The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by poonpracharot, 2022-09-05 00:24:33

รายงานวิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ด้านจำนวนและการดำเนินการของเด็กปฐมวัย ในการจัดประสบการณ์โดยใช้วรรณกรรมเป็นฐานร่วมกับสื่อดิจิทัล











การพัฒนาความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ด้านจำนวนและการดำเนินการของเด็กปฐมวัย ใน

การจัดประสบการณ์โดยใช้วรรณกรรมเป็นฐานร่วมกับสื่อดิจิทัล


The Development of Young Children’s Number and Operations

Understanding by using Literature based Learning and Digital Media


















นางสาวอภัสรา ประชาโรจน์


ตำแหน่ง ครู


























โรงเรียนชุมชนบึงบา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต ๒









ชื่อผลงานวิจัย การพัฒนาความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ด้านจำนวนและการดำเนินการ

ของเด็กปฐมวัย ในการจัดประสบการณ์โดยใช้วรรณกรรมเป็นฐานร่วมกับ

สื่อดิจิทัล


ชื่อผู้วิจัย นางสาวอภัสรา ประชาโรจน์

สถานที่ติดต่อ โรงเรียนชุมชนบึงบา

ปีที่ทำการวิจัย 2564
ประเภทงานวิจัย วิจัยในชั้นเรียน





บทคัดย่อ

การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ด้านจำนวนและการ
ดำเนินการของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังได้รับการใช้วรรณกรรมเป็นฐานร่วมกับสื่อดิจิทัล กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ใน

การศึกษาครั้งนี้เป็นเด็กปฐมวัยซึ่งมีอายุ 5-6 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นอนุบาล 3/2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา
2564 โรงเรียนชุมชนบึงบา จังหวัดปทุมธานี จำนวน 30 คน รวมระยะเวลา 8 สัปดาห์ แบ่งออกเป็น ก่อนการจัด

กิจกรรม 1 สัปดาห์ จัดกิจกรรม 6 สัปดาห์ หลังการจัดกิจกรรม 1 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ คือ 1) แผนการจัด
ประสบการณ์การโดยใช้วรรณกรรมเป็นฐานร่วมกับการใช้สื่อดิจิทัลซึ่งเป็นแผนการจัดประสบการณ์ที่ผู้ศึกษาสร้าง
ขึ้น จำนวน 24 แผน 2) แบบประเมินความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ด้านจำนวนและการดำเนินการของเด็กปฐมวัย

ซึ่งผู้ศึกษาสร้างขึ้น วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา


ผลการศึกษาพบว่า เด็กปฐมวัย อายุระหว่าง 5-6 ปี ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการใช้วรรณกรรมเป็นฐาน
ร่วมกับการใช้สื่อดิจิทัล มีความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ด้านจำนวนและการดำเนินการของเด็กปฐมวัย โดยรวมและ

รายด้านประกอบด้วยด้านการนับปากเปล่า การนับอย่างรู้ค่าจำนวน การเปรียบเทียบจำนวน การเรียงลำดับ การ
รวมกลุ่ม การแยกกลุ่ม หลังการทดลองสูงขึ้นกว่าก่อนการทดลอง และผลจากการบันทึกการสังเกตพฤติกรรม

ในขณะทำกิจกรรมการใช้วรรณกรรมเป็นฐานร่วมกับการใช้สื่อดิจิทัล พบว่าเด็กปฐมวัย อายุระหว่าง 5-6 ปี มีความ
เข้าใจทางคณิตศาสตร์ด้านจำนวนและการดำเนินการของเด็กปฐมวัย จากการนับปากเปล่า 1-20 นับปากเปล่าถอย

หลัง 10-1 การนับสิ่งของตามจำนวน การเรียงลำดับสิ่งของ การรวมกลุ่มและพูดบอกผลรวม การแยกกลุ่มและพูด
บอกผลคงเหลือได้อย่างถูกต้อง









สารบัญ


หน้า

สารบัญ ง


บทที่ 1 1


ความเป็นมาและความสำคัญ 1

วัตถุประสงค์ของการศึกษา 3

ขอบเขตของการศึกษา 3

นิยามศัพท์เฉพาะ 5


ประโยชน์ที่ได้รับจากการศึกษา 6
บทที่ 2 8


เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดที่เกี่ยวกับวรรณกรรมเป็นฐาน 10


ความหมายของวรรณกรรม 10

ความหมายของวรรณกรรมสําหรับเด็กปฐมวัย 10

ประเภทของวรรณกรรม 12

องค์ประกอบของวรรณกรรม 14

การเลือกวรรณกรรมสำหรับเด็กปฐมวัย 16

การจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้วรรณกรรมเป็นฐาน 18

งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้วรรณกรรมสำหรับเด็กปฐมวัย 23

เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้สื่อดิจิทัลสำหรับเด็กปฐมวัย 24

ความหมายของสื่อดิจิทัล 24


แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการใช้สื่อดิจิทัลสำหรับเด็กปฐมวัย 25

แนวทางการเลือกใช้สื่อดิจิทัลสำหรับเด็กปฐมวัย 27

ความหมายของ Lifeworksheet 30

ความหมายของ Wordwall 31

งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้สื่อดิจิทัลสำหรับเด็กปฐมวัย 32









เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับคณิตศาตร์สำหรับเด็กปฐมวัย 33

ความหมายและความสำคัญของคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย 33

สาระทางคณิตศาสตร์เกี่ยวกับจำนวนและการดำเนินการสําหรับเด็กปฐมวัย 35

ทฤษฎีการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องกับคณิตศาสตร ์ 37

การจัดประสบการณ์ทางคณิตศาสตร์สําหรับเด็กปฐมวัย 41


บทบาทครูในการส่งเสริมความเข้าใจทางคณิตศาสตร์สําหรับเด็กปฐมวัย 50
งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย 52


กรอบแนวคิดการวิจัย 54

บทที่ 3 57


กลุ่มเป้าหมายและการเลือกกลุ่มเป้าหมาย 57

การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในศึกษา 57

การเก็บรวบรวมข้อมูล 73

การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 74


สถิติที่ใช้ในการศึกษา 75
บทที่ 4 77


ผลการศึกษา 77

บทที่ 5 94


สรุปผลการศึกษา 97

ข้อเสนอแนะ 98

เอกสารและสิ่งอ้างอง 99


บทที่ 1



บทนำ



ความเป็นมาและความสำคัญ



กรอบการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (Framework for 21st Century Learning) เป็นแนวคิด

สำคัญในการจัดการศกษา ได้กำหนดสาระวิชาหลักเป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนไว้ คือ 3Rs
ประกอบด้วย การอ่าน (Reading) การเขียน (Writing) และคณิตศาสตร์ (Arithmetic) เพื่อส่งเสริม


ให้ผู้เรียนเกิดทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม 4Cs ประกอบด้วย การคดวิเคราะห์ (Critical Thinking)
การสื่อสาร (Communication) การร่วมมอ (Collaboration) และความคิดสร้างสรรค์(Creativity)

ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตนับตั้งแต่โลกก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 เป็นช่วงเวลาแห่งการ
เปลี่ยนแปลงและผันแปรอย่างรวดเร็วของโลก การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ส่งผลให้ผู้เรียนต้องสามารถคิด

วิเคราะห์ แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ได้ด้วยตนเอง ปรับตัวใช้ชีวิตกับโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่าง


รวดเร็วนี้ได้อย่างเหมาะสม วิชาคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่ว่าด้วยเหตุผลกระบวนการแกปัญหา เสริมสร้าง
การคิดอย่างมีวิจารณญาณและเป็นระบบ ทำให้ผู้เรียนสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ได้อย่างถี่ถ้วน

รอบคอบ สามารถคาดการณ์ วางแผน และตัดสินใจได้อย่างเหมาะสม (สถาบันส่งเสริมการสอน

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2555)

การเรียนรู้คณิตศาสตร์ระดับปฐมวัย มุ่งหวังให้เด็กทุกคนได้พัฒนาเจตคติทางคณิตศาสตร์

ทักษะทางคณิตศาสตร์ และสาระทางคณิตศาสตร์ อันเป็นการสร้างความเข้าใจและเป็นพนฐานการ
ื้
เรียนรู้คณิตศาสตร์ในระดับชั้นต่อไป โดยกำหนดสาระหลักที่จำเป็นสำหรับเด็ก คือ จำนวนและการ

ดำเนินการ การวัด เรขาคณิต พีชคณิต การวิเคราะห์ข้อมูลและความน่าจะเป็น ทักษะและ

กระบวนการทางคณิตศาสตร์ (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2560) โดยเน้น
การพัฒนาแนวคิดและส่งเสริมทักษะเกี่ยวกับตัวเลขให้กับเด็ก จากการเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้

เกี่ยวกับคณิตศาสตร์จากประสบการณ์ในชีวิตประจำวันอย่างมีความหมาย โดยคำนึงถงประสบการณ์

เดิมของเด็ก ให้เด็กได้ลงมือกระทำกับสื่อต่าง ๆ ให้เด็กสังเกตรูปภาพและสัญลักษณ์ ซึ่งส่งผลให้เด็ก
เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างชุดของสิ่งที่จะจับคู่ การจัดเรียง การเปรียบเทียบ การ

สร้างแบบรูป และการนับ รวมทั้งทำให้เด็กมีพัฒนาการ เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับรูปร่างรูปทรงและ

ี่
แนวคิดเชิงพื้นทอย่างง่าย (Ministry of Education, Singapore, 2013) หลักสูตรการศกษาปฐมวัย
2560 (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560) ระบุว่าให้เด็กปฐมวัยต้องมีความรู้ความเข้าใจทางคณิตศาสตร์

2







เกี่ยวกับเรื่องจำนวนและการดำเนินการในเรื่องของการนับปากเปล่า การเปรียบเทียบ การเรียงลำดับ
การรวมกลุ่ม และการแยกกลุ่ม ซึ่งเป็นทักษะพื้นฐานที่สำคัญในการเรียนรู้คณิตศาสตร์ในระดับชั้น

ื่
ประถมศึกษาปีที่ 1 และเพอส่งเสริมให้เด็กเกิดความคิดรวบยอด มีเหตุผล วิเคราะห์ปัญหา แก้ปัญหา
ตลอดจนนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม


วรรณกรรมมุ่งให้เด็กได้รับความสนุกสนาน ความรู้ เสริมสร้างทักษะ โดยใช้ภาษาง่าย สื่อ

ความหมายชัดเจน (เนตรชนก รักกาญจนันท์, 2560) ทำให้เด็กเกิดความเข้าใจ สร้างความคิดรวบ
ยอด และแนวความคิดต่าง ๆ ได้ง่าย สอดคล้องกับดวงใจ ทัดมาลา (2559) ศึกษาการพฒนาทักษะ

พื้นฐานทางคณิตสาสตร์ของเด็กปฐมวัยโดยใช้กิจกรรมการเล่านิทาน พบว่าเด็กปฐมวัยมีทักษะพื้นฐาน

ทางคณิตศาสตร์หลังเรียน โดยการใช้กิจกรรมเล่านิทานสูงขึ้นกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่
ระดับ .01 เด็กปฐมวัยมีพฤติกรรมการเรียนรู้ทักษะพื้นฐานทางด้านคณิตศาสตร์หลังได้รับการจัด

กิจกรรมการเล่านิทาน โดยรวมอยู่ในระดับดี และมีพฤติกรรมการเรียนรู้ตรงตามวิธีการจัด
ประสบการณ์อย่างมีประสิทธิภาพ จากงานวิจัยดังกล่าวการใช้นิทานและวรรณกรรมสามารถพัฒนา


ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยได้อย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับพฒนาการการ
เรียนรู้ของเด็กปฐมวัย โดยเด็กปฐมวัยมีส่วนร่วมในการทํากิจกรรม การแสดงความคิดเห็น เช่น การรู้

ค่ารู้จํานวนของตัวเลขทางคณตศาสตร์หลังจากการเล่านิทานให้เด็กหยิบสิ่งของตามจํานวนตัวเลข

เป็นการเรียนรู้ทักษะทางคณตศาสตร์อย่างสนุกสนานและเกิดความเข้าใจ

สถานการณ์โรคอุบัติใหม่ส่งผลให้ประชากรทั่วมุมโลกเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำรงชีวิตไป
ตามแนวทางชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) โดยเทคโนโลยีดิจิทัล เข้ามามีบทบาทในการดำรงชีวิตทั้ง

การเรียน การทำงาน (ธรรมนิติ, 2565) สอดคล้องกับสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2561)
เสนอว่าปัจจุบันการจัดการเรียนการสอนในห้องเรียนเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องมีการนำ

เทคโนโลยีดิจัลมาใช้ควบคู่กัน ต้องมีการส่งเสริมการเรียนรู้ จากแหล่งการเรียนรู้ทั้งจากทางกายภาพ
และแหล่งการเรียนรู้ดิจิทัล ซึ่งการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลสำหรับเด็กปฐมวัย ควรมีลักษณะเป็น

เครื่องมือที่ช่วยสร้างเสริมพัฒนาการและทักษะสำคัญที่จำเป็น สอดคล้องกับความสนใจของผู้เรียน

เช่น โปรแกรมหรือแอพพลิเคชั่นที่มีเนื้อหาเหมาะสม Wordwall เป็นเกมแบบโต้ตอบมีหลากหลาย
รูปแบบ เช่น จับคู่ จัดกลุ่ม เรียงลำดับ ตอบคำถาม (Wordwall.net, 2016) และ Liveworksheets

เป็นแผ่นงานแบบโต้ตอบ ผู้เรียนสามารถทำใบงานออนไลน์และรู้คำตอบทันที เป็นการสร้างแรงจูงใจ

สามารถปรับใช้กับการศกษาได้อย่างเต็มที่จากสื่อออนไลน์ในลักษณะต่าง ๆ เช่น เสียง วิดีโอ

กิจกรรมลากและวาง โยงเส้นจับคู่ (Liveworksheets, 2021) Wordwall และ Liveworksheets

เป็นสื่อดิจิทัลที่ครูสามารถสร้างชิ้นงานที่มีเนื้อหาเหมาะสมกับวัยของเด็กได้เองตามวัตถุประสงค์ของ

3







การเรียนรู้ โดยใช้ควบคู่ไปกับการใช้สื่อทางกายภาพ มีครูหรือผู้ปกครองดูแล เพื่อให้เกิดประโยชน์
และส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก



การส่งเสริมการเรียนรู้ทางคณิตศาสตร์ทำให้เด็กมความคิดรวบยอด และเป็นการพัฒนา
ทักษะสำคัญในศตวรรษที่ 21 โดยวรรณกรรมทำให้เด็กเข้าใจเรื่องราว และเชื่อมโยงความเข้าใจทาง

คณิตศาสตร์ อย่างไรก็ตามสื่อดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในการเรียนรู้ตามแนวทางชีวิตวิถีใหม่ (New

Normal) ทําให้ผู้ศึกษาสนใจศึกษาเกี่ยวกับการจัดประสบการณ์โดยใช้วรรณกรรมเป็นฐานร่วมกับสื่อ
ดิจิทัลเพื่อส่งเสริมความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ด้านจำนวนและการดำเนินการของเด็กปฐมวัย ว่ามีผล

และสามารถพัฒนาทักษะทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยหรือไม่ เพื่อจะได้นำไปประยุกต์ใช้ในการ

จัดกิจกรรมการเรียนรู้ และพฒนาความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ด้านจำนวนและการดำเนินการของเด็ก

ปฐมวัยให้มีประสิทธิภาพ อีกทั้งช่วยให้ครูหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัยใช้เป็นแนวทางในการการ

พัฒนาทักษะทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยต่อไป




วัตถุประสงค์ของการศึกษา



เพื่อเปรียบเทียบความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ด้านจำนวนและการดำเนินการของเด็กปฐมวัย

ก่อนและหลังได้รับการใช้วรรณกรรมเป็นฐานร่วมกับสื่อดิจิทัล





ขอบเขตของการศึกษา



ในการศึกษาครั้งนี้ ผู้ศึกษาได้กำหนดขอบเขตการศกษาดังนี้

กลุ่มเป้าหมาย


เด็กชาย – หญิง อายุระหว่าง 5-6 ปี กำลังศึกษาอยู่ระดับชั้นอนุบาล 3 โรงเรียนชุมชนบึงบา
อำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 30 คน


ขอบเขตด้านตัวแปร ได้แก่


1. ตัวแปรต้น คือ วรรณกรรมเป็นฐานร่วมกับสื่อดิจิทัล

4







2. ตัวแปรตาม คือ ความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ด้านจำนวนและการดำเนินการของเด็ก
ปฐมวัย


ขอบเขตด้านระยะเวลา

การศึกษาครั้งนี้ทำการทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ทดลองจำนวน 24 ครั้ง


ครั้งละ 30 นาที การจัดการเรียนรู้ออนไลน์ในสถานการณการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรน่า 2019

ขอบเขตด้านเนื้อหา

การศึกษาครั้งนี้ได้กำหนดสาระที่ควรรู้ 4 สาระ ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย ดังนี้


1. เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเด็ก

2. เรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลและสถานที่แวดล้อมเด็ก
3. ธรรมชาติรอบตัว

4. สิ่งต่างๆ รอบตัวเด็ก

ผู้ศึกษาได้ศึกษาความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ด้านจำนวนและการดำเนินการของเด็กปฐมวัย

ดังนี้


1. การนับปากเปล่า หมายถึง นับปากเปล่าจาก 1-20 นับปากเปล่าถอยหลังจาก
10-1

2. การนับอย่างรู้ค่าจำนวน หมายถึง บอกจำนวนของสิ่งต่างๆ ไม่เกิน 20 โดยการ
นับ แสดงสิ่งต่างๆ ตามจำนวนที่กำหนดให้ตั้งแต่ 1-20

3. การเปรียบเทียบจำนวน หมายถึง เปรียบเทียบจำนวนของสิ่งต่างๆ สองกลุ่ม

โดยแต่ละกลุ่มมีจำนวนไม่เกิน 20 ว่ามีจำนวนเท่ากันหรือไม่เท่ากัน กลุ่มใดมี
จำนวนมากกว่าหรือน้อยกว่า

4. การเรียงลำดับ หมายถึง บอกอันดับที่ของสิ่งต่าง ๆ ไม่เกน 5 สิ่ง ระบุสิ่งที่อยู่ใน

อันดับที่กำหนดให้
5. การรวมกลุ่ม หมายถึง บอกจำนวนทั้งหมดที่เกิดจากการรวมสิ่งต่างๆ สองกลุ่มท ี่

มีผลรวมไม่เกิน 10 บอกจำนวนของสิ่งต่างๆ สองกลุ่มที่มีผลรวมไม่เกิน 10
6. การแยกกลุ่ม หมายถึง บอกจำนวนที่เหลือ เมื่อแยกกลุ่มย่อยออกจากกลุ่มใหญ่

