47
2. การวจิ ัยของครเู น้นกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (Scientific Method) มาแสวงหา
คำตอบเพื่อให้ได้ข้อค้นพบที่มีความหนักแน่น เชื่อถือได้ และนำไปใช้ในการพัฒนาการเรียน
การสอนได้อย่างแท้จริง ในการดำเนินการวิจัยครูผู้วิจัยอาจมีการเปลี่ยนแปลงในจุดมุ่งหมายและ
วิธีการเพอ่ื ใหเ้ กิดความเหมาะสมบรรลเุ ป้าหมายได้ดขี น้ึ ก็ได้
3. การวิจัยในชั้นเรียนกระทำควบคู่กับการเรียนการสอนโดยมีครูเป็นผู้วิจัย อาจทำ
วจิ ยั เพยี งคนเดียวหรอื ทำวจิ ัยร่วมกบั คนอืน่ ๆ ก็ได้
4. ในแต่ละภาคเรียนหรือภาคการศึกษาครูสามารถทำการศึกษาในประเด็นวิจัย
หรือหัวข้อวิจัยได้หลายประเด็นและสามารถดำเนินการได้พร้อมกันในขณะเดียวกันหากปัญหาท่ี
เกดิ ข้นึ ในขณะนั้นมีหลายปัญหาที่ต้องการแก้ไข ดงั นั้นการวจิ ัยของครจู ึงไม่ใช่การทำวิจัยในเร่ืองใด
เรื่องหน่ึงเพยี งเรอื่ งเดยี วและละเลยปญั หาอ่ืนที่รอการแก้ไขอยเู่ ช่นกนั
5. การนำเสนอผลการวิจัยจึงไม่ยึดติดรูปแบบที่เป็นทางการเหมือนกับที่มีการทำกัน
ในการวิจัยเชิงวิชาการ (Academic Research) หรือการวจิ ยั แบบเป็นทางการ ซึ่งมีกฎเกณฑ์การทำวิจยั
ท่เี คร่งครัด โดยเฉพาะการนำเสนอผลการวิจยั ทีม่ ักมีการจำแนกสาระของการวิจยั ออกเป็น 5 บท
ลักษณะสำคญั ของวจิ ัยปฏิบตั ิการในชน้ั เรยี นดังกลา่ วขา้ งต้น ผูว้ ิจยั สรุปไดว้ า่ การวจิ ยั
ปฏบิ ัติการในชั้นเรยี นเปน็ ประเภทหนึ่งของการวจิ ยั ปฏบิ ตั ิการ ซ่งึ เป็นการวิจยั ที่ม่งุ แกไ้ ขปัญหาที่เกิดข้นึ
ซง่ึ จะกระทำควบคู่กบั การเรียนการสอนในชน้ั เรยี นโดยครูเป็นผวู้ จิ ัย อาจทำวจิ ยั เพียงคนเดียวหรือทำวิจยั
รว่ มกบั คนอ่ืนก็ได้
48
สุวมิ ล ว่องวาณิช (2555 : 47-119) นำเสนอกระบวนการทำวจิ ัยในชน้ั เรยี น 4 ขน้ั ตอน ดงั น้ี
1. การวางแผนการวิจัย เป็นกระบวนการท่ีเก่ียวข้องกับกิจกรรมทีส่ ำคัญหลายประการ
ได้แก่ 1) การวิเคราะห์สภาพปัญหาที่เกิดขึ้นในห้องเรียน 2) การตั้งคำถามการวิจัย 3) การกำหนด
แนวทางการแกไ้ ขปัญหา 4) การกำหนดรปู แบบการวจิ ัย 5) การออกแบบการวจิ ัย 6) การเตรียม
แผนสกู่ ารปฏบิ ัติ
2. การเก็บรวบรวมข้อมลู ได้แก่ 1) การกำหนดจุดมุ่งหมายของการเกบ็ ข้อมูล 2) แหล่งขอ้ มูล
3) เทคนคิ ท่ใี ช้ในการเก็บข้อมลู 4) ขัน้ ตอนของการเก็บรวบรวมข้อมลู 5) การตรวจสอบความสอดคล้อง
ของขอ้ มูล
3. การวิเคราะห์ขอ้ มูลและการเสนอผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล ไดแ้ ก่ 1) ลักษณะของขอ้ มลู
2) แนวทางการวเิ คราะห์ขอ้ มลู 3) การแปลความหมายผลการวเิ คราะห์
ธัญวรตั น์ สำราญมาก (2561 : 40) ได้นำเสนอกระบวนการของการวจิ ยั ในชน้ั เรียนใหม่
5 กระบวนการ ดังนี้ 1) การสำรวจและวิเคราะหป์ ัญหา 2) การวางแผนการวจิ ัย 3) การดำเนินการวิจยั
4) การรวบรวมข้อมลู และ 5) การวเิ คราะหแ์ ละสรปุ ผล
นัยนา ฉายวงค์ (2560 : 70) ได้สรุปว่า การวิจัยในชั้นเรียนมีขั้นตอน 4 ขั้น ดังนี้
1) การวางแผนการวิจัยในช้ันเรียน 2) การเก็บรวบรวมข้อมูล 3) การวเิ คราะห์ข้อมูลและนำเสนอ
ผลการวเิ คราะห์ และ 4) การนำเสนอรายงานผลการวิจัยในชัน้ เรียน
จฑุ ามาศ อิศระภิญโญ (2562 : 61) สรปุ ไดว้ ่า กระบวนการวิจัยในชัน้ เรยี น หมายถงึ
ขั้นตอนหรือวิธีการดำเนินการอย่างเป็นระบบ ประกอบด้วย 1) การสำรวจและวิเคราะห์ปัญหา
2) การวางแผนการแก้ปญั หา 3) การเขยี นเค้าโครงรา่ งการวิจัย 4) การดำเนินการทำวิจยั ในชน้ั เรียน
และ 5) การเขยี นรายงานการวจิ ยั
สภุ าวดี จนั ทร์ดษิ ฐ์ (2562 : 89-90) สรุปกระบวนการและขน้ั ตอนการวจิ ัยปฏบิ ัติการ
ในชั้นเรียน ดังนี้ 1) สำรวจและวิเคราะหป์ ัญหา 2) กำหนดวิธีในการแก้ปัญหา 3) พัฒนาวิธีการ
หรอื นวตั กรรม 4) นำวิธกี ารหรอื นวัตกรรมไปใช้ และ 5) สรุปรายงานผล / เผยแพร่
ลักขณา วิเศษณ์สังข์ (2563 : 22) ได้สรุปว่ากระบวนการวิจัย ประกอบด้วย การสำรวจ
และวิเคราะห์ปัญหาการเรียน การสอน การศึกษาแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง การพัฒนานวัตกรรม
การเรียนการสอน การสร้างและพัฒนาเครื่องมือเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล การทดลอง การรวบรวม
การวเิ คราะห์ และสรปุ ผลการวจิ ัย การเขยี นรายงานการวจิ ัย
สรุปได้ว่าขั้นตอนการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนมี 5 ขั้น ดังนี้ 1) วางแผนการวิจัย
2) การสร้างนวัตกรรมและเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล 3) การเก็บรวบรวมข้อมูล
4) การวเิ คราะห์ข้อมลู และนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล และ 5) การนำเสนอรายงานผลการวิจัย
ปฏบิ ตั ิการในชน้ั เรยี น
49
1. การศึกษาขอ้ มลู พื้นฐานของนักเรยี น
นกั เรยี นแต่ละคนมีพ้นื ฐานความเปน็ มาของชีวิตที่ไม่เหมือนกันหล่อหลอมให้เกิดพฤติกรรม
หลากหลายรูปแบบ ทั้งด้านบวกและด้านลบ ดังนั้นการรู้จักข้อมูลที่จำเป็นเกี่ยวกับตัวนักเรียน
จึงเป็นสิง่ สำคัญท่ีจะช่วยให้ครูมีความเขา้ ใจนักเรียนมากขึ้น สามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อการ
คัดกรองนักเรียน เป็นประโยชน์ในการส่งเสริม การป้องกันและแก้ไขปัญหาของนักเรียนได้อย่าง
ถูกทาง ซึ่งเป็นข้อมูลเชิงประจักษ์มิใช่การใช้ความรู้สึกหรือการคาดเดาโดยเฉพาะในการแก้ไข
ปัญหานักเรียน ซ่งึ จะทำใหไ้ ม่เกดิ ขอ้ ผดิ พลาดต่อการชว่ ยเหลอื นักเรียนหรือเกดิ ไดน้ ้อยท่ีสดุ
ข้อมูลพื้นฐานของนักเรียนครูควรมีข้อมูลเกี่ยวกับนักเรียนอย่างน้อย 3 ด้านใหญ่ ๆ คือ
1) ด้านความสามารถ แยกเป็น ด้านการเรียนและด้านความสามารถอื่น ๆ 2) ด้านสุขภาพ แยกเป็น
ด้านร่างกายและด้านจิตใจ 3) ด้านครอบครัว แยกเป็น ด้านเศรษฐกิจและด้านการคุ้มครอง
นักเรียน และอาจจะมีด้านอื่น ๆ ที่ครูพบเพิ่มเติมซึ่งมีความสำคัญหรือเกี่ยวข้องกับการดูแล
ช่วยเหลือนักเรียน
2. การวิเคราะหแ์ ละกำหนดวธิ ีการแก้ปัญหาหรือพฒั นา
เมื่อศึกษาขอ้ มูลพ้ืนฐานแลว้ ครูควรนำข้อมลู ทคี่ น้ พบมาวิเคราะห์และกำหนดวิธกี ารแกป้ ัญหา
หรอื พฒั นา ซงึ่ มีสง่ิ ท่ตี ้องวิเคราะหด์ ังนี้
1) วเิ คราะหส์ ภาพปญั หาวา่ เป็นอย่างไร เกิดกบั ผูเ้ รยี นทั้งชน้ั เรียนเป็นส่วนใหญ่หรือเพียง
แคบ่ างส่วน ซงึ่ สามารถได้ข้อมลู เหลา่ นี้จากการสังเกตหรือจากผลการประเมนิ ต่าง ๆ เป็นต้น
2) วิเคราะหส์ าเหตขุ องปัญหา คือ การพจิ ารณาถงึ ปจั จยั ท่เี ปน็ เหตุหรอื ต้นตอของปัญหา
ซ่งึ ต้องพจิ ารณาให้รอบด้านและในทกุ มิติ เพอ่ื ใหไ้ ด้มาซง่ึ แนวทางในการแกป้ ัญหา โดยครูสามารถ
เห็นถึงสาเหตขุ องปญั หาได้จากการสงั เกต การพดู คยุ และการแสดงออกทางผลงานของผเู้ รียน
50
51
ตวั แปรทเ่ี ขา้ มาเกีย่ วขอ้ งประเภทแรก คอื ตวั แปรเกนิ ตวั แปรเกินจะส่งผลโดยตรงต่อคะแนน
เชน่ ไอคิว หรอื เพศของผ้เู รยี น น่ันคือคะแนนทผี่ ู้เรยี นได้อาจไมใ่ ชเ่ พราะวิธีสอน แต่เป็นเพราะไอคิวสูง
อยู่แลว้ หรือเป็นเพราะเน้อื หาทส่ี อนเอ้ือหรือเปน็ อุปสรรคต่อเพศหนงึ่ เพศใด เชน่ ถา้ สอนเก่ยี วกับ
เรื่องคหกรรม เพศหญิงอาจได้เปรียบหรือมีความรู้อยู่แล้วทำให้ได้คะแนนสูง หรือถ้าสอนเนื้อหา
เกี่ยวกับเครื่องยนต์ เพศชายอาจได้เปรียบทำให้ได้คะแนนสูงกว่าไม่ใช่เป็นเพราะวิธีสอนที่ผู้วิจัย
คิดค้นขึ้นมาทดลองแต่อย่างใด ตัวแปรเกินดังกล่าวจะสามารถส่งผลหรือมีอิทธิพลต่อตัวแปรตาม
โดยตรง ลักษณะเหมอื นดาวฤกษ์หรือเคร่ืองกำเนดิ ไฟฟา้ ท่ีสร้างกระแสไฟฟา้ ได้เอง
ตวั แปรประเภทต่อมา คอื ตวั แปรแทรก จากภาพจะไม่สามารถส่งผลโดยตรงต่อตัวแปรตาม
แต่จะส่งผลโดยอ้อมมาจากตัวแปรต้น เช่น ถ้าวิธีสอนโดยใช้สื่อคอมพิวเตอร์ประกอบ ทำให้ผู้เรียนมี
ความสนใจเพิม่ ขน้ึ มแี รงจงู ใจ สง่ ผลตอ่ คะแนน ไม่ใชเ่ พราะวธิ ีสอนหรือเนื้อหาทีน่ ำมาสอน หรือจะสอน
วิชาคณิตศาสตร์เรื่องอัตราส่วนด้วยการใช้ของจริงโดยการนำแตงโมมาผ่าเป็นส่วนๆ แล้วบอกผู้เรียนว่า
เมื่อเรียนจบจะให้กินแตงโม ทำให้ผู้เรียนเกิดความสนใจเป็นพิเศษ เรียนได้คะแนนสูง อาจไม่ใช่
เพราะครูสอนดีเด่น แต่เพราะอยากกินแตงโม หรือคล้ายกับลักษณะการหลอกด้วยการให้กินยา
ชนิดหนึ่งชนิดใดโดยบอกว่าเป็นยาที่มีคุณสมบัติพิเศษ ราคาแพงมากหากกินแล้วจะหายป่วย แต่ใช้
แปง้ มนั มาทำเป็นยาทำให้ผู้ป่วยเกดิ อปุ ทานหายป่วยได้ช่ัวคราว เปน็ ตน้ ตวั แปรแทรกดังกล่าวไม่มี
อิทธิพลโดยตรงต่อตัวแปรตาม ถ้าไม่ได้อิทธิพลจากตัวแปรต้น ลักษณะเหมือนดาวเคราะห์หรือ
แบตเตอรที่ ่ตี ้องคอยชาร์จไฟจากแหล่งอน่ื
ในการวิจัยในชั้นเรียนครูต้องการศึกษาเฉพาะตัวแปรต้นและตัวแปรตาม การที่มีตัวแปรเกิน
และตัวแปรแทรกจะทำให้ผลการวิจัยขาดความชัดเจน สรุปผลผิดพลาดได้ ดังนั้นในทางปฏิบัติ
ผู้วิจัยไม่ต้องการให้ตัวแปรนอกกรอบสี่เหลี่ยมเกิดขึ้น เหมือนกับเป็นเรื่องภายในของคน 2 คน
ไม่ให้คนนอกเข้ามายุ่งเกี่ยวโดยต้องควบคุมให้ได้ ในการวิจัยทั่วไปหรือวิจัยในชั้นเรียนก็เช่นกัน
จะต้องควบคุมตัวแปรเกินหรือตัวแปรแทรกให้ได้มากที่สุด นั่นคืออะไรก็ตามที่จะทำให้ผล
การศกึ ษาไม่ชัดเจนต้องจัดการใหห้ มดไปหรือเหลือน้อยทส่ี ดุ โดยถา้ เป็นวิจยั ในช้ันเรียนมีข้อยกเว้น
ว่าต้องอยูใ่ นวิสยั ท่ที ำได้เท่านน้ั
จากท่กี ลา่ วมาเกยี่ วกบั ตวั แปร ถา้ เป็นวจิ ยั ในชั้นเรียนสรุปไดว้ ่าปัญหาหรอื พฤติกรรมของผเู้ รยี น
ที่ครูต้องการแก้เป็นตัวแปรตาม และนวัตกรรมที่จะใช้แก้ปัญหาหรือพัฒนาพฤติกรรมเป็นตัวแปรต้นเสมอ
หรอื ในทางกลบั กันจะใช้สง่ิ ใดแก้ปัญหาสง่ิ นน้ั คือตวั แปรต้น และแกป้ ัญหาอะไรปญั หานน้ั คอื ตัวแปรตาม
52
หลกั การของสมมตฐิ าน
1) เขียนเปน็ ขอ้ ๆ ตามจำนวนประเดน็ ทต่ี อ้ งการตรวจสอบ
2) เขยี นให้สอดคล้องกบั วตั ถุประสงค์การวจิ ัยทีจ่ ะตรวจสอบนวัตกรรม
3) เขียนเปน็ ประโยคบอกเล่าใหช้ ดั เจน
4) มที ่ีมาชัด ตอบได้วา่ ทำไมต้ังสมมตฐิ านอยา่ งน้ี
5) ควรเขียนแบบมีทิศทาง โดยมคี ำวา่ “สงู กว่า” “น้อยกวา่ ” จะเหมาะกวา่ คำว่า “แตกต่างกนั ”
6) ไม่ใช้คำวา่ “อาจ” หรือ “น่าจะ” ตามความร้สู กึ ในชีวติ ประจำวันเม่ือมคี วามสงสัยในเรื่องต่าง ๆ
7) ตอ้ งเขียนให้ทดสอบได้ โดยมีเลข 2 ชุด มาเปรียบเทียบกัน ตัวเลขตอ้ งได้จากการวดั
หรอื เกณฑ์มาตรฐานจากหน่วยงานทไ่ี ด้รบั การยอมรบั ไมค่ วรกำหนดเกณฑ์เองตามความร้สู ึก
8) กรณตี วั อยา่ งกลุ่มเดียวกันจะใช้คำวา่ กอ่ น – หลงั
9) กรณตี วั อย่างสองกลุ่มจะใชค้ ำว่า กลุ่มท่ีไดร้ บั นวตั กรรมกบั กลุ่มปกติ หรือกลุม่ ไมไ่ ด้นวัตกรรม
แนวทาง
1) หลังได้รบั นวัตกรรม (ตวั แปรต้น) ผู้เรยี นมี (ตัวแปรตาม) สงู กว่ากอ่ นใช้นวัตกรรม
2) ผเู้ รียนกลมุ่ ทไ่ี ดร้ บั นวัตกรรม (ตวั แปรต้น) มี (ตัวแปรตาม) สงู กวา่ ผเู้ รยี นกลมุ่ ท่ไี มไ่ ดร้ บั
นวัตกรรม
53
54
ชยั วฒั น์ สทุ ธิรตั น์ (2553 : 62) ใหค้ วามหมายโดยสรุปวา่ นวตั กรรมมีความหมาย 3 นัย
คือ นวัตกรรมเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีผู้ใดเคยทำมาก่อนหรือเป็นสิ่งใหม่ที่เคยทำมาแล้วในอดีตแต่
นำมาใช้ใหม่ หรือการนำนวัตกรรมเดิมที่มีอยู่แลว้ มาพัฒนาดัดแปลงให้ดีขึ้นแล้วนำมาใช้ใหม่ และ
ที่สำคัญคือ นวตั กรรมนั้นจะต้องช่วยให้การจัดการเรียนรู้เกดิ ผลดี มีประสทิ ธภิ าพและประสิทธิผล
สงู กวา่ เดมิ ช่วยประหยัดเวลาและแรงงานไดด้ ้วย
ราชบัณฑิตสถาน (2555 : 287) ได้ให้ความหมายของนวัตกรรม (Innovation) หมายถงึ
สิ่งที่ทำขึ้นใหม่หรอื พัฒนาขึ้น ซึ่งอาจอยูใ่ นรูปแบบความคดิ วิธีการ การกระทำ หรือสิง่ ประดษิ ฐ์
ต่าง ๆ โดยสิ่งนั้นอาจเป็นสิ่งใหม่ทั้งหมด หรือใหม่เพียงบางส่วน และอาจใหม่ในบริบทใดบริบท
หนึ่ง หรือในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง โดยทั่วไปนวัตกรรมเป็นส่ิงใหม่ที่กำลังอยู่ในกระบวนการพิสจู น์
ทดสอบ หรือได้มีการยอมรบั นำไปใชบ้ ้างแลว้ แต่ยงั ไม่แพร่หลายหรอื เปน็ ส่วนหนง่ึ ของระบบปกติ
วชั รพล วบิ ลู ยศริน (2556 : 10) ไดส้ รปุ ความหมายของนวตั กรรม ไวว้ า่ นวตั กรรม คือ
แนวคิด วิธกี ารปฏบิ ัติ หรือสง่ิ ใหมท่ ่ยี งั ไม่แพร่หลายหรือยังไม่เคยใช้มาก่อนและเขา้ มาเปลี่ยนแปลง
กระบวนการหรือสง่ิ ทีม่ ีอยเู่ ดิมให้ทนั สมัยและปรบั ปรงุ จนใชไ้ ด้ผลดีและมปี ระสิทธภิ าพ
พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2561 : 81) ได้ให้ความหมายว่า นวัตกรรมการเรียนการสอนหรือ
นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ หมายถึง รูปแบบ วิธีการ กระบวนการ เทคนิค สื่อและแหล่งการ
เรียนรู้ที่ได้มีการศึกษาและพัฒนาขึ้นใหม่ เพื่อให้ครูนำมาใช้ในการจัดการเรียนรูจ้ ึงอาจเป็นสิ่งใหม่
ทงั้ หมด หรือใหมเ่ พยี งบางสว่ นหรือเป็นสว่ นหน่งึ ของระบบการจดั การเรยี นรู้
จากที่กล่าวมานั้น สรุปได้ว่า นวัตกรรม หมายถึง สิ่งที่อาจทำขึ้นใหม่ หรือสิ่งที่นำมา
ปรับปรุงพัฒนาขึ้นใหม่ โดยอาจจะอยู่ในรูปแบบของความคิด วิธีการ การกระทำ หรือสิ่งประดิษฐ์
ทีก่ ำลังอยใู่ นกระบวนการพิสจู น์ ทดสอบ หรอื ได้มีการยอมรับนำไปใช้บา้ งแล้วแต่ยงั ไม่แพรห่ ลาย
พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2564 : 101) ได้แบ่งประเภทของนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ไว้
2 ประเภท คือ
1. ผลติ ภัณฑ์ ส่งิ ประดิษฐ์ทางการศึกษา (Product / Invention) เป็นสื่อการเรยี นการสอน
หรือสิ่งประดิษฐ์ที่ครูใช้ประกอบการจัดการเรียนรู้ หรือให้ผู้เรียนศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเอง เช่น
บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ชุดการสอน ชุดการเรียน หนังสือเสริมประสบการณ์ ชุดสื่อประสม
วีดีทัศน์ สไลด์ประกอบเสียง เกม นิทาน บทเรียนการ์ตูน บทเพลง ใบงาน แบบฝึก
ชดุ ฝกึ ปฏบิ ัติ เปน็ ตน้
55
2. รปู แบบการสอน หรือวธิ กี ารจัดการเรียนรู้ (Model of Teaching / Instructional) เปน็
รูปแบบ กลวิธี หรือเทคนิควิธีการจัดการเรยี นร้แู บบต่าง ๆ ทค่ี รูนำมาใชใ้ นการจัดการเรียนรู้เพ่ือพัฒนา
