเลี้ยงปลา
พอเพยี ง แปลงสาธิตการเล้ยี งและผลิตมูลไส้เดือน และการผลติ ป๋ยุ คอก และยงั มีโซนฝึกอาชพี เกยี่ วกับ
การนวดไทยแผนโบราณ เช่น การนวดย่ำขาง และการตอกเส้นตามแบบฉบับล้านนาโดยผู้ก้าวพลาด
เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดเม่ือยกล้ามเนื้อที่อยากนวดคลายเส้นหรือผู้ที่มีอาการออฟฟิศซินโดรม
เป็นตน้
ด้วยสาเหตุนี้ผู้วิจัยมีความสนใจที่จะศึกษางานวิจัยเรื่องกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคี
เครือข่ายในการส่งเสริมการประกอบอาชีพของผู้ต้องขังในเรือนจำชั่วคราวดอยฮาง จังหวัดเชียงราย
เพื่อเป็นการการฝึกวิชาชีพของผู้ต้องขังและศึกษากระบวนการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในการ
ส่งเสริมการประกอบอาชีพของผู้ต้องขัง ตลอดจนถึงเสริมสร้างเครือข่ายในการส่งเสริมการประกอบ
อาชีพของผตู้ อ้ งขัง
๑.๒ คำถามวิจัย
๑.๒.๑ รูปแบบการฝึกวิชาชีพของผู้ต้องขัง ในเรือนจำชั่วคราวดอยฮาง จังหวัดเชียงราย
ประกอบไปดว้ ยอะไรบ้าง
๑.๒.๒ การยกระดับภาคีเครือข่ายในการส่งเสริมการประกอบอาชีพของผู้ต้องขังใน
เรือนจำช่วั คราวดอยฮาง จงั หวดั เชยี งราย มีรูปแบบและกระบวน อย่างไรบ้าง
๑.๓ วตั ถุประสงคข์ องการวจิ ัย
๑.๓.๑ เพื่อศึกษารูปแบบการฝึกวิชาชีพของผู้ต้องขัง ในเรือนจำชั่วคราวดอยฮาง
จงั หวัดเชียงราย
๑.๓.๒ เพื่อยกระดับภาคีเครือข่ายในการส่งเสริมการประกอบอาชีพของผู้ต้องขังใน
เรอื นจำช่ัวคราวดอยฮาง จงั หวัดเชยี งราย
๔
๑.๔ ขอบเขตการวจิ ยั
การวิจัยเรือ่ ง กระบวนการมสี ว่ นรว่ มของภาคีเครือข่ายในการส่งเสริมการประกอบอาชีพของ
ผู้ตอ้ งขังในเรือนจำชวั่ คราวดอยฮาง จงั หวดั เชยี งรายเป็นการวจิ ยั เชิงคุณภาพ (Qualitative Reserch) โดย
เก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร (Document) และการเก็บข้อมูลภาคสนาม (Field Study)
มีรายละเอียดการวิจยั ดงั ตอ่ ไปน้ี
๑.๔.๑ ขอบเขตด้านเนื้อหา
จากการศกึ ษางานวิจัยเรืองนม้ี ีเนื้อหาดังน้ีคือ แนวคิดและทฤษฎเี กี่ยวกบั การพัฒนาศักยภาพ
มนุษย์ แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการส่งเสริม แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการประกอบอาชีพ
แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย แนวคิดและทฤษฎีเก่ียวกับการส่งเสริม
การประกอบอาชีพของผ้ตู อ้ งขงั ในเรือนจำชว่ั คราวดอยฮาง จงั หวัดเชียงราย
๑.๔.๒ ขอบเขตด้านพืน้ ท่ี
เรอื นจำชวั่ คราวดอยฮาง ๒๒๒ ตำบลดอยฮาง อำเภอเมอื งเชยี งราย จังหวดั เชยี งราย
๑.๔.๓ ขอบเขตผใู้ หข้ อ้ มูลสำคัญ
ประชากรท่เี กี่ยวข้องในการให้ข้อมลู ในการวิจัย ไดแ้ ก่
๑. ผบู้ ริหาร/เจ้าหนา้ ที่ จำนวน ๕ คน
๑) นายสมรตั น์ เข็มศิริ ผบู้ ญั ชาการเรอื นจำกลาง
๒) นายสทุ ศั น์ ปันสุวรรณ นักทณั ฑวิทยาชำนาญการพิเศษ
๓) นายสิงหา จนั ทาพนู นักวชิ าการชำนาญการ
๔) นางสาวกรรนิกา สุวรรณ นักสงั คมสงเคราะหช์ ำนาญการ
๕) นางสาวหน่งึ ฤทยั ใจมอย นกั สงั คมสงเคราะห์ชำนาญการ
๒. ผู้ต้องขัง จำนวน ๑๕ คน
๑) ผตู้ อ้ งขัง A
๒) ผตู้ อ้ งขัง B
๓) ผตู้ อ้ งขงั C
๔) ผู้ตอ้ งขงั D
๕) ผู้ตอ้ งขงั E
๖) ผตู้ ้องขงั F
๗) ผตู้ ้องขัง G
๘) ผตู้ ้องขัง H
๙) ผตู้ อ้ งขัง I
๑๐) ผู้ต้องขงั J
๑๑) ผู้ต้องขงั K
๑๒) ผตู้ ้องขงั L
๕
๑๓) ผตู้ ้องขัง M
๑๔) ผตู้ อ้ งขงั N
๑๕) ผู้ตอ้ งขงั O
๓. หนว่ ยงานผู้มสี ว่ นไดส้ ่วนเสีย จำนวน ๖ คน
๑) วทิ ยาลัยสงฆ์เชยี งราย
๒) วดั ศรีศกั ดิ์พัฒนา
๓) วัดพระธาตุจอมจัน
๔) รา้ นกาแฟดอยตงุ อำเภอแม่สาย จงั หวดั เชยี งราย
๕) ร้านสมศกั ดอ์ิ ิฐบล็อก ตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย จังหวดั เชียงราย
๖) ร้านผกาพันธ์ วัสดุก่อสร้าง ตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัด
เชียงราย
รวมทั้งหมด จำนวน ๒๖ คน
๑.๔.๕ ขอบเขตดา้ นระยะเวลา
ในการศึกษาครั้งนี้ผู้ศึกษาเริ่มทำการศึกษาและใช้ข้อมูลตั้งแต่เดือน กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ –
พฤศจิกายน ๒๕๖๔ รวมระยะเวลาที่ศกึ ษา ๑๐ เดอื น
๑.๕ นยิ ามศพั ท์เฉพาะทใ่ี ชใ้ นการวิจัย
การวจิ ัยเร่ือง กระบวนการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในการสง่ เสริมการประกอบอาชีพของ
ผตู้ ้องขังในเรอื นจำชั่วคราวดอยฮาง จงั หวัดเชยี งรายครง้ั นี้ ผูว้ ิจัยได้นิยามศพั ท์สำหรบั การวิจยั ไวด้ ังนี้
๑.๕.๑ กระบวนการมีส่วนร่วม หมายถึง เรือนจำชั่วคราวดอยฮาง จังหวัดเชียงรายได้
จัดทำ MOU ร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เมื่อผู้ต้องขังพ้นโทษสามารถไปประกอบ
อาชีพได้และไม่หวนกลบั มาทำความผิดซ้ำอีก
๑.๕.๒ ภาคเี ครอื ขา่ ย หมายถึง หน่วยงานทั้งภาครฐั และภาคเอกชน ได้ให้ผตู้ ้องขงั เมื่อพ้น
โทษ สามารถไปประกอบอาชีพที่สุจริต
๑.๕.๓ การส่งเสริมการประกอบอาชีพของผู้ต้องขัง หมายถึง การพัฒนาฝีมือแรงงาน
และสง่ เสริมการมีงานทำของผตู้ อ้ งขงั และสรา้ งรายไดใ้ หก้ ับผ้ตู อ้ งขงั ใหม้ ีทนุ ทรพั ยเ์ ม่ือพน้ โทษ
๑.๕.๔ พุทธบูรณาการ หมายถึง การนำหลักพุทธบูรณาการทางพระพุทธศาสนากับ
วิทยาการสมัยใหม่นำไปใช้ในการส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย ด้านการส่งเสริม
ประกอบอาชพี ของผูต้ อ้ งขงั ในเรอื นจำชั่วคราวดอยฮาง จังหวดั เชยี งราย
๑.๕.๕ ผู้ต้องขังเรือนจำชั่วคราวดอยฮาง หมายถึง ผู้ต้องขังที่ได้รับการฝึกวิชาชีพและ
เมื่อพ้นโทษไปมกี ารประกอบอาชีพจากสว่ นงานตา่ งๆทเ่ี ป็นภาคีเครือข่าย
๖
๑.๖ ประโยชน์ทค่ี าดวา่ จะไดร้ บั
๑.๖.๑ มรี ูปแบบการฝกึ วชิ าชพี ของผูต้ ้องขัง ในเรอื นจำช่ัวคราวดอยฮาง จังหวดั เชยี งราย
๑.๖.๒ มีการยกระดับภาคีเครือข่ายในการส่งเสริมการประกอบอาชีพของผู้ต้องขังใน
เรอื นจำชว่ั คราวดอยฮาง จังหวดั เชยี งราย
๑.๖.๓ มีการนำหลักพุทธบูรณาการในการส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคี
เครือข่าย ด้านการสง่ เสริมประกอบอาชีพของผตู้ ้องขงั ในเรือนจำช่ัวคราวดอยฮาง จังหวดั เชียงราย
บทท่ี ๒
แนวคิดและทฤษฎงี านวจิ ัยทเี่ กย่ี วขอ้ ง
ในบทที่ ๒ นี้ได้นำเสนอเกี่ยวกับแนวคิดและทฤษฎีงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีรายละเอียด
ดงั นี้คือ
๒.๑ แนวคดิ และทฤษฎีเกยี่ วกบั การพัฒนาศกั ยภาพมนุษย์
๒.๒ แนวคดิ และทฤษฎีเกีย่ วกับการสง่ เสรมิ
๒.๓ แนวคดิ และทฤษฎีเกีย่ วกับการประกอบอาชีพ
๒.๔ แนวคดิ และทฤษฎเี กีย่ วกับการมสี ่วนรว่ มของภาคเี ครอื ข่าย
๒.๕ แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการส่งเสริมการประกอบอาชีพของผู้ต้องขังในเรือนจำ
ชวั่ คราวดอยฮาง จงั หวดั เชยี งราย
๒.๖ งานวิจยั ทเี่ กย่ี วข้อง
๒.๗ กรอบแนวคิดของงานวิจัย
๒.๑ แนวคิดและทฤษฎีเกยี่ วกับการพัฒนาศกั ยภาพมนุษย์
ในศตวรรษที่ ๒๑ เป็นโลกที่เปล่ียนไปจากเดิมมากส่วนหนึ่งเกิดจากความก้าวหน้าทาง
เทคโนโลยีทำให้วิถีชีวิตคนเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มุ่งแต่ความเจริญทำให้สังคมละเลยความสำคัญ
ของการพัฒนาด้านจติ ใจโดยเฉพาะอย่างย่งิ เร่ืองของจริยธรรม เป็นผลจากการมีคุณธรรมภายใต้กรอบ
การพัฒนาวิสัยทัศน์และความคิดว่าด้วยทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมหรือ ๓R ประกอบด้วย
การอ่าน(Reading) การเขียน(Writing )และการคิดคำนวณ(Arithmetic) และ ๔C ประกอบด้วย
CriticalThinking การคิดวิเคราะห์ Com-munication การสื่อสาร Collaboration การร่วมมือและ
Creativity ความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงทักษะชีวิตและอาชีพและทักษะด้านสารสนเทศ สื่อและ
เทคโนโลยีและการบริหารแบบใหม่รูปแบบการพัฒนาต้องเป็นกระบวนการการถ่ายทอดในลักษณะ
ActiveLearning ให้แก่ “ทุนมนุษย์” ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญและเป็นเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อ
ความสำเร็จขององค์การและเป็นแหล่งในการสร้างความสามารถในการแข่งขันที่สำคัญขององค์การ
ซึ่งถ้ากล่าวถึงทุนมนุษย์ขององค์การอาจมองได้ว่าหมายถึงคนที่มีทักษะสูงมีความคิดสร้างสรรค์มี
แรงจูงใจมีความร่วมมือกันและเป็นบุคคลที่รอบรู้ซึ่งเข้าใจถึงกลไกของสภาวะแวดล้อมในการ
ดำเนนิ งานขององค์การและนำองค์การไปสู่การแข่งขนั ได้มีความเข้าใจในบทบาทหน้าที่ทีส่ อดคล้องกับ
วิสัยทัศน์การสร้างคุณค่าและการแข่งขันขององค์การและเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ดังกล่าวพวกเขา
จะต้องเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่องมีการแบ่งปันการบูรณาการและการใช้ความรู้ทั้งในระดับของ
ส่วนบุคคลและในกลุ่มผู้ร่วมงานเพือ่ สร้างศักยภาพในการแข่งขนั ขององค์การการสร้างนวัตกรรมใหม่
และกระบวนการในการดำเนนิ กิจการทีร่ วดเรว็ และเชิงรุกโดยมเี ป้าหมายอยทู่ ่ีความสำเร็จขององค์การ
ทั้งในปัจจุบันและอนาคตให้เป็นผู้ได้รับการพัฒนาลงมือทำและปฏิบัติควรเป็นการปลูกฝังทางอ้อม
มากกว่าการปลูกฝังโดยตรงสอนให้จริยธรรมสอดแทรกในทุกกระบวนการพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้
๘
จากง่ายไปยาก ๘ อย่างคือ ๑)รู้ ๒)เข้าใจ ๓)นำมาปฏิบัติ ๔)วิเคราะห์ ๕)สังเคราะห์ ๖)ประเมินเขา้ ใจ
วิธีการเรียนรู้ของตน ๗)ปรับปรุงวิธีการเรียนรู้ตนได้ และ ๘)ขั้นสูงสุดคือเปลี่ยนใจเปลี่ยน Mindset
หรือกระบวนทัศน์ ซึ่งเป็นผลลพั ธข์ องการเรียนรูท้ ี่ยกระดับสูงขึ้นเร่ือย ๆ การเรียนรู้ที่ยกไปสู่ระดับสูง
เปน็ เครื่องมือของการเข้าสคู่ ณุ ธรรมจรยิ ธรรมเพราะคุณธรรมจริยธรรมเปน็ เร่อื งซบั ซอ้ น
การพฒั นาศักยภาพมนุษย์
นักวิชาการหลายท่านในประเทศไทยได้ให้คำจำกัดความของศักยภาพไว้หลายคำ และมี
คำที่เรียกแตกต่างกันออกไปหลายคำ บางท่านเรียกว่า “ขีดความสามารถ” บางท่านเรียกว่า
“สมรรถนะ”บ้างถึงแม้ว่าจะเรียกแตกต่างกันออกไปแต่ก็ล้วนแล้วแต่มาจากศัพท์ภาษาอังกฤษว่า
“Compe-tency” ทง้ั ส้ิน๑ ความหมาย Competency หมายถึงความรู้ (knowledge) ทักษะ (skills)
และคุณลักษณะส่วนบุคคล (personalcharacteristicorattributes) ที่ทำให้บุคคลผู้นั้นทำงานใน
ความรับผิดชอบของตนได้ดีกว่าผู้อื่น๒ หรืออาจกล่าวได้ว่า Competency คือคุณลักษณะทั้งในด้าน
ทักษะความรู้และพฤติกรรมของบุคคลซึ่งจำเป็นต่อการปฏิบัติงานในตำแหน่งหนึ่ง ๆ ให้ประสบความ
สาเร็จสรุปแล้วศักยภาพคือความรู้ทักษะและพฤตินิสัยที่จำเป็นต่อการทำงานของบุคคลให้ประสบ
ผลสำเร็จสูงกว่ามาตรฐานทั่วไป๓ ส่วน David C. McClelland เจ้าของแนวคิดทางการบริหาร
ศักยภาพ(competency) ให้ความหมายและองค์ประกอบศักยภาพ (competency) ไว้ว่าศักยภาพ๔
คือบุคลิกลักษณะที่ซ่อนอยู่ภายในปัจเจกบุคคลซึ่งสามารถผลักดันให้ปัจเจกบุคคลนั้นสร้างผลการ
ปฏิบัติงานที่ดีหรือตามเกณฑ์ที่กำหนดในงานที่ตนรับผิดชอบ ดังนั้นศักยภาพคือกลุ่มของความรู้
(knowledge) ทักษะ (skills) และพฤตินิสัยที่พึงประสงค์ (attributes) ที่เกี่ยวข้องกันซึ่งมีผลกระทบ
ตอ่ งานหลกั ของตำแหน่งงานหน่ึง ๆ โดยกลมุ่ ความรู้ทักษะและคุณลักษณะดังกล่าวสัมพันธ์กับผลงาน
ของตำแหน่งงานนั้น ๆ และสามารถวัดผลเทียบกับมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับและเป็นสิ่งที่สามารถ
เสริมสร้างขึ้นได้โดยผ่านการฝึกอบรมและการพัฒนา๕ ศักยภาพคือคุณลักษณะเชิงพฤติกรรรมเป็น
กลุม่ พฤตกิ รรมท่อี งค์กรต้องการจากขา้ ราชการเพราะเช่ือวา่ หากข้าราชการมีพฤติกรรรมการทำงานใน
แบบที่องค์กรกำหนดแล้วจะส่งผลให้ข้าราชการผู้นั้นมีผลการปฏิบัติงานดีและส่งผลให้องค์กรบรรลุ
เป้าประสงค์ที่ต้องการไว้ตัวอย่างเช่นการกำหนดสมรรถนะการบริการที่ดีเพราะหน้าที่หลักของ
ข้าราชการคือการให้บริการแก่ประชาชนทำให้หน่วยงานของรัฐบรรลุวัตถุประสงค์ คือการทำให้เกิด
ประโยชนส์ ุขแกป่ ระชาชน องค์ประกอบในการพัฒนาบุคลากรประกอบดว้ ย ๓ องคป์ ระกอบหลกั ได้แก่
๑ สุกัญญา รัศมีธรรมโชติ, แนวทางการพัฒนาศักยภาพมนุษย์ด้วย Competency Based
Learning, พิมพค์ รง้ั ที๒่ , (กรุงเทพมหานคร:บริษทั ศริ วิ ัฒนาอนิ เตอรพ์ รินทจ์ ำกดั มหาชน, ๒๕๔๘), หนา้ ๑๓.
๒ เรอ่ื งเดียวกัน, หนา้ ๑๗.
๓ ชัญญาณัฏฐ์ จิณณณัฐชา, “การพัฒนาบุคลากรโดยใช้แนวทางสมรรถนะ”, วิทยานิพนธ์
วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต, พิมพค์ รงั้ ท่ี ๑, (บณั ฑติ วทิ ยาลยั : มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยมี หานคร, ๒๕๕๔), หนา้ ๑.
๔ เรื่องเดยี วกนั , หนา้ ๑๔-๑๕.
๕ สุกัญญา รัศมีธรรมโชติ, “Competency : เครื่องมือการบริหารที่ปฏิเสธไม่ได้”, (วารสาร
Productivity,ปที ี่๙ ฉบบั ท๕ี่ ๓, พฤศจิกายน-ธันวาคม๒๕๔๗), หน้า ๔๘.
๙
๑. กลุ่มความรู้ (knowledge) คือ ความสามารถอธิบายเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างถูกต้องและ
ชัดเจนแบง่ เปน็ ๓ประเภทคอื รู้ความหมายรูข้ ้นั ตอนรปู้ ระยุกต์ใช้
๒. กลุ่มทกั ษะ (skill) คอื ความสามารถในการลงมอื ทำเรอื่ งใดเรื่องหนึ่งใหเ้ กดิ ผลผลิตผลลัพธ์
อนั พึงประสงคไ์ ด้อย่างมปี ระสิทธิภาพการวัดทกั ษะม๓ี ระดบั คือระดับความซับซ้อนในการปฏิบัติระดับ
ความหลากหลายระดับความสม่ำเสมอ
๓. กลุ่มพฤติกรรมหรืออุปนิสัยในการทำงาน (attribute) คือ รูปแบบการแสดงออกหรือ
พฤติกรรมของบคุ คลทส่ี อดคลอ้ งกับงานทปี่ ฏิบัติอยู่ ซึ่งการแสดงออกอนั พึงประสงค์ไดน้ ้ันขึน้ กับปัจจัย
๓ ประการคือ ค่านิยม แนวโน้มการแสดงออกและแรงจูงใจ ซึ่งส่งผลให้องคก์ รมีความได้เปรียบคู่แขง่
ขันเช่น ความกระตือรือร้น ความอดทนและขยันขันแข็งในการทำงาน ค่านิยมในการยอมรับฟังความ
คดิ เห็นอย่างสร้างสรรค์ เพอ่ื การสร้างนวตั กรรมใหม่ ๆ และการปรบั ปรุงงานอย่างต่อเนอ่ื ง เป็นต้น๖
การพัฒนาศักยภาพทุนมนุษย์เป็นกระบวนการเพิ่มพูนความสามารถในการปฏิบัติงานของ
บุคลากรทั้งในด้านความคิดเห็นที่มีต่องานและผลของการปฏิบัติงานของบุคลากรให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม
โดยพัฒนาในแต่ละด้านขององค์ประกอบของศักยภาพ (competency) ท่ีกล่าวข้างต้นโดยมี
กระบวนการพัฒนาอิงแนวคิดแบบระบบ (thesystemsapproach) เพื่อการควบคุมตรวจสอบระบบ
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ว่าดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพและได้ผลตามวัตถุประสงค์หรือไม่เม่ือ
ได้ผลและขอ้ มูลยอ้ นกลบั ก็จะได้นำไปปรบั ปรุงกระบวนการพฒั นาทนุ มนุษยใ์ ห้เหมาะสมต่อไป
ความหมายเกย่ี วกบั การพฒั นามนุษย์
พัฒนามนุษย์อาจมีการใช้คำอื่น ๆ ที่มีความหมายในทำนองเดียวกันอาทิ “การพัฒนา
ทรัพยากรบุคคล” “การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์” หรือ “การพัฒนาคน” ในความหมาย ของคำ
ภาษาอังกฤษว่า “Human Resource Development” หรือเรียกย่อ ๆ ว่า “HRD” โดยทั่วไปแล้ว
ความหมายของการพัฒนาบุคลากรที่นักวิชาการส่วนใหญ่เห็นตรงกันคือ “การจัดประสบการณ์การ
เรียนรู้อย่างเป็นระบบในห้วงเวลาที่กำหนดเพื่อเพิ่มโอกาสให้บุคลากรในองค์การมีสมรรถนะสูงข้ึน
สามารถปฏิบัติหน้าท่ี ที่ได้รับมอบหมายได้เป็นผลดี อันเป็นผลต่อการเจริญเติบโตก้าวหน้าของ
บุคลากรและองค์การ” การพัฒนาบุคลากร (Human Resource Development : HRD) เป็นการใช้
การฝึกอบรม (training) การพัฒนาองค์การ (organization development) และการพัฒนาอาชีพ
(career development) อย่างบูรณาการเพื่อที่จะเพิ่มประสิทธิผลของบุคคลกลุ่มงานและองค์การ
การพัฒนาบุคลากรจะช่วยพัฒนาสมรรถนะสำคัญ (key competencies) ที่จะทำให้บุคลากรใน
องค์การสามารถปฏิบัติงาน ปัจจุบันและอนาคตได้โดยผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่มีการวางแผนไว้
ล่วงหน้า (planned learning activities) ช่วยทำให้กลุ่มงานในองค์การสามารถริเริ่มและจัดการ
เปลยี่ นแปลงและทำให้เกดิ การประสานกันระหว่างความต้องการขององค์การกบั บุคลากร
๖ มหาวิทยาลัยรามคำแหง, แผนพัฒนาบุคลากรของมหาวิทยาลัยรามคำแห่งประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๕, (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๕๒), หนา้ ๖.