ที่มีจำนวนไม่เกิน 10

5







นิยามศัพท์เฉพาะ


ั้
วรรณกรรม หมายถึง นิทานสำหรับเด็กทงร้อยแก้ว และร้อยกรอง ที่มีภาพประกอบ
สวยงาม โดยใช้ภาษาเหมาะสมกบวัยของเด็ก โครงเรื่องไม่ซับซ้อน เข้าใจง่าย และมีเนื้อหาส่งเสริม

ความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ด้านจำนวนและการดำเนินการของเด็กปฐมวัย

สื่อดิจิทัล หมายถึง ภาพ เสียง ข้อความและกราฟฟิกที่ผสมผสานให้มีเนื้อหาและกิจกรรมที่

ส่งเสริมความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ด้านจำนวนและการดำเนินการของเด็กปฐมวัย โดยการศึกษาครั้ง
นี้ แสดงผลผ่านทางเว็บไซต์ ประกอบด้วย Lifeworksheet และWordwall โดยอาศัยการเชื่อมต่อกับ

อินเทอร์เน็ต ที่เด็กสามารถทำกิจกรรมได้ด้วยตนเองผ่านสมาร์ทโฟน แทปเลต คอมพิวเตอร์


การจัดประสบการณ์โดยใช้วรรณกรรมเป็นฐานร่วมกับสื่อดิจิทัล หมายถึง การจัดกิจกรรม
โดยใช้นิทานสำหรับเด็กทั้งร้อยแก้ว ร้อยกรองที่เด็กได้ฟังและทำกิจกรรมด้วยตนเองจากสมาร์ทโฟน

แทปเลต คอมพิวเตอร์ ผ่านเว็บไซต์ Lifeworksheet และ Wordwall ที่มีภาพ เสียง ข้อความและ

กราฟฟิกเชื่อมโยงเนื้อหาหรือเหตุการณ์ในนิทาน เพอส่งเสริมความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ด้านจำนวน
ื่
และการดำเนินการของเด็กปฐมวัย โดยมีขั้นตอนดังนี้


1. ขั้นสร้างประสบการณ์จากวรรณกรรม เป็นขั้นที่เด็กได้ใช้ประสาทสัมผัสจากการ
สังเกต รายละเอียด สัมผัสนิทาน และฟังนิทานโดยที่ครูเริ่มจากการแนะนำชื่อเรื่อง ชื่อผู้แต่ง จากนั้น



ครูเล่านิทานให้เด็กฟงจนจบเรื่องโดยไมขาดตอน เพอให้เด็กเข้าใจเนื้อหา เห็นภาพประกอบชัดเจน
ื่
รวมทั้งน้ำเสียง สีหน้า ท่าทางของครูขณะเล่า
2. ขั้นทบทวนวรรณกรรมและเรียนรู้คณิตศาสตร์ เป็นขั้นที่ให้เด็กร่วมกันแสดงความ

คิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณที่เกดขึ้นจากการฟังนิทาน โดยครูใช้คำถามส่งเสริมความเข้าใจทาง


คณิตศาสตร์ด้านจำนวนและการดำเนินการของเด็กปฐมวัย เด็กได้ลงมือทำกับสื่อวัสดุของจริงตาม
วิธีการที่ส่งเสริมความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ด้านจำนวนและการดำเนินการของเด็กปฐมวัย ได้แก่ การ

นับ การรู้ค่าจำนวน การเปรียบเทียบจำนวน การเรียงลำดับ การรวมกลุ่มและการแยกกลุ่ม เกี่ยวกับ
ตัวละคร สิ่งของ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


3. ขั้นสร้างความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ผ่านวรรณกรรม เป็นขั้นเชื่อมโยงเนื้อหาหรือ

เหตุการณ์ในนิทานที่ส่งเสริมความเข้าใจทางคณตศาสตร์ด้านจำนวนและการดำเนินการของเด็ก

ปฐมวัย โดยเด็กได้ทำกิจกรรมด้วยตนเองจากสมาร์ทโฟน แทปเลต คอมพิวเตอร์ อาศัยการเชื่อมต่อ

กับอินเทอร์เน็ตผ่านสื่อดิจิทัล Lifeworksheet และ Wordwall

6







4. ขั้นสรุปความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ผ่านวรรณกรรม เป็นขั้นที่เด็กได้นำเสนอ
ผลงานที่เด็กทำจากสื่อดิจิทัล Lifeworksheet และ Wordwall ซึ่งเมื่อเสนอแล้วครูจะชมเชย และใช้

ื่
คำถามเพอช่วยสรุปเนื้อหานิทานที่เกี่ยวกับความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ด้านจำนวนและการ
ดำเนินการ เช่น จำนวนตัวละคร และลำดับเหตุการณ์ในนิทาน


ความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ด้านจำนวนและการดำเนินการของเด็กปฐมวัย หมายถึง

ความรู้และความสามารถของเด็กเกี่ยวกับการนับ ค่าของจำนวน การเปรียบเทียบจำนวน การ
เรียงลำดับ การรวมกลุ่มและการแยกกลุ่ม ประกอบด้วย


1. การนับปากเปล่า หมายถึง เด็กสามารถนับปากเปล่าได้ 1-20 และนับปากเปล่า
ถอยหลังได้ 10-1

2. การนับอย่างรู้ค่าจำนวน หมายถึง เด็กสามารถนับและบอกจำนวนสิ่งของที่นับไม่

เกิน 20 และสามารถแสดงสิ่งของตามจำนวนที่กำหนดให้ตั้งแต่ 1-20

3. การเปรียบเทียบจำนวน หมายถึง เด็กสามารถเปรียบเทียบจำนวนมากกว่า น้อย

กว่า ที่กำหนดให้ตั้งแต่ 1-20


4. การเรียงลำดับ หมายถึง เด็กสามารถเรียงลำดับของสิ่งต่าง ๆ ไม่เกิน 5 สิ่ง/
เหตุการณ์ได้อย่างต่อเนื่อง ระบุสิ่งที่อยู่ในลำดับที่กำหนด


5. การรวมกลุ่ม หมายถึง เด็กสามารถจัดกลุ่มสิ่งต่าง ๆ ที่สัมพันธ์กัน บอกจำนวน
ทั้งหมดที่เกิดจากการรวมสิ่งต่างๆสองกลุ่มที่มีผลรวมไม่เกิน 10


6. การแยกกลุ่ม หมายถึง เด็กสามารถบอกจำนวนที่เหลือ เมื่อแยกกลุ่มย่อยออก


จากกลุ่มใหญ่ที่มีจำนวนไม่เกน 10



ประโยชน์ที่ได้รับจากการศึกษา



ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการศึกษาครั้งนี้ คือ



1. เด็กปฐมวัยที่ได้รับการใช้วรรณกรรมเป็นฐานร่วมกบสื่อดิจิทัลเกิดความเข้าใจทางคณิตศาสตร์
ด้านจำนวนและการดำเนินการ

7







2. ครูปฐมวัย บุคลากร ผู้ทำงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอนในระดับปฐมวัยสามารถ
นำแนวทางการพัฒนาความเขาใจทางคณิตศาสตร์ด้านจำนวนและการดำเนินการของเด็กปฐมวัยโดย

ใช้วรรณกรรมเป็นฐานร่วมกับสื่อดิจิทัลไปประยุกต์ใช้ในการจัดกิจกรรมได้

บทที่ 2





การตรวจเอกสาร






การศึกษาเรื่อง การพัฒนาความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ด้านจำนวนและการดำเนินการของ

เด็กปฐมวัยโดยใช้วรรณกรรมเป็นฐานร่วมกับสื่อดิจิทัล ผู้ศึกษาได้ทำการศึกษาค้นคว้าเอกสาร ตำรา

เชิงวิชาการ หนังสือ บทความวิชาการ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องโดยศึกษาตามหัวข้อดังต่อไปนี้




เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดที่เกี่ยวกับวรรณกรรมเป็นฐานสำหรับเด็ก


ปฐมวย


- ความหมายของวรรณกรรม


- ความหมายของวรรณกรรมสําหรับเด็กปฐมวัย


- ประเภทของวรรณกรรม


- องค์ประกอบของวรรณกรรม

- การเลือกวรรณกรรมสำหรับเด็กปฐมวัย


- การจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้วรรณกรรมเป็นฐาน


- งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้วรรณกรรมสำหรับเด็กปฐมวัย





เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้สื่อดิจิทัลสำหรับเด็กปฐมวัย





- ความหมายของสื่อดิจิทัล

9







- แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการใช้สื่อดิจิทัลสำหรับเด็กปฐมวัย

- แนวทางการเลือกใช้สื่อดิจิทัลสำหรับเด็กปฐมวัย


- ความหมายของ Lifeworksheet


- ความหมายของ Wordwall


- งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้สื่อดิจิทัลสำหรับเด็กปฐมวัย





เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับคณิตศาตร์สำหรับเด็กปฐมวย




- ความหมายและความสำคัญของคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย


- สาระคณิตศาสตร์เกี่ยวกับจำนวนและการดำเนินการสําหรับเด็กปฐมวัย



- ทฤษฎีการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องกับคณิตศาสตร์


- การจัดประสบการณ์ทางคณตศาสตร์สําหรับเด็กปฐมวัย (จุดมุ่งหมาย กิจกรรม สื่อ
การประเมิน)


- บทบาทครูในการส่งเสริมความเข้าใจทางคณิตศาสตร์สําหรับเด็กปฐมวัย



- งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย

10







เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดที่เกี่ยวกับวรรณกรรมเป็นฐาน



ความหมายของวรรณกรรม



วรรณกรรม คือ งานเขียนสร้างสรรค์ของมนุษย์ ที่ใช้ภาษาเป็นสื่อในการถ่ายทอดอารมณ์
ความรู้สึกนึกคิด จินตนาการ ให้เป็นที่เข้าใจได้ มีนักการศึกษาให้ความหมายของคำว่าวรรณกรรม ไว้


ดังนี้

ชณัฐา สุโข (2555) กล่าวว่า วรรณกรรม หมายถึง งานเขียนทุกประเภท ที่เกิดจากความรูสึก

ประสบการณของผูเขียนขอมูล ที่นํามาเขียนเปนข้อเท็จจริงหรือเปนเรื่องที่สมมุติขึ้นและจินตนาการ

ของผูเขียน โดยไดมีการแบงวรรณกรรมออกเป็นหลายประเภท

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2556) ให้ความหมายของคำว่า วรรณกรรม ว่า

หมายถึง น. งานหนังสือ งานประพันธ์ บทประพันธ์ทุกชนิดทั้งที่เป็นร้อยแก้วและร้อยกรอง เช่น

วรรณกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ วรรณกรรมของเสถียรโกเศศ วรรณกรรมฝรั่งเศส


นาถนภา บริบูรณ์เกษตร (2562) กล่าวว่า วรรณกรรม งานเขียนเชิงสร้างสรรค์ของมนุษย์ที่

ใช้ภาษาเป็นสื่อในการถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึก ความนึกคิด จินตนาการของมนุษย์อย่างมีศิลปะ ให้

เข้าใจได้ เช่น นิทาน เรื่องสั้น นวนิยาย บทละคร

สรุปได้ว่า วรรณกรรม หมายถึง การถ่ายทอดและเรียบเรียงอารมณ์ ความรู้สึก จินตนาการ

ประสบการณ์ในรูปแบบการเขียน ทั้งแบบร้อยแก้ว ร้อยกรอง เพื่อสื่อสารเรื่องราวให้เข้าใจได้





ความหมายของวรรณกรรมสําหรับเด็กปฐมวัย



วรรณกรรมสำหรับเด็กเป็นอีกทางเลือกหนึ่งเพอใช้ในการส่งเสริมพัฒนาการของเด็กด้านต่าง
ื่
ๆ เนื่องจากรรรณกรรมมีรูปแบบการนำเสมอที่นำสนใจ เช่น ภาพประกอบ การดำเนินเรื่องราว อีกทั้ง

มีสาระความรู้ให้เลือกตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ หรือแม้แต่เทคนิคการนำเสนอที่ช่วยให้เด็กสนใจ


ื่
และมีความสุขกับโลกของวรรณกรรม วรรณกรรมสำหรับเด็กจึงเป็นหนังสือที่เขียนขึ้นเพอให้เด็กอาน
หรือฟังอย่างหมาะสมกับวัยของเด็ก มีรูปเล่มสวยงามสะดุดตา และสามารถเลือกอ่านได้ด้วยความ

11







สนุกสนานเพลิดเพลิน สอดคล้องกับ Hillman (1995) ที่กล่าวว่าวรรณกรรมสำหรับเด็ก หมายถึง
บทอ่านหรือสื่อที่สร้างขึ้นโดยมีเป้าหมายสำหรับกลุ่มผู้อ่านที่เป็นเด็กโดยมีความแตกต่างจากรู้ใหญ่

อย่างชัดเจน ด้วยวัตถุประสงค์ในการแต่ง โดยวรรณกรรมสำหรับเด็กจะมีจำนวนตัวละครโอย

ประโยคสั้น และความนับซ้อนทางโครงเรื่องน้อยกว่าวรรณกรรมสำหรับผู้ใหญ่รวมถึงมีเนื้อหา และ

แก่นเรื่องที่แดกต่างกัน นอกจากนี้ บังอร ศรีกาล (2553) ที่กล่าวว่า วรรณกรรมเป็นงานเขียนใน


รูปแบบของภาษาดามจินตนาการของชีวิต และความคิดที่มีแบบแผน ที่มีคณค่าทางปัญญา และได้รับ
ความสนใจเป็นพิเศษ ซึ่งประกอบด้วย หนังสือ บทกวี บทความหรือเอกสารอื่น ๆ


ธันยา พิทธยาพิทักษ์ (2553) กล่าวว่า วรรณกรรมสำหรับเด็ก หมายถึง สื่อที่สร้างขึ้นเพอมุ่ง
ื่
หมายให้เด็กอ่าน โดยมีวัตถุประสงค์ และองค์ประกอบของวรรณกรรมที่แตกต่างจากวรรณกรรม

สำหรับผู้ใหญ่


ดารารัตน์ ทัพโต (2554) และ Tomlinson and Lynch-Brown (1996) ให้ความหมายเป็น

แนวทางเดียวกัน สรุปได้ว่า เป็นหนังสือที่จัดทำเพอมุ่งให้เด็กได้อ่าน ฟังหรือดูเพอให้ได้รับความ
ื่
ื่
สนุกสนาน หรือได้รับความรู้ต่างๆ มีเนื้อหาที่ตรงกับความสนใจของเด็ก ขนาดตัวหนังสือและรูปเล่ม
จะต้องมีความเหมาะสมกบวัย มีการประพนธ์ทั้งแบบร้อยแก้วและร้อยกรอง หรือเป็นทั้งประเภท


บันเทิงคดีและสารคดีและมีเนื้อหาสอดคล้องกับคณธรรมจริยธรรม


เนตรชนก รักกาญจนันท์ (2558) กล่าวว่า วรรณกรรมสำหรับเด็ก หมายถึง หนังสือหรือสื่อ

ที่สร้างขึ้นสำหรับเด็ก ที่มีเนื้อหาตรงกับความสนใจของเด็กแต่ละวัย มีจำนวนตัวละครน้อย ประโยค

สั้น โครงเรื่องไม่ซับซ้อน มีขนาดตัวหนังสือ และรูปเล่มเหมาะสม และมุ่งให้เด็กได้รับความสนุกสนาน
หรือความรู้ เสริมสร้างทักษะ โดยใช้ภาษาง่าย สื่อความหมายชัดเจน


Bromley (1992) กล่าวว่าวรรณกรรมสำหรับเด็ก หมายถึง สื่อสิ่งพิมพ์ที่จัดทำขึ้นสำหรับเด็ก

และบางครั้งสำหรับผู้ใหญ่ ซึ่งอยู่ในรูปของวารสาร หนังสือการ์ตูน บันทึก แผ่นฟิล์ม ละคร ภาพยนตร์

รายการ โทรทัศน์


สรุปได้ว่า วรรณกรรมสําหรับเด็ก หมายถึง นิทานสำหรับเด็กทั้งร้อยแก้ว และร้อยกรอง ที่มี

ภาพสีสันสดใส เร้าความสนใจ ให้ความสนุกสนานเพลิดเพลิน มีเนื้อหาสาระสั้นกระชับเหมาะสมกับ
วัยและพัฒนาการของเด็ก โครงเรื่องไม่ซับซ้อน เข้าใจง่าย และสอดแทรกเนื้อหาส่งเสริมความเข้าใจ

ทางคณิตศาสตร์ด้านจำนวนและการดำเนินการของเด็กปฐมวัยในวรรณกรรม

12







ประเภทของวรรณกรรม



มีนักวิชาการได้จำแนกประเภทของวรรณกรรมไว้อย่างหลากหลายดังนี้


Ruddle and Ruddle (1995) ได้แบ่งวรรณกรรมออกเป็น 3 ประเภท คือ


1. บันเทิงคดี เป็นหนังสือที่ให้ความเพลิดเพลิน จรรโลงใจแก่ผู้อ่าน จรรณกรรม

ประเภทนี้ ได้แก่ เทพปกรณัม เทพนิชาย นิทานพื้นบ้าน นิทานอุทาหรณ์

2. สารคดี เป็นหนังสือที่ให้ความรู้ทางวิชาการ วรรณกรรม ประเกทนี้ ได้แก่

ชีวประวัติ/อัตชีวประวัติ เรื่องวิชาการ


3. บทร้อยกรอง เป็นเรื่องที่มรูปแบบการประพันธ์เปีนบทร้อยกรอง วรรณกรรม

ประเภทนี้ ได้แก่ คำคล้องจอง คำประพันธ์


Jalongo (1992) จำแนกหนังสือวรรณกรรมสำหรับเด็กออกเป็นประเภทต่าง ๆ ตามลักษณะ

ของแต่ละประเภท ดังนี้

1. หนังสือภาพแบบดั้งเดิม (Picture Books in the Tradional Style) หนังสือ

ประเภทนี้คุณครูมักจะนำมาเล่าให้นักเรียนที่เริ่มเรียนใหม่ฟังโดยการนำนิทานไปบูรณาการกับ

หลักสูตรนิทาน ได้แก่


1.1 หนังสือกล่อมเด็ก (Nursery Rhymes)


1.2 นิทานชาวบ้าน (Folk Tales)


1.3 เทพนิยาย (Fairy Tales)

2. หนังสือประเภทอื่นๆ (Others Types of Picture Books) ได้แก ่


2.1 หนังสือสำหรับเด็กทารกและวัยเตาะแตะ (Books for Infants and

Toddler) เด็กวัยนี้จะได้สัมผัสหนังสือนิทานเป็นครั้งแรก เป็นหนังสือที่มีตัวหนังสือน้อย ซึ่งจะเป็นคำ

ที่อธิบายภาพหรือบอกเกี่ยวกับภาพ โครงเรื่องมีเพียงเหตุการณ์เดียวซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับ

ชีวิตประจำวันของเด็ก เช่น การใส่เสื้อผ้า การอาบน้ำ เป็นต้น หนังสือจะต้องมีความแข็งแรงทันทาน
เป็นพิเศษ ทำจากกระดาษหนา ซึ่งเด็กสามารถหยิบจับได้ง่าย

