ก
โรงเรียนเทศบาล ๕ (บ้านตลาดเก่า) ตระหนักและเห็นความสำคัญของการพัฒนาคุณภาพ
การศึกษา ซึ่งการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้นับว่ามีความสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาครูและนักเรียน
ในยุคปัจจุบันที่ต้องใช้การวิจัยเป็นพื้นฐานจะได้มาซึ่งองค์ความรู้ โดยสอดคล้องกับพระราชบัญญัติ
การศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2545 มาตรา 24
ที่กำหนดให้ครูสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ทั้งนี้ครูและนักเรียน
อาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อการเรียนการสอนและแหล่งวิทยาการต่าง ๆ มาตรา 30 ให้สถานศึกษา
พัฒนากระบวนการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งส่งเสริมให้ครูสามารถทำการวิจัยเพื่อ
พัฒนาการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับนักเรียนในแต่ละระดับการศึกษา ซึ่งการนิเทศภายในโรงเรียนก็เป็น
กระบวนการหนึ่งที่จะช่วยส่งเสริมสนับสนุนครูในด้านการจัดกระบวนการจัดการเรียนการสอน และ
การจัดทำวจิ ยั ปฏบิ ัติการในช้ันเรยี นใหม้ ปี ระสิทธิภาพ
คูม่ ือการใชร้ ูปแบบการนิเทศภายในแบบผสมผสานเพื่อส่งเสริมความสามารถดา้ นการวิจัย
ปฏิบัติการในชั้นเรียนของครูโรงเรียนเทศบาล ๕ (บ้านตลาดเก่า) เล่มนี้ได้นำไปใช้เป็นแนวทางในการ
นิเทศภายในโรงเรียนเพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน โดยนำรูปแบบ
ของการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) ซึ่งเป็นรูปแบบการจัดการเรียนรู้ท่ี
ผสมผสานการเรยี นรู้บนเว็บและการเรยี นรู้ในห้องเรียนหรือการพบหนา้ เข้าดว้ ยกนั ทำให้เกิดการ
เรียนรู้ที่ยืดหยุ่น สามารถศึกษาและฝึกปฏิบัติด้วยตนเองได้ทุกเวลาจากทุกสถานที่ตามความ
ต้องการของตนเองโดยใช้สิ่งแวดล้อมออนไลน์และสิ่งแวดล้อมในชั้นเรียนหรือที่เรียกกันว่า แบบ
พบหน้า
ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คู่มือการใช้รูปแบบการนิเทศภายในแบบผสมผสานเพื่อส่งเสริม
ความสามารถด้านการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนของครูโรงเรียนเทศบาล ๕ (บ้านตลาดเก่า) จะช่วย
เติมเต็มความรู้ความเข้าใจที่จะเป็นประโยชน์สำหรับการนิเทศภายในโรงเรียนได้เป็นอย่างดี และ
ขอขอบคุณ ผู้อำนวยการสำนักการศึกษา เทศบาลนครยะลา ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ทรงคุณวุฒิ และ
คณะครูโรงเรียนเทศบาล ๕ (บ้านตลาดเก่า) ที่ได้ให้กรอบแนวคิด ทฤษฎี ในการจัดทำคู่มือการใช้
รูปแบบการนิเทศภายในแบบผสมผสานเพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน
ของครูโรงเรียนเทศบาล ๕ (บ้านตลาดเก่า) ฉบับนี้สำเร็จเรียบร้อยด้วยดี ตลอดจนขอขอบคุณ
เจ้าของเอกสาร สื่อต่าง ๆ ที่นำมาใช้ในการประกอบค้นคว้า อ้างอิง หรือใช้เป็นส่วนหนึ่ งของ
เนือ้ หาสาระในคู่มือฉบบั นี้
ศวิ พร ยืนชนม์
ข
คำนำ ก
สารบญั ข
คำชแี้ จง 1
ความเปน็ มาและความสำคัญของรูปแบบการนเิ ทศฯ 2
แนวคดิ พืน้ ฐานของรูปแบบการนเิ ทศฯ 7
องค์ประกอบของรปู แบบการนิเทศ 38
42
- หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 1 ความร้เู บ้ืองต้นเกยี่ วกบั การวิจัยปฏิบัตกิ ารในชั้นเรยี น 53
- หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 2 นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ 63
- หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 3 การรวบรวมขอ้ มูล เคร่ืองมือและสถิตทิ ่ีใช้สำหรับ
78
การวิจยั ปฏบิ ตั ิการในชนั้ เรยี น 97
- หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 4 การเขียนรายงานการวจิ ัยปฏิบตั ิการในชัน้ เรยี น 105
บรรณานุกรม
ประวัติผู้จัดทำ
12
13
1
คมู่ ือการใชร้ ปู แบบการนเิ ทศภายในแบบผสมผสานเพ่ือส่งเสริมความสามารถดา้ นการวิจัย
ปฏิบัติการในชั้นเรียนของครูโรงเรียนเทศบาล ๕ (บ้านตลาดเก่า) เล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นแนวทาง
ในการส่งเสริมความสามารถด้านการวจิ ยั ปฏิบัติการในชั้นเรียนโดยใช้กระบวนการนิเทศภายในแบบ
ผสมผสานของครูโรงเรียนเทศบาล ๕ (บ้านตลาดเก่า) ที่ได้นำเสนอกระบวนการดำเนินงานและ
ขั้นตอนการทำวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนไว้อย่างเป็นระบบ จึงมั่นใจว่าผู้ที่ได้ศึกษาทุกคนหากได้
ศึกษาเนื้อหาสาระจากคู่มือเล่มนี้แล้ว จะสามารถดำเนินการนิเทศภายในโรงเรียนและเป็นพัฒนา
ความเป็นครดู ้านวิจยั ในชนั้ เรยี นเพื่อพฒั นาคณุ ภาพการศกึ ษาได้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ
สาระสำคัญใน “คู่มือการใช้รูปแบบการนิเทศภายในแบบผสมผสานเพื่อส่งเสริมความสามารถ
ด้านการวจิ ยั ปฏิบตั ิการในชัน้ เรียนของครูโรงเรียนเทศบาล ๕ (บา้ นตลาดเก่า)” ประกอบดว้ ย
- ความเปน็ มาและความสำคัญของรูปแบบการนเิ ทศฯ
- แนวคดิ พน้ื ฐานของรปู แบบการนิเทศฯ
- องคป์ ระกอบของรปู แบบการนเิ ทศ
สำหรับการนำคู่มือการนิเทศเล่มนี้ไปใช้ ผู้บริหารสถานศึกษา คณะกรรมการนิเทศของ
สถานศึกษาและครู ควรได้ศึกษาทำความเข้าใจโดยละเอียดและควรศึกษาเอกสารนิเทศการวิจัย
ปฏิบัติการในชั้นเรียนทั้ง 4 หน่วยการเรียนรู้ นอกจากนี้ควรประชุมเพื่อดำเนินงานนิเทศภายใน
โรงเรียนตามแนวทางการดำเนินงานนี้หรือสถานศึกษาอาจมีวิธีการดำเนินงานเป็นอย่างอื่น ก็อาจใช้
บางส่วนของคู่มือเล่มนี้เป็นแนวทางในการพัฒนาแล้วจัดทำเป็นรูปเล่มและนำไปปฏิบัติการนิเทศ
ภายในและการพฒั นาทักษะการวิจัยปฏบิ ตั กิ ารในชัน้ เรยี นไดต้ ลอดปีการศกึ ษา
ศวิ พร ยืนชนม์
2
ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development
Goals; SDGs) ซึ่งถือเป็นทิศทางร่วมกนั ของโลกอนาคตระหวา่ งปี ค.ศ.2015 – 2030 (พ.ศ.2558
– 2573) มุ่งเน้นการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพพลเมืองให้มีคุณภาพ ส่งผลต่อการพัฒนา
ประเทศทุกด้านในระยะยาว โดยใช้การศึกษาและการเรียนรู้เป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการ
ขับเคลอื่ นประเทศไทยใหบ้ รรลุเป้าหมายวา่ ทุกคนมีการศกึ ษาที่มีคณุ ภาพอย่างท่วั ถึงและเท่าเทียม
และสนับสนุนโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยเร่งพัฒนาคุณภาพในทุกระดับการศึกษาที่
ครอบคลุมทั้งด้านโอกาสทางการศึกษา ความเสมอภาค ความเท่าเทียมและทั่วถึงในทุกช่วงวัย
(สำนักงานเลขาธิการสภาการศกึ ษา, 2560 อ้างถึงใน พร : 231)
การจัดการศึกษาให้มีคุณภาพได้มาตรฐานสอดคล้องกับความต้องการของบุคคลและสังคม
มีความสำคัญยิ่งในการพัฒนาคนซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญของประเทศ แผนการศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ.2560 – 2579 ได้กำหนดวิสัยทัศน์ไว้ กล่าวคือ “คนไทยทุกคนได้รับการศึกษาและเรียนรู้ตลอด
ชีวิตอย่างมีคุณภาพ ดำรงชีวิตอย่างเป็นสุข สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
และการเปล่ียนแปลงของโลกศตวรรษที่ 21” และมกี ารกำหนดยุทธศาสตร์ของแผนการศึกษาแห่งชาติ
6 ยุทธศาสตร์ ดังนี้ 1) การจัดการศึกษาเพื่อความมั่นคงของสังคมและประเทศชาติ 2) การผลิตและ
พัฒนากำลังคน การวจิ ัยและนวัตกรรมเพือ่ สร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ 3) การพัฒนา
ศักยภาพของคนทุกช่วงวัยและการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ 4) การสร้างโอกาส ความเสมอภาคและ
ความเท่าเทียมทางการศึกษา 5) การจัดการศึกษาเพื่อสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
6) การพัฒนาประสิทธิภาพของระบบบริหารจัดการศึกษา ซึ่งในแผนการศึกษาแห่งชาติฉบับดังกล่าว
ได้กล่าวถึงบทบาทของครูจะต้องเป็นผู้มีทักษะ ความรู้ ความสามารถและสมรรถนะตามมาตรฐาน
วิชาชีพครู มีจิตวิญญาณความเป็นครู เป็นผู้เรียนรู้สิ่งใหม่และเท่าทันการเปลี่ยนแปลงสามารถ
ประยุกต์ใช้วิธีการและนวัตกรรมการเรียนการสอนเพื่อพัฒนานักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพได้
(สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2560 : ฉ - ฑ)
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพุทธศักราช 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545
และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2553 ในหมวด 4 ว่าด้วยแนวการจัดการศึกษากล่าวถึงหลักการสำคัญของ
การจัดกระบวนการเรียนการสอน มาตรา 24 (5) การจัดกระบวนการเรียนรู้ให้สถานศึกษาและ
หนว่ ยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ “สง่ เสริม สนบั สนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม
สื่อการเรียนและอำนวยความสะดวก เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้ง
สามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ ทั้งนี้ ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกัน
จากสอื่ การเรยี นการสอนและแหลง่ วิทยาการประเภทตา่ ง ๆ” และมาตรา 30 ยังบัญญัติไวว้ ่า
3
“ใหส้ ถานศึกษาพัฒนากระบวนการเรยี นการสอนท่ีมีประสิทธิภาพ รวมท้งั การส่งเสรมิ ใหผ้ ้สู อนสามารถ
วิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ละระดับการศึกษา” (ฝ่ายวิชาการสำนักพิมพ์
เดอะบุคส,์ 2556. 13 - 14)
การท่ีจะทำให้บรรลุความมุ่งหมายและแนวคิดตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พุทธศักราช 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545 และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2553 ได้นั้น จะต้อง
ใช้แนวทางหรือวิธีการพัฒนาที่หลากหลาย การนิเทศนับเป็นวิธีการหนึ่งของการพัฒนาคุณภาพ
การศึกษา จึงได้มีการกำหนดไว้ในกฎกระทรวงว่าด้วยระบบ หลักกเกณฑ์และวิธีการประกัน
คุณภาพภายในสถานศึกษา พ.ศ.2542 ซึ่งกำหนดการกำกับ ติดตามการจัดการศึกษาของ
ผู้บริหารไว้อย่างชัดเจน นอกจากนี้เกณฑ์การประเมินคุณภาพภายนอกของสำนักงานรับรอง
มาตรฐานและประกันคุณภาพการศึกษา (สมศ.) ไดก้ ำหนดใหม้ กี ารนิเทศภายในเป็นสว่ นหน่ึงของ
เกณฑ์การประเมินเพื่อให้ผู้บริหารสถานศึกษาได้ตระหนักถึงความสำคัญและนำไปปฏิบัติใน
โรงเรยี นให้มีประสทิ ธิภาพและได้ผลอย่างเป็นรูปธรรม (ธีระ รญุ เจรญิ , 2550 : 8-25)
การนิเทศการศึกษาเป็นกลไกสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษา เพราะเป็น
กระบวนการที่มุ่งเน้นให้ได้มาซึ่งผลผลิตที่มีคุณภาพ โดยการทำงานร่วมกันระหว่างผู้บริหาร ครู
และผู้นิเทศหรือศึกษานิเทศก์ การนิเทศการศึกษามีจุดมุ่งหมายสำคัญ 4 ประการ คือ ประการ
ที่หน่งึ “พัฒนาคน” คอื เป็นการทำงานรว่ มกับครู ผูบ้ ริหารและบคุ ลากรทางการศึกษา เพื่อให้
ครูและบุคลากรเหล่านั้นได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในทางที่ดีขึ้น ประการที่ 2 “พัฒนางาน”
เนื่องจากการนิเทศการศึกษามีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่ผู้เรียนซึ่งเป็นผลผลิตจากการเรียนรู้ให้ดีข้ึน
ประการที่สาม “สร้างการประสานสัมพันธ์” เป็นผลที่เกิดจากการทำงานร่วมกัน รับผิดชอบร่วมกัน
ผลัดเปลย่ี นกันเป็นผู้นำ ผูต้ าม ประการสุดท้าย คอื “การสรา้ งขวญั และกำลังใจ” เปน็ ส่ิงท่ีจะทำให้
บุคคลตัง้ ใจทำงาน (ชนดิ า วิสะมติ นันท,์ 2555 : 2)
สภาพปัจจุบันนี้มีข้อจำกัดหลายประการที่ทำให้การนิเทศการศึกษาไม่สามารถปฏิบัติได้
ครบถ้วน จึงทำให้ไม่สะดวกในการปฏิบัติงานนเิ ทศ และบุคลากรศึกษานเิ ทศกม์ ีน้อย นอกจากนี้
ในสภาพปัจจุบนั สถานศึกษาบางแห่งมีบุคลากรส่วนหนึ่งที่มีความรู้ความสามารถในการจัดการเรียนรู้
ได้เป็นอย่างดี รวมทั้งเป็นผู้รู้และเข้าใจสภาพปัจจุบัน ปัญหาและความต้องการของสถานศึกษา
และชุมชน และมีความใกล้ชิดครู รู้จุดเด่น จุดด้อยได้ดีกว่า ระบบการศึกษาที่เหมาะสมก็คือ
การนิเทศภายในโรงเรียน และสามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้ การนิเทศภายใน
สถานศึกษา ซึ่งเป็นระบบของความร่วมมือกันของผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนใน
สถานศึกษาเพื่อพัฒนางานวิชาการของสถานศึกษาให้เปน็ ไปตามมาตรฐานการศึกษา โดยการให้
คำปรึกษา แนะนำ ช่วยเหลือครหู รือบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาให้ปรับปรุงวิธีสอน
การวัดผลประเมินผลให้มปี ระสิทธิภาพเปน็ ไปตามวัตถปุ ระสงค์และเป้าหมายของการจดั การศึกษา
ทำใหค้ รผู ู้รบั การนิเทศ
4
ได้รับการพัฒนาวิชาชีพ มีความพึงพอใจ มีกำลังใจที่จะพัฒนาการเรียนการสอนและยกระดับ
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นของนกั เรียนให้สูงขึ้นจนส่งผลให้สถานศึกษาเป็นที่ยอมรบั ของผู้เกี่ยวข้อง
(ธเนศ ขำเกิด, 2545 : 30)
ในปัจจุบัน ผู้เรียนมีความสำคัญมากที่สุดในการจัดการเรียนการสอน จึงต้องเน้นไปท่ี
ผู้เรียนผลที่เกิดกับผู้เรียนเป็นสำคัญ ครูซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการจัดการเรียนการสอน
จะต้องมงุ่ มั่นในการจดั และพฒั นาการเรียนการสอนให้มีคุณภาพและประสิทธภิ าพ เพื่อพัฒนาให้
ผู้เรียนมีความรู้ ความสามารถเต็มตามศักยภาพ ครูต้องอาศัยเทคนิควิธีการจัดการเรียนการสอน
ในรูปแบบต่าง ๆ ที่หลากหลาย และครูต้องเปลีย่ นมโนทศั น์ (Concept) เกีย่ วกับการเรยี นการสอนใหม่
ให้ครูนำกระบวนการวิจัยมาผสมผสานหรือบูรณาการในการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียน
นอกจากนี้แล้วให้ครูมีบทบาทเป็นครูนักวิจัย (Teacher Researcher) ใช้การวิจัยเสรมิ การสอน
ซึ่งเป็นงานหลักของครูกล่าวคือ ใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้หรือกระบวนการ
จดั การเรียนการสอนในช้ันเรยี น เพอ่ื พฒั นาการเรยี นรู้ให้เหมาะสมกับผู้เรียนและเกิดประโยชน์สูงสุด
การวจิ ยั ในลกั ษณะน้เี ป็นการวจิ ัยเพือ่ พัฒนาการเรยี นร้หู รือการวิจยั ในชั้นเรียน โดยการวจิ ยั ในช้ันเรียน
นั้นมีประโยชน์ต่อผู้เรียน คือ ช่วยให้ผู้เรียนที่มีปัญหาได้รับการพัฒนาหรือแก้ปัญหาอย่างถูกวิธี
ประโยชน์ต่อครู คอื ครมู กี ารวางแผน การทำงานอย่างเปน็ ระบบ สามารถสรุปเขียนรายงานการวิจัย
ในช้นั เรียนเพื่อรองรับการประเมินต่าง ๆ และใช้รวบรวมเป็นผลงานทางวิชาการได้อีกด้วย แต่ปัญหา
สำคัญที่สุดคือครูขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องระเบียบวิธีการวิจัย สาเหตุสำคัญที่ทำให้ครูขาด
ความรู้ความเข้าใจคือไม่ได้รับการฝึกปฏิบัติ การทำวิจัยแต่ฝึกให้ทำหน้าที่สอนหนังสือ ครูยุคเก่า
ไม่ได้เรียนวิชาวิจัยในระดับปริญญาตรี เมื่อมีการปฏิรูปการศึกษาครูต้องทำวิจัยควบคู่กับการเรียน
การสอน การวจิ ยั ในช้นั เรียนเป็นการวจิ ัยท่คี รูผสู้ อนศึกษาค้นควา้ เพ่ือแก้ปัญหาการเรียนการสอน
ที่เกิดขึ้นในชัน้ เรียนทีต่ นรับผิดชอบ เช่นเดียวกับการประกันคุณภาพการศึกษาที่ให้เป็นส่วนหนงึ่
ของกระบวนการ โดยหลักการไม่ถือว่าเป็นภาระเพิ่มเตมิ แต่เพราะครูไม่ได้ศึกษาเรื่องการวิจัยมาก่อน
ทำให้ครูมีความรู้เกี่ยวกับการทำวิจัยไม่เพียงพอ จึงกลายเป็นปัญหาและภาระ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
