The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sor_sor2005, 2024-06-17 04:03:24

หนังสือโคนสมอ

หนังสือโคนสมอ

1


1 โ ค น ส ม อ รวมบทร้อยกรอง จาก...กลุ่มหนุ่มสาวอิสระ


2 สมอ กรีดใบพ้อพร่างพรายกับสายขวัญ เกล็ดอ่อนพลิ้วเขียวสะอางขวางตะวัน ร่มฉัตรชั้นเฉียบร้อนกลับอ่อนเย็น กำ มะหยี่สีเพลิงระเริงฟ้า เปลวแดดจ้าซอนซุกอย่างขุกเข็ญ แพสมอขัดขวางอย่างลำ เค็ญ ก็เพื่อเป็นร่มใจให้เราอิง จากทุกหนตำ บลบางต่างต่างถิ่น ประกายนิลแววพรายที่ไร่ขิง เป็นจุดรวม “โคนสมอ” พอพึ่งพิง กับสายดิ่งร่มขวัญหวานวลี ตระหง่านงํ้า คำ นิมิตสะกิดฟ้า สูงสง่ารุกขศักดิ์พำ นักศรี ใบเป็นแพกอดกาลมานานปี อยู่อย่างที่เห็นอยู่รู้ก็รู้ มาวันนี้ สมอชน “โคนสมอ” ห้าวหาญพอเสนอนามว่างามหรู ฝากเพลงมนต์ “โคนสมอ” ขอให้ดู เชิญเป็นชู้ ดับกระหายกับสายตา. “เหล็กอ่อน”


3 คำนำ “กาลเวลาย่อมกลืนกินสรรพสิ่ง กระทั่งตัวของมันเอง” แม้แต่ “สมอ” ก็หนีไม่พ้น ทั้ง โคนต้น กิ่ง ก้าน ใบ ต้องผันแปร จะเหลือก็เพียง แต่รากเหง้าที่ฝังดิน พาให้ถวิลถึงอยู่มิลืมเลือน... เป็นเวลามากกว่าสามทศวรรษ ที่หนังสือทำ มือ ได้ถือกำ เนิดขึ้น ในนามกลุ่มหนุ่มสาวอิสระ ได้รวมพลังกัน สรรค์สร้างผลงาน บทร้อย กรอง กว่าหกสิบสำ นวนไว้ใน “โคนสมอ” บางท่านก็ได้ล่วงลับไปกับ กาลเวลา ฝากคุณค่าอันน่าจรรโลงใจในไว้ในกลอนกานท์ อันหวาน ละมุน ส่งกลิ่นหอมกรุ่นจากวันวานผ่านอดีตมาจนถึงปัจจุบัน ในฐานะผู้อยู่ใกล้ชิด ติด “โคนสมอ” ต้องขอขอบคุณเจ้าของ สำ นวนกลอนทุก ๆ ท่าน ไว้ ณ ที่นี่ และขออนุญาตนำ เอาสิ่งดี ๆ เหล่านั้น มารวบรวมใหม่ เพื่อมอบในวันอายุวัฒนมงคล ครบรอบ ๖๙ ปี ในวันที่ ๒๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ ที่เวียนมาบรรจบครบอีกวาระหนึ่ง ขอขอบคุณจากใจจริง. (พระธรรมวชิรานุวัตร) เจ้าคณะภาค ๑๔ เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง พระอารามหลวง


4


5 ภายในเล่ม ๐๐๐ โคนสมอ...ทั้งหมดมีด้วยกัน ๘ ใบ คือ... ใบที่ ๑ กราวนำ ๖ ใบที่ ๒ เพลงจากตู้พระธรรม ๑๓ ใบที่ ๓ ลำนำแห่งชีวิต ๒๓ ใบที่ ๔ นํ้าใจจากเพื่อน ๔๓ ใบที่ ๕ เสน่หา – อาลัย ๕๘ ใบที่ ๖ อาถรรพณ์ – เสน่หา ๘๙ ใบที่ ๗ กราวส่ง ๑๒๔ ใบที่ ๘ สมอ – ใบสุดท้าย ๑๒๖