คุณภาพผู้เรียน เช่น การจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning)) การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ
(Cooperative Learning) การจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project – Based Learning)
การจัดการเรียนรู้โดยใช้เว็บชว่ ยสอน (Web – Based Instruction) เทคนิควธิ ีการปรับพฤติกรรมพัฒนา
รปู แบบการฝึกทักษะการทำงานกลุ่ม รูปแบบการสอนหรือรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่นักวิจัยพัฒนาขึ้น
เป็นตน้
กระบวนการพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ มีขั้นตอนที่สำคัญในการดำเนินการ
ดงั น้ี (พชิ ิต ฤทธจิ์ รูญ, 2564 : 108 - 113)
1. การวิเคราะหป์ ญั หาการเรียนรู้
การวิเคราะห์ปญั หาการเรยี นรู้ จะช่วยใหค้ รไู ด้ทราบปัญหาการเรยี นท่ีชดั เจน และ
สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาการเรียนรู้นั้นมีอะไรบ้าง ซึ่งจะนำไปสู่การหาวิธีการหรือการเลือกใช้
นวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาการเรียนรู้ได้เหมาะสมกับลักษณะของสภาพปัญหาการเรียนรู้นั้น หลักในการ
วิเคราะห์ปัญหาที่สำคัญ คือ ต้องพยายามทำให้ปัญหานั้นมีความชัดเจนก่อนโดยการตั้งคำถาม
ในประเด็นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสุวิมล ว่องวาณิช (2553 : 48-49) ได้เสนอประเด็นคำถามเพื่อเป็นแนวทาง
การวิเคราะห์ปัญหาการเรยี นรู้ ดังนี้ (1) ปัญหาที่เกิดขึ้นคืออะไร (2) ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นของใคร
(3) ปัญหาที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อใครและอะไรบ้าง (4) ปัญหาที่เกิดขึ้นมีความสำคัญระดับใด
เมื่อเทียบกับปัญหาอื่นปัญหาใดสำคัญกว่ากัน (5) ปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับปัญหาหรือ
เหตกุ ารณ์อ่นื ๆ อะไรบา้ ง อย่างไร และ (6) ใครคือผู้รับผดิ ชอบหลักในการแกป้ ัญหาดงั กลา่ ว และ
การแก้ปัญหานั้นต้องเกี่ยวข้องกับใครหรือไม่ อย่างไร เทคนิคการวิเคราะห์ปัญหาการเรียนรู้และ
สาเหตุของปัญหา อาจใช้วิธีการเชิงระบบที่เปน็ การวิเคราะห์เชือ่ มโยงระหว่างปัญหาการเรียนรู้ดา้ นผลผลิต
หรือผลการเรียนรู้กับสาเหตดุ ้านกระบวนการจัดการเรียนรู้ของครูและวิธีการหรือพฤติกรรมเรียนรู้
ของผู้เรียน และสาเหตุด้านปัจจัยที่เกี่ยวกับคุณลักษณะของครูและคุณลักษณะของผู้เรียน หรือ
อาจใช้วิธกี ารวิเคราะหป์ ญั หาการเรียนรู้โดยใช้แผนผงั ความคิดและใชเ้ ทคนิคการต้งั คำถาม
2. การศกึ ษานวตั กรรมเพอื่ แก้ปัญหาการเรยี นรู้
เมอื่ ทราบปญั หาและสาเหตขุ องปญั หาการเรยี นรูท้ ีช่ ัดเจนแลว้ ควรศกึ ษานวตั กรรม
การจัดการเรียนรู้ให้หลากหลายจากเอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องจะทำให้ครูมีความรู้ ความเข้าใจ
และสามารถเลือกใช้นวัตกรรมแก้ปัญหาการเรียนรู้นั้นได้เหมาะสมและเกิดประโยชน์ต่อการ
พัฒนาการเรียนร้ขู องผู้เรียนมากท่สี ุด ซง่ึ อาจเป็นนวัตกรรมประเภทผลติ ภณั ฑ์ สง่ิ ประดิษฐ์ หรือ
56
ส่อื การเรียนการสอน หรอื ประเภทเทคนิควิธสี อน รปู แบบหรือวธิ กี ารจดั การเรียนรดู้ ังกล่าวมาแล้ว
ข้างตน้ โดยเลือกใช้นวัตกรรมใหส้ อดคล้องกับลักษณะของปัญหาการเรยี นรู้ มคี วามสะดวกในการ
นำมาใช้ที่สามารถใช้ได้ง่าย มีความเหมาะสมกับวัยของผู้เรียน ขนาดของห้องเรียน และวิธีการ
เรียนรู้ที่แตกต่างกัน ที่สำคัญคือต้องเป็นประโยชน์ต่อการจัดการเรียนรู้ของครูและการพัฒนา
คุณภาพผู้เรียน มีความเป็นไปได้ในการนำไปใช้จริงและนวัตกรรมนั้นมีความน่าเชื่อถือ ซึ่งได้ผ่าน
การพฒั นาดว้ ยวิธีการวจิ ัยและตรวจสอบแลว้ วา่ มีประสทิ ธภิ าพ
3. การออกแบบนวตั กรรม
เมื่อได้ศึกษานวัตกรรมและเลือกนวัตกรรมเพ่ือแก้ปัญหาการเรียนรู้ได้เหมาะสมแล้ว
ครูควรออกแบบนวัตกรรมซึ่งเป็นการกำหนดขอบข่ายเนื้อหาสาระ โครงร่าง องค์ประกอบหรือ
รูปแบบของนวัตกรรมว่าควรมีลักษณะอย่างไร มีส่วนประกอบอะไรบ้าง มีกระบวนการหรือ
กจิ กรรมในการจดั การเรียนรู้เพอื่ แกป้ ญั หาหรือพัฒนาการเรยี นรู้อย่างไร
4. การสร้างนวตั กรรม
เป็นข้ันตอนจัดทำนวัตกรรมตามการออกแบบท่ีกำหนดไว้ให้ครบถว้ นตามองค์ประกอบ
ของนวตั กรรมประเภทสอื่ เอกสาร เช่น แบบฝกึ ชุดกจิ กรรมพฒั นา ชุดการสอน ครกู ็ตอ้ งลงมือ
เขียนสาระรายละเอียดตามลักษณะและรูปแบบของนวัตกรรมที่ออกแบบไว้ กรณีที่เป็นนวัตกรรม
ประเภทเทคนิควิธีการจัดการเรียนรู้ หรือรูปแบบการจัดการเรียนรู้ ครูจะต้องจัดทำแผนการจัด
การเรยี นรูท้ ส่ี ะทอ้ นให้เหน็ ถงึ ข้นั ตอนหรอื กระบวนการจัดการเรยี นรู้ของนวัตกรรมน้ัน ๆ
5. การตรวจคุณภาพของนวัตกรรมโดยผเู้ ชยี่ วชาญ
การตรวจสอบคณุ ภาพของนวตั กรรมทีส่ ำคญั คือ การตรวจสอบความตรงเชงิ เนอ้ื หา
(Content Validity) ว่า นวัตกรรมนั้นมีความถูกต้องเหมาะสม หรือสอดคล้องกับปัญหาการเรียนรู้
จุดประสงค์การเรียนรู้ รวมทั้งวัยของผู้เรียนหรือไม่ วิธีการตรวจสอบทำได้โดยให้ผู้เชี่ยวชาญหรอื
ผู้มีประสบการณ์สูงในเรื่องนั้น ๆ อย่างน้อย 3 คนได้อ่านหรือตรวจสอบว่า นวัตกรรมนั้นมีคุณภาพ
ตามเกณฑ์ที่กำหนดและเหมาะสมที่จะนำไปใช้ได้หรือไม่ โดยนำนวัตกรรมที่สร้างขึ้นพร้อม
วัตถุประสงค์ของการพัฒนา นิยามศัพท์เฉพาะ และแบบตรวจสอบคุณภาพนวัตกรรม เสนอ
ผู้เชี่ยวชาญโดยให้ผู้เชี่ยวชาญประเมินคุณภาพตามเกณฑ์ประเมินในด้านความสอดคล้องกับสภาพ
ปัญหาการเรียนรู้/วัตถุประสงค์ของการพัฒนา ความเหมาะสมกับวัยของผู้เรียน ความชัดเจน
ความสมบูรณครบถ้วนในเน้ือหาสาระ ภาพหรือเสียง ความเป็นไปได้ในการนำไปใชจ้ ริงและความ
เป็นประโยชน์ต่อการแก้ปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน หากผู้เชี่ยวชาญเห็นว่าควรมีการ
ปรับปรุงแก้ไขสาระส่วนใดก็ควรปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้นวัตกรรมมี
คุณภาพสอดคล้องกบั เกณฑค์ ุณภาพ
57
6. การตรวจสอบประสิทธิภาพของนวัตกรรมโดยการทดลองใช้
การตรวจสอบคณุ ภาพของนวตั กรรมบางประเภทเม่ือผา่ นการตรวจสอบคณุ ภาพจาก
ผู้เชีย่ วชาญแล้วจะต้องนำไปทดลองใช้กับผูเ้ รยี นท่ีเปน็ คนละกลุ่มกบั กลุม่ ที่ศึกษาวิจัยแล้วตรวจสอบ
ประสทิ ธิภาพตาม “เกณฑป์ ระสทิ ธิภาพ” ท่กี ำหนดไว้
เกณฑ์ประสิทธิภาพ หมายถึง ตัวบ่งชี้ที่แสดงถึงประสิทธิภาพของนวัตกรรมว่าสามารถ
ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด ประกอบด้วย ประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1)
และประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) เกณฑ์ประสิทธิภาพเป็นการกำหนดอัตราส่วนร้อยละระหว่าง
E1/E2 โดยอาจกำหนดเป็น 75/75 หรือ 80/80 หรือ 90/90 การกำหนดเกณฑป์ ระสิทธิภาพจะ
ขึ้นอยู่กับลักษณะธรรมชาติของเนื้อหาวิชา ถ้าเนื้อหาประเภทความรู้ความจำควรกำหนดเกณฑ์
ประสิทธิภาพ 80/80 หรือ 90/90 ถ้าเนื้อหาประเภททักษะหรือเจตคติควรกำหนดเกณฑ์
ประสิทธิภาพ 75/75
สูตรการหาประสิทธิภาพของนวัตกรรม E1/E2 กำหนดดังน้ี
เม่ือ E1 แทน ประสทิ ธิภาพของกระบวนการเรียนการสอน (Efficiency of process)
ซึ่งเป็นค่าร้อยละของคะแนนเฉลี่ยจากการทำกิจกรรม แบบฝึกหัด และ/หรือการทดสอบย่อย
ระหว่างเรียนจากนวตั กรรมของผูเ้ รียนทั้งกล่มุ
E2 แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (Efficiency of product) ซึ่งเป็นค่าร้อยละ
ของคะแนนเฉลีย่ ทผ่ี ู้เรียนท้ังกลุม่ ทำแบบทดสอบหลังเรียนจากนวตั กรรม
∑ แทน คะแนนรวมของผู้เรียนจากการทำกิจกรรม แบบฝึกหัดและ/หรือการ
ทดสอบย่อยระหว่างเรยี นจากนวัตกรรม
∑ แทน คะแนนรวมของผู้เรยี นจากการทำแบบสอบหลงั เรียน
A แทน คะแนนเต็มของกิจกรรม แบบฝึกหัดและ/หรือแบบทดสอบย่อยระหว่างเรียน
B แทน คะแนนเตม็ ของแบบทดสอบหลังเรยี น
N แทน จำนวนผเู้ รยี น
58
7. การรายงานผลการพัฒนานวตั กรรม
การรายงานผลการพัฒนานวตั กรรม เป็นการนำเสนอผลการพัฒนานวตั กรรมไว้เปน็
หลักฐานในการทำงานของครูว่านวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นและนำไปใช้แก้ปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้น้ัน
มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนดหรือไม่ อย่างไร และเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาผู้เรียนและ
การจัดการเรียนการสอนของครูอย่างไร
นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่ควรใช้สำหรับการวิจัยในชั้นเรียนมีหลายประเภท จึงนำเสนอ
เพอ่ื เป็นกรณตี ัวอยา่ ง ดังตอ่ ไปน้ี
1. การจดั การเรยี นร้โู ดยใชโ้ ครงงาน (Project – Based Learning) เป็นกระบวนการ
จัดการเรียนรูท้ ี่มุง่ ให้ผู้เรียนได้แสวงหาความรูห้ รือการค้นคว้าหาคำตอบในสิ่งที่ผู้เรยี นอยากรู้ หรือ
สงสยั ดว้ ยวธิ ีการต่าง ๆ ทีผ่ ู้เรยี นไดเ้ ลือกศึกษาตามความสนใจของตนเองหรือของกลุ่ม โดยกำหนด
เป็นโครงงานเพื่อศึกษาหรือแก้ปัญหาเรื่องใดเรื่องหนึ่ง จนได้ผลการศึกษาหรือชิ้นงานที่สามารถ
นำไปใชใ้ นชวี ิตไดจ้ รงิ โดยมีข้ันตอนการจดั การเรียนรู้ ดงั น้ี
1.1 การนำเสนอสถานการณ์ โดยครเู สนอสถานการณ์ทหี่ ลากหลายและกระตนุ้ จูงใจ
ให้ผู้เรียนเกิดความสนใจและต้องการอยากรู้ สนใจศึกษาที่จะกำหนดโครงงานเพื่อศึกษาหรือ
แกป้ ญั หาในเรือ่ งทส่ี นใจ
1.2 การกำหนดจุดม่งุ หมาย โดยให้ผู้เรียนเลือกปญั หาและกำหนดจดุ หมายในการศกึ ษา
หรือการแก้ปัญหา อาจกำหนดการทำงานเป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่มก็ได้ ในกรณีที่ทำโครงงาน
เปน็ กล่มุ ควรมกี ารเลือกหัวหนา้ กล่มุ ทำงาน มกี ารแบ่งงาน และมอบหมายหน้าที่ความรับผิดชอบ
ในการทำงานให้สมาชิกในกลุม่ อย่างชดั เจน
1.3 การวางแผนการดำเนินงาน โดยผู้เรียนแต่ละกลมุ่ ร่วมกันวางแผนการดำเนินงาน
อยา่ งเป็นระบบ ชัดเจน เพอื่ ให้สามารถบรรลุจดุ ม่งุ หมายโดยระบรุ ายละเอยี ดของโครงงาน ได้แก่
ชื่อโครงงาน หลักการและเหตุผลที่ทำโครงงาน วัตถุประสงค์ของโครงงาน ชื่อที่ปรึกษาโครงงาน
สถานที่ใช้ดำเนินงานโครงงาน ระยะเวลาดำเนินงาน งบประมาณ วิธีการศึกษาหรือดำเนินงาน
โครงงาน เครอ่ื งมือ วสั ดุ และอปุ กรณ์ที่ใช้ในการทำโครงงาน และผลทคี่ าดวา่ จะได้จากการทำโครงงาน
1.4 การดำเนินงาน โดยแต่ละกลมุ่ ดำเนนิ งานให้เป็นไปตามแผนและบรรลุจดุ มุ่งหมาย
ของโครงงานที่กำหนดไว้ ครูควรกำกับติดตามและให้ข้อแนะนำ คำปรึกษาในการดำเนินงานของ
แตล่ ะกลมุ่ อย่างตอ่ เนื่อง
1.5 การประเมนิ ผล โดยใหผ้ เู้ รยี นแต่ละกลมุ่ ประเมินตนเองว่า โครงงานน้นั บรรลุ
จุดมุ่งหมายหรือไม่อย่างไร และมีการสะท้อนความคิดว่าในการทำโครงงานนี้ได้ประโยชน์อย่างไรบ้าง
ไดเ้ รียนรอู้ ะไร และเกิดทักษะในดา้ นใดบา้ ง อย่างไร ในขณะเดยี วกนั ครคู วรประเมินกระบวนการ
59
และผลการทำโครงงานของผู้เรยี นแต่ละกลุ่มแลว้ ใช้เป็นข้อมูลป้อนกลับเพ่ือการเสริมสร้างพลังจูงใจ
ในการเรยี นรแู้ ละปรับปรุงพฒั นาการทำโครงงานของผเู้ รยี น
1.6 การตดิ ตามผล โดยครคู วรมีการติดตามผลของโครงงานวา่ มีผลกระทบต่อผู้เรียน
ในเรอ่ื งอะไรบ้าง หรือไม่ อยา่ งไร แลว้ ใช้เป็นขอ้ มลู สารสนเทศเพื่อการปรับปรุงและพัฒนางานให้
ดียง่ิ ขึ้นต่อไป
2. การจดั การเรยี นร้โู ดยใช้เกม เป็นการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ที่ครูนำเกมเขา้ มาบูรณาการ
ในการจัดการเรียนรู้ โดยให้ผู้เรียนเป็นผู้เล่นเกมเป็นรายบุคคล เป็นกลุ่ม หรือทุกคนในชั้นเรียน
ในลกั ษณะของการแขง่ ขันที่มกี ฎเกณฑ์และข้อปฏิบัติในการเล่นเกม จะชว่ ยใหผ้ ้เู รียนมีการเรียนรู้ท่ีสนุก
มสี ว่ นรว่ มและกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ ชว่ ยพฒั นาทกั ษะการแก้ปัญหา การส่ือสาร การฟัง มคี วามรว่ มมือ
ซึ่งกันและกัน ทำให้ผู้เรียนสนใจบทเรียน และสามารถทำงานรว่ มกนั ไดด้ ี ครูอาจประเมินผลการเรียนรู้
โดยการสังเกต สนทนา สอบถามอยา่ งไม่เป็นทางการ การจดั การเรียนรู้ โดยใชเ้ กม มขี ั้นตอนดงั นี้
2.1 การเลือกและนำเสนอเกม โดยครพู จิ ารณาเลอื กเกมท่จี ะนำมาใช้จดั กจิ กรรม
การเรียนรู้ เกมที่ใช้ส่วนใหญ่คือ เกมการศึกษา ซึ่งมีวัตถุประสงค์มุ่งให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตาม
จดุ ประสงค์การเรียนรู้ โดยมกี ารออกแบบให้เปน็ เกมการศึกษาโดยตรงมีอยู่ 3 ประเภท คือ (1) เกม
แบบไม่มีการแข่งขัน เช่น เกมการสื่อสาร เกมการตอบคำถาม เป็นต้น (2) เกมแบบแข่งขัน มีผู้แพ้
ผู้ชนะ และ (3) เกมจำลองสถานการณ์ (simulation game) เป็นเกมที่จำลองความเป็นจริง
สถานการณ์จริง (ทิศนา แขมมณี, 2553 : 366) ครูอาจสร้างเกมขึ้นเองโดยให้สอดคล้องกับ
จุดประสงค์การเรียนรู้หรืออาจนำเกมที่มีผู้สร้างไว้แล้วมาปรับดัดแปลงให้เหมาะสมสอดคล้องกับ
จุดประสงค์ หลักในการเลือกเกมให้คำนึงถงึ จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ ระดบั ความรคู้ วามสามารถและ
วัยของผู้เรียน จำนวนผู้เรียนหรือผู้เล่นเกม สถานที่และอุปกรณ์การเล่นเกม รวมทั้งกฎ กติกา
และระเบยี บในการเล่นเกม ตลอดจนความปลอดภัยในการเล่นเกม
2.2 การช้ีแจงวธิ กี ารเลน่ และกติกาการเล่น โดยครตู อ้ งบอกชื่อเกม ชี้แจงวธิ กี ารเลน่
และกติกาการเล่นเกม เกมบางประเภทอาจต้องสาธติ หรือซกั ซ้อมก่อน ท้งั นเ้ี พอื่ ให้ผู้เรียนได้เข้าใจ
ปฏิบตั ไิ ดถ้ กู ต้อง ช่วยใหเ้ กิดการเรียนรู้ทบี่ รรลุจดุ ประสงคแ์ ละเกดิ ความปลอดภัยในการเลน่ เกม
2.3 การเล่มเกม ครคู วรจัดเตรยี มความพรอ้ มท้ังดา้ นสถานที่ อปุ กรณป์ ระกอบการเล่นและ
เตรียมความพร้อมผู้เล่นเพื่อให้เกิดความราบรื่น เรียบร้อยและบรรลุจุดประสงค์ของการเรียนรู้โดยใช้เกม
ไปตามลำดบั ขน้ั ตอน โดยผ้สู อนต้องคอยควบคุมดูแลใหเ้ ปน็ ไปตามกฎ กติกา มารยาทของการเล่นเกม
2.4 การอภปิ รายหลังการเล่นและสรุปผล เปน็ ขน้ั ตอนทีส่ ำคัญของการจัดการเรียนรู้
โดยการใช้เกม เพราะการอภิปรายจะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันและนำไปสู่ข้อสรุปที่เป็น