13







2.2 หนังสือที่เด็กสามารถจัดกระทำได้ (Particpation Books) หนังสือ
ประเภทนี้ทำให้เด็กได้มีปฏิสัมพันธ์กับหนังสือ


2.3 หนังสือเพอสอนความคิดรวบยอด (Concept Books) หนังสือ
ื่


ประเภทนี้ให้แนวคิดพื้นฐานแก่ผู้อ่าน เช่น สี ตัวเลข ตัวหนังสือ สิ่งที่ตรงขามกน เป็นต้น
ื่
2.4 หนังสือเพอให้ข้อมูล (information Books) จะเป็นหนังสือประเภท
สารคดีที่อธิบายเกี่ยวกับโลก และการดำรงชีวิต


2.5 หนังสือประกอบภาพ (Picture Story Books) หนังสือประเภทนี้

จะต้องผูกติดกบตัวหนังสือ เพราะทำให้ผู้อ่านข้าใจเนื้อเรื่องได้อย่างชัดเจน ส่วนภาพประกอบเป็นสิ่ง
ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อเรื่องได้มากขึ้นเท่านั้น


2.6 หนังสือนิทานที่มีภาพประกอบ (Illustrated Story Books) เป็น

หนังสือที่เน้นเกี่ยวกับคำบรรยาย ซึ่งมีประโยคที่ยาว แต่ผู้อ่านไม่เข้าใจถึงเนื้อเรื่องถ้าไม่มี

ภาพประกอบ และจะมีภาพประกอบน้อย และอยู่ระยะห่างกับ ซึ่งหนังสือประเภทนี้จะเหมาะกับการ

อ่านให้เด็กโตฟัง

3. หนังสือสำหรับส่งเสริมการอ่านโดยเฉพาะ (Books Especially for Emergent

Readers)เป็นหนังสือที่ส่งเสริมให้ผู้อ่านหรือเด็กที่เริ่มอ่านหนังสือ หนังสือประเภทนี้ ได้แก่


ื้
3.1 หนังสือที่เออต่อการคาดเคาของเด็ก (Predictable Books) เป็น
หนังสือที่สนับสนุนให้เด็กคาดเคาเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อไป ซึ่งกระตุ้นให้เด็กได้มีส่วนร่วม และได้สร้าง

ความมั่นใจให้กับผู้อื่นซึ่งเป็นเด็กด้วย หนังสือประเภทนี้มีกลวิธีในการเล่าเรื่องโดยการใช้คำซ้ำ ๆ
ี่
กล่าวถึงเหตุการณ์ทคล้ายๆ กัน และจังหวะหรือคำคล้องจอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกให้
ผู้อ่านคาดเดาไว้ว่าเหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้นต่อไป


3.2 หนังสือเล่มใหญ่ (Big Books) เป็นหนังสือสำหรับเด็กที่มีขนาดใหญ่

กว่าปกติ ซึ่งใช้ในการอ่านให้เด็กฟังเป็นกลุ่มเพื่อให้เด็กได้เห็นทั้งภาพ และคำบรรยาย หนังสือประเภท


นี้หลายเรื่องที่ส่งเสริมให้คาดเดาเหตุการณ์ ซึ่งเป็นการฝึกทกษะการอ่านด้วย
3.3 หนังสือหัดอ่าน (Easy Readers) หนังสือประเภทนี้จะควบคุม

ปริมาณคำศัพท์เพื่อส่งเสริมให้สู้อ่านเกิดความมั่นใจในการอาน โดยหนังสือบางส่วนเป็นงานร่วมสมัยที่



สร้างสรรค์และให้ความบันเทิง อีกทั้งยังเหมาะสำหรับการอานในจุดมุ่งหมายอื่น ๆ อกด้วย

14








3.4 หนังสือที่ไร้คำ (Wordless Book) เป็นหนังสือที่ไม่มตัวหนังสือหรือมี
ตัวหนังสือน้อย ดังนั้นความเข้าใจในเนื้อเรื่องจึงขึ้นอยู่กับภาพประกอบเป็นสำคัญ หนังสือประเภทนี้

เป็นประโยชน์กับผู้ที่เริ่มหัดอ่าน เนื่องจากมีการจัดคำดับภาพที่เด็กสามารถเล่า บอก และเขียนเรื่องได้

ด้วยตนเอง


4. หนังสือกลอน และเพลง (Poetry and Lyrics) เป็นประเภทของหนังสือที่เน้น

คุณภาพของภาษา จังหวะ กลอน ท่วงทำนอง หนังสือประเภทนี้ ได้แก ่

4.1 หนังสือนิทานที่เล่าเรื่องเป็นบทกลอน และบทร้อยกรอง (Poetry

and Lyrics)


4.2 หนังสือเพลงประกอบภพ Song Picture Bo0k: เป็นหนังสือที่เล่า

เรื่องโดยการใช้เพลง ซึ่งเป็นหนังสือที่เด็กสามารถอ่านได้ และ ได้รับความสนุกสนาบ


4.3 หนังสือรวมบทเพลงหรือบทกลอน (Poetry and Song

Collections) จากประเภทของวรรณกรรมสำหรับเด็กสรุปได้ว่า วรรณกรรมสำหรับเด็กสามารถ

จำแนกออกได้หลายประเภท เช่น หนังสือประกอบภาพ หนังสือเล่มใหญ่ หนังสือหัดอ่าน หนังสือ
กลอนและเพลง เป็นต้น ขึ้นอยู่กับลักยณะ ของเนื้อหา วัตถุประสงค์และลักษณะการประพันธ์ เช่น วัย

ของเด็ก รูปแบบของวรรณกรรม เป็นต้น


สรุปได้ว่า วรรณกรรมสำหรับเด็กมีทั้งร้อยแก้ว ร้อยกรอง การนำวรรณกรรมมาใช้กับเด็ก

ปฐมวัยต้องเลือกวรรณกรรมที่มีเหมาะสมกับวัย มีเนื้อหาสอดคล้อง ตรงตามจุดประสงค์ เป้าหมายที่

ต้องการพัฒนาเด็ก มีโครงเรื่องไม่ซับซ้อน ภาพประกอบสวยงาม และใช้ภาษาเหมาะสมกับเด็ก




องค์ประกอบของวรรณกรรม




องค์ประกอบของวรรณกรรมเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญของการจัดประสบการณ์โดยใช้

วรรณกรรมเป็นฐาน มีนักการศึกมาให้แนวคิดในการเลือกองค์ประกอบของวรรณกรรม ดังนี้


ธันยา พิทธยาพิทักษ์ (2553) กล่าวว่า เนื้อหาสาระสำคัญในการเรียนรู้จากวรรณกรรม
สำหรับเด็กระดับอนุบาล ซึ่งเป็นพื้นฐานในการเข้าใจวรรณกรรมมี 3 องค์ประกอบคือ การรู้จักตัว

ละคร การรู้จักฉาก และการรู้จักโครงเรื่อง

15







Hillman (1995) ได้แบ่งองค์ประกอบของวรรณกรรมไว้ดังนี้

1. แก่นเรื่อง เป็นแก่นความคิดที่ผู้เขียนต้องการสื่อแก่ผู้อ่าน บางครั้งเป็นความคิดท ี่


ชัดแจ้ง แต่บางครั้งเป็นแก่นความคิดที่แฝงอยู่ ไม่ได้บอกผู้อานโดยตรง

2. โครงเรื่อง เป็นเค้าโครงการดำเนินเรื่อง บรรยายเหตุการณ์ในเรื่อง ได้แก่


2.1 เรื่องที่มีเหตุการณ์เดียว


2.2 เรื่องที่มีเหตุการณ์ซ้ำกัน


2.3 เรื่องที่โครงเรื่องมีหลายตอน และจบเป็นตอนๆมีตัวละครชุดเดียวกัน

3. ตัวละคร คือ ผู้ที่ทำให้เรื่องราวคำเนินไปตั้งแต่ต้นจนจบ อาจเป็นคน สัตว์ หรือ

สิ่งของตามลักษณะของเรื่อง ในวรรณกรรมแต่ละเรื่องมักประกอบด้วยตัวละคร 2 ประเภท คือ


3.1 ตัวเอกของเรื่อง เป็นตัวหลักในการดำเนินเรื่อง


ึ้
3.2 ตัวประกอบ เปีนตัวประกอบที่ช่วยให้เรื่องราวสมบูรณ์ขน

4. ฉาก ประกอบด้วยสถานที่ และช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณนั้น บางครั้งระบุไว้ใน


เรื่อง แต่บางครั้งกให้ผู้อ่านสังเกตเอง

5. รูปแบบการนำเสนอเรื่อง เป็นรูปแบบการนำเสนอเรื่องราวที่มีลักษณะเป็น

เอกลักษณเฉพาะตัวของผู้ประพนธ์แต่ละคน


6. มุมมองของเรื่อง เป็นลักษณะที่นำเสนอในแง่มุมต่าง ๆ ผู้แต่งเล่าเรื่อง ตัวละคร

เล่าเรื่อง เล่าเรื่องอดีตกาล เป็นต้น


7.รูปเล่ม เป็นลักษณะทางกายภาพของหนังสือ ได้แก่ ปก ภาพประกอบ ขนาดเล่ม
เป็นต้น


Coenett (2003) กล่าวว่า วรรณกรรมประกอบด้วยองค์ประกอบดังต่อไปนี้



1. แก่นเรื่อง หมายถึง ความจริงและขอความที่เป็นสากล ในวรรณกรรมมีคำถาม
หลักซึ่งช่วยให้เข้าใจแก่นเรื่องคือ เรื่องราวหรือบทกวีนี้เกี่ยวกับอะไรจริง ๆ โดยมองเหนือไปจากหัวข้อ

ไปสู่เนื้อความที่เป็นสิ่งที่แท้งริง แก่นเรื่องมี 2 ประเกท คือ


1.1 แกนเรื่องหลัก หมายถึง ข้อความที่บอกโดยตรง


16







1.2 แก่นเรื่องรอง หมายถึง ข้อความที่บอกเนื้อความที่แท้จริงทางออม

2. โครงเรื่อง หมายถึง ลำดับของเหตุการณในเรื่องที่ขัดให้ดำเนินโดยมีปัญหาหรือข้อ

ขัดแย้ง มีคำถามหลักซึ่งช่วยให้เข้าใจโครงเรื่อง คือเกิดอะไรขึ้นในเรื่อง


3. ตัวละคร คน สัตว์หรือสิ่งของที่รับบทบาท มีคำถามหลักซึ่งช่วยให้เข้าใจตัวละคร

ในเรื่อง คือ เรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร ใครมีปัญหา ใครเปลี่ยนมากที่สุด


ึ่
4. ฉาก เวลา และสถานที่ มีคำถามหลักซงช่วยให้เข้าใจฉากของเรื่องคือ เมื่อไรและท ี่
ใดที่เกิดเรื่องราวขึ้น

5. มุมมอง เมื่อเรื่องเขียนขึ้น มีคำถามหลักซึ่งช่วยให้เข้าใจมุมมองของเรื่องคือ ใคร

เป็นผู้เล่าเรื่อง เล่าอย่างไร


ื่
6. องค์ประกอบหรือฉันทลักษณ์ในบทกวี หมายถึง การใช้คำอย่างสร้างสรรค์เพอผล

ทางศิลปะ มีคำถามหลักซึ่งช่วยให้เข้าใจองค์ประกอบหรือฉันทลักษณในบทกวีคือ คำที่ใช้ในเรื่องมี
แนวทางทพิเศษอย่างไร
ี่

สรุปได้ว่า วรรณกรรมสำหรับเด็กปฐมวัยมี 3 องค์ประกอบคือ การรู้จักตัวละคร เช่น คน
สัตว์ หรือสิ่งของตามลักษณะของเรื่อง ซึ่งเป็นผู้ดำเนินเรื่องราวของวรรณกรรม การรู้จักฉาก

ประกอบด้วยสถานที่ และช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ในวรรณกรรม และการรู้จักโครงเรื่อง หมายถึง

ลำดับของเหตุการณ์ในวรรณกรรม โดยสามารถใช้คำถามให้เด็กเกิดความเข้าใจวรณกรรมได้ง่ายมาก

ขึ้น โดยการตั้งคำถามในลักษณะ ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เมื่อไหร่ เพอส่งเสริมให้เด็กเกิดการ
ื่
เรียนรู้จากวรรณกรรมเพิ่มมากขึ้น




การเลือกวรรณกรรมสำหรับเด็กปฐมวัย




มีนักการศึกษาให้แนวคิดในการเลือกวรรณกรรม ดังนี้


บังอร ศรีกาล (2553) การเลือกวรรณกรรมที่ใช้เป็นฐานในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
ควรเลือกให้เหมาะสมกับผู้เรียน โดยคำนึงถึงระดับอายุ เพศ ความสนใจ ดังนั้นวรรณกรรมที่เลือกจึง

ควรมีความหลากหลาย เพื่อให้สามารถตอบสนองลักษณะความแตกต่างของผู้เรียน ได้อย่าง

17







ครอบคลุม อย่างไรก็ตาม หากนักเรียนมีความตั้งใจ และความรักที่อานแล้ว ความยากง่ายของเรื่องก็

ไม่ได้เป็นอุปสรรคแต่อย่างไร


ดารารัตน์ ทัพโต (2554) กล่าวว่า เกณฑ์ในการเลือกวรรณกรรมสำหรับเด็กปฐมวัยต้อง

คำนึงถึงพัฒนาการของเด็กเป็นสำคัญ ซึ่งวรรณกรรมเด็กแตกต่างจากวรรณกรรมของผู้ใหญ่ ทั้งรูปเล่ม

และเนื้อหาสั้นกะทัดรัด มีความหมายชัดเจน และ ใช้คำคล้องจอง เพื่อให้เด็กจดจำได้ง่าย


Eliason and Jenkins (1990) กล่าวว่า ควรมีการเลือกวรรณกรรมตามเกณฑ์ เนื่องจากเรื่อง
ที่พิมพ์จำหน่ายทุกเรื่องไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบของนักเรียนเสมอไป ในการเลือกควรมีหลักในการพิจารณา

ดังนี้


1. เด็กอายุ 3 - 4 ปี ควรหลีกเลี่ยงเรื่องที่น่ากลัว เรื่องจินตนิยายบางเรื่องต้องเลี่ยง จนกว่า

เด็กจะแยกแยะระหว่างความจริงกับจินตนาการได้ เรื่องควรสั้น ถ้าเรื่องมาจากหนังสือควรมี

ตัวหนังสือน้อย ง่าย โครงเรื่องเป็นแนวเดียว (Linear Plot) มีข้อความซ้ำ ๆ ควรเป็นเรื่องจริง เด็ก

ชอบเรื่องเกี่ยวกับสัตว์ เด็ก และผู้คนอื่น ๆ เด็กอายุ 5-6 ปี เรื่องสามารถช้ำซ้อนขึ้น เด็กแยกแยะความ
จริงออกจากจินตนาการได้แล้ว เด็กชอบเรื่องผจญภัย และเรื่องที่ดูเหมือนสาระ และเรื่องที่จบด้วย


ความฉงนหรือหักมม เด็กอายุ 7-8 ปี มักชอบเรื่องตำนาน นิทานพื้นบ้าน เรื่องเกี่ยวกับสัตว์เรื่อง
วิทยาศาสตร์ เรื่องเกี่ยวกับงานอดิเรก และเรื่องที่น่าสนใจอน ๆ เรื่องผจญภัย เด็กสามารถมีความ
ื่

ี่
สนใจเรื่องทยาวๆได้ และสามารถฟังการอานโดยไม่ต้องดูรูปภาพใด้ อย่างไรก็ตามเด็กชอบการเล่า
เรื่อง (Story Telling) มากกว่าการอ่าน


2. ควรเลือกให้เหมาะสมกับระดับอายุ ความสนใจ ระดับความสนใจ

3. หนังสือนิทานหรือเรื่องราวต่าง ๆ สำหรับเด็กเล็ก ควรประกอบด้วยภาพที่สวยงามชัดเจน

(อย่างไรก็ตามครูก็สามารถเล่าเรื่อง โดยไม่ต้องมีรูปภาพซึ่งก็ยังคงเป็นวิธีการมีประสิทธิภาพ)


4. ควรเลือกให้วรรณกรรมที่นำมาสอนมีความหลากหลาย และสมดุลทั้งในด้านวัฒนธรรม


เพศ และจริยธรรมของนักเรียน


5. หนังสือที่เด็กชื่นชอบเป็นพเศษได้รับการอ่าน อ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่เสมอ (Wotter, 1992)


ดังนั้นหนังสือเรื่องนั้น ๆ จึงควรมีจำนวนเพียงพอให้เลือกเพื่อให้ได้อ่านหมุนเวียนไป แต่ไม่
ควรจำนวนมากนักในแต่ละเรื่อง โครงเรื่องที่เลือกควรมีคุณค่า และมีประโยชน์ ควรค่าแก่การเป็นที่

ประทับไว้ในความทรงจำของเด็ก

18







Fisher and Terry (1990) กล่าวว่า การเลือกหนังสือที่ใช้อ่านในขั้นตอนแรกควรเลือกเรื่อง
บทกลอน วัสดุข่าวสารที่น่าสน ใจ นักเรียนสามารถเข้าใจได้ง่าย พยายามเลือกเรื่องที่นักเรียนไม่เคย

อ่านในช่วงกิจกรรมอ่านอิสระ เด็กเล็กต้องการฟังเรื่องที่มีขอความซ้ำ ๆการอ่านต้องอ่านหลายๆ

ประเภท เพราะเด็กชอบเรื่องต่าง ๆ ไม่เหมือนกัน


Ruddle and Ruddle (1995) ได้อธิบายว่าในการเลือกวรรณกรรมทใช้เป็นหลักในการจัด
ี่
กิจกรรมการเรียนการสอน ควรคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้

1. ประเภทหลักของงานเขียน ได้แก่ สารคดี (ชีวประวัติ อัตชีวประวัติ) บันเทิงคดี และบท

ร้อยกรอง


2. การคำนึงถึงงานเขียนในยุคเก่า ในการเลือกบางครั้งงานเขียนในยุคเก่า เช่น นิทานพื้นบ้าน

นิทานสอนใจยังคงเป็นที่ชื่นชอบของนักเรียนอยู่


3. ความหลากหลายในเรื่องของวัฒนธรรม/จริยธรรม


4. ความเหมาะสมสำหรับทั้งนักเรียนหญิง และนักเรียนชาย


5. ความเหมาะสมกับระดับชั้นเรียน และความสนใจในการอ่านของนักเรียน

สรุปได้ว่า การเลือกวรรณกรรมสำหรับเด็กปฐมวัยต้องคำนึงถึงวัย พัฒนาการ และความ

สนใจของเด็กเป็นสำคัญ เพราะจะช่วยให้เด็กเกิดความสนใจในวรรณกรรมมากยิ่งขึ้น วรรณกรรมที่

นำมาใช้กับเด็กควรมีเนื้อหาที่สั้นกระชับ มีคำคล้องจอง มีรูปภาพสีสันสดใสเพื่อดึงดูดความสนใจของ

เด็ก เมื่อนำวรรณกรรมมาใช้ประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้หรือนำมาจัดมุมเสริมประสบการณ์