6 กราวนำ จากต้นกำ เนิดที่ยังหาผู้ให้ความกระจ่างมิได้ แม้ว่าจะพยายาม สืบสาวเรื่องราว เพื่อให้ได้ความจริงจากท่านผู้เฒ่าที่ผ่านชีวิตมาอันยาวนาน ที่สุดของหมู่บ้านแล้วก็ตาม...ผลที่ได้ก็เพียง “ลุงได้เห็นมันมาตั้งแต่สมัย ลุงเป็นเด็ก ๆ แล้ว” นี่คือ ที่มาของ “สมอพิเภก” ต้นไม้ใหญ่โดดเด่นอยู่ริมน้าท่า ํ จีน บ้านไร่ขิง เป็นต้นไม้ที่ไม่เคยอาทรกับกาลเวลาที่ผ่านไปอย่างเฉียบเย็น จากความนานที่ยังคลำ หาไม่ถึงจุด ได้ฝากและแฝง...สัจจธรรมของ ธรรมชาติ งำแววแห่งความหวัง ซุกซ่อนความถดท้อทุกข์ระทมประทับ รอยยิ้มและเสียงตัดพ้อต่อว่าคละเคล้าไปด้วยไอแห่งความร่าเริงให้เห็น เป็นภาพพจน์ในจินตนาการอย่างไม่มีวันลืมเลือน ใบแล้ว...ใบเล่า ที่ “สมอ” ได้ทิ้งใบหล่นลงบนลาน ปีแล้ว...ปีเล่า ที่ “สมอ” ได้ยืนหยัดต่อสู้กับความผันผวนของภัยธรรมขาติ ชีวิตแล้ว... ชีวิตเล่า ที่ได้อาศัยพักแล้วผ่านไปอย่างสดชื่นและจืดชา จนบัดนี้ “สมอ” ได้กลายเป็น “อาณาจักรแห่งอดีตที่เป็นพิพิธภัณฑ์แห่งความหลัง” ถูก ทับถมไปด้วยมนต์เสน่หาเคลือบแฝงไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความอาลัย หลายครั้ง...หลายหน ที่สมอได้พยายามเผยโฉมท้าทายต่อสายตา ของชาวโลก ช่อสมอชูสะพรั่งในบางปี สร้างความชื่นชมยินดีแก่ผู้พบเห็น อย่างงง ๆ เพราะ “สมอ” ไม่เคยมี “ผลสมอ” ให้ได้คันหัวใจกันสัก ครั้งเดียว จากแรงใจ...อันกล้า...และศรัทธาอันมั่นคง ความพร่าหมองของเงา “สมอ” ที่เคยแผ่กว้างออกไปอย่างไร้จุด...สักวันหนึ่ง...และวันนี้ บัดนี้...


7 ก็คือวันนั้น...“โคนสมอ” ที่ให้ความร่มรื่น ความอบอุ่นดับความอบอ้าว ของอารมณ์โปรยละอองสีชมพูให้อ่อนพริ้วไปตามแรงปรารถนาของ หัวใจ. สมอเอ๋ย...ค่าที่เจ้าต้องเงียบเหงาเดียวดายสู้กับความขมขื่น ยืนต้นเฉื่อยชา ซบเซามานานพอแล้ว บัดนี้...เจ้าได้สร้างความหวัง สร้างความอบอุ่นแก่คนผู้ทัศนาจรใน “นครคำ” เท่าที่เจ้ามีความสามารถ สมอเอ๋ย...บัดนี้เจ้ามี “โคนสมอ” ที่ลํ้าค่าแล้ว...


8 ปรัศนีน้ำตา “สยาม อินทร์กรุงเก่า” มะขามเอนลู่ใบในวันนี้ เหมือนน้องพี่คนเดิมเริ่มแหนงหน่าย ใบสีเหลืองปลิวว่อนร่อนเรียงราย ดุจทักทายความหม่นของคนแพ้ พลิ้วพลิ้วช่อยี่โถโต้ลมไหว เหมือนหัวใจที่สะอาดมีบาดแผล เสียวสะท้านเกินซ่อนความอ่อนแอ จึงมีแต่ความหมองเต็มสองนัยน์ กระซิบถามแผ่วเบากับเงาสน สงสารคนอ้างว้างนี้บ้างไหม เมื่อคนที่เคียงข้างเขาห่างไกล จะมีใครไหนมาเอื้ออาทร ฟ้าสีเพลิงเริงรับกับใบหลิว ให้หวานหวิวหวั่นหวามถึงความก่อน มาบัดนี้มีใจไว้อาวรณ์ กับภาพหลอนลวงล่อทรมา


9 ตะแบกทิ้งกลีบม่วงร่วงสู่พื้น ไม่อาจฝืนความนัยที่ใฝ่หา หยาดนํ้าใสพราวแพรวเกลื่อนแก้วตา ยามรักลาลับไปไม่เหมือนเคย มะขามเอนลู่ใบใกล้คํ่าแล้ว ยินเสียงแผ่วแว่วมาว่า...ขวัญเอ๋ย เมื่อคู่คลอเคียงเจ้าเขาละเลย แล้วจะเผยตาพ้อต่อว่าใคร...ฯ


10 ไม่มีจุดหมาย “สยาม อินทร์กรุงเก่า” ความเข้าใจของฉันในวันนี้ คงไม่มีพบกันหรอกขวัญเอ๋ย เมื่อก่อนนี้ร่วมกมลเป็นคนเคย กลับละเลยเลิกร้างห่างไกลกัน สมอพ้อลมพลิ้วหลิวงามลํ้า หอมกลิ่นรํ่าจำ ปีที่ใฝ่ฝัน โอ้ท่าจีนรินยํ้าสายสัมพันธ์ ชั่วนิรันดร์เราร่วมรวมใจเดียว ตราบอ้อมฟ้ายังอยู่คู่ไร่ขิง เราจะครองรักจริงยิ่งแน่นเหนียว หากสายธารท่าจีนยังรินเชี่ยว เราจะเกี่ยวก้อยกันนิรันดร์กาล จะเป็นคู่สู้หน้าอนาคต สุขสลดทุกข์ระทมขมหรือหวาน ไม่รันทดท้อทุกข์ที่รุกราน เราจะหว่านพลังใจไว้ต้อนรับ


11 ริมฝั่งนํ้าท่าจีนถิ่นสดชื่น ระลอกคลื่นครื้นเครงดุจเพลงขับ สุดขอบฟ้าสีทองรองระยับ คล้ายสดับวิญญาณ์มาบางเบา ความเข้าใจต่อกันในวันนี้ คงต้องมีลบเลือนไม่เหมือนเก่า สมอล้อลมเย็นเป็นร่มเงา สองใจเราคงสลายไม่เหมือนเดิม...ฯ


12


13 เพลงจากข้างตู้พระธรรม มนุษย์เอ๋ย... วัยล่วงเลยเคยฉงนในตนไหม ทุกนาทีมีประโยชน์หรือโทษใคร คิดกันไว้บ้างมนุษย์ ก่อนทรุดตาย.