ข้อความรู้ที่ได้จากการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกม ดังนั้นครูจึงต้องจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้อภิปราย
แลกเปลี่ยนเรียนรูร้ ่วมกันโดยการกำหนดประเด็นคำถามหรอื ประเด็นการอภิปรายเพื่อให้ไดข้ ้อสรปุ
และกระต้นุ จูงใจให้เกิดการอภิปรายอยา่ งกวา้ งขวางและมีเหตุผล
60
2.5 การประเมินผลการเรียนรู้ โดยการตรวจสอบผลการเรียนร้วู ่า การจดั การเรียนรู้
โดยใช้เกมช่วยให้เกิดผลการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้หรือไม่ อย่างไร อาจใช้วิธีการสังเกต
การซักถาม การทดสอบ หรือตรวจสอบจากคุณภาพของผลการปฏิบัติงาน รวมทั้งตรวจสอบ
กระบวนการจัดกจิ กรรมเพ่ือปรับปรุง พฒั นาการจัดการเรียนรู้ในคร้ังต่อไปด้วย
3. การจัดการเรียนรโู้ ดยใชผ้ งั กราฟิก ผงั กราฟิก (Graphic Organizer) เปน็ เครื่องมือท่ี
ชว่ ยให้ผู้เรยี นสามารถจัดระบบความคิดและข้อมูลให้เปน็ ระบบ ระเบียบ และนำเสนอหรืออธิบาย
ให้เข้าใจและจดจำง่าย มหี ลายรูปแบบ สามารถประยกุ ตใ์ ช้ได้อย่างกว้างขวาง ซง่ึ ทิศนา แขมมณี
(2553 : 388) ได้ให้แนวคิดว่า ผังกราฟิกเป็นแผนผังทางความคิด ประกอบด้วย ความคิด หรือ
ข้อมูลสำคัญ ๆ ที่เชื่อมโยงกันอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งทำให้เห็นโครงสร้างของความรู้ หรือเนื้อหา
สาระนั้น ๆ เป็นเทคนิคที่ผู้เรียนสามารถนำไปใช้ในการเรียนรู้เนื้อหาสาระต่าง ๆ จำนวนมาก เพื่อช่วย
ให้เกิดความเขา้ ใจในเนื้อหาสาระนัน้ ได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น และจดจำไดน้ าน
ผงั กราฟิกจำแนกได้หลายประเภท ไดแ้ ก่ (1) ผังความคิด (Mind map) (2) ผังมโนทัศน์
(Concept map) (3) ผังแมงมุม (Spider map) (4) ผังลำดับขั้นตอน (Sequential map)
(5) ผงั ก้างปลา (Fish bone map) (6) ผงั วัฏจักร (Circle or cycle map) (7) ผังวงกลมซ้อน หรอื
เว็นไดอะแกรม (Venn diagram) (8) ผังวีไดอะแกรม (Vee diagram) (9) ผังพล็อตไดอะแกรม
(Plot diagram) (ทิศนา แขมมณี : 389-400) ครสู ามารถศกึ ษาเรียนรูเ้ พิม่ เติมได้จากหนงั สือ ตำรา
และเอกสารทางวชิ าการทเ่ี กี่ยวขอ้ งได้ การจัดการเรยี นรโู้ ดยใช้ผงั กราฟกิ มขี ้นั ตอนโดยสรุปดังนี้
3.1 การกำหนดจดุ มุ่งหมาย โดยผูส้ อนกำหนดจดุ มุ่งหมายของการจดั การเรียนรทู้ ี่
มุ่งหวังใหผ้ เู้ รยี นเรียนรู้เนือ้ หาอะไร มที กั ษะการคิดอะไร และแสดงออกอย่างไร ผเู้ รียนจะได้เขา้ ใจ
ว่าตนจะต้องทำอะไร เรียนรู้และแสดงพฤติกรรมอย่างไร โดยใช้ผงั กราฟิกเชา้ มาช่วยให้ผู้เรียนคิด
ไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ
3.2 การวางแผนและออกแบบการจดั การเรียนรู้ โดยผู้สอนต้องวิเคราะหแ์ ละเลอื ก
เนื้อหาการเรียนรู้ที่สามารถใช้ผังกราฟิกเข้ามาช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีทักษะตาม
จุดมุ่งหมายได้ แล้วออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนเรยี นรูจ้ ากกรณีตัวอย่างการใช้ผังกราฟิก
กำหนดงานให้ผู้เรียนปฏิบัติเป็นรายบุคคลหรือรายกลุ่มโดยใช้ผังกราฟิกสำหรับการเรียนรู้ ระบุ
วธิ กี ารประเมินและการสะทอ้ นความคดิ ตอ่ ผลงาน
3.3 การจัดการเรียนร้ตู ามแผน การใชผ้ ังกราฟิกในการจดั การเรยี นร้ผู ู้สอนจะตอ้ ง
ดำเนินการเป็นขั้นตอน โดยเริ่มจากการกระตุ้นสร้างพลังจูงใจ การนำเสนอแนวคิด ลักษณะ
ประเภท และประโยชน์ของผังกราฟิก แล้วให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากกรณีตัวอย่างการใช้ผังกราฟิก
สำหรับการเรยี นรู้เนือ้ หา หรอื กรณปี ัญหา สถานการณต์ า่ ง ๆ จากนั้นผ้สู อนอาจกำหนดโจทย์การเรียนรู้
หรือให้ผู้เรียนเลือกฝึกใช้ผังกราฟิกในการเรียนรู้หรือทำงาน โดยอาจจัดกลุ่มย่อย ๆ ให้ผู้เรียน
ชว่ ยกนั คิด และอภปิ รายรว่ มกนั
61
3.4 การประเมนิ การเรียนรู้ ผสู้ อนสามารถทำได้ 2 ลักษณะ กล่าวคอื การประเมิน
ความก้าวหน้า (Formative evaluation) โดยผ้สู อนสังเกตการเรียนรแู้ ละการทำงานของผเู้ รียนแต่ละกลุ่ม
อาจใช้คำถามเพื่อตรวจสอบความเข้าใจ และตรวจสอบผลงานการใช้ผังกราฟิกของผู้เรียน ซึ่งจะ
สะทอ้ นถึงความเข้าใจของผู้เรียนในการใชผ้ ังกราฟิกสำหรับการเรียนรู้ และเมื่อส้ินสุดการจัดการเรียนรู้
จึงประเมินสรุปผลการเรยี นรู้ (Summative Evaluation) โดยการประเมนิ ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน
และประเมินการจัดการเรียนรู้ จะทำให้ได้ข้อสรุปว่า เทคนิคการใช้ผังกราฟิกสามารถใช้เป็นกลยุทธ์
ในการจดั การเรยี นรหู้ รอื พฒั นาการเรียนรู้ และคุณลักษณะท่ีพงึ ประสงค์ของผูเ้ รียนได้มากนอ้ ยเพยี งใด
4. การจดั การเรยี นร้แู บบรว่ มมอื (Cooperative Learning) เปน็ วธิ กี ารจัดการเรียนรูท้ ี่
เน้นให้ผู้เรียนทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ โดยทั่วไปมีสมาชิกกลุ่มละ 4 คน สมาชิกกลุ่มมี
ความสามารถในการเรียนแตกต่างกัน แตจ่ ะมคี วามรับผิดชอบในส่ิงท่ีได้รับการสอน และช่วยเพอื่ น
สมาชกิ ใหเ้ กดิ การเรียนรู้ มกี ารชว่ ยเหลือซ่ึงกนั และกนั โดยมีเปา้ หมายในการทำงานรว่ มกนั โดยมี
ขั้นตอนของการจดั การเรยี นรู้ ดังน้ี (อรพรรณ พรสีมา , 2540 : 65-66)
4.1 การเตรยี มความพรอ้ มผเู้ รียน โดยครูแนะนำทกั ษะในการเรยี นร้รู ว่ มกัน และ
จัดกลุ่มผู้เรียนออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ กลุ่มละ 4 คน ครูควรแนะนำข้อปฏิบัติของกลุ่ม บทบาทและ
หนา้ ทีข่ องสมาชิกในกลุ่ม แจ้งวตั ถปุ ระสงค์ของบทเรียนและการทำกจิ กรรมร่วมกัน รวมท้ังการฝึก
ทกั ษะพืน้ ฐานท่ีจำเปน็ สำหรบั กลุ่ม
4.2 การจัดกจิ กรรมกลุ่ม ผ้เู รียนที่เรียนรรู้ ่วมกนั ในกลุ่มย่อย โดยท่แี ตล่ ะคนมีบทบาท
และหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย เป็นขั้นตอนที่สมาชิกในกลุ่มจะได้ร่วมกันรับผิดชอบต่อผลงาน
ของกล่มุ ซ่ึงครูจะกำหนดให้ผู้เรยี นใช้เทคนิคตา่ ง ๆ ในการทำกิจกรรมกลุ่ม
4.3 การตรวจสอบผลงานและประเมินผล เป็นการตรวจสอบวา่ ผู้เรียนไดป้ ฏบิ ตั ิหน้าที่ครบถว้ น
หรือไม่ ผลการปฏบิ ตั เิ ป็นอยา่ งไร เน้นการตรวจสอบผลงานกลมุ่ และรายบุคคล หากผลการตรวจสอบพบว่า
ผเู้ รียนปฏิบตั งิ านและได้ผลงานยังไม่สมบูรณ์ อาจตอ้ งซ่อมเสริมเพ่ือปรับปรุงแล้วจงึ ประเมินผลการเรียนรู้อีกครั้ง
4.4 การสะทอ้ นความคดิ ตอ่ การเรียนรู้ โดยใหค้ รแู ละผ้เู รยี นร่วมกนั สรุปบทเรยี น
และประเมินผลการทำงานของกลุ่ม ทั้งจุดเด่นและจุดที่ควรปรับปรุงพัฒนา หากผลการประเมิน
บ่งช้วี ่า มีจดุ ทคี่ วรปรับปรงุ พัฒนาเพมิ่ เติมใหแ้ กผ่ ู้เรยี น ครคู วรจัดกิจกรรมเสรมิ สร้างพัฒนาผูเ้ รียน
5. การจดั การเรียนร้เู ชิงรุก (Active Learning) เป็นกระบวนการจดั การเรียนรู้ตามแนวคิด
ทฤษฎกี ารสรา้ งสรรค์ความรู้ (Constructivism) ที่เสนอโดย ปอี าเจ (Jean Piaget) ซึ่งมีความเชอ่ื ว่า
“ผู้เรียนสามารถสร้างสรรค์ความรู้ขึ้นได้เอง” การเรียนรู้จึงเป็นกระบวนการภายในที่แต่ละบุคคล
ต้องเป็นผู้สร้างด้วยตนเองและสามารถทำได้ดียิ่งขึ้นหากได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือจากผู้อื่น
(ราชบัณฑิตยสถาน, 2555 : 112) จากแนวคิดทฤษฎีนี้สะท้อนให้เห็นว่าการจัดการเรียนรู้ควรเน้น
กระบวนการเรียนรู้ของผูเ้ รียนเพื่อช่วยให้ผูเ้ รียนสามารถเชือ่ มโยงความรูห้ รือสรา้ งความรู้ให้เกิดขึน้ ในตนเอง
ด้วยการลงมอื ปฏบิ ัตจิ รงิ ผา่ นสอ่ื หรือกิจกรรมการเรยี นรู้ตามสภาพจริงทีม่ ีครูผู้สอนเปน็ ผชู้ ้แี นะ (Coaching)
62
กระตุ้นการจูงใจ เสริมสร้างพลังบวกในการเรียนรู้ และเป็นผู้จัดกระบวนการเรียนรู้หรืออำนวย
ความสะดวกในการเรียนรู้ (Facilitator) เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ขึ้นจนบรรลุจุดมุ่งหมายของ
การเรียนรู้
ความหมายของการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ตามพจนานุกรมศัพท์
ศึกษาศาสตร์ หมายถึง กระบวนการเรียนรู้ท่ีผู้เรียนมบี ทบาทในกิจกรรมการเรียนรอู้ ย่างมีชีวิตชีวา
และอย่างตื่นตัว ในขณะที่การเรียนรู้เชิงรับ (Passive Learning) หมายถึง กระบวนการเรียนรู้ที่
ผู้เรียนมบี ทบาทเป็นผูร้ บั ความรู้จากผูส้ อน โดยผู้เรยี นอาจขาดความกระตือรือร้นในการตอบสนอง
แสดงความรู้ ความเข้าใจของตนหรือให้ข้อคิดเห็น คำนี้แตกต่างกับการเรียนรู้เชิงรุกที่ผู้เรียนมี
โอกาสได้ร่วมกจิ กรรมการเรียนรู้ (ราชบัณฑิตยสถาน , 2555 : 10 , 394)
กลวิธีในการจัดการเรียนรู้เชิงรุก เป็นวิธีการที่มีความหมายกว้าง ครอบคลุมวิธีการ
จัดการเรยี นรู้หลากหลายเพื่อเปดิ โอกาสใหผ้ ู้สอนและผู้เรียนสู่สถานการณ์การเรียนรู้ที่กระตือรือร้น
มีชวี ติ ชวี าโดยมจี ดุ เนน้ อยูท่ ี่การให้ความสำคัญกบั ผูเ้ รียนและเกิดการเรียนรู้ดว้ ยตนเองท่ตี ้องคำนึงถึง
ความแตกต่างระหว่างบุคคล การส่งเสริมให้ผู้เรยี นมีสว่ นร่วมในการเรียนรู้เชงิ รกุ สามารถสนบั สนนุ
ส่งเสริมให้เกิดขึ้นได้ทั้งภายใน ภายนอกชั้นเรียน และเรียนรู้จากแหล่งการเรียนรู้ที่หลากหลาย
รวมทั้งสามารถใช้ได้กับผู้เรียนทุกระดับ ทั้งการเรียนรู้รายบุคคล กลุ่มเล็ก และกลุ่มใหญ่ โดยมี
กลวธิ กี ารจดั การเรียนรูท้ นี่ ่าสนใจ ดงั นี้
1) การเรียนรู้โดยการทำงานกลุ่ม (Group work)
2) การเรยี นรู้โดยการอภิปรายกลมุ่ (Group discussion)
3) การเรียนรโู้ ดยการแสดงบทบาทสมมติ (Role playing)
4) การเรียนรู้โดยกรณศี ึกษา (Analyze case studies)
5) การเรียนรูโ้ ดยใช้กระบวนการวจิ ยั เป็นฐาน (Research – based learning)
6) การเรยี นรโู้ ดยการอ่านทกี่ ระตือรือร้น (Active reading)
7) การเรยี นรโู้ ดยการเขียนท่ีกระตือรอื ร้น (Active writing)
นวัตกรรมการจดั การเรียนรู้ ถอื ว่าเป็นสือ่ แนวคิด วธิ กี ารใหม่ ๆ ในการจัดการเรยี นรู้
ซึ่งครูจำเป็นต้องศึกษาเรียนรู้ให้เข้าใจแนวคิดและวิธีการเพื่อให้สมารถนำมาปรับประยุกต์ใช้
เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนและพัฒนาการจัดการเรียนรู้ของครู นวัตกรรม
การจัดการเรียนรู้จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำวิจัยในชั้นเรียนเพราะจะทำให้ครูมีวิธีการแก้ปัญหา
หรือพัฒนาการเรียนรู้ด้วยวิธีการใหม่ ๆ ได้ดีขึ้นกว่าเดิม ซึ่งจะช่วยพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพ
ตามมาตรฐานการเรียนรู้ได้ (พชิ ิต ฤทธิจ์ รญ, 2564 : 119 - 127)
63
64
การเก็บรวบรวมขอ้ มลู มหี ลายวิธซี ึ่งต้องสอดคล้องกับวตั ถุประสงค์ของการวิจัย เครื่องมือ
ทใ่ี ชใ้ นการวิจัย รวมไปถึงความเปน็ ไปได้หรือเงื่อนไขในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลหรือ
ผใู้ หข้ ้อมูลจรงิ วธิ กี ารเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู มหี ลายวธิ ีการ กรณีการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เชิงปริมาณอาจ
ใช้วธิ สี ำรวจ (Surveys) การสอบถาม (Questionnaires) การใช้มาตรประมาณค่า (Rating Scales)
การตรวจสอบรายการ (Checklists) การทดสอบ (Testing) กรณีการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิง
คุณภาพอาจใช้วิธีการสังเกต (Observations) การสัมภาษณ์ (Interviews) การสนทนากลุ่ม
(Focus group discussion) การใช้ข้อมูลบันทึกส่วนตัว (Documents and records) ในการทำ
วิจัยเรื่องหนึ่งนั้นผู้วิจัยสามารถเลือกใช้วิธีการใดวิธีการหนึ่งหรือใช้ในลักษณะของการผสมผสาน
วธิ กี ารก็ได้ โดยในท่ีนจ้ี ะนำเสนอวิธีการเก็บรวบรวมข้อมลู ดงั น้ี (พิชติ ฤทธจ์ิ รูญ. 2564 : 167-174)
1. การใชข้ อ้ มลู จากเอกสาร เปน็ การแสวงหาข้อมูลทป่ี รากฏอยู่แลว้ ในรปู ของเอกสารและ
หลักฐานต่าง ๆ ข้อมูลเหล่านี้ได้แก่ เอกสาร สถิติ ตัวเลข และข้อมูลหลักฐานต่าง ๆ โดยทั่วไป
ในสถานศึกษามักจะมีการจัดทำระบบสารสนเทศท่ีมีข้อมูลเกี่ยวกับผูเ้ รียน และข้อมูลด้านอื่น ๆ ไว้ใน
รูปเอกสารรายงาน หลักฐานต่าง ๆ เป็นลักษณะของข้อมูลทุติยภูมิ เช่น ระดับผลการเรียนรายวิชา
ต่าง ๆ คะแนนการทดสอบ O-Net ผลการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน ผลการประเมิน
คุณลักษณะอันพึงประสงค์ เป็นต้น หากการวิจัยในชั้นเรียนเรื่องใดที่มีตัวแปรที่ศึกษาสอดคล้องกับ
ข้อมูลเอกสาร หลักฐานที่มีอยู่แล้ว อาจไม่จำเป็นต้องสร้างเครื่องมือเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลใหม่
ครูอาจพิจารณาใช้ข้อมูลจากเอกสารหลักฐานดังกล่าวมาวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อใช้อธิบายตัวแปรที่ศึกษา
ทงั้ นคี้ รูจะต้องพิจารณาคัดเลือกข้อมูลจากเอกสารหลักฐานโดยใช้เกณฑ์ด้านความสอดคล้องกับตัวแปร
ที่ศึกษา ความถูกต้อง ความเป็นปัจจุบัน ความครอบคลุมเพียงพอของข้อมูล และความน่าเช่ือถือ
หากขอ้ มูลเอกสารยังไม่ครอบคลุมเพียงพอ ครูควรเก็บข้อมูลดว้ ยเทคนคิ วธิ ีอ่ืนเพิ่มเตมิ
2. การสังเกต เป็นเทคนคิ วธิ เี ก็บรวบรวมขอ้ มลู ท่เี หมาะสมกบั การวจิ ยั ในชน้ั เรยี น การสงั เกต
เป็นวิธกี ารเกบ็ รวบรวมข้อมูลโดยใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ในลักษณะของการเฝ้าดู ศึกษาเหตุการณ์
ปรากฏการณ์เกี่ยวกับการเรียนรู้ การแสดงออกเกี่ยวกับคุณลักษณะอันพึงประสงค์หรือพฤติกรรม
ต่าง ๆ ของผเู้ รยี น อาจจะเปน็ ลกั ษณะบุคลกิ ภาพ การใช้คำพูด ภาษาทา่ ทาง กิจกรรมทกั ษะและ
ความสามารถ และสภาพแวดล้อม ข้อมูลที่ได้จะถูกต้องเพียงใดขึ้นอยู่กับสิ่งที่สังเกต ผู้สังเกต
และผเู้ รยี นทถ่ี ูกสังเกต โดยใช้แบบสงั เกตเปน็ เครือ่ งมอื เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
3. การสมั ภาษณ์ เป็นเทคนิควธิ เี ก็บรวบรวมข้อมูลดว้ ยการสนทนา ซกั ถาม พดู คุย
อย่างมีจุดหมายที่แน่นอนระหว่างผู้สัมภาษณ์ (Interviewer) และผู้ให้สัมภาษณ์ (Interviewee)
อาจใช้วิธีการสมั ภาษณ์แบบเผชญิ หนา้ สมั ภาษณท์ างโทรศัพท์ หรอื การใชส้ ่อื อน่ื ๆ โดยอาจใช้การ
สัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (Structured interview) ซึ่งมีการกำหนดประเด็นข้อคำถามหลัก
.