๑๐
ความหมายของคำวาการพัฒนาบุคลากร แตกต่างกันไปตามวัฒนธรรมของแต่ละประเทศใน
ประเทศฝรั่งเศสคำว่า “การพัฒนาสังคม” (social development) มักใช้เป็นคำแทนคำว่า HRD ใน
ประเทศเยอรมนี สาขาที่เกี่ยวของกับการพัฒนาบุคลากรหรือ HRD จะเกี่ยวของกับการฝึกอบรม ใน
ภาคอุตสาหกรรมผู้ชำนาญด้านการให้คำปรึกษาและผู้ชำนาญเรื่องการบริหารงานบุคคล ใน
เนเธอร์แลนด์ พัฒนาบุคลากรจะเกีย่ วกับมาตรการทั้งหลายในเร่ืองการฝึกอบรมและพัฒนาท่ีมีจัดขนึ้
เพื่อสร้างและยกระดับความเชี่ยวชาญของบุคลากรในองค์การ ในประเทศรัสเซยี การพัฒนาบุคลากร
สัมพนั ธ์กบั การไดม้ า ซ่ึงบคุ ลากรการคัดเลอื กและฝึกอบรมโดยมีจดุ เน้นทีบ่ ริหารกำลังคนหรือภาพรวม
ของบุคลากรมากกว่าการช่วยพัฒนาบุคลากรเป็นรายบุคคล ในสหราชอาณาจักร การพัฒนาบคุ ลากร
ประกอบด้วยขัน้ ตอนและกิจกรรมตา่ ง ๆ ทม่ี ีผลกระทบตอ่ การเรยี นร้ขู ององคก์ ารและบุคลากร๗
การพัฒนามนุษย์ หมายถึง เป็นกระบวนการที่จะเสริมสร้างและเปลีย่ นแปลงผู้ปฏิบตั ิงานใน
ด้านต่าง ๆ เช่น ความรู้ ความสามารถ ทักษะ อุปนิสัย ทัศนคติและวิธีการในการทำงานที่จะนำไปสู่
ประสิทธิภาพในการทำงาน๘ การฝึกอบรมหรือการพัฒนาบุคลากรเป็น การเสริมสร้างความรู้ความ
เข้าใจและความชำนาญให้แกพ่ นักงานในองค์การจนสามารถ ก่อให้เกิดการเปล่ียนแปลงในพฤติกรรม
และทัศนคติที่ค่อนข้างจะถาวรอันจะอำนวยประโยชน์ให้พนักงานปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มากขึ้นและทำให้เขามีความเจริญก้าวหน้าในการทำงาน๙ กระบวนการ ที่ได้ออกแบบไว้อย่างมี
เป้าหมายเพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานได้มีโอกาสเรียนรู้โดยการฝึ กอบรมการศึกษาและการพัฒนาเป็นการ
เพิ่มพูนความรู้และศักยภาพในการ ทำงาน รวมทั้งปรับพฤติกรรมของ ผู้ปฏิบัติงานให้พรอมที่จะ
ปฏบิ ตั ิหนา้ ท่ที ี่รับผิดชอบใหเ้ กิดประโยชนสงู สุดต่อองค์การและมโี อกาสก้าวหน้าในตำแหน่งที่สูงข้ึน๑๐
ทรพั ยากรมนุษย์จะต้องไดร้ ับการเสริมสรา้ งพฒั นาความรู้ความสามารถอย่างต่อเน่ืองเพื่อใหท้ ันกับการ
เปลี่ยนแปลงที่สำคัญใน ๓ ด้านคือความรู้ (nowledge) ทักษะ (skills) และความสามารถ
(abilities)๑๑ การปรับปรุงคุณภาพทักษะ การจ้างงานโดยเน้นความสามารถของทรัพยากรมนุษย์
เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์คือการดำเนินการ
เพิ่มพูนความรู้ความสามารถและทัศนคติที่ดีต่อการปฏิบัติงานที่ตนรับผิดชอบ ให้มีคุณภาพประสบ
ความสำเร็จที่น่าพอใจแก่องค์การ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เริ่มครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. ๑๙๖๘ โดยเน้น
๗ ศภุ ชยั ยาวะประภาษ, การบริหารงานบุคคลภาครัฐไทย : กระแสใหม่และสิง่ ท้าทาย, พมิ พค์ รั้งที่ ๑,
(กรงุ เทพมหานคร : จุดทอง, ๒๕๔๗), หน้า ๑๗๔-๑๗๕.
๘ สมาน รงั สิโยกฤษณ์, ความรู้ท่วั ไปเกย่ี วกบั การบริหารงานบคุ คล, พิมพ์ครง้ั ท่ี ๑, (กรงุ เทพมหานคร
: โอเดยี นสโตร, ๒๕๔๒), หน้า ๘๐.
๙ สุปราณี ศรีฉัตราภิมุข, การฝึกอบรมและการพัฒนาบุคลากร, พิมพ์ครั้งที่ ๑, (กรุงเทพมหานคร :
มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์, ๒๕๔๒), หนา้ ๑.
๑๐ สุนันทา เลาหนนั ทน์, การพัฒนาองคก์ าร, พิมพ์คร้งั ท่ี ๑, (กรุงเทพมหานคร : ดีดบี ุคสโตร, ๒๕๔๔),
หนา้ ๒๒๔.
๑๑ เรวัต ทัตติยพงศ์, ทัศนะของข้าราชการกองอาคารกรมช้างโยธาทหารอากาศกองบัญชาการ
สนบั สนุนทหารอากาศตอ่ การพัฒนาทรัพยากรมนษุ ย์, วทิ ยานิพนธร์ ฐั ประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต, พิมพ์ครั้งที่ ๑,
(กรุงเทพมหานคร : สถาบันบณั ฑติ พัฒนบริหารศาสตร์, ๒๕๕๐), หน้า ๕.
๑๑
เฉพาะการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ในระยะทอี่ ยู่ในวัยเรียนต่อมาปี ค.ศ. ๑๙๗๐ ไดใ้ ชค้ ำนี้มากข้ึนและ
ทรัพยากรมนุษย์เป็นปัจจัยการผลิตที่สำคญั ที่สุดยอดทีย่ ังมีชีวิตอยู่ จะต้องมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ต้องมีการจัดชุดของกิจกรรมภายในช่วงเวลาหนึ่งที่กำหนดไว้ กิจกรรม
ดงั กลา่ วมี ๓ ประการ คอื การฝกึ อบรบ การศกึ ษา และการพฒั นา๑๒ เน้นความสามารถของทรพั ยากร
มนุษย์ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธภาพมากขึ้น ครอบคลุมโครงการ และกระบวนการเพิ่มทักษะ
ความรู้ของคนทั้งคุณภาพและ ปริมาณการฝึกอบรบวิชาชีพและการฝึกอบรบในที่ทำงาน การฟื้นฟู
สุขภาพ สวัสดิการและอื่น ๆ ถ้ามีโครงการด้านการฝึกอบรมขึ้นมาก็เรียกได้ว่า เป็นพัฒนาทรัพยากร
มนุษย์๑๓ การพัฒนามนุษย์ หรือ พัฒนาบุคลากร คือกระบวนการทุกอย่างที่องค์กรกระทำเพื่อให้
บุคคลได้เกิดการเรียนรู้ อนั จะนำมาซึง่ ความเจรญิ ก้าวหน้าในชีวติ และการงาน (caeer path) และเป็น
การพัฒนาบุคคลให้มีคุณภาพสูงขึ้น สามารถกระทำได้หลายวิธี เช่น ปฐมนิเทศ การฝึกให้เกิด
กระบวนการคิด การให้การศึกษา การประชุม การฝึกอบรม การส่งไปดูศึกษาดูงาน การส่งไปศึกษาต่อ
การสอนงาน การสัมมนา การดูโทรทัศน์ ฟังวิทยุ การค้นหาความรู้ ข่าวสารจากเว็ปไซต์ การพูดคุย
สนทนา การแนะนำ การปรึกษา การอ่าน๑๔ การนำ QC Circles (Quality Control Circles)
มาใช้ในการบริหารงานบุคคล เพราะจะเป็นความทันสมัยทันเหตุการณ์เนื่องจากความเปลี่ยนแปลง
๒ ประการ ประการแรก ได้แก่การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ซึ่งจะทำให้เกิดการยกระดับคุณภาพ
และบริการที่จะต้องคำนึงถึงระดับโลกให้ได้มาตรฐานเพิ่มมากขึ้น จึงเป็นเหตุผลของการการ
เปลี่ยนแปลงในเร่ืองของคน โดยการพัฒนาคนจะมุ่งสร้างคุณภาพและผลผลิตขององค์การ
QC Circles มีผลกระทบต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะพนักงานเนื่องจาก QC Circles
จะพยายามส่งเสริมให้เกิดความคิดสร้างสรรค์เสนอให้มีการปรับปรุงงานระบบ QC จะเป็นการลด
ความขัดแยง้ เพราะมีการประชุมกลุ่มมีการทำงานเป็นคณะทำงานการระดมสมองทำให้เกิดบรรยากาศ
ที่ดีต่อการทำงานของพนักงานในองค์การเพราะจุดมุ่งหมายที่สำคัญประก ารหนึ่งของระบบคือการ
พัฒนาคน การบริหารงานในปัจจุบันได้ให้ความสำคัญของทรัพยากรมนุษย์ในองค์การเป็นอย่างมาก
เพราะถือว่าความสำเรจ็ ขององค์การคอื ความสำเร็จที่มาจากคน
ดงั น้ันการพฒั นาบคุ ลากรเปน็ การชว่ ยให้บุคลากรไดเ้ กดิ การเรียนรูแ้ ละปรับเปลย่ี นพฤติกรรม
ใน การทำงานควบคู่กันไปโดยวิธีการให้ความรู้หรือวิธีการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจทักษะและ
ทัศนคติซึ่งจะช่วยให้บุคลากรนั้น ๆ มีขีดความสามารถในการปฏิบัติงานสูงขึ้นรวมท้ังการใช้วิธีการจงู
ใจและเปิดโอกาสให้บุคลากรไดน้ ำความรู้ความเข้าใจทักษะและทศั นคติท่ีไดร้ ับน้ัน ๆ ออกมาใช้ให้เกิด
สมั ฤทธิผลด้วย
๑๒ Hineman, Herbert G. and others. Personnel / Human Resource Management.
(Lllinois : Richard D lrwin.), pp. ๓๓๒-๓๔๙.
๑๓ จงกลนี ชุติมาเทวนิ ทร, การฝึกอบรมเชงิ พัฒนา (TrainingandDevelopment), พิมพ์ครั้งที่ ๑,
(กรงุ เทพมหานคร : พี เอลิ,๒๕๔๒), หน้า ๕-๘.
๑๔ เพ็ชรี รูปะวิเชตร, เทคนิคการจัดฝึกอบรมและการประชุม (Training and Meeting
Techniques), อดั สำเนา, (เชยี งใหม่ : คณะศกึ ษาศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๔๙), หน้า ๑๙-๒๔.
๑๒
ความสำคญั ของการพัฒนามนุษย์
จุดมุงหมายที่สำคัญของการปฏิบัติงานคือต้องการให้งานบรรลุวัตถุประสงค์ที่ได้ต้ังไว้อย่างมี
ประสทิ ธภิ าพดงั น้ันการพัฒนามนุษย์ หรือบุคลากรจึงเปน็ หนทางท่นี ำไปสู่การปรับปรุงการปฏิบัติงาน
เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงคที่ตั้งไว้ถึงแม้บุคลากรจะมีพลังและมีความกระตือรือร้นในการปฏิบัติอย่าง
เต็มที่แล้วก็ตามนั้นแต่หากขาดซึ่งการเสาะหาความรู้เพิ่มเติมก็จะทำให้กลายเป็นบุคคลที่ล้าหลังหรือ
เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านหน้าที่ความรับผิดชอบก็จำต้องมีการพัฒนาเพ่ือให้ทัน กับการ
เปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นด้วยจากแนวคิดดังกล่าวนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่าการพัฒนาบุคลากรมี
ความจำเป็นและมีความสำคัญที่จะต้องกระทำอย่างต่อเนื่องไปตลอดเวลาดังที่มีนักวิชาการหลายคน
ไดใ้ หค้ วามสำคญั ต่อการพฒั นาบคุ ลากรไว้ ดงั น้ี
ความสำคัญของการพัฒนาทรัพยากรบุคคลตามหลักพระพุทธศาสนาไว้ในหนังสือทศวรรษ
ธรรมทัศน์พระธรรมปิฎกหมวดศึกษาศาสตร์ว่าการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์นี้สำคัญที่สุด เมื่อพัฒนา
มนุษย์ขึ้นไปก็จะค่อย ๆ ทำให้คนห่างออกไปจากการที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลครอบงำของตัณหามานะ
ทิฐคิ อื ถูกตัณหามานะทฐิ ิครอบงำน้อยลงเมื่อครอบงำน้อยลงกเ็ ปน็ อสิ ระแก่ตวั มากขึน้ สามารถทำส่ิงท่ี
ดีงามได้มากขึ้นการที่จะสร้างสันติก็มีทางเป็นไปได้โดยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ก็คือการศึกษาซึ่ง
ได้แกส่ กิ ขานัน่ เอง๑๕
ความสำคญั ของการพฒั นาทรัพยากรมนษุ ย์๑๖
พอสรุปสาระสำคัญไดด้ งั ตอ่ ไปนี้
๑) ช่วยพัฒนาให้องค์การเจริญเติบโต เพราะการบริหารทรัพยากรมนษุ ย์เป็นสื่อกลางในการ
ประสานงานกับแผนกต่าง ๆ เพื่อแสวงหาวิธีการให้ได้บุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเข้ามาทำงานใน
องค์การ เม่ือองค์การไดบ้ ุคคลที่มคี ุณสมบัตดิ ังกล่าว ยอ่ มทำใหอ้ งคก์ ารเจรญิ เติบโตและพัฒนายงิ่ ขึน้
๒) ช่วยให้บุคคลที่ปฏิบัติงานในองค์การมีขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน เกิดความ
จงรักภกั ดีตอ่ องค์การทต่ี นปฏบิ ัตงิ าน ซึง่ จะสง่ ผลโดยตรงต่อผลผลติ ขององคก์ าร
๓) ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงแก่สังคมและประเทศชาติ เพราะว่าถ้าการบริหารทรัพยากร
มนุษย์ดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ย่อมไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างองค์การและ
ผ้ปู ฏบิ ัตงิ านทำให้สภาพสงั คมโดยส่วนรวมมคี วามเข้าใจท่ีดตี อ่ กัน๑๗
ความสำคญั หรือประโยชนของการพฒั นามนุษย์ ๑๘
๑๕ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), ทศวรรษธรรมทัศน์พระธรรมปิฎกหมวดศึกษาศาสตร์, พิมพ์ครั้งที่ ๑,
(กรงุ เทพมหานคร : ธรรมสภา, ๒๕๔๓), หนา้ ๙๖.
๑๖ ฏฐพันธ์ เขจรนันทน์, การจัดการทรัพยากรมนุษย์, พิมพ์ครัง้ ที่ ๑, (กรุงเทพมหานคร : ซีเอ็ดยชู ั่น,
๒๕๔๙), หน้า ๑.
๑๗ พะยอมวงศ์ สารศรี, องค์กรและการจัดการ, พมิ พค์ ร้ังที่ ๑, (กรุงเทพมหานคร : มลู นธิ ิโกมลคีมทอง,
๒๕๒๘), หน้า ๖.
๑๘ ดร.กรรณิการ์ สุวรรณศรี, การบริหารทรัพยากรมนุษย์, พิมพ์ครัง้ ที่ ๑, (นครปฐม : มหาวิทยาลัย
ราชภัฏนครปฐม, ๒๕๔๘), หน้า ๔๖.