14 สันติธรรม “เหล็กอ่อน” ประกายเพลิงประทุระอุร้อน ไฟสุมขอนเผาไหม้มันร้ายเหลือ เสมือนเหล็กสลักลิ่มสนิมเจือ กัดกร่อนเนื้อเหล็กสลายไม่คงทน สถาบันมั่นคงดำ รงอยู่ ร่วมกันชูเชิดไว้ให้เกิดผล เป็นสถานอุดมร่มมงคล หมดเมฆฝนฟ้าใหม่ดีใจนัก สามัคคีคือธรรมประจำจิต ธุระกิจการงานสมานสมัคร อุดมธรรมคํ้าประคอง “ต้องใจรัก” ยึดเป็นหลักแนวทางระหว่างคน เด่นคนเดียวหรือพ้นคนอิจฉา ศักดิ์สง่าลํ้ามนุษย์สุดฉงน ไม่ถูกต้องตามระบอบดูชอบกล บังเกิดผลเสียหายหลายประการ


15 ถือมานะทิฐิดำ ริผิด ยึดความคิดแน่นหนักเป็นหลักฐาน ไม่คำ นึงถึงนักเรื่อง “รักงาน” ขาดประสานสามัคคีไม่มีเลย เรื่องน้อยนิดผิดได้อภัยบ้าง รู้จักสร้าง “สปิริต” ถูก-ผิด เผย มีนํ้าใจคํ้าจุนความคุ้นเคย ไม่ชาเฉยยุติธรรมนํ้าใจมี ลดทิฐิมานสละทิ้ง จะเท็จจริงเถียงถามตามวิถี ร่วมกันสร้างความรักสามัคคี อยู่อย่างพี่-น้องกันสันติธรรม.


16 ชาวโลก “กนกภรณ์ ค้าผล” อันคนเราเข้าเค้าละครโลก มีสุขโศกโชคลางเหมือนอย่างฝัน ทั้งลาภยศเงินตราสารพัน สรรเสริญนั้นได้ยินกว่านินทา ถึงคราวดับดวงตกหัวอกเอ๋ย คนที่เคยสรรเสริญก็เมินหน้า เพื่อนสนิทมิตรสหายก็ไกลตา อนิจจาโลกมนุษย์สุดบรรยาย พุทธองค์ทรงตรัสแจ่มชัดว่า คนเกิดมาเป็นมนุษย์ที่สุดหมาย ถูกนินทาด่าบ่นแม้คนตาย ทั้งหญิงชายไม่มีที่ไม่เคย โลกธรรมครอบงำ ทุกสํ่าสัตว์ ปรากฏชัดโลกมนุษย์สุดเฉลย ที่รักกันก็สรรเสริญจนเกินเลย เกลียดก็เย้ยหยามหยันด่ากันไป นี่แหละหนอที่สุดมนุษย์โลก สุขและโศกสับสนคนหวั่นไหว มีเสมอโลกธรรมประจำ ใจ คือหลักใหญ่แกนกลางของสังคม.


17 กลับตัวเสียเถิด “ปัทมา” รู้ว่าจนทนเจียมเสงี่ยมจิต เพื่อนกลับคิดว่าฉันนั้นผยอง ใฝ่ตำ รามัวเมาเข้าทำ นอง เพื่อนกลับมองฉันเป็นเช่นเศษดิน ฉันอยากเรียนศิลปาเพื่อนว่าชั่ว แนะให้มั่วเที่ยวเตร่เผโผผิน ทำอะไรก็ไม่ได้ดังใจจินต์ โอ้ ชีวินฉันแทบพังล้มทั้งยืน ในสังคมอย่างนี้ดีแล้วหรือ ? เพื่อนยึดถือกันมานานแต่ฉันฝืน อิสระฉันอยู่ไหนขอไถ่คืน อย่ามาขืนใจกันให้ระทม เพียงสองปีที่ฉันนั้นศึกษา มุ่งวิชาใช้ทรัพย์หนี้ทับถม พ่อและแม่ต้องลำ บากจนซากจม ท่านยอมตรมเพราะอยากให้ฉันได้ดี


18 ยังแทนคุณท่านไม่ได้สักหน่อย ฉันจะปล่อยใจกระเจิงเหลิงหรือนี่ เมื่อรู้ตัวมัวเมาไม่เข้าที คงต้องหนีจากสังคมที่ขมทรวง เพื่อนเป็นเพื่อนเตือนกันแต่วันนี้ หยุดชีวีที่สนุกยุคหึงหวง เลิกเที่ยวเตร่เสียทีสิ่งที่ลวง เลิกทั้งปวงหันมาเรียนเพียรเสียที.