ควรมีความหลากหลาย และสมดุลทั้งด้านวัฒนธรรม เพศ จริยธรรม รวมทั้งมีจำนวนที่เพยงพอสำหรับ
เด็ก





การจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้วรรณกรรมเป็นฐาน




วรรณกรรมถือเป็นศาสตร์ และศิลป์ที่ให้ทั้งความบันเทิงทางวรรณกรรม และนำเสนอรูปแบบ
พฤติกรรมที่สังคมพึงประสงค์ต่อชีวิตเด็กๆ เป็นกลยุทธ์ที่ดีในการสั่งสอน และบ่มเพาะชีวิตด้วย

เรื่องราวประสบการณ์ ความคิด นิยม ตลอดจนข้อปฏิบัติไปสู่เด็กได้อย่างแยบยลผ่านวรรณกรรมที่มี

19







ความสนุกสนานเต็มไปด้วยจินตนาการที่กว้างไกล อีกทั้งช่วยให้เด็กมีความรู้ความเข้าใจ ในการใช้
ภาษารักการอ่าน ส่งเสริมพัฒนาการในทุกๆ ด้าน ทำให้เด็กเกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลิน มี

ความคิดสร้างสรรค์ และจินตนาการ เกิดความข้าใจในเรื่องของคุณธรม จริยธรรม ตลอดจนการอยู่


ร่วมกันในสังคม วรรณกรรมสำหรับเด็กจึงมคุณค่าต่อพัฒนาการของเด็กปฐมวัยเป็นอันมาก สามารถ

ส่งเสริมเด็กให้เกิดทกษะในการใช้ภาษา สติปัญญา บุคลิกภาพ และสังคม (ยินดี รามทอง, 2550)

สนัดดา ด่านศิริวิโรจน์ (2547) ได้กล่าวถึงการใช้วรรณกรรมเป็นสื่อในการจัดประสบการณ์

โดยใช้การวิพากษ์วรรณกรรมสำหรับเด็กเป็นหลักในการจัดกิจกรรม โดยมีขั้นตอนดังนี้

1. กิจกรรมฟังครูอานวรรณกรรม เป็นกิจกรรมที่นำวรรณกรรมสำหรับเด็กมาอ่านให้เด็กฟัง

ในกลุ่มใหญ่ โดยกิจกรรมนี้แบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอนย่อยๆดังนี้


1.1 การแนะนำวรรณกรรมในส่วนของรูปเล่ม ชื่อเรื่อง และผู้แต่ง


1.2 การอ่านวรรณกรรมให้เด็กฟัง


2. กิจกรรมอภิปรายเกี่ยวกับวรรณกรรมร่วมกัน เป็นกิจกรรมอภิปรายพูดคุยในกลุ่มใหญ่ที่
เกี่ยวเนื่องกับวรรณกรรมที่เด็กได้ฟัง เพื่อให้เด็กได้ทบทวนเรื่องราวในวรรณกรรม ได้เข้าใจประเด็น

ต่างๆ โดยแยกแยะ ตรวจสอบ และตัดสินคุณภาพขององค์ประกอบทางวรรณกรรม ได้แก่ ตัวละคร

ฉาก และโครงเรื่อง โดยการใช้คำถามของครูซึ่งกระตุ้นให้เด็กได้เกิดการคิด


3. กิจกรรมขยายความเข้าใจในองค์ประกอบของวรรณกรรมเป็นกิจกรรมที่สะท้อน และ

ขยายความเข้าใจในองค์ประกอบของวรรณกรรม เช่น กิจกรรมการวาดภาพ และปะติด


4. กิจกรรมสรุป เป็นกิจกรรมที่ให้เด็กได้นำเสนอผลงานของตนเอง ซึ่งเมื่อเสนอแล้วครูจะ
ื่
ชมเชย และถามคำถามนำเพอช่วยสรุปความทางวรรณกรรมที่เด็กได้รับรวมถงการสรุปสิ่งที่เด็กคิด

เช่น เด็กสามารถบอกลักษณะรูปร่าง หน้าตาของตัวละครได้อย่างไร


บังอร ศรีกาล (2553) กล่าวถึงการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยใช้วรรณกรรมเป็นฐาน

มีหลักการที่ให้วรรณกรรมเป็นแม่แบบทางภาษาแก่นักเรียน ควรมีความหลากหลายเพื่อให้นักเรียนได้

ใช้ทักษะต่าง ๆ ทั้งการฟัง การพูด การอ่าน การเขียน และการคิด กิจกรรมมีลักษณะบูรณาการ
เนื้อหาวิชาต่างๆ การทำกิจกรรมที่สะทอนเรื่องราวจากวรรณกรรมช่วยให้นักเรียน ได้คิดทบทวน

เรื่องราว และสร้างสรรค์งานเขียนของตนเองได้ และการอ่านอิสระเป็นรายบุคคลเป็นประจำช่วย

เสริมสร้างลักษณะนิสัยรักการอ่านให้แก่นักเรียน ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้

20







วรรณกรรมเป็นฐาน มีขั้นตอนดังนี้ 1) เล่านิทานอ่านให้ฟัง 2) อ่านซ้ำพูดต่อเติมข้อความที่หายไป 3)
เล่าเองย้ำทวน 4) แต่งเรื่องเขียนภาพจากวรรณกรรม และ 5) แสดงบทบาทสมมติ


เนตรชนก รักกาญจนันท์ (2558) กล่าวถึงการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้วรรณกรรม

เป็นฐาน ครูผู้สอนควรออกแบบกิจกรรมให้เหมาะสมกับวัยและพัฒนาการของเด็ก โดยมีขั้นตอนดังนี้


1. ขั้นครูเล่าวรรณกรรม โดยขั้นนี้ครูเริ่มโดยการแนะนำหนังสือ ชื่อเรื่อง ผู้แต่ง จากนั้นครูเล่า

วรรณกรรมให้เด็กฟังจนจบเรื่องโดยไม่ขาดตอน และให้เด็กเห็นภาพประกอบชั้นเจน


2. ขั้นเด็กเล่าและต่อเติม เป็นขั้นให้เด็กร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับวรรณกรรม ได้แก่
เนื้อเรื่อง ตัวละคร พฤติกรรม ลักษณะนิสัย ผลของพฤติกรรม และนำมาสร้างหนังสือเล่มใหญ่ (Big

Books)


3. ขั้นแสดงบทบาทสมมติ เป็นขั้นที่เด็กนำเนื้อหาหรือเหตุการณ์ในวรรณกรรมมาแสดง

บทบาทสมมติพฤติกรรมที่ดีที่ควรนำมาเป็นแบบอย่าง


4. ขั้นสรุปและประเมินผล เป็นขั้นที่เด็กและครูร่วมกันสรุปพฤติกรรมที่ดีในวรรณกรรมและ
ประเมินผลทักษะทางสังคมของเด็ก


Whitehead (1968) ได้แบ่งการจัดประสบการณ์การตีความวรรณกรรมในลักษณะการอ่าน

วรรณกรรมให้เด็กฟังออกเป็น 2 ขั้นตอนคือ 1) ขั้นการอ่านวรรณกรรมให้เด็กฟังเป็นการอ่าน


วรรณกรรมซึ่งเป็นลักษณะหนังสือภาพ ในขณะอานครูให้เด็กได้เห็นหนังสือที่ครูอ่านไปด้วย และใน
ขั้นตอนที่ 2 ) กิจกรรมจากเรื่องที่ฟัง เป็นกิจกรรมต่างๆ ที่ให้เด็กทำหลังจากที่ครูอ่านวรรณกรรมให้

เด็กฟังแล้ว โดยวัตถุประสงค์ที่จะให้เด็กเกิดความซาบซึ้ง และเกิดความเข้าใจในเค้าโครงเรื่อง แก่น
เรื่อง และตัวละกร ซึ่งกิจกรรมจะประกอบด้วย การอภิปรายองค์ประกอบของวรรณกรรม การแสดง

ละคร การพาเด็กไปห้องสมุดเพื่อนำหนังสือเรื่องราวที่ใกล้เคียงกับวรรณกรรมที่ฟังหรือมีผู้แต่งคน

เดียวกัน


Tomlinson and Lynch-Brown (1996) ได้กล่าวถึง การจัดประสบการณ์ โดยใช้


วรรณกรรม แบ่งออกเปีน 2 ขั้นตอนคอ 1) ขั้นมีประสบการณ์กับวรรณกรรมเป็นขั้นที่เปิด โอกาสให้
เด็กได้สนุกสนาน ตื่นเต้น และเกิดความห้าทายในการคิดจากวรรณกรรมที่เด็กได้สัมผัส ซึ่งจะอยู่ใน

รูปแบบการอ่านให้เด็กฟัง โดยขั้นนี้จะเริ่มต้นด้วยการแนะนำหนังสือ ชื่อเรื่อง ผู้แต่ง จากนั้นครูอาน
เรื่องให้เด็กฟัง ซึ่งต้องคำนึงถึงการให้เด็กเห็นภาพในหนังสือได้อย่างชัดเจน น้ำเสียง สีหน้า และ

21







ท่าทางของครูในขณะอ่าน และควรอ่านตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องโดยไม่ขาดตอน และ 2) ขั้นตอบสนองต่อ
วรรณกรรม หลังจากเด็กได้ฟงเรื่องแล้วครูควรเปิดโอกาสให้เด็กได้มีการตอบสนอง และแสดง

ความรู้สึกที่ดีต่อวรรณกรรมที่เด็กได้ฟังผ่านกิจกรรมต่างๆได้แก่ การตอบปากเปล่า การอภิปราย การ

ใช้คำถามของครู การเขียนละคร การให้เด็กเล่าเรื่องใหม่ ศิลปะงานฝีมือการทำหนังสือเล่มเล็ก และ

เล่มใหญ่ของเด็ก การทำแผนที่ เส้นเวลา และแผนภาพ



นักการศึกษาหลายท่านเสนอการจัดประสบการณการเรียนรู้โดยใช้วรรณกรรมเป็นฐาน
สามารถสรุปการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ได้ดังนี้



ตารางที่ 1 แสดงการสรุปการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้วรรณกรรมเป็นฐาน



นักวิจัย การจัดประสบการณ์

สนัดดา ด่านศิริวิโรจน์ ใช้วรรณกรรมเป็นสื่อในการสอนโดยใช้การวิพากษ์วรรณกรรม
(2547) สำหรับเด็กเป็นหลักในกรจัดกิจกรรม โดยมีขั้นตอน ดังนี้ 1)

กิจกรรมฟังครูอ่านวรรณกรรม 2) กิจกรรมอภิปรายเกี่ยวกับ
วรรณกรรมร่วมกัน 3) กิจกรรมขยายความเข้าใจในองค์ประกอบของ

วรรณกรรม 4) กิจกรรมสรุป

บังอร ศรีกาล (2553) การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้วรรณกรรมเป็นฐาน มี
หลักการที่ให้วรรณกรรมเป็นแม่แบบทางภาษาแก่นักเรียน ดังนี้


1) เล่านิทานอานให้ฟัง 2)อ่านซ้ำพูดต่อเดิมข้อความที่หายไป 3) เล่า
เองย้ำทวน 4) แต่งเรื่องเขียนภาพจากวรรณกรรม 5) แสดงบทบาท
สมมติ

เนตรชนก รักกาญจนันท์ การจัดประสบการณการเรียนรู้โดยใช้วรรณกรรมเป็นฐานโดยมี

(2558) ขั้นตอน 1. ขั้นครูเล่าวรรณกรรม 2. ขั้นเด็กเล่าและต่อเติม
3. ขั้นแสดงบทบาทสมมติ 4. ขั้นสรุปและประเมินผล

Whitehead (1968) การสอนการตีความวรรณกรรมในลักษณะการอ่านวรรณกรรมให้

เด็กฟังออกเป็น 2 ขั้นตอนคือ 1) ขั้นการอ่านวรรณกรรมให้เด็กฟัง
เป็นการอ่านวรรณกรรมซึ่งเป็นลักษณะหนังสือภาพ ในขณะอ่านครูก ็


จะให้เด็กได้เห็นหนังสือที่ครูอานไปด้วย และในขั้นตอนที่ 2 )
กิจกรรมจากเรื่องที่ฟง เป็นกิจกรรมต่างๆ ที่ให้เด็กทำหลังจากที่ครู


22







นักวิจัย การจัดประสบการณ์
อ่านวรรณกรรมให้เด็กฟังแล้ว โดยวัตถุประสงค์ที่จะให้เด็กเกิดความ

ซาบซึ้งและเกิดความเข้าใจในเค้าโครงเรื่อง แก่นเรื่อง และตัวละคร

ซึ่งกิจกรรมจะประกอบด้วย การอภิปรายองค์ประกอบของ
ื่
วรรณกรรม การแสดงละคร การพาเด็กไปห้องสมุดเพอหาหนังสือ
เรื่องราวที่ใกล้เคียงกับวรรณกรรมที่ฟังหรือมีผู้แต่งคนเดียวกัน
Tomlinson and Lynch- การพัฒนาการสอนโดยใช้วรรณกรรม แบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน คือ

Brown (1996) 1) ขั้นมีประสบการณ์กับวรรณกรรม เป็นขั้นที่เปีดโอกาสให้เด็กได้

สนุกสนาน ตื่นเต้นและเกิดความทำทายในการคิดจากวรรณกรรมที่
เด็กได้สัมผัส ซึ่งจะอยู่ในรูปแบบการอ่านให้เด็กฟังและ

2) ขั้นตอบสนองต่อวรรณกรรม หลังจากเด็กได้ฟังเรื่องแล้วครูควร
เปิดโอกาสให้เด็กได้มีการตอบสนอง และแสดงความรู้สึกที่ดีต่อ

วรรณกรรมที่เด็กได้ฟังผ่านกิจกรรมต่างๆ ได้แก่ การตอบปากเปล่า

การอภิปรายการใช้คำถามของครู การเขียนละคร การให้เด็กเล่า
เรื่องใหม่ ศิลปะงานฝีมือ การทำหนังสือเล่มเล็ก และเล่มใหญ่ของ

เด็ก การทำแผนที่ เส้นเวลา และแผนภาพ




การจัดประสบการณการเรียนรู้โดยใช้วรรณกรรมเป็นฐาน ครูผู้สอนควรออกแบบกิจกรรมให้

เหมาะสมกับวัยและพัฒนาการของเด็ก โดยในการวิจัยครั้งนี้ ผู้ศึกษาได้นำวิธีการจัดประสบการณ์การ

ื่
เรียนรู้มาจัดกิจกรรมเพอการพัฒนาความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ด้านจำนวนและการดำเนินการของ
เด็กปฐมวัยโดยใช้วรรณกรรมเป็นฐานร่วมกับสื่อดิจิทัล โดยมีขั้นตอนดังนี้


1. ขั้นสร้างประสบการณ์จากวรรณกรรม เป็นขั้นที่เด็กได้ใช้ประสาทสัมผัสจากการสังเกต

รายละเอียด สัมผัสนิทาน และฟังนิทานโดยที่ครูเริ่มจากการแนะนำชื่อเรื่อง ชื่อผู้แต่ง จากนั้นครูเล่า

นิทานให้เด็กฟังจนจบเรื่องโดยไม่ขาดตอน ให้เด็กเห็นภาพประกอบชัดเจน รวมทั้งน้ำเสียง สีหน้า
ท่าทางของครูขณะเล่า


2. ขั้นทบทวนวรรณกรรมและเรียนรู้คณิตศาสตร์ เป็นขั้นที่ให้เด็กร่วมกันแสดงความคิดเห็น


เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากการฟังนิทาน โดยครูใช้คำถามส่งเสริมความเข้าใจทางคณตศาสตร์ด้าน
จำนวนและการดำเนินการของเด็กปฐมวัย ได้แก่ การนับ การรู้ค่าจำนวน การเปรียบเทียบจำนวน

การเรียงอันดับ การรวมกลุ่มและการแยกกลุ่ม เกี่ยวกับตัวละคร สิ่งของ และเหตุการณที่เกิดขึ้น


23







3. ขั้นสร้างความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ผ่านวรรณกรรม เป็นขั้นเชื่อมโยงเนื้อหาหรือ

เหตุการณ์ในนิทานที่ส่งเสริมความเข้าใจทางคณตศาสตร์ด้านจำนวนและการดำเนินการของเด็ก
ปฐมวัย โดยเด็กได้ทำกิจกรรมด้วยตนเองจากสมาร์ทโฟน แทปเลต คอมพิวเตอร์ อาศัยการเชื่อมต่อ

กับอินเทอร์เน็ตผ่านเว็บไซต์ Lifeworksheet และ Wordwall


4. ขั้นสรุปความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ผ่านวรรณกรรม เป็นขั้นที่เด็กได้นำเสนอผลงานที่เด็ก

ื่
ทำ ซึ่งเมื่อเสนอแล้วครูจะชมเชย และใช้คำถามเพอช่วยสรุปเนื้อหานิทานที่เกี่ยวกับความเข้าใจทาง

คณิตศาสตร์ด้านจำนวนและการดำเนินการ เช่น จำนวนตัวละคร และลำดับเหตุการณในนิทาน




งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้วรรณกรรมสำหรับเด็กปฐมวย



ดวงใจ ทัดมาลา (2559) การจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์

โดยใช้กิจกรรมการเล่านิทานสำหรับเด็กปฐมวัยที่มีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.61/83.33 ซึ่งเป็นไปตาม

เกณฑ์ที่ตั้งไว้ ดัชนีประสิทธิผลการเรียนรู้ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์เด็กปฐมวัย มีค่าเท่ากับ
0.7649 คิดเป็นร้อยละ 76.49 เด็กปฐมวัยมีทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์หลังเรียน โดยใช้กิจกรรม

การเล่านิทานสูงขึ้นกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เด็กปฐมวัยมีพฤติกรรมการ

เรียนรู้ทักษะพื้นฐานทางด้านคณิตศาสตร์โดยใช้กิจกรรมการเล่านิทาน โดยรวม อยู่ในระดับดี (x =

2.66 , S.D. = 0.48) และมพฤติกรรมการเรียนรู้ตรงตามวิธีการจัดประสบการณอย่างมีประสิทธิภาพ


เนตรชนก รักกาญจนันท์ (2558) หลังการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้วรรณกรรมเป็น

ฐาน เด็กปฐมวัยมีทักษะทางสังคมสูงกว่าก่อนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้วรรณกรรมเป็น
ฐาน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ซึ่งยอมรับสมมติฐานที่กำหนดไว้ข้อที่ 1 หลัง

การจัดประสบการณการเรียนรู้โดยใช้วรรณกรรมเป็นฐาน เด็กปฐมวัยมีความคงทนของทักษะทาง

สังคม ซึ่งยอมรับสมมติฐานการวิจัยที่กำหนดไว้


ื่
ฉัตรทราวดี บุญถนอม (2558) การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพอเปรียบเทียบความคิด
สร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการจัดประสบการณ์บูรณาการการเรียนรู้สตีมศึกษาโดยการ