65
(Main question) และคำถามย่อย (Sub question) ที่มีรายละเอียดของคำถามไว้แน่นอนเพื่อให้
ผู้สมั ภาษณใ์ ช้คำถามสัมภาษณ์เหมือนกันทุกคน การสัมภาษณแ์ บบน้ีไม่ค่อยยืดหย่นุ เพราะไม่อาจ
ตั้งคำถามหรือดัดแปลงคำถามได้ แต่มีข้อดีคือจัดหมวดหมู่ข้อมูลได้งา่ ยและสะดวกในการวิเคราะห์
หรืออาจใชก้ ารสมั ภาษณแ์ บบไม่มโี ครงสร้าง (Unstructured interview) ซงึ่ ไม่มกี ารกำหนดคำถาม
ไว้แน่นอน กำหนดเพียงคำถามแบบกว้าง ๆ และอาจไม่จำเป็นต้องใช้คำถามที่เหมือนกันกับผู้ให้
สัมภาษณท์ ุกคน การสมั ภาษณ์แบบนีม้ ีความยดื หยนุ่ มากกว่าแบบมโี ครงสรา้ ง
สำหรับการวิจัยในช้ันเรียนน้ันผู้สัมภาษณ์มักจะเป็นครผู ู้ดำเนินการวิจยั ส่วนผู้ให้สัมภาษณ์
อาจเป็นนกั เรียน ครู ผ้ปู กครอง หรอื ผู้ให้ขอ้ มูลท่เี กยี่ วกบั ประเดน็ ท่ศี ึกษา ครผู ูด้ ำเนินการวจิ ัยจะต้อง
มีการวางแผนและเตรียมการให้พร้อม รวมทง้ั ดำเนินการตามขนั้ ตอนเพ่ือให้ได้ข้อมูลความจรงิ จากผู้ให้ข้อมูล
จุดประสงค์ทั่วไปของการสัมภาษณ์เพื่อให้ได้ข้อมูลสำหรับศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งอาจใช้
การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างหรือแบบไม่มีโครงสร้างก็ได้ โดยใช้แบบสัมภาษณ์เป็นเครื่องมือเก็บ
รวบรวมขอ้ มลู
4. การทดสอบ เป็นเทคนิควิธีเก็บรวบรวมข้อมูลที่ครูส่วนใหญ่นิยมใช้กันมาก เพราะโดย
ลักษณะธรรมชาติของการวิจัยในชั้นเรียนมักมุ่งแก้ปัญหาพัฒนาการเรียนรู้ที่เกี่ยวกับผลการเรียนรู้
ซึ่งสะท้อนถึงความรู้ ความเข้าใจ การคิดวิเคราะห์ และทักษะด้านต่าง ๆ ซึ่งมักจะใช้วิธีการทดสอบ
โดยใช้แบบทดสอบเป็นเครื่องมือวัด การทดสอบเหมาะสำหรับการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านพุทธพิสัย
(Cognitive domain) หรือทักษะพิสัย (Psychomotor domain) ที่เป็นผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่อาจ
แสดงออกถงึ ความรู้ ความเข้าใจในเนอ้ื หาสาระท่ีเรยี น ทักษะการปฏบิ ตั ิ หรอื ความสามารถดา้ นต่าง ๆ
5. การสอบถาม เป็นเทคนิควิธเี กบ็ รวบรวมข้อมลู จากแหล่งข้อมูลปฐมภูมิที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง
ขนาดใหญ่ หรือกลุ่มตัวอย่างที่อยู่กระจัดกระจาย โดยส่วนใหญ่เป็นการสอบถามข้อมูลที่เป็นตัวแปร
เกี่ยวกับข้อเท็จจริง ความรู้สึก ความคิดเห็น ความเชื่อ เจตคติ ความพึงพอใจ ความต้องการ และ
ความสนใจโดยใชแ้ บบสอบถามเป็นเครื่องมือ ในปัจจุบนั น้ีสามารถเก็บรวบรวมข้อมลู ดว้ ยการสอบถามได้
หลายชอ่ งทาง
6. การสนทนากลุ่ม เป็นเทคนิควิธีการรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพที่มีลักษณะคล้าย
การสัมภาษณ์เป็นกลุ่ม โดยให้ผู้เข้าร่วมสนทนากลุ่มแต่ละคนมีโอกาสนำเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับ
ประสบการณ์และอภิปรายในประเด็นที่ตอ้ งการศึกษา โดยผู้เข้าร่วมสนทนามีพื้นฐานหรือประสบการณ์
ใกล้เคียงกันในเรื่องที่วิจัย ผู้วิจัยหรือผู้สนทนาต้องกำหนดแนวคำถามหรือประเด็นการสนทนากลุ่ม
ไวล้ ว่ งหน้าและดำเนนิ การสนทนา โดยเปดิ โอกาสใหผ้ เู้ ข้าร่วมสนทนาอภปิ รายแลกเปล่ียนทัศนะกันอย่าง
กว้างขวางเพื่อหาข้อสรุปตามประเด็นที่สนทนา การสนทนากลุ่มจึงเป็นการจัดกลุ่มสนทนากันระหว่าง
ผวู้ ิจัยกบั กลมุ่ ผู้ใหข้ ้อมูลท่ีมคี ณุ ลกั ษณะภูมิหลงั ในหลาย ๆ ด้านทใ่ี กล้เคียงกนั
66
องคป์ ระกอบของการจดั สนทนากลุ่ม ประกอบด้วย
1) แนวคำถามหรอื ประเด็นที่ใชใ้ นการสนทนากลุ่ม
2) ผู้รว่ มสนทนากลมุ่ โดยกำหนดเกณฑ์การคดั เลอื กกลุ่มผ้ใู หข้ ้อมูลท่ีมลี ักษณะทาง
เศรษฐกิจ สังคม อาชีพหรือคุณลักษณะภูมิหลังที่ใกล้เคียงกันที่สุด และจำนวนผู้เข้าร่วมสนทนาเปน็
กล่มุ ขนาดเล็ก โดยปกตปิ ระมาณ 10-12 คน
3) บุคลากรการจัดสนทนากลุ่ม ประกอบดว้ ย ผู้ดำเนนิ การสนทนา (Moderator)
ผู้จดบันทึกคำสนทนา (Note-taker) ผู้ช่วยผู้ดำเนินการ (Assistant) อุปกรณ์การบันทึกเสียง สถานที่
การจดั สนทนากลุ่ม ระยะเวลาการสนทนากล่มุ ควรใชเ้ วลาไมเ่ กิน 2 ชั่วโมง 30 นาที กรณกี ารวิจยั ในช้ันเรยี น
หากครูต้องการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสนทนากลุ่มจากครู ผู้เรียน ผู้ปกครอง เกี่ยวกับตัวแปร
ท่ีศึกษา เชน่ วธิ ีการเรียนรู้ ปัญหาการเรยี นรู้ ความพงึ พอใจต่อการจัดการเรียนรู้ ความต้องการในการ
เรียนรู้ของนักเรียนในรายวิชาต่าง ๆ ครูที่สามารถจัดสนทนากลุ่มครู กลุ่มนักเรียน และกลุ่มผู้ปกครอง
โดยแยกดำเนนิ การสนทนาแต่ละกล่มุ ได้
อิทธิพัทธ์ สุวทันพรกูล (2562 : 191-200) ได้กล่าวถึงเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวม
ขอ้ มลู หรือเครอ่ื งมือท่ีใชใ้ นการวิจัยโดยในสว่ นนี้มุ่งนำเสนอตัวอย่างเคร่ืองมือที่ใชใ้ นการเก็บรวบรวม
ข้อมูล 6 รายการ ได้แก่ 1) แบบวิเคราะห์เอกสาร 2) แบบสัมภาษณ์ 3) แบบสังเกต 4) แบบ
ตรวจสอบรายการ 5) แบบสอบถาม และ 6) แบบทดสอบ โดยมรี ายละเอยี ด ดังนี้
1. แบบวเิ คราะหเ์ อกสาร แบบวิเคราะห์เอกสารหรอื แบบบนั ทกึ เอกสารเปน็ เครื่องมือที่
ใช้กับวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการศึกษาเอกสารหรือทบทวนข้อมูลจากเอกสารหลักฐาน
โดยแบ่งการบันทกึ ออกเปน็ สองส่วน
- สว่ นแรกเปน็ การบนั ทึกข้อมูลและรายละเอียดทม่ี าของแหล่งข้อมูล ได้แก่ ลำดบั
เอกสาร ชื่อเอกสาร ชนดิ ของเอกสาร แหลง่ ท่มี าของข้อมลู และวนั เดือนปีทไี่ ด้รบั
- สว่ นท่สี องเปน็ การบันทกึ เนอื้ หาโดยย่ออาจเป็นการบันทึกเน้ือหาสาระสำคญั หรือ
การบันทึกเชิงวิเคราะห์หรือสังเคราะห์เนื้อหาสาระที่ได้จากการศึกษาเอกสาร หรือการวาดเป็น
แผนผงั หรือแผนภาพความคดิ ได้
2. แบบสัมภาษณ์ แบบสมั ภาษณห์ รอื แนวคำถามเพ่ือการสมั ภาษณ์เป็นเครือ่ งมอื ที่ใช้กับ
วิธกี ารเก็บรวบรวมข้อมลู ด้วยการสมั ภาษณ์ โดยแบง่ การบนั ทกึ ออกเปน็ สามส่วน
- ส่วนแรกเป็นข้อมลู พ้นื ฐานของการสัมภาษณ์ ประกอบด้วย ประเด็นการสมั ภาษณ์
ชื่อผใู้ ห้ข้อมูลในการสมั ภาษณ์ ชอ่ื ผู้สมั ภาษณ์ วันเดือนปีและสถานทท่ี ีส่ ัมภาษณ์
67
- สว่ นทีส่ องเปน็ ประเดน็ คำถามและประเด็นคำตอบ โดยผู้วิจัยบนั ทึกข้อเท็จจริงที่ได้
จากการสมั ภาษณ์ แตไ่ มค่ วรบนั ทึกความรู้สึกสว่ นตวั ลงไป
- ส่วนทีส่ ามเปน็ ความรู้สกึ และขอ้ คดิ เห็นส่วนตวั ของผู้สัมภาษณ์ ซ่ึงในการสมั ภาษณ์นนั้
ผสู้ ัมภาษณ์อาจมีประเด็นสะท้อนคิดหรือมีข้อคิดเห็นส่วนตัวจึงให้บันทึกในส่วนท่ีสามน้ีเพ่ือไม่ให้ปะปน
กับขอ้ เท็จจริงท่ีได้จากการสัมภาษณ์
3. แบบสังเกต แบบสังเกตหรือแบบบันทึกการสังเกตเป็นเครื่องมือที่ใช้กับวิธีการเก็บ
รวบรวมข้อมูลด้วยการสังเกต มีลักษณะของการใช้ที่แตกต่างกัน ในรูปแบบแรกคล้ายกับแบบ
สมั ภาษณ์
- สว่ นแรกเปน็ ขอ้ มลู พน้ื ฐานของการสังเกต ประกอบด้วย วนั เดือน ปี เวลา และ
สถานทีท่ ี่สังเกต ชอื่ ผู้สงั เกต สว่ นที่สองเป็นรายการท่สี งั เกตและผลการสังเกต
- ส่วนที่สองเป็นรายการที่สังเกตและผลการสังเกต โดยผู้วิจัยบันทึกข้อเท็จจริงที่
สงั เกตหรอื อาจแทรกความรู้สกึ หรือความคิดเห็นสว่ นตวั แยกออกมา อาจบนั ทกึ ในลักษณะของการ
เขยี นพรรณนาเปน็ ประเดน็ หรือการวาดภาพประกอบการบันทึกการสงั เกตได้
นอกจากนี้แบบสังเกตอาจเป็นในลักษณะของการใช้แบบตรวจสอบรายการได้ ส่วนใหญ่
ใช้กบั การสังเกตความถี่ของพฤติกรรม เมอื่ ผู้วิจัยสงั เกตในชว่ งระยะเวลาหนึ่งแล้วจึงบันทึกผลลงใน
แบบสงั เกต
4. แบบสอบถาม แบบสอบถามเป็นเครื่องมือที่ใช้กับวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการ
สอบถาม โดยแบบสอบถามเป็นชุดของข้อคำถามที่เกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริง ความคิดเห็น เจตคติ
พฤติกรรมหรือเรื่องราวต่าง ๆ คำถามเกี่ยวกับข้อเท็จจริง ได้แก่ เพศ อายุ รายได้ ระดับ
การศึกษา คำถามประเภทน้ีใช้สำหรบั การบรรยายคณุ ลักษณะของผตู้ อบแบบสอบถาม รวมถงึ การ
ตรวจสอบความเป็นตวั แทนของกลุ่มตวั อย่าง แบบสอบถามมีหลายประเภท เชน่ แบบสอบถามท่ี
ให้ผู้ตอบทำเครื่องหมายเพื่อตอบ เขียนตอบสั้น ๆ หรือให้ทำเครื่องหมายเป็นมาตรประมาณค่า
ดังนั้น แบบสอบถามจึงต้องมีคำชี้แจงเพื่อให้ผู้ตอบเข้าใจตรงกัน โดยข้อคำถามอาจเป็นคำถาม
ปลายเปิด (Open-ended form) ที่ให้ผู้ตอบตอบได้อย่างอิสระเสรี หรือคำถามปลายเปิด
(Closed-ended form) ในลักษณะที่ใหเ้ ลือกตอบ ในงานวจิ ยั ท่เี ก่ียวกับด้านการศกึ ษาส่วนใหญ่มัก
พบแบบสอบถามในลักษณะมาตรประมาณค่า (Rating scale) ที่คล้ายคลึงกับแบบตรวจสอบ
รายการ ใช้เมื่อต้องการแยกแยะคุณภาพของข้อมูล เป็นการประเมินเจตคติ ความคิดเห็น หรือ
พฤติกรรมที่แบ่งตามระดับความเข้มของประเด็นนั้น ๆ ทั้งนี้อาจมีข้อคำถามในรูปแบบอื่น ๆ ได้แก่
ข้อความแบบสองคำตอบ ข้อคำถามแบบให้เลือก 1 คำตอบ แบบให้เลือกมากกว่า 1 คำตอบ
แบบใหจ้ ดั อนั ดบั แบบมาตรประมาณคา่ แบบมาตรประมาณค่าตอบสนองคู่ และแบบสถานการณ์
68
5. แบบตรวจสอบรายการ แบบตรวจสอบรายการเป็นเครื่องมือที่ใช้กับวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล
ดว้ ยการสังเกตท่ใี ช้เก็บข้อมูลซ่งึ เปน็ ข้อเทจ็ จริง โดยจดั ทำเปน็ รายการเอาไว้อย่างชดั เจน ระหว่างการเก็บข้อมูล
หรือหลังการเก็บข้อมูลแล้วผู้วิจัยจะตรวจสอบทีละรายการว่ามีหรือไม่ โดยแบบตรวจสอบรายการนั้นผู้วิจัย
ไมต่ ้องประเมนิ หรือจัดอนั ดบั มักใช้ประกอบการเก็บข้อมลู โดยวธิ กี ารสังเกตหรอื การวดั ทกั ษะการปฏบิ ัติ
6. แบบทดสอบ / แบบวัด เป็นเครื่องมือที่ประกอบด้วยชุดของข้อคำถาม (Items) ที่สร้างข้ึน
เพื่อให้ผู้ตอบแสดงพฤติกรรมออกมาให้ผู้วิจัยสังเกตและวัดได้ ใช้ในการวัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยที่ซ่อน
แฝงอยู่ในตัวบุคคลว่ามีความรู้หรือไม่เพียงใดทั้งในด้านพฤติกรรม ความรู้ ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้
รวมถึงด้านเจตคติและดา้ นทักษะ โดยแบบทดสอบแต่ละรูปแบบน้ันมีข้อดีและข้อจำกดั ดังตารางท่ี 3
ตารางท่ี 3 ข้อดแี ละขอ้ จำกัดของรูปแบบข้อสอบ
รปู แบบข้อสอบและลกั ษณะ ขอ้ ดี ข้อเสยี
แบบถกู -ผดิ 1. ถามไดจ้ ำนวนหลายข้อในเวลาที่ 1. เกิดโอกาสในการคาดเดาสูง
เปน็ ข้อสอบทก่ี ำหนดให้ เทา่ กนั กบั ข้อสอบประเภทอ่ืน แต่ละข้อมโี อกาสเดาถูก
ตดั สนิ ใจเกย่ี วกับข้อความ 2. สามารถวัดเนอื้ หาได้ครอบคลุม ร้อยละ 50
ทกี่ ำหนดให้อยา่ งใดอยา่ งหน่ึง กว่าข้อสอบปรนยั แบบอน่ื 2. ไม่สามารถบ่งช้จี ดุ บกพร่อง
จาก 2 ตัวเลือก 3. สามารถตรวจได้อยา่ งรวดเรว็ ของการเรยี นได้
และมคี วามเปน็ ปรนัย 3. เกิดปัญหาในกรณีทีข่ อ้ สอบ
4. เหมาะสำหรบั ใช้ถามในสงิ่ ท่ี คลุมเครอื วา่ ถกู หรือผดิ
ผู้ตอบสว่ นใหญ่เขา้ ใจผดิ
แบบจับคู่ 1. เหมาะสำหรับการวัดความจำ 1. วดั ระดับพฤติกรรมขัน้ สูง
เป็นข้อสอบท่ีกำหนดให้คำหรือ 2. สร้างงา่ ยเม่อื ใชว้ ัดระดับความรู้ ไม่ค่อยได้
ขอ้ ความใหจ้ ับคู่ในหลายรูปแบบ 3. ลดอัตราการเดาลง 2. เม่ือตวั เลือกลดลง ทำให้
ได้แก่ การหาความสัมพันธ์ 4. ใชเ้ วลาในการอ่านน้อย จึงใช้ เปิดโอกาสเดาข้อหลงั ได้มากขน้ึ
รูปแบบการจดั ประเภท ฯลฯ เวลาในการทดสอบน้อย
แบบเตมิ คำหรือเตมิ ขอ้ ความ 1. ลดโอกาสในการเดา 1. เหมาะกบั การวัดความรู้
เปน็ ข้อสอบท่กี ำหนดข้อความ 2. วดั เนอ้ื หาไดก้ ว้างขวาง ระดบั พ้ืนฐานโดยเฉพาะด้าน
หรือประโยคท่ีขาดหายไปบางสว่ น 3. สรา้ งขอ้ สอบได้งา่ ย ความจำมากกว่าระดบั สงู
ให้ผ้สู อบเตมิ ด้วยประโยค วลี คำ 4. การให้คะแนนง่ายกวา่ แบบอัตนยั 2. คะแนนอาจขาดความเป็น
หรอื เคร่ืองหมายสญั ลักษณ์ 5. ช่วยเรา้ ใหศ้ ึกษาหาข้อเทจ็ จริง ปรนัยเพราะคำตอบอาจแปรผนั
โดยผู้สอบต้องหาคำตอบมาเติมเอง ไดด้ ี ไปได้ในลักษณะต่างกนั
ไมไ่ ด้เลอื กจากตวั เลือกที่กำหนดให้
69
ตารางท่ี 3 (ต่อ)
รูปแบบขอ้ สอบและลักษณะ ขอ้ ดี ขอ้ เสยี
แบบเลือกตอบ 1. วดั พฤติกรรมระดับสูงได้ 1. เขียนขอ้ สอบได้ยาก
เปน็ ข้อสอบแบบเลือกตอบ 2. สามารถนำผลทีไ่ ดจ้ ากการตอบ เนื่องจากมกี ารกำหนดตวั ลวง
ประกอบด้วย 2 สว่ น คือ ข้อสอบไปใชใ้ นการวนิ ิจฉยั 2. ขอ้ สอบวัดความคิดริเรมิ่
สว่ นท่เี ป็นขอ้ คำถาม และ ข้อบกพร่องของผสู้ อบ สร้างสรรคท์ ลี่ ึกซึง้ ไม่ได้
สว่ นทเี่ ปน็ ตวั เลอื ก 3. สร้างไดจ้ ำนวนมากขอ้ และวัดได้ 3. ผสู้ อบไม่ไดพ้ ฒั นาการเขยี น
หลายระดับพฤติกรรม 4. อาจเกดิ การเดาข้อสอบ
แบบอัตนยั เขียนตอบ 4. เหมาะสำหรับการวเิ คราะห์ เพราะเป็นการใหเ้ ลือกตอบ
เปน็ แบบทดสอบที่ผูต้ อบใช้ ขอ้ สอบเพ่ือปรับปรุงและพฒั นา
การเขียนบรรยายตอบอย่าง 5. การใหค้ ะแนนเป็นปรนัยสงู 1. จำนวนคำถามมนี ้อย
อสิ ระสร้างสรรค์ เนน้ ความรู้ 1. สร้างงา่ ย ใชเ้ วลาเตรียม อาจไมค่ รอบคลุมเนื้อหา
ทลี่ กึ ซงึ้ อาจมคี ำตอบถูก ขอ้ สอบน้อยกว่าแบบเลือกตอบ ทำให้ขาดความเทย่ี งตรง
หลากหลาย คำตอบของ 2. วดั เจตคติ คณุ ค่า และ ตามเน้อื หา
ข้อสอบข้อเดียวกันอาจจะมี ความสามารถดา้ นการสังเคราะห์ 2. ขาดความเชอ่ื ม่นั และ
ความแตกตา่ งกันท้ังในดา้ น ไดเ้ ปน็ อย่างดี ความเปน็ ปรนยั ในการตรวจ
คณุ ภาพและความถูกต้อง 3. ผ้สู อบไดฝ้ ึกการเรียบเรียง ให้คะแนน
ความคิดอยา่ งมเี หตผุ ลและ 3. ใช้เวลานานในการตรวจ
สง่ เสริมและพัฒนาการเขยี น กรณีมีผูส้ อบจำนวนมาก
ของผ้สู อบ
70
สถติ ใิ นการตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองมอื วจิ ัยในชน้ั เรียน
การตรวจสอบคุณภาพของนวัตกรรมการเรียนรู้ หรือแผนการจัดการเรียนรู้จะใช้การให้
คะแนนแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ตั้งแต่ระดับน้อยที่สุดถึงมากที่สุด โดยให้ผู้เชี่ยวชาญ
ประเมินคุณภาพจำนวน 3 หรือ 5 คน สำหรับแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน แบบสอบถาม
ความพึงพอใจ แบบประเมิน หรือแบบสังเกต สามารถตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือโดยใช้ค่าความ
เที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content validity) ซึ่งเป็นการหาค่าความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับ
จุดประสงค์การเรียนรู้ หรือระดับพฤติกรรมทีต่ ้องการวดั แทนด้วย (Index of Item Objective
Congruence) มีสูตรดงั นี้ (อาฟีฟี ลาเต๊ะ, 2564 : 103 - 157)
ความเท่ยี งตรงเชิงเนื้อหา
= ∑
เม่อื แทน คะแนนการพิจารณาจากผเู้ ชีย่ วชาญ
แทน จำนวนผ้เู ช่ยี วชาญ
เมื่อแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนได้ผ่านการหาค่าความเที่ยงตรงและนำข้อ
คำถามที่ผ่านเกณฑ์ (นั่นคือ ค่า มีค่าตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป) ไปทดลองใช้กับนักเรียนที่เคยเรียน
เนื้อหานั้น ๆ มาแล้ว ขั้นตอนต่อไปเป็นการหาค่าความยากง่าย และค่าอำนาจจำแนกของแบบทดสอบ
เป็นรายข้อ โดยข้อคำถามที่ดีควรจะมีผู้เรียนตอบถูกและผิดในจำนวนที่พอ ๆ กัน รวมทั้งควรแบ่งแยก
ระหวา่ งคนเกง่ กับคนอ่อนไดอ้ ย่างชดั เจน ซงึ่ มีสตู รการคำนวณดงั น้ี
ความยากงา่ ย
=
เมอ่ื แทน คา่ ความยากง่าย
แทน จำนวนนกั เรยี นที่ตอบถกู
แทน จำนวนนักเรยี นทัง้ หมด
71
อำนาจจำแนก กรณีอิงกลุ่ม
=
เมือ่ แทน คา่ อำนาจจำแนก
แทน จำนวนนักเรยี นในกลุ่มเกง่ ทตี่ อบถกู
แทน จำนวนนักเรยี นในกลุม่ เกง่ ท้งั หมด
แทน จำนวนนกั เรยี นในกลมุ่ อ่อนที่ตอบถูก
แทน จำนวนนักเรียนในกลุ่มออ่ นท้งั หมด
อำนาจจำแนก กรณอี ิงเกณฑ์
=
1 2
เมอ่ื แทน คา่ อำนาจจำแนก
แทน จำนวนนกั เรียนในกลมุ่ ผา่ นเกณฑ์ท่ีตอบถูก
1 แทน จำนวนนักเรียนในกล่มุ ผา่ นเกณฑ์ทั้งหมด
แทน จำนวนนักเรียนในกลุ่มไม่ผ่านเกณฑท์ ีต่ อบถูก
2 แทน จำนวนนกั เรียนในกลุ่มไมผ่ ่านเกณฑท์ ้ังหมด
การหาค่าความยากงา่ ยและอำนาจจำแนกของขอ้ สอบอตั นัย มสี ตู รการคำนวณดังน้ี
= + −( )
( − )
= +
( − )
เมอ่ื แทน ค่าความยากงา่ ย
แทน ค่าอำนาจจำแนก
แทน ผลรวมของคะแนนกลุ่มนักเรยี นเกง่ หรือผา่ นเกณฑ์
แทน ผลรวมของคะแนนกลุ่มนกั เรียนอ่อนหรอื ไม่ผา่ นเกณฑ์
แทน จำนวนนักเรียนทงั้ หมด
แทน คะแนนสงู สุด
แทน คะแนนต่ำสุด
72
การหาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบท้ังฉบับ โดยการหาคา่ ความเชื่อมั่นแบบ KR-20
= [1 − ∑ 2 ]
−1
เมอ่ื แทน คา่ ความเชอ่ื มนั่ แบบ KR-20
แทน จำนวนขอ้ คำถาม
แทน สัดสว่ นจำนวนนกั เรียนทตี่ อบถกู ในแตล่ ะขอ้
แทน สัดส่วนจำนวนนกั เรียนทต่ี อบผิดในแต่ละข้อ
2 แทน ค่าความแปรปรวนของคะแนนทง้ั ฉบบั
โดย
2 = ∑ 2−(∑ )2
( −1)
เมื่อ แทน คะแนนสอบของนักเรยี นแตล่ ะคน
แทน จำนวนนกั เรยี น
การหาค่าความเชื่อมั่นด้วยวิธีแอลฟ่าครอนบาค ใช้สำหรับหาคุณภาพของแบบสอบถาม
ความพงึ พอใจ
= ⌊1 − ∑ 2 2 ⌋
−1
เมือ่ แทน ค่าความเช่อื มนั่ แบบแอลฟ่าครอนบาค
แทน จำนวนข้อคำถามทั้งหมด
2 แทน ค่าความแปรปรวนของคะแนนรายข้อ
2 แทน ค่าความแปรปรวนของคะแนนท้ังฉบับ
โดย
2 = ∑ 2−(∑ )2
( −1)
เมือ่ แทน คะแนนความพงึ พอใจของนักเรยี นแต่ละคน
แทน จำนวนนกั เรยี น
73
2 = ∑ 2 −(∑ )2
( −1)
เม่อื แทน คะแนนความพงึ พอใจขอ้ ท่ี ของนักเรยี นแตล่ ะคน
แทน จำนวนนกั เรียน
สถติ ใิ นการรายงานผลและทดสอบสมมติฐานการวจิ ัยในชนั้ เรยี น
การรายงานผลครูผู้สอนอาจต้องการรายงานผลด้วยสถิติพื้นฐานบางตัว หรือการใช้สถิติ
อ้างองิ เพื่อทดสอบสมมตฐิ านตามท่ีกำหนดไว้ โดยมีรายละเอียดดังนี้
รอ้ ยละ คา่ กลาง และค่าการกระจาย
การรายงานค่าร้อยละสามารถทำได้ทั้งการเก็บรวบรวมข้อมูลในประชากร กลุ่มตัวอย่าง
หรือกลุ่มเป้าหมาย ในขณะที่การใช้ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานจะมีสูตรการคำนวณ
และสัญลักษณ์ที่ต่างกันเมื่อใช้ในประชากร และกลุ่มตัวอย่าง/กลุ่มเป้าหมาย โดยมีรายละเอียด
ดงั น้ี
= × 100
เมอื่ แทน ร้อยละ
แทน ความถี่ของขอ้ มลู
แทน จำนวนข้อมลู
̅ = ∑ กล่มุ ตัวอยา่ ง /
กลุม่ เป้าหมาย
เมอ่ื ̅ แทน ค่าเฉลยี่
แทน คะแนนสอบของนกั เรยี น
แทน จำนวนนักเรยี น
74
= √∑( − ̅)2 หรือ = √ ∑ 2−(∑ )2
−1 ( −1)
เมือ่ แทน ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน กลุ่มตัวอย่าง /
แทน คะแนนสอบของนักเรียนแต่ละคน กลุ่มเปา้ หมาย
̅ แทน ค่าเฉลีย่
แทน จำนวนนกั เรียน
= ∑ ประชากร
เมอื่ แทน คา่ เฉล่ยี
แทน คะแนนสอบของนกั เรียนแต่ละคน
แทน จำนวนนักเรยี น
= √∑( − )2 ประชากร
เมอื่ แทน สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน
แทน คะแนนสอบของนักเรยี นแตล่ ะคน
แทน ค่าเฉลีย่
แทน จำนวนนักเรยี น
75
คะแนนพฒั นาการ และดชั นปี ระสิทธผิ ล
การนำเสนอด้วยคะแนนพฒั นาการ (Growth Score : GS) ของนักเรียนเปน็ รายคนก็เป็น
ทีน่ ยิ มใช้เพ่ือแสดงระดับพฒั นาการของนักเรยี นว่าอยู่ในระดับใด โดยมสี ูตรการคำนวณดงั นี้ (อาฟีฟี
ลาเตะ๊ , 2564 : 128 อ้างถงึ ในศริ ิชยั กาญจนวาส,ี 2556)
= ( − ) × 100
( − )
เมื่อ แทน คะแนนพฒั นาการของนักเรยี นแตล่ ะคน
แทน คะแนนกอ่ นเรียน
แทน คะแนนหลงั เรียน
แทน คะแนนเต็ม
โดยมีเกณฑ์คะแนนพัฒนาการดงั นี้ พฒั นาการระดับตน้
คะแนน 0 – 24 แทน พฒั นาการระดับกลาง
คะแนน 25 – 49 แทน พัฒนาการระดบั สงู
คะแนน 50 – 74 แทน พฒั นาการระดับมาก
คะแนน 75 – 100 แทน
ดัชนีประสิทธิผล (Effectiveness Index : E.I.) มีการคำนวณเหมือนคะแนนพัฒนาการ
เพียงแต่เป็นการดำเนินการหาผลลัพธ์ของประสิทธิผลจากการใช้นวัตกรรมการเรียนรู้นั้น ๆ โดยมี
สูตรการคำนวณดังนี้ (อาฟฟี ี ลาเต๊ะ, 2564 : 128 อา้ งถึงในบญุ ชม ศรสี ะอาด, 2553)
. . = −
−
เมื่อ . . แทน ดชั นปี ระสทิ ธผิ ลของนวตั กรรมการเรียนรู้
แทน คะแนนกอ่ นเรียน
แทน คะแนนหลงั เรยี น
แทน คะแนนเต็ม
โดยมีเกณฑ์กำหนดคา่ ดชั นีประสิทธิผลควรมีค่ามากกว่า 0.5 เพอ่ื สะท้อนให้เห็นว่าผู้เรียน
มีคะแนนเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 50 หลังการใช้นวัตกรรมการเรียนรู้นั้น ๆ เทียบกับคะแนนก่อนเรียน
อย่างไรก็ตาม หากค่าดัชนีมีคา่ น้อยกอ็ าจเกดิ จากพ้นื ฐานความรู้เดมิ
76
การทดสอบสมมติฐานสำหรบั ข้อมลู 1 กลมุ่
การทดสอบสมมติฐานการวิจัยเพื่อพิจารณาว่าคะแนนจากการเก็บรวบรวมข้อมูลในคร้ัง
นัน้ ๆ ผา่ นเกณฑท์ ่ีกำหนดไว้หรอื ไม่ สามารถทดสอบโดยใช้ตวั สถิติทดสอบองิ พารามเิ ตอร์กรณีกลุ่ม
ตวั อย่าง 1 กล่มุ (One sample test) ไดด้ ังนี้
เมื่อ = ̅−
̅ /√
แทน สถิตทิ ดสอบที องศาเสรเี ท่ากบั − 1
แทน เกณฑ์ทก่ี ำหนดไว้
แทน ค่าเฉลยี่
แทน สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน
แทน จำนวนนกั เรียน
ผลการทดสอบสมมติฐานการวิจัยจะเป็นจริงเมื่อ 1) ค่า ที่คำนวณได้มีค่ามากกว่าค่าท่ี
เปิดจากตาราง (การทดสอบด้านเดียวในทางเพิ่มขึ้น) หรือ 2) ค่า | | ที่คำนวณได้มีค่ามากกว่า
ค่าที่เปิดจากตาราง (การทดสอบด้านเดียวในทางลดลง) หรือ 3) อย่างใดอย่างหนึ่งตามระบุข้างต้น
(การทดสอบสองด้านท่ีไม่ระบทุ ศิ ทาง)
การทดสอบสมมตฐิ านสำหรบั ขอ้ มูล 2 กลมุ่ ท่ไี มเ่ ปน็ อสิ ระตอ่ กัน
การทดสอบสมมติฐานการวิจัยเพื่อพิจารณาว่าคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนมีค่าสูงกว่าคะแนน
เฉลี่ยก่อนเรียนหรือไม่ สามารถทดสอบโดยใช้ตัวสถิติทดสอบอิงพารามิเตอร์กรณีกลุ่มตัวอย่าง
2 กลุม่ ไมเ่ ปน็ อสิ ระตอ่ กัน (Paired sample test) ไดด้ ังน้ี
= ∑
√[ ∑ 2− (∑ )2]/( −1)
เมื่อ แทน สถติ ทิ ดสอบที องศาเสรีเท่ากับ − 1
แทน ผลต่างระหวา่ งคะแนนหลงั เรยี นและกอ่ นเรยี น
แทน จำนวนนักเรียน
ผลการทดสอบสมมตฐิ านการวิจัยจะเปน็ จริง เมือ่ 1) ค่า ท่คี ำนวณไดม้ ีคา่ มากกว่าค่าท่ี
เปิดจากตาราง (การทดสอบด้านเดียวในทางเพิ่มขึ้น) หรือ 2) ค่า | | ที่คำนวณได้มีค่ามากกว่า
ค่าที่เปิดจากตาราง (การทดสอบด้านเดียวในทางลดลง) หรือ 3) อย่างใดอย่างหนึ่งตามระบุข้างตน้
(การทดสอบสองดา้ นท่ไี ม่ระบุทศิ ทาง)
77
การทดสอบสมมตฐิ านสำหรบั ขอ้ มูล 2 กลุ่มท่ีเป็นอิสระตอ่ กัน
การทดสอบสมมติฐานการวิจัยเพื่อพิจารณาว่าคะแนนเฉลี่ยกลุ่มทดลอง 2 กลุ่มแตกต่าง
กันหรือไม่ สามารถทดสอบโดยใช้ตัวสถิติอิงพารามิเตอร์กรณีกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มเป็นอิสระกัน
(Independent sample test) ไดด้ ังนี้
= ( ̅1− ̅2)−( 1− 2) ความแปรปรวน
ระหว่างกลุม่ เท่ากนั
√ 2 ( 11+ 12)
′ = ( ̅1− ̅2)−( 1− 2) ความแปรปรวน
ระหวา่ งกลุ่มไมเ่ ท่ากนั
√( 121+ 222)
เมื่อ แทน สถิติทดสอบที องศาเสรีเทา่ กบั 1 + 2 − 2
′ แทน สถิติทดสอบที องศาเสรเี ทา่ กบั ( 211+ 22)2
(( 1121−)12)+ ( 222)2
( 2−1)
̅1, ̅2 แทน ค่าเฉลย่ี ของกลุ่มท่ี 1 และกลุ่มท่ี 2
1, 2 แทน เกณฑ์ที่กำหนดของกลมุ่ ท่ี 1 และกลุ่มที่ 2
2 แทน ความแปรปรวนของกลุ่มท่ี 1 และกลมุ่ ที่ 2 ที่ 2 เทา่ กับ
( 1−1) 12+( 2−1) 22
1+ 2−2
12, 22 แทน ความแปรปรวนของกลุ่มท่ี 1 และกลุ่มท่ี 2
1, 2 แทน จำนวนนกั เรียนกลมุ่ ท่ี 1 และกล่มุ ที่ 2
ผลการทดสอบสมมติฐานการวิจัยจะเป็นจริงเมื่อ 1) ค่า หรือ , ที่คำนวณได้มีค่า
มากกว่าค่าที่เปิดจากตาราง (การทดสอบด้านเดียวที่ระบุว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มหน่ึงสูงกว่าอีกกลุ่ม)
หรือ 2) ค่า | | หรือ | ,| ที่คำนวณได้มีค่ามากกว่าค่าท่ีเปดิ จากตาราง (การทดสอบด้านเดียวท่ี
ระบวุ า่ คา่ เฉลย่ี ของกลุม่ หน่งึ ต่ำกวา่ อีกกลุ่ม) หรอื 3) อยา่ งใดอยา่ งหนึง่ ตามระบขุ ้างตน้ (การทดสอบ
สองด้านทีไ่ มร่ ะบทุ ิศทาง หรอื การพจิ ารณาความแตกตา่ งของคา่ เฉลีย่ 2 กลุม่ )
78
79
การเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียนเป็นขัน้ ตอนสำคัญของกระบวนการวิจัยที่ครจู ะต้อง
นำเสนอผลการวิจัยหลังจากได้ปฏิบัติการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนเสร็จสิ้นแล้ว เพื่ออธิบายถึง
ปัญหาการเรียนรู้ วิธีดำเนินการแก้ปัญหา และผลของการแก้ปัญหา รายงานการวิจัยจะเป็น
หลักฐานที่แสดงถึงการปฏิบัติงานในวิชาชีพครูว่าครูได้มีการศึกษาและแก้ปัญหาการเรียนรู้ของผู้เรียน
ซึ่งเป็นข้อมูลสำหรับปรับปรุงและพัฒนาการจัดการเรียนรู้ของครูให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมทั้ง
เปน็ เอกสารสำหรับการสื่อสาร เผยแพรผ่ ลงานวิจัยในวงการวิชาชีพครูหรือวงการวิชาการท่ีทำให้ครู
และผู้สนใจงานวิจัยทั่วไปได้ศึกษาเรียนรู้จากรายงานการวิจัยและนำผลงานวิจัยไปใช้ให้เกิดประโยชน์
ต่อการพัฒนาผ้เู รยี นและการจัดการเรยี นรขู้ องครูใหม้ คี ุณภาพต่อไป (พชิ ติ ฤทธิจ์ รญู , 2564 : 247)
หลักการเขยี นรายงานการวจิ ยั ปฏิบัตกิ ารในชน้ั เรยี น
การเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียนเป็นทักษะที่ยากสำหรับครูผู้สอนในการประมวลการ
ดำเนนิ การวิจยั ทุกขน้ั ตอนทผ่ี ่านมา ซ่งึ อาจจะต้องใช้ความละเอียดรอบคอบในแตล่ ะองค์ประกอบของ
การนำเสนอ โดยมีหลักการต่าง ๆ ดังน้ี (อาฟีฟี ลาเต๊ะ, 2564 : 178 อ้างถึงในประสาท เนืองเฉลิม ;
พชิ ติ ฤทธ์ิจรูญ. 2559)
1. ความถกู ต้องตามหลักวิชาการ เนอ้ื หาท่เี ขยี นในรายงานการวจิ ยั ตอ้ งมีความถกู ตอ้ ง
มีหลักฐานและขอ้ เทจ็ จริง สามารถอา้ งองิ ได้
2. ความสอดคลอ้ งเชอ่ื มโยงสมั พันธก์ ัน การนำเสนอเนอื้ หาในรายงานวจิ ยั ตอ้ งมคี วามสมั พันธ์
เช่ือมโยงกันโดยตลอด เป็นเหตเุ ปน็ ผลสอดคลอ้ งกนั อย่างต่อเนอื่ ง
3. ความเป็นเอกภาพในแต่ละหวั ข้อ เนอ้ื หาในรายงานการวิจยั ในแต่ละข้ันตอน แตล่ ะบท
ต้องดำเนนิ ไปอย่างสอดคลอ้ ง เป็นระบบ กลมกลนื เป็นเรอื่ งหรือเน้อื หาเดียวกันตลอด
4. ความคงเสน้ คงวา รายงานการวจิ ัยท่ดี ตี ้องมีความคงเสน้ คงวา หรือมคี วามสม่ำเสมอ
ในการใชค้ ำหรอื วลที ี่เป็นแบบเดยี วกนั ทัง้ ฉบับ
80
รปู แบบการเขยี นรายงานการวจิ ัยปฏิบตั กิ ารในช้ันเรยี น
การเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียนควรมีความยืดหยุ่นต่อครูผู้สอนที่มีภาระงานสอน
เป็นหลัก จึงควรพิจารณาการนำเสนอข้อมูลที่ตรงประเด็น สอดคล้องสัมพันธ์กันและเอื้อต่อ
ครูผู้สอน ในที่นี้จะเสนอรูปแบบการเขยี นรายงานการวิจัย 2 แบบ ได้แก่ รายงานวิจัยในชั้นเรียน
แบบไมเ่ ปน็ ทางการ และแบบเปน็ ทางการ (อาฟฟี ี ลาเตะ๊ , 2564 : 179-184)
1. รายงานวิจยั ในช้ันเรยี นแบบไมเ่ ป็นทางการ เป็นการนำเสนอเน้ือหาโดยสรปุ อยา่ งสัน้ ๆ
เพียง 1-2 หน้า ไม่เน้นภาษาทางวิชาการ เหมาะสำหรับครูผู้สอนที่เริ่มทำวิจัยเพื่อเป็นข้อมูลท่ี
สามารถพัฒนาการจดั การเรียนการสอนในระยะต่อไป ซึ่งประกอบดว้ ยส่วนตา่ ง ๆ ดงั น้ี
- ปญั หาที่ต้องการแกไ้ ข หรือพัฒนา
- วธิ ีการแก้ไข หรอื พฒั นา
- ผลการวิจยั หรือแก้ไข
- การสะท้อนผลกลับ
2. รายงานการวิจัยในชนั้ เรียนแบบเปน็ ทางการ เป็นการนำเสนอกระบวนการวิจัยโดยละเอยี ด
ตั้งแต่ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา วัตถุประสงค์การวิจัย วิธีการวิจัย ผลการวิจัย
อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ แบ่งออกเป็น 2 แบบ ได้แก่ รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ และ
บทความวิจยั
รายงานการวจิ ยั ฉบับสมบรู ณ์ ประกอบด้วย 3 สว่ นใหญ่ ๆ คือ ส่วนตน้ ส่วนเนอ้ื หา