๑๓
นน้ั อาจสรปุ ได้อย่างน้อย ๖ ประการคือ
๑. การพัฒนามนุษย์ช่วยทำให้ระบบและวิธีการปฏิบัติงานมีสมรรถภาพดียิ่งขึ้นมีการติดต่อ
ประสานดียิ่งขึ้นทั้งนี้เพราะการพัฒนามนุษย์จะชว่ ยเร่งเร้าความสนใจในการ ปฏิบัติงานของบุคลากร
ใหม้ คี วามสำนึกรบั ผดิ ชอบในการ ปฏบิ ัตติ อ่ หนา้ ที่ของตนให้ได้ผลดยี ง่ิ ข้นึ นอกจากน้ีเมื่อได้รับความรู้ใด
จากโครงการพัฒนาบุคลากรแล้วก็ย่อมสามารถที่จะนำเอาความรู้นั้น ไปใช้ปฏิบัติงานต่อไปได้ซึ่งจะ
ช่วยทำใหส้ ามารถแก้ไขขอ้ บกพร่องและปรบั ปรุงวธิ ีการดำเนนิ งาน ของตนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึน้ ซ่งึ
ส่งิ เหล่าน้ีจะเป็นผลทำใหอ้ งคก์ ารประสบความเจรญิ รุง่ เรืองในที่สุด
๒. การพัฒนามนุษย์เป็นวิธีการหนึ่งที่จะช่วยทำให้เกิดการประหยัดลดความสิ้นเปลืองของ
วัสดุที่ใช้ในการปฏิบัติงานทั้งนี้เพราะเมื่อบุคคลใดได้รับการพัฒนามาเป็นอย่างดีแล้วย่อมสามารถ
ปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้องมีความผิดพลาดในการปฏิบัติน้อยลงซึ่งจะมีผลทำให้องค์การสามารถลด
ค่าใชจ้ า่ ยในการจัดซ้อื วัสดุอปุ กรณ์ต่าง ๆ ลงไดด้ ว้ ย นอกจากนก้ี ารพัฒนามนุษยย์ ังช่วยลดค่าใช้จ่ายใน
การทำงานล่วงเวลาได้อีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำงานล่วงเวลาที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากการ
ทำงานลา่ ชา้ หรือความไม่เขา้ ใจในลักษณะของงานท่ีต้องทำ ทงั้ นเี้ นอ่ื งจากการพัฒนามนุษย์จะช่วยทำ
ให้บุคคลมีความเข้าใจในระบบและวิธีการทำงานตลอดจนลักษณะของงานที่ต้องทำเป็นอย่างดีทำให้
สามารถปฏิบัตงิ านไดอ้ ย่างถูกต้องและรวดเร็วย่ิงขึน้
๓. การพัฒนามนุษย์ ช่วยลดระยะเวลาของการเรียนรู้งานให้น้อยลงโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ท่ี
เพิ่งเข้าทำงานใหม่หรือเข้ารับตำแหน่งใหม่อีกทั้งยังเป็นการช่วยลดความเสียหายต่าง ๆ ที่อาจจะ
เกิดข้ึนจากการทำงานแบบลองถูกลองผดิ อกี ดวย
๔. การพัฒนามนุษย์ เป็นการช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาหรือหัวหน้า
หน่วยงานต่าง ๆ ในการตอบคำถามให้คำแนะนำแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาของตนหรือหัวหน้าหน่วยงาน
ต่าง ๆ กล่าวคือในกรณีที่มีบุคลากรเข้าทำงานใหม่หรือเข้ารับตำแหน่งใหม่ในหน่วยงานใดก็ตาม ใน
ระยะเริ่มแรกนั้นย่อมจะมีความเข้าใจในลักษณะงานตามหน้าที่ใหม่ไม่มากนักจึงมักจะต้อง สอบถาม
หรือขอคำแนะนำจากหัวหนา้ หนวยงานนัน้ ๆ หรอื บคุ คลอ่ืนใดก็ตามอยู่ตลอดเวลาซง่ึ ก่อให้เกิดความรู้
ความเข้าใจในลักษณะของงานที่ต้องปฏิบัติตั้งแต่แรกก็ย่อมที่จะไม่ต้องสอบถามหรือให้ คำแนะนำ
น้อยลงจะได้มีเวลาปฏบิ ตั งิ านในหน้าท่ีของตนอย่างเต็มท่ี
๕. การพัฒนามนุษย์ เป็นวธิ ีการอย่างหนง่ึ ทีจ่ ะชว่ ยกระตุน้ บคุ ลากรต่าง ๆ ใหป้ ฏิบัติงาน เพื่อ
ความเจริญก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงานทั้งนี้เพราะโดยทั่วไปแล้วเมื่อมีการพิจารณาเลื่อน
ตำแหน่งใด ๆ ในองค์การก็ตามมักจะคำนึงถึงความรู้ความสามารถที่บุคคลนั้นจะสามารถปฏิบัติงาน
ในตำแหน่งที่ได้รับการเลื่อนขึ้นได้ซึ่งผู้ที่ได้รบั การพัฒนาแล้วย่อมมีโอกาสมากกวา่ ผูท้ ี่มิได้เข้ารบั การ
พัฒนา
๖. การพัฒนามนษุ ย์ ยังชว่ ยทำให้บคุ คลนนั้ ได้มีโอกาสไดร้ ับความร้คู วามคิดใหม่ ๆ ทำให้เป็น
คนทนั สมยั ทนั ต่อความเจริญกา้ วหน้าทางเทคโนโลยีใหม่ ๆ โดยเฉพาะอย่างยงิ่ ความรเู้ กี่ยวกับหลักการ
บริหารงานอุปกรณ์เครือ่ งใช้ในสำนักงานซึง่ มกี ารคิดค้นและเสนอแนะสิง่ ใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลาถ้าหาก
๑๔
สามารถรู้และเข้าใจอย่างแท้จริงแล้วย่อมสามารถนำเอาไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานในหน้าที่ของ
ตนได้และในทสี่ ุดยอ่ มก่อใหเ้ กิดผลดีต่อองค์กร๑๙
จดุ มงุ่ หมายของการพฒั นาบุคลากร๒๐
จดุ มุ่งหมายของการพัฒนาบุคลากรโดยทัว่ ไปกเ็ พื่อเพ่ิมพนู ความร้แู ละการปรับปรุงตนในด้าน
ต่าง ๆ ดงั น้ี
๑. การปรบั ปรงุ ตนใหส้ อดคลอ้ งกับการเปล่ยี นแปลงดา้ นเทคนคิ สงั คมหรือสภาวะแวดลอ้ ม
๒. ความสามารถในการปรับเปลี่ยนแปลงให้มีความรอบรู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเฉพาะเรื่องท่ี
รบั ผิดชอบ
๓. ปรับปรุงเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจความคิดในเรื่องต่าง ๆ สามารถวิเคราะห์กลั่นกรอง
สัมพนั ธปัจจัยต่าง ๆ ใหส้ อดคล้องกบั สภาวะทแี่ ปรเปลย่ี นอยู่ตลอดเวลา
๔. ส่งเสริมให้บุคลากรเกิดแรงจูงใจในการทำงานด้วยตนเองโดยมิต้องให้บอกชี้แนะหรือนำ
ทางตลอดเวลา
๕. ส่งเสริมให้บคุ ลากรใช้ความคดิ ความอ่านอย่างรอบคอบของตนทำงานด้วยฝีมอื และมีความ
เตม็ ใจในการทำงานโดยมิต้องรอคำส่งั ใหท้ ำงาน
จุดมุ่งหมายของการฝึกอบรมควรชัดเจนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพราะแต่ละกิจกรรมจะ
คาดหวังให้ผู้รับการฝึกอบรมทำอะไรได้บ้างภายใต้การเรยี นรู้ที่ใชฝ้ ึกอบรมและเกณฑ์มาตรฐานแสดง
ถึงระดับความสามารถของผู้เข้ารับการอบรม จุดมุ่งหมายของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ก็คือการ
กอ่ ให้เกดิ สิง่ แวดล้อมในองค์การท่มี ปี ระสิทธภิ าพโดยมีรายละเอียดดังนี้ คอื
๑. ความยตุ ธิ รรม (equity) ในการยอมรับว่ามนุษย์คือสินทรัพยเ์ ชิงกลยุทธ์ องค์การต้องสร้าง
สิ่งแวดล้อมของความนับถือ ความไว้วางใจและความรู้สึกของการเป็นเจ้าของ การพัฒนาทรัพยากร
มนุษย์แสวงหาการพัฒนาพนักงานทั้งหมด โดยไม่คำนึงถึงชนชั้น ผิวสี หลักความเชื่อ ศาสนา ภาษา
เชื้อชาติ วัฒนธรรม การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ต้องประกันว่าองค์การสร้างวัฒนธรรมที่เน้น
ผลสัมฤทธิ์ และให้โอกาสที่เท่าเทียมกันกับพนักงานทุกคนเกี่ยวกับการวางแผนและการพัฒนาอาชีพ
การบริหารอาชีพ การเลื่อนชั้นรางวัล การฝึกอบรมและการพัฒนาคุณภาพชีวิต การทำงานเพื่อ
ส่งเสริมความสามารถทางวิชาชีพ สิ่งดังกล่าวต้องการการสื่อความหมายเชิงความสัมพันธ์ผ่านระบบ
เปิดสนับสนนุ และมปี ฏิสมั พนั ธ์
๒. ความสามารถทำงานได้ (employability) ในธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงของทุกวนั นีอ้ งค์การ
ได้ตัดทอนค่าใช้จ่ายของตัวเองลง โดยให้พนักงานลาออกจากงานด้วยแผนเกษียณตามความสมัครใจ
ความสามารถทำงานได้หมายความสามารถทักษะสมรรถนะของแต่ละคน ในการทำงานของเขาเอง
๑๙ ชชู ยั สมทิ ธไิ กร, จิตวิทยาการฝึกอบรมบุคลากร, พิมพ์ครั้งที่ ๑, (เชียงใหม : ภาควิชาจติ วิทยาคณะ
มนุษยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่, ๒๕๓๘), หน้า ๖-๗.
๒๐ นพพงษ์ บุญจิตราดุล, ความมุ่งหมายในการพัฒนาบุคลากร, พิมพ์ครั้งที่ ๑, (กรุงเทพมหาคร :
พมิ พล์ กั ษณ,์ ๒๕๒๕), หน้า ๒๑๓.
๑๕
ดังน้ัน การพฒั นาทรัพยากรมนุษยจ์ ึงต้องยกระดับและสมรรถนะของพนักงานอย่างต่อเนื่องเพื่อทำให้
เขามีแรงจูงใจเข้าร่วม และรักษาไว้และทำให้เขามีงานทำด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนษุ ย์สำหรับการ
ฝกึ อบรมคนหนมุ่ สาวท่ีมองหางานทำเปน็ ครงั้ แรกและคนวา่ งงาน
๓. ความสามารถในการปรับตัว/การสู้คู่แขง่ ได้ (adaptailit /competitivencss) การพัฒนา
ทรัพยากรมนุษย์ช่วยการปรับตวั ของพนักงานต่อการเปลี่ยนแปลงในองค์การอย่างต่อเนื่องดังนั้นการ
ฝึกอบรมอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาทักษะและการปรับทักษะใหม่ทางวิชาชีพของพนักงานจึงเป็นสิ่ง
สำคัญยิ่งสำหรับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สิ่งดังกล่าวจะทำให้เกิดความพอใจของพนักงานมากข้ึน
และปรับปรุงการตัดสินใจในองค์การให้มีจิตใจกว้างขวางยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นสามารถ
ทำงานดว้ ยตนเองและพ่ึงพาอาศัยผู้อ่นื พรอ้ มรับการเปลย่ี นแปลงที่จะพัฒนาตนเองและงานให้ดีขน้ึ ๒๑
แนวทางการพัฒนามนุษย์
รปู แบบของการพัฒนามนุษย์ หรือ บคุ ลากร ในปัจจุบนั มีการเปล่ยี นแปลงไปจากเดมิ เป็นการ
เน้นเรื่องการพัฒนารายบุคคล (Individual Development) เช่น การฝึกอบรมและพัฒนาการส่ง
อบรมกับสถาบันภายนอก ฯลฯ จะเปลี่ยนไปให้ความสนใจในเรื่องการพัฒนาอาชีพ ( career
development) กับการพัฒนาองคการ (organization development) มากขึ้นเพราะว่าธุรกิจให้
ความสนใจในเรื่องการสร้างความสามารถหลัก (core competencies) ซึ่งเป็นเรื่องที่อยู่ในองค์
ความรู้ของการพัฒนาอาชีพกับการพัฒนาองค์การซึ่งสามารถกล่าวได้ว่าการพัฒนาบุคลากรในยุค
โลกาภิวฒั น์ในโลกการแขง่ ขนั ควรเน้น ทกั ษะทางด้านตา่ ง ๆ ดังน้ี
๑. การมุง่ ความสนใจท่ลี กู ค้า
๒. การทำงานเปน็ ทีม
๓. การสื่อสารข้อความ
๔. ภาวะผู้นำ
๕. ความเชี่ยวชาญด้านเทคนคิ
๖. การยืดหยุ่น/ปรับตวั
๗. นวัตกรรมส่วนทักษะทเ่ี สริมเขา้ มาก็คอื ภาษาตา่ งประเทศ (ภาษาอังกฤษ) และความรู้ด้าน
คอมพิวเตอร์ในระดบั ใชง้ านได้
ดังนั้นในการดำเนินการพัฒนาบุคลากรในทัศนะของผู้ศึกษาจึงขอสรุปขอบเขตเกี่ยวกับ
กิจกรรมทสี่ ำคัญดังน้ี การฝกึ อบรม การสมั มนา การศกึ ษาดูงาน การลาศกึ ษาต่อ การทำวจิ ัย การเข้า
สู่ตำแหน่งทางวิชาการ และการประเมินบคุ ลากร๒๒
๒๑ วิจิตร อาวะกุล, คู่มือฝึกอบรมและพัฒนาบคุ คล, พิมพ์ครั้งที่ ๑, (กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ
มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๐), หน้า ๑๖๙.
๒๒ ดนัย เทียนพุฒ, กลยุทธการพัฒนาคนไขปัญหาคาใจนักฝึกอบรม, พิมพ์ครั้งที่ ๑, (กรุงเทพมหานคร:
โรงพิมพ์สรุ พิม, ๒๕๔๑), หนา้ ๑๓๗-๑๓๘.
๑๖
การพัฒนามนุษย์ หรอื บคุ ลากรมแี นวทางหลักในการดำเนนิ การ ๓ แนวทางคอื
๑. การให้การศึกษา/เรียนรู้ (education/learning) เป็นการเตรียมการสำหรับชีวิต การให้
การศึกษาเกี่ยวของกับการปลูกฝังคุณค่าและทัศนคติ การเติมความรู้การใช้วิจารณญาณความเข้าใจ
และปัญญา การให้การศึกษามักทำผ่านการศึกษาในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาและสถาบันทางรัฐ
ประศาสนศาสตร์ต่าง ๆ ดังนั้นการให้การศึกษาเป็นเครื่องมือและกระบวนการอย่างต่อเนื่องที่จะช่วย
ให้บุคลากรมีความเจริญงอกงามปรับตัวได้ ดำเนินชีวิตดีและมีความเปลี่ยนแปลงในทางที่พึงประสงค์
บุคลากรจะเรียนรู้ได้ คิดได้ ทำได้และแก้ปัญหาได้ เพราะได้รับการศึกษาซึ่งอาจเป็นการศึกษาท่ี
เกิดขึ้นตามธรรมชาติในวิถีชีวิตการทำงาน การศึกษานอกระบบโรงเรียนและการศึกษาในระบบ
โรงเรียนตลอดจนการศึกษาในระบบมหาวิทยาลัยทั้งในและต่างประเทศ ในการพัฒนาบุคลากรของ
องค์การ การให้การศึกษาอาจทำโดยการให้ทุนและ/หรืออนุญาตให้บุคลากรไปศึกษาต่อในหลักสูตร
ระยะสั้น ระยะกลางและการให้ไปศึกษาในระดับปริญญาและหลังปริญญา การให้การศึกษาจึงเป็น
การลงทนุ ท่ีสำคญั ทงั้ ขององค์การและตวั บคุ ลากรเอง
๒. การฝึกอบรม (training) เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อเพิ่มผลการปฏิบัติงานของบุคลากร ใน
ตำแหน่งหนึ่ง ๆ ในแง่มุมขององค์การแล้วการฝึกอบรมมักเป็นกจิ กรรมที่มุ่งสู่บุคลากรในระดับปฏิบัติ
หรือหัวหน้างาน ดังนั้นการฝึกอบรมจึงเป็นกระบวนการที่จัดขึ้นเพื่อให้บุคลากรได้เรียนรู้และ
เสริมสร้างทักษะความชำนาญโดยมวี ัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่งในการยกมาตรฐานการปฏิบัติงาน
ในหน้าที่ ทีอ่ ยู่ในความรบั ผิดชอบใหด้ ีย่งิ ข้ึนอันจะทำให้องค์การประสบความสำเร็จตามเป้าหมายท่ีตั้ง
ไว้ ขณะเดียวกันก็มุ่งหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและ/หรือทัศนคติในการปฏิบัติงานของ
บุคคลด้วยในการจัดการฝึกอบรมนั้นมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้บุคลากรมีสมรรถนะความรู้ความ
ชำนาญท่ีจำเปน็ ตอ่ ความต้องการขององคก์ ารโดยปกตเิ ป้าหมายของการฝึกอบรมได้แก่
๒.๑ การเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจนโยบายแผนงานวัตถุประสงค์เป้าหมายของ
องค์การตลอดจนบทบาทและหนา้ ท่ีของบคุ ลากรในแต่ละระดับ
๒.๒ การให้ข่าวสารขอ้ มลู เกี่ยวกับวธิ กี ารปฏบิ ัตงิ านที่ดีทสี่ ุด เพอื่ แก้ไขปญั หาขอ้ บกพร่อง
เกยี่ วกับการปฏบิ ตั งิ านท่ผี า่ นมา
๒.๓ การพฒั นาคณุ ภาพและมาตรฐานการปฏิบตั งิ านโดยส่วนรวม
๒.๔ การลดความสิน้ เปลืองและป้องกันอบุ ตั เิ หตุและการสูญเสียในการปฏิบตั ิงาน
๒.๕ การพฒั นาระบบงานระบบบรหิ ารและพฒั นาองคก์ ารโดยสว่ นรวม
๒.๖ การเตรียมความพร้อมของบุคลากรเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนกลยุทธบทบาท
ภารกจิ ขององคก์ าร
๒.๗ การฝึกฝนบุคลากรให้คุ้นเคยกับเทคโนโลยี/เทคนิค/วิทยาการสมัยใหม่ที่จะ
ประยกุ ตใ์ ช้ใหเ้ กิดความกา้ วหน้าขององค์การ๒๓
๒๓ อุทัย หิรัญโต, กระบวนการอ้างอิง, พิมพ์ครั้งที่ ๑, (พิษณุโลก : มหาวิทยาลัยนเรศวร, ๒๕๓๑),
หน้า ๑๑๑-๑๑๓.
๑๗
๓. การพัฒนามนษุ ย์ หรอื บคุ ลากร (employee development) เป็นกระบวนการของ
การเกี่ยวข้องเชื่อมโยงจากวุฒิภาวะขั้นหนึ่งไปสู่วุฒิภาวะอีกขั้นหนึ่งอาทิจากผลการปฏิบัติงานระดับ
ทั่วไปสู่ผลการปฏิบัติงานระดับดีและพัฒนาสู่ระดับดีเยี่ยม การพัฒนามุ่งขยายโลกทัศน์ของ
ผู้ปฏิบัติงาน การพัฒนาเป็นการดำเนินการด้านวิธีการต่าง ๆ เพื่อเพิ่มและขยายโลกทัศน์สำหรับการ
ปฏิบัติงานและการปฏิบัติตน ทั้งในงานและในสังคมส่วนรวมให้แก่บุคลากรซึ่งรวมถึงการมอบหมาย
งานพิเศษ การสอนงาน การให้คำปรึกษาแนะนำ การเป็นพี่เลี้ยง การสับเปลี่ยนหมุนเวียนหน้าที่การ
งาน การจัดทัศนศึกษาดูงาน การมอบหมายให้ประชุมแทนและการมอบหมายให้เข้าร่วมกิจกรรม
สังคมอนื่ ๆ ซ่งึ วธิ ีการต่าง ๆ ดงั กลา่ วหากเลอื กใช้ผสมผสานกับ ๒แนวทางขา้ งต้นก็จะชว่ ยทำให้ระบบ
การพัฒนาบุคลากรขององคก์ ารมีความสมบรู ณ์ยิ่งขึ้น๒๔
กลา่ วโดยสรุปไดว้ า่ การพฒั นามนษุ ย์ หรอื บุคลากรนั้นเปน็ กระบวนการบริหารทรัพยากร
บุคลากรที่ต้องการให้บุคลากรดังกล่าวมีประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานมากยิ่งขึ้น โดยการเพิ่มพูน
ความรู้ความสามารถ ทั้งนี้การพัฒนาบุคลากรดังกล่าวมีวิธีการหลายวิธีที่จะเพิ่มพูนความรู้ให้แก่
บุคลากร เช่น การฝึกอบรม การศึกษาต่อ การศึกษาดูงานและการประชุมสัมมนา เป็นตน ซึ่งการ
พัฒนาบุคลากรนั้นองค์การจำเป็นต้องมีการวิเคราะห์ความต้องการในการพัฒนาก่อน โดยพิจารณา
ลักษณะของงานเป็นหลัก จึงจะจัดการพัฒนาบุคลากรในรูปแบบต่าง ๆ ขึ้นมาและต้องมีการประเมิน
ติดตามผลการพัฒนาบุคลากรในรูปแบบต่าง ๆ ขึ้นมา และต้องมีการประเมินติดตามผลการพัฒนา
อย่างสม่ำเสมอด้วย เพื่อรับทราบข้อบกพร่องในการพัฒนาเพื่อนำมาปรับปรุงในการจัดการพัฒนา
บุคลากรท่ีเหมาะสมในครงั้ ต่อไป
องคป์ ระกอบของการพัฒนามนุษย์
การบริหารบุคลากรที่ประสบความสำเร็จจำเป็นจะต้องทำความเข้าใจถึงองค์ประกอบ
หรือฟังกชั่นหลัก ๆ ของการพัฒนาบุคลากร เนื่องจากผู้บริหารรวมถึงนักบริหาร และพัฒนา
ทรัพยากรมนุษย์บางคนยังเข้าใจผดิ คิดว่างานพัฒนาบุคลากรก็คือการฝึกอบรมโดยมีหน่วยงานบุคคล
ทำหนา้ ทีใ่ นการจัดฝึกอบรมติดตามและประเมินผลความสำเร็จของการพัฒนาบุคลากรในองค์การ ซึ่ง
ผู้บริหารระดับ CEO มักจะมีคำถามอยูเ่ สมอว่า “จัดฝึกอบรมแล้วพนักงานจะพัฒนาขดี ความสามารถ
ขน้ึ มาบางหรือไม่”
ดังนั้นเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกันว่าองค์ประกอบของการพัฒนาบุคลากร
มใิ ช่มีเพยี งแคก่ ารฝึกอบรมเทา่ นั้น พบว่ามีนกั วชิ าการจำนวนมากได้ศกึ ษาถงึ แนวคดิ และองคประกอบ
ของการพัฒนาบุคลากร ซึ่งผู้เขียนขอนำเสนอหลักการพิจารณาถึงองค์ประกอบของการพัฒนา
บุคลากรจากแนวคิดของ Jerry W. Gilley, Steven A. Eggland และ Ann Maycunich Gilley ใน
หนังสือ “Principle of Human Resource Development” โดยแบ่งองค์ประกอบของการพัฒนา
๒๔ ชูชัย สมิทธไิ กร, จิตวิทยาการฝึกอบรมบุคลากร, พมิ พค์ ร้งั ท่ี ๑, (เชียงใหม่ : ภาควิชาจติ วิทยาคณะ
มนษุ ยศาสตรมหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๓๘), หน้า ๘-๙.