การทำวิจัยในชั้นเรียนเต็มรูปแบบยิ่งมีปญั หามากขึ้น การพัฒนาความรู้ด้วยการฝึกอบรมในระยะสั้นๆ
เพียง 1-5 วัน ไม่ประสบผลเท่าที่ควรจึงทำให้ครูประสบปัญหาในการทำวิจัยในชั้นเรียน (พิชิต
ฤทธจ์ิ รูญ, 2553 : 2)
การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ยังต้องมีการผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับเนื้อหาและวิธีการ
สอนโดยใช้เทคโนโลยีสนับสนุนทฤษฎีการเรียนรู้รูปแบบใหม่ในการพัฒนาเนื้อหาและทักษะใช้
สื่อผสมอย่างหลากหลาย ปรับเปลี่ยนตามความสามารถและระดับของผู้เรียน (สถาบันวิจัยเพื่อ
การพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ), 2560 : 2) นอกจากนี้การศึกษาเกี่ยวกับแนวโน้มในการนิเทศใน
ทศวรรษหน้า พบว่า เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตจะมีบทบาทในการนิเทศการศึกษา ทั้งนี้เป็น
เพราะว่าอินเทอร์เน็ตเป็นช่องทางในการสื่อสารข้อมูลเป็นเครือข่ายนานาชาติถูกนำมาใช้ในการ
เรียนรู้และมีงานวจิ ัยมากมายรองรับว่าทำให้เกิดการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดีไม่แตกต่างจากการเรียน
การสอนตามปกติและการนำเทคโนโลยีออนไลน์ (Online Learning Activities) เข้ามา
5
ปกตซิ ่ึงเปน็ การรวมกันระหว่างชน้ั เรยี นแบบดั้งเดิม (Traditional Classroom) มชี อื่ เรียกเฉพาะ
วา่ การจดั การเรียนการสอนแบบผสมผสาน (Blended Learning) เปน็ รูปแบบการจดั การเรยี นการสอน
ที่ผสมผสานการเรียนบนเว็บและการเรียนในห้องเรียนเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดการเรียนที่ยืดหยุ่น
ตอบสนองตอ่ ความแตกตา่ งระหว่างบคุ คลของผู้เรียนทั้งด้านรูปแบบการเรียน รปู แบบการคิด ความสนใจ
และความสามารถของผู้เรียนแต่ละคนผู้เรียนสามารถศึกษาและฝึกปฏิบัติด้วยตนเองได้ ทุกเวลา
จากทุกสถานที่ตามความต้องการของตนเองและสามารถพัฒนาผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้อย่างมี
ความหมายโดยใช้สิง่ แวดล้อมออนไลน์และสิ่งแวดล้อมในชนั้ เรียน (ปณิตา วรรณพิรุณ, 2551 : 100)
โรงเรียนเทศบาล ๕ (บ้านตลาดเก่า) ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลนครยะลา จัดตั้งเมื่อเดือน
พฤษภาคม พ.ศ.2492 เดิมชอื่ “โรงเรยี นบ้านตลาดเก่า” สงั กดั โรงเรียนประถมศึกษา และวนั ที่ 1
ตุลาคม พ.ศ.2511 ได้โอนไปสังกัดเทศบาลเมืองยะลา กรมการปกครอง กระทวงมหาดไทย
โดยได้เปลี่ยนชื่อเป็น “โรงเรียนเทศบาล ๕ (บ้านตลาดเก่า)” ปัจจุบันเปิดปฏิบัติการสอนตั้งแต่
ระดบั ชัน้ ปฐมวัยถงึ ระดับชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวนนักเรียนทัง้ หมด 859 คน
จากรายงานผลการประเมินคุณภาพภายนอกรอบสาม โดยสำนักงานรับรองมาตรฐาน
และประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) ได้สรุปผลการประเมินคุณภาพภายนอกของ
โรงเรียนเทศบาล ๕ (บ้านตลาดเก่า) พบว่า ตัวบ่งชี้ที่ 5 ผู้เรียนมีความรู้และทักษะที่จำเป็นตาม
หลักสูตร ผลการประเมินด้านผู้เรียนได้ระดบั พอใช้ ซึ่งเป็นระดบั ต่ำกว่าดี มาจากหลายสาเหตแุ ละพบ
จุดที่ต้องพัฒนาว่านักเรียนควรได้รับการพัฒนาในด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ มีความสามารถในการ
คิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ รวมทั้งการเชื่อมโยงอย่างเป็นระบบเพื่อให้นักเรียนมีกระบวนการคิด
ครูควรพัฒนาในการประเมินความก้าวหน้าของนักเรียนด้วยวิธีที่หลากหลายให้เหมาะสมกับ
ธรรมชาติของวิชาและระดับพัฒนาการของนักเรียน รวมทั้งการวางเงื่อนไขให้นักเรียนประเมิน
ความกา้ วหน้าของตนเองและนำมาใช้ปรับปรุงและพฒั นาตนเอง มกี ารวเิ คราะหผ์ ลการประเมินและนำ
ผลมาใช้ในการซ่อมเสริมและพัฒนานักเรียนรวมท้ังปรบั ปรุงการจัดการเรยี นรู้ ตลอดจนผ้บู ริหารควร
พัฒนาระบบประเมินคุณภาพภายในและมาตรฐานการศึกษา การส่งเสริมและพัฒนาครูให้ผลิตสื่อใช้
อย่างหลากหลาย เหมาะสมกับนักเรียน การบริหารงานหลักสูตรและงานวิชาการ มีระบบการตรวจ
ติดตามคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษา การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ส่งเสริมและ
ตอบสนองดา้ นวิชาการและความคดิ สร้างสรรค์ของนักเรยี น (สำนกั งานรบั รองมาตรฐานและประเมิน
คุณภาพการศึกษา, 2555 : 6 - 8)
ผู้จัดทำในฐานะผู้อำนวยการสถานศึกษา รับตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา ตั้งแต่
ปีการศึกษา 2563 และก่อนหน้านี้ได้ปฏิบัติหน้าที่ ณ โรงเรียนเทศบาล ๕ (บ้านตลาดเก่า) ในตำแหน่ง
รองผู้อำนวยการสถานศกึ ษา ต้งั แต่ปกี ารศกึ ษา 2558 รวมระยะเวลาปฏิบัติงานในสถานศึกษาแห่งน้ี
เปน็ ระยะเวลา 7 ปกี ารศกึ ษา ไดต้ ิดตามผลการจดั การศึกษาทง้ั ภายในโรงเรียน หน่วยงานตน้ สงั กดั
6
และหน่วยงานภายนอก พบวา่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและประสิทธิภาพในการจัดการเรียนรู้ของครู
ควรได้รับการปรับปรุงและพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาคุณภาพด้านการบริหารงาน
วิชาการในสถานศึกษา ซึ่งเป็นภารกิจหลักและส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนโดยตรง และในการ
บริหารงานวิชาการนั้น การดำเนินการนิเทศภายในถือเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนงาน
วิชาการให้บรรลเุ ป้าหมายถอื เปน็ กระบวนการท่ีสำคญั ยิ่ง เพราะถ้าหากสถานศึกษาจัดให้มีการวางแผน
ดำเนินงานตามระบบนิเทศภายในที่เหมาะสมทุกขั้นตอนย่อมส่งผลให้คุณภาพการจัดการศึกษาของ
สถานศึกษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและส่งผลให้ผู้เรียนซึ่งเป็นผลผลิตหลักของการจัด
การศึกษาเป็นบุคคลที่มีคุณภาพ และจากการสนทนากับครู พบว่า ครูมีการทำวิจัยแต่การ
ดำเนินการวิจัยส่วนใหญ่เพียงเพื่อให้มีผลงานตามนโยบายและเงื่อนไขทางวิชาชีพ ไม่ได้ทำเพื่ อ
พัฒนาการเรียนการสอนอย่างแท้จริงและครูยังไม่สามารถทำวิจัยที่ถูกต้อง ครูได้รับการส่งเสริม
ด้านการศึกษาวิจยั ในช้ันเรยี นไม่ต่อเน่ือง และขาดความรู้การเขียนรายงานวจิ ัยในช้ันเรียน ส่วนใหญ่ใช้
วิธีการฝึกอบรมโดยโรงเรียนส่งครูเข้าร่วมอบรมกับหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งไม่สามารถส่งเสริมครูให้มี
ความสามารถด้านการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนได้ตามเกณฑ์มาตรฐาน อีกประเด็นหนึ่งมาจาก
การอบรมที่ยังขาดการนิเทศกำกับ ติดตามให้ความช่วยเหลือ นอกจากนี้จากการศึกษาแนวคิด
หลักการและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ พบว่า การจัดการเรียนการสอนในศตวรรษที่ 21 นั้น ควรมี
การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการจัดการเรียนการสอน ในส่วนของครูจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการ
ปรับเปลี่ยนตัวเองหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการจัดการเรียนการสอน หรือการปฏิบัติงานท่ี
จำเป็นต้องมีความรู้ความสามารถในการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการศึกษามาประยุกต์ใช้ให้
เหมาะสม รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อนำมาใช้ในการถ่ายทอดสู่ผู้เรียน หรือการรวบรวม
แหล่งความรู้ทเ่ี หมาะสมกับผู้เรียนท่ผี ู้เรียนสามารถเข้าศึกษาหาความรู้ไดด้ ้วยตัวเอง (ดนัยศักด์ิ กาโร,
2562 : 1-2)
จากประมวลความจำเป็นและบริบทของสภาพการณ์ดังกล่าว ผู้วิจัยทำจึงได้ดำเนินการ
พฒั นารปู แบบการนเิ ทศภายในแบบผสมผสานเพ่อื ส่งเสริมความสามารถด้านการวิจัยปฏบิ ัติการใน
ชั้นเรียนของครโู รงเรียนเทศบาล ๕ (บ้านตลาดเกา่ ) ซึง่ คาดหวงั วา่ การดำเนนิ การดังกล่าวจะทำให้
ครมู คี วามสามารถดา้ นการวจิ ยั ปฏิบตั ิการในชัน้ เรยี น สามารถใช้กระบวนการวจิ ยั มาพัฒนาผู้เรียน
ให้มีคณุ ภาพ
7
8
รูปแบบ
1. ความหมายของรูปแบบ
คำว่า “รูปแบบ” ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า “Model” ทั้งนี้ นักวิชาการและผู้รู้
ไดใ้ ห้ความหมายของรูปแบบไวห้ ลากหลายท้งั ท่มี ลี กั ษณะท่คี ล้ายคลงึ กนั และแตกต่างกัน ดงั น้ี
ทิศนา แขมมณี (2557 : 220) ไดใ้ ห้ความหมายวา่ รูปแบบ (Model) เป็นรปู ธรรม
ของความคิดที่เป็นนามธรรม ซึ่งบุคคลแสดงออกมาในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง เช่น เป็นคำอธิบาย
เป็นแผนผัง ไดอะแกรมหรือแผนภาพ เพ่อื ช่วยใหต้ นเองและบุคคลอืน่ สามารถเข้าใจได้ชดั เจนย่ิงข้ึน
รูปแบบเป็นเครื่องมือทางความคิดที่บุคคลใช้ในการสืบสอบหาคำตอบ ความรู้ ความเข้าใจใน
ปรากฎการณ์ทั้งหลายรูปแบบเช่นเดียวกับสมมติฐานที่บุคคลอาจสร้างขึ้นจากความคิด
ประสบการณ์ การใชอ้ ุปมาอปุ ไมย หรือจากทฤษฎีและหลกั การตา่ ง ๆ ได้ แตร่ ูปแบบไม่ใชท่ ฤษฎี
บญุ ชม ศรีสะอาด (2559 : 19) ไดใ้ หค้ วามหมายวา่ รปู แบบ หมายถงึ โครงสร้าง
ที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่าง ๆ หรือตัวแปรต่าง ๆ ที่ผู้วิจัยสามารถใช้
รูปแบบอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่าง ๆ หรือตัวแปรต่าง ๆ ที่มีในปรากฎการณ์
ธรรมชาติหรอื ในระบบตา่ ง ๆ อธิบายลำดับข้นั ตอนขององคป์ ระกอบหรือกิจกรรมในระบบ
นัยนา ฉายวงศ์ (2560 : 19) รูปแบบ หมายถึง แบบจำลองความคิดหรือโครงสร้าง
ความคิด ประกอบด้วยตัวแปรที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันอย่างเป็นเหตุเป็นผล ได้มาจาก
แนวคิด หลักการ ทฤษฎี เพอ่ื อธบิ ายข้นั ตอนการทำงานใหง้ า่ ยต่อการทำความเข้าใจและการนำไปใช้
จรัญ น่วมมะโน (2562 : 16) รูปแบบ (Model) หมายถึง โครงสร้างที่แสดงถึง
ความสัมพันธร์ ะหวา่ งองคป์ ระกอบหรือตัวแปรตา่ ง ๆ ทไี่ ด้รับการพัฒนาข้นึ มคี วามเช่ือมโยงซ่ึงกัน
และกัน เพอื่ ชว่ ยให้เข้าใจองคป์ ระกอบสำคัญ ๆ ของสงิ่ ใดส่งิ หน่งึ ให้ง่ายขนึ้ สำหรับใช้เป็นแนวทาง
ในการดำเนินการบริหารงานกิจการนกั เรียนในโรงเรยี น
อธิศ ไชยศิรินทร์ (2562 : 69-70) รูปแบบ หมายถึง สิ่งที่สร้างขึ้นหรือพัฒนาข้ึน
จากแนวคิดทฤษฎีที่ได้ศึกษามาของผู้สร้างเองเพื่อถ่ายทอดความสัมพันธ์ขององค์ประกอบโดยใช้
สื่อที่ทำให้เข้าใจได้ง่ายและกระชับถูกต้อง อาจเป็นโครงสร้างโปรแกรมแบบจำลองหรือตัวแบบท่ี
จำลองสภาพความเป็นจริงและสามารถตรวจสอบเปรียบเทียบกับปรากฏการณ์จริงได้เพื่อช่วยให้
ตนเองและผอู้ ืน่ สามารถเขา้ ใจไดช้ ดั เจนข้ึน
เอกชัย อ้ายม่าน (2562 : 64) รูปแบบ หมายถึง สิ่งที่แสดงโครงสร้างความสัมพันธ์
ของปัจจยั หรือตวั แปรของส่ิงท่ีต้องการศึกษา หรอื อธิบายคุณลักษณะสำคัญของปรากฏการณ์ที่คาดว่า
จะเกิดขึ้น เพื่อให้ใช้ง่ายมองเห็นเป็นรูปธรรม รูปแบบไม่มีองค์ประกอบตายตัวหรือให้
รายละเอยี ดทุกแงม่ มุ ไดอ้ ยา่ งชัดเจน แตร่ ปู แบบเป็นการแสดงรปู ธรรมของสง่ิ ท่เี ปน็ นามธรรม
9
สรุปได้ว่า รูปแบบ หมายถึง แบบจำลองความคิดหรือโครงสร้างที่แสดงถึง
ความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบหรือตัวแปรต่าง ๆ ที่ได้รับการพัฒนามาจากแนวคิด ทฤษฎี
โดยเปน็ การแสดงรปู ธรรมของส่งิ ทเ่ี ป็นนามธรรม
2. องค์ประกอบของรูปแบบ
องคป์ ระกอบของรูปแบบ จากการศึกษาเอกสาร พบวา่ มนี ักการศึกษาหลาย ๆ ทา่ น
ไดอ้ ธิบายองคป์ ระกอบของรปู แบบแตกตา่ งกนั ไป ดงั นี้
ยุพิน ยืนยง (2553 : 249-250) สรุปรูปแบบการนิเทศแบบหลากหลายวิธีการเพื่อ
ส่งเสริมสมรรถภาพการวิจัยในชั้นเรียนของครู มี 5 องค์ประกอบ คือ 1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์
3) กระบวนการนิเทศ 4) การประเมินผลการนิเทศ และ 5) เงอ่ื นไขการนำรปู แบบไปใช้
กุลธวัช สมารักษ์ (2558 : บทคัดย่อ) ได้ทำการศึกษาวิจัย เรื่อง การพัฒนารูปแบบ
การสอนแบบผสมผสานผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์โดยใช้กรณีศึกษา ด้วย วิดีโอแชร์ริง เพื่อพัฒนา
ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนารูปแบบการสอนแบบผสมผสาน
ผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์โดยใช้กรณีศึกษาด้วยวิดีโอแชร์ริง เพื่อพัฒนาทักษะการคิดอย่างมี
วิจารณญาณ ประกอบดว้ ย 4 องคป์ ระกอบ คือ 1. หลกั การรปู แบบการเรยี นการสอน 2. วตั ถปุ ระสงค์
ของรูปแบบการเรยี นการสอน 3. กระบวนการเรยี นการสอน 4. การวัดและการประเมนิ ผล
นพพรพรรณ ญาณโกมุท (2558 : บทคดั ยอ่ ) ได้ทำการศึกษาวจิ ัย เรือ่ ง การพฒั นา
รูปแบบการนิเทศภายในตามแนวคดิ การศึกษาชั้นเรียนสำหรบั โรงเรียนเอกชน ผลการวจิ ัยพบว่า
รูปแบบการนิเทศภายในตอนแนวคิดการจัดการชั้นเรียนมีองค์ประกอบด้วยกัน 4 ส่วน ได้แก่
1) หลกั การของรูปแบบ 2) วัตถปุ ระสงค์ของรูปแบบ 3) กระบวนการนิเทศภายใน 4) การประเมินผล
วิหาร พละพร (2558 : 142) สรุปองคป์ ระกอบของรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครู
มี 6 องคป์ ระกอบ ดงั นี้ 1) หลกั การของรูปแบบ 2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 3) เนื้อหาของรูปแบบ
4) กระบวนการ 5) การวดั และประเมนิ ผล และ 6) แนวทาง/เงื่อนไขการนำรูปแบบไปใช้
สาวติ รี เถาว์โท (2558 : 216) สรุปรูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดการเรียนรู้
แบบผสมผสานรายวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารข้ามวัฒนธรรม มีองค์ประกอบ 5 ประการ
คือ 1) หลักการ 2) จุดมุ่งหมาย 3) เนื้อหา 4) กระบวนการจัดการเรียนรู้ และ 5) การวัดและ
ประเมนิ ผล
นติ ิธาร ชูทรพั ย์ (2559 : 147-152) สรปุ รปู แบบการเรียนการสอนรายวชิ าคอมพิวเตอร์
สารสนเทศขั้นพื้นฐานโดยใช้แนวคิดการเรียนรู้แบบผสมผสาน พบว่า มี 8 องค์ประกอบ คือ
1) ชื่อรูปแบบ 2) ที่มาและความสำคัญของรูปแบบ 3) แนวคิดและทฤษฎีพื้นฐาน 4) หลักการ
5) วัตถุประสงค์ 6) เน้ือหา 7) กระบวนการเรยี นการสอน และ 8) การวัดและประเมินผล
10
ไพลิน สุมังคละ (2559 : 41) สรุปองค์ประกอบของรูปแบบการนิเทศภายในด้าน
การจัดการเรียนการสอนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนครเขต 3 ควรมี
องค์ประกอบดังนี้ 1) ชื่อของรูปแบบ 2) หลักการของรูปแบบ 3) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
4) กลไกในการดำเนินการของรูปแบบ 5) วิธีการดำเนินงานของรูปแบบ 6) การประเมินผลของ
รูปแบบ 7) เง่ือนไขความสำเร็จของรปู แบบ และ 8) แผนการดำเนินงานจัดกิจกรรมการนเิ ทศตาม
ขอบข่ายของรปู แบบ
นัยนา ฉายวงศ์ (2560 : 21) สรุปรูปแบบการนิเทศตามแนวคิดการเรียนรู้แบบ
ผสมผสานเพื่อเสริมสร้างความสามารถด้านการวิจัยในชั้นเรียน พบว่า มี 5 องค์ประกอบ คือ
1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์ 3) เนื้อหา 4) กระบวนการ และ 5) การวดั และประเมนิ ผล
วาสนา บุญมาก (2562 : 19) สรุปรูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการเพื่อส่งเสริม
สมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูไว้ 5 องค์ประกอบ คือ 1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์
3) เนื้อหา 4) กระบวนการ และ 5) การวดั และประเมินผล
อธิศ ไชยคิรินทร์ (2562 : 71-72) สรุปองค์ประกอบของรูปแบบการนิเทศภายใน
ด้านการจัดการเรียนการสอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 3
