The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การประกอบอาชีพผู้ต้องขัง ถิรวัฒน์ ปกป้อง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by tom.varangkana, 2022-08-15 00:44:09

การประกอบอาชีพผู้ต้องขัง ถิรวัฒน์ ปกป้อง

การประกอบอาชีพผู้ต้องขัง ถิรวัฒน์ ปกป้อง

๙๑

๓. การเชิญวิทยากรจากหน่วยงานภายนอกทีม่ ีความรู้ความชำนาญเฉพาะ
เข้ามาอบรม วิธีเป็นแนวทางที่แต่ละเรือนจำ ดำเนินการอยู่ ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือจากองค์กร
ภายนอกเป็นอย่างดี เพียงแต่ต้องมีการเตรียมความพร้อมล่วงหน้าในเรื่องระยะเวลาอบรม เพื่อให้
วิทยากรได้ทราบล่วงหน้า ซึ่งบางครั้งวิทยากร อาจไม่ว่างในวันและเวลาที่กำหนดก็ต้องมีการ
ปรบั เปลีย่ นไปตามสภาพกาล

๔. การทำ MOU กับหน่วยงานภายนอก เพื่อจัดหลักสูตรด้านวิชาชีพให้
ต่อเนื่อง ทั้งในระหว่างอยู่ในเรือนจำและพ้นโทษ โดยการทำบันทึกข้อตกลงกับองค์กรภายนอก เช่น
องค์กรอุตสาหกรรม ให้เข้ามาประกอบการในเรือนจำ และรับผู้ต้องขังที่มีฝีมือทางดา้ นวิชาชีพต่าง ๆ
เข้าทำงานหลังจากพ้นโทษก็จะเป็นการแกป้ ญั หาแบบครบวงจรอีกทางหน่ึง

๔.๑.๒.๒ กระบวนการพฒั นา ด้านความสามารถของผ้สู อน
ตามละเอียดผู้ให้ข้อมูลสำคัญ พบว่า กระบวนการพัฒนาด้านความสามารถของ
ผสู้ อน ประกอบด้วย๒๔
๑. กำหนดให้มีเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบหลัก ตามรายละเอียดผู้ให้ข้อมูลสำคัญ พบว่า
เรือนจำควรกำหนดให้มีเจ้าหน้าที่รับผิดชอบหลัก ตลอดจนการกำหนดให้หน่วยงานภายนอกเข้า
ร่วมกับหน่วยงานภายในเรือนจำ ร่วมกันกำหนดเป้าหมาย และแนวทางคัดผู้สอน สำหรับการฝึก
วิชาชพี ของผตู้ อ้ งขัง
๒. เรือนจำจัดฝึกอบรมให้เจ้าหน้าที่ หรือผู้สอน เพื่อเป็นการเพิ่มทักษะ ความรู้
ความชำนาญ ให้แกเ่ จ้าหน้าทที่ ่ปี ฏบิ ัตงิ านทางดา้ นการฝึกอบรมในหลักสูตรต่างๆ ของเรอื นจำ
๓. สรรหาทรัพยากรบุคคล บุคลากร หรือผู้สอน ที่มีความชำนาญเฉพาะด้านจาก
องคก์ รภายนอกมาใหก้ ารอบรม
๔. ขออัตรากำลังเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้ความสามารถช่วยในงานพัฒนาด้านอาชีพ
ผู้ต้องขัง เพิ่มเติม ตามรายละเอียดผู้ให้ข้อมูลสำคัญ พบว่า ความสามารถของผู้สอนควรมีการเพ่ิม
ทกั ษะ ความรู้ ความชำนาญ
๕. จดั ทัศน์ศกึ ษาดูงานนอกสถานท่ี หรือตามเรือนจำอนื่ ๆ ตามรายละเอยี ดผู้ให้ข้อมูล
สำคัญ พบว่า การทัศน์ศึกษาดูงานนอกสถานที่ หมายถึงการศึกษาดูงานนอกสถานท่ีที่เกี่ยวข้องกับ
หนว่ ยงาน เพือ่ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกบั สถานการณ์ปจั จบุ นั และแนวทางการแก้ไขปัญหาของ
แต่ละพนื้ ท่ี เพือ่ นำมาพัฒนาแก้ไขในเรอื นจำของตน
๔.๑.๒.๓ กระบวนการพฒั นา ด้านประโยชน์ทีผ่ ู้เขา้ รบั การอบรมได้รับ๒๕

๑. การให้สิทธิด้านประโยชน์ที่ผู้เข้ารับการอบรมได้รับเพื่อให้เป็นแรงจูงใจ
ในการเข้ารับการอบรม ตามรายละเอียด ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ พบว่า ส่วนใหญ่ผู้ต้องขังที่เป็นผู้ต้องขัง
ครั้งแรกได้รับการลงโทษน้อยจะให้ความสนใจในการเข้าอบรม เนื่องจากอยากได้รับสิทธิประโยชน์
ที่กรมราชทัณฑ์ กำหนดไว้ให้ เช่น การพักโทษ การลดวันลดโทษ ดังนั้น การสร้างแรงจูงใจด้วยการให้

๒๔ สัมภาษณ์ นายสมรตั น์ เขม็ ศริ ิ, ผู้บญั ชาการเรือนจำกลาง เชยี งราย, ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๒.
๒๕ สัมภาษณ์ นางสาวหนึ่งฤทยั ใจมอย, นกั สงั คมสงเคราะห์ชำนาญการ, ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๖๒.

๙๒

ใบประกาศนียบัตร เพื่อให้ผู้ต้องขังสามารถนำใบกิจกรรมไปประกอบการพิจารณาตามกระบวนการของ
กรมราชทัณฑ์กจ็ ะเป็นจดุ สนใจและสรา้ งแรงจูงใจได้มาก

๒. สิ่งที่เป็นปัญหามากในด้านผู้ต้องขังที่เข้าอบรมตามโปรแกรม คือ
ผู้ต้องขังขาดแรงจูงใจในการเข้าโปรแกรมฯ เช่น การพักโทษ การลดวันต้องโทษ หรือประโยชน์อื่น ๆ
ดังนนั้ การให้สทิ ธปิ ระโยชน์แก่ผู้ตอ้ งขัง เพ่ือใหเ้ ปน็ แรงจงู ใจในการเข้ารบั การอบรม จึงเป็นแนวทางใน
การพฒั นาด้านผตู้ อ้ งขังของที่ผู้ให้ข้อมูลสำคญั

๓. ผู้เขา้ รับการอบรมมีแนวคิดการนำความรู้ที่ได้รับไปสรา้ งอาชีพใหม่ หรือ
ประกอบอาชพี เสริมเพอื่ เพม่ิ พนู รายได้ใหแ้ ก่ครอบครวั หรอื ใช้ในชีวติ ประจำวนั เพอ่ื ลดรายจ่าย

๔.๑.๓ ปัญหาและข้อเสนอแนะในการฝึกอบรมวิชาชีพให้แก่ผู้ต้องขังเรือนจำชั่วคราว
ดอยฮาง จังหวัดเชยี งราย ตามรายละเอียดผู้ใหข้ อ้ มูลสำคญั ผลการวจิ ัย พบวา่

ก. ดา้ นปัญหา
๑. ปัญหาของนักโทษ
๑.๑ ปัญหาด้านตัวผู้ต้องขัง คือผู้ต้องขังที่ถูกจำคุก มักประสบปัญหาต่าง ๆ

เชน่ ปญั หาครอบครวั ปญั หาทางดา้ นเศรษฐกิจ ทำให้ขาดความตัง้ ใจในการฝึกวชิ าชีพ ผู้ต้องขังบางคน
ถูกบังคับให้เข้ารับการฝึกวิชาชีพ ผู้ต้องขังบางคนเข้ารับการฝึกวิชาชีพเพื่อต้องการสิทธิประโยชน์
มากกวา่ เชน่ เพ่อื ประกอบการเล่อื นชนั้ การพกั การลงโทษ ฯลฯ

๑.๒ ปญั หาสงั คมขาดการยอมรบั สังคมหวาดระแวง เม่ือพ้นโทษมักถกู ปดิ ก้ัน
จากสังคมภายนอก

๒. ปัญหาของเรือนจำ
๒.๑ หลักสตู ร/สาขาวชิ าชพี มีให้เลอื กน้อย ไมต่ รงกับความต้องการของผู้ต้องขัง
๒.๒ ปัญหาด้านอาคารสถานที่ในการฝึกวิชาชีพผู้ต้องขัง เนื่องจากมีผู้ต้องขัง

จำนวนมาก ทำให้สถานที่ในการฝึกวิชาชีพคับแคบ และความแตกต่างระหว่างสถานที่ในเรือนจำกับ
สถานทภ่ี ายนอก มีผลให้การฝกึ วิชาชีพใหผ้ ูต้ ้องขังไม่มปี ระสทิ ธิภาพเทา่ ท่ีควร

๒.๓ ปัญหาด้านงบประมาณ เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ ทำให้
เรือนจำกลางเชยี งราย ไมส่ ามรถจัดหาวสั ดอุ ุปกรณ์ เครอ่ื งมือในการฝึกวชิ าชพี ให้ผตู้ ้องขังเทา่ ทคี่ วร

๒.๔ ปญั หาด้านเจ้าหนา้ ที่/วทิ ยากร มนี ้อย
๓. ปญั หาของสังคม

๓.๑ การจัดกิจกรรมพัฒนาสุขภาวะทางจิตใจและจิตวิญญาณ โดยพัฒนา
ผู้ต้องขัง ให้มีจิตใจ ที่สงบและผ่อนคลายเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกสะสมจนกลายเป็นความเครียด รวมท้ัง
การปลูกจิตสำนึกที่ดีและส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมในรูปแบบการอบรม และการสร้างจิตสำนึกให้
เห็นคุณค่าในตนเองมากขึ้น รวมทั้งการพัฒนาสุขภาวะทางจิตวิญญาณ (มีปัญญา) ซึ่งจะส่งผลถึง
กระบวนการคิดพิจารณาไตร่ตรอง มีข้อมูล มีวิจารญาณในการคิดส่งผลถึงการกระทำในสิ่งที่ดี
ตอ่ ตนเอง ต่อสังคม และต่อประเทศชาติ

๓.๒ การจัดกิจกรรมพัฒนาสุขภาวะทางสังคม โดยพัฒนาผู้ต้องขัง ให้มีทักษะ
ทางสงั คมเพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในเรือนจำโดยไม่กระทำผดิ วินยั และสอดแทรกความรู้และสร้าง
ความตระหนักถึงหน้าที่ของการเป็นพลเมืองที่ดีเข้าไปในกิจกรรมการพัฒนาจิตใจและการศึกษา

๙๓

รวมทั้งการส่งเสริมความเอื้ออาทรของบุคคลภายนอกที่เห็นคุณค่าของผู้ต้องขังโดยการประสาน
หน่วยงานภาคประชาสังคมในพื้นที่เพื่อเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ให้กับผู้ต้อง เช่น
การจัดกิจกรรมการให้ความรู้ด้านการดูแลสุขภาพ การอยู่ร่วมกันในสังคม การทำงานร่วมกับผู้อ่ืน
เป็นตน้ ๒๖

นายสุทัศน์ ปันสุวรรณ์ ให้สัมภาษณ์ว่า กรมราชทัณฑ์ มีภารกิจหลักคือการควบคุม
ผู้ต้องขังมิให้หลบหนี้ และมีหน้าท่ีในการแกไ้ ขพัฒนาพฤตนิ ิสยั ผู้ต้องขัง ให้กลับตนเป็นคนดีของสังคม
เปน็ พลเมอื งดีของประเทศชาติ และไม่เปน็ ภาระสังคม โดยดำเนินการตามกฎหมาย และระเบียบของ
กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรมและนโยบายของผู้บังคับบัญชา ตนในฐานะที่รับผิดชอบด้านการ
พัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขัง ทั้งการจัดการศึกษาสายสามัญ สายอาชีพ และการฝึกวิชาชีพระยะส้ัน
ซงึ่ มีปญั หาอุปสรรคนานับประการ ซึง่ หนา้ ทห่ี ลกั กข็ ัดแย้งกันกลา่ วคือหน้าท่ีหน่งึ ต้องควบคุมผู้ต้องขังมิ
ให้หลบหนี อีกหน้าที่หนึ่งก็ต้องแก้ไขพัฒนาพตินิสัยผูต้ ้องขังให้กลับตนเปน็ คนดี อีกทั้งปัญหาด้านอื่น ๆ
เช่น ปัญหาขาดแคลนงบประมาณ ขาดแคลนบุคลากรผู้มีความเชี่ยวชาญในสาขาอาชีพแต่ละด้าน
ปัญหาด้านอาคารสถานที่คับแคบ เนื่องจากผู้ต้องขังมีจำนวนมาก ตนเองได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติ
หนา้ ทผี่ อู้ ำนวยการส่วนพฒั นาผู้ตอ้ งขงั ต้องใชค้ วามพยายามอย่างมาก เพื่อใหก้ ารพัฒนาพฤตินิสัยของ
ผู้ต้องขัง บรรลวุ ัตถปุ ระสงค์ของกรมราชทณั ฑ์ กระทรวงยตุ ธิ รรม บางคร้งั กอ็ าศยั ความสมั พันธ์ส่วนตัว
ในการติดต่อประสานงานกับทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้งานบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ สำหรับ
แนวทางแก้ปัญหา คือกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ต้องจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอกับความ
ต้องการ พิจารณาคัดเลือกบุคลากรที่มีความรู้ความชำนาญในสาขาอาชีพ และต้องจัดสวัสดิการและ
พิจารณาความดีความชอบเพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ และ
หน่วยงานภายนอกทงั้ ภาครฐั และเอกชนควรให้การสนับสนุนภารกจิ ของเรือนจำมากกว่าท่เี ปน็ เพราะ
ผู้ต้องขังก็เป็นประชาชนคนไทย อยู่ร่วมกับสังคมไทย ถ้าผู้ต้องขังได้รับการแก้ไขพัฒนาพฤตินิสัย
ไมก่ ระทำความผดิ ซ้ำ ก็สามารถชว่ ยให้ลดปัญหาอาชญากรรม และทำให้สังคมสงบสุข และนา่ อยูม่ ากขนึ้ ๒๗

ข. ดา้ นข้อเสนอแนะ
๑. ปัญหาของผตู้ อ้ งขัง
๑.๑. จดั ใหม้ กี ระบวนการแก้ไขปัญหาเชงิ โครงสร้าง เช่น เปิดโอกาสใหผ้ ูพ้ ้น

โทษได้มีทยี่ ืนในสังคมทดั เทยี มกับผู้อน่ื โดยมีการประชาสมั พนั ธ์ ให้ขอ้ มลู ขอ้ เท็จจรงิ ใหส้ ังคมไดร้ ับ
ทราบและมีความเขา้ ใจที่ถูกต้อง

๑.๒. มกี ระบวนการสร้างความม่ันใจให้กบั สังคม เช่น ออกใบรบั รองความ
ประพฤติ ออกใบรับรองทักษะดา้ นฝีมือใหแ้ ก่ผ้พู ันโทษทีผ่ ่านการฝกึ วชิ าชีพ

๒๖ สัมภาษณ์นายปิยนัฐ หัตถิยา, หัวหน้าเรือนจำชั่วคราวดอยฮาง เรือนจำชั่วคราวดอยฮาง สังกัด
เรือนจำกลางเชียงราย, ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๖๒.

๒๗ สมั ภาษณ์นายสทุ ัศน์ ปนั สวุ รรณ,์ ผ้อู ำนวยการสว่ นพฒั นาผูต้ อ้ งขงั เรอื นจำกลางเชยี งราย, ๑๔ กรกฎาคม
๒๕๖๒.

๙๔

๒. ปัญหาของเรือนจำ
๒.๑ ควรเพมิ่ หลักสูตร/สาขาวิชาชีพใหม้ ีตัวเลอื กมากข้ึน
๒.๒ ควรขยายอาคารฝึกอบรมให้มคี วามเหมาะสม มีอากาศถ่ายเทสะดวก
๒.๓ จัดหางบประมาณให้เพียงพอ และควรจัดหาเครื่องมือ อุปกรณ์ให้

เพียงพอ เหมาะสม
๒.๔ ควรเพมิ่ อตั รากำลงั เจ้าหน้าท/่ี วิทยากร ใหม้ ากขึน้ และควรมีการจดั

ฝกึ อบรมเจ้าหนา้ ทีเ่ กยี่ วกับการจดั ฝกึ วชิ าชีพใหแ้ ก่ผู้ต้องขัง
๓. ปญั หาของสังคม
๓.๑ การพัฒนาผู้ต้องขังโดยมุ่งเน้นการพัฒนาสุขภาวะทางด้านจิตวิญาณที่

สูญเสียไปเพราะยาเสพติดและปัญหาทางดา้ นเศรษฐกิจ เช่น การสอดแทรกกระบวนการปรับเปลี่ยน
ทัศนคตใิ นการดำรงชีวิต เพ่ือให้มที ัศนคติในการดำเนินชวี ิตท่ีถูกต้อง และการเสริมสร้างให้เห็นคุณค่า
ในตนเอง รวมทัง้ จดั กจิ กรรมเพ่ือเตรยี มความพร้อมกอ่ นปล่อย เปน็ ต้น

๓.๒ การลดมลทนิ ทางสงั คม (Social Stigma) โดยสร้างการยอมรับของสังคม
ต่อกลุ่มผู้พ้นโทษและกลุ่มผู้ต้องขัง โดยการมีส่วนร่วมของสื่อมวลชนในการรณรงค์ประชาสัมพันธ์
เพื่อให้สังคมให้โอกาสและให้การยอมรับผู้พ้นโทษกลับสู่สังคมอย่างต่อเนื่อง เช่น นำเสนอข้อมูล
ทางด้านบวก ที่ผู้พ้นโทษท่ีไดร้ บั โอกาสจากสังคมในการเริ่มตน้ ชีวิตใหม่เปน็ คนดแี ละมีงานทำ เป็นตน้
โดยไม่ควรนำเสนอข้อมูลทางด้านลบเพียงด้านเดียว เพื่อให้สังคมให้การยอมรับผูพ้ ้นโทษกลับสู่สังคม
อย่างแท้จรงิ

นายสมเด็จ โกเสนตอ ให้สัมภาษณ์ว่า ในฐานะหัวหนา้ ฝ่ายฝึกวิชาชพี ผู้ต้องขงั
รับผิดชอบการฝกึ วชิ าชพี ผูต้ ้องขัง เช่นการฝกึ วิชาชีพชา่ งไม้ การฝึกวิชาชีพชา่ งก่อสรา้ ง การฝึกวิชาชีพ
ช่างแกะสลัก ปัญหาที่พบคือผูต้ ้องขังส่วนใหญ่ไม่คอ่ ยสนใจการฝึกวิชาชีพ บางคนสมัครเข้ารับการฝึก
วิชาชีพเพียงเพราะต้องการได้รับสทิ ธิประโยชน์เท่านั้น เช่นต้องการเลื่อนชั้น การพักโทษ ฯลฯ ทำให้
การฝึกวิชาชีพไม่บรรลุวัตถปุ ระสงค์เท่าที่ควร อีกทั้งปัญหาการขาดแคลนงบประมาณ การขาดแคลน
บุคลากร และปัจจุบันการฝึกวิชาชีพช่างไม้ ช่างแกะสลัก หาวัตถุดิบยากขึ้น แนวทางแก้ปัญหาคือ
กระบวนการคัดเลือกผู้ต้องขังเข้ารับการฝึกวิชาชีพ ต้องให้ผู้ต้องขังที่มีความสนใจที่จะเข้ารับการฝึก
วิชาชีพจริง ๆ โดยต้องดูสภาพแวดล้อมทางครอบครัว ทางสังคม และความถนัดของผู้ต้องขัง เช่น
ผู้ต้องขงั มที ีด่ นิ และมีพื้นฐานด้านการเกษตร ก็ส่งเสริมให้เข้ารบั การฝกึ วิชาชีพดา้ นการเกษตร ผู้ตอ้ งขัง
มีพื้นฐานด้านช่างก็ส่งเสริมใหฝ้ ึกวชิ าชีพด้านช่างนัน้ ๆ ให้มีความชำนาญสามารถประกอบอาชีพเลีย้ ง
ตนเองและครอบครวั ได้ อีกท้ังการสนบั สนนุ ทนุ ประกอบอาชีพและหาตลาดรองรับเปน็ ตน้ ๒๘

ค. กรอบการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านการฝึกวิชาชีพผู้ต้องขัง การทบทวนผล
การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค์ (SWOT) ทั้งนี้ เรือนจำกลาง
เชียงราย มีการดำเนินงานฝึกวิชาชีพที่โดดเด่น เป็นแบบอย่างที่ดี ในอาชีพเป็นพิเศษ และสามารถ

๒๘ สัมภาษณ์นายสมเด็จ โกเสนตอ, หัวหน้าฝ่ายฝึกวิชาชีพผู้ต้องขัง เรือนจำกลางเชียงราย, ๑๔ กรกฎาคม
๒๕๖๒.