ใช้วรรณกรรมเป็นฐาน ผลการศึกษาพบว่า ความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับจากการจัด
ประสบการณ์บูรณาการการเรียนรู้สตีมศึกษาโดยการใช้วรรณกรรมเป็นฐาน มีค่าเฉลี่ยหลังการทดลอง

24







สูงกว่าก่อนการทดลอง และเด็กปฐมวัยมีความคิดสร้างสรรค์เพิ่มขึ้นในการออกแบบและประดิษฐ์
ชิ้นงาน





เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้สื่อดิจิทัลสำหรับเด็กปฐมวัย




ความหมายของสื่อดิจิทัล




สื่อดิจิทัล (Digital Media) หรือที่หลายคนเรียกว่า สื่อใหม่ (New Media) เป็นอีกหัวข้อที่
สำคัญหัวข้อหนึ่งอย่างมากในโลกยุคสารสนเทศปัจจุบัน เพราะในระยะเวลาเพียงไม่กี่สิบปีมีการ

เกิดขึ้นของนวัตกรรมสื่อดิจิทัลมากมาย ตั้งแต่โลกแห่งโซเชียลมีเดียที่เป็นสื่อที่ทรงพลังแห่งศตวรรษที่

21 ไปจนถึงวิทยุออนไลน์ อินเทอร์เน็ต เกมอิเล็กทรอนิคส์ รวมไปถึงทีวีดิจิทัลที่เกิดขึ้นในประเทศไทย


ในปีพ.ศ. 2557 (ชุติสันต์ เกิดวิบูลย์เวช, 2558) มีดังการศกษาให้ความหมายของสื่อดิจิทัลไว้ดังนี้

ไพฑูรย์ มะณู (2559) กล่าวว่า สื่อดิจิทัล หมายถึงสื่อที่มีการนำเอาข้อความ กราฟก

ภาพเคลื่อนไหว เสียง และ วิดีโอ เป็นต้น โดยอาศัยเทคโนโลยีความเจริญก้าวหน้าทางด้าน
คอมพิวเตอร์ เข้ามาช่วยให้ข้อมูลที่เป็นสื่อต่างๆ เหล่านั้นมาแปลงสภาพ และเชื่อมโยงเข้าด้วยกันเพอ
ื่
ประโยชน์ในการใช้งาน


Dewdney & Ride (2006) กล่าวว่า สื่อรูปแบบใหม่ หมายถึง สื่อที่เกิดจากแนวคิดของ

วัฒนธรรมร่วมสมัย (Contemporary Culture Concept) และบริบทแวดล้อม (Context) ของการ

นำสื่อมาใช้ ดังนั้น สื่อรูปแบบใหม่จึงมีโอกาสที่จะเปลี่ยนเป็นสื่อเก่าได้เมื่อมีสื่อสำคัญที่ใหม่กว่าเข้ามา

แทนที่ ทั้งนี้หากเป็นสื่อที่พัฒนาการขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีสมัยใหม่ เรียกว่า สื่อดิจิทัล (Digital Media)
สื่อรูปแบบใหม่และสื่อดิจิทัลมีคุณสมบัติหลักร่วมกัน คือ ความใหม่ (Newness)


Wertime & Fenwick (2008) ได้จำแนกสื่อรูปแบบใหม่หรือสื่อดิจิทัลที่มีอยู่อย่างมากมายใน

ปัจจุบันไว้เป็นหมวดหมู่ ได้แก่ เว็บไซต์ (Website) อินเทอร์เน็ต (Internet)อีเมล (E-mail) อุปกรณ์

สื่อเคลื่อนที่ (Mobile Device) เกม(Games) และ โทรทัศน์รูปแบบใหม่ (Television Reinvented)


Hall & Baker (2013) กล่าวว่า สื่อดิจิทัล หมายถึง สื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นเครื่องมือในการ
ปฏิบัติการ ประกอบด้วยข้อความภาพ เสียง และการเคลื่อนไหว ที่แสดงผลผ่านทางเว็บไซต์และ

25







โปรแกรมประยุกต์บนสื่อใดๆ ที่มีการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต โดยเน้นให้ผู้ใช้ทั้งที่เป็นผู้ส่งสารและ
ผู้รับสารมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์



สรุปได้ว่า สื่อดิจิทัล หมายถึง การนำข้อความ กราฟก ภาพเคลื่อนไหว เสียง และ วิดีโอ มา
พัฒนาใหม่ให้เท่าทันปัจจุบัน อาศัยการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตและแสดงผลผ่านทางเว็บไซต์และ

โปรแกรมต่างๆ และสามารถเรียกใช้งานให้เกิดประโยชน์ได้ผ่านเครื่องมือทางเทคโนโลยี อาทิเช่น

สมาร์ทโฟน แทปเลต คอมพิวเตอร์ เป็นต้น





แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการใช้สื่อดิจิทัลสำหรับเด็กปฐมวย


สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2563) ช่วงปฐมวัยถือเป็นช่วงวัยที่สำคัญในการเป็น

จุดเริ่มต้นของการเรียนรู้และการเจริญเติบโตทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคมไปพร้อม ๆ กัน

ปฐมวัยเป็นช่วงวัยที่พัฒนาการด้านสมองและการเรียนรู้เป็นไปอย่างรวดเร็วที่สุดในชีวิต เป็นช่วงวัยที่


ต้องการการปลูกฝังดูแลเป็นพเศษ เพื่อจะได้เป็นรากฐานที่สำคัญของการเรียนรู้และการพฒนาตลอด

ชีวิตให้เติบโตเป็นเด็กฉลาดและประสบความสำเร็จในชีวิต ช่วงปฐมวัยจึงถือเป็นช่วงวัยที่สำคัญในการ
เป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้และการเจริญเติบโตทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม ไปพร้อม ๆ

กัน ตามที่มาตรฐานการศึกษาของชาติ พ.ศ. 2561 ได้กำหนดผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ของผู้เรียนระดับ

ปฐมวัยว่า ผู้เรียนจะต้องมีพัฒนาการรอบด้านและสมดุล สนใจเรียนรู้และกำกับตัวเองให้ทำสิ่งต่าง ๆ

ที่เหมาะสมตามช่วงวัยได้สำเร็จ ซึ่งการจะทำให้ผลลัพธ์ดังกล่าวบรรลุผล จำเป็นต้องสร้างสิ่งแวดล้อม

ให้เอื้อต่อการเรียนรู้ผ่านแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ ที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานของแหล่งการเรียนรู้เพื่อ
การเรียนรู้ที่กว้างขวางหลากหลาย ปัจจุบันการจัดการเรียนการสอนในห้องเรียนเพียงอย่างเดียวไม่

เพียงพอในการสร้างเสริมความรู้ ความสามารถ หรือทักษะสำคัญต่าง ๆ ได้อย่างครบถ้วนรอบด้าน


ดังนั้น การจัดการเรียนการสอนในยุคดิจิทัลสำหรับผู้เรียนปฐมวัยจึงต้องมการส่งเสริมการเรียนรู้ ทั้งใน
ห้องเรียนและนอกห้องเรียน โดยอาศัยแหล่งการเรียนรู้ที่หลากหลาย ทั้งแหล่งการเรียนรู้ทางกายภาพ

และแหล่งการเรียนรู้ดิจิทัล


1. แหล่งการเรียนรู้ทางกายภาพ


แหล่งข้อมูลข่าวสารสารสนเทศ และประสบการณ์ ที่สนับสนุนส่งเสริมให้ผู้เรียนใฝ่เรียน ใฝ่รู้
แสวงหาความรู้และเรียนรู้ด้วยตนเองตามอัธยาศัย เพอเสริมสร้างให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้
ื่

26







ประกอบด้วยแหล่งการเรียนรู้ 8 แหล่ง ตามมาตรา 25 ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542
ได้แก่ ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ สวนสัตว์ สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ อุทยานวิทยาศาสตร์


และเทคโนโลยี ศูนย์การกีฬาและนันทนาการ

2. แหล่งการเรียนรู้ดิจิทัล

แหล่งข้อมูล สารสนเทศ ประสบการณ์ในรูปแบบของ


(1) แหล่งการเรียนรู้เชิงปฏิสัมพันธ์ เนื้อหาการเรียนรู้รูปแบบดิจิทัล ซอฟต์แวร์
สถานการณ์จำลอง ที่ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในเนื้อวิชาการ


(2) ฐานข้อมูลออนไลน์และแหล่งเอกสารชั้นปฐมภูมิ


(3) ข้อมูลและสารสนเทศที่สอดคล้องกับความต้องการส่วนบุคคล


(4) สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมความร่วมมือและการสื่อสารระหว่างผู้เชี่ยวชาญ

และผู้เรียนรู้


(5) การเรียนรู้แบบผสมผสานที่เกิดขึ้นในสถานศึกษาหรือที่บ้าน ผ่านการสอนออนไลน์

ซึ่งผู้เรียนควบคุมเวลา สถานที่ ช่องทางการเรียน หรือจังหวะการเรียนรู้ด้วยตนเอง

(6) รายวิชาที่เปิดออนไลน์


พนิดา ชาตยาภา (2559) การนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์และเหมาะสมกับพัฒนาการ

ของเด็กปฐมวัยในยุคที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงจากเทคโนโลยีได้ จึงจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทก

ฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็กปฐมวัย อันได้แก่ ครู ผู้ปกครอง ผู้บริหารโรงเรียนต้องร่วมกัน


ยืดหลักการจัดประสบการณให้เหมาะสมกับเด็กปฐมวัยโดยต้องบูรณาการทักษะสำคัญของคนที่อยู่ใน
ื่
ศตวรรษที่ 21 เพอสร้างภูมิคุ้มกันรวมทั้งต้องใช้ดุลยพินิจอย่างมากในการนำเทคโนโลยีมาใช้กับเด็ก

ปฐมวัย

ชนิพรรณ จาติเสถียร (2560) สื่ออิเล็กทรอนิกส์มีความสําคัญต่อตัวเด็ก เนื่องจากสามารถ

นํามาใช้เพื่อช่วยกระตุ้นความสนใจในการเรียนรู้ ขยายช่องทางการสื่อสาร และขอบเขตในการเรียนรู้


และสร้างพื้นฐานในการพัฒนาไปสู่การรู้ดิจิทัล สําหรับพ่อแม่ ผู้ปกครอง สื่ออเล็กทรอนิกส์มี
ความสําคัญ เพราะช่วยให้มีสื่อในการพัฒนาและส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็ก รวมทั้งทําให้ได้รับข้อมูล

ข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก สําหรับครู สื่ออเล็กทรอนิกส์
มีความสําคัญหลายประการ เพราะช่วยให้มีเครื่องมือในการส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็ก ทําให้ครู

27








สามารถอธิบายเนื้อหาสาระที่ยากและเป็นนามธรรมให้เขาใจได้ง่ายขึ้น สามารถส่งเสริมการเรียนรู้ของ

เด็กเป็นรายบุคคล รวมทั้งมีแหล่งข้อมูลในการศกษาค้นคว้า เพื่อนํามาใช้ในการพัฒนาเด็กและวิชาชีพ

สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลสำหรับเด็กปฐมวัยต้องมีการส่งเสริมการเรียนรู้ ทั้งใน

ห้องเรียนและนอกห้องเรียน อาศัยแหล่งการเรียนรู้ที่หลากหลาย ทั้งแหล่งการเรียนรู้ทางกายภาพ

เช่น ห้องสมุด พพิธภัณฑ์ หอศิลป์ สวนสัตว์ สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ อุทยานวิทยาศาสตร์

และเทคโนโลยี ศูนย์การกีฬาและนันทนาการ และแหล่งการเรียนรู้ดิจิทัล เช่น ซอฟต์แวร์สถานการณ์

จำลอง ฐานข้อมูลออนไลน์ แอพพลิเคชั่นต่าง ๆ เนื่องจากสามารถนํามาใช้เพื่อช่วยกระตุ้นความสนใจ
ในการเรียนรู้ให้กับเด็กได้ โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของช่วงวัย ระดับพัฒนาการและความสนใจของเด็ก

ื่
และอาศัยความร่วมมือของทั้งผู้ปกครอง โรงเรียน ชุมชนเพอส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ตามทักษะ
สำคัญในศตวรราที่ 21 ได้




แนวทางการเลือกใช้สื่อดิจิทัลสำหรับเด็กปฐมวัย



สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2563) ระบุว่าแนวทางการใช้สื่อดิจิทัลสำหรับเด็กปฐมวัย

ยังคงต้องให้ความสำคัญกับการส่งเสริมพัฒนาการที่สำคัญในทุก ๆ ด้าน ทั้งด้านร่างกาย ได้แก่

สุขอนามัย กล้ามเนื้อใหญ่ กล้ามเนื้อเล็ก อารมณ์ สังคม และสติปัญญา ดังนี้

แหล่งการเรียนรู้ทางกายภาพ


(1) ควรปรับแหล่งการเรียนรู้ทางกายภาพให้มีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพ

ยิ่งขึ้น สร้างบรรยากาศที่ดึงดูดใจเด็กปฐมวัย มีการจัดกิจกรรมหมุนเวียนภายในแหล่งการเรียนรู้ที่

เหมาะสมกับวัยของเด็กและส่งเสริมพัฒนาการแต่ละด้าน


(2) การจัดกิจกรรมทัศนศึกษาหรือเยี่ยมชุมชน โดยเน้นให้เด็กได้เรียนรู้และสร้าง
ประสบการณ์โดยตัวเด็กเองเป็นรายบุคคลและร่วมมือกับเด็กคนอื่น ๆ ในวัยที่ใกล้เคียงกัน และมี


ปฏิสัมพันธ์ในกิจกรรมกับพ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือครู

(3) การพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ชุมชน และวัดให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ

มากขึ้น

28







(4) ควรบูรณาการการใช้แหล่งการเรียนรู้เข้ากับกิจกรรมการเรียนรู้หรือจัดแหล่งการ

ื่
เรียนรู้ในห้องเรียนในสถานศึกษาหรือในชุมชน เพอลดอุปสรรคในด้านการเดินทางและคาใช้จ่าย
(5) การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเป็นเครื่องมือเสริมในการนำเสนอข้อมูลสารสนเทศ

เพื่อสร้างความน่าสนใจและช่วยให้เด็กเข้าใจเนื้อหาต่าง ๆ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น


แหล่งการเรียนรู้ดิจิทัล


(1) การนำเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัยมาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การพัฒนา

เว็บไซต์ และแอพพลิเคชั่นที่สอดคล้องกับพัฒนาการของเด็ก เพอสร้างประสบการณ์และส่งเสริมการ
ื่
เรียนรู้ให้เกิดขึ้นกับเด็ก

(2) แหล่งการเรียนรู้ต้องมีลักษณะที่นักเรียนวัยปฐมวัยมีปฏิสัมพันธ์ สามารถโต้ตอบ

ได้ เพื่อพัฒนาทักษะสำคัญจำเป็น เช่น การคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา การสื่อสาร เป็นต้น


(3) การให้ความรู้เรื่องการใช้งานและการสร้างสื่อดิจิทัลสำหรับครู นักเรียน และ

ื่

ผู้ปกครองเพอให้ผู้ใช้งานสามารถใช้อย่างมีคณภาพ ปลอดภัย และสร้างสรรค์
(4) การสนับสนุนงบประมาณจากรัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้มีอุปกรณ์ท ี่
เพียงพอกับเด็กในการเข้าถึงและใช้งานแหล่งการเรียนรู้ มีความพร้อมทางด้านเครือข่ายสัญญาณ


อินเทอร์เน็ต

รักษ์ทรัพย์ แสนสำแดง (2560) กล่าวว่าการนำสื่อเทคโนโลยีมาใช้กับเด็กปฐมวัยยังไม่ม ี

ข้อสรุปที่ชัดเจน ในแง่ของการศึกษา สื่อเทคโนโลยีถูกใช้เป็นเครื่องมือในการจัดการเรียนการสอนที่

รู้จักกันดีว่าเป็นสื่อการเรียนรู้ หลักในการนำสื่อเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดจัดการเรียนการสอนสำหรับ

เด็กปฐมวัยมี ดังนี้


(1) ความสอดคล้องสื่อเทคโนโลยีที่นำมาใช้ควรมีความสอดคล้องกบพัฒนาการเด็ก

หลักสูตร และการประเมินผล ครูต้องใช้ดุลยพินิจในการนำมาใช้ให้เหมาะสม คำนึงถึงความแตกต่าง


ระหว่างบุคคล และบริบททางสังคมของเด็ก

(2) การบูรณาการกับเครื่องมืออื่น ๆการนำสื่อเทคโนโลยีมาใช้ต้องนำมาใช้โดยบูรณา

การกับเครื่องมืออื่น ๆ ในลักษณะของการเป็นสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ และใช้สนับสนุนการเรียนรู้

ของเด็ก

29







(3) ความเหมาะสมของสื่อเทคโนโลยีการพิจารณาด้านความเหมาะสมของสื่อ
เทคโนโลยีเป็นสิ่งจำเป็น เพราะสื่อเทคโนโลยีต้องช่วยพัฒนาเด็กทั้งด้านสติปัญญาและทางสังคมควบคู่

กันไป การใช้สื่อเทคโนโลยีกับเด็กปฐมวัยควรใช้ในลักษณะเป็นอุปกรณ์การเรียนรู้หรือเรียนแบบ

ร่วมมือเพื่อลดปัญหาการแยกตัวของเด็ก


(4) ความชัดเจนของการกำหนดวัตถุประสงค์ สื่อเทคโนโลยีมีความซับซ้อนและมี

ศักยภาพสูง ครูต้องกำหนดวัตถุประสงค์ของการนำมาใช้ให้ชัดเจน กล่าวคือ ใช้สื่อเทคโนโลยีเป็น

เสมือนเครื่องมือในการสนับสนุนการเรียนรู้ แต่มิใช่นำมาใช้ในลักษณะของการเป็นบทเรียนหรือสาระ

การเรียนรู้ที่เด็กต้องเรียนอย่างเคร่งเครียดหรือเรียนอย่างเป็นระบบ

ื่
(5) การใช้ประโยชน์ตามวัย สื่อเทคโนโลยีควรมุ่งฝึกฝนให้เด็กใช้เพอการเรียนรู้
ทักษะและพัฒนาความคิดมากกว่าการหัดให้เด็กใช้สื่อเทคโนโลยีแบบผู้ใหญ่


(6) การฝึกฝนทักษะจำเป็น สื่อเทคโนโลยีที่จะช่วยพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กได้ควร

จะเป็นโปรแกรมที่ช่วยฝึกทักษะให้เป็นคนช่างสังเกต ท้าทายความคิดเพื่อให้คิดอย่างมีระบบ เป็นเหตุ

เป็นผล



Office of Educational Technology (2017) หลักการและแนวการใช้เทคโนโลยีสำหรับ

เด็กปฐมวัย มีดังนี้


(1) เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสำหรับการเรียนรู้


ครูปฐมวัยควรคำนึงถึงระดับพัฒนาการของเด็ก เมื่อใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้สำหรับเด็ก

ปฐมวัย ควรพิจารณาว่าเทคโนโลยีสามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างไร จัดกิจกรรมการ