ควรมีองค์ประกอบดังนี้ 1) ชื่อของรูปแบบ 2) หลักการของรูปแบบ 3) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
4) กลไกในการดำเนินงานของรูปแบบ 5) วิธีการด าเนินงานของรูปแบบ 6) การประเมินผลของ
รูปแบบ 7) เงื่อนไข ความสำเร็จของรูปแบบ 8) แผนการดำเนินงานจัดกิจกรรมการนิเทศตาม
ขอบข่ายของรูปแบบ
เอกชัย อ้ายม่าน (2562 : 72-73) สรุปรูปแบบการพัฒนาการนิเทศภายในโรงเรียน
มัธยมศึกษา สงั กดั สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานตามแนวคิดการศึกษา 4.0 โดยมี
องค์ประกอบทั้งหมด 4 ด้าน คือ 1) หลักการของรูปแบบ 2) ลักษณะสำคัญของรูปแบบ
3) กระบวนการดำเนินงานของรูปแบบ และ 4) เง่ือนไขความสำเรจ็ ของรูปแบบ
ผู้จัดทำได้สรปุ องคป์ ระกอบของรูปแบบ ได้ 6 องค์ประกอบ ดงั น้ี
1. หลกั การของรปู แบบ เปน็ ความเช่อื พน้ื ฐานหรอื หลกั การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้
ตามรปู แบบ
2. วตั ถุประสงคข์ องรูปแบบ เป็นเปา้ หมายทก่ี ำหนดไว้ในการพฒั นาคณุ ลักษณะที่
ตอ้ งการให้เกดิ กบั ครู
3. เนอ้ื หาสาระการพัฒนา เป็นสาระความรูท้ กี่ ำหนดไว้ให้สัมพันธ์สอดคลอ้ งกับ
จดุ มงุ่ หมายของรูปแบบ
11
4. กระบวนการนเิ ทศ เป็นข้นั ตอนหรอื ลำดบั ของการจัดกิจกรรมการนิเทศ กำหนด
บทบาทผู้นิเทศ และผู้รบั การนิเทศในแต่ละข้ันตอนเพื่อให้การนิเทศบรรลตุ ามจดุ มุง่ หมาย
5. การวัดและประเมินผล เปน็ แนวทางในการวดั และประเมนิ ผลการนิเทศที่จัดขนึ้ ตาม
รปู แบบทจ่ี ะชี้ใหเ้ ห็นถงึ ประสิทธภิ าพของรูปแบบและบ่งบอกถึงการบรรลจุ ุดม่งุ หมายทก่ี ำหนด
6. เงือ่ นไขของความสำเรจ็ เปน็ เงอื่ นไขการนำรปู แบบการนเิ ทศภายในไปใช้ ผลสำเรจ็
ของการนำรูปแบบการนิเทศภายในแบบผสมผสานเพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการวิจัยปฏิบัติการใน
ชั้นเรียนของครูโรงเรียนเทศบาล ๕ (บ้านตลาดเก่า) ไปใช้ให้เกิดประสิทธิภาพนั้น ต้องพิจารณา
เง่อื นไขที่สำคัญ ดงั ต่อไปน้ี
1) ผบู้ รหิ ารสถานศึกษากำหนดนโยบายและแผนการนิเทศทชี่ ดั เจน เหมาะสม
2) ผ้นู เิ ทศมีความรู้ มีความม่ันใจในการนเิ ทศ
3) ผรู้ ับการนิเทศมคี วามตง้ั ใจและปฏบิ ตั ิตามรูปแบบการนิเทศฯ
4) มกี ารเสริมสร้างขวญั และกำลังใจในรปู แบบต่าง ๆ
5) ประเมนิ ผลและนำผลมาปรบั ปรงุ การนิเทศอยา่ งตอ่ เนอื่ ง
3. การออกแบบและพัฒนารูปแบบ
นักการศึกษาไดน้ ำเสนอการออกแบบและพัฒนารปู แบบ ดังน้ี
บุญเล้ียง ทมุ ทอง (2556 : 60-61) ได้สรปุ ขนั้ ตอนสำคญั ในการออกแบบและพัฒนา
รปู แบบการเรยี นการสอนจากแนวคิดของสมพงษ์ สิงหะพล (2543) และทิศนา แขมมณี (2551)
และ Joyce & Weil (2000) ดงั นี้
1. การศึกษาข้อมูลพ้นื ฐาน เป็นการศึกษาแนวคิด ทฤษฎีและข้อค้นพบจากงานวจิ ยั ที่
เกี่ยวข้อง ตลอดจนการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสภาพปัจจุบันหรือปัญหาต่าง ๆ จากเอกสาร
ผลการวิจยั ตา่ ง ๆ หรอื การสังเกต การสอบถามผ้ทู ีเ่ ก่ียวข้อง
2. การกำหนดหลักการ เป้าหมายและองคป์ ระกอบอ่ืน ๆ ของรูปแบบการสอนให้
สอดคล้องกับข้อมูลพื้นฐานและสัมพันธ์กันอย่างเป็นระเบียบ เพื่อจะช่วยให้ผู้สอนสามารถเลือก
รูปแบบการสอนไปใช้ให้ตรงกับจุดมุ่งหมายของการสอนเพื่อให้จัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ
และบรรลุผลสูงสุด
3. กำหนดแนวทางในการนำรูปแบบการสอนไปใช้ ประกอบดว้ ย รายละเอยี ดเกี่ยวกับ
วิธีการและเงื่อนไขต่าง ๆ เช่น ใช้กับผู้เรียนกลุ่มใหญ่หรือกลุ่มย่อย ผู้สอนจะต้องเตรียมงานหรือ
จัดสภาพการเรยี นการสอนอยา่ งไร เพ่ือให้การใชร้ ูปแบบการสอนเปน็ ไปอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ
12
4. การประเมินผลรูปแบบการสอน เปน็ การทดสอบความมีประสิทธิภาพของรูปแบบ
การสอนที่สรา้ งขึ้น โดยทัว่ ไปจะใช้วิธีการ ดังนี้ 1) ประเมินความเป็นไปได้ในเชิงทฤษฎีโดยคณะ
ผู้เชี่ยวชาญซึ่งจะประเมินความสอดคล้องภายในระหว่างองค์ประกอบต่าง ๆ และ 2) ประเมิน
ความเป็นไปได้ในเชิงปฏิบัติการโดยการนำรูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้นไปทดลองใช้ใน
สถานการณ์จริงในลักษณะของการวจิ ยั เชิงทดลองหรือก่ึงทดลอง
5. การปรบั ปรงุ รูปแบบการเรยี นการสอน มี 2 ระยะ คอื 1) ระยะก่อนนำรูปแบบการเรยี น
การสอนไปทดลองใช้โดยใช้ผลจากการประเมินความเป็นไปได้ในเชิงทฤษฎีเป็นข้อมูลในการ
ปรับปรุง และ 2) ระยะหลังนำรูปแบบการเรียนการสอนไปทดลองใช้โดยอาศัยข้อมูลจากการ
ทดลองใช้เป็นตัวชี้นำในการปรับปรุงและอาจมีการนำรูปแบบการเรียนการสอนไปทดลองใช้ซ้ำ
จนกว่าจะไดผ้ ลเปน็ ทพี่ อใจ
ทิศนา แขมมณี (2557 : 274) ได้ให้แนวคิดเก่ยี วกับการพัฒนารปู แบบวา่ กระบวนการเรียน
การสอนที่ได้รับการพัฒนาอย่างเป็นระบบและได้รับการทดลองใช้ เพื่อพิสูจน์ทดสอบประสิทธิภาพ
แลว้ ถือว่ารูปแบบการเรียนการสอนหรือเป็นแบบแผนของการจัดการเรียนการสอนที่ผู้อื่นสามารถ
นำไปใช้แล้วเกิดผลตามวัตถุประสงค์ของรูปแบบนั้นได้ นับว่าเป็นการช่วยให้แนวทางแก่ผู้ปฏิบัติ
ไม่ต้องเสยี เวลาลองผดิ ลองถูก หากไดร้ ูปแบบท่ดี ีตรงกับวัตถปุ ระสงค์ในการสอนของตนก็สามารถ
สอนตามแบบแผนและไดผ้ ลตามท่ตี อ้ งการได้
บญุ ชม ศรสี ะอาด (2559 : 2) ได้นำเสนอการสร้างหรือพัฒนารูปแบบ ดังนี้
1. สร้างหรอื พฒั นารูปแบบตามสมมติฐานโดยการศึกษาคน้ ควา้ ทฤษฎี แนวความคิด
รูปแบบและผลการศึกษาหรือวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยให้สามารถกำหนดองค์ประกอบหรือ
ตัวแปรต่าง ๆ ภายในรูปแบบ รวมทั้งลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบหรือตัวแปร
เหล่านั้น หรือลำดับก่อนหลังของแต่ละองค์ประกอบในรูปแบบ การพัฒนารูปแบบนั้นจะตอ้ งใช้
หลักการของเหตุผลเป็นรากฐานสำคัญและการศึกษาค้นคว้ามากจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนา
รูปแบบอย่างยิ่ง ผู้วิจัยอาจคิดโครงร่างของรูปแบบขึ้นมาก่อนแล้วปรับปรุงโดยอาศัยข้อสนเทศ
จากการศกึ ษาค้นคว้าทฤษฎี แนวคดิ หรอื ผลการวจิ ัยท่ีเกย่ี วขอ้ ง
2. การทดสอบความเทีย่ งตรงของรปู แบบ ซง่ึ จำเป็นต้องเก็บรวบรวมข้อมูลหรือทำการ
ทดลองนำไปใช้ในสถานการณ์จริงเพื่อทดสอบดูว่ามีความเหมาะสมหรือมีประสิทธิภาพตามที่มุ่งหวัง
ไว้หรือไม่ ช่วยให้ทราบอิทธิพลหรือความสำคัญขององค์ประกอบย่อยหรือตัวแปรต่าง ๆ ผู้วิจัยอาจ
ปรับปรุงใหม่โดยตัดองค์ประกอบหรือตัวแปรท่ีมีอิทธิพลหรือความสำคัญน้อยออกจากรูปแบบของตน
ซึง่ จะทำใหไ้ ดร้ ปู แบบท่เี หมาะสมย่ิงข้นึ
13
Eisner (1976, อ้างถงึ ใน ทิพย์วรรณ เตมยี กุล. 2552 : 21) ไดเ้ สนอแนวคดิ ของการทดสอบ
หรือประเมินโดยใช้ผู้ทรงคุณวุฒิโดยให้ความเห็นว่าการวิจัยทางการศึกษาบางเรื่องต้องการความ
ละเอียดอ่อนมากกว่าการได้ตัวเลขแล้วนำมาสรุปผล จึงได้เสนอแนวคิดการประเมินโดย
ผทู้ รงคุณวฒุ ิ ดังนี้
1. การประเมนิ โดยผูท้ รงคณุ วฒุ มิ ิได้เปน็ การประเมนิ ที่เนน้ สมั ฤทธิผลของเป้าหมาย
หรือวัตถุประสงค์ตามรูปแบบของการประเมินแบบอิงเป้าหมาย (Goal-based Model) การตอบสนอง
ปญั หาและความตอ้ งการของผู้เกีย่ วขอ้ งตามรูปแบบของการประเมินแบบสนองตอบ
2. เป็นรูปแบบการประเมินท่ีเป็นความเชีย่ วชาญเฉพาะดา้ น (Specialization) ในเรอ่ื ง
ที่จะประเมิน ทั้งนี้เพราะองค์ความรู้เฉพาะสาขาวิชานั้นผู้ที่ศึกษาเรื่องนั้น ๆ จริง ๆ จึงจะทราบ
และเข้าใจอยา่ งลึกซงึ้
3. เป็นรปู แบบที่ตอ้ งใชต้ วั บุคคลหรือผทู้ รงคุณวุฒเิ ปน็ เครื่องมือในการประเมนิ โดยใช้
ความเชื่อว่าผู้ทรงคุณวุฒินั้นเที่ยงธรรมและมีดุลยพินิจที่ดี ทั้งนี้ มาตรฐานและเกณฑ์พิจารณา
ตา่ ง ๆ จะข้นึ อยู่กบั ประสบการณแ์ ละความชำนาญของผู้ทรงคุณวุฒินน้ั เอง
4. มาตรฐานด้านความถกู ตอ้ งครอบคลุม (Accuracy Standards) เปน็ การประเมิน
ความน่าเชอื่ ถือและได้สาระครอบคลุมครบถว้ นตามกรอบต้องการอย่างแท้จริง
Madaus, Scriven and Stufflebeam (1983, อา้ งถงึ ใน ทิพย์วรรณ เตมยี กุล. 2552 : 20)
ได้นำเสนอมาตรฐานการตรวจสอบรปู แบบ ดังนี้
1. มาตรฐานความเป็นไปได้ (Feasibility Standards) เป็นการประเมินความเปน็ ไปได้
ในการนำไปปฏิบตั จิ ริง
2. มาตรฐานด้านความเปน็ ประโยชน์ (Utility Standards) เป็นการประเมนิ การตอบสนอง
ต่อความตอ้ งการของผ้ใู ชร้ ปู แบบ
3. มาตรฐานด้านความเหมาะสม (Propriety Standards) เปน็ การประเมนิ ความเหมาะสม
ท้ังในด้านกฎหมายและศลี ธรรมจรรยา
4. มาตรฐานด้านความถูกต้องครอบคลุม (Accuracy Standards) เปน็ การประเมิน
ความน่าเชอื่ ถือและได้สาระครอบคลุมครบถ้วนตามกรอบตอ้ งการอย่างแทจ้ ริง
สรุปได้ว่า การออกแบบและพัฒนารูปแบบจะต้องได้รับการพัฒนาอย่างเป็นระบบ
และได้รับการทดลองใช้เพื่อพิสูจน์ทดสอบประสิทธิภาพเพื่อแสดงให้เห็นว่ารูปแบบที่สร้างหรือ
พัฒนาขึ้นมมี าตรฐานจงึ จะถือว่ารปู แบบนั้น ๆ สามารถนำมาใชไ้ ด้
14
4. การนำเสนอการพฒั นารูปแบบ
นักการศึกษานำเสนอการพัฒนารูปแบบ ดังนี้
Joyce & Weil (2000, อา้ งถงึ ใน บญุ เลีย้ ง ทุมทอง, 2556 : 63) กล่าวว่า การนำเสนอ
การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนเป็นอีกขั้นหนึ่งที่สำคัญ เนื่องจากการนำเสนอรูปแบบ
การเรียนการสอนที่ชัดเจนและเข้าใจง่ายจะช่วยให้ครูผู้สอนเกิดความเข้าใจและสามารถนำ
รูปแบบการเรียนการสอนไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การนำเสนอรูปแบบการเรียนการสอน
มีขั้นตอน ดงั น้ี
1. เสนอเกี่ยวกับการพฒั นารปู แบบการเรยี นการสอนโดยสรปุ องคป์ ระกอบรวมท้ัง
การนำเสนอว่าประกอบดว้ ยทฤษฎี หลักการ หรือแนวคิดสนับสนนุ วิธกี ารตรวจสอบในเชิงการ
นำไปใชใ้ นสถานการณ์จริงเพ่ือนำข้อมูลมาปรับปรงุ แก้ไข
2. ท่ีมาของรูปแบบการเรียนการสอน เป็นการอธบิ ายความสมั พันธข์ องส่งิ ต่าง ๆ
ซึ่งเป็นที่มาของรูปแบบการสอน ประกอบด้วยเป้าหมายของรูปแบบ ทฤษฎี หลักการและ
แนวคิดสำคัญท่ีเป็นพื้นฐานของรูปแบบการเรียนการสอน ตลอดจนการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสภาพ
ปจั จุบนั หรือปญั หา จากเอกสารผลการวจิ ยั หรอื การสังเกต สอบถามผู้เก่ยี วข้อง
3. รูปแบบการเรียนการสอน เปน็ การอธบิ ายถงึ รปู แบบการจัดการเรียนการสอน
โดยมีรายละเอยี ดตามหัวข้อตอ่ ไปนี้
3.1 ขน้ั ตอนการสอน เปน็ การให้รายละเอยี ดเกี่ยวกับลำดับขน้ั ตอนการจดั
กิจกรรมการเรียนการสอน ซึ่งแตล่ ะรปู แบบจะมีข้ันตอนที่แตกตา่ งกันออกไป
3.2 รูปแบบของปฏิสมั พันธ์ เป็นการอธบิ ายถึงบทบาทของผูส้ อนและผเู้ รียน
ความสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนหรือระหว่างผู้เรียนด้วยกันเอง ซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละ
รูปแบบ
3.3 หลกั การของการตอบสนอง เปน็ การบอกถงึ วธิ ีการแสดงออกของผู้สอนต่อผูเ้ รียน
การตอบสนองต่อการกระทำของนักเรียน เช่น การให้รางวัลแก่ผู้เรียน การให้อิสรภาพในการ
แสดงความคิดเห็น การไม่ประเมินวา่ ถกู หรอื ผิด เป็นต้น
3.4 ระบบการสนบั สนนุ การเรียนการสอน เป็นการอธิบายถงึ เง่ือนไขหรือ
สิ่งจำเปน็ ท่ีจะทำให้การใชร้ ปู แบบนั้นได้ผล เช่น รูปแบบการสอนแบบทดสอบในหอ้ งปฏิบัตกิ าร
ต้องใช้ผู้นำการทดลองที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีแล้ว รูปแบบการสอน แบบฝึกทักษะ ผู้เรียน
จะต้องได้รับการฝึกฝนการทำงานในสถานการณ์และใช้อุปกรณ์ที่ใกล้เคียงสภาพการทำงานจริง
เปน็ ตน้
15
4. การประเมินรูปแบบการสอนเป็นการทดสอบความมีประสิทธิภาพของรูปแบบทสี่ ร้างขนึ้
โดย 1) ประเมินความเป็นไปได้ในเชิงทฤษฎีโดยผู้เชี่ยวชาญประเมินความสอดคล้องภายใน
ระหว่างองค์ประกอบต่าง ๆ และ 2) ประเมินความเป็นไปได้ในเชิงปฏิบัตกิ ารโดยนำรูปแบบการ
สอนทพี่ ฒั นาข้ึนไปใช้ทดลองในสถานการณ์จรงิ ในลักษณะของการวจิ ยั เชงิ ทดลองหรือกึ่งทดลอง
5. การปรบั ปรุงรูปแบบการสอน มี 2 ระยะ คอื 1) ระยะก่อนนำรปู แบบการสอน
ไปทดลองใช้ โดยใช้ผลจากการประเมินความเป็นไปได้ในเชิงทฤษฎีเป็นข้อมูลในการปรับปรุง
และ 2) ระยะหลังนำรูปแบบการสอนไปทดลองใช้ โดยอาศัยข้อมูลจากการทดลองใชเ้ ป็นตัวชี้นำ
ในการปรับปรุงและอาจมีการนำรูปแบบการสอนไปทดลองใช้และปรับปรุงซ้ำจนกวา่ จะได้ผลเป็น
ท่ีนา่ พอใจ
6. การนำรูปแบบการสอนไปใช้ เป็นการให้คำแนะนำและตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการนำ
รูปแบบการสอนไปใชใ้ ห้ได้ผล เชน่ ควรใช้กบั เนอื้ หาประเภทใดและควรใชก้ บั ผเู้ รยี นในระดบั ใด เป็นต้น
7. ผลท่ีได้จากการใชร้ ปู แบบการสอน เปน็ การระบถุ งึ ผลของการใช้รูปแบบการสอน
ที่คาดว่าจะเกิดแก่ผู้เรียนทั้งผลทางตรงซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายหลักของรูปแบบการสอนนั้นและ
ผลทางอ้อม ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการใช้รูปแบบการสอนนั้น อันจะเป็นแนวทางสำหรับครู
ในการพิจารณาและเลอื กรปู แบบการสอนไปใช้
สรปุ ไดว้ ่า การนำเสนอการพัฒนารปู แบบการเรยี นการสอนเป็นการนำเสนอเกี่ยวกับ
องค์ประกอบ ทฤษฎี หลักการหรือแนวคิดสนับสนุน วิธีการตรวจสอบในเชิงการนำไปใช้ใน
สถานการณ์จริง เพ่ือนำข้อมูลมาปรับปรุงแก้ไข ที่มาของรูปแบบ รูปแบบการเรียนการสอน
การประเมินรูปแบบ การปรับปรุงรูปแบบ การนำรูปแบบไปใช้ และผลทไ่ี ด้จากการใช้รปู แบบ
แนวคดิ เกี่ยวกับการนเิ ทศการศึกษาและการนิเทศภายใน
1. ความหมายของการนเิ ทศการศกึ ษา
นกั การศกึ ษาไดใ้ หค้ วามหมายของการนิเทศการศกึ ษาไวต้ า่ ง ๆ ดงั น้ี
ฉววี รรณ พนั วัน (2552 : 9) สรุปว่า การนิเทศการศึกษา หมายถึง กระบวนการร่วมกัน
ทางการศึกษาของผ้บู รหิ ารโรงเรียนและบุคลากรทางการศึกษา เพอื่ พัฒนาการเรยี นการสอนให้มี
คุณภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์สูงสดุ แก่ผู้เรียน ทำให้ผู้เรียนได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพตามจุดหมาย
ของหลักสูตร
สันติ บญุ ภิรมย์ (2552 : 204) กล่าววา่ การนเิ ทศการศึกษา หมายถึง กจิ กรรมหน่ึง
ในหลาย ๆ กจิ กรรมของการบรหิ ารการศึกษาในส่วนทีเ่ ก่ียวข้องกบั การปรบั ปรุงเงื่อนไขการเรียนรู้
และความเจริญงอกงามของผู้เรียน โดยมุ่งให้ผู้สอนได้ปรับปรุงวิธีสอนและจัดกิจกรรมอื่นควบคู่
ไปดว้ ย
16
ปราณี พงศ์สุวรรณ (2553 : 8) กล่าวว่า การนิเทศการศึกษา หมายถึง กระบวนการ
ชว่ ยเหลือ แนะนำ ในการร่วมมือปรับปรงุ กระบวนการเรยี นการสอน เพ่อื ช่วยให้ครปู ฏิบัติงานของ
ตนไดด้ ขี นึ้ สง่ ผลให้ไดม้ าซงึ่ ผลสัมฤทธส์ิ งู สุดในการเรียนของนักเรียน
ฉันทนา จันทร์บรรจง (2554 : 32) ให้ความหมายว่า การนิเทศเป็นกระบวนการ
ปรับปรงุ และพฒั นาคุณภาพการศึกษา โดยให้ความร่วมมือระหว่างผ้นู ิเทศกับผรู้ ับการนิเทศ
ชญากาญจน์ ศรีเนตร (2558 : 17) กล่าวว่า การนิเทศการศึกษา หมายถึง
กระบวนการในการทำงานร่วมกันระหว่างครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้บริหาร ศึกษานิเทศก์
ในการปรับปรุง แก้ไขและพัฒนากระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อเพิ่ม
ประสิทธิภาพของครอู นั เป็นเปา้ หมายสูงสดุ ในด้านการพฒั นาการเรียนรขู้ องนักเรียนให้ดียง่ิ ขนึ้