๙๕

จัดให้เรือนจำอื่นส่งเจ้าหน้าที่หรือผู้ต้องขับมารับการฝึกอบรมเพื่อสร้างความเป็นมาตรฐานด้านฝีมือ
ใหบ้ รรจโุ ครงการเพือ่ พัฒนาต่อยอดไปสู่การเปน็ Academy ด้านน้ัน ๆ ดังนี้

๑. จดุ แข็ง (Strengths:S) วิเคราะหจ์ ากการฝกึ วชิ าชพี มรี ายละเอยี ดดังนี้
๑.๑ สามารถเรยี นร้งู านได้เรว็
๑.๒ มีความกระตือรือร้นในการทำงาน
๑.๓ รบั ร้งู านทไ่ี ดร้ บั มอบหมายไดเ้ ปน็ อย่างดี
๑.๔ ทำงานได้ถูกต้องครบถว้ นตามท่ีได้รับมอบหมาย
๑.๕ สามารถสง่ งานตามวันเวลาท่กี ำหนด
๑.๖ มคี วามระเอียดรอบคอบในการทำงานมากขนึ้
๑.๗ มีความรบั ผดิ ชอบในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายใหป้ ฏิบัติ
๑.๘ การคดิ ค้นปรับปรุงการทำงานให้รวดเรว็
๑.๙ สามารถเรยี งลำดับวางแผนการทำงานได้

๒. จดุ อ่อน (Weaknesses:W) วเิ คราะห์จากการฝึกวชิ าชีพมีรายละเอียดดงั นี้
๒.๑ การใชเ้ จ้าหน้าฝกึ วชิ าชพี ที่ไม่สอดคล้องกับความชำนาญเน่อื งจากเจ้าหน้าท่ี

ต้องทำงานตรากตรำและรับผดิ ชอบหลายหนา้ ท่ี
๒.๒ การฝึกอาชพี ไม่ตรงกับความตอ้ งการของผูต้ ้องขงั ตลาดแรงงาน และอาชีพ

ที่ได้รับการฝึกจากเรือนจำยังไม่สอดคล้องกับสภาวะการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานและไม่
สามารถนำไปประกอบอาชีพได้จริง

๒.๓ อปุ กรณส์ ำหรบั ฝกึ วิชาชพี ไม่เพยี งพอ ไม่ทนั สมยั
๓. โอกาส (Opportunities:O) เป็นข้อได้เปรียบจากการฝึกวิชาชีพภายในเรือนจำ
กลางเชยี งราย โดยมีรายละเอยี ดดงั นี้

๓.๑ ไดศ้ กึ ษาความรู้เพ่ิมเติมจากการปฏบิ ตั ิงาน เพือ่ เป็นประโยชน์เมอ่ื ออกไปทำงานจริง
๓.๒ ได้เรียนรู้ถึงสภาพการทำงาน มุ่งพัฒนาตนเองเพื่อตอบสนองต่อความ
ตอ้ งการของลูกค้า
๓.๓ มศี ูนยป์ ระสานงานและส่งเสรมิ การมีงานทำของกรมราชทณั ฑ์
๔. อุปสรรค (Threats:T) เป็นข้อเสียเปรียบจากการฝึกวิชาชีพภายในเรือนจำกลาง
เชียงราย โดยมีรายละเอียดดังนี้
๔.๑ ผู้ตอ้ งขงั เปน็ บุคคลด้อยโอกาส สงั คมภายนอกมองเปน็ ภาระไม่ให้ความสนใจ
๔.๒ สงั คมตีตราผู้ต้องขงั ไม่ใหโ้ อกาสแก่ผตู้ อ้ งขงั เทา่ ท่ีควร

นายปิยนัฐ หัตถิยา ให้สัมภาษณ์ว่า เรือนจำชั่วคราวดอยฮาง สังกัดเรือนจำกลาง
เชียงราย เป็นสถานที่ฝึกวิชาชีพด้านการเกษตร สำหรับผู้ต้องขังที่ได้รับการจำคุกมาระยะหน่ึง
ตามหลักเกณฑ์ท่ีกรมราชทัณฑก์ ำหนด เช่นเป็นผู้ต้องขังชั้นดี มีความประพฤติดี และมีกำหนดโทษไม่
เกิน ๕ ปี และปัจจบุ ันเรอื นจำช่วั คราวดอยฮางได้พัฒนาใหเ้ ป็นแหลง่ ท่องเที่ยวเชิงเกษตร ซึ่งก็มีปัญหา

๙๖

อีกแบบหนึ่งที่แตกต่างไปจากเรือนจำทั่วไป คือผู้ต้องขังมีโอกาสพบปะกับบุคคลภายนอก มีทั้งญาติ มีท้ัง
บคุ คลทวั่ ไป หากเจา้ หน้าท่ีเผลอเรอ ไมร่ ะมัดระวงั ในการควบคุมกส็ ุม่ เสยี่ งต่อการกระทำความผิด เช่น
การแอบดื่มสุรา แอบเสพยาเสพติด หรืออาจมีการหลบหนีการควบคุมได้ เพราะฉะนั้นเจ้าหน้าท่ี ผู้
ควบคมุ ต้องมีเทคนคิ ใชศ้ าสตร์และศิลป์ในการควบคุม และการฝกึ วิชาชีพ๒๙

ง. ประเดน็ ยุทธศาสตร์ (Strategic lssues: SI)
ประเด็นยทุ ธศาสตร์ท่ี ๑: ดา้ นประสทิ ธิผลตามพันธกิจองค์กร (SI๑)
เป้าหมายและตวั ช้วี ัด ด้านประสทิ ธิผลตามพนั ธกิจองค์กร

เป้าหมาย ตัวชวี้ ัด

๑. ร้อยละของผู้ต้องขังในความ ควบคุม ได้รับการ

๑. ควบคุม ดูแล ผู้ต้องขังอย่างมีคุณภาพตาม ควบคมุ ดูแล เป็นไปตามมาตรฐานท่ีกำหนด

มาตรฐาน ๒. การแหกหักหลบหนีจากในเรอื นจำที่ไม่สามารถ

จับตวั กลบั มาได้ใน ๔๘ ชั่วโมง ภายใน ๑ ปี

๒. ควบคมุ ผูเ้ ข้ารบั การตรวจพิสูจน์ ๑. การหลบหนีในสถานที่เพื่อการควบคุมตัว และ
สถานท่เี พ่ืการตรวจพสิ ูจน์ ภายใน ๑ ปี

๓. พัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขังเพื่อคืนคนดีสู่ ๑. ร้อยละของผู้ต้องขังคดีเด็ดขาดได้รับการแก้ไข
สังคมและพัฒนาประสิทธิภาพการควบคุม ฟื้นฟูและพฒั นาพฤตินิสยั
ผตู้ ้องขงั ตามหลักมาตรฐาน ๒. ผู้ต้องขังมีอัตราการกระทำผิดซ้ำหลังพ้นโทษ
ภายใน ๑ ปี

๑. ร้อยละของนักโทษเด็ดขาดได้รับการจำแนก

ลักษณะเพื่อการควบคุมและการพัฒนาพฤตินิสัย

แล้วเสร็จภายใน ๓๐ วนั

๔. เพื่อพฒั นาระบบการปฏบิ ตั ิตอ่ ผู้ต้องขัง ๒. ร้อยละของนักโทษเด็ดขาดที่เข้าเกณฑ์การ
พกั โทษ ลดโทษไดร้ ับการพจิ ารณา

๓. ร้อยละของนักโทษเด็ดขาดที่เข้าเกณฑ์ที่จะ

ขอรับพระราชทานอภัยโทษได้รับการดำเนินการ

ตามระเบียบ

๑. ร้อยละผู้ต้องขังที่ผ่านกระบวนการป้องกันและ

๕. แกไ้ ขปัญหายาเสพติดในเรือนจำ บำบดั แก้ไขปัญหายาเสพติดกลบั มากระทำผิดซ้ำใน

คดยี าเสพตดิ ภายใน ๑ ปี

๒๙ สัมภาษณ์นายปิยนัฐ หัตถิยา, หัวหน้าเรือนจำชั่วคราวดอยฮาง เรือนจำชั่วคราวดอยฮาง สังกัด
เรือนจำกลางเชียงราย, ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๖๒.

๙๗

๔.๒ การยกระดับภาคีเครือข่ายในการส่งเสริมการประกอบอาชีพของผู้ต้องขังใน
เรอื นจำช่ัวคราวดอยฮาง จงั หวดั เชยี งราย

หน่วยงานทัง้ ภาครฐั และภาคเอกชน ไดใ้ หก้ ารสง่ เสริมด้านการประกอบอาชีพ เม่ือผู้ต้องขังเมื่อ
พน้ โทษ สามารถไปประกอบอาชพี ทส่ี ุจรติ เชน่ พทุ ธมณฑลสมโภช ๗๕๐ ปี เมืองเชียงราย, รา้ นกาแฟ
ดอยตุง อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย, วัดพุทธอุทยาน (ดอยอินทรีย์) ตำบลดอยฮาง อำเภอเมือง
จังหวัดเชียงราย ไม่เฉพาะในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ในจังหวัดใหญ่หรือเมืองใหญ่ ๆ เช่น กรุงเทพมหานคร
ผูต้ อ้ งขงั ที่พน้ โทษออกไปกส็ ามารถไปทำอาชีพต่าง ๆ ได้ โดยผ่านการสนบั สนุนจากกระทรวงยุติธรรม
ผ่านทางกรมราชทัณฑ์และเรือนจำชั่วคราวดอยฮาง ซึ่งที่ผ่านมาก็ถือว่าประสบความสำเร็จ ในส่วน
ของเรือนจำชั่วคราวดอยฮางก็ได้สนับสนุนผู้ต้องขังที่พ้นโทษ ในด้านเกษตรกรรม เช่น พันธุ์พืช พันธุ์
สัตว์ตา่ ง ๆ ท่ีผตู้ ้องขังมีความต้องการจะนำไปประกอบอาชีพภายหลงั พ้นโทษโดยไม้เสยี คา่ ใชจ้ ่ายใด ๆ
รวมถึงการเป็นสื่อกลางในการจัดหาอาชีพตามที่ผู้ต้องขังต้องการ ทั้งนี้ทำให้ผู้ต้องขังมีหน่วยงานที่มี
ส่วนช่วยสนับสนุนในการประกอบอาชีพ และเป็นการยกระดับของผู้ต้องขังทีผ่ า่ นในการฝึกฝนในการ
ประกอบอาชีพเสริมในช่วงที่อยู่ในเรือนจำชั่วคราวดอยฮาง เชียงรายอีกด้วย การยกระดับภาคี
เครือข่ายในการส่งเสริมการประกอบอาชีพของผู้ต้องขังในเรือนจำชั่วคราวดอยฮาง จังหวัดเชียงราย
ประกอบด้วยดังต่อไปน้ี๓๐

๑. ความหมายของเครือข่าย
เครือข่าย (Network) หมายถึง การเชื่อมโยงของกลุ่มของคนหรือกลุ่มองค์กรที่สมัครใจที่จะ
แลกเปลยี่ นขา่ วสารร่วมกนั หรือทำกิจกรรมร่วมกนั โดยมกี ารจัดระเบยี บโครงสรา้ งของคนในเครือข่าย
ด้วยความเป็นอิสระ เทา่ เทียมกนั ภายใต้พน้ื ฐานของความเคารพสิทธิ เชอ่ื ถอื เอ้ืออาทรซึ่งกันและกัน
ประเดน็ สำคญั ของนยิ ามขา้ งตน้ คอื

๑ ความสมั พนั ธ์ของสมาชิกในเครือขา่ ยต้องเป็นไปโดยสมัครใจ
๒ กจิ กรรมท่ีทำในเครอื ขา่ ยตอ้ งมลี กั ษณะเท่าเทยี มหรือแลกเปลยี่ นซงึ่ กันและกนั
๓ การเป็นสมาชิก เครือข่ายต้องไม่มีผลกระทบต่อความเป็นอิสระหรือความเป็นตัว
ของตัวเองของคนหรือองค์กรนน้ั ๆ
การเชือ่ มโยงในลักษณะของเครือขา่ ย ไม่ไดห้ มายถึงการจัดการให้คนมานัง่ “รวมกัน”
เพ่อื พูดคุยสนทนากันเฉย ๆ โดยไมไ่ ด้ “ร่วมกัน” ทำสง่ิ หนึ่งส่งิ ใด เปรียบเหมือนการเอาก้อนอิฐมากอง
รวมกัน ย่อมไม่เกิดประโยชน์แต่อย่างใด การเชอื่ มโยงเขา้ หากันจะเกิดข้นึ ก็ต่อเมื่อเอาอิฐแต่ละก้อนมา
ก่อกันเป็นกำแพงโดยการประสานอิฐแต่ละก้อนเข้ากันอย่างเป็นระบบ... และก็ไม่ใช่เป็นแค่
การรวมกลุ่มของสมาชิกที่มีความสนใจร่วมกันเพียงเพื่อพบปะสังสรรค์แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
เทา่ นนั้ แตจ่ ะตอ้ งพฒั นาไปสรู่ ะดับของการลงมือทำกิจกรรมรว่ มกันเพื่อใหบ้ รรลุเป้าหมายร่วมกันด้วย
และไม่ใช่การรวบรวมรายชื่อบุคคลที่มีความสนใจเหมือนกันไว้ในมือเพื่อสะดวกแก่การติดต่อ
การมอบหมายให้สมาชกิ แต่ละคนหาสมาชิกเพมิ่ ขึ้น ยิ่งได้รายชอ่ื มามากก็ย่งิ ทำให้เครือขา่ ยใหญ่ข้ึน

๓๐ สมั ภาษณ์ นายสมรตั น์ เขม็ ศิริ, ผบู้ ญั ชาการเรอื นจำกลาง เชยี งราย, ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๒.

๙๘

๒. องค์ประกอบของเครอื ขา่ ย
เครือข่ายเทียม (Pseudo network) หมายถึง เครือข่ายชนิดที่เราหลงผิดคิดว่าเป็นเครือข่าย
แต่แท้จริงแล้วเป็นแค่การชุมนุมพบปะสังสรรค์ระหว่างสมาชิก โดยที่ต่างคนต่างก็ไม่ได้มีเป้าหมาย
ร่วมกัน และไม่ได้ตั้งใจที่จะทำกิจกรรมร่วมกัน เป็นการรวมกลุ่มแบบเฮโลสาระพาหรือรวมกันตาม
กระแสนิยมที่ไม่มีวัตถุประสงค์ชัดเจน ลักษณะของเครือข่ายลวงจะไม่มีการสานต่อระหว่างสมาชิก
ดังนั้น การทำความเข้าใจกับองค์ประกอบของเครือข่ายจึงมีความสำคัญ เพื่อช่วยให้สมาชิกสามารถ
สร้างเครือข่ายแท้แทนการสร้างเครือข่ายเทียมเครือข่าย (แท้) มีองค์ประกอบสำคัญอยู่ อย่างน้อย
๗ อยา่ งดว้ ยกัน คอื

๒.๑ มกี ารรบั ร้แู ละมมุ มองทเี่ หมือนกนั (common perception)
๒.๒ การมีวิสัยทศั นร์ ่วมกนั (common vision)
๒.๓ มคี วามสนใจหรือมีผลประโยชน์ร่วมกนั (mutual interests/benefits)
๒.๔ การมีสว่ นรว่ มของสมาชกิ ทุกคนในเครือขา่ ย (stakeholders participation)
๒.๕ มกี ารเสริมสร้างซงึ่ กนั และกัน (complementary relationship)
๒.๖ มกี ารเก้ือหนนุ พ่งึ พากัน (interdependent)
๒.๗ มีปฏิสัมพนั ธก์ นั ในเชงิ แลกเปล่ยี น (interaction)
มีการรับรู้มุมมองที่เหมือนกัน (common perception) สมาชิกในเครือข่าย ต้องมี
ความรู้สึกนึกคิดและการรบั รเู้ หมือนกันถึงเหตผุ ลในการเข้ามารว่ มกันเป็น เครอื ข่าย อาทิเช่น มีความ
เข้าใจในตัวปัญหาและมีจิตส านึกในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน ประสบกับปัญหาอย่างเดียวกันหรือ
ต้องการความช่วยเหลือในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งจะส่งผลให้สมาชิกของเครือข่ายเกิดความรู้สึก
ผกู พันในการดำเนนิ กจิ กรรมรว่ มกนั เพื่อแก้ปญั หาหรอื ลดความเดอื ดร้อนท่ีเกิดข้ึน๓๑
๓. การมีวสิ ยั ทศั น์ร่วมกัน (common vision)
วิสัยทัศน์ร่วมกัน หมายถึงการที่สมาชิกมองเห็นจุดมุ่งหมายในอนาคตท่ีเป็นภาพเดียวกันมีการ
รับรู้และเข้าใจไปในทิศทางเดียวกัน และมีเป้าหมายทีจ่ ะเดินทางไปด้วยกัน การมีวิสัยทัศน์ร่วมกันจะ
ทำให้กระบวนการขับเคลื่อนเกิดพลัง มีความเป็นเอกภาพ และช่วยผ่อนคลายความขัดแย้งอัน
เนื่องมาจากความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ในทางตรงกันข้ามถ้าวิสัยทัศน์หรือเป้าหมายของสมาชิกบาง
กลุ่มขัดแย้งกับวิสัยทัศน์หรือเป้าหมายของเครือข่าย พฤติกรรมของสมาชิกกลุ่มนั้น ก็จะเริ่มแตกต่าง
จากแนวปฎิบตั ิทสี่ มาชิกเครือข่ายกระทำรว่ มกัน ดังนั้น แม้วา่ จะต้องเสยี เวลามากกบั ความพยายามใน
การสร้างวิสยั ทัศน์ร่วมกัน แตก่ จ็ ำเปน็ จะต้องทำให้เกิดข้ึน หรอื ถา้ สมาชิกมวี ิสัยทัศน์ส่วนตัวอยู่แล้ว ก็
ต้องปรับให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของเครือข่ายให้มากที่สุดแม้จะไม่ซอ้ นทบั กันแนบสนิทจนเป็นภาพ
เดียวกันแต่อย่างนอ้ ยกค็ วรสอดรับไปในทศิ ทางเดยี วกัน

๓๑ สมั ภาษณ์ นายสทุ ศั น์ ปันสวุ รรณ, นักทัณฑวทิ ยาชำนาญการพิเศษ, ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๒.

๙๙

๔. มีความสนใจหรอื ผลประโยชนร์ ว่ มกัน (mutual interests/benefits)
คำว่าผลประโยชน์ในที่นี้ครอบคลุมทั้งผลประโยชน์ที่เป็นตัวเงินและผลประโยชน์ไม่ใช่ตัวเงิน
เป็นความต้องการ (need) ของมนษุ ย์ในเชงิ ปัจเจก (อ่านเรือ่ งแรงจงู ใจในตอนท้าย) อาทิเชน่ เกยี รติยศ
ชอ่ื เสียง การยอมรับ โอกาสในความกา้ วหน้า ความสุข ความพงึ พอใจ ฯลฯ
สมาชิกของเครือข่ายเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่ต่างก็มีความต้องการเป็นของตัวเอง (human
needs) ถ้าการเข้าร่วมในเครือข่ายสามารถตอบสนองต่อความต้องการของเขาหรือมีผลประโยชน์
รว่ มกนั กจ็ ะเปน็ แรงจงู ใจให้เข้ามามีส่วนรว่ มในเครือข่ายมากขึ้น
ดังนั้น ในการที่จะดึงใครสักคนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงานของเครือข่าย จำเป็นต้อง
คำนึงถึงผลประโยชน์ที่เขาจะได้รับจากการเข้าร่วม ถ้าจะให้ดีต้องพิจารณาล่วงหน้าก่อนที่เขาจะร้องขอ
ลักษณะของผลประโยชน์ที่สมาชิกแต่ละคนจะได้รับอาจแตกต่างกัน แต่ควรต้องให้ทุกคนและต้อง
เพียงพอท่จี ะเป็นแรงจูงใจใหเ้ ขาเข้ามีส่วนรว่ มในทางปฎบิ ัติไดจ้ ริง ไม่ใช่เปน็ เข้ามาเป็นเพียงไม้ประดับ
เนื่องจากมีตำแหน่งในเครือข่าย แต่ไม่ได้ร่วมปฎิบัติภาระกิจ เมื่อใดก็ตามที่สมาชิกเห็นว่าเขาเสีย
ประโยชน์มากกว่าได้ หรือเมื่อเขาได้ในสิ่งที่ต้องการเพียงพอแล้ว สมาชิกเหล่านั้นก็จะออกจาก
เครอื ขา่ ยไปในทีส่ ดุ ๓๒
๕. การมีสว่ นรว่ มของสมาชกิ ทกุ คนในเครอื ข่าย (stakeholders participation)
การมสี ่วนรว่ มของสมาชิกในเครือขา่ ย เปน็ กระบวนการที่สำคัญมากในการพัฒนาความเข้มแข็ง
ของเครือข่าย เป็นเงื่อนไขที่ทำให้เกิดการร่วมรับรู้ ร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ และร่วมลงมือกระทำอย่าง
เข้มแข็ง ดังนั้น สถานะของสมาชิกในเครือข่ายควรมีความเท่าเทียมกัน ทุกคนอยู่ในฐานะ “หุ้นส่วน
(partner)” ของเครอื ขา่ ย เป็นความสัมพันธ์ในแนวราบ (horizontal relationship) คอื ความสมั พันธ์
ฉันท์เพื่อน มากกว่าความสัมพันธ์ในแนวดิ่ง (vertical relationship) ในลักษณะเจ้านายลูกน้อง
ซึ่งบางครั้งก็ทำได้ยากในทางปฏิบัติเพราะต้องเปลี่ยนกรอบความคิดของสมาชิกในเครือข่ายโดยการ
สรา้ งบริบทแวดล้อมอืน่ ๆ เข้ามาประกอบ แต่ถา้ ทำไดจ้ ะสรา้ งความเข้มแขง็ ให้กบั เครือขา่ ยมาก
๖. มีการเสริมสรา้ งซงึ่ กนั และกนั (complementary relationship)
องค์ประกอบที่จะทำให้เครือข่ายดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง คือ การที่สมาชิกของเครือข่ายต่างก็
สร้างความเข้มแข็งให้กันและกัน โดยนำจุดแข็งของฝ่ายหนึ่งไปช่วยแก้ไขจุดอ่อนของอีกฝ่ายหนึ่งแล้ว
ทำใหไ้ ด้ผลลพั ธเ์ พิ่มข้ึนในลกั ษณะพลังทวคี ูณ (๑+๑ > ๒) มากกว่าผลลพั ธท์ ่เี กดิ ขน้ึ เม่อื ตา่ งคนตา่ งอยู่
๗. การเกื้อหนุนพ่งึ พากัน (interdependence)
เปน็ องค์ประกอบที่ทำให้เครือข่ายดำเนินไปได้อยา่ งต่อเนื่องเชน่ เดียวกนั การทส่ี มาชิกเครือข่าย
ตกอยู่ในสภาวะจำกัดทั้งด้านทรัพยากร ความรู้เงินทุน กำลังคน ฯลฯ ไม่สามารถทำงานให้บรรลุ
เป้าหมายอย่างสมบูรณ์ได้ด้วยตนเองโดยปราศจากเครือข่าย จำเป็นต้องพึ่งพาซึ่งกันและกันระหว่าง
สมาชิกในเครือข่าย การทำให้หุ้นส่วนของเครือข่ายยึดโยงกันอย่างเหนียวแน่น จำเป็นต้องทำให้
หุ้นส่วนแต่ละคนรู้สึกว่าหากเอาหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งออกไปจะทำให้เครือข่ายล้มลงได้การดำรงอยู่

๓๒ สมั ภาษณ์ นายสิงหา จนั ทาพูน, นักวชิ าการชำนาญการ, ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๒.