เรียนรู้แบบบูรณาการเทคโนโลยีและใช้ร่วมกับเครื่องมือการเรียนรู้อื่นๆ เช่น สื่อศิลปะ สื่อการเขียน
สื่อการเล่น และหนังสือ รวมทั้งควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงออกและได้มีปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน


(2) ใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มโอกาสในการเรียนรู้สำหรับเด็กทุกคน


แบบอย่างการใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมจะช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ง่ายขึ้น เช่น

เทคโนโลยีสามารถช่วยให้เด็กเรียนรู้วัฒนธรรมและสถานที่อื่น ๆ ได้ แม้ว่าเด็กๆ จะสามารถเข้าถึงสิ่ง

เหล่านี้จากห้องสมุดได้ก็ตาม แต่เทคโนโลยีสามารถเข้าถึงได้ทันทีและสามารถค้นหาข้อคำถามต่าง ๆ
ง่ายมากขึ้นได้

30







(3) ใช้เทคโนโลยีเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ ครอบครัว ครู และเด็ก

ความสัมพันธ์ระหว่างบ้านกับโรงเรียน เทคโนโลยีสามารถใช้เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์

ระหว่างครูปฐมวัยและสมาชิกในครอบครัว ตัวอย่างเช่น แฟมสะสมผลงานดิจิทัลผ่านรูปภาพ

บันทึกเสียง บันทึกวิดีโอ ซึ่งช่วยให้ผู้ปกครองติดตามความก้าวหน้าของเด็ก ผู้ปกครองมีส่วนร่วมใน

การส่งเสริมพัฒนาการด้านต่าง ๆ ให้กับเด็ก จากการใช้อีเมล ข้อความ และโซเชียลมีเดีย เทคโนโลยี

ช่วยให้การสื่อสารระหว่างครูและผู้ปกครองง่ายขึ้น รวมทั้งส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันซึ่งเป็นผลดี

ต่อตัวเด็กเอง

การกระชับความสัมพันธ์ภายในบ้าน เทคโนโลยีมีส่วนช่วยในการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็ก

ี่
กับผู้ปกครองที่อยู่ห่างไกลกัน ผ่านการแชทวิดีโอ(ทมีผู้ปกครองคอยดูแลแนะนำ)การสนทนาทางวิดีโอ

ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การโต้ตอบระหว่างพอแม่กับลูก หรือปู่ย่าตายายกับลูก แต่ยังใช้ได้เมื่อเด็กสื่อสารกับ
เพื่อนอีกด้วย


(4) เทคโนโลยีมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อเด็กได้ตอบโต้มีปฏิสัมพันธ์


งานวิจัยส่วนใหญ่แสดงให้เห็นว่าเด็กที่ใช้สื่อมัลติมีเดียเกิดการเรียนรู้เมื่อผู้ปกครองและเด็กมี
ปฏิสัมพันธ์ร่วมกันเพราะเป็นการกระตุ้นให้เด็กสร้างการเชื่อมต่อในโลกแห่งความเป็นจริงกับสิ่งที่พวก

เขากำลังดู


สรุปได้ว่า การใช้สื่อดิจิทัลสำหรับเด็กปฐมวัยยังคงมุ่งเน้นและส่งเสริมพัฒนาการด้านสำคัญ

ทั้ง 4 ด้านของเด็ก ทั้งทางด้านร่างกาย สังคม อารมณ์ และสติปัญญา โดยการใช้สื่อดิจิทัลควบคู่ไปกับ

การใช้แหล่งเรียนรู้ทางกายภาพ ใช้สื่อดิจิตอลเป็นเสมือนเครื่องมือในการสนับสนุนการเรียนรู้ แต่มิใช่
นำมาใช้ในลักษณะของการเป็นบทเรียนที่ให้เด็กต้องเรียนอย่างเคร่งครัด การนำสื่อดิจิทัลมาใช้กับเด็ก

ปฐมวัยจะต้องกำหนดจุดประสงค์ชัดเจน คำนึงถึงพัฒนาการของเด็ก และบูรณาการควบคู่ไปกับแนว

การจัดการจัดประสบการณ์สำหรับเด็กปฐมวัย เมื่อนำสื่อดิจิทัลมาใช้กับเด็ก ควรมีผู้ใหญ่ดูแลและให้

คำแนะนำอย่างใกล้ชิด ไม่ปล่อยปะละเลยให้เด็กใช้เพียงลำพัง รวมทั้งการให้เด็กได้มีส่วนร่วมในการ


สนทนาแสดงความคิดเห็น ลงมือกระทำ และมีปฏิสัมพนธ์ร่วมกัน
ความหมายของ Lifeworksheet


จิรดา ขุนเณร (2564) กล่าวว่า Lifeworksheet คือ เว็บไซต์ที่ให้คุณครูหรือบุคคลที่สนใจ
สามารถสร้างใบงานแบบฝึกหัดออนไลน์และให้นักเรียนเข้ามาทำใบงานออนไลน์ได้โดยไม่ต้องพิมพ ์

31








เป็นกระดาษออกมา อกทั้งยังสามารถตรวจคะแนนหรือส่งคำตอบให้ครูผ่านทางอีเมลล์ และยังม ี
ความสามารถอื่นๆ อีกมากมาย

สถานีครูดอทคอม (2564) ระบุว่า Lifeworksheet คือ เว็บไซต์ที่จะทำให้เด็กๆทุกคน

สามารถเรียนรู้เเละทำเเบบฝึกหัดไปพร้อมๆกัน มีทุกวิชาให้เลือกทำ อีกทั้งสามารถระบุเนื้อหา

เฉพาะเจาะจงในวิชานั้นๆได้ด้วย เพียงกดค้นหาเนื้อหาที่ต้องการก็สามารถเลือกทำได้เลย รวดเร็ว

ทันใจ เมื่อทำเเบบฝึกหัดเเล้วระบบจะตรวจสอบคำตอบทันที เด็กๆจะสามารถวัดความรู้ของตนเอง
เพื่อเป็นข้อมูลในการพัฒนาตัวเองต่อไป

Liveworksheets (2021) ระบุว่า Lifeworksheet คือ โปรแกรมที่ช่วยให้ครูสามารถแปลง

เวิร์กชีตที่พิมพ์ได้แบบเดิม (doc, pdf, jpg...) เป็นแบบฝึกหัดออนไลน์ ในลักษณะแบบโต้ตอบและ


การแกไขได้ด้วยตัวเอง ซึ่ง Liveworksheets เรียกว่า "แผ่นงานแบบโต้ตอบ" นักเรียนสามารถทำใบ
งานออนไลน์ และส่งคำตอบให้ครูได้ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เสริมแรงในทางบวกสำหรับนักเรียน (เป็นแรงจูงใจ)

ื่
สำหรับครู (ช่วยประหยัดเวลา) และเพอสิ่งแวดล้อม (ช่วยประหยัดกระดาษ) นอกจากนี้ แผ่นงานแบบ
โต้ตอบยังใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ ๆ โดยสามารถปรับใช้กับการศกษาได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะ

เป็น ในเรื่องของ เสียง วิดีโอ แบบฝึกหัดลากและวาง โยงเส้นจับคู่ ตัวเลือกปรนัย รวมถึงแม้แต่

แบบฝึกหัดการพูด ที่นักเรียนต้องทำโดยใช้ไมโครโฟน


สรุปได้ว่า Lifeworksheet หมายถึง ภาพ เสียง ข้อความและกราฟฟกที่ผสมผสาน แสดงผล
แบบออนไลน์ ผ่านทางเว็บไซต์ Lifeworksheet โดยอาศัยการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต ที่เด็กสามารถ

ทำกิจกรรมได้ด้วยตนเองผ่านสมาร์ทโฟน แทปเลต คอมพิวเตอร์ โดยการลากและวาง โยงเส้นจับคู่
เมื่อทำกิจกรรมเสร็จแล้ว ระบบจะตรวจสอบข้อมูลและเด็กจะรู้คำตอบทันที



ความหมายของ Wordwall


ไอหยุ หมัดชุดชู (2563) กล่าวว่า Wordwall คือ เป็นเว็บไซต์ที่ครูสามารถใช้ในการสร้าง



กิจกรรมแบบโต้ตอบและพมพได้ แม่แบบส่วนใหญ่ มีทั้งแบบอินเทอร์แอคทฟ และรุ่นที่พมพ์ได้ เล่น

ี่
โต้ตอบบนอุปกรณ์ทเปิดใช้งานบนเว็บ เช่น คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต โทรศัพท์ หรือไวท์บอร์ดแบบ
โต้ตอบ สามารถเล่นเป็นรายบุคคลโดยนักเรียน หรือเป็นครูนำโดยนักเรียนผลัดกันที่ด้านหน้าของชั้น
เรียน


ไนน์เทคโนดอทคอม (2564) ระบุว่า Wordwall คือ เครื่องมือสำหรับสร้างสื่อการสอน และ

แบบทดสอบออนไลน์ ซึ่งสามารถนำไปใช้สำหรับการเรียนการสอนออนไลน์ได้เป็นอย่างดี

32







Wordwall.net (2016) ระบุว่า Wordwall คือ สิ่งที่ช่วยให้ครูสร้างเกมแบบโต้ตอบและสื่อ
สิ่งพิมพ์สำหรับนักเรียน ครูเพยงแค่ป้อนเนื้อหาที่ต้องการและระบบจะทำให้ส่วนที่เหลือเป็นไปโดย

อัตโนมัติ สามารถใช้ Wordwall เพื่อสร้างกิจกรรมแบบโต้ตอบและพิมพได้ มีแม่แบบหลากหลายทั้ง


แบบโต้ตอบและแบบพมพ์ได้ ประกอบด้วย แบบทดสอบ และ อักษรไขว้ นอกจากนี้เรายังมีเกมสไตล์
อาเขต เช่น เขาวงกต และ เครื่องบิน และมีเครื่องมือจัดการห้องเรียน เช่น แผนการจัดที่นั่ง การ

โต้ตอบ จะเล่นบนอุปกรณ์ที่เปิดใช้งานบนเว็บไซต์ เช่น คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต โทรศัพท์ หรือไวท์
บอร์ดแบบโต้ตอบ โดยสามารถให้นักเรียนเล่นแยกกันหรือให้ครูเป็นคนนำโดยที่นักเรียนสลับกัน

ออกมายืนหน้าชั้นเรียน


สรุปได้ว่า Wordwall หมายถึง ภาพ เสียง ข้อความและกราฟฟกที่ผสมผสาน แสดงผลแบบ

ออนไลน์ ผ่านทางเว็บไซต์ Wordwall โดยอาศัยการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต ที่เด็กสามารถทำ

กิจกรรมได้ด้วยตนเองผ่านสมาร์ทโฟน แทปเลต คอมพิวเตอร์ หรือไวท์บอร์ดแบบโต้ตอบ ในลักษณะ

แบบทดสอบรูปแบบการเล่นเกมโชว์ สามารถนำไปปรับใช้ในการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ได้เป็น
อย่างดี






งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้สื่อดิจิทัลสำหรับเด็กปฐมวย



Salminen (2015) ผลจากการศึกษาการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยส่งเสริมทักษะทางคณตศาสตร์

สำหรับเด็กปฐมวัยที่มีพื้นฐานทางด้านคณิตศาสตร์ต่ำกว่ามาตรฐาน โดยที่เด็กได้เรียนรู้จาก
คอมพิวเตอร์ที่มีการจัดเรียงเนื้อหาตามลำดับความยากง่าย เริ่มต้นจากการสนทนาโต้ตอบแบบตัวต่อ

ตัว การเปรียบเทียบการเรียงลำดับ แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับตัวเลขและการนับ ผลการศึกษาพบว่าเด็ก

สามารถนับปากเปล่าและทำแบบทดสอบเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ได้มากขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญบน

พื้นฐานความแตกต่างของแต่ละบุคคล การที่เด็กได้เรียนตามลำดับความยากง่ายจากคอมพิวเตอร์

สามารถช่วยส่งเสริมทักษะทางคณิตศาสตร์ให้กับเด็กได้ และควรพัฒนาบทเรียนจากคอมพิวเตอร์ให้
ตอบสนองตรงตามความแตกต่างของเด็กแต่ละบุคคลเพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ดี


Miller (2018) การใช้แอพพลิเคชั่นที่เกี่ยวกับคณิตศาสตร์ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

ของเด็กเพิ่มมากขึ้น การที่เด็กมีส่วนร่วมและมีปฏิสัมพันธ์กับการใช้เทคโนโลยีที่สร้างสรรค์ สนุกสนาน


ช่วยส่งเสริมให้เด็กเกิดการเรียนรู้ทางคณตศาสตร์ ระดับความยากของแอพพลิเคชั่นเป็นปัจจัยที่สองที่

33








มีอิทธิพลต่อการใช้เทคโนโลยีของเด็ก แต่ถงยังงั้นหากระดับความยากนั้นยากเกินไป เด็ก ๆ ก็ไม่ม ี
แรงจูงใจในการเล่นต่อ



ี่
Konca (2019) การศึกษานี้มุ่งเน้นไปทการพัฒนาความเข้าใจในเรขาคณิตของเด็กกอนวัย

เรียนผ่านชุดกิจกรรมดิจิทัล ผลการศึกษาพบว่าเด็กมพัฒนาการความเข้าใจในรูปทรงเรขาคณิต ซึ่ง
ประกอบด้วยกิจกรรมการหมุนรูปเรขาคณิตและการหมุนสิ่งของต่างๆ ที่ช่วยพัฒนาความเข้าใจของ

เด็ก นอกจากนี้มีเด็กเพียงคนเดียวที่ไม่ต้องการการเสริมสร้างความรู้นี้ อย่างไรก็ตามเด็กคนอื่นๆ ได้



ประโยชน์จากการเสริมสร้างความรู้เพื่อพัฒนาความเขาใจในกิจกรรมดิจิทัล จากการศกษานี้ จะเห็นได้
ว่าก่อนที่เด็กๆ จะเข้าร่วมกิจกรรมนี้เด็กๆ ทุกคนมีคําอธิบายอย่างไม่เป็นทางการเกี่ยวกับรูปเรขาคณิต
พื้นฐาน เช่น “รูปนี้ดูเหมือนนาฬิกา” “รูปนี้เหมือนประตู “รูปนี้เหมือนวงล้อ” เป็นต้น เด็กบางคนมี

ปัญหาในการจดจำรูปร่างที่หมุนหรือขยายออก ตัวอย่างเช่น เด็กไม่สามารถจำสี่เหลี่ยมทั้งหมดใน

กิจกรรมที่สี่ได้และอกปัญหานึงของกิจกรรมที่สี่นี้คือการหาว่ารูปไหนเป็นสี่เหลี่ยมทั้งผืนผ้าบ้าง และ

เมื่อหมุนสี่เหลี่ยมผืนผ้า 90 องศาจากตำแหน่งเดิม มีเด็กบางคนระบุว่ามันเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส





เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับคณิตศาตร์สำหรับเด็กปฐมวัย




ความหมายและความสำคัญของคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวย


คณิตศาสตร์มีความสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาความคิด ทำให้มนุษย์มีความคิดอย่างมีเหตุผลเป็น

ระบบ มีแบบแผน ตลอดจนการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และสามารถวิเคราะห์ปัญหาหรือ

สถานการณ์ได้อย่างรอบคอบ ช่วยให้คาดการณ์วางแผน แก้ปัญหาและนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
อย่างเหมาะสม และคณิตศาสตร์ยังเป็นเครื่องมือในการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และ


ศาสตร์อื่นๆ

เด็กปฐมวัย เป็นวัยเริ่มต้นแห่งการเรียนรู้ มีความอยากรู้อยากเห็น ช่างสังเกตชอบเล่นและ

สำรวจสิ่งต่างๆ รอบตัว คณิตศาสตร์สามารถพัฒนาเสริมสร้างให้เด็กมีความรู้ความเข้าใจธรรมชาติ

รอบตัว และสิ่งต่างๆ รอบตัว การที่เด็กมีความรู้ความเข้าใจ มีทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์และ

มีเจตคติที่ดีต่อคณิตศาสตร์ไมเพียงส่งผลให้เด็กประสบความสำเร็จในการเรียนรู้ทางคณตศาสตร์


เท่านั้นแต่จะส่งผลต่อการเรียนรู้ในศาสตร์อื่นๆ คณิตศาสตร์จึงมีบทบาทสำคัญทั้งในการเรียนรู้และมี

34







ประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2555) นัก


การศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายของทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ดังนี้

ประจักษ์ เอนกฤทธิ์มงคล (2560) กล่าวว่าทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ หมายถึง ความรู้

พื้นฐานของเด็กที่ได้รับประสบการณ์และกิจกรรมในเรื่องการนับปากเปล่า การนับเรียงลำดับตัวเลข
การนับจำนวน การ รู้ค่ารู้จำนวน การนับเพิ่ม การนับลด การสังเกตเปรียบเทียบ การจำแนก การจัด

หมวดหมู่ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมที่จะเรียนคณิตศาสตร์ในระดับต่อไป


นุจิรา เหล็กกล้า (2561) กล่าวว่าทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย หมายถึง

ความรู้ความเข้าใจและความสามารถพื้นฐานที่ได้รับการส่งเสริมประสบการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับ

คณิตศาสตร์โดยการเปิดโอกาสให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมจริงด้วยตนเองจากสถานการณ์และ

กิจกรรมในชีวิตประจำวันของเด็ก ซึ่งเด็กได้ศึกษาค้นคว้า แก้ปัญหา เป็นพื้นฐานและสามารถนำไปใช้

ในชีวิตประจำวันได้


Taylo (1985) คณิตศาสตร์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันที่สำคัญ ครูปฐมวัยควรเปิด


โอกาสให้เด็กได้ใช้ความคิด แก้ปัญหา และเรียนรู้ด้วยตนเองโดยจัดประสบการณการเรียนรู้ทาง
คณิตศาสตร์ที่เหมาะสมให้แก่เด็ก แต่ความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์นั้นขึ้นอยู่กับ

ระดับพัฒนาการของเด็กด้วย


Blenkin and Kelly (1994) กล่าวว่า คณิตศาสตร์คือ พลังอำนาจของการติดต่อสื่อสาร เป็น

วิถีทางในการแก้ปัญหา เป็นการค้นพบรูปแบบและความสัมพันธ์ เป็นกิจกรรมสร้างสรรค์ที่เกี่ยวข้อง


กับความคดจินตนาการการหยั่งรู้และสามารถมีส่วนร่วมด้วยอย่างสนุกสนาน

สรุปได้ว่า คณิตศาสตร์เป็นพื้นฐานสำคัญ เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเด็ก ที่เด็กได้รับ

ประสบการณ์ตรงด้วยตนเองผ่านสิ่งต่างๆรอบตัว จากการเล่นเกี่ยวกับเรื่องการนับปากเปล่า การนับ

เรียงลำดับตัวเลข การนับจำนวน การรู้ค่ารู้จำนวน การนับเพิ่ม การนับลด การสังเกตเปรียบเทียบ