๑๘
ทรพั ยากรมนษุ ย์ โดยใช้มติ ิทางดา้ นจุดเนน้ (focus) และมติ ิด้านผลลัพท์ (esults) เปน็ ปัจจัยท่ีกำหนด
กรอบการพัฒนา๒๕
เพื่อให้สามารถบรรลุได้ตามวัตถุประสงค์ของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การจำแนก
ประเภทของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ อาจจำแนกได้ตามแนวคิดของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
ดังน้ี๒๖
๑. การพัฒนาบุคลากรประเภทมุ่งเพิ่มประสบการณ์และการเรียนรู้ให้แก่ทรัพยากร
มนุษย์ ประกอบด้วย การพัฒนาบุคลากรโดยการศึกษา (education) การพัฒนาบุคลากรโดยการ
ฝกึ อบรม (training) และการพัฒนาบุคลากรโดยการพัฒนา (development) ซ่งึ การฝกึ อบรมจะเน้น
การพัฒนางานในปัจจุบัน การศึกษาจะเนน้ การพัฒนางานในอนาคตและการพัฒนาจะเน้นการพัฒนา
งานเพอ่ื การเปลี่ยนแปลง
๒. การพัฒนาบุคลากรประเภทมุ่งการปรับปรุงพฤติกรรมบุคลากร ประกอบด้วย การ
พัฒนาปัจเจกบุคคล (individual development) การพัฒนาสายอาชีพ (career development)
และการพัฒนาองค์การ (organization development) การพัฒนาปัจเจกบุคคลเป็นการพัฒนา
ทรพั ยากรมนุษย์ที่มุง่ เพิ่มประสบการณ์การเรียนรู้ และการปรับปรุงพฤติกรรมเปลย่ี นแปลงทรัพยากร
มนษุ ยใ์ ห้สอดคล้องกับการเปลยี่ นแปลงของสภาพแวดล้อม การพัฒนาสายอาชีพเป็นสว่ นหนงึ่ ของการ
พฒั นาทีเ่ นน้ การเตรียมความพร้อมและสรา้ งโอกาสให้กบั ทรัพยากรมนุษย์
๓. การพัฒนาบุคลากรประเภทมุ่งพัฒนาองค์การให้เป็นองค์การการเรียนรู้ (learning
organization) เป็นการบูรณาการการเรียนรกู้ ับงานเข้าด้วยกันอยา่ งต่อเน่ืองท้ังระดบั บุคคล กลุ่มและ
องค์การ การพัฒนาบุคลากรโดยมุ่งพัฒนาองค์การเป็นสิ่งที่ต่อเนื่องมาจากการพัฒนาโดย การศึกษา
การอบรม การพัฒนาปัจเจกบุคคลและการพัฒนาอาชีพ การพัฒนาองค์การมุ่งที่ทรัพยากรมนุษย์
ทั้งหมดในองค์การ การพัฒนาบุคลากรอาศัยกระบวนการเรียนรู้จากประสบการณ์ เน้นการกำหนด
เป้าหมายและการกำหนดแผนปฏิบัติการมุ่งเปลีย่ นพฤติกรรมทัศนคติทักษะการปฏิบัตงิ านของคนใน
กลุ่มต่าง ๆ ขององค์การ โดยมีเป้าหมายสำคัญของการพัฒนาคือ เพื่อความเจริญเติบโตของบุคลากร
ในด้านอาชีพและในองค์การ การพัฒนาองค์การต้องมีผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงเป็นผู้กระตุ้น
กระบวนการพฒั นาใหด้ ำเนนิ การไปได้
ปญั หาและอปุ สรรคของการพฒั นามนุษย์
ปัญหาและอุปสรรคในการพัฒนามนษุ ย์ หรือบุคลากรในองค์การใด ๆ ไว้ ๕ ประการ๒๗
พอสรุปได้ดังนีค้ อื
๒๕ อาภรณ์ ภูวิทยพันธุ์, การพัฒนาบุคลากร, พิมพ์ครั้งที่ ๑, (กรุงเทพมหานคร : สถาบันพัฒนา
คณุ ภาพทรัพยากรมนษุ ยเพือ่ องค์กร, ๒๕๔๘), หนา้ ๗-๘.
๒๖ เชาว์ โรจนแสง, เอกสารการสอนชุดวิชาการพัฒนาทรัพยากรมนษุ ย์หน่วยท่ี ๑-๗, พิมพค์ รง้ั ท่ี ๓,
(มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทัยธรรมธิราช : สำนักพิมพม์ หาวิทยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธิราช, ๒๕๕๔), หน้า ๒๐-๔๘.
๒๗ วรนารถ แสงมณี, การบริหารงานบุคคล, พิมพ์ครั้งท่ี ๒, (กรงุ เทพมหานคร : งานตำราและเอกสาร
การพมิ พค์ ณะครศุ าสตร์อตุ สาหกรรมสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกลา้ เจา้ คุณทหารลาดกระบงั , ๒๕๔๓), หนา้ ๑๓๔-๑๓๖.
๑๙
๑. ปัญหาด้านเจ้าหน้าที่ที่ดำเนินการพัฒนาบุคลากร เนื่องจากลักษณะงานด้านพัฒนา
บุคลากรในองค์การโดยท่วั ไปแลว้ เป็นงานท่ีชว่ ยเหลือสนับสนุนการดำเนนิ งานของเจ้าหน้าที่สายงาน
หลักเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นบุคลากรโดยทั่วไปจึงมักจะพอใจทำงานในสายงานหลักมากกว่าสายงาน
ชว่ ยเหลือสนบั สนนุ
๒. ปัญหาด้านวิทยากรวิทยากรท่ีมีคุณสมบัติดีและเหมาะสมยังมีอยู่นอ้ ยมาก ส่วนใหญ่
วิทยากรในโครงการพัฒนาบุคลากรในปัจจุบันมักขาดคุณสมบัติการเป็นผู้ฝึกสอนที่ดีแต่จะมีลักษณะ
เป็นผู้บรรยายหรือผู้บอกเล่าถึงประสบการณ์ในการทำงานของตนมากกว่า ผู้รับการพัฒนาจึงได้รับ
ความรู้แปลกใหม่น้อยมาก อีกทั้งยังขาดการเลือกวิธีการและเทคนิคในการพัฒนาได้อย่างถูกต้อง
เหมาะสมด้วย
๓. ปญั หาด้านตัวบคุ ลากรท่เี ข้ารับการพฒั นาแบ่งออกเปน็ ๔ ลกั ษณะ คือ
๑) ผู้เข้ารับการพัฒนาจำนวนหนึ่งไม่เข้าใจในวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการ
พัฒนา ว่าพัฒนาแล้วจะได้รับประโยชน์อย่างไรบ้าง แต่เข้ารับการพัฒนาเพราะได้รับคำสั่งจาก
ผู้บงั คับบัญชา
๒) ผู้เข้ารับการพัฒนาบางคนมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการพัฒนาบุคลากรกล่าวคือ
คิดว่าเป็นเรื่องของเด็กนักเรียนในห้องเรียน ซึ่งไม่เหมาะกับผู้ใหญ่ที่ทำงานแล้ว อีกทั้งคิดว่าเป็นการ
เสียเวลาเสียเงนิ โดยเปล่าประโยชน์และก็มีหน้าที่การงานทำอยู่แล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องเข้ารับการ
พฒั นาอกี แต่อย่างใด
๓) บุคลากรบางคนมีทัศนคติในทางอนรุ ักษ์นิยมพอใจทีจ่ ะประพฤตปิ ฏิบัติตาม
แนวทางเดิมทเ่ี คยยดึ ถอื ปฏบิ ตั ิมาชา้ นานแลว้ และไม่ยอมรับจนถึงขนาดตอ่ ตา้ น
๔) บุคลากรบางคนมีทัศนคติมองโลกในแง่ร้ายอยู่เสมอไม่เชื่อว่าวิทยากรจะมี
ความรู้ความสามารถมากเพียงพอที่จะมาฝึกสอนตนได้ และไม่เชื่อว่าเนื้อหาสาระของโปรแกรมการ
พัฒนาบุคลากรจะดีพอท่จี ะยอมรับคำแนะนำมาใช้ปฏบิ ตั ไิ ด้
๔. ปัญหาด้านสถานที่และอุปกรณ์ที่ใช้ในการพัฒนาบุคลากร การพัฒนาบุคลากรจะ
ประสบผลสำเร็จได้โดยง่ายถ้ามีสิ่งอำนวยความสะดวกด้านต่าง ๆ อย่างพร้อมมูล โดยเฉพาะอย่างย่ิง
สถานที่และอุปกรณ์เครื่องใช้ต่าง ๆ แต่การจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้ต้องลงทุนสูงอุปกรณ์
บางชน้ิ มรี าคาแพงมาก องค์การบางแห่งกไ็ มส่ ามารถหาซอ้ื มาได้ครบถว้ น
๕. ปญั หาด้านผบู้ รหิ ารหรือหัวหน้าหน่วยงานของผู้เข้ารบั การพัฒนาบคุ ลากร นกั บริหาร
บางคนมีทัศนคติที่คับแคบไม่เห็นความสำคัญของการพัฒนาบุคลากรจึงไม่ให้การสนับสนุน บางคนก็
สำคญั ผิดวา่ การพฒั นาบุคลากรแก้ไขปัญหาได้ฉับพลัน เมื่อไม่สามารถแก้ปัญหาได้รวดเร็วทันใจตามที่
ต้องการก็ต่อต้าน ประการสุดท้ายนักบริหารบางคนคิดวา่ มีความรู้ความสามารถมากกว่าเจ้าหน้าที่ ท่ี
จัดการพฒั นาบคุ ลากรจึงเปน็ ผสู้ ั่งการและดำเนินการต่าง ๆ เองจึงอาจกอ่ ใหเ้ กดิ ปัญหามากมาย
๒๐
๒.๒ แนวคดิ และทฤษฎีเกยี่ วกบั การส่งเสริม
๒.๒.๑ ความหมายของการส่งเสรมิ
เป็นคำที่หมายถึงการกระทำและผลของการส่งเสริมในทางตรงกันข้าม คำกริยาน้ี
หมายถึง การเริ่มต้นหรือส่งเสริมกระบวนการหรือสิ่งของยกคนให้อยู่ในตำแหน่งหรืองานที่สูงกว่าท่ี
พวกเขามี หรือใชค้ วามคดิ ริเริ่มท่จี ะทำอะไรบางอยา่ ง๒๘
การส่งเสริม เน้นการช่วยด้วยคำพูด หรือการปฏิบัติ หรือการกระทำ เพื่อให้
พัฒนาขึ้น เชน่
- รฐั บาลสง่ เสรมิ การลงทนุ
- รฐั บาลส่งเสรมิ การปลกู ออ้ ย
- กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายส่งเสริมให้เอกชนผลิตสื่อการเรียนการสอนในระดับ
มัธยมศึกษา
- ผู้ปกครองสง่ เสรมิ ใหล้ กู มนี ิสยั รักการอ่าน๒๙
การสง่ เสริมสามารถใช้รว่ มกับความหมายของการสง่ เสริมหรือสนับสนุนความสำเร็จ
ของสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นหรือการเปิดใช้งาน ถ้ามันเป็นอัมพาต ตัวอย่างเช่น “เรากำลัง
ส่งเสริมเศรษฐกิจการพัฒนาที่ยั่งยืนในประเทศ” การเลื่อนตำแหน่งยังสามารถทำหน้าที่เป็นคำพ้อง
ความหมายสำหรับการกระตุ้นยั่วยุหรือยั่วยุในแง่ของการทำให้เกิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการ
ตอบสนองต่อบางสิ่งบางอย่าง ตัวอย่างเช่น “กลุ่มพลเรือนกำลังส่งเสริมการประท้วงเพื่อสิทธิ
มนษุ ยชน”
ในด้านการโฆษณา การส่งเสริมนั้นใช้เป็นการส่งเสริมหรอื กระตุ้นการซื้อผลิตภัณฑ์
หรือบริการโดยการเพิ่มขอ้ ความโฆษณาของคุณ ตัวอย่างเช่น “นักแสดงทำงานให้กบั บริษัททีส่ ง่ เสรมิ
การทอ่ งเทีย่ วเชงิ นเิ วศและสุขภาพ”
ในแรงงานตลาด ในขณะเดยี วกันยังหมายถึงการส่งเสริมการส่งเสริมคนที่สำนักงาน
หรืออาวุโส ตัวอย่างเช่น “Julio ได้รับการเลือ่ นตำแหน่งเป็นผูจ้ ดั การประจำภมู ภิ าคของ บรษิ ัท”๓๐
๒.๒.๒ แนวคิดและทฤษฎเี กีย่ วกับการส่งเสริม ต่าง ๆ มดี ังต่อไปนี้
๒.๒.๒.๑. แนวคิดและทฤษฎกี ารส่งเสรมิ เกษตร
การส่งเสริมการเกษตรตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า Agricultural Extension และ
ร่วมกับคำว่า Education หรือการศึกษา แต่คำว่าส่งเสริมโดยความหมายแท้แล้วหมายถึง การ
๒๘ tax-definition.org, คำนยิ าม การสง่ เสรมิ , https://th.tax-definition.org/๕๗๖๔๗-promotion
สืบค้นออนไลน์ เม่อื วันท่ี ๘ กรกฎาคม ๒๕๖๔.
๒๙ นววรรณ พันธุเมธา, พินิจภาษา, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร : กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ,
๒๕๓๙), หนา้ ๑.
๓๐ encyclopedia, ความหมายของการส่งเสริม (มันคืออะไรแนวคิดและคำนิยาม), [ออนไลน์]
https://th.encyclopedia-titanica.com/significado-de-promover, (๘ กรกฎาคม ๒๕๖๔).
๒๑
สนับสนุนเกื้อหนุนทำให้ดีขึ้นซึ่ง พงษ์ศักดิ์ อังกสิทธิ์๓๑ ได้กล่าวว่า วิธีการส่งเสริมการเกษตร
(agricultural extension methods) เป็นกระบวนการของการนำความรู้ วิชาการและเทคโนโลยี
ไปสู่เกษตรกร ไดแ้ ก่
๑) วิธีการส่งเสริมแบบบุคคลต่อบุคคล (individual method) ให้เกษตรกรหรือ
บุคคลผู้รับการถ่ายทอดความรู้ ได้เรียนรู้ตนเองอย่างเป็นอิสระ การถ่ายทอดความรู้ไปสู่เกษตรกร
โดยตรงเป็นรายบคุ คล
๒) วิธีการส่งเสริมแบบกลุ่มบุคคล (group method) โดยการการฝึกอบรม การ
สาธิต การศึกษาดงู านนอกสถานท่ี
๓) การส่งเสริมแบบมวลชน (mass method) โดยสื่อสารมวลชนจะช่วยในการ
ส่งเสริมเผยแพร่นวัตกรรม ใช้กับคนจำนวนมาก ๆ ได้อย่างกว้างขวางโดยแนวคิดและทฤษฎีในการ
ส่งเสรมิ การเกษตร มีดงั น้ี
๑.๑ ทฤษฎีการเรียนรู้ พรทิพย์ อุดมสิน๓๒ กล่าวถึงทฤษฎีการเรียนรู้ที่สำคัญ
สามารถใชเ้ ป็นหลักในการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้มี ๓ ทฤษฎี คอื
๑) ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) ทฤษฎีกลุ่มนี้รู้จักกันใน
นามทฤษฎีสิ่งเร้าและการตอบสนอง (stimulus response theory หรือ S-R theory) โดยมุ่งศึกษา
เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองหรือพฤติกรรมที่แสดงออกมาและเน้น
ความสำคัญของสิ่งแวดล้อมเพราะเชอ่ื ว่าสิ่งแวดล้อมจะเปน็ ตวั ที่กำหนดพฤติกรรมการเรียนรู้
๒) ทฤษฎีการเรยี นรกู้ ล่มุ ปญั ญานิยมหรือพุทธินยิ ม (Cognitivism) ทฤษฎกี ลุ่มน้ีเน้น
กระบวนการทางปัญญาหรือความคิด ซึ่งเป็นกระบวนการภายในสมองการใช้สติปัญญาของมนุษย์ใน
การสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ตนเองนั่นเอง โดยทฤษฎีกลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับความสามารถใน
การตงั้ วตั ถปุ ระสงค์การวางแผนความตงั้ ใจความคิดความจำ การคดั เลอื ก การใหค้ วามหมายกับส่ิงเร้า
ตา่ ง ๆ ท่ไี ด้จากประสบการณ์
๓) ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มมนุษยนยิ ม (Humanism) ทฤษฎีกลุ่มนี้ให้ความสำคัญของ
ความเป็นมนุษย์และมองมนุษย์ว่ามีคุณค่ามีความดีงาม มีความสามารถ มีความต้องการและมี
แรงจูงใจภายในที่จะพัฒนาศักยภาพของตน หากบคุ คลไดร้ ับอิสรภาพและเสรภี าพ มนษุ ย์จะพยายาม
พัฒนาตนเองไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ การเรียนรู้เกิดจากการรับรู้ว่าสิ่งที่เรียนรู้มีความหมาย
และความสมั พนั ธ์กับจุดมุ่งหมายของชีวติ ตนเอง
๓๑ พงษ์ศักดิ์ อังกสิทธ์, การนิเทศงานส่งเสริมการเกษตร Supervision in agricultural extension,
พิมพ์ครั้งที่ ๑, (เชียงใหม่ : ภาควิชาส่งเสริมและเผยแพร่การเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๕๑),
หนา้ ๒๒๓-๒๓๒.
๓๒ พรทิพย์ อุดมสิน, รูปแบบและเครื่องมือทีใ่ ชใ้ นการจัดการความรู้ในงานสง่ เสริมการเกษตรหน่วยที่ ๒
ในการจัดการความรู้ในงานส่งเสริมการเกษตร, พิมพ์ครั้งที่ ๑, (นนทบุรี : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ๒๕๕๔),
หนา้ ๓๑-๓๗.
๒๒
๑.๒ ทฤษฎีการสื่อสาร กระบวนการสื่อสาร ของแบบจำลองการสื่อสารของเดวิด
เบอรโ์ ล ( David Berlo ) ประกอบดว้ ย S–M–C–R ไดแ้ ก่
๑) Source หมายถงึ ผ้สู ่งสาร
๒) Message หมายถึง ขา่ วสาร
๓) Channel หมายถึง สอ่ื
๔) Receiver หมายถึง ผ้รู ับสาร (ปัญญา หิรัญรัศมี,๒๕๕๒ : ๔–๘ )
๑.๓ กระบวนการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรม ซึ่งบลูม (Bloom (ed) ๑๙๕๖:
๑๕๔-๑๖๒) กล่าวว่า เมื่อเกิดการเรียนรู้ในแต่ละคร้ังจะตอ้ งมีการเปลี่ยนแปลงเกิดข้ึน ๓ ประการ จึง
จะเปน็ การเรยี นรูท้ ่สี มบูรณ์ คอื
๑) การเปลี่ยนแปลงทางด้านความรู้ ความคิด ความเข้าใจ (Cognitive Domain)
คือ การเปล่ียนแปลงท่เี กดิ ข้นึ ในสมอง เช่น การเรยี นรูค้ วามคดิ รวบยอด
๒) การเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์ หรือความรู้สึก (Affective Domain) คือ การ
เปลย่ี นแปลงทางดา้ นจติ ใจ เชน่ ความเชื่อ ความสนใจ เจตคติ ค่านยิ ม และ
๓) การเปลี่ยนแปลงทางด้านการเคลื่อนไหวของร่างกาย (Psychomotor Domain)
คอื การเปลีย่ นแปลงดา้ นร่างกายเพอ่ื ใหเ้ กดิ ความ ชำนาญ หรือทกั ษะ
๑.๔ ทฤษฎีการแรงจูงใจ พรทิพย์ อุดมสิน๓๓ ได้กล่าวถึง ลักษณะของแรงจูงใจมี ๒
ลักษณะ คือ แรงจูงใจภายใน (Intrinsic motives) แรงจูงใจภายนอก (Extrinsic motives) แรงจูงใจ
ภายใน เป็นสิ่งผลักดันจากภายในตัวบุคคลซึ่งอาจจะเป็นเจตคติ ความคิด ความสนใจ การมองเห็น
คุณค่า ส่วนแรงจูงใจภายนอก (Extrinsic motives) เป็นสิ่งผลักดันภายนอกตัวบุคคลที่มากระตุ้นให้
เกิดพฤติกรรมอาจจะเป็นการได้รับรางวัล เกียรติยศชื่อเสียง แรงจูงใจนี้ไม่คงทนถาวร ตอบสนอง
ส่ิงจูงใจดังกล่าวเฉพาะกรณีที่ต้องการสิ่งตอบแทนเท่านั้นส่วนแนวคิดทฤษฎีความคาดหวังของวรูม
(Vroom’s Expectancy Theory) คือ การจูงใจจะเกิดขึ้นเมื่อ คนเชื่อว่าสิ่งที่ตนจะทำนั้น สามารถ
สำเร็จได้และเมื่อสำเร็จแล้วจะได้ผลลัพธ์หรือรางวัลที่ตนเห็นคุณค่า ซึ่งการจูงใจนั้น ขึ้นอยู่กับ
องค์ประกอบที่สำคัญ ๓ ประการ ดังนี้ ความคาดหวัง (Expectancy : E) การเป็นเครื่องมือ
(Instrumentality : I) และคณุ ค่าของผลลพั ธ์ (Valence : V)
๒.๒.๒.๒. แนวคิดทฤษฎกี ารพัฒนาและสง่ เสรมิ อาชี
การพัฒนาและส่งเสริมอาชีพเป็นหนึ่งในกระบวนการส่งเสริมอาชีพที่มี การกำหนด
แนวทาง วิธีการ ขั้นตอน และรูปแบบต่าง ๆ ในการยกระดับรายได้และสร้างความมั่นคงในอาชีพ
เพื่อให้ผู้ประกอบอาชีพมีมั่นใจว่าถ้าได้นำไปใช้และปฏิบัติจะทำให้การประกอบอาชีพของตนมีความ
มั่นคงยิ่งขึ้น ซึ่งมีหน่วยงาน นักคิด นักวิชาการ ได้สร้างแนวทาง วิธีการที่จะพัฒนาและสง่ เสริมอาชพี
ในรปู แบบต่าง ๆ ดงั น้ี
๓๓ พรทิพย์ อุดมสิน, รูปแบบและเครอื่ งมือที่ใช้ในการจัดการความรู้ในงานส่งเสริมการเกษตรหน่วยท่ี ๒
ในการจัดการความรู้ในงานส่งเสริมการเกษตร, พิมพ์ครั้งที่ ๑, (นนทบุรี : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ๒๕๕๔),
หน้า ๓๑-๓๗.