๑๐๐

ของหุ้นส่วนแต่ละคนจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงอยู่ของเครือข่ายการเกื้อหนุนพึ่งพากันใน
ลักษณะนจ้ี ะสง่ ผลใหส้ มาชิกมีปฏิสมั พนั ธร์ ะหว่างกันโดยอตั โนมัติ

๘. มปี ฏิสมั พนั ธ์ในเชงิ แลกเปล่ียน (interaction)
หากสมาชิกในเครือข่ายไม่มีการปฏิสัมพันธ์กันแล้ว ก็ไม่ต่างอะไรกับก้อนหินแต่ละก้อนท่ี
รวมกันอยู่ในถงุ แต่ละกอ้ นกอ็ ยใู่ นถุงอย่างเป็นอสิ ระ ดังนั้นสมาชกิ ในเครือข่ายต้องทำกิจกรรมร่วมกัน
เพื่อก่อให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน เช่น มีการติดต่อกันผ่านทางการเขียน การพบปะพูดคุย
การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน หรือมีกิจกรรมประชุมสัมมนาร่วมกัน โดยที่ผลของการ
ปฏสิ ัมพันธ์นตี้ ้องกอ่ ใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงในเครอื ข่ายตามมาดว้ ย
ลักษณะของปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกควรเป็นการแลกเปลี่ยนกัน (reciprocal exchange)
มากกว่าที่จะเป็นผู้ให้หรือเป็นผู้รับฝ่ายเดียว (unilateral exchange) ยิ่งสมาชิกมีปฏิสัมพันธ์กันมาก
เทา่ ใดกจ็ ะเกิดความผูกพันระหว่างกนั มากขึน้ เทา่ นน้ั ทำใหก้ ารเชือ่ มโยงแน่นแฟ้นมากขน้ึ มกี ารเรียนรู้
ระหว่างกันมากขึน้ สรา้ งความเข้มแข็งใหก้ ับเครอื ข่าย
องค์ประกอบข้างต้นไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์ในการนำไปช่วยจำแนกระหว่างเครือข่ายแท้
กับเครือข่ายเทียมเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงปัจจัยที่จะมีผลต่อการเสริมสร้างความเข้มแข็งของ
เครอื ขา่ ยด้วย
๙. การรักษาเครือขา่ ย
ต ร า บ ใด ที ่ ภา รกิ จเ ครื อข่า ยย ังไม่ สำ เร ็จ ย่ อมมี ควา มจำ เ ป ็น ที่ จะต ้ องร ักษา เ ครื อข่ายไว้
ประคับประคองให้เครือข่ายสามารถดำเนินการต่อไปได้ และบางกรณีหลังจากเครือข่ายได้บรรลุผล
สำเรจ็ ตามเปา้ หมายแลว้ ก็จำเป็นตอ้ งรักษาความสำเร็จของเครือขา่ ยไวห้ ลักการรักษาความสำเร็จของ
เครือข่าย มดี ังนี้

๑ มกี ารจัดกิจกรรมรว่ มทดี่ ำเนนิ อย่างต่อเนื่อง
๒ มกี ารรกั ษาสัมพันธภาพที่ดีระหวา่ งสมาชกิ เครือขา่ ย
๓ กำหนดกลไกสรา้ งระบบจูงใจ
๔ จดั หาทรัพยากรสนบั สนุนเพียงพอ
๕ ให้ความชว่ ยเหลอื และชว่ ยแกไ้ ขปัญหา
๖ มีการสร้างผ้นู ำรุน่ ใหมอ่ ย่างต่อเนื่อง
๑๐. การจัดกจิ กรรมรว่ มทีด่ ำเนนิ การอยา่ งต่อเนื่อง
เครือข่ายจะก้าวไปสู่ช่วงชีวิตที่ถดถอยหากไม่มีกิจกรรมใด ๆ ที่สมาชิกของเครือข่ายสามารถ
กระทำร่วมกัน ทั้งนี้เนื่องจาก เมื่อไม่มีกิจกรรมก็ไม่มีกลไกที่จะดึงสมาชิกเข้าหากัน สมาชิกของ
เครือข่ายก็จะไม่มีโอกาสปฏิสัมพันธ์กัน เมื่อการปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกลดลงก็ส่งผลให้เครือข่าย
เรม่ิ ออ่ นแอ สมาชิกจะเริ่มสงสัยในการคงอยขู่ องเครอื ขา่ ย บางคนอาจพาลคิดไปวา่ เครือข่ายล้มเลกิ ไปแลว้
ความยั่งยืนของเครือข่ายจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อได้มีการจัดกิจกรรมที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
จนกระทั่งกิจกรรมดังกล่าวกลายเป็นแบบแผน (pattern) ของการกระทำที่สมาชิกของเครือข่าย
ยอมรับโดยทั่วกัน ด้วยเหตุนี้ การที่จะรักษาเครือข่ายไว้ได้ต้องมีการกำหนดโครงสร้างและตาราง
กิจกรรมไว้ให้ชัดเจน ทั้งในแง่ของเวลา ความถี่ และต้องเป็นกิจกรรมที่น่าสนใจเพียงพอที่จะดึงดูด
สมาชกิ ใหเ้ ข้าร่วมกิจกรรมดงั กล่าว ไมจ่ ำเปน็ ตอ้ งเป็นกิจกรรมเดยี วทใ่ี ชส้ ำหรับสมาชิกทุกคนในสำรวจ

๑๐๑

ดูความต้องการเฉพาะของสมาชิกในระดับย่อยลงไปในแต่ละคนและแต่ละกลุ่มกล่าวคือควรจะมี
กิจกรรมย่อยที่หลากหลายเพียงพอที่จะตอบสนองความสนใจของสมาชิกกลุ่มย่อยในเครือข่ายด้วย
โดยทกี่ จิ กรรมเหลา่ นี้ก็ยงั ต้องอยใู่ นทศิ ทางท่ีจะทำให้บรรลุเป้าหมายของเครอื ข่ายกจิ กรรมเหล่าน้ีอาจ
จัดในรปู แบบท่ีเป็นทางการ เช่น การวางแผนงานร่วมกัน การพบปะเพื่อประเมินผลร่วมกันประจำทุกเดือน
ฯลฯ หรือจัดในรูปแบบที่ไม่เป็นทางการ เช่น จัดกีฬาสันทนาการระหว่างสมาชิกจัดงานประเพณี
ท้องถิ่นร่วมกัน เป็นต้น ในกรณีที่เครือข่ายครอบคลุมพื้นที่ที่กว้างขวางมาก กิจกรรมไม่ควรรวมศูนย์
อย่เู ฉพาะส่วนกลาง ควรกระจายจดุ พบปะสังสรรคห์ มนุ เวียนกนั ไปเพื่อใหส้ มาชกิ เข้าร่วมได้โดยสะดวก๓๓

๑๑.การรกั ษาสมั พันธภาพท่ีดีระหวา่ งสมาชิกเครือขา่ ย
สมั พนั ธภาพท่ดี ีเป็นองคป์ ระกอบสำคัญย่ิงในการรักษาเครือข่ายใหย้ ั่งยืนต่อไปความสัมพันธ์ท่ีดี
เป็นเสมือนน้ำมันที่คอยหล่อลื่นการทำงานร่วมกันให้ดำเนินไปอย่างราบรื่น เม่ือใดที่สมาชิกของ
เครือข่ายเกิดความรู้สึกบาดหมางไม่เข้าใจกัน หรือเกิดความขัดแย้งระหว่างกัน โดยหาข้อตกลงไม่ได้
สัมพันธภาพระหว่างสมาชิกก็จะเริ่มแตกร้าว ซึ่งหากไม่มีการแก้ไขอย่างทันท่วงทีก็จะนำไปสู่ความ
เสื่อมถอยและความสิ้นสุดลงของเครือข่ายได้ ดังนั้น ควรมีการจัดกิจกรรมที่มีจุดประสงค์เพื่อกระชับ
ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสมาชิกโดยเฉพาะ และควรจัดอย่างสมำ่ เสมอไมใ่ ช่จัดในชว่ งทม่ี ปี ัญหาเกิดข้ึนเทา่ นนั้
นอกจากนี้สมาชิกของเครือข่ายพึงตระหนักถึงความสำญของการรักษาสัมพันธภาพ เพื่อ
หลีกเลี่ยงความขัดแย้งหรือความไม่เข้าใจกันที่อาจเกิดขึน้ สมาชิกควรแสดงความเป็นมิตรต่อกัน เมื่อ
เกิดความขัดแย้งต้องรีบแก้ไขและดำเนินการไกล่เกลี่ยให้เกิดความเข้าใจกัน ใหม่นอกจากนี้ควรมี
มาตรการป้องกันปญั หาก่อนทจ่ี ะเกิดความขัดแยง้ ระหว่างกนั เช่น ในการจัดโครงสร้างองค์กรควรแบ่ง
อำนาจหน้าที่ให้ชัดเจน และไม่ซ้ำซ้อน การกำหนดเป้าหมายการทำงานที่สมาชิกยอมรับร่วมกัน การจัดสรร
ทรพั ยากรอย่างเพียงพอ การกำหนดผู้นำท่เี หมาะสม การกำหนดกติกาอนั เป็นทีย่ อมรับร่วมกนั เป็นตน้ ๓๔

๔.๒.๑ นโยบายท่เี กย่ี วข้องกับการชว่ ยเหลอื ผู้ต้องขังและผ้พู น้ โทษ
๑. นโยบายกรมราชทัณฑใ์ นอดตี
๑.๑ แนวคดิ งานราชทณั ฑต์ ำบล
แนวคิดเครือข่ายราชทัณฑ์ตำบล เริ่มต้นจากกระทรวงยุติธรรม มีนโยบายให้มีการ

พฒั นาการมสี ว่ นร่วมของทุกภาคส่วนในสงั คมโดยบรู ณาการการทงานร่วมกันทง้ั ระหว่าง ภาคราชการ
ภาคเอกชน และประชาสังคม โดยกรมราชทณั ฑ์ริเริ่มนำหน่วยงานสว่ นท้องถ่ินเข้ามามีสว่ นร่วมในการ
พัฒนางานสังคมสงเคราะห์ในเรือนจำ เป็นการสร้างพันธมิตรราชทัณฑ์และยังเป็นการพัฒนางาน
ยตุ ธิ รรมชุมชน ๓๕

การได้นำองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นให้เข้ามาร่วมรับผิดชอบในก ารแก้ไขพัฒนาพฤติ
นิสัยผู้ต้องขัง ซึ่งเป็นพันธกิจหลักของกรมราชทัณฑ์ เป็นการพัฒนางานด้านสังคมสงเคราะห์ใน
เรือนจำให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสทิ ธิผล เนื่องจากผูท้ ี่พ้นโทษออกไปแล้วต้องกลับไปใช้

๓๓ สัมภาษณ์ นางกรรนิกา สวุ รรณ, นกั สังคมสงเคราะห์ชำนาญการ, ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๖๒.
๓๔ สัมภาษณ์ นางสาวหน่งึ ฤทยั ใจมอย, นักสังคมสงเคราะห์ชำนาญการ, ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๖๒.
๓๕ สมั ภาษณ์ นางกรรนิกา สุวรรณ, นักสงั คมสงเคราะหช์ ำนาญการ, ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๖๒.

๑๐๒

ชีวิตในภูมิลำเนาเดิม ในชมุ ชนเดมิ การนำชมุ ชนเขา้ มามีส่วนร่วมนน้ั ยงั สามารถทำใหค้ นในชุมชนและ
ครอบครัวของผู้ต้องขังเองให้การยอมรับและเข้าใจในตัวผู้ต้องขัง ทำให้ผู้พ้นโทษไม่เกิดปัญหาหรือ
กลับไปกระทำผิดซ้ำอีก สามารถคืนคนดีมีคุณค่าสู่สังคมได้อย่างยั่งยืน จึงได้นำร่องประสานความ
รว่ มมอื ระหว่างกรมราชทัณฑ์ กับองคก์ ารบริหารส่วนท้องถิ่น ในดา้ นการเตรียมความพรอ้ มก่อนปล่อย
ทั้งในส่วนของผู้ต้องขัง ครอบครัว และชุมชน การทำงานสาธารณะ การสงเคราะห์ผู้ต้องขังและ
ครอบครัวในระหว่างต้องโทษและภายหลังปล่อยตัว การเฝ้าติดตามผู้ต้องขังหลบหนี และการ
สมานฉันท์ระหว่างเหยื่อกับผู้ต้องขังที่ได้รับการปล่อยตัวแล้วกลับไปพักอาศัยในท้องที่เดียวกับเหยื่อ
เป็นต้น โดยมีวัตถุประสงค์ร่วมกัน คือ การแก้ไขพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขังให้กลับตนเป็นพลเมืองดี
ได้รับการยอมรับจากครอบครัวและชุมชน รวมทั้งมีความสามารถในการทำมาหาเลี้ยงชีพโดยไม่หวน
ไปกระทำผดิ ซำ้ อีก

กรมราชทัณฑ์ได้มีการจัดทเครือข่ายราชทัณฑ์ตำบล ในการประสานความร่วมมือกับ
องค์การบริหารส่วนจังหวัดและตำบลในทอ้ งทีต่ ามนโยบายของกรมราชทัณฑ์โดยเรือนจำพิเศษพัทยา
ได้เป็นเรือนจำนำร่องในการจัดทำบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการประสานความร่วมมือในการดำเนินงาน
ด้านสังคมสงเคราะห์ระหว่างเรือนจำพิเศษพัทยากบั องค์การบรหิ ารส่วนตำบลหนองปลาไหลเม่ือวันท่ี
๙ ตุลาคม ๒๕๔๙ ตลอดจนได้ดำเนินการอีกหลายแหง่

๑.๒ วัตถปุ ระสงคเ์ ครอื ขา่ ยราชทัณฑต์ ำบลในขณะนัน้ มี ๓ ประการ คอื
๑.๒.๑ เพ่อื ใหก้ ารดำเนนิ งานของเครือขา่ ยราชทัณฑ์ตำบลกระจายทวั่ ท้ังประเทศ
๑.๒.๒ เพื่อให้งานเครือข่ายราชทัณฑ์ตำบลเป็นรปู ธรรมที่ชัดเจน สามารถวัดผลการ

ดำเนนิ งานได้
๑.๒.๓ เพื่อให้ภาคสังคม ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาการดำเนินงานของ

กรมราชทัณฑ์
๒. นโยบายกระทรวงยตุ ิธรรมและกรมราชทณั ฑ์ท่เี กี่ยวข้องในปัจจุบนั
๒.๑ นโยบายรฐั บาล
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ เรื่อง มาตรการบูรณาการ

การแก้ไขฟื้นฟู ติดตาม ดูแล ช่วยเหลือและสงเคราะห์ผู้กระทำผิดในชุมชน เมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม
๒๕๕๙ ดังน้ี

๒.๑.๑ เห็นชอบมาตรการบูรณาการการแก้ไขฟื้นฟู ติดตาม ดูแล ช่วยเหลือและ
สงเคราะห์ผู้กระทำผิดในชุมชน ซึ่งเป็นแนวทางการบูรณาการความร่วมมือในการทำงานร่วมกัน
ระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคประชาชน ในภารกิจคืนคนดีสู่สังคมในกลุ่มผู้กระทำผิดที่เป็นผู้ถูก
คุมขังความประพฤติที่ศาลสั่งคุมความประพฤติผู้เข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดตาม
พระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๔๕ ผู้ได้รับการพักการลงโทษและลดวัน
ตอ้ งโทษจำคุก รวมถงึ ผู้พน้ ภาระในการรายงานตวั พน้ การคุมความประพฤตผิ ่านการฟ้ืนฟูสมรรถภาพ
ผตู้ ดิ ยาเสพตดิ พน้ โทษจำคกุ และผู้ไดร้ บั พระราชทานอภัยโทษปล่อยตวั โดยไม่มเี ง่ือนไขในการรายงาน
ตัวประกอบดว้ ย ๓ มาตรการ ได้แก่ ๑. มาตรการบำบดั ฟ้นื ฟูสมรรถภาพผตู้ ิดยาเสพติดและแก้ไขฟื้นฟู
ผู้กระทำผดิ ๒. มาตรการการดูแลช่วยเหลือ สรา้ งงานสรา้ งอาชีพ และ ๓. มาตรการนำชุมชนเข้ามามี
ส่วนร่วมในการดูแล แก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิด รวมทั้งกลไกในการขับเคลื่อนมาตรการการแก้ไขฟื้นฟู

๑๐๓

ติดตาม ดูแล ช่วยเหลือและสงเคราะหผ์ ู้กระทำผดิ ในชมุ ชน และการจัดทำแผนงบประมาณเชิงบูรณา
การตามยุทธศาสตร์ของแผนแม่บทการบรหิ ารงานยุติธรรมแห่งชาติ และใหห้ น่วยงานภาครัฐถือปฏบิ ตั ิ๓๖

๒.๑.๒ ให้คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติรับไปดำเนินการใน
สว่ นท่เี กี่ยวขอ้ ง

๒.๑.๓ ให้รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขและคณะกรรมการพัฒนาการ
บรหิ ารงานยุติธรรมแหง่ ชาติเก่ียวกบั การมีคณะทำงานในการพิจารณาระบบหลักเกณฑ์ เง่อื นไขตา่ ง ๆ
ในการดำเนินงานตามมาตรการดังกล่าว รวมทั้งงบประมาณอย่างเป็นรูปธรรม และการเพิ่มข้อความ
ในมาตรการ “ข้อ ๔ กำหนดให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล หรือศูนย์บริการสาธารณสุข
กรงุ เทพมหานคร มีสว่ นรว่ มดแู ลช่วยเหลือผู้กระทำผิดทุกกลุ่มทมี่ ีปัญหาสุขภาพ” และการมอบหมาย
ให้คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติเป็นกลไกหลักในการผลักดันการดำเนินงาน
การติดตามประเมินผล และการจัดทำแผนงบประมาณบรู ณาการ รวมทั้งประเด็นเร่ืองการเพิม่ ผู้แทน
กรมคุมประพฤติเป็นกรรมการและเลขานุการร่วมในคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรม
แห่งชาติ หากมีการเพิ่มผู้แทนกรมคุมประพฤติเป็นเลขานุการร่วมเพียงหน่วยงานเดียวจะเกิดข้อ
คำถามจากหน่วยงานอื่นที่อยู่ในกลุ่มภารกิจด้านการบำบัดฟื้นฟูผู้กระทำผิดในชุมชนเช่นเดียวกันได้
ไปพจิ ารณาดำเนินการด้วย

๒.๑.๔ ใหก้ ระทรวงยตุ ิธรรมรว่ มกบั กระทรวงมหาดไทยไปพจิ ารณาเกยี่ วกับการบูรณาการ
การทำงานระดับหน่วยงาน เพ่ือให้การขับเคล่อื นมาตรการในเรื่องนี้เกิดผลสัมฤทธิ์อยา่ งแท้จริง

๒.๒ นโยบายกระทรวงยตุ ิธรรม
นโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง) ประจำปี
งบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๑ - ๒๕๖๒
“๕ จำเป็นตอ่ เนอ่ื ง อำนวยความยุติธรรม ลดความเหลอื่ มล้ำ ขจัดความทกุ ข์ยากสร้าง
ประชาสามัคคี ส่งเสริมคนดสี ่สู งั คม”
วสิ ัยทัศน์ : หลักประกันความยุติธรรมตามมาตรฐานสากล
พนั ธกจิ :

๑. พฒั นาระบบการใหบ้ ริการประชาชนเพื่อใหเ้ ขา้ ถึงความยุตธิ รรมอย่างเท่าเทียมกนั
๒. พัฒนาระบบงานยุติธรรมและการบังคบั ใช้กฎหมายใหเ้ ปน็ ไปตามหลกั สากล
๓. พฒั นาประสทิ ธภิ าพการบรหิ ารความยตุ ิธรรมและการบังคับใช้กฎหมายให้มธี รรมาภิบาล
๔. พัฒนาระบบปอ้ งกนั อาชญากรรมเพอื่ สรา้ งความปลอดภยั ในสังคม๓๗
๒.๓ นโยบายเรง่ ด่วนท่ีเกี่ยวข้อง
ยกระดับการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิด โดยมุ่งเน้นการฝึกอาชีพที่สอดคล้องกับความ
ต้องการของตลาดแรงงาน และมีกระบวนการส่งต่อผู้ที่ผ่านการฝึกอาชีพภายหลังพ้นโทษให้มีงานทำ

๓๖ สมั ภาษณ์ นายสมรตั น์ เขม็ ศริ ิ, ผู้บญั ชาการเรือนจำกลาง เชยี งราย, ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๒.
๓๗ สัมภาษณ์นายสมเด็จ โกเสนตอ, หัวหน้าฝ่ายฝึกวิชาชีพผู้ต้องขัง เรือนจำกลางเชียงราย, ๑๔
กรกฎาคม ๒๕๖๒.

๑๐๔

ตรงตามทักษะที่ได้รับการพัฒนาวิชาชีพ โดยให้บูรณาการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐภาคเอกชน
และภาคประชาสังคม ท้งั ในการฝกึ อาชพี และกระบวนการสง่ ต่อการทำงาน เพื่อให้ผกู้ ระทำผิดกลับไป
ใชช้ ีวิตในสังคมได้อย่างปกตสิ ขุ

๒.๔ นโยบายเฉพาะ
สร้างความปลอดภัยและความสงบสุขในสังคม (กลุ่มภารกิจด้านพัฒนาพฤตินิสัย)
มุ่งเน้นการลดการกระทำผิดซ้ำ และพัฒนาให้ผู้ผ่านการแก้ไข ฟื้นฟู มีการศึกษามีงานทำ มีรายได้
พึ่งตนเองได้และกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้ภายหลังพ้นโทษ ให้สังคมเช่ือมั่นการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิด
จงึ กำหนดนโยบายสร้างความปลอดภยั และความสงบสขุ ในสงั คม ๓ ขอ้ ดงั นี้

๒.๔.๑ ป้องกันอาชญากรรม โดยการสร้างความรู้ ความเข้าใจ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน
ให้กับประชาชน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนในวัยเรียนไม่ให้กระทำความผิดทางอาญา โดยสนับสนุน
หน่วยงานภาครฐั ภาคเอกชน และสถานศึกษาในการป้องกันปัญหาพฤติกรรมและการกระทำผิดของ
เดก็ และเยาวชน

๒.๔.๒ แก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิด มุ่งเน้นอาชีพที่สอดคล้องกับความต้องการของ
ตลาดแรงงาน โดยใหบ้ ูรณาการการฝึกอาชีพร่วมกนั ระหวา่ งภาครฐั ภาคเอกชน และภาคประชาสงั คม

๒.๔.๓ พฒั นาระบบติดตามและส่งต่อการมงี านทำภายหลังพน้ โทษ มุง่ เน้นการส่งต่อ
เด็กและเยาวชน ผู้ต้องขัง ผู้พ้นการคุมความประพฤติ ให้สามารถประกอบอาชีพได้ตามทักษะที่ได้รับ
การพัฒนา รวมถึงการติดตามช่วยเหลือ ให้คำปรึกษาแก่กลุ่มบุคคลเหล่านี้ทั้งด้านการทำงาน
ครอบครัว ที่อยู่อาศัย โดยร่วมมือกับภาคเอกชน และภาคีเครือข่ายต่าง ๆ เพื่อให้ผู้กระทำผิดกลับไป
ใชช้ ีวติ ในสังคมไดอ้ ยา่ งปกติสุข๓๘

๒.๕ นโยบายกรมราชทัณฑ์
นโยบายเน้นหนักของอธิบดีกรมราชทัณฑ์ (พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์) ประจำปี
งบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑
ทุกวนั นส้ี งั คมเคลือบแคลงสงสัยในการปฏิบตั ิงานของกรมราชทัณฑ์ เรือนจำวนใหญ่มี
สภาพเก่าและทรุดโทรมเนื่องจากมีอายุการใช้งานมานาน มีลักษณะเป็นโรงเรือนทำให้ต้องควบคุม
ผู้ต้องขังแบบรวม โครงสร้างอาคารตา่ งจากมาตรฐานสากล ประกอบกับจำนวนผู้ต้องขังทีม่ ีมากทำให้
อัตราส่วนของเจ้าหน้าที่ต่อการควบคุมผูต้ ้องขังไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล ทำให้เป็นงานที่ท้าทาย
เป็นอย่างมาก
จากสถิติพบว่ามีผู้ต้องขังพยายามหลบหนีแหกหักอยู่ในหลักสิบคนเท่านั้นซึ่งยังไม่ถึง
หลักร้อยคน ขอใหร้ กั ษาไว้ และพยายามให้ลดลงไปในที่สุด ทง้ั นข้ี อใหต้ รวจสอบเพ่ิมเติมว่าเป็นตัวเลข
ทเ่ี ชื่อถอื ได้หรือไม่ เพราะอาจมีบางกรณีทผี่ ู้ต้องขังหลบหนีและสามารถจับกุมได้ในทันทีทำให้ไม่มีการ
รายงานเข้ามา ที่กรมราชทณั ฑ์ จึงขอให้เจ้าหนา้ ที่กรมราชทัณฑบ์ ริหารงานตามความเป็นจรงิ เพื่อให้
สามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุด และจะได้รู้ถึงจุดบกพร่อง เช่น ความมั่นคงแข็งแรงของอาคารสถานท่ี
ประสิทธภิ าพการควบคุม ความเคร่งครดั รอบคอบของเจ้าหนา้ ท่ี เป็นตน้

๓๘ สัมภาษณ์ นายสมรัตน์ เขม็ ศริ ิ, ผู้บญั ชาการเรอื นจำกลาง เชียงราย, ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๒.