และส่วนท้าย แต่ละสว่ นมสี ว่ นประกอบดงั น้ี
ส่วนท่ี 1 สว่ นต้น ประกอบด้วยรายการตอ่ ไปน้ี
◼ ปก ไดแ้ ก่ ปกนอก และปกใน ท้งั ปกนอกและปกในมีรายละเอียด 3 ส่วน คอื
ชื่อเรอื่ ง ควรแสดงถึงตัวแปร หรอื ความสมั พันธร์ ะหว่างตวั แปร และกลุ่มเป้าหมาย
ท่ีศกึ ษา
ชอ่ื ผู้วิจยั อาจมีรายละเอียดเกยี่ วกบั คุณวฒุ ิ
หน่วยงานตน้ สังกัด หรือแหล่งทนุ และปีท่ีพิมพ์
◼ คำนำ และ/กิตติกรรมประกาศ เป็นการกลา่ วถงึ ความเป็นมาของโครงการวจิ ยั
อย่างย่อ หรือกล่าวขอบคุณผู้มีอุปการคุณให้ทุนอุดหนุนการวิจัย ผู้ให้ความช่วยเหลือ และผู้ให้
ความรว่ มมือในการทำวจิ ัย
◼ บทคัดยอ่ เป็นขอ้ ความที่เปน็ สาระสำคญั ของการวิจัย อาจตอ้ งเกร่ินนำถงึ ความสำคญั
ในการวิจัย วัตถุประสงค์การวิจัย วิธีการวิจัย กลุ่มตัวอย่างหรือกลุ่มเป้าหมายในการวิจัย
เครอ่ื งมือท่ีใช้ในการวิจยั และสรุปผลอย่างย่อ ๆ ความยาวไม่เกินครึ่งหน้ากระดาษ หรือไม่เกิน 250 คำ
81
◼ สารบญั แสดงหวั ขอ้ ย่อยในแต่ละบท และเลขหน้าของบทและหวั ขอ้ ยอ่ ย รวมทง้ั หนา้
คำนำ กติ ตกิ รรมประกาศ บทคดั ย่อ เอกสารอา้ งองิ และภาคผนวก
◼ สารบัญภาพ แสดงชื่อภาพที่ใชป้ ระกอบในรายงานวิจยั และเลขหน้าของภาพน้ัน ๆ
◼ สารบญั ตาราง แสดงชื่อตารางทกุ ตารางตามลำดบั ที่ปรากฏในรายงานการวจิ ยั
และเลขหนา้ ของตารางน้นั
ส่วนท่ี 2 สว่ นเนื้อหาหลัก ประกอบดว้ ย 5 บทตอ่ ไปนี้
◼ บทที่ 1 บทนำ ประกอบดว้ ยหวั ขอ้ หลักต่อไปนี้
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา เป็นการบรรยายถึงแนวคิดหลัก
หรือสิ่งที่ควรจะเป็นตามหลักการ และทฤษฎี นำเสนอปัญหาที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนซึ่งต้องแสดง
ข้อมูลสนบั สนนุ ใหก้ ระจา่ งชดั และนา่ สนใจดว้ ยการอ้างอิงทน่ี ่าเช่ือถอื และลงข้อสรปุ ในสง่ิ ทง่ี านวิจัย
จะดำเนนิ การ
วตั ถปุ ระสงค์ของการวิจัย เป็นการบอกถงึ สิ่งที่ต้องการศึกษา หรือกิจกรรมที่
ต้องการดำเนินการเพอื่ ใหไ้ ด้คำตอบจากคำถามการวิจัยท่ีกำหนดไว้
สมมติฐานการวิจัย เป็นการคาดการณ์แนวโน้มที่จะเกิดขึ้นหลังจากได้
ดำเนินการวจิ ยั
ขอบเขตการวิจัย เป็นการแสดงขอบเขตของประชากร หรือกลุ่มตัวอย่าง
หรือกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย รวมทั้งเป็นการกำหนดตัวแปรต้น ตัวแปรตามที่ต้องการศึกษา
ในเน้อื หา และระยะเวลาตามผู้วจิ ยั วางไว้
กรอบแนวคิดการวิจยั เปน็ การแสดงความเชอ่ื มโยงระหวา่ งตวั แปรทใ่ี ช้ในการวจิ ัย
นิยามศัพท์เฉพาะ เป็นการบอกถึงความหมายของคำสำคัญ ซึ่งมักจะเป็น
ตัวแปรตน้ และตวั แปรตามท่ใี ช้ในการวจิ ยั เพ่ือให้ผ้อู ่านเข้าใจตรงกัน
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัย เป็นการแสดงถึงประโยชน์ที่จะ
เกิดข้ึนหลังจากดำเนนิ การวิจัยเสรจ็ สิ้น
◼ บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี ก่ยี วข้อง เป็นการเสนอสาระสำคัญของประเด็น
ความรู้ทางทฤษฎี หลักการ ข้อเท็จจริง แนวคิด รวมถึงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเสมือนเป็นการ
ทบทวนวรรณกรรมทั้งหมดให้เห็นภาพปัญหาที่ชัดเจน ทราบความเป็นมาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน
ช่วยในการคาดคะเนคำตอบ และเป็นประโยชน์ในการอภปิ รายผลอีกด้วย
◼ บทที่ 3 วิธดี ำเนินการวิจัย เปน็ การกลา่ วถงึ รายละเอียดของวิธีการวจิ ัย ซ่งึ ประกอบดว้ ย
หัวข้อหลกั ตอ่ ไปน้ี
แบบแผนการวิจยั
ประชากร และกลุม่ ตวั อยา่ ง หรือกลมุ่ เปา้ หมาย
82
ตัวแปรที่ใช้ในการวิจยั
เครอ่ื งมือทใ่ี ช้ในการวิจยั
การสร้างและพัฒนาเคร่ืองมอื
การเก็บรวบรวมข้อมูล
การวเิ คราะห์ข้อมลู
◼ บทที่ 4 ผลการวจิ ยั เป็นการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล แปลความหมายและ
ลงข้อสรุป อาจเรียงลำดับตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย และหากมีการตั้งสมมติฐานควรแสดงผล
ว่าสอดคล้องตามสมมติฐานที่กำหนดไว้หรือไม่ ซึ่งการนำเสนอเป็นตารางหรือแผนภูมิ จะทำให้
ผู้อา่ นสามารถทำความเข้าใจไดง้ ่าย
◼ บทท่ี 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ เปน็ บทสง่ ทา้ ยในสว่ นเนื้อหา
ของรายงานการวจิ ยั ประกอบด้วยหัวขอ้ หลกั ดงั นี้
สรุปผล เป็นการสรุปผลการวิจัยท้ังหมดให้เข้าใจได้อย่างรวดเรว็ หากผู้อ่าน
สนใจรายละเอียดปลกี ย่อยก็สามารถย้อนกลับไปอา่ นในผลการวิจยั ได้
อภิปรายผล เป็นการอธิบายผลการวิจัยว่าสอดคล้องกับงานวิจัยก่อนหน้าน้ี
หรือไม่ หรือสอดคลอ้ งกับทฤษฎี หลักการ หรือแนวคิดที่ไดน้ ำเสนอไวใ้ นบทที่ 2 หรือไม่ หากไม่
สอดคล้องอาจเนื่องจากประเด็นใด ผู้วิจัยอาจมีข้อสังเกตประกอบเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจรายละเอียด
ปลกี ย่อยมากข้ึนได้
ข้อเสนอแนะ เป็นส่วนเติมเต็มเพื่อให้งานวิจัยมีประโยชน์มากขึ้น แบ่งเป็น
2 ส่วน ไดแ้ ก่ ข้อเสนอแนะเพ่ือการนำผลการวิจยั ไปใช้ และขอ้ เสนอแนะเพื่อการวจิ ัยครง้ั ต่อไป
ส่วนที่ 3 สว่ นทา้ ย
◼ เอกสารอ้างอิง เป็นส่วนท่รี วบรวมรายการเอกสาร และงานวิจยั ที่เกย่ี วข้องท้ังหมด
ที่ใช้ในการวิจัย ควรแยกเอกสารภาษาไทยและเอกสารภาษาอังกฤษ โดยรูปแบบการเขียน
เอกสารอา้ งอิงมักยดึ หลัก APA (American Psychological Association)
◼ ภาคผนวก เป็นส่วนท่ีรวบรวมรายละเอียดตัวอย่างเคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย
แบบสรุปผลการประเมินเครื่องมือวิจัย สำเนาแบบประเมินจากผู้เชี่ยวชาญ ผลงานนักเรียน/
นักศึกษา เพื่อให้ผู้สนใจศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ ซึ่งอาจเสนอแยกส่วนได้เป็น ภาคผนวก ก
ภาคผนวก ข เปน็ ตน้
◼ ประวัติย่อผู้วิจัย เป็นการให้รายละเอียดอย่างย่อของผู้ทำวิจัยเพ่ือให้ผู้สนใจ
ศึกษาได้มีช่องทางการติดต่อกับผู้วิจัยได้
83
สำหรับบทความวิจัยเป็นการนำเสนอรายละเอียดการวิจัยโดยย่อที่ได้จากรายงานวิจัย
ฉบับสมบูรณ์ตามรูปแบบของวารสารวิชาการ หรือการประชุมวิชาการได้กำหนดไว้ซึ่งมีจำนวน
8-20 หน้า โดยส่วนใหญ่ปรากฏในทุกหัวข้อตามรายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ อาจมีข้อยกเว้นใน
ส่วนภาคผนวกท่ีไม่จำเป็นต้องใส่ก็ได้ ซึ่งการเผยแพร่บทความวิจัยในการประชุมวิชาการอาจเป็น
การเสนอด้วยวาจาซึ่งมีเวลาเสนอจำกัดประมาณ 15 นาที หรือเสนอแบบโปสเตอร์ซึ่งมีเนื้อท่ี
โปสเตอรจ์ ำกัดแต่มีเวลาอธิบายให้ผู้เข้าชมโปสเตอร์ไม่จำกดั ลักษณะการนำเสนอเป็นการสื่อสาร 2 ทาง
มีการซักถามหรืออภิปราย ในขณะที่การเผยแพร่ในวารสารวิชาการเป็นการสื่อสารแบบทางเดียว
โดยยดึ รูปแบบการเขยี นตามทว่ี ารสารกำหนดไว้
ชื่อเรอ่ื งการวิจยั
การตั้งชื่อเรื่องงานวิจยั เสมอื นเป็นการบอกวธิ ีการ และจุดหมายหรือผลลัพธ์ไปพร้อมกนั
ทั้งนี้ขึ้นกับสถานการณ์ของปัญหา การตั้งชื่อเรื่องจะใช้ภาษาที่กะทัดรัด มีความชัดเจน และไม่
ซ้ำซ้อนกับเรื่องอื่น ๆ ที่มีผู้วิจัยไว้แล้ว โดยประกอบไปด้วย 3 องค์ประกอบดังนี้ (อาฟีฟี ลาเต๊ะ,
2564 : 185 - 190)
1. ตวั กระต้นุ หรอื ตัวแปรต้นซ่งึ เป็นวิธีการในการแกป้ ัญหา หรือพฒั นา เช่น นวตั กรรม
การเรียนรู้ หรือเงอื่ นไข
2. ผลลัพธ์ทค่ี าดหวัง หรือตวั แปรตามซ่งึ เป็นผลท่ีเกิดจากการแกป้ ญั หา หรือพัฒนาด้วย
นวตั กรรมการเรียนรู้ หรือเงอ่ื นไขนั้น ๆ
3. กลุ่มที่ทำการศึกษาซึ่งเปน็ กล่มุ ท่ไี ด้ดำเนนิ การแก้ปัญหา หรอื พัฒนา
ขอ้ สงั เกตในการตง้ั ชื่อเร่อื ง การตั้งชอ่ื เร่ืองมปี ระเดน็ ขอ้ สังเกตในการพจิ ารณาบางประการดังน้ี
1. ขาดผลลัพธ์ที่คาดหวัง หรือตัวแปรตาม ทำให้ไม่ครบองค์ประกอบการตั้งชื่อเร่ือง
อีกทงั้ ทำใหผ้ อู้ ่านไม่สามารถทราบไดว้ า่ งานวิจัยนีต้ ้องการพัฒนาพฤติกรรมหรือผลลัพธก์ ารเรียนรใู้ ด
2. นำผลลพั ธ์ท่ีคาดหวัง หรอื ตวั แปรตามทุกตวั ใสใ่ นชอ่ื เรอื่ งทำให้ชอ่ื เรือ่ งมคี วามยาวเกินไป
ซึ่งในทางปฏิบัติอาจใส่เพียงบางตัวที่เป็นผลลัพธ์ที่คาดหวังที่โดดเด่นเพื่อกระตุ้นความสนใจของผู้อ่าน
เชน่ ในงานวิจัยมตี ัวแปรตาม 3 ตัว ไดแ้ ก่ ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน ทกั ษะการคิดวเิ คราะห์ และ
ความพึงพอใจ งานนี้อาจไม่ต้องใส่ตัวแปรความพึงพอใจในชื่อเรื่องก็ได้ เพราะงานวิจัยเกือบทุกเรื่อง
ศึกษาตวั แปรดงั กลา่ วแลว้
3. กลุ่มท่ีทำการศึกษายังไม่ควรระบุกลุ่มตัวอย่างว่าห้องเรียนใด ควรใส่ประชากรหรือ
กลุ่มเป้าหมายในภาพกว้าง เพื่อดึงดูดผู้อ่านที่จัดการเรียนการสอนในระดับชั้นเดียวกัน บางครั้ง
อาจไม่จำเปน็ ต้องใสช่ ือ่ โรงเรยี นกไ็ ด้ เพยี งแคก่ ำหนดวา่ เป็นนกั เรียนระดบั ชน้ั ใด
4. ไม่จำเป็นต้องระบรุ หัสรายวชิ าหรอื บทเรียนทจ่ี ะทำวจิ ัยเฉพาะเจาะจง อาจจะกำหนด
เฉพาะช่อื รายวิชาตามกลุ่มสาระการเรียนรกู้ พ็ อ
84
ความเปน็ มาและความสำคัญของปญั หา
การเขียนความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา หวั ข้อนีจ้ ะอยู่ในบทที่ 1 บทนำ การเขียน
หัวขอ้ นเ้ี ปน็ การกล่าวถงึ ประเด็นเกีย่ วกบั ปัญหาทจ่ี ะทำการวิจยั ว่ามีความสำคัญอย่างไร เกิดปญั หาอะไร
และอยา่ งไร แสดงให้เหน็ มลู เหตจุ ูงใจที่เลือกปญั หานี้และกลุ่มเป้าหมายท่ีต้องการพัฒนาหรือแก้ไข
โดยเฉพาะหลักฐานประกอบการสนับสนุนเพื่อให้เกิดความเชื่อถือในการเลือกป ระเด็นการวิจัยว่า
เลือกมาอย่างมีเหตุผล เพื่อให้ผู้อ่านเกิดความเขา้ ใจและสนใจต่อปัญหาทีศ่ ึกษา ในการเขียนความเป็นมา
และความสำคัญของปัญหาการวิจัยมีหลักการหรือแนวทางในการเขียนดังนี้ (ภัทราพร เกษสังข์,
2559 : 244)
1. เขยี นแสดงให้เห็นถงึ ความสำคัญของประเด็นปญั หาทีจ่ ะทำวจิ ัยวา่ มคี วามสำคัญอย่างไร
อาจนำพระราชบัญญัติ หลักสูตร บทความ งานวิจัย การเสนอความคิดของนักวิชาการ หรือ
ข้อความทีม่ ผี ้กู ล่าวไว้มาประกอบสนบั สนุนความจำเปน็ ทตี่ ้องการทำวจิ ัยในหวั ข้อนี้
2. ควรเขยี นใหเ้ หน็ สภาพปัจจุบันเก่ยี วกับประเดน็ ปัญหาในปจั จุบนั น้ันเปน็ อย่างไร ควรมี
เอกสารอ้างอิงประกอบให้มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ในขั้นนี้อาจนำข้อมูลที่นักวิจัยวิเคราะห์ประเด็น
ปัญหานำมาใส่ประกอบแสดงน้ำหนักของความสำคัญของปัญหา ทำให้ผู้อ่านทราบประเด็นปัญหา
พร้อมมีนำ้ หนกั นา่ เชอื่ ถือของการเลอื กปญั หา
3. ตอ้ งมที ีม่ าของขอ้ ความท่ีกลา่ วถึงหรือการอ้างองิ เพ่ือประกอบการสนับสนนุ ทำให้
นา่ เชือ่ ถอื โดยทไ่ี ม่ใชน่ กั วิจยั เขยี นขึ้นมาลอย ๆ
4. ควรแสดงเหตผุ ลหรอื สาเหตุจำเป็นของการเลอื กกลุ่มเปา้ หมาย เพื่อแสดงใหเ้ หน็ ถงึ
ความจำเป็นในการเลือกกลุ่มเป้าหมายนี้
5. แสดงใหเ้ ห็นถงึ ประโยชน์ของการศกึ ษาวจิ ยั ที่จะกำลังดำเนินการวจิ ยั
6. สรุปกลา่ วถงึ ประเดน็ ใหท้ ราบถงึ ส่งิ ท่นี ักวิจยั จะทำวิจยั
85
วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั
วัตถุประสงค์ของการวจิ ัย เปน็ การเขียนเพื่อแสดงถึงความต้องการศึกษาของผู้วิจัยให้อ่าน
เข้าใจชัดเจนว่าผู้วิจัยต้องการศึกษาอะไร โดยแยกรายละเอียดของชื่อเรื่องการวิจัยให้ชัดเจน
ในการเขียนวัตถุประสงค์ระวังบางคร้ังผู้วิจยั นำประโยชน์ที่ได้จากการวิจัยมาเขียนเป็นวัตถปุ ระสงค์
หลักการเขยี นวัตถุประสงคด์ งั น้ี (ภัทราพร เกษสงั ข์, 2559 : 244)
1. เรม่ิ ต้นด้วยคำวา่ “เพือ่ ”
2. ในแตล่ ะวตั ถปุ ระสงคค์ วรมปี ระเดน็ เดยี ว หรอื ประเดน็ ศึกษาแนวทางเดียวกนั
3. ควรเขยี นเป็นประโยคบอกเลา่
4. ตอ้ งเขยี นใหส้ อดคลอ้ งกับชื่อเร่ืองการวจิ ยั ประเด็นของการวิจยั และตอบคำถามการวจิ ัย
5. เขียนใหก้ ระชับ ชดั เจน ไมก่ ำกวม หรือกวน และสามารถหาคำตอบใหไ้ ด้
6. การเขียนตามลำดบั การศกึ ษาค้นคว้า
การเขียนคำถามการวจิ ยั
คำถามการวิจัย (Research Question) เป็นการแปลงวัตถุประสงค์การวิจัยเป็นคำถาม
ที่มีความเฉพาะเจาะจง โดยการเขียนเป็นข้อสงสัยที่นักวิจัยอยากทราบผลของการวิจัยอะไรบ้าง
คำถามการวจิ ัยเปรียบเสมือนเข็มทิศช้ีเป้าหมายของการวิจัย หรอื โจทยท์ ่ีอยากจะตอบในการวิจัยนี้
คำถามการวิจัยอาจมีมากกว่าวัตถุประสงค์เพราะเป็นประเด็นยอ่ ยที่นักวิจัยอยากทราบ นอกจากน้ี
คำถามวิจัยเป็นตัวกำหนดแนวทางกระบวนการรวบรวมข้อมูลหรือรายละเอียดในการวิจัยและ
เทคนคิ การวเิ คราะห์ข้อมูล ตอ้ งระลกึ เสมอว่าคำถามวิจยั เปน็ ตัวกำหนดแบบแผนการวิจัย เพราะคำถาม
การวิจัยอาจต้องการข้อมูลเชิงปริมาณหรือข้อมูลเชิงคุณภาพ นักวิจัยจะได้ออกแบบการรวบรวม
ข้อมูลและเทคนิคการวิเคราะห์ให้สอดคล้องกับคำถามการวิจัย ลักษณะการเขียนให้เป็นประโยค
คำถามควรเริ่มจากง่ายไปยาก หรือลำดับการค้นคว้าจนถึงเป้าหมายสุดท้าย คำถามควรเฉพาะ
เจาะจงให้ชัดเจน สามารถสังเกตหรือศึกษาได้ การเขียนคำถามการวิจัยมีหลักการเขียนดังน้ี
(ภทั ราพร เกษสังข,์ 2559 : 244)
1. มีลักษณะเป็นประโยคคำถาม แสดงให้ทราบวา่ ประเด็นปัญหาที่ตอ้ งการศึกษาจะลงท้าย
ดว้ ยคำวา่ อะไร หรืออย่างไร หรือทำไม หรือเป็นอยา่ งไร แตไ่ มค่ วรใชค้ ำวา่ ใชห่ รือไม่
2. เขียนคำถามเฉพาะเจาะจงตรงประเดน็
3. ใช้ภาษาทเ่ี ข้าใจงา่ ย
86
ขอบเขตของการวิจัย
ขอบเขตของการวิจัยเป็นการกำหนดกรอบที่จะศึกษาหรือดำเนินการวิจัย โดยระบุ
ขอบเขตวา่ จะศึกษากับใคร (ขอบเขตของประชากรหรือนักเรียนกลุ่มเป้าหมายทจี่ ะพัฒนา) ศึกษา
กับอะไร (ขอบเขตของตัวแปรที่ศึกษา) ใช้เนื้อหาอะไร (ขอบเขตเนื้อหาในการวิจัย) และศึกษา
เมือ่ ไร (ขอบเขตของระยะเวลาในการวิจัย) (พชิ ติ ฤทธ์จิ รญู , 2564 : 271)
สมมตฐิ านการวิจัย