19 เวทีชีวิต “เหล็กอ่อน” บนลานแห่งเวทีของชีวิต ต่างมีสิทธิ์สวมบทกำ หนดเล่น โลกละครนอกบทไร้กฎเกณฑ์ หากไม่เจนหกล้มสังคมเมิน บวกลบเลขคูณหารอ่านหนังสือ หมั่นฝึกปรือประสบการณ์กันเก้อเขิน ความพลาดผิดบางครั้งด้วยบังเอิญ ใช่จะเกินขีดขั้นของปัญญา คูณเลขผิดตรวจพบลบแก้ได้ ล้มลุกใหม่อีกหนทนศึกษา เล่ห์เหลี่ยมโลกชีวิตผิดพลาดมา เป็นลีลาบทแสดงแห่งละคร ลมบรรเลงเพลงโศกบนโลกกว้าง กลิ่นธูปจางจากวัดสัมผัสหลอน ถึงบทที่ชีวิตหนึ่งเล่นถึงตอน ต้องพักผ่อนร่างกายบทไม่มี


20 ถึงจังหวะครรลองของชีวิต กรรมลิขิตผูกขาดไม่อาจหนี ใบไม้หล่นเต็มลานนับนานปี บนเวทีชีวิตลิขิตคน โลกละครตอนจบสงบนัก พอนอนพักหายเหนื่อยเมื่อยอีกหน เล่นบทอื่นต่อไปในวังวน ตามแต่ผลกรรมสร้างต่างต่างกัน.


21 กำศรวลพุทธศาสน์ “สมบัติ สุขสมัย” โอม...พระศรีตรีรัตน์จรัศฤทธิ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์นวราชแห่งชาติสยาม พระเสื้อเมืองทรงเมืองกระเดื่องนาม ขอกราบบาทงามงามมาสามครา ด้วยเดี๋ยวนี้ในใจนึกไหวหวาด ทั้งสงสารและอนาถพระศาสนา เคยรุ่งเรืองด้วยแสงแห่งธรรมา ก็กลับเสื่อมศรัทธามหาชน โลกมนุษย์ทุกวันนั้นอาเพศ แต่มีเหตุทั้งทีย่อมมีผล นักบวชหน่ายธรรมบทสิ้นอดทน พระศาสน์หม่นมลทินก็ยินยอม มีความชั่วก็ต้องมีดีให้เห็น มีกลิ่นเหม็นก็ต้องมีกลิ่นที่หอม มีพระจริงก็ต้องมีพระที่ปลอม ทุกอย่างย่อมคู่กันทั้งนั้นแล สาธุชนพูดกันทุกวันนี้ ว่าพระ, เถร, เณร, ชี, มีแต่แย่ ธรรม-วินัยเคยเรียนกลับเปลี่ยนแปร มาเรียนแต่หมอดูอดสูใจ


22 โอมพระศรีแห่งใจ พระไตรรัตน์ เขาผ่าตัดเหยียบยํ่า ระยำ ใหญ่ พุทธศาสน์วันนี้จึงมีภัย ประเทศไทยกำลังร้อนด้วย...ค้อน-เคียว.


23 ลำนำแห่งชีวิต โลกหมุนเวียนเปลี่ยนไปไม่เคยหยุด มวลมนุษย์อนาถนักรัก, โลภ, หลง ความจริงจัง จริงใจ ไม่เที่ยงตรง ควรคิดปลง ชีวิต...อนิจจา...


24 ซ้าย...ขวา “มายา ทอง” ไฟนรกฉานโชนจากโพ้นฟ้า เพลิงวิบัติจัดจ้าน่าใจหาย เงาปิศาจคลุมตลอดความวอดวาย โยนความตายสู่บรรดามหาชน สันติภาพเสรี การมีสิทธิ์ ถูกเบือนบิดชั่วช้าพร่าเหตุผล งานขั้นแรกผ่านมาคนฆ่าคน มันแยบยลความอุบาทว์เกินคาดคิด เริ่ม “สงครามนายทุน” งานรุ่นสอง ยุให้ผองกรรมาชีพรีบเรียกสิทธิ์ ทั้งแนะนำ เสี้ยมสอนคอยรอนริด เปลี่ยนระบบเศรษฐกิจให้ผิดไป จนเดี๋ยวนี้พุทธศาสน์อนาถแล้ว มันบังอาจเอื้อมแก้วมายํ่าได้ เนื้อนาบุญแห่งสัตว์ พระรัตน์ไตร มันผ่าตัดเหยียบไว้ใต้บาทา


25 โอ้พระขวัญดวงใจไทยทั้งชาติ ประชาราษฎร์พร้อมแล้วพระเจ้าข้า หากมันหมิ่นพระบรมเดชา ฯ จะรองบาทขัติยาจนกว่าตาย ไฟนรกเริงรุจน์สุดขอบฟ้า สู่สยามนาวาน่าใจหาย เห็นมีแต่นักเลงเพลงนํ้าลาย ที่เอียงซ้าย เอียงขวามากัดกัน.