๑๐๕

อีกทั้งสถานการณ์ปัจจุบันมีผู้ต้องขังที่พ้นโทษและกลับไปกระทำความผิดซ้ำเป็น
จำนวนมากที่ผ่านมากรมราชทัณฑ์มีนโยบายคนื คนดีสู่สังคม แต่จากสถานการณ์กลับกลายเป็นว่าคืน
คนเดิมสู่สังคม ดังนั้น การกระทำผิดซ้ำเป็นปัญหาหลักและปัญหาสำคัญที่ต้องให้ความสำคัญทั้งการ
สร้างงาน สร้างอาชีพให้กับผู้ต้องขัง ให้สมดุลกับการดูแลความปลอดภัยให้สังคม ไม่ควรเน้นผลัก
ผู้ตอ้ งขังออกสูส่ งั คมเพียงอยา่ งเดยี ว แต่ต้องใหส้ ำนึกผดิ เมอ่ื ได้รับโทษและเกรงกลวั ต่อบาปด้วย

ปัญหาสำคัญของงานราชทัณฑ์ คือ กระบวนการทางอาญาของไทยเนน้ ไปที่การบังคับโทษ
ซึ่งมีโทษจำคุกมากเกินไป ส่งผลให้ผู้ต้องขังล้นเรือนจำ ทำให้ผลของการแก้ไขพัฒนาพฤตินิสัยของ
ผู้ต้องขังไม่เต็มประสิทธิภาพ เมื่อแก้ไขฟื้นฟูเยียวยาไม่ได้ผล ทำให้สภาพภายในเรือนจำมีลักษณะ
เสมือนหนึ่งเป็นเรือนเพาะชำ อาชญากร ที่ผ่านมากรมราชทัณฑ์ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเหตุใดผู้ต้องขัง
หลายรายที่มีโทษสูงถึงประหารชีวิตแต่กลับถูกคุมขังจริงเพียง ๑๐ กว่าปี เรื่องดังกล่าวจึงเป็นโจทย์ที่
ต้องคิดพจิ ารณาแก้ไข

อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ไดม้ อบนโยบายการดำเนินงานท่สี ำคัญ โดยยดึ หลกั ๓ ส. ๗ ก.ดงั นี้
๓ ส. ไดแ้ ก่ สะอาด สจุ ริต และเสมอภาค

๑. สะอาด เรือนจำต้องมีความสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย ปราศจากยาเสพติด
โทรศพั ท์มือถือ และสง่ิ ของตอ้ งห้ามในเรอื นจำ

๒. สจุ รติ เน้นยำ้ ในเรอื่ งของความสจุ ริต บนพน้ื ฐานของสิ่งทยี่ ึดถือและไม่ปฏิบัติโดย
เด็ดขาด ได้แก่

๒.๑ ไม่ซื้อขายตำแหน่ง ในการบริหารงานบุคคล จะใช้ระบบคุณธรรม
(Merit system) โดยการพิจารณาความดีความชอบ การเลื่อนตำแหน่ง จะพิจารณาจากความรู้
ความสามารถ ผลงาน ความประพฤตแิ ละหลกั อาวโุ ส

๒.๒ ไม่ทำธุรกิจ การจัดซื้อจัดจ้าง การขายของกับหน่วยงาน ให้ยึดถือการ
ปฏิบตั ิงานตามระเบียบของทางราชการอย่างเตม็ ท่ี

๒.๓ ไม่เบียดเบียนผใู้ ตบ้ งั คับบัญชา ไม่เรี่ยไรเงนิ ขอใหผ้ ูบ้ ัญชาการเรือนจำ/
ผอู้ ำนวยการทณั ฑสถาน ปฏิบัติงานอยใู่ นพืน้ ท่เี รือนจำและทณั ฑสถานท่ีรบั ผดิ ชอบ เพือ่ ให้ “งานได้ผล
คนเปน็ สุข”“งานได้ผล”คือไม่มกี ารแหกหักหลบหนี เรือนจำสะอาดภายใตน้ โยบาย ๕ กา้ วย่าง “คน”
คือผ้ใู ตบ้ ังคับบญั ชามีความสุขสบาย ได้พักผ่อนพอสมควร คุณภาพชีวติ ของผตู้ ้องขังพอใช้ได้

๒.๔ ไมท่ รยศต่อวิชาชีพ ไม่ให้ผตู้ ้องขังมีอิทธิพลต่อการทำงาน การได้มาซ่ึง
ประโยชน์ของผู้ต้องขังหรือการย้ายเรือนจำต้องเป็นไปตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ โดยใช้หลัก
นิติศาสตร์เป็นหลักส่วนการใช้หลักทางด้านรัฐศาสตร์จะต้อง ปรึกษาหารือกันตามสมควรกับ
สถานการณ์และเหตผุ ลตามความจำเปน็

๓. เสมอภาค ขอให้ปฏิบัติต่อผู้ต้องขังทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน และยึดมั่นใน
กฎระเบียบและกฎหมาย

๗ ก. ได้แก่ กักขัง แกไ้ ข กฎหมาย การวางกรอบ กล่ันกรอง กำลังใจและกลับตวั
๑. กักขัง ภารกิจหลักของกรมราชทัณฑ์ คือ การควบคุม กักขัง ผู้กระทำ
ความผิดตามกฎหมาย มิให้หลบหนี เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์การแหกหักหลบหนี ผู้บัญชาการเรือนจำ
หรือผู้อำนวยการทัณฑสถานจะต้องอยู่ในพื้นที่เพื่อป้องกันไม่ให้มีเหตุร้ายเกิดขึ้น รวมทั้งการ

๑๐๖

ประสานงานกับหน่วยงานอื่น ๆ ในพื้นที่เพื่อขอรับความช่วยเหลือ และหากมีเหตุการณ์ที่สำคัญหรือ
ร้ายแรงเกิดขึ้น ต้องรายงานให้อธิบดีกรมราชทัณฑ์ทราบก่อน ผู้บัญชาการเรือนจำหรือผู้อำนวยการ
ทณั ฑสถานจะตอ้ งรู้ ๓ อย่าง ไดแ้ ก่ รคู้ น รพู้ ื้นท่ี และรู้สถานการณ์

๒. แก้ไข กรมราชทัณฑ์จะยึดตามแนวทางนโยบาย ๕ ก้าวย่าง แห่งการ
เปลยี่ นแปลงกรมราชทัณฑ์ ของ พล.อ.ไพบลู ย์ คุ้มฉายา อดตี รัฐมนตรวี า่ การกระทรวงยตุ ธิ รรมตามกฎ
และกติกาเดิม ที่มีกฎเหล็กเรื่องการห้ามมียาเสพติด โทรศัพท์มือถือ และสิ่งของต้องห้ามต่าง ๆ
การจัดระเบียบเรือนจำ ฝึกวินัยและสมาธิให้แก่ผู้ต้องขังรวมทั้งการสร้างการยอมรับของสังคมเมื่อ
ผู้ตอ้ งขังพ้นโทษ

๓. กฎหมาย ยึดหลักกฎหมาย รวมทั้งการควบคุมให้เป็นไปตาม
มาตรฐานสากลได้แก่ ข้อกำหนดขั้นต่ำขององค์การสหประชาชาติในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง หรือ
“ขอ้ กำหนดแมนเดลา”(Mandela Rules) และขอ้ กำหนดสหประชาชาติว่าด้วยการปฏบิ ัติต่อผู้ต้องขัง
หญิงในเรือนจำหรอื “ข้อกำหนดกรุงเทพ” (Bangkok Rules)

๔. การวางกรอบ วางกรอบการแก้ไขปัญหาโดยจำกัดพื้นที่สีเทา (grey area)
ให้นอ้ ยทส่ี ุด และอยูใ่ นความเหน็ ชอบของผูบ้ งั คับบญั ชา

๕. กล่ันกรอง วเิ คราะหแ์ ละจดั วางระบบการจำแนก การจดั ชัน้ การพักการ
ลงโทษและลดวันต้องโทษของผู้ต้องขัง จากปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่นเพศ อายุ อาชีพ ความรู้
รายได้กับสิทธิประโยชน์ที่ผู้ต้องขัง จะได้รับเพื่อประเมินความเสี่ยงที่จะไม่กลับไปกระทำความผิดซ้ำ
หรือสรา้ งความเดอื ดร้อนของสังคม

๖. กำลังใจ ใช้หลักเมตตาธรรม สิทธิประโยชน์ผู้ต้องขังต้องได้รับการดูแล
ด้วยความเป็นธรรมและเป็นไปตามระเบียบกรมราชทัณฑ์และขอให้เรือนจำ/ทัณฑสถานทุกแห่ง
ดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ ต่าง ๆ ของพระบรมวงศานุวงศ์ของ
ทกุ พระองคอ์ ยา่ งต่อเนื่อง เพื่อให้การถวายงานประสบผลสำเร็จอยา่ งดที ่สี ุด

๗. กลับตัว ผู้ต้องขังที่ได้รับการแก้ไขและพัฒนาพฤตินิสัย จะสามารถกลับ
ตนเป็นคนดี อย่รู ่วมกับสงั คมได้อยา่ งเปน็ สุข โดยไมก่ ระทำผิดซ้ำ๓๙

๔.๒.๒.แนวทางการดำเนนิ งานศูนย์ประสานงานและสง่ เสริมการมงี านทำในระดับ
เรือนจำ/ทัณฑสถานในการส่งเสริมการประกอบอาชีพของผู้ต้องขังในเรือนจำชั่วคราวดอยฮาง
จังหวัดเชียงราย

๑ การกำหนดบทบาท หนา้ ที่ ภารกิจของศูนย์ประสานงานและส่งเสริมการมีงานทำ
(CARE : Center for Assistance to Reintegration and Employment) ให้ชัดเจนในการเป็น
หน่วยงานที่ให้บริการกับผู้ต้องขัง ผู้พ้นโทษ และญาติในการให้ความช่วยเหลือด้านการมีงานทำกับ
ผู้ใช้บรกิ าร เป็นหลกั เช่น การตดิ ตอ่ กบั บริษทั หา้ งร้าน ท่ียนิ ดรี ับผ้พู ้นโทษเข้าทำงาน การหาตำแหน่ง
งานว่างที่เหมาะสม เพื่อรองรับผู้ต้องขังที่จะพ้นโทษ การให้คำแนะนำ การประสานงานให้ความ

๓๙ สมั ภาษณ์ นายสุทศั น์ ปันสุวรรณ, นกั ทณั ฑวิทยาชำนาญการพเิ ศษ, ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๒.

๑๐๗

ชว่ ยเหลือในการขอรับทุนประกอบอาชีพจากแหล่งทุนต่าง ๆ และการให้ความชว่ ยเหลือในด้านต่าง ๆ
ใหก้ ับผู้รับบรกิ ารตามความเหมาะสม โดยมีรายละเอียด ดงั นี้

๑ ประชาสัมพันธ์วัตถุประสงค์การดำเนินงานของศูนย์ประสานงานและ
ส่งเสริมการมีงานทำให้กบั ผูต้ ้องขงั ทีใ่ กลพ้ น้ โทษทราบ เพ่ือขอรบั การประสานงานช่วยเหลือได้

๒ ให้ศูนย์ประสานงานและส่งเสริมการมีงานทำดำเนินการเชิงรุกโดย
ประสานงานกบั ส่วน/ฝ่ายตา่ ง ๆ ในเรอื นจำ/ทัณฑสถาน เพ่ือจัดทำข้อมลู ผตู้ อ้ งขงั ทีใ่ กล้พ้นโทษ ในช่วง
ระยะเวลาก่อนปล่อยตัว ๑ ปี หรือในช่วงการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย ทั้งผู้ที่จะได้รับการปล่อย
ตัวพกั การลงโทษ และลดวันต้องโทษจำคุก และผู้ทจ่ี ะได้รบั การปลอ่ ยตวั ตามกำหนดโทษ เพือ่ วางแผน
และประสานหน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน หรือสถานประกอบการที่ยินดีรับผู้พ้นโทษเข้าทำงาน หรือ
การนำบริษัท ห้างร้าน หรือสถานประกอบการเข้ามาเสริมการฝึกทักษะอาชีพที่จำเป็นต้องได้รับการ
ฝึกฝนขณะอยู่ในเรอื นจำเพื่อเตรียมพร้อมในการออกไปประกอบอาชีพ หรือวางแผนและประสานการ
ให้ความชว่ ยเหลือในด้านตา่ ง ๆ

๓ ติดต่อประสานงานและจัดทำอมูลทำเนียบหน่วยงานเครือข่ายด้านการ
ทำงานการให้การสงเคราะห์ช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ตามสภาพปัญหาของผู้ต้องขังกับหน่วยงาน
ภายนอกทั้งภาครัฐ และเอกชนที่อยู่ในเขตพื้นที่จังหวัดของเรือนจำ เพื่อรวบรวมทำเนียบหน่วยงาน
เครอื ข่ายไว้เป็นขอ้ มูล ในการประสานงานการใหค้ วามช่วยเหลือ

๔ รับคำร้องขอรับความช่วยเหลือด้านการมีงานทำและด้านต่าง ๆ ให้กับ
ผตู้ อ้ งขังทีใ่ กลพ้ น้ โทษ และผู้พน้ โทษ และดำเนนิ การประสานงานการให้ความช่วยเหลือ

๕ การให้คำปรึกษาแนะนำด้านการดำเนินชีวิตภายหลังพ้นโทษ และด้าน
อนื่ ๆ ตามความเหมาะสม

๖ เป็นศูนย์กลางในการประสานส่งต่อหน่วยงานที่เก่ียวข้องเพื่อให้ความ
ช่วยเหลือกรณีเรือนจำ/ทณั ฑสถาน ไม่สามารถดำเนินการให้ความช่วยเหลือได้๔๐

๒ การแต่งตั้งคณะทำงานของศูนย์ประสานงานและส่งเสริมการมีงานทำโดยผู้
บัญชาการเรือนจำ/ผู้อำนวยการทัณฑสถาน ต้องมอบหมายและกำชับให้ทุกส่วน/ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
ให้ความร่วมมือและ ให้ความสำคัญกับหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมาย เจ้าหน้าที่ทุกคนที่ร่วมเป็น
คณะทำงานฯ ตอ้ งมสี ่วนรว่ ม และมีหน้าทีช่ ดั เจนเพ่ือลดภาระหน้าท่ขี องเจ้าหน้าทคี่ นใดคนหน่ึง

๓ ประชาสัมพันธ์ภารกิจของศูนย์ฯ เพื่อให้ผู้รับบริการ (ผู้ต้องขัง ผู้พ้นโทษ ญาติ)
สามารถเข้าถึงข้อมูลและเข้าใจภารกิจหน้าที่ของศูนย์ฯ และเตรียมตนเองให้พร้อมก่อนเข้ารับบริการ
การประชาสัมพันธ์ อาจทำได้หลายช่องทาง เช่น การจัดทำแผ่นพับ เอกสาร แผ่นป้ายไวนิล บอร์ด
ประชาสมั พนั ธ์บุคคลประชาสัมพนั ธ์ ฯลฯ เพ่อื เผยแพร่ภารกิจของศูนย์ฯ ขอ้ มลู ตำแหน่งงานว่างข้อมูล
ที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับการมีงานทำ ทั้งภายในและภายนอกเรือนจำ เพื่อให้ผู้รับบริการได้มีการ
เตรียมข้อมูล การเตรียมเอกสาร ก่อนที่จะเข้ามารับบริการในศูนย์ CARE เพื่อให้มีความรวดเร็วเป็น
การลดขัน้ ตอน ประหยดั เวลา ในการใหบ้ รกิ าร โดยเฉพาะการสร้างความเข้าใจใหก้ ับผตู้ ้องขังก่อนพ้น

๔๐ สัมภาษณ์ นายสทุ ัศน์ ปนั สวุ รรณ, นักทณั ฑวิทยาชำนาญการพิเศษ, ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๒.

๑๐๘

โทษในภารกิจของศูนย์ CARE ว่าเป็นการให้ความช่วยเหลือด้านการมีงานทำเป็นการทำงานเชิงรุก
เนื่องจากผู้ต้องขังมักจะไม่ให้ความร่วมมือในการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว พร้อมทั้งให้ผู้ต้องขังที่ใกล้พ้น
โทษ (ภายในระยะเวลา ๑ ปี) กรอกข้อมูลลงในแบบฟอร์มก่อนปล่อยตัว (แบบ CARE ๐๑) เพื่อเป็น
ขอ้ มูลใหศ้ นู ย์ CARE วางแผนในการให้ความชว่ ยเหลือ

๔ การสร้างช่องทางการติดต่อเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ฯ ควรมีมากกว่า ๑ ช่องทาง
(แก้ไขปัญหาการไม่มีเจ้าหน้าที่นั่งประจำศูนย์ฯ) เช่น หมายเลขโทรศัพท์ แอพพลิเคชั่นไลน์ เฟสบุ๊ค
ฯลฯ (ควรเป็นหมายเลขของเรือนจำ/ทัณฑสถาน ไม่ควรใช้หมายเลขโทรศัพท์ส่วนตัวของเจ้าหน้าท่ี)
เพื่อเพิ่มช่องทางในการติดต่อของผู้รับบริการ ซึ่งสามารถฝากข้อความ ฝากหมายเลขโทรศัพท์ให้โทร
กลับ หรือฝากประเด็นปัญหาไว้ให้เจ้าหน้าที่ศูนย์ฯ ได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง โดยไม่ต้องใช้เจ้าหน้าที่นั่ง
ประจำ

๕ จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับหน่วยงานเครือข่ายในระดับท้องที่หรือจัด
ประชุมหารือ ทำการประสานงานด้วยหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อเพิ่มความชัดเจนของการ
ประสานงาน การส่งต่อข้อมูล การสง่ ตอ่ ผรู้ บั บรกิ ารเพ่ือขอรับความช่วยเหลือ เพราะถึงแม้จะมีการทำ
บันทึกความตกลงร่วมกัน (MOU) ของหน่วยงานระดับกระทรวง หรือระดับกรม แต่พบว่าหน่วยงาน
ภายใต้การดูแลของกระทรวงหรือกรมต่าง ๆ ในระดับพื้นที่ไม่ได้ให้ความสำคัญ หรือบางแห่งยังไม่
ทราบขอ้ มูลเกย่ี วกบั การทำข้อตกลง การนำนโยบายไปสู่การปฏบิ ตั ยิ ังกระจายไมท่ ่วั ถงึ

๖ บันทึกข้อมูลการให้บริการในศูนย์ประสานงานและส่งเสริมการมีงานทำในระบบ
ข้อมูลผู้ต้องขัง (๑๗ ระบบ) โดยให้ผู้ดูแลระบบข้อมูลผู้ตอ้ งขังของแต่ละเรือนจำ/ทัณฑสถาน กำหนด
สทิ ธกิ์ ารเขา้ ถึงข้อมูลในเมนูแบบฟอร์มก่อนปลอ่ ยตวั (CARE ๐๑) และ MENU CARE ให้กับเจ้าหน้าที่
ประจำศูนย์ฯ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการบันทึกข้อมูลการให้บริการในแต่ละวันให้ครบถ้วนสมบูรณ์
เพ่อื กรมราชทณั ฑจ์ ะได้ออกรายงานสถิตขิ ้อมลู ได้ถกู ต้อง

๗ ให้รายงานสถิติผู้เข้าใช้บริการของศูนย์ประสานงานและส่งเสริมการมีงานทำราย
สัปดาห์ (ทุกวันพฤหัสบดี) ทาง Application Line ชื่อกลุ่ม “ศูนย์ประสานงาน CARE” ตามแบบฟอร์ม
รายงานประจำสัปดาห์ (แบบ CARE ๐๒) และรายงานข้อมูลผู้เข้าใช้บริการในศูนย์ฯให้กรมราชทัณฑ์
ทราบทกุ เดือนภายในวนั ท่ี ๕ ของเดือนถัดไป (ใชแ้ บบรายงาน CARE ๐๓ และแบบรายงาน CARE ๐๔)๔๑

๔.๓ การวิเคราะห์พุทธบูรณาการในการส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย
ด้านการส่งเสริมประกอบอาชีพของผู้ต้องขังในเรือนจำช่วั คราวดอยฮาง จงั หวดั เชยี งราย

การนำหลักพุทธบูรณาการทางพระพุทธศาสนากับวิทยาการสมัยใหม่นำไปใช้ในการส่งเสริม
กระบวนการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย ด้านการส่งเสริมประกอบอาชีพของผู้ต้องขังในเรือนจำ
ชั่วคราวดอยฮาง จงั หวดั เชยี งราย ทำให้ผตู้ อ้ งขังมจี ิตใจทส่ี งบ ผ่อนคลาย มีสมาธติ อ่ การมสี ่วนร่วมของ
ภาคเี ครือขา่ ยทเ่ี ข้ามามสี ่วนช่วยส่งเสริมในการประกอบอาชีพของผู้ตอ้ งขัง พทุ ธบูรณาการในส่วนของ
เรอื นจำชั่วคราวดอยฮาง จึงมคี วามสำคญั ต่อการสง่ เสริมกระบวนการร่วมของภาคเี ครือข่ายทั้งภาครัฐ
และภาคเอกชนรวมถึงภาคสังคมท่ีพร้อมเขา้ ให้ความช่วยเหลอื เป็นการผสมผสานให้สมบูรณ์ และทำ

๔๑ สัมภาษณ์ นางกรรนิกา สุวรรณ, นักสังคมสงเคราะห์ชำนาญการ, ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๖๒.

๑๐๙

ให้เกิดสิ่งใหม่ ซึ่งพุทธบูรณาการในเรือนจำชั่วคราวดอยฮาง ก็เป็นการบูรณาการศาสตร์สมัยใหม่เข้า
กบั ศาสนา ในการพฒั นาจิตใจ รวมถึงบคุ ลกิ ภาพได้ทำใหเ้ กดิ ปัญญา ช่วยให้จิตสงบ ที่สำคัญจะ
ทำให้มีสติ เพราะการขาดสติจะทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา นอกจากนี้การนำหลักทาง
พระพทุ ธศาสนาเขา้ บรู ณาการในการส่งเสรมิ กระบวนการมสี ว่ นร่วมของภาคเี ครือข่ายยงั จะช่วยให้เกิด
คุณธรรม และจริยธรรม เช่น หลักเศรษฐกิจพอเพียง ก็เกิดการนำหลักพระพุทธศาสนาไปบูรณาการ
กับหลักเศรษฐกิจ หลักธรมเหล่านี้จึงให้ได้ว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งที่มีส่วนขัดเกลาในผู้ต้องขังนั้นได้
เข้าถึงหลักธรรมคำสอนได้ โดยใช้แรงจูงใจทั้งเหตุและผลควบคุมกับการสอนไปด้วย สิ่งเหล่าน้ีทำให้
เกดิ ประโยชนต์ ่อตวั ผ้ตู อ้ งขังเองไม่มากกน็ ้อย ถา้ หากตวั ผ้ตู ้องขงั ใชส้ ตปิ ญั ญาครบคมุ ตวั เองได้

๔.๓.๑ หลักการและแนวคิด
วิธีการปฏิบัติต่อผู้กระทำผิดในระบบเรือนจำ (Custodial treatment) หรือการ
จำคุกเป็นการลงโทษทางอาญาสถานหนึ่ง นิยมใช้ในกระบวนการยุติธรรมกระแสหลักทั่วโลก
การลงโทษโดยการจำคุก เป็นแนวความคิดที่แยกมาจากการลงโทษของสำนักคลาสสิก คือ ลงโทษให้
เหมาะสมกับอาชญากรรม แนวความคิดใหม่น้ี เลิกคิดถงึ ผลในทางยบั ยั้ง แต่ใช้การลงโทษเพียงเพ่ือให้
อาชญากรพ้นไปเสียจากชุมชน เรือนจำจึงกลายเป็นสถานที่ควบคุม ที่จะป้องกันชุมชนจาก
อาชญากรรม โดย การขงั อาชญากรไว้ วิธกี ารนี้จะมผี ลในการควบคุมมิให้อาชญากรมีโอกาสแพร่พันธุ์
อย่างน้อยที่สุดระหว่างที่ถูกขัง อย่างไรก็ดียังหาข้อมูลที่จะนำมาพิสูจน์ผลของการจำคุก ต่ออัตรา
อาชญากรรมในชุมชนไม่ได้ มีแต่เพียงการคาดการณ์ว่า ผู้กระทำความผิดที่ถูกจับกุมมาเข้ามาใหม่
ในประเทศไทยประมาณร้อยละ ๒๐ เคยกระทำความผดิ มากอ่ นแล้ว๔๒
การใช้เรือนจำเป็นมาตรการในการลงโทษ ที่ใช้ปฏิบัติต่อผู้กระทำผิด มีวิวัฒนาการ
มาเป็นเวลานานกว่าสองศตวรรษ โดยนำมาใช้แทนการลงโทษต่อเนื้อตัวร่างกาย เช่น การทรมาน
หรือการเฆี่ยน วัตถุประสงค์ของการปฏิบัติตอ่ ผู้ต้องขังในเรือนจำ ในยุคต้นเพื่อแก้แคน้ ทดแทน ต่อมา
เพื่อขมขู่ยับยั้ง การตัดโอกาสผู้กระทำผิด เป็นหลัก และระยะหลังหันมาเน้นในเรื่องการแก้ไขอบรม
ผู้ต้องขังให้กลับเข้าสู่สังคม โดยปรับเปลี่ยนรูปแบบ กิจกรรมการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังในเรือนจำ
จากการควบคมุ อยา่ งเครงครัด มาสกู่ ิจกรรมในเชิงแกไ้ ขฟื้นฟู เชน่ การให้การศกึ ษา อบรม ฝึกวิชาชีพ
และการจัดสวสั ดกิ าร เป็นต้น๔๓
ในทางทฤษฎีเรือนจำคือชุมชนที่มีลักษณะเป็นสถาบันปิด และเบ็ดเสร็จ (total
institution) มีระเบียบระบบกฎเกณฑ์กำกับอย่างเข้มงวด มกี ารควบคุมใหผ้ ู้ต้องขงั ทุกคนทำกิจกรรม
ตามตารางเวลาที่กำหนดอย่างตายตัว และมีการตรวจตราอย่างเคร่งครัดทุกวัน ไม่สามารถต่อรองใด ๆ ได้
มิเซล ฟูโก้ (Fucoult, ๑๙๗๕) ระบบการบริหารงานเรือนจำเช่นนี้จะเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่สลาย
ตัวตนผู้ต้องขังออก ก่อนที่จะประกอบสร้างใหม่ให้กลายเป็นคนที่ยอมสยบ เมื่อมนุษย์ต้องอยู่ในจุดน้ี
เป็นสภาวะพิเศษหรือภาวะยกเว้น ผู้ต้องขังจะกลายร่างเป็นผู้ที่เชื่องและยอมสยบ หากจะกล่าวว่า

๔๒ สุพจน สุโรจน และคณะ, กฎหมายอาญา: ภาคบทบัญญัติทั่วไป, พิมพครั้งที่ ๒, (นนทบุรี :
สํานกั พิมพมหาวิทยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิราช, ๒๕๓๕), หนา ๕๒.