นัยนา ฉายวงศ์ (2560 : 28) กล่าวว่า การนิเทศการศึกษาเป็นกระบวนการ
ช่วยเหลือครูให้ประสบผลสำเร็จในการปฏิบัติกิจกรรมการสอนและการพัฒนาทักษะวิชาชีพให้
สูงขึ้นโดยมีเป้าหมายปรังปรุงการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้เต็มตามศักยภาพ
บรรลุเป้าหมายทางการศึกษาท่ีพึงประสงค์เป็นกระบวนการท่ีต้องอาศัยความร่วมมือซ่ึงกันและกัน
ระหวา่ งผูน้ ิเทศกับผ้รู บั การนิเทศ
วนิดา ภูริชัย (2562 : 10) สรุปว่า การนิเทศการศึกษา หมายถึง กระบวนการความ
ร่วมมือระหว่างบุคลากร ทางการศึกษา เพื่อพัฒนาการปฏิบัติงานการจัดการศึกษาให้บรรลุตาม
ปรัชญาและเป้าหมายอันพึงประสงค์ เป็นการเสริมสร้างแรงจูงใจและกระตุ้นให้ครูเกิดก าลังใจ
ความรบั ผิดชอบ ความคดิ ริเริ่ม ในการท างานอย่างมปี ระสิทธภิ าพ
จากที่กล่าวมาข้างต้น จึงสรุปไดว้ า่ การนิเทศการศึกษา หมายถงึ ความพยายามร่วมกนั
ของผู้บริหารและครูที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่นิเทศการศึกษา ในการแนะนำครูให้รู้วิธี
ปรับปรุงกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อให้เกิดสัมฤทธิ์ผลสูงสุดในการเรียนของ
นักเรียน
2. ความสำคัญของการนเิ ทศการศึกษา
สทุ ธนู ศรไี สย์ (2555 : 7-9) ไดก้ ล่าวถงึ ความสำคัญของการนิเทศการศึกษามีพน้ื ฐาน
มาจากการวิจัยและเกี่ยวข้องโดยตรงกับโรงเรียนที่มีประสิทธิภาพสูง ส่วนมากจะเกี่ยวข้องอยู่กับ
ทัศนคติ ความเชื่อ ความรับผิดชอบ การเร้าหรือกระตุ้นให้ครูปรับปรุงตนเอง ประโยชน์ที่ครู
ควรจะได้รับจากการนเิ ทศ สรุปได้ ดังน้ี
1. การนเิ ทศชว่ ยใหค้ รมู ีความเชื่อมั่นในตนเอง ถา้ ครูยงั มีความสนใจเกีย่ วกบั เรือ่ งต่าง ๆ
ในหอ้ งเรียนครกู ็จะเป็นบุคคลทที่ ำหน้าที่ไดส้ มบรู ณ์แบบ และจะมคี วามเขม้ แข็งในการปฏิบตั ิงานทุกด้าน
2. การนิเทศสนับสนุนใหค้ รสู ามารถประเมนิ ผลการทำงานได้ดว้ ยตนเอง ครสู ามารถ
มองเห็นด้วยตนเองวา่ ตนเองนน้ั ประสบความสำเร็จในการสอนไดม้ ากน้อยเพยี งใด และการปฏบิ ตั ิงาน
17
ภายในโรงเรียนของครูส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับวิธีการควบคุมมากกว่าการจัดการ ดังนั้นในการ
ควบคุมสิ่งใดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้องเรียน ครูจะต้องมีอำนาจอย่างแท้จริง จึงจะสามารถ
ควบคุมสิ่งนนั้ ไดเ้ หมาะสมกบั สถานการณ์ และมองเหน็ ความสามารถขอตนเองได้อย่างชดั เจน
1. การนเิ ทศช่วยครูไดแ้ ลกเปล่ยี นประสบการณ์ซง่ึ กนั และกัน ครูผู้สอนแต่ละคนสามารถ
สังเกตการณ์ทำงานหรือการสอนของครูคนอื่น ๆ เพื่อปรับปรุงการสอนของตน นอกจากนี้จะมี
การแลกเปลี่ยนวัสดุอุปกรณ์ และรับเอาวิธีการสอนใหม่ ๆ จากครูคนอื่นไปทดลองใช้ รวมท้ัง
เรยี นร้วู ิธีการช่วยเหลอื ใหก้ ารสนบั สนนุ แก่ครูคนอนื่ ๆ ด้วย
2. การนเิ ทศช่วยกระตุ้นครูให้มีการวางแผนจัดทำจุดมุ่งหมายและแนวปฏิบตั ิไปพร้อม ๆ กัน
ครูแต่ละคนสามารถให้ความช่วยเหลือเพื่อนครูด้วยกัน เพื่อตัดสนิ ใจเก่ยี วกับปัญหาการสอนอย่างกว้าง ๆ
ภายในโรงเรยี น การวางแผนฝึกหรือให้บริการเสริมวิชาการ การพฒั นาหลักสูตรและการกระตุ้น
ให้ครูผู้สอนทำการวิจัยเกี่ยวกับชั้นเรียน รวมทั้งการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานของครูกับกลุ่มจะ
ชใ้ี ห้เห็นความสามารถในการควบคุมและจดั การ ความนา่ เชือ่ ถือและความเป็นนักวิชาการของครู
คนนน้ั ไดเ้ ป็นอยา่ งดี
3. การนเิ ทศจะเปน็ กระบวนการทที่ า้ ทายความสามารถของครูใหม้ ีความคิดเชิงนามธรรม
สูงขึ้น ในขณะปฏิบัติงานครูผู้สอนจะได้รับข้อมูลย้อนกลับ ซึ่งเป็นผลมาจากการประเมินผล ข้อมูล
เหล่าน้ีจะสะท้อนให้เห็นข้อดีและข้อเสียของการปฏบิ ัติงาน รวมทงั้ แนวคิดหลายแนวทาง ซึ่งวิธีการ
ดังกล่าวจะเป็นวิธีการหนึ่งที่ท้าทายและช่วยพัฒนาแนวคิดหลายแนวคิดเชิงนามธรรม (Abstract
Thinking) ของครูใหส้ งู ขน้ึ ได้อกี ด้วย
นัยนา ฉายวงศ์ (2560 : 30) กล่าวว่า การนิเทศการศึกษามีความสำคัญในการช่วยเหลอื ครู
ใหป้ รับปรุงการสอนและการปฏิบตั ิกิจกรรมตา่ ง ๆ เพื่อให้นกั เรียนบรรลตุ ามเป้าหมายท่ีกำหนดไว้
ผลจากการนิเทศจะเป็นข้อมูลสะท้อนให้เห็นข้อดีข้อเสียของการปฏิบัติงาน เพื่อช่วยให้ครูได้รับการ
ฝึกฝน ปรับปรุงการทำงาน ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานหรือการสอนและช่วยให้ครูมี
ความเชอื่ ม่ันในตนเอง
Ben Harris (1975 อ้างถงึ ใน สุทธนู ศรไี สย์, 2555 : 10) ได้กล่าววา่ บทบาทของผู้นิเทศ
จะเกี่ยวข้องโดยตรงกับการช่วยเหลือครูในเรื่องการปรับปรุงการสอนและเกี่ยวข้องทางอ้อมกับ
การสอนนักเรียน ดังนั้น การนิเทศจึงต้องอยู่ที่การปรับปรุงการสอนของครูเพื่อให้นักเรียน
บรรลผุ ลตามเปา้ หมายหรอื วัตถุประสงค์ท่ตี ้งั ไว้ ผนู้ เิ ทศคุณภาพของครใู นแต่ละโรงเรยี นหรือแต่ละแห่ง
จะข้นึ อยู่กับความรับผิดชอบของผทู้ ี่เกยี่ วข้องกับการนิเทศเป็นสำคญั โรงเรียนท่ีประสบผลสำเร็จ
ในทกุ ด้านเราจะเหน็ วา่ ส่วนหน่ึงจะมาจากโปรแกรมการนิเทศการศกึ ษาที่มปี ระสทิ ธิภาพนนั้ เอง
สรุปได้ว่า การนิเทศการศึกษาเป็นกระบวนการให้คำแนะนำแก่ครู โดยมีส่วนช่วย
ให้ครูได้พัฒนาและปรับปรุงการสอน เพื่อพัฒนานักเรียนให้เต็มตามศักยภาพและบรรลุตาม
เป้าหมายที่กำหนดไว้
18
3. หลกั การนเิ ทศการศกึ ษา
นกั การศึกษาได้อธบิ ายหลักการนิเทศการศกึ ษา ดงั น้ี
สงัด อทุ รานนั ทน์ (2530 : 11-12) ได้สรุปหลกั การนเิ ทศการศึกษา ดังนี้
1. การนิเทศการศึกษาเปน็ “กระบวนการ”ทำงานรว่ มกันระหวา่ งผนู้ ิเทศและผู้รบั
การนเิ ทศ การทำงานเป็นขั้นตอน มีความต่อเน่ือง ไมห่ ยุดนิง่ และมีความเก่ียวขอ้ งปฏสิ มั พนั ธใ์ น
หมู่ผู้ปฏิบัตงิ าน ซ่งึ ลกั ษณะดังกลา่ วเป็นลกั ษณะท่ีพึงประสงค์ของการนิเทศทดี่ ี
2. การนิเทศการศกึ ษามี “เป้าหมาย” อย่ทู ค่ี ณุ ภาพของนักเรียน แตก่ ารดำเนนิ งานนนั้
จะกระทำโดยผ่าน “ตวั กลาง” คอื ครแู ละบุคลากรทางการศึกษา ดงั นน้ั เป้าหมายของการนิเทศ
การศึกษาคือคุณภาพนักเรียนไม่ใชผ่ ลประโยชน์ที่ครูพึงจะได้หลงั จากมีการประชมุ สัมมนาอบรม
เชิงปฏบิ ัตกิ ารตา่ ง ๆ ทจี่ ัดโดยหน่วยงานตน้ สังกัดของบคุ ลากรนั้น ๆ เป็นการทำงานร่วมกบั ครูและ
บคุ ลากรทางการศึกษาเพื่อให้บุคคลเหล่าน้ันได้พฒั นาความรู้ ความเขา้ ใจและสามารถปฏิบัติงาน
การสอนไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ อันจะส่งผลต่อคณุ ภาพในการเรียนของนักเรียนในบั้นปลาย
3. การนิเทศการศกึ ษาเน้นบรรยากาศแหง่ “ความเปน็ ประชาธิปไตย” หมายถงึ บรรยากาศ
แห่งการทำงานร่วมกัน การยอมรับซึ่งกันและกัน การเปลี่ยนบทบาทในฐานะผู้นำและผู้ตาม
ตลอดจนความรับผิดชอบต่อผลงานร่วมกันด้วย ซึ่งผลงานที่เกิดขึ้นจากการนิเทศไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี
ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายจะต้องรับผิดชอบร่วมกันโดยเท่าเทียมกัน ดังนั้น การนิเทศแบบ
ประชาธิปไตยจะชว่ ยสร้างความร่วมมือและบรรยากาศทดี่ ีในการทำงานไดเ้ ป็นอย่างมาก
กมล ภูป่ ระเสรฐิ (2545, อา้ งถึงใน จันทร์พมิ พ์ วงศป์ ระชารัตน์, 2556 : 47) ไดก้ ล่าวถึง
หลักการของการนเิ ทศการศึกษา ดังน้ี
1. มุง่ ทค่ี ณุ ภาพของผู้เรียนเป็นสำคญั แม้ว่าการนิเทศจะเปน็ การพฒั นาบคุ ลากรใน
โรงเรยี นทีส่ ่งิ พัฒนาจะต้องไปสคู่ ุณภาพผูเ้ รยี นทงั้ ส้นิ
2. อาศัยความร่วมมือภายในโรงเรียน บคุ ลากรในโรงเรยี นต้องตระหนักถงึ ความสำคัญ
ของการนิเทศ ร่วมมือร่วมใจ ร่วมคิดร่วมทำเพื่อให้บุคลากรแต่ละคนพัฒนาตนเองได้อย่างมี
คุณภาพและหลายกรณีอาจต้องเชญิ วิทยากรผ้เู ชยี่ วชาญจากภายนอกมาช่วยให้คำแนะนำดว้ ย
3. อาศยั วิธกี ารทหี่ ลากหลายทจี่ ะเปน็ สงิ่ ช่วยกระตุ้นความสนใจและความรว่ มมือใน
การดำเนินการแต่ละวิธีมจี ุดเดน่ จุดดอ้ ยที่จะช่วยเสรมิ ประสทิ ธิภาพของกนั ได้
4. การกระทำอย่างตอ่ เนือ่ งและมปี ระสทิ ธภิ าพจนสรา้ งความรู้สกึ วา่ กระบวนการน้ี
เปน็ สงิ่ ทีข่ าดไม่ได้ กลายเปน็ ส่วนหน่ึงของการปฏบิ ัตงิ านภายในโรงเรียน ซ่งึ เป็นการสรา้ งอุปนสิ ัย
ของการพฒั นาตนเองอย่เู สมอ
5. ใช้กระบวนการท่ีเป็นระบบเพ่ือให้ม่ันใจไดว้ า่ งานนิเทศภายในโรงเรียนจะสามารถ
บรรลเุ ป้าหมายทีต่ ้องการได้
19
ชาญชัย อาจินสมาจาร (2547, อา้ งถงึ ใน ร่งุ ชชั ดาพร เวหะชาติ, 2552 : 143-144)
ได้นำเสนอหลักการนิเทศการศึกษาท่ีดี ควรมีดงั ตอ่ ไปนี้
1. การนิเทศการศกึ ษาจะตอ้ งสัมพนั ธ์กบั การบริหาร การนเิ ทศการศกึ ษาถือว่าเป็น
ส่วนสำคญั ของการบรหิ าร
2. การนเิ ทศการศกึ ษาควรตงั้ อยู่บนพื้นฐานของปรัชญา หมายความวา่ นโยบาย แผน
ค่านิยม และความหมายของการนิเทศการศึกษาควรถูกกำหนดโดยแนวทางของปรัชญาชีวิต
ในสังคม ซึ่งเราจะให้การศึกษาแกบ่ ุคคลในสังคมน้ัน จุดหมาย เป้าหมาย นโยบายและแผนจะ
ถูกตรวจสอบโดยวธิ ีการทางปรัชญาโดยให้สอดคลอ้ งกับชีวติ ในชุมชน
3. การนิเทศการศึกษาควรเป็นวทิ ยาศาสตร์ กิจกรรม แผน วธิ ีการและเทคนคิ ต่าง ๆ
ควรตั้งอยบู่ นเจตคตแิ ละวธิ ีการทางวิทยาศาสตร์ การนเิ ทศการศึกษาควรเนน้ เรอ่ื งการทดลอง การสังเกต
การวนิ จิ ฉยั และความเชอ่ื ถือได้ ควรใชว้ ธิ กี ารคน้ พบทางการวิจัย
4. การนเิ ทศการศกึ ษาควรเปน็ ประชาธปิ ไตย ควรเปน็ เรื่องของความรว่ มมอื ซงึ่ ทุกคน
มีสิทธใ์ิ นการร่วมมือเลือกอุปกรณแ์ ละวธิ สี อนเป็นสทิ ธิของครูทกุ คน
5. การนิเทศการศึกษาควรเป็นการสรา้ งสรรค์ ควรส่งเสริมให้ทุกคนแสดงออกอยา่ งเสรี
โดยการเขา้ มามีส่วนร่วมในการอภิปรายเพื่อการแก้ปัญหา ความคดิ สรา้ งสรรค์ หมายถงึ การให้
คำแนะนำ สร้างวิธีการใหม่เพ่อื การประดิษฐ์และการผลติ
6. การนเิ ทศการศึกษาควรสง่ เสริมความเจรญิ ก้าวหน้า สง่ เสรมิ ความเจรญิ งอกงาม
ของนักเรยี นและครู และให้เขาได้ปรบั ปรุงสงั คมอีกต่อหน่ึง ควรส่งเสรมิ ภาวะผ้นู ำทีจ่ ะก่อใหเ้ กดิ
การตอ่ เน่ืองเกีย่ วกบั แผน นโยบาย และกระบวนการทางการศกึ ษา
7. การนเิ ทศการศกึ ษาควรเปน็ วิชาชีพท่ีถือเป็นการบริหารอย่างหนงึ่ ก็เหมือนกบั
วิชาชีพอื่น ๆ ซึ่งจะต้องมีการประเมินผลตัวเองอยู่เสมอในด้านเป้าหมายและจุดมุ่งหมาย
นอกจากน้ียังควรประเมินแผน วิธีการและบุคลากรเพื่อที่จะได้พัฒนามาตรฐานและความรู้พิเศษ
ทักษะ ตลอดจนเทคนคิ ตา่ ง ๆ
ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2548 : 24) ให้แนวคิดว่า หลักการนิเทศการศึกษามี
เป้าหมายหลักอยู่ที่คุณภาพของผู้เรียน การนิเทศการสอนจึงต้องผ่านครูและบุคลากรทางการ
ศึกษาเพื่อจะไปสู่นักเรียน หลักการนิเทศการสอนจึงมุ่งที่ครูเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
ในทางที่ดีขึ้น พฤติกรรมของครูที่มีผลต่อพฤติกรรมนักเรียน หากครูได้แสดงถึงความรู้ความสามารถ
และมพี ฤติกรรม ที่เหมาะสมแลว้ คณุ ภาพนักเรยี นกจ็ ะดีควบคู่ไปดว้ ย
สทุ ธนู ศรไี สย์ (2555 : 55) มีขอ้ เสนอเกีย่ วกบั การนเิ ทศการศกึ ษาเป็นหลักปฏิบัติใน
การพัฒนาครู นั่นคือ ปรับปรุงการสอนในชั้นเรียนและในโรงเรียน โดยให้ความช่วยเหลือ
ครผู ูส้ อนพัฒนาความสามารถ มแี นวความคดิ และยึดมัน่ อยู่กับการปฏบิ ัตงิ านในอาชพี ครูตลอดได้
มี 2 ประการ ดังน้ี
20
1. การนิเทศท่มี ีประสิทธภิ าพควรจะตอ้ งตอบสนองต่อการพัฒนาครูใหเ้ ป็นไปตามลำดบั
ขั้นตอน ครูแต่ละคนไมจ่ ำเป็นต้องมีแรงจูงใจหรอื มแี นวคดิ เหมอื นกันทกุ คน นอกจากนกี้ ารนิเทศ
ไม่ควรช่วยเหลือกลมุ่ ครใู ห้มลี กั ษณะเดยี วกันทกุ กลุม่
2. การนิเทศทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพจะต้องตอบสนองต่อความเปล่ียนแปลงวิถชี ีวติ วัยผ้ใู หญ่ของครู
การกระตนุ้ ให้ครมู ีความกระตอื รือรน้ และรับผดิ ชอบเพิ่มขน้ึ ควรกระทำอยา่ งต่อเน่อื งสมำ่ เสมอจาก
วัยเร่มิ เป็นผู้ใหญ่จนถึงวยั กลางคน สำหรบั วัยผู้ใหญ่ตอนปลายครูควรจะไดร้ ับการลดความรับผิดชอบ
ลงมาเพอื่ ให้ครมู คี วามรสู้ กึ ท่ีดตี ่ออาชีพ
นัยนา ฉายวงศ์ (2560 : 35) ได้สรุปไว้ว่า การนิเทศการศึกษาเป็นการพัฒนาครูที่
ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพนักเรียน ควรเป็นไปตามความต้องการของครู ควรเน้นให้เห็นถึง
ความสำคัญของงานวิจัยและพยายามให้ครูศึกษางานวิจัยเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน
ขณะเดียวกันต้องมีการประเมินผลการนิเทศทั้งผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศเพื่อทราบถึงปัญหา
อปุ สรรคและต้องรีบแก้ไขปญั หาที่พบดว้ ย ควรตง้ั อย่บู นหลกั ฐานท่ถี ูกต้องคามหลกั วชิ าการ มีจุดหมาย
ทชี่ ัดเจน มีการวางแผนอยา่ งเปน็ ระเบยี บเป็นประชาธปิ ไตย รับฟงั ความคิดเหน็ ของผู้อน่ื ให้โอกาสทุกคน
ได้แสดงความสามารถอย่างสร้างสรรค์ ทั้งด้านความคิดและการกระทำ ซึ่งการปฏิบัติการนิเทศต้อง
ยึดหลักการมนุษยสัมพันธ์รวมทั้งให้ขวญั และกำลังใจแกผ่ ปู้ ฏิบัตงิ านดว้ ย
สรุปได้ว่า นิเทศการศึกษาเป็น “กระบวนการ”ทำงานร่วมกันระหว่างผู้นิเทศและผู้รับ
การนิเทศมีการทำงานเป็นขั้นตอน โดยเป็นการพัฒนาครูที่ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน
ควรกระทำอยา่ งต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพจนสร้างความรู้สึกว่ากระบวนการนี้เป็นสิ่งท่ีขาดไม่ได้
กลายเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติงานภายในโรงเรียน การนเิ ทศนั้นควรเป็นไปตามความต้องการ
ของครูและพยายามให้ครูศึกษางานวิจยั มาประยกุ ต์ใชใ้ นการเรียนการสอน มีการประเมินผลการ
นิเทศทัง้ ผู้นิเทศและผูร้ บั การนิเทศเพ่ือให้ทราบปญั หาอปุ สรรคและได้รบี แก้ไขปัญหาดงั กลา่ ว
4. กระบวนการนเิ ทศการศกึ ษา
ชุมศักดิ์ อินทร์รักษ์ (2551 : 223-227) ได้กล่าวถึง กระบวนการบริหารและการ
นเิ ทศภายในสถานศกึ ษา โดยท่ัวไปยึดแนวปฏิบัตติ ามกระบวนการ POSDCoRB คอื การวางแผน
(P) การจัดองค์การ (O) การจดั ทีมงาน หรือผรู้ ับผิดชอบ (S) การอ านวยการ (D) การ ประสานงาน (Co)
การรายงาน (R) และการกำหนดงบประมาณ (B) เมื่อทำการนิเทศภายในสถานศึกษาควบคู่ไปกับ
การบริหารนัน้ จึงควรใช้แนวปฏบิ ตั ติ ามกระบวนการ PIDRE ซึ่งมี 5 ขนั้ ตอน ดงั น้ี
21
1. ขน้ั ที่ 1 ข้ันวางแผนการนิเทศ เปน็ ขน้ั ที่ผู้นิเทศและผ้รู ับการนิเทศได้ประชุมชี้แจง
ทำความเข้าใจร่วมกันในเรื่องที่จะนิเทศ ศึกษาสภาพของการปฏิบัติงานทั้งในด้านปริมาณและ
คุณภาพ ปัญหาความต้องการของบุคลากรที่เกี่ยวข้องหรืองานที่จะปฏิบัติ โดยอาศัยการสังเกต
รวบรวมขอ้ มูล การสมั ภาษณ์ การรายงานและการวิจัยที่ปรากฏผลไว้ หรือเปน็ การศกึ ษาเพ่ิมเติม
เพื่อนำผลเหล่าน้ีมากำหนดทางเลือกวางแผนต่อไป การดำเนินงานในขั้นตอนนี้จะเป็นการ
เตรียมการในด้านข้อมูลต่าง ๆ ที่จะนำไปปฏิบัติการวางแผน เช่น ข้อมูลจำนวนนักเรียน ทรัพยากร
การบริหารงบประมาณ อุปกรณ์ เครื่องมือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน เป็นต้น แล้วจัด
ดำเนินการวางแผนโครงการ จัดกิจกรรม กำหนดเป็นแผนปฏิบัติการ พร้อมที่จะนำไปประสานงาน
กับบคุ ลากรทเ่ี กยี่ วข้องตามระยะเวลาที่กำหนดไว้
2. ขน้ั ท่ี 2 ข้ันให้ความรู้ในสิ่งที่จะทำ เป็นขั้นการประชาสัมพนั ธ์ให้มีความรู้ ความเข้าใจ