๒๓
แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติฉบบั ที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔)
การพฒั นาและสง่ เสริมอาชีพตามทิศทางของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับ
ท่ี ๑๒ กำหนดแนวทางไว้ดงั นี้๓๔
ยุทธศาสตรท์ ี่ ๑ การเสริมสรา้ งและพฒั นาศักยภาพทุนมนษุ ย์ ดังน้ี
๑. การส่งเสริมและพัฒนาคนให้มีความรู้และทักษะในการประกอบอาชีพให้มี
ความสามารถในการดำรงชีวิตอยา่ งมีคณุ ค่า ไดแ้ ก่ สนบั สนุนการสรา้ งอาชพี สร้างรายได้ และให้ความ
ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส สตรี และผู้สูงอายุ อาทิ การสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลางและขนาด
ย่อม และวสิ าหกิจชุมชน
๒. การสร้างชมุ ชนเข้มแข็งให้เป็นพลังร่วมทางสงั คมในการสนับสนุนการพัฒนาและ
พร้อมรับผลประโยชน์จากการพัฒนาได้แก่ การส่งเสริมการประกอบอาชีพของผู้ประกอบการระดับ
ชุมชน การสนบั สนุนศนู ยฝ์ กึ อาชีพชุมชนเพือ่ ยกระดบั ทกั ษะของคนในชุมชน และการสง่ เสริมใหช้ ุมชน
จัดสวัสดิการและบริการในชุมชน อีกทั้งการพัฒนาและส่งเสริมศักยภาพของกลุ่มผู้สูงอายุวัยต้นให้
สามารถเข้าสู่ตลาดงานเพิ่มขึ้นได้แก่ พัฒนาและส่งเสริมทักษะอาชีพที่เหมาะสมกับวัย ทักษะการ
เรียนรู้ในการทำงานร่วมกันระหว่างรุ่น สนับสนุนมาตรการจูงใจทางการเงินและการคลังให้
ผู้ประกอบการมีการจ้างงานที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุและสนับสนุนช่องทางการตลาด แหล่งทุน
และบริการข้อมูลเกย่ี วกับโอกาสในการประกอบอาชพี สำหรบั ผ้สู งู อายุในชมุ ชน
ยทุ ธศาสตรท์ ี่ ๒ การสรา้ งความเป็นธรรมลดความเหลอ่ื มล้ำในสงั คม ดังน้ี
๑. การเสริมสร้างศักยภาพชุมชน ได้แก่ ส่งเสริมให้เกิดชุมชนแห่งการเรียนรู้ด้วย
กระบวนการวิจัยและการถ่ายทอดองค์ความรู้ในชุมชนเพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาในพ้ืนท่ีการต่อยอด
องค์ความรู้ไปสู่เชิงพาณิชย์ และส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการสร้างการจัดการความร้ใู น
ชมุ ชน
๒. การพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน ได้แก่ การประกอบอาชีพของผู้ประกอบการระดับ
ชุมชน การสนับสนุนศูนย์ฝึกอาชีพชุมชน การส่งเสริมการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายอุตสาหกรรม
(cluster) ในพื้นที่กับเศรษฐกิจชุมชน การสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนและสถาบันการศึกษาใน
การร่วมกันพัฒนาความรู้ในเชิงทฤษฎีและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในทางปฏิบัติเพื่อการสร้างองค์
ความรู้ รูปแบบการจัดการในการเพิ่มสร้างศักยภาพการบริหารจัดการให้กับชุมชนในการประกอบ
ธุรกิจ การสนับสนุนการประกอบธุรกิจแบบวิสาหกิจเพื่อสังคม และการส่งเสริมการท่องเที่ยวท้องถนิ่
และการท่องเทีย่ วเชงิ อนรุ กั ษ์ในชุมชน
ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและแข่งขันได้อย่างยั่งยืน
เกย่ี วกบั ภาคการเกษตรทีส่ ำคญั ดงั น้ี
๓๔ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, สำนักงาน. “แผนพัฒนาเศรษฐกิจ
และสังคมแห่งชาติฉบับที่สิบ พ.ศ.๒๕๕๐-๒๕๕๔”, [ออนไลน์] :http://www.nesdb. go.th/download/article/article_
๒๐๑๖๐๓๒๓๑๑๒๔๑๘.pdf. (๑๙ ตลุ าคม ๒๕๔๙).
๒๔
๑. เสริมสร้างฐานการผลิตภาคเกษตรให้เข้มแข็งและยั่งยืนได้แก่ การจัดทำแผน
บริหารจัดการน้ำในภาคเกษตรระดับลุ่มน้ำและการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำเพื่อการเกษตรการ
กำหนดเขตการใช้พื้นที่ทำการเกษตรที่เหมาะสมและสอดคล้องกับศักยภาพพื้นที่และความต้องการ
ของตลาดในพื้นท่ี
๒. สร้างและถ่ายทอดองค์ความรู้วิชาการ นวัตกรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่นแบบมี
ส่วนร่วมเพื่อสนับสนุน การปรับระบบการผลิตเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตรมีความปลอดภัย
และตอบสนองต่อความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคที่หลากหลาย ได้แก่ ส่งเสริมการวิจัยพัฒนาปัจจัย
การผลติ เทคโนโลยกี ารเพาะปลูกให้สอดคล้องกับการเปล่ยี นแปลงสภาพภูมิอากาศและเพิ่มศักยภาพ
ในการแข่งขัน ส่งเสริมวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตและรูปแบบผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูปใหม่ ๆ
เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและความหลากหลายของสินค้าที่เกษตรกรและผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงได้
และพัฒนารูปแบบและกระบวนการถ่ายทอดความรู้อย่างเป็นรูปธรรมอาทิ การจัดทำแปลงต้นแบบ
ผ่านศนู ย์เรียนรแู้ ละศนู ย์ถา่ ยทอดเทคโนโลยใี นแต่ละพ้ืนท่ี
๓. ยกระดับการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารเข้าส่รู ะบบมาตรฐานและสอดคล้องกับ
ความต้องการของตลาดและการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาวะได้แก่ พัฒนาระบบมาตรฐานสนิ ค้าเกษตร
และอาหารให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากลทั้งในกลุ่มสินค้าทีเ่ ป็นอาหารและไม่ใชอ่ าหาร อาทิสมุนไพร
ผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ ยา พลังงานทดแทน วัสดุชีวภาพ และการพัฒนาระบบการตรวจรับรอง
คุณภาพแบบมสี ว่ นร่วมให้เป็นไปตามมาตรฐานอันเปน็ ทย่ี อมรับของตลาดภายในและต่างประเทศและ
ร่องในพื้นที่ที่มีความพร้อมและเหมาะสมเพื่อเชื่อมโยงไปสู่การท่องเที่ยวเชิงเกษตรหรอื การท่องเที่ยว
วถิ ไี ทยเพอ่ื ขยายฐานรายได้
๔. เสริมสร้างขีดความสามารถการผลิตในห่วงโซ่อุตสาหกรรมเกษตรได้แก่
เสริมสร้างศักยภาพของสถาบันเกษตรกรและการรวมกลุ่ม อาทิ กลุ่มเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน
การส่งเสริมให้เกษตรกรผลิตพืชและทำประมงให้สอดคล้องกับศักยภาพพื้นที่และความต้องการของ
ตลาด (zoning) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต การบริหารจัดการผลผลิตอย่างเป็น
ระบบครบวงจรโดยแปรรูปสร้างมูลค่าผลผลิตทางการเกษตรและความต้องการของผู้บริโภคในตลาด
และพัฒนากลไกจัดการความเสีย่ งที่กระทบตอ่ สินค้าเกษตรโดยส่งเสรมิ ให้เกษตรกรมีสว่ นร่วมร่วมคิด
รว่ มทำและเป็นเจ้าของในการพัฒนาการเกษตรของตนและภาครัฐเป็นผสู้ นับสนุนด้านปจั จัยพ้ืนฐานท่ี
จำเป็นและเชื่อมโยงกับศูนย์เรียนรู้ต่าง ๆ ในพื้นที่การจัดทำหลักสูตรการเรียนรู้ภาคปฏิบัติเพื่อสร้าง
องค์ความรู้ความสามารถในการยกระดับการผลิต แปรรูป การตลาดและการบริหารจัดการ การ
สนับสนุนการเพิ่มรายได้จากอาชีพนอกภาคเกษตร และการเข้าถึงเครือข่ายพัฒนาความรู้ด้าน
เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม
ในปัจจบุ ัน
สรุปแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๑๒ ได้ระบุแนวทางการพัฒนา
และส่งเสริมอาชีพไว้ในยุทธศาสตร์การพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนการสร้างอาชีพ สร้างรายได้
และให้ความช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส สตรีและผู้สูงอายุ การสนับสนุนส่งเสริมการประกอบอาชีพของ
ผู้ประกอบการระดับชุมชนมีศูนย์ฝึกอาชีพชุมชนและสนับสนุนช่องทางการตลาด แหล่งทุน และ
โอกาสในการประกอบอาชีพสำหรับผู้สูงอายุในชมุ ชน และการเสริมสร้างศกั ยภาพชุมชนด้วยการเพ่มิ
๒๕
ศักยภาพในการแข่งขันผ่านการถ่ายทอดองค์ความรู้อย่างเป็นรูปธรรมอาทิ ยกระดับการผลิต การแปร
รูปผลิตภัณฑ์ การตลาดและการบริหารจัดการเพื่อเชื่อมโยงไปสู่การท่องเที่ยวเชิงเกษตรหรือการ
ท่องเท่ยี ววิถไี ทยเพื่อขยายฐานรายได้
การพฒั นากลุ่มอาชีพประชาชนในถ่นิ ทุรกันดารตามพระราชดำริ ๒๕๔๗-๒๕๕๒
การพัฒนากลมุ่ อาชีพประชาชนในถิน่ ทรุ กนั ดารตามพระราชดำริ ๒๕๔๗ - ๒๕๕๒ มี
สาระสำคญั ดงั น้ี๓๕
หลักการพัฒนากลมุ่ อาชีพตามพระราชดำริ
๑. การดำเนินงานโดยอาศัยความร่วมมอื จากทุกสว่ นท่เี ก่ียวข้องร่วมกันคิดร่วมกันทำ
เพ่ือให้งานบรรลุเป้าหมายร่วมกนั ด้วยดี
๒. การกำหนดแนวทางในการดำเนินงานโครงการควรกำหนดไว้กว้าง ๆ สามารถ
ปรบั ใหเ้ หมาะสมกับสถานการณท์ ีเ่ ปลีย่ นแปลงได้
๓. การวางระบบและกำหนดทิศทางในการทำงานโดยการออกกฎระเบียบต่าง ๆ ให้
สอดคล้องและเหมาะสมกับปรัชญาและเป้าหมายของงานและถือปฏิบัติเพื่อให้เกิดประโยชน์
นอกจากน้ีควรปรบั ปรุงเปล่ียนแปลงเมือ่ ระบบและทิศทางทวี่ างไวน้ น้ั ไม่บรรลุผล
๔. การพัฒนากลุ่มอาชีพของประชาชนควรสอดคล้องกับวิถีชีวิตของประชาชนไม่
ทำลายประเพณแี ละวฒั นธรรมทด่ี ีงามของชุมชน
๕. การพัฒนาหรือการให้ความช่วยเหลือให้เหมาะสมกับลักษณะของกลุ่มโดยการ
จำแนกกลุ่มเป็นระดับชั้นอย่างกว้าง ๆ เช่นกลุ่มมีความพร้อมมากกลุ่มมีความพร้อมปานกลางและ
กลุ่มมคี วามพรอ้ มน้อยหรือกลุม่ พฒั นาและกลุ่มกำลงั พัฒนาเป็นตน้
หลักการบรหิ ารจดั การกลมุ่ อาชีพ
๑. การประสานงานโดยมีคณะทำงานประกอบไปด้วยผู้แทนจากหน่วยงานของ
ภาครัฐในส่วนกลางและภาคเอกชนที่สนับสนุนการดำเนินงานมีหน้าที่ในการวางแผนการปฏิบัติงาน
การจัดหางบประมาณรวมท้งั การประสานการดำเนินงานกบั หนว่ ยงานในระดับพืน้ ที่
๒. การจัดทำแผนปฏิบัติการมีการจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปีสำหรับการพัฒนา
กลุ่มอาชีพในแต่ละพื้นที่เพื่อให้สามารถดำเนินการพัฒนาแต่ละกลุ่มได้อย่างต่อเนื่องพร้อมทั้งมีการ
สนบั สนุนการดำเนนิ งานท่ีสอดคลอ้ งกบั แผนปฏิบัตกิ ารดังกล่าว
๓. การตดิ ตามประเมินผลจดั ทำระบบฐานข้อมูลกลุ่มอาชีพเพื่อใช้ในการติดตามและ
ประเมินผลรวมทั้งเป็นข้อมูลในการกำหนดทิศทางการพัฒนาอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องและมีการ
ติดตามใหค้ ำแนะนำความช่วยเหลือในการดำเนินงานของกลุ่มอาชพี อยา่ งสม่ำเสมอ
๔. งบประมาณในการดำเนินงานงบประมาณในการพัฒนากลุ่มอาชีพของหน่วยงาน
ของรัฐใช้เงินงบประมาณแผ่นดินสำหรับค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนการดำเนินงานของกลุ่มอาชีพใน
๓๕ สำนักงานโครงการสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สำนักพระราชวังสวนจิตรลดา,
[ออนไลน์] : http://kanchanapisek.or.th/kp๑/index_th.html, ( ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๔).
๒๖
ระยะต้นเช่นเงินทุนหมุนเวยี นวัสดุอุปกรณเ์ ครือ่ งมือใชเ้ งนิ พระราชทานและเมื่อกลุ่มมีเงินทุนเพียงพอ
จึงใช้เงินของกลมุ่ ตนเองในการดำเนินงาน
๕. การเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ส่งเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนา
กลุ่มอาชีพให้แก่ผู้ปฏิบัติงานทุกระดับทั้งระดับนโยบายและระดับปฏิบัติการและเผยแพร่ผลงานให้
ประชาชนท่ัวไปไดท้ ราบและสง่ เสรมิ ใหม้ ีสว่ นรว่ มในการพฒั นากลมุ่ อาชีพต่าง ๆ ๓๖
เปา้ หมายหลักในการพฒั นากลมุ่ อาชพี
๑. ส่งเสริมใหป้ ระชาชนรวมกลุ่มกนั ประกอบอาชพี เสริม
๒. พฒั นาศกั ยภาพของกลุ่มอาชพี ประชาชนในถ่นิ ทุรกันดารตามพระราชดำริท้ังด้าน
การผลติ และการบริหารจัดการกลุม่
๓. พัฒนาการตลาดของกลุ่มอาชีพประชาชนในถิ่นทุรกันดารตามพระราชดำริท้ัง
ตลาดท้องถ่นิ และตลาดประจำ
๔. เสริมสร้างความรู้ทักษะ และจิตสำนึกของสมาชิกในการทำงานร่วมกันเพ่ือ
ผลประโยชน์ของส่วนรวม
กรอบการดำเนินงานต่อเปา้ หมายหลกั ในการพฒั นากลุ่มอาชพี ๓๗
๑. สำรวจและการประเมินความพร้อมและศักยภาพในการดำเนนิ งานของประชาชน
ในพื้นที่เป้าหมายที่มีความสอดคล้องกับความต้องการของตลาดการประชาสัมพันธ์เชิงรุกโดยใช้ส่ือ
ประชาสัมพันธ์ทุกรปู แบบเพื่อให้ประชาชนกลุ่มเปา้ หมายมีความรู้ความเข้าใจและเห็นคุณค่าของการ
รวมกันเป็นกลุ่มอาชีพและส่งเสริมและสนับสนุนการจัดตั้งกลุ่มอาชีพประชาชนในถิ่นทุรกันดารตาม
พระราชดำริกลมุ่ ใหม่หรอื การรับสมาชิกใหม่
๒. จัดระดบั ศกั ยภาพของกลุ่มอาชพี ทัง้ ดา้ นการผลิตการตลาดและการบริหารจัดการ
เพื่อกำหนดเป้าหมายและแผนงานพัฒนาให้เหมาะสมตามระดับศักยภาพของกลุ่มที่มีความแตกต่าง
กนั การพัฒนาศักยภาพในการผลติ ของสมาชิกของกลุ่มอาชีพตามระดับศักยภาพของกลมุ่ โดยเน้นการ
ผลิตที่ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นลักษณะเฉพาะตัวใช้วัสดุในท้องถิ่นรักษาความเป็นธรรมชาติไม่ท ำลาย
สิ่งแวดล้อมและพัฒนาระบบควบคุมคุณภาพในการผลิตผลิตภัณฑ์ของกลุ่มอาชีพโดยให้สมาชิกของ
กลุ่มอาชีพสามารถตรวจสอบคณุ ภาพของผลิตภัณฑ์ได้ด้วยตนเองเพอ่ื รักษามาตรฐานใหส้ ม่ำเสมอหรือ
การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างกล่มุ ในการสร้างทมี ตรวจสอบคุณภาพของผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม
ในเครือข่ายรวมถึงการการจัดทำคู่มือระบบบัญชีในแต่ละกลุ่มอาชีพและพัฒนาเพิ่มพูนความรู้และ
ทักษะของสมาชกิ ของกลุ่มอาชพี อยา่ งต่อเน่ือง
๓๖ กลุ่มงานส่งเสริมสัมมาชีพชุมชน สำนักเสริมสร้างความเข้มแข็งชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน, การจัดต้ัง
และพฒั นากลุ่มอาชีพ, พิมพค์ รั้งท่ี ๑, (กรุงเทพมหานคร : บรษิ ัท สไตล์ครีเอทฟี เฮ้าส์ จำกดั , ๒๕๕๐), หนา้ ๑.
๓๗ เสรี พงศ์พิศ, คู่มีการทำวิสาหกิจชุมชน, พิมพ์ครั้งที่ ๑, (กรุงเทพมหานคร : เจริญวิทย์การพิมพ์,
๒๕๒๐), หน้า ๑.
๒๗
๓. จัดทำแผนการตลาดประจำปีเพื่อให้กลุ่มอาชีพทราบเป้าหมายและสามารถ
วางแผนปฏิบัติงานของกลุ่มตนเองได้ การศึกษาความนิยมและแนวโน้มของตลาดสำหรับสินค้าที่
ส่งเสริมให้กลุ่มดำเนินการผลิตและนำข้อมูลมาพัฒนาการออกแบบผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์และเทคนิค
การผลิตเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และแสวงหาตลาดเพิ่ม เพื่อเพิ่มปริมาณการ
สั่งซื้อจากตลาดประจำเดิมด้วยการสร้างเครือข่ายการตลาดและการเสริมเสริมสร้างทักษะ ความรู้ใน
การดำเนินกจิ กรรมทางการตลาดให้กบั กลุ่มอาชีพในรปู แบบต่าง ๆ
๔. พัฒนาสมาชิกของกลุ่มอาชีพให้มีวิสัยทัศน์และทักษะในการทำงานเป็นกลุ่มและ
การดำเนินธุรกจิ ของกลุ่มบุคคล โดยการจดั การฝึกอบรมที่เนน้ กระบวนการทำงานเป็นกลุม่ การศึกษา
ดูงานการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนสหกรณ์หรือกลุ่มอื่น ๆ และประกาศเกียรติคุณกลุ่มอาชีพที่
ดำเนินการดีเด่นและการพบปะกันระหว่างกลุ่มอาชีพเพื่อเรียนรู้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและ
ประสบการณ์การทำงานระหว่างกันเพื่อสร้างคุณค่าของการทำงานร่วมกันการช่วยเหลือและแบ่งปัน
กนั และกนั รวมถงึ การร่วมกนั ดแู ลรกั ษาสมบัตขิ องสว่ นรวม
การพฒั นาอาชพี และส่งเสรมิ อาชพี ขององคก์ รปกครองท้องถน่ิ
แนวคดิ ในการพัฒนาอาชพี และส่งเสรมิ อาชีพมสี าระสำคญั ดงั น้ี๓๘
การรวมกล่มุ อาชีพ
๑. การรวมกล่มุ อาชพี ไดแ้ ก่
๑.๑ การศึกษาและวิเคราะห์ศักยภาพของท้องถิ่นที่เอื้อต่อการประกอบอาชีพของ
ประชาชน เช่น ทุนทางสังคม ทุนทางเศรษฐกิจ ทุนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระบบ
สาธารณปู โภคแหล่งทุน ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถิน่ และสภาพการประกอบอาชีพ เป็นตน้
๑.๒ จัดแบ่งกลุ่มอาชีพ ไดแ้ ก่
๑) กลุ่มอาชีพที่ต้องการช่วยเหลือพิเศษ คือ กลุ่มที่ขาดปัจจัยการผลิต มีหนี้สิน
หรือขาดทุนจากการประกอบอาชีพ ขาดทักษะ ความรู้ โดยแนวทางช่วยเหลือในกลุ่มนี้ควรส่งเสริม
ความรู้ แนะนำทักษะอาชีพ ประสานงานบูรณาหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องช่วยเหลือด้วยการกำหนด
แผนงานชว่ ยเหลอื อย่างเปน็ รปู ธรรม
๒) กลุม่ อาชีพท่ีพึง่ ตนเองได้แต่ยงั ไม่แข็งแรง คอื กล่มุ ท่ีขาดการบริหารจัดการอย่าง
เป็นระบบ ขาดคุณภาพการให้บริการ การตลาด โดยแนวทางช่วยเหลือในกลุ่มนี้ควรเป็นการส่งเสรมิ
ความรใู้ นระบบการบริหารจดั การกลุม่
๓) กลมุ่ ทมี่ ีความเข้มแขง็ คอื กล่มุ ทส่ี ามารถประกอบอาชีพได้ตามบริบทของตนเอง
แต่ขาดมาตรฐานการประกอบอาชีพที่สูงขึ้นโดยแนวทางการช่วยเหลือในกลุ่มนี้ควรส่งเสริมการให้มี
มาตรฐานการรับรองจากหน่วยงานของรัฐในประเทศและต่างประเทศ มีการบริหารจัดการครบวงจร
เพื่อสร้างความยั่งยืนในการประกอบอาชีพ
๓๘ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น, “การพัฒนาอาชีพและส่งเสริมอาชีพขององค์กรปกครองท้องถิ่น”
[ออนไลน์] : http://www.dla.go.th/work/๒๕๕๘/standardDla.jsp, (๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๔).