26 น้ำตาบนความแล้งแห่ง “อีสาน” “หาญวงษา” ฝุ่นตลบคละคลุ้งฟุ้งเป็นฝ้า สุดสายตาเพ่งลับกับเหลื่อมเขา มันกว้างไกลไร้ปราการม่านบังเงา แผ่ความเศร้าความทุกข์ยุคลำ เค็ญ พื้นดินแดงแฝงหมองมองแล้วหม่น สะอื้นไห้หลายหนบนความเข็ญ กลั้นนํ้าตาที่ไหลพรากอย่างยากเย็น มิให้เห็นเพียงละอองของลมโชย ร้อนไอแดดแผดผลาญบนลานกว้าง ทุกตารางแตกระแหงเพราะแห้งโหย สัตว์และคนหิวกระหายกายอ่อนโรย ใบไม้โปรยร่วงหล่นกิ่งต้นตาย คน, วัว, ควาย, น่าอนาถขาดอาหาร ต้องซมซานดิ้นรนหม่นจุดหมาย ล้วนทุกข์ท้อรอหยาดฝนเพื่อหล่นพราย หวังกลับกลายผิดคาดเจียนขาดใจ


27 ปีที่สาม แห่งมณฑลการทนทุกข์ มันแทรกซุกทุกครอบครัวล้วนหมองไหม้ เคยร่มรื่นเย็นตาด้วยป่าไพร กลับยากไร้ทรมานํ้าตาแพรว เหลือก็เพียงกลิ่นสาบคราบคาวเหงื่อ ที่เคล้าเจือปนนํ้าตาอันพร่าแผ่ว ธรรมชาติชุ่มฉํ่าไม่ฉายแวว โอ้...หมดแล้วที่พึ่ง ซึ่งรอคอย.


28 ค. ควาย...ถึง...ฅ. ฅน “ไก่” เย็นวันหนึ่งข้างบ้าน ริมลานกว้าง ควายสองตัวเคี้ยวฟางต่างหญ้าอ่อน นางตัวเมียสะบัดหางพลางลงนอน แล้วก็ถอนหายใจไปสามครา เจ้าตัวผู้ร้องถามความสงสัย “เอ็งทำ งานมากไปหรือไงหวา กะอีแค่ถูกใช้งานไถนา ก็ทำ ท่าหลังยาวทุกคราวไป” นังตัวเมียฮึดฮัดสะบัดเขา ทำ หน้าเง้าร้องมาว่า “ไม่ใช่ เดี๋ยวนี้ทุกทุกวันฉันน้อยใจ ถูกเขาใช้แล้วยังด่าว่าทุกวัน” เจ้าตัวผู้ชูคอหัวร่อร่า “เอ็งน้อยใจเขาด่าช่างน่าขัน คำ ....“ไอ้ควาย” ถูกด่ามาด้วยกัน ไม่เห็นมันมีอะไรให้เหลือทน” นางตัวเมียหันมานํ้าตาปรี่ ด่า...“ไอ้ควาย” ยังดีมีเหตุผล เมื่อเช้าฉันถูกด่าว่า ....“ไอ้คน” มันหมองหม่นตระกูลเรา พวกชาวควาย.


29 สองอนาคต “ดาบส” กุฏิ์หลังครัวมีขรัวตานามว่าโข่ง หัวท่านโล่งเลื่อมล้านปานโป่งขาม นัยน์ตาพองส่องสกาววาววับวาม ใบหูงามย้อยยานดังม่านแพร พรรษากาลผ่านอายุก็มากแยะ โรคเซอะแซะซ้อนซํ้าหนำกายแก่ แรงเริ่มคล้อยถอยลดตามกฎแปร ไม่เที่ยงแท้ถ้วนทั่วตัวหลวงตา กิจวัตรประจำวันของท่านหลวง เช้าตรวจดวงหมอดูผู้มาหา กลางวันฉันตามป้ายอาราธนา มาติการับไว้บ่ายสองโมง คํ่าลงส่งเสียงด่าว่าเณรแกละ หน่อยแนะแฮ๊ะเณรบ้าน่าตายโหง ตะวันยังโพล้เพล้ก็เข้าโพรง ไปเปิดโปงเอาเช้าเกือบเก้านอ


30 แกละ เณรน้อยค่อยขยันหมั่นศึกษา เพียรค้นคว้าธรรมเพิ่มเสริมเติมต่อ วิชาการธรรมตรี เณรมีพอ ผลสอบก็มีชื่อแกละแปะกระดาน จากเณรแกละ ครั้งนั้นมาวันนี้ เปลี่ยนนามที่ “มหา” หน้าคำขาน หลวงตาโข่งได้เลื่อนฐานาจารย์ รับกิจการหน้าที่ “ใบฎีกา”.