๔๓ นัทธี จติ สวาง, หลักทณั ฑวทิ ยา, หนา ๔.

๑๑๐

ความเป็นอัตลักษณ์ที่เข้มแข็งของเรือนจำ กลายเป็นอุปสรรคต่อการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิด ก็ว่าได้
ในเรื่องนี้ เกรแซม ไซคิส (Gresham Sykes) เป็นคนแรกที่ศึกษา ผลกระทบจากการจองจำต่อ
ผู้ต้องขังอย่างจริงจัง โดยเรียกผลกระทบดังกล่าวนี้ว่าเป็น “ความเจ็บปวดของการถูกจองจำ” ไซคิส
ได้กล่าวถึง การที่ผู้ตอ้ งขังถูกจำกัดในด้านต่าง ๆ ก่อให้เกิดความกดดนั ซ่ึงเขาเรียกว่า “ความเจ็บปวด
ของการถกู จองจำ” การถกู จำกัดดังกลา่ ว ประกอบด้วย๔๔

๑) การถูกจำกัดด้านเสรีภาพ การสูญเสียเสรีภาพเป็นสภาพความกดดันประการ
แรกที่ผู้ต้องขังต้องประสบเมื่อถูกจองจำ เมื่อถูกส่งเข้าเรือนจำผู้ต้องขังจะถูกจำกัดให้อยู่เฉพาะใน
เรอื นจำ ไม่สามารถไปไหนมาไหนได้ การถูกจำกดั ดา้ นเสรภี าพ นอกจากการจำกดั การเคล่อื นไหวไม่ให้
ออกนอกเรือนจำแล้วยังหมายถึง การถูกจำกัดภายในเรือนจำอีกด้วย ผู้ต้องขังจะไม่สามารถเดินจาก
แดนหนึ่งไปยังอีกแดนหนึ่ง หรือจากตึกหนึ่งไปยังอีกตึกหนึ่งตามใจชอบ นอกจากนี้ การถูกจองจำใน
เรือนจำ ยังหมายถึงการถูกตัดขาดจากครอบครัว ญาติมิตร ซึ่งเป็นการแยกในฐานะผู้ทำผิดกฎหมาย
และถูกลงโทษ ไซคีสเน้นว่าสิ่งที่ทำความเจ็บปวดมากที่สดุ คือ ความจริงที่ว่า การถูกจองจำ เป็นการ
สะท้อนให้เห็นถึงการถูกปฏิเสธจากสังคม ผู้ต้องขังจะถูกปฏิเสธจากสังคมภายนอก และถูกตีตราว่า
เป็นนักโทษซึง่ จะต้องตัดผมสัน้ แต่งชุดนกั โทษ มีเลขประจำตัว ต้องทำความเคารพเจ้าพนักงานทำให้
ผู้ต้องขังรู้สึกว่า ตนได้สูญเสียสถานภาพของสมาชิกในสังคม และสถานภาพของคนธรรมดา สภาพ
ดังกลา่ วเป็นผลมาจากการถูกจำกัดเสรภี าพ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของมนุษย์ และเปน็ ผลใหผ้ ู้ตอ้ งขงั ได้รับ
ความกดดันอย่างมาก

๒) การถูกจำกัดด้านเครื่องอุปโภคบริโภคและบริการ ในเรือนจำผู้ต้องขังจะได้รับ
การตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานด้านวัตถุ เช่น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่หลับนอน ซึ่งบางคน
อาจจะคิดว่า ผู้ต้องขังได้รับสิ่งที่ดีกว่าคนจนในสังคมภายนอก แต่ไซคิสได้ชี้ให้เห็นในมุมที่ว่าผู้ต้องขัง
ถูกจำกัดสิทธิ์ในการที่จะ “เลือก” ในสิ่งที่ชอบ ไม่มีสิทธิที่จะทำการใด ๆ ไม่มีการพักผ่อนเป็นสว่ นตัว
ไม่มีเครื่องใช้อุปกรณ์เป็นของตนเอง ไม่มีแม้แต่ “เวลา” เป็นของตนเอง ที่จะเลือกทำในสิ่งที่ชอบ
เหมือนเช่นที่เคยอยูน่ อกเรือนจำ การถูกจำกัดในการรับบริการ และเลือกเครื่องอุปโภคบริโภค ทำให้
ผูต้ ้องขงั มองตนเองว่าเปน็ ผสู้ ูญเสีย โดยเฉพาะการสญู เสยี สทิ ธใ์ิ นทรัพย์สนิ ส่วนบุคคลไป ในขณะท่ีส่ิงที่
มอี ยู่ในตัวของพวกเขาคือ “แรงงาน” ทถ่ี ูกรัฐนำไปใช้ ภายใต้ช่อื ท่เี รียกว่า “การฟืน้ ฟูแก้ไขอาชีพ” จึง
กลายเป็นความกดดันและเจบ็ ปวดอกี ประการหนึ่งท่ผี ้ตู ้องขงั ไดร้ บั

๓) การถูกจำกัดด้านความสัมพันธ์ทางเพศ หมายถึง การที่ผู้ต้องขังต้องถูกตัดขาด
จากเพศตรงข้าม ถูกตัดขาดจากการมีเพศสัมพันธ์ และการคบหาสมาคมกับเพศตรงข้าม ติดต่อกัน
เป็นเวลา นานทำให้ผู้ตอ้ งขังได้รับความกดดัน

๔) การถูกจำกัดด้านอิสรภาพ ผู้ต้องขังได้รับความกดดันจากการถูกจำกัดด้าน
อิสรภาพ เพราะต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์และคำสั่งของเจ้าพนักงาน ที่คอยควบคุมการเคลื่อนไหว

๔๔ สุดา อภิศักดิ์นานนท, “ปญหาและความตองการดานจติ ใจของผูตองขังหญิง ศึกษาเฉพาะกรณี
ของทัณฑสถานหญงิ กลาง”, วิทยานิพนธศลิ ปะศาสตร์มหาบัณฑิตสาขาการบริหารงานยุติธรรม, (บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์, ๒๕๕๐), หนา ๒๓-๒๖.

๑๑๑

ตลอดเวลา การตรวจตราเฝ้าดูทุกฝีก้าว การตรวจจดหมาย การกำหนดให้กิน นอนเป็นเวลา การเข้า
แถวไปทำงาน การหา้ มนำอาหารเข้าไปในเรือนนอนเปน็ ตน้ กฎเกณฑ์และคำส่งั เหล่าน้ี ทำให้ผู้ต้องขัง
รู้สึกว่าถูกจำกัดอิสรภาพ และสิ่งที่ทำให้เกิดความกดดันก็คือ การไม่มีเหตุผลของกฎเกณฑ์หรือ
ระเบียบต่าง ๆ ในหลาย ๆ เรื่อง ซึ่งหาคำอธิบายไม่ได้ และเจ้าหน้าที่ก็มักจะปฏิเสธที่จะอธิบาย
คำตอบที่ได้รับเมื่อถูกถาม คือ “มันเป็นกฎของเรือนจำ” จะทำให้ผู้ต้องขังเกิดความรู้สึกถูกจำกัด
ทุกสิ่งทุกอย่าง ทำให้รู้สึกสิ้นหวัง อ่อนแอ และช่วยตัวเองไม่ได้ นับเป็นความกดดันทางจิตใจ
ท่ีกอ่ ใหเ้ กดิ ความเจบ็ ปวด มากกวา่ ความกดดันทางรา่ งกายเสียอีก

๕) การถูกจำกัดด้านความปลอดภัย การที่ผู้ต้องขังอยู่รวมกับผู้ต้องขังอื่น ๆ ซึ่งแต่
ละคน มีประวัติอาชญากรรมร้าย ๆ จะทำให้เกิดความวิตกกังวลว่า ตนจะถูกกลั่นแกล้ง ลักขโมย
ทำร้าย ฆาตกรรม ฯลฯ การถูกทดสอบจากผู้ต้องขังเจ้าถิ่น หรือคนเก่ากว่า การจะอยู่ในคุกอย่าง
ผู้เข้มแข็งหรือผู้อ่อนแอ การที่เจ้าหน้าที่ดูแลไม่ทั่วถึง ทำให้ผู้ต้องขังเกิดความวิตกกังวล รู้สึกว่าตนได้
สูญเสยี หลักประกันดา้ นความปลอดภยั

นอกจากความกดดันจากการถูกจำกัดในด้านต่าง ๆ ดังกล่าวมาแล้ว ไซคีส ยัง
สะท้อนปัญหาของผตู้ ้องขัง อันเกิดจากสภาพโครงสร้างของเรอื นจำไว้ ดงั น้ี

๑) ปัญหาเก่ยี วกับการปรับตวั เนอ่ื งจากผู้ตอ้ งขังตอ้ งเผชญิ กบั สภาพแวดลอ้ มใหม่ใน
เรือนจำ ทีแ่ ตกต่างจากสภาพแวดล้อมของสงั คมภายนอกโดยสิน้ เชิง ทำใหเ้ กดิ ปัญหาการปรบั ตวั

๒) ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิต อันเป็นผลจากการถูกจำกัดความต้องการด้านต่าง ๆ
ก่อให้เกดิ ความเจ็บปวดด้านจติ ใจ เบ่อื หน่าย เหงา กลวั และเกิดความเครยี ด ทำให้ผ้ตู อ้ งขังหาทางออก
เพื่อระบายความเจ็บปวดดังกล่าว ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ให้สอดคล้องกับข้อจำกัดของ
เรอื นจำ

อาจกลา่ วไดว้ า่ วิธปี ฏบิ ตั ิต่อผ้ตู ้องขังโดยใช้เรือนจำ หรอื โทษจำคุก แม้จะเป็นวิธีการ
ที่สามารถตอบสนองวัตถุประสงค์ในการลงโทษผู้กระทำผิดได้ ทั้งในมิติการควบคุม และการแก้ไข
ฟื้นฟูโดยการตัดผู้ต้องขังออกไปจากสังคมในช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อไม่ให้สร้างความเดือดร้อนแก่สังคม
ในขณะ เดยี วกนั ผูต้ ้องขงั จะได้รบั การแก้ไขฟ้ืนฟู พัฒนาจิตใจ ใหก้ ารศึกษา อบรมและฝึกทักษะอาชีพ
เพือ่ ให้มีความพร้อมกลับออกไปใชช้ วี ิตในสังคมอย่างปกติ แต่การรบั โทษจำคุกเปน็ เวลานาน ก็จะเป็น
อุปสรรคต่อการแก้ไข ฟื้นฟูและพัฒนาผู้ต้องขัง เนื่องจากสภาพสังคม สภาพแวดล้อมระเบียบปฏิบัติ
ในเรือนจำ รวมถึงสภาพความกดดันที่ผู้ต้องขังได้รับ จากการถูกควบคุมตัวในเรือนจำเป็นเวลานาน
ปัจจุบันแม้จะมีการลงโทษผู้กระทำผิด โดยการใช้คุกมากกว่าวิธีการอื่น ๆ แต่ก็มีการพยายามเสนอ
แนวทางอื่นแทนการลงโทษด้วยการจำคุกหรือใช้เรือนจำโดยยึดแนวคิดใหม่ คือการอบรมแก้ไข
ผูก้ ระทำผดิ ให้กลับตัวเป็นคนดีซ่ึงมาตรการตา่ ง ๆ ท่ีไดน้ ำมาใช้ในปจั จุบันไดแ้ ก่การชะลอการฟ้องการ
รอการลงโทษ (การรอลงอาญา) การรอการกำหนดโทษการคมุ ประพฤติ การทำงานสาธารณะการพัก
การลงโทษการลดวันต้องโทษการอภัยโทษและการนริ โทษกรรม ซึ่งเป็นมาตรการลงโทษทางเลือกอน่ื
นอกจาการใช้โทษจำคุก ซึ่งเป็นความพยายามของนานา ๆ ประเทศ แม้แต่ในประเทศไทยก็มีการ
ผลักดันให้มีมาตรการ การดำเนินการทีเ่ ปน็ รูปธรรม มีกฎหมายรองรับ ทั้งนี้ ก็เพื่อต้องการแกไ้ ขฟืน้ ฟู
ผูก้ ระทำผิดให้เปน็ คนดีไดอ้ ยา่ งแทจ้ ริง

๑๑๒

๔.๓.๒. ขอ้ จำกดั ในการแก้ไขฟน้ื ฟู ผู้กระทำผิดโดยใช้ระบบเรอื นจำ
การแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิดโดยใช้ระบบเรือนจำ แม้ในปัจจุบันจะเป็นที่ยอมรับใน
วงการราชทัณฑ์โดยทั่วไป แต่กย็ ังเปน็ ท่ีสงสยั ว่าจะไดร้ ับผลตามวัตถุประสงค์เพียงไร เพราะมีข้อจำกัด
หลายประการ กล่าวคือ๔๕
๑) ผู้กระทำผิดได้สูญเสียบุคลิกภาพไปแล้ว โดยถูกหล่อหลอมและขัดเกลาให้มี
บุคลิก ลักษณะเช่นนั้นจากสังคมมาเป็นเวลานาน และการใช้เวลาในเรือนจำเป็นช่วงเวลาไม่นาน
การที่จะแกไ้ ขฟน้ื ฟูให้กลับคืนมา และปรับตัวเข้ากับคนโดยทวั่ ไปในสังคมนั้นอาจทำได้ยาก
๒) การลงโทษเพื่อการแก้ไขฟื้นฟู ขัดกับความรู้สึกของคนในสังคม ที่มองว่า
ผู้กระทำผิด ไม่ควรได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่าคนทั่วไป ตามหลักของเบนเท็ม (Bentham) ที่เรียกว่า
“หลักการได้รับประโยชน์ที่น้อยกว่า” (Principle of less eligibility) เพราะคนโดยทั่วไปจะเห็นว่า
เป็นการไม่เป็นธรรมที่ผู้กระทำผิดจะได้รับประโยชน์มากว่าคนทั่วไป เช่น ผู้กระทำผิดจะได้รับการ
อบรมแก้ไขฝึกวิชาชีพ สวสั ดิการ อาหาร ทอ่ี ยูอ่ าศัย ตลอดจนการจดั การศึกษา การหางาน ขณะท่ีคน
ทั่วไปในสังคมอีกจำนวนมากไม่ได้รับบริการดังกล่าว ความรู้สึกของคนทั่วไปในลักษณะดังกล่าว
จะขัดกบั หลกั การของการแกไ้ ขฟนื้ ฟู
๓) การแกฟ้ ้นื ฟูผูก้ ระทำผิดในเรือนจำ เหมาะสำหรบั ผกู้ ระทำผดิ บางประเภทเท่าน้ัน
เช่น ผู้กระทำผิดครั้งแรก ซึ่งได้กระทำผิดไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบหรือโดยพลั้งพลาด หรือทำไปเพราะ
ความจำเป็น การแก้ไขฟื้นฟูไม่ให้กระทำผิดซ้ำขึ้นอีกย่อมมีโอกาสทำได้ประสบผลสำเร็จ แต่สำหรับ
ผู้กระทำผิดที่เคยกระทำผิดและถูกลงโทษมาหลายคร้ังแล้ว หรือพวกอาชญากรอาชีพ หรือพวกทำผิด
ตดิ นิสัย โอกาสทีจ่ ะแกไ้ ขฟ้ืนฟูให้กลับตวั ยอ่ มเป็นไปได้ยาก การแกไ้ ขฟื้นฟูจงึ ไมส่ ามารถทำให้ผู้กระทำ
ผดิ กลบั ตวั ได้ทกุ กรณ๔ี ๖
กล่าวโดยสรปุ แลว้ การแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิด โดยใช้ระบบเรือนจำมีข้อจำกัดหลาย
ประการ โดยเฉพาะในเรือนจำถูกออกแบบมาเพื่อการลงโทษ ตัดโอกาสผู้กระทำผิดออกจากสังคม
สภาพแวดล้อมต่าง ๆ ในเรือนจำจะเอ้ือตอ่ การแก้ไข ฟื้นฟูในระดับต่ำ ประกอบกับในภาวะที่ผู้ต้องขงั
ล้นเรือนจำ เรือนจำต้องรองรับผู้ต้องขังในปริมาณที่ไม่สมดุลกับสถานที่ บุคลากรที่จะให้การแก้ไข
ฟนื้ ฟู รวมถงึ งบประมาณท่ีจะใช้ในการบริหารจัดการระบบเรือนจำ รวมถึงการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังย่อม
ส่งผลตอ่ ประสทิ ธภิ าพในการแกไ้ ขฟืน้ ฟแู ละพฒั นาพฤตนิ สิ ัยผ้ตู ้องขังอย่างหลีกเล่ยี งไม่ได้

๔.๓.๓. แนวคดิ เกยี่ วกบั การปฏบิ ัติตอ่ ผกู้ ระทำความผดิ ตามหลกั พทุ ธจติ วทิ ยา
จากมุมมองเรื่องสาเหตุการกระทำความผิดของมนุษย์ในทางพระพุทธศาสนาที่มี
บริบทแห่งเหตุและปัจจยั ท่ีต่างกันไป ย่อมให้โอกาสแก่บุคคลผู้ทำความผิดตามเงือ่ นไขและบริบทแห่ง
เหตุและปัจจัยที่ตั้งไว้ โดยเปิดโอกาสให้บุคคลผู้ทำความผิดได้มีโอกาสแก้ไขตนเองให้ดีขึ้น ด้วยการ
พัฒนาตนเองใหเ้ กิดความพร้อมทั้งทางด้านกาย วาจาและทางใจ เพื่อแก้ไขในความผดิ พลาดท่ีเกดิ ขึ้น
ในชีวิตหรือแก้ไขทั้งทางด้านร่างกาย (พฤติกรรม) จิตใจ สังคมสำหรับเป้าหมายในการปฏิบัติต่อ

๔๕ สัมภาษณ์ นายสงิ หา จันทาพูน, นักวิชาการชำนาญการ, ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๒.
๔๖ นทั ธี จติ สวาง, หลักทณั ฑวทิ ยา, หนา ๓๐-๓๑.