ใหท้ ราบแผนงานโครงการ และกจิ กรรมท่ีกำหนดไว้และให้บุคลากรทุกคนได้มีส่วนร่วมรับผิดชอบ
ดำเนินการตามขั้นตอนของกิจกรรมนั้น ๆ อาจดำเนินการโดยจัดทำเป็นคู่มือปฏิบัติงาน จัดประชุม
ชี้แจง จดั ข้อสนเทศ หรือแจง้ ข้อมูลตา่ ง ๆ เพอ่ื ทราบ ในบางครัง้ อาจจำเปน็ ให้ผรู้ บั การนิเทศได้ส่งข้อมูล
ป้อนกลับเพ่ือหาทางป้องกันแก้ไข และช่วยดำเนนิ การใหบ้ รรลุวัตถุประสงค์ได้มากยิ่งขึ้น การดำเนนิ งาน
ในขั้นตอนนี้จำเป็นทุกครั้งสำหรับการนิเทศที่จัดทำขึ้นใหม่หรืองานที่ปฏิบัติแล้วยังไม่ได้ผลเป็น
ที่พอใจ จึงจำเป็นต้องทำการทบทวนข้ันตอนการปฏบิ ัติให้ความรู้ทีถ่ ูกต้องอีกครัง้ หนึ่งและนำไปสู่
ขนั้ ตอนต่อไป
3. ข้นั ท่ี 3 ขนั้ ดำเนนิ การปฏิบัติงานนิเทศภายในสถานศึกษา เป็นการนำแผนปฏิบัติ
การมาใชผ้ ้รู บั การนเิ ทศปฏบิ ตั ิตามกระบวนการของกจิ กรรม ผูใ้ ห้การนเิ ทศคอยควบคุมคุณภาพให้
เป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนดไว้ จัดบริการให้สิ่งสนับสนุน จัดอุปกรณ์
เครื่องมือหรือส่ือที่มีประสิทธิภาพ อำนวยความสะดวกอ่ืน ๆ และมกี ารตดิ ตามผลการปฏิบัติงาน
เพื่อหาแนวทางมาปรับปรุงแก้ไขได้ทันท่วงทีและต่อเนื่อง ผู้บริหารหรือผู้นิเทศจึงต้องคอยให้
คำปรกึ ษาหารอื เมอ่ื มีปญั หาเกิดข้นึ
4. ขั้นที่ 4 ขั้นบำรุงขวัญให้กำลังใจ เป็นการเสริมแรงเพื่อให้ผู้รับการนิเทศ ความมั่นใจ
และสร้างความพึงพอใจในการปฏิบัติงาน ผู้บริหารหรือผู้นิเทศ จึงต้องคอยกระตุ้น สนับสนุน
ส่งเสริม และถ้าผิดพลาดก็จะคอยให้คำแนะนำ ปรับปรุง แก้ไข พร้อมทั้งให้การเสริมแรงทันที
เพื่อไม่ให้ผู้รับการนิเทศมีความรู้สึกเสียกำลังใจ ในขั้นนี้จะดำเนินการไปพร้อม ๆ กับขั้นการ
ปฏิบัติงานก็ได้ และควรกระทำหลังการปฏิบัติงานเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งเป็นการแสดงถึงความสำเร็จ
ตามเปา้ หมาย และเชอ่ื มโยงในขัน้ ต่อไป
5. ขั้นที่ 5 ขั้นประเมินผลการดำเนินการปฏิบัติงานนิเทศ ทั้งผู้บริหารหรือผู้นิเทศ
และผู้รับการนิเทศร่วมกันประเมินผลงาน ผลการปฏิบัติงานตามแผนโครงการกิจกรรม ประเมินผลผลิต
ว่าไดผ้ ลเป็นอย่างไร การดำเนินงานทผ่ี ่านมาแลว้ ยังมีปัญหาและอุปสรรคอะไรบ้าง มขี อ้ เสนอแนะที่
22
ควรปรับปรุงอย่างไรบ้าง ดังนั้นการประเมินผลจะทำให้ทราบว่าควรจะดำเนินการอย่างไรในข้ัน
ต่อไปในรูปแบบกระบวนการดังกล่าวนี้จะมีลักษณะปฏิบัติตามครบวงจร โดยให้ข้อมูลป้อนกลับ
เพื่อใหส้ ามารถนเิ ทศได้อยา่ งตอ่ เน่ือง
เกรียงศักดิ์ สังข์ชัย (2552 : 77) ได้สรุปกระบวนการนิเทศการสอนประกอบด้วย
ขั้นตอนที่สำคัญ ๆ 3 ขั้นตอน คือ 1) ขั้นการวางแผน 2) ขั้นดำเนินการนิเทศ และ 3) ขั้นการ
วัดและประเมนิ ผลการนิเทศ
ยุพิน ยืนยง (2553 : 249-250) สรุปรูปแบบการนิเทศแบบหลากหลายวิธีการเพื่อ
ส่งเสริมสมรรถภาพการวิจัยในชั้นเรียนของครู กระบวนการนิเทศมี 4 ขั้นตอน คือ 1) การคัดกรอง
ระดับความรู้ความสามารถ ทักษะที่สำคัญเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้และการวิจัยในชั้นเรยี น 2) การให้
ความรกู้ อ่ นการนิเทศ 3) การดำเนนิ การนิเทศ และ 4) การประเมนิ ผลการนิเทศ
วัชรา เล่าเรียนดี (2553 : 27-28) สรุปกระบวนการนิเทศการศึกษามี 7 ขั้นตอน
คือ 1) การวางแผนร่วมกันระหว่างผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศ 2) เลือกประเด็นหรือเรื่องที่สนใจ
จะปรับปรุงและพัฒนา 3) นำเสนอโครงการพัฒนาและขั้นตอนการปฏิบัติ 4) ให้ความรู้หรือ
แสวงหาความรู้จากเอกสารต่าง ๆ และจัดการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับเทคนิคการสังเกต
การสอนในชั้นเรียนและความรู้เกี่ยวกับวิธีสอนและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่สนใจ 5) จัดทำแผนการนิเทศ
กำหนดวัน เวลาที่จะสังเกตการณ์สอน ประชุม ปรึกษาหารือหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและ
ประสบการณ์ 6) ดำเนินการตามแผนโดยครูและผู้นิเทศ และ 7) สรุปและประเมนิ ผลการปรับปรงุ และ
พฒั นา รายงานผลสำเร็จ
สุมิตร สมศรี (2556 : 56) กล่าวว่า กระบวนการนิเทศภายใน คือ การดำเนินงาน
อย่างมีแบบแผน เพื่อพัฒนาการปฏิบัติงานของผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนให้ได้มาตรฐาน
ตามเป้าหมายที่กำหนด ส่งผลให้การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนสูงขึ้น ประกอบด้วย 4 ข้ันตอนได้แก่ 1) การวเิ คราะห์บริบทสถานศึกษา 2) การวางแผน
การนเิ ทศภายใน 3) ดำเนินการนิเทศภายใน และ 4) การประเมินผลการนิเทศภายใน
ชญากาญจธ์ ศรีเนตร (2558 : 124-125) สรุปรปู แบบการนเิ ทศภายในสถานศึกษา
สงั กัดสำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามธั ยมศึกษา เขต 25 มีกระบวนการ 5 ข้นั ประกอบดว้ ย 1) การสำรวจ
ความต้องการและความจำเป็น 2) การวางแผนการนิเทศ 3) การดำเนินการนิเทศ 4) การประเมินผล
และรายงานผลการนิเทศ และ 5) การขยายผล ยกย่องและเชิดชเู กยี รติ
นัยนา ฉายวงศ์ (2560 : 41) ได้สรุปกระบวนการนิเทศ มี 4 ขั้น คือ 1) การให้
ความรู้กอ่ นการนิเทศ 2) การวางแผนการนเิ ทศ 3) การปฏบิ ตั กิ ารนเิ ทศ และ 4) การประเมนิ ผล
และรายงานผลการนเิ ทศ
23
จรัญ น่วมมะโน (2562 : 32-34) กล่าวว่า กระบวนการนิเทศการศึกษาเป็น
กระบวนการทำงานอย่างเป็นระบบ มีการวางแผนการดำเนินงานอย่างเป็นขั้นตอน เพื่อมุ่ง
สร้างสรรค์ ให้ครูและนักเรียนพัฒนาตนเอง มีศักยภาพในการปฏิบัติงานอันส่งผลต่อการพัฒนา
คุณภาพผู้เรียน ซึ่งต้องยึดหลักประชาธิปไตย เน้นการทำงานอย่างเป็นระบบ มีกระบวนการ
เพอื่ ใหก้ ารจัดการเรียนการสอนมปี ระสิทธภิ าพยิ่งข้นึ
ชาคริยา ชายเกลี้ยง , วีรวรรณ จงจิตร ศิริจิรกาล , ปรีชา สามัคคี (2562 : 5345)
สรปุ วา่ กระบวนการนเิ ทศ 6 ขัน้ ตอน คือ 1) การคน้ หาความต้องการ 2) การวางแผนการนิเทศ 3) การให้
ความรู้ก่อนการนิเทศ 4) การดำเนินการนิเทศ โดยใช้วิธีการนิเทศแบบผสมผสาน คือ ใช้วิธีการ
สร้างชุมชนแหง่ การเรยี นรู้วิชาชีพและการพฒั นาจิตในองค์กร การชี้แนะและระบบพี่เลีย้ ง การใช้
การวิจยั เปน็ ฐานและการนเิ ทศออนไลน์ 5) การประเมนิ ผลการนิเทศ และ 6) การสะทอ้ นผล
ธนัฎฐา วุฒิวณิชย์ (2562 : 309-310) ได้สรุปกระบวนการนิเทศโดยใช้ SPIDER
Model ดังนี้ 1) การประเมินความต้องการ (Survey : S) 2) การวางแผนการนิเทศ (Plan : P)
3) การให้ความรกู้ ่อนการนเิ ทศ (Inspire : I) 4) การดำเนินการนเิ ทศ (Do : D) 5) การประเมินผล
การนเิ ทศ (Evaluation : E) และ 6) การสะท้อนคิด (Reflect : R)
ผู้ศึกษาได้พิจารณาความเห็นของนักการศึกษา จำนวน 10 ท่าน โดยมีเกณฑ์ในการ
พิจารณาคือมีความคิดเห็นของนักการศึกษาที่สอดคล้องกันตั้งแต่ร้อยละ 50 ขึ้นไป (ตั้งแต่ 5 คน
ข้นึ ไป) สรุปกระบวนการนิเทศการศึกษาได้ 5 ขั้น ดังน้ี
1. การศึกษาข้อมลู พ้ืนฐานและวเิ คราะห์ความตอ้ งการจำเปน็ (Data Analysis and
Need Assessment)
2. การวางแผนการนิเทศ (Supervision Planning)
3. การเรียนรู้ (Learning)
4. การปฏบิ ตั กิ ารนเิ ทศ (Practice Supervision)
5. การประเมินผล (Evaluation)
5. ความหมายของการนเิ ทศภายใน
การนเิ ทศภายในโรงเรยี นเป็นการนิเทศการศึกษาหรือการนิเทศการสอนท่ีจัด
ดำเนนิ การภายในโรงเรยี น โดยบคุ ลากรในโรงเรยี น ซึง่ ไดม้ ผี ใู้ หค้ วามหมายของการนิเทศภายในไวด้ ังน้ี
กรองทอง จิรเดชากุล (2550 : 4) ได้ให้ความหมายของการนิเทศภายในว่า การส่งเสริม
สนับสนนุ หรอื การใหค้ วามช่วยเหลือครใู นโรงเรียนให้ประสบความสำเรจ็ ในการปฏิบัติงานตามภารกิจหลัก
ได้แก่ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน หรือการเสริมสร้างพัฒนาการของนักเรียนทุกด้านทั้งทาง
รา่ งกาย สงั คม อารมณ์ จติ ใจและสติปญั ญา ให้เตม็ วัยและศักยภาพ
24
เมธี ฮง่ ภู่ (2554 : 10) ได้สรปุ ความหมายของการนิเทศภายในสถานศึกษาว่า การนิเทศ
ภายในสถานศึกษาเปน็ การทำงานร่วมกนั กบั ครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา เพือ่ ปรบั ปรุงการเรียน
การสอนให้มีประสิทธิภาพ โดยมุ่งให้เกิดประสิทธิผลด้านการเรียนการสอนช่วยให้ครูรู้จัก
ช่วยเหลือตนเองและมีจุดมุ่งหมายเพื่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนเป็นสำคัญ ตลอดจน
มุ่งพัฒนาครูอาจารย์ในสถานศึกษาให้รู้จักวิธีการปรับปรุงการเรียนการสอนให้ดีขึ้น เพื่อทำให้
การศกึ ษาเกดิ ผลสัมฤทธิต์ ามความคาดหมายของการศึกษา
ชญากาญจน์ ศรีเนตร (2558 : 20) ได้สรุปความหมายของการนิเทศภายใน
สถานศึกษาว่าการนิเทศภายในสถานศึกษา หมายถึง กระบวนการทำงานร่วมกันระหว่าง
ผู้บริหาร ครูผู้สอน และบุคลากรทางการศึกษา โดยใช้ขั้นตอนกระบวนการในการนิเทศภายใน
เพ่อื ปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนของครใู หม้ ีประสิทธิภาพอันจะส่งผลต่อคุณภาพ
ทางการศึกษาของนักเรียนใหส้ ูงข้นึ และมีประสิทธิภาพ
วนิดา ภูริชัย (2562 : 10) สรุป ความหมายการนิเทศภายในไว้ว่า การนิเทศภายใน
หมายถงึ การทำงานรว่ มกันของผบู้ ริหาร สถานศกึ ษาและบคุ ลากรในสถานศึกษา โดยการช้แี นะ การแนะนำ
และการให้ความร่วมมือต่อกิจกรรมของครูในการปรับปรุงการเรียนการสอน ซึ่งจะทำให้ได้มาซ่ึง
คุณภาพและผลสมั ฤทธขิ์ องนักเรยี นตามเปา้ หมายของการศึกษา
จากการนำเอาความหมายของการนิเทศภายในตามที่นักวิชาการได้เสนอไว้ จึงทำให้
สามารถทราบว่าคำจำกัดความของการนิเทศภายในมีทัศนะต่าง ๆ กัน ซึ่งสรุปได้ว่า การนิเทศภายใน
หมายถึง กิจกรรมที่เกิดจากความร่วมมือของผู้บริหารและคณะครูในโรงเรียนในการพัฒนา เพื่อปรับปรุง
และพัฒนาคณุ ภาพการเรียนการสอนของครูใหม้ ีประสิทธภิ าพอนั จะสง่ ผลตอ่ คณุ ภาพทางการศึกษาของ
นกั เรยี นให้สูงข้ึนและมีประสิทธภิ าพ
6. จุดมุ่งหมายของการนเิ ทศภายใน
การนิเทศภายในโรงเรียน เป็นกระบวนการทางการศึกษาที่จัดดำเนินการในโรงเรียน
จำเป็นตอ้ งมที ิศทางหรือจุดหมาย ซง่ึ ได้มีผ้กู ลา่ วถึงจุดม่งุ หมายของการนเิ ทศภายใน ไวด้ งั น้ี
กรองทอง จิรเดชากุล (2550 : 4) ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการนิเทศภายใน
สถานศกึ ษาไว้ดังนี้
1) เพอ่ื ปรับปรุงคณุ ภาพของการจดั การศึกษาให้ได้มาตรฐานใกลเ้ คียงกนั
2) เพ่ือให้บุคลากรภายในสถานศึกษามีความรู้ ความสามารถ มีความค้นุ เคยและ
ใกล้ชดิ ปัญหามากท่ีสุด
3) เพอ่ื ให้บรรยากาศในการนิเทศมีความเป็นกันเองและสามารถปฏิบตั งิ านนเิ ทศได้
อย่างต่อเนือ่ ง
25
ธีรศักด์ิ เลื่อยไธสง (2550 : 2) ไดก้ ลา่ วว่า จุดม่งุ หมายของการนเิ ทศภายในสถานศึกษาไว้
4 ประการ ดงั นี้
1) พัฒนาคน คือ เนน้ ความรู้ ทกั ษะ เจตคติ คุณธรรม จรยิ ธรรมและค่านิยมทด่ี ี
2) พัฒนางาน คือ เน้นภารกจิ หลัก ได้แก่ การสอน เทคนิควธิ ีการสอน
3) ประสานสมั พันธ์ คือ เนน้ ความร่วมมอื ความเข้าใจ ความเปน็ นำ้ หนงึ่ ใจเดยี วกนั
4) สร้างขวญั และกำลงั ใจ คอื เนน้ การส่งเสรมิ สนบั สนุน ชว่ ยเหลอื เก้ือกลู กัน ใหเ้ กดิ
ความมั่นใจในการทำงาน
จิณหธาน์ อุปาทงั (2551 : 21) กลา่ วถงึ จุดมุ่งหมายของการนเิ ทศภายในโรงเรยี นได้ว่า
เพื่อพัฒนาบุคลากรภายในโรงเรียน โดยเฉพาะครูให้มีความรู้ความสามารถ และทักษะในการจัด
การศึกษา เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านวิชาชีพ ซึ่งจะส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนให้มี
ประสทิ ธภิ าพทีส่ ูงขนึ้ รวมทง้ั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นของนักเรยี นท่ีดขี ึน้ ตามไปดว้ ย
ปรยี าภรณ์ วงศอ์ นตุ รโรจน์ (2553 : 226) ได้กลา่ วว่า ความม่งุ หมายของการนิเทศภายใน
ดงั นี้
1) เพ่ือพัฒนาและสง่ เสรมิ การบริหารและงานวิชาการของสถานศึกษา
2) เพื่อการบรหิ ารงานวิชาการในสถานศกึ ษาใหม้ ปี ระสิทธิภาพย่งิ ขึ้น
3) เพื่อสำรวจ วิเคราะห์ วจิ ัยและประเมินผล เพอ่ื ปรบั ปรุงคุณภาพและมาตรฐาน
การศกึ ษา
4) เพ่อื พัฒนาหลกั การและส่ือการเรยี นการสอนใหไ้ ด้มาตรฐานและเอกสารทางวชิ าการ
ให้มีประสทิ ธิภาพสอดคล้องกับความตอ้ งการและจำเปน็ ของสถานศกึ ษาและครูอาจารย์
5) เพ่อื พฒั นาบุคลากร โดยเฉพาะครูอาจารยใ์ หม้ ีความรู้ทักษะและประสบการณ์
ทจี่ ำเปน็ ซงึ่ จะนำไปใช้ในการเรียนการสอน การจัดการศึกษา ทัง้ ให้สามารถแก้ปญั หาเหลา่ นน้ั ได้
จากแนวคิดเก่ียวกับจุดมุ่งหมายของการนเิ ทศภายในโรงเรยี น สรุปได้ว่า จุดมุ่งหมาย
ของการนิเทศภายในโรงเรียน ก็เพ่อื ชว่ ยเหลือครูใหส้ ามารถแก้ไขปัญหาการเรยี นการสอน การพัฒนาคน
การพัฒนางาน การประสานสัมพันธ์ และการสร้างขวัญและกำลังใจ รวมทั้งเจตคติที่ดีในการ
ทำงานเพอื่ ให้ได้มาซึ่งผลงานทีด่ มี ีคณุ ภาพสูงสดุ ซงึ่ ก็คอื นกั เรยี นนัน่ เอง
7. บทบาทของผู้บริหารในการนเิ ทศภายใน
การนิเทศการศึกษาโดยมากแล้วบุคคลทั่วไปมักคิดถึงกิจกรรมนิเทศของ
ศึกษานิเทศก์ แต่ที่จรงิ แลว้ การนิเทศการศึกษาโดยเฉพาะการนเิ ทศภายในโรงเรยี นน้ันเป็นหนา้ ท่ี
โดยตรงของผู้บริหารโรงเรียนที่ต้องจัดให้มีขึ้นภายในโรงเรียนที่ตนรับผิดชอบอยู่ ซึ่งมีนักการ
ศึกษาและหน่วยงานทางการศึกษากล่าวถึงบทบาทของผู้บริหารโรงเรียนในการปฏิบัติงานนิเทศ
ภายในโรงเรยี นไว้ ดงั น้ี
26
บันลือ พฤกษะวัน (2537 : 1) ได้กล่าวถึง บทบาทของผู้บริหารกับการนิเทศ
ภายในโรงเรียนไวว้ ่า
1. สนบั สนุน สง่ เสรมิ การนเิ ทศอยา่ งรวดเร็ว อย่างจริงจงั และจริงใจ
2. ทำหน้าท่ีเป็นวิทยากรทด่ี ีและให้คำแนะนำการใชแ้ หล่งวิชา
3. บริการอำนวยความสะดวกใหแ้ กผ่ นู้ ิเทศ ผูร้ บั การนเิ ทศทุกด้าน
4. ประเมนิ ผลการปฏบิ ตั ิงานของผนู้ ิเทศและผู้รบั การนิเทศ
5. สรา้ งขวัญและกำลงั ใจให้แก่ผูน้ เิ ทศและผ้รู ับการนเิ ทศ
กรมวิชาการ (2545 : 12) ได้กลา่ วถึงบทบาทหน้าทีข่ องผู้บริหารโรงเรยี น มดี ังน้ี
1. ตระหนกั และเหน็ ความสำคญั ว่าจะต้องมกี ารพัฒนาเปลี่ยนแปลง
2. บริหารและจดั การแบบมีสว่ นรว่ ม
3. สร้างขวญั และกำลงั ใจ
4. สรา้ งความเข้าใจกบั ผปู้ กครองและหน่วยงานอื่น
5. สนบั สนนุ ดา้ นงบประมาณ ยานพาหนะ และอำนวยความสะดวกทกุ ดา้ น
6. สร้างเครอื ข่ายกับโรงเรียนและสถาบันผลิตครูเพ่อื การพฒั นาโรงเรียน
7. ประสานงานกับหนว่ ยศกึ ษานิเทศก์และสถาบันผลิตครใู นท้องถิ่น เพื่อรว่ มกนั
ในการวางแผนในการพฒั นาบคุ ลากรและโรงเรียน
การนิเทศภายใน ผู้บริหารสถานศึกษาต้องมีบทบาทเกี่ยวกับการนิเทศ ดังนี้ (สมคิด
บางโม, อา้ งถึงใน สันติ บญุ ภิรมย์, 2552 : 205)
1. บทบาทในดา้ นมนุษยสัมพันธ์ ผ้บู ริหารสถานศึกษามีหน้าที่ขจัดความขัดแย้งต่าง ๆ
ที่มีอยู่ในสถานศึกษาให้หมดไป พยายามสร้างความเข้าใจอันดีและเสริมสร้างความเป็นเอกภาพ
ใหเ้ กิดขึน้ ภายในกล่มุ
2. บทบาทในฐานะผ้นู ำ ผบู้ ริหารสถานศึกษาตอ้ งพฒั นาความเป็นผู้นำใหเ้ กดิ ข้ึน
แก่ผู้ร่วมงาน ช่วยให้ผู้อื่นมีส่วนร่วมในความรับผิดชอบและการตัดสินใจร่วมกับการใช้อำนาจ
อีกท้งั ควรเป็นแบบอย่างแกบ่ ุคลากรด้านตา่ ง ๆ อีกดว้ ย
3. บทบาทในดา้ นการจดั และดำเนนิ งานในหน่วยงาน ผู้บริหารถือวา่ การพฒั นา
ด้านการจัดองค์กรในสถานศึกษาช่วยให้การดำเนินงานของคณะกรรมการและฝ่ายต่าง ๆ ดำเนิน
ไปอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ เม่ือกล่มุ ตดั สินใจแลว้ ต้องไม่คัดค้าน พยายามใหท้ ุกคนในกลุ่มมเี ป้าหมายเป็น
เอกภาพ
4. บทบาทในการคัดเลอื กและการใช้บุคลากร เป็นความสามารถของผู้บริหารที่
ต้องศึกษาข้อมูลที่ได้จากการพิจารณาสรรหาบุคลากรใหม่ให้ตรงกับความต้องการเข้ามาทำงาน
โดยให้ผสู้ อนทกุ คนมสี ว่ นร่วมในการพจิ ารณา มอบหมายงานให้ตรงกับความสามารถของเขา
27
5. บทบาทในการสร้างขวัญและกำลังใจของครู ชว่ ยใหเ้ กดิ ความพึงพอใจในการอำนวย
ความสะดวกในการปฏบิ ตั ิ ให้ครูมสี ว่ นร่วมในการวางโครงการ ให้เขามัน่ ใจในความสามารถของตนเอง
ให้เขารู้สึกมีความสำคัญ ทำงานด้วยความสบายใจ มีสิทธิ์ต่าง ๆ ที่ควรจะได้รบั และโอกาสของ
ความกา้ วหน้าในอาชีพ
6. บทบาทในการพฒั นาบุคลากร จัดใหม้ ีการบรรยายเสรมิ ความรู้ จดั อบรมสัมมนาหรือ
ประชุมเชิงปฏิบัติการในสถานศึกษา ส่งเข้ารับการฝึกอบรมสัมมนาภายนอกสถานศึกษา ทั้งน้ี
ตอ้ งใหต้ รงกบั ความตอ้ งการของครู การพัฒนาบุคลากรจะส่งผลในดา้ นประสทิ ธิภาพการเรียนการสอน
สรปุ ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษาต้องมีหน้าทีห่ ลักอีกประการหนึ่ง ก็คือหน้าทใี่ นการนเิ ทศ
การศึกษา เนื่องจากการนิเทศการศึกษาเป็นงานที่สำคัญ ช่วยแนะนำปรับปรุงให้ครูผู้สอนได้ทำ
การสอนอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ
แนวคิดเก่ียวกบั การเรียนรแู้ บบผสมผสาน
1. ความเปน็ มาและความสำคัญของการเรยี นรู้แบบผสมผสาน
นฤมล รอดเนียม (2554 : 13) ไดส้ รปุ ทมี่ าและความสำคัญของการเรียนรู้แบบผสมผสาน
จากแนวคิด Fauconnier and Turner (1998, p.133) ; Singh (2003, p.53) และCarman (2005)
การเรยี นรู้แบบผสมผสานไมไ่ ดเ้ ป็นแนวคดิ ใหมเ่ น่อื งจากตามธรรมชาติแล้ววิธีการเรียนรู้ของคนเรา
นนั้ จำเปน็ ต้องมีการใช้หลาย ๆ วธิ รี ว่ มกันเพ่อื ให้เกิดการเรียนรู้ทีด่ ีท่ีสุด ประกอบกับผู้เรียนแต่ละ
คนมีความถนัดและความชอบในการเรียนรู้ที่ต่างกนั จงึ ไม่สามารถใชว้ ิธีการเรียนรเู้ พยี งวธิ ีเดยี วให้
ได้ผลดีกับผู้เรียนทุกคน การที่จะให้เกิดการเรียนรู้ที่เหมาะสมที่สุดจึงจำเป็นต้องใช้วิธีการ
ผสมผสาน ทฤษฎีการเรียนรู้แบบผสมผสานเพื่อเพิ่มประสทิ ธิภาพและเพ่ิมมลู ค่าในการแก้ปัญหา
ตา่ ง ๆ ซึ่งไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวสำหรบั องคป์ ระกอบทฤษฎีการผสมผสาน (Blended Theory)
วเิ ชยี ร ดีฉาย (2562 : 39-40) ได้สรปุ เกีย่ วกับการเรยี นรแู้ บบผสมผสาน (Blended
Learning) เป็นรูปแบบการเรียนรู้แนวใหม่ที่ใช้ได้ดีสอดคล้องกับบริบทของยุคที่ดีเทคโนโลยีการ
สื่อสารสะดวกสบาย ใช้ง่าย ราคาไม่แพง และเป็นที่สนใจสำหรับคนในยุคศตวรรษที่ 21 ที่
ต้องการศึกษาผ่านเครื่องมือสื่อสารที่ตนเองมีและสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา ซึ่งการเรียนรู้
แบบผสมผสานนี้มีทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ทั้งการเผชิญหน้าที่แบบสืบค้น ซึ่งการเรียนรู้แบบ
ผสมผสาน (Blended Learning) ทีผ่ ู้สอนไดอ้ อกแบบไว้จะบรรลุผลสำเร็จหรือไม่ มีเกณฑ์การพจิ ารณา
7 ประเด็น ดังนี้ 1) เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้เรียนอย่างแท้จริง 2) มีความเหมาะสมกับสภาพและ
ขอ้ มลู พน้ื ฐานของผู้เรยี น 3) สอดคลอ้ งกบั วัฒนธรรมการเรียนรู้ขององค์กร 4) มีแหลง่ ทรัพยากรที่
สนับสนุนการเรียนรู้แบบผสมผสานอย่างเพียงพอ 5) มีระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่สนับสนุน
การเรียนรู้แบบออนไลน์ได้อย่างดี ทั่วถึงและมีเสถียรภาพ 6) รองรับปริมาณผู้เรียนที่เพิ่มขึ้นได้
โดยไม่จำกัดจำนวน 7) มีความมั่นคงและรองรับกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นโดยไม่ผูกติด
กับเทคโนโลยีหรอื ฮารด์ แวรห์ รือซอฟต์แวร์
28
2. ความหมายของการเรียนรูแ้ บบผสมผสาน
การเรยี นรแู้ บบผสมผสานมชี อื่ เรยี กทีแ่ ตกต่างกัน ไดแ้ ก่ Blended Learning, Blended
instruction, Hybrid Learning, Flexible Learning Integrated Learning, Multi-Method
Learning และ Mixed Mode Learning ส่วนชื่อภาษาไทยก็มีชื่อเรียกที่ต่างกัน ได้แก่ การเรียน
การสอนแบบผสมผสาน การจดั การเรียนรู้แบบผสมผสาน การเรยี นรู้แบบไฮปริด การเรียนบนเว็บ
แบบผสมผสานและการเรียนรู้แบบผสมผสาน การจัดการเรียนการสอนบนเว็บแบบผสมผสาน
สำหรับการวิจัยในครั้งนีผ้ ูว้ ิจัยใช้ชื่อภาษาไทยว่า “การเรียนรู้แบบผสมผสาน” และใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า
“Blended Learning” โดยมีนักการศึกษาไดใ้ ห้ความหมายของการเรยี นรู้แบบผสมผสาน ดงั น้ี
นัยนา ฉายวงศ์ (2560 : 47) ได้สรุปไว้ว่า การจัดการเรียนรูแ้ บบผสมผสานเปน็ การจดั การ
เรียนรู้ที่มีลักษณะ ดังนี้ 1) การผสมผสานวิธีการเรียนรู้แบบพบหน้า (Face-to-Face) และการ
เรียนรแู้ บบออนไลน์ 2) การผสมผสานทฤษฎีการสอนเขา้ กับระบบการเรยี นการสอน 3) การผสมผสาน
สอ่ื เทคโนโลยกี ารสอนทุกรูปแบบ และ 4) การผสมผสานเทคโนโลยกี ารเรยี นการสอนกบั การทำงานจริง
มลฤดี เพ็งสง่า (2559 : 18) ได้สรปุ ไวว้ ่า การเรยี นแบบผสมผสานเปน็ กระบวนการเรียนรู้ท่ี
ผสมผสานรูปแบบการเรียนรู้ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในห้องเรียน ผสมผสาน
กับการเรียนรู้นอกห้องเรียนที่ผู้เรียนผู้สอนไม่เผชิญหน้ากัน หรือการใช้แหล่งเรียนรู้ที่มีอยู่อย่าง
หลากหลาย กระบวนการเรียนรู้และกิจกรรมเกิดขึ้นจากยุทธวิธีการเรียนการสอนที่หลากรูปแบบ
เป้าหมายอยูท่ ่ีการให้ผู้เรียนบรรลเุ ป้าหมายการเรยี นรเู้ ป็นสำคัญ
ปณิตา วรรณพิรุณ (2557 : 101-103) นำเสนอแนวคิดของการเรียนรู้แบบผสมผสาน
สามารถจดั กลมุ่ ได้ 4 แนวคดิ ดังน้ี
1. การผสมผสานเทคโนโลยีการเรยี นรบู้ นเว็บกบั การเรยี นในชั้นเรียนแบบด้งั เดิม
(to combine or mix modes of web-based technology) เป็นการรวมหรือผสมเทคโนโลยี
ของเว็บ (web-based technology) กับการเรียนในชั้นเรียนแบบเดิม เช่น การเรียนในห้องเรียน
เสมือนแบบสด (live virtual classroom) การเรียนด้วยตนเอง (self-paced instruction)
การเรียนรู้ร่วมกัน (collaborative learning) วิดีโอสตรีมมิ่ง เสียง และข้อความ เพื่อให้บรรลุ
ตามเป้าหมายของการจัดการศึกษาเป็นการเรียนโดยใช้การผสมผสานวิธีสอนที่หลากหลายเข้า
ด้วยกันเพอื่ ใหผ้ ู้เรียนเกิดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนสูงสดุ
2. การผสมผสานวิธีสอนที่หลากหลายเข้าด้วยกัน (to combine various pedagogical
approaches) เป็นการผสมผสานวิธีสอนที่หลากหลายเข้าด้วยกัน เช่น คอนสตรักติวิสต์
(constructivism) พฤติกรรมนิยม (behaviorism) และพุทธินิยม (cognitivism) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์จาก
การเรียนทดี่ ีที่สดุ ซึ่งอาจใชห้ รือไมใ่ ชเ้ ทคโนโลยกี ารสอนกไ็ ด้ โดยการผสมผสานระบบการเรยี นและทฤษฎี
การสอนที่หลากหลายเข้าด้วยกันเพื่อเป็นการแก้ปัญหาที่หลากหลายในการเรียนเพื่อตอบสนองความ
แตกตา่ งระหวา่ งบุคคลของผู้เรยี นให้ผู้เรยี นเกิดการเรียนรไู้ ด้อย่างเท่าเทียมกันตามศกั ยภาพท่ตี นเองมีอยู่
29
3. การผสมผสานเทคโนโลยีการเรียนรูท้ ุกรูปแบบกับการเรียนการสอนในชั้นเรียนปกติ
แบบดั้งเดิม (to combine any form of instructional technology) เป็นการจัดการเรียนการสอน
ทางไกลโดยใชเ้ ทคโนโลยีการสอนในทกุ รปู แบบ เชน่ วิดที ศั น์ ซีดรี อม การเรียนการสอนบนเว็บ
ข้อความเสียงและการประชุมทางโทรศัพท์ ร่วมกับการศึกษาแบบดั้งเดิมโดยการผสมผสาน
ระหว่างการเรียนแบบเผชิญหน้าในห้องเรียนกับการเรียนแบบออนไลน์เข้าด้วยกัน โดยใช้จุดเด่นของ
การเรียนแบบออนไลน์เติมเต็มช่องว่างของการเรียนในห้องเรียนซึ่งเป็นแนวคิด ที่มีผู้ยอมรับกัน
อย่างแพร่หลายมากทส่ี ุด
4. การผสมผสานเทคโนโลยกี ารเรยี นการสอนกับการทำงาน (to mix or combine
instructional technology with actual job tasks) เป็นการผสมเทคโนโลยีการเรียนการสอน
กับการทำงานจริงโดยการจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสาน เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกอบรม
ในองค์กรด้วยการเรียนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์และสื่ออื่น ๆ ในการส่งผ่านความรู้ในการเรียนและ
การฝกึ อบรม
ดารารัตน์ มากมีทรัพย์ (2553 : 40) ได้สรุปความหมายของการเรียนแบบผสมผสาน
“Blended learning” ไดว้ า่ เป็นการบูรณาการการเรียนแบบเผชิญหน้าในชั้นเรียนและการเรียนแบบ
ออนไลน์เข้าไว้ด้วยกัน โดยอาศัยเทคนิควิธีการที่ดีของการเรียนแบบเผชิญหน้าในชั้นเรียนและการ
เรยี นออนไลน์ผ่านวิธกี ารเรียนรู้ ช่องทางและส่ือการเรียนรู้ท่ีหลากหลาย
Allen and Seaman (2010, p.4) กลา่ ววา่ การเรียนการสอนแบบผสมผสานเป็นการเรยี น
ที่ผสมกันระหว่างการเรียนแบบเผชิญหน้าและการเรียนออนไลน์ โดยนำเสนอเนื้อหาส่วนใหญ่
ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เช่น การสนทนาออนไลน์และยังคงมีส่วนท่ีให้ผู้เรยี นและผู้สอนพบปะกนั
โดยมีสัดส่วนในการนำเสนอเนื้อหาผ่านระบบออนไลน์อยู่ระหว่างร้อยละ 30-79 ของเนื้อหาการเรียน
ทั้งหมด
สรุปได้ว่า การเรียนร้แู บบผสมผสาน เปน็ การจดั การเรยี นรู้ที่ผสมผสานระหวา่ งการเรียนรู้
แบบเผชญิ หนา้ และการเรียนร้แู บบออนไลนโ์ ดยมสี ดั ส่วนในการนำเสนอเนื้อหาผา่ นระบบออนไลน์
อยู่ระหว่างร้อยละ 30-79 ของเนื้อหาการเรียนทั้งหมด ตลอดจนใช้ช่องทางและสื่อการเรียนรู้ท่ี
หลากหลายสามารถเรียนรูไ้ ดท้ กุ ที่ทกุ เวลา
3. ประโยชน์ของการเรยี นรแู้ บบผสมผสาน
การเรียนรู้แบบผสมผสานก่อให้เกิดประโยชน์ ดังนี้
นยั นา ฉายวงค์ (2560 : 48) กลา่ วว่า การเรียนรแู้ บบผสมผสานมีประโยชนช์ ว่ ยปรับปรุง
และเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอน เพิ่มปฏิสัมพันธ์ทางสังคม มีความยืดหยุ่นและเปิดโอกาสให้
ผู้เรียนได้เรียนรู้มากขึ้น ผู้เรียนสามารถเรียนรู้จากวิธีสอนที่เหมาะสมและหลากหลาย และเป็น
การฝกึ ฝนวธิ กี ารเรียนรดู้ ว้ ยตนเองท่ีจะทำให้เกิดการเรยี นรตู้ ลอดชวี ติ อยา่ งมีประสิทธภิ าพ
30
อนชุ ยั ธีระไชยรงุ่ เรอื งศรี (2549, อา้ งถงึ ใน นฤมล รอดเนียม, 2554 : 16-17) ไดส้ รปุ
ประโยชนท์ างอ้อมที่เกดิ จากการเรยี นรูแ้ บบผสมผสาน ดงั น้ี
1. เป็นการเตรียมผเู้ รียนสำหรบั คุณลักษณะทกั ษะการปฏบิ ตั งิ านในศตวรรษที่ 21
ได้แก่ การเรียนรู้เทคโนโลยี (Technological Literacy) การเรียนรู้สารสนเทศ (Information
Literacy) การเรยี นรวู้ ัฒนธรรม (Cultural Literacy) การตระหนักรโู้ ลกาภวิ ตั น์ (Global Awareness)
2. เป็นการปรบั ปรงุ ทักษะการคดิ ของผเู้ รียนในการคิดสรา้ งสรรค์ส่งิ ประดิษฐ์ (Inventive
Thinking) ไดแ้ ก่ การปรับเปลีย่ นความกระหายใคร่รู้ ความคิดสร้างสรรค์ การจัดการความเส่ียง
การคดิ ระดบั สูงและการแก้ปัญหา เป็นตน้
3. เป็นการปรับปรงุ ทักษะความร่วมมือ เช่น ทักษะการตดิ ต่อสือ่ สารทีม่ ีประสิทธิภาพ
ทักษะการทำงานเป็นทีม การเรียนรู้ร่วมกันและทักษะความสัมพันธ์ภายในบุคคล ความรับผิดชอบ
ทางสังคมและส่วนบคุ คล ปฏิสมั พันธ์ดา้ นการตดิ ตอ่ สื่อสาร ทกั ษะการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์
4. เปน็ การฝึกฝนวธิ ีการเรียนรู้ด้วยตนเองท่จี ะทำใหเ้ กดิ การเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมี
ประสทิ ธิภาพ
Graham, Allen and Ure (2003, อ้างถึงใน Graham, 2005, p.8-10) นำเสนอ
ประโยชนข์ องการเรยี นรู้แบบผสมผสาน ดงั น้ี
1. ช่วยปรับปรุงและเพ่ิมประสทิ ธิภาพการเรียนการสอน ได้แก่ ชว่ ยเสรมิ สร้างยุทธวธิ ี
การเรียนรูแ้ บบกระตือรือร้น ช่วยให้เกดิ การเรยี นรรู้ ะหวา่ งผ้เู รยี นด้วยกันมากข้ึนและชว่ ย
สนบั สนุนการเรียนการสอนท่เี น้นผ้เู รยี นเป็นสำคญั
2. เพิ่มความยดื หย่นุ และเปิดโอกาสใหผ้ ู้เรยี นมากยิง่ ขึ้น
3. เพิม่ ประสทิ ธิผลของการลงทนุ ก่อใหเ้ กิดจดุ ทเี่ หมาะสมทส่ี ุดของตน้ ทุนและเวลา
Osguthorpe and Graham (2003, p.227) ได้สรปุ ถงึ เหตุผลของการจดั การเรียนรู้
แบบผสมผสานไว้ 6 ประเด็น ดงั น้ี
1. สามารถเลือกใชว้ ิธีสอนที่เหมาะสมหลากหลาย (Pedagogical Richness)
2. สามารถเข้าถึงองค์ความร้ไู ด้ง่าย (Access to Knowledge)
3. ชว่ ยเพิ่มปฏิสมั พันธท์ างสงั คม (Social Interaction)
4. มีความเปน็ ส่วนตัว (Personal Agency)
5. ชว่ ยใหเ้ กดิ ความคุ้มคา่ ในการลงทุน (Cost Effectiveness)
6. ชว่ ยอำนวยความสะดวกในการปรบั ปรงุ แก้ไข (Ease of Revision)
สรุปได้ว่า การเรียนรู้แบบผสมผสานมีประโยชน์ช่วยส่งเสริมให้สามารถเข้าถึง
การเรยี นรู้ไดง้ ่ายข้นึ มีความยดื หยุ่นและเปดิ โอกาสให้ผูเ้ รียนเรียนรู้ได้มากขึน้ อันจะส่งผลให้เกิด
การเรียนรตู้ ลอดชีวิตอย่างมปี ระสิทธภิ าพ
31
4. เกณฑ์การพิจารณาการเรยี นร้แู บบผสมผสาน
นักการศึกษานำเสนอเกณฑ์การพจิ ารณาการเรียนร้แู บบผสมผสาน ดงั น้ี
ปรชั ญนันท์ นลิ สขุ และปณติ า วรรณพิรณุ (2556 : 33) นำเสนอสัดส่วนของการเรียนรู้
แบบผสมผสานระหว่างการเรียนปกติกับการเรียนออนไลน์สามารถพิจารณาใน 2 ลักษณะ คือ
ลักษณะของรายวิชากับลักษณะของสื่อออนไลน์ ซึ่งลักษณะของรายวิชาต้องพิจารณาว่าเป็นวชิ า
ทฤษฎีอย่างเดียว ทฤษฎีร่วมกับปฏิบัติหรือวิชาปฏิบัติอย่างเดียวและลักษณะของสื่อออนไลน์จะ
เปน็ สื่อหลกั หรือส่ือเสรมิ การนำบทเรยี นออนไลนม์ าใช้มีปรมิ าณแตกตา่ งกัน ดังที่ สมาคมสโลน
(Sloan Consortium) เสนอแนะแนวทางในการจัดกลุ่มและประเภทของการเรียนแบบ
ผสมผสานตามระดบั การนำเสนอเนื้อหาผา่ นอินเทอร์เน็ต รายละเอยี ดแสดงดังตารางที่ 1
ตารางท่ี 1 ระดับการจัดการเรยี นรู้แบบผสมผสาน
การนำเสนอเนอ้ื หาผ่านอินเทอรเ์ น็ต ระดับการผสมผสาน
(Online Learning) (Meaning)
80 – 100%
30 – 79% การเรียนการสอนออนไลน์ (Online Learning)
1 – 29% การเรยี นแบบผสมผสาน (Blended Learning)
0% การใชเ้ วบ็ ชว่ ยสอน (Web Facilitation)
การเรียนการสอนแบบปกติ (Tradition)
ชาร์พ และคณะ (Sharpe and other, 2006 อ้างถึงใน มลฤดี เพ็งสง่า. 2559 : 30)
ไดท้ ำการสังเคราะห์ลกั ษณะของการเรียนแบบผสมผสานเอาไว้ 8 ด้าน ซึง่ ถือหลักความเป็นไปได้
ดังน้ี
1. ลักษณะการถ่ายทอด - การเรยี นแบบเผชญิ หนา้ และการเรยี นทางไกล
2. เทคโนโลยที ีใ่ ช้ - การผสมผสานเทคโนโลยตี า่ ง ๆ โดยใช้เว็บเปน็ ฐาน
3. การสือ่ สาร - แบบประสานเวลาและไมป่ ระสานเวลา
4. สถานที่ - การเรียนรู้ในชนั้ เรียน และการฝกึ หดั บนเว็บ
5. บทบาทหน้าที่ - ระเบยี บวนิ ยั ด้านตา่ ง ๆ ของผู้เรยี น
6. วธิ กี ารสอน - ใช้วธิ กี ารทมี่ ีความหลากหลาย
7. จุดเนน้ - ผูเ้ รยี นบรรลวุ ตั ถุประสงคข์ องการเรียน
8. การควบคมุ - ควบคุมโดยผ้สู อนและผูเ้ รยี นกำกับตนเอง
32
สรุปได้ว่า เกณฑ์ในการพิจารณาการเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) คือ
มีสัดส่วนการนำเสนอเนื้อหาผ่านอินเทอร์เน็ต ร้อยละ 30-79 ถ้ามีสัดส่วนการนำเสนอเนื้อหา
ผ่านอินเทอร์เน็ตร้อยละ 80-100 จะเป็นการเรียนการสอนออนไลน์ (Online Learning) และ