การจำแนก การจัดหมวดหมู่ เพื่อส่งเสริมให้เด็กมีเจตคติที่ดีต่อคณิตศาสตร์ ตลอดจนพัฒนาความคิด
อย่างเป็นเหตุเป็นผล เป็นระบบ มีแบบแผน วิเคราะห์ปัญหาหรือสถานการณ์ได้อย่างรอบคอบ

35







สาระทางคณิตศาสตร์เกี่ยวกับจำนวนและการดำเนินการสําหรับเด็กปฐมวัย



สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2551) การเรียนรู้คณิตศาสตร์ระดับ

ปฐมวัย มุ่งหวังให้เด็กทุกคนได้เตรียมความพร้อมด้านต่างๆ ทางคณิตศาสตร์ อันเป็นพื้นฐานการ

เรียนรู้คณิตศาสตร์ในชั้นประถมศึกษา โดยกำหนดสาระหลักที่จำเป็นสำหรับเด็ก ดังนี้

1. จำนวนและการดำเนินการ การนับปากเปล่า การนับอย่างรู้ค่า การเปรียบเทียบ การ

เรียงลำดับ การรวมกลุ่ม และการแยกกลุ่ม


2. การวัด ความยาว น้ำหนัก ปริมาตร เงิน และเวลา


3. เรขาคณิต ตำแหน่ง ทิศทาง ระยะทาง รูปเรขาคณิตสามมิติและรูปเรขาคณิตสองมิติ


4. พีชคณิต แบบรูปและความสัมพันธ์


5. การวิเคราะห์ขอมูลและความน่าจะเป็น การเก็บรวบรวมข้อมูลและการนำเสนอ

6. ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ การแก้ปัญหา การให้เหตุผล การสื่อสาร การสื่อ


ความหมายทางคณตศาสตร์และการนำเสนอ การเชื่อมโยงความรู้ต่างๆทางคณิตศาสตร์และเชื่อมโยง
คณิตศาสตร์กับศาสตร์อื่นๆ และมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์


สถาบันราชนุกูล กรมสุขภาพจิต (2557) กล่าวว่าทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสาตร์ที่จำเป็น

สำหรับเด็กปฐมวัย มี 7 ทักษะ คือ

1. ทักษะการสังเกต (Observation) เป็นการใช้ประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลาย

อย่างรวมกัน ได้แก่ตา หูจมูกลิ้น และผิวกายในการเรียนรู้โดยเด็กจะเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับ

วัตถุสิ่งของหรือเหตุการณอย่างมีจุดประสงค์ เช่น การจะหาข้อมูลที่เป็นรายละเอียดของสิ่งนั้น ๆโดย

ไม่ใส่ความคิดเห็นของตนเองลงไป


2. ทักษะการจำแนกประเภท (Classifying) เป็นความสามารถในการแบ่งประเภทของสิ่งของ

โดยหาเกณฑ์หรือสร้างเกณฑ์ในการแบ่งขึ้น ส่วนใหญ่เด็กจะใช้เกณฑ์ในการจำแนกอยู่ 3 อย่าง คือ
ความเหมือน ความแตกต่างและความสัมพันธ์ร่วม ซึ่งในเด็กปฐมวัยส่วนใหญ่จะเลือกใช้เกณฑ์ 2 อย่าง

คือ ความเหมือนและความต่างเมื่อเด็กสามารถสร้างความเข้าใจได้อย่างถ่องแท้เกี่ยวกับความสัมพันธ์

แล้วเด็กจึงจะจำแนกโดยใช้ความสัมพันธ์ร่วมได้

36







3. ทักษะการเปรียบเทียบ (Comparing) เป็นการที่เด็กต้องอาศัยความสัมพันธ์ของวัตถุ
สิ่งของหรือเหตุการณ์ตั้งแต่สองสิ่งขึ้นไปบนพื้นฐานของคุณสมบัติที่มีลักษณะเฉพาะอย่างซึ่ง

ความสำคัญในการเปรียบเทียบ คือเด็กจะต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะเฉพาะของสิ่งนั้น ๆ และ

รู้จักคำศพท์คณิตศาสตร์ เช่น เล็กกว่า ใหญ่กว่าสั้นกว่า ยาวกว่า หนักกว่า เบากว่า ฯลฯ โดยถ้า

สามารถบอกได้ว่าลูกบอลลูกหนึ่งมีขนาดเล็กกว่าอีกลูกหนึ่ง แสดงให้เห็นว่าเด็กเห็นความสัมพันธ์ของ

ลูกบอล คือ เล็ก- ใหญ่การเปรียบเทียบนับว่าเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการเรียนในเรื่องการวัดการ
จัดลำดับ และการประมาณต่อไป


4. ทักษะการจัดลำดับ (Ordering) เป็นการส่งเสริมให้เด็กได้พัฒนาความคิดรวบยอดเกี่ยวกับ

การจัดลำดับวัตถุสิ่งของหรือเหตุการณ์ซึ่งเป็นทักษะการเปรียบเทียบขั้นสูง เพราะจะต้องอาศัยการ

เปรียบเทียบสิ่งของมากกว่าสองสิ่งหรือสองกลุ่ม การจัดลำดับในครั้งแรกๆ ของเด็กปฐมวัยจะเป็นไป

ในลักษณะการจัดกระทำ กับสิ่งของสองสิ่ง เมื่อเกิดการพัฒนาจนเกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วเด็ก

จึงจะสามารถจัดลำดับที่ยากยิ่งขึ้นได้

5. ทักษะการวัด (Measurement) ความสามารถในการวัดของเด็กจะเกิดขึ้นหลังจากเด็กม ี

ประสบการณ์เกี่ยวกับการจัดประเภท การเปรียบเทียบ และการจัดลำดับมาแล้ว และจะมี

ความสัมพันธ์กับความคงที่ เช่น เด็กสามารถเข้าใจเกี่ยวกับความยาวของเชือกได้ว่า เชือกจะมีความ

ยาวเท่าเดิมถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนทิศทางหรือตำแหน่งก็ตาม


6. ทักษะการนับ (Counting) เป็นแนวคิดเกี่ยวกับการนับจำ นวน ได้แก่ การนับปากเปล่า

บอกขนาดของกลุ่มที่มขนาดเท่ากันโดยไม่ต้องนับ นับโดยใช้ลำดับที่ นับจำ นวนเพิ่มขึ้น นับเพื่อรู้

จำนวนที่มีอยู่การจดจำตัวเลข การนับและเข้าใจความหมายของจำนวน การใช้สัญลักษณแทน

จำนวน ในเด็กปฐมวัยชอบการนับแบบท่องจำ โดยไม่เข้าใจความหมาย การนับแบบท่องจำนี้จะมี

ความหมายต่อเมื่อเชื่อมโยงกับจุดประสงค์บางอย่าง เช่น การนับจำ นวนเพื่อนในห้องเรียน นับขนมที่

อยู่ในมือ แต่การนับของเด็กอาจสับสนได้หากมีการจัดเรียงสิ่งของเสียใหม่ เมื่อเด็กเข้าใจเรื่องจำนวน

แล้วเด็กปฐมวัยจึงจะสามารถเข้าใจเรื่องการนับจำนวนอย่างมีความหมาย

7. ทักษะเกี่ยวกับเรื่องรูปทรงและขนาด (Shape and Size) เรื่องขนาดและรูปทรงจะเกิด

ขึ้นกับเด็กโดยง่ายเนื่องจากเด็กคุ้นเคยจากการเล่น การจับต้องสิ่งของของเล่น หรือวัตถุรูปทรงต่างๆ


อยู่เสมอในแต่ละวัน เราจึงมักจะได้ยินเด็กพดถึงสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวกับรูปทรงหรือขนาดอยู่เสมอ พอแม่


37







สามารถทดสอบว่าเด็กรู้จักรูปทรงหรือไม่ โดยการให้เด็กหยิบ/เลือกสิ่งของตามคำ บอกเมื่อเด็กรู้จัก
รูปทรงพื้นฐานแล้วก็จะสามารถสอนให้เด็กรู้จักรูปทรงที่ยากขึ้นได้


สุรีกร ทะนาไธสง (2559) กล่าวว่า ขอบข่ายทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์เป็นทักษะที่เด็ก

ได้รับประสบการณเกี่ยวทักษะด้านต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะในด้านของจำนวน เป็นทักษะที่จำเป็น

และสำคัญต่อการเรียนรู้ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ซึ่งได้แก่ การเปรียบเทียบจำนวน/ การจับคู่

การนับสิ่งต่าง ๆ และการเพิ่ม การลดลงของจำนวน ช่วยให้เด็กมีความละเอียดรอบคอบ รู้จักคิดอย่าง

มีเหตุผลและรู้จักคิดแก้ปัญหา ซึ่งทักษะต่าง ๆ เหล่านี้จะเป็นพื้นฐานในการเตรียมความพร้อมที่จะ
เรียนคณิตศาสตร์ในระดับประถมศึกษาต่อไป


สรุปได้ว่า สาระทางคณิตศาสตร์เกี่ยวกับจำนวนและการดำเนินการสําหรับเด็กปฐมวัยเป็น

ประสบการณ์ตรงที่เด็กได้รับผ่านสิ่งต่างๆรอบตัวเกี่ยวกับเรื่องจำนวนและการดำเนินการ การวัด

เรขาคณิต พีชคณต การวิเคราะห์ข้อมูลและความน่าจะเป็น เพื่อให้เด็กเกดการเรียนรู้ ความเข้าใจ


และพัฒนาเป็นความสามารถเกี่ยวกับทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ที่เด็กสามารถแก้ปัญหา
สื่อสาร เชื่อมโยงความรู้ต่างๆทางคณิตศาสตร์และเชื่อมโยงคณิตศาสตร์กับศาสตร์อื่นๆได้ สามารถใช้

ประสาทสัมผัสเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับวัตถุสิ่งของหรือเหตุการณ์อย่างมีจุดประสงค์ สามารถจัด

กระทำกับสิ่งของในการจำแนก เปรียบเทียบ จัดลำดับ วัดสิ่งของและนับสิ่งของต่างๆได้




ทฤษฎีการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องกับคณิตศาสตร์




จากการศึกษาเกี่ยวกับทฤษฎีการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องกับทกษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์เห็นได้
ว่า มีความสำคัญและจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตของเด็กปฐมวัย จึงมีนักจิตวิทยาและนักการศึกษา

หลายท่าน ได้กล่าวถึงทฤษฎีการเรียนรู้ ดังนี้




ทฤษฎีการเรียนรู้ของ Thorndike

เยาวพา เดชะคุปต์ (2542) กล่าวไว้ว่า เป็นทฤษฎีที่กล่าวถึงการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้า

(S - Stimulus) กับการตอบสนอง (R - Response) ซึ่งการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ต้องสร้างความเชื่อมโยง

นั่นคือ การลองผิดลงถูก (Tial and Error) และกฎแห่งการเรียนรู้ตามทฤษฎีเชื่อมโยงประกอบด้วยกฎ

3 ประการ ดังนี้

38







1. กฎแห่งความพร้อม (Law of Readiness) หมายถึง สภาพความพร้อมของผู้เรียนทั้งทาง
ร่างกายและจิตใจ ซึ่งได้แก่ วุฒิภาวะ และอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย รวมถึงความพึงพอใจที่จะนำไปสู่


การเรียนรู้

2. กฎแห่งการฝึกหัด (Law of Exercise) หมายถึง การสร้างความมั่นคงของการเชื่อมโยง

ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองที่ถูกต้อง โดยการกระทำซ้ำบ่อย ๆ ย่อมทำให้เกิดการเรียนรู้ได้คงทน

ถาวร

3. กฎแห่งผลที่ได้รับ (Law of Effect) กล่าวถึง ผลที่ได้รับเมื่อแสดง พฤติกรรมการเรียนรู้

แล้วถ้าได้รับผลที่พึงพอใจ ผู้เรียนย่อมที่จะอยากเรียนรู้อีก แต่ถ้าได้รับผลที่ไม่พึงพอใจผู้เรียนย่อมไม่

อยากเรียนและเบื่อหน่ายต่อการเรียนรู้





ทฤษฎีการเรียนรู้ของ Skinner

เยาวพา เดชะคุปต์ (2542) ได้กล่าวว่า เป็นทฤษฎีที่กล่าวถึง การวางเงื่อนไขแบบการกระทำ

หรือแบบปฏิบัติซึ่งมีชื่อเรียกแตกต่างกัน คือ Operant Conditioning Theory หรือ Instrumental

Conditioning Theory หรือ Type-R Conditioning Theory สกินเนอร์ ได้เสนอแนวความคิดโดย
จำแนกทฤษฎีทางพฤติกรรมออกเป็น 2 ประเภท คือ


1. พฤติกรรมจากการเรียนรู้แบบ Type S (Respondent Behavior) ซึ่งมีสิ่งเร้า(Stimulus)

เป็นตัวกำหนดหรือดึงออกมา


2. พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ Type S (Operant Behavior) พฤติกรรมหรือการ

ตอบสนองขึ้นอยู่กับการเสริมแรง (Reinforcement)




ทฤษฎีพัฒนาการทางด้านสติปัญญาของ Piaget


สิริมา ภิญโญอนันตพงษ์ (2550) กล่างถง ทฤษฎีของ Piaget ว่าเป็นทฤษฎีการพัฒนา

ทางด้านสติปัญญาของเด็ก ตั้งแต่แรกเกิดจนกระทั่งถึงวัยที่มีพัฒนาการทางสติปัญญาอย่างสมบูรณ์ ซึ่ง

ตั้งอยู่บนรากฐานของทั้งองค์ประกอบที่เป็นพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม Piaget อธิบายว่าการเรียนรู้

ของเด็กเป็นไปตามพัฒนาการทางสติปัญญา ซึ่งจะมีพัฒนาการไปตามวัยต่างๆ เป็นลำดับขั้น


พัฒนาการเป็นสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ควรที่จะเร่งเด็กให้ข้ามจากพัฒนาการจากขนหนึ่งไปสู่อก
ั้

39







ขั้นหนึ่ง เพราะจะทำให้เกิดผลเสียแก่เด็ก แต่การจัดประสบการณ์ส่งเสริมพัฒนาการของเด็กในช่วงที่
เด็กกำลังจะพัฒนาไปสู่ขั้นที่สูงกว่า สามารถช่วยให้เด็กพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม Piaget


เน้นความสำคัญของการเขาใจธรรมชาติและพัฒนาการของเด็กมากกว่า การกระตุ้นเด็กให้มี

พัฒนาการเร็วขึ้น Piaget สรุปว่า พัฒนาการของเด็กสามารถอธิบายได้โดยลำดับระยะพฒนาทาง
ชีววิทยาที่คงที่แสดงให้ปรากฎโดยปฏิสัมพันธ์ของเด็กกับสิ่งแวดล้อม ได้แก่ กระบวนการปรับเข้าสู่

โครงสร้าง (Assimilation) คือ กระบวนการที่นำเอาข้อความที่ได้รับจากสิ่งแวดล้อมมาปรับให้เข้ากับ
ความรู้เดิมที่มีอยู่ตามระดับสติปัญญาของบุคคลที่สามารถรับรู้ต่อสิ่งนั้นๆ ได้ และกระบวนการปรับ

ขยายโครงสร้าง (Accommodation) คือ กระบวนการที่บุคคลรับข้อมูลเข้าไป กระบวนการทั้งสองนี้

จะทำงานร่วมกันตลอดเวลา เพื่อช่วยรักษาความสมดุล (Equilibrium) Piaget แบ่งพัฒนาการทาง

สติปัญญาเป็น 4 ขั้น ดังนี้


1. ขั้นประสาทรับรู้และการเคลื่อนไหว (Sensori motor Stage) อายุระหว่างแรกเกิดจนถึง

2 ปี เด็กจะเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นลักษณะธรรมชาติ เช่น วัตถุ สิ่งของ เป็นตันเด็กในวัยนี้จะมี

ปฏิกิริยาสะทอนต่อสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัว เช่น การดูด การกลืน การร้องไห้ เป็นต้น ภาษาที่ใช้
เป็นการพูดคำและพูดประโยคสั้น ๆ เด็กในขั้นนี้รับรู้เฉพาะสิ่งที่เป็นรูปธรรมเท่านั้นและเป็นขั้นที่เด็ก

เรียนรู้จากการใช้ประสาทสัมผัสต่าง ๆ เช่น การชิม การฟ้ง การมอง การดม และ การสัมผัส


2. ขั้นก่อนปฏิบัติการคิด (Pre-Operational Stage) อยู่ระหว่างอายุ 2 - 7 ปี จะเกิด

พัฒนาการทางภาษาและพัฒนาการทางความคิด เป็นขั้นที่เด็กเรียนรู้ภาษาพูด เข้าใจท่าทางที่ใช้

สื่อสารความหมาย การเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น แต่ต้องอาศัยการรับรู้เป็นส่วนใหญ่ในขั้นนี้เด็กจะเริ่ม

ใช้สัญลักษณ์แทนสิ่งของ

3. ขั้นปฏิบัติการคิดแบบรูปธรรม (Concrete Operaional Stage) อยู่ในช่วงอายุ 7 - 11 ปี

พัฒนาการด้านความคิดจะมเหตุผลกับสิ่งที่แลเห็นในลักษณะที่เป็นปัญหาแบบรูปธรรม เช่น การ

แบ่งกลุ่ม แบ่งพวก ภาษาที่ใช้จะเป็นไปตามสังคม มีการโต้ตอบ และสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้


4. ขั้นปฏิบัติการคิดแบบนามธรรม (Formal Operational Stage) อยู่ในช่วงอายุ 11 - 15 ปี
เป็นช่วงที่เด็กรู้จักคิดหาเหตุผล และเรียนรู้เกี่ยวกับนามธรรมได้ดียิ่งขึ้น สามารถตั้งสมมติฐานและ

แก้ปัญหาได้ เป็นระยะที่โครงสร้างทางสติปัญญาของเด็กมีวุฒิภาวะสูงสุด (Maturity) เด็กวัยนี้มี


ความสามารถเท่าผู้ใหญ่ แต่จะแตกต่างในด้านคุณภาพ เนื่องจากประสบการณที่แตกต่างกัน

40







ทฤษฎีการเรียนรู้โดยค้นพบ Bruner

Bruner ให้ความสำคัญกับความพร้อมในการเรียน เชื่อว่าความพร้อมของคนแต่ละช่วงวัยจะ

เป็นตัวกำหนดเนื้อหาและวิธีการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ Bruner เชื่อว่า เด็กสามารถได้รับการจัด

ประสบการณ์การเรียนรู้ในเนื้อหาใดก็ได้โดยต้องไม่คำนึงถึงอายุและชั้นพัฒนาการ ตราบใดที่เด็กมี

ความพร้อม ที่จะเรียนรู้และสามารถที่จะรับความรู้นั้นได้ และเนื่องจากเด็กแต่ละคนมีความพร้อมใน

การเรียนรู้แตกต่างกัน ดังนั้นครูจะต้องพิจารณาถงความพร้อม และความสามารถของเด็กคนนั้น