๑๑๓

ผู้กระทำผิดในทางพระพุทธศาสนา คือ เพื่อการแก้ไขผู้กระทำผิดซึ่งเป็นผู้มีความบกพร่องอยู่ให้เป็น
มนุษยท์ ี่สมบรู ณ์ ด้วยหลกั เมตตาธรรม แมม้ นษุ ยผ์ ้นู ้นั จะได้กระทำความผดิ พลาดมาในอดีต หากได้รับ
คำแนะนำ สั่งสอน ฝึกฝนในทางที่ถูกต้อง มนุษย์ก็สามารถพัฒนาตนเป็นคนดีได้ ภายใตความเชื่อใน
ศักยภาพมนุษย์วา่ เป็นผู้ที่สามารถฝึกฝนและพัฒนาได้ (สังคมสงฆ)์ ดังพุทธสุภาษิต “ในหมู่มนษุ ยน์ ้ัน
ผู้ที่ฝึกแล้วเป็นผู้ประเสริฐสุด ประเสริฐสุดจนกระทั่งแม้แต่เทวดา และพรหมก็น้อมนมัสการ” หรือ
“อัสดร สินธพ ม้าอาชาไนย ช้างพลวง ช้างพลาย เมื่อได้รับการฝึกแล้วก็ประเสริฐ เป็นสัตว์ที่เก่งแต่
มนษุ ย์ท่ีฝกึ แล้วประเสริฐกวา่ นั้น” เป้าหมายอีกประการหนึ่งคือเพ่ือความสงบสุขในสังคม (สังคมสงฆ์)
ปอ้ งกันสงั คมไมไ่ ด้ให้ได้รับผลกระทบความเดือดรอ้ นจากการก่ออาชญากรรม

พระพุทธศาสนา ให้ความสำคัญกับมนุษย์เทา่ เทียมกันโดยหลักศีลสามญั ญตา คือความเสมอ
ภาคกันด้วยศีล คือหลักประพฤติปฏิบัติทางกายและวาจาให้เรียบร้อยดีงาม พระพุทธเจ้าทรงใช้ศีล
เป็นบรรทัดฐานในการรับสมาชิกเข้ามาสู่พระพุทธศาสนาในมุมมองของพระพุทธศาสนา ได้สอนให้
บุคคลตั้งอยู่ในฐานแห่งความเมตตากรุณาต่อสัตว์ทั้งหลายอย่างเท่าเทียมกัน โดยมองว่าสัตว์โลกย่อม
เป็นไปตามกรรม เมื่อเกิดมาแล้วจะอยู่ในฐานะ ภาวะ เพศ และวัยใดก็ตาม ต่างก็มีศักดิ์ศรีแห่งความ
เป็นมนุษยเ์ สมอกัน สมควรได้รบั การพัฒนาทง้ั ทางกาย พฤตกิ รรมและปัญญาเทา่ เทยี มกัน ในเรือ่ งการ
พัฒนานี้ พระพุทธองค์ทรงยกย่องผู้ที่ได้รับการพัฒนาแล้วว่าเป็นผู้ประเสริฐ ในหมู่มนุษย์ ผู้ฝึกตนดี
แล้ว เป็นผปู้ ระเสรฐิ มคี วามหมายว่า ผทู้ ี่ไดร้ ับการพัฒนาฝึกฝนอบรมตน ทง้ั ในดา้ นกายวาจาและใจดี
แล้ว ย่อมจะเป็นผู้ประเสริฐกว่าคนทั้งปวง คำว่า อบรมตนอยู่ในคำว่า ภิกษุอบรมตนอยู่ อธิบายว่า
ภิกษุปรารภความเพียร มีเรี่ยวแรง มีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดทิ้งฉันทะไม่ทอดทิ้งธุระในกุศลธรรม
ทั้งหลายอีกนัยหนึ่ง ภิกษุส่งตนไป คือ ส่งตนไปในประโยชน์ตนในญายะในลักษณะ ในเหตุ ในฐานะ
และอฐานะ คอื สง่ ตนไปวา่ สงั ขารทั้งปวงไมเ่ ท่ยี ง สงั ขารท้ังปวงเปน็ ทุกข์ ธรรมทงั้ ปวง เปน็ อนัตตา”๔๗

หลักคำสอนของพระพทุ ธศาสนา ให้ความสำคัญสูงสดุ กับการพัฒนาชีวติ มนุษย์ ภายใต้ความ
เชื่อที่ว่า มนุษย์ทุกคนพัฒนาได้และพัฒนาได้โดยไม่มีขีดจำกัดสูงสุดสู่ความเป็นพุทธะโดยมี
พระพุทธเจ้าเป็นต้นแบบของการพัฒนาที่สูงสุด ดังพุทธศาสนาสุภาษิตที่ว่า “ผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชา
และจริยะ เป็นผู้ประเสริฐสุด ทั้งในหมู่มนุษย์และมวลเทวา”๔๘ น้ีเป็นหลักที่ฐานความคิดความเช่ือ
พืน้ ฐานทก่ี ำหนดทิศทางของกระบวนการพัฒนามนุษย์ท้ังมวล

การพัฒนามนุษย์หรืออีกนัยหนึ่ง คือ การพัฒนาชีวิตมนุษย์ให้มีคุณภาพหรือเรียกว่า
การพฒั นาคณุ ภาพชวี ิต การพฒั นามนุษยบ์ างครัง้ อาจพูดในมติ ิของการพัฒนาสังคม เพราะการพัฒนา
สังคมโดยสาระแล้วก็คือการพัฒนามนุษย์ เพื่อยกฐานะความเป็นอยู่ของมนุษย์ให้ดีขึ้น เพียงแต่การ
พัฒนาสังคมจะมองในมิติของโครงสร้างโดยรวม ซึ่งรวมเอาสังคม การปกครอง เศรษฐกิจ การศึกษา
และศิลปวัฒนธรรมและบริบทอื่นๆเข้าไว้ด้วย แต่เป้าหมายสุดยอดของการพัฒนาอยู่ที่คนเพราะคน
เป็นทั้งผูถ้ ูกพัฒนาและเป็นผู้รับผลของการพัฒนา และเปา้ หมายของการพัฒนาคน กลมุ่ คน หรอื สังคม
คอื ความอยดู่ ีกินดีดา้ นตา่ ง ๆ หรือสภาพสงั คมทด่ี ี ซึง่ รวมถงึ สภาพเศรษฐกิจและการเมืองด้วย ทีส่ ุดผล

๔๗ ดูรายละเอยี ดใน ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๑๙๖/๕๗๖.
๔๘ ดูรายละเอียดใน สํ.นิ. (ไทย) ๑๖/ ๗๒๔/๓๓๑

๑๑๔

ต้องเป็นไปเพื่อให้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เหมือนการมองดูทิวทัศน์จะผ่านอะไร ผ่านวัตถุชนิดใด
ราคาแพงแค่ไหนเพียงใดที่สุดก็เพื่อให้มองเห็นความสวยงามของทิวทัศน์นั้น ๆ ได้เต็มที่ แต่ขณะนี้
กำลังมองการพัฒนามนุษย์โดยผ่านพระพุทธศาสนา หรือใช้หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาเป็น
สอื่ กลางในการพัฒนามนษุ ย์๔๙

เมื่อชีวิตมนุษย์ได้รับการพฒั นาที่ดี เหตุนั้นความสำคัญประการแรกในกระบวนการพัฒนาคน
ก็คือความต้องการเรียนรู้ ถ้าพัฒนาความต้องการให้เรียนรู้ขึ้น คนจะมีความสุขจากการสนอง ความ
ต้องการเรียนรู้นั้น กระทำทุกอย่างเพื่อสนองความรู้ มิใช่เพื่อความรู้สึก เพราะหากสนองความรู้สึก
หรอื สนองความตอ้ งการจะมีปญั ห าเพราะมดี า้ นบวกกับด้านลบ เม่ือได้เสพสิง่ ท่ตี นชอบใจก็มีความสุข
แต่เมื่อได้พบสิ่งที่ไม่ชอบใจก็เป็นทุกข์ แต่พอได้รับการพัฒนาที่ดี ฝึกฝนจิตใจให้หนักแน่นมั่นคง
เพียงแต่เริ่มต้นศึกษา เริ่มต้นเรียนรู้ก็จะมีความทุกข์น้อยลงและจะได้ความสุขชนิดใหม่เพิ่มขึ้นมา
ซ่งึ เปน็ ความสุขทไ่ี ม่เปน็ โทษแกใ่ คร และมาพร้อมกบั การพัฒนาชีวติ ของตนดว้ ย๕๐

กล่าวโดยสรุปแล้ว ทั้งแนวคิดทฤษฎีมนุษย์นิยมและหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาจะมี
ความเช่อื ไปในทิศทางเดยี วกนั คดิ เชื่อในศกั ยภาพในความสามารถของมนษุ ย์ เชือ่ วา่ มนษุ ย์มีศักยภาพ
ในตนเองพร้อมที่พัฒนา มนุษย์ประเสรฐิ เพราะการฝึกฝนพัฒนา และมนุษย์มีความจำเปน็ ตอ้ งพัฒนา
หากไม่พัฒนาอาจมีชีวิตอยู่ไม่รอด หรืออาจเป็นภัยแก่สรรพชีวิตและสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย เช่น
เป็นอาชญากร ก่ออาชญากรรมในรูปแบบต่าง ๆ การค้ายาเสพติดหรือเสพยาเสพติดให้โทษ เป็นต้น
การพัฒนามนุษย์คือการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สังคมให้ดีข้ึน
โดยเฉพาะผู้ที่ต้องโทษ กระทำความผิดมีคุณภาพชีวิตต่ำกว่าบุคคลท่ัวไป คือ ขาดความยับยั้งชั่งใจ
ขาดเหตุผล มีความเห็นผิด เป็นต้น เมื่อเข้ามาอยู่ในเรือนจำ จำเป็นต้องได้รับการพัฒนาทั้งทางด้าน
รา่ งกาย จติ ใจ สังคม พทุ ธวธิ ีการพฒั นาคนที่กระทำความผิดพลาด โดยให้โอกาสในการแก้ไข ปรบั ปรงุ
ตนเองจากคนไม่ดีให้เป็นคนดจี ากคนดีอยูแ่ ลว้ ให้ดียง่ิ ข้ึน โดยวิธกี ารแนะนำ ชแ้ี นะให้แกไ้ ขข้อผิดพลาด
ใหโ้ อกาสปรับปรงุ ตนเอง โดยใชห้ ลกั เมตตา กรุณา มุทติ า และอเุ บกขา

๔.๓.๔. จดุ หมายของการพฒั นาคุณภาพชวี ติ ผ้กู ระทำความผิด
พระธรรมคำสอนที่พระพุทธเจ้า ได้ทรงนำมาประกาศแก่ชาวโลกนั้น หากจะกล่าว
โดยจุดหมายแล้ว ก็เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นจากความทุกข์ หรือความดับทุกข์ ดังพุทธพจน์ที่ว่า
“ตถาคตพยากรณ์แต่เรื่องทุกข์ และความดับทุกข์เท่านั้น”๕๑ ความดับเสนอแหงทุกข์ (นิพพาน)
จงึ เป็นจดุ หมายสูงสดุ ของพระพทุ ธศาสนา
อย่างไรก็ตาม พระพุทธศาสนายอมรับว่ามนุษย์เรามคี วามแตกต่างกัน ในเรื่องกำลงั
ความรู้ความสามารถ ฉะนั้น มนุษย์แต่ละคนจึงมีความสามารถที่จะไปถึงจุดหมายได้ไม่เท่ากัน ด้วย
เหตุน้ี คำสอนในพระพุทธศาสนาที่มีอยู่มากมายน้ัน จงึ ไมไ่ ด้หมายความว่า ทุกคนท่ีปฏิบัติตามแล้วจะ

๔๙ สัญญา สัญญาวิวัฒน, ทฤษฎีสังคมวิทยา เนื้อหาและแนวการใชเบื้องตน, (กรุงเทพมหานคร :
พมิ พทเี่ จาพระยาการพิมพ, ๒๕๓๓), หนา ๓.

๕๐ พระธรรมปฎก, การศึกษาทางเลือก : สูวิวัฒนหรือวิบัติในยุคโลกไรพรหมแดน, (กรุงเทพมหานคร :
โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว, ๒๕๔๑), หนา ๕.

๕๑ ดรู ายละเอียดใน ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๘๖/๒๗๘.

๑๑๕

ไดผ้ ลในระดบั ท่ตี อ้ งการได้ทง้ั หมด แต่ก็มไิ ด้หมายความว่า คำสอนนนั้ ไม่ถูกต้องหรือเป็นไปไม่ได้จริงใน
ทางการปฏบิ ตั แิ ท้จริงผู้ทีป่ ฏิบตั ิตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา ย่อมได้รับประโยชน์แน่นอน คือ
สามารถแก้ทุกข์หรือปัญหาในชีวิตได้ แต่จะได้มากน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับกำ ลังความรู้
ความสามารถของบุคคลผ้ปู ฏิบัตินั้น โดยผปู้ ฏิบัตจิ ะต้องปฏิบัติเอาดว้ ยตนเองจึงจะไดร้ บั ประโยชน์ ไม่
สามารถปฏิบตั ิแทนกันได้ และแม้วา่ ปฏิบัติแล้วจะไมส่ ัมฤทธผิ์ ลตามต้ังใจก็ตาม ก็ไม่สูญเปล่าเนื่องจาก
ขึ้นชื่อว่ากรรมแล้วย่อมไม่สูญเปล่า ย่อมยังผลส่งเสริมนำให้ผู้ปฏิบัติไปสู่ความสำเร็จต่อได้
พทุ ธศาสนกิ ชนจงึ ควรทำความเขา้ ใจในเรื่องดังกลา่ วนใ้ี ห้ดี เพือ่ จะได้เป็นผทู้ ่ีปฏบิ ัติตามหลักคำส่ังสอน
ในพระพุทธศาสนาอย่างสม่ำเสมอไม่ขาด เพื่อจุดหมายก็คือความดับสนิทแห่งความทุกข์ดังกล่าว ซ่ึง
ลักษณะเดน่ ของคำสอนในพระพทุ ธศาสนา มีดงั น้ี

๑. เน้นเรื่องการแก้ทุกขห์ รอื ปัญหาของชีวิตพระพุทธเจ้าได้แสดงไว้โดยตรงว่า สิ่งท่ี
พระองค์สอนนั้นคือเรื่องทุกข์และการดับทุกข์ ดังที่แสดงไว้แล้วในจุดหมายของพระพุทธศาสนา
สำหรับเรื่องทุกข์และการดับทุกข์นั้นแท้จริงก็คือ คำสอนในเรื่องอริยสัจ ๔ นั่นเอง และด้วยหลัก
อริยสัจนั้นเป็นหลักคำสอนที่มีความครอบคลุมคำสอนทั้งปวงในพระพุทธศาสนา ดังนั้นคำสอนใน
พระพุทธศาสนาจึงลว้ นเปน็ รายละเอียดหรือความจริงในอริยสัจ ๔ หรอื เรอ่ื งทกุ ขแ์ ละการแก้ทุกข์หรือ
ปัญหาของชีวิต อันเป็นสาระสำคญั นั่นเอง

๒. ให้ความสำคัญแก่ปัญญาสูงสุดพระพุทธศาสนาให้ความสำคัญกับปัญญาสูงสุด
ทั้งในแง่ของการพฒั นาปญั ญา และในแง่ของการใช้ปัญญาของตนเอง พิจารณาไตร่ตรองก่อนที่จะพูด
จะทำอะไรลงไป ตลอดจนใจความสำคัญแก่ปัญญาสูงสุดในการแก้ทุกข์หรือปัญหาของชีวิต ไม่ว่าจะ
เป็นการดำเนินชีวิตประจำวัน ไปจนถึงการกำจัดกิเลสหรือความชั่วขั้นเด็ดขาด ซึ่งเราอาจเห็นได้จาก
การสอนของพระพุทธเจ้าทีม่ ุ่งให้ผู้ฟังเกิดความรูค้ วามเข้าใจ หรือเกิดปัญญาในสิ่งที่ทรงสอน มิใช่เพ่ือ
ต้องการให้ผู้ฟังเชื่อหรือยอมรับสิ่งที่ทรงสอน แม้ในเรื่องความเชื่อหรือความศรัทธา ก็ทรงเน้นและ
สรรเสริญความเชื่อที่ประกอบด้วยปัญญา พร้อมทั้งทรงแนะนำว่าอย่าเชื่อคนโดยปราศจากปัญญา
ไตร่ตรองในส่วนของการประพฤติปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินชีวิตประจำวันหรือการปฏิบัติเพ่ือ
บรรลเุ ป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา คือความหลดุ พ้นจากกิเลสท้ังปวง ปัญญาเปน็ สง่ิ สำคัญสูงสดุ

๓. เป็นคำสอนเพื่ออิสรภาพของชีวิตแม้ในเบื้องต้นพระพุทธศาสนาจะให้มีความ
ศรัทธา เชื่อมั่นในพระรัตนตรัยบ้าง ในเรื่องกรรมบ้าง ดังที่ได้อธิบายเอาไว้ในเรื่องของความเชื่อทาง
ศาสนาในพระพุทธศาสนากต็ าม แต่ทัง้ หมดกเ็ ป็นเพียงเพื่อเปน็ แนวทางหรือเป็นแบบอย่าง เพ่ือพัฒนา
ตนเอง จนสามารถรู้และเข้าใจถึงความจริงอันนำไปสู่ความ หลุดพ้น (นิพพาน) ศรัทธาใน
พระพุทธศาสนาจึงเป็นเบื้องต้นที่จะนำไปสู่ปัญญา (ความรู้แจ้ง) กล่าวคือ มีความศรัทธาเพื่อที่จะรู้
และเมื่อรู้แล้วก็หมดหนา้ ที่ของศรัทธาแตท่ ั้งนีก้ ็จะต้องขึ้นอยู่กับกำลังความรูค้ วามสามารถของตนเอง
ฉะนั้น พระอรหันต์ ผู้บรรลุธรรมในพระพุทธศาสนา จึงเรียกว่าเป็นผู้ไม่มีศรัทธา คือ เป็นผู้ประจักษ์
ความจริงในคำสอนของพระพุทธเจ้า โดยไม่ต้องอาศัยคนอืน่ หรือเชื่อตามผู้อืน่ นอกจากนี้ผู้ที่สามารถ
พัฒนาตนตามคำสอนของพระพุทธศาสนาได้อย่างสมบูรณ์จนถึงภาวะที่เรียกว่า วิมุติหรือความหลุด
พน้ หรอื นิพพาน กไ็ ด้ชื่อวา่ มีอิสรภาพอย่างแท้จริง คอื เป็นอิสระจากกเิ ลสตณั หา หรือความรู้สึกนึกคิด
ที่ไม่ดีทั้งหลายอย่างสิ้นเชิง อันจะทำให้เป็นผู้ที่อยู่ในโลกอย่างไม่ติดโลก อยู่ท่ามกลางความทุกข์ โดย
ไม่เป็นทุกข์ อย่ทู ่ามกลางชวี ติ และสงั คมที่แปรปรวนโดยไมไ่ ด้รับผลกระทบจากความแปรปรวนทั้งปวง

๑๑๖

๔. ประกาศหลักอนตั ตา : ไม่มีตวั ยนื ทจี่ ีรังอาจกล่าวไดว้ ่าพระพุทธศาสนาเป็นเพียง
ศาสนาเดียวเทา่ นนั้ ทีป่ ระกาศหลกั อนัตตาคือ ยนื ยนั ว่าไม่มตี ัวตนแท้จริงท่จี ีรัง หรอื ตวั ตนที่เป็นตัวยืน
อยู่ไม่ว่าจะในลักษณะของรูปธรรมหรือนามธรรม เพราะทุกสิ่งทั้งรูปธรรมและนามธรรม ล้วนตกอยู่
ภายใต้ความจริงคือ ไตรล้วนลักษณ์ อันได้แก่อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กล่าวโดยสรุปคือ ทุกสิ่งล้วน
เคลื่อนไหวตามกระแสแห่งไตรลักษณ์และอาจกล่าวได้ว่าภาวะแห่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวคือ
สัจธรรมหรือความจริงของจักรวาลในทัศนะของพระพุทธศาสนา คำสอนในเรื่องนี้จึงเป็นคำสอนที่มี
ความสำคญั และทำให้พระพุทธศาสนาแตกต่างไปจากศาสนาอน่ื

๕. ยึดหลักทางสายกลาง : มัชฌิมาปฏิปทา หลักการปฏิบัติที่สำคัญที่มีความ
ครอบคลุม และตรงเป้าหมายของพระพุทธศาสนามากที่สุดนั้น หากกล่าวโดยสรุปคือหลักทางสาย
กลางหรอื มัชฌิมาปฏิปทา ดงั ท่ีพระพุทธเจา้ ได้แสดงไว้ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ซึ่งมีใจความโดยสรุป
คอื การปฏิบัติทีถ่ ูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนานน้ั จะต้องเป็นการปฏิบัติท่ีไม่เอนเอียงไปข้างใดข้าง
หนึ่ง ไม่ตึงหรือไม่หย่อนจนเกินไป ซึ่งหมายถึงการปฏิบัติท่ีตรงตอ่ เปา้ หมายหรือตรงตอ่ ความจริง โดย
ไมเ่ นน้ การพฒั นาหรือการอบรมเพียงด้านใดด้านหนงึ่ เท่าน้ัน (ศีล สมาธิ ปัญญา) แตจ่ ะต้องและอบรม
พัฒนาทุก ๆ ด้านอย่างมีดุลยภาพจนเป็นเอกภาพ จึงบรรลุผลแห่งกรรมการปฏิบัติตามหลัก
มัชฌมิ าปฏิปทา มัชฌมิ าปฏปิ ทามิได้หมายถึงการปฏบิ ัติตนเพื่อบรรลุธรรมเท่านั้น แต่หมายรวมถงึ การ
ประพฤตปิ ฏิบตั ิโดยทั่วไปทกุ ๆ อย่างด้วย ตัวอยา่ งเช่น การทำงานให้ประสบผลสำเร็จนัน้ ผู้ทำงานน้ัน
จะต้องทำงานให้ตรงต่อเป้าหมายที่วางไว้โดยจะต้องให้ความสำคัญกับทุกองค์ประกอบของงานที่ตน
จะทำ โดยไมต่ ึงหรือหย่อนจนเกนิ ไป เพ่ือใหง้ านนน้ั สำเร็จโดยสมบรู ณ์

๔.๓.๕. หลกั พทุ ธธรรมที่ใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผ้ตู อ้ งขัง
ในทางพระพุทธศาสนามีหลักพุทธธรรมที่นำมาใช้พัฒนาคุณภาพชีวิตมนุษย์หลาย
หลักสามารถเลือกใช้เหมาะสมแก่บุคคล เวลาและสถานการณ์ กล่าวได้ว่าหลักพุทธธรรมล้วนมีไว้เพื่อ
จดุ ประสงค์ในการพัฒนามนษุ ย์ทง้ั ส้ิน สำหรับหลักพุทธธรรมท่ีนำมาใช้สง่ เสรมิ และพัฒนาคณุ ภาพชีวิต
ผู้ต้องขังสำหรับการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ คือ หลักไตรสิกขาและหลักมหาสติปัฏฐาน ๔ หลักไตรสิกขา
น้นั เปน็ หลักธรรมสำหรบั การฝกึ ปฏบิ ัติเพ่ือพฒั นาชีวิตคนใหด้ งี าม ให้เจรญิ งอกงาม เป็นหนทางนำไปสู่
อิสรภาพทางจิต และก่อให้เกิดสันติสุขอย่างแท้จริง วิธีการฝึกหรือกระบวนการฝึกที่ทำให้ชีวิตดีงาม
มคี ณุ ภาพนั้นเป็น “สกิ ขา” สว่ นชวี ิตท่ดี ีงามหรือวิถีชีวิตท่ีดีงามอันเกิดจากการฝกึ ฝนนั้นเป็น “มรรค”
สกิ ขากบั มรรคจงึ มีความหมายเกือบจะเหมือนกนั การดำเนินชวี ิตทด่ี ที ถี่ กู ต้อง คือ “มรรค” แต่การจะ
มชี ีวติ ที่ดงี ามและถกู ต้องไดจ้ ะต้องมีการฝึกฝน ดังน้นั การฝึกฝนและพฒั นา คอื “สิกขา”๕๒ เป็นการฝึก
มนุษย์ท่ีครอบคลุม ๓ ด้าน คือ ดา้ นรา่ งกาย จติ ใจและสงั คม โดยใช้หลกั ศลี สมาธแิ ละปญั ญา สำหรับ
การที่จะฝึกฝนมนุษย์ให้ถึงพร้อมด้วยศีล สมาธิและปัญญา ในงานวิจัยนี้ อาศัยหลักปฏิบัติในมหาสติ
ปัฏฐาน ๔ เป็นเคร่อื งมือ

๕๒ สุมานพ ศิวารัตน, “ การพัฒนาคุณภาพชีวิตดวยหลักไตรสิกขา”, วารสารวิชาการสถาบันปอง
กันประเทศ, ปที่ ๘ ฉบับท่ี ๑ (มกราคม - เมษายน ๒๕๖๐),หน้า ๓๖-๔๘.