สมมติฐานการวิจัยเปน็ ข้อความท่คี าดคะเนคำตอบของคำถามการวจิ ยั ไวล้ ่วงหนา้ อยา่ งมีเหตผุ ล
โดยมีแนวทางการเขียนดังนี้ (พิชิต ฤทธิจ์ รูญ, 2564 : 272)
1. เขียนให้สอดคลอ้ งกบั วตั ถปุ ระสงคก์ ารวิจยั
2. เขยี นใหอ้ ย่ใู นรูปประโยคบอกเลา่ ทร่ี ะบคุ วามสมั พนั ธ์ระหวา่ งตวั แปร
3. สามารถตรวจสอบหรือทดสอบได้ดว้ ยขอ้ มูลหรอื หลักฐานตา่ ง ๆ
4. ใหม้ ีความชัดเจนและเฉพาะเจาะจง
ประโยชนท์ ีค่ าดวา่ จะได้รบั
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับเป็นการอธิบายถึงความสำคัญหรือประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
หลังจากดำเนินการวิจัยเสร็จแล้ว ซึ่งควรกล่าวถึงประโยชน์ 2 ระดับคือ ประโยชน์โดยตรง (ประโยชน์
ทันที) ที่เป็นข้อค้นพบหรือคำตอบที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัยตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย และ
ประโยชน์โดยอ้อม (ประโยชน์สืบเนื่อง) ที่จะเกิดตามมาเมื่อมีการนำผลการวิจัยไปใช้หรือบรรลุตาม
วตั ถุประสงค์ของการวิจัยแล้ว มแี นวทางการเขยี นดงั น้ี (พชิ ติ ฤทธิจ์ รญู , 2564 : 273 - 274)
1. เขยี นเรียงลำดับจากประโยชน์โดยตรงมากท่สี ดุ ไปหาน้อยทีส่ ุด
2. เขียนให้สอดคลอ้ งหรอื สอดรับกับวัตถุประสงคข์ องการวจิ ยั
3. เขยี นในลกั ษณะการนำผลการวจิ ัยไปใชใ้ หเ้ ป็นประโยชนต์ อ่ ใคร อย่างไร หรอื หนว่ ยงานใด
ไมใ่ ช่เขยี นเพียงว่าไดผ้ ลการวจิ ัยอยา่ งไรหรือรู้ข้อเทจ็ จรงิ อะไร
4. ไม่เขียนโดยคาดหวังประโยชน์หรอื ขยายความสำคญั จนเกนิ ความเปน็ ไปไดจ้ รงิ
87
การเขียนนิยามศพั ทเ์ ฉพาะ
เฉพาะ การเขียนนิยามศัพท์เฉพาะเป็นการเขียนอธิบายคำศัพท์ให้ชัดเจนขึ้นและเพื่อทำความเข้าใจ
ให้ตรงกับผวู้ จิ ยั ซ่ึงการเขยี นนยิ ามศัพท์มีลักษณะ 2 ประเภท คือ การนิยามเชิงทฤษฎี และการนิยาม
เชิงปฏบิ ตั กิ าร มีลกั ษณะการเขียนดังนี้ (ภทั ราพร เกษสังข์. 2559 : 248)
นิยามเชิงทฤษฎี (Theoretical definition) เป็นการให้ความหมายตามที่ศึกษาจากเอกสาร
หรอื จากผ้ทู ี่นยิ ามไว้
นิยามเชิงปฏิบัติการ (Operational definition) เป็นการให้ความหมายหรือรายละเอียด
ประเด็นย่อย ๆ หรือแสดงตัวบ่งชี้ของคำศัพท์นั้น รวมทั้งแสดงแนวทางการได้มาของส่ิงที่ศึกษา
การนิยามต้องนิยามทีเ่ ช่ือมโยงจากแนวคิด หรอื ทฤษฎี หรอื เอกสารและสอดคล้องกับขอบเขตประเด็น
ที่ผู้วิจัยต้องการศึกษาในงานวิจัย ซึ่งพิชิต ฤทธิ์จรูญ (2564 : 272) ได้กล่าวถึงแนวทางในการเขียน
นิยามศัพท์เฉพาะดังนี้
1. นยิ ามตวั แปรท่ีศกึ ษาให้ชดั เจน โดยเฉพาะตวั แปรอสิ ระ และตวั แปรตาม ให้นิยาม
เชงิ ปฏบิ ัติการท่ีสามารถสังเกตและวัดได้
2. ใหน้ ิยามคำศัพทเ์ ฉพาะท่ีตอ้ งการสื่อความหมายให้ผู้อา่ นเข้าใจตรงกับผวู้ จิ ยั
3. ควรเป็นนิยามที่ผูว้ ิจัยเขียนขน้ึ เองโดยอาศยั แนวคดิ จากการศึกษาเอกสารและงานวจิ ัย
ท่เี ก่ยี วข้อง
การเขยี นเอกสารและงานวจิ ัยที่เกย่ี วขอ้ ง
เฉพาะ การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องจะช่วยให้นักวิจัยได้ข้อมูลสารสนเทศพื้นฐาน
สนับสนุนคำถามการวิจัย นอกจากนี้การศึกษางานวิจัยที่ใกล้เคียงหรือสัมพันธ์กับประเด็นศึกษา
ยงั ช่วยให้นกั วิจยั ใชเ้ ปน็ แนวทางเก่ยี วกบั การดำเนนิ งานวิจยั การศกึ ษาเอกสารแตล่ ะประเด็นผู้วิจัย
ควรบันทึกรายละเอียดของเอกสารอ้างอิงในประเด็นและเนื้อหาที่ศึกษานั้นให้เป็นระบบ เพราะเวลา
นำมาอ้างอิงจะได้ถูกต้อง ไม่เสียเวลาในการค้นหาเอกสารนั้น เมื่อศึกษาเอกสารผู้วิจัยควร
ดำเนินการดังนี้ (ภัทราพร เกษสงั ข์, 2559 : 248 - 250)
1. สืบค้นและรวบรวมเอกสารจากแหล่งทีม่ าของเอกสาร ห้องสมดุ เปน็ แหล่งทม่ี าของเอกสาร
ที่สำคัญสำหรับการวิจัยหลายประเภท ได้แก่ ตำรา หนังสือ พระราชบัญญัติ สารานุกรม
วารสาร วิทยานิพนธ์หรือปริญญานิพนธ์ นอกจากนี้ยังสามารถสืบค้นจากแหล่งอื่น ๆ เช่น
อนิ เทอร์เน็ต เป็นตน้
2. การบันทกึ เอกสาร การดำเนนิ งานบันทึกเอกสารนัน้ เอกสารท่ศี กึ ษาคน้ ควา้ มีหลายประเภท
ดงั นัน้ แนวทางการบนั ทกึ เอกสารแตล่ ะประเภทแตกต่างกันดังนี้
2.1 หนงั สอื หรือตำราหรอื วารสาร การสรุปหนงั สอื ควรนำประเด็นแนวคดิ หรือ
ทฤษฎีท่เี ก่ียวข้องกับเร่ืองที่ศึกษา เมื่อจบแตล่ ะประเดน็ ควรสรุปประเด็นนนั้ ๆ
88
2.2 การสืบค้นจากแหล่งอน่ื ๆ เช่น อินเทอรเ์ น็ต การอ้างอิงเน้ือหาข้างในจากเวบ็ ไซต์
ควรจดบันทึกเวบ็ ไซตแ์ ละวันทสี่ ืบคน้ ไว้เพอื่ นำมาประกอบการเขียนบรรณานกุ รม
2.3 งานวจิ ยั วทิ ยานพิ นธ์ ปริญญานิพนธ์ สารสนเทศหรือคน้ ควา้ อิสระ การสรปุ งานวจิ ยั
วิทยานิพนธ์ ปริญญานิพนธ์ สารสนเทศหรือค้นคว้าอิสระควรมีหัวข้อหรือประเด็นที่สรุปใส่ใน
งานวจิ ยั ท่ีเกยี่ วข้องดงั นี้
2.3.1 ช่ือ นามสกุล (ปี พ.ศ.ที่สำเร็จ หมายเลขหนา้ เน้ือหานั้นในเอกสาร)
2.3.2 หัวขอ้ เรือ่ งการวจิ ยั
2.3.3 วัตถุประสงค์ของการวิจยั (อาจนำเสนอเฉพาะข้อที่สอดคล้องกับงานวจิ ยั
ของผวู้ จิ ยั )
2.3.4 ระเบยี บวธิ ีการวจิ ัย ประกอบด้วย กลุ่มตัวอย่างหรอื กลุ่มเปา้ หมาย เครอ่ื งมือ
เก็บรวบรวมขอ้ มูล และการวเิ คราะห์ข้อมูล
2.3.5 สรปุ ผลการวิจยั (อาจนำเสนอเฉพาะข้อที่สอดคล้องกับงานวจิ ัยของผู้วิจัย)
3. หลกั การนำเสนอเอกสารและงานวจิ ัยที่เกีย่ วขอ้ ง
3.1 การเขยี นควรเรียงลำดบั หวั ขอ้ ที่เก่ยี วข้องกบั ประเด็นท่ศี ึกษาหลักหรือตัวแปรตามก่อน
แลว้ ต่อดว้ ยประเดน็ ท่เี ก่ยี วขอ้ งกับการวิจยั และควรเปน็ เน้อื หาทีเ่ ก่ียวข้องจริง ๆ
3.2 การเขยี นประเด็นท่ศี ึกษาควรกล่าวถึงความหมายจากนักการศึกษาต่าง ๆ ควรเขียน
เรียงตามปี พ.ศ. หรอื ค.ศ. จากนอ้ ยไปหามาก หรอื จากมากไปหาน้อย เพื่อใหเ้ ห็นวิวัฒนาการของ
ประเด็นตัวแปรนั้น และถ้าข้อความหรือเนื้อหาสอดคล้องกันควรทำการสังเคราะห์สรุปอ้างอิง
ตามลำดับ ไม่ควรตัดต่อเนื้อหาแยกเป็นคน ๆ หรือเป็นท่อน ๆ เมื่อกล่าวถึงความหมายเสร็จควร
สรุปจากขอ้ คน้ คว้าที่ได้ จากน้ันจงึ สรปุ ส่วนทีน่ ักวิจยั จะนำไปใช้ ลำดบั ตอ่ มาควรกล่าวถึง แนวคิด
หรอื ทฤษฎที ่เี กี่ยวข้องกับประเดน็ ตัวแปร ประโยชนข์ องตวั แปรและการวัดตวั แปร
3.3 กอ่ นท่จี ะเขยี นประเดน็ ใหมผ่ วู้ ิจัยควรสรุปประเดน็ ท่กี ลา่ วมา โดยเนอื้ หาท่ีเขยี น
เป็นภาษาทผ่ี ู้วจิ ัยใช้ และถา้ มเี นื้อหาอื่นทตี่ อ่ เนือ่ งกนั ควรเขียนเกร่ินข้อความท่ีเชือ่ มโยงมาก่อนด้วย
4. ขอ้ บกพร่องเก่ียวกับการเขียนเอกสารและงานวจิ ยั ทีเ่ กยี่ วข้อง
4.1 การไมอ่ า้ งองิ จากแหลง่ ทคี่ ้น กล่าวคือ ผู้วิจยั นำข้อมลู ทีท่ ำการคดั ลอกมาเขียน
แต่ไม่มีการอ้างอิง หรือนำข้อมูลที่มาจากแหล่งทุติยภูมิ (ข้อมูลที่มีผู้คัดลอกนำมาอ้างอิงไว้) แต่ไม่
อา้ งเล่มทท่ี ำการคดั ลอกข้อมูลนน้ั กลับอา้ งอิงจากแหล่งปฐมภูมิเสมอื นวา่ ผู้วจิ ัยไดอ้ า่ นจากต้นฉบับจริงเอง
การทำเช่นนี้นอกจากเป็นการผิดจรรยาบรรณแล้วยังเป็นการไม่ซื่อสัตย์กับตนเองด้วย นอกจากนี้
ถ้าเล่มที่ทำการคัดลอกมาเกิดสรุปผิดพลาดก็ทำให้ผู้วิจัยสรุปผิดพลาดตามไปด้วย เพื่อป้องกันควร
อ้างองิ จากเล่มท่ีนำมาคดั ลอกหรือเล่มที่เปน็ แหล่งทุตยิ ภมู ิ แต่ถา้ ผู้วจิ ัยสามารถศกึ ษาจากแหลง่
89
4.2 การอ้างองิ ไม่มีการสังเคราะห์ ผู้วิจัยบางคนนำข้อความที่แตล่ ะคนกล่าวมาต่อกัน
เป็นท่อน ๆ หรือที่เรียกวา่ ตัดแปะ หรือนำบทคัดย่อแต่ละเรื่องมาใส่ โดยที่บางเล่มนำเสนอเปน็ ข้อ ๆ
บางเล่มนำเสนอเป็นความเรียง ผู้วิจัยยกมาตามนั้นเลย โดยไม่มีการสังเคราะห์หรือจัดรูปแบบให้
คงเส้นคงวา ทำใหด้ ูไม่เป็นระบบ อีกทงั้ เนื้อหาหรือผลงานวจิ ัยท่ีเหมือนกันหรือสอดคล้องกันควรนำมา
สังเคราะห์เรียบเรียงใหม่ อาจใช้คำเชอ่ื ม เชน่ สอดคลอ้ งกบั เชน่ เดยี วกับ เหมอื นกับ และ เปน็ ต้น
นอกจากนี้ผลงานวิจัยบางเรือ่ งมีทั้งประเด็นที่ผูว้ ิจยั ศึกษาและประเด็นที่ไม่ได้ศกึ ษา ผู้วิจัยอาจสรุป
เฉพาะประเดน็ ท่เี กี่ยวข้องกับงานวจิ ยั มานำเสนอเทา่ นัน้
4.3 การอา้ งองิ ไมต่ รงกับตน้ ฉบับ ผ้วู จิ ัยบางคนทำการเปลี่ยนแปลงหรือบิดเบือนข้อมลู
เพื่อให้สอดคล้องกับเรื่องที่ทำ เช่น เปลี่ยนชื่อเรื่อง หรือเปลี่ยนผลการสรุปให้สอดคล้องกับเรื่อง
ของตนเอง นอกจากนี้การแปลภาษาต่างประเทศต้องระมัดระวังแปลผิดพลาด ดังนั้น คำบางคำ
ตอ้ งมวี งเล็บภาษาเดิมกำกบั ดว้ ย
วิธีดำเนินการวิจยั
วิธีดำเนินการวิจัย เป็นการแสดงขั้นตอนการดำเนินการวิจัยอย่างชัดเจน ทำให้ผู้อ่านเข้าใจ
ทราบข้ันตอนการดำเนนิ การและสามารถนำไปเป็นแนวทางปรับใช้ให้เหมาะสมกับสภาพหรือบริบท
การดำเนินงานวิจัยของตน ผู้วิจัยควรเขียนตามลำดับขั้นตอนการศึกษาค้นคว้าและตามวัตถุประสงค์
ของการวิจัย สาระในส่วนน้ีประกอบด้วย กล่มุ ผ้ศู ึกษาค้นคว้า เคร่ืองมือและวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล
การสร้างเครื่องมือ ข้ันตอนดำเนินการวิจัย (ควรมีแผนปฏิบัติการ) การวิเคราะห์ข้อมูล และสถิติท่ีใช้
ในการวจิ ยั โดยมรี ายละเอียดดงั นี้ (ภทั ราพร เกษสงั ข์, 2559 : 250 – 254)
1. กล่มุ ผู้ศึกษาคน้ คว้า ในการวิจัยปฏิบตั ิการนี้จะเก่ียวข้องกบั หลายฝา่ ย ซงึ่ สว่ นใหญ่
แยกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ และควรบอกถึงการคัดเลือกกลุ่มที่ศึกษาค้นคว้านี้ด้วย กลุ่มผู้ศึกษาค้นคว้า
มีดงั น้ี
1.1 กลมุ่ ผู้วจิ ัยและผู้ชว่ ยวิจยั ในการวจิ ยั ปฏบิ ตั ิการนั้นการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ส่วนใหญ่
เป็นข้อมูลเชิงคุณภาพ ดังนั้น ผู้วิจัยไม่สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลคนเดียวได้จึงต้องมีผู้ช่วยวิจัย
และผู้ช่วยวิจัยต้องมีความรู้ความเข้าใจในเป้าหมายที่ต้องการศึกษา การดำเนินการวิจัย และ
วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นอย่างดี จึงต้องมีการประชุมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินการวิจัย
และฝกึ ฝนผวู้ ิจยั และผูช้ ่วยวจิ ยั เกยี่ วกับการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลเชงิ คุณภาพดว้ ย
1.2 กลมุ่ เป้าหมาย เป็นกล่มุ ทีต่ ้องการพัฒนา ผู้วจิ ัยต้องอธบิ ายคณุ ลกั ษณะของกลุ่มนี้
ว่ามีลักษณะอย่างไร และจะเลือกมาอย่างไร ที่สำคัญอย่าให้กลุ่มเป้าหมายนี้ทราบว่าตนมีความ
บกพร่องที่จะต้องแก้ไข ผู้วิจัยต้องไม่ใส่ชื่อ-นามสกุลจริง ควรปกปิดเป็นความลับและใส่ชื่อนาม
สมมตุ แิ ทน เพราะเป็นการละเมิดสทิ ธิ และทำใหเ้ กิดความร้สู ึกที่ไมด่ ีกับบุคคลทเี่ ป็นกลุ่มเป้าหมาย
การเลือกกลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่เป็นการเลอื กแบบเจาะจง อาจทำโดยนำแบบวดั ไปวัดหรือทำการ
ทดสอบหาขอ้ บกพร่องในเรื่องนน้ั วา่ ใครเขา้ ข่ายทต่ี ้องพัฒนา
2. กกก
90
1.3 กลุม่ ผูม้ ีสว่ นไดส้ ว่ นเสีย หรือกล่มุ ผู้มีสว่ นเกี่ยวขอ้ ง เปน็ กลุ่มท่ีได้รับผลประโยชน์
หรือเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมาย หรือกลุ่มที่จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมาย กลุ่มนี้ต้องมีข้อมูล
เพยี งพอที่ให้รายละเอียดของการศึกษาไว้เป็นอย่างดีและยนิ ดที จี่ ะให้ความร่วมมือ เช่น กลุ่มท่ีเป็น
ผู้ปกครองอาจฝากตายายเลี้ยง การที่เลือกพ่อแม่อย่างนี้ก็ถือว่าไม่มีข้อมูลเพียงพอ ในการเลือก
กลมุ่ นีต้ ้องอธิบายคณุ ลกั ษณะอยา่ งละเอียดสำหรับผ้ทู ่ีถูกเลือก ส่วนใหญเ่ ลอื กแบบเจาะจง
2. เครือ่ งมือและวธิ ีการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นการบอกให้ทราบวา่ ในการวิจัยครง้ั น้ี ผู้วจิ ัย
ใช้เครื่องมือและวิธีการค้นคว้าโดยวิธีอะไร ผู้วิจัยอาจแบ่งการนำเสนอออกเป็น 2 ประเภท คือ
เครอ่ื งมอื ทใ่ี ช้ในการพัฒนา และเคร่อื งมอื ทีใ่ ช้ในการเก็บรวบรวมข้อมลู ผู้วิจยั ตอ้ งเขียนรายละเอียด
ในแต่ละประเดน็ ให้ชัดเจน
3. ขัน้ ตอนการสรา้ งเครื่องมือ เป็นการบอกถงึ ข้ันตอนการสร้างและการหาคุณภาพของ
เครื่องมือแต่ละประเภท สร้างอย่างไร และหาคุณภาพอย่างไร อะไรบ้าง เมื่อได้ผลของการหา
คุณภาพผูว้ จิ ยั ตอ้ งใสร่ ายงานด้วยว่ามีคา่ เท่าไร เครอื่ งมอื ไหน ถ้าวธิ ีสรา้ งเหมอื นกันกส็ ามารถเขียนร่วมกัน
แต่รายงานคุณภาพเขียนแยกทีละชนิด ที่สำคัญส่วนนี้ผู้วิจัยต้องใส่เครื่องมือให้ครบตามที่เขียนใน
วธิ ดี ำเนนิ การวจิ ยั ในภาคผนวก
4. ขัน้ ตอนดำเนนิ การวิจัย เปน็ ขัน้ ท่แี สดงรายละเอียดการดำเนนิ การตามข้นั ตอนที่ศึกษาค้นควา้
สว่ นนผ้ี วู้ จิ ัยควรสรปุ นำเสนอเปน็ แผนปฏิบัตกิ ารเพอ่ื สะดวกและง่ายต่อความเขา้ ใจ โดยแผนปฏบิ ตั ิการน้ัน
เป็นการสรปุ วา่ มีประเด็นที่ศึกษาคอื อะไร ได้มาจากใคร จำนวนเท่าไร เครอื่ งมอื หรอื วธิ ดี ำเนินการอะไร
วนั เดือนปที ด่ี ำเนินการ เป้าหมายหรือผลลพั ธ์ทีไ่ ด้ โดยอาจจะทำเป็นรปู แบบตารางกไ็ ด้
5. การวเิ คราะหข์ ้อมูลในการวจิ ยั เป็นสว่ นที่บอกให้ทราบวา่ งานวจิ ัยครง้ั นมี้ ีการวเิ คราะห์ขอ้ มูล
อะไรบา้ ง การนำเสนอต้องแยกหมวดหมู่ใหช้ ัดเจน เพราะงานวจิ ัยปฏิบัติการนี้มีท้ังข้อมูลท่ีเป็นเชิงปริมาณ
และขอ้ มลู ทเี่ ป็นเชงิ คณุ ภาพ
6. สถติ ิที่ใชใ้ นการวเิ คราะห์ข้อมลู เป็นการสรปุ สถติ ิทใี่ ชใ้ นการวเิ คราะหข์ อ้ มลู เชิงปริมาณ
ผู้วิจัยต้องแยกจัดหมวดหมู่ของสถิติและการศึกษา ในการวิจัยมีทั้งนวัตกรรมที่ใช้ เครื่องมือที่ใช้เก็บ
รวบรวมข้อมูลผวู้ จิ ัยอาจนำเสนอการหาคุณภาพของเครื่องมือด้วยก็ได้ และเสนอสถิตทิ ใ่ี ช้ในการวิเคราะห์ผล
ของการวิจัย
91