๒๘
๑.๓ การรวบรวมและจัดทำทะเบียนกลุ่มอาชีพ เป็นการแยกประเภทกลุ่มและ
จัดทำข้อมูลตามบริบทของการประกอบอาชีพและข้อมูลที่จำเป็นสอดคล้องกับพื้นที่ในการประกอบ
อาชพี
๑.๔ กำหนดกรอบในการรวมกลุ่มอาชีพอย่างเป็นระบบโดยเน้นการมีส่วนร่วม
ของสมาชกิ กล่มุ
๑.๕ การแลกเปลี่ยนความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ การแก้ปัญหาการ
ประกอบอาชพี
๑.๖ การสร้างความรู้ ความเข้าใจ ค่านิยม ทัศนคติตอ่ การประกอบอาชีพ อันเป็น
ภูมิคุ้มกันให้กับผู้ประกอบอาชีพโดยสร้างลักษณะการจัดบันทึก การสังเกต การพัฒนาเรียนรู้ ความ
ขยนั การประหยัดและออม เชน่ การจดบนั ทึก รายได้ รายจ่าย ตน้ ทนุ ทางการประกอบอาชีพ เป็นตน้
๑.๗ การติดตามและประเมินผลอันเป็นประโยชน์ต่อการรวมกลุ่มอาชีพ
ยทุ ธศาสตรก์ ารรวมกลุม่ อาชีพขององค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่น
๒. การจดั ต้งั กลุ่มอาชพี ได้แก่๓๙
๒.๑ ประชาสัมพันธ์เชิญชวนครัวเรือนสัมมาชีพชุมชนที่ประกอบอาชีพเดียวกัน
หรือประเภทเดียวกนั เข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มอาชพี
๒.๒ สร้างความรู้ความเข้าใจถึงหลักการ วิธีการดำเนินงานของกลุ่มอาชีพและ
ความสำคัญของกลุ่มที่มีต่อสมาชิกกลุ่มและชุมชน รวมถึงกิจกรรมที่จะต้องทำตามศักยภาพสภาพ
ทอ้ งถิน่
๒.๓ ดำเนินการจัดตั้งกลุ่มอาชีพโดยสมาชิกร่วมกันในการกำหนดองค์ประกอบ
พื้นฐาน ได้แก่ การตั้งช่ือกลุ่มอาชีพ วัตถุประสงค์ของกลุ่มอาชีพ คณะกรรมการ ตัวแทนจัดการงาน
กลมุ่ อาชพี กตกิ าของกลมุ่ อาชีพ และการจัดทำแผนปฏบิ ตั ิการของกล่มุ อาชีพในการทำงานร่วมกัน
๒.๔ ยื่นจดทะเบียนกลุ่มอาชีพกับสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอเพื่อรับหนังสือ
สำคัญแสดงการจัดตั้งกลุม่ อาชีพและดำเนินการตามแผนปฏิบตั ิการทรี่ ว่ มกนั ทำของกลุ่มอาชพี
๒.๕ ประสานงานหน่วยภาคีอาชีพเพื่อสนับสนุนกลุ่มอาชีพในด้านต่าง ๆ เป็น
ปัจจัยการผลติ การบรหิ ารจดั การ การตลาดและชอ่ งทางในการประชาสมั พนั ธใ์ นรูปแบบต่าง ๆ
๓. การสร้างความสมั พนั ธใ์ นกลมุ่ การทจ่ี ะดำเนินกิจกรรมกลุ่มให้ลลุ ว่ งด้วยดีนั้นต้อง
อาศัยความร่วมมือจากสมาชิกของกลุ่มเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญ การสร้างความสัมพันธ์ในกลุ่ม
ประกอบด้วย
๓.๑ การไว้วางใจและการยอมรับในความสามารถระหว่างกัน ในการทำงาน
รว่ มกันของสมาชิกกลุ่มต้องให้เกียรติต่อหนา้ ท่ีของแต่ละคนที่ไดร้ ับมอบหมายโดยไม่ก้าวก่ายสิทธิและ
หนา้ ทีข่ องผูอ้ ืน่
๓๙ สำนักงานความเข้มแขง็ ชมุ ชนกรมการพฒั นาชุมชน, การจดั ตงั้ กลมุ่ อาชพี , พมิ พ์ครัง้ ท่ี ๑, (กรงุ เทพมหานคร :
บริษทั สไตล์ครเี อทีฟเฮ้าส์ จำกดั , ๒๕๖๐), หน้า ๑.
๒๙
๓.๒ ความพร้อมใจกันของสมาชิกในการชว่ ยเหลือกันโดยไมเ่ ก่ียงงานมีน้ำใจไมตรี
จติ ตอ่ เพอ่ื นรว่ มงาน
๓.๓ มุ่งเน้นการติดต่อสื่อสารสองทางเพื่อการเปลี่ยนเรียนรู้และป้องกันการ
สือ่ สารทเี่ ข้าใจผดิ ในสาระสำคญั ของกลมุ่ อาชพี
๓.๔ เรียนรรู้ ะบบและขัน้ ตอนในการทำงานหรอื ดำเนินการ
๓.๕ การสร้างความมีส่วนร่วมของกลุ่ม เป็นแนวทางให้สมาชิกทุกคนในกลุ่มได้
รับรแู้ ละรับผิดชอบร่วมกันของกลุ่ม
ปจั จยั แห่งความสำเรจ็ ต่อของกลมุ่ อาชพี ดงั น้ี ๔๐
๑. เป็นกลุ่มที่มีประสิทธิภาพ เกิดจากความร่วมมือและการมีส่วนรวมของสมาชิก
ของกล่มุ ท่ีมีเป้าหมายให้กิจกรรมของกลุ่มน้ันสำเร็จลุลว่ งไปไดด้ ี ซึง่ ลักษณะของกลุ่มที่มีประสิทธิภาพ
ไดแ้ ก่
๑.๑ เป็นกลุ่มแบบไม่เป็นทางการมากนักมีการสร้างบรรยากาศเป็นกนั เอง
๑.๒ เป็นกลุ่มที่สร้างความสัมพันธ์ทั้งภายในกลุ่มและภายนอกกลุ่ม โดย
ความสัมพันธภ์ ายในกลุ่ม คอื สมาชกิ ทุกคนมีส่วนร่วมในการแลกเปล่ียนความคิดเห็นในกิจกรรมต่าง ๆ
ของกลุ่มทำให้เกิดการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และความสัมพันธ์ภายนอกกลุ่ม คือ การสร้าง
ความสมั พนั ธ์กบั เครือขา่ ยเพ่อื การแก้ปัญหา เชน่ ความสัมพนั ธ์กบั คนในชมุ ชน กล่มุ เครอื ขา่ ย เปน็ ตน้
๑.๓ การสร้างคุณค่าร่วมกันของงานในแต่ละงาน เป็นการสร้างความเข้าใจและ
การยอมรับในงานของกลุ่มและสมาชิกในกลุ่มเหน็ ความสำคญั ร่วมกนั
๑.๔ เป็นกลุ่มที่มีความแตกต่างทางความคิดและเป็นประชาธิปไตยซึ่งในบางคร้ัง
สมาชิก บางคนอาจมีความคดิ เห็นในกิจกรรมกลุ่มแต่ไม่มีการแสดงความก้าวร้าวหรือขัดขวางโดยไม่มี
เหตผุ ล
๑.๕ เปน็ กลุม่ ทีด่ ำเนินตามขอ้ ตกลงในกลมุ่ และปฏิบตั ิร่วมกัน
๑.๖ สมาชิกในกลุ่มมคี วามเปน็ อสิ ระทางด้านความคดิ เห็นไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่
เหน็ ด้วยกต็ าม
๑.๗ สมาชิกในกลมุ่ แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาเพ่ือให้เกิดการแก้ปัญหา
ทรี่ อบครอบและรอบดา้ น
๑.๘ สมาชิกมคี วามซอ่ื สัตย์และรับผดิ ชอบต่องานท่ีไดร้ ับมอบหมายและปฏิบัติจน
เปน็ ผลสำเร็จ
๑.๙ สมาชิกของกลุ่มทกุ คนมุง่ เป้าหมายในผลสำเร็จของงานมากกวา่ ตัวบุคคลท่มี ี
อำนาจควบคุมการจดั การกลมุ่ อาชพี
๒. การเสริมสร้างพลังอำนาจของกลุ่มอาชีพ เกิดจากความเสี่ยงในการประกอบ
อาชีพทั้งความเสี่ยงทางสังคมที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เช่น การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต วัฒนธรรม
๔๐ อ้อยใจ นามวงศ์, การรวมกลุม่ อาชีพสามล้อถีบ เพื่อการทอ่ งเท่ียวเชิงอนุรกั ษ์ในเขตอำเภอเมือง
จังหวัดเชียงใหม่, พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๑, (เชยี งใหม่ : บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่, ๒๕๔๕), หนา้ ๑,
๓๐
เทคโนโลยี และนวัตกรรม เป็นต้น และความเสี่ยงทางกายภาพ เช่น วัตถุดิบ สิ่งแวดล้อม สุขภาพ
ร่างกาย เป็นต้น ซึ่งปัจจัยเสี่ยงดงั กล่าว มีผลต่อความมัน่ คงในการประกอบอาชีพ ดังนั้นพลังของกลุม่
ที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่ พลังใจในสมาชิกของกลุ่มที่ความเชื่อว่าทำได้และเชื่อมั่นในกลุ่มอาชีพ และ
พลังของกลุ่มอาชีพที่มีการจัดสรรงานอย่างยุติธรรม มีความสามารถในการสร้างเครือข่าย และมี
ความสามารถในการแข่งขนั ย่อมนำไปสู่การเพ่ิมรายได้อยา่ งย่ังยืนและความมน่ั คงใหแ้ กส่ มาชิกในกลุ่ม
อาชีพ
การพัฒนาอาชพี ๔๑
การพัฒนาอาชพี มสี าระสำคัญ ดังนี้
๑. ความแตกต่างระหว่างบุคคลสง่ ผลต่อการตัดสนิ ใจเพื่อการพัฒนาอาชีพข้ึนอย่กู บั
ความแตกตา่ งกันของบคุ คลทางด้านความสนใจ ความสามารถ และบุคลกิ ภาพ
๒. ความสามารถของบุคคลบุคคลแต่ละบุคคลจะมีความสามารถที่เกิดจาก
ประสบการณ์และการรับรู้ต่างกันหรือที่เรียกว่าขีดความสามารถต่างกันที่จะทำให้เกิดความสำเร็จใน
การพัฒนางานต่างกนั
๓. คุณสมบัติต่อความต้องการของอาชีพ อาชีพแต่ละอาชีพต้องการบุคคลที่มี
ความสามารถ ความสนใจ และบคุ ลิกภาพแตกต่างกันไปในแต่ละอาชีพ
๔. ความชอบและความสามารถในอาชีพขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมและสภาพการ
เลียนแบบซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นการเลือกและการตัดสินใจในอาชีพจึงเป็น
กระบวนการทต่ี อ่ เน่อื ง
๕. กระบวนการเลอื กอาชพี เปน็ กระบวนการต่อเนือ่ งตามชว่ งชวี ติ ได้แก่
๕.๑ ช่วงเวลาและการพัฒนาความรู้สึกนึกคิดของตนเองเช่นการจินตนาการด้าน
อาชพี การเพอ้ ฝัน การใหค้ วามสำคัญของตนเองเป็นพนื้ ฐาน เป็นต้น
๕.๒ ช่วงเวลาของการสำรวจตัวเองและสำรวจอาชีพ เช่น พิจารณา และทดลอง
ทางเลอื กอาชีพจากปัจจัยต่าง ๆ เปน็ ต้น
๕.๓ ช่วงเวลาที่บุคคลเริ่มประกอบอาชีพถาวร เช่น การพบอาชีพที่เหมาะสมกับ
ความรแู้ ละความสามารถ เป็นต้น
๕.๔ ช่วงเวลาทบี่ ุคคลมีความมัน่ คงในการประกอบอาชีพเชน่ การสร้างความม่ันคง
ในอาชีพและการแสวงหา เป็นต้น
๕.๕ ชว่ งเวลาทป่ี ระสิทธิภาพในการประกอบอาชีพถดถอยลง เช่น ความก้าวหน้า
ลดนอ้ ยลง มกี ารเปลี่ยนแปลงในบทบาทและหน้าที่ และการพกั ผ่อนโดยไม่ประกอบกิจการใด ๆ เป็นต้น
๖. รูปแบบอาชีพ รูปแบบอาชีพขึ้นอยู่กับระดับสังคม เศรษฐกิจ สติปัญญา
บุคลกิ ภาพและโอกาสทีบ่ คุ คลได้รบั
๔๑ ออ้ ยใจ นามวงศ์, การรวมกลมุ่ อาชพี สามล้อถบี เพอ่ื การท่องเท่ียวเชิงอนุรกั ษ์ในเขตอำเภอเมือง
จังหวัดเชียงใหม่, พิมพค์ รง้ั ที่ ๑, (เชียงใหม่ : บณั ฑติ วทิ ยาลัย มหาวิทยาลยั เชียงใหม่, ๒๕๔๕ ), หน้า ๑.
๓๑
๗. การได้รับแนวทางในการพัฒนาอาชีพ เป็นการกำหนดช่องทางการพัฒนาโดย
ชว่ ยใหเ้ กิดวฒุ ิภาวะทางความสามารถและความสนใจดว้ ยการให้ทดลองฝึกงานตามโอกาสอันควร
๘. กระบวนการพัฒนาอาชีพเปน็ ผลมาจากการให้ความสำคญั ร่วมกนั ระหว่างบคุ คล
กับสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับความสนใจความถนัดย่อมทำให้เกิดการประสานความเข้ากันในความสามารถ
ทีบ่ คุ คลพึงมแี ละโอกาสทางอาชพี ท่จี ะเป็นไปไดจ้ รงิ
สรุป การรวมกลุ่มอาชีพและการพัฒนากลุ่มอาชีพ เป็นภารกิจหลักขององค์กร
ปกครองสว่ นท้องถิ่นท่ีจะกำหนดแนวทางและสร้างความมนั่ คงในการประกอบอาชีพของชุมชนเพราะ
การเปลี่ยนแปลงทางสภาพแวดล้อมและนวัตกรรมเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วส่งผลโดยตรงต่อการประกอบ
อาชีพ ถ้าขาดการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ทันต่อสภาพการณ์ดังกล่าวย่อมทำให้ความมั่นคงในการ
ประกอบอาชีพนั้นถดถอยลงไปทุกที ดังนั้น การรวมกลุ่มอาชีพและการพัฒนากลุ่มอาชีพจึงเป็น
ช่องทางหนึ่งเพื่อสร้างการต่อรองและเป็นการทำงานร่วมกันเพื่อให้การประกอบอาชีพมีความมั่นคง
และยั่งยืน อย่างไรก็ตามการรวมกลุ่มอาชีพให้เกิดประสทิ ธิภาพได้นั้น ต้องเกิดจากพลังใจท่ีเช่ือม่ันใน
กลุ่มอาชีพและเช่ือในพลังของกลุ่มอาชีพ รวมถึงมีมุมมองหรือเป้าหมายเดียวกันของสมาชิก อีกทั้งยัง
ต้องประสานความร่วมมือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและหน่วยงานที่สนับสนุนเพื่อให้กิจกรรมของ
กลุ่มประสบความสำเรจ็ สง่ ผลให้กล่มุ อาชพี มคี วามม่ันคงและย่ังยืน
๒.๒.๒.๓. แนวคิดการส่งเสริมอาชพี ชุมชนในรูปแบบตา่ ง
การคดิ และกำหนดแนวทางเพ่ือส่งเสริมอาชีพชุมชนให้มรี ายได้อย่างมน่ั คงในรปู แบบต่าง ๆ
ถือวา่ เปน็ ความสำคัญทีจ่ ะช่วยให้อาชีพหรือกลมุ่ อาชีพในชุมชนไดม้ ีโอกาสและช่องทางในการเพ่ิมการ
ผลิตและจำหนา่ ยสนิ ค้าไดเ้ พิ่มมากขน้ึ แนวคิดทส่ี ำคัญมดี งั น้ี๔๒
๑. แนวคิดการจัดการท่องเท่ียวชุมชนโดยชมุ ชน
การจัดการท่องเที่ยวชุมชนโดยชุมชน เป็นแนวคิดที่สอดคล้องยุทธศาสตร์ใหม่ของภาครัฐ
ที่ต้องการให้เกิดการบูรณาการนวัตกรรมผสมผสานกับวิถีชีวิตในการผลิตสินค้าชุมชนและนำการ
ทอ่ งเที่ยวชุมชนผนวกเข้าไปเพือ่ การสร้างเศรษฐกจิ ฐานรากท่ีเขม้ แข็ง
แนวคิดดังกล่าวระบุไว้ในโครงการ “ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี” ซึ่งเป็นแนวคิด
พัฒนา OTOP รูปแบบใหม่ที่มุ่งเน้นการส่งเสริมอาชีพให้กับชุมชนอย่างเป็นรูปธรรมโดยเน้นการดึง
นักท่องเที่ยวเขา้ สูช่ ุมชนให้ชาวบ้านได้ขายสินค้าอยูภ่ ายในชุนชนของตนเอง สร้างรายได้เพิ่มให้ชุมชน
โดยนำเอาเสน่ห์ ภูมิปัญญา วิถีชีวิต วัฒนธรรม และความคิดสร้างสรรค์มาแปลงเป็นรายได้ทำให้เกิด
รายได้กระจายภายในชุมชน ส่งเสริมการสร้างชุมชนเข้มแข็ง โดยทุกคนในชุมชนพร้อมเป็นเจ้าบ้าน
และส่งผลให้ลูกหลานไม่ต้องออกไปหารายไดจ้ ากภายนอกชุมชน ซ่ึงแตกต่างไปจากการพัฒนา OTOP
ในแบบเดมิ ที่ตอ้ งนำสินค้าออกไปขายนอกชมุ ชน และทกุ อยา่ งขึน้ กบั หนว่ ยงานของรัฐ๔๓
๔๒ ผการัตน์ พินิจวัฒน์, การส่งเสริมอาชีพให้ชุมชน กรณีศึกษา บ้านโพนไทร ตําบลเมือง อําเภอเมือง
จังหวัดเลย, พิมพค์ ร้ังที่ ๑, (เลย : ภาควชิ าสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย, ๒๕๖๑), หน้า ๑.
๔๓ ผการัตน์ พินิจวัฒน์, การส่งเสริมอาชีพให้ชุมชน กรณีศึกษา บ้านโพนไทร ตําบลเมือง อําเภอเมือง
จงั หวัดเลย, (เลย : ภาควิชาสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฏั เลย, ๒๕๖๑), หนา้ ๕.
๓๒
๒. แนวคดิ ตลาดนัดชุมชน
ตลาดนัดชุมชน เป็นอีกแนวคิดที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์กรมการพัฒนาชุมชน
พ.ศ. ๒๕๖๐ - ๒๕๖๔ ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ ๒ ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากให้ขยายตัว กลยุทธ์ที่ ๒.๓
ส่งเสริมช่องทางการตลาดโดยกำหนดกระบวนงานที่ส่งเสริม การเพิ่มช่องทางการตลาดให้กับผู้ผลิต
ผ้ปู ระกอบการชุมชนให้มากขนึ้ และสร้างการตลาดรูปแบบใหม่ท่ีสามารถตอบสนองความต้องการของ
ลูกค้าได้อย่างสะดวกและทั่วถึง โดยความร่วมมือภาครัฐ เอกชน และประชาชน สร้างรายได้ และให้
ความช่วยเหลือผู้ประกอบอาชีพในชุมชนท้ังทเี่ ปน็ การทำอาชีพรายบคุ คลหรอื รวมกนั เปน็ กลุ่มอาชีพได้
นำผลิตภัณฑ์สินค้าหรือผลผลิตในชุมชนหรือจากพื้นบ้านออกมาจำหน่ายในพื้นที่ว่างของชมุ ชนตามที่
ไดก้ ำหนดร่วมกนั ไว้ (กรมการพฒั นาชุมชน, ๒๕๕๙) และสอดคลอ้ งกับความหมายของตลาดนัดชุมชน
เป็นการใชพ้ ื้นท่ีของชุมชนในการทำกิจกรรมการแลกเปล่ยี น ซื้อขายสนิ คา้ ทม่ี าจากผลผลิตในชุมชนใน
ลักษณะการวางจำหน่ายกับพื้นหรือแผงที่สามารถรื้อถอนได้ง่ายหลังเลิกตลาดนัดและมีลักษณะเป็น
การร่วมกันทำกจิ กรรมช่วั คราวโดยกำหนดช่วงเวลาไวอ้ ย่างชัดเจนในการเปดิ ปิดตลาดนดั ๔๔
๓. แนวคดิ ตลาดชมุ ชนหรอื ร้านค้าชมุ ชน
ตลาดชุมชนหรือร้านค้าชุมชน เป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาชุมชนในประเด็น
เกี่ยวกับการสร้างกระบวนการเรียนรูเ้ พื่อให้คนในชุมชนรูจ้ กั ตัวตนและเข้าใจชุมชนท้องถิ่นของตนเอง
รู้ปัญหา ความต้องการ นำไปสู่การร่วมคิด ร่วมกำหนดแนวทางการแก้ปัญหาลงมือปฏิบตั ิและพัฒนา
ด้านต่าง ๆ ตามศกั ยภาพและทุนของชุมชนและมงุ่ เนน้ การทำกิจกรรมส่งเสริมอาชีพรว่ มกัน อาทิ การ
ใชพ้ น้ื ทร่ี ่วมกนั ในการจดั จำหนา่ ยผลติ ภัณฑช์ ุมชน การบริการจดั การพน้ื ท่ีชุมชนร่วมกัน๔๕
๔. แนวคดิ ศูนยแ์ สดงสินคา้ ชมุ ชนหรือ OTOP
ศูนย์แสดงสินค้าชุมชนหรือ OTOP เป็นแนวคดิ ท่ีสอดคล้องกบั ภารกจิ ของกรมการพัฒนา
ชุมชนใน การส่งเสริมและและพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนฐานรากให้มีความมั่นคงโดยส่งเสริมและพัฒนา
อาชีพ พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากชุมชนและการมีส่วนรว่ มของประชาชนในการสร้างงานสร้างรายได้
ให้แก่ชุมชนรวมทั้งการเชื่อมแหล่งทุน แหล่งตลาด และการสร้างโอกาสช่องทางในการจำหน่าย
ผลิตภัณฑ์ชุมชนโดยเฉพาะการจัดตั้งเครือข่าย OTOP ในระดับตำบล อำเภอ จังหวัด และ
ระดับประเทศในการกำหนดกรอบการจัดตัง้ ศูนยจ์ ำหนา่ ยผลิตภัณฑ์ชมุ ชน (OTOP center) ในแต่ละ
จังหวัดและต่างประเทศเพอ่ื เปน็ ช่องทางการจำหน่ายให้กับสินค้า OTOP๔๖
โดยสรุป แนวคิดพัฒนาและส่งเสริมอาชีพเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญในกระบวนการ
สง่ เสรมิ อาชีพชุมชนใหเ้ กิดความม่ันคงในอาชีพและเพิ่มรายได้อย่างยัง่ ยนื ซึง่ การนำแนวทาง วิธีการท่ี
๔๔ ธงชัยธนสถิต, ตลาดนัดชุมชนไทยช่วยไทยคนไทยยิ้มได้, พิมพ์ครั้งที่ ๑, (ฉะเชิงเทรา : กลุ่มงาน
สารสนเทศการพัฒนาชมุ ชน สำนักงานพัฒนาชุมชนจงั หวดั ฉะเชงิ เทรา, ๒๕๖๐).