๑๑๗

๑ หลกั ไตรสกิ ขา
คำวา่ “ไตรสกิ ขา” แปลวา่ “สิกขา ๓” คำว่าสกิ ขา แปลว่า การศกึ ษา การ
สำเหนยี ก การฝกึ หัด ฝกึ ปรอื ฝกึ อบรม ไดแ้ ก่ ข้อปฏบิ ตั ทิ ่ีเป็นหลักสำหรับฝึกอบรม พัฒนากาย วาจา
จิตใจให้เจริญงอกงามยิ่งขึ้นไปจนบรรลุจุดหมายสูงสุด คือ ความหลุดพ้นหรือนิพพาน๕๓ สิกขา ๓
ประกอบด้วย
๑) อธิศีลสิกขา การฝึกศึกษาในด้านความประพฤติ ระเบียบวินัย ให้มี
สุจริตทางกาย วาจาและอาชีวะ (Training in Higher Morality)
๒) อธิจิตตสิกขา การฝึกศึกษาทางจิตใจ พัฒนาคุณธรรม สร้างความสุข
เสริมคุณภาพจิตและรู้จักใช้ความสามารถในกระบวนสมาธิ (Training in Higher Mentality หรือ
Mentality Discipline)
๓) อธปิ ัญญาสกิ ขา การฝกึ ศึกษาทางปัญญาอย่างสูง ทำให้เกิดความรู้แจ้งที่
สามารถชําระจิตให้บริสุทธิ์หลุดพ้นโดยสมบูรณ์ เป็นอิสระไร้ทุกข์สิ้นเชิง(Training in Higher
Wisdom) กล่าวได้ว่าไตรสิกขา คือ การฝึกความประพฤติ ฝึกจิต และฝึกปัญญา ให้สามารถแก้ไข
ปญั หาของมนุษย์ เป็นไปเพื่อความดบั ทุกข์ นำไปสู่ความสขุ และความเป็นอสิ ระอย่างแทจ้ ริง
๒ หลักมหาสติปฏั ฐาน ๔
มหาสติปัฏฐาน ๔ จำแนกเปน็ ๔ หมวด หรอื ๔ ฐาน คือหลักการเจริญมหา
สตปิ ัฏฐาน ๔ ทพี่ ระผู้มพี ระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ คือ๕๔
๑. การพิจารณาเหน็ กายในกายภายในเนือง ๆ อยู่พจิ ารณาเหน็ กายในกาย
ภายนอกเนือง ๆ อยู่พิจารณาเห็นกายในกายทั้งภายในและภายนอกเนือง ๆ อยู่มีความเพียร มี
สมั ปชัญญะมสี ตกิ ำจัดอภิชฌาและโทมนัสเสยี ได้ในโลก
๒. การพิจารณาเหน็ เวทนาในเวทนาภายในเนืองๆอยู่พิจารณาเห็นเวทนา
ในเวทนาภายนอกเนืองๆอยู่พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา ทั้งภายในและภายนอกเนือง ๆ อยู่มีความ
เพียร มีสมั ปชัญญะมีสตกิ ำจดั อภชิ ฌาและโทมนัสเสียไดใ้ นโลก
๓. การพิจารณาเห็นจิตในจิตภายในเนือง ๆ อยู่พิจารณาเห็นจิตในจิต
ภายนอกเนือง ๆ อยู่พิจารณาเห็นจิตในจิตทั้งภายในและภายนอกเนือง ๆ อยู่มีความเพียรมี
สมั ปชัญญะมสี ติกำจัดอภิชฌาและโทมนัสเสยี ได้ในโลก
๔. การพิจารณาเหน็ ธรรมในธรรมภายในเนือง ๆ อยู่พิจารณาเห็นธรรมใน
ธรรมภายนอกเนือง ๆ อยู่พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งภายในและภายนอกเนือง ๆ อยู่มีความเพียร
มีสัมปชญั ญะ มสี ตกิ ำจัดอภิชฌาและโทมนสั เสียได้ในโลก

๕๓ พระพรหมคณุ าภรณ ป.อ.ปยตุ โฺ ต, พทุ ธธรรมฉบบั ปรับขยาย, พิมพครัง้ ท่ี ๓๕, (กรุงเทพมหานคร:
สาํ นักพมิ พผลิธัมม, ๒๕๕๕), หนา ๕๔

๕๔ ดรู ายละเอยี ดใน ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๓/๓๐๑.

๑๑๘

๔.๔ องค์ความรู้ใหม่จากการวิจยั
จากการได้ทำงานวิจัย เรื่อง การประยุกต์ใช้พุทธบูรณาการ เพื่อส่งเสริมกระบวนการมี

ส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายด้านการประกอบอาชีพของผู้ต้องขัง ในเรือนจำชั่วคราวดอยฮาง จังหวัด
เชียงราย ทำใหไ้ ด้พบองค์ความรู้ ทมี่ ีลักษณะสำคญั ดังน้ี

๑. ผ้ตู อ้ งขังได้มปี ระสบการณ์จากการปฏิบตั ิ การลงมือปฏบิ ัติกิจกรรม สามารถเรียนรู้ได้เร็ว
สอดคลอ้ งกับความตอ้ งการของหลกั สูตร ทำใหผ้ ตู้ อ้ งขงั มที ักษะในวชิ าชพี ทต่ี รงกบั ความต้องการ

๒. การดำเนินการในการส่งผู้ที่กระทำผิดกลับคืนสู่สังคมนั้น อาศัยความร่วมมือของทุกฝ่าย
ทั้งภาครัฐภาคเอกชนและชุมชนท้องถิ่น ที่เข้ามามีส่วนร่วมในการอบรมแก้ไขผู้กระทำผิด ทุกราย
ตั้งแต่แรก จนกลับคืนสู่สังคม โดยระดมทรัพยากรจากในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและพื้นที่ใกล้เคียง
ประกอบด้วยงบประมาณจังหวัด การสนับสนุนงบประมาณ และวัสดุอุปกรณ์การก่อสร้างจาก
ภาคเอกชนการสนับสนุนองค์ความรู้ด้านการออกแบบจากศูนย์ฝึกอบรมระยะสั้น และภาคเอกชนยัง
เขา้ มาช่วยด้านการฝกึ อบรมฝึกอาชีพผู้ต้องขงั และรับเขา้ ทำงานเมื่อพ้นโทษ เปน็ ตน้

๓. “เรือนจำชั่วคราวดอยฮาง จังหวัดเชียงราย” มีการใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ในการ
ประเมินความสำเร็จของหลักสูตรการฝึกวิชาชีพผูต้ ้องขัง โดยอาศัยอัตราการกระทำผิดซ้ำ เป็นตัววัด
ความสำเร็จ ขณะเดียวกันตัวช้ีวัดเชิงคุณภาพ เช่น การกลับสู่ครอบครัวโดยมีงานทำ การที่มีอาชีพได้
จากการฝึกในเรือนจำ ก็จะเป็นตัวชี้วัดอีกส่วนหน่ึง ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวนี้ นับเป็นเรื่องที่สำคัญ
สำหรับเรอื นจำทกุ แหง่ ในประเทศไทย

การประยกุ ตใ์ ชพ้ ุทธบูรณาการเพอ่ื สง่ เสริมกระบวนการมีสว่ นร่วมของภาคีเครอื ข่ายด้าน
การประกอบอาชพี ของผูต้ อ้ งขังเรือนจำช่ัวคราวดอยฮาง จังหวัดเชยี งราย

ได้ชุดคู่มือ กระบวนการมีสว่ นรว่ มของภาคีเครือข่ายดา้ นการประกอบอาชีพ
ของผู้ต้องขังเรือนจำชว่ั คราวดอยฮาง จงั หวัดเชยี งราย

เกิดกระบวนการมสี ว่ นร่วมของภาคเี ครอื ข่ายการประกอบอาชีพของผู้ตอ้ งขงั
เรอื นจำช่ัวคราวดอยฮาง จงั หวัดเชยี งราย

ไดผ้ ู้ตอ้ งขงั ตน้ แบบมีอาชีพท่สี ุจริตเมือ่ พ้นโทษ

บทที่ ๕

สรปุ อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ

งานวิจยั เร่อื ง การประยุกต์ใช้พุทธบูรณาการ เพ่ือส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคี
เครือข่ายดา้ นการประกอบอาชีพของผูต้ ้องขัง ในเรอื นจำชัว่ คราวดอยฮาง จังหวดั เชยี งราย เพ่ือศึกษา
๑) เพื่อศึกษารูปแบบการฝึกวิชาชีพของผู้ต้องขัง ในเรือนจำชั่วคราวดอยฮาง จังหวัดเชียงราย
๒) เพื่อยกระดับภาคีเครือข่ายในการส่งเสริมการประกอบอาชีพของผู้ต้องขังในเรือนจำชั่วคราว
ดอยฮาง จังหวัดเชียงราย ๓) เพื่อวิเคราะห์พุทธบูรณาการในการส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมของ
ภาคีเครือข่าย ด้านการส่งเสริมประกอบอาชีพของผู้ต้องขังในเรือนจำชั่วคราวดอยฮาง จังหวัด
เชียงราย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Reserch) เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวม
ข้อมลู ไดแ้ กร่ วบรวมขอ้ มูลจากเอกสาร (Document) และจากการสมั ภาษณ์

๕.๑ สรปุ ผลการวิจยั

ผลการวจิ ัยสรปุ ผลไดด้ งั นี้

๕.๑.๑ รูปแบบการฝึกวิชาชีพของผู้ต้องขัง ในเรือนจำชั่วคราวดอยฮาง จังหวัดเชียงราย
พบว่า การฝึกวิชาชีพเป็นหนึ่งในภารกิจที่กรมราชทัณฑ์มุ่งเน้นให้เรือนจำ/ทัณฑสถานฝึกวิช าชีพให้
ผู้ต้องขังเพื่อให้ผู้ต้องขังมีวิชาชีพติดตัวสามารถนาไปประกอบอาชีพได้ภายหลังพ้นโทษ จะได้ไม่หวน
กลับมากระทำผิดซ้ำ นอกจากนี้ยังได้รับความร่วมมือจากกรมการจัดหางาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแหง่ ประเทศไทย ในการลงนามบันทึกข้อตกลง
การฝึกวิชาชีพให้แก่ผู้ต้องขังเป็นภารกิจหลักของกรมราชทัณฑ์ เนื่องจากผู้ต้องขังที่กระทำผิดและถูก
จับเข้ามาลงโทษในเรอื นจำ สว่ นใหญไ่ ม่มอี าชพี ตดิ ตัว ไม่สามารถชว่ ยเหลอื ตัวเองได้ จึงหนั ไปประกอบ
อาชีพที่ผิดกฎหมาย กรมราชทัณฑ์จึงจำเป็นจะต้องมีรูปแบบการฝึกวิชาชีพไว้สำหรับให้ผู้ต้องขังได้
เรียนรู้ตามความต้องการของตนเอง สำหรับเรือนจำชั่วคราวดอยฮาง ได้จัดรูปแบบการฝึกวิชาชีพ
ให้แก่ผู้ต้องขังตามความถนัดและความต้องการ รวมถึงมุ่งเน้นในอาชีพที่สังคมภายนอกต้องการ
แรงงาน เพื่อให้ง่ายตอ่ การมีอาชีพของผู้ต้องขงั ภายหลงั พ้นโทษ

๕.๑.๒ การยกระดับภาคีเครือข่ายในการส่งเสริมการประกอบอาชีพของผู้ต้องขังใน
เรือนจำชั่วคราวดอยฮาง จังหวัดเชียงราย พบว่า หน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ได้ให้การ
สง่ เสริมดา้ นการประกอบอาชีพ เม่ือผู้ตอ้ งขังเมื่อพ้นโทษ สามารถไปประกอบอาชีพทส่ี ุจริต เช่น พุทธ
มณฑลสมโภช ๗๕๐ ปี เมืองเชียงราย, ร้านกาแฟดอยตุง อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย, วัดพุทธ
อุทยาน (ดอยอินทรีย์) ตำบลดอยฮาง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงรายไม่เฉพาะในพื้นที่จังหวัดเชียงราย
ในจังหวัดใหญ่หรือเมืองใหญ่ ๆ เช่นกรุงเทพมหานคร ผู้ต้องขังที่พ้นโทษออกไปก็สามารถไปทำอาชีพ
ต่าง ๆ ได้ โดยผ่านการสนับสนุนจากกระทรวงยุติธรรม ผ่านทางกรมราชทัณฑ์และเรือนจำชั่วคราว
ดอยฮาง ซึ่งที่ผ่านมาก็ถือว่าประสบความสำเร็จ ในส่วนของเรือนจำชั่วคราวดอยฮางก็ได้สนับสนุน
ผู้ต้องขังที่พ้นโทษ ในด้านเกษตรกรรม เช่น พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ต่าง ๆ ที่ผู้ต้องขังมีความต้องการจะ

๑๒๐

นำไปประกอบอาชีพภายหลังพ้นโทษโดยไม้เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ รวมถึงการเป็นสื่อกลางในการจัดหา
อาชีพตามที่ผู้ต้องขังต้องการ ทั้งนี้ทำให้ผู้ต้องขังมีหน่วยงานที่มีส่วนช่วยสนับสนุนในการประกอบ
อาชีพ และเป็นการยกระดับของผู้ต้องขังที่ผา่ นในการฝึกฝนในการประกอบอาชีพเสริมในชว่ งที่อย่ใู น
เรอื นจำช่วั คราวดอยฮาง เชียงรายอีกดว้ ย

๓) การวิเคราะห์พุทธบูรณาการในการส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคี
เครือข่าย ด้านการส่งเสริมประกอบอาชีพของผู้ต้องขังในเรือนจำชั่วคราวดอยฮาง จังหวัดเชียงราย
พบว่า การนำหลักพุทธบูรณาการทางพระพุทธศาสนากับวิทยาการสมัยใหม่นำไปใช้ในการส่งเสริม
กระบวนการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย ด้านการส่งเสริมประกอบอาชีพของผู้ต้องขังในเรือนจำ
ชั่วคราวดอยฮาง จังหวัดเชียงราย ทำใหผ้ ตู้ ้องขังมีจติ ใจทีส่ งบ ผอ่ นคลาย มสี มาธติ ่อการมีส่วนร่วมของ
ภาคีเครอื ขา่ ยท่เี ข้ามามีสว่ นช่วยส่งเสริมในการประกอบอาชีพของผู้ตอ้ งขงั พุทธบูรณาการในส่วนของ
เรือนจำช่วั คราวดอยฮาง จงึ มคี วามสำคญั ต่อการสง่ เสริมกระบวนการร่วมของภาคเี ครือข่ายทั้งภาครัฐ
และภาคเอกชนรวมถึงภาคสงั คมที่พรอ้ มเข้าให้ความช่วยเหลือ เป็นการผสมผสานให้สมบูรณ์ และทำ
ให้เกิดสิ่งใหม่ ซึ่งพุทธบูรณาการในเรือนจำชั่วคราวดอยฮาง ก็เป็นการบูรณาการศาสตร์สมัยใหม่เข้า
กบั ศาสนา ในการพฒั นาจิตใจ รวมถงึ บคุ ลิกภาพได้ทำให้เกดิ ปัญญา ช่วยให้จติ สงบ ท่ีสำคัญจะ
ทำให้มีสติ เพราะการขาดสติจะทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา นอกจากนี้การนำหลักทาง
พระพุทธศาสนาเข้าบรู ณาการในการส่งเสริมกระบวนการมสี ่วนรว่ มของภาคเี ครือข่ายยงั จะชว่ ยให้เกิด
คุณธรรม และจริยธรรม เช่น หลักเศรษฐกิจพอเพียง ก็เกิดการนำหลักพระพุทธศาสนาไปบูรณาการ
กับหลักเศรษฐกิจ หลักธรมเหล่านี้จึงให้ได้ว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งที่มีส่วนขัดเกลาในผู้ต้องขังนั้นได้
เข้าถึงหลักธรรมคำสอนได้ โดยใช้แรงจูงใจทั้งเหตุและผลควบคุมกับการสอนไปด้วย สิ่งเหล่านี้ทำให้
เกดิ ประโยชนต์ ่อตัวผูต้ ้องขังเองไมม่ ากก็นอ้ ย ถา้ หากตัวผู้ตอ้ งขังใชส้ ติปญั ญาครบคมุ ตัวเองได้

๕.๒ การอภิปรายผล

การอภิปรายผลครั้งนี้ ผู้วิจัยได้อภิปรายผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยโดยใช้
แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจยั ท่เี กย่ี วขอ้ งที่ได้รวบรวมมาแลว้ มาดำเนินการอภปิ รายผล ดงั น้ี

สกุ ญั ญา กาญจนรัตน์๑ ได้ศึกษาปจั จยั ท่ีมคี วามสัมพันธ์กับความคาดหวังต่อการดำเนินชีวิต
หลังพ้นโทษ ผลการศึกษาโดยสรุปพบว่าความคาดหวังต่อการดำเนินชีวิตหลังพ้นโทษผู้ต้องขัง มี
ความคาดหวังต่อตนเองในระดับมากที่สุด กล่าวคือ ผู้ต้องขังมีความคาดหวัง ประกอบอาชีพที่สุจริต
จะกลับตนเป็นคนดี ไม่คิดที่จะทำความผิดอีก ด้วยจิตสำนึก ของครอบครัวและสังคม ได้ให้ตามที่
ครอบครัวและหน่วยงานให้โอกาส จึงทำให้ความคาดหวังของผู้ตอ้ งขัง มาเป็นแนวทางในการกำหนด
พฤตกิ รรมในการเป็นคนดีของสังคม โดยมคี รอบครัวและหน่วยงาน สนบั สนุนความคาดหวังน้ันให้เป็น
จริงข้อเสนอแนะ ฯลฯ คือ ๑.ในระดับนโยบายกรมราชทัณฑ์ควร ส่งเสริม สนับสนุนให้ผู้ต้องขังท่ี

๑ สุกัญญา กาญจนรัตน์, ปัจจัยที่มีความสัมพันธก์ ับความคาดหวัง ต่อการดำเนินชีวิตหลังพ้นโทษ,
พิมพ์ครั้งที่ ๑, (กรุงเทพมหานคร : วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล,
๒๕๔๖), หน้า ๑.

๑๒๑

กระทำผิดครั้งแรก ไปควบคุมในทัณฑสถาน ๒.กำหนดเปิดมากขึ้นนโยบายด้านการฝึกวิชาชีพให้
ชัดเจน เน้นการให้ความรู้ และฝึกปฏิบัติ เพื่อให้มีความรู้ เพิ่มความสามารถนำไปประกอบอาชีพหลัง
พน้ โทษ ๓.ส่งเสริมกจิ กรรมท่ีใหโ้ อกาสผตู้ ้องขังใกลช้ ิดกบั ครอบครวั และชุมชน โดยเฉพาะการสง่ เสริม
ให้ผู้ต้องขงั ไดร้ ับการเย่ียมเพื่อใช้ชวี ิตคใู่ นทุกทณั ฑสถานเปิดอยา่ งจริงจงั ๔. ควรมกี ารเตรียมครอบครัว
และชุมชนให้พร้อมที่จะรับผู้ต้องขังกลับสู่ครอบครัวและชุมชนสังคม มีนักสังคมสงเคราะห์ทำหน้าท่ี
โดยตรง กำหนดทัณฑสถานที่มีความพร้อมเป็นทัณฑสถานเปิดทดลอง จัดเตรียมผู้ต้องขังก่อนออก
ไปสู่สังคม จัดให้มีนักสังคมสงเคราะห์ในทัณฑสถานเปิดปฏิบัติงานร่วมกับ เจ้าหน้าที่ในการให้
คำปรึกษาเฉพาะรายและจัดกลุ่มกิจกรรมกับผู้ต้องขัง รวมทั้ง การส่งเสริมให้ มองเห็นคุณค่าของ
ตนเอง สามารถทำประโยชน์ให้กับสังคมได้ ด้วยการปฏิบัติศาสนกิจ เพื่อให้ผู้ต้องขัง มีความมั่นคงท้ัง
ดา้ นอารมณ์และจิตใจ พรอ้ มท่ีจะออกไปสสู่ ังคมท่ัวไปได้

ธนภัทร วางอภัย๒ ได้ทำการศึกษาการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อยสำหรับผู้ต้องขังที่มี
แนวโน้มกระทำผิดซ้ำของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ผลการศึกษา ความคาดหวัง หลังพ้นโทษ
ของผู้ต้องขังที่เข้าโครงการนี้ คือ ต้องการกลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัวประกอบอาชีพเป็นคนดีของ
สังคม และคาดหวังว่าครอบครัวและสังคมให้การยอมรับ ให้คำปรึกษาแนะนำและให้กำลังใจ
ข้อเสนอแนะและแนวทางการพัฒนาการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อยของผู้ต้องขัง ๑. ภาครัฐคือ
ควรจัดตั้งหน่วยงานเพื่อทำหน้าที่พัฒนาผู้พ้นโทษโดยเฉพาะและนำภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการ
ช่วยเหลือผู้พ้นโทษ กระทรวงยุติธรรม ๒. กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และ
กระทรวงแรงงาน ควรร่วมกันกำหนดแนวทางในการพัฒนาผู้พ้นโทษอย่างจริงจัง ๓. การควบคุม
ผู้ต้องขัง ในเรือนจำ ควรเน้นความสัมพันธ์ระหว่างผู้ต้องขังกับครอบครัว จัดฝึกวิชาชีพโดยเฉพาะ
สำหรับกลุ่ม ที่จะกระทำความผิดซ้ำ ๔. ควรจัดบุคลากรวิชาชีพเฉพาะในการจัดโครงการฯ เป็นนัก
สังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยา หรือจัดอบรมเจ้าหน้าที่ที่ดำเนินการโครงการฯ เพื่อให้ความรู้
ประสบการณ์ ดำเนนิ การ

บุญช่วย แจ้งเวชฉาย๓ ได้ทำการศึกษาปัจจัยสนับสนุนและปัญหาอุปสรรคในการดำเนิน
โครางการการนำนโยบายสาธารณะสู่การปฏิบัติ : กรณีศึกษาโครงการคืนคนดีสู่สังคม ผลการศึกษา
พบว่า ๑. ปัจจัยที่ทำให้งานนี้ประสบความสำเร็จคือการวางแผนอย่างเป็นระบบและความ ชัดเจนใน
ขั้นตอนการดำเนินกิจกรรม รวมทั้งการมีงบประมาณและกำลังคนดำเนินการอย่างเพียงพอ และ
คนที่ทำมีจิตสำนึก ๒.ปัญหาอุปสรรค คือ บางกิจกรรมมีความซ้ำซ้อน ในการใช้งบประมาณ
๓. แนวทางการพฒั นา คอื ควรพัฒนาแนวทางการปฏิบตั ริ ะหว่างหน่วยงานใหม้ ีความชัดเจน

๒ ธนภทั ร วางอภยั , การเตรยี มความพร้อมก่อนปล่อยสำหรับผตู้ ้องขงั ที่มีแนวโน้มกระทำผิดซ้ำของ
เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร, พิมพ์ครั้งที่ ๑, (กรุงเทพมหานคร : วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิต
วิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหิดล, ๒๕๕๐), หนา้ ๑.

๓ บญุ ชว่ ย แจง้ เวชฉาย, ปัจจัยสนับสนนุ และปญั หาอุปสรรค ในการดำเนนิ โครางการการนำนโยบาย
สาธารณะสูก่ ารปฏบิ ัติ : กรณีศึกษาโครงการคนื คนดสี ู่สงั คม, พิมพค์ รัง้ ที่ ๑, (กรงุ เทพมหานคร : วิทยานพิ นธว์ ิทยา
ศาสตรมหาบณั ฑติ บัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหิดล, ๒๕๕๐), หนา้ ๑.

๑๒๒
ยศพนต์ สุธรรม๔ ศึกษาเรื่อง รูปแบบการมีส่วนร่วมเพื่อคืนคนดีสู่สังคมระหว่าง
ศูนย์ยุติธรรมชุมชนและเรือนจำกลางฉะเชิงเทรา ผลการศึกษาพบว่า ๑. สภาพปัจจุบันและปัญหา
ของการมีส่วนร่วมเพ่ือคืนคนดีสู่สังคม ระหว่างศูนย์ยุติธรรมชุมชนและเรือนจำกลางฉะเชิงเทรา คือ
สังคมมีทัศนคติในด้านลบต่อผู้ต้องขังที่ได้รับการปล่อยตัว การประสานของหน่วยงานที่ ยังไม่มี
ประสทิ ธภิ าพ ไม่มงี านรองรบั หลังจากทผี่ ู้ต้องขังที่พ้นโทษ ส่อื ขา่ วสารที่สังคมได้รับเกี่ยวกับ ที่พ้นโทษ
เป็นไปได้ในดา้ นลบ ตลอดจนปัญหาทส่ี งั คมไมต่ ระหนักถึงความจำเป็นของการมสี ว่ นรว่ ม การคืนคนดี
๒. รูปแบบที่เหมาะสมในการมีสว่ นร่วมเพื่อคืนคนดีสู่สังคมระหว่างศูนย์ยุติธรรมชุมชน เรือนจำกลาง
ฉะเชิงเทรา ประกอบด้วยการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อยในเรื่องการพัฒนาทักษะฝีมื อ แรงงาน
การรับรองความประพฤติให้กับผู้ต้องขังที่ได้รับการปล่อยตัว การปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม
ท้งั ในระหวา่ งต้องโทษและหลงั พ้นโทษ การประสานงานระหว่างเรอื นจำและศนู ย์ยตุ ธิ รรมชุมชน

๕.๓ ข้อเสนอแนะ

๕.๓.๑ ขอ้ เสนอแนะสำหรบั การวิจยั คร้ังตอ่ ไป
ก. ควรมีรูปแบบการฝกึ วิชาชพี ของผ้ตู ้องขัง ในเรือนจำช่วั คราวดอยฮาง จงั หวดั เชียงราย
ข. ควรยกระดับภาคเี ครือขา่ ยในการส่งเสริมการประกอบอาชีพของผตู้ ้องขัง
ค. ควรส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย ด้านการส่งเสริมประกอบ

อาชพี ของผ้ตู อ้ งขัง

๔ ยศพนต์ สุธรรม, รูปแบบการมีส่วนร่วมเพื่อคืนคนดีสู่สังคมระหว่างศูนย์ยุติธรรมชุมชนและ
เรอื นจำกลางฉะเชิงเทรา, พิมพ์ครัง้ ที่ ๑, ( กรุงเทพมหานคร : วทิ ยานพิ นธ์วทิ ยาศาสตรมหาบณั ฑิต บณั ฑิตวิทยาลยั
มหาวทิ ยาลยั มหิดล, ๒๕๕๐), หนา้ ๑.