การเขยี นผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล
การเขียนผลการวิเคราะห์ข้อมูล เป็นการเขียนรายงานผลการศึกษา ผู้วิจัยต้องเขียน
ตามลำดับข้นั ตอนการศึกษาคน้ คว้าหรือตามวัตถปุ ระสงค์ของการวิจยั การนำเสนอขอ้ มลู ซ่ึงมีท้ังข้อมูล
เชิงปริมาณและข้อมูลเชิงคุณภาพ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิธีการศึกษาค้นคว้าและการวิเคราะห์ข้อมูล การ
นำเสนอควรมีการเกริ่นนำเกี่ยวกับประเด็นที่จะนำเสนอก่อนเสนอผลการวิเคราะห์ทีละประเด็นตาม
วัตถุประสงค์และการศึกษาค้นคว้า ในการเสนอผลการวเิ คราะห์ไม่ควรนำเสนอตามความคิดเห็นของตน
วิธกี ารเสนออาจนำเสนอในรูปแบบความเรยี ง หรือตาราง (ภัทราพร เกษสงั ข,์ 2559 : 254)
พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2564 : 276 - 277) ได้กล่าวถึงแนวปฏิบัติในการเขียนผลการวิเคราะห์
ข้อมูลดงั น้ี
1. ควรนำเสนอให้เห็นภาพรวมของบทเปน็ ตอน ๆ ตามวตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ัยกอ่ นแล้วจึง
นำเสนอรายละเอียดของแต่ละตอนตอ่ ไป
2. นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลหรือผลการวิจัยเรียงลำดบั ตามวตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจัย
หรือสมมติฐานการวิจยั
3. นำเสนอในลกั ษณะทสี่ ือ่ ความหมายให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่าย อาจเสนอในรูปแบบของ
การบรรยาย ตาราง แผนภูมิ หรือภาพประกอบคำบรรยายโดยใชภ้ าษาท่เี ข้าใจไดง้ า่ ย
4. ตอ้ งเสนอผลการวิเคราะหข์ ้อมลู ภายใต้ขอบเขตท่ีค้นพบเท่านัน้ ไม่นำความเห็นสว่ นตัวของ
ผู้วจิ ยั กบั ข้อเท็จจรงิ มาปนกนั
5. กรณีนำเสนอในรปู ตาราง การแปลผลขอ้ มลู จากตารางให้แปลผลเชิงสถิตเิ ปน็ หลกั หรือ
แปลผลประเด็นทีส่ ำคัญ ไมต่ ีความหรือขยายความเพิ่มเตมิ
การเขียนสรปุ ผล อภิปรายผลและข้อเสนอแนะในการวิจัย
การเขยี นสรุปผล อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะในการวิจัย สว่ นนเี้ ป็นการสรปุ ภาพรวม
ทั้งหมดของการวิจัย พร้อมทั้งมีการนำเหตุผล ข้อมูลมาสนับสนุนผลการอภิปราย และการ
เสนอแนะผลทีไ่ ด้จากการวิจัยไปสู่การปฏิบัตินำไปใช้และข้อเสนอแนะคร้งั ต่อไปในประเด็นที่ยังไม่ได้ศึกษา
การเขียนในบทน้ี ก่อนนำเสนอแต่ละหัวขอ้ ผูว้ ิจยั ควรเกริ่นถึงเร่ืองวจิ ัย วัตถปุ ระสงค์ กลุม่ ผู้ศึกษาค้นคว้า
การดำเนินการวิจัย เครื่องมือ และการวิเคราะห์ข้อมูล ควรเขียนในรูปความเรียงก่อนที่จะนำเสนอ
ตามหวั ข้อบทหลกั โดยมหี ลักการเขยี นดงั นี้ (ภทั ราพร เกษสงั ข์, 2559 : 260 - 265)
1. การเขียนสรปุ ผล
เป็นการนำบทท่ี 4 มาย่อสรปุ ผลเสนอใหก้ ระชบั และในสว่ นนผี้ ูว้ ิจยั ไมค่ วรเสนอ
ความคดิ เห็นเขา้ ไปและไมค่ วรนำเสนอค่าสถติ ิอกี
92
2. การเขียนอภปิ รายผล
2.1 การเขียนที่เปน็ การแสดงความคิดเหน็ ทีม่ ีต่อผลการวิจัยในประเด็นหลัก ๆ พร้อมทง้ั
อาจนำแนวคิด ทฤษฎี หรอื ผลงานวิจยั มาสนับสนุนประกอบเหตผุ ลของการวิจยั ถือว่าเปน็ การแปลผล
ระดับขยายความ และถ้าผลการวิจัยมีการทดสอบสมมติฐาน ผู้วิจัยควรอภิปรายผลด้วยว่าผลท่ไี ด้
มคี วามสอดคลอ้ งหรือไม่สอดคลอ้ งกบั สมมติฐาน
2.2 การเขยี นอภปิ รายผล ควรมกี ารสะทอ้ นความคดิ ของผวู้ ิจยั เกย่ี วกบั การพัฒนา
และกิจกรรมที่พัฒนาจากข้อค้นพบในการดำเนินการวิจัยว่ากิจกรรมที่ใช้ในการพัฒนามี อะไรบ้าง
ในแต่ละวงจร และผลที่เกิดขึ้น ทั้งเป็นไปตามเป้าหมายและไม่เป็นไปตามเป้าหมาย จุดที่ต้องพัฒนา
ปรบั ปรุง และการแก้ไขทนี่ ำมาใช้โดยสะท้อนความคดิ ทไ่ี ด้ของผู้วจิ ยั เอง และนำแนวคดิ ของนกั วิจัย
คนอื่นมาประกอบสนบั สนนุ การดำเนินกจิ กรรมการพัฒนา
3. การเขยี นขอ้ เสนอแนะ
ในหวั ขอ้ นจ้ี ะมีหัวข้อย่อยท่ตี ้องเสนอ 2 ขอ้ คอื ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจยั ไปใช้
และขอ้ เสนอแนะการวจิ ยั ครงั้ ตอ่ ไป การเขียน ดังนี้
3.1 การเขียนข้อเสนอแนะการนำผลการวิจัยไปใช้ เปน็ การนำผลทไ่ี ด้จากการวิจัย
มาเขียนเป็นข้อเสนอแนะ อาจเป็นประเด็นท่ีผลยังไม่เป็นไปตามที่คาดหวังท่ีควรจะต้องดำเนินการต่อ
หรอื ประเดน็ ที่ประสบผลสำเรจ็ เด่นจากงานวิจยั ในการเขียนข้อเสนอแนะน้ีควรเขียนให้เป็นรูปธรรม
สามารถนำไปใชไ้ ด้จรงิ
3.2 การเขียนข้อเสนอแนะการวจิ ัยครั้งตอ่ ไป เป็นการเขียนข้อเสนอแนะทีเ่ กิดจาก
การวิจยั ทีม่ ีจุดหรอื ประเด็นท่ียงั ไม่ได้ศกึ ษาหรอื ที่ควรศึกษาในแง่อน่ื ๆ หรอื ดา้ นอนื่ ๆ เพิม่ เตมิ
การเขยี นอ้างอิง
การเขียนอา้ งอิงในทีน่ ี้นำเสนอเปน็ 2 ส่วน คือ การเขยี นอา้ งองิ ในเนอื้ หา และการเขียน
อา้ งองิ ในบรรณานกุ รม โดยมหี ลกั การเขยี นดงั นี้ (ภัทราพร เกษสงั ข์, 2559 : 266 - 270)
การเขียนอ้างอิงในเน้อื หา
1. การเขยี นอ้างอิงในเนือ้ หา อาจมรี ูปแบบการเขียนทำได้ 2 ลักษณะ คอื
1.1 เกร่นิ เน้ือหามาก่อนแล้วอ้างอิงทมี่ าของเน้ือหาตอ่ ทา้ ย ดงั เช่น
1.1 กรณีท่ผี ูแ้ ต่งมีคนเดียว การระบุชื่อผูแ้ ตง่ หลงั เนือ้ หา
(ชือ่ /สกุลผู้แต่ง,/ปีที่พิมพ์/:หนา้ )
เชน่ (ภัทราพร เกษสงั ข์, 2550 : 5)
1.2 กรณีผแู้ ตง่ มจี ำนวนตา่ งกัน การระบุชอื่
1.2.1 กรณผี แู้ ต่ง 2 คน ให้ระบุ ชอ่ื /ชือ่ สกุลของผแู้ ตง่ ท้งั 2 คน โดยเชอื่ ม
ดว้ ยคำวา่ และ (ภาษาไทย) ใช้ and หรอื & (ภาษาองั กฤษ) เชน่
(Charle & Mertler, 2002 : 301)
93
1.2.2 กรณผี ูแ้ ต่ง 3 คน ใหร้ ะบุ ชือ่ /ชือ่ สกลุ ของผู้แต่งคนที่ 1 ค่นั ดว้ ย ( ,)
ตามด้วย ชื่อ/ชื่อสกุลคนที่ 2 แล้วต่อด้วยคำว่า และ (ภาษาไทย) ใช้ and หรือ & (ภาษาอังกฤษ)
ตามดว้ ย ชื่อ/สกุลคนที่ 3 เช่น
(Marquerite, Dean & Katherine, 2006 : 288)
1.2.3 กรณีผแู้ ตง่ มากกว่า 3 คน ใหร้ ะบเุ ฉพาะชือ่ /ชือ่ สกลุ ของผู้แตง่ คนแรก
แล้วตามด้วยเครื่องหมาย ( , ) และตามด้วยคำว่า และคนอื่น ๆ หรือ และคณะ (ภาษาไทย)
et al. หรือ and others (ภาษาอังกฤษ)
1.3 กรณที ่ีผู้แต่งเปน็ หน่วยงานหรอื สถาบัน การลงรายการอา้ งองิ ใหน้ ำชื่อ
หน่วยงานหรอื สถาบันนัน้ เลย เช่น
...................(มหาวิทยาลยั ราชภัฏเลย, 2550 : 75)
1.4 กรณีท่ีไม่ได้นำจากเลม่ ตน้ ฉบับการอา้ งองิ เชน่
............(Kurt Lewin, 1946 cited from Kemmis & McTaggart, 1990 : 6)
………………...(Kemmis, 1998 อ้างถงึ ใน สุวิมล วอ่ งวานชิ , 2549 : 16)
2. การเขียนอา้ งองิ ทม่ี าของเน้ือหาก่อนแล้วตอ่ ทา้ ยดว้ ยเน้อื หา กรณนี ้จี ะระบผุ ู้แตง่ กอ่ น
เนอ้ื หาการเขยี นดังน้ี
2.1 กรณีท่ีผ้แู ต่งมีคนเดียว โดยเขียน ชื่อ/สกุลผแู้ ตง่ /(ปที ีพ่ มิ พ์/:/หน้า) เช่น
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร (2548 : 23)............................................................
ภทั ราพร เกษสังข์ (2550 : 5)..................................................................
มลิ ล์ (Mills, 2003 : 5).............................................................................
2.2 กรณที ผ่ี ้แู ต่งมีจำนวนต่างกนั การระบุชอ่ื ดังนี้
2.2.1 กรณีผแู้ ต่ง 2 คน ใหร้ ะบุ ชอื่ /ชือ่ สกุลของผแู้ ตง่ ทั้ง 2 คน
โดยเช่อื มด้วยคำวา่ และ (ภาษาไทย) ใช้ and หรือ & (ภาษาอังกฤษ) เช่น
ชารเ์ ลและเมิรท์ เลอร์ (Charle & Mertler, 2002 : 301)...
2.2.2 กรณีผู้แต่ง 3 คน ใหร้ ะบุ ช่ือ/ชอื่ สกลุ ของผแู้ ตง่ คนที่ 1
คั่นด้วย ( , ) ตามด้วย ชื่อ/ชื่อสกุลคนที่ 2 แล้วต่อด้วยคำว่า และ (ภาษาไทย) ใช้ and หรือ &
(ภาษาอังกฤษ) ตามดว้ ย ช่ือ/ชอ่ื สกลุ คนที่ 3 เชน่
มาร์กกวิ รทิ ดนี ท์ และแคทเทอร์รีน (Marquerite,
Dean & Katherine (2006 : 288)…………………..
2.2.3 กรณผี แู้ ตง่ มากกวา่ 3 คน ใหร้ ะบเุ ฉพาะชอ่ื /ชื่อสกลุ ของ
ผู้แต่งคนแรก แล้วตามด้วยเครื่องหมาย ( , ) และตามด้วยคำว่า และคนอื่น ๆ หรือ และคณะ
(ภาษาไทย) et al. หรือ and others (ภาษาอังกฤษ) เช่น
ศิรชิ ยั กาญจนวาสี และคณะ (2550 : 57)……………….
94
2.3 กรณที ่ไี มไ่ ดน้ ำเนื้อหาจากเล่มตน้ ฉบับจริงแตน่ ำมาจากเอกสารช้ันรอง
แต่ให้ความสำคัญของเอกสารชั้นต้น ให้เขียนชื่อเอกสารหลักก่อน แล้วตามด้วยเอกสารชั้นรอง
โดยขน้ั ด้วย อ้างถงึ ใน หรือ cited from เชน่
เคอร์ท เลวิน (Kurt Lewin, 1946 cited form Kemmis & McTaggart,
1990 : 6)………………………………………
เคมมสิ (Kemmis, 1988 อา้ งถงึ ใน สวุ มิ ล ว่องวานชิ , 2549 : 16)........
การเขยี นอ้างอิงในบรรณานุกรม
การเขียนอ้างอิงในบรรณานุกรมเป็นการอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เพื่อเป็นข้อมูลท่ี
จำเป็นสำหรับผู้สนใจที่ต้องการติดตามเอกสารนั้น เอกสารที่นำมามีหลายประเภท ซึ่งมีหลักการเขียน
แตกตา่ งกนั ดังนี้
1. วิทยานิพนธ์หรือปริญญานิพนธ์ มรี ปู แบบการเขยี นดังนี้
ชอ่ื ผแู้ ตง่ วทิ ยานิพนธ.์ //(ปที ีพ่ มิ พ์).//ชอื่ วทิ ยานพิ นธ์หรือช่ือปริญญานิพนธ.์ //ระดับปริญญา.//ชื่อ///////
สาขาวชิ า คณะ ชือ่ มหาวิทยาลยั .
ตัวอยา่ งการเขยี นบรรณานุกรมวิทยานพิ นธห์ รือปรญิ ญานพิ นธ์
พูนสิริ เกษสังข์. (2539). การเปรียบเทียบคุณภาพของแบบวัดจริยธรรมด้านพรหมวิหารสี่ที่มี
รูปแบบการถามต่างกัน. ปริญญานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาการวัดผลการศึกษา
บัณฑติ วิทยาลัย มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ ประสานมติ ร.
2. หนงั สือ
ชอื่ ผู้แต่ง.//(ปที ี่พิมพ)์ .//ช่ือหนังสือ.//เล่มท(ี่ ถา้ มี).//ครง้ั ท่ีพิมพ(์ ถ้ามี).//สถานทพี่ ิมพ์/:/สำนักพิมพ์.
2.1 กรณีที่ผู้แตง่ หนงั สอื มีคนเดยี ว
ตัวอยา่ งการเขยี นบรรณานุกรมหนังสือ
สวุ ิมล ว่องวาณชิ . (2549). การวจิ ัยปฏิบัติการในช้นั เรยี น (Classroom action research).
กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ธีรวุฒิ เอกะกุล. (2552). การวิจัยปฏิบัติการ (Action research). พิมพ์ครั้งที่ 2. อุบลราชธานี :
ยงสวัสดอ์ิ นิ เตอร์กรุ๊ป.
Wiersma, W. (1995). Research method in education. 6th ed. Boston : Allyn and Bacon.
2.2 กรณีผแู้ ตง่ มจี ำนวนตา่ งกนั หลกั การเขยี นจะแตกตา่ งกนั ดงั น้ี
2.2.1 กรณีทผี่ แู้ ตง่ หนงั สอื มี 2 คน หรือ 3 คน ให้เขียนชอ่ื ผ้แู ตง่ ทุกคน ค่นั ดว้ ย
เครื่องหมาย ( , ) ระหว่างคนและก่อนช่ือผู้แต่งคนสุดท้ายใช้คำว่า “และ” (ภาษาไทย) ใช้ “and
หรือ &” (ภาษาองั กฤษ)
95
ตวั อย่างการเขียนบรรณานุกรม กรณที ผ่ี ู้แต่งหนงั สือมี 2 คน หรอื 3 คน
ลว้ น สายยศ และองั คณา สายยศ. (2538). เทคนคิ การวิจัยทางการศกึ ษา. กรุงเทพฯ : สวุ รี ิยาสาสน์ .
Charles, C.M. & Mertler , C.A. (2002). Introduction to educational research. 4th ed.
Boston : Allyn & Bacon.
Lodico, M.G., Spaulding, D.T., & Voegtle, K.H. (2006). Methods in educational research
From theory to practice. San Francisco : Jossey – Bass.
2.2.2 กรณีท่ีผู้แต่งหนังสือมากกว่า 3 คน ให้เขียนช่ือผู้แต่งคนแรกตามด้วย
เครือ่ งหมาย ( , ) และพมิ พค์ ำว่าและคณะ (ภาษาไทย) ใช้ “et al.” (ภาษาอังกฤษ)
ตัวอยา่ งการเขียนบรรณานุกรม กรณที ผ่ี ู้แตง่ หนังสอื มีมากกว่า 3 คน
ธีระวฒุ ิ เจรญิ ราษฎร์ และคณะ. (2536). คู่มอื ปฏบิ ตั กิ ารเจา้ หนา้ ท่ี. นครพนม : ไทยสากล
เซน็ เตอร์กรุ๊ป.
Hair, J.J., et al. (2006). Multivariate data analysis. 6th ed. New Jersey : Pearson
Education.
2.3 กรณีที่ผู้แต่งเป็นสถาบัน ให้ใส่ชื่อหน่วยงาน
ตัวอยา่ งการเขียนบรรณานกุ รมกรณที ผี่ แู้ ต่งเป็นสถาบัน
ราชบัณฑติ ยสถาน. (2551). พจนานกุ รม ศพั ทศ์ ึกษาศาสตร์ อักษร A-L ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน.
กรงุ เทพฯ : อรณุ การพิมพ.์
วิจัยทางการศึกษา, กอง, กระทรวงศึกษาธิการ. (2545). การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ตาม
หลกั สตู รการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน. กรุงเทพฯ : โรงพิมพค์ รุ ุสภาลาดพรา้ ว.
Colorado State University. (2007). Content analysis. Colorado : Colorado State University.
3. บทความในวารสาร
ช่ือผู้เขียนบทความ.//(ปี,/วนั ท่/ี เดอื น).//ช่ือบทความ.//ชื่อวารสาร.//ปที (ี่ ฉบบั ที)่ :/เลขหน้า.
ตัวอย่างการเขียนบรรณานุกรมบทความในวารสาร
ภทั ราพร เกษสังข์. (2550, พฤษภาคม-สิงหาคม). การร่วมเส้นตรงเชงิ พหุ (Multicollinearity) กับ
การวเิ คราะห์ถดถอยพหุคูณ (Multiple regression). วารสารวัดผลการศกึ ษา. 29 (85) : 13-18.
Schwartz-Barcott, D. (1993). Action research : What is it? How has it been used and how can it
used in nursing?. Journal of Advances Nursing. 18, 298-304.
4. ข้อมูลจากเว็บไซต์
ชอ่ื ผ้แู ต่งหรือหน่วยงานทเี่ ขยี น.//(ปที ีพ่ ิมพ์).//ชื่อเร่อื ง.//ค้นเม่ือ/วัน/เดอื น/ปีท่คี น้ ./จาก/ใสเ่ ว็บไซต์
ถ้าเป็นภาษาองั กฤษ คน้ เม่ือ เปน็ Retrieved และ จาก เป็น from
96
ตวั อย่างการเขียนบรรณานุกรมขอ้ มลู จากเว็บไซต์
ชัชวาล ทัตศิวัช. (ม.ป.ป.). การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action
Research : PAR) : มิติใหม่ของรูปแบบวิธีวิจัยเพื่อการพัฒนาชุมชนระดับท้องถิ่น.
ค้นเมอ่ื 5 มิถุนายน 2550, จากhttp://www.polpacon7.ru.ac.th/download/article/%EO%
B8%A3%EO%B9%88%A7%EO%B8%A1.doc
ดังนน้ั รูปแบบการอ้างองิ ผูว้ ิจยั ควรยึดรปู แบบใดรปู แบบหนึ่ง เพอื่ ใหเ้ ปน็ ไปในแนวทางเดยี วกัน