31 แด่...น้องที่เคยแสนดี.. “สนอง วงษ์ปาน” น้องคนดี... ทั้งหัวใจวันนี้ที่รู้สึก มันเจ็บปวดชอกชํ้าอยู่ลํ้าลึก ไม่เคยนึกน้องจะเป็นไปเช่นนี้ จำ ได้ไหม... ถึงสัญญาเคยให้ไว้กับพี่ ด้วยถ้อยคำแน่นหนักว่า “รักดี” ไม่ถึงปีน้องก็เหมือน ลืมเลือนไป ถ้าความรักมันจะเกิด รักเถิดน้อง แต่ขอร้องไว้ว่า อย่าหลงใหล รักแสนรักก็ไม่เห็นจะเป็นไร อย่าเผลอตัวปล่อยใจให้ชายชิม สมเพชนักดอกตะแบกคราวแรกแย้ม เลือดความสาวเพิ่งจะแต้มแก้มกลีบนิ่ม ได้พบพานความหมอง ถูกลองลิ้ม เป็นรอยพิมพ์ราคี ชั่วชีวา


32 ผิดหวังพลั้งไปแล้วไม้ดอก มาชํ้าชอกเสียหายทำลายค่า ไม่รักดีเหมือนวันให้สัญญา สมนํ้าหน้าหรือไม่ในวันนี้ เสียใจมากอยากพ้ออยากต่อว่า ไร้ราคาหม่นหมองแล้วน้องพี่ ยิ่งคิด ก็ยิ่งแค้น น้องแสนดี เอาความสาวไปขยี้...ที่..โรงแรม...ฯ


33 ถึงวีรชน “ไก่” สวัสดีวีรชน บนซากศพ ผู้เจนจบภาระแห่งประหาร โดยหน้าที่ผูกพันหรือสันดาน คุณจึงกร้านการพิชิต ชีวิตคน สวัสดีวีรชน คนใจบาป คุณเคยทราบหรือไม่ในเหตุผล หากการฆ่าคือบทกฎสากล สันติภาพ ของปวงชนอยู่หนใด สวัสดีวีรชน หรือคนเถื่อน เคยมีเพื่อนมนุษย์อย่างเราไหม กับระเบิดห่ากระสุน คุณฆ่าใคร ? หากไม่ใช่พี่น้อง ของพวกเรา สวัสดีวีรชน คนรักชาติ คุณพิฆาตเพื่อนมนุษย์ดุจโง่เขลา ถูกปิดตาปิดใจให้มัวเมา ถูกเร่งเร้าโดยเครื่องแบบ แนบเหรียญตรา สวัสดีวีรชน คนกล้าหาญ เชิญมาพักในสุสาน ทหารกล้า ณ ที่นั้นสงบสุขทุกเวลา คือมรรคาที่สุดการหยุดรบ


34 สวัสดีวีรชน บนลานยุทธ์ ผู้เร่งรุดสู่สนามความเป็นศพ เมื่อความตายฉายเงาเข้าสมทบ คุณจะพบสันติ จนนิรันดร์...ฯ นิทานผีพุ่งไต้“จิ๊ก”


35 โรงเรียนที่รัก “วิทย์” ฝนหน่ายฟ้าผวาสู่อ้อมภูเขา โดยลีลาเงียบเหงาเช้าวันหนึ่ง ซ่านหัวใจรู้สึกรักลึกซึ้ง กับภาพซึ่งอ่อนหวานเต็มม่านตา ขรึมและเศร้าเหงาเปลี่ยวอยู่เดี่ยวโดด ระหว่างโขดเนินไศลในราวป่า เพิงกันแดดเก่าครํ่าธรรมดา เราภูมิใจ เรียกว่า...“อาคารเรียน” เราคือผู้มาจุดไฟแห่งไพรกว้าง ทนอ้างว้างคอยกระแสการแปรเปลี่ยน โดยความหวังรังรองของแสงเทียน จึงพากเพียรด้วยวิญญาณการเป็นครู “อาคารเรียน”...ของเราถึงเก่านัก เราก็รักเต็มหัวใจไม่อดสู หลังคาจากพังผุปรุเป็นรู เรารับรู้ตื้นตันทุกวันมา


36 แล้วก็พบความโหดร้ายบ่ายวันหนึ่ง ปวดลึกซึ้งเสียขวัญหวั่นผวา เมื่อพายุกระหนํ่าพัดเต็มอัตรา พังโรงเรียนหลังชรา ริมป่านั้น ฝนหน่ายฟ้าผวาสู่อ้อมภูเขา รินลีลาเงียบเหงา เศร้าและหวั่น เทียนความหวังรังรองของชีวัน มาหดสั้นเลือนลาง ที่กลางไพร...ฯ


37 เพลงกอไผ่ “วิทยา กรงทอง” เมื่อยังเด็ก เคยถามพ่อ ว่ากอไผ่ เสียงออดแอดเรียกใครอยู่ในป่า ได้เห็นยิ้มทั้งที่พ่อ นํ้าคลอตา แล้วบอกว่า “มันเรียกให้ลูกไปเรียน” ออดแอด...แอดออด...เสียงยอดไผ่ โบกกิ่งเรียก...ไวไวไปอ่านเขียน ใครอยากเป็นบัณฑิตต้องคิดเพียร ไปจุดเทียนปริญญามาบ้านเอย... สิบปีแห่งแรงทะยานจากบ้านป่า ของเด็กชายชาวนามาเปิดเผย เมื่อเวลานาทีที่ล่วงเลย ได้เหยียบเย้ย ความดักดานแล้วผ่านไป วันที่หอมตำ รากลับมาบ้าน ด้วยอาการเงียบเหงาใต้เงาไผ่ แว่วเพลงสวดกล่อมวิญญาณสะท้านใจ รินนํ้าตาลงไหลไม่รู้ตัว