๑๒๓

บรรณานุกรม

๑. ภาษาไทย

ก. ขอ้ มูลปฐมภูมิ

มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั . พระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาเตปฏิ กํ ๒๕๐๐. กรงุ เทพมหานคร:
โรงพิมพ์มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๕.

________. พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร:
โรงพิมพม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙.

มหามกุฏราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบับสฺยามรฏฺ เตปิฏกํ ๒๕๒๕. กรุงเทพมหานคร:
โรงพิมพม์ หามกุฏราชวทิ ยาลยั , ๒๕๒๕.

________. พระไตรปิฎกพร้อมอรรถกถา แปล ชุด ๙๑ เล่ม. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหามกุฏ
ราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๔.

มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั . ปกรณวเิ สสภาษาบาลี ฉบบั มหาจฬุ าปกรณวิเสโส. กรุงเทพมหานคร:
โรงพมิ พ์วญิ ญาณ, ๒๕๓๙.

________. อรรถกถาภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาอฏฺ กถา. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬา
ลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๒.

________. ฎีกาภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาฎีกา. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ
ราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๙.

ข. ข้อมลู ทุติยภมู ิ

(๑) หนังสือ :

กลุ่มงานส่งเสริมสัมมาชีพชุมชน สำนักเสริมสร้างความเข้มแข็งชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน.
การจดั ตงั้ และพัฒนากลมุ่ อาชพี . พิมพ์ครัง้ ท่ี ๑. (กรงุ เทพมหานคร : บริษัท สไตลค์ รีเอทีฟเฮ้าส์
จำกดั , ๒๕๕๐).

จงกลนี ชุติมาเทวินทร. การฝึกอบรมเชิงพัฒนา (Training and Development). พิมพ์ครั้งที่ ๑.
(กรุงเทพมหานคร : พี เอลิ, ๒๕๔๒).

ชัย สมิทธิไกร. จิตวิทยาการฝึกอบรมบุคลากร. พิมพ์ครั้งที่ ๑. (เชียงใหม่ : ภาควิชาจิตวิทยา
คณะมนษุ ยศาสตร์มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม,่ ๒๕๓๘).

ชูชัย สมิทธิไกร. จิตวิทยาการฝึกอบรมบุคลากร. พิมพ์ครั้งที่ ๑. (เชียงใหม่ : ภาควิชาจิตวิทยา
คณะมนษุ ยศาสตรมหาวทิ ยาลยั เชียงใหม,่ ๒๕๓๘).

ชูชาติ พ่วงสมจิตร. การวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งเสริมและปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการมีส่วนร่วมของ
ชุมชนกับโรงเรียนประถมศึกษาในเขตปริมลฑลกรุงเทพมหานคร. ปริญญานิพนธ์.
ครศุ าสตร์บณั ฑติ , พมิ พ์คร้ังท่ี ๑. (กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั , ๒๕๕๐).

๑๒๔

ฏฐพันธ์ เขจรนันทน์. การจัดการทรัพยากรมนุษย์. พิมพ์ครั้งที่ ๑. (กรุงเทพมหานคร : ซีเอ็ดยูชั่น,
๒๕๔๙).

ดนัย เทียนพุฒ. กลยุทธการพัฒนาคนไขปญั หาคาใจนักฝึกอบรม. พิมพ์ครั้งที่ ๑. (กรุงเทพมหานคร :
โรงพมิ พ์สรุ พิม. ๒๕๔๑).

ดร.กรรณกิ าร์ สวุ รรณศร.ี การบริหารทรัพยากรมนุษย์. พมิ พ์คร้ังท่ี ๑. (นครปฐม : มหาวิทยาลัยราช
ภัฏนครปฐม, ๒๕๔๘).

ติมา วรรณศรี. รูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมเพื่อส่งเสริมอาชีพของนักเรียนในสถานศึกษา.
สังกดั เทศบาล. (พิษณโุ ลก : วารสารศกึ ษาศาสตร์. มหาวทิ ยาลยั นเรศวร, ๒๕๕๗).

ธัชกร ภัทรพันปี. กระบวนการส่งเสริมเอกลักษณ์อาชีพสำหรับกลุ่มผู้สูงอายุ ในตำบลบางปลา
อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ. พิมพ์ครั้งที่ ๑. (สมุทรปราการ : สาขาการจัดการ
คณะวิทยาการจัดการ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏธนบรุ ,ี ๒๕๖๓).

ธีระพงษ์ แก้วหาวงษ์. กระบวนการเสริมสร้างชุมชนเข้มแข็ง ประชาคม ประชาสังคม. พิมพ์ครั้งที่ ๔.
(ขอนแกน่ : ศนู ยฝ์ กึ อบรมและพัฒนาการสาธารณะสุขมลู ฐาน, ๒๕๔๖).

นพพงษ์ บุญจิตราดุล. ความมุ่งหมายในการพัฒนาบุคลากร. พิมพ์ครั้งที่ ๑. (กรุงเทพมหานคร :
พมิ พ์ลักษณ์, ๒๕๒๕).

นววรรณ พันธุเมธา. พินิจภาษา. พิมพ์ครั้งที่ ๒. (กรุงเทพมหานคร : กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ,
๒๕๓๙).

ปรมะ สตะเวทิน. หลักนิเทศศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ ๑. (กรุงเทพมหานคร : คณะนิเทศศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั , ๒๕๔๙).

ประดินันท์ อุปรมัย. มนุษย์กับการเรียนรู้ เอกสารการสอนชุดวิชาพื้นฐานการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ ๑๕.

(นนทบุรี : โรงพิมพ์มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช, ๒๕๔๐).

ประสารทสุข นิยมราษฎร และคณะ. การศึกษาการพัฒนาศักยภาพการประกอบอาชีพของสตรีและ
เยาวชนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้. พิมพ์ครั้งที่ ๑. (กรุงเทพมหานคร : พิมพ์ลักษณ์,
๒๕๔๙).

ปรัชญา เวสารัชช์. การปกครองท้องถิ่นของประเทศญี่ปุ่น. พิมพ์ครั้งที่ ๑. (กรุงเทพมหานคร :
สำนกั งานคณะกรรมการขา้ ราชการพลเรอื น, ๒๕๔๘).

ปรีดา เจษฎาวรางกูล. การพฒั นาชมุ ชน. พิมพค์ รง้ั ท่ี ๑. (กรุงเทพมหานคร : พมิ พล์ ักษณ์, ๒๕๔๘)
วินัย มนัสปัญญากุล. การบริหาร. พิมพ์ครั้งที่ ๑. (กรุงเทพมหานคร : คณะพานิชศาสตร์และการบัญชี,

๒๕๔๔).
นิรนั ดร์ จงวุฒเิ วศย์. กลวธิ ี แนวทางวิธกี ารเสริมสร้าง การมสี ่วนร่วมของ ประชาชนในการพัฒนา.

พิมพ์ครั้งที่ ๑. (กรุงเทพมหานคร : ศูนย์ศึกษานโยบาย สาธารณสุขมหาวิทยาลัยมหิดล,
๒๕๔๙).
ผการัตน์ พินจิ วัฒน์. การสง่ เสริมอาชีพให้ชุมชน กรณศี กึ ษา บ้านโพนไทร ตำบลเมอื ง อำเภอเมือง
จังหวัดเลย. พิมพ์ครั้งที่ ๑. (เลย : ภาควิชาสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย,
๒๕๖๑).

๑๒๕

ผการตั น์ พนิ จิ วัฒน์. การสง่ เสริมอาชพี ให้ชุมชน กรณีศกึ ษา บ้านโพนไทร ตำบลเมือง อำเภอเมือง
จงั หวัดเลย. (เลย : ภาควิชาสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏเลย, ๒๕๖๑).

พงษ์ศักดิ์ อังกสิทธ์. การนิเทศงานสง่ เสริมการเกษตร Supervision in agricultural extension,
พิมพ์ครั้งที่ ๑. (เชียงใหม่ : ภาควิชาส่งเสริมและเผยแพร่การเกษตร คณะเกษตรศาสตร์
มหาวิทยาลัยเชียงใหม,่ ๒๕๕๑).

พรทิพย์ อุดมสิน. รูปแบบและเครื่องมือที่ใช้ในการจัดการความรู้ในงานส่งเสริมการเกษตรหน่วยท่ี ๒
ในการจัดการความรู้ในงานส่งเสริมการเกษตร. พิมพ์ครั้งที่ ๑. (นนทบุรี : มหาวิทยาลัย
สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช, ๒๕๕๔).

พะยอมวงศ์ สารศรี. องค์กรและการจัดการ. พิมพ์ครั้งที่ ๑. (กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิโกมลคีมทอง,
๒๕๒๘).

เพ็ชรี รูปะวิเชตร. เทคนิคการจัดฝึกอบรมและการประชุม(Training and Meeting Techniques).
(เชียงใหม่ : คณะศึกษาศาสตร์มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม,่ ๒๕๔๙).

ไพฑูรย์ สมแก้ว และคณะ. “การวิจัยเพื่อส่งเสริมธรรมาภิบาลในระดับท้องถิ่นกรณีศึกษาช่องทาง
ทุจริตในระดับตำบล : ปัญหาและแนวทางแก้ไขเพื่อพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมเชิง
โครงสรา้ งระดบั ทอ้ งถิ่น”. รายงานวจิ ยั ,ศนู ยส์ ่งเสรมิ และพัฒนาพลังแผน่ ดนิ เชิงคุณธรรม.
(กรงุ เทพมหานคร : ศูนยส์ ่งเสรมิ และพฒั นาพลังแผ่นดนิ เชงิ คุณธรรม, ๒๕๔๘).

มหาวิทยาลัยรามคำแหง. แผนพัฒนาบุคลากรของมหาวิทยาลัยรามคำแห่งประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๕. (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลยั รามคำแหง, ๒๕๕๒).

เรวัต ทัตติยพงศ์. ทัศนะของข้าราชการกองอาคารกรมช้างโยธาทหารอากาศกองบัญชาการ
สนับสนุนทหารอากาศต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์. วิทยานิพนธ์รัฐประศาสนศาสตร์
มหาบัณฑิต. พิมพ์ครั้งที่ ๑. (กรุงเทพมหานคร : สถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์,
๒๕๕๐).

วิจิตร อาวะกุล. คู่มือฝึกอบรมและพัฒนาบุคคล. พิมพ์ครั้งที่ ๑. (กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ
มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๔๐).

วิมลศรี อุทัยพัฒนาชีพ และคณะ. การสร้างเครือข่ายและการมีส่วนร่วม ในการปรับเปลี่ยน
พฤติกรรมสุขภาพของชุมชน. กองสุขศึกษา. สำนักงานสาธารณสุข. พิมพ์ครั้งที่ ๑.

(กรุงเทพมหานคร : กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข).

ศุภชัย ยาวะประภาษ. การบริหารงานบุคคลภาครัฐไทย : กระแสใหม่และสิ่งท้าทาย. พิมพ์ครั้งที่ ๑.
(กรงุ เทพมหานคร : จดุ ทอง. ๒๕๔๗).

สมนึก ปัญญาสิงห์. ปัญหาการวางแผนของโรงเรียนตามทัศนะของผู้บริหารโรงเรียน. สังกัด
สำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดพิจิตร. พิมพ์ครั้งที่ ๑. (พิษณุโลก : มหาวิทยาลัย,
๒๕๔๒).รัตน์ สมสนิ ทรพั ย.์ การมีส่วนร่วมของสตรใี นกิจกรรมของคณะกรรมการพัฒนา
สตรีหมู่บ้านในอำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี. พิมพ์ครั้งที่ ๑. (กรุงเทพมหานคร :
มหาวทิ ยาลัยศรนี ครินทรวโิ รฒ ประสานมติ ร, ๒๕๔๘).

สมาน รงั สโิ ยกฤษณ.์ ความรู้ท่ัวไปเก่ยี วกับการบริหารงานบุคคล. พิมพ์ครง้ั ที่ ๑. (กรุงเทพมหานคร :
โอเดยี นสโตร, ๒๕๔๒).

๑๒๖

สำเนาว ขจรศลิ ป. หลักการจดั กจิ กรรมนักศกึ ษา. กองกิจการนิสิต. (กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลัยเกษตร
ศาสตร, ๒๕๒๙).

สำนักงานความเขม้ แข็งชมุ ชนกรมการพัฒนาชมุ ชน. การจัดตง้ั กลุ่มอาชีพ. พิมพ์ครัง้ ที่ ๑. (กรงุ เทพมหานคร :

บรษิ ทั สไตลค์ รีเอทีฟเฮ้าส์ จำกดั , ๒๕๖๐).

สุกัญญา รัศมีธรรมโชติ. แนวทางการพัฒนาศักยภาพมนุษย์ด้วย Competency Based Learning.
พิมพค์ ร้ังที่๒. (กรงุ เทพมหานคร : บรษิ ัทศริ วิ ฒั นาอนิ เตอร์พรนิ ท์จำกดั มหาชน, ๒๕๔๘).

สนุ ันทา เลาหนนั ทน.์ การพฒั นาองคก์ าร. พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๑. (กรุงเทพมหานคร : ดดี บี คุ สโตร, ๒๕๔๔).
สุปราณี ศรีฉัตราภิมุข. การฝึกอบรมและการพัฒนาบุคลากร. พิมพ์ครั้งที่ ๑. (กรุงเทพมหานคร :

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, ๒๕๔๒).
สุมาลี สังข์ศรี. การประเมินผลการนำนโยบายการส่งเสริมรักการอ่านสู่การปฏิบัติระดับ

ประถมศึกษา ทั้งในโรงเรียนและนอกระบบโรงเรียน. พิมพ์ครั้งที่ ๑. (นนทบุรี : สุโขทัย
ธรรมมาธิราช, ๒๕๕๐).
สุรินทร์ สุริยวงศ์. การมีส่วนร่วมของชาวบ้านในการอนุรักษ์ป่าชุมชนบ้านทุ่งยาว อำเภอเมือง
จังหวัดลำพูน. พิมพค์ ร้งั ที่ ๑. (เชียงใหม่ : สถาบันเทคโนโลยีการเกษตรแม่โจ,้ ๒๕๔๖).
เสริมศกั ด์ิ วศิ าลาภรณ์. ความขดั แย้ง : การบรหิ ารเพือ่ ความสร้างสรรค์. พิมพค์ ร้ังท่ี ๑. (กรงุ เทพมหานคร :
ตน้ ออ้ แกรมม่ี, ๒๕๔๗).
เสรี พงศ์พิศ. คู่มีการทำวิสาหกิจชุมชน. พิมพ์ครั้งที่ ๑. (กรุงเทพมหานคร : เจริญวิทย์การพิมพ์,
๒๕๒๐).
อ้อยใจ นามวงศ์. การรวมกลุ่มอาชีพสามล้อถีบ เพื่อการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในเขตอำเภอเมือง
จังหวัดเชียงใหม่. พิมพ์ครั้งที่ ๑. (เชียงใหม่ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย เชียงใหม่,

๒๕๔๕).

อาภรณ์ ภูวิทยพนั ธุ์. การพัฒนาบคุ ลากร. พิมพ์ครั้งที่ ๑. (กรุงเทพมหานคร : สถาบันพัฒนาคณุ ภาพ
ทรัพยากรมนษุ ยเ์ พือ่ องค์กร, ๒๕๔๘).

อทุ ยั หิรญั โต. กระบวนการอ้างอิง. พิมพค์ รัง้ ที่ ๑. (พษิ ณุโลก : มหาวิทยาลัยนเรศวร, ๒๕๓๑).

Ginzberg. E. The development of Human Resources. New York, Mcgraw – Hill lnc.
Ginzberg ๑๙๕๑ : Super ๑๙๕๗ : Tiedman and O' Hara, ๑๙๖๓.
Hineman. Herbert G. and others. Personnel / Human Resource Management. (Lllinois

: Richard D lrwin.).
World Health Organization. Meeting on Community Control of Stroke and Hypertension.

Control of stroke in the community : methodological considerations and
protocol of WHO.Geneva: WHO, (๒๐๐๗).

๑๒๗

(๒) ดุษฎีนพิ นธ์/วทิ ยานิพนธ/์ สารนพิ นธ์ :
เดือนเพ็ญ กุลสุวรรณ. “แนวทางการเสริมสร้างความเป็นธรรมในสังคม”. วิทยานิพพนธ์ศาสนาศา

สตรมหาบณั ฑิต. (บัณฑิตวทิ ยาลยั : มหาวทิ ยาลยั มหาจลุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๖๐).
ม.ล.ดิศปนัดดา ดิศกุล. “การให้โอกาสผู้พ้นโทษคืนแระโยชน์สูส่ ังคม”. วิทยานิพพนธ์ศาสนาศาสตร

มหาบัณฑิต. (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุลาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๖๐).
ชญั ญาณัฏฐ์ จิณณณัฐชา. “การพัฒนาบุคลากรโดยใช้แนวทางสมรรถนะ”. วิทยานิพนธ์
วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต. พิมพ์ครั้งที่ ๑. (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหา
นคร, ๒๕๕๔).
บุญแสง ชีระภากร. “ภาวะผู้นำและการบริหารงานของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น”.
ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต. ( รัฐประศาสนศาสตร์ ). (บัณฑิตวิทยาลยั : มหาวิทยาลัยรามคำแหง,
๒๕๕๒).
ปรีชญาณ นักฟอน. “การดำเนินนโยบายการบําบัดฟื้นฟูผู้ต้องขังติดยาเสพติดในเรือนจำของไทย”.
รายงานวิจัย. (ภาควิชารัฐศาสตร คณะสังคมศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ,
๒๕๕๘).
ไพโรจน์ ดงกระโทก. บทบาทขององค์การบริหารส่วนตำบลในการส่งเสริมกลุ่มอาชีพชุมชนเพ่ือ
การพึ่งตนเอง กรณีศึกษาองค์การบริหารส่วนตำบลหนองแก อำเภอศรีบุญเรือง
จงั หวัดหนองบวั ลำภู. ปรญิ ญารฐั ศาสนศาสตรมหาบณั ฑิต, วิทยาลัยการปกครองท้องถ่ิน.
(ขอนแก่น : มหาวทิ ยาลัยขอนแก่น, ๒๕๕๑).
ระศักดิ์ เจริญพันธ์ และคณะ. “การพัฒนาภาคีเครือข่ายการพัฒนาหมู่บ้านต้นแบบตามแนวคิด
ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียง”. คณะสาธารณสุขศาสตร.์ (มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม ตำบล
ขามเรยี ง อำเภอกันทรวชิ ยั จังหวัดมหาสารคาม, ๒๕๕๔).
วรพิมพสุข ผองสมัย. “การพัฒนาจิตใจผู้ต้องขังหญิงในทัณฑสถานหญิงกลางตามหลักพุทธธรรม”.
วิทยานิพนธพุทธศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต. (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ
ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๕).
วันชัย สุขตาม. การพัฒนาทุนมนุษย์วิถีพุทธในยุคโลกาภิวัตน์. รัฐประศาสนศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต.

(บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยราชภฏั วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถมั ภ์, ๒๕๕๕).

วิมล วีระพัฒน์. ความรู้และความตระหนักรู้ของอาจารย์ที่มีต่อการประกอบอาชีพอิสระของ
นักศึกษา. วิทยานิพนธ์ ค.ม. เทคโนโลยีอตุ สาหกรรม. พิมพ์ครั้งที่ ๑. (กรุงเทพมหานคร :
บัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยราชภัฎจันทรเกษม, ๒๕๕๒).

ศักดาพินิจ ณรงค์ชาติโสภณ. “การวิเคราะห์นโยบายการกระจายอำนาจใหแ้ ก่องคก์ รปกครองส่วน
ท้องถิ่นต่อการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน”. ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต( รัฐศาสตร์ ). (บัณฑิต
วิทยาลยั : มหาวทิ ยาลยั รามคำแหง, ๒๕๔๙).

สมภพ แจ่มจันทร์. “ประสบการณ์ทางจิตใจของผู้ต้องขังหญิงคดีฆาตกรรมในทัณฑสถานหญิง
เชียงใหม่”. ศิลปะศาสตร์มหาบัณฑิต, (จิตวิทยาการปรึกษา). (บัณฑิตวิทยาลัย :
จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั , ๒๕๕๐).

๑๒๘

สาธิต ปานอ่อน และคณะ. คุณภาพชีวิตการทำงานของข้าราชการ ในกลุ่มเรือนจำเขต ๗.
มหาบัณฑิต หลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์ สาขาวิชาวิทยาการจัดการ. (มหาวิทยาลัย

สุโขทัยธรรมาธริ าช, ๒๕๕๖).

สุมนทิพย จิตสว่าง. “ปัจจัยที่ผลต่อพฤติกรรมการกระทำความผิดของนักโทษประหารชีวิต”.
ดุษฏนี ิพนธสาขาวชิ าอาชญาวิทยา. (บัณฑติ วิทยาลยั : มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล, ๒๕๕๔).

สรุ นิ ทร์ พรหมมินทร์. “แนวทางการพฒั นาการฝกึ วชิ าชีพผตู้ ้องขังเรือนจำดอยฮาง”. วทิ ยานพิ พนธ์
ศาสนาศาสตรมหาบัณฑิต. (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุลาลงกรณราชวิทยาลัย,
๒๕๖๐).

สรุ โิ ย ชูจนั ทร์ และคณะ. ”แนวทางเชิงกลยุทธ์การพัฒนานาคาโมเดล สำหรบั การจดั การกำจัดโรค
ไข้มาลาเรีย โดยองค์การบริหารส่วนตำบลนาคาและการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย
ระดับตำบล”. วารสารสาธารณะสุ.(ปทุมธานี: คณะสาธารณะสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัย
ธรรมศาสตร์ ศูนยร์ งั สติ , ๒๕๖๒).

ภาคผนวก

๑๓๐

ภาคผนวก ก.
รายนามผูใ้ หข้ อ้ มูลเพือ่ การวจิ ยั (สมั ภาษณ์)

๑๓๑

๑๓๒

๑๓๓

๑๓๔

๑๓๕

ภาคผนวก ข.
หนังสือขอความอนเุ คราะห์เกบ็ ขอ้ มลู เพอ่ื การวจิ ัย (สมั ภาษณ์)

๑๓๖

๑๓๗

๑๓๘

๑๓๙

๑๔๐


Click to View FlipBook Version