๔๕ ธงชัยธนสถิต, ตลาดนัดชุมชนไทยช่วยไทยคนไทยยิ้มได้, พิมพ์ครั้งที่ ๑, (ฉะเชิงเทรา : กลุ่มงาน
สารสนเทศการพัฒนาชมุ ชน สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดฉะเชิงเทรา, ๒๕๖๐).
๔๖ กรมการพัฒนาชุมชน, รายงานผลการดำเนินงานกรมการพัฒนาชุมชน ประจำปี, พิมพ์ครั้งที่ ๑,
(กรงุ เทพมหานคร : กรมการพัฒนาชมุ ชน, ๒๕๕๙).
๓๓
สำคัญที่ระบุไว้ตามแนวคิดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการนำแนวคิดพัฒนาและส่งเสริมอาชีพที่กำหนด
สาระสำคัญไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แนวคิดการพัฒนากลุ่มอาชีพประชาชนใน
ถิ่นทุรกันดารตามพระราชดำริการพัฒนาอาชีพและส่งเสริมอาชีพขององค์กรปกครองท้องถิ่นและ
แนวคดิ การส่งเสริมอาชีพชุมชนในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งแนวคดิ เหล่านี้ได้กำหนดแนวทาง ทิศทาง เทคนิค
วิธีการและรูปแบบในการพัฒนาและส่งเสริมอาชีพให้กับผู้ประกอบอาชีพเพื่อจะได้น ำไปใช้หรือ
ประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทและศักยภาพในอาชีพของตน โดยเฉพาะนำไปใช้กับการพัฒนา
คณุ ภาพชีวิตและการส่งเสริมอาชพี ใหก้ ับกลุ่มผู้สูงอายุทม่ี ีศักยภาพในการประกอบอาชีพในชมุ ชน
๒.๒.๒.๔. แนวคดิ การสง่ เสริมอาชีพสำหรบั ผ้สู ูงอายุ
บทบาทของผู้สูงอายุในอนาคตอันใกล้นี้ ผู้สูงอายุจะมีบทบาทที่สำคัญต่อการ
พฒั นาเศรษฐกิจฐานรากท่ีมุ่งเน้นให้ชุมขนเข้มแข็งดว้ ยการเป็นกำลงั หลักในการขับเคล่ือนกิจกรรมต่าง ๆ
ในชุมชนโดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุที่มีศักยภาพในด้านสภาพร่างกาย ความรู้ ความสามารถและภูมิ
ปัญญา ถ้าได้รับการส่งเสริมและพัฒนาที่เหมาะสมแล้วย่อมทำให้กลุ่มผู้สูงอายุชุมชนนั้นมีความ
เข้มแข็งและ ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายของภาครัฐในการดูแลกลุ่มผู้สงู อายุอีกด้วย ดังนั้นการส่งเสริมอาชพี
ใหก้ ับผู้สูงอายุจงึ เป็นความสำคัญในระดับต้น ๆ ทภี่ าครฐั ตอ้ งสง่ เสริมและสนบั สนนุ ซ่งึ มีหน่วยงาน นัก
คิดนักวิชาการ ได้นำเสนอวิธีการส่งเสริมอาชีพให้กับผู้สูงอายุในชุมชน และแนวคิดการถ่ายทอดภูมิ
ปัญญาของผูส้ ูงอายุ มีสาระสำคัญ ดงั น้ี
การพัฒนาคนสสู่ ังคมแหง่ การเรยี นรตู้ ลอดชีวิตอย่างยงั่ ยืน ได้แก่
๑. การพฒั นาคุณภาพคนไทยให้มภี ูมิคุ้มกนั ต่อการเปลีย่ นแปลง อาทิ การเรยี นรู้สู่
การปฏบิ ัตอิ ยา่ งตอ่ เนื่อง มีการสัง่ สมทุนทางปัญญา และเชอื่ มโยงการค้นควา้ วิจยั
๒. พัฒนาสู่การเสริมสร้างขีดความสามารถในการประกอบสัมมาชีพและการ
ดำรงชีวติ ทเี่ หมาะสมในแตล่ ะชว่ งวัย ๔๗
การพัฒนาผู้สงู อายใุ ห้มคี วามมนั่ คงทางเศรษฐกิจและสังคม ได้แก่
๑. ส่งเสริมการสร้างรายได้และการมีงานทำในผู้สูงอายุ โดยกำหนดลักษณะ
ประเภทงานและอตั ราค่าจ้างทเ่ี หมาะสมควบคู่กับการเพิ่มพูนความรู้ทักษะทั้งด้านวิชาการและการใช้
สื่อการเรียนรสู้ มยั ใหมใ่ หแ้ กผ่ สู้ ูงอายุ เพ่ือการประกอบอาชพี และการพัฒนาตวั เองอย่างต่อเนื่อง
๒. ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการนำความรู้และประสบการณ์ของผู้สูงอายุที่เป็น
คลังสมองของชาติทั้งภาครัฐและเอกชน ปราชญ์ชาวบ้าน ผู้มีความรูภ้ ูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ประโยชน์
ในการพัฒนาชมุ ชน ทอ้ งถิน่ และประเทศ
๓. สง่ เสรมิ ให้ผู้สูงอายสุ ามารถพง่ึ ตนเองโดยการปรบั ปรุงสภาพแวดล้อมและความ
จำเปน็ ทางกายภาพให้เหมาะกับวัย และการพัฒนาระบบการดูแลผู้สงู อายุในรูปแบบที่หลากหลายทั้ง
ในด้านการจัดบริการสุขภาพและสวัสดิการสังคมอย่างบูรณาการ โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน
๔๗ ประดินนั ท์ อปุ รมยั , มนษุ ยก์ บั การเรียนรู้ เอกสารการสอนชุดวิชาพื้นฐานการศึกษา, พิมพ์ครั้งที่ ๑๕,
(นนทบุรี : โรงพมิ พม์ หาวทิ ยาลัยสุโขทยั ธรรมาธริ าช, ๒๕๔๐), หน้า ๑.
๓๔
อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งพัฒนาชุมชนที่มีศักยภาพและความพร้อมให้เป็นต้นแบบของการดูแลผู้สูงอายุ
เพอื่ ขยายผลไปสชู่ มุ ชนอนื่ ๔๘
สรุป แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักส่งเสริมและพิทักษ์ผู้สูงอายุ
ในการส่งเสรมิ อาชพี ให้กบั ผู้สูงอายุ เป็นการบรู ณาการยกระดับคุณภาพชีวติ ของผูส้ ูงอายุในอีกรูปแบบ
หนึ่งที่มีกระบวนการส่งเสริมอาชีพครบวงจร โดยเฉพาะการนำกิจกรรมในการส่งเสริมในด้านต่าง ๆ
ไม่ว่าจะเป็นการฝึกอาชีพตามความถนัดและความสนใจรวมถึงศักยภาพของผู้สูงอายุรวมถึงการ
รวมกลุ่มอาชีพเพื่อสร้างงานสร้างรายได้และจัดสถานที่เพื่อให้ผู้สูงอายุได้มีกิจกรรมแสดงผลงานจาก
การประกอบอาชีพของตนและจัดกิจกรรมเพื่อค้นหาช่องทางจำหน่ายผลิตภัณฑ์สำหรับผู้สูงอายุใน
รปู แบบใหม่ ๆ
โดยสรุป แนวคิดการส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ เป็นการนำวิธีการหรือแนวทางเพื่อให้
คณุ ภาพชวี ิตของผ้สู งู อายดุ ีขึน้ ซงึ่ หน่วยงานทส่ี ำคญั ได้บูรณาการยกระดบั คุณภาพชวี ติ ของผสู้ ูงอายุท่ีมี
กระบวนการส่งเสริมอาชีพครบวงจร โดยเฉพาะการนำกิจกรรมในการส่งเสริมในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะ
เป็นการฝึกอาชีพตามความถนัดและความสนใจรวมถึงศักยภาพของผ้สู งู อายรุ วมถึงการรวมกลุ่มอาชีพ
เพื่อสร้างงานสร้างรายได้และจัดสถานที่เพื่อให้ผู้สูงอายุได้มีกิจกรรมแสดงผลงานจากการประกอบ
อาชีพของตน และจัดกิจกรรมเพื่อค้นหาช่องทางจำหนา่ ยผลิตภณั ฑ์สำหรับผูส้ ูงอายุในรูปแบบใหม่ ๆ
และที่สำคัญกิจกรรมอาชีพที่เกิดจากภูมิปัญญาของผู้สูงอายุและกิจกรรมการถ่ายทอดภูมิปัญญาของ
ผู้สงู อายถุ อื วา่ มีความสำคญั ในการส่งเสริมอาชพี ทม่ี ีความม่นั คงและย่ังยืน
๒.๒.๒.๕. แนวคดิ การสง่ เสรมิ เอกลกั ษณ์อาชีพ
แนวคิดการส่งเสริมเอกลักษณอ์ าชีพ ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาประเทศทีท่ ุก
รัฐบาลหันมาให้ความสำคัญต่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากหรือเศรษฐกิจชุมชนให้มีความเข้มแข็ง ด้วย
การสนับสนุนและส่งเสริมเอกลักษณ์ของชุมชนที่มีความโดดเด่นในการชี้ชวนนักท่องเที่ยวเข้ามาสู่
ประเทศ สร้างรายได้ให้กบั ชุมชนท้องถน่ิ ได้อย่างมนั่ คง ส่งผลใหเ้ ศรษฐกจิ ฐานรากมีความเขม้ แข็ง โดย
ไม่ตอ้ งใชง้ บประมาณลงทุนอย่างมหาศาลในอุตสาหกรรมอืน่ ๆ
เอกลักษณ์อาชีพเป็นการประสมของคำสองคำคือ คำว่า เอกลักษณ์ หมายถึง ลักษณะท่ี
เหมือนกันมีร่วมกันหรือมีความโดดเด่นเฉพาะตัวทั้งในเชิงพื้นที่ บุคคล พฤติกรรม กิจกรรมในการ
ดำรงชีพของคนหรือกลุ่มคน เช่นชุมชนนี้เลีย้ งปลาและปลูกไม้ผลเหมือนกันหรือมีร่วมกันในชุมชนน้นั
เป็นตน้ และคำว่า อาชีพ หมายถึง กิจกรรมในการทำมาหากินในรปู แบบต่าง ๆ ท่จี ะได้รับค่าตอบแทน
หรอื รายได้ท่ีจะนำไปใช้จา่ ยในการดำรงชีวิตของตนเองและครอบครวั ชมุ ชน และประเทศชาติ ดังน้ัน
เอกลักษณ์อาชีพหมายถึงการทำอาชีพดั้งเดิมหรืออาชีพที่มีความโดดเด่น มีความเป็นเฉพาะตัวหรอื มี
๔๘ กระทรวงการพัฒนาสงั คมและความมั่นคงของมนษุ ย์, รายงานประจาํ ปีงบประมาณ ๒๕๕๖, พิมพ์
ครงั้ ที่ ๑, (กรุงเทพมหานคร : สาํ นักงานสง่ เสรมิ สวัสดิภาพและพทิ กั ษเ์ ดก็ เยาวชนผูด้ อ้ ยโอกาสและผสู้ งู อายุ, ๒๕๕๗).
๓๕
ลักษณะเฉพาะพื้นที่ รวมถึงการทำอาชีพพัฒนาใหม่ที่มีอยู่เหมือน ๆ กันหรือมีร่วมกันของชุมชน
ทอ้ งถ่ินนนั้ ๆ ซง่ึ อาจรวมกันเปน็ กลุ่มอาชีพหรอื การทำอาชีพรายบคุ คล๔๙
อย่างไรก็ตามความเป็นเอกลักษณ์จะคงอยู่ได้หรือสืบทอดต่อกันสู่อนุชนรุ่นหลังต้องอาศัย
การสนับสนุนและส่งเสริมของภาครัฐและภาคอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งรูปแบบการส่งเสริมเอกลักษณ์
อาชพี ทส่ี ำคัญ ดังน้ี
๑. การถ่ายทอดภมู ปิ ญั ญา
ภูมิปัญญา เป็นรูปแบบการส่งเสริมเอกลักษณ์ชุมชน โดยอาศัยศักยภาพผู้ซึ่งได้
เรียนรู้และมีประสบการณ์สะสมจนมีความรอบรู้ ทักษะ ความเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ ที่มีคุณค่าและ
เป็นประโยชน์ต่อการดำเนนิ ชวี ิตของตนเองและสังคมจนเปน็ ทยี่ อมรบั ของสังคมวา่ เปน็ ภูมิปัญญาหรือ
ปราชญ์ชาวบ้านซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่เกิดจากการเรียนรู้สั่งสมและสืบทอดต่อกันมาจากอดีตถึงปัจจุบัน
น้นั มอี ยู่หลากหลายด้านด้วยกนั ท้ังในด้านเกษตรกรรม ด้านอุตสาหกรรม ดา้ นแพทย์แผนไทยด้านการ
จัดการทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมด้านกองทุนและธุรกจิ ชุมชน ด้านศิลปกรรมดา้ นภาษาและ
วรรณกรรมดา้ นปรชั ญา ศาสนาประเพณีและดา้ นโภชนาการ๕๐
๒. สง่ิ บ่งช้ีทางภมู ศิ าสตร์ (จีไอ) (Geographical Indications: GI)
สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ เป็นอีกหนึ่งการส่งเสริมเอกลักษณ์อาชีพที่มีข้อกำหนดการ
คุ้มครองที่มีผลทางกฎหมายตามพระราชบัญญัติคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๔๖ โดย
กำหนดคำนิยาม “สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์” หมายถึง ชื่อ สัญลักษณ์หรือสิ่งอื่นใดที่ใช้เรียกแทนแหล่ง
ภูมิศาสตร์ ที่สามารถบ่งบอกได้ว่าสินค้าที่เกิดจากแหล่งนั้นเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ ชื่อเสียงหรือ
คุณสมบตั ิของแหล่งภูมิศาสตรน์ ้นั ” โดยการขน้ึ ทะเบยี นตามเงื่อนไขทก่ี ำหนด
สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่ให้การคุ้มครอง
เอกลักษณ์ที่เกิดจากธรรมชาติและมนุษย์ เช่นชุมชนท้องถิ่นได้อาศัยลักษณะเฉพาะที่มีอยู่ในแหล่ง
ภูมิศาสตร์ตามธรรมชาติ เช่น นำวัตถุดิบเฉพาะในพื้นที่มาใช้ในการผลติ สินค้าในท้องถิ่นของตนขึ้นมา
ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณลักษณะพิเศษ คุณภาพ ชื่อเสียงหรือคุณลักษณ์อื่น ๆ ที่มาจากแหล่ง
ภูมศิ าสตรน์ ัน้ ๆ เปน็ ต้น
โดยสรุปการส่งเสริมเอกลักษณ์อาชีพที่สำคัญประกอบด้วยการถ่ายทอดภูมิปัญญา
และการคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ซึ่งทั้งสองรูปแบบล้วนแต่มีจุดมุ่งหมายด้านการเพิ่มความ
เข้มแข็งของชุมชนและเพิ่มศักยภาพของชุมชน กล่าวคือ การถ่ายทอดภูมิปัญญาเป็นการถ่ายทอด
ความรู้ ประสบการณ์ วิธกี ารตา่ ง ๆ ของชุมชน เพื่อรกั ษาส่งิ ทีด่ มี คี ณุ คา่ ของชุมชนให้คงอยูม่ ิให้สูญหาย
และสามารถส่งต่อคุณค่าต่าง ๆ สู่คนรุ่นต่อไป โดยเฉพาะเอกลักษณ์ชุมชนด้านต่าง ๆ ที่โดดเด่นย่อม
๔๙ ธัชกร ภัทรพันปี, กระบวนการส่งเสริมเอกลักษณ์อาชีพสําหรับกลุ่มผู้สูงอายุ ในตําบลบางปลา
อําเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ, พิมพ์ครั้งที่ ๑, (สมุทรปราการ : สาขาการจัดการคณะวิทยาการจัดการ
มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏธนบุร,ี ๒๕๖๓).
๕๐ สุมาลี สังข์ศรี, การประเมินผลการนำนโยบายการส่งเสริมรักการอ่านสู่การปฏิบัติระดับ
ประถมศึกษา ทง้ั ในโรงเรียนและนอกระบบโรงเรียน, พิมพ์คร้งั ท่ี ๑, (นนทบรุ ี : สุโขทยั ธรรมมาธริ าช, ๒๕๕๐).