ถ้ามีสัดส่วนการนำเสนอเนื้อหาผ่านอินเทอร์เน็ต ร้อยละ 1-29 เป็นการใช้เว็บในการช่วยสอน
(Web Facilitation)
3. องคป์ ระกอบของการเรยี นรแู้ บบผสมผสาน
มนต์ชัย เทยี นทอง (2549 : 60-61) นำเสนอองคป์ ระกอบของการเรยี นรู้แบบผสมผสาน
ประกอบด้วย 2 ประการ ดงั น้ี
1. การเรียนรแู้ บบออฟไลน์ (Offline Group) หมายถงึ การนำเทคโนโลยี นวตั กรรม
และวธิ ีการทีใ่ ชใ้ นการเรียนรู้แบบผสมผสานท่ีเน้นการใช้งานเพียงลำพังเฉพาะผู้เรียนเพียงคนเดียว
ไม่ไดม้ กี ารเชือ่ มกบั ผู้สอนหรอื ผู้เรียนคนอ่ืนใดในขฯเวลาดงั กล่าว แบ่งออกเปน็ 6 แบบ ดงั น้ี
1.1 Work place Learning คอื การกำหนดงานหรือการเรียนรู้ดว้ ยการมอบหมาย
กจิ กรรม/โครงการ การใหแ้ บบฝึกหัดเพอ่ื ศึกษาด้วยตนเอง
1.2 Face to face คือ การเรยี นการสอนท่ผี ู้สอนพบกับผู้เรยี นดว้ ยการปฏสิ ัมพันธ์
ระหว่างกลุ่มทร่ี ว่ มกันทำงาน มีการแนะนำการสอนให้กับผู้เรียน พร่อมทัง้ เปน็ ที่ปรึกษาให้กับผู้เรียน
1.3 Classroom คือ การเรียนการสอนภายในห้องเรียนดว้ ยการจดบันทึก (Lectures)
การนำเสนอ (Presentations) การทำกิจกรรมกลมุ่ การสมั มนาเกี่ยวกบั การสอน
1.4 Print Media คือ การเรยี นการสอนดว้ ยการใช้ส่ือในการสอน อาทิ หนงั สือ
หนงั สือพมิ พ์ การค้นควา้ จากรายงานการประชมุ
1.5 Electronic Media คือ การเรยี นการสอนด้วยส่อื อเิ ล็กทรอนิกสต์ ่าง ๆ อาทิ
การใชเ้ ทปคลาสเซท็ การใชว้ ดิ ที ศั น์ แผน่ ซดี หี รือเครื่องเล่นดวี ีดี
1.6 Broadcast Media คือ การเรยี นการสอนด้วยส่อื ประสม อาทิ วทิ ยุ โทรทศั น์
วิทยกุ ระจายเสยี ง
2. การเรยี นรู้แบบออนไลน์ (Online Group) หมายถึง เทคโนโลยี นวัตกรรมและวิธีการ
ที่ใช้ในการเรียนรู้แบบผสมผสานที่มีการใช้งานร่วมกันหลายคน ทั้งผู้สอน ผู้เรียน ผู้สอนเสริม
หรือผู้เกี่ยวข้องอื่น ๆ โดยการเชื่อมต่อเข้าด้วยกันผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต แบ่งออกเป็น 6 แบบ
ดังน้ี
2.1 Online Learning Content คอื การเรยี นการสอนสำหรับนำเสนอเนื้อหาผ่านทาง
สอ่ื โซเชยี ลมเี ดยี ตา่ ง ๆ บนเครือข่ายอินเทอร์เนต็ สามารถใช้ทรัพยากร/เน้อื หาร่วมกนั ได้
2.2 e-Tutoring คือ การเรียนการสอนโดยการทบทวนบทเรยี นหรือมีครพู ี่เลีย้ ง
ผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
33
2.3 Online Collaborative Leaning คือ การเรยี นการสอนในลกั ษณะท่ผี ้เู รียนและ
ผู้สอนไม่ได้อยทู่ เี่ ดยี วกันหรืออยใู่ นทเ่ี ดยี วกัน มกี ารปฏสิ มั พนั ธ์ (Interactive) ตอ่ กันในระหวา่ งเรียนนน้ั
ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันหรือไม่ใช่ช่วงเวลาเดียวกัน เช่น การเรียนด้วยตนเองผ่านทาง
อินเทอรเ์ น็ต อเี มล์หรอื ผา่ นการอภิปรายกลุ่ม เปน็ ต้น
2.4 Online Knowledge Management คือ การเรียนรดู้ ้วยการค้นหาขอ้ มลู บนระบบ
อินเทอร์เน็ตผ่านเบราเซอร์ ทั้งนี้ข้อมูลท่ีต้องการบนเว็บไซต์ การค้นหาฐานความรู้ เอกสารต่าง ๆ
รวมถึงการสอบถามผ้เู ชีย่ วชาญ
2.5 The Web คอื การเรียนรดู้ ว้ ยการคน้ หาจากเวบ็ ไซต์การเรยี นรูผ้ ่านระบบเครือขา่ ย
คอมพิวเตอร์
2.6 Mobile Learning คอื การเรียนรู้ผา่ นอุปกรณ์ส่อื สารประเภทพกพาต่าง ๆ
เช่น โทรศัพท์มือถือ เครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (PDA) และเครื่องโน้ตบุ๊ค ถือเป็นเทคโนโลยีท่ี
สนับสนุนการเรยี นรูแ้ บบอเิ ลก็ ทรอนิกส์ในอนาคต
สายชล จินโจ (2550 : 68-71) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของรูปแบบการเรียน
การสอนแบบผสมผสานไว้ดงั นี้
1. การสอนแบบปฏสิ มั พันธ์ เป็นการเรยี นทเ่ี นน้ ใหผ้ เู้ รียนไดป้ ฏิบตั ิและสรา้ งความรู้
จากสิ่งที่ปฏิบัติในระหว่างการเรียนการสอน โดยเน้นการพัฒนาทักษะความสามารถที่ตรงกับ
พื้นฐาน ความรู้เดิม ส่งผลให้ผู้เรียนเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิมที่มีจากการปฏิบัติและ
ความต้องการของผู้เรียนเป็นสำคัญ เป็นกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นการเรียนเชิงรุก ได้แก่
การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมนั้น ๆ (Active Engage Student)
การสัมมนาใช้ปัญหาการสอนกลุ่มย่อยแบบไม่เป็นทางการ การสำรวจข้อมูล การทดลอง การแก้ไข
ปัญหา กรณีศึกษา การอภิปราย เปน็ ตน้
2. การสอนแบบชแ้ี นะ ไดแ้ ก่ การช้ีแนะทางแก้ปัญหา (Cognitive Coaching) การชี้แนะ
การสอน (Instructional Coaching) เพื่อนชี้แนะ (Peer Coaching) กระบวนการชี้แนะมีขั้นตอนของ
กระบวนการ 3 ขั้นตอน ดังนี้ 1) ขั้นก่อนการชี้แนะ (Pre-Coaching) 2) ขั้นการชี้แนะ (Coaching)
3) ข้นั สรุปผลการชี้แนะ (Post-Coaching)
3. การสอนดว้ ยบทเรียนคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอนผ่านระบบเครือข่าย เปน็ กิจกรรมการเรยี น
ที่มีการพัฒนาสื่อการเรียนการสอนบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนผ่านระบบเครือข่ายขึ้นโดยผ่าน
ระบบเครือข่ายใยแมงมุม ผู้เรียนได้ทำแบบทดสอบก่อนเรียน ศึกษาเนื้อหาสาระ ทำกิจกรรม
ระหว่างเรียน และทดสอบหลังเรียนตามทีก่ ำหนด
34
4. การสอนแบบมีสว่ นร่วมผ่านเครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์ เปน็ การใช้คอมพิวเตอรเ์ พอ่ื
สนบั สนุนใหผ้ ู้เรยี นสามารถทำงานรว่ มกนั เป็นกลุ่มเลก็ ๆ โดยการใช้ปัญหาเป็นตวั กระต้นุ ให้ผเู้ รียน
เกิดความตอ้ งการที่จะใฝห่ าความรู้เพื่อนำมาแกป้ ัญหาร่วมกัน (Problem-Based Learning) ท้ังน้ี
เทคนิคภายในกลุ่มจะใช้รปู แบบกลุ่มสมุ หัว (Numbered Heads) โดยให้สมาชิกในกลุ่มทุกคนจะ
ถูกกำหนดให้มีหมายเลขประจำตัวที่ไม่เหมือนกัน ผู้สอนสามารถตั้งคำถามหมายเลขใดก็ได้ในกลุ่ม
คำตอบที่ได้จะถือว่าเป็นคำตอบของกลุ่ม โดยหลกั การเรียนรู้ร่วมกัน สามารถนำมาจดั สภาพแวดล้อม
ในแบบออนไลน์ ท้ังนี้ในสภาพแวดลอ้ มแบบออนไลนม์ ีเครื่องมอื เพื่อการสื่อสารให้แกผ่ เู้ รียน เช่น
การสนทนาสดหรอื การแชท การมกี ระดานข่าวเพื่อตงั้ กระทู้ เป็นตน้
ปณิตา วรรณพิรุณ (2554 : 45) ได้นำเสนอองค์ประกอบของการจัดการเรียนแบบ
ผสมผสาน แบ่งออกเปน็ 12 กลมุ่ โดยจัดเป็น 2 องคป์ ระกอบหลัก ไดแ้ ก่ องค์ประกอบออฟไลน์ 6 กลุ่ม
และองคป์ ระกอบออนไลน์ 6 กล่มุ ดังน้ี
1. องค์ประกอบออฟไลน์ (Offline) หมายถึง การเรยี นร้ใู นแบบท่ีใช้วิธกี ารสอนแบบดง้ั เดมิ
ไมม่ กี ารเช่ือมต่อกนั โดยเทคโนโลยีเครือขา่ ย การเรยี นรู้จงึ เกิดขึ้นเฉพาะสถานที่ ประกอบดว้ ย 6 กลุ่ม
ได้แก่
1.1 การเรยี นร้ใู นสถานที่ทำงาน (Workplace Learning) หรอื การเรยี นรู้ในที่พักอาศัย
ได้แก่ การศึกษาบทเรียน การเรียนรู้จากการทำโครงงาน การติดตามผล การศึกษารายกรณี
และการเยยี่ มชม เปน็ ตน้
1.2 การสอนแบบเผชิญหน้า (Face-to-Face Tutoring) ได้แก่ การสอนเสริม
(Tutoring) การให้คำแนะนำ (Coaching) การให้คำปรึกษา (Mentoring) ที่กระทำในลักษณะ
เผชิญหน้ากนั
1.3 การเรียนรู้ในชั้นเรียน (Classroom Learning) ได้แก่ การเรียนรูใ้ นชั้นเรียนปกติ
การสัมมนา การศึกษาในสถานการณจ์ ำลอง การปฏบิ ัตกิ ารจำลอง บทบาทสมมติ และการประเมินผล
เปน็ ต้น
1.4 สิ่งพิมพ์ (Print Media) ได้แก่ เอกสาร หนังสือ วารสาร รายงานและ
บทความ เป็นตน้
1.5 สื่ออเิ ล็กทรอนิกส์ (Distributable electronic media)
1.6 สื่อกระจายเสียง (Broadcast Media) ได้แก่ วิทยุ โทรทัศน์ วิดีทัศน์
และซดี รี อม เปน็ ต้น
2. ประเภทออนไลน์ (Online) หมายถงึ การเรยี นการสอนโดยใช้เทคโนโลยคี อมพวิ เตอร์
นวตั กรรมการสอน และวธิ กี ารท่มี กี ารใชง้ านรว่ มกนั หลายคน ทงั้ ผู้สอน ผู้เรยี น ผสู้ อนเสริมหรือ
ผูท้ เี่ กยี่ วขอ้ งเข้ามาพบปะกันในเครือขา่ ยคอมพวิ เตอรห์ รอื เครือข่ายอินเทอรเ์ น็ต ประกอบด้วย 6 กลุ่ม
ดงั นี้
35
2.1 เนื้อหาการเรียนบนเครือข่าย (Online Learning) ได้แก่ e-learning , Online
learning เป็นตน้
2.2 ผู้สอนอิเล็กทรอนิกส์ ผู้ชี้แนะอิเล็กทรอนิกส์หรือที่ปรึกษาอิเล็กทรอนิกส์
(e-Tutoring , e-Coaching or e-Mentoring)
2.3 การเรียนรู้รว่ มกันแบบออนไลน์ (Online collaborative Learning) ได้แก่
e-Learning , Video Conferencing เปน็ ต้น
2.4 การจัดการความรู้แบบออนไลน์ (Online Knowledge Management)
ได้แก่ ระบบบริหารจัดการบทเรียน (Learning Management System : LMS) ระบบบริหาร
จัดการเนื้อหาบทเรียน (Content Management System : CMS) ระบบการจัดการแบบทดสอบ
(Testing Management System : TMS) และระบบบริหารจัดการนำส่งบทเรียน (Delivery
Management System : DMS) รวมทั้งระบบต่าง ๆ ที่ใช้ในการจัดการ เช่น ระบบผู้เชี่ยวชาญ
(Expert System) และเหมืองขอ้ มลู (Data Mining) เป็นต้น
2.5 เว็บไซต์ (Web) ได้แก่ เว็บช่วยสอน (Web based Instruction :
WBI/Web Based Training : WBT) และเครื่องมือต่าง ๆ ที่มีบริการอยู่บนเว็บ ได้แก่ การสนทนา
ผ่านเครือข่าย (Internet Chat) การประชุมทางไกลผ่านเครือข่าย (Conferencing) การสัมมนาผ่านเว็บ
(Webinars) เป็นตน้
2.6 การเรียนรู้ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบพกพา (Mobile Learning)
ได้แก่ บทเรียน m-Learning บน PDA หรอื โทรศพั ท์มอื ถือ เปน็ ต้น
สรุปได้ว่า การเรียนรู้แบบผสมผสานมี 2 องค์ประกอบ คือ การเรียนรู้แบบ
ออฟไลน์ (Offline) และการเรียนรู้แบบออนไลน์ (Online) การเรียนรู้แบบออฟไลน์ (Offline) แบ่ง
ออกเปน็ 6 กลมุ่ คือ 1) การเรยี นรใู้ นสถานที่ทำงาน 2) การสอนแบบเผชิญหน้า 3) การเรยี นรู้ในชั้น
เรยี น 4) การเรียนรโู้ ดยใช้ส่อื ส่ิงพิมพ์ 5) การเรยี นรดู้ ้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์ และ 6) การเรียนรู้ด้วยสื่อ
ประสม สว่ นการเรยี นรู้แบบออนไลน์ แบ่งได้ 6 กลุ่ม คอื 1) การเรยี นบนเครือขา่ ย 2) การเรียน
โดยผูส้ อนอเิ ล็กทรอนกิ ส์ 3) การเรียนรูร้ ว่ มกนั 4) การจดั การเรียนรู้แบบออนไลน์ 5) เว็บไซต์ และ
6) การเรยี นร้ผู า่ นเครือข่ายคอมพวิ เตอรแ์ บบพกพา
6. การออกแบบการเรียนรู้แบบผสมผสาน
นกั การศึกษาได้นำเสนอแนวทางในการออกแบบการเรยี นรูแ้ บบผสมผสาน ดงั น้ี
ณมล จีรงั สุวรรณ (2549, อา้ งถึงใน ววิ รรธน์ จันทร์เทพย์, 2553 : 83) นำเสนอรูปแบบ
การเรยี นการสอนเอเอเอ (AAA Model) เปน็ รปู แบบการเรียนรู้ผสมผสาน ประกอบดว้ ยสิ่งสำคญั 3 สว่ น
คือ 1) การวิเคราะห์ (Analysis) 2) กิจกรรม (Active) และ 3) การประเมินผล (Assessment)
โดยแต่ละส่วนมีรายละเอียด ดังน้ี
36
1. การวิเคราะห์ (Analysis) ไดแ้ ก่ การวิเคราะห์ความต้องการจำเปน็ (Need analysis)
การวิเคราะห์ผู้เรียน (Learning analysis) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม (Context analysis)
และการวเิ คราะหเ์ นื้อหา (Content analysis)
2. การจัดกิจกรรม (Activities) ได้แก่ กจิ กรรมการเรียนการสอนออนไลน์และทฤษฎี
การเรียนรตู้ ามแนวสร้างความรู้นิยม (Constructivism) จะเน้นการเรียนรโู้ ดยอาศัยความรว่ มมือกัน
3. การประเมินผล (Assessment) ไดแ้ ก่ การประเมนิ ผลการเรียนรทู้ ั้งก่อนการเรยี น
ระหว่างเรียน และหลังเรียน เพื่อประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนที่จะเกิดขึ้นในขั้นต่าง ๆ ซึ่งต้อง
เน้นการประเมินตามสภาพจริง (Authentic assessment) โดยเครื่องมือประเมินต้องสามารถประเมิน
ความรู้ ความสามารถของผู้เรียนได้โดยตรงและสอดคล้องกับแนวคิดของเบนจามิน บลูม หรือกับ
ผลของการเรยี นรู้ (Learning outcome) ของกาเย่ (Gagne)
Alvarez S. (2005, อ้างถึงใน นฤมล รอดเนียม, 2554 : 26) นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับ
ข้นั ตอนการออกแบบบทเรียนในการเรียนร้แู บบผสมผสาน ประกอบด้วย 7 ข้นั ตอน ดังน้ี
1. การกำหนดจุดมุ่งหมายในแต่ละขนั้ ตอนการเรยี น (Purpose Statement) และพจิ ารณา
ลำดบั ขั้นตอนในการเรียน
2. การจัดกิจกรรมระหวา่ งการจัดการเรยี นการสอน (Duration)
3. การกำหนดทกั ษะความรพู้ ื้นฐานท่จี ำเปน็ ต้องรู้ก่อนการเรียน
4. การกำหนดจุดมงุ่ หมายของการเรียนรู้ (Learning Objective)
5. การจดั เน้อื หาและกจิ กรรมการเรียนรู้ (Content/Learning)
6. การประยกุ ตใ์ ช้ยุทธวิธีในการเรยี นรู้ (Application of Learning Strategy)
Kulvietiene, Sileikiene and Zapollskiene (2006, อา้ งถงึ ใน นฤมล รอดเนยี ม, 2554 :
27) นำเสนอรูปแบบการเรียนรู้แบบผสมผสาน ADDIE Model นับไดว้ ่าเป็นรูปแบบทไ่ี ด้รับความนิยม
มากที่สุดในการออกแบบการเรียนการสอนบนเว็บและการออกแบบการเรียนรู้แบบผสมผสาน
รายละเอียดแสดงดงั ตารางท่ี 2
37
ตารางที่ 2 ข้นั ตอนของ ADDIE Model ในการพฒั นาการเรยี นรู้แบบผสมผสาน
ข้ันตอน ตวั อยา่ งงาน ตวั อย่างผลลัพธ์
1. การวิเคราะห์ (Analysis) - การประเมินความต้องการ - ขอ้ มลู ผูเ้ รียน
เปน็ การนยิ ามวา่ อะไรท่ี จำเป็น - คำอธบิ ายถงึ สิ่งท่ีต้องทำ
ต้องการให้เกิดกับผ้เู รียน - การนยิ ามปญั หา - ได้ขอ้ มูลปญั หาและความ
- การวิเคราะหง์ าน จำเป็น
2. การออกแบบ (Design) - ผลการวเิ คราะหภ์ าระงาน
เป็นกระบวนการทร่ี ะบุถึง - การเขียนวตั ถุประสงค์ - เครื่องมือวดั ตามวัตถุประสงค์
วิธีการ ขัน้ ตอนทจี่ ะใช้ในการ - การพัฒนาแบบทดสอบ / - ยุทธวิธกี ารสอน
เรียนรู้ วดั ประเมินผล - ได้ตน้ แบบท่ีเฉพาะ
- การวางแผนการสอน (Prototype Specifications)
3. การพฒั นา - การกำหนดทรัพยากรการเรียนรู้
(Development) เป็น - การทำงานตามกระบวนการ - สตอรี่บอรด์ (Storyboard)
กระบวนการของการติดตั้ง - การพัฒนาคู่มือการทำงาน สคริปต์
และการผลติ สื่อวัสดุอุปกรณ์ แผนผงั และโปรแกรม - แบบฝึกหดั (Exercises)
4. การนำไปใช้ - คอมพิวเตอร์ช่วยสอน
(Implementation) - การฝกึ อบรมครู (Teacher - ขอ้ เสนอแนะ
training) - รายงานโครงงาน
5. การประเมนิ ผล (Evaluation) - การทดลองใช้ (Tryout) - ปรบั แกแ้ บบต้นร่าง
เป็นกระบวนการของการกำหนด - บันทกึ ขอ้ มูล เวลา - ขอ้ เสนอแนะ
เพ่ือประเมินความสามารถของ - การแปลความหมายของผล - รายงานโครงงาน
การสอน การสอบ - ปรบั แกแ้ บบตน้ ร่าง
- การสำรวจแตล่ ะประเภท
- การปรับปรุงแก้ไขกิจกรรม
สรุป ขั้นตอนของการออกแบบการเรียนการสอนแบบผสมผสาน ได้แก่ 1) การวิเคราะห์
วางแผน กำหนดเป้าหมายในการเรียนการสอน 2) การออกแบบการเรียนการสอน 3) การกำหนด
ผู้เรียนและสิ่งที่ต้องรู้ก่อน 4) การกำหนดเนื้อหา กิจกรรม สื่อที่ใช้และวิธีการเรียนแบบ
ผสมผสาน 5) การพัฒนาบทเรียน 6) การจดั กจิ กรรมการเรียนการสอน และ 7) การประเมนิ ผล
38
39
ภาพท่ี 1 รูปแบบการนเิ ทศภายในแบบผสมผสานเพ่ือสง่ เสริมความสามารถด้านการวจิ ัยปฏบิ ตั กิ าร
ในชั้นเรียนของครูโรงเรยี นเทศบาล ๕ (บา้ นตลาดเกา่ )
40
ภาพท่ี 2 การจัดความสัมพันธ์ขององคป์ ระกอบของรูปแบบการนเิ ทศ
ผศู้ กึ ษาไดก้ ำหนดองคป์ ระกอบของรูปแบบการนเิ ทศ 6 ประการ ไดแ้ ก่
1. หลักการของรูปแบบ โดยนำสาระสำคญั ของหลักการนเิ ทศภายในหลกั การเรียนรู้
ตามแนวคดิ การเรยี นรู้แบบผสมผสาน กำหนดเปน็ หลกั การนิเทศ