38 ที่จุดหมายปลายทางนั้นว่างเปล่า ความเงียบเหงาปรายตามายิ้มหัว โลกสุดท้ายของชีวิตปิดมืดมัว ม่านความกลัวสีดำแต้มนํ้าตา ออดแอด...แอดออด...เสียงยอดไผ่ โบกกิ่งเรียกหาใครอยู่ในป่า เหมือนเสียงพ่อกระซิบคำ ...ลูกกำ พร้า ยังไม่มีปริญญามาบ้านเรา...ฯ


39 พ่อจ๋า “อานนท์ ปักษาทอง” พ่อจ๋า... หยาดนํ้าตาลูกหยดรันทดจิต เมื่อพ่อลับดับชีวินสิ้นชีวิต ด้วยโรคฤทธิ์รุมเร้าเข้าปลิดปราณ พ่อจ๋า... พ่อด่วนลาล่วงลับดับสังขาร ทิ้งลูกไว้ให้หงอยเหงาเศร้าดวงมาน สิ้นสำ ราญสิ้นสุขทุกข์ระทม พ่อจ๋า... ทุกทิวาราตรีที่สุขสม มีพ่ออยู่ชูชื่นรื่นภิรมย์ ลูกเชยชมคำว่า “พ่อ” ผู้ก่อกาย พ่อจ๋า... เพียงคำว่า “พ่อ” นี้ที่ลูกหมาย ลูกเรียกรํ่าพรํ่าอยู่มิรู้คลาย ต้องมลายเมื่อพ่อลับดับชีพพลัน พ่อจ๋า... และคำว่า “ลูก” นี้ที่พ่อนั้น เคยพรํ่าเพรียกเรียกลูกทุกคืนวัน ต้องมีอันเลือนลับกับพ่อไป


40 พ่อจ๋า... ดวงวิญญาณ์พ่อนี้อยู่ที่ไหน พ่ออยู่ห้วงสรวงสวรรค์บนชั้นใด โปรดอย่าได้ห่วงลูกผูกวิญญาณ พ่อจ๋า... ลูกทั้งห้าขอตั้งจิตอธิษฐาน ให้พ่อนี้มีแต่สุขทุกทุกกาล บนวิมานเมืองฟ้าสุขาวดี.


41 ทะเลชีวิต “ประวิทย์ หงส์สีทอง” คลื่นหน่ายฝั่งยังผวาเข้าหาฝั่ง เล่าความหลังทะเลโหดกับโขดหิน ดาวลึกลับไกลลิบกระพริบริน ร่วมถวิลถึงนิยายชายทะเล ขณะลมปลายอ่าวพัดเข้าฝั่ง คลี่สายสั่งเกลียวคลื่นสะอื้นเห่ ชีวิตใต้แสงดาวชาวตังเก ได้ร่อนเร่เริ่มงานการหาปลา วันเหี้ยมโหดเหน็บหนาวของชาวนํ้า เปิดม่านดำ หลังละลอกแห่งหมอกหนา การทำ งานอาบเหงื่อเพื่อเงินตรา สอนเขาว่าเพื่อชีวิตเป็นนิจกาล และรอยยิ้มของลูกชายที่ปลายหาด เป็นพลังอำ นาจให้อาจหาญ ลูกกำ พร้าเลือดนํ้าเค็มเต็มสันดาน จะรอพ่อกลับบ้านบนลานทราย ทะเลหลับกลับตื่นด้วยคลื่นคลั่ง ดับความหวังใจเป็นห่วงร่วงสลาย เรือหาปลาลำ หนึ่งซึ่งวอดวาย ได้จมหายพร้อมชีวิตพ่อนิทรา


42 นกนางนวลไร้ทะเลบินเร่ร่อน เปลี่ยนที่นอนที่กินถวิลหา วันแล้ววันเล่าเจ้ากำ พร้า ยังไม่เห็นพ่อมานํ้าตาคลอ ลมทะเลตะวันออกพัดบอกฝั่ง กระซิบสั่งเป็นระยะโอ้ละหนอ ลูกเอยลูกน้อยที่คอยรอ จะได้พบศพพ่อวันต่อมา.


43 น้ำใจ....จากเพื่อน คน.... จะยากดีมีจนก็ทนได้ ความว้าเหว่เยี่ยมเยือนขาดเพื่อนใจ อยู่อย่างไร้ “เพื่อนขวัญ” นั้นสุดทน.


44 สิ่งที่....เขาไม่ต้องการ “จตุเมษ นวปัญจารักษ์” ลมหนาวโชยพัดผ่านบนม่านรัก ความรู้จักถูกรานอย่างหาญห้าว หัวใจเอย...เจ็บปวดอย่างรวดร้าว ถูกสาวสาว “ทับคล้อ” ทรมา ถ้าจะมา “ทับคล้อ” ก็พอได้ แต่...หัวใจไม่กล้าจะมาหา ทั้งทั้งที่เจ็บจำ เพราะคำ ท้า ถูกต่อว่าเจ็บชํ้าเพราะคำคน อยากไปนอนตาหลับที่ “ทับคล้อ” กลับไปง้อไปใกล้หลายหลายหน กลับไปหอมดอมแก้มที่แย้มยล แต่...เหตุผลต่างต่างมีทางนี้ อาณาเขตเวิ้งว้างกว้างไม่มาก มีหน้ากากตีตราคือหน้าที่ ทุกข์, ลำ บากคุ้นหน้าเกือบห้าปี ความพอดีทุกอย่างอยู่ห่างไกล


45 คือ....สังคมเหลือเดนการเป็นอยู่ ทั้งทั้งรู้ยังเถลไถล อยู่กันอย่างยากเย็นความเป็นไป แต่...ก็ไม่ยากเข็ญการเป็นมา กำแพงกั้นสูงลิ่วเป็นทิวแถว แต่ละแนวแวดวางอย่างแน่นหนา อารมณ์เพ้อเหม่อมองข้ามท้องฟ้า ที่พักพา...คนโฉด...นักโทษชาย.