๓๖
ส่งผลให้ความเป็นเอกลักษณ์ของชุมชนยังคงอยู่และเป็นความเข้มแข็งของชุมขนนั้น ๆ ส่วนการ
คมุ้ ครองสง่ิ บ่งช้ที างภูมิศาสตร์เป็นการดึงศักยภาพชมุ ชนทมี่ ีเอกลกั ษณ์เฉพาะเข้าสู่การคุ้มครองสิ่งบ่งช้ี
ทางภูมิศาสตร์โดยมีข้อกฎหมายในการคุ้มครองทำให้ชุมชนทอ้ งถิ่นมีความมัน่ ใจและใช้ประโยชน์จาก
การเปน็ เอกลกั ษณข์ องชุมชนได้อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ นำไปสกู่ ารมรี ายได้อย่างมั่นคง และย่งั ยนื
๒.๓ แนวคดิ และทฤษฎีเก่ียวกับการประกอบอาชีพ
การทำงานของประชากร มอี ยู่หลากหลายรูปแบบ ท้ังอาชีพในระบบและอาชีพนอกระบบซ่ึง
แต่ละรูปแบบ มีความสำคัญต่อการสร้างรายได้และชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัว ตลอดจนเป็น
ปัจจัยสนับสนุนให้มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เนื่องจากเมื่อมีงานทำแล้วจะมีการอุปโภคบริโภค
ทำให้มีการไหลเวียนของกระแสเงินในระบบเศรษฐกิจ ในการศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาอาชีพและ
แนวโน้มของอาชีพอิสระ หรือการประกอบธุรกิจของบุคคล โดยได้มีการศึกษา แนวคิด ทฤษฎีและ
ผลงานวจิ ยั ทีเ่ ก่ียวขอ้ ง ดงั นี้
๒.๓.๑ ทฤษฎพี ัฒนาการด้านอาชีพ
ทฤษฎีพัฒนาการด้านอาชีพของทีดแมนและโอฮารา (Tiedeman and O’Hara’s
Theory of Career Development) โดยมีรายละเอียดดงั ตอ่ ไปน้ี
David V. Tiedeman and Robert P.O.Hara ได้สร้างทฤษฎีการพัฒนาอาชีพ
ขึ้นโดยอาศัยทฤษฎีการพัฒนาบุคลิกภาพของอิริคสัน ( Erikson’s Theory of Personality
Development) เป็นพื้นฐานนอกจากนี้ทีดแมนและโอฮารายังได้แนวความคิดจากกินซ์เบอร์กและ
ซเู ปอรม์ าสร้างทฤษฎจี ึงทำให้ทฤษฎีของเขาเปน็ ทฤษฎีพฒั นาการดา้ นอาชีพทเ่ี น้นทั้งด้านการตัดสินใจ
เลือกอาชีพและการปรับตัวในอาชีพของบุคคลทีดแมนและโอฮารา เห็นว่าพัฒนาการด้านอาชีพเป็น
กระบวนการที่ต้องสร้างเอกลักษณ์ด้านอาชีพเมื่อบุคคลต้องเผชิญกับงาน เขาได้อธิบายว่า
ประสบการณใ์ หม่ ๆ ทำ ให้บุคคลสร้างเอกลกั ษณด์ ้านอาชีพข้นึ การสร้างเอกลักษณ์ด้านอาชีพดังกล่าว
เป็นการสร้างเอกลักษณ์ในการทำงานของตนเองเพื่อให้ตนเองสามารถอยู่ในสังคมได้การสร้าง
เอกลักษณ์ของตนเองเป็นปรากฏการณ์ทางด้านจิตวิทยาและสังคมวิทยาพัฒนาการด้านอาชีพที่เน้น
การตัดสินใจเลือกอาชีพและการปรับตัวในอาชีพประกอบด้วยขั้นต่าง ๆ หลายขั้นซึ่งบางครั้งอาจจะ
เกิดข้นึ ซำ้ แล้วซ้ำเล่าตลอดชวี ติ ของบคุ คลเมอื่ บุคคลต้องเปลีย่ นงานใหมอ่ ยู่เสมอ
ทฤษฎีของทีดแมนและโอฮารา๕๑ แบ่งออกเป็นระยะใหญ่ ๆ ได้ ๒ ระยะคอื
๑) ระยะเตรียมเลอื กอาชีพ (Period of Anticipation or Preoccupation) ใน
ระยะน้ีแบง่ ออกเป็นขนั้ ตอนย่อย ๆ ได้ ๔ ขน้ั คอื
๑.๑) ขั้นสำรวจ (Exploration Stage) ในขั้นนี้บุคคลจะทำการสำรวจข้อมูลต่าง ๆ
และประเมินตนเองในด้านความสนใจความสามารถความถนัดประสบการณ์ลักษณะสาขาวิชาและ
ลักษณะอาชพี ตา่ ง ๆ ตลอดจนการประเมนิ ความเป็นไปได้ในการประกอบอาชพี
๕๑ Ginzberg ๑๙๕๑; Super ๑๙๕๗; Tiedman and O' Hara ๑๙๖๓
๓๗
๑.๒) ขั้นการก่อตัวของความคิด (Crystallization Stage) ในขั้นนี้บุคคลจะนำเอา
ข้อมูลในขั้นสำรวจมาพิจารณาร่วมกับค่านิยมและเป้าหมายในชีวิตของตนเองประเภทของอาชีพและ
ทางเลือกอน่ื ๆ ความคิดจะเริ่มชัดเจนขึ้น
๑.๓) ขั้นการทดลองเลือกอาชีพ (Choice Stage) ในขั้นนี้บุคคลจะทดลองตัดสินใจ
เลือกอาชีพการตัดสินใจเลือกอาชีพครั้งนี้จะเป็นการตัดสินใจชั่วคราวหรือถาวรนั้นขึ้นอยู่กับข้อมูลท่ี
บุคคลไดท้ ราบในข้ันการสำรวจและข้ันการกอ่ ตัวความคดิ
๑.๔) ขั้นการพิจารณารายละเอียด (Clarification Stage) ในข้นั นี้บุคคลจะหาข้อมูล
เพ่ิมเติมเพื่อขจัดความสงสัยและเพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีรายละเอียดและชัดเจนเพียงพอเพื่อการตัดสินใจ
เลอื กอาชพี ทแ่ี น่นอน
๒) ระยะการประกอบอาชีพและการปรับตัว (Period of Implementation
and Adjustment) ในระยะนี้บุคคลพร้อมและเริ่มประกอบอาชีพที่ได้เลือกสรรมาแล้วระยะการ
ประกอบอาชพี และการปรับตวั แบ่งออกเปน็ ขนั้ ตอนย่อย ๆ ได้ ๓ ข้ันคอื
๒.๑) ขั้นเข้าสู่การศึกษาหรืออาชีพ (Induction Stage) ในขั้นนี้บุคคลจะเข้าศึกษา
ในสาขาวิชาชพี เพอ่ื เตรียมตวั ประกอบอาชีพหรอื เร่ิมประกอบอาชีพทไี่ ด้เลือกไวแ้ ลว้ โดยทั่วไปบุคคลจะ
ยอมรับและปรบั ตัวเองเขา้ กับสภาพแวดล้อมใหม่
๒.๒) ขั้นการปรับปรุง (Reformation Stage) ในขั้นนี้บุคคลจะได้รับการยอมรับใน
สภาพแวดล้อมทางการศึกษาหรืออาชีพที่ได้เลือกแล้วบุคคลจะพยายามประนีประนอมกันระหว่าง
เป้าหมายของตนเองกบั ของคนกลุ่มใหญ่และในทส่ี ดุ เขากจ็ ะคล้อยตามกนั
๒.๓) ขั้นความมั่นคง (Integration Stage) ในขั้นนี้บุคคลมีความมั่นคงและมี
ความสำเร็จในการศึกษาหรือการประกอบอาชีพและเห็นว่าอาชีพนั้นเหมาะสมกับตนเองเมื่อบุคคล
เกิดความรู้สึกไม่พึงพอใจกับอาชีพที่เขาเลือกเขาอาจจะเริ่มกระบวนการเลือกอาชีพใหม่อีกโดยใช้
ข้อมลู จากกระบวนการเลอื กคร้งั แรกเปน็ ประโยชนใ์ นการตัดสนิ ใจเลือกอาชพี ครั้งตอ่ ไป
๒.๓.๒ ทฤษฎกี ารเลอื กอาชีพ
ทฤษฎีหรือความเชื่อเก่ียวกับการเลือกอาชีพมีผู้นำเสนอไว้หลายท่านดังนี้ในเร่ือง
ของการเลือกอาชีพ สำเนาว์ ขจรศิลป๕๒ ได้กล่าวถึงทฤษฎีของฮอลแลนด์ (Holland) ซึ่งฮอลแลนด์
ไดส้ รา้ งทฤษฎีการเลอื กอาชีพโดยไดต้ ้ังสมมตฐิ านไว้ดังน้ี
๑) การเลอื กอาชีพเป็นการแสดงออกถึงบุคลกิ ภาพของบุคคลความสนใจในอาชีพ
แสดงใหเหน็ ถงึ บคุ ลกิ ภาพในการทำงานการใช้เวลาว่างและงานอดิเรกของบุคคล
๒) การสำรวจความสนใจในอาชพี เป็นการวัดบคุ ลกิ ภาพของบุคคล
๓) ถ้าบุคคลเลอื กประกอบอาชีพอย่างหน่ึงมาจากประวัติและบุคลิกภาพของเขา
อาชีพอยา่ งเดยี วกันกจ็ ะดงึ ดูดความสนใจทางบุคลิกภาพหรือลักษณะท่ีตรงกนั หรือคล้ายคลงึ กนั
๕๒ สําเนาว์ ขจรศิลป, หลักการจัดกิจกรรมนักศึกษา, .กองกิจการนิสิต, (กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร, ๒๕๒๙), หน้า ๓๙-๔๐.
๓๘
๔) บุคคลแต่ละคนมีความสนใจต่ออาชีพอยู่ ๒-๓ อาชีพซึ่งจะมีความสำคัญต่อ
การเลือกอาชพี มาก
๕) ความพึงพอใจความมั่นคงและความสำเร็จในการประกอบอาชีพขึ้นอยู่กับ
ความสอดคลอ้ งระหว่างบุคลิกภาพของบุคคลกับสภาพแวดล้อมของงานจากสมมติฐานตามทฤษฎีการ
เลือกอาชีพของฮอลแลนด์ที่ได้กล่าวมานี้พอจะสรุปได้ว่าบุคลิกภาพของแต่ละบุคคลนั้นได้มาจากการ
เรียนรู้จากส่ิงแวดล้อมเช่นบคุ คลที่ใกล้ชิดฐานะทางเศรษฐกิจสังคมเป็นต้นทำใหม้ ีโอกาสค้นพบทักษะ
ความสามารถเจตคติค่านิยมของตนจากประสบการณ์ที่ได้รับจากสิ่งแวดล้อมและแต่ละบุคคลมักจะ
เลือกอาชีพใหเ้ หมาะสมกับบคุ ลกิ ภาพของตน
กินซ์เบอร์ก๕๓ ได้ศึกษาพัฒนาการที่มีอิทธิพลต่อการเลือกอาชีพของบุคคลกับกลุ่ม
ตัวอย่างในระดับอายุต่างๆกันและได้พัฒนาเป็นทฤษฎีพัฒนาการทางอาชีพนั้นเขาอธิบายไว้ว่า
พัฒนาการทางอาชีพนั้นเป็นพัฒนาการต่อเนื่องตามลําดับอายุตั้งแต่วัยเด็กจนกระทั่งวัยเสื่อมการ
ตัดสินใจเลือกอาชีพจึงไม่ใช่การตัดสินใจเพียงครั้งเดียวแต่จะเป็นกระบวนการตัดสินใจที่เป็นลําดับ
ต่อเนื่องกันไปและจะสิ้นสุดลงด้วยการผสมผสานระหว่างความต้องการความสนใจความสามารถกับ
ความเป็นจริงในโลกของงานกนิ ซเ์ บอรก์ ได้กลา่ วถงึ หลักการของการพัฒนาการดา้ นอาชพี ไวด้ ังน้ี
๑) กระบวนการเลือกอาชีพและพัฒนาการทางอาชีพเป็นกระบวนการที่ดำเนิน
ไปตลอดชว่ งชีวติ มไิ ดจ้ ำกัดเพียงในช่วงวยั รุ่นหรอื วัยผู้ใหญต่ อนต้นเทา่ น้นั
๒) กระบวนการเลือกอาชีพมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาอาชีพของบุคคลจะไม่
ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจทางอาชีพในระยะแรก ๆ การตัดสินใจเกี่ยวกับอาชีพของบุคคลจะมีการ
เปลี่ยนแปลงเพื่อให้ได้อาชีพที่ตนสนใจและเหมาะสมกับตนเองมากที่สุดบุคคลจะยอมเสียเวล าหรือ
คา่ ใช้จ่ายจำนวนมากเพ่ือที่จะแสวงหาอาชพี ท่ีตนสนใจ
๓) การเลือกอาชีพเป็นการแสวงหาอาชีพที่เหมาะสมกับบุคคลมากที่สุดเท่าท่ี
โอกาสที่เขามีอยู่จะอํานวยให้ได้โดยการเลือกอาชีพนั้นจะเป็นการสนองตอบความต้องการความพึง
พอใจของตนมากที่สุด
ทฤษฎีการเลือกอาชีพของโร (Roe’s of career choice theory) แนวความคิด
ของโร (Roe & Seigelman, ๑๙๖๔ : ๑๑๗-๑๒๐) ในการเลือกอาชีพเป็นแบบสามมิติจากการวิจัย
บุคลิกภาพทางกายภาพทางชีวภาพและทางสังคมภาพทำให้โรสรุปแนวความคิดของนักวิจัยทั้ง ๓
ด้านว่าขนาดของความสนใจต่อบุคคลตรงข้ามกับขนาดความสนใจต่อสิ่งข องความสนใจเน้นหนักต่อ
บุคคลทำให้แต่ละบุคคลเลือกส่ิงแวดล้อมอาชีพที่เกี่ยวกับบุคคล เช่น อาชีพทางวัฒนธรรม ศิลปกรรม
มหรสพ บริการและธรุ กจิ เปน็ ต้น ส่วนคนท่ีมีความสนใจเนนหนักไปทางวัตถุสิ่งของก็จะเลือกอาชีพท่ี
ไม่เน้นเกยี่ วกับบุคคล เชน่ อาชพี นักวทิ ยาศาสตร์ อาชีพงานกลางแจ้ งอาชีพเทคโนโลยี เปน็ ตน้ ทฤษฎี
ของโรมองว่าประสบการณ์ของวัยเด็กหลากหลายทำให้บุคคลสนใจแตกต่างกัน เด็กบางคนได้รับ
ประสบการณ์อบอุ่นจากบ้านเป็นทีย่ อมรับของคนในบ้าน เด็กประเภทนี้มีความสนใจบุคคลเป็นอย่าง
มากส่วนเด็กท่มี ีประสบการณเ์ ย็นชาขาดความยอมรับในบ้านจะมีความสนใจวตั ถสุ ิ่งของเปน็ สว่ นใหญ่
๕๓ Ginzberg , E. The development of Human Resources. New York, Mcgraw – Hill lnc, ๑๙๖๖.
๓๙
ทฤษฎีความต้องการทางอาชีพของฮอพพอค (Hoppock’s composite theory)
แบ่งออกเป็นส่วนย่อย ๆ ดังน้ี
๑) คนเราเลือกอาชีพเพื่อสนองความต้องการเป็นความต้องการทั้งทางร่างกาย
และจิตใจ ความต้องการที่หลากหลายของมนุษย์เป็นตัวกำหนดให้เขาเลือกอาชีพที่จะสนองความ
ตอ้ งการของเขาได้
๒) อาชีพที่เราเลือกมักจะเป็นอาชีพที่สามารถตอบสนองความต้องการที่สูงสุด
ของเราได้
๓) ความต้องการที่เกิดขึ้นนี้ชัดเจนแน่นอนในบุคคลบางคน แต่สำหรับบางคนก็
อาจคลมุ เครอื แต่ไม่วา่ จะเป็นกรณใี ดกต็ าม มักจะมอี ทิ ธิพลต่อการเลือกอาชีพของเราท้ังสน้ิ
๔) พัฒนาการทางอาชีพเริ่มจากจุดที่บุคคลตระหนักว่ามีอาชีพบางชนิดที่ทำให้
เขาไดร้ ับความพงึ พอใจและสามารถตอบสนองความต้องการของเขาได้
๕) สิ่งที่จะเป็นเครือ่ งแสดงวา่ เรามีพฒั นาทางการเลือกอาชีพขึ้นหรือไม่น้ันขึน้ อยู่
กับวา่ เราเขา้ ใจการเลือกอาชพี ของเราไดด้ ีเพยี งใดสนองตอบความต้องการของตนเองเพยี งไร
๖) การเข้าใจตนเองทำให้เราได้รู้ถึงสิ่งที่เราต้องการและรู้ว่าเรามีอะไรจะไป
แลกเปลี่ยนกบั สิ่งท่ีต้องการน้นั
๗) ความร้เู ก่ียวกับอาชีพก็มีส่วนสำคญั ในการตัดสินใจเลือกอาชีพเราได้ประจักษ์
แก่ตนเองว่าอาชีพนั้นๆสนองตอบความต้องการของเราหรือไม่เราจะได้อะไรจากการประกอบอาชี พ
นั้นและเราจะตอ้ งใหอ้ ะไรจากอาชีพนั้น ๆ บา้ ง
๘) ความพึงพอใจในอาชีพเกิดจากการได้ประกอบอาชีพที่ตรงกับความต้องการ
ของเรา
๙) ความพึงพอใจในการทำงานมิได้หมายถึงเฉพาะสิ่งที่บุคคลได้รับในปัจจุบัน
เท่านน้ั อาจเป็นส่ิงท่ีเขาคาดหวังว่างานจะมีอนาคตทีส่ ดใส กลา่ วงา่ ย ๆ คืองานเป็นบันใดไปสู่ตําแหน่ง
หรอื งานใหม่ในอนาคตท่ดี กี ว่ากเ็ ปน็ ได้
๑๐) คนเราเมื่อเลือกอาชีพแล้วเปลีย่ นแปลงได้เสมอ ถ้าเขารู้สกึ วา่ การเปลี่ยนจะ
ทำให้เขาได้รบั การตอบสนองที่ดีกว่างานเก่า จะเห็นได้ว่าฮอพพอคมีความเชื่อวา่ บุคคลจะเลือกอาชีพ
ที่สนองความต้องการของตนเองได้มากที่สุด ทั้งในปัจจุบันและอนาคตการเลือกอาชีพของฮอพพอค
เน้นถึงความสำคัญของการรู้จักตนเองอย่างแท้จริงในเรื่องความสามารถ ความสนใจ ความถนัด
ลักษณะนิสัย จุดเด่น จุดด้อย เพื่อนำไปเทียบเคียงกับข้อมูลทางด้านอาชีพ ซึ่งจะช่วยให้บุคคลเลือก
อาชีพได้อย่างถูกต้องและประสบความสำเร็จ จากทฤษฎีพัฒนาการทางด้านอาชีพและทฤษฎีการ
เลือกอาชีพ จะเห็นได้ว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อความสนใจในการเลือกประกอบอาชีพอิสระของบุคคลมี
หลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นด้านมโนภาพแห่งตนซึ่งได้แก่ความแตกต่างระหว่างบุคคล ความสามารถ
ความถนัด การศึกษา สตปิ ัญญา ความสัมพันธก์ บั เพือ่ น อารมณ์ ความพอใจ สำหรับดา้ นการตระหนัก
รู้ในอาชีพได้แก่ สภาพแวดล้อมด้านการศึกษา เพศ สภาพร่างกาย อารมณ์ ความพอใจและวุฒิภาวะ
และ ส่วนด้านสภาพแวดลอ้ มในสถานศกึ ษาได้แก่ ประสบการณ์จากการศึกษาทกั ษะจากการประกอบ
อาชพี ในสถานประกอบการ บคุ ลกิ ภาพ ความคิดสรา้ งสรรค์ ซ่ึงปจั จยั เหลา่ นจ้ี ะเปน็ องค์ประกอบที่ทำ
ให้บคุ คลตดั สินใจเลือกประกอบอาชพี อิสระและประสบความสำเร็จ
๔๐
๒.๓.๓ แนวคดิ และทฤษฎีเกยี่ วกบั อาชพี อสิ ระ
กรมอาชีวศึกษา วิมล วรี ะพฒั น์ กลา่ ววา่ อาชีพอิสระคลา้ ยกับอตุ สาหกรรมขนาด
ย่อมคือ อุตสาหกรรมขนาดย่อมมีความหมายครอบคลุมถึงการประกอบกิจการขนาดเล็กที่ทำด้วย
ตนเองหรืออาชีพอิสระที่มีลักษณะเป็นการผลิต ประกอบ บรรจุ ซ่อมบํารุง ทดสอบ ปรับปรุง แปรสภาพ
หรือทำลายสิง่ ใด ๆ รวม ทัง้ การบรหิ ารประกอบกจิ การอ่ืน ๆ ทม่ี กั มีลักษณะคล้ายคลงึ กับสงิ่ เหล่าน้ี๕๔
กรมวิชาการ ได้ให้ความหมายอาชีพอิสระหมายถงึ อาชีพทีป่ ระกอบกันเป็นธรุ กจิ
ภายในครอบครัวทต่ี อ้ งใช้ความรู้หรอื ทักษะทีต่ ้องผา่ นการฝึกฝนอบรมพอสมควร เช่น อาชีพทำของที่
ระลึกด้วยวัสดุที่มีในท้องถ่ิน การปลูกผัก การเลี้ยงปลาและยังหมายถึงผ้ปู ระกอบการขนาดย่อมท่ีเป็น
ธรุ กิจในครอบครวั
เสริมศักด์ิ วิศาลาภรณ๕๕ ได้ให้ความหมายอาชีพอิสระหมายถึง เป็นอาชีพท่ี
สามารถดำเนินการเองได้โดยลงทุนน้อยใช้ความคิด ใช้กำลังกายค่อนข้างมากเน้นการพึ่งตนเองคำว่า
อาชพี อิสระมคี วามหมายคลา้ ยกันกับอาชีพสว่ นตัวธุรกิจขนาดย่อมการประกอบการขนาดย่อม เป็นต้น
สำหรับในสภาวะเศรษฐกจิ ของประเทศทีต่ ้องขน้ึ อยู่กับเศรษฐกจิ ของโลกและการ
เปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ทางการเมือง ซึ่งบางช่วงเวลากก็ ่อให้เกิดความตกต่ำของเศรษฐกิจและความผนั ผวน
ต่าง ๆ แต่ในสภาวะเช่นนี้พบว่า อุตสาหกรรมขนาดย่อมจะสามารถปรับตัวได้ดีดังที่สมชอบ ไวยเวช
ได้กล่าวไว้ “อุตสาหกรรมขนาดย่อมเป็นอุตสาหกรรมที่ทนต่อภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำได้เป็นอย่างดี
เพราะปรบั ตวั ไดด้ ี”
จากขอ้ มูลท่ีกล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่าอาชีพอิสระหมายถึง อาชีพท่ีมีขนาดของ
กิจการขนาดย่อม สามารถดำเนินการด้วยตนเอง โดยลงทุนน้อย ใช้กำลังกายและความคิด
คอ่ นข้างมาก เนน้ การพงึ่ พาตนเอง คำว่า อาชพี อิสระมีความหมายคล้ายกับอาชีพส่วนตัว ธุรกิจขนาด
ยอ่ ม ซงึ่ อาศยั ความรู้ ความสามารถ ทกั ษะและเทคนิคการจัดการให้เกิดรายได้ ซึง่ เกิดจากการลงทุนมี
ผลตอบแทนในรปู ของกำไร มลี ักษณะเปน็ การผลิตและการบริการ ในการส่งเสริมทางด้านอาชีพอิสระ
จะต้องเน้นทางดา้ นความสามารถในการประกอบอาชีพอสิ ระ ซงึ่ การส่งเสรมิ การประกอบอาชีพอิสระ
ให้กบั ประชาชนจงึ เป็นทางออกทดี่ ใี นการแกป้ ัญหาการว่างงาน
๒.๓.๔ ความหมายและประเภทของอาชีพ
๑) ความหมายของการประกอบอาชีพ
ประสารทสุข นิยมราษฎร์และคณะ ได้ให้ความหมายไว้ว่าการประกอบอาชีพ
หมายถึง งานหรือภาระหน้าที่ของมนุษย์ต้องทำสม่ำเสมอหรือประจำด้วยความถนัด ความสนใจ
ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์หรือการฝึกฝนจนเชี่ยวชาญ โดยมีผลตอบแทนในรูปแบบต่าง ๆ
ได้แก่ ความพึงพอใจของบุคคลที่ได้กระทำความสำเร็จของตนเองและองค์การ หรือกลุ่ม หรือในรูป
๕๔ วมิ ลวรี ะพฒั น์, ความรแู้ ละความตระหนักรู้ของอาจารย์ทมี่ ีต่อการประกอบอาชพี อิสระของนักศึกษา,
วิทยานพิ นธ์ ค.ม. เทคโนโลยีอุตสาหกรรม, พมิ พ์คร้งั ที่ ๑, (กรงุ เทพมหานคร : บัณฑติ วิทยาลัย มหาวทิ ยาลัยราชภัฎ
จนั ทรเกษม, ๒๕๕๒), หน้า ๑.
๕๕ เรอื่ งเดยี วกัน