เพื่อที่จะจัดวิธีการจัดประสบการณ์ การเรียนรู้ที่เหมาะสมกับเด็กแต่ละคน นอกจากนี้ Bruner ยังเชื่อ
ว่า มนุษย์เลือกที่จะรับรู้สิ่งที่ตนเองสนใจ การเรียนรู้เกิดจากกระบวนการค้นพบด้วยตนเอง

(Discovery Learning) ที่เด็กได้มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมซึ่ง จะนำไปสู่การค้นพบการแก้ปัญหา


การที่เด็กได้ปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมจะทำให้เด็กมการประมวลข่าวสาร ข้อมูล รับรู้สิ่งที่ตนเองเลือก
หรือสิ่งที่สนใจ แล้วนำไปสู่การคันพบการแก้ปัญหา เนื่องจากธรรมชาติของเด็กจะมีลักษณะของการ

อยากรู้อยากเห็น ทำให้เป็นแรงบันดาลใจในการแสวงหาคำตอบ สำรวจสิ่งแวดล้อมจนทำให้ เกิดการ
เรียนรู้โดยการค้นพบขึ้น การเรียนรู้แบบค้นพบด้วยตนเองจึงมีลักษณะดังนี้


1. การเรียนรู้จะเกิดขึ้นต่อเมื่อเด็กมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม


2. เด็กแต่ละคนมีประสบการณ์และพื้นฐานความรู้ที่แตกต่างกัน การเรียนรู้เกิดจากการที่เด็ก

สร้างความสัมพันธ์ระหว่างความรู้เดิมกับสิ่งที่ค้นพบใหม่และนำมาสร้างเป็นความหมายใหม่


3. เด็กสามารถรับสิ่งเร้าที่ให้เลือกได้หลายอย่างพร้อมๆกัน


ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า Bruner เน้นว่าครูสามารถพัฒนาส่งเสริมให้เด็กมีความพร้อมได้โดยไม ่
ต้องรอเวลาและสามารถจัดประสบการณ์ได้ทุกช่วงอายุ ขั้นตอนพัฒนาการทางปัญญาของ Bruner


(สุรางค์ โค้วตระกูล, 2559) ประกอบด้วย 3 ขั้นตอนดังนี้


ขั้นที่ 1 ขั้นการเรียนรู้จากการกระทำ (Enactive) ในขั้นนี้เด็กจะแสดงออกทางปัญญาด้วย

การกระทำ จะเป็นวิธีการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม โดยการที่เด็กต้องลงมือกระทำด้วยตนเอง เด็ก

ต้องได้สัมผัสจับต้องด้วยมือ ผลัก ดึง ใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้ทำกับวัตถุ สิ่งของที่มีอยู่รอบตัวหรือแม้แต่

การเลียนแบบพฤติกรรม ซึ่งถ้าเป็นการเรียนรู้ของผู้ใหญ่กระทำนี้อาจเป็นทักษะที่มีความซับซ้อน เช่น
ทักษะการขับรถ ทักษะการขี่จักรยาน เป็นต้นเรียนรู้ที่เด็กหรือผู้เรียนในขั้นนี้คือการที่ลงมือปฏิบัติ

เพื่อให้ได้รับประสบการณ์ตรงและสัมผัสกับสิ่งแวดล้อม

41







ขั้นที่ 2 ขั้นการเรียนรู้จากความคิด (Iconic) ในชั้นพัฒนาการทางความคิดนี้จะเกิดจากการ
มองเห็นและการใช้ประสาทสัมผัส สามารถถ่ายทอดประสบการณ์ต่างๆเหล่านั้นด้วยการมีภาพในใจ

เมื่อเด็กสามารถสร้างจินตนาการในใจได้ เด็กจะสามารถเรียนรู้สิ่งๆในโลกได้ดยใช้ภาพจินตนาการ

ดังนั้นในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับเด็ก เด็กสามารถเรียนรู้โดยใช้ภาพแทนการสัมผัสจาก

ของจริงเพอที่จะช่วยขยายการเรียนรู้ที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะความคิดรวบยอด กฎและหลักการซึ่งไม่
ื่
สามารถแสดงให้เห็นได้ Bruner จึงเสนอแนะว่าในการจะช่วยให้เด็กประสบความสำเร็จในการมี
จินตนาการ ครูควรจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยมีสื่อ เช่น ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวจากวีดิทัศน์ ของ

จำลอง


ขั้นที่ 3 ขั้นการเรียนรู้สัญลักษณ์และนามธรรม (Symbolic) เป็นขั้นที่ Bruner ถือว่าเป็นขั้น

พัฒนาการสูงสุดของความรู้ความเข้าใจ เป็นขั้นที่เด็กมีความสามารถเข้าใจในสิ่งที่เป็นนามธรรมหรือ

ความคิดรวบยอดที่ซับซ้อนแล้วจึงสามารถที่จะสร้างสมมติฐานและพิสูจน์สมมติฐานว่าถูกหรือผิดได้

เป็นขั้นของการคิดเชิงเหตุผลหรือแก้ปัญหา





การจัดประสบการณ์ทางคณิตศาสตร์สําหรับเด็กปฐมวย



จุดมุ่งหมายในการจัดประสบการณ์ทางคณิตศาสตร์สําหรับเด็กปฐมวย

เพ็ญจันทร์ เงียบประเสริฐ (2542) กำหนดจุดมุ่งหมายของการสอนคณิตศาสตร์ควร

ประกอบด้วยลักษณะต่างๆ ดังต่อไปนี้


1. ให้มีความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์


2. ให้มีทักษะในการคิดคำนวณ


3. ให้มีความเข้าใจคณตศาสตร์ และใช้สื่อสารได้


4. ให้สามารถใช้เหตุผลแก้ปัญหาได้

5. ให้เห็นคุณค่า มีความมั่นใจและมีเจตคติที่ดีต่อคณิตศาสตร์


คมขวัญ ออนบึงพร้าว (2550) กำหนดจุดมุ่งหมายในการเตรียมทักษะพื้นฐานทาง

คณิตศาสตร์ ดังต่อไปนี้

42







1. เพื่อเตรียมเด็กให้พร้อมที่จะเรียนรู้คณิตศาสตร์ในระดับต่อไป

2. เพื่อพัฒนาความสามารถในการใช้เหตุผลในการเปรียบเทียบ มีทักษะในการ


แก้ปัญหาเพื่อให้เกิดความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์

3. เพื่อการมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนคณิตศาสตร์ และสามารถนำไปใช้ใน

ชีวิตประจำวันได้


สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2551) กล่าวถึงคุณภาพเมื่อจบ

การศึกษาปฐมวัยไว้ ดังนี้

1. มีความคิดเชิงคณิตศาสตร์ (Mathematical Thinking) มีความรู้ความเข้าใจ

พื้นฐานและมีพัฒนาการด้านความรู้สึกเชิงจำนวนเกี่ยวกับจำนวนนับ 1 ถึง 20 เข้าใจหลักการการนับ

รู้จักตัวเลขฮินดูอารบิกและตัวเลขไทย รู้ค่าของจำนวน เปรียบเทียบจำนวน เรียงลำดับจำนวน

ตลอดจนเข้าใจเกี่ยวกับการรวมกลุ่ม และการแยกกลุ่ม


2. มีความรู้ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับความยาว น้ำหนัก ปริมาตร เงิน และเวลา
สามารถเปรียบเทียบเรียงลำดับ และวัดความยาว น้ำหนัก ปริมาตร โดยใช้เครื่องมือและหน่วยที่ไม่ใช่


หน่วยมาตรฐานรู้จักเงินเหรียญและธนบัตร เข้าใจเกี่ยวกับเวลาและคำที่ใช้บอกช่วงเวลา

3.มีความรู้ความเข้าใจพื้นฐานทางเรขาคณิต เข้าใจเกี่ยวกับตำแหน่ง ทิศทางและ

ระยะทางรู้จัก จำแนกรูปเรขาคณิตสามมิติและรูปเรขาคณิตสองมิติ เข้าใจการเปลี่ยนแปลงรูป

เรขาคณิตสองมิติและสามารถใช้รูปเรขาคณิตสามมิติและสองมิติสร้างสรรค์งานศิลปะ


4.มีความรู้ความเข้าใจแบบรูปของรูปที่มีรูปร่าง ขนาด สี ที่สัมพันธ์กันอย่างใดอย่าง

หนึ่ง


5.มีส่วนร่วมในการให้ข้อมูลและนำเสนอข้อมูลในรูปแผนภูมิอย่างง่าย

6.มีทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ที่จำเป็น ได้แก่ ความสามารถในการ

แก้ปัญหา การให้เหตุผล การสื่อสาร การสื่อความหมายทางคณิตศาสตร์และการนำเสนอการเชื่อมโยง

ความรู้ต่าง ทางคณิตศาสตร์และเชื่อมโยงคณิตศาสตร์กับศาสตร์อื่นๆ และมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์


บุษยมาศ ผึ้งหลวง (2556) กล่าวว่า จุดมุ่งหมายในการเตรียมความพร้อมและทกษะพื้นฐาน
ทางคณิตศาสตร์สําหรับเด็กปฐมวัย เป็นแนวทางในการเตรียมความพร้อมทางคณิตศาสตร์ขั้นพื้นฐาน

43







เพื่อให้เด็กมความรู้ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ ซึ่งได้รับการฝึกฝนทักษะทางคณิตศาสตร์

จากการนับ การจัดประเภท การเปรียบเทียบ การเรียงลำดับ ฯลฯ ความรู้ที่ได้รับจากการศึกษา

สามารถนำมาปรับใช้แก้ปัญหาในชีวิตประจำวันอย่างมีเหตุผล วิธีการคิดอย่างมีระบบแบบแผน มีเจต

คติที่ดีต่อการเรียนรู้ณิตศาสตร์ในระดับชั้นต่อไป และมีความสุขในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์


สรุปได้ว่า จุดมุ่งหมายในการเตรียมความพร้อมและความเข้าใจทางคณิตศาสตร์สําหรับเด็ก

ปฐมวัย คือ การส่งเสริมให้เด็กมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนคณตศาสตร์ มีความรู้ความเข้าใจพื้นฐาน

เกี่ยวกับคณิตศาสตร์ในเรื่องเกี่ยวกับค่าจำนวน การเปรียบเทียบจำนวน การเรียงลำดับ การรวมกลุ่ม
การแยกกลุ่ม การวัดแบบหน่วยที่ไม่ใช่หน่วยมาตรฐาน ตำแหน่ง ทิศทาง เรขาคณิต สี ขนาด รูปร่าง

ื่
และการนำเสนอข้อมูล เพอมุ่งให้เด็กเกิดทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ที่จำเป็นและสามารถ
นำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้





กิจกรรมในการจัดประสบการณ์ทางคณิตศาสตร์สําหรับเด็กปฐมวย

กิจกรรมในการจัดประสบการณ์ทางคณิตศาสตร์สําหรับเด็กปฐมวัย สามารถจัดให้สอดแทรก

ในกิจกรรมต่างๆได้ เช่น การเล่นบล็อก การเล่นน้ำ เล่นทราย การเล่นมุมต่าง ๆ กิจกรรมเคลื่อนไหว
และจังหวะ การท่องคำคล้องจอง การร้องเพลง การเล่นทายปัญหา การเล่นเกมคอมพิวเตอร์


กิจกรรมศิลปะ และเกมฝึกทักษะต่าง ๆ (ประจักษ์ อเนกฤทธิ์มงคล, 2560) สอดคล้องกบ Tayler &
Young (1972) ได้เสนอกิจกรรมที่มีส่วนส่งเสริมทักษะด้านต่าง ๆ โดยรวมถึงทักษะพื้นฐานทาง

คณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย ไว้ดังนี้


1. การเล่นบล็อกขนาดใหญ่


2. การเล่นบล็อกขนาดเล็ก


3. การวาดภาพด้วยชอล์ก


4. การเล่นดินเหนียว

5. การประดิษฐ์ภาพ


6. การระบายสีด้วยสีเทียน


7. การตัด - ปะ

44







8. การเล่นมุมบ้าน


9. การวาคภาพด้วยการใช้กระคานขาหยั่ง ใช้นิ้ว ใช้ฟองน้ำ และวัสดุอื่น ๆ


10. การเล่นทราย

11. การร้อยลูกปัด


12. การเล่นน้ำ


13. งานไม้

Mayesky (1998) กล่าวว่า ศูนย์การเรียนที่ช่วยส่งเสริมให้เด็กเกิดการเรียนรู้ทางคณิตศาสตร์

ได้แก่ ศูนย์การเคลื่อนไหว ศูนย์เล่นน้ำ ศูนย์ภายา ศูนย์บล็อกและศูนย์ศิลปะ


สถาบันราชานุกูล กรมสุขภาพจิต (2557) กล่าวถึง กิจกรรมพัฒนาทักษะด้านคณิตศาสตร์

เบื้องต้นในเด็กปฐมวัย ดังนี้


1. สร้างรูปทรง เล่นเกมคัดแยกรูปทรง พูดคุยเรื่องรูปทรงแต่ละชนิดกับลูก นับด้าน บอกสี

สร้างรูปทรงเองโดยตัดรูปทรงขนาดใหญ่จากกระดาษสีขอให้เด็กกระโดดบนวงกลมหรือบนกระดาษสี

ที่สร้างขึ้น

2. นับและคัดแยก รวบรวมตะกร้าของเล่นชิ้นเล็กๆ ที่หาได้ในบ้าน เช่น เปลือกหอยก้อน

กรวดหรือกระดุม นับจำ นวนพร้อมกับลูกคัดแยกตามขนาด สีหรือกลุ่ม เช่นแยกรถไว้กองหนึ่งสัตว์ไว้

อีกกองหนึ่ง


3. โทรศัพท์ เมื่อลูกอายุ 3 ขวบ เริ่มด้วยการสอนที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์บ้าน คุยกับลูกว่าแต่

ละบ้านมีเลขที่บ้าน อพาร์ทเม้นท์แต่ละแห่งก็มีหมายเลขเป็นของตนเอง

4. ขนาดสิ่งของ ให้เด็กสังเกตขนาดของวัตถุรอบตัวว่ามีขนาดใหญ่หรือใหญ่ที่สุด ขนาดเล็ก

หรือเล็กที่สุด


5. ทำอาหาร ให้ลูกช่วยเติม คนและเทส่วนผสมของอาหาร กิจกรรมนี้จะช่วยให้ลูกเรียนรู้การ

นับ ชั่งตวง วัดเพิ่มและกะจำนวน


6. เดินเล่น ให้ลูกเปรียบเทียบ เช่น หินก้อนไหนใหญ่กว่า ให้หัดประเมิน เช่น เราพบก้อนหิน

กี่กอน ฝึกสังเกต จดจำความเหมือนและความต่าง เช่น เป็ดมีขนเหมือนกระต่ายหรือไม่ และฝึกการ


45







จำแนก เช่น ลองหาใบไม้สีแดงให้เจอเรียนรู้เรื่องขนาด เช่น เดินก้าวสั้นและก้าวยาว ฝึกคะเน
ระยะทาง เช่น สวนสาธารณะอยู่ใกล้หรือไกลบ้านและฝึกการนับ เช่น นับจำ นวนก้าวในการเดินจาก

ที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง



7. ภาพบอกเวลา ใช้นาฬกาทราย นาฬิกาจับเวลา ลองจับเวลากิจกรรมที่ใช้เวลาสั้นๆ จะช่วย
ให้ลูกพัฒนาการรับรู้เรื่องเวลาและเข้าใจว่ากิจกรรมบางอย่างใช้เวลามากกว่ากิจกรรมอื่นๆ


8. แยกรูปทรง ชี้ไปยังรูปทรงสีต่างๆ ที่พบระหว่างวัน เช่น ป้ายรูปสามเหลี่ยมสีเหลืองหรือรูป
สี่เหลี่ยมผืนผ้าสีแดงในร้านค้า


9. ร้องเพลงเกี่ยวกับจำนวน เลือกเพลงเกี่ยวกับจำนวนที่มีจังหวะและทำนองในการร้องซํ้า ๆ

เพลงเหล่านี้จะเสริมเรื่องรูปแบบ ซึ่งเป็นทักษะด้านคณิตศาสตร์ฝึกภาษาได้สนุกและสนับสนุนทักษะ

ทางสังคมในด้านความร่วมมือให้กับเขาได้อีกด้วย


10. ใช้ปฏิทิน พูดคุยถึงเรื่องวันที่วันในแต่ละสัปดาห์ซึ่งจะเสริมการนับ ลำ ดับ และรูปแบบ

สร้างทักษะการคิดอย่างมีเหตุผลด้วยการพูดถึงอากาศเย็นแล้วถามลูกว่าควรสวมใส่ชุดแบบไหนเมื่อ

อากาศเย็น จะทำ ให้ลูกน้อยเกิดการเชื่อมโยงระหว่างอากาศเย็นกับเสื้อผ้าที่ใส่แล้วอบอุ่น

11. การแจกสิ่งของ ให้ลูกช่วยแจกจ่ายสิ่งของ เช่น ขนมว่างหรือวางกระดาษเช็ดปากบนโต๊ะ

อาหารมื้อเย็น ช่วยแจกขนมปังกรอบ ให้เพอนๆแต่ละคน ซึ่งจะช่วยให้ลูกเข้าใจการจับคู่วัตถุกับวัตถุ
ื่
หรือจำ นวนที่สอดคล้องกัน ขณะแจกของเน้นแนวคิดเรื่องจำ นวนชิ้นหนึ่งให้คุณชิ้นหนึ่งให้ฉันชิ้นหนึ่ง

ให้คุณพ่อ หรือ เราใส่รองเท้าหนึ่งข้างสองข้าง


12. ต่อก้อนไม้ ให้โอกาสลูกเล่นก้อนไม้ชุดตัวต่อพลาสติกกล่องเปล่า กล่องนม เป็นต้น จะ
ช่วยให้เขาเรียนรู้รูปทรงและความสัมพันธ์ระหว่างรูปทรงต่างๆ เช่น รูปสามเหลี่ยมสองอันต่อกันเป็น

รูปสี่เหลี่ยม การเล่นกล่องและถ้วยทำ ให้ลูกน้อยเข้าใจความสัมพันธ์ของวัตถุขนาดต่างกัน


ื่
13. เล่นลอดอุโมงค์ เปิดกล่องกระดาษขนาดใหญ่แต่ละด้านออกเพอทำ เป็นอุโมงค์ทำให้ลูก
น้อยเข้าใจว่าร่างกายอยู่ในที่ว่างและสัมพันธ์กับวัตถุอื่นๆ


14. ความยาวของวัตถุ ตัดริบบิ้น ด้ายหรือกระดาษที่มีความยาวต่างกัน 3-5 ชิ้น ถามลูกว่าชิ้น
ไหนสั้น ชิ้นไหนยาวแล้วให้เด็กเรียงตามลำดับจากชิ้นที่ยาวที่สุดไปหาชิ้นที่สั้นที่สุด


15. เรียนรู้จากการสัมผัส ตัดกระดาษแขงเป็นรูปทรงต่างๆ เช่น ทรงกลม สี่เหลี่ยม

สามเหลี่ยม ให้ลูกสัมผัสขณะลืมตา จากนั้นค่อยปิดตา


Click to View FlipBook Version