46 นั่นใคร ?? “ลูกเต่า” ท่านเป็นใครยืนมองจ้องมาน่ะ บนศีรษะสีขาวราวเมฆฝอย หน้าผากย่นเพราะชรา เป็นฝ้ารอย ขอบตาห้อยหย่อนยาน...ท่านเป็นใคร ? สองแก้มท่านเหี่ยวแห้งแล้งเนื้อหนัง ดูน่าชังเต็มที่...นี่ไฉน ? ยิ้มของท่านจืดเช่นคนเข็ญใจ ดูช่างไร้สีสันอันชวนชม ตาของท่านที่จ้องมองมานั้น ดูดูมันจืดจางช่างขื่นขม ในแววตาสิ้นไร้ในอารมณ์ เหมือนจะข่มความลับไว้กับใจ ไหล่สองข้างห่อหลุบเนื้อบุบเหลว ทรงองค์เอวงกงันดูสั่นไหว ไม่ทราบว่าตัวท่านนั้นเป็นใคร ? ดูเหมือนวัยท่านแก่ แย่เต็มทน


47 เอ๊ะ...ใบหน้าเช่นนี้เห็นที่ไหน ? เหมือนกับใครเคยพบหน้า มาหลายหน เมื่อก่อนท่านงดงามคนตามยล สังขารคนเปลี่ยนได้ไวเร็วจริง เดินเข้าไปใกล้ “เขา” เจ้าของร่าง เขากลับย่างมาใกล้ให้เกรงกริ่ง เพิ่งรู้เป็นกระจกเงา เมื่อเข้าพิง ร่างผู้หญิงคนนั้น “ตัวฉันเอง”. จาก....อาศรม “เขาเต่า”


48 ผิดทางโลก-ผิดทางธรรม “กามนิตหนุ่ม ศิษย์พระฤษี” อันโจรปล้นเจ็ดครั้งยังมีเหลือ มุ้ง-หมอน-เสื่อ ไว้นอนตอนคืนคํ่า ถ้าไฟไหม้ครั้งเดียวเสียวระกำ สุดชอกชํ้าเหลือแต่เถ้าตอเสาเรือน ถึงไฟไหม้เจ็ดหนทนลำ บาก ทนยุ่งยากอนาถใจใครจะเหมือน ยังเหลือที่ถากทำ นำสุขเยือน ทุกข์ค่อยเคลื่อนห่างถอยน้อยลงไป ถ้าหากแม้นผีพนันมันเข้าสิง ทรัพย์มากยิ่งเคยกองทองเป็นไห ต้องมอดหมดเพราะพนันรันทดใจ ที่อาศัยปักเสาบ้านพาลไม่มี ไม่เคยเห็นใครที่มีสุขสันติ์ เพราะพนันรวยเด่นเป็นเศรษฐี มีแต่จนยากไร้ไปทุกที ก็เพราะผีการพนันมันครอบงำ ขอให้มวลพี่น้องตรองพินิจ ใคร่ครวญคิดว่าประเสริฐเลิศหรือตํ่า ทางโลกผิดพลาดพลั้งยังผิดธรรม เป็นเหตุนำ ทุกข์เผา “เรายับเยิน” จาก....อาศรม เนตรศิริ


49 พ่อ – แม่ “นิสาชล” พระคุณใครที่ไหนหนอเท่าพ่อแม่ ห่วงลูกแท้ทุกอย่างเฝ้าสร้างสรรค์ ให้กำ เนิดบุตรธิดาค่าอนันต์ ยอมฝ่าฟันความลำ บากยากทุกข์ทน ลูกของแม่เมื่อเด็กเล็กน่ารัก เฝ้าฟูมฟักถนอมยอมขัดสน พ่อมานะสละเหงื่อเพื่อลูกตน ยามลูกจนแม่พ่อก็ตักเตือน จะมีใครที่ไหนอีกในโลก จะสุขโศกอาทรร้อนใจเหมือน กับพ่อแม่ร่มไทรเทพในเรือน ตราบกี่เดือนกี่ปีมิมีคลาย จะยกเอาพสุธานภากาศ แทนกระดาษหยดหมึกจารึกหมาย ภาณุมาศสาดแสงแจ้งประกาย มาระบายคุณพ่อแม่มีแก่เรา สิบนิ้วลูกประณมก้มลงกราบ พระคุณซาบซึ้งในใจลูกเขลา กตเวทีมีให้แต่วัยเยาว์ เทิดเหนือเกล้าคุณแม่พ่อลูกขอจำ . ม.ศ. ๑ ร.ร. สตรีวิทยา


Click to View FlipBook Version