2. วัตถุประสงคข์ องรปู แบบ นำสาระสำคญั ของหลกั การของรูปแบบและผลจากการ
สำรวจสภาพปัญหาและความต้องการในการพัฒนาความสามารถด้านการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน
จากครูผู้รับการนิเทศ เชื่อมโยงกับผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกับผู้รับการนิเทศภายใต้หลักการนั้น ๆ มา
กำหนดเปน็ วตั ถุประสงค์ของรูปแบบการนเิ ทศ
3. เนื้อหาสาระการพัฒนา นำสาระสำคัญของหลักการของรูปแบบ วัตถุประสงค์ของ
รูปแบบและผลที่ได้จากการการศึกษาวิเคราะห์เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาความสามารถด้าน
การวิจัยปฏบิ ัติการในชั้นเรียน สังเคราะห์เป็นเน้ือหาซึ่งใช้เป็นขอบข่ายหรือกรอบความรู้ท่ีต้องการให้
ผู้รับการนิเทศได้รับการพัฒนาตามหลักการและวัตถุประสงค์ของรูปแบบการนิเทศ โดยผู้ศึกษาได้จัด
หน่วยการเรียนรู้ จำนวน 4 หนว่ ยการเรยี นรู้ ดังน้ี
- หน่วยที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน
ประกอบด้วยเนื้อหา ดังนี้ 1) ความหมายและความสำคัญของการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน
2) ลกั ษณะของงานวจิ ยั ปฏบิ ัติการในชัน้ เรียน 3) กระบวนการวจิ ัยปฏบิ ตั ิการในช้นั เรยี น 4) การวิเคราะห์
ปัญหาและความตอ้ งการพฒั นา 5) ตวั แปรและสมมติฐานการวจิ ัย
คณุ ภาพของนวัตกรรม 4) การออกแบบและทดลองใชน้ วัตกรรม
41
- หนว่ ยท่ี 2 นวตั กรรมการจัดการเรยี นรู้ ประกอบด้วยเน้ือหา ดังน้ี 1) ความหมาย
และประเภทของนวัตกรรม 2) กระบวนการพัฒนานวัตกรรม 3) การตรวจสอบเพื่อปรับปรุง
คุณภาพของนวัตกรรม 4) การออกแบบและทดลองใช้นวตั กรรม
- หนว่ ยท่ี 3 เคร่ืองมือ การเก็บรวบรวมข้อมลู และการวิเคราะห์ข้อมูล
ประกอบด้วยเนื้อหา ดังนี้ 1) ลักษณะของเครื่องมือวัดผลการเรียนรู้ 2) การหาคุณภาพของ
เครอื่ งมอื วดั ผลการเรยี นรู้ 3) การเก็บรวบรวมขอ้ มูล 4) การวิเคราะห์ขอ้ มูล
- หน่วยที่ 4 การเขียนเค้าโครงการวิจัยและการเขียนรายงานการวิจัยปฏิบัติการ
ในชั้นเรยี น ประกอบดว้ ยเนอื้ หา ดงั น้ี 1) ช่อื เรอ่ื งการวจิ ัย 2) ความเป็นมาและความสำคญั ของปญั หา
3) วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจยั 4) สมมตฐิ านการวิจยั (ถา้ มี) 5) ประโยชนท์ ค่ี าดว่าจะไดร้ ับ 6) ขอบเขต
ของการวิจัย 7) แนวคิด/หลักการ/ทฤษฎีที่นำมาใช้ในการแก้ปัญหา/พัฒนา 8) วิธีดำเนินการวิจยั
9) ปฏทิ ินการปฏบิ ตั ิงาน 10) เอกสารอา้ งอิง 11) การเขยี นรายงานการวจิ ัยปฏิบตั ิการในช้ันเรียน
4. กระบวนการนิเทศ นำหลักการของรปู แบบการนเิ ทศ วตั ถุประสงค์ของรูปแบบการนิเทศ
และเนื้อหาสาระการพัฒนา มาวิเคราะห์แจกแจงเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการนิเทศเพื่อให้ผู้รับ
การนเิ ทศบรรลตุ ามวตั ถปุ ระสงคข์ องรูปแบบการนเิ ทศ โดยผู้ศกึ ษาได้สรุปกระบวนการนเิ ทศ 5 ข้ัน ดังน้ี
- ขั้นที่ 1 การศึกษาข้อมูลพื้นฐานและวิเคราะห์ความต้องการจำเป็น (Data
Analysis and Need Assessment)
- ขั้นที่ 2 การวางแผนการนิเทศ (Supervision Planning)
- ข้นั ท่ี 3 การเรยี นรู้ (Learning)
- ขั้นที่ 4 การปฏิบัติการนิเทศ (Practice Supervision) ซึ่งการปฏิบัติการนิเทศ
ภายในแบบผสมผสานเพื่อสง่ เสริมความสามารถด้านการวิจัยปฏิบัติการในช้ันเรียน ประกอบด้วย
ขน้ั ตอนการปฏบิ ตั ิการนเิ ทศ 5 ขน้ั ตอน ดงั น้ี 1) การวางแผนการวิจยั ปฏิบตั ิการในชนั้ เรียน 2) การสร้าง
นวัตกรรมและเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล 3) การเก็บรวบรวมข้อมูล 4) การวิเคราะห์
ข้อมลู และนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 5) การรายงานผลการวิจัยปฏบิ ัติการในช้ันเรียน
- ข้นั ท่ี 5 การประเมนิ ผล (Evaluation)
5. การวดั และประเมินผล นำกระบวนการของการจัดรูปแบบการนิเทศมาวิเคราะห์เชื่อมโยง
กับเนื้อหาของของรูปแบบการนิเทศ วัตถุประสงค์ของรูปแบบการนิเทศ ภายใต้หลักการของรูปแบบ
การนเิ ทศมาวิเคราะห์เปน็ แนวทางเพื่อใชใ้ นการตรวจสอบว่าผู้รบั การนิเทศมีความรู้ความสามารถบรรลุ
ตามวัตถุประสงค์ของรูปแบบหรือไม่ แล้วจึงนำข้อมูลจากการวิเคราะห์มากำหนดเป็นแนวทางในการ
วัดและประเมินผลรปู แบบการนิเทศ
6. เงื่อนไขของความสำเร็จ เป็นการกำหนดนโยบายจากผู้บริหารเกี่ยวกับการนิเทศภายใน
แบบผสมผสานเพ่ือสง่ เสรมิ ความสามารถด้านการวิจยั ปฏิบัตกิ ารในชน้ั เรียน ซึง่ ผู้นเิ ทศจะตอ้ งมีความรู้
มีความมั่นใจในการนิเทศ มีการเสริมสร้างขวัญและกำลังใจให้กับผู้รับการนิเทศ ผู้รับการนิเทศ
มคี วามตง้ั ใจและปฏิบัตติ ามรูปแบบการนิเทศท่ีกำหนดไว้
42
43
สวุ ัฒนา สวุ รรณเขตนคิ ม (2555 : 12) กลา่ ววา่ การวิจยั ในชน้ั เรียน คอื กระบวนการ
แสวงหาความรู้อันเป็นความจริงที่เชื่อถือได้ในเนื้อหาเกี่ยวกับการพัฒนาการจัดการเรียนการสอน
เพอื่ การพัฒนาการเรยี นรขู้ องผเู้ รียนในบรบิ ทของชั้นเรียน การวจิ ัยในชน้ั เรยี นมีเป้าหมายสำคัญอยู่ท่ี
การพัฒนางานการจัดการเรียนการสอนของครู ลักษณะของการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ
(Action Research) คอื เปน็ การวิจัยควบคไู่ ปกับการปฏิบตั งิ านจรงิ โดยมคี รเู ป็นท้งั ผู้ผลติ งานวจิ ัย
และผู้บริโภคผลการวิจัย หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือครูเป็นนักวิจัยในชั้นเรียน ครูจะตั้งคำถามที่มี
ความหมายในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนแล้วจะวางแผนการปฏิบัติงานและการวิจัย
หลังจากนั้นครูจะดำเนินการจัดการเรียนการสอนไปพร้อม ๆ กับทำการจัดเก็บข้อมูลตามระบบ
ข้อมูลที่ได้วางแผน การวิจัยไว้ นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์สรุปผลการวิจัย นำผลการวิจัยไปใช้ใน
การพัฒนาการจัดการเรียนการสอนมาแล้วจะพัฒนาข้อความรู้ที่ได้นั้นต่อไปให้มีความถูกต้องเป็น
สากลและเปน็ ประโยชนม์ ากยิง่ ขึ้นต่อการพัฒนาการเรยี นการสอนเพื่อการพฒั นาผูเ้ รียนของครูให้มี
คุณภาพยง่ิ ๆ ขึ้นไป
วาโร เพ็งสวัสดิ์ (2557 : 1) ได้ให้ความหมายของการวิจัยในชั้นเรียน หมายถึง วิธีการ
หรือกระบวนการที่ให้ได้มาซึ่งความรู้หรือคำตอบซึ่งครูเป็นผู้จัดทำขึ้นเอง โดยมีจุดหมายที่จะนำ
ผลการวิจัยไปใชใ้ นการแก้ปญั หาการเรยี นการสอนในชั้นเรยี นของตน
สุวิมล ว่องวานิช (2557 : 21) ได้ให้ความหมายของการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน
คือ การวิจัยที่ทำโดยครูผู้สอนในชั้นเรียน เพ่ือแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในชั้นเรียน และนำผลมาใช้
ในการปรับปรุงการเรียนการสอนหรือส่งเสริมพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนให้ดีย่ิงข้ึน ท้ังนี้เพ่ือให้
เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้เรียน เป็นการวิจัยที่ต้องทำอย่างรวดเร็ว นำผลไปใช้ทันที และสะท้อน
ข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติงานต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันของตนเองให้ทั้งตนเองและกลุ่มเพื่อน
ร่วมงานในโรงเรียนได้มีโอกาสวิพากษ์ อภิปราย แลกเปลี่ยนเรียนรู้ในแนวทางที่ได้ปฏิบัติและ
ผลท่ีเกิดขึ้นเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ท้ังของครูและผู้เรียน
นัยนา ฉายวงค์ (2560 : 59) สรุปไว้ว่า การวิจัยในชั้นเรียน คือ การวิจัยที่ทำโดย
ครผู สู้ อนเพอ่ื แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในชัน้ เรียน อาจทำวิจยั กบั นักเรียนเพียงคนเดียว เป็นกลุม่ หรือทั้งช้ัน
ก็ได้แล้วนำผลมาใช้ปรับปรุงการเรียนการสอนเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผูเ้ รียน เป็นการวิจัยท่ี
ตอ้ งทำอย่างรวดเร็ว สามารถนำไปใชไ้ ดท้ ันที
44
พิชิต ฤทธิจ์ รูญ (2564 : 68-69) ไดส้ รุปการวจิ ัยในช้ันเรียนว่าเป็นการวิจัยปฏบิ ัติการ
เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยครูเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการวางแผน
แก้ปัญหาและแสวงหาวิธีการหรือนวัตกรรมในการแก้ปัญหา ปฏิบัติการแก้ปัญหา สังเกต
ตรวจสอบผลการแก้ปญั หา และสะท้อนผลตอ่ การแก้ปัญหา เพื่อหาวธิ ีการพัฒนาการเรยี นรู้อย่าง
ตอ่ เน่ืองจนบรรลุผลสำเรจ็ ดังภาพท่ี 3
ภาพที่ 3 ความหมายของการวิจัยในชั้นเรียน (พชิ ติ ฤทธจิ์ รูญ, 2564 : 69)
จากที่กล่าวมาข้างต้นจึงสรุปได้ว่าการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน คือ การวิจัยที่ทำโดย
ครูผู้สอนในช้ันเรียนเพื่อแก้ไขปัญหาท่ีเกิดขึ้นในช้นั เรียนและนำผลมาใช้ในการปรับปรุงการเรียนการสอน
หรือสง่ เสริมพฒั นาการเรียนร้ขู องผูเ้ รียนให้ดียิง่ ขึน้ ทั้งน้ีเพือ่ ใหเ้ กดิ ประโยชน์สูงสุดกบั นักเรียนเป็นการวิจัย
ท่ตี อ้ งทำอย่างรวดเรว็ นำผลไปใชท้ ันทีและสะท้อนข้อมูลเก่ยี วกับการปฏบิ ตั ิงานต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน
ของตนเองให้ทั้งตนเองและกลุ่มเพื่อนร่วมงานในโรงเรียนได้มีโอกาสวิพากษ์ อภิปราย แลกเปลี่ยน
เรยี นรู้ในแนวทางทไี่ ดป้ ฏบิ ัติและผลทีเ่ กิดขึ้นเพอ่ื พัฒนาการเรยี นรู้ทง้ั ของครแู ละนักเรยี น
45
สริ ิพันธุ์ สุวรรณมรรคา (2554 : 61) ได้นำเสนอลักษณะสำคญั ของการวิจยั ในชัน้ เรยี น
เป็นงานวิจัยท่ีทำในประเด็นปัญหาที่เกิดข้นึ ในช้ันเรียนเก่ียวกับตัวครูพฤติกรรมผู้เรียน นวัตกรรมการศึกษาและ
บรรยากาศ/สภาพแวดล้อมในชั้นเรียน การวิจัยในชั้นเรียนจึงเป็นงานที่มีขนาดเล็กเฉพาะและค่อนข้างแคบ
ต้องเป็น “งานท่เี ล็กๆ งา่ ยๆ และมีคุณคา่ ” ท่ีบูรณาการอยู่ในการปฏบิ ัติงานการจัดการเรียนการสอนปกติของครู
วาโร เพ็งสวัสด์ิ (2557 : 2-3) ไดก้ ล่าวถงึ ประโยชน์ของการวจิ ัยในช้ันเรียน ดังนี้
1. เป็นการพัฒนาหลักสูตร กระบวนการเรียนการสอน และปรับปรุงวิธีการปฏิบัติงาน
เพื่อพฒั นาการเรยี นการสอนโดยวิธีการวจิ ยั
2. เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยในการพัฒนาวิชาชีพครู เนื่องจากข้อค้นพบท่ีได้มาจาก
กระบวนการค้นคว้าที่เป็นระบบและเชื่อถือได้ ทำให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาการเรียนรู้ และครูเกิดการ
พัฒนาการเรียนการสอน
3. เป็นการแสดงความก้าวหน้าทางวิชาชีพครู ด้วยการเผยแพร่ความรู้ที่ได้จากการปฏิบตั ิ
และทำให้อาชีพครกู ลายเป็นวิชาชีพ
4. ทำให้การเรียนการสอนได้รับการพัฒนาอย่างถูกต้องเป็นระบบ เกดิ ผลดีแก่นกั เรยี น
5. เป็นการส่งเสริม สนับสนุนความก้าวหน้าของการวิจัยทางการศึกษา เนื่องจากการ
วิจัยแบบนี้จะส่งเสริมบรรยากาศของการทำงานแบบประชาธิปไตย โดยที่ทุกฝ่ายเกิดการแลกเปลี่ยน
ประสบการณ์ และยอมรับในการคน้ พบรว่ มกัน
สวุ ิมล วอ่ งวาณชิ (2557 : 24-25) ได้กลา่ วถงึ ความสำคัญและความจำเปน็ ของการ
วจิ ัยในชน้ั เรยี น ดังน้ี
1. ใหโ้ อกาสครใู นการสร้างองค์ความรู้ ทักษะการทำวจิ ัย การประยกุ ต์ใชก้ ารตระหนัก
ถึงทางเลือกที่เป็นไปได้ทีจ่ ะเปลีย่ นแปลงโรงเรียนใหด้ ีขน้ึ
2. เป็นการสรา้ งชมุ ชนแห่งการเรียนรนู้ อกเหนือจากการเปล่ียนแปลงหรือสะท้อนผลการทำงาน
3. เปน็ ประโยชนต์ ่อผูป้ ฏบิ ัตโิ ดยตรง เน่ืองจากชว่ ยพัฒนาตนเองด้านวชิ าชพี
4. ช่วยทำใหเ้ กิดการพัฒนาที่ต่อเนอื่ งและเกิดการเปลย่ี นแปลงผา่ นกระบวนการวิจัยในท่ี
ทำงานซ่ึงเปน็ ประโยชน์ตอ่ องค์กร เน่อื งจากนำไปสกู่ ารปรับปรุงเปล่ยี นแปลงการปฏิบัตแิ ละการแกป้ ญั หา
5. เปน็ การวิจัยท่เี ก่ยี วข้องกับการมีสว่ นร่วมของผปู้ ฏบิ ตั ิในการวจิ ัยทำใหก้ ระบวนการวจิ ัย
มีความเปน็ ประชาธปิ ไตย ทำใหเ้ กดิ การยอมรับในความรู้ของผปู้ ฏบิ ัติ
6. ช่วยตรวจสอบวธิ ีการทำงานของครทู ่ีมีประสิทธผิ ล
7. ทำให้ครเู ป็นผนู้ ำการเปลีย่ นแปลง
สรปุ ไดว้ า่ การวจิ ัยในช้ันเรียนมคี วามสำคัญตอ่ การพฒั นาการเรยี นการสอนชว่ ยแก้ไข
ปัญหาและพัฒนานักเรียน โดยเปดิ โอกาสให้ครูไดส้ ร้างองค์ความรู้ ทักษะการทำวิจยั และส่งเสริม
ใหค้ รูไดน้ วัตกรรมการเรยี นการสอนมาใชแ้ ก้ปญั หา/พฒั นานกั เรยี น
46
วิจยั ปฏิบัตกิ ารในชัน้ เรียนมลี กั ษณะท่ีสำคัญดงั นี้
ลว้ น สายยศ (2556 : 5) ใหค้ วามเห็นวา่ การวจิ ัยเชงิ ปฏบิ ัติการเปน็ การวิจยั เพือ่ มุ่ง
การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นครั้ง ๆ ไป ผลของการวิจัยใช้ได้เฉพาะกลุ่มที่ทำการศึกษาเท่านั้นจะ
นำไปอ้างอิงในกลุ่มอื่นไม่ได้ เพราะมองขอบเขตในวงจำกัด เป็นการวิจัยปัญหาของเด็กในชั้นเรียน
ของตนเอง เพือ่ แกป้ ัญหาการเรียนการสอนเฉพาะชน้ั ในแง่ของกระบวนการหรือวิธีการวิจัยนิยมใช้
วิธีการสำรวจหรือทดลอง หรือเฉพาะกรณี แล้วแต่ลกั ษณะของปัญหาที่ตอ้ งการจะศึกษา
วาโร เพง็ สวัสดิ์ (2557 : 3-4) ไดก้ ลา่ วถงึ ลกั ษณะของวจิ ัยปฏบิ ตั ิการในช้ันเรียน ดังนี้
1. จดุ เริ่มต้นของการวจิ ัยเกิดจากขอ้ ข้องใจในการเรยี นการสอนทค่ี รพู บ ครูต้องการปรับปรงุ
หรอื แก้ปญั หาน้ัน ๆ โดยครจู ะลงมอื คดิ ค้นหาวธิ ีการแกป้ ญั หาขนึ้ เอง
2. ปัญหาการวจิ ยั เป็นประเดน็ ปัญหาทเ่ี ลก็ แตม่ ีความหมายสำหรับการเรียนการสอนโดยตรง
3. เป็นการวิจยั สภาพการณจ์ ริงของห้องเรยี นไม่ไดจ้ ดั สถานการณ์ใหม่ หรือจดั ห้องเรยี นใหม่
ขนึ้ มาสำหรบั การวจิ ยั โดยเฉพาะ
4. มุ่งเนน้ การศกึ ษาเกีย่ วกบั นักเรียน ครู กระบวนการเรยี นการสอน ตลอดจนสภาพแวดลอ้ ม
ภายในห้องเรยี น (Classroom Context)
5. เป็นการวิจัยที่มุ่งผลการวิจัยไปใช้ปรับปรุงแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในทันทีทันใด
เพอ่ื ให้การเรยี นการสอนมปี ระสิทธิภาพมากข้นึ
6. เป็นการวจิ ัยทีท่ ำควบค่ไู ปกบั การเรยี นการสอนปกติ นั่นคอื ครูผู้สอนจะทำหนา้ ทีส่ อน
และทำหน้าทวี่ จิ ยั ไปพร้อม ๆ กัน
7. เป็นการวิจัยที่มีการเชื่อมโยงกันระหว่างการคิดเชิงสะท้อน (Reflective Thinking) และ
ปฏบิ ัติ (Action) อย่างชดั เจน กล่าวคือ มกี ารพินิจพเิ คราะห์ ทบทวนทัง้ กอ่ น ระหว่างและหลังการทดลองปฏบิ ัติ
8. เป็นการวิจัยที่มีความยืดหยุ่น ปรับให้เหมาะสมกับสภาพการเรียนการสอน เช่น
อาจเป็นการวิจัยเชิงทดลองโดยดำเนินการให้กลมกลืนกับการสอนของครู ใช้สถิติที่ไม่ซับซ้อน เป็นต้น
ข้อสรปุ ที่ได้จากการวจิ ยั อาจจะขาดนำ้ หนักไปบา้ งในดา้ นความเท่ียงตรงเมื่อเปรยี บเทียบกับการวิจัย
ท่วั ไปที่อิงทฤษฎแี ละหลกั การท่ีเข้มงวด แตจ่ ะเปน็ การวจิ ัยทีใ่ หป้ ระโยชน์โดยตรงต่อครูผู้วิจยั
นยั นา ฉายวงค์ (2560 : 63) สรุปลกั ษณะสำคญั ของวจิ ัยในช้ันเรยี น ดงั น้ี
1. การวิจยั ในชัน้ เรยี นมวี ัตถุประสงค์เพอ่ื แก้ไขปญั หาทีเ่ กดิ ขึน้ ในช้ันเรียนเกีย่ วกบั การเรียนรู้
ในประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนเกี่ยวกับตัวครู พฤติกรรมผู้เรียน นวัตกรรมการศึกษาและ
บรรยากาศ/สภาพแวดล้อมในชั้นเรียนที่บูรณาการอยู่ในการปฏิบัติงานการจัดการเรียน การสอน
ปกติของครู เป็นกระบวนการที่เป็นส่วนหนึ่งของการทำงานปกติเพื่อให้ได้ข้อค้นพบเกี่ยวกับการแก้ไข
ปญั หาทส่ี ามารถปฏบิ ตั ิไดจ้ ริง และไม่ได้มุ่งการนำเสนอผลการวิจยั ไปสรปุ อ้างอิงหรือสร้างองค์ความรู้ใหม่
เกีย่ วกับศาสตร